ปีเกา่ กไ็ ดอ้ อกไปแลว้ ปใี หม่ เราก็มี ก�ำลงั เกดิ ปใี หมอ่ ยู่เด๋ยี วนี้ หัดตัง้ ตนอยู่ในความ ไม่ประมาท..... ใจคอมกี ำ� ลัง โชคดี วาสนาดี เปน็ ของหาได้ยาก .....ความจริง..จรงิ สขุ เปน็ พุทธ จริง ดี เป็นสขุ ไมใ่ ชข่ องหางา่ ย มันตอ้ งความบังเอญิ จริงๆ อนั น้ขี องหายาก เม่ือนึกถอยหลังไปตอนเราเริ่มปฏิบัติธรรม ได้เร่ิมศึกษาพุทธศาสนา บางทีมันดูเป็น เรื่องนิดเดียว คือบังเอิญนิดเดียว บังเอิญได้มาพบกัน อย่างเราท่ีได้มาปฏิบัติธรรมอยู่น่ี อาศัยความบังเอิญนิดเดียวท่ีหาได้ยาก เกิดความสงบ เราได้เกิด..ได้เกิดในสมัยสงครามโลก การงานอะไรก็ไม่มีมาก ความยากจนก็มีมาก รัฐบาลสมัยจอมพิบูลสงครามได้อนุญาตให้ ขา้ ราชการค้าขายได้ กบ็ งั เอญิ ภรรยาคลังจังหวัด เขากับภรรยาอายมุ ากแลว้ คดิ เปดิ รา้ นขาย เครอื่ งแหง้ ทข่ี ้างริมถนนเหมือนกบั คนท่วั ไป ถึงเวลาเลิกงานเราก็เดนิ กลบั บ้าน กผ็ ่านร้านเขา ผ่านคยุ ธรรมะ ก็คยุ กันไปกันมา เขาเลยพดู ขึ้นค�ำหน่งึ “ฉัน..ฉนั มอี าจารยด์ ี” คำ� น้เี องที่ท�ำให้ ชีวิตเราเปลี่ยนไป เพราะเราตงั้ นานเนไม่เชื่อวา่ มีพระดี จงึ ไม่คบหาใคร หาอาจารยช์ ื่อว่าดี๒ ก็ได้พบท่านอาจารย์กู่ ท่านอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน เขาก็ได้พาไป..ไปพบเจอคนที่รู้สมกับท่ีว่า ก็ได้พาไปกราบนมัสการ ได้ไปเยี่ยม คนเขาก็แสนดีจริง ตั้งแต่น้ันก็ไปมาหาสู่ตลอดกลางวัน กลางคืน ไปศกึ ษาพทุ ธศาสนา ..... ในทสี่ ุด เม่ือมีบุญวาสนาเกดิ ขน้ึ ก็ได้บวชอยา่ งไม่นกึ ไม่ฝนั เหมือนอย่างเราพบกนั ท่ีน้ี ไดท้ �ำบุญ ธรรมะดึงมา พวกโยมก็เหมอื นกัน คิดถอยหลังไปแลว้ เอาเวลาที่เกดิ ความบงั เอญิ ท่ีเป็นบุญ เราได้ท�ำบุญมา..ต่อมา การเปน็ ผู้รำ�่ รวยดว้ ยบุญ หาไดย้ าก และนี้ก็จวนจะถงึ ปีหน้าแลว้ ขอให้พวกโยมทกุ คนได้บุญเยอะๆ เถ๊อะ สวสั ดีปีใหม.่ อายุ วณฺโณ สุขํ พล.ํ ๒ ชือ่ วา่ ดี... ฟงั ไม่ชดั 299
๑๒ มถิ ุนายน ๒๕๕๔ ห้อง ๑๒๑๑ โรงพยาบาลนนทเวช จังหวดั นนทบรุ ี เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ - ๑๘.๑๐ น. หลวงปู่เมตตาเล่าไปเรอ่ื ยๆ กราบเรยี นถามวา่ จดไดไ้ หมเจ้าคะ ทา่ นว่า “ได้” และ ขอโอกาสท�ำลงหนงั สือด้วยจะได้หรือไม่เจา้ คะ ท่านเมตตาวา่ “ได้” สืบเน่ืองจากท่ีท่านไม่สบาย บ่นเจ็บในท้อง เม่ือไปถึงโรงพยาบาลนนทเวช (ใน ตอนเย็นวันเสาร์ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๔) นายแพทย์ประภัสสร์นิมนต์ท่านเข้ารับการตรวจ ดว้ ยเคร่ืองคอมพิวเตอร์ CIMC ท่านเมตตาพดู ว่า เรื่ององคห์ ลวงปชู่ อบเกยี่ วกบั เทคโนโลยีที่ ท�ำใหเ้ ป็นเศษกระดาษฝอยๆ เล็กๆ • เกย่ี วกบั กระโถนทท่ี �ำใหล้ ากเอาออกมาพอใหห้ ายเจบ็ ได้ • มันเป็นนิมิต... องค์หลวงปู่ชอบท่านเป็นผู้ทรงฤทธิ์ อิทธิฤทธ์ สามารถสร้าง... ปรารถนาได้ตามใจสามารถสร้างบุญเพิ่มพูน สถานท่ีภาวนา...บุคคลปรารถนา ท�ำเมตตา อุเบกขา เมตตาในขันธ์ ๕...สตอิ เุ บกขา • ในตอนแรก คุณหมอเขามาท�ำร่างกายให้เป็นเทคโนโลยีท�ำเป็นช้ินเล็กๆ ไฟฟ้า ผ่านได้... • หลวงปู่ชอบท่านเป็นผู้ทรงฤทธ์ิ สามารถแปลงกายได้ ท่านก็รับหน้าท่ีช่วยเหลือ แปลงเปน็ เทวดาผ้หู ญงิ เขา้ ไปในหมู่เทวดาผชู้ ายไปทราบความลับของเทวดาผูช้ าย ในวันที่จะโยนพวงดอกไม้ งานพวงบุปผาของพวกคนธรรพ์ งานของลูกสาวคนธรรพ์ ชั้นสุขาวดี หลวงปู่ชอบท่านก็รับหน้าท่ี ผู้มีบุญบารมี ๔๐ พอรู้ว่าจะโยนพวงดอกไม้เลือกคู่ พระโพธสิ ัตว์ ตอนน้ันเกดิ ในจาตมุ หาราชกิ า กเ็ ลยลองเสยี่ งดู กเ็ ลยได้ไป เล่นเอาเทวดาผู้ชาย เดือดดาลก็เลยให้เทวดาผู้หญิง มาดูแลเทวดาผู้ชายฝ่ายตรงข้ามเป็นสปาย ส่งข่าวให้พวก คนธรรพ์รู้อยู่เสมอแต่นั้นมาก็เป็นผู้มีฤทธ์ิ สามารถสร้างผู้คนที่มีวิชา ทายาทกุศลกรรมท่ี 300
ส�ำคัญเกิดเป็นเทวดาช้ันจตุมหาราชิกา เนรมิตเทวดาผู้หญิงให้มาอยู่ในเทวดาผู้ชายท�ำงาน แผ่เมตตาไปในงาน โยนพวงดอกไม้ ชนะไดค้ ู่ไป เลน่ เอาพระอินทรไ์ มพ่ อใจ ใช้สิทธิ์ปรารถนา ของพระอินทร์ สร้างผู้มีวิชา สร้างอาศรม ท�ำผู้มีบุญ ให้มาเกิดเป็นเทวดาผู้หญิง ในหมู่ เทพผู้ชาย หลวงปชู่ อบเลยก็มาอย่ทู างน้ี สทิ ธ์ิ ๔๐ ประการ การสรา้ งวิชาดีพเิ ศษให้แก่คนหน่งึ คนใด ใหม้ ีอาศรมทอ่ี ยู่ไดต้ ามปรารถนา ก็เลยเนรมิตรเทวดาผู้หญงิ ท่ีหลวงป่ชู อบอาสาเมตตา ช่วย เพอ่ื สร้างสมบารมีเพม่ิ เติม มีวชิ าสามารถปรารถนาสถานท่ีสัปปายะ ๔๐ ก็ได้ สามารถ เนรมติ รเทวดาผหู้ ญงิ มาเกิดในหมูเ่ ทวดาผ้ชู ายกไ็ ด้ หลวงปชู่ อบ สามารถเจริญคุณธรรม สิทธ์ปิ าวารณา ท�ำตัวให้เกิดเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ มีกระโถนพร้อม ได้ กระโถนส�ำหรับรากออกมา พอหายเจ็บท้อง ได้มีอ�ำนาจเหนือโลก เป็นเศษกระดาษเล็กๆ ฝอยๆ สามารถมกี ระโถนพเิ ศษรบั อาเจียนได้ พอใหห้ ายปวดไดบ้ า้ ง สามารถเนรมิตรเทวดา ผู้หญงิ ใหม้ อี ิทธิบารมี คือการมาเดยี๋ วนห้ี ลวงปู่ชอบ รายงานบญุ คณุ ท่เี ปน็ สามจี ิภาวนา ปรารถนา ภาวนาสถานท่กี ไ็ ด้ ปรารถนา ภาวนา บุคคลก็ได้ เป็นผู้ท่ีมีฤทธ์ิสามารถให้เทวดาผู้หญิง เกิดข้ึนในหมู่เทวดาผู้ชายก็ได้ เจรจา ปรารถนา สามารถสรา้ งฤทธใ์ิ หเ้ กดิ ข้ึนได้ คุณสมเกยี รติ ลูกศิษย์เฝ้าอยขู่ า้ งเตยี ง เรยี นขึ้นวา่ “ขอใหเ้ ทวดามารักษาหลวงปู่แยะๆ นะขอรับ” หมายเหตุ การจดค�ำบอกเล่าตามที่ท่านเมตตาพูดไปเร่ือยๆ นี้ เป็นระหว่างท่ีหลวงปู่พักท่ีโรงพยาบาล นนทเวช เพื่อรอเดินทางไปผ่าตัดท่ีโรงพยาบาลจุฬาฯ หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลีย พูดเสียงเบา ผู้จดพยายาม จดอย่างเร็วเม่ือได้รับอนุญาตให้จดได้ ประกอบกับสติปัญญาอันน้อยนิด จึงอาจจะต้องมีข้อความคลาดเคลื่อน เพราะความไม่เข้าใจอยู่มาก จึงกราบขอขมาต่อองค์หลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูง และกราบขออภัยต่อ ท่านผ้รู ผู้ อู้ ่านมา ณ ทีน่ ี้ : ผู้จดบนั ทึก 301
