Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

Description: E-book หนังสือศรีลังกาและอุษาคเนย์ (1)

Search

Read the Text Version

งานวชิ าการเพื่อศกึ ษาเรยี นรู้ประวตั ิศาสตร์ศรลี งั กา เลม่ ๙

การสมโภชพระบรมธาตเุ จดีย์ ภาพจิตรกรรมต�ำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช วดั วงั ตะวนั ตก เมอื งนครศรธี รรมราช ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ : ว่าดว้ ยความสัมพันธ์ทางการเมือง ศาสนา และวฒั นธรรม พิมพค์ ร้งั ท่ี ๑ : พ.ศ. ๒๕๖๓ จ�ำนวนพิมพ์ : ๕๐๐ เลม่ ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รมของสำ� นกั หอสมุดแหง่ ชาติ ลังกากุมาร. ศรีลังกาและอุษาคเนย์: ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการเมือง ศาสนาและ วัฒนธรรม. พมิ พ์ครั้งท่ี ๑. นครปฐม: สาละพมิ พการ, ๒๕๖๓ ๔๐๐ หนา้ . ๑. ศรีลังกา-อุษาคเนย.์ ๒. ความสัมพนั ธท์ างการเมอื ง ศาสนา-วฒั นธรรม. I. ชือ่ เรอ่ื ง. 954.93 ISBN 978-616-568-392-0 กองบรรณาธกิ าร : พระครศู รีปัญญาวกิ รม, ผศ.ดร. พระมหาถนอม อานนโฺ ท, ดร. ดร.ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ วนั เพญ็ ปะกนิ ะโม, เอมมิกา โนต๊ สุภา พิสจู นอ์ ักษร : ลังกากมุ าร ออกแบบปก : เอนก เอ้อื การุณวงศ์ ดำ� เนินการจดั พมิ พ์ : สาละพมิ พการ ๙/๖๐๙ ซอยกระทมุ่ ลม้ ๖ ถ.พุทธมณฑลสาย ๔ ต.กระท่มุ ล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร. ๐๘๙-๘๒๙-๘๒๒๒, ๐๖๑-๒๓๒-๕๙๒๘ แฟกซ์ ๐๒-๔๒๙๒๔๕๒

ค�ำนำ� สมัยเตรียมเอกสารเขียนงานวิจัย เรื่อง “การประดิษฐาน พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในอาณาจักรตามพรลิงค์” ซ่ึงได้รับทุน อุดหนุนการวิจัยจากสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลยั ประจ�ำปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ ผู้แปลได้รวบรวม และค้นคว้าหนังสือต�ำราหลายเล่มท้ังไทยและเทศ เพื่อน�ำมาเป็นข้อมูล อ้างอิงงานวิจัยตามเกณฑ์วิชาการ ส�ำหรับหนังสือต�ำราเก่ียวกับ ประวัติศาสตร์ศรีลังกานั้นมีจ�ำนวนมากมายหลายเล่ม นับตั้งแต่คัมภีร์ ชั้นปฐมภูมคิ ัมภรี ์ทุติยภูมิจนถงึ ต�ำราสมยั ใหม่ แต่หนังสือทีผ่ ู้เขียนสนใจ เปน็ กรณีพเิ ศษคือ Sri Lanka and South-East Asia โดย W.M. Sirisena ซ่ึงปรับปรุงมาจากดุษฎีนิพนธ์ชื่อว่า Ceylon and South-East Asia: Political, Religious and Cultural Nations from A.D. c, 1000 to c, 1500 แห่ง The Australian National University เหตุเพราะหนังสือเล่มนี้มี เนื้อหาสอดคล้องกับงานวิจัยที่ผู้แปลก�ำลังท�ำอยู่ประการหน่ึง และอีก ประการหนึ่งมีเนื้อหาเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างศรีลังกากับ ดนิ แดนอษุ าคเนย์ คอ่ นขา้ งลมุ่ ลกึ มากกวา่ หนงั สอื อกี หลายเลม่ ทผี่ า่ นตา ขณะอ่านก็เกิดประเด็นค�ำถามมากมาย โดยเฉพาะหลักฐานท่ีผู้เขียน อ้างอิงเพ่ือสนับสนุนความสมเหตุสมผล ถือว่าเป็นความรู้ใหม่ซ่ึงผู้แปล ไม่เคยร้มู ากอ่ น ท้ังดา้ นประวตั ิศาสตรศ์ าสนา การเมอื ง ประติมากรรม ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม จึงใช้ความเพียรช่วงว่างยามราตรีกาล ถอดแปลจนแลว้ เสรจ็ ตามความประสงค์ แมจ้ ะใชเ้ วลานานขา้ มปีกต็ าม

ครั้นช่วงปิดเทอมปีการศึกษา ๒๕๖๒ พลโลกต้องประสบกับ มหันตภัยไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นไวรัสร้ายแรงจนสามารถท�ำลาย ชีวิตพลโลกได้มากมายมหาศาลไร้ขีดจ�ำกัด แต่ละประเทศจึงต้องออก ข้อก�ำหนดให้ประชากรแห่งตน กักบริเวณภายในท่ีอยู่อาศัยตามระยะ เวลาทท่ี างรฐั บาลกำ� หนด ผแู้ ปลในฐานะพลโลกคนหนงึ่ กต็ อ้ งปฏบิ ตั ติ าม กฎหมายโดยไมม่ ขี อ้ ยกเวน้ ชว่ งนี้เองผแู้ ปลจงึ ถอื โอกาสนำ� เอางานแปล Sri Lanka and South-East Asia ของ W.M. Sirisena มาปรับปรุงแก้ไข สำ� นวนภาษาใหม่ พรอ้ มหาภาพประกอบเพอื่ ใหห้ นงั สอื ดนู า่ สนใจมากขนึ้ แมจ้ ะมเี วลาทำ� งานเตม็ กำ� ลงั กจ็ รงิ แตส่ ขุ ภาพรา่ งกายกไ็ มเ่ ออ้ื อำ� นวยเทา่ ท่ีควร จึงค่อยปรับแก้และตรวจสอบตาม “ยถาสัตติ ยถาพลัง” จน แลว้ เสรจ็ ตามเจตนารมณ์ทกุ ประการ จดุ เดน่ ของหนงั สอื เลม่ นค้ี อื ผเู้ ขยี นเนน้ อา้ งขอ้ มลู ปฐมภมู เิ ปน็ หลกั ท้ังฝ่ายศรีลังกาและวิเทศ อีกทั้งอ้างความคิดเห็นของนักปราชญ์เป็น พ้ืน สำ� หรับประเด็นทมี่ กี ารถกเถียงกันในวงกวา้ ง ผ้เู ขียนกพ็ ยายามหา หลักฐานมายืนยันเพ่ือสรุปประเด็นอย่างสมเหตุสมผล โดยไม่ปล่อยให้ เป็นปัญหาปลายเปิดเพ่ือการตีความต่อไป ลีลาการเขียนคือการแสดง ความเคารพต่อแหล่งข้อมูล แม้หลักฐานบางแห่งจากคัมภีร์ปฐมภูมิ จะไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับหลักฐานปัจจุบันได้ ผู้เขียนก็พยายามชี้ บอกว่าบริบทสมัยน้ันย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบกับยุคใหม่สมัยเราได้ เพราะขดี ความสามารถการรบั รขู้ อ้ มลู กวา้ งขวางแตกตา่ งกนั แตห่ ลกั ฐาน ปฐมภูมิย่อมมีความน่าเช่ือถือเป็นปกติธรรมดา ด้วยเหตุนั้น หาก วิเคราะห์ประเด็นปัญหาของประเทศใด ผู้เขียนมักจะยกย่องหลักฐาน ปฐมภมู หิ รอื ทตุ ยิ ภมู ขิ องประเทศนน้ั เสมอ แลว้ พยายามอา้ งองิ หลกั ฐาน ของนักปราชญ์มายนื ยัน

จุดด้อยของหนังสือเล่มน้ีน่าจะเป็นกรอบของเนื้อหา เหตุเพราะ ผู้เขียนขยายขอบเขตและพื้นท่ีการศึกษาหลายประเทศ กล่าวคือ พม่า ไทย เขมร ลาว มาเลเชีย และเกาะชวาของอินโดนีเชีย นอกจาก ความสัมพันธ์ด้านศาสนาระหว่างศรีลังกากับดินแดนอุษาคเนย์แล้ว ผู้เขียนยังเสริมเร่ืองการเมือง ศิลปกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรมเข้าไปด้วย ย่ิงท�ำให้บริบทของเนื้อหาขยายกว้างออกไป จนขาดความเด่นชัด แต่ถือได้ว่าผู้เขียนทรงความรู้ด้านนี้เป็นอย่างดียิ่ง จะเห็นได้ว่าแม้เน้ือหาจะเชื่อมโยงหลายประเทศตลอดบริเวณอุษาคเนย์ แต่ผู้เขียนก็พยายามย่อสั้นและสรุปประเด็นจนได้สาระอย่างดีเลิศ แม้ บางครัง้ ประเดน็ สำ� คัญจะไม่ครบตามกรอบทีว่ างไว้ก็ตาม หนังสือเล่มนี้ได้รับการอุปถัมภ์จัดพิมพ์โดยคุณประเสริฐ เลิศอัศวลักษณ์ แห่งร้านหนังสือพระไตรปิฎก ศูนย์หนังสือพระพุทธ ศาสนาและห้องสมุด ส�ำหรับภาพจิตกรรมต�ำนานพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราชแหง่ วัดวังตะวนั ตก อ�ำเภอเมืองนครศรธี รรมราช ไดร้ ับ การสงเคราะห์จากคุณมงคลสวัสด์ิ เหลืองวรพันธ์ ผ่านการช่วยเหลือ ของคณุ สมรกั ษ์ เจยี มธรี สกลุ อกี ทอดหนง่ึ สว่ นภาพสถานทส่ี ำ� คญั ภายใน เมืองนครศรีธรรมราช ไดร้ บั ความเอือ้ เฟื้อจาก ดร.สริ กิ ร รตั นศิริณิชกลุ สุดท้ายผู้แปลขอน้อมถวายคุณงามความดีแด่ดวงวิญญาณของ บรู พาจารยช์ าวศรลี งั กาและไทย ผอู้ ทุ ศิ แรงกายเพยี รสรรคส์ รา้ งคณุ ปู การ ความเป็นไทย จนปรากฏเห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัดและงามสง่ากลาย เป็นศิลปะคู่โลกตราบถึงปรตั ยบุ นั (ลังกากมุ าร) วิสาขมาส (เมษายน) ๒๕๖๓



สารบัญ บทที่ ๑ บทนำ� ๓ กล่าวน�ำ ๑๑ หลักฐานอ้างอิง บทท่ี ๒ ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างศรีลังกากับพม่า และกัมพูชา พระเจ้าวิชยั พาหกุ บั พมา่ รามัญ ๔๑ พระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชกบั พมา่ ๔๙ สงครามระหวา่ งศรีลังกากบั พมา่ ๖๔ บทที่ ๓ พระเจ้าจันทรภาณแุ ห่งอาณาจกั รตามพรลงิ ค์ ๘๗ สงครามสยามลงั กาครงั้ ที่ ๑ ๑๐๗ สงครามสยามลงั กาครงั้ ที่ ๒ ๑๑๔ อารยจักรวรัติแหง่ อาณาจกั รจฟั ฟ์นา บทท่ี ๔ ความสัมพนั ธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลงั กากบั พมา่ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งศรีลังกากบั พมา่ ยคุ ตน้ ๑๓๙ สิงหลนิกายในพมา่ รามัญ ๑๕๓ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างศรลี งั กากับอาณาจักรรามัญ ๑๖๗ บทที่ ๕ ความสมั พันธ์ทางศาสนาระหว่างศรลี งั กากบั ไทย และกัมพชู า อิทธพิ ลพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทแบบพกุ าม ๑๙๓

อิทธิพลลัทธลิ ังกาวงศ์เหนือสโุ ขทยั ๒๐๕ อทิ ธิพลลัทธลิ ังกาวงศ์เหนือล้านนา ๒๑๙ บทที่ ๖ การขา้ มกระแสทางสถาปัตยกรรม ๒๕๓ เจดียท์ รงอนิ เดียและลังกา ๒๖๑ เจดยี ์ทรงลงั กาในประเทศไทย ๒๗๐ เปรยี บเทยี บอทิ ธิพลลังกากับสโุ ขทัย ๒๘๙ อิทธิพลเขมรในสถาปตั ยกรรมลงั กา ๓๒๑ บทที่ ๗ อทิ ธพิ ลด้านประติมากรรม ๓๒๘ ศลิ ปกรรมสมัยทวารวด ี ๓๔๐ ศลิ ปกรรมสิงหลสมัยสโุ ขทยั ๓๕๐ คติความเช่อื เก่ยี วกบั พระปางลีลา ศิลปกรรมตระกลู ชา่ งไชยา BIBLIOGRAPHY ประวัติผแู้ ปล





บทนำ� 1

บรรยายภาพ : ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ตำ� นานพระบรมธาตนุ ครศรธี รรมราช วดั วงั ตะวนั ตก เมืองนครศรีธรรมราช

บทท่ี ๑ บทนำ� กล่าวนำ� ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศรลี งั กากบั ดนิ แดนอษุ าคเนยส์ ามารถสบื คน้ ย้อนหลังไปได้ไกล อันเนื่องจากเกาะลังกาต้ังอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร อินเดียและท�ำหน้าที่ควบคุมเส้นทางเข้าออกบริเวณอ่าวเบงกอล ด้วย การค้าทางทะเลซ่ึงทอดยาวระหว่างตะวันออกและตะวันตกจึงเกิดมีโรง เกบ็ สนิ คา้ ตลอดเสน้ ทาง เบอ้ื งตน้ นน้ั เกาะลงั กาตดิ ตอ่ กบั ดนิ แดนอษุ าคเนย์ เพราะการค้าทางทะเล ซง่ึ ดินแดนเหล่านีต้ ้ังอยู่บนเสน้ ทางทะเลระหว่าง จีนและตะวันออก ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๗ การค้าพาณิช นำ� ทางใหศ้ รลี งั กาเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งทางการเมอื งกบั ดนิ แดนอษุ าคเนย์ สมยั พระเจ้าวิชยั พาหุท่ี ๑ และพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ่ี ๑ แหง่ ศรลี งั กา ชี้ ใหเ้ หน็ ถงึ เหตผุ ลหรอื เบอื้ งหลงั ทางการคา้ บรเิ วณมหาสมทุ รอนิ เดยี สมยั นนั้ กษตั รยิ แ์ หง่ อาณาจกั รพกุ ามของพมา่ ตอ้ งการลดทอนอทิ ธพิ ลการคา้ ของพวกทมฬิ โจฬะบรเิ วณคาบสมทุ รมาเลย์ จงึ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ มสี มั พนั ธ์ ไมตรรี ะหวา่ งพระเจา้ วชิ ยั พาหแุ หง่ ลงั กากบั พระเจา้ อโนรธาแหง่ พมา่ และ การคา้ ทางทะเลยงั เปน็ เหตใุ หพ้ ระเจา้ ปรากรมพาหมุ หาราชแหง่ ลงั กายก ทพั เข้ารุกรานพมา่ ดว้ ย การตดิ ตอ่ สมั พนั ธท์ างศาสนากบั ดนิ แดนอษุ าคเนยอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ เกดิ ขึ้นจากการค้าทางทะเล และความสนใจพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท นนั่ เองกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธน์ บั จากพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ เปน็ ตน้ มา ความจริงคือศรีลังการับพระพุทธศาสนาจากอินเดียสมัยพุทธศตวรรษท่ี

4 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ ๓ นบั แตน่ ัน้ พระสงฆ์ผู้เดินทางเขา้ เกาะลงั กาพยายามรกั ษาธรรมเนยี ม อนั เปน็ รปู แบบแทด้ ง้ั เดมิ เอาไว้ สว่ นการพระศาสนาในอนิ เดยี ถน่ิ มาตภุ มู ิ นน้ั พระพทุ ธศาสนาเกดิ การเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ และหลอมรวมเขา้ กับลทั ธิฮนิ ดจู นหมดสิน้ เน่ืองจากการฟนื้ ฟขู องลทั ธิฮนิ ดู ต่อมาการรกุ คืบของมุสลิมได้ท�ำการกวาดล้างฐานท่ีมั่นของพระพุทธศาสนาตามหัว เมอื งน้อยใหญ่ ครัน้ ล่วงเขา้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖ บางอาณาจักรบนดิน แดนอษุ าคเนยต์ อ้ งการฟน้ื ฟพู ระพทุ ธศาสนา จงึ หนั มองมาทางเกาะลงั กา ซ่ึงขณะน้นั รุง่ เรืองงดงามดว้ ยพระพุทธศาสนา นับจากนน้ั เป็นตน้ มาจน กระทง่ั ถงึ การเขา้ มาของโปรตเุ กสคนเถอ่ื น เกาะลงั กาดำ� รงคงสถานภาพ ในฐานะศนู ยก์ ลางสายธารแหง่ พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท และตดิ ตอ่ สมั พันธ์กบั ดินแดนแถบอุษาคเนย์อยา่ งมน่ั คงสืบมาไม่ขาดสาย พระพทุ ธศาสนาน้นั รงุ่ เรืองแพร่หลายดว้ ยศลิ ปกรรม จงึ สง่ ผลตอ่ ดินแดนท่ีพระพุทธศาสนาเผยแผ่ออกไปรวมถึงอุษาคเนย์ด้วย เมื่อเกาะ ลังกาทรงอิทธิพลทางศาสนาต่อดินแดนเหล่านั้น ย่อมเป็นธรรมดาว่า ศิลปะพุทธแบบสิงหลย่อมเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นสถูปเจดีย์ อารามวิหารหรือศาสนสถาน หรือแม้แต่ประติมากรรม ตลอดดินแดน อษุ าคเนยศ์ ลิ ปะพทุ ธแบบสงิ หลทรงอทิ ธพิ ลอยา่ งชดั เจนเดน่ ชดั จงึ ไมต่ อ้ ง สงสยั เลยวา่ สถาปตั ยกรรมสงิ หลจะทรงอทิ ธพิ ลตอ่ ดนิ แดนอษุ าคเนยม์ าก นอ้ ยเพียงไร หนังสือเล่มนี้ต้องการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางการเมืองการ ศาสนาและวฒั นธรรมระหวา่ งศรลี งั กากบั อาณาจกั รบนดนิ แดนอษุ าคเนย์ นับต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๕ จนถึงตอนปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ กล่าวตามหลักฐานความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสองดินแดนเร่ิมต้นจาก

บทนำ� 5 พุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เหตุการณ์สมัยนั้นมีการบันทึกเป็นหลักฐานจนมี การสืบค้นต่อมา แต่ครั้นการเข้ามาของโปรตุเกสประมาณต้นพุทธ ศตวรรษที่ ๒๑ ความสัมพันธ์ระหว่างสองดินแดนต้องหยุดชะงัก สมัยนั้นศรีลังกาได้สูญเสียความส�ำคัญในฐานะศูนย์กลางวัฒนธรรม พระพทุ ธศาสนาแลว้ หลกั ฐานระบวุ า่ หนง่ึ ศตวรรษตอ่ มาอาณาจกั รนอ้ ย ใหญ่บริเวณดินแดนอุษาคเนย์ดังเช่นพม่าและไทย สามารถด�ำรงรักษา พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทอย่างอยู่รอดปลอดภัย จนกลายเป็น ศูนย์กลางการเผยแผ่พระศาสนาโดยส่งสมณทูตไปฟื้นฟูพุทธศาสนา ดนิ แดนอนื่ คำ� ว่า “อุษาคเนย”์ (South-east Asia)๑ หมายถงึ ดินแดนดา้ น ทศิ ตะวนั ตกครอบคลมุ ประเทศพมา่ ไทย กมั พชู า คาบสมทุ รมาเลย์ และ บางเกาะของอนิ โดนเี ซยี ซงึ่ มคี วามสมั พนั ธก์ บั ศรลี งั กาสมยั พทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๖-๒๑ ส่วนประเทศอ่ืนกล่าวคือเวียดนาม ลาว และฟิลิปปินส์ ไม่ได้รวมลงในดินแดนอุษาคเนย์ตามค�ำนิยามของผู้เขียน เหตุเพราะมี ความสัมพันธก์ บั ศรลี ังกาค่อนข้างนอ้ ยหรือไมม่ ีเลย ประเดน็ ลบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศรลี งั กากบั ดนิ แดนอษุ าคเนยน์ น้ั มนี กั วชิ าการใหค้ วามสนใจคอ่ นขา้ งนอ้ ย การเขยี นประวตั ศิ าสตรย์ คุ ใหม่ ของศรีลังกาเน้นกล่าวถึงเฉพาะอิทธิพลอินเดียเหนือประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมเท่าน้ัน โดยละเลยความสัมพันธ์ระหว่างเกาะลังกากับชาว วเิ ทศเหลา่ อื่นนับแตบ่ รรพกาลมา กลา่ วตามความจรงิ เกาะลงั กาใกล้ชดิ กับชมพทู วีปจึงได้รับแรงกระตุ้นจากอนิ เดยี แตเ่ กาะลงั กาในฐานะดำ� รง สถานภาพท่ามกลางมหาสมุทรอินเดีย ย่อมเข้าไปติดต่อกับดินแดนอ่ืน ภายนอกเช่นกัน ประเด็นน้ีมีนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกต

6 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ ไว้๒ โดยแบ่งประวัติศาสตรศ์ รลี งั กาต้ังแตย่ ุคแรกเร่ิมจนถึงชาวยโุ รปเข้า สอู่ นิ เดยี เหนอื และใต้๓ คุณวรรธนะ (R.AL.H. Gunawardana) แสดง เห็นวา่ ๔ ลักษณะเช่นนแ้ี ลเปน็ วธิ ีการสบื สายของผูแ้ ต่งตำ� นานสมัยอดตี ซงึ่ ประสงคเ์ นน้ ยำ�้ เฉพาะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศรลี งั กากบั อนิ เดยี มาตภุ มู ิ เทา่ นนั้ จงึ ละเลยความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งศรลี งั กากบั ชาววเิ ทศเหลา่ อน่ื เสยี หลักฐานดังกล่าวช้ีให้เห็นว่าผู้แต่งต�ำนานเลือกที่จะไม่กล่าวถึงการ เคล่ือนไหวของพระสงฆร์ ะหว่างศรีลังกากับดินแดนอษุ าคเนยเ์ ลย ประเด็นอ่ืนอีกคือมีการกล่าวถึงอิทธิพลอินเดียเหนือดินแดน อุษาคเนย์เกินความเป็นจริง นักวิชาการชาวอินเดียบางคนอ้างว่า อาณาจกั รดงั้ เดมิ บรเิ วณดนิ แดนอษุ าคเนยห์ ลายแหง่ เปน็ อาณานคิ มของ ลัทธิฮินดู (Hindu Colonies) และบริเวณท้ังหมดแถบนี้อยู่ในฐานะ อินเดียใหญ่ (Greater India) นอกจากน้นั ดนิ แดนอุษาคเนยย์ ังได้สญู เสียรากเหง้าวัฒนธรรมแห่งตน เพราะการส่งผ่านวัฒนธรรมอินเดีย สามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมพ้ืนถิ่นหมดสิ้น หนังสือเล่มน้ีพยายาม วเิ คราะหถ์ งึ การสง่ ผา่ นวฒั นธรรมลงั กาตอ่ ดนิ แดนอษุ าคเนย์ โดยเฉพาะ วัฒนธรรมทางพุทธศาสนา อีกด้านหนึ่งดินแดนอุษาคเนย์ก็ส่งอิทธิพล ต่อเกาะลังกาเช่นกนั ความสัมพันธ์ระหว่างศรีลังกากับดินแดนอุษาคเนย์ยังไม่มีนัก วิชาการคนใดเสนอผลงานอันโดดเด่น จึงเห็นสมควรเริ่มต้นจากความ สัมพันธ์ทางการเมืองก่อน นักวิชาการคนแรกคือวิกรมสิงหะ (S. Wickramasinghe) ได้วเิ คราะหร์ ายละเอยี ดคัมภีรจ์ ุลวงศ์ ดว้ ยการ กลา่ วถงึ เหตุการณ์สมยั พระเจ้าปรากรมพาหมุ หาราชยกทพั บุกรกุ พมา่ ๕ อีกสองปีต่อมาวิกรมสิงหะได้ตีพิมพ์เรื่องเดียวกัน พร้อมอ้างอิงความ

บทนำ� 7 สัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับพม่า คาบสมุทรมาเลย์และไทย โดยสงั เขป๖ พุทธศกั ราช ๒๕๐๘ ลซู (G.H. Luce) สนใจหลกั ฐาน อา้ งองิ บางแหง่ ของพมา่ เกย่ี วกบั ศรลี งั กา๗ สำ� หรบั ผรู้ เิ รม่ิ กอ่ นใครอนื่ คอื ปรณวิตานะ (S. Paranavitana) พุทธศักราช ๒๕๐๓ ปรณวติ านะ ได้ตีพิมพบ์ ทความเร่ือง “ศรลี ังกาและมาเลเชยี ยคุ กลาง”๘ ปถี ัดมาได้ตี พิมพ์บทความเรื่อง “อาณาจักรอารยะแห่งศรีลังกาตอนเหนือ”๙ บทความนผี้ เู้ ขยี นสนใจบทบาทของชาวมาเลยบ์ รเิ วณอาณาจกั รจฟั ฟน์ า ตอนเหนอื ตอ่ มาพทุ ธศกั ราช ๒๕๐๖ ปรณวติ านะไดเ้ ปดิ ประเดน็ ปญั หา ความเกี่ยวข้องระหว่างศรีลังกากับมาเลเชียในบทความเรื่อง “การ อภเิ ษกสมรสของเจา้ หญงิ อลุ กฑุ ยะ”๑๐ พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๗ ปรณวติ านะ ได้แสดงปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยซีลอนแห่งเปราเดณิยะ คราวน้ันองค์ ปาฐกได้ชักชวนนิสิตนักศึกษาค้นคว้าเร่ืองราวในจารึกซ่ึงแทรกระหว่าง บรรทัด ต่อมาองคป์ าฐกไดต้ พี ิมพ์ส่วนหนง่ึ ของปาฐกถา๑๑ หนงึ่ ปถี ดั มา ปรณวติ านะไดต้ พี มิ พต์ น้ ฉบบั ศลิ าจารกึ จากอตรุ โุ ปลยาคามะ๑๒ พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๙ ปรณวิตานะได้ตีพิมพ์ต้นฉบับจารึกแทรกระหว่างบรรทัดของ ศิลาจารึกหมายเลข ๒๐ สมัยพระเจ้ามหินทะท่ี ๔ ซ่ึงค้นพบบริเวณ ส�ำนักอภยั คริ ีวิหารพร้อมวิเคราะห์๑๓ และปีเดียวกนั ไดร้ วบรวมเอกสาร เหล่าน้ันแล้วตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า “ศรีลังกากับมาเลเชีย”๑๔ ทั้งหลาย ทั้งปวงนัน้ ปรณวติ านะพยายามชี้ใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พันธ์ใกล้ชิดระหว่าง ศรลี ังกากบั มาเลเชยี หลกั ฐานอา้ งองิ ของศรลี งั กาเกย่ี วกบั กาลงิ คะปรากฏเหน็ นบั ตงั้ แต่ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ เปน็ ตน้ มา แตก่ ลบั ไมพ่ บเหน็ ความคนุ้ เคยของแควน้ กาลงิ คะกบั อนิ เดยี เลย ปรณวติ านะอา้ งวา่ ราชวงศก์ าลงิ คะแหง่ มาเลเซยี ได้ปกครองอาณาจักรโปโฬนนารุวะภายหลังการสวรรคตของพระเจ้า

8 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ ปรากรมพาหมุ หาราช หากยอมรบั แนวความคดิ ของปรณวติ านะแลว้ ไซร้ ตอ้ งยอมรบั วา่ ศรลี งั กาและดนิ แดนอษุ าคเนยม์ คี วามสมั พนั ธก์ นั มายาวนา นกวา่ ทเ่ี คยเชอื่ กนั มา ผเู้ ขยี นหวงั วา่ เมอื่ เปน็ เชน่ นนั้ เหน็ ควรตอ้ งปรบั ปรงุ การเขียนประวตั ศิ าสตรข์ องศรลี ังกาขึ้นใหม่ ปรณวิตานะถือว่าเป็นผู้เปิดประเด็นต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมยุคต้นของศรีลังกามากกว่าคนอื่นใด แต่ต่อมามีคนมา วิเคราะห์ความเห็นของเขาใหม่ พร้อมต้ังข้อสังเกตว่าปรณวิตานะด่วน สรปุ แบบรวบรดั และตคี วามหมายผดิ พลาด เนอ่ื งจากขอ้ มลู มหี ลากหลาย มากกวา่ หลกั ฐานทางวรรณคดกี ส็ ามารถสบื คน้ ไดง้ า่ ยกวา่ อกี ทง้ั ขอ้ มลู จากศลิ าจารกึ ใหมก่ ด็ าษดนื่ มากกวา่ หลกั ฐานเหลา่ นท้ี รงคณุ คา่ มหาศาล เพราะยอ้ นหลงั ไปไกลเฉพาะ ศลิ าจารกึ เปน็ การคน้ พบทยี่ ากสดุ ซง่ึ ทำ� ให้ ทกุ อย่างในโลกยอ้ นไกลไปถึงจารึกโบราณ ปรณวิตานะแสดงความเหน็ วา่ ศลิ าจารกึ เหลา่ นพ้ี บเหน็ จำ� นวนมากทง้ั ศลิ าจารกึ และเสาหนิ ซง่ึ มรี ะยะ เวลาแตกต่างกันและพบแต่ละส่วนที่แตกต่างกัน จารึกขนาดหยาบ แตกตา่ งกนั ดา้ นขนาด ซงึ่ กองรวมกนั กบั จารกึ ระหวา่ งบรรทดั ตามจารกึ ดง้ั เดมิ และเกล่ือนกราดทุกแหง่ จารกึ เหลา่ นเี้ ปน็ ธรรมชาตอิ ย่างหน่งึ ซ่งึ อาจจะมีการเมินเฉย เพราะต่างมุ่งความสนใจศึกษาเฉพาะศิลาจารึก ด้ังเดิม๑๕ ศิลาจารึกแทรกระหว่างบรรทัดเหล่านี้สามารถอ่านได้เพียง ปรณวติ านะเทา่ นน้ั สว่ นนกั วชิ าการเหลา่ อนื่ ตรวจสอบแลว้ แตไ่ มส่ ามารถ สบื คน้ ตวั อกั ษรระหวา่ งบรรทดั ของจารกึ เหลา่ นไ้ี ด๑้ ๖ นกั วชิ าการบางคน ปฏิเสธข้อสรุปของปรณวิตานะในฐานะเป็นฐานคิด ซึ่งปรณวิตานะเอง พยายามสร้างแนวคิดทไี่ ม่สามารถน่าเชอ่ื ถือได๑้ ๗

บทน�ำ 9 บทความเร่อื ง “ราชวงศก์ าลงิ คะแห่งศรลี งั กาและทฤษฎเี ก่ยี วกบั กำ� เนดิ ดนิ แดนอษุ าคเนย”์ ๑๘ พยายามวเิ คราะหก์ ารแปลของปรณวติ านะ เก่ียวกับแหล่งข้อมูลอย่างชัดเจน เพราะปรณวิตานะได้พยายามเสนอ ความเห็นว่านับจากพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ เป็นต้นมา ราชวงศ์กาลิงคะ ไดป้ กครองดนิ แดนอษุ าคเนยแ์ ละบางราชวงศใ์ นศรลี งั กาเชอื่ มโยงสมั พนั ธ์ กนั แตท่ ศั นะเชน่ นไี้ มต่ ง้ั อยบู่ นพนื้ ฐานการเหน็ ดว้ ย การแปลวรรณกรรม ของปรณวติ านะกไ็ มเ่ ปน็ ทย่ี อมรบั การศกึ ษาคน้ ควา้ ครง้ั นต้ี อ้ งการคน้ หา ความจริงเกี่ยวกับการบุกรุกเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุและ พระราชโอรส แตไ่ มม่ หี ลกั ฐานอน่ื ใดยนื ยนั วา่ มกี ษตั รยิ พ์ ระองคใ์ ดจากดนิ แดนอุษาคเนยต์ ้องการครอบครองเกาะลังกา ปัญหาการบุกรุกเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุมีนักวิชาการ สนใจน้อยมาก ยอร์ซ เซเดส์ (George Coedes)๑๙ เป็นนักวิชาการคนแรกที่ พยายามพสิ จู นว์ า่ พระเจา้ จนั ทรภาณเุ ปน็ กษตั รยิ แ์ หง่ เมอื งนครศรธี รรมราช สว่ นกรอม (N.J. Grom)๒๐ และแฟรร์ อง (G. Ferrand)๒๑ เห็นแยง้ ว่า พระเจ้าจนั ทรภาณเุ กย่ี วข้องกบั อาณาจกั รศรวี ชิ ยั นลิ กันตะศาตตรี (Nilakanta Sastri) พยายามตรวจสอบคำ� ถามนีใ้ ห้ชัดเจนมากข้นึ ตาม จารึกภาษาอินเดียตอนใต้๒๒ ปรณวิตานะบอกว่าตนเป็นคนแรกท่ีเห็น ดว้ ยกบั ความคิดของเซเดส์๒๓ ตอ่ มาได้เสนอความเหน็ วา่ พระเจ้าจันทร ภาณอุ าจเปน็ กษตั รยิ ป์ กครองอาณาจกั รศรวี ชิ ยั ๒๔ สดุ ทา้ ยลยิ านคามเก (Liyanagamage) ได้ตรวจสอบรายละเอียดการรุกรานเกาะลังกาของ พระเจ้าจันทรภาณุ แต่ปฏิเสธวิเคราะห์ความเห็นของปรณวิตานะ๒๕

