Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือบัณฑิตธรรม

หนังสือบัณฑิตธรรม

Description: หนังสือบัณฑิตธรรม

Search

Read the Text Version

ตามท่ีพระพุทธองค์ทางแสดงไว้ว่า “สติยับย้ังพญามาร” Mindfulness stop the Mara (much more powerful than the “Idea” “concept” invented as satan) หรือ อวชิ ชาปัจจยา สังขารา ในพระอภธิ รรม หรอื ปฏิจจสมปุ บาท เพราะอวชิ ชามารเป็นส่งิ ปรุง ไม่ว่าดี ชว่ั กลาง (กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อพั ยากตา ธมั มา) ท่ีสรรพสัตวโ์ ลก (Worldly Beings) แต่ยอดพรหมถึงก้นนรก คือปุถุชนติดอยู่เป็นหลงเกิด ตาย ทุกข์โง่พร้อมไม่รู้จัก สน้ิ สดุ สรุป เมือ่ อรยิ พทุ ธสติ เกิด หลง คือ สังขารคดิ ปรงุ สมมุตอิ าศยั กาย ใจ หลง ขันธห์ ้า หลง จิตมืดดว้ ย อวชิ ชา ดบั ภพหลง “ตน” หลงดบั คอื Center of Universe (อะไรๆ ก็มา ลงท่ีนี้ ตน ego ท้ังนั้น ดับสิ้นเชิง กรรม อยากตั้งใจยึดม่ันท้ังส้ินดับเด็ดขาด จบเร่ืองเรา โลก ทุกข์จบปัญญาโลกไปที ถ้าพุทธสติยังไม่เกิดท่ีจิต จิตธาตุเหมือนคล่ืนว่ิงบนผิวน้�ำ มหาสมุทร ใตฟ้ ้ามืดกม็ ืดอยอู่ ยา่ งนนั้ ยังไมอ่ อกมาสแู่ สงอาทติ ย์ อรยิ มรรคธรรม (สติ) ก็ยงั ไมส่ ว่าง คลนื่ ไมใ่ ส ไมเ่ ห็นตนเอง ไมเ่ หน็ น�ำ้ มหาสมุทร อันไมใ่ ชอ่ าการหรือ พระนิพพาน 199

อภิชฌา-โทมนสั  (อกศุ ล) อภชิ ฌา คอื เพง่ เลง็ เอาสง่ิ ไมใ่ ช่ของตนมาเปน็ ของตน โทมนัส คือ เศรา้ โศกเสยี ใจเมื่อไม่ไดห้ รือพลาดส่งิ เพง่ เลง็ อันไมใ่ ช่ของตน เปน็ ลกั ษณะ จิตใจของสัตว์โลกแต่ยอดพรหมลงไปจดก้นขุมนรก เพราะจิตอยู่ใต้อ�ำนาจมืดคืออวิชชาธาตุ Blind force universal ไม่ได้ถึงพุทธธรรม โลกุตตรธรรม สติปัฏฐาน ถ้าเจริญสติปัฏฐาน ไดผ้ ลดี ความเห็นผิดวา่ คนเราในขนั ธห์ า้ ดบั ได้เหน็ ธรรมดา ธรรมสภาพธรรมทั้งปวง ธรรม เป็นธรรม ขันธ์ห้า ความเห็นเก่าท้ังหมดดับพร้อมทุกข์จริงดับ อุปาทานขันธ์ห้าเป็นตน อภชิ ฌา โทมนัส กด็ บั พรอ้ มเพราะแจ้งธรรมดา กาย ใจ ชวี ติ ขันธ์หา้ ได้ยิน ฟงั นึก ตาม สภาพจรงิ ไม่ใช่ของคงทีด่ ว้ ย ไมใ่ ช่ของตนดว้ ย รวมทง้ั ตาย เมอ่ื ทิง้ ตายได้ ก็ทิง้ เกดิ ได้ เม่ือ ทิ้งเกิดตายขนั ธห์ า้ ได้ กท็ งั้ ภพ คือไดย้ ิน หลง (โมหะ) self world delusion space Time ได้ยิน หลง เสีย คดิ นกึ ปัจจบุ ัน หลง ทุกข์ เปน็ โลกหลง ภว ภพ ขนั ธ์ห้าหลง (Existence of world I as true) ไดท้ ง้ั หมด คือ อวิชชา ภพ ดบั ทุกขเ์ พราะหลง อปุ าทานขนั ธ์ ดับ พร้อม หลวงปู่ขาว อนาลโยว่า “อะไรไม่ใช่ของเรา อย่าไปเอามา” รวมทั้งตายของขันธ์ห้า ดว้ ย หลวงพ่อลี ธัมมธโร วดั อโศการาม ปากน�ำ้ วา่ “ตัวของเราแท้ๆ ไม่มอี ะไรเลย” ไมม่ ี สงั ขาร ไมม่ ีเกิด ตาย ไมม่ ีทกุ ข์เป็นวสิ ังขารธรรม (พน้ สมมุติ) พระพทุ ธองค์ทรงกล่าว “ภิกษุ เธอพึงวางกงั วลขันธห์ า้ เสีย” “ระเบดิ ขนั ธ์ห้าได้” ท่านพระอาจารย์แหวน สุจิณโณ วา่ เหมือน เป่าเมฆออกจากบงั อาทิตย์ จิตจางปาง 200

ภาวนาเม็กซิโก เฉพาะอย่างย่ิงพระพทุ ธพจน์ “ธรรมย่อสดุ ของพระพุทธเจ้า” ทกุ ข์เทา่ นั้นเกิดขึน้ ทุกขเ์ ท่านน้ั ดบั ไป อวิชชาเท่าน้ันเกิดขนึ้ อวชิ ชาเท่านน้ั ดับไป โงเ่ ทา่ น้ันเกดิ ขึน้ โง่เท่านนั้ ดับไป หลงเท่านัน้ เกดิ ขน้ึ หลงเทา่ นนั้ ดบั ไป จิตละ่ ซี จะมอี ะไรหลง กจ็ ิตละ่ ซี จิตพน้ มืดแลว้ หรอื ยงั จติ หลุดพ้นจากกิเลสได้หรอื ยงั ท่เี ขาเรยี กว่าโลก โลก (Space, distance) ระยะทาง อย่างเวลาเราดหู นงั นะนี่ ระยะทาง กรุงเทพฯ - ปารสี เหมอื นดูหนงั ไมม่ ีระยะทางหรอก มันก็ปบ๊ึ ป๊ึบไป คอื มนั ฉายออกมาจาก จิต ภาพ ภาพคือผลของการฉาย ฉะนั้นสภาพโลก อนจิ จา สังขาร มนั เปล่ยี นทกุ ศนู ย์วนิ าที อย่างโยมมาน่ังอยู่นี่ ขันธ์ ๕ ที่นั่งจดนั่งเขียนอยู่น่ี มันก็เปล่ียนอยู่นะ อย่างที่เขาฉายหนัง จะเอาตัวจริงๆ มันนะ มันไม่มี ตัวอย่างมีนักปราชญ์ชาวกรีกโบราณแกบอกว่าคนยิงลูกศร ไปถูกเสาน่ะไม่ได้คือยิงถูกเสาไม่ได้คือหมายความว่าลูกศรท่ียิงไป ภาวะของลูกศรก็เปลี่ยน ไปเรอ่ื ยๆ กว่าจะถงึ เสาตวั เสาก็เปล่ียนอยู่ กวา่ ลูกศรจะวิง่ มาถึง มนั ละเอยี ดนะ จิตถกู อวชิ ชาธาตบุ ัง มนั ก็เลยฉายหนงั ไม่มีจบ ก็คอื ปฏิจจสมปุ บาท อนโุ ลม ปฏิโลม อวิชชาเป็นปัจจัยใหเ้ กิดสังขาร ความหลงเป็น โลก ภพ เรา เขา มันก็หายไปหมด ถ้าพจิ ารณาอนุโลม ปฏโิ ลม ทีเ่ รยี กเป็นสตั ว์โลกทกุ ชนดิ ตั้งแต่ยอดพรหม จนสุดก้นนรก เป็นจิตมืด เหมือนคลื่นในมหาสมุทรท่ีวิ่งไปภายใต้ blind force อยากตะบันฆ่ากินกันเหมือนปลาในทะเลในมหาสมุทร ว่ายกันไปกินกันไป จิตไม่ถึง แสงสว่าง ไม่ถึงพุทธธรรม เวียนว่ายตายเกิด ตราบใดที่อวิชชาไม่ถูกท�ำลาย จิตก็มืดอยู่ อยา่ งนั้น นอี่ รยิ สจั ท่ี ๑ ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ท่านทรงร้แู จ้ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านร้แู จ้ง โลกนี้ จะพน้ โงม่ ันกย็ าก การจะได้เกดิ เป็นคนนยี่ ากทส่ี ุด 201

คนทเ่ี รม่ิ ตน้ คดิ ออกจากวฏั สงสารไดน้ ย่ี ากมากเพราะเทา่ กบั เหน็ ทกุ ขใ์ นการเกดิ กเ็ ทา่ กบั การสร้างบารมี เพราะการท่ีจะได้เกิดมาเป็นคนนี่น้อยนัก ยากมาก แล้วเป็นคนแล้วจะเอา คนชนดิ ไหน คนมบี ญุ คนล�ำบาก คนพิการง่อยเปล้ยี จะหาคนสบายมกี ี่คน ถา้ เทียบจำ� นวน ท้ังหมด อยา่ งเดรจั ฉานน่ีมนั กินกนั เอง กัดกนั เองอยา่ งดูในป่าซิ ไล่กินกันอยนู่ นั่ ส่วนไอ้คนบา้ ก็ฆ่ากันเอง กระดูกของแต่ละคนน้ี ท่านว่ากองเท่าภูเขา น้�ำตาและเลือดของแต่ละคน แตล่ ะชีวิตทผี่ า่ นมานม้ี ากกวา่ นำ้� ในมหาสมุทร ดซู ิ มนั ยาวนานแคไ่ หน การจะเกิดเป็นคนนั้นมันยากมาก ยากอย่างที่ท่านเปรียบว่า เต่าตาบอด มันจะว่าย เข้าฝ่งั แตท่ ่ีทะเลมตี าข่ายก้ันอยู่ มรี เู ท่าตวั เตา่ อยูร่ เู ดยี ว หัวไปโดนตาขา่ ยก็จมลงอกี ๑๐๐ ปี โผล่มาใหม่ คือจะทะลุตาข่ายกั้นมหาสมุทร มันต้องฟลุ๊คท่ีสุดที่จะลอดช่องตาข่ายได้ แตอ่ ยา่ งนนั้ โอกาสกย็ งั ง่ายกว่าโอกาสจะไดเ้ กิดมาเปน็ คน และเปน็ คนท่ีพบพระพทุ ธศาสนา มนั ยาก ไม่พน้ วัฏสงสารไปได้ ทกุ ขน์ พ่ี ระพุทธเจ้าทงั้ หลายทรงเห็นแล้ว ทุกขน์ แ่ี ท้ ทุกข์นี่จรงิ คือทุกข์ที่เกิดจากโง่น่ีส�ำคัญท่ีสุด น่ีคือทุกข์ท่ีแท้จริง มันคนละเร่ืองกับทุกข์ที่ชาวบ้านคิด พระพุทธเจ้าทรงรแู้ จง้ วา่ ทกุ ขแ์ ท้ คอื อุปาทานขนั ธ์ คำ� วา่ กาลกัปหนง่ึ นานเท่าใด ท่านเปรียบวา่ พดู ถงึ ภเู ขาหมิ าลยั คอื จากแผ่นดินเตอร์กี ใหญ่ถึงเหนือทางเชียงใหม่ เกิดจากแผ่นดินเดิมของเอเชียมันเขยื้อน เดิมอินเดียเป็นเกาะ แผ่นดินมันเปล่ียนแปลงรูปร่างอินเดียเหมือนเกาะรูปคล้ายสามเหลี่ยม ทีนี้แผ่นดินเขยื้อน ขึ้นไปกระแทกพื้นแผ่นดินเอเชียก็เกิดระเบิดเป็นแนวยาวเป็นภูเขาหิมาลัย ทีน้ีเปรียบว่า นกน้อยๆ ตัวเล็กๆ บินเฉี่ยวภูเขาหิมาลัย ปีกมันเฉี่ยวโดนภูเขาแล้วก็ร้อยปี มันบินมาเฉ่ียว ทีหนงึ่ จนกวา่ หินนนั้ จะเรียบลง ยงั ไม่ได้เส้ยี วหนึ่งเลย เหมอื นจำ� นวน ๑ กำ� ลัง ๙๙๙๙๙๙๙๙๙ (ยกก�ำลงั ๙) บางกัปไม่ปรากฏพระพุทธเจา้ แล้วบางกปั ก็มีพระพทุ ธเจ้ามาตรสั รู้ ๑ พระองค์ บ้าง ๒ พระองค์บ้าง ๓ พระองค์บ้าง แต่กัปน้ีเป็นพิเศษสุดมีพระพุทธเจ้ามาตรัสถึง ๕ พระองค์ (จากตำ� นานเดิมวา่ มีพน่ี ้อง ๕ คนแบ่งดอกบวั กนั ) จากนไ้ี ปก็ยังมีพระศรอี าริย- เมตไตรยมาอีกพระองค์หนึ่ง ในคัมภีร์เดิมในเถรวาทไม่มีพูดมากเหมือนทางมหายาน ปรากฏว่า นางวิสาขาถวายจีวรท่ีทออย่างดีสีน้�ำตาลเพลิง เมื่อคลี่ออกงามเหมือนแสงไฟ 202

เนื้อละเอียดมาก เอาไปถวายพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ทรงรับ ก็ไปถวายพระอรหันต์อาวุโส ทา่ นกไ็ ม่รับลงมาเปน็ แถว (ทา่ นพิจารณาแล้ววา่ ต้องมเี หต)ุ แล้วทนี มี้ ีพระภิกษุบวชใหม่นง่ั อยู่ ปลายแถวองค์หนึ่ง พระบวชใหม่น้ันรับผ้าจีวรน้ัน นางวิสาขาร้องไห้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อยา่ ร้องไห้เลย นี้เป็นบญุ ใหญ่นะ พระองคน์ ้ีสำ� คัญนะ คืออย่างพระโพธิสัตวน์ ี่ แมจ้ ะบวชจน มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าแล้วก็ตาม ก็ยังไม่บรรลุธรรม ต้องรอส�ำเร็จได้ด้วยตนเอง จะ ไมต่ ้องสำ� เร็จดว้ ยการเรียนจากพระพุทธเจ้า คือต้องหมดพุทธกาลกอ่ น น่คี อื หลงั พ.ศ. ๕๐๐๐ ไปแลว้ อกี ยาวนาน มนุษยร์ นุ่ ใหมเ่ กดิ ขน้ึ มนุษย์พนั ธใ์ุ หม่อายุ ๑๐ ขวบ น้อยลงๆ น้อยลงขนาดน้ันแล้วฆ่ากัน ฉลาดแต่รุนแรง ก็ต�่ำลงๆ จนแย่ขนาดน้ัน แลว้ เกิดคนดรี ุน่ ใหม่ อายคุ ่อยยืนขึ้นจาก ๑๐ ปีทลี ะนอ้ ยๆ จนถึงมีคนอายุ ๕๐,๐๐๐ (หา้ หม่นื ป)ี ถึงจะแก่ตาย ถึงเวลาน้ันจะปรากฏพระศรีอาริยเมตไตรยอายุคนวงเวียนอายุระหว่างมนุษย์ มี ๕๐,๐๐๐ ปี (หา้ หม่ืน) กับตอนนีอ้ ายุ ๑๐๐ ปี (รอ้ ยปี) ยคุ นี้ยคุ ของพระโคดม นับวา่ มนษุ ย์ อายุสั้นที่สุด แต่ถึงว่าพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมจะมีช่วงอายุสั้น แต่ท่านมีพระไตรปิฎก (พระพุทธเจ้าบางองค์ไม่ได้ส่ังให้ท�ำ) พระศาสนาของพระองค์ท่านย่ังยืน อายุพระศาสนา ๕,๐๐๐ ปี นี่ก็ พ.ศ. ๒๕๔๒ แล้วเป็นยุคท่ีรุ่งโรจน์ พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปจนในโลก ตะวันตกไปในเมืองฝรั่งพระพุทธศาสนาแผ่เข้าไปยุโรป เมืองฝรั่ง ทุกเมืองเพิ่มมากกว่า ๓ ล้าน ๕ แสนทีน่ ับถือพระพทุ ธศาสนา เฉพาะในเวลาราว ๑๐ กว่าปหี ลังนี้ หรือ พ.ศ. ๒๕๓๐ ถงึ พ.ศ. ๒๕๔๒ ทีน้ีพระพุทธเจ้าบางพระองค์ถึงแม้ท่านจะมีพระชนม์ยืนนานหลายหมื่นปีแต่ท่านอยู่ ในปา่ ป่าลึกน่ากลวั ผ้คู นก็ไมเ่ ข้าไปถงึ เว้นแต่ผมู้ บี ญุ อยา่ งหลวงปู่ม่นั น่ี ท่านกช็ อบอยใู่ นปา่ ทีน้ีผู้คนก็เข้าไปไม่ถึงในป่า พวกลูกศิษย์ก็จ�ำนวนน้อย พอลูกศิษย์หมดไปส้ินไปก็หมดเลย พระพุทธเจ้าบางพระองค์เวลาท่านปรินิพพานก็ไม่มีการรวบรวมพระไตรปิฎกก็เลยศาสนา อย่ไู มน่ าน แต่ว่าองค์พระพทุ ธเจา้ พระองคป์ จั จบุ ันแม้จะมีพระชนม์ ๘๐ พรรษา แตว่ า่ มเี หตุ ส�ำคัญคอื 203

๑. ทรงประกาศพระศาสนาแล้ว ทรงแบง่ เวลาอยใู่ นเมอื ง ๒. ทรงมีลูกศิษยล์ กู หา พระเณร จ�ำนวนมาก ทำ� ให้ทรงมกี �ำลงั มาก ๓. เวลาเสด็จปรินิพพาน ก็มีพระอรหันต์รวบรวมค�ำสอนไว้ครบถ้วน อันเน่ืองมาแต่ เหตุทพี่ ระอานนท์ทลู ขอสัญญา ทลู ขอพรวา่ ไมว่ ่าพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมสอนใคร ทไี่ หน เรือ่ งอะไร ขอไดโ้ ปรดนำ� มาเลา่ ใหพ้ ระอานนทท์ ราบทกุ เร่ืองทุกตอน และท่านก็จดจ�ำไว้อย่าง ละเอียดแม่นยำ� ฉะนั้นการท�ำสังคายนาครั้งท่ี ๑ ก็เอาค�ำสอนมาท่องกันใหม่ สมัยนั้นไม่มีการจดใช้ ท่องจ�ำกัน สติปัญญาท่านเหล่านั้นล้วนพิเศษสุด ใช้เวลาจ�ำ ๖ เดือน ท่ีท่องได้ ๖ เดือน ก็เพราะท่านล้วนเป็นพระอรหันต์ มีปัญญาช้ันสูง เดี๋ยวน้ีนะจะสวดพระธรรมจักรฯ ก็จะแย่ กันแล้ว ยังเห็นมีแต่ตามวัดป่า พระป่าเท่าน้ันที่ยังรักษาและสวดกันได้ ท้ังๆ ที่สมัยน้ีมี พระไตรปฎิ กพมิ พ์สวยงามเป็นเล่มๆ เขาก็เอาพระไตรปิฎกมาใส่ตูก้ ันเตม็ ตเู้ ลยโยม ส�ำคญั นะ ไมม่ ีศาสนาใดท่ีเอาเฉพาะคำ� สอนแท้ๆ พดู ถงึ จ�ำนวนนะ คณุ ภาพ น้นั ไมต่ ้องพูด ยกไวเ้ ลยละ พดู ถึงคำ� สอนแท้ๆ แล้ว พระไตรปิฎกมีมากที่สุด 204