๑๔ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔ ห้อง ๑๒๒๑ โรงพยาบาลนนทเวช เวลาประมาณ ๑๕.๔๕ น. (กอ่ นยา้ ยไปโรงพยาบาลจฬุ าฯ) “อาตมารอดตัวมาได้เพราะภาวนาแท้ๆ” “เม่อื จิตบริสทุ ธ์ิ ธรรมทง้ั หลายบรสิ ุทธ์ิ เหมอื นไปเดนิ เล่นอยูใ่ นนิพพาน ถ้าไม่ง้ันโดนขนั ธ์ ๕ เล่นงานเอาแย่...เหมือนแท่งทกุ ข์... ไมร่ ูจ้ ะแก้ไขอยา่ งไรเลย ไอข้ นั ธ์ ๕ ตวั รา้ ย” องคห์ ลวงปหู่ ยดุ พกั นดิ หนง่ึ แล้วเมตตาพูดต่อ... “วธิ ีแก้...คือเจรญิ วิปัสสนาจนกระทงั่ เหน็ ธรรมเปน็ ธรรม” .............................. “อาตมาฝันถงึ วดั ป่าคลองกงุ้ ของท่านพ่อลวี า่ พระป่าไมค่ ่อยมี ถ้าเรารวยมากๆ สง่ ไปช่วยเขาถา้ เขาต้องการ พระส�ำคญั มาก ข้าวของไมเ่ ท่าไร สำ� คัญตัวพระ เอาแตพ่ ระปา่ ไป สายทา่ นพระอาจารย์มัน่ ” .............................. 302
๑๘ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔ ห้อง ICU หอ้ งพิเศษชั้น ๒ ตึกสริ ินธร โรงพยาบาลจุฬาฯ เวลาประมาณ ๑๗.๑๐ น. หลงั รบั การผ่าตดั “ท่ชี ิลนี ่รี วยทส่ี ุดในอเมรกิ า สตั วท์ ้ังหลายเปน็ ไปตามกรรม เปน็ วัตถุนิยม ในอเมรกิ าตอนน้ีวัฒนธรรมชนั้ สงู วัตถุนยิ ม สู้ภฏู านกไ็ มไ่ ด้” เม่ือหลวงปู่ออกออกจากห้อง ICU หลังการผ่าตัด ท่านไม่ได้รับรู้ข่าวสารอะไรได้ ปรารภขึ้น ซ่ึงก็เป็นเรื่องแปลกท่ีระหว่างน้ีชิลีเกิดความวุ่นวายภายในประเทศ ท้ังจากภัย ธรรมชาติจากภูเขาไฟพูเยอู (Puyehue) เกิดการปะทุพ่นเถ้าถ่านข้ึนสูงในท้องฟ้าราว ๑๐ กิโลเมตร ส่งผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศในหลายประเทศ และยังเกิดการประท้วง ตอ่ ตา้ นรัฐบาล ซง่ึ การประทว้ งครั้งน้ีเป็นครง้ั ใหญ่ที่สุดคร้งั หน่ึงของชิลี หลวงปู่พูดเปรียบเทียบระหว่างประเทศก้าวหน้าทางวัตถุนิยมกับประเทศท่ีอยู่กับ ธรรมชาติ เพราะชาวภูฏานนับถือศาสนาพุทธ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีความอ่อนโยน ส่ิงท่ี สำ� คญั ทสี่ ุดของคนภูฏานคอื การด�ำรงชีวติ ใหม้ คี วามสขุ ภูฏานเป็นประเทศที่รักษาระบบนเิ วศ และอนุรักษ์ธรรมชาติเอาไว้ นอกจากน้ีรัฐบาลภูฏานยังมีนโยบายจ�ำกัดจ�ำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งทำ� ใหม้ คี วามเงียบสงบ และสามารถรกั ษาวฒั นธรรมดัง้ เดิมของตัวเองได้เป็นอย่างดี 303
304
305
306
307
308
309
310
311
312
313
314
315
316
317
Adelaide South Australia เมษายน ๒๕๔๕ จาก พระบญุ ฤทธ์ิ ปณฺฑโิ ต ทีเ่ มือง Adelaide South Australia เจรญิ พรมายัง คณุ ทิพยา กติ ตขิ จร อาตมาไดร้ ับจดหมายแลว้ เข้าใจวา่ หลวงปสู่ ุวัจน์ ทา่ นไปสบายแลว้ แมเ้ มือ่ ทา่ นยังอยู่ ท่านก็สบายอยู่แล้ว ถึงหลวงตาพระอาจารย์มหาบัวสรรเสริญแล้วก็เป็นของแน่นอน เป็น เพยี งตอ้ งเสยี ใจที่ตอ้ งมาจากกนั อนั เป็นธรรมดาโลกเทา่ นน้ั เรื่องของศิษย์ก็คือ เจริญสติ พุทธสติ สติปัฏฐาน ให้ดีเท่าน้ัน เป็นเอกายมรรค อรยิ มรรค โลกตุ ตรธรรม ไมม่ หี นทางอ่ืน กับผู้ทมี่ ีทุกข์หนกั ยงิ่ กวา่ โยม แตบ่ ารมเี กา่ กม็ าก วิ่งไปหาพระพุทธองคท์ ่วี ดั ในทา่ มกลาง พุทธบริษัทเป็นอันมาก ก่อนที่เขาจะเปิดปากพูด พระพุทธองค์ทรงตรัสเสียก่อนว่า กังวล อะไรของเธอในอดตี วาง เขาส�ำเร็จอรหนั ตท์ นั ที เหาะขน้ึ สอู่ ากาศ เพอ่ื ให้คนทง้ั หลายได้รู้วา่ ท่านส�ำเร็จเป็นอรหันต์ ตามที่พระพุทธองค์ได้ประกาศทายล่วงหน้าไว้ในวันน้ันแล้ว แต่ คนมากมายไมเ่ ช่ือ วางกงั วลขันธ์หา้ วางกังวลท้งั หมดเด๋ียวน้ี ลองท�ำดู นเ่ี ป็นธรรมชาติของ สติปัฏฐาน คือวางตัณหาอุปาทานน่ันเอง คือละตัณหาอุปาทาน สมุทัยธรรม เหตุทุกข์แท้ ในอริยสัจสี่เป็นอริยมรรคในอริยสัจส่ี ละเหตุได้ ผลคืออริยสัจทุกข์ ทุกข์แท้เพราะโง่ (ไม่ใช่ ทุกข์อย่างชาวโลกปุถุชนคิด เช่น ยากจน เจ็บป่วย แก่เฒ่า ตาย) ก็ดับ เม่ือจิตแท้มันมืด อวชิ ชา รู้แจง้ ธรรมหรือธรรมเปน็ ธรรม ความเห็นผดิ มิจฉาทิฏฐิ เหตทุ ุกข์ แตน่ านเนมากถึง นับแสนล้านปี ในวัฏสงสารก็ดับ เพราะรู้แจ้ง ความดบั ความหลงคือ มจิ ฉาทิฏฐิ วา่ “ตน” อัตตา ในกายใจ ขันธ์หา้ ดับ ทุกข์แท้ดับพรอ้ มกัน จติ เป็นโลกุตตรจิต พ้นอ�ำนาจโลก อำ� นาจ สังขาร คืออวิชชา พ้นอ�ำนาจสังขารหลง วางกังวลขันธ์ห้าได้แล้ว จิตท้ิงสังขารก็ถึงธรรม พ้นหลง พ้นโลกหลง คือถึงวิสังขาร พระนิพพานสัจธรรม ไม่มีโง่หลงว่าตนๆ ในขันธ์ห้า สงั ขารหลงเหมือนเราร้วู า่ รอ้ นขา้ งนอก กก็ ้าวเท้าเขา้ มาในหอ้ งเย็น ก็พน้ รอ้ นทันที หรือว่ารู้ ปลงตกว่า สังขารท้ังหลายไม่เที่ยง คือที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวในเวลาใกล้ปรินิพพาน เลิก 319