10 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ การศึกษาคร้ังนี้ผู้เขียนพยายามรวบรวมเอกสารทั้งหมด เพื่อยอมรับ แนวคิดอันยุ่งยากของปรณวิตานะรวมถึงรายละเอียดในคัมภีร์ชินกาล มาลีปกรณ์ แล้วพยายามสรุปรายละเอียดการบุกรุกเกาะลังกาของ พระเจ้าจนั ทรภาณเุ ท่าทีเ่ ปน็ ไปได้ เซเดสเ์ ปน็ คนแรกทสี่ นใจคมั ภรี ช์ นิ กาลมาลปี กรณ์ เพราะเปน็ แหลง่ ข้อมูลอ้างถึงความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับไทย ยิ่งกว่า น้ันเซเดส์ยังช้ีให้เห็นถึงความส�ำคัญของจารึกสุโขทัยเพื่อน�ำมาศึกษา ประเดน็ น้ี๒๖ ก่อนพทุ ธศักราช ๒๔๗๕ ปรณวติ านะอาศัยขอ้ มลู ส่วน ใหญม่ าจากผลงานของเซเดส์ ไดเ้ ขยี นบทความเรอ่ื ง “ความสมั พนั ธท์ าง ศาสนาระหว่างศรีลังกาและไทยในพุทธศตวรรษท่ี ๑๗-๑๘”๒๗ นอกจากนัน้ ปรณวิตานะยงั ไดส้ รปุ ยอ่ ความสมั พันธท์ างศาสนาระหว่าง ศรีลังกากับดินแดนอุษาคเนย์ และตีพิมพ์ในหนังสือประวัติศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยแห่งศรีลังกาด้วย๒๘ ส�ำหรับคุณวรรธนะได้อธิบายความ เคล่ือนไหวของพระสงฆ์ระหว่างศรีลังกาพม่าและคาบสมุทรมาเลย์เช่น กนั ๒๙ สำ� หรบั การศกึ ษาครง้ั นี้ ผเู้ ขยี นพยายามลงลกึ ในรายละเอยี ดดา้ น ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสองดนิ แดนใหม้ ากสดุ สว่ นสองบทสดุ ทา้ ยตอ้ งการ กลา่ วถงึ อทิ ธพิ ลดา้ นสถาปตั ยกรรมและประตมิ ากรรมซงึ่ สง่ ผลกนั และกนั โดยเลอื กขอ้ มลู จากผลงานของนกั เขยี นรนุ่ กอ่ น ดงั เชน่ เซเดส์ (Coedes) ดูปองท์ (P. Dupont) เลเมย์ (R. Le May) เบลล์ (H.C. Bell) ปรณวิตานะ (Paranavitana) ดี อันโคนา (M. D' Ancona) กริสเวริลด์ (A.B. Griswold) และนักปราชญ์เหล่าอ่ืน รวมท้ังข้อมูล อ้างอิงในแตล่ ะบทเทา่ ทจ่ี �ำเปน็

บทนำ� 11 หลักฐานอ้างองิ ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อันน่าเชื่อถือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างศรีลังกากับดินแดนอุษาคเนย์มีน้อยนัก หลักฐานที่นัก ประวัติศาสตร์ต้องการก็กระจัดกระจายตามงานเขียนท่ัวไป ผู้แต่งเร่ือง ราวเก่ียวกับศรีลังกาและดินแดนอุษาคเนย์ต่างเคารพบันทึกและเหตุผล ตามที่มีการบันทึกเอาไว้ ด้วยเหตุนั้นผู้ศึกษาประวัติศาสตร์จึงไม่มี หลกั ฐานกลา่ วอา้ งเพยี งพอเพอื่ นำ� มาเปรยี บเทยี บ ขอ้ มลู สำ� หรบั หนงั สอื เลม่ นลี้ ว้ นเปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ดขี องนกั ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรศ์ รลี งั กาและอษุ าคเนย์ และผู้เขียนได้กล่าวถึงนักวิชาการเหล่านั้นบ้างแล้ว จุดประสงค์ของ หนงั สือเลม่ นี้คือพยายามศกึ ษาคุณค่าอนั โดดเด่นจากงานเขยี นเหลา่ นัน้ คัมภีร์มหาวงศ์และคัมภีร์จุลวงศ์เป็นแหล่งอ้างอิงของหนังสือ เลม่ น๓้ี ๐ นกั วชิ าการหลายทา่ นแสดงความเหน็ แยง้ เกยี่ วกบั ความแทจ้ รงิ ของคัมภีร์และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของคัมภีร์สองเล่มนี้ ว่าตาม หลกั ฐานประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ พระมหานามเถระแหง่ สำ� นกั มหา วิหารได้แต่งคัมภีร์มหาวงศ์โดยด�ำเนินตามจารีตประวัติศาสตร์ คัมภีร์ เลม่ นคี้ รอบคลมุ เนอ้ื หานบั จากสมยั ดงั้ เดมิ จนถงึ การสน้ิ สดุ การครองราชย์ ของพระเจ้ามหาเสนะ (พ.ศ.๘๑๗-๘๔๔) ส�ำหรับการเขียนหนังสือ เลม่ น้ถี ือวา่ ได้ข้อมลู เพียงนอ้ ยนดิ จากคัมภีรเ์ ลม่ นี้ สว่ นคมั ภรี จ์ ลุ วงศห์ รอื เนอื้ หาสบื ตอ่ มาจากคมั ภรี ม์ หาวงศ์ ไดบ้ รรจุ ข้อมลู อันเปน็ ประโยชน์จ�ำนวนมาก ไกเกอร์ อา้ งว่าต้งั แตค่ าถาที่ ๕๗ แหง่ บทที่ ๓๗๓๑ จนจบบทที่ ๑๑๙ เปน็ สว่ นแรกของคมั ภรี จ์ ลุ วงศ๓์ ๒ สว่ นวกิ รมสงิ หะแยง้ วา่ สว่ นแรกตามความเหน็ ของไกเกอรน์ นั้ ความจรงิ แล้วประกอบด้วยสองส่วนนิพนธ์โดยนักเขียนสองท่าน๓๓ แล้วอธิบาย อยา่ งละเอยี ดวา่ ไมม่ กี ารแบง่ แยกแตกตา่ งกนั เปน็ สองสว่ น สงั เกตไดจ้ าก

12 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ ภาพวาดเอเชียในสายตาของชาวตะวันตก (คัดลอกภาพจาก www.antiquemaps- fair.com) บริเวณอ่าวเบงกอลในสายตาของชาวตะวันตก (คัดลอกภาพจาก www.antique- maps-fair.com)

บทนำ� 13 เกาะลังกาในสายตาของชาวตะวันตก (คัดลอกภาพจาก www.antiquemaps- fair.com)

14 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ แผนที่ประเทศพม่าในสายตาของชาวตะวันตก (คัดลอกภาพจาก www.antiquemaps -fair.com)

บทน�ำ 15 แผนที่ดินแดนอุษาคเนยใ์ นสายตาของชาวตะวันตก (คดั ลอกภาพจาก www.anti- quemaps-fair.com)

16 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ บทบาทของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช คอ่ นขา้ งแตกต่างจากกษัตรยิ ์ พระองคก์ อ่ น หากถอื เอาตามประเพณี เนอ้ื หาของคมั ภรี จ์ ลุ วงศท์ งั้ หมด นับจากบทที่ ๓๖-๑๒๙ นิพนธ์โดยพระเถระนามว่าธรรมกิตติ ซึ่งมี ชวี ติ อยูส่ มยั พระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) ดว้ ย เหตุน้ันวิกรมสิงหะจึงม่ันใจว่าความจริงน้ันพระธรรมกิตติเถระนิพนธ์ เพียงส่วนสองเท่าน้ัน กล่าวคือประวัติศาสตร์ศรีลังกาช่วงท้ายของ อาณาจกั รอนรุ าธปรุ ะเปน็ ต้นมา ส่วนท่ีสองของคัมภีร์จุลวงศ์อธิบายถึงความสัมพันธ์กับดินแดน อุษาคเนย์ของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ และพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ รายละเอียดเก่ียวกับพระเจ้าวิชัยพาหุค่อนข้างย่อสั้น แต่เรื่องราวของ พระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ มีลักษณะเป็นศูนย์กลางของคัมภีร์ เพราะ ผนู้ พิ นธก์ ลา่ วถงึ พระองคอ์ ยา่ งละเอยี ด๓๔ ยกตวั อยา่ งเชน่ ความสมั พนั ธ์ กับอินเดีย๓๕ แม้ผู้นิพนธ์ไม่ได้ให้รายละเอียดแบบภาพรวม แต่ความ ชัดเจนเห็นได้จากจารึกแห่งอินเดียใต้ ซ่ึงสรรเสริญความโด่งดังของ พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชเหนือราโชบายอันล้มเหลว๓๖ หลักฐาน ถัดมาช้ีให้เห็นว่าผู้นิพนธ์กล่าวถึงข้อมูลเพียงด้านเดียว กรณีพระเจ้า ปรากรมพาหมุ หาราชโปรดใหบ้ กุ รกุ พมา่ แตร่ ายละเอยี ดกส็ นบั สนนุ จารกึ ร่วมสมัยหลายแห่ง คัมภีร์จุลวงศ์ถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลส�ำคัญว่าด้วย การตดิ ตอ่ สมั พนั ธท์ างศาสนาระหวา่ งพมา่ กบั ศรลี งั กา โดยเฉพาะพระเจา้ วิชัยพาหุโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์จากพม่ามาฟื้นฟูพระศาสนาบนเกาะ ลังกา ส่วนเน้ือหาของคัมภีร์จุลวงศ์ช่วงต่อมาวิกรมสิงหะแยกเป็นภาค ๓ ซึ่งประกอบด้วยประวัติศาสตร์ของเกาะลังกานับจากรัชสมัยของ

บทนำ� 17 พระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๒ (พ.ศ.๑๗๒๙-๑๗๓๐) จนถึงสิ้นสุดรัชสมัย ของพระเจา้ ปรากรมพาหทุ ี่ ๕ (พ.ศ.๑๘๘๗-๑๙๐๒) ระยะเวลาและ ผู้แต่งไม่ปรากฏ ลิยนคามเกได้ยืนยันหลักฐานอย่างแน่ชัดว่าแต่งใน รัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๔ (พ.ศ.๑๘๔๕-๑๘๖๙)๓๗ ส�ำหรับหนังสือเล่มน้ียึดถือรายละเอียดการบุกรุกของพระเจ้ามาฆะและ พระเจา้ จันทรภาณุ หากยอมรับระยะเวลาตามความเหน็ ของลยิ านคาม เกเกดงั ระบไุ วใ้ นตำ� นาน เหตกุ ารณน์ นี้ า่ จะไมเ่ ปลยี่ นแปลงไปไกลจากชว่ ง นิพนธ์มากนัก ควรจะยอมรับความจริงแท้ของการบันทึก แต่มิได้ หมายความว่าคัมภีร์จุลวงศ์มีรายละเอียดมากเกิน ความกล้าหาญของ ผู้นิพนธ์คือพรรณนาเกียรติยศของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ มากเกิน จรงิ จนผดิ สงั เกต ดงั ตวั อยา่ งเชน่ รายละเอยี ดเกย่ี วกบั ความปราชยั ของ พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าบางคร้ังผู้บันทึกต�ำนานก็ละเลย เหตุการณ์ส�ำคัญอย่างชัดเจน ลิยานคามเกระบุว่าลักษณะเช่นนี้ถือว่า ท�ำให้ช่ือเสียงของพระองค์เสียหาย ส่วนการยกเว้นกล่าวถึงการบุกรุก ของพวกปัณฑยะยากต่อการวิเคราะห์ เช่ือว่าผู้บันทึกต�ำนานน่าจะให้ ความสนใจการรกุ รานของพระเจ้ามาฆะมากกวา่ ๓๘ คัมภีร์ปูชาวลิยะภาษาสิงหลเป็นอีกคัมภีร์หนึ่งซ่ึงให้ข้อมูลอันทรง คณุ คา่ แมค้ มั ภรี เ์ ลม่ นจี้ ะเขยี นขน้ึ เพอ่ื อธบิ ายคณุ ลกั ษณะของพระอรหนั ต์ ผปู้ ระพฤตดิ งี ามตามพทุ ธวถิ กี ต็ าม แตเ่ นอื้ หาบางสว่ นของบทที่ ๓๔ ได้ อธิบายจุดเด่นทางประวัติศาสตร์ของศรีลังกา จากยุคแรกเร่ิมจนถึงสิ้น สุดแห่งรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๒๓๙ ตอนท้ายสุดของบท สดุ ทา้ ยระบวุ า่ รจนาโดยพระพทุ ธบตุ รเถระแหง่ มยรุ ปาทปรเิ วณะ ตรงกบั ปีที่ ๑๓ แห่งการครองราชย์ของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ หรือ พทุ ธศกั ราช ๑๘๐๙๔๐ รายละเอยี ดเกี่ยวกบั พระเจา้ มาฆะและพระเจ้า

18 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ จันทรภาณุในคัมภีร์เล่มนี้ถือว่าทรงคุณค่ายิ่งนัก เพราะผู้นิพนธ์มีชีวิต รว่ มสมยั สนั นษิ ฐานวา่ ผนู้ พิ นธอ์ าจเหน็ เหตกุ ารณก์ ารบกุ รกุ ทงั้ สองครง้ั ของพระเจา้ จนั ทรภาณุ ตรงกนั ขา้ มกบั กบั คมั ภรี จ์ ลุ วงศซ์ งึ่ ใหร้ ายละเอยี ด ค่อนข้างพร่ามัว คัมภีร์เล่มนี้บรรจุหลักฐานส�ำคัญซ่ึงขาดหายไปใน คมั ภีรจ์ ลุ วงศ์ ตวั อยา่ งเช่น การระบถุ งึ ปีการขนึ้ ครองราชย์ของพระเจา้ ปรากรมพาหุที่ ๒ ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ของพระราชโอรสและพระราช นดั ดาเดนิ ทางเขา้ เมอื งโปโฬนนารวุ ะหลงั จากชนะพระเจา้ จนั ทรภาณแุ ลว้ หลกั ฐานนชี้ ว่ ยใหก้ ำ� หนดระยะเวลาความปราชยั ของพระเจา้ จนั ทรภาณุ ชัดเจนมากขึ้น และยืนยันล�ำดับเหตุการณ์การบุกรุกของพวกปัณฑยะ ชดั เจนเชน่ กัน คมั ภรี ภ์ าษาบาลอี กี เลม่ หนงึ่ ซง่ึ อธบิ ายการบกุ รกุ ของพระเจา้ มาฆะ และพระเจา้ จันทรภาณชุ อื่ วา่ หตั ถวนคัลลวิหารวังสะ๔๑ เป็นที่น่าสงั เกต วา่ คมั ภรี ม์ เี นอื้ หาวา่ ดว้ ยประวตั ศิ าสตรข์ องอารามนามวา่ อตั ตนคลั ลวหิ าร ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่มณฑลตะวันตกของศรีลังกา กล่าวตามคัมภีร์สถานท่ี แห่งน้ีพระเจ้าสิริสังฆโพธิแห่งอาณาจักรอนุราธปุระ ผู้ถูกแย่งชิงราช บลั ลงั กไ์ ดห้ ลบหนรี าชภยั มาประพฤติ ประพฤตวิ ตั รตามแบบพระโพธสิ ตั ว์ พระองค์ได้มอบเศียรแก่ผู้เดินทาง เพื่อรับรางวัลหากวางด้านหน้าพระ พกั ตรข์ องกษตั รยิ พ์ ระองคใ์ หม่๔๒ ระยะเวลาและนามผนู้ พิ นธไ์ มส่ ามารถ ทราบได้ อารัมภกถาน้ันผู้นิพนธ์บอกว่าแต่งขึ้นตามค�ำร้องขอของพระ สังฆราชอโนมทัสสี๔๓ กล่าวตามหลักฐานพระสังฆราชพระองค์นี้เป็น ข้อความในสมภารเจ้าอาวาสวัดอัตตนคลั ลวหิ าร สันนษิ ฐานว่าผู้นพิ นธ์ อาจเปน็ ศษิ ย์ ประวตั ศิ าสตรข์ องอารามแหง่ นก้ี ลา่ วถงึ อยา่ งละเอยี ดจนถงึ รัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ และจบลงด้วยเร่ืองราวพระราช

บทน�ำ 19 กุศลของกษัตริย์พระองค์น้ี จึงสันนิษฐานว่าน่าจะนิพนธ์สมัยกษัตริย์ พระองค์น้ีเป็นแน๔่ ๔ แม้ว่าคนแต่งมิได้มีชีวิตร่วมสมัยกับเหตุการณ์การ บุกรุกของพระเจ้าจันทรภาณุดังกล่าวแล้ว แต่เพื่อประกาศกิตติศัพท์ ราชปู ถมั ภข์ องกษตั รยิ ศ์ รลี งั กา ผรู้ จนาไดพ้ รรณนาพลานภุ าพของศตั รผู ู้ พ่ายแพ้กษัตริย์ลังกาอย่างมากมาย พระเจ้าจันทรภาณุน้ันนักวิชาการ รุ่นหลังเขา้ ใจผดิ หลายประเดน็ เหตุเพราะผลมาจากขอ้ มูลอนั ไม่ชดั เจน ถัดมาเป็นคัมภีร์ภาษาสิงหลช่ือว่าดัมพเดณิ-อัสนะ๔๕ เนื้อหาว่า ดว้ ยเรอ่ื งราวของอาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ เปน็ คมั ภรี เ์ กยี่ วกบั ประวตั ศิ าสตร์ สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ ฉบับย่อสั้น ระยะเวลาและผู้แต่งไม่ สามารถทราบได้ ตอนจบของคัมภีร์เล่มนี้มีการกล่าวถึงพระนามของ พระเจา้ ปรากรมพาหุ พระเจา้ ภวู เนกพาหุ พระเจา้ วธิมริ าชและพระเจา้ ปรากรมพาหุ ในฐานะเปน็ พระราชบดิ าและพระราชโอรสผสู้ บื ราชบลั ลงั ก์ ตามลำ� ดบั ๔๖ แตไ่ มม่ สี ว่ นไหนกลา่ วถงึ กษตั รยิ ส์ ามพระองคส์ ดุ ทา้ ยยกเวน้ พระนามเท่านนั้ โกดกมุ บุระ (C. Kodakumbura) เหน็ วา่ ตรงนีเ้ ป็นการ เสรมิ เขา้ มาโดยผคู้ ดั ลอก๔๗ งานเขยี นภาษาสงิ หลเลม่ นบี้ รรจรุ ายละเอยี ด เก่ียวกับการบุกรุกของพระเจ้าจันทรภาณุ ซ่ึงเป็นกษัตริย์แห่งตมลิงคมุ แตร่ ายละเอยี ดเกนิ จรงิ ทำ� ใหเ้ กดิ ความสงสยั ลยิ านคามเกจงึ เตอื นผอู้ า่ น ให้พจิ ารณาขอ้ มลู ด้วยความระมดั ระวัง๔๘ ส�ำหรับคัมภีร์นิกายสังคหยะถือว่าเป็นประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ในอนิ เดยี และศรีลังกา นบั ตัง้ สมยั พทุ ธกาลจนถึงตอนท้ายพทุ ธศตวรรษ ที่ ๑๙๔๙ คมั ภรี ไ์ ดอ้ า้ งองิ พเิ ศษถงึ ความชวั่ รา้ ยทโ่ี หมกระหนำ�่ พระศาสนา และวธิ กี ารมชี ยั เหนอื ความยงุ่ ยาก ผแู้ ตง่ คมั ภรี เ์ ลม่ นน้ี ามวา่ เทวรกั ขติ ชยั พาหุธรรมกิตติเถระ และนิพนธ์สมัยพระเจ้าภูวเนกพาหุท่ี ๕ (พ.ศ.

20 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ ๑๘๘๔-๑๘๙๔) แหง่ อาณาจกั รคมั โปละ เนอ้ื หาวา่ ดว้ ยประวตั ศิ าสตร์ พระพุทธศาสนาในเกาะลังกาสมัยนั้น การช�ำระคณะสงฆ์ของพระเจ้า วิชัยพาหุพร้อมกับความช่วยเหลือของพม่า ความสัมพันธ์ของพระเจ้า ปรากรมพาหุมหาราชกับพม่า และการบุกรุกของพระเจ้ามาฆะและ พระเจ้าจันทรภาณุ แต่ผู้แต่งไม่ได้ให้ข้อมูลอันทรงคุณค่าจากแหล่งอ่ืน การบันทึกประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอาจหมายถึงความสัมพันธ์กับ พระสงฆ์ต่างประเทศ เพื่อน�ำมาแลกเปลี่ยนกับศรีลังกา แต่ผลเสียคือ คมั ภีรเ์ ล่มน้ีไม่กล่าวถึงแหลง่ ขอ้ มูลอื่น ซึ่งเกีย่ วขอ้ งระหวา่ งศรลี งั กากบั ดนิ แดนอษุ าคเนยห์ ลงั การครองราชยข์ องพระเจ้าวิชยั พาหทุ ่ี ๑ ถัดมาเป็นคัมภีร์ราชาวลิยะ๕๐ ว่าด้วยประวัติศาสตร์ศรีลังกานับ จากปฐมกษตั รยิ จ์ นถงึ สมยั พระเจา้ วมิ ลธรรมสรู ยิ ะท่ี ๒ (พ.ศ.๒๒๓๐- ๒๒๕๐) แหง่ อาณาจักรแคนดี แม้ว่าระยะเวลาและนามผ้แู ต่งไม่เปน็ ที่ รจู้ ัก แต่หากศึกษาจากสารบญั ก็ทราบได้ว่าผู้แตง่ มสี องคน คณุ เสเกระ (B. Gunasekera) สนใจหลกั ฐานอา้ งอิงวา่ “อปเค บุดนุ เค” แปลวา่ พระพทุ ธเจ้าของเรา และ “อปเค สวามวิ ู เยสสุ กรสิ ตุส” แปลวา่ พระ เยซูเจ้าของเรา ซ่ึงทั้งสองชื่อปรากฏเห็นในคัมภีร์ จึงตั้งข้อสังเกตว่า คมั ภีรเ์ ลม่ น้ีเปน็ ผลงานของนกั เขยี นชาวพทุ ธและชาวครสิ ต์๕๑ หากเป็น เชน่ นนั้ จรงิ สว่ นหนง่ึ ของคมั ภรี อ์ าจจะแตง่ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ถดั มานกั เขยี นอีกคนจึงแตง่ ตอ่ สนั นษิ ฐานวา่ อาจจะหลงั จากรชั สมยั ของพระเจ้า วิมลธรรมสูริยะ๕๒ ส่วนหลักฐานอ้างอิงจากดินแดนอุษาคเนย์เล่มแรกคือคัมภีร์ สาสนวงั สะ แตง่ เปน็ ภาษาบาลโี ดยพระสงฆช์ าวพมา่ นามวา่ ปญั ญาสามี ผู้แต่งเป็นพระราชครูของพระเจ้ามินดงแห่งพม่า (พ.ศ.๒๓๙๖-