205

เสียงธรรมจากบรสั เซลส์ เบลเยียม ถอดเทปโดย พลเดช ผลบญุ ข้ึนต้นให้ดีๆ หลับตา น่ังตัวตรงๆ หลังตรงๆ ให้มีสติอยู่กับตัว ดูลมหายใจเข้าออก ดูเฉยๆ ไม่ต้องคิดอะไร เหมือนกับดูรถว่ิงตามถนน ดูไป เห็นไป รู้ไป ว่าลมหายใจเดินไป ทางไหน เดนิ ไปทางไหนกเ็ หน็ รู้ๆ ไม่ตอ้ งไปคิด ดูลม เหน็ ลม เหน็ กไ็ ว ไดย้ นิ ก็ไว เกดิ เดยี๋ วนั้น นั่นเรียกว่า วิญญาณ คือธรรมชาติรู้ มันไม่มีอยู่หรอก มันเป็นอยู่อย่างน้ัน เรียกอนัตตา ไม่ไดเ้ ป็นตวั ตนหรอก แต่เปน็ ธรรมชาติ หา้ มไมไ่ ดห้ รอก ไม่ใชก่ อ้ นหินนี่ กระทบหมู นั กไ็ ดย้ นิ กระทบตามนั กเ็ ห็นป๊บุ กระทบใจ กร็ ู้ปั๊บ มันคอื จิต ไวท่สี ุด ได้ยินเปล่ียนไปเร่ือยๆ ได้เห็นเปล่ียนไปเรื่อยๆ ได้นึกคิดเปลี่ยนไปเร่ือยๆ มันห้ามกัน ไม่ได้ อนตั ตาไม่ไดเ้ ป็นตวั ตนของใครหรอก เหน็ ธรรมดา ได้ยนิ ธรรมดา ร้ธู รรมดา เห็นธรรมดา เหน็ ธรรม รู้ธรรม มนั ก็หายโงซ่ ิ ถา้ หไู ม่หนวกมนั กไ็ ด้ยนิ นะซิ กเ็ ท่าน้ัน ปุ๊บไปๆ จะไปยดึ ไปจบั อะไรได้เลา่ ไดย้ ิน นกึ คดิ รสู้ กึ หนาว รอ้ น สขุ ทกุ ข์ คดิ โน่น คิดน่ี แปบ๊ เดียวไปแล้ว คดิ ดกี ็ตาม คิดไมด่ ีกต็ าม พระเวลาสวดงานศพ กุสะลา ธัมมา อกุสะลา ธัมมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆ ก็ธรรมดา ก็เหมือนฝ่ายวัตถุ มีไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆ ท่ัวจักรวาลก็ เท่านั้นเอง ร่างกาย วัตถุ คดิ นกึ รู้ มันก็เปลยี่ นไปเรอ่ื ยๆ เปลยี่ นไปทกุ ศนู ย์วนิ าที พระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลายเรียกว่า ขันธ์ ๕ คอื กายใจทง้ั หมด กายเรยี กวา่ รูป หนาว รอ้ น ทุกข์ สขุ เรียกว่า เวทนา นึกนั่น นึกน่ี รู้น่ี หลงภาพเรียกว่าสัญญา ท่ีคนเราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะตัวน้ี 206

หมายรู้ทุกชนิด สัญญาอดีต สัญญาปัจจุบัน สัญญาอนาคตเป็นตัวละเอียด สังขาร ความ เปล่ียนแปลงทางร่างกาย ค�ำพูดนึกคิดมันเปล่ียนไปไม่มีหยุดหรอก กายสังขาร มโนสังขาร คดิ บญุ คดิ บาปมันเป็นอยู่เรอื่ ยๆ เหมอื นไฟฟา้ บวกไฟฟ้าลบ วญิ ญาณกระทบหู กระทบตาเหน็ กระทบตานกึ ตาหูจมกู ลิน้ กายใจ มันกระทบอยเู่ รอ่ื ย มันก็เปน็ อยา่ งน้นั เกิด รู้ ดับ กเ็ รียก วิญญาณ พระพทุ ธเจ้าท้งั หลายในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต รู้อนั น้แี หละ เปน็ ของไม่เที่ยง เปน็ ของธรรมดา เรียกว่าอนัตตา สัพเพ ธัมมา อนตั ตา เทียบวิทยาศาสตร์อะไร ก็ energy กห็ มดเรื่องกันเทา่ นัน้ แหละ ถ้าเห็นแจ้งแทงตลอดธรรมทั้งหมด อะไรก็เป็นธรรมะ ธรรมดา รู้ธรรมชาติ แจ้งใน ธรรมชาติหรือธรรมะ มันก็สบาย ความเห็นอย่างอ่ืนมันก็ดับไปพร้อมกันน้ัน ความเห็นผิด มันดบั ทกุ ขก์ ด็ บั พร้อม ก็สบายขึน้ ตามธรรมดา ไมต่ อ้ งมหัศจรรย์อะไรหรอก มันเป็นธรรมชาติ ถงึ จะรู้วา่ ไฟ ไม่ไปจับมันมันก็ไมร่ ้อน ถ้าไม่รู้มันกจ็ บั อย่อู ยา่ งน้นั ถา้ รูธ้ รรม เห็นธรรม มันกห็ ายโง่ พน้ ทุกขพ์ อแลว้ หายใจเข้า หายใจออกทีกธ็ รรมดา ไดย้ ินก็ธรรมดา ได้เหน็ กธ็ รรมดา รู้สึกนกึ คดิ กธ็ รรมดา ธรรมดาทัง้ นัน้ เป็นวญิ ญาณทีเ่ กดิ ขน้ึ ทกุ ขณะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตตรธรรม เห็นก็ได้แต่เห็น วางไปไม่ยึดถือดับความยึดจึง จะไปรอดด้วยสติตัวสติแท้ๆ เป็นโลกุตตรธรรมเป็นธรรมพ้นโลก ตัวโลกุตตรธรรมเหมือน ไฟฟ้าแลบ แปลบเดยี วมันกเ็ หน็ หมดแลว้ แลบหนเดยี วไม่แลบมาก เจริญสติหนทางเดียวไปรอด เห็นได้ยินก็สักแต่รู้ ไม่ไปถามไปตอบอะไร ไม่ได้สมมุติ เปน็ เปน็ เราเป็นเขา เช่นไดย้ ิน ไม่ได้เปน็ ภาษาอะไร ไมใ่ ชว่ ่าฉันได้ยิน ไดย้ นิ ของฉนั ฉันไดย้ ิน พระเจา้ ไม่มีศาสนาพทุ ธเป็น fact ไมใ่ ช่ fiction เสยี งถูกหู ได้ยินป๊บั นี่เป็น fact มันเปล่ียน ไปเร่ือยๆ แต่ก็เป็น fact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็ เหมอื นกนั ไม่ต้องไปหยดุ วญิ ญาณดับไปๆ หยุดไม่ไดไ้ วมาก โลกสมมุตสิ ่ิงใดไม่ใช่ของเรา ไมใ่ ช่ 207

เรา ไม่ไปเอา ไม่ไปเอามาสักอยา่ ง มนั ก็ไมม่ ีเรอ่ื งนะซิ ไม่มเี รอื่ งมันก็สบาย จิตกส็ บาย ไม่มี สงสยั แลว้ เหมอื นอย่างกินขา้ วอ่มิ แลว้ จะไปสงสัยทำ� ไมวา่ กินแลว้ หรอื ยงั กนิ หรอื เปลา่ กนิ กบั อะไร ไมต่ อ้ งไปคดิ แลว้ สำ� เรจ็ แล้วนีจ่ ะไปสงสยั อะไร ถ้ายงั สงสัยอย่มู นั จะพ้นไปไดอ้ ยา่ งไร จุดหมายปลายทางคือท�ำความโง่ (อวิชชา) ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเร่ือง ที่จะมาสงสัยอีกแลว้ มีใครชอบให้ถูกด่าว่าไอ้โง่มีไหม ไม่มีจุดหมายปลายทางมันก็แจ๋ว สงสัยไม่มีมันก็ ถูกตอ้ งนี่มุง่ ไปอนั นัน้ เรียกวา่ บารมี ไมว่ ่าจะเปน็ ทำ� ทาน รักษาศีลใหถ้ ึงที่ส้นิ ทกุ ข์ พ้นโง่ บรรลุ ธรรม ถา้ ไมเ่ อาจรงิ ไมเ่ ปน็ พระพุทธเจา้ กข็ อเป็นสาวกกไ็ ด้ คนไทยในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นเจ้าขุนมูลนายชาวไร่ชาวนา เขาก็งั้นๆ แหละ เวลา อธษิ ฐานกจ็ ะมุง่ อธิษฐานขอให้ถึงพระนิพพาน ขอถงึ พระพทุ ธ เกดิ ในสมยั พระศรีอารยิ ์เทอญ เช่นน้ีเรียกว่าบารมีที่จะส�ำเร็จธรรมได้ต้องอาศัยอันนี้ สร้างบุญสร้างบารมีมาพอสมควร แคไ่ หน ถา้ มนั พร้อมแล้ว ก็เปน็ ดอกบัวบานซิ เช่นสมัยพุทธกาล ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ยังไม่ทันบวชเลยก็ส�ำเร็จไปแล้ว ท่ี ส�ำเร็จน่ังแป๊บๆ ก็ส�ำเร็จ เหมือนไฟช็อตเหมือนสายฟ้าแลบตอนกลางคืนแลบแป๊บเดียว คนเห็นกันหมด จะอยู่เมืองไหนก็ตาม เช่นบรัสเซลส์ก็เห็นกันหมดถึงไฟจะดับหลังจากน้ัน มันก็ไม่สงสยั หรอก พวกมีปัญญาเห็นธรรม ร้ธู รรมแล้ว มนั ไมม่ ีทจ่ี ะกลบั ไปสงสัยแล้ว จิตมันโง่สกั อย่างกเ็ ปน็ อยา่ งนั้นท่ีหายมดื มนั กห็ มดปญั หา ปญั หาโลก ปญั หาสัตว์ จติ พ้นโง่เป็นโลกุตตรจิต จิตพุทโธ จิตที่ต่ืนแล้วเหมือนเราตื่นจากฝันในเวลาเช้ามันเป็นคนละ ธรรมชาติสภาพตื่น เหมือนมองไปในทะเล น�้ำ คล่ืน คล่ืนท่ีเกิดดับ คือ relativity อาศัย cause condition น�้ำไม่มีอาการคลื่น เป็นของจริงอยู่ในตัว น่ีธรรมะมันรวมอยู่ในตัว ฝร่ัง บอกแปลไมไ่ ด้ คำ� รวมทง้ั หมดอริยสจั ๔ นพิ พาน สภาพจิตพ้นโง่ พ้นหลง นิพพาน ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ หลงทง้ั น้ัน คอื ไมเ่ ป็นพทุ ธสติ จติ ถงึ พทุ ธธรรม ตง้ั แต่ โสดาบันขน้ึ ไปช่ือว่า โลกุตตรจิต จิตพน้ โลกคืออรยิ สงฆ์ ถ้าบวชเปน็ พระเขาเรยี กว่าสมมุตสิ งฆ์ 208

ยังไมส่ �ำเร็จธรรม ยงั เป็นปถุ ชุ นเวียนว่ายไป ถ้าไม่ดกี ล็ งนรกกเ็ ทา่ น้นั ทำ� ใจใหส้ บาย หายใจ ให้สบาย แผส่ ่วนกุศลใหบ้ ดิ ามารดา การภาวนาเป็นกุศลสูงสุด เป็นกุศลชั้นเย่ียม ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิเป็นบุญช้ันเยี่ยม ยงิ่ กว่าทานและย่งิ กว่าศลี พระพทุ ธเจา้ เรียกอริยทรพั ย์ แจกเทา่ ไหรไ่ มห่ มด นึกแผ่ไป (send good will to all) ต้ังแต่ยอดพรหมโลกกว้างขวางแคไ่ หนไปจนถึงก้นนรก ชีวิตมีค่าทุกวัน ท�ำน้อยได้น้อย ท�ำมากได้มาก สติน่ีท�ำได้ทุกระยะ รู้น่ีสติพร้อมไม่มี ทุกข์ เปน็ บุญพร้อม เปน็ ปัญญาพรอ้ ม จติ ผ่องใส จติ กา้ วหนา้ พรอ้ ม จะไปมปี ัญหาในชีวิตได้ อย่างไร ไม่ตอ้ งถามวา่ จะอยูไ่ ปท�ำไมทุกวนั ๆ ก็มนั แจม่ แจ้งแล้วน่ี จติ อยูใ่ นพุทธธรรม อยใู่ น แสงสว่าง จิตมุ่งสู่นิพพานธรรม อะไรมันไม่สูงไปกว่านี้หรอก มีน้อยคนท่ีจะถึง ก็เป็นเรื่อง ธรรมดาของดีมีไม่มาก หาเพชรจะหาง่ายเป็นทะนานไม่มี หาคนดีหาไม่ค่อยได้ จะหาแบบ หลวงปู่มน่ั หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว จะไปหาที่ไหนในโลก พวกเราท่ีได้มาน่ังปฏิบัติธรรมเช่นน้ีถือว่าโชคดีแล้วนะ เพราะการปฏิบัติธรรมหยุด มาต้ังแต่สมัยพระพุทธเจ้าล่วงไปแล้วราว ๖๐๐ ปี เม่ือพระพุทธศาสนามาสู่ลังกาแล้ว ใน ๒๐๐ ปีแรกยังพอมพี ระอรหนั ตอ์ ยบู่ ้าง แต่วา่ เกิดสงครามใหญใ่ นลังกา ระหว่างสิงหล ทมฬิ (พุทธกับพราหมณ์) บ้านเมืองแตกสาแหรกขาด พระต้องหนีไปอยู่ป่า ตรงนี้ต้องถือว่าเป็น ความดีของพระลังกา ถึงแม้เขาจะไม่ได้ภาวนามาก็ตามเถอะ ยังอุตส่าห์ท่องพระไตรปิฎก (แต่ก่อนไม่ได้เขียนไว้) เป็นภาษาบาลี อุตส่าห์ไปท่องในป่า เมื่อบ้านเมืองเป็นปกติแล้วจึงมี การสงั คายนา ซ่ึงเปน็ คร้งั ท่ี ๔ ในลังกา กล็ งความเหน็ กันวา่ ในคร้งั น้ีพทุ ธศาสนาอาจจะสญู ไปเลย เพราะฉะน้ันเราต้องรวบรวมค�ำสอน จารึกเอาไว้ เพราะในขณะนั้นมีการจารึก ตัวหนังสือแล้ว จารึกค�ำสอนภาษาบาลีในแผ่นใบลาน นับตั้งแต่น้ันก็เลยสนใจเรียนแต่ ตวั หนังสอื การปฏิบตั ภิ าวนาก็เลยไม่มี เมอื่ พระพทุ ธศาสนาแผจ่ ากลังกามาในมอญ ในเขมร และจนมาถึงไทย เลยเชื่อกันว่าคนสมัยนี้ไม่มีบุญเสียแล้วที่จะเจริญโลกุตตรมรรคผลให้ เกดิ ขน้ึ ได้ ก็เลยไมค่ ิดท่จี ะท�ำกัน จนกระท่งั มาถึงยคุ ของเราตง้ั แตส่ มยั ร.๕ เป็นตน้ มาจนถงึ 209

ร.๙ หลวงปู่ม่ันจึงบังเกิดขึ้น ตั้งใจท�ำจริงๆ รักษาศีล โดยเฉพาะวินัยโดยเคร่งครัด ศีลเป็น พ้นื ฐานของสมาธิ สตเิ ป็นพน้ื ฐานของปัญญา แล้วกข็ องเกา่ ก็พรอ้ ม จงึ สำ� เรจ็ ขน้ึ มาได้ ในยุคเดียวกันของพม่าก็มีมหาสียาดอ รุ่นเดียวกัน คนนี้ทีแรกก็เป็นชาวนา ทีแรก ไม่สนใจพุทธ อะไรยังไม่ถึงเวลามันก็ยังไม่เป็นหรอก สนใจไปวัดไปวาก็ไม่ไป พอถึงเวลา วันหนึ่งคุยกับเมียว่าลองไปดูสักทีว่าเป็นอย่างไร ก็ไปฟังเทศน์ ดูเหมือนจะเรื่องสติปัฏฐาน อันเดยี วพอเลย กลบั มาบ้านก็พจิ ารณาแตส่ ติ ตัวกระทบ ผัสสะ กระทบตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ เดีย๋ วนด้ี ตู ัวนนั้ ได้ยินเด๋ยี วน้ี รเู้ ดีย๋ วน้ี กระทบตวั กระทบส�ำคญั มาก เหลอื บเห็นกระทบตา อยากแล้วได้ยนิ กระทบดตู วั น้ี ธรรมชาติของตวั กระทบรู้ กระทบรู้สึก สติดูตัวเกิดดับ สำ� เรจ็ เปน็ โสดาบนั นับต้ังแตเ่ ป็นชาวนากเ็ ลยบวชภาวนาไปเรอื่ ยๆ พระ ๒ องค์นีม้ าค้ำ� จนุ ศาสนาไว้ ถงึ ไดม้ กี ารตนื่ ภาวนากนั ขึน้ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งใน ประเทศไทย ภาคอสี านโดยเฉพาะมพี ระป่ามากมาย (ถึงจะทำ� ได้ผลบา้ ง ไม่ไดผ้ ลบ้างก็ตาม) ไม่ต่�ำกว่า ๔๐,๐๐๐ รูป ที่พุทธศาสนาเจริญในเมืองฝรั่งก็เพราะพระพวกน้ี โดยเฉพาะ อย่างย่ิงหลวงพ่ออาจารย์ชา ทางฝ่ายพม่าก็มีมหาสียาดอ ข่าวนี้แพร่หลายไป ก็พอดีเป็นยุค ที่ฝร่ังที่เขามีเบื้องหลังพื้นฐานเก่ามาเกิด เกิดสนใจไปเมืองไทยศึกษาอ่านเล่าเรียนภาษาบาลี บวชไปเลยเป็นพระป่า เข้าป่าเข้าดงในเมืองไทยไปเลยไม่กลัว ก็เลยแผ่ไปในแดนตะวันตก เกือบหมดทุกแหง่ แล้ว ไมน่ า่ เช่อื แม้แต่สเปน อิตาลี แดนคาทอลกิ แม้แต่เมก็ ซโิ ก โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเยอรมัน นักปราชญ์เยอรมันชูเป็นเฮาเออร์ โอเดนแบร์ก เป็นผู้น�ำศาสนาสู่แดน เยอรมัน โดยการแปลภาษาบาลีออกมาร้อยกว่าปีแล้ว เดี๋ยวนี้พุทธเยอรมันนี่เป็นฝร่ัง ประมาณส่หี มืน่ แลว้ ในชว่ งเวลาไม่กีป่ ี คร้งั สุดทา้ ยมาส�ำรวจอีก ฝร่งั ตกใจวา่ มพี ุทธเกอื บตัง้ ครง่ึ ลา้ น ทำ� บญุ สุนทานแลว้ กอ็ ธษิ ฐานขอให้ถงึ นิพพานเทอญ น่พี วกดอกบวั พน้ น้�ำ พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาเพราะอะไร ท่านส�ำเร็จวิชชาสาม เรียกว่าได้ (super) แสงสวา่ ง ๓ อยา่ ง อย่างที่ ๑ เห็นอดีต อยา่ งที่ ๒ เหน็ อนาคต วิชชาที่ ๓ แจง้ ปัจจุบัน ถ้าจิตบริสุทธ์ิก็จะถึงธรรม ก็จะเป็นทองแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ทองปลอม ธนบัตร ปลอม มติ รปลอม พอ่ แม่ปลอมหรือลกู ปลอม 210