กังวลเก่ียวข้องทั้งหมด จิตถึงพุทธสติ หลุดพ้นสังขารหลงเป็นจิตพ้นทุกข์ จิตวิสังขาร จติ นพิ พาน (วสิ ังขาร ตรงขา้ มสังขารเป็นชือ่ พระนิพพาน) สังขาร ก็คอื อวิชชา เป็นปจั จยั ให้ เกิดสงั ขาร หลง (projection of mind with Ignorance) ฉาย เงา (figures as shadows) ขนั ธ์หา้ หลง จากจติ อวิชชาออกไปเปน็ “เรา” “เขา” “โลกของเขา” (โลกของเรา) เป็นภพ (existence) หลงโลก หลงสัญญาในขันธ์หา้ (กายใจ) คอื perception notion of existence with Ignorance และทุกขแ์ ท้คอื อปุ าทานขันธห์ ้ายึด นกึ ว่า “ตน” “เรา” ก็ใหค้ ดิ ว่า “เรา” (คือไมใ่ ช่ “เรา” กลายเปน็ โลกหลงสงั ขาร) ทุกข์แท้ ทกุ ข์เพราะโง่ ไมใ่ ชเ่ พราะอย่างอืน่ เม่อื ได้พุทธสติ เกิดสติปัญญาพ้นโลก อริยมรรคทีแรก คือโสดามรรค เกิดความเห็นว่า ตนใน ขันธ์ห้าดับ จิตพ้นจากมืด ก็พ้นทุกข์แท้พร้อม เหมือนเมื่อฉายหนังเพื่อเงา ขันธ์ห้า สังขาร ก็เลกิ ฉาย เลิกปรงุ สงั ขาร หมดเร่อื งหลงทกุ ข์ สายเดนิ ของจิตในสตปิ ฏั ฐานภาวนา ก็คอื “รู้” ได้ยนิ เห็น คดิ นึก หนาว ร้อน สุข ทุกข์ เฉยๆ (เวทนา ๓) เป็นวิญญาณ (consciousness) แบบโลกปุถุชน เม่ือเจริญ ภาวนาสติ “รู้” สักแต่ “รู”้ เหน็ สกั แตเ่ หน็ ได้ยินสกั แต่ได้ยินก็เกิดวญิ ญาณพรอ้ มพทุ ธธรรม ธรรมพ้นโลกหลง (consciousness with Super Wisdom Buddha’s Dhamma) เป็น วญิ ญาณสตๆิ เมอ่ื เข้มแขง็ กใ็ หเ้ กดิ จติ สติ จติ ต่นื พน้ โลกหลง พน้ ทกุ ข์ เปน็ จติ พุทโธ จติ ธมั โม จิตสงั โฆ จิตนิพพาน จติ พ้นอวชิ ชา พ้นโลกหลง พน้ หลงสังขาร ขันธห์ า้ หรอื ขนั ธ์ห้าหลงทุกข์ หายไปเลย จิตละสงั ขารหลง ขันธห์ า้ หลงแจม่ แจง้ จิตสงั ขาร นพิ พานเป็นสัจธรรมของจรงิ อมตธรรมไม่ใช่มตธรรม (สังขาร) ดงั พระพุทธองค์ทรงกลา่ ววา่ สติไดย้ ินสกั แต่ไดย้ ิน รู้สกั แต่รู้ เห็นสักแต่เหน็ หยัง่ ลงสู่อมตธรรมทนั ที ก็คอื วางกังวลทั้งหมดทันทนี ่นั เอง พระพทุ ธองค์ทรง แสดงสติอริยมรรคไว้แล้ว ในประโยคท่ีว่า “ธรรมท้ังหลายไม่พึงถือม่ัน” ก็คือวางกังวล ทั้งหมด วางตัณหาอุปาทาน เหตุ สมุทยั ของทุกขแ์ ท้คือทกุ ขเ์ พราะโง่ (อวิชชา) น่นั เอง ไมใ่ ช่ ความเขา้ ใจแบบโลกปุถชุ น เสียโนน่ เสยี นี่ รปู -นาม กายสมบตั ทิ ้ังหลาย ชีวิต ถ้าบุญเก่า บารมีที่ท�ำมาแล้ว เป็นผู้มีบุญอันได้ท�ำไว้ก่อนแล้ว ได้เกิดเป็นบัวเหนือน�้ำ ตูมหรือบานก็พอ เห็นทางรอด ที่อยู่ใต้น้�ำก็เป็นเรื่องธรรมดาท่ีไม่สามารถศรัทธาพุทธได้..ส่วนทางสายยาวของ จิตทีเ่ จรญิ สตปิ ัฏฐาน ก็คอื 320
๑) เจริญอานาปานสติ “รู้” ลมหายใจเข้าออกทุกปัจจุบัน รู้นั้นสั้นเกือบศูนย์วินาที นีค่ อื วญิ ญาณหลง ถา้ ดูเฉพาะปจั จุบนั ขณะเดียว เรือ่ งโลกเกอื บจะหายไปเลย เพราะเวลา (Time) ส้ันที่สุด คิดอาศัยเวลา (คิดเรื่องโลก) น่ีเวลาไม่มีพอให้คิด มันเป็นวิญญาณหลง ขณะหนงึ่ กค็ ือภพ (existence) หลงโลก หลงขันธ์ห้า หลงวญิ ญาณนน่ั เอง เพราะวิญญาณ หลง คิด รู้ นกึ หลงพรอ้ ม ท�ำให้เกิดนามรปู ทั้งสามก็เป็นขนั ธ์หา้ หลง ทกุ ข์ ปัจจบุ ันน่นั เอง เม่ือเจริญสติ “รู้” สักแต่รู้ ก็ท�ำให้เกิดวิญญาณสติ วิญญาณพิเศษพร้อมพุทธธรรม “สติ” พ้นโลกสังขาร วางกังวลขนั ธ์ห้า ดบั โลกหลง ดบั สงั ขารหลงได้ในตอนนัน้ ดับภพหลง โลกหลง หลง “ตน” “เขา” “เรา” “เรากบั โลก” ไปได้รูแ้ จ้งความดับทุกขแ์ ท้พรอ้ มกนั ในปจั จบุ นั ทันที เป็นพุทธปัญญา ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า นิโรธ ความดับส้ินเชิงของทุกข์แท้พร้อมท้ัง เหตุ พงึ ท�ำใหแ้ จง้ หรืออยา่ งทมี่ ีในมงคลสตู รว่า นพิ พานะสัจฉกิ ิรยิ า จะ พงึ ทำ� ใหแ้ จง้ นิพพาน ๒) เม่ือเจริญสติ รู้สักแต่รู้ ถ้าไวก็นิโรธ นิพพานเลย (ไม่มีเวลาคิดแบบโลก) พระ- พุทธองค์ทรงกล่าว อริยมรรค (สติปัฏฐาน) เป็นสังขารพิเศษ คือเป็นโลกุตตรธรรม เป็น สจั ธรรม คือ นวโลกตุ ตรธรรม มรรคสี่ ผลส่ี นิพพานหนึ่ง เปน็ ธรรมพ้นโลก เกา้ ประการ เปน็ ตวั พทุ ธศาสนาแท้ อยพู่ ้นเขตโลกสมมุติ ค�ำพูด คิด (definition) ภาษา เป็นวิมุตติจติ ถงึ วิมุตติธรรม พวกบวั บานเหนอื น้ำ� คงไปตามนี้ ๓) “รูส้ กั แต่ร”ู้ ปรากฏวิญญาณสติรพู้ รอ้ มพทุ ธธรรมพน้ โลก (โลกุตตรธรรม) ก็เกิดข้นึ บรกิ รรมวญิ ญาณสตเิ รือ่ ยไป จนเกิดจติ สติ จิตพร้อมพทุ ธสติ มัน่ คงขน้ึ มากกเ็ ปน็ จิตสมบูรณ์ (Complete, perfect) ไม่มีขาดเหลอื ไม่ “พรอ่ งอย่เู ร่ือยๆ” อยา่ งที่พระพุทธองค์ทรงกล่าว “อสัจธรรม (ธรรมหลง) พร่องอยู่เรอื่ ยๆ สัจธรรม (ธรรมจรงิ ) สมบรู ณเ์ ป็นปกติ” “เรากล่าว พระนิพพานเป็นสัจจะอย่างยิ่ง” จิตธรรม จิตธาตุ จิตเดิมก็จะปรากฏถึงจิตสังขารทีเดียว วสิ งั ขารเป็นช่อื พระนพิ พานไม่ใชอ่ วชิ ชาสงั ขารทกุ ข์ ๔) จิตสติ อาจเดินไปไกลกว่าน้ัน คือถึงจิตวิสังขาร ปรากฏจิตวิราคะ มีอ�ำนาจมาก วิราคะ คือ ไม่มีความใคร่ ก�ำหนัด ฉันทะพอใจในกามภพ รูปภพ (ฌาน ๔) อรูปฌาน อรูปฌาน ๔ เพียงแค่จิตวิราคะในกาม ถ้าสามารถเจริญให้เข้มแข็งก็ท�ำลายกามสังโยชน์ 321
322
โทสะ (ปฏิฆะขัดเคอื ง) พยาบาท สังโยชน์ เคร่อื งผกู จิตท่ีตดั ไดย้ ากมาก หลังจากโสดามรรค ตัดหัวอวิชชา (หัวงูท่ีกลืนโลกจักรวาลท้ังหมด) คือ สักกายทิฏฐิ คือจิตมืด ไม่รู้จักขันธ์ห้า อนัตตาถือยึดขันธ์ห้าเป็น “เรา” ตน (ego…self) ออกไปแล้ว (มีมากในสมัยพุทธกาล เช่น นางวสิ าขา เป็นตน้ ) ถ้าถึงข้นั อนาคามี (No Returner) กพ็ อๆ กับอรหนั ต์นะ่ แหละ พอแลว้ นะ ๕) คราวน้ีกแ็ จ้งชดั วา่ กายวาจาใจเปน็ วิราคะ หมดความใคร่ (greed, lust) ทงั้ หมด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สภาพกายวาจาใจทง้ั หมดพ้นความใคร่ ก�ำหนดั ในกาม (หรอื อาจถึงในรูปฌาน อรูปฌานสมาธิ) ก็แจ่มแจ้งค�ำพูดของท่านเจ้าคุณอุบาลี วัดบรมนิวาส สมยั รชั กาลที่ ๕-๖ ท่วี า่ “เหน็ ตนเปน็ ธรรม เห็นธรรมเป็นตน” ก็พอแล้ว นน่ั ก็คอื เห็นจิตถึง สัจธรรม (นวโลกุตตรธรรม มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) สัจธรรมเป็นไปที่กายวาจาใจน้ี กจ็ ะถึงวิรชั ติ จิตไมต่ ดิ อยู่กบั ท้งั หมด เป็นวมิ ุตโต วิมุตติ จันติ เมอ่ื จิตหลดุ พ้น (โลกหลง) กร็ ู้วา่ หลุดพ้นแลว้ วิมุตติจิตถึงวมิ ุตตธิ รรม (ธรรมแท-้ พ้นสมมุตแิ บบโลก พน้ โลกสมมตุ ิ ภาษาค�ำพูด คดิ เดา จิตปญั ญา) ถงึ สุขแท้คือโลกุตตรสขุ เหนอื สภาพโลกสังขารเป็นวมิ ุตตสิ ขุ เนกขัมมสุข โลกุตตรธรรมเหนือโลกภพ พ้นกามอย่างน้อย พระนิพพานเป็นอกาลิโก ไม่มีเวลา เพราะ เปน็ วิสงั ขาร ไมใ่ ช่อวิชชา ปัจจยาสงั ขาร-ทกุ ข์ โลกตุ ตรสขุ วิมุตตสิ ุข ก็เปน็ วสิ ังขาร ไมเ่ กี่ยว เร่อื งเวลา ดังทที่ า่ นวา่ “นิพพานเป็นสขุ ย่งิ ” เวลาเปน็ (สญั ญา) อดตี ปัจจบุ นั อนาคต ของขันธ์ห้า อวิชชา ตัณหาทางจมูก ลิ้น กาย ใจ หลง นิพพานเป็นอกาลิโก ไม่ใช่เพียง ความคิดง่ายๆ ว่าท�ำดีเม่ือไรก็ได้ พระโพธิสัตว์พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างบารมีสิบ ถึงข้ัน เอาชวี ติ เข้าแลกมาเพอ่ื รู้เพยี งเทา่ นด้ี อก (Space-Time) เปน็ ของโลกหลง ขนั ธ์หา้ พทุ ธธรรม เปน็ โลกตุ ตรธรรม พน้ โลก เวลา สถานท่ี (Space-Time) ภพ (existence) คอื กาม รปู อรปู ฌาน เป็นเรอื่ งหลง โง่ อวชิ ชา ทกุ ข์ ดงั ท่านวา่ หรอื สวดงานศพ อวชิ ชาปจั จยาสงั ขารา ไปจนถงึ ภพชาตปิ ระมาณทกุ ข์ อวิชชาดับส้ิน (นโิ รธ) ก็ดบั ทง้ั หมด พุทธสติ อริยมรรคเหนือ โลก เป็นแสงสว่างท�ำให้อวชิ ชาดับไปได้พรอ้ มทกุ ข์แท้ (อุปาทานขนั ธ์หา้ ) โง่ คิด ยึดขนั ธห์ า้ กายใจเป็น “เรา” “ตน” “เขา” “เรากับโลก” ยังอยู่...ถ้าวิมุตติจิตเกิดพร้อมวิมุตติสุข พ้น อำ� นาจสงั ขาร โลก ภพ มปี ตี สิ ขุ เสมอกห็ มดหว่ ง ธรรมอยา่ งเดยี วดี โลกทกุ ขเ์ ทา่ นนั้ โสดาบนั เปน็ ท้ังสองจึงยงั ล�ำบาก รอไปกอ่ น 323
(สำ� เนาอัดแจก) จากพระบญุ ฤทธิ์ ปัณฑิโต (จันทรสมบรู ณ์) Adelaide South Australia มถิ ุนายน ๒๕๔๕ เจรญิ พรมายังคณุ โยมทพิ ยา กติ ติขจร ขออนุโมทนาบุญที่คุณโยมและคณะทุกคนท่ีได้ท�ำไปแล้ว ดีเป็นมหัศจรรย์ขอผล กศุ ลกรรมคร้ังนี้ จงดลบันดาลให้ทกุ ทา่ นเจริญด้วยอายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ทุกทา่ นเทอญ เกี่ยวกับการศึกษาพทุ ธศาสนา ซ่งึ กเ็ ปน็ ของยากยง่ิ เพราะพทุ ธศาสนา เปน็ โลกุตตร- ธรรม ธรรมเหนือโลกหลง ภพหลง ตง้ั แต่ยอดพรหมโลกเทวโลก ลงไปจนสุดกน้ นรกท่ตี กอยู่ ใต้อ�ำนาจ อวิชชาทั้งนั้น หัวของอวิชชา ก็คือ สักกายทิฏฐิ สังโยชน์ เครื่องผูกจิต ข้อแรก ท่ีส�ำคัญท่ีสุด เหมือนหัวงู ขนาดท่านบอกไว้แล้วว่า โลกุตตรธรรม ชาวพุทธเกือบท่ัวไป นักศึกษาต�ำราโดยทัว่ ไป เพราะไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ิธรรม เจรญิ อรยิ มรรค กย็ งั ไมเ่ ขา้ ใจเอาพทุ ธศาสนา ไปเกี่ยวกับของโลกท่ีเป็นอวิชชาเอาไปเทียบกับปรัชญาศาสนา หรือไม่มีศาสนาที่ยึดความคิด วา่ ตน my, ego, I, selfs, I and not-I คือ เรา เขา อยู่ทัง้ สิ้น แม้อภศิ าสตราจารยม์ หาวิทยาลยั ใหญท่ ่สี ุดในโลก แผนกปรัชญาศาสนา ภาษาบาลี ซงึ่ ก็เปน็ ของธรรมดา เพราะพุทธศาสนา เป็นสภาพธรรมจรงิ (facts) ไมใ่ ช่ fiction คดิ เอาเดาเอง ต้องเจริญอริยมรรค พระบาลีท่าน กไ็ ดบ้ อกไวแ้ ลว้ วา่ สจั ธรรม คอื นวโลกกตุ ตรธรรม ธรรมพน้ โลกเกา้ มรรคสี่ ผลสี่ นพิ พานหนงึ่ นา่ จะรตู้ งั้ แตน่ กั ธรรม แตภ่ กิ ษสุ มยั ทกุ วนั นก้ี ย็ งั ไปหลงตามหนงั สอื ของปถุ ชุ นวา่ เปน็ ปรชั ญา (phi- losophy) และ Religion ท่เี ปน็ ของแบบโลก (โลกีย์) อวชิ ชา คำ� วา่ Religion มาจาก ราก หรือธาตุ คำ� (root) ว่า (relig) ซึง่ เปน็ ภาษาโรมนั แปลว่า พันธะ (binding) ระหวา่ ง ผู้สร้าง (God Creator) และผู้ถูกสร้างเป็นตนในขันธ์ห้ากับตนในขันธ์ห้า คือ สักกายทิฏฐิ เครื่อง ผกู จติ ทเี่ ป็นหวั อวิชชา หัวงูท่กี ลืนโลกธาตนุ ่ันเอง เจริญโสดามรรค โลกตุ ตรมรรคได้แลว้ จงึ ตัดหัวงูขาดเหลือแต่หัว ดิ้นไปมาสักพัก ตายแน่นอน เกิดระหว่างสวรรค์กับมนุษยโลกเป็น 324
โลกตุ ตรบุคคล (Supermind) เพียง ๗ ครงั้ เปน็ ผ้ทู ำ� ลายวฏั สงสารไดแ้ ลว้ อปุ ทานขันธ์ห้า วัฏสงสารเป็นอริยสัจที่หน่ึง เป็นทุกข์ที่แท้จริง ไม่ใช่ทุกข์แบบปุถุชน สัตวโลกตั้งแต่ยอด พรหมโลกที่ยดึ วา่ ตนๆ จนถึงกน้ นรกในภพสาม กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ คือ โลกท้งั หมด ฉะน้นั การใชค้ ำ� วา่ พุทธศาสนา (Buddha’s Teaching) เทา่ นัน้ เปน็ การถกู ต้อง แน่นอน พุทธศาสนา คือ จริง เปน็ facts สภาพจรงิ เรม่ิ ตง้ั แตเ่ กิดเหตุการณ์จริง นับตั้งแต่ เริ่มรู้สึกทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ปรารถนาพ้นทุกข์ เข้าใจว่าด้วยการท�ำความดี คือ บุญกุศล พร้อมกับความปรารถนาพ้นทุกข์ คือเร่ืองเกิด ตาย เพราะทุกข์มันเกิดท่ีตรงนี้ คือเช่ือ บุญญาธษิ ฐาน เปน็ อธษิ ฐานบารมี อนั เปน็ องคก์ �ำเนิดของบารมีสบิ ซ่ึงตา่ งกบั บุญเฉยๆ และ มเี ฉพาะในพระพุทธศาสนา ท่เี ราเรยี กว่า ปรารถนาพระนิพพาน สนิ้ ปัญหาเกดิ แกเ่ จ็บตาย บญุ เปน็ ของธรรมดา บารมี มีทิศทางแน่นอน บารมีสิบ เปน็ facts คอื เป็น moral actions เป็นการได้ท�ำจรงิ เปน็ การขัดเกลาจติ (purification of mind) ทีละน้อยๆ ให้พ้นจากอ�ำนาจมืด อวิชชา อันมีอ�ำนาจมหาศาล เพราะเปน็ ธาตุ Blind Force Universal ท่ีสร้างภพสามโลกทั้งหมด สัตวโลก ปุถุชนทัง้ หมด ตง้ั แต่ยอดพรหมโลกลงไปจนสุดนรก กุสลา ธัมมา อกสุ ลา ธมั มา อพั ยากตา ธมั มา สขุ ทกุ ข์ ไมส่ ขุ ไม่ทุกข์ สัญญา อดตี ปจั จบุ นั อนาคต คอื Time as delusion! ซงึ่ ล้วนต้ังอยู่ทต่ี นว่าเปน็ ๑ กำ� เนดิ เลขและวิทยาศาสตร์ หลงในขนั ธห์ ้า อนจิ จัง อนัตตา อวชิ ชา ทกุ ข์ ทั้งสิน้ บารมสี บิ การช�ำระจิตจากความมืดอวิชชาไม่ใช่หวังเอาบุญไปสวรรค์ แต่ปรารถนาพ้นอวิชชาในเรื่อง เกดิ แกเ่ จบ็ ตายท่เี รยี กวา่ บรรลพุ ระนพิ พาน นี่ก็อีกกย่างหนง่ึ ทต่ี ่างจาก Religion ไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าผู้สร้างโลก บ�ำเพ็ญบารมี ก็เหมือนกัน เราเองแปรงปัดดินเหนียวที่ปกอยู่บน เพชรนั่นแหละ หรือต่อยหนิ granite (แปลวา่ คว�่ำกไ็ ด้) ออกจากเพชร ปัดไปๆ ตอ่ ยออกไป ไม่หยุดก็ต้องถึงเพชร ในท่ีสุดเป็นธรรมดาแน่นอน บารมีสิบ (Merits) เป็น (Conditions necessary) ปัจจัยสำ� คัญที่ให้ถึง พุทธธรรม ศึกษาพุทธธรรมสำ� เร็จได้ ถ้าไม่มีทุนเดิม no 326