บทนำ� 21 ๒๔๒๑) หลักฐานระบุว่าพระเถระได้แต่งหนังสือเชิงศาสนาหลายเล่ม ก่อนที่จะรจนาหนังสือสาสนวังสะ๕๓ ตอนท้ายของคัมภีร์ผู้แต่งบอกว่า เขียนต�ำนานตามค�ำร้องขอของพระสงฆ์ศรีลังกาและพม่า คัมภีร์เล่มนี้ แต่งเสร็จตรงกับวันเพ็ญแห่งมิคสารมาสในปี ๑๐๒๓ (แห่งกาลียุค) หมายถึงพุทธศักราช ๒๔๐๔๕๔ เนื้อหาเน้นกล่าวถึงพุทธประวัติและ รายละเอยี ดของการสังคายนาสามครั้ง ส�ำหรบั ข้อมลู เกย่ี วกับพระสมณ ทูตท่ีส่งไปประกาศศาสนาภายหลังการสังคายนาคร้ังท่ี ๓ ถือว่าเป็น หลักฐานทรงคุณค่ายิ่ง เพราะผู้เขียนได้ยืนยันถึงสถานท่ีห้าแห่งบรรดา พระสมณทตู เกา้ สาย เฉพาะสายไปดนิ แดนอษุ าคเนย์ ได้แก่ สวุ รรณภมู ิ โยนก วนวาสี อปรันตะ และมหารฎั ฐะ๕๕ อารมั ภบทของคมั ภรี ์เล่มน้ีผู้ แต่งได้ตั้งประเด็นสนทนาประวัติศาสตร์ศาสนาในอาณาจักรสิงหล สวุ รรณภมู ิ โยนก วนวาสี อปรนั ตะ กศั มรี ะ-คนั ธาระ มหงิ สกะ มหารฏั ฐะ และจนี ะ เนอื้ หาสว่ นใหญก่ ลา่ วถงึ ประวตั ศิ าสตรอ์ ปรนั ตะและพมา่ ซงึ่ เปน็ ดินแดนของผู้เขียนเอง ความรู้ของผู้เขียนด้านประวัติศาสตร์พระพุทธ ศาสนาในอาณาจักรพม่าถือว่าละเอียดชัดเจน เนื้อหาส่วนน้ีท�ำให้ได้ ข้อมูลจ�ำนวนมากด้านการติดต่อทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับพม่า คัมภีร์สาสนวังสะให้หลักฐานอันดียิ่งเก่ียวกับความสัมพันธ์แบบถ้อยที ถ้อยอาศัยกันระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักรในพม่า โดยเฉพาะใน รชั สมัยของพระเจา้ อโนรธา๕๖ ยิ่งกวา่ นั้นคัมภรี ์เลม่ น้ยี ังแจกแจงรายชอ่ื คมั ภีร์ศาสนาท่ยี งั ไม่เปน็ ทีร่ จู้ ักหลายร้อยเล่ม แมค้ ัมภรี ์เลม่ นี้จะเป็นงาน เขยี นภาษาบาลแี บบใหม่ แตแ่ หลง่ ขอ้ มลู ของผเู้ ขยี นเปน็ ขอ้ มลู เกา่ มาก๕๗ สงั เกตไดว้ ่าผ้เู ขยี นพยายามรวบรวมขอ้ มลู จากหลากหลายคัมภีร๕์ ๘ หม่ันนัน ยาสะมินหรือพระราชพงศาวดารฉบับหอแก้วของ กษัตริยพ์ ม่า ซงึ่ เขยี นในพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ ถือวา่ เปน็ งานช้นิ สุดทา้ ย

22 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ เมื่อเปรียบเทียบกับต�ำนานสิงหล พระราชพงศาวดารฉบับนี้เป็นการ รวบรวมจากหลักฐานอันเก่าแก่หลายแห่ง ดังเช่น ต�ำนาน การบนั ทึก และจารึก พุทธศักราช ๒๓๗๒ พระเจ้าบาคยีดอ (พระเจ้าจักกาย แมง-ผเู้ ขยี น) ไดแ้ ตง่ ตงั้ คณะกรรมการนกั ปราชญ์ ประกอบดว้ ยพระสงฆ์ ผูค้ งแก่เรียนพราหมณแ์ ละอ�ำมาตย์ ให้รวบรวมต�ำนานของกษตั ริยพ์ ม่า ชอ่ื ของพระราชพงศาวดารนำ� มาจากพระราชวงั ดา้ นหนา้ พระทนี่ งั่ ซง่ึ เปน็ สถานทรี่ วบรวมพระราชพงศาวดารฉบบั นี้๕๙ บรรดาตำ� นานยคุ ดง้ั เดมิ ที่ เหลา่ นกั ปราชญย์ ดึ ถอื นนั้ ตำ� นานของอคู าลา ( U Kala) ถอื วา่ เปน็ งาน เขียนมาตรฐานจนกระทั่งมีการรวบรวมคัมภีร์หมั่นนัน๖๐ ต�ำนานเล่มนี้ ถือวา่ เป็นงานเขียนช้นั หลังแตง่ สมยั พระเจา้ ทนินกนั เว (พ.ศ.๒๒๕๗- ๒๒๗๖) มีต�ำนานอีกสามฉบับนามว่ามหายาซวิรคยี (ต�ำนานขนาด ใหญ่เน้อื หา ๒๑ ฉบับ) ยซวนิ ลตั (ตำ� นานขนาดกลางเนอ้ื หา ๑๐ ฉบบั ) และยซวนิ โจเก (ตำ� นานขนาดยอ่ สนั้ หนงึ่ ฉบบั )๖๑ อคู าลานนั้ เลอื กขอ้ มลู จากต�ำนานเก่าแก่ รายละเอียดของอารามวิหารและประเพณีท้องถิ่น เหล่าอ่ืน๖๒ แม้จะเดินตามอูคาลาเป็นจ�ำนวนมากก็จริง แต่นักปราชญ์ ผู้แต่งคัมภีร์หมั่นนันก็ไม่เห็นด้วยท้ังหมด จึงพยายามสอดแทรกความ เห็นจ�ำนวนมากพร้อมเสนอความร้ใู หม่เขา้ ไปดว้ ย๖๓ ผู้แต่งคัมภีร์หมั่นนันหลายท่านต่างอ้างอิงข้อมูลจากต�ำนานก่อน นั้น โดยเฉพาะงานเขียนของอูคาลาซ่ึงยอมรับในฐานะเป็นต�ำนาน มาตรฐาน๖๔ ด้วยเหตุว่าคัมภีร์หมั่นนันประกอบด้วยนิทานพื้นบ้านและ ตำ� นาน ซงึ่ รบั รองในฐานะประวตั ศิ าสตร์ รายละเอยี ดของคมั ภรี เ์ หลา่ นนั้ ภายหลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ เป็นต้นมากลายเป็นของจริงแท้๖๕ พระราชพงศาวดารเล่มน้ีมีหลักฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง

บทนำ� 23 ศรีลังกากับพม่า แต่ไม่เอ่ยถึงการบุกรุกพม่าของพระเจ้าปรากรมพาหุ มหาราช สันนิษฐานว่าอาจจะไม่มีกล่าวถึงจากข้อมูลดั้งเดิมซึ่งเป็น ต�ำนานอื่น หรือว่าผู้แต่งต�ำนานอาจคิดว่าประเด็นน้ีไม่มีความส�ำคัญ การละเว้นของผู้แต่งต�ำนานสิงหลและพม่าน่าจะไม่เป็นที่สนใจของผู้ บันทึกประวตั ิศาสตร์ ส�ำหรับคัมภีร์ชินกาลมาลีกรณเ์ ป็นงานเขียนภาษาบาลี แต่งโดย พระรัตนปัญญาเถระทางภาคเหนือของไทย ประมาณพุทธศักราช ๒๐๕๙ ซ่ึงอ้างจากบทสรุปตอนท้ายของคัมภีร์๖๖ เบ้ืองต้นผู้เขียน บรรยายความปรารถนาของพระโพธสิ ัตว์ผจู้ ะมาบังเกิดเป็นพระพทุ ธเจา้ จากน้ันพรรณนาถึงพุทธประวัติจนกระท่ังกาลปรินิพพาน ต่อมาเป็น ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดียและศรีลังกา ตอนท้ายเป็น ประวัติศาสตร์ของชาวพุทธแห่งเกาะลังกา และพรรณนาประวัติศาสตร์ ภาคเหนือของไทย หลักฐานเหล่าน้ีน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งและเป็น ประโยชน์ต่อการศึกษา รายละเอียดเก่ียวกับความสัมพันธ์ทางศาสนา ระหว่างศรีลังกากับไทยกล่าวถึงค่อนข้างละเอียด ถือว่าเป็นหลักฐาน ทรงคุณค่าย่ิงเหตุเพราะหลักฐานฝ่ายสิงหลละเลยเสีย การอัญเชิญ พระพุทธรูปมาจากศรีลังกา และการสถาปนาสิงหลนิกายของพระสงฆ์ ไทย มกี ารบรรยายรายละเอยี ดในตอนทา้ ยสดุ ของคมั ภรี ์ ความเกยี่ วขอ้ ง กับเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุก็มีกล่าวถึงเช่นกันเนื่องจาก ผู้นิพนธ์เป็นพระสงฆ์สังกัดสิงหลนิกาย จึงพยายามน�ำเสนอความ สัมพนั ธใ์ กล้ชดิ ทางศาสนาระหว่างศรลี งั กากบั ไทยเป็นพิเศษ งานเขียนภาษาบาลีอีกเล่มหน่ึงช่ือว่าคัมภีร์สิหิงคนิทานแต่งโดย พระโพธิรังสีเถระ เน้ือหาบรรยายเก่ียวกับประวัติพระพุทธรูปสิงหล ซึ่งอัญเชิญมาไทยในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เชื่อกันว่าคัมภีร์เล่มนี้แต่ง

24 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐๖๗ เรอ่ื งราวของพระพทุ ธรปู องคน์ มี้ กี ลา่ ว ถงึ อยา่ งละเอยี ด แมเ้ คา้ โครงหลกั ของเรอ่ื งจะคลา้ ยคลงึ กบั คมั ภรี ช์ นิ กาล มาลีปกรณ์ก็จริง แต่เมื่อคัมภีร์เล่มน้ีแต่งก่อนจึงเชื่อได้ว่าผู้แต่งคัมภีร์ ชินกาลมาลีปกรณน์ ่าจะใชค้ ัมภรี ์เล่มนเ้ี ปน็ แหล่งอ้างอิง นอกจากขอ้ มลู จากวรรณคดแี ลว้ หลกั ฐานจากโปราณคดกี น็ ำ� มา ใช้ในการศึกษาครั้งนด้ี ้วย จารึกจากศรีลังกาและดินแดนอุษาคเนย์สามารถช่วยยืนยัน สนับสนุน หรอื ตรวจสอบรายละเอยี ดจากตำ� นานและวรรณคดีได้ เริ่มต้นจากจารึกเทวนคละ ซึ่งระบุว่าตรงกับปีที่ ๑๒ แห่งการ ครองราชยข์ องพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช (พ.ศ.๑๖๐๘) กล่าวถึง หลักฐานลงทะเบียนเมื่อกษัตริย์โปรดให้มอบที่ดินแก่เสนาบดีนามว่า กติ นวู รคละ เพราะแสดงความจงรกั ภกั ดดี ว้ ยการยกกองทพั บกุ รกุ พมา่ ๖๘ จารึกน้ีไม่สามารถยืนยันความสอดคล้องกับคัมภีร์จุลวงศ์ก็จริง แต่สามารถกำ� หนดระยะเวลาเหตกุ ารณไ์ ด้ รวมถึงพระนามกษัตรยิ พ์ มา่ ผคู้ รองราชยส์ มยั นนั้ ๖๙ นอกจากนนั้ ยงั สนบั สนนุ ขอ้ มลู บางสว่ นเกย่ี วกบั สงครามระหว่างสองแผ่นดินด้วย ส�ำหรับกษัตริย์แห่งกาลิงคะโปรดให้ สรา้ งศลิ าจารกึ เปน็ จำ� นวนมาก หลายตอ่ หลายหลกั ใหร้ ายละเอยี ดเกย่ี ว กบั เครอื ญาตขิ องราชวงศก์ าลงิ คะ เฉพาะจารกึ ของพระเจา้ นสิ สงั กมลั ละ นนั้ อา้ งถงึ ความสัมพนั ธก์ ับต่างชาติ โดยเฉพาะพม่าและกัมพูชา พรอ้ ม กษัตริย์ผู้ส่งราชทูตไปติดต่อสัมพันธไมตรี ถึงแม้ว่าจะขาดแคลน รายละเอยี ดแตก่ ก็ ลา่ วถงึ ความสมั พนั ธช์ ดั เจน๗๐ เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ ไมม่ ี จารกึ หลกั ไหนของกษตั รยิ ก์ าลงิ คะทสี่ นบั สนนุ กำ� เนดิ ราชวงศก์ าลงิ คะของ ชาวมาเลย์ตามทัศนะของปรณวติ านะเลย

บทน�ำ 25 การบุกรุกเกาะลังกาของชวาอาจจะยังเป็นเร่ืองลึกลับหากไม่มี จารึกวัดหัวเวียงไชยา ๑ จากจารึกหลักนี้เซเดส์ยืนยันถึงพระเจ้า จันทรภาณุซึ่งอ้างในต�ำนานสิงหลว่าเป็นกษัตริย์แห่งคาบสมุทรมาเลย์ การจะเข้าใจเกี่ยวกับการบุกรุกเกาะลังกาของพระเจ้าจันทรภาณุน้ัน จารกึ ปณั ฑยะถอื วา่ มคี ณุ คา่ อยา่ งยง่ิ จารกึ จำ� นวนมากระบรุ ะยะเวลาวา่ ตรงกับสมัยของพระเจ้าชฏาวรมันสุนทรปัณฑยะและพระเจ้าชฏาวรมัน วีรปัณฑยะ ซึ่งเปิดเผยข้อมูลเก่ียวกับการบุกรุกเกาะลังกาของพวก ปณั ฑยะ และพวกปณั ฑยะกบั ผบู้ กุ รกุ ชาวชวา คณุ คา่ ของหลกั ฐานจาก จารึกปัณฑยะสามารถเข้าใจถึงการละเลยของผู้บันทึกต�ำนานชาว ศรลี ังกาได้เปน็ อย่างดี๗๑ จารึกกัลยาณีเป็นแหล่งข้อมูลส�ำคัญมากเก่ียวกับความสัมพันธ์ ทางศาสนาระหว่างศรีลังกากับพม่า๗๒ ซ่ึงจารเป็นภาษาบาลีและภาษา มอญ จารกึ หลกั นโี้ ปรดใหจ้ ารกึ โดยพระเจา้ ธรรมเจดยี แ์ หง่ เมอื งหงสาวดี (พ.ศ.๒๐๑๕-๒๐๓๕) ผู้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเถรวาทตอนท้าย พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ซ่ึงได้รับความช่วยเหลือจากพระสงฆ์ผู้ผ่านการ อุปสมบทจากศรีลังกา จุดประสงค์หลักของจารึกคร้ังนี้คือต้องการบัน ทึกศาสนูปถัมภ์ของกษัตริย์เท่านั้น หลักฐานกล่าวว่าจารึกสร้างข้ึน ประมาณหรือหลัง ๘๔๑ แห่งศักราชของพม่า ตรงกับพุทธศักราช ๒๐๒๒ จารึกเหล่านี้จารบนเสาศิลา ๑๐ แท่ง สามแท่งเป็นภาษา บาลีและนอกนน้ั แปลเป็นภาษามอญ จารึกเหลา่ นถี้ อื วา่ ส�ำคัญย่ิงเพราะ เป็นหลักฐานอ้างอิงอันทรงคุณค่าเก่าแก่ที่สุดเก่ียวกับประวัติศาสตร์ พทุ ธศาสนาในพมา่ ตำ� นานทมี่ ีอยทู่ ้งั หมดถกู เขียนข้นึ หลังพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๒๐ ล้วนใช้จารึกเหล่าน้ีเป็นแหล่งข้อมูล เพราะมีเน้ือหาว่าด้วย

26 ศรีลังกาและอษุ าคเนย์ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในพม่า นับจากพระโสณเถระและพระ อุตตระเถระเข้ามาสู่สุวรรณภูมิ จุดประสงค์จารึกกัลยาณีคือต้องการ อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางศาสนาระหว่างศรีลังกา กบั พมา่ และตอ้ งการบนั ทกึ การฟน้ื ฟพู ระศาสนาดว้ ยความชว่ ยเหลอื ของ พระสงฆ์ที่อุปสมบทจากลังกา นอกจากนั้น จารึกกัลยาณียังบรรจุ รายละเอยี ดเกยี่ วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสองอาณาจกั รนบั แตย่ คุ ดง้ั เดมิ รายละเอียดเกี่ยวกับพระสงฆ์ท่ีพระเจ้าธรรมเจดีย์ส่งไปเกาะลังกาถือว่า ส�ำคัญมากเพราะเปน็ ข้อมลู สมยั เกดิ เหตกุ ารณ์ จารกึ ของไทยกถ็ อื วา่ เปน็ หลกั ฐานสำ� หรบั ศกึ ษาความสมั พนั ธท์ าง ศาสนากับศรีลังกาเช่นกัน โดยเฉพาะจารึกสมัยพระยาลิไทย (พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๑๑) จารกึ ภาษาเขมรแหง่ วดั ปา่ มะมว่ งสโุ ขทยั ระบวุ า่ ตรง กับมหาศักราช ๑๒๖๙ (พ.ศ.๑๘๙๐) ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ พระสงฆ์ศรีลังกาได้รับอาราธนามาสุโขทัยและมีการต้อนรับอย่างยิ่ง ใหญ่๗๓ จารึกภาษาไทยและภาษาบาลีสมัยพระยาลิไทยสอดคล้องกับ จารึกภาษาเขมร๗๔ จารึกไทยอีกหลักหนึ่งระบุศักราช ๑๒๗๙ (พ.ศ.๑๙๐๐) พบท่ีวัดศรีชุมเมืองสุโขทัย กล่าวถึงการอัญเชิญ หน่อพระศรีมหาโพธิ์มาจากศรีลังกา๗๕ จารึกรอยพระพุทธยุคลบาท เป็นภาษาบาลีเขียนด้วยอักษรขอม พบที่วัดบวรนิเวศวิหาร ระบุ พุทธศักราช ๑๙๗๐ (พ.ศ.๑๙๖๙-๑๙๗๐) กล่าวถึงรอย พระพุทธบาทแห่งสุมนกูฏบรรพตบนเกาะลังกาว่ามีการเคารพบูชาใน ประเทศไทย๗๖ ปูชนียสถานและประติมากรรมจากศรีลังกาและดินแดน อุษาคเนย์ก็มีส่วนส�ำคัญเช่นกัน การศึกษาเปรียบเทียบศิลปะและ สถาปัตยกรรมของศรีลังกาและดินแดนอุษาคเนย์ก็ชี้ว่าต่างทรงอิทธิกัน และกนั มายาวนาน

บทน�ำ 27 (บนซ้าย) คัมภีร์หัตถวนคัลลวิหารวังสะฉบับถอดแปลภาษาสิงหล (บนขวา) คัมภีร์ อตั ตนคลุวังสะฉบับถอดเปน็ ภาษาบาลีอกั ษรโรมัน รูปปั้นพระเจ้าสิริสังฆโพธิ ภายในวัดอัตตนคัลลวิหาร เขตกัมปหะ มณฑลตะวันตก (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/maps)

28 ศรีลงั กาและอุษาคเนย์ (บนซ้าย) คัมภีร์ราชาวลิยะฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ (บนขวา) คัมภีร์ปูชาวลิยะฉบับ ภาษาสงิ หล บรเิ วณวัดวิชัยสุนทราราม เมืองเก่าดัมพเดณิยะ (คัดลอกภาพจาก www.google.co.th/ maps)

บทนำ� 29 (บนซ้าย) คัมภีร์ศาสนวงศ์ฉบับแปลเป็นภาษาไทย (บนขวา) คัมภีร์ศาสนวงศ์ฉบับแปล เปน็ ภาษาพม่า รูปปั้นพระเจ้ามินดุง เมืองเก่ามัณฑเลย์ ประเทศพม่า (คัดลอกภาพจาก www.google. co.th/maps)

30 ศรลี งั กาและอุษาคเนย์ พระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี (คดั ลอกภาพจาก www.google.co.th/maps) (ล่างซ้าย) จารึกกัลยาณีฉบับแปลเป็นภาษาไทย (ล่างขวา) จารึกกัลยาณีฉบับถอดเป็น ภาษาบาลอี ักษรโรมัน

บทนำ� 31 เชิงอรรถ ๑ ดนิ แดนอษุ าคเนย์หรอื เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ มีการนำ� มาใช้ระหวา่ ง สงครามโลกครง้ั ที่ ๒ ประกอบดว้ ยพมา่ ไทย กมั พชู า ลาว เวยี ดนาม ท้ังสอง มาเลเชีย สิงคโปร์ สาธารณรัฐฟิลิปินส์ และสาธารณรัฐ อินโดนีเชีย บรูไนและติมอร์ see Dobby, Southeast Asia, 7th ed. (London, 1960), p.17; D.G.E. Hall, Atlas of South-east Asia (London, 1964), introduction, pp.62-63. ๒ G.C. Mendis, The Early History of Ceylon, 2nd nd ed. (Calcutta, 1935). ๓ Anuradhapura Yugaya, ed. A. Liyanagamage and R.A.L.H. Gunawardana (Vidyalankara University Press, 1961) pp.xxvi ff. ๔ R.A.L.H. Gunawardana, ‘Ceylon and Malaysia: A Study of Professor S. Paranavitana’s research on relations between the two regions’, UCR, Vol. XXV, Nos. 1 and 2 (1967), p. 3. ๕ Sirima Wickramasinghe, ‘The Age of Parakramabahu I’, Ph.D. Thesis (University of London, 1958, unpublished), pp.202 ff. ๖ Sirima Wickramasinghe, ‘Ceylon’s Relations with South-east Asia, with special reference to Burma’, CJHSS, Vol. III, no.1 (1960), pp.38-58. ข้าพเจ้าขอขอบคุณสิริมา วิกรมสิงหะ เพราะ บทความน้ีกระตุ้นให้ขา้ พเจา้ เลอื กท่จี ะศกึ ษาประเดน็ นี้ ๗ G.H Luce, ‘Some Old References to the South of Burma and Ceylon’, Felicitation Volume of South-east Asian presented to Prince Dhaninivat (Bangkok, 1965), pp. 269-82.

32 ศรลี ังกาและอุษาคเนย์ ๘ S. Paranavitana, ‘Ceylon and Malaysia in Mediaeval Times’, JCBRAS, NS, Vol. VII (1960), pp. 1-43. ๙ S. Paranavitana, ‘The Arya Kingdom in North Ceylon’, JCBRAS, NS. Vol. VII (1961), pp. 174-224. ๑๐ S. Paranavitana, ‘Princes Ulakudaya’s Wedding’, UCR, Vol. XXI (1963), pp. 103-43. ๑๑ S. Paranavitana, ‘Linguistic Studies in Ceylon and Sri Vijaya’, TUCLS (1964), pp. 79-100. ๑๒ EZ, Vol. v (1965), pp. 440-43. ๑๓ S. Paranavitana, ‘Ceylon and Sri Vijaya’, Essays offered to G.H. Luce, Vol. I (1966), pp. 205-12. ๑๔ S. Paranavitana, Ceylon and Malaysia (Colombo, 1966). The following paper of Paravitana also deal with the same subject, ‘Newly Discovered Historical Documents Relating to Ceylon, India, and South-East Asia’, Buddhist Yearly (Buddhist Centre, Halle, 1967), pp. 26-58. ๑๕ S. Paranavitana, Buddhist Yearly, (1967), p. 26. ๑๖ K. Indrapala ‘Review of Ceylon and Malaysia by S. Paranavitana’, JCBRAS, NS, Vol. XI (1967), pp. 105-6; R.A.L.H. Gunawardana, ‘Ceylon and Malaysia; A Study of Professor S. Paranavitana’s Research on the Relation between the two Regions’, UCR, Vol. XXV, Nos. 1 and 2 (1967), pp. 6-11; Sirima Kiribanmune, ‘Some reflections on Professor Paranavitana’s contribution to History’, The Ceylon Journal of the Humanities, Vol. I, No. I (1970), pp. 87-90.

บทน�ำ 33 ๑๗ K. A. Nilakanta Sastri, ‘Ceylon and Sri Vijaya’, JCBRAS, NS, Vol. VIII, pt. I (1962), pp. 125-40; K. Indrapala, JCBRAS, NS, Vol. XI (1967) pp. 101-6; Gunawardana, UCR, Vol. XXV, Nos. I & 2 (1967), pp. 1-64; Sirima Kiribamune, The Ceylon Journal of the Humanities, Vol. I, (1970), pp. 87-90. ๑๘ CJHSS, NS, Vol. I, No. I (1971), pp. 151-71. ๑๙ G. Coedes, ‘Le royaume de Crivijaya’, BEFEO, Vol. XVIII, (1918), pp.1-36; Coedes, ‘A propos de la chute du royaume de Crivijaya’, BKI, Vol. LXXXIII (1927), pp.456-72. ๒๐ N.J. Krom, ‘De Ondergang van Criwijaya’, Med. Kon. Akad. Van Wetenschappen Afd. Letterkunde, Vol. LXII (1926), pp.151-71. ๒๑ G Ferrand, ‘L’ empire Sumatranais de Crivijaya’, JA., Vol.XX (1922), pp.1-104, 161-246. ๒๒ Nilakanta Sastri, ‘The Ceylon Ecpedition of Jatavarman Vira Pandya’, 8th All. Ind. Ori. Conf. (1937), pp.508-25; Nilakanta Sastri, ‘Srivijaya, Candrabhanu and Vira Pandya’, TBG, Vol. LXXVII (1937), pp.251-58. ๒๓ UHC., Vol.I, pt.2, pp.622 ff. ๒๔ S. Paranavitana, Ceylon and Malaysia, pp.74 ff. ๒๕ Liyanagamage, The Decline of Polonnaruwa and the Rise of Dambaneniya, (Colombo, 1968), pp.133ff. ๒๖ Codes, ‘Documents sur la dynasite de Sukhodaya’, BEFEO, Vol. XVII (1917), pp.1-47; Coedes, ‘Documents sur l’histoire politique et religieuse du Laos Occidental’, BEFEO, Vol. XXV (1924), pp.1ff.

34 ศรีลงั กาและอษุ าคเนย์ ๒๗ S. Paranavitana, ‘Religious Intercourse Between Ceylon and Siam in the 13th-15th Centuries.’ JCBRAS, Vol.XXXII, no.85 (1932), pp.190-213. ๒๘ UHC., Vol.I, pts. 1&2 (Colombo, 1960). ๒๙ R.A.L.H. Gunawardana, ‘The History of the Buddhist Sangha in Ceylon from the reign of Sena I to the invasion of Magha, A.D. 833-1215’, Ph.D. Thesis (University of London, 1965, unpublished). ๓๐ Geiger, The Dipavamsa and the Mahavamsa (Colombo, 1908); Geiger, ‘The Trustworthiness of the Mahavamsa’ IHO, Vol.VII, pp.205-28; Mv, ed. Geiger (P.T.S., 1908); Cv., Vols. I&II (P.T.S. 1925 and 1927); Mv, Eng, Tr. Geiger (P.T.S., 1912); Reprint (Colombo, 1950); Cv., 2 pts, Eng. Tr. Geiger (Colombo, 1953); Sirima Wickramasinghe, ‘The Age of Parakramabahu I’, Ph.D. Thesis (University of London, 1958, unpublished), chap. On sources; UHC, Vol.I, p.1, pp.51-53; L.S. Perera, ‘The Pali Chronicle of Ceylon’, Historians of India, Pakistan and Ceylon, ed. C.H. Philips (London’ 1961), pp.29-43. ๓๑ นี้เป็นบทแรกแห่งการเรียบเรียงอันเป็นมาตรฐานแห่งคัมภีร์จุลวงศ์ ส่วนบทกอ่ นน้ันเรียกวา่ คัมภรี ์มหาวงศ์ ๓๒ Cv, Vol. I, introduction, pp. ii-iii. ๓๓ Sirima Wickramasinghe, ‘The Age of Parakramabahu I’, chapter on sources. ๓๔ Cv, tr.pt.1, introduction, pp.iv ff.

บทน�ำ 35 ๓๕ Cv, LXXVI, 76-334; LXXVII, 1-106; Nilakanta Sastri, ‘Parakramabahu and South India’, The Polonnaruwa Period, CHJ, Vol.IV, pp.33-51; UHC. Vol.I, pt.2, p.482; Cv., tr. Pt. II, p.100. note 1. ๓๖ Nilakanta Sastri, The Polonnaruva Period, p.33. ๓๗ Liyanagamage, op.cit., pp. 7-8. ๓๘ Ibid., pp.9 ff. ๓๙ Pjv., ed. Suraweera (Colombo, 1961). ๔๐ Ibid., pp.141 and 144. ๔๑ Hvv, ed. C.E. Godakumbura (P.T.S., 1956) ๔๒ Ibid. ๔๓ Ibid., chap.1, v.3. ๔๔ Ibid., p.xi; Liyanagamage, op.cit., pp.16 ff. ๔๕ Kuveni, Sihala saha Dambadeni-asna, ed. Gnanavimala (Colombo, 1960). ๔๖ Ibid., p.39. ๔๗ C. Godakumbura, Sinhalese Literaure (Colombo, 1955), p. 110. ๔๘ Liyanagamage, op.cit., pp.27-28. ๔๙ Nikayasamgrahaya, ed. Samaranayake (Colombo, 1966). ๕๐ Rjv., ed. Watuvatte Pemananda (Colombo, 1959), เป็นงานเขียน ภาษาสงิ หล

36 ศรลี งั กาและอษุ าคเนย์ ๕๑ Rjv., ed. B. Gunasekera (Colombo, 1953), Introduction. ๕๒ Sirima Wickramasinghe, The Polonnaruva Period, p.171. ๕๓ Sv., ed. M. Bode (P.T.S., 1897). ๕๔ Sv., Eng tr. B.C. Law, p.172. ๕๕ พระปญั ญาสามเี ถระถอดแปลศพั ทโ์ ยนกวา่ กมั โพชะ เขมวระ หรภิ ญุ ชะ และอยุธยา ศัพท์วนาวสีว่าสิริเขตตะหรือแปรทางพม่าตอนล่าง ศัพท์อปรันตะว่าแคว้นมรัมมะแห่งพม่าตอนกลาง ศัพท์มหารัฏฐะ วา่ เป็นแควน้ ใกลส้ ยามแห่งไทย และศัพท์สวุ รรณภมู ิวา่ แควนั รมั มันนะ หรือพมา่ ตอนล่าง แต่ไม่มีหลกั ฐานพิสูจนว์ า่ แควน้ เหล่านม้ี ีจรงิ หรือไม่ ยกเว้นสุวรรณภูมิซ่ึงรู้กันว่าหมายถึงดินแดนอุษาคนย์ Sv., tr. Law, p.xvi notes 1-4, p.xvii, note 2. ๕๖ Sv., tr. B.C. Law, p.xi; Sv., ed, C.S. Upasak, p.xxx. ๕๗ บรรดาหลักฐานอ้างอิงเหล่าน้ันคือ พระไตรปิฎก อรรถกถา ต�ำนานสิงหล จารึกกัลยาณี ต�ำนานพม่า และประเพณีเชิง ประวัตศิ าสตร์ ๕๘ C.S. Upasak, Sv., p.xxx. ๕๙ The Glass Palace Chronicle of the Kings of Burma, tr. Luce and Tin, p.ix. ๖๐ U Tet Htoot, ‘The Nature of the Burmese Chronicles’, Historians of South East Asia, ed. D.G.E. Hall (London, 1916, reprint 1963), p.54. ๖๑ Ibid., p.52. ๖๒ U Tet Htoot op.cit., p.52-53. ๖๓ Ibid., p.54; The Glass Palace Chronicle of the Kings of Burma, p.ix.

บทนำ� 37 ๖๔ M. Htin Aung, A History of Burma, (New York, 1967), p.342. ๖๕ Ibid., p.343. ๖๖ Jinakalamali, ed. A.P. Buddhadatta (P.T.S., 1962), pp.128-29. ๖๗ Sihinga-Buddharupanidana, tr. Camille Nottom under the tiltle P’re Buddha Sihinga (1933) p.v. ๖๘ EZ, Vol.III, no.34, pp.312 ff. ๖๙ Ibid., pp.317 ff. ๗๐ หลักฐานอ้างอิงจารึกเหล่าน้ีจะกล่าวถึงในโครงสร้างหลักของหนังสือ เล่มน้ี ๗๑ Nilakanta Sastri, ‘Srivijaya, Candrabhanu and Vira Pandya’, loc.cit.; ‘The Ceylon Expedition of Jatavarman Vira Pandya’, loc.cit. ๗๒ Kalyani Inscriptions, IA, Vol.XXII (1893), pp.11-17; 29-53; 85-9; 150-9; 206-13; 236-43. ๗๓ Coedes, ‘Documents sur la dynastie de Sukhodaya’, BEFEO, Vol. XVII, pp.1-24; Recueil des inscriptions du Siam, Vol.I, no.IV, pp.91-102. ๗๔ Coedes, BEFEO, Vol.XVII, pp.25-32; Recueil des inscriptions du Siam, Vol.I, nos. V and VI, pp.103-16. ๗๕ Fournerau, Le Siam ancient, Vol.II, pp.10-29; Coedes, Recueil des inscriptions du Siam, Vol.I, no.III, pp.77-90. ๗๖ Coedes, Recueil des inscriptions du Siam, Vol.I (1924), no.XII, pp.123-130.

38 ศรีลังกาและอุษาคเนย์