พวกเทวดาเต็มไปด้วยกามแต่เขาไม่ผิดศีล ย่ิงช้ันดาวดึงส์มีแต่เล่นเพลง เต้นร�ำ ไปไม่รอด แตจ่ ติ เขา้ ถงึ ฌานแลว้ โดยอตั โนมัติ ธรรมชาตขิ องฌานเกดิ ขนึ้ มแี ต่วติ ก วจิ าร ปตี ิ สุข วติ ก วจิ าร เห็นแสงสวา่ งเกดิ ข้นึ ดูแสงสวา่ ง ปีตสิ ุข ดูนมิ ติ สัญญาอารมณใ์ นภาวนา เกิดปตี ิสุข สบาย น่ิงเฉย เปน็ ปฐมฌาน ธรรมชาติของปฐมฌาน กามไมม่ ี แตถ่ า้ ไมม่ ี พทุ ธปัญญามัน ไมเ่ ท่ียง เหมือนก้อนหินทบั หญา้ หญา้ ยังไม่ขึน้ พอเอาอิฐออก หญ้ามันกข็ น้ึ ฌานของพวก ฤาษี จติ เปน็ ฌาน พรอ้ มกับความเห็นเป็นเรามันไมด่ บั กามไม่มีเสียแล้วก็ไม่กลับมาเกิดในกามภพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทวดาช้ันไหน ต้ังแต่ ยอดสวรรค์ไปจนถึงก้นนรกเป็นกามท้ังน้ัน เรียกว่า กามภพ อันน้ีเรียกว่า ทุกข์มาก กามน้ี ดับไปจากจิตเสียแล้วมันก็สบาย เดี๋ยวน้ีมันไม่ค่อยมี ขนาดโสดาบันก็พอแล้ว อีก ๗ ชาติ เทา่ นนั้ ชอบภาวนา ตดิ อยูใ่ นฌาน มันไปบานอย่แู คน่ ัน้ ถา้ กามดบั เดด็ ขาด ไมม่ เี หตใุ ห้กลบั มา ในกามภพ ก็สบายไปแล้ว เป็นอริยบุคคล จิตโลกุตตรจิต จิตพ้นโลก พระอนาคา No - returner คนเรามนั ยังหลงร้อยเปอรเ์ ซ็นต์ หลงบา้ ตัง้ แต่ยอดพรหม เรียกวา่ สัญญาวปิ ลาส ส่งิ ที่ ไม่เที่ยง เกิด-ดับ ก็เห็นว่าเป็นเท่ียง พูดภาษาคนธรรมดาว่าบ้า คนเราเวลาไม่พอใจใคร ก็จะเรียกว่าแกบ้า ความจริงแล้วเป็นปุถุชนมันก็บ้าด้วยกันทั้งนั้น ส่ิงท่ีไม่เที่ยงเห็นว่าเท่ียง ส่ิงทีเ่ ป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา ก็เห็นไปวา่ เป็นตวั เปน็ ตนเรา โลกของเรา เรากบั พระเจา้ ฯลฯ เม่ือเห็นว่าเรา มันก็มีไม่ใช่เรา มันเกิดมาพร้อมกัน ไม่ใช่เรา เหมือนเราเล่นเงาท่ี ข้างฝา ชนู ว้ิ ก็มีเงาที่ข้างฝา เอานิ้วมอื ลงเงาก็หายไป concept I กับ not I มันเกิดพร้อมกนั ถ้าเราดับ คนอื่นก็ดับ แล้วโลกจะไปตั้งได้อย่างไรล่ะ แล้วมันจะ inside outside อะไรล่ะ มันเปน็ ไปไม่ได้ แม้แต่ environment จะไป environ อะไรล่ะ อะไรทจ่ี ะ environ มันไม่มี environ มนั ก็มไี มไ่ ด้ space - time ทีไ่ หนมนั กม็ ีไมไ่ ด้ มันไม่มตี า หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หลง 211

212

Subjective - objective ที่วิทยาศาสตร์เช่ือกัน มันจบ จิตสว่างแล้ว มันไม่มีหรอก ปัญหาโลก ปัญหาภพ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จิตแจ้งจิต จิตรู้ว่าพ้นแล้วจากมืด จากโง่ จากทกุ ข์ จากโลก จากภพโง่ ไมม่ ปี ญั หา จติ รูแ้ จง้ ธรรม ไม่ไปหลงอะไรแล้ว คอื พระนพิ พาน เหมอื นเรามานั่งท่นี ่แี ลว้ จะถามจะตอบอะไร ว่านง่ั หรือเปล่า น่งั อยู่ทีบ่ ้านคณุ พลเดช หรือเปล่า มันไม่มคี ิดแลว้ มนั perfect ภาษาฝร่ังเศสวา่ fait accompli คอื เรยี บร้อยไปแล้ว อย่างเรากินข้าวอิ่ม ไม่ต้องไปนั่งคิดว่าอ่ิมหรือเปล่า ไม่มีแล้ว เพราะสภาพท่ีแท้จริง มัน perfect อย่แู ลว้ มนั เรยี บรอ้ ยไปหมด คอื ส�ำเรจ็ แลว้ การมานง่ั อยทู่ น่ี ีส่ ำ� เร็จแล้ว มันไมม่ หี รอก มาถามตอบสงสัยอะไร มันแจ้งในธรรมแล้ว วิตก วิจาร ปีติ สุข ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีหวน่ั ไหวแลว้ มีแตต่ ้ังหน้าปฏิบัติไปเรอื่ ยๆ ถ้าขยันกก็ า้ วหนา้ ข้นึ ไป อีก ถ้าปลอ่ ยเฉยๆ กถ็ งึ ช้าหนอ่ ย เหมอื นกบั งู ถ้าตัดหวั อวิชชา ความไมร่ จู้ ักขันธ์ ๕ เปน็ ธรรม นกึ วา่ เป็นตน (self, ego) ตัวมนั ก็ด้นิ ไปมา ถา้ ขยนั กระทืบมันก็หยุดนง่ิ เร็ว ถา้ ปล่อย เฉยๆ ไม่ช้ามนั ก็หยดุ น่งิ เอง ชีวิตในสวรรค์เป็นเทวดา มันไม่เหมือนมนุษย์ มันยาว แต่กระนั้นก็ยังสั้น ล้านปี มันก็ยังส้นั เทียบกับท่ีมืด ไมร่ ู้จักกล่ี ้านปแี ลว้ สมมตุ เิ ราเกิดก่อนพ.ศ.นสี้ ัก ๓,๐๐๐ ปี มันก็ ไมเ่ จอแล้วพทุ ธศาสนา หากเกิดหลงั จากน้นั ไปเป็นล้านๆ ปี กไ็ ม่เจออีกนัน่ แหละ นป่ี จั จุบนั ปี ๒๕๔๑ แล้ว เลยก่ึงพุทธกาลแล้ว ถ้าถึง ๕,๐๐๐ ปีนะ ไม่รู้เร่ืองสักคน โลกมันฉิบหาย ฆา่ กนั เองไม่รจู้ ักหมด มีพวกใหม่เกิดขึ้นมาโกงต่อ จนกระทั่งมนุษย์มีชีวิตยาวครบปกติ คือ ๘๐,๐๐๐ ปี พระศรีอาริย์จึงจะมาเกิด ใน ระหว่างน้ันถึงจะมีคนมาเกิดดีแสนดีอย่างไรก็ตามไม่ได้เจอพุทธธรรม จนในสมัยท่ีพระพุทธเจ้า จะเกิด พวกท่ีสรา้ งบารมีสามารถรู้ธรรมไดด้ ้วยตนเอง เป็นปัจเจกพทุ ธะจงึ จะเกดิ เป็นจำ� นวน หลายร้อย แต่ปรารถนารู้คนเดียว ไม่ไปสอนใคร รู้แล้วก็ไม่ได้ไปสอนใคร ก็เหมือนนักบวช ฤาษีในป่าในดง นานๆ ทีก็ออกไปบิณฑบาต ถ้าใครได้ใส่บาตรด้วย โอ้โฮบุญมหาศาล น่นั แหละวิธีการของท่าน 213

เหมือนอย่างในสมยั พุทธกาล พระปัจเจกก็รู้กันหมดแลว้ ว่า ใครจะมาเปน็ พระพุทธเจ้า ท่านมีอ�ำนาจรู้ได้ เหมือนอย่างพระอาทิตย์จะโผล่ ดาวทั้งหลายก็หายไปหมด พระอาทิตย์ โผล่ตอนเช้า ดาวทั้งหลายก็หายหมด พระปัจเจกพุทธะก็ข้ึนป่าข้ึนเขาหายไปหมด ทั้งน้ี เฉพาะในสมัยใกล้พุทธกาลเท่าน้ัน ดังนั้นการท่ีใครจะมาบอกว่า รู้ด้วยตนเองน่ันคนบ้า ตราบใดที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ ใครจะมารู้ธรรมะด้วยตนเองเป็นไปไม่ได้ ต้องรอพุทธกาล หมดเสยี กอ่ น บางคนวา่ ศาสนาอ่นื เขากร็ ู้อริยสัจ ๔ ไมใ่ ชเ่ รือ่ งแลว้ ความสงสัยในทุกข์เป็นอย่างไร เหตุของทุกข์เป็นอย่างไร รู้แจ้ง ปัจจุบันรู้แจ้งแล้ว อันน้ีตัวส�ำคัญ ต้องอาศัยโพธิญาณของพระพุทธเจ้าจึงจะรู้ ทุกข์เพราะจิตมืด หัวของมืดคือ (ego concept) ตัวน้ีแหละ ถ้ารูแ้ จง้ กส็ บายแล้ว พุทโธ ธัมโม สงั โฆ เกดิ ขึน้ เอง เพราะคำ� ว่าพทุ โธเปน็ โลกุตตรธรรม (พ้นโลก) ท�ำแสงสว่างให้เกิดขึ้นแล้ว จิตใจสบาย น่ิงเฉย ไม่ต้องไปคิดแล้ว พุทธานุสสติ ธมั มานสุ สติ สงั ฆานสุ สติ พุทธคุณ ธรรมคณุ สังฆคณุ เมอื่ ปฏบิ ัตไิ ดแ้ ล้วแจ่มแจง้ ดบั ความ ทกุ ข์ พอเจริญภาวนาถกู เจริญมหาสติ ไดย้ ินสกั แตไ่ ดย้ ินดับหมด ถงึ ธรรมรูธ้ รรม ความเหน็ อยา่ งอืน่ ดบั ทุกข์มันดบั หมด ท่เี คยมแี ต่ก่อน ปญั หาเรา ปญั หาเขา ปัญหาโลก ฆา่ ตวั ตาย มันไมม่ ีแล้ว ปัญหาความขดั แยง้ ตา่ งๆ ตั้งแตย่ อดพรหมจนถึงก้นนรกมนั ไมม่ แี ล้ว เหมือนปลาท้ังหลายวิ่งในทะเล มันไม่รู้อะไรสักอย่าง จิตมืด ถ้าวิ่งพ้นเงามืด จาก ทอ้ งฟา้ เจอแสงอาทิตย์ แจว๋ ทันที แจว๋ คลน่ื แจว๋ นำ้� เกิดแสงสวา่ งพุทธปญั ญา รจู้ ักคลืน่ ร้จู กั น้�ำ คลื่นกับน้�ำมันไม่มี distance หรอก มันถึงเข้าใจกันยาก ระยะจากคลื่นถึงน้�ำมีท่ีไหน ได้ยินสักแต่ได้ยิน เป็นมหาสติ เป็นปัญญาเกิด ไม่ต้องมาถามว่าอยู่ท่ีไหนนิพพาน เหมือน ท้องฟ้ามันก็มีอยู่อย่างไรอย่างน้ัน ถ้าเกิดมาตาบอดจะไปเห็นได้อย่างไร ถ้าจิตเห็นแสงสว่าง แล้วต้ังแต่โสดาบันขึ้นไปก็สบายแล้ว รู้แน่ว่านิพพานเท่าน้ันท่ีเป็นท่ีพึ่งได้ แล้วก็ได้พึ่งแล้ว ตั้งแต่โสดามรรคข้ึนไป อันน้ีเป็นของแน่นอน แต่ต�่ำกว่าน้ันยังเป็นปุถุชน แม้เป็นปุถุชนหาก คิดดี ทำ� ดี พูดดี ทานศลี พอสมควร มนั กม็ ีสว่ นไดร้ บั ความสุขบ้าง เกดิ เปน็ คนมีโชคดี นสิ ยั ดี 214

ด้วย เป็นเทวดา พรหมก็ค่อยยังช่ัว ท่ีเขาฝันน่ะฝันดีก็ยังดีกว่าฝันร้าย ฝันเกิดเป็นคนพิการ เปน็ คนชั่ว เกดิ เปน็ สตั ว์เดรัจฉาน เปน็ สัตว์นรกมนั ก็แย่ ฝนั ดไี ว้ คนทแ่ี นวเดมิ มันดีแล้ว รู้จักดี รู้จกั ชัว่ ก็ดีไป คนทีไ่ มร่ จู้ กั ดี รูจ้ ักชวั่ มนั โง่ขนาดนักก็ชว่ ยไม่ได้ ยินดีในการท�ำดี คิดดี พูดดี ถึงจะเป็นพุทธหรือไม่ ไม่ส�ำคัญ ถ้าท�ำดีธรรมชาติของ กรรมมันกใ็ ห้ผลดี ไอ้ดีเฉยๆ ไมเ่ จอพทุ ธมันก็เวยี นว่ายตายเกดิ อยูอ่ ยา่ งนัน้ แหละ ดีแบบพุทธ ยงั มชี อ่ งทางรอดไปได้ มศี รทั ธาในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มปี ัญญา ถึงแม้จะไมเ่ หน็ แจ่มแจ้งในอริยสัจ แต่เชื่ออันนี้ถูกต้อง ยินดีในการขจัดกิเลสและมุ่งปรารถนาพระนิพพาน เออกเ็ รียกวา่ เปน็ ดอกบัวเหนือน้ำ� พระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมก็เพราะอย่างน้ัน ทีแรกได้วิชชา ๓ ก็เห็นหมดแล้ว นบั ตัง้ แตป่ รารถนาพทุ ธะ ลำ� บากแทบตายจะตอ้ งเสยี ชีวิตเพ่ือสจั ธรรม ไม่ว่าทาน ศลี ภาวนา บารมี ๑๐ มนั แสนจะยาก แมแ้ ต่ชาติสดุ ทา้ ยทท่ี ่านบำ� เพ็ญอยใู่ นป่า ๖ ปี ถ้าไม่ใช่โพธิสตั ว์ ท�ำไม่ได้หรอก ตายไปนานแล้ว คิดดูซิ ป่าอินเดียเต็มไปด้วยงู สัตว์ร้ายนานาชนิด ตอนนั้น ศาสนายังไม่ได้ต้ัง ก็เป็นฤาษีตนหน่ึงเท่านั้น หิวก็หาผลไม้กินไป บางทีไม่มีอะไรจะกินก็ได้ แม่วัวที่มันให้นมลูกดูดกินนม พอลูกมันออกไป ก็ไปอ้าปากรับนมที่เหลืออยู่อย่างนั้นแหละ... ถา้ เป็นคนธรรมดาไม่มบี ญุ บารมี ทำ� แบบนก้ี ็ตายไปนานแล้วล่ะ ตรงไหนมันหนาวมากๆ ก็ไป ทนหนาว ตรงไหนมันร้อนมากๆ ก็ไปทนร้อน ถ้าเปน็ เรา รอ้ นกไ็ มเ่ อาแลว้ หนาวก็ไมเ่ อาแลว้ ก็เพอื่ ปรารถนาจะถงึ ความรู้แจง้ ทรงทำ� เช่นน้นั ๖ ปี คร้งั สุดท้ายใช้วิธีอดขา้ ว ๔๕ วัน เกือบตาย เหลือแต่โครงกระดูก (ปางทรมาน) ทีนี้เป็นชาติสุดท้าย อย่างไรก็ต้องบรรลุ โพธิญาณวันยังค�่ำ ก็มีเร่ืองซิ เหมือนอย่างเราวันน้ีมันมีเร่ือง ก็ต้องมา ถ้าไม่มีเร่ืองต้องเจอ กันมา ก็ไม่มาหรอก มันก็ต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น เทวดาก็มาปรากฏให้เห็น ดีดพิณ สายพิณตึงก็ขาด สายพณิ หย่อนก็ไมเ่ ปน็ เพลง มันตอ้ งก�ำลงั พอดี ที่มันยากก็เพราะต้องพอดี ตัวพอดีมันอยู่ที่ไหน ถ้ามันก�ำลังพอดีแล้วมันก็เป็นเพลงไพเราะ เมื่อพระพุทธเจ้ามองเห็น อันนั้นแล้ว ก็เออมนั ตึงเกินไปเสยี แล้ว มันต้องรับทานอาหารกนั บ้าง 215

ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องเกิดพร้อม ฝร่ังว่า Synchronization เช่นที่เรามาเจอกันวันน้ี เหตุการณ์ท้ังหลายมันเกิดข้ึน ภาษาไทยเรียกว่ามันคล้องจองกัน สถานท่ี เวลา บุคคล คล้องจองกันหมด มันก็มีเร่ืองข้ึนมาพร้อมกัน คือนางสุชาดาเป็นเมียมหาเศรษฐีพราหมณ์ แล้วไม่มีลูก สมัยก่อนคนกลัวกันมาก ไม่ว่าคนจีน คนแขก โดยเฉพาะเรื่องไม่มีลูก ลูกชาย โดยเฉพาะ นางสชุ าดาปรารถนาจะมลี ูกชาย กใ็ หค้ นเอาววั ๑,๐๐๐ ตวั เลย้ี งไวแ้ ล้วให้คนบบี เอานม ๑,๐๐๐ ตัวนน้ั มาให้ววั ๑๐๐ ตัวกนิ บีบนมจาก ๑๐๐ ตวั ให้ววั ๑๐ ตัวกิน บีบนมจาก ๑๐ ตัวมาใหต้ ัวเดยี วกิน แลว้ เอานมจากวัวตัวนไี้ ปหงุ ขา้ ว ขา้ วชนิดนี้ต้องพระพุทธเจ้าเทา่ นนั้ ผู้ท่ีจะส�ำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าจึงจะได้มีโอกาส เรียกข้าวปายาส เอายอดข้าวมาท�ำ ใส่เนย ใส่นม ใส่น้�ำผง้ึ อยา่ งดี กล่นิ หอมฟงุ้ เลย ใสจ่ านทองไป คนสมยั กอ่ นนี้ ในอนิ เดียในไทยถือวา่ ต้นไมศ้ ักดิส์ ิทธ์ิ ก็เอาข้าวไปไวท้ ีต่ ้นไม้ใหญ่ บังเอญิ พระพทุ ธเจ้ามาน่ังอยูท่ ี่นั้น ทนี ้พี ระพทุ ธเจ้า เปน็ ผู้ท่มี ีรปู ร่างสวยมาก ผิวพรรณผ่องใส นางสุชาดาก็นึก เออนี่คงเป็นเทวดาประจ�ำต้นไมม้ งั้ ก็เลยเอาข้าวใส่จานทองยกขึ้นเหนือหัวอธิษฐาน ด้วยการกระท�ำน้ี ขอให้มีลูกเทอญ ก็เอา จานน้นั วางแล้วกไ็ ปเลย พระพทุ ธเจ้ากเ็ ลยฉนั ขา้ ว ๔๕ ปน้ั (อดขา้ ว ๔๕ วนั ) ฉันเสร็จแล้วก็ไปท่ีแม่น�้ำเนรัญชราท่ีอยู่ใกล้พุทธคยาทุกวันนี้ แล้วก็เสี่ยงบารมีเหมือน กัน (เหมอื นกบั เราเสยี่ งบารมีในการท�ำภาวนานแ้ี หละ) ถ้านั่งภาวนาครง้ั นส้ี ำ� เร็จ จะเหว่ยี ง จานนี้ลงไปในน�้ำ ถ้าส�ำเร็จขอให้จานลอยทวนน�้ำข้ึนไป ถ้าไม่ส�ำเร็จก็จมไปธรรมดา เส่ียง ในจิต เสร็จแล้วก็เหว่ียงลงไป จานทองก็หล่นทวนน�้ำไปเลยแล้วก็จม ก�ำลังใจมาแล้ว น่งั อธษิ ฐานอีกที เราไม่ลุกเด็ดขาดแม้ตายก็ยอม ถ้าไมส่ �ำเร็จไมย่ อมลกุ นง่ั จนตลอดคนื รุ่งสว่าง รู้แจ้งวิชชา ๓ เห็นแจ้งหมด ไม่ใช่ส�ำเร็จเพียงจิตบริสุทธ์ิเท่าน้ัน พุทธคุณ บารมีท่ีทำ� มาใหผ้ ล ญาณวเิ ศษอกี เยอะแยะ แมพ้ ระอรหนั ตก์ ไ็ มส่ ามารถมไี ด้ เพราะสำ� หรับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระปัจเจกพุทธะก็ไม่สามารถมีได้ เพราะบารมีไม่เท่ากัน สมมุติพระปจั เจกพทุ ธบ�ำเพญ็ แสนปี ของพระพทุ ธเจา้ ๓ แสนชาติ 216