foundation (kein ground) สร้างตึกมันกพ็ งั เท่านั้น คือวา่ บารมไี ม่มี เกิดเป็นดอกบัวใต้น�้ำ กไ็ ม่มีทางพบพทุ ธธรรม น่ีคือประการสำ� คญั ทีต่ า่ งจาก ปรัชญา (religion) ทีเ่ ป็นเพยี งเชอื่ คิด เทา่ น้ัน ทนี ้ีก็มาดขู ้อเท็จจรงิ (facts) คือความเป็นมาของพระพทุ ธองค์ นบั แต่เร่ิมอธิษฐาน บารมีในสมัยที่ได้พบพระพุทธเจ้าทีปังกร ยอมเสียสละแม้แต่ชีวิตเพื่อบรรลุสัจธรรม พระนิพพาน สร้างบารมีทั้งอย่างเล็ก กลาง ใหญ่ ครบท้ังสิบทัศหรือสามสิบทัศ ใช้เวลา ไมน่ ้อยกวา่ ๓๐๐,๐๐๐ ชาติ จงึ บรรลุพระโพธญิ าณ (Super Light) ในวนั วสิ าขบชู า หลังทำ� ความเพียรอยู่ ๖ ปีในป่า (ไม่ใช่อ่านหนังสือคิดเอาๆ เดาเอาๆ) นี่ก็คือท่ีต่างกับปรัชญา religion ถึงในการเรียนธรรมรู้ธรรมก็เหมือนกัน เราควรดู ตามเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นจริงใน สมัยพทุ ธกาล ทา่ นพอแสดงธรรมคร้งั แรกแกพ่ ระพราหมณห์ นุ่ม ๕ คนในปา่ ทรงแสดงป๊บุ องค์หนึ่งฟังเกิดพุทธปัญญาโสดาบันทันที (แต่เดี๋ยวนี้ เรียนฟังกันยังไง ใครแสดง ใครฟัง) ไดผ้ ลยังไง ตอ่ มาไมช่ า้ ทรงแสดงธรรมขนั ธ์ห้าอนตั ตา พราหมณห์ นมุ่ ท้งั หมดได้สำ� เร็จอรหนั ต์ ทันที (เด๋ยี วน้เี ราสวดอาทติ ยสูตร อนตั ตลักขณสูตรกันทกุ วนั ทกุ วดั แลว้ เปน็ ยังไง) ทีน้ีเอาเหตกุ ารณ์จริง (facts) ท่เี กดิ ในพทุ ธกาล เอามาใชใ้ นการปฏิบัติภาวนาอาจจะ ไดผ้ ลดีกว่า คิดเอาๆ คือ ๑) พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่มหาอ�ำมาตย์ในชมภูทวีปคนหนึ่ง ซ่ึงเกิดทุกข์มาก วิ่งไปวัดเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ก่อนเขาจะเปิดปากพูด พระพุทธองค์ทรงตรัสก่อนว่า มหาอ�ำมาตย์กังวลอะไรของเธอในอดีต...วาง กังวลอะไรของเธอในอนาคต...วาง กังวลอะไร ของเธอในปัจจุบัน...วาง ส�ำเร็จอรหันต์ทันที เหาะข้ึนสู่อากาศ ๓ ครั้งจิตบริสุทธิ์เป็น Super-computer แล้วสูน่ ิพพานในอากาศ ฌาปนกิจไฟธาตุเกดิ ข้นึ เอง เมอื่ จติ สว่าง ธรรม ทัง้ หลายก็สวา่ งแม้ธาตุ (matter) ของรา่ งกายกเ็ ป็นพระธาตหุ มดทันที เหมอื นรูป (image) แกว้ ใสเมอ่ื ตรงหวั ใจสว่างกส็ ว่างหมดท้งั ตัว ไม่ใช่กระดกู สกปรก ของปุถุชน พระธาตุ (relics) กร็ ่วงลงมาดังดอกมะลิ พระพทุ ธองค์ทรงสั่งให้ คนปูผ้ารองรบั แลว้ สรา้ งเจดยี ์ (Stupa) ทับไว้ ทท่ี างสแี่ พรง่ 327
๒) ปริพาชกนักบวช (ascetic) คนหน่ึง วิ่งตามขอฟังธรรมจากพระองค์ ขณะทรง บิณฑบาตพร้อมภิกษุสงฆ์ถึง ๓ ครั้ง อ้างว่ารอไม่ได้ เพราะอนาคตรู้ไม่ได้ พระองค์จึงทรง ตรัสว่า ถา้ เช่นน้นั ฟงั ให้ดี เมือ่ เธอเห็นรปู รปู นั้นสักแต่เห็น เธอส�ำเร็จอนาคา No returner ทันทีแต่ยังอยากบวชอยู่แต่พอถอยออกไป วัวกระทิงคู่เวรเก่าว่ิงมาตามถนนน้ันพอดี ชน พระอนาคาตายเลย แต่เธอก็สบายเสียแล้วไม่มาสู่กามภพ แต่ยอดสวรรค์ถึงก้นนรกที่ แสนสาหัสอกี แล้ว เราภาวนากันมานาน ทง้ั พระท้งั โยม กย็ ังล�ำบากกันอยู่ ๓) อันน้ีใช้ได้ท่ัวไป เป็นหลักธรรมท่ัวไปกึ่งปริยัติก่ึงปฏิบัติ ย่อพอสมควร คือ สติปฏั ฐานยอ่ นนั่ เองทพ่ี ระองค์พอแสดงแกภ่ กิ ษทุ ัง้ หลายว่า ภกิ ษเุ ธอพึงวางกงั วลขันธ์ห้าเสยี กต็ รงกับที่ท่านหลวงปู่แหวน (สจุ ิณโณ) กล่าวกับอาตมา เมื่อไปกราบลาทา่ นเพื่อไปออสเตรเลยี ครง้ั แรก พ.ศ. ๒๕๑๗ วา่ ระเบิดขันธ์หา้ เสยี ก่อนซิ เป็นยอดเทศนา ที่ไมเ่ คยฟงั มาก่อน เลย เปน็ เหมือน quake จิ๋วท่ีสดุ แจ๋วทส่ี ดุ แต่เปน็ ระเบดิ ปรมาณมู หาศาล ใกลช้ ดิ กบั ท่าน มาราว ๑๕ ปี ท่ีเชยี งใหมไ่ มเ่ คยเห็นสอนสักที ภาวนากันอยู่ทกุ วันนกี้ เ็ พื่ออันน้ีนะ่ แหละ อันนี้ กต็ รงกบั ท่ที ่านพระอาจารย์มน่ั ภรู ิทัตโต เขยี นไว้วา่ รจู้ ริงทิง้ สังขาร (ขนั ธห์ ้า) เกดิ ๆ ดบั ๆ ไม่เหลียวไม่แล ไม่แลไม่เหลียว คราวนี้ใจ (จิต) เป็นใหญ่ไม่หมายพ่ึงสัญญา perception nation of existence of all kind (พ้นโลกสมมตุ )ิ (ภาษาคำ� พูดการเดา) รู้ทนั (หลง) อยู่ ต้นจิต (จิตบริสุทธ์ิจากสังขาร) (จิตวิสังขาร) (ไม่มีสังขารโลกอารมณ์) (วิสังขาร No projection or conjection of mind by ignorance) ไม่คิดอ่าน ถ้าเราภาวนาตามนี้ได้ วางกังวลขันธห์ า้ ได้ จติ กท็ งิ้ สงั ขารหมดเรือ่ งทิฏฐิ กลายเปน็ จติ วสิ ังขารทนั ที พน้ หลงทุกขไ์ ป เป็นจิตตภาวนาทสี่ ำ� คญั ทสี่ ุด อาศัยเจริญพทุ ธสติภาวนาคอื สตปิ ฏั ฐาน ต่อไปน้ีเป็นแนวภาวนา สติปัฏฐานส่ี กาย เวทนา จิต ธรรม รวมคือดูลมเห็นลมรู้ ลม ปัจจุบันเร่ิมต้น เป็นวิญญาณธรรมดา เมื่อก�ำหนดรู้สักแต่รู้เกิดวิญญาณสติ วิญญาณมี พทุ ธธรรม อันเป็นโลกตุ ตรธรรม (ธรรมพ้นโลกหลง - อวชิ ชา) 328