เมอื่ ตรสั รู้แลว้ ตอนแรกยังไมค่ ิดจะสอน ทำ� ไมถึงคดิ จะสอนเลา่ กด็ อกบัวบานเขาก็มี มาแล้ว บัวตูมก็มีมาแล้ว พอเทวดามานิมนต์ ท่านก็กดปุ่ม super computer ได้หรือยัง ส่งขอ้ มูล (data) ลงไป มันก็ Automatic ออกมาเป็นภาพ มีดอกบัวโผลข่ ้ึนมา ที่บานแล้วก็มี มาก อยู่ใตน้ ้�ำก็มีมาก อนั นี้คอื ค�ำตอบ ไม่มีผดิ พลาด พระพทุ ธเจ้าทงั้ หลายมีพทุ ธญาณ Super Computer ทา่ นจงึ ไดร้ ับสอน ทีนกี้ ็กดปุม่ ต่อไป จะสอนใคร ปิ๊ง เป็นภาพโยคี ๒ คนท่ีท่านเคยไปเรียนสมาธิโยคีมาก่อน เขาตาย ไปแลว้ เอ้ากดป่มุ ต่อไป กำ� หนดจิตเพ่งจติ ออ้ ปญั จวัคคยี ์ นกั บวชพราหมณห์ น่มุ ๆ ๕ คน ปฏบิ ตั ิอยสู่ มัยบ�ำเพ็ญตบะ (บ�ำเพญ็ นี่เขาเรียกวา่ ตบะ) เขาถือกนั ในเมืองแขกวา่ เป็นของวิเศษ ปัญจวัคคีย์พวกนี้พอเห็นพระพุทธเจ้าเลิกทรมานตนเองกลับมาฉันอาหารก็เข้าใจว่าไม่ดีแล้ว กเ็ ลยแยกตัวหนไี ป ปัญจวคั คีย์นี่เป็นดอกบวั บานแล้ว พระพุทธเจา้ จงึ เสด็จไปโปรด ปัญจวัคคีย์พอเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกลก็ร้องบอกกันว่า เราจะไม่ไปรับรอง อาจารย์คนน้ีแล้ว แต่ท่ีไหนได้ พอเข้ามาใกล้ต่างลืมสัญญา ต่างคนต่างกุลีกุจอเอาน้�ำมา ล้างเท้าจัดสถานท่ีให้น่ัง ก็มีคนหน่ึงทักขึ้นว่า โคตมะท่านสบายดีหรือ (พระพุทธเจ้าชื่อ โคตมะจากโคตมโคตร) พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า อย่ามาเรียกเราเป็นโคตมะ เราเป็นพุทธ (เพียงเท่าน้ี คนยังไม่รู้เรื่องแม้แต่ศาสตราจารย์ฝร่ังก็ยังไม่รู้เร่ือง) ท�ำไมจึงเป็นเช่นน้ัน ถ้า ไปเรียกโคตมะก็แปลว่าปถุ ุชนนะซิ คนธรรมดา แต่น่ีไมใ่ ชค่ นธรรมดานี่ เปน็ คนมนั จะพ้นคน ไดอ้ ยา่ งไร มันจะพน้ เทวดาพ้นพรหมไดอ้ ย่างไร แตน่ ี่เปน็ โลกตุ ตรสภาวะ เป็นพุทธะ ตาเป็น พุทโธ หูเป็นพุทโธ ได้ยินอะไรมันก็ไม่เกิดกิเลส มันก็รู้เท่าทันหมดทุกอย่างนะซิ อริยสัจ ๔ นิพพานเป็นโลกุตตรจิตน่ี จะไปเรยี กปุถชุ นได้อย่างไร นีฝ่ ร่งั เขียนต�ำราพทุ ธ ของไทยยงั ไมม่ ี การถึงธรรมรู้ธรรมมันไม่ใช่หนทางท่ีจะเรียนรู้กันได้ง่ายๆ ในสมัยพุทธกาล เอาตาม ข้อเท็จจริงมันไม่ใช่อย่างทุกวันน้ี พระพุทธเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ วัดวาก็ไม่มี คนก็ไปพบ ถาม ตอบอยา่ งนน้ั อยา่ งน้ตี อบปบุ๊ ไปเลย สำ� เร็จแล้ว โสดาบนั สกทิ าคา มันไมใ่ ช่เพยี งปรยิ ัติทฤษฎี อะไรก็ไม่รู้ ความรู้แจง้ พรึบ ก็พ้นแล้ว ปริยัติ ปฏบิ ตั ิ ปฏเิ วธ ปฏิเวธแปลวา่ สำ� เรจ็ ขณะที่ ฟังจติ ก็รแู้ จง้ รู้แจ้งพรอ้ มดบั ทุกข์ อรยิ สัจ ๔ นพิ พาน มนั พร้อมกนั ไปแล้ว เวลาไม่ถงึ กี่นาทเี อง 217

จึงไปเรียนเปรยี ญ ๑-๙ ตั้ง ๘ ปี ไม่ใชอ่ ย่างนั้น ตอ้ งดู causes conditions หรือ background ว่ามแี ค่ไหน อย่างเราสอนวาดรปู หรืออะไรกต็ าม คนเรามีพรสวรรคอ์ ยแู่ ลว้ พอเราทำ� ใหด้ ปู บั๊ ก็ทำ� ตามได้เลยและบางคนทำ� ไดด้ กี วา่ เพราะเขามีพนื้ ฐานมาแลว้ สัตว์ทั้งหลายต้ังแต่ยอดพรหมจนถึงก้นนรกมากมายยิ่งกว่าคลื่นในมหาสมุทร นาม กาย ใจ เกิดๆ ดับๆ อย่างนั้น เฉพาะคนในโลกมันก็ ๕ พันล้านคนแล้ว ยังสัตว์ในดิน ในอากาศ ในมหาสมุทรจะไปนบั กนั อย่างไร และทีไ่ ม่เหน็ ตัวอกี ล่ะ สัมภเวสี เวยี น ว่าย ตาย เกิด หาทเ่ี กิดไม่ไดด้ ว้ ยซำ้� ไป เป็นเปรตกม็ ี ทีร่ า้ ยกวา่ นั้นในนรกอกี นบั ไม่ถ้วน จะไปนัง่ สมาธิ เป็นฤาษีอะไรกัน คนดูก็เห็นว่าเป็นอย่างไร ดูโทรทัศน์มันเป็นธรรมะท้ังน้ัน มันเกิดข้ึนใน ธรรมชาติก็เป็นธรรมะนะซิ มีศีลเท่าไหร่ หลักง่ายๆ ดูศีล ๕ เป็นเคร่ืองตัดสิน อย่าว่าแต่ เมืองฝรั่ง เมืองไทยก็เถอะ ไม่ว่าพระว่าเจ้าว่าโยม ถ้าเขาจะให้เราเซ็นประกาศนียบัตร รับรองคนน้ี คนโน้น ว่าไมไ่ ปนรกแนๆ่ ไมว่ ่าพระไม่ว่าโยมจะไปกลา้ เซ็นรบั รองหรอื ถา้ ทำ� จริงมันก็เห็น ไมต่ อ้ งไปสงสยั ถามเห็นอะไร ลืมตามันกเ็ หน็ สรรพสัตวท์ ้งั หลาย อยู่รอบตัวไปหมด คนน้กี น็ า่ สงั เวช สัตวน์ ่ีกน็ ่าสังเวช จะวา่ อย่างไรล่ะ พระพุทธเจ้าว่าในยามที่โลกธาตุเส่ือม เทวดาในสวรรค์โล่ง เทวดาพากันร้องห่ม ร้องไห้ สวรรค์กโ็ ลง่ เพราะนรกมันแน่นหมด ถ้ามีสตนิ ึกถงึ พุทโธ ธมั โม สังโฆ กไ็ ม่ตอ้ งไปถามไปอธบิ ายอะไรแล้ว เป็นการพน้ โลก พ้นจากโลภะ โทสะ โมหะ ส่ิงสกปรกทั้งหลาย จิตบริสุทธิ์เหมือนกับเพชรบริสุทธิ์ อันน้ี เป็นท่ีพึ่งได้ จิตนิ่งเย็นสบาย เรียกว่า ปีติสุขเกิดข้ึนเป็นกุศลเป็นภาวนาแล้ว ให้ผลดีแล้ว หายใจเข้ากส็ บาย หายใจออกกส็ บาย ขอให้สัตว์ท้ังหลายท่ีจิตมืด ได้เจอแสงสว่างมากๆ เม่ือจิตเป็นกุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม หายใจเข้าก็ปีติสุข หายใจออกก็ปีติสุข ใจก็เย็นสบาย กายก็เย็นสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผ่เมตตาให้กับบิดามารดาเป็นสิ่งส�ำคัญ เพราะขันธ์ ๕ เอามาจากพ่อแม่ ที่เอามาท�ำบุญ สุนทาน ท�ำคุณงามความดีนี่ ถ้าไม่มีขันธ์นี้จะเอาอะไรมาท�ำเล่า ถึงจะไปสวรรค์ไปพรหม 218

มันก็ต้องอาศัยขันธ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอามาภาวนา จะพ้นความมืดไปได้ก็เพราะเอามา จากพ่อแม่นี่ละ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ เรยี กวา่ ยมื ขนั ธ์ ๕ มา เป็นแพถ่อถึงฝงั่ แลว้ เรา กท็ ง้ิ แพข้ึนฝั่งซิ ทง้ิ ขันธ์ ๕ ได้ ถา้ ไปติดแพอย่จู ะขึน้ ฝั่งไดอ้ ย่างไรเลา่ ดชี ่วั กลางๆ มันต้องวางให้หมด สุข ทกุ ขก์ ลางๆ มนั ต้องวางใหห้ มด มันตอ้ งดบั หลง ท้ังหมดใหไ้ ดเ้ สยี ก่อนถึงจะไปรอด คอื ผู้ถึงฝงั่ ถา้ ยงั ไปยึดโน่นยึดนีเ่ สรจ็ ไปไม่รอด สติเป็นตวั วางขนั ธ์ ๕ ทัง้ หมด น่ีเป็นทางรอด มัน ต้องวางกังวลให้หมด หมายความว่า เราวางสายไฟมันถึงจะไม่ช็อต ถ้าไปจับสายไฟมันก็ ช็อตแน่ ถ้าวางกังวลได้หมด รูปนามมันถึงจะดับ เช่นเรามาน่ังอยู่ท่ีนี่ ท่ีบ้านคุณพลเดช พอมาถึงแล้วจะไปไหนอีกล่ะ หมดเร่ืองแล้ว ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเวลาท่านบรรลุโพธิญาณ ทา่ นไมไ่ ด้บรรยาย Philosophy ทา่ นบอกวา่ หมดกิจ (end homework) การบา้ น กค็ อื ทกุ ข์ ถ้าไม่รู้จักท�ำการบ้านมันก็คาราคาซัง พระพุทธเจ้าท่านพ้นทุกข์ ท่านจึงประกาศหมดกิจ หมดกรรม กิจคือส่ิงที่ต้องท�ำเหมือนกับได้ปริญญาเอก จะไปท�ำอะไรไปสอบอะไรอีกล่ะ หมดกรรมเพราะกรรมเกิดจากอวิชชา อยากโน่นอยากนี่ ตัวอยากดับไปหมด เจตนาดี เจตนาร้าย เรื่องโลกๆ มันไม่มีแล้ว มีแต่พุทธจิต ท�ำอะไรด้วยอ�ำนาจแสงสว่าง ถ้ามีสติอยู่ ประจ�ำมันก็สบาย ธรรมชาติของจิตมอี ยู่สองอย่างเท่านน้ั คอื มดื กบั พ้นมดื อย่างอื่นไม่มี ถา้ มีสติอย่ปู ระจ�ำ มันกส็ บายเทา่ นน้ั แหละ พระพุทธเจา้ วา่ สติยบั ยั้งพญามาร มารคอื ตัวอวิชชานั่นแหละ คือสภาพมืด เหมือนปลาว่ายอยู่ในทะเล มันไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เพราะจิตมืดมันจึงรอดกันยาก กินๆ ฆ่าๆ กนั ไป วนั หนง่ึ ๆ เรียกว่า วัฏสงสาร ทุกข์ยิ่งใหญ่เกดิ จากโง่ เพราะจติ เกิดอ�ำนาจมดื มาบัง เหมือนพระอาทิตย์ถูกเมฆบัง ถ้าพระอาทิตย์แจ่มแจ้งแล้ว เมฆบังเช่นฤดูฝนก็ไม่มี ถา้ เจรญิ พุทธธรรมได้กเ็ หมือนกับมพี ายมุ าปดั เปา่ เมฆทีบ่ ังให้โล่งแจ้ง หมดปญั หา หมดความ สงสัยในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ความเหน็ ผิดมันจะหายไป ดบั ทุกขไ์ ด้สบายเสยี แล้ว จะไปสงสยั อะไร 219

ถา้ ไม่ได้ไปหลงวา่ เปน็ เราเป็นเขากส็ บาย ทุกข์ก็ธรรมดา ร้ธู รรมดา หนาว รอ้ น สุข ทกุ ข์ ก็ธรรมดา เกิด แก่ เจบ็ ตาย กธ็ รรมดา รูก้ ็รเู้ ฉยๆ หลังสตเิ ปน็ โลกุตตรธรรม กเ็ ปน็ แสงสวา่ งนะซิ พุทธปญั ญารู้แจ้งความดับทกุ ขใ์ นปัจจบุ นั ถา้ ไมม่ ีตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ มันจะสมมตุ อิ ะไรขึน้ มาได้ อาศยั ได้เห็น ไดย้ ิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส นึกรู้ กายใจ พรอ้ ม อวชิ ชา มันถึงได้ทุกข์กนั เช่นน้ี ถ้าเจริญพุทธธรรม อริยมรรค การพ้นโลกก็เกิดขึ้น มันก็จบกันเท่านั้น มีสติพร้อม เห็น พรอ้ มได้ยนิ พรอ้ มได้กลิน่ ร้อน หนาว สุข ทกุ ข์ สติพรอ้ ม มันไม่หลงสักอยา่ ง ต่ืนแล้วมันก็ไม่หลงนะซิ เหมือนคนต่ืนตอนเช้า เวลาฝันอะไรก็นึกว่าจริงทุกอย่าง พอตืน่ ข้ึนมากเ็ ปน็ เรอ่ื งฝนั ท้ังหมด ความเห็นตอนตน่ื ขนึ้ มามันเป็นคนละเรอ่ื ง ก็เหมือนดูภาพยนตร์ ถ้าเป็นนักค้นคว้า นักทดลองก็จะสงสัยว่า เอ...มันอะไรกันแน่ หลงเงาพระเอก นางเอก ถ้าไปจับดูท่ีจอจะพบว่ามันคือมีแต่ผ้าเฉยๆ คนจริงๆ ท่ีไหน พระเอกท่ีไหน นางเอกท่ีไหน มันก็หมดเร่ืองสงสัย บางคนบอกว่า เงามาจากไหนลอง ตามไปดู ดูไปถึงตน้ ตอ เอา้ มนั กเ็ ปน็ เหล็กเฉยๆ (เคร่อื งฉายหนัง) มันไม่ใชพ่ ระเอก นางเอก อะไร ก็วิเคราะห์ตอ่ ไป เอา้ มนั กม็ แี สงสว่างเฉยๆ เท่านนั้ เอง ฟิลม์ เปน็ ม้วนๆ ฉายออกไป ท่ีจอผ้า หากไม่รู้ทันก็โง่ เกิดอารมณ์สารพัดแล้วแต่เงาจะพาไป เรียกว่าหลงขันธ์ ๕ วา่ งนั้ เถอะ เพราะตวั หลง จิตมนั ก็มดื ไปเร่อื ยๆ เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนนั้ แหละ เหมือน กระแสคล่ืนในทะเล แม้ท้องฟ้ามืด คลื่นก็แล่นไปมืดๆ อย่างน้ัน เป็นพลังมืดทั่วสากล ล้วนแตอ่ ยากกันทั้งนน้ั สารพัดรัก สารพัดเกลยี ดชงั สารพัดกามก�ำหนัด มนั ก็ทุกขใ์ หญ่นะซิ ถ้าเห็นธรรม รู้ธรรม ก็หายทุกข์ ถ้าแสงสว่างเกิดข้ึนเมื่อใด ความมืดก็ดับ เหมือน ไฟฟ้า เม่ือไฟฟ้าสว่าง มืดก็ดับเป็นธรรมดา แสงสว่างท่ีดับมืดคือพ้นโลก เป็นพุทธปัญญา จิตปถุ ชุ นยังไมเ่ ห็นแสงสว่าง ยงั ไมพ่ ้นโลก 220

รู้แจ้งธรรมะ เรียกว่าถึงฝั่ง เช่นหากว่ายอยู่ในมหาสมุทรเป็นกัป ว่ายเข้าหาฝั่ง พอ เท้าถึงฝั่งมันมีหวังแล้ว เท้าถึงดินใต้น้�ำไม่จมลงไปได้ ลอยอยู่เพียงคอเรียกว่า พระโสดาบัน ถ้าขยันหมัน่ เพยี รเข้าไปอีก เขา้ ไปใกล้ ลยุ ขนึ้ มาถงึ บั้นเอวเรียกว่า สกทิ าคา หากถึงฝง่ั ยนื อยู่ พ้นน�้ำแค่เข่าเรียกว่า พระอนาคา ถ้าพ้นน�้ำข้ึนมาเมื่อไหร่ก็พ้นทุกข์เม่ือน้ัน นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เป็นของจริง เป็นที่พ่ึงได้ ของจริงเท่านั้นท่ีพ่ึงได้ ของไม่จริงพึ่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าว่า จริงมีหนึ่ง อย่างเช่นเรานั่งอยู่ท่ีบ้านนี้มันก็คือตัวจริง ของจริงหน่ึงเดียว สมมุติว่าเนรมิตมา ได้อีกคนหน่ึง มันก็ไม่ใช่ตัวจริงของจริง สิ่งใดไม่จริงมันหาย มันหมดไป มันไม่เป็นปกติสุข จิตมันว้าเหว่ ต้องหาอันน้ันอันโน้นมาเติมตลอดเวลา สิ่งใดเป็นสัจธรรมสมบูรณ์ตลอดเวลา ไมม่ ีอดีต ปัจจบุ ัน อนาคต น้ขี ึ้นอยู่กับกายใจหลง แมเ้ กดิ มาเปน็ มนษุ ยช์ ัน้ ดีก็ยังมีทุกข์ แม้จะสร้างคุณงามความดี เปน็ เทวดา เปน็ โยคะ เปน็ พรหม กย็ ังไม่เทย่ี งสกั อยา่ ง จติ ยังมดื อยู่ ในสมัยพุทธกาล พวกท่ีสร้างบารมีหวังได้พบพระพุทธเจ้า หวังแจ้งธรรม เม่ือบารมี เขาครบถ้วน เขาก็เกิดสมัยพระพุทธเจา้ เช่น นางสุชาดา นางวสิ าขา เป็นต้น ท่เี ปน็ เด็กๆ กม็ ี อายุ ๗ ขวบ ฟังธรรมส�ำเร็จมรรคผลต้ังแต่เป็นสามเณรก็เยอะเพราะมีทุนเดิมอยู่ พูดง่ายๆ จะเป็นดอกบวั บานแลว้ อะไรมันกง็ ่าย ดอกบวั ตูมก็ตอ้ งใชเ้ วลา แต่มนั ต้องบานแนๆ่ พวกที่ อย่ใู ต้นำ�้ นี่ซมิ นั ไมแ่ น่ อยู่ในกฎของ Probability เต่า ปู ปลาจะกินกแ็ ล้วแต่เรอื่ ง เอา้ หายใจเข้า หายใจออก แลว้ แผเ่ มตตา ขอใหส้ ัตวท์ ง้ั หลายได้พน้ ทกุ ขม์ ากๆ รวมท้งั ตัวเราเองด้วย แผ่เมตตากันไปให้กว้างขวางท่ีสุด ไปถึงสวรรค์ พรหม มนุษย์ชั้นไหนก็ตาม ขอให้ได้รับส่วนกุศลท่ีเราได้ท�ำแล้วน้ี จงเป็นสุข ก็เรียกว่าอย่างน้อยเราก็ไม่ใช่ผู้เนรคุณ คุณธรรมข้อนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้ท่ีมีความกตัญญู ระลึกถึงบุญคุณ เป็นผู้มีความเจริญ คนเราจะเลวจะชั่วก็ตาม หากมีความระลึกบุญคุณก็ยังพอคบได้ ถ้าเนรคุณสักอย่างมัน ไม่ไหวแล้ว 221

222

เ สี ย ง จ า ก สุ ท ธิ ส า ร สำ� คญั ทส่ี ดุ เสมอ ส�ำคัญท่ีสุดคือรู้ว่าโง่ ตายเมื่อไรไม่รู้ เกิดทุกข์ยากล�ำบากสบายเม่ือไรไม่รู้ เป็นอยู่ ถูกหรือผิดแน่แค่ไหนไม่รู้ รู้จักโง่ในท้ังหมด เลิกสนใจกังวลเก่ียวในท้ังหมด เป็นสติธรรม รู้สักแต่รู้ วางกังวลตัณหาในขันธ์ห้าได้ ทุกสิ่งก็เป็นธรรมดา ได้ยินได้คิดรู้ ถ้ารู้ธรรมดาก็ รู้ธรรมเปน็ ธรรม กสุ ลา ธัมมา ดี (positive) อกสุ ลา ธัมมา ช่ัว (negative) อพั ยากตา ธัมมา กลาง (neutral) ความเห็นอย่างอื่นที่เคยเป็นมานานก็หมดไป พร้อมท้ังความทุกข์ที่เป็น ธรรมดามานาน ความรู้จักความสิ้นทุกข์ในปัจจุบัน พร้อมทั้งวางกังวลทั้งหมด (คือขันธ์ห้า) ดบั เหตเุ ป็นพุทธปญั ญา ปญั ญาในพระพุทธศาสนา ความโงต่ ณั หาทกุ ข์ ใหถ้ ามตอบยอ่ มไม่มี พน้ โลกสมมตุ ิ เปน็ วิมุตติ สัจธรรม (ends worlding) 223

กาย ใจ ชีวิต ตา หู จมูก ล้นิ รปู กาย ความ รสู้ กึ (เวทนา) สุข ทุกข์ กลางๆ สัญญาหมายรทู้ ง้ั สิน้ เปน็ สัพเพ ธมั มา เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าทา่ นทรง บญั ญัติว่า อนตั ตาในขนั ธ์หา้ อายตนะทั้งหมด กาย ใจ ชวี ิต คอื เปน็ สภาพธรรมดา ไม่ใชเ่ ปน็ ตัวตน คงที่ เรา เขา I and not I and the world ทเ่ี กิดพรอ้ มกัน ถ้า ดบั กด็ บั พร้อมกัน (สัญญา วญิ ญาณ รู้ หลง นอก-ใน จากหลงตน self เป็นหลกั คิดออกไป (สงั ขารา อวิชชา ปจั จยา) เป็น Space-Time-Environment) ดบั นโิ รธ พร้อมกัน เมื่อจิตถูกมืดอวิชชาบัง ก็ฉาย (สังขารปรุง send projection ออกไป) เหมือนฉายหนัง เป็นภพ ๓ ตนหลง ขนั ธห์ า้ หลง สตั วโ์ ลก เมื่อจิตสว่าง (พทุ โธ) เลกิ ฉาย (สงั ขาร) ภพ ตน ท้งั หมด พระพทุ ธองคท์ รงกล่าว (วสิ งั ขารคะตัง จติ ตัง) จิตตถาคตถึงวิสังขาร (เลิกหลงเสียแล้ว หลงขันธ์ห้า กายใจเปน็ เรา ดับ) ทุกขแ์ ท้ (อปุ าทานขนั ธห์ า้ อรยิ สจั ท่ีหน่ึง พร้อมทั้งเหตุ อริยสัจที่ ๒ จงึ ดบั พร้อม) ส่วน เรื่องโลก คอื หลง ก็หลงทกุ ข์กันตอ่ ไป จรงิ แบบสงั ขาร โลก อาศัยเหตุปัจจัย causes conditions เป็น Space-Time-Movement สัตว์โลก กาย ใจหลงเกิด ตามกนั ตอ่ ไป จรงิ แบบอวิชชา สมมุติ Relativity ไมใ่ ช่ จรงิ แท้ Absolute วมิ ตุ ติ Ego, Self อย่างท่ีอวิชชาท�ำให้คิดผิดเป็น ปัญหาชวี ิต ปญั หาสตั ว์โลกหลงทุกข์ ตงั้ แต่ยอดเทวโลก พรหมโลก ลงไปจนก้นนรก หลงทุกข์เวียนไปวนมาใน ท่ามกลางความมืดอวชิ ชาธาตุ กระแสโลกหลงสังสาระ หาทีส่ ุดไดย้ าก 224

ใชช้ วี ิตมปี ระโยชน์สูงสดุ คือ ท�ำจิตให้พ้นโงด่ ้วย ๑. สตปิ ฏั ฐาน-รู้ สักแต่รู้ ประจ�ำใจ เหน็ (รูป) รปู นน้ั สกั แต่เหน็ ๒. มีสติ พทุ โธ ธัมโม สงั โฆ นิพพานในใจเสมอ ๓. ไม่ลืมสภาพธรรมปจั จบุ ัน กาย-ใจ-จิต อายตนะ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจกระทบรู้ ขนั ธห์ ้า คดิ (วิญญาณ) อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา เผาด้วยอวิชชา - กิเลส สังโยชน์ท้ังหมด ร้อนดังพระอาทิตย์ด้วยกิเลสเป็นต้น โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ ทั้งหมด เห็นชัดทุกข์ จิต ถอยห่างทนั ทจี ากกองไฟจากทกุ ขไ์ ปอยูท่ ่ีรม่ เย็นเปน็ สุข - เกดิ วิตกวิจาร รู้ธรรม ปตี ิสขุ เรยี ก นิพพิทาญาณ เบ่ือหน่ายคลายก�ำหนัด เลิกเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด กาย ใจ สังขาร อยู่แค่นี้ ก็เป็นบุญพอแล้ว สัตว์โลกทั้งหมดต้ังแต่ยอดพรหมโลกจนถึงก้นนรกอสงไขยโกฏิล้าน ถึง พุทธธรรมนี้มไี ม่กี่คนในจ�ำนวนหา้ พนั ลา้ นคน ไม่นับสตั ว์เหล่าอ่นื แม้พระภิกษใุ นโลกปัจจุบัน ถ้าเจริญภาวนาต่อไป จิตสงบเป็นปัสสัทธิ ถึงสมาธิเกิด อุเบกขาในธรรมทั้งปวง สังขาร วสิ งั ขาร อรยิ สจั สี่ นิพพาน จติ ธรรม เป็นสตสิ มั โพชฌงค์ คอื ตรัสรธู้ รรม ๔. กรรม ของใครของมัน สัตวโ์ ลก “สายธรรมชาติ” สายขนั ธห์ า้ เกดิ ดับต่อเนื่อง อาศัย เหตอุ วิชชา ต่างกรรมตา่ งผล เปน็ นิสัยสนั ดาน ( character habit, psycho, so powerful) (กรรมของสัตว์) หาต้นก�ำหนดอดีตไม่ได้ อนาคตไม่แน่ ถ้าพุทธสติปัญญาโลกุตตรธรรมเกิด จงึ รู้เหตปุ จั จบุ ัน ได้ยิน ได้เหน็ นกึ คดิ รู้ ไรพ้ ุทธสตทิ ีด่ บั ขนั ธห์ า้ อวชิ ชา เพราะรูจ้ งึ ดับอวชิ ชา ตัณหา ทฏิ ฐิ กิเลส เหตุทุกข์ปัจจุบนั ทนั ที ๕. มรณานุสตทิ ุกวนั เปน็ อยา่ งนอ้ ย ท้ังหมดนีถ้ ูกตอ้ ง เป็นสรณะไดต้ ลอดกาล ๖. เจรญิ เมตตา ปรารถนาให้พน้ ทุกข์ กรุณา อยเู่ ปน็ สุข มุทติ า (ยนิ ดีดว้ ยสขุ อนั เปน็ บุญของผ้อู ืน่ ) แกอ้ จิ ฉารษิ ยา แต่ยอดพรหมโลกถงึ คนจนเกดิ สมาธิ อุเบกขา (กรรมของสัตว)์ พรหมวหิ าร (ภาวนาชน้ั พรหม) น้ีอยูค่ โู่ ลกทกุ ครัง้ ทเ่ี กดิ มนุษย์ เจรญิ โยคี ฤาษธี รรม มากมาย ก่อนและในสมัยพุทธกาล ผู้ภาวนาเช่นนี้เรียกว่าเจริญสืบต่อพรหมธรรม ฌาน สมาธิ ท่ีมี มานานสุดนับได้ พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่า แม้เจริญเมตตาภาวนา แม้วันหน่ึงเพียง ลัดนิว้ มือเดยี ว ประโยชน์สุขมหาศาลยาวนานหลายชีวติ ถงึ ยังไมน่ พิ พานกย็ งั ดกี ว่านรก 225

ก�ำเนิดแท้ของทฏิ ฐิ หรือปรชั ญา (ภาคตะวันตก) ตามแนว Philosophy ปรชั ญา (ภาษาไทยสมัยใหม่ทีแ่ ปลค�ำว่าปรัชญา เพราะไมเ่ คย ศกึ ษาว่าในชมพูทวปี เขามคี วามรู้ “ทฏิ ฐ”ิ “ลัทธิ” “ทัศนะ” “โลกทัศนะ” ทุกอย่างหมดแลว้ เพราะไม่เคยอา่ นพระไตรปิฎกเลย เชน่ พระสตู รต่างๆ) ถอื ว่าปรชั ญาซึ่งตามรากศพั ท์ หรือ ธาตุ (root) หมายถึง “รักความรู้” หรอื Love of Wisdom ฝร่ังเขาถือกนั ยังงี้ ไทยเราเรยี ก “นยิ ม” (วตั ถุนยิ ม) โลกทัศนะ โลกาธปิ ไตย ธัมมาธิปไตย แตใ่ นโลกตุ ตรธรรม คือ พทุ ธเหนอื ความร้แู บบโลก ปรชั ญา ก็คอื มจิ ฉาทฏิ ฐิเกิดจาก อวิชชาตัณหา เมื่อจติ มดื มิดด้วยอวิชชา (โง)่ ก็อยากเกดิ ความคดิ (สังขารหลงสมมตุ ิ) ตามที่ ตนอยาก ก็ตง้ั ทฤษฎี ลทั ธิ ทิฏฐิ สำ� นัก (school) ขน้ึ มาตามทตี่ นอยาก ลทั ธิ ครตู า่ งๆ เกดิ ในชมพูทวีปก่อนเพื่อน ก่อนสมัยพุทธกาลมีมากกว่า ๖๐ ลัทธิ ล้วนเกิดจากอวิชชาตัณหา เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ โลกยี ปัญญา เดรจั ฉานวชิ า ซง่ึ เม่อื จิตถงึ พทุ ธธรรม โลกุตตรธรรม แลว้ ก็จะ รู้ได้ชัด และไม่แตกตืน่ ไปกับลทั ธิ อุดมคตโิ ลก มิจฉาทิฏฐทิ ุกชนิด เพราะร้ตู น้ เหตขุ องปรชั ญา โลกยี ปญั ญา เพราะจิตถึงโลกตุ ตรธรรม พทุ ธธรรม อรยิ มรรคแปด ความเห็นผดิ มจิ ฉาทฏิ ฐิ ว่า “เรา” (ของเรา) ego self ในท้งั สิน้ กาย ใจ ดับ จิตพน้ อวชิ ชา พน้ ทุกข์ทแี่ ท้จริง คอื ทกุ ขเ์ พราะโง่ (อวชิ ชา) อปุ าทานขันธ์ (อรยิ สจั ที่หน่ึง ) (ความเหน็ ผดิ วา่ ตนในกาย ใจ ชีวติ ยงั ไมด่ บั ) กร็ ู้ว่าพน้ แลว้ 226

คณุ หลวงหายไป ภววิภวธรรม วิปัสสนาสนั้ มาก มองเห็นคุณหลวงมาหาพูดจาตา่ งๆ บดิ า ครอบครัว ลมื ตาข้นึ มามแี ต่ขา้ งฝา หนงั สือ นานาตามชั้นหนังสอื คณุ หลวงไมม่ ี ฝันเทา่ นน้ั เกดิ ข้นึ ฝันเท่าน้นั หายไป เรื่องโลก ผูฝ้ ันก็คอื ฝันน่ะแหละ พทุ โธจติ ตืน่ สน้ิ เชิง พระทา่ นว่า ทุกข์ (หลง-อวิชชา- สังขาร) เทา่ น้ันเกดิ ขนึ้ ทุกข์ (หลง) เทา่ นั้นดับไป วิสังขาร พระนิพพาน สัจจธรรม ที่จรงิ เป็นสรณะได้ พ้นสมมตุ ิ วมิ ตุ ตธิ รรม ไม่มโี ง่ ไมม่ หี ลง ไม่มฝี ัน ไม่มีเรือ่ งภวตัณหา วิภวตณั หา ดบั เพราะขันธ์หา้ โงด่ บั ไม่มที กุ ข์เพราะ โง่เลย พระท่านวา่ อปุ าทานขนั ธห์ า้ โง่ ทกุ ข์ (กาย ใจ นึกว่าเราๆ) เท่าน้ันเกดิ เกิดทุกขแ์ ท้ ทกุ ข์เพราะจิตมืด อวชิ ชา โง่ ไมถ่ งึ พุทธ (ตืน่ ) เทา่ น้นั เกิดพรอ้ มกับทค่ี กู่ บั คิดว่า “เรา” “เขา” “โลก” ภว วภิ ว อยู่ไม่อยู่ ของคธู่ รรมดา เกิด เรา หลงโง่ ดบั เร่ืองมาดว้ ยกนั เขา หลง ภพ ดับ delusion self ดับ all delusion, end, be not be, end อวชิ ชา-ทุกข์ เท่านน้ั ดบั สจั ธรรม ไม่มีโลกหลง 227

ธรรม ร้อยแก้วปน Dhamma – prose mixed พุทธวจน-Lord Buddha Instruction. “สตหิ ย่ังลงสู่อมตธรรม” (ได้ยนิ สติพรอ้ ม นพิ พาน) Mindfullness (hear-hearing only) reaches into the immortal Dhamma) สติปัฏฐาน-ข้อแตกต่าง-The difference in Mindfulness way ‘ได้ยิน’-รู้ทัน “สมทุ ยั ” (เหตุทุกข์ เพราะหลง) “Hearing” See in That the Cause (of delusive PAIN) คือ “ท่ียดึ ไว”้ That “Catching” (mind) (on that) ปลดทุกข์-Drop down the Pain วางกังวล- End all ‘Concerns’ จิตสงบ-Mind released ได้ยิน-สักแต่ได้ยิน โลก (หลง) ดับ-ทุกข์ (เพราะหลง) ดับ คือวางกังวลขันธ์ห้า (สตอิ รยิ มรรคนั่นเอง วางกงั วลท้งั หมด) ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ภิกษุ เธอพึงวางกังวลขันธ์ห้าเสีย หรือ กังวล (หว่ งอาลัย) ทงั้ หลายในอดตี ของเธอ วางเสีย กังวลท้งั หลายของเธอในอนาคต วางเสีย กังวลอะไรของเธอเดย๋ี วน้ี วาง มหาอ�ำมาตยผ์ ฟู้ งั ส�ำเรจ็ อรหันต์ทันที Hearing-hearing only-End All-, Extinct Worldly Pain Ends delusion of the Five Groups,-Body-mind with Self-ego, my, me Delusion with the not-I (who’s other self, subjective-objective (from self idea) End the Cause of Worldly Pain-or simply “End all concern” with Drop out all Desire-Attachment from the mind. Root out the Dagger or Mara Ignorance. 228

ภาวนาธรรมสติ หรอื ธรรมสต-ิ สตใิ นธรรม (Stability Absolute) อวิชชาปจั จยา สงั ขารา เม่ือจติ โง่แลว้ ก็คิดไปทางธรรม ทา่ นเรียกมีความด�ำริแลน่ ไป (สรสงั กัปป) คอื ซา่ นไป เม่ือตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ กระทบธรรมทเ่ี กย่ี วเนอ่ื ง มรี ปู (Objects) (forms) เสียง ฯลฯ ธรรมารมณ์ และไมม่ ีพทุ ธสติปญั ญาควบคมุ คือ รูปกระทบตา รู้เกดิ ทนั ที พรอ้ มอวิชชา ไร้พทุ ธสติ จงึ เกิดผสั สะการกระทบ รพู้ รอ้ มสุข ทุกข์ หรือธรรมดาๆ เป็นปกติ ที่เรียก อทุกขมสุข ซ่ึงส�ำคัญตอนนี้ และพระพุทธเจ้าท้ังหลายในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เทา่ น้ันจึงจะรู้แจ้งไดด้ ว้ ยโลกตุ ตรธรรม สัมมาสมั โพธญิ าณ มใิ ช่ความเข้าใจของปกติ ปถุ ชุ น หรอื เดรจั ฉานวิชา ทีท่ างพทุ ธธรรมว่าไว้ คือ (ถูกต้อง ร้สู ึก (เวทนา) เลย ตามปกติท่รี สู้ ึก เช่นนัน้ กด็ ว้ ยอ�ำนาจอวิชชา หรอื แบบวตั ถุนิยม คือ ประสาท (nerve system) บณั ฑิต คอื พระพุทธองค์ทรงสอนว่า วิญญาณ คอื “รู้” ทางตา หู กาย ใจ เกดิ กอ่ น เรยี กจักษวุ ิญญาณ มโนวิญญาณ แล้วจึงเกิดกระทบรู้ ผัสสะ ก่อให้เกิดความรู้สึกเวทนา สุข ทุกข์ เป็นต้น ท่ีส�ำคัญตอนน้ีส�ำหรับสัตว์โลกทั่วไปทุกชนิดตั้งแต่ยอดพรหมโลกถึงก้นนรกท่ีมองเห็นได้ หรือ กายทิพย์ เพราะวิญญาณโง่ อวิชชา คือรู้แบบปุถุชน วิญญาณทางอายตนะ (sense) ประกอบอวิชชาเกิดจงึ เกิดผสั สะ รูต้ ามกระทบ และรสู้ ึก (เวทนา สขุ ทุกข์ เป็นต้น) พร้อม อวิชชา ท�ำให้เกิดตัณหาพร้อมอวิชชา เป็นเหตุแห่งการเกิด ตาย ทุกข์ ไม่รู้จักหยุด คือ อวชิ ชาปจั จยา สังขารา มกี ารเดาคดิ ปรุง หลง ไป มีความดำ� รซิ า่ นไป (สรสังกัปป) เป็น วญิ ญาณโง่ ทุกข์ พระพทุ ธองค์ทรงตรัสรสู้ มั มาสมั โพธิญาณ ญาณที่ถกู ตอ้ ง แสงสวา่ งแห่งธรรมอันเปน็ ธรรมพน้ โลก ทรงแสดงสตปิ ัฏฐานเขา้ ไว้เปน็ เคร่ืองแก้อวชิ ชา เปน็ การทำ� งานของอริยมรรค ๘ รวมขณะจิตเดียวให้ผลเป็นการตัดเคร่ืองผูกจิตออกไป คือ สังโยชน์ ตัวส�ำคัญสุดยอด คือ วญิ ญาณ อวชิ ชา จติ โง่ ไม่ร้แู ท้ในสภาพกาย ใจ ขนั ธ์หา้ ว่า อนิจจัง ไมเ่ ทย่ี ง ทุกข์ อนัตตา แปรปรวนไป คดิ ขึน้ ว่า “เรา” “ของเรา” ในกาย ใจ ขันธ์หา้ อันน้ี คือ อุปาทานขนั ธ์ห้า ทรง ตรัสเป็นยอดทกุ ข์ ทกุ ขจ์ รงิ แท้ คือทกุ ขเ์ พราะโง่ ไม่แจ่มแจ้งสจั ธรรม อรยิ สัจสี่ พระนพิ พาน เพราะจติ ถกู อวชิ ชาปิดไว้ 229