เม่ือวิญญาณสติเกิด จิตสติก็เกิด ก็คือจิตพุทโธ (ต่ืน) น่ันเอง คือจิตพ้นหลง ดัง พทุ ธวจนะวา่ (สติหยัง่ ลงส่อู มตธรรม) ก็เหมือนเอานิ้วถูกอาการคลืน่ (อนิจจงั เกิดดบั ) กร็ ู้สกึ เยน็ ร้จู กั ธาตนุ ้ำ� ธรรมคงท่ี H2O constant วิสงั ขารในมหาสมุทร เหมอื นคนสค่ี นไปยืนที่ ชายทะเล คนทหี่ นง่ึ ตาบอดสนทิ มองไมเ่ หน็ อะไรเลย นั่นคอื ปุถุชนทง้ั หมดในภพหลงโลกหลง ทั้งหมดแต่ยอดพรหมโลกเทวโลกจนถงึ ก้นนรก (คนดว้ ยแน่นอน) เหมอื นปลาในทะเล คนทสี่ องตาเปดิ ได้รบิ หรี่ มองไปในทะเล เหน็ แตค่ ลืน่ (อนจิ จงั ) เม่ือโลกอนิจจงั เข้าวดั เข้าวาเขา้ ป่าเข้าดงไมว่ า่ ศาสนาไหน หรือไปเปน็ ฤาษีโยคี หวงั พึ่งพระเจา้ ผสู้ รา้ งโลก หวงั พึง่ ฌานสมาธิ หวงั เปน็ พรหม คนที่สามตาเปดิ ดกี วา่ แตย่ งั ไมส่ มบรู ณ์ มองไปในทะเล เหน็ แตน่ ำ้� เปน็ น้ำ� คงที่ H2O (constant) กิน อาบ ว่ายไปได้ เห็นแต่น�้ำไม่เห็นคล่ืน (คือถ้าจับอาการคล่ืน อนิจจัง เกิดดับ) หยิบขึ้นมา ไม่ได้อะไรเลย สูญจากจริง (entity) พระพุทธองค์จึงทรงกล่าว พึง พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่า (จากสัจธรรม) ปุถุชนไม่ถึงพุทธธรรมจึงว้าเหว่หัวใจอยู่ทุก เกือบศูนย์วินาที มีแต่ loneliness รู้สึกมันขาดอะไร อะไรมันดับหายไปอยู่เสมอทนไม่ไหว ฆ่าตวั ตายไปเลย ไมห่ มดเรอ่ื ง เหมือนออกจากหอ้ งรอ้ นห้าสบิ ดกี รี แยไ่ ปกวา่ พระพุทธองค์ ทรงกลา่ ว สัจจะยอ่ มมีหน่ึงไมม่ สี อง (สจั จะ) สิง่ ใดเป็นอสัจธรรม ยอ่ มพร่อง (ไม่สมบรณู ์ ดบั ไปๆ) อยู่เนอื งๆ สิ่งใดเป็นสัจจะ ส่งิ นน้ั สมบรู ณ์เสมอ (ไม่มีกาลเวลา อกาลิโก) พระตถาคต กล่าว พระนิพพานเป็นสัจจะอย่างย่ิง คนพวกที่สามน้ีท่ีเห็นแต่น้�ำไม่เห็นคล่ืน ไม่มีมาก โปรเฟซเซอร์ในมหาวิทยาลัยลอนดอนคนหนึ่ง กล่าวไว้ในหนังสือปรัชญาเรียนด้วยตนเองว่า คนพวกนี้เกิดในสมัยยุคทองของโลก คือสมัยพระพุทธเจ้า โซเครตีส เล่าจ้ือ ขงจ้ือ เกิดคือ เห็นพระเจ้าทั่วไปในสภาพล้ีลับท่ัวไป แต่พระพุทธเจ้าไม่ใช่เช่นน้ัน ท่านทรงตรัสรู้อริยสัจส่ี สังขารเป็นของเท็จ (faked) เห็นพระนิพพานเป็นของจริงแต่ประการเดียว (ถ้าเห็นเช่นนี้) มชิ ้าจะเห็นธรรมโดยสมบูรณว์ า่ อยา่ งส้ัน (รู้สตพิ รอ้ ม-นิพพาน) มโี ยมคนหนึ่งซงึ่ เปน็ ข้าราชการ ช้ันผู้ใหญ่ฝ่ายรัฐวิสาหกิจ เคยบวชอยู่กับหลวงปู่ขาวเมื่อท่านจ�ำพรรษาอยู่จังหวัดหนองคาย สนใจปฏิบัติภาวนา แม้สึกมาแล้วเคยสนทนาธรรมกันบ่อยๆ ต่อมาอาตมาไปอยู่ออสเตรเลีย 329
เห็นเงียบหายไป เขียนจดหมายปรารภธรรมไปถึง เขาตอบมาเพียงส้ันๆ ว่า เด๋ียวน้ีผมเห็น อะไรๆ เป็นของเกไ๊ ปแลว้ กเ็ ลยเลิกตดิ ตอ่ กนั ไปเลย จิตสติ เกิดขนึ้ แล้วเปน็ จิตสมบรู ณ์ (completer) ไมข่ าดไม่เหลือ เป็นจติ ธาตุแท้ เปน็ จติ วสิ งั ขาร (ไมม่ ีสังขาร) วสิ งั ขาร เป็นชือ่ พระนิพพาน หรืออกี นัยหนึ่ง จิตบริสทุ ธ์ไิ ม่มีอวชิ ชา ปัจจยา สังขารา-ทกุ ข์ อย่างนอ้ ยพอรู้จกั ทางพน้ ทุกข์ หรือถ้าเดนิ ภาวนาตอ่ ไปจนถึงจติ วิราคะ เกดิ จึงจะเด็ดขาด จิตวิราคะ ไม่มีความใคร่ก�ำหนัด ถา้ จติ วริ าคะเกดิ ในกามก็จะตดั สังโยชน์ เครื่องผูกจิต ชั้นปุถุชนขาด คือตัดสักกายทิฏฐิ ยึดขันธ์ห้า-กายใจ เป็นตน (ego, self) ออกจากจิตวิจิกิจฉา สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นิพพาน สีลัพพตปรามาส ศลี ทีไ่ มบ่ ริสทุ ธ์ิ เพราะใจไมเ่ ป็นศีล บริสทุ ธ์ิ ยงั ไม่บริสทุ ธ์ิ จากอัตตาทฏิ ฐิในขันธห์ า้ ถกู ตดั ออก ตดั กามสังโยชนเ์ ครอ่ื งผกู จิต โทสะ (ปฏิฆะ ขัดเคอื งใจ พยาบาท) สงั โยชน์ได้ จากจิต... ท�ำให้แจ้งซ่ึงความดับอริยสัจทุกข์ที่หน่ึง คือยึดมั่นขันธ์ห้าพร้อมกามเข้าถึง นิโรธ อริยสัจที่ สาม คือความดบั ทกุ ขท์ แ่ี ท้จรงิ คืออุปาทานขันธห์ ้า (คือเป็นตนของตนในขันธห์ า้ ) อนั พึงรู้แจ้ง ในปัจจุบันทันที พร้อมท้ังเหตุ เป็นพุทธปัญญา จึงรู้แจ้งอริยสัจสี่สมบูรณ์ ท้ังพระสัจธรรม พระนพิ พาน เพราะอรยิ มรรคเจริญข้ึนแล้ว (อรยิ สจั ๔) มหาสตริ วมอริยมรรค ๔ ในขณะจิต สติ กามภพดับจากจิตเด็ดขาด เป็ยอริยบุคคลชั้นท่ีสาม พระอนาคา วิหิงสา ความคิด เบียดเบยี นใดๆ ก็ดับพร้อมถงึ ขั้นนี้ กาย วาจา ใจ ก็วริ าคะพ้นความใคร่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็วิราคะ ข้นั กามวริ าคะ จิตถึงสจั ธรรม คือ นวโลกตุ ตรธรรม ธรรมพน้ โลกเกา้ ประการ มรรคสี่ ผลสี่ นิพพานหนง่ึ หรืออยา่ งทที่ ่านเจา้ คณุ อบุ าลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส สมัยรัชกาลท่ี ๖ กล่าวไว้วา่ เห็นธรรมเปน็ ตน เห็นตนเปน็ ธรรม คือสัจธรรมปรากฏทกี่ าย วาจา ใจ จิต จติ ถงึ วิรัชติธรรม คือไม่ตดิ อยใู่ นธรรมทง้ั หลาย เป็นมหาธรรมสติ ดงั พทุ ธพจนท์ ีว่ ่า ธรรมท้งั หลายไม่พงึ ถอื มนั่ เป็นหัวใจสติธรรม นั่นก็คือวางกังวลทั้งส้ินน่ันเอง คือถอนตัณหาอุปาทาน (ในขันธ์ห้า) ทงิ้ ไป สิน้ สมุทัยเหตุอรยิ สัจทกุ ข์ทีห่ นึง่ ดังพระอรหนั ต์ภกิ ษุณีองคห์ นง่ึ กลา่ วว่า เราถอนตัณหา ได้แล้ว จิตตั้งม่ันอยู่ภายใน (คือรู้พ้นอยู่ต้นจิตไม่คิดอ่าน นั่นเอง) ก็เป็นอันถึงวิมุตติญาณ- 330
ทัสสนะ จิตวิมุตติ หลุดพ้นก็เข้ากับธรรมวิมุตติ (ธรรมแท้) ไม่ใช่โลกสมมุติ (รู้ไม่ได้ด้วย ภาษา) ค�ำพูดด้วยการเดาด้วยจินตามยปัญญา (intellect) จิตตอนน้ีก็พอเทียบพระอาทิตย์ ตอนเทย่ี ง มเี มฆขาวเบาบางบังอยูเ่ ลก็ นอ้ ยเทา่ นัน้ ธรรมชาติของจิตก็เป็นธรรมพ้นโลก โลกุตตรจิตข้ันนี้คู่กับวิมุตติธรรมเป็นโลกุตตรสุข วิมุตติสุข เนกขัมมสุขเหนือกามภพ สุขเหนือสังขารโลกแล้วไม่หว่ันไหวด้วยสังขารโลกแล้ว ไม่ว่าป่วยไข้ได้เจ็บปางตายอะไร ก็ไม่ท�ำให้ทุกข์ยากได้แล้ว เรียกว่าถึงข้ันน้ีได้ ก็สบายมาก สบายกว่าโสดาบัน เพราะกามทุกข์แย่ จิตอยู่ด้วยโลกุตตรสุข เหนือสุขแบบโลก เสวยวิตก วิจาร ปีติ สุข อารมณ์สมาธิภาวนาเป็นอาหารดีกว่าอาหารทิพย์ของเทวดา อาหารหยาบ ของคนสัตว์ไม่กลับมาสู่กามภพแสนทุกข์ได้เป็นพอ แต่มันก็ยากยากไปกว่าน้ันคือเจริญ จติ วิราคะ ในรูปภพ อรูปภพ หรอื รูปฌาน อรปู ฌาน ถา้ เจรญิ ได้ รปู ภพ อรูปภพ ดบั จาก จิต มานะสังโยชน์ (เศษความคิดว่าตน) ว่า เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เป็นต้นก็ดับ สังโยชนก์ เิ ลสทง้ั หมดในขนั้ อนาคามี จงึ ถูกตัดออกไปหมด รวมความฟงุ้ ซา่ น อวิชชาอยา่ งใน ข้ันอนาคาก็ดับประจักษแ์ จง้ ความดับอรยิ สจั ทกุ ข์ทห่ี นึ่ง อนั พงึ ท�ำใหแ้ จ้งในปจั จบุ นั พร้อมท้ัง เหตุคือสังโยชนท์ ั้งหมด เป็นอรยิ สจั นิโรธทีส่ าม เพราะมหาสติ อรยิ มรรคสัจทีส่ ่ี รไู้ ด้ดว้ ย รู้รส พระธรรม ท่ีพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขยอดเย่ียม หรืออีกอย่างหนึง่ เจริญวปิ สั สนาปัญญาเกิดขึน้ เหน็ ธรรมเป็นธรรม (ความเห็นอ่นื พรอ้ มทกุ ข์ ทม่ี ีมานานนมตลอดวฏั สงสารดับ) นโส เหตวํ วิวาโท ปรากฏ คอื ไมม่ วี า่ โนน่ วา่ น่ี พน้ โลก สมมุติ คำ� พูด (No word) สน้ิ วิจิกจิ ฉา เปน็ โลกุตตรสนั ตัง กค็ อื นตถฺ ิ สนตฺ ิ ปรํ สขุ ํ สขุ ย่งิ กวา่ ความสงบระงับสังขาร (อวิชชา-ทกุ ข์) เปน็ ไมม่ ี น่ันเอง ปรากฏ (จิตวิสังขาร คู่กับธรรมวิสังขาร เป็นธรรมสุข) เหมือนมหาสมุทรใหญ่ทั้งหมด ธาตุน�้ำไม่แปรเปลี่ยนด้วย อำ� นาจ อาการคลืน่ (storms) เหมือนอยา่ งพระมหาโมคคลั ลานะ เขาสับกายทา่ น (สงั ขารโลก) เป็นช้ินๆ จิตท่านก็ไม่ทุกข์ร้อนอะไร... เพราะจิตบริสุทธิ์ เป็นโลกุตตรสุข พ้นอ�ำนาจสังขาร อาการโลก แม้ (Cosmos) จักรวาลระเบิดก็ไม่ทำ� อะไรได้ ดงั พระพุทธองคซ์ ึ่งสามารถบังคบั อนุภาคไฟฟ้า (electrical particles) ได้ท้ังหมด คือให้กายหายจากโลกมนุษย์ไปปรากฏใน สวรรค์เพียงขณะจิตเดียว ทรงรู้เรื่องวัตถุสมบูรณ์ ทรงกล่าวไว้ว่า มหาภูตรูป คือวัตถุ 331
(Matter energy) ไม่ดับสูญไปไหน แต่ไม่สามารถหย่ังลงสู่พระนิพพานได้ก็เหมือนน้�ำใน มหาสมทุ รนน่ั แหละ อาการคลน่ื ใหญ่โตแตกกระจายอย่างไร เป็นธรรมชาตคิ ลืน่ อาการไม่ใช่ ธรรมชาติน้�ำ นำ้� เปยี กคงที่ H2O constants เทา่ นั้น ตา่ งคนต่างอยู่ เปน็ อันวา่ โยมลองไป ทำ� ดู คงรูผ้ ลดี เจริญพร พระบุญฤทธ์ิ ปณฑฺ โิ ต (จันทรสมบูรณ)์ ที่ Adelaide S.A. Australia ม.ิ ย. ๒๕๔๕ (ค.ศ. ๒๐๐๒) ป.ล. เพยี งขั้นโสดาบัน ไมม่ คี วามคิดหลงยดึ ม่นั ขนั ธ์หา้ เปน็ ตน เรา = หลงว่าไม่ใช่เรา หรือเขา self คิดหลงสองอยา่ งนี้ รวมท้ังคดิ หลงเรากับโลกก็ดบั ไป ภพหลง โลกหลง ก็ดบั พร้อม เร่อื งใคร (ตน) เกิดตายอยู่ (ภพ คิดหลง วิญญาณหลง) จะเกิดตายอยู่ก็เป็นไปไม่ได้... คือ แจ้งอมตธรรมเท่านั้นจริง คือพระนิพพาน มตธรรม โลกหลง ไมจ่ รงิ แน่นอน (รขู้ ันธห์ า้ เก๊) มตธรรมหมดอำ� นาจ กอ่ ทกุ ขเ์ พราะโง่ (ทุกขท์ ่ีแท้จริง) ขึ้นอกี ไม่ได้ ไมว่ ่าแกเ่ จบ็ ตาย อนั ตรายใดๆ ในโลกสังขาร เพราะจติ เป็นโลกตุ ตรจติ พ้นอวิชชาสังขารทเี่ ปน็ หัวงู คือ สักกายทิฏฐิ โง่ยึดขันธ์ห้าเป็นตนไปแล้ว การตอบปัญหาของพระอรหันต์แก่นางพราหมณ์ผู้ชาญเวทว่า อะไร คือหน่ึง ได้ถกู ตอ้ ง 332
333
334
335
336
337
338
339
340
341
342
343
สวนสวรรคใ์ นเยอรมนั หรอื เรอื่ งราวของเยอรมนั หรือลาชาวพุทธในเยอรมนั (๙ ตุลาคม ๒๕๓๘) ประวตั ิศาสตรเ์ ยอรมัน ใครๆ ในเบอรล์ ิน ในเยอรมัน ย่อมรจู้ กั เมืองสำ� คัญยิ่งเมืองหน่งึ ใกล้นครเบอร์ลิน คือ เมือง Potsdam ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่โบราณมาก เป็นเมืองที่พระเจ้าเฟเดอริคมหาราช ทรง สร้างพระราชวังไว้อย่างสวยงามมาก คือพระราชวังไกลกังวล ซังซูซี ประกอบด้วยวังน้อยใหญ่ สวยงามตามศิลปกรรม สถาปัตยกรรมยโุ รปแบบเกา่ เมื่อราว ๒๐๐-๓๐๐ ปีมาแล้ว และ ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นป่าใหญ่ มีต้นไม้ต้นโตๆ สูงใหญ่ใบหนา อายุนมนานครึ้มเย็นร่มท่ัวไปทั้งบริเวณป่าก็มีบึงน้�ำมีเกาะแก่ง มากมายเขียวชอุ่มด้วยพุ่มไม้ล้อมรอบด้วยบึงหรือสระหรือ ทะเลสาบทีส่ วยงาม ทัง้ พระศพของพระเจา้ เฟเดอรคิ มหาราช ก็ฝังท่ีหน้าวังซังซูซีด้วยแต่ว่าท�ำแบบอย่างเรียบๆ เป็นมหัศจรรย์ ชาวไทยพุทธมาอยู่กับชนเผ่าเยอรมันท่ีน่ีมานานโข นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ มาทเี ดียว หรอื ตั้งแตส่ มยั พระเจ้าไกเซอร์วิลเล่ยี ม ที่ ๒ เมื่อคร้ังบิสมาร์คมหาเสนาบดีของมหาอาณาจักรเยอรมัน ยังมีชีวิตอยู่ และได้ถวายการต้อนรับรัชกาลที่ ๕ เม่ือเสด็จฯ เยือนเยอรมนั และโดยเฉพาะหลังสงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ คัดจากลายมอื หลวงปู่ 344
ประวัติศาสตร์ไทย-เยอรมันบางส่วนว่าด้วยเวลาก็ดูใกล้เคียงกันคือพระร่วงเจ้า กรงุ สุโขทัย ทรงประกาศแผ่นดนิ สโุ ขทยั เป็นเอกราชใน พ.ศ. ๑๘๐๐ หรือ ค.ศ. ๑๒๕๗ และ แผ่นดินเยอรมัน ก็แยกจากอาณาจักรแฟรงค์ (Frank) ซึ่งก็เป็นของเผ่าเยอรมันเหมือนกัน และต่อมากลายเป็นประเทศฝรั่งเศส (France) ในปคี .ศ. ๑๒๓๐ โดยมพี วกเจ้านายเยอรมัน คือพวกเจ้า Staufer ปกครองถน่ิ ต่างๆ ในเยอรมันลงไปถึงอติ าลีตอนเหนือ-ใตด้ ว้ ย คลา้ ยๆ ทางเหนือของไทย เชน่ พวกเจา้ เชียงใหม่ ลำ� พูน ลำ� ปาง แตว่ ่าคนเยอรมนั นนั้ อยู่ในแดนแถบนี้ สมาพนั ธ์รัฐเยอรมนี
คอื เบรนเดนิ เบอรก์ Potsdam เบอร์ลิน มานานเนกอ่ นน้นั แล้ว เรยี กว่าตัง้ แต่ ๓,๐๐๐ ปมี าแล้ว กว็ า่ ได้ แล้วคนเยอรมนั คอื ใคร นักศกึ ษา อาจารย์ก็ต้องดูที่ “ภาษา” เหมอื นคนพดู ไทยเปน็ = เผ่าไทย ตามเอกสารหมายเหตุบันทึกของจีนโบราณท่ีติดต่อกันก็มีท่ัวไปในตอนใต้ของจีนคือ ลุ่มแม่น้�ำแยงซีเกียงท้ังหมด ได้มีการติดต่อท�ำสงครามบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่บ่อยนักกับ จีนธเิ บต (ซง่ึ ก่อนจะนบั ถือพุทธยงั เปน็ สมัยนบั ถอื ผ)ี เปน็ นกั รบบกุ เข้าไปถึงเอเชียกลางทเี่ มือง Turfan บนเส้นทางสายไหม (ดู Die Seidenstrasse โดย H, Hartel M. Yaldiz) ส่วนไทย ก็มีอ�ำนาจท่ีลุ่มแม่น�้ำแยงซีเกียง จนถึงสมัยสงครามใหญ่ สมัยจีนสร้างมหาอาณาจักรฮ่ัน อาณาจักรฉ้อ เผ่าไทยแพ้สงคราม (ดูหนังสือฮั่นสิน) จึงได้แตกถอยลงมาเป็นครั้งแรกไทย ถอยลงไปแถวอัสสัม พม่าตอนเหนือ ที่เรียกว่าแคว้นชานหรือฉานทุกวันน้ี เพราะถอยลงมา ก่อนจึงได้ชื่อว่า ไทยใหญ่ แต่ก็ยังคงอยู่เจริญมานานในยูนาน บางคร้ังก็รบกับจีนอีก (ดูใน สามกก๊ ) ในทสี่ ดุ มองโกลบกุ ตลอดจนี จากเหนอื มาใตพ้ มา่ นา่ นเจา้ ญวน ทำ� ใหเ้ ผา่ ไทยตอ้ งอพยพ ลงใต้เกอื บหมด กล็ งมาตามแม่น้�ำเจา้ พระยา แมน่ ำ้� โขง พวกชุดอพยพมาทหี ลังนจี้ ึงไดช้ ่ือว่า ไทยน้อย ทนี ีก้ ล่าวถงึ เยอรมัน เมอื่ กล่าวโดยภาษาตามหลกั ภาษาศาสตร์ ภาษาเยอรมนั เดมิ คือ (Urgermanisch) มีคนพูดคนใช้กันในยุโรปตอนเหนือเป็นเวลานานกว่าพันปีก่อนคริสตกาล หรอื ราว ๕๐๐ ปีก่อนพระพทุ ธกาล คอื ตอ้ นตน้ ค.ศ. ภาษาเดมิ แปรเปลี่ยนตามธรรมชาตเิ ปน็ ภาษาเยอรมันตอนแรก Fruhgermanisch และแตกแขนงออกไปภาษาเยอรมันตะวันออก (โกติช) Ostgermanisch (gotisch) ถงึ คริสต์ศตวรรษท่ี ๔ หรอื ๔๐๐ ปีแหง่ ครสิ ตศ์ ักราช จึงได้เกิดภาษาเยอรมันรุ่นต่อมา Shatgemeingermanixch ซึ่งแตกแขนงออกไปเป็นภาษา เยอรมันเหนือ nordgermanisch คือแฟโรอิช (Faroixch) อิสแลนด์ (Island) นอร์เวย์ (Norway) เดนมารก์ (Denmark) สวเี ดน (Sweden) อีกหน่ึงร้อยปีต่อมา เกิดภาษาเยอรมันตะวันตก บางทีก็เรียก ภาษาเยอรมันใต้ (Westgermanisch, Sudgermanisch) 346
ภาษาเยอรมนั ทุกภาษาต่อมาลว้ นมีรากฐานมาจากภาษาเยอรมนั นี้ คือ : ๑. ภาษาเยอรมันทะเลเหนือ (Nordseegermanisch) (Ingwaon) ๒. ภาษาเยอรมนั แถบแม่น�้ำไรน์ - เวเซอร์ (Rhein-Weser germanisch) ๓. ภาษาเยอรมนั แถบแมน่ ำ้� เอลป์ (Elbgermanisch) (Ermi) หรอื ภาษาเยอรมันแถบ ภเู ขาแอลป์ตอนหลงั (Spater Donau-Alpenlandisch) ทนี จ้ี ากหน่งึ ภาษากแ็ ยกออกเป็น ก. ภาษาอังกฤษเกา่ (Altenglisch) ข. ภาษาฟริเซียนเก่า (Altfriesisch) ค. ภาษาแซกซันเก่า (Altsasisch) จาก ๒. ภาษาก็แยกออกเป็น ก. ภาษาแฟรงค์เก่า (Altfrankisch) จาก ๓. ก็แยกออกเป็น ก. ภาษาเยอรมนั อัลเลอมานเก่า (Altalemannisch) ข. ภาษาบาวารันเก่า (Altbayrisch) ค. ภาษาลางโกบารด์ (Langobardisch) จาก ๑. ก. ก็เป็นภาษาอังกฤษยุคกลาง (ค.ศ. ๑๒๐๐) (Mittelenglisch) และภาษา องั กฤษใหม่ (Nevenglisch) = (ค.ศ. ๑๖๐๐) จาก ๒. ข. ก็แยกมาเป็นภาษาฟรเิ ซียนใหม่ (Neufrisisch) ค.ศ. ๑๖๐๐ จาก ๑. ค. แยกเป็นภาษาเยอรมันยุคกลางตอนต่�ำ (Mittel-niederdeutsch) และ ภาษาเยอรมันตอนใต้ (ตอนต�่ำรุ่นใหม่) (Neunieder Deutch) ค.ศ. ๑๖๐๐ ส่วนภาษา แฟรงค์เก่า (Frank) เยอรมันอัลเลอมานเก่า บาวารัวเก่า (Altbayrisch) และลางโกบาร์ด (Langobardisch) กม็ ารวมผสมกนั เกดิ เป็น ๑. ภาษาเยอรมันสงู เก่า (Althochdeutsch) ๒. ภาษาเยอรมันกลาง (Mittelhochdeutsch) ที่ยงั แยกออกเปน็ ภาษาจิดดชิ เก่า ใหม่ (Altjiddisch Neujiddisch) 347
๓. แล้วจากภาษาเยอรมันกลางกไ็ ปเปน็ ๑. Peninsilvanisch และภาษาเยอรมันสูงใหม่ (Neuhoch-deutsch) ค.ศ. ๑๖๐๐ (ตามการจดั ล�ำดับของ ST. sonderegger) ก็เรียกว่าเก่าแก่น่าดู แต่ของภาษาไทยเราของเผ่าไทยเดิม จากบันทึกพงศาวดารจีน ดจู ะแก่กวา่ นั้นอีก ทนี ม้ี าพูดถึงว่าชนเผา่ เยอรมนั (germanen) มาอยแู่ ถบเหนอื เยอรมันตดิ ทะเลเหนือ ได้ต้ังแต่เมื่อไรคือไม่ไกลจากที่ต่อมาเป็นเบรนเดนเบอร์ก (Potsdam, Berlin) ปรากฏใน ประวัติศาสตร์เยอรมันว่า พวกเผ่าเยอรมันเดิม (germanen) ปรากฏตัวอยู่แถวน้ีต้ังแต่ ๑,๒๕๐ ปี (๑,๒๕๐ ป)ี ก่อนคริสตกาล (ก่อน ค.ศ.) ตรงกับสมัยในอียปิ ต์ พระเจ้าแรมแซสฟาโรห์ ที่ ๒ (Ramses II) ทรงเป็นมิตรกบั พวกฮตี ไตต์ ฮติ ไตต์ (Hittite) ทมี่ อี �ำนาจอยู่แถบเตอรกี ปัจจุบัน พวกอัสสิเรียน (Assyrian) ก�ำลังรุ่งโรจน์ แขนงเผ่าอารยัน (Indo-European) แขนงหน่งึ ขยายเขา้ ไป ชมพทู วีป ดา้ นตะวันตก ไปสรา้ งความเจริญยงิ่ ยวด พอๆ กบั อียิปต์ คือฮารบั บา (Harappa) โมฮันเดอจาเนโร (Mohandejadero) บนแม่น้�ำสนิ ธุ ต้งั แตต่ อนต้น แมน่ ำ�้ จรดปลายเป็นวฒั นธรรมลุม่ แมน่ �้ำสินธุ (ปจั จุบันคือปากีสถาน) นบั เปน็ แหง่ แรกในโลก ทน่ี ักโบราณคดี ปจั จุบนั ขุดพบรปู ฤาษีนัง่ ขดั สมาธิแบบปัจจบุ นั เรียกวา่ เป็นต้นตระกูลฤาษีโยคี ผแู้ สวงหาความรู้จรงิ โดยศลี ตบะ สมาธิ ทง้ั ทางดา้ นวัตถดุ ้านสังคมก็เจริญมาก นักโบราณคดี ขุดพบผังเมืองแสดงถึงการสร้างนครใหญ่ มีถนนใหญ่ตัดตรงแบบในปัจจุบัน มีการวาง ผังเมืองอย่างชาญฉลาด มีท่อน้�ำข้างถนนขนาดใหญ่โตลึกเป็นอิฐแน่นหนา นับว่าดีกว่าท่ี กรุงเทพฯ ของเรามาก ตามบ้านมีห้องน�้ำใหญ่โต มีบ่อน�้ำในห้องน�้ำเสร็จมีการรู้จักใช้ ตราประทับเอกสาร เครือ่ งเคลือบถ้วยชามประณีตมีการขุดพบหนังสอื (ซึ่งยังไม่มใี ครอา่ นได้) รูปปั้นคนเคลือบ คนสมัยนั้นมีวิวัฒนาการมีความเจริญสูงมาก ส่วนคนไทยสมัยเดียวกันนี้ ยังอยู่ท่ีลุ่มน�้ำแยงซีเกียง กวางตุ้ง กวางสี ไหหล�ำ ติดกับจีนน่ี อยู่ที่โลยาง ยังอยู่ในยุค สงคราม ยุ่งยาก สงั คมเส่อื มสบั สนเป็นช่วงสมยั ก่อนขงจื้อ เลา่ จือ้ 348
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428