เวลา – โลกหลง – ภพหลง – ทกุ ข์ อวชิ ชา มาดว้ ยกัน World Space – Time – Self  as Delusion and Pain อะไรไม่ร้ายเท่ารู้สึกตัวอยู่ (knowing, thinking) รู้สึก เวลา พร้อมจิตอวิชชา เป็น ภพหลง สัญญาหลง (Delusive Percepts) ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็คือ โลกหลง ตนหลง เรา-เขา หลงนัน่ เอง ขนั ธ์หา้ นึกคิดรู้สึกพรอ้ มกาย ใจ จติ โง่นีเ้ กดิ ดบั เกิดดบั ปจั จุบัน ทุกขณะไม่รู้จักหยุดสกั ที เป็นมหันตทกุ ข์ทีเดียว เกดิ กันไป อยูก่ นั ไป ตายกนั ไป อยา่ งมืดๆ ดอ้ื ๆ ไมร่ ู้จักเข็ด as fate, no choice ประโยชน์หาไม่มี นอกจากมสี ตปิ ัญญารจู้ กั คุณโทษ (ส�ำหรับมนษุ ย์หรือท่สี ูงกว่าเท่านั้น) ถ้า มีสติปัญญาและโดยเฉพาะมีมหาบุญลาภหนุนหลัง บุญบารมีท�ำไว้ได้เกิดเป็นคน แม้ เทพ พรหม สมัยท่ีมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดประกาศพระธรรม มีพระสงฆ์ ซ่ึงในกัปหน่ึง (หลายพันลา้ นปี) จะมสี กั ครั้ง หรือหา้ ครงั้ หรือไมม่ ีเลย เหมือนสายฟา้ แลบครง้ั เดยี วในราตรี ที่มืดมิดตลอดกาลนานแห่งวัฏธรรมอันหาต้นปลายมิได้ ได้สร้างบุญบารมีเป็นเหตุก�ำหนดให้ เกดิ กับบุคคลน้ัน ตอนน้นั เวลานนั้ สมัยนนั้ ทน่ี ัน้ ๆ เป็นบวั เหนอื น�้ำไดถ้ กู แสงพระธรรมกพ็ อ รอดตัวไป ต่อให้แสนหน่ึงล้านหนึ่งก็นับว่าน้อยมากเทียบกับสัตว์โลกจิตบอดทั่วโลก ทั่ว โลกธาตจุ ักรวาล แตย่ อดพรหมโลกถงึ ก้นนรก ดูแตส่ ตั ว์ในนำ�้ เพยี งเท่านัน้ ก็นับไมไ่ หว ล้วนอยู่ เพราะอวิชชา สกั กายทิฏฐิ วา่ เรา-เรา ego-self, subjective-objective รู้สึกตน รู้สึกตัว แตใ่ นท้อง แต่คลอด แตเ่ ชา้ จนค่�ำ แตค่ �่ำจนเชา้ ฝนั กห็ นไี ม่พ้น สลบ ตาย ก็หนไี มพ่ ้น รู้สกึ เวลา รู้สึกทุกข์ เป็นยิ่งกว่ามาร เพราะอวิชชาธาตุน้ีครอบไว้หมด แม้มารจิตได้อวิชชามืด ชนดิ ไม่รู้ตัวว่ามืดเสยี เลย เรอื่ ง กาย ใจ ชวี ติ รูส้ กึ เวลา ทุกข์ หนไี ม่พน้ ทั้งกายทั้งใจ 230

พระโพธิสัตว์เจ้าท้ังหลายต้องอาศัยเพยี รสรา้ งบุญบารมี มที าน ศีล ภาวนา เปน็ ตน้ มุง่ ดิ้นให้หลุดพน้ มดื นับเปน็ หลายแสนชาติ พวกขอเปน็ เรอื พ่วง พวกมงุ่ เปน็ สาวก พระสงั โฆ ไดเ้ กดิ เปน็ ดอกบัวเหนือน�้ำ กต็ อ้ งสรา้ งบญุ บารมสี บิ ของสาวกไม่นอ้ ยกว่าหกหมื่นชาติ กวา่ จะ ได้เปน็ สาวกแท้ จติ ถึงแสงสว่าง สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาญาณ แสงสว่างจิตพน้ โลก ดบั หวั อวิชชา คือความไม่เห็นธรรม (ดา) ในกาย ใจ ชีวติ ท่วั ไป ความนกึ ว่า ตน เรา เขา ego คงที่ ดบั ไดเ้ ดด็ ขาด แจ่มแจ้ง พระอริยสัจสี่ พระนพิ พาน รู้เรอ่ื ง รสู้ กึ เวลา กาย ใจ ทกุ ข์ เพราะพทุ ธสติ สตปิ ฏั ฐานไมเ่ กิด รู้สักแต่รู้ คือวางกังวลขันธ์ห้า วางกังวลทั้งหมด ยังไม่ส�ำเร็จผล น่ันคือสัตว์โลก ถา้ เจรญิ สติได้ส�ำเรจ็ การนกึ หลงดับ วิญญาณ (รู้ นึก) หลงดบั ตณั หาดับ เวลา (สัญญา อดีต ปจั จุบนั อนาคต หลง) ดับ รอู้ มตธรรม วสิ งั ขาร ไมม่ เี วลาเชน่ นน้ั จรงิ ทุกขด์ ับ 231

ปัจจุบันโอกาส (สายฟ้า)  ในมดื อนนั ตกาล โอกาสของผู้เปน็ ผลแห่งเหตดุ ี บารมีสบิ อนั ได้ทำ� ไว้แลว้ ในอดีตและปจั จบุ ัน กค็ ือ ๑. ผู้ที่อยู่ในสภาพล�ำบากทางกาย ชีวิต ทรัพย์สมบัติ การงาน ด้วยความบังเอิญ เมื่อถึงคราว (when the time comes everything come) ได้รู้พระพุทธธรรม ได้สติ ได้ปัญญา วางท้ิงทุกอย่าง ห่วงอาลัยทั้งหลายไปเลย วิชชาเกิด อวิชชาดับ โลกหลงดับ ปญั หาโลก ภพ ตน ตนหลงดบั ไป (อวิชชาดบั โดยไมม่ ีเศษ สังขาร (คิดหลงแบบโลก ตน- เรา-เขา-space-time-movement (of whom) ดบั เพราะความคิดหลงว่าตน เรา ego self ในกาย ใจ ชวี ติ ขนั ธ์ห้าดบั โลกสมมุตดิ ับ รู้ทนั ที หลง (อวิชชา) ทุกขเ์ ท่าน้ันเกดิ ทกุ ข์ (อวิชชา) เทา่ น้นั ดบั ธรรมชาตจิ รงิ untemporal วมิ ตุ ติ ไมม่ กี าย ใจ โง่ สมมุติ ไมม่ ีปญั หา พระพทุ ธองคท์ รงกล่าวพระนพิ พาน ๒. ผู้เป็นผลของบุญบารมีปางก่อนได้ท�ำไว้ระดับกลาง พอมี พอกิน สุขๆ ทุกข์ เมื่อ ถึงเวลา (when the times comes everything come) ไดพ้ บพทุ ธ หลุดออกไป วางทงิ้ หว่ ง ทุกอย่าง ใจจิตพ้นมืดทุกข์ พ้นห่วงขันธ์ห้า วางกังวลท้ังหมดได้ ถึงสว่างสัจธรรม โลกหลง ทุกขไ์ มม่ ี ๓. ผู้เป็นผลบุญบารมีเก่าชั้นเลิศ วางตัณหาอุปาทานในกาย ใจ ห่วงกังวลทุกอย่าง ทิ้งทกุ ขไ์ ปนานแลว้ โสดาบัน เอกพชี ี เปน็ ต้น 232

โคลงพุทธ ไทย – ฝร่ัง Poetry mixed นำ้� มหาสมุทร ไมห่ ลงคลืน่ อาการ จHิต2Oไมc่หoลnงsอtาaกnาt รaจnติ dสnังขoาt รup-down Mind realizes its ‘movings’ วิสังขารตรงขา้ มสังขาร ‘The Uncondition’ behind conditions นิพพานไมไ่ กลใจสติ Nibbana be with (Knowing – Knowing only.) ไม่อยูไ่ กล Not far อนาลโย วิปฺปมตุ โฺ ต ‘End all concerns’ – free The Mind from ‘le Monde’. สน้ิ กงั วลหลดุ พน้ ไป ErlsÖ ung 233

“รู้” “รู้” ได้ยิน ไดฟ้ ัง ได้เหน็ ไดค้ ิด ลดทกุ อย่างลงเพยี ง “รู้” โลกสมมุตทิ ั้งส้นิ ลดลงไปเป็น “รู้” “สกั แตร่ ู้” เปน็ พุทธสติ มหาสติ ดบั เพลดิ เพลิน โง่ ยึดมัน่ ด้วย “รู”้ วิญญาณ วิญญาณ “ร้”ู หลง ดบั ดบั ตนหลง โลกหลง ขนั ธห์ า้ หลง สังขาร อวชิ ชา ทกุ ข์ ดับไปท้งั หมดทนั ที หรอื เกือบทัง้ หมด พระพุทธองค์ทรงกลา่ ว สติปัฏฐาน ภาวนา รู้ สกั แต่รู้ ไมพ่ ึงยึดมน่ั เป็นหนทางเดยี ว สตหิ ยงั่ ลงสู่อมตธรรม ธรรมจรงิ โลกหลง ขนั ธห์ ้าหลง สงั ขารหลง ดบั เป็นอันดบั (นิโรธ) โง่-ทกุ ข์ สิ้นเชิง 234

พอ่ คา้ ช้นั เยีย่ มรธู้ รรม สมัยเม่ือข้าพเจ้าจบโรงเรียนก่อนรับราชการ นานก่อนสงครามโลกคร้ังที่สอง เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๔๐ ได้มีโอกาสขึ้นรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดอุตรดิตถ์ ถ่ินก�ำเนิด น่ังรถช้ัน ๓ น่ังตรงข้ามกับพ่อค้าจีนธรรมดาๆ สมัยก่อนโน้นสวมเส้ือกุยเฮงขาว กางเกงจีน ได้สนทนา พอรจู้ ักกนั กเ็ ลยถามเขาวา่ “ล้ือคา้ ขายอย่างง้ี ถ้าเกิดขาดทุนลม่ จมลงจะวา่ ยังไง” แกตอบวา่ “ขาดทุนหรอื กำ� ไรหรอื ล่มจม ก็เฉยๆ” อีกคนหนึ่งเป็นพ่อค้าคนไทยที่ในเมืองเชียงใหม่ เคยเป็นข้าราชการมาก่อน คือ คุณขาว สุวรรณประเทศ ตอนนั้นข้าพเจ้าเพ่ิง ๓-๔ พรรษา อยู่วัดเจดีย์หลวง ไปร้านเขา บอ่ ยๆ รูจ้ ักกันดี มองดขู ้าวของในร้านมากมายเกดิ วติ กแทนเขา ถามเขาว่า “ถา้ เกิดไฟไหม้ โยมมีร้านอย่างงี้จะว่ายังไง” เขาตอบวา่ “ผมนึกอยเู่ สมอวา่ เมอ่ื เกดิ มามีแตก่ ายล่อนจ้อนเทา่ น้นั ” ถ้าใจเขาเป็นเชน่ นน้ั นับว่าเยีย่ ม 235

(พิเศษ) ๒๕๓๕ พ.ศ. ๕๐๐๐ และตอ่ ไปไม่ส้ินสดุ หรือผเู้ รยี นพุทธไมแ่ ปลกใจ ผเู้ รียนพทุ ธย่อมรู้ตามพระพุทธองคว์ า่ เมอื่ เลยกึ่งพุทธกาล คือ พ.ศ. ๒๕๐๐ ไป สภาพ มนษุ ย์จะเสื่อมลงไปทกุ ที ซ่งึ ความจริงได้เร่มิ เสอ่ื มมาแล้ว ส�ำหรับภิกษสุ งฆ์ทมี่ คี วามสามารถ ศึกษาปฏิบัติตามพุทธศาสนาจนถึงบรรลุโลกุตตรธรรมมรรคผล หรือสามัญผลของพระภิกษุ ต้งั แต่ตอนปลายพุทธกาล สมยั ทพ่ี ระพุทธองค์ทรงชราภาพ และมีจ�ำนวนพระภกิ ษุมากมาย แต่ท่ีบรรลุธรรมมนี ้อย ชนิดที่ฟงั ธรรมเทศนาครงั้ เดยี วสำ� เร็จธรรม หรอื ปฏบิ ตั ิธรรมภายหลงั ไม่นานมีน้อย พระพุทธองค์เมื่อมีผู้ถามถึงเรื่องนี้ได้ทรงอธิบายถึงปัจจัยธรรมดาของโลก นับแต่ขณะของโลกธาตุ และการกระท�ำของภิกษุสงฆ์เอง และสภาพสังขารมีหลายประการ ด้วยกันนบั ราวสิบประการ เมอ่ื ถงึ พ.ศ. ๕๐๐๐ พระภิกษุในสมยั น้นั จะมีแต่ผา้ เหลอื งหอ้ ยหเู ท่าน้ัน จ�ำธรรมคาถา ได้เพียงไม่ก่ีค�ำ ยืนอยู่ทางสี่แพร่ง มีกะลาวางอยู่ ใครอยากท�ำบุญก็หยอดเงินลงไปในนั้น ก็คงมีน้อยมาก เพราะสังคมมนุษย์ทั่วโลกเข้าขั้นเส่ือมลงจนเหลือจะวาดภาพได้ ฉลาดขึ้น มากมายทางวตั ถุ วิชาการวตั ถุ สังคมโลกวตั ถแุ ตป่ ระการเดยี ว มชี วี ติ อย่อู ยา่ งเดยี รฉานทาง ด้านจิตใจความประพฤติ และด้วยเหตุสองประการนี้ คือเจริญทางวิชาการ technology วัตถุ สังคมวัตถุ และความเสื่อมทางจิต ใครๆ ก็สามารถท�ำอาวุธวิเศษด้วยตนเองได้ และ เป็นคนโมโหง่ายมาก และอาวุธวิเศษที่ตนท�ำเองได้เล็กขนาดไข่ก็จะปาใส่กัน ฆ่ากันเองตาย เกอื บหมดโลกภายในเจด็ วนั คนที่เหลืออยู่ไม่ถูกฆ่ามีน้อยมาก อยู่ในท่ีห่างไกลอย่างเรียบๆ ตามธรรมชาติ อย่าง คนเขา ของเมอื งไทยเราเมอ่ื ราว ๖๐ ปี (หกสิบ) มาแล้ว ก่อน พ.ศ. ๒๕๔๑ และผเู้ ขียนได้อยู่ รว่ มดว้ ยเป็นประจ�ำรวมด้วยกนั ราวเก้าปี ที่แน่เก้าพรรษาทเ่ี ชียงใหม่ ใน พ.ศ. ๕๐๐๐ อายมุ นุษยล์ ดนอ้ ยลงไปมาก และต่อไปกล็ ดลงไปทุกที จนถึงสิบขวบ เทา่ กับแกม่ ากตาย หญิงอายุ ๕ ขวบ มีลูกได้ 236

เมอื่ ถึงจดุ สญู ของโลก กเ็ ร่ิมพัฒนาการจากจดุ ตำ่� สุดข้ึนไปใหม่ ศลี ธรรมของคนยุคใหม่ ดีขึ้นมาก ด้วยอานิสงส์น้ีคนรุ่นลูกหลานต่อๆ ไป อายุก็มากข้ึนทุกที คนเกิดดีตามกรรมหรือ ธรรมชาติมีมากมาย จนถึงข้ันไร้เดียงสาอย่างเด็กอ่อนไม่รู้จักว่าชั่วเป็นยังไง ถ้าสมมุติว่ามี ใครไปพูดว่า “โกหก” ก็จะเทียบได้กับชาวนาไทย หรือแม้คนมากมายในกรุงเทพฯ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้ยนิ ค�ำวา่ “รัฐธรรมนญู ” ไมร่ วู้ ่าอะไร ชอ่ื คนกระมัง อายคุ นรุ่นต่อๆ ไป ค่อย มากข้ึนทุกทีจนถึงห้าหมื่นปี จึงเรียกว่าแก่ตายเป็นธรรมดา ถึงตอนนี้สภาพจิตใจคนเร่ิม ตื่นขึ้น ไม่ใช่ดแี บบไร้เดยี งสา innocent มคี ิดพดู ท�ำเปน็ บญุ บาป รเู้ รือ่ งบุญบาปชนิดทว่ั ๆ ไป ถึงตอนนัน้ พระพทุ ธเจา้ องคต์ อ่ ไปคอื พระศรีอรยิ เมตไตรย จงึ จะทรงอบุ ตั ขิ ้นึ ความจริงสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้เกิดเป็นชาวชมพูทวีป และได้บวชอยู่ในคณะภิกษุ สงฆข์ องพระโคดมเจา้ ตง้ั แตน่ างวิสาขายงั ไม่ตาย วันหน่ึงนางวิสาขาให้ทอผ้าจวี รอย่างดพี ิเศษ เน้ือละเอียดเบา สีประหนึ่งเปลวเพลิง หวังจะถวายแด่พระพุทธองค์ที่ประทับเป็นประธาน หัวแนวล�ำดับพระภิกษุตามพรรษาแก่อ่อนจนถึงพระบวชใหม่ คือพระภิกษุหนุ่มรูปหน่ึง เมื่อ นางวสิ าขาถวายจีวรวเิ ศษแกพ่ ระพุทธองค์ แตไ่ ม่ทรงรบั นางวิสาขาก็ถวายแก่พระอรหันต์เจา้ มหาเถระองคต์ ่อไป ท่านกไ็ มร่ ับ องค์ตอ่ ๆ ไปกไ็ ม่มใี ครรับ จนถึงองค์สดุ ท้ายที่บวชใหม่จึงรบั นางวิสาขาเสียใจรอ้ งไห้ต่อหน้าพระพักตร์ พระพุทธองคท์ รงกล่าวแกเ่ ธอว่าอย่าเสียใจไปเลย ผู้ท่รี ับน้นั เป็นคนสำ� คัญ สงั ขารโลกย่อมแปรผนั ไม่สิ้นสดุ เปน็ ธรรมดา โลก เทวดา พรหม มนุษย์ เดยี รฉาน ผี เปรต สัตวน์ รก ย่อมปรากฏขึ้น ดับไป ต่อๆ ไป หาทส่ี ดุ มไิ ด้เป็นธรรมดา พระพทุ ธเจา้ ภิกษุ สงฆ์สาวก (แต่พระโสดาบันข้ึนไป) และพุทธบริษัท หรือพุทธศาสนาในชวนะสังคม ไม่ใช่ สัจธรรม กม็ ีขน้ึ หมดไปเร่อื ยๆ เป็นธรรมดา ไม่รูก้ ี่พันแสนล้านโกฏิปีไมส่ นิ้ สุด ทางวิทยาศาสตร์ฝรั่งเพ่ิงมาคาดหรือก�ำหนดด้วยวิชาค�ำนวณสมัยใหม่ และวิชา ดวงดาวจกั รวาล Astrophysics ว่า ดวงดาวทัง้ หลาย จกั รวาลทัง้ หลาย เกดิ จากจุดระเบิดที่ เราเรียกว่า “ปัง” หรอื Bang แห่งพลงั งาน energy ท่รี วมตวั กนั หนกั กวา่ วตั ถุ (matter) หรือ พดู ให้ถูก อนภุ าคไฟฟ้า electrical particle บวก, ลบ, กลาง ทีต่ ่อมาหลงั จาก Bang จะ เปลี่ยนจากสภาพเบาลอยอยู่บนพลังงานเหมือนใบไม้แห้งลอยอยู่บนหัวกลายเป็นสภาพหนัก 237

คอื รวมเข้าหากัน กลมุ่ ไฟฟ้าศนู ย์กลาง นิวเคลยี ส และ electron เปน็ atom อะตอมปรมาณู เมื่อพลังงานเสียก�ำลังไป วัตถุ matter เบามาก มีอนุภาคไฟฟ้า electron ลบ เพียงหนึ่ง เกิดขึ้นแทน คือ ฮีเลี่ยมและไฮโดรเจน และก็เช่นสังขารท้ังหลายแปรเปลี่ยนไปเร่ือยๆ มี วัตถุหนกั ทป่ี รมาณู มีอเี ลก็ ตรอนหมนุ รอบนิวเคลียสมากขน้ึ เรื่อยๆ ทัว่ ไปไมม่ ีแสงสวา่ ง มีแต่ มืด กลุ่มวัตถุมหาศาลเกิดขึ้นหมุนรอบๆ ตัวเอง แล้วแตกกระจายออกไปเป็นกลุ่มย่อย เหลือคณานับ แต่ก็ไม่ใช่ย่อยเพราะบางกลุ่มใหญ่กว่ากลุ่มอาทิตย์และดาวบริวารท่ีเรียก Cosmos เช่น ทางช้างเผือกมากมาย ผลก็คือกลุ่มวัตถุมากมายรัดตัวเองด้วยก�ำลังเหว่ียง Gravitation จนถึงจุดหน่ึง ความร้อนเกิดขึ้น เกิดเป็นดาวสว่างหรืออาทิตย์ ดวงดาวอย่างท่ี เห็นกเ็ ปน็ ดาราอรา่ มท่วั ไปหมดทุกแห่งหนจนบดั น้หี ากลอ้ งดูไดไ้ มท่ ัว่ ไม่มที างทัว่ สังขารไม่เท่ียง เมื่อกลุ่มอาทิตย์แต่ละกลุ่มหลายพันล้านดวงหมุนลอยออกจากกันจาก จดุ ระเบดิ เดมิ กจ็ ะดงึ ระยะหน่ึงท่ีเป็นขอบเขต limit หรือจุดหยุด momentum หรือทรงตวั แต่การทรงตัวกเ็ ปน็ อนจิ จงั อยูไ่ ดเ้ พยี งขณะหนงึ่ และเมื่อถงึ ขอบเขต limit แลน่ ออกไปไม่ได้ แลว้ หยุดก็ไมไ่ ด้ ก็แลน่ ถอยกลับจนมาชนรวมกัน เกิดระเบดิ เกดิ พลังงาน แลว้ ก็เกดิ สร้าง โลกจักรวาลมากมายกันใหม่ เป็นเร่อื งไมส่ ิ้นสดุ หาต้นปลายไมไ่ ด้ ในพระพุทธศาสนาก็ได้กล่าวไว้แล้วว่า โลกธาตุมีนับไม่ถ้วน ชนิดเล็กหมุนรอบๆ รวมกันเป็นชนิดกลางๆ หมุนรอบๆ กันเป็นชนิดใหญ่ ชนิดใหญ่มีนับไม่ถ้วน แบบจ�ำนวน Cosmos Universes แมจ้ นบัดน้ไี มม่ กี ล้องใดมองเหน็ ได้หมด เม่ือคราวโลกแผ่นดินจะถูกท�ำลายด้วยความร้อนไฟนี่ ไม่ใช่ไฟจากธาตุไม้ เป็นไฟ ไม่มีควัน หรือไฟพลังงานหรือ electrons ท่านก็ได้แสดงไว้แล้วเป็นระยะๆ ต้ังแต่ความ แห้งแล้ง ความร้อนที่เพิ่มมากข้ึน น้�ำทะเลมหาสมุทรค่อยลดลงๆ จนเหลือแค่แข้งแค่ตาตุ่ม แล้วเหือดแห้งไปเลย จนในท่ีสุดสลายไปด้วยธาตุไฟท่ีไม่มีควัน เพราะสังขารไม่เที่ยง เม่ือ ถึงเวลาก็เกดิ โลกขนึ้ ใหมอ่ ีก โลก โลกธาตุ ไมใ่ ชม่ อี นั เดียว มีเหลือนับ ทไี่ หนเย็นพอสมควร มีน้�ำมากกว่าแผ่นดินมากมาย ผืนแผ่นดินน้ันก็เรียกว่าชมพูทวีป หมายถึงผืนดินใหม่ continent ไม่ใช่เฉพาะอินเดียปัจจุบัน ไม่ว่าบนโลกไหน ในท่ีน้ันก็จะมีสัตว์โลก Worldly beings ปุถุชน ต้ังแต่ยอดพรหมจนถึงเทพ คน เดียรฉาน อุปปาติกะ กายทิพย์ จนถึง สัตวน์ รก 238

เพราะจติ อะไรระเบดิ ไมไ่ ด้ เป็นเพยี งพลงั งานชนิดหนึง่ ทีส่ ามารถรไู้ ด้ รู้คิดด้วยอ�ำนาจ ธรรมชาตมิ ดื Blind Force Universal อวิชชาธาตุ หรอื ร้ถู ูกด้วยอำ� นาจ ธาตสุ วา่ งเปน็ ธรรม พน้ โง่ คือธรรมพน้ โลก โลกตุ ตรธรรม พุทธปญั ญา พุทธญาณ จิตธาตุ มีแต่มดื หรอื พ้นมดื เทา่ นั้นเอง เพราะฉะนน้ั สภาพโง่ อวชิ ชาธาตุ จงึ ทำ� ใหจ้ ติ เศร้าหมองลำ� บากเพราะตายจรงิ ไมเ่ ป็น ไม่มีทางพ้นจนกว่าถงึ แสงสวา่ งแหง่ พุทธธรรม เพราะขันธห์ า้ กาย ใจ สขุ ทุกข์ ที่ เกิดดบั อย่เู รือ่ ยๆ คูก่ ับจิตมดื อวิชชาปจั จยา สงั ขารา (ไมร่ ู้สภาพจรงิ แลว้ กค็ ิดไปแบบโง่ๆ) ตามพระมาติกาหรอื อภิธรรม ไมว่ ่าชนิดไหนน่ีมีอวชิ ชาอยดู่ ้วย มสี ภาพอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา สุขน้อยมาก ดสู ตั ว์ดูคนกแ็ ลว้ กนั ไมต่ ้องถึงผี เปรต สัตวน์ รก มากมาย นับเอาเฉพาะสตั ว์ มีเลือด สมมุตวิ า่ ตลอดระยะเวลาแสนยาวนานเกบ็ เลือดทีไ่ หลออกเพราะถกู ฆ่า ปริมาณเลอื ด เฉพาะคนๆ เดียว ก็มากกว่าปริมาณน�้ำในมหาสมุทร น�้ำตาที่เกิดจากทุกข์โศกก็เหมือนกัน น่ีคือโทษของโง่ กิเลส วัฏสงสาร แม้ว่าเป็นระยะๆ โลกจะถูกท�ำลายด้วยความร้อน เย็น หรอื น้ำ� แต่จติ โง่พร้อมท้งั ผลของโง่คือขนั ธ์ห้า กาย ใจ ชนดิ ละเอยี ด เชน่ พรหมชน้ั สูง ก็อยไู่ ด้ ในตอนน้ัน ที่เกิดไม่มีเพราะอ�ำนาจบุญเก่าซึ่งมีด้วยกันทั้งน้ันมาช่วยสนับสนุน ก็เกิดเป็นสัตว์ มีนามในขันธ์ห้า อยู่ได้เพราะไม่มีรูปให้ถูกท�ำลาย หรือเป็นสัตว์แสงสว่างก็ได้ เมื่อเกิดโลก เกิดแผ่นดินที่มีน้�ำมากมายหลังจากฝนตกหนักนับหมื่นๆ ปี เมฆหมอกค่อยจางลงแล้ว สัตว์ แสงสว่าง ก็ลงมาผัสสะถูกน้�ำอันบริสุทธิ์แท้มีรสเลิศ ก็เหมือนปลายล้ินคนถูกไอศกรีมอย่าง รสเลิศ เสรจ็ ติดอยู่กับรส ไม่กลับไปสวรรค์ชัน้ ฟ้าอกี แลว้ ย่ิงกินยิ่งอยาก เช่น สัตว์ทกุ สมยั ขอบเขตไม่มี รสหยาบประกอบด้วยวัตถุหยาบก็เข้าไปสะสมในตัวผู้กิน ถึงขณะหนึ่ง limit ก็เกิดตัวกายหยาบทันที ความสว่างในตัวดับพรึบ จึงเห็นสว่างข้างนอก เช่น ดาวเดือน เกลื่อนนภา ทีแรกก็ไม่มีเพศ แต่กิเลสมันมีอยู่ท่ีขันธ์ห้า จิตก็มืดด้วยอวิชชา ท่ีสุดก็เกิด เพศชายหญงิ ผเู้ มียขนึ้ เจรญิ เสื่อมเกิดดบั กนั ต่อไป ทุกขเ์ สมอไม่ส้นิ สดุ สรปุ แล้ว สภาพธรรมเป็นธรรมของสัตว์โลก แม้มหาภูตธาตุ วิญญาณธาตุ อรยิ สัจสี่ พระนพิ พาน จติ มืด จิตพ้นมดื เพราะคดิ ผิด คิดถูก (อริยปัญญา สัมมาญาณ สัมมาทิฏฐ)ิ ก็เป็นปกติธรรมดาธรรมอยู่อย่างน้ัน เหมือนมหาสมุทรตัวแท้คือธาตุน�้ำ คงเป็นธาตุน้�ำเสมอ คลื่นอาการผิวน�้ำวิ่งก็ว่ิงกันอยู่เป็นปกติ แต่ลูกคล่ืนว่ิงถึงปากน�้ำสมุทรปราการ (สมมุติว่า ฝ่งั นิพพาน) มีนอ้ ยมาก แต่กม็ ีอยู่เป็นครั้งคราวเสมอ โลกไม่วา่ งจากพระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ต์ พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ เหมือนปลาเกือบหมดโลกว่ายตามแรงน้�ำ แต่ปลาว่ายทวนน้�ำตก ยงั มีอยเู่ สมอ แต่นอ้ ยมาก 239



๑ เมษายน ๒๕๔๒ ปใี หม่แบบไทย ธรรมบนยอดสวนทิพย์ (กุฏขิ องทา่ นบนชั้น ๑๖) สกั แต่ พุทธสติ รู้ สักแตร่ ู้ ดบั กงั วลทัง้ หมด จติ อสิ ระปรากฏ จติ อยูก่ ับจิต ไมม่ สี ังขาร อารมณ์ โลภหลง พน้ ขนั ธ์ ๕ หลง ขันธ์ ๕ หลงดับ... จติ สติเป็นจติ พทุ โธ พน้ หลงสังขาร ขนั ธ์ ๕ หลง ถึงสัจธรรม วิมุตตธิ รรม พ้นอวิชชา กาย...ใจ สมมุติ เป็นทีพ่ ึ่งไดจ้ ริง กาย...ใจหลง...จิตหลง...อสัจธรรมโลกหลง ไมเ่ ป็นทพ่ี ง่ึ ได้ พระพุทธองค์ทรงกลา่ ว สติหยั่งลงสูอ่ มตธรรม วิสงั ขาระคะตังจติ ตัง จติ ตถาคตหยงั่ ลงสูว่ ิสงั ขาร (ตรงขา้ มสงั ขารหลง) คือพระนิพพาน สติ ร้.ู ..สักแตร่ ู้ หรือเมือ่ เหน็ รูป รปู นนั้ สกั แต่เหน็ จติ รู้จักจติ พน้ หลงขนั ธ์ ๕ ถึงสนั ตวิ สิ งั ขาร วมิ ตุ ติธรรม พ้นสมมุติธรรม อนั อาศยั กาย ใจ อวชิ ชา ตณั หา อุปาทาน หรอื ...เมื่อเห็นรูป รปู นนั้ สักแตเ่ ห็น...เปน็ พทุ ธสติ จิตพ้นเกาะกังวลขนั ธ์ ๕ สงั ขาร

๒๑ เมษายน ๒๕๔๒ ธรรมเทศนา น่ีปี ๒๕๔๒ แล้ว พวกท่มี าเกดิ ตอนน้ี ก็ยงั นบั วา่ เปน็ มหาบญุ ลาภ ถา้ มาเกดิ ชา้ กวา่ น้ี อีกร้อยๆ ปีช้ากว่านี้จะเป็นอย่างไร ความไม่เที่ยงของคน จิตใจมันประหลาดคนอายุมากๆ คราว ๕๐-๖๐-๗๐ ปี เดยี๋ วน้ีแม้แต่เพศกว็ ปิ รติ เกดิ มเี กย์ มีอะไร กลายเป็นนยิ มไป คนแต่กอ่ น เขาถือว่ามีกรรมแล้ว เด๋ียวน้ีมันแย่ อนัตตา ถึงคราวเส่ือมถึงคราวพังก็พัง...แต่ถ้าไม่ถึงก็ยัง ไมเ่ ปน็ “ความทกุ ข์ ทจ่ี ริงเปน็ สิ่งดี ทกุ ขน์ ดี้ ีจะไดเ้ บื่อ” เบ่ือว่า กูไม่อยากเกิดมาแล้วโว้ย จะได้ปรารถนาออกจากกาม เพราะถ้ามันสุขเรื่อย มนั จะลืมตัว มันจะพาเวยี นวา่ ยตายเกดิ อย่อู ยา่ งนน้ั ละ ท่านพอ่ ลี (วัดอโศการาม) ทา่ นบอกว่า “ความทกุ ข์นคี้ ือดอกไม้ถวายพระพุทธเจา้ ” คดิ ดู พจิ ารณาดูให้ดี มันยงุ่ ยากวนิ าศเลย ตัง้ แตอ่ ยู่ในทอ้ งแม่กล็ ำ� บาก คลอดออกมา ก็ล�ำบาก อยู่ก็ล�ำบาก อยู่อย่างพวกชาวเขา อยู่อย่างบ้านนอกก็ล�ำบากแบบชาวเขาแบบ คนบ้านนอกอยู่อย่างคนในเมืองก็ล�ำบากแบบชาวกรุง ชาวกรุงน่ีกฎเกณฑ์เยอะ กฎหมาย กฎอะไรมากมาย มันยุ่งไปหมด ทุกอย่างมีแต่นับเป็นค่าใช้จ่าย มีแต่ความเอาเปรียบ เบยี ดเบยี น อยู่ลำ� บากนะ ชีวติ ในเมอื งใหญ่นี่ ถ้าคนไมพ่ จิ ารณาก็ไมเ่ หน็ หรอก น่ีแหละพอคิดเบื่อ พอคิดได้ พอคิดจะท�ำการบ้าน (Home work) มันก็มาก จะขนฝุ่น ไปทิ้งกย็ ากตอ้ งเหงอ่ื ตก กว่าจะเพยี งเริ่มท�ำความสะอาด เหน็ ทุกขเ์ ยอะๆ ดจี ะได้เบอ่ื คอื มัน ต้องเลิกเอาท้ังหมด = จึงหมดเรื่อง ถ้าว่ายังอยากอยู่ละก็ไปไหนไม่รอดหรอก มันต้องแบบ ตายกช็ ่างหวั มนั สละกายใจไดไ้ ม่ห่วง แตม่ นั กย็ าก พระพทุ ธเจ้า จงึ ทรงว่า ความหวังท่ีละ ได้ยาก เพราะคนมันหวงั คำ� วา่ ความหวงั ทล่ี ะไดย้ าก คือ ๑. ความหวังในลาภในทรพั ยส์ มบตั ิ ๒. ความหวงั ในชวี ติ 242

ทุกวันนี้คนมันตายกัน มันฆ่ากันเพราะทรัพย์สมบัติ แม้นรกกูก็ไม่รู้ไม่รับรู้ นั่นละ มันแย่ ในอังคุตตรนิกายมีว่า ความหวังท่ีจะละได้ยากคือละลาภ ละสมบัติเลิกหวังในลาภ กเ็ ลยขน้ั พระโสดาบนั แลว้ เข้าทางพระอนาคา ทา่ นเลกิ สนใจทัง้ หมด เป็นฤๅษเี ขา้ ป่าไปเลย จิตเปน็ พรหม จติ เป็นฌาน (สมาธิ) พรหมท่านกนิ ฌานเป็นอาหารกนิ ปตี สิ ุข ความสบายกิน ฌานเปน็ อาหาร สบายดีมากโยม แมเ้ ทวดายงั กนิ อาหารทิพยเ์ ทียบหยาบๆ เหมือนเอาเชอรี่ (cherry) วางบนไอศกรมี แหมมันสบาย ทง้ั เย็นทัง้ หวาน อย่างเรื่องอธิษฐานบารมี พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านต้องตั้งจิต ต้องกระท�ำมาแล้ว ทั้งนั้น ตอ้ งตงั้ ใจไว้จริง แลว้ มีการกระท�ำพร้อมดว้ ย เหมอื นอยา่ งคนทีอ่ ธษิ ฐานว่า ด้วยผลบุญ ด้วยอานสิ งส์ อนั น้ขี อให้สำ� เรจ็ พระนพิ พานในท่ีสดุ เทอญ การอธษิ ฐานท่ีถกู ต้อง ตอ้ งมุ่งพระนิพพานเท่านนั้ อย่างอาตมานี่ มีอธษิ ฐานอยู่ปา่ ๒ หน (บ้านยางผาแดน่ ) กบั บา้ นบง ดา่ นซ้าย ๒ ปี สมัยก่อนคนมีบญุ มีบารมมี ากเขาท�ำมาพรอ้ มมาเต็มแลว้ อยา่ งปริพาชก ไม่กลบั มาเกิดอีก จะ ส�ำเร็จในช้ันพรหม ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “เมื่อเธอเห็นรูป รูปนั้นสักแต่เห็น” เท่านั้น ปบุ๊ เข้าใจ ตายแลว้ ไปเกิดในชั้นพรหมมปี ตี สิ ขุ เปน็ อาหาร ในสมัยพระพุทธกาลเม่ือสงฆ์ท่านประกาศว่าบ้านไดเป็นพระอนาคามี ท่านห้ามพระ ไปบิณฑบาต เพราะพระอนาคาท่านไม่สนใจท�ำมาหากินแล้ว แล้วถ้าเห็นพระบิณฑบาตน่ี มอี ะไรจะถวายหมด ไม่มีนึกถึงตวั เองอีกแล้ว ในสมยั พระพทุ ธกาลมมี ากทา่ นเหล่าน้ี อาตมาแต่ก่อนอ่านพระไตรปิฎกหมดท้ังตู้ ของส.ธรรมภักดีพิมพ์ หรือท่ีสมัยท่ีวัด ท่านพ่อลี เป็นแบบใบลานเขาอัดแกะออกอ่านเป็นกัณฑ์ เขาร้อยมาเป็นผูกเขาเรียกว่า ผูกหน่ึงๆ อาตมาก็ย่อเอาพระไตรปิฎกเอาไปอ่านที่เขาบ้านยากกะเหร่ียงทั้งหมดตั้ง ๒๐,๐๐๐ กว่าพระสตู ร ตอนนน้ั มคี นไปกราบเรยี นถามหลวงปู่เทสก์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรงั ส)ี ตอนนั้นท่านลงไปพังงา ถามถึงอาตมา ท่านเลยว่าจะไปอะไร จะไปเรื่องอะไรก็หอบ 243

พระไตรปฎิ กขึน้ เขากะเหร่ียงไปแล้ว อีกอยา่ งก็ไปไดห้ นังสือธรรมะบรรยาย (โยมเขียน) จาก วัดสุปัฏนาราม วัดเจ้าคณะจังหวัดอุบลฯ ต่อมาท่านเป็นสมเด็จบรมนิวาส (สมเด็จอ้วน ติสโส) หนังสือน้ีเขียนจากง่ายไปยาก อาตมาอ่านสติปัฏฐานรู้สักแต่รู้ ไม่พึงถือม่ันไม่พึงยัง อภิชฌา โทมนัส ใหเ้ กิดขนึ้ พอก�ำลงั ย่อ ขา้ งในมนั หมุน เกดิ รู้ทนั ทีเปน็ Intuition มนั เกดิ เอง ไปยึดรู้เป็นของจริงนี่คือโลกหลง ของอย่างนั้นมันแล้วแต่บุญวาสนา มันเป็นแล้วหมุน หมนุ แล้วไม่หมุนกลบั ก็รบี ไปบอกทา่ นเจา้ คุณวา่ สติปฏั ฐาน = รู้สักแตร่ ู้ = ขน้ั ที่ ๑. รเู้ ป็น วิญญาณ (ไม่ใช่ผี) คล่ืนมันถ่ี ภายในไม่ถึงวินาที ตัวจริงๆ มันดับ (electron, protron) ๓๐ รอบโลกในวินาทีเดียว พูดถึงครูบาอาจารย์เป็นชะตาของอีสาน คือท่านอาจารย์พระป่าองค์แรกๆ ท่านเป็น สหายกันกับ ร.๔ (ร.๔ ช่วงท่ียังผนวชอยู่ก็มีโอกาสได้พบกัน) ท่านอาจารย์นี่ท่านก็ไปอยู่ อบุ ลฯ ภาวนาจรงิ จัง ปฏิบตั ิจรงิ ๆ กบ็ รรลุ มาจนรุ่นองคท์ ่ี ๓ มาถงึ หลวงป่เู สาร์ (หลวงป่เู สาร์ กนั ตสโี ล) กเ็ ริ่มมลี ูกศษิ ยผ์ มู้ ีบารมหี ลายองค์ องค์ท่านพระอาจารย์ม่ัน ท่านมีลูกศิษย์ส�ำคัญร่วม ๕๐ องค์ บารมีท่านย่ิงใหญ่จึง มีก�ำลังมาก มีลูกศิษย์เก่งๆ จ�ำนวนมาก อย่างหลวงปู่ตื้อน้ีท่านสนิทกัน หลวงปู่ต้ือน่ีอยู่ เชียงใหม่ ท่านเป็นคนโผงผางพูดจาตรงๆ วันหน่ึงหลวงปู่ต้ือท่านไปส่งท่านพระอาจารย์ม่ัน กอ่ นไปท่านวา่ “ท่านอาจารย์ กระผมฝันเห็นท่านอาจารย์ยงั กอดต้นโพธิอ์ ย่เู ลย” หลวงปมู่ น่ั ทา่ นว่า “เออ ดี เตือนกันมงั่ กด็ ”ี อย่างท่านพระอาจารย์สิงห์ศิษย์รุ่นหัวปีของท่านพระอาจารย์ม่ัน ท่านเป็นครูของท่าน อาจารย์เทสก์ ของท่านอาจารย์ชอบ ดวงของท่านอาจารย์สิงห์น่ีสอนแล้ว ลูกศิษย์ดีและเก่ง สมใจ อาจารย์ 244

๒๕๔๔ แสดงพระธรรมเทศนา ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ชาติปัจจะยา สังขารา สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง อันนี้คือรู้เป็นอยู่บ้างแล้ว พระพุทธองค์พิจารณาน้ีก่อนวิสาขะ น่ีท่ีแสดงไว้ในอภิธรรมใช้สวด เวลาคนตาย ทีนี้ส่วนที่กลับกัน อวิชชาดับ สังขารดับ อวิชชา สังขาร...สังขาร นิโรโธ วิญญาณนิโรโธ นามรูปกค็ อื ขนั ธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ภพ ภพโลก กรรมเกิดดบั หมด ภพโลก กรรมดบั หมด ไอเ้ กดิ ๆ ตายๆ ทกุ ข์ๆ กด็ บั หมด สองอันนี่พจิ ารณากอ่ นวสิ าขบชู ากร็ ู้กันอยู่แลว้ แตว่ ่าไอท้ ส่ี ำ� คัญก็คือว่าทำ� ไม มันถึงจะ ดับอวิชชา คือรู้กันอยู่แล้วว่าทุกข์เพราะโง่ โง่ดับทุกข์ดับ แต่ทำ� ไมโง่มันจึงจะดับ ไอ้นี่ท่ีไม่รู้ อันนี้มาเกิดรปู้ ญั ญาพทุ ธ เกิดเปน็ โพธญิ าณในวนั วิสาขบชู า ท่ีพระพุทธองคท์ รงนัง่ ใกล้แม่น้�ำ เนรัญชราจวนแจ้งในตอนรุ่งวันวิสาขบูชา จนแจ้งอริยสัจ ๔ นิพพาน อันนี้จึงดับอวิชชา ดบั ทุกข์ได้ท้งั หมด ยอ่ ลงมาเอาตัวจริงๆ เนี่ยะ อ�ำมาตยม์ เี รือ่ งเดือดร้อนวิ่งไปหา พระพทุ ธเจ้า ยังไม่พูด ท่านบอกกังวลอะไรของเธอในอดีต วางกังวลของเธอในอนาคต กังวลเหมือนกัน เดยี๋ วน้ี ปึ๊บ เขาไมม่ าถามวางทำ� ไม ไมถ่ ามมากมีบุญมาก กอ็ ธิบายไมถ่ กู หรอก พทุ ธศาสน์ สเตป็ มนั พ้นอธบิ าย พุทธธรรมพ้นภาษามนั เกิดขึน้ เองก็แล้วกัน การวางไปเลยแล้วก็ปริพาชก ท่ีไปขอความช่วยเหลือข้างถนน พระพุทธองค์ทรงว่า เมื่อเธอเห็นรูปก็ให้สักแต่เห็นไปเลย เหมือนกัน อนาคาไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว จะว่าไงละฮึ น่ีธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ เขาไปว่ิง ไปตามถนนขอฟังเทศน์นี่โยมคิดดูซิ จะว่าโอ้โยมต้องเข้ามานั่งพับเพียบก่อน ขึ้นต้น อาราธนาศีลอาราธนาเทศน์ มันไม่ใช่อย่างน้ันน่ะฮึ หรือเข้าตีระฆังปุ๊บเข้าห้องเรียนนักธรรม ตรี ะฆังป๊บุ ออกสวดมนต์ ตีระฆังป๊บุ นั่งภาวนา ไอ้แบบน้ี เออ พูดกันจรงิ ๆ พระพทุ ธเจา้ ๑๐ องค์ ก็ไม่ไปไหน คือมันไม่เป็นธรรมชาติ พระพุทธเจ้าเคยบอกไว้ว่าตีระฆังแล้วฉันจะนั่งใต้ ต้นโพธ์ิน่ี ตีระฆังแล้วฉันนะจะส�ำเร็จ ไอ้เด๋ียวนี้เรามันไม่รู้เรื่องอะไรเลย อะไรก็เอาเวลา ขดี ตาตาราง มนั เลยผดิ ธรรมชาตแิ ล้ว ทมี่ ันยงุ่ กันก็เพราะอย่างนน้ั มนั ไมเ่ ปน็ ไปตามธรรมชาติ ถึงเศรษฐกิจสะเก็ดชีวิตของคนเด๋ียวนี้ก็เหมือนกัน อาตมาไปอยู่กะเหรี่ยง ๙ ปี ซ่ึงสูงที่สุด 245

ไม่มีผู้ใหญ่บ้านน่ีก็ไม่มี การปกครองเขาก็ไม่มี ตลาดก็ไม่มี เงินก็ไม่มีเพราะมันสูงมาก ชีวิต ของเขาน่ีนะ เราอยู่กับเขาอย่างเหมือนเป็นครอบครัวของเขา อยู่หลังคาหญ้าได้ ๙ ปี โยมไม่หันมันทะเลาะกันตีกัน มีอาชญากรเกะกะสักอย่างเงินก็ไม่ใช้ มีอะไรช่วยกัน ถักผ้าทอเอง ข้าวท�ำเอง แล้วงานของเขาก็เป็นธรรมชาติ คือว่าถ้าหน้าท�ำนา เขาก็ออกไป แต่เช้าตียังไม่สว่าง ถ้าหน้าเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ มันอยู่ซอกเขาเดียวกัน นามันก็เล็กๆ ไม่มี อะไร พอเก่ยี วข้าวแลว้ เขาก็ไมม่ เี รื่องท่จี ะออกเขาก็ไมอ่ อก ทีน้ีไอ้โลกท่ีเราเรียกว่าโลกสมัยใหม่ ไปสรรเสริญเยินยอให้ชื่อว่าเป็นโลกสมัยใหม่ ดวี เิ ศษน่ะ มันเกิดมาจากอะไรโยมกย็ ังไมร่ ู้ อย่างว่าไปเรียนนอกเรยี นนากเ็ ถอะ เพราะว่าเรา เช่อื แต่ทางหนงั สอื ไอ้ของจรงิ ไม่ได้มองแลว้ ไม่ได้ค้นคว้าจรงิ ๆ เสยี ด้วย เขามีโรงไปเรียนบัญชี ก็เรียนบัญชีน่ะ ประวัติศาสตร์ของเขาของฝรั่งตั้งแต่ ๕,๐๐๐ ปีมามันเป็นอย่างไรล่ะ มัน เปล่ียนมาเป็นระยะอย่างไร ประวัติศาสตร์ละเอียดนะไม่ใช่ว่าเรียนปีน้ันเกิดอย่างน้ัน ปีน้ีถึง แต่ก่อนน้ีมันก็เป็นธรรมชาติกัน สมมุติว่ามีห้องแถวมีแม่มีเด็กวิ่งเต้นค้าขายอย่างเรายังเหลือ อยู่บ้าง เช่นสมยั รัชกาลท่ี ๖ ที่ ๗ ก็เต็มไป มันไม่มกี ารไปอยู่ออฟฟศิ อันหน่งึ แล้วไปทท่ี ำ� งาน บ้านอันหน่ึง แล้วขับรถไปท�ำงาน มันไม่มีอย่างนั้น หรือปัญหาไอ้ที่จะต้องแยกออกจาก ครอบครัว พ่อแม่ไมม่ ใี ครดูแล หรือเดก็ ไมม่ ีใครดูแล มนั ไมม่ นี ะ เพราะมนั เปน็ ธรรมชาติ ถ้า ยุโรปแต่ก่อนนี้มันก็เป็นอย่างน้ัน ต้นเหตุที่เกิดเร่ืองยุ่งก็คือคราวก็ว่าไม่เที่ยงน้ันน่ะยังไม่ใช่ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความไม่เที่ยงก็คือว่ามีคนไปเห็นไอนำ�้ ดันฝา มันถึงคราวเคราะห์ว่า อย่างน้ัน เกิดไปคิดเอาไอ้น่ันน่ะท�ำเคร่ืองจักร อาตมาเรียกว่า “ไปปลุกยักษ์ให้ลุกข้ึนมา” โยมไปถามสิไม่มีใครว่าอย่างนี้หรอก เพราะเขาไม่ได้พิจารณา มีอะไรก็ดูเอาเฉยๆ เฉยๆ ไมไ่ ด้ไปดถู งึ ต้นเหตมุ นั อยทู่ ไ่ี หนเลย กม็ นษุ ย์มันมีกเิ ลสอย่แู ลว้ ก็รู้รูก้ นั อยวู่ า่ กนั ตรงๆ ไอ้ชิ้นนี้ เกดิ ขึ้นมาเปน็ วัตถุเพ่อื สนองกเิ ลสกันไป บ้านเมืองเราเด๋ียวนี้ก็เหมือนกัน เราไปท�ำโรงอุตสาหกรรมก็เพื่ออะไร เพ่ือได้เงินน่ะ ความโลภ มันก็ขยายออกไปมากมายเปน็ อุตสาหกรรมแล้วก็มันกม็ าเกี่ยวกบั การคา้ แล้วก็มา เก่ียวกับธุรกิจอีกหลายอย่างซึ่งเป็นบังคับให้ต้องมีถนนอย่างน้ัน แผนผังบ้านเมืองอย่างน้ัน มีวิธีท�ำงานอย่างน้ัน มีตารางเวลาไปหมดอย่างนี้ ทุกแห่งทุกหน ไม่ว่าโรงเล่าโรงเรียน 246

ท�ำราชการหรือท�ำการค้าอะไรมีตารางเวลาชีวิตมันเป็นตารางไปเลยทีนี้ มันไม่ได้เป็น ธรรมชาติ คือไม่เป็นเหมือนแบบชาวนาเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน ออกหน้าหนาว อย่างหน้าร้อน ออกอย่าง เวลาการท�ำงาน ได้มีเวลาสนุกสนานร่าเริง ได้มีเวลาพักผ่อนใม่ใช่มาน่ังท�ำกัน สามสี่หน มันไปเป็นอย่างนั้น มันก็จะไปหาความสุขที่ไหนได้ทีนี้ อาตมามาพิจารณาน่ีนะ ไม่ใช่มาดูต�ำรงต�ำรา เพราะว่าเป็นนักวิช่ัน เดินไปโรงเรียนก็เห็นภาพต่างๆ อยู่โรงเรียน เซนต์คาเบรยี ลน่ะ อาตมาเดนิ จากบางกระบือมาบ้าน เหน็ หอนาฬกิ าใหญ่อยู่ในอากาศ เหน็ เข็มนาฬิกา สมมุติมันเดินมาเลขแปดพับ เอ๊ ไอ้บนพ้ืนโลกน่ะวิ่งออกเป็นแถวเลย เดินมา ๖ นาฬิกา กลับว่ิงไปทางนี้ๆ ว่ิงออกบ้าน เอ๊ะนี่มันยังไงกันน่ะ มานึกมันไม่ใช่มนุษย์มัน คล้ายๆ เป็นตุ๊กตาบังคับด้วยนาฬิกาเป็นโรบอท มันไม่ใช่มนุษย์เสรีอะไร ถูกบังคับด้วยเวลา ที่กะเท่าน้ัน ซง่ึ แตก่ ่อนนี้มันไมเ่ ป็นอยา่ งนน้ั แต่กอ่ นน้ีมันเสรี เปน็ ธรรมชาติ พอหากนิ อยกู่ ับ ข้าวกับฝ่ามือ มันไม่มี Industry มันไม่มีองค์การบริษัทอะไรท่ีจะเป็นเคร่ืองบังคับให้ต้องมี แผนผงั เมอื งอยา่ งนม้ี ีกฎหมายเทศบาลเอยเยอะแยะ มันไม่มอี ยา่ งน้ี ทีน้ีพุทธศาสนาก็เหมือนกัน อาตมาก็ออกไป ทีน้ีถึงเวลาแล้วเขาก็ท�ำขอบเอาแบบ โลกน้ีออกมาครอบใส่ธรรม มนุษย์ไปไหนกันไม่รอดหรอกโยม มันไม่รู้เร่ืองอะไร แล้วไม่ได้ สงสัยว่าไม่รู้ซะด้วยเอ้าท�ำไปเลยคิดว่าถูกต้องมีเวลานาฬิกาเข้าคอร์สออกคอร์สแล้วเราไปดู ผลที่ในเมืองนอก ผลมันน้อยเหลือเกิน ท่ีเรียกท�ำคอร์สกะเวลาน้ันกะเวลานี้ สมมุติอย่างน้ี โยม เพราะนี่มันคงไมเ่ ทคนิเธียน อาตมาพดู นี้ โยมภาวนาไปอีกวินาทีเดยี วนะวปิ สั สนาญาณ 247

จะเกิดร้แู จ้งอริสัจ ๔ นิพพาน ตรี ะฆัง เป๊ง กลบั บ้าน เสรจ็ โน่น รอพระพทุ ธเจ้าอกี สิบองค์ ห้าสิบรอ้ ยลา้ นปี อยา่ งดูอยา่ งนีก้ ็แล้วกนั จะพบเป็นธรรมชาติ ที่โยมมาน่งั อยนู่ ี้ก็เป็นธรรมชาติ คือมาจากเหตุมาจากปัจจัย คือได้สร้างเหตุปัจจัยดีไว้ สร้างบารมี ๑๐ มันก็ธรรมดาอยู่เอง ให้ผลคือการเกิดกับคนนั้น สถานที่น้ัน เวลานั้น แล้วไม่พูดถึงเวลาเช้าเวลาบ่าย เหมือน พระเทวทัตกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจา้ เกดิ ตอนไกข่ นั เอ้กเอก้ เอก๊ หัวโผล่ เทวทตั เกดิ ตรง พูดตามจุดออกมาเป็นคนละอยา่ งไมต่ อ้ งเอาถงึ ขนาดนั้น สมัยพทุ ธกาลยงั ไม่สิน้ สุด พ.ศ. ๒๕๔๔ ถึงคนไม่ดีจะมีเยอะคน ดีก็ยังมีเยอะในเมืองไทย พระพุทธเจ้าที่ท่านปฏิบัติดีก็ยังมี แล้วเรา คนหนึ่งละก็เป็นดอกบัวบานหรือดอกบวั ตมู เหนือน้�ำ ไมเ่ สยี ทที ่ไี ด้เกดิ มาพบพระพุทธเจ้า เปน็ บุญบารมีอย่างมาก แล้วไม่ใช่มาสรรเสริญเยินยอ เป็นความจริง ก็นึกดูสิว่าคนหกพันล้าน เจ็ดพันล้านเดี๋ยวน้ีน่ะ ที่มาถึงพุทธมีกี่คน เอาแต่พวกเมืองพุทธอย่างเมืองไทยเนี่ย พุทธ ช้ันเยย่ี มแตก่ ่อนนี้ เดี๋ยวนีอ้ าจจะไมเ่ ย่ยี มแล้ว เอ้อ เพราะเหตุการณ์ทัง้ หลายแสดงวา่ อาการ มันไม่ได้ความ ก็พุทธแต่ชื่อก็เยอะ เราก็รู้ไม่ต้องอธิบายพุทธแต่ชื่อ จัดการในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรไม่รู้ไม่ชี้เลย มีเยอะแยะจะว่าไงล่ะ จ�ำนวนมันก็น้อย เวลาท่ี พระพุทธศาสนาจะคงอยู่น้ีมันก็น้อย เอาเสียว่าในราวห้าพันปี เดี๋ยวน้ีก็เลยกึ่งไปแล้ว เคราะห์ดีน่ะ เหตุที่เราท�ำไว้ดีเป็นตัวก�ำหนดการเกิดกับคนน้ัน ณ สถานท่ีน้ัน เวลาน้ัน ผลที่สุดได้พบกับคนน้ันได้พบต�ำราพบอาจารย์ จนผลที่สุดมาน่ังอยู่นี่ ทานก็ได้ท�ำบุญก็ ท�ำเสร็จภาวนาก็ได้ท�ำเป็นผู้มีบุญตามธรรมชาติถูกต้องแล้ว ธรรมชาติเหตุผลเม่ือได้รู้ตัว ของเราว่าเป็นอะไร คือเป็นผู้มีบุญเป็นบัวเหนือน�้ำ เราก็ฉวยโอกาสอันน้ีซึ่งมันหาได้ยาก สมมุตเิ ราสิ้นไปอยา่ งนแ้ี ลว้ จะไปไหนโยม ฮื้อ ไมร่ ู้เหมือนกันนะ ยังไม่ตายน่ียังรู้ว่าดไี มด่ ี รู้จกั ว่าดีไม่ดีไม่ใช่ไปเป็นพาลก็ไม่ได้มาน่ังอยู่นี้หรอก ท่ีจะเป็นคุณประโยชน์คือบุญจะเป็นทานศีล ภาวนาก็ถือโอกาสท�ำให้มันเกิดขึ้นเสียตั้งแต่ก่อนที่ยังมีชีวิต เพราะนอกจากกรรมดีหรือไม่ดี แลว้ ไม่มีอะไรติดตามไปได้ ทโี่ ยมกร็ ู้อยนู่ ่ี อยา่ งนอ้ ยมสี ตินกึ ถงึ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นิพพานเปน็ ประจ�ำ มนั มหี ลกั อยู่ ๒ ประการเท่านนั้ ละ หนง่ึ ตงั้ ใจปฏบิ ัติเพื่อพ้นทกุ ข์ เจริญสติ โดยสติก็บอกไว้แล้ว วางกังวลทั้งหมด end all concern ท�ำให้รู้ มันปรากฏเมื่อไร มัน end เมื่อไร ให้รู้เดี๋ยวนั้น หรือถ้ารู้สักแต่รู้ อันนี้เป็นวิญญาณสติไม่ใช่วิญญาณธรรมดา กระทบหูได้ยิน กระทบตารู้ อันนี้วิญญาณธรรมดา กระทบหูได้ยินสักแต่ได้ยิน กระทบตา 248


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook