Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ๑๕ ครูภูมิปัญญาไทย ผู้อารักษ์พรรณพืช

๑๕ ครูภูมิปัญญาไทย ผู้อารักษ์พรรณพืช

Description: ๑๕ ครูภูมิปัญญาไทย ผู้อารักษ์พรรณพืช

Search

Read the Text Version

๑๕ครู ครถู นอม ศิริรักษ์ ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย 200 เขาจ�าได้ไม่ลืมว่า ตอนที่เขาเรียน หนงั สือตอนเล็ก ๆ เรยี นอยู่สงขลา แม่ก็ จะให้น้�าบูดูข้าวย�านี้ไปกิน กลับมาบ้าน สอง สามอาทิตย์แม่ก็ให้ไปอีก เราก็กิน บ้างไมก่ ินบา้ ง มันก็เหลืออยูใ่ นครวั วันหน่ึงแม่ไปเยี่ยม เห็นว่าน้�า บดู ูอันนกี้ เ็ หลอื อนั นน้ั กเ็ หลอื เกดิ ความเสยี ดายแมก่ เ็ ลยเอากลบั มาเท รวมๆ กนั อนุ่ เคยี่ วใหม่ ชมิ ดรู สชาติ คล้ายซีอ้ิวอร่อยไม่แพ้ถั่วเหลือง ตอนหลังทา� โดยตรงเลย เอาบูดดู ิบ มาปรงุ เปน็ ซีอิ้วปลา วนั หนงึ่ แมไ่ ปเยย่ี ม เหน็ วา่ นา้� บดู อู นั นก้ี เ็ หลอื อนั นน้ั กเ็ หลอื เกดิ ความเสยี ดาย แมก่ เ็ ลยเอากลบั มาเทรวม ๆ กนั อนุ่ เคยี่ วใหม ่ ชมิ ดรู สชาตคิ ลา้ ยซอี ว้ิ อรอ่ ยไมแ่ พถ้ วั่ เหลือง ตอนหลงั ท�าโดยตรงเลย เอาบดู ูดิบมาปรุงเป็นซีอิว้ ปลา ไปประกวดทไ่ี หน กไ็ ดล้ ะครบั เพราะมนั มอี ยเู่ จา้ เดยี ว แลว้ กใ็ ชเ้ ปน็ นา้� จมิ้ เนอื้ ยา่ ง ปลายา่ ง ทา� นา�้ ปลา หวานก็ได้ โดยนา� ส่วนหน่ึงของนา้� ปลามาท�า สว่ นหนึ่งก็เอาไปทา� บูดขู ้าวยา� ส่วน หนง่ึ เอาไปทา� ซอี ว้ิ ปลา จากนา้� บดู ไู ดส้ า� เรจ็ น�าความรู้ทั้งหมดมาเผยแพร่แก่ผู้ สนใจทั่วภาคใต้ ท้ังภาครัฐและเอกชนมา ต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ จนปัจจุบัน ท้ังยัง เป็นวิทยากรฝึกอบรม รวมทั้งบันทึกเป็น หลักสูตรท้องถิ่นเพื่อใช้สอนในโรงเรียน และผูส้ นใจดว้ ย

ครูถนอม ศิริรักษ์ ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภูมิปญั ญาไทย 201 แต่ก่อนประมงเขาลากอวนได้ทีเป็นตัน ชาวบ้านที่ท�า ประมงไมร่ เู้ อาไปขายทไี่ หน กเ็ อามาขายสมยั กอ่ นกิโลละ ๒ บาท เดย๋ี วนป้ี ลาหายาก ตอนกอ่ นใชป้ ลามะลแิ ตต่ อน นใี้ ชป้ ลาอยา่ งอน่ื ทา� ได ้ ใชป้ ลาหลงั เขยี ว ปลาทตู วั เลก็ ๆ เพราะปลามะลหิ ายากและแพงมาก ปจั จบุ นั โลหนงึ่ นา่ จะ ๕๐ - ๖๐ บาท ต้นทุนมนั สูง ก็เลยต้องเปล่ยี นปลา “ของแม ่ บูดใู ช้ปลาอะไรกไ็ ด้ แตก่ อ่ นใช้ปลามะลิ เพราะมันมีเยอะและถูก แล้วคนท่ีนี่รู้จัก ท�าจ้ิงจังมากกว่าที่อ่ืน ปลาอื่นไม่ได้ เปลี่ยนแปลงกระบวนการท�า แต่ ถ้าปลาตวั ใหญ่จะไม่มเี ป็นจงิ้ จัง มี แคป่ ลากรมิ ปลาสรอ้ ยทแี่ ทนปลา มะลิได ้ เราอย่สู องทะเล ห่างจาก ทะเล ๒ กโิ ล ชว่ งหนา้ นา�้ หลาก ท่ีนี่พวกปลาน้�าขี้ขม ปลา หางแดง พวกนี้ก็ท�าได้นะ แต่สตู รกย็ ังคงเหมอื นเดิม ผมไปบอกชาวบา้ นวา่ จบั ปลามาได ้ ทา� ไม ไมค่ ดิ ทา� นา้� ปลากนิ เองเพราะนา�้ ปลาทค่ี ณุ กนิ ท่ีรังสิตเป็นบ่อยาว ๆ เอากระดูกวัวกระดูก ควายมาเอาเกลือโรยแล้วใหน้ �้าฝน ตกลงมา ขังทที่ ุ่งรังสติ สมัยก่อน ทแี รก แมก่ ไ็ มร่ หู้ รอกวา่ นค่ี อื ภมู ปิ ญั ญา เพียงแตเ่ กดิ นวัตกรรมใหม่ขึ้น ” ไพฑูรย ์ ศริ ิ รกั ษ์ ลกู ชาย ของครคู อยเสริม

๑๕ครู ครูถนอม ศิรริ กั ษ์ ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย ฟงั แล้ว คดิ ไม่ถึงวา่ ภมู ปิ ญั ญาไทยไปไกล 202 กวา่ ทค่ี ดิ จรงิ ครูถนอม เล่าต่อด้วยความภาคภูมิใจว่า “ได้ชาวบ้าน ลกู ชายคนนน้ี แ่ี หละออกไปสอนตามชมุ ชน คนมาเรยี นรเู้ ยอะ ไม่ทราบวา่ เอาไปทา� สัก ๑๐ เปอร์เซ็นตห์ รอื ไม่ แตก่ ภ็ ูมใิ จท่ี ไดแ้ บ่งปนั แมจ้ ะมีคนตา่ งถ่นิ เอาไปท�ามากกว่าคนในถ่นิ กไ็ ม่ เคยปดิ บงั สอนวิธที า� เราน ี้ แต่เราจะชว่ ยคนในถ่นิ ได้ คือ ปลา ทเี่ ขาหาไดม้ าไมร่ จู้ ะไปขายทไ่ี หน เรารบั ซ้ือ” นนั่ คอื ทช่ี มุ ชนได ้ ปลา น�้าจืดเอามาท�าได้แต่ไม่อร่อย เท่าปลาน�้าเค็ม มีคนจากท่ีไม่ ติดทะเลมาเรียนรู้แล้วน�าไป ปรบั ใช้ก็มาก ครูถนอม มีความ สามารถในเร่ืองการแปรรูป อาหาร ได้เริ่มหัดเรียนท�า น้�าบูดูจากคุณป้า เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ โดยนา� ปลาทะเลตัวเล็ก มา หมักท�าน�้าบูดู ด้วย การใช้สับปะรด

ครูถนอม ศิริรักษ์ ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 203 หั่นเป็นแว่นหรือใช้ส้มแขกรองก้นโอ่งเพ่ือลดความเค็มของเกลือ โรยดว้ ยน้า� ตาลแวน่ หรือน�้าตาลโตนดเลก็ นอ้ ย เพ่อื ลดความคาว ของปลา และจากการศกึ ษาดงู านการทา� นา้� ปลาจากถนิ่ ตา่ งๆ ครู ถนอมนา� น้�าบูดสู ว่ นหนึง่ หมกั ทา� น้�าปลา ใน พ.ศ. ๒๕๒๐ ใส่ขวด บม่ ตากแดดนาน ๖ - ๘ เดอื น เป็นสูตรเฉพาะของครถู นอม กินข้าวย�าให้อรอ่ ยตอ้ งราดน�้าสม้ นครศรธี รรมราช เขา ไมม่ ขี า้ วยา� แตเ่ ขาเรยี กวา่ ขา้ วคลกุ ขา้ วยา� ตอ้ งมนี า�้ บดู ู ดู บุฟเฟตโ์ รงแรม เขากินข้าวยา� กันเปน็ แต่ปรุงไม่เป็น “วิธีปรุงต้องซอยส้มแล้วก็ราดลงบนข้าวย�า เพื่อให้กลมกล่อมแล้วก็ใส่เครื่องย�าต่าง ๆ บางคน เนย้ี ใสก่ งุ้ แหง้ แลว้ กร็ าดบดู นู า�้ ยา� วนั นน้ั ไปแสดงงาน วจิ ยั ลกู ชายเอาขา้ วยา� ไปแสดงงานแลว้ คลกุ ทา� เปน็ ชดุ สมเดจ็ พระเทพฯ ทา่ นทรงเสดจ็ เปดิ งาน วธิ กี นิ ขา้ วยา� ให้เอาขา้ วตัง สม้ มะพรา้ วคั่ว กงุ้ แหง้ มา อยขู่ า้ งบนแลว้ ราดนา้� บดู ขู า้ วยา� ” ครู ถนอม เสริมดว้ ยความปลาบปลม้ื เมือ่ นึกถึงวนั นัน้

๑๕ครู ครถู นอม ศิรริ กั ษ์ ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย ดังนั้น การเรียนรขู้ องครูถนอม เกิดจากการ 204 เรียนรู้จากบรรพบุรุษญาติผู้ใหญ่ ครูในโรงเรียน แหลง่ เรยี นรใู้ นชมุ ชน ตลอดจนการคน้ ควา้ ทดลอง ทา� หลายๆ ครงั้ และมกี รรมวธิ งี า่ ยๆ ปฏบิ ตั ติ อ่ เนอื่ ง สบื ทอดกนั มา ซงึ่ นา� ไปถา่ ยทอดใหช้ มุ ชน สามารถ น�าไปท�าได ้ โดยเฉพาะสูตรของครู การท�าของลูกหลาน จะกลมกล่อมเหมอื นกัน ครูเขยี นไว้เป๊ะ เราใชว้ ิธี การตวง ตามสูตรเป๊ะ เร่ืองเวลาคลาดเคลื่อนได้ บูดูย่ิงเก่าย่ิงอร่อย น้�าปลายิ่งแก่ยิ่งอร่อย แม้แต่ วัตถุดิบท่ีท�าก็ไม่เคยกลัวว่าจะขาด อย่างหน้าน้ี สิบเอ็ดน�้านองสิบสองน�้าทรง ชาวบ้านจับปลาได้ มากมาย ปลาทไ่ี มร่ จู้ ะเอาไปขายทไี่ หน กพ็ ยายาม บอกชาวบ้านให้มาเอาสูตรไปท�าเพื่อไม่ต้องไปซื้อ น�า้ ปลากิน ครูเอง เปิดหลักสูตรอบรม ศูนย์การเรียน รู้ชาวบก มีจาก กศน. เกษตร พัฒนาชุมชน ก็มาอบรมที่นี่ สอนท้ังน้�าบูดู น้�าปลาหรือน้�าบูดู ข้าวย�า เขียนหลักสูตรไปให้การศึกษา คนใต้กิน ผักหลากหลาย ต้นไม้ใบหญ้า รอบบ้านเอามาใช้ ประโยชน์กับบดู อู ย่างไรหรือแก้ ยังไง เอามาเป็น เครอ่ื งเคยี ง เปน็ ผักแกล้ม

ครูถนอม ศิริรักษ์ ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ัญญาไทย 205 หลกั สตู ร ๓๐ หลกั สตู ร วถิ อี ยวู่ ถิ กี นิ ภมู ปิ ญั ญา น�้าบูดู ของครูถนอม ได้ถ่ายทอด อาหารพ้ืนบ้านพ้ืนเมือง เกษตรชีวภาพ เกษตร ความร้ตู ่างๆ ใหแ้ ก่ สมาชกิ และ อนิ ทรยี ์ การก้าวมาตรงนค้ี รบองค์เลย ๓ วิถ ี คือ กลุ่มแม่บ้านจากชุมชนต่างๆ เพ่ือ ข้าวจากทอ้ งนา ตวั ปลาจากท้องทะเล พชื ผกั จาก นา� ไปใช้เองในครัวเรือน ผู้ประกอบ สวนผสมผสานกบั ภมู ปิ ญั ญาเพมิ่ คณุ คา่ ทางอาหาร การจนเกิดโรงงานอุตสาหกรรม เดือนหน่ึงเป็นบดู ขู ้าวยา� น้�าปลาในภาคใต้ประมาณ ๑๐๐ กวา่ แห่ง นา้� บดู ู ของครถู นอม ไดถ้ า่ ยทอดความรตู้ า่ งๆ ให้แก่ สมาชิก และกลุ่มแม่บ้านจากชุมชนต่างๆ เพอื่ นา� ไปใชเ้ องในครวั เรอื น ผปู้ ระกอบการจนเกดิ โรงงานอุตสาหกรรมน�้าปลาในภาคใต้ประมาณ ๑๐๐ กว่าแหง่ สร้างรายไดใ้ ห้กับโรงงาน ล้วนแล้ว แต่เป็นน้�าสูตรของครูถนอมไปแปรรูปท้ังสิ้น โดย ขยายไดว้ ันละประมาณ ๑๐,๐๐๐ ขวด ทั่วภาคใต ้ ซง่ึ กลมุ่ คนเหลา่ นไ้ี ดน้ า� ความรมู้ าเปน็ ประโยชนต์ อ่ ครอบครวั และการประกอบอาชพี โดยใหป้ ฏบิ ตั ติ อ่ จนสามารถท�าเองได้

๑๕ครู ครูถนอม ศิริรกั ษ์ ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 206 ซ่ึงสถาบันการศึกษาบางแห่งตระหนัก รวบรวมสมาชิกกลุ่มสตรีสหกรณ์ จัดตั้ง ถึงความส�าคัญ จึงได้น�าความรู้ดังกล่าวไปจัด เป็น “กลุ่มออมทรัพย์เพ่ือการผลิตบ้านจะทิ้ง ท�าเป็นหลักสูตรท้องถ่ิน ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง พระ” เมื่อปี ๒๕๒๘ จากสมาชกิ ๔๓ คน เงนิ ของการแปรรูปสัตว์น�้าทะเลมาเป็นอาหาร ทนุ หมนุ เวยี นเรม่ิ ตน้ ๗,๐๐๐ บาท ณ วนั น ้ี ชาว ทรัพยากรท่ีหาได้ง่ายในจังหวัดภาคใต้ การ บ้านเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มฯ มากขึ้นเร่ือยๆ ท�าน�้าบูดูข้าวย�าสูตรดั้งเดิม น้�าปลาจากน�้าบูด ู ครอบคลุมต�าบลจะทิ้งพระและตา� บลใกล้เคยี ง การทา� นา้� บดู สู ตู รใหม ่ และการทา� ซอี วิ้ ปลาโดย กวา่ ๔๐๐ คน มเี งนิ ทนุ หมนุ เวยี น ๖,๐๐๐,๐๐๐ ประยกุ ต์จากน้า� บูดู บาท (หกล้านบาท) ครูถนอมเป็นกรรมการ ไมเ่ พยี งเทา่ นน้ั ครถู นอม ยงั ไดร้ วมคนรวม บริหารกลุ่มมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ทุนจัดตั้งกลุ่มอาชีพเสริมและขยายกิจกรรม ออกไปหลายๆกลุ่ม เช่น กลุ่มผลิตเต้าเจ้ียว จากถว่ั เหลอื ง กลมุ่ ทา� ดอกไมจ้ นั ทน ์ - พวงหรดี กลุ่มท�าขนมพ้ืนเมือง กลุ่มผลิตภัณฑ์จากใย ตาล กลุ่มท�าปุ๋ยชีวภาพเพ่ือการเกษตร และ กลุ่มแปรรูปอาหารจากสัตว์น้�า น้�าบูดูข้าวย�า น้�าปลาและซีอ๊ิวปลา จา� หน่ายท้งั ในชมุ ชนและ นอกชุมชน ท�าให้สมาชิกได้มีโอกาสพบปะกัน ในการท�างานกลุ่มและมีรายได้เสริมจากการ จ�าหนา่ ยผลิตภณั ฑ์

ครรูสูถมนบอรู มณ์ แศวิร่นิรวักชิ ัยษ์ ๑๕ครู ด้านแโภพชทนยา์แกผานรไทย ภูมิปัญญาไทย 207 ไม่เหมือนร้านขายข้าวย�าท่ีมีคนเข้ามาน่ังรับ ประทาน แต่มีคนเดินเข้ามาสัง่ ตลอดเวลา อ๋อ ท่ีรา้ นนี่ไมเ่ หมอื นรา้ นน้�าชา ส่วนใหญจ่ ะกลมุ่ ข้าราชการ หรือซ้ือไปกินท่ีส�านักงาน แล้วก็ล้วนเป็นเจ้าขาประจ�า เขาติดใจ รสชาติน้�าบูดูข้าวย�า ส่วนใหญ่จะโทรมาสั่งล่วงหน้า ทั้งประชุม สมั มนาเขากโ็ ทรมาส่งั องคค์ วามรหู้ ลายๆ อยา่ งทไี่ ดร้ บั การถา่ ยทอดจากบรรพบรุ ษุ ญาตผิ ู้ใหญ่ ครู แหลง่ เรียนรู้ในชมุ ชนและรบั ปฏิบตั ิสืบทอด ตลอด จนไดค้ น้ ควา้ ทดลองท�าหลายๆ อย่าง ทัง้ ทางดา้ นงานอาชพี งาน วัฒนธรรมท้องถ่ินไทย มีท้ังเร่ืองพิธีการประเพณี การแต่งงาน งานบวช งานศพ การแตง่ กาย มารยาทไทยและประวตั ศิ าสตรข์ อง ชุมชน จนสามารถรวบรวมถา่ ยทอดให้อนุชนคนรุ่นหลัง โดยการ เป็นวทิ ยากรใหก้ ับกลุม่ อาชพี ตา่ งๆ ทั้งในจงั หวัดและต่างจังหวดั ผูส้ นใจศกึ ษาดูงานทกี่ ลุ่มฯ นักเรียน-นกั ศกึ ษาในสถานศกึ ษา

๑๕ครู ครถู นอม ศริ ริ ักษ์ ด้านโภชนาการ ภมู ิปัญญาไทย 208 เดนิ ตามสมเดจ็ พระเทพฯ และทฤษฎคี วามพอเพยี ง ในหลวง รัชกาลท่ี ๙ พระองคท์ รงลา� บากขนาดไหน ยอมเพือ่ ลูก ๆ ไมล่ �าบากในอนาคต ครถู นอมและลูกชาย กลา่ วถึงดว้ ยความต้ืนตนั วา่ ในหลวง รัชกาลท่ี ๙ ทรงคิดทฤษฎีความพอเพียงข้ึนมาเพราะท่านทรง เสดจ็ ไปเหน็ ประชาชน เหนอื กลาง อสี าน ใต ้ ชนบท เขาอยอู่ ยา่ ง พอเพยี ง ปลกู ทกุ อยา่ งทก่ี นิ ทา� ทกุ อยา่ งทเ่ี ขา ใช ้ งานหตั ถกรรมของไทยไม่ไดย้ ิ่งหย่อนไป แต่พระองค์ท่านล�าบากขนาดไหนท่ีลงไป เย่ียมราษฎรแสนไกล ล�าบากทุรกันดาร ท้งั แล้งสดุ หนาวสดุ ยากจนสุด พระองคท์ ่าน ก็ไมเ่ คยบน่ หรอื ทอ้ ทจ่ี ะเสดจ็ ไปชว่ ยทา� ให้ เพื่อชีวิตลูกๆ ของพระองค์ดีขึ้น พระองค์ ทา่ นเหน็ คนฉลาดทอ่ี ยกู่ ับภูมสิ งั คม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นลกู พ่อ (ภาษาชาว บ้าน) เพราะทุกเรื่อง ผมมีโอกาสได้รับใช้ พระองค์ท่าน เร่ืองช่างสิบหมู่ ผม ลูกชาย แม่ถนอมรบั ผิดชอบ ๓ แต่กลับทา� ไดถ้ งึ ๕ ในงบเทา่ กัน ๓ แสน มคี นถามว่าคุม้ ไหม “ผมก็ถามว่า ถ้าความเป็นไทยหายไป อย่าว่าแต่สามแสนเลย สามแสนล้านก็ซื้อกลับมาไม่ได้ อันนี้ไม่มี ราชการใดสนใจในเรอ่ื ง วัฒนธรรม ความเป็น ไทย แมก้ ระทงั่ เร่ืองตน้ ไม้พืชพรรณ ตอนแรก กท็ า� เพราะความชอบ พอโครงการนี้ลงมา แม่ บอกวา่ ถงึ ไมม่ ใี ครทา� ลกู ตอ้ งไปขดุ กนั เองเพอื่ ใหเ้ ด็กได้ซึมซับ”

ครูถนอม ศิริรักษ์ ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 209 ผมก็ถามว่า ถ้าความเป็นไทยหายไป อย่าว่าแต่สาม แสนเลย สามแสนล้านก็ซ้ือกลับมาไม่ได้ อันน้ีไม่มี ราชการใดสนใจในเรอ่ื ง วัฒนธรรม ความเป็นไทย แม้ กระท่ังเร่ืองต้นไม้พืชพรรณ ตอนแรกก็ท�าเพราะ ความชอบ พอโครงการน้ีลงมา แมบ่ อกว่า ถงึ ไมม่ ใี ครทา� ลูกต้องไปขุดกนั เองเพอ่ื ให้เดก็ ไดซ้ มึ ซบั

๑๕ครู ครูถนอม ศริ ริ กั ษ์ ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ญั ญาไทย 210 ฟังแล้ว รัก ครถู นอม ศิรริ ักษ์ ครูภูมปิ ญั ญาไทย ท่ีเข้าใจถึงทกุ เรื่องที่ทกุ พระองคท์ รงท�า และปลูกฝัง ลกู ชายไดเ้ ขา้ ถงึ สิง่ ท่ตี ้องทา� เพ่อื แผน่ ดนิ เกดิ ทรพั ยากรของเรา คอื วิถขี องคนคาบสมุทร สทิงพระเปน็ เกาะ วิถีโหนดนาเล วิถนี าเรามนี า วถิ เี ลเรามสี องทะเล มนั เป็นมหาลยั ชีวิต

ครูถนอม ศิริรักษ์ ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ญั ญาไทย ไพฑรู ย์ ลกู ชายครู คยุ ดว้ ยความภาคภมู ทิ วี่ า่ 211 “ผมเกดิ ทนี่ ่ี มแี มเ่ ปน็ ตวั อยา่ งทา� ใหเ้ หน็ หลายเรอ่ื งราวผม ไดเ้ รยี นรจู้ ากแมท่ ค่ี นรนุ่ ใหมแ่ ทบไมอ่ ยากรดู้ ว้ ยวา่ รากเหงา้ ทน่ี ี่ เป็นอย่างไร และท่ีนี่เป็นอ�าเภอยากจน แต่ทรัพยากรของเรา ก็คือวิถี เราเรียนประวัติศาสตร์ภาคเหนือ ภาคกลาง แต่เรา ไมเ่ รยี นภาคใต้เลย แตผ่ มมาเรียนภาคตัวเองเนีย้ ใน ๓๐ กวา่ ป ี วิถีของคนคาบสมทุ รสทิงพระซึ่งเปน็ เกาะ ซงึ่ วถิ โี หนดนาเล โหนดคือเปน็ ทีโ่ หนดเยอะทส่ี ุด” โหนด – นา – เล วถิ พี นื้ บ้าน วถิ ชี มุ ชน ของชาวสทิงพระ ทีม่ อี าชีพเกษตรกร และประมงน้�าจืด เป็นหลัก ชีวติ ณ วนั น้ี ครภู ูมปิ ญั ญาไทย ดา้ นโภชนาการ ยงั เปน็ คนใฝ่รู้ ทา� งานเพอื่ ชมุ ชน หลงั จากครถู นอม ลาออกราชการ เมอ่ื ป ี ๒๕๒๐ ไดอ้ ทุ ศิ เวลา กา� ลงั กาย กา� ลังใจ กา� ลังสมองและกา� ลงั ทรัพยใ์ หก้ ับชุมชนและสงั คมมาโดย ตลอด ดว้ ยความเป็นคนมจี ติ ใจเป็นสาธารณะ ได้ริเริม่ ชกั ชวนชาวบา้ น และสมาชกิ ในชมุ ชนหมบู่ า้ นจะทงิ้ พระ จดั ตงั้ กลมุ่ อาชพี ตา่ ง ๆ ขนึ้ เพอ่ื เป็นการใช้เวลาว่างหลังจากการท�านา สร้างรายได้เสริมท�าให้สมาชิก กลมุ่ มีรายไดเ้ สริมจากอาชีพประจา� ลดการเปน็ หนนี้ อกระบบ สง่ เสริม การออมเงินให้กับคนในชุมชน และตา่ งชมุ ชนหลาย ๆ กองทนุ ต�าแหน่งทางสังคมมีท้ังระดับหมู่บ้าน ต�าบล อ�าเภอ จังหวัดและ ระดับประเทศ มากมายหลายต�าแหน่ง อาทิ : คณะกรรมการพัฒนา สตรอี า� เภอสทิงพระ (กพสอ.) คณะกรรมการพฒั นาสตรีจังหวัดสงขลา (กพสจ.) นายทะเบยี นสมาคมสตรอี าสาแหง่ ประเทศไทย กลุ่มแมบ่ ้าน เกษตรกรบ้านจะท้งิ พระ ต.จะทิง้ พระ อ.สทงิ พระ

๑๕ครู ครถู นอม ศิริรักษ์ ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 212 ริเร่ิมจัดระดมทุนการศึกษาจากผู้ใหญ่ใจบุญในอ�าเภอสทิงพระ เพ่ือเป็นกองทุนการศึกษาให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุดมศึกษา เป็นประจ�าทุกปี และส่งเสริมสนับสนุน มลู นธิ ิ “ดวงประทปี ” สลัมคลองเตย กรุงเทพมหานคร อยา่ งตอ่ เนือ่ ง ด้วยความที่เป็นคนใฝ่รู้ แม่ถนอมจึงเรียนรู้ทุกเร่ือง เช่น อาชีพ ของชมุ ชน ประวัตศิ าสตรช์ มุ ชน วัฒนธรรมท้องถ่นิ ไทย และมใี จตอ่ สู้ ในความด ี มีความอดทน ในการท�างานและเรยี นรมู้ าตั้งแต่เล็ก ณ วันนี้ แม้อายุเข้าสวู่ ัย ๙๑ ปี แลว้ แต่ครยู ังคงทา� งานเพอื่ ชมุ ชนมไิ ดห้ ยดุ หยอ่ น จงึ เปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ดแี ละยอมรบั ในระดบั จงั หวดั ระดับภาค และรวมไปถึงระดับประเทศในด้านการเป็นผู้น�ากลุ่ม ชมุ ชน เปน็ ภูมิภาคท้องถิ่น เป็นนักสูใ้ นการท�างาน การที่ครูถนอม ศิริรักษ์ เป็นบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาด้าน โภชนาการ เปน็ ผสู้ รา้ งสรรคแ์ ละสบื สานภมู ปิ ญั ญาดงั กลา่ วมาอยา่ ง ตอ่ เนอ่ื ง จนเปน็ ทยี่ อมรบั ของชมุ ชนและสงั คม ไดร้ บั การยกยอ่ งเชดิ ชู เกยี รติ จากสา� นกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ใหเ้ ปน็ ครภู มู ปิ ญั ญาไทย จงึ เปน็ เรอื่ งทดี่ งี ามไมเ่ พยี งเปน็ เกยี รตยิ ศแก่ วงศ์ตระกลู เทา่ น้นั หากยังเปน็ ความภาคภูมิใจชาวสงขลาทว่ั กัน ทอ่ี ยปู่ จั จบุ นั : ๔๒ ม.๔ ต.จะทงิ พระ อ.สทงิ พระ จ.สงขลา ๙๐๑๙๐

ครูถนอม ศิริรักษ์ ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 213 บดู ยู ่งิ เก่ายงิ่ อร่อย นา้� ปลายงิ่ แกย่ ิ่งอรอ่ ย “...ค�าแนะน�าของป้าใหเ้ อา “จ้ิงจังคลงุ้ ” ปลาทะเลตวั เลก็ ๆ คลุก หมกั กบั เกลอื ท�าเป็นน้�าบดู ูข้าวยา� ผสมสมุนไพรต่างๆ ลองไปลองมา จนเกิดนวตั กรรมใหมไ่ ด้สูตร ๒ ต่อ ๕ ปรงุ เป็นซีอิ้วปลา นา�้ ปลา ครู ถนอม ศริ ิรกั ษ์ ครภู มู ปิ ญั ญาไทย รุ่นที่ ๓ ร้แู ลว้ ถ่ายทอด เผยแพร่ ความรู้ให้กลุ่มแมบ่ ้านตา่ งๆ จากครวั เรือน แปรรปู พัฒนาเปน็ โรงงาน อตุ สาหกรรมนา้� ปลาทวั่ ภาคใต้ สรา้ งเครอื ขา่ ย กลมุ่ ออมทรพั ยเ์ พอ่ื การ ผลิต มงุ่ สร้างรายได้ เสรมิ ใหส้ มาชกิ เพอ่ื ชุมชนและสงั คม...”

๑๕ครู ครถู นอม ศริ ิรกั ษ์ ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ัญญาไทย 214

ครูคำพนั อ่อนอุทัย ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ญั ญาไทย 215 ครูค�ำ พนั อ่อนอุทยั ครูภูมปิ ัญญ�ไทย ด้�นโภชน�ก�ร

๑๕ครู ครูคำพัน อ่อนอทุ ัย ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 216 ครวั แมค่ ำ� พนั ขำยส้มต�ำ น้ำ� ผกั สะทอน นำ้� ปลำร้ำปรงุ สุก น้�ำพริกแจ่วด�ำผักสะทอน น�้ำพรกิ เผำผกั สะทอน อำหำรพนื้ บำ้ น ตำมสงั่ ขำ้ วกล่อง จดั เลีย้ งนอกสถำนที่ ครูค�ำพนั อ่อนอทุ ัย ชำวบ้ำนธรรมดำสำมัญ ของ จังหวดั เลย ด้งั เดิม อยู่ บำ้ นเลขที่ ๑๖๒ หมู่ที่ ๑ ตำ� บลนำดี แตว่ นั น้ตี ัวครูมำอย่ทู ่ีบ้ำนเลขที่ ๑๒๘ หมู่ ๔ บ้ำนนำหวำ้ ต�ำบลด่ำนซ้ำย อำ� เภอดำ่ นซำ้ ย เปดิ ร้ำนอำหำรช่ือ “ครวั แม่ค�ำพัน”ขำยส้มต�ำ น้�ำผกั สะทอน นำ�้ ปลำรำ้ ปรงุ สกุ นำ�้ พรกิ แจว่ ดำ� ผกั สะทอน นำ�้ พรกิ เผำผกั สะทอน อำหำรพน้ื บ้ำน ตำมสั่ง ข้ำวกลอ่ ง จัดเลย้ี งนอกสถำนท่ี

ครูคำพนั ออ่ นอทุ ยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย 217 ครูค�ำพัน บอก ต้นตระกูล ปู่ย่ำตำยำยพ่อแม่ได้ก่อร่ำงสร้ำงตัวอยู่ที่อ�ำเภอด่ำนซ้ำย ได้รับ กำรอบรมบม่ นสิ ยั ใหเ้ ปน็ ผทู้ ย่ี ดึ มน่ั อยใู่ นวถิ วี ฒั นธรรมประเพณที ด่ี งี ำมของไทยตำมหลกั ธรรมแหง่ พระพุทธศำสนำ อนั ไดแ้ ก่ ควำมเคำรพนบนอบ ออ่ นน้อมถ่อมตน กำรมสี มั มำคำรวะ กำรเปน็ ผู้ มเี มตตำกรณุ ำเตม็ เปย่ี มในหวั ใจ แลว้ ยงั ไดร้ บั ปลกู ฝงั ใหไ้ ดซ้ มึ ซบั กำรดำ� เนนิ ชวี ติ ตำมหลกั ปรชั ญำ ของเศรษฐกจิ พอเพยี งท่ีปูย่ ่ำตำยำยพ่อแมไ่ ดถ้ ่ำยทอดให ้ ความเคารพนบนอบ อ่อนน้อมถ่อมตน การมีสัมมาคารวะ การเป็นผู้มีเมตตา กรณุ าเตม็ เปย่ี มในหวั ใจ แลว้ ยงั ไดร้ บั ปลกู ฝงั ใหไ้ ดซ้ มึ ซบั การดา� เนนิ ชวี ติ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงทป่ี ู่ย่าตายายพ่อแมไ่ ด้ถ่ายทอดให้ รวมถึงตัวเองได้สัมผัสมำจำกพระบำท สมเด็จพระปรมินทรมหำภูมิพลอดุลยเดช บรม นำถบพติ ร รชั กำลท ่ี ๙ ทพี่ ระรำชทำนไวใ้ นหลำย ครง้ั หลำยโอกำส ดว้ ยทรงตอ้ งกำรใหร้ ำษฎรของ พระองค์ได้น�ำเป็นแสงสว่ำงน�ำทำงสู่ควำมสุข ในกำรด�ำเนินชีวิต คือ มีควำมขยันหม่ันเพียร อดทน ไม่โลภ กำ้ วยำ่ งสจู่ ดุ หมำยปลำยทำง คอื สุขอยำ่ งย่ังยืน นัน่ เอง วันที่ด้ันด้นไปพบครูค�ำพัน เป็นช่วงปลำย ของฝนย่ำงเข้ำสู่ต้นหนำวของปี ร้ำนครัวแม่ ค�ำพันหรือบ้ำนครูอยู่ริมถนนด่ำนซ้ำยพิษณุโลก ชำนเมืองต�ำบลด่ำนซ้ำย รถวิ่งผ่ำนพระธำตุศรี สองรักท่ีต้ังอยู่ไม่ไกลบ้ำนครูนัก ยกมือไหว้เป็น สิริมงคลเบ้ืองต้น อธิษฐำน ขออย่ำให้หลงทำง เดนิ ทำงไปยงั บำ้ นครแู บบงำ่ ยดำย กอ่ นถงึ คณะ ของเรำประสำนครตู ลอดเปน็ ระยะ แลว้ กถ็ งึ บำ้ น ครไู ม่ยำกเย็นจริงๆ

๑๕ครู ครูคำพนั อ่อนอุทยั ด้านโภชนาการ ภมู ิปัญญาไทย จำ� หนำ่ ยสินคำ้ 218 OTOP ๕ ดาว ครูค�ำพนั มำยนื คอยให้สัญญำณ วำ่ ถงึ บำ้ นครแู ล้วอยหู่ นำ้ ร้ำนรมิ ถนนด้วยรอย ยิ้มเป็นใบเบิกทำงแห่งมิตรไมตรี มีแววเมตตำอำบใบหน้ำจนผู้ไปเยือนอย่ำงคณะ ของเรำรู้สึกอบอนุ่ เหมอื นมำบ้ำนญำติผใู้ หญ่ปำนน้นั วนั นค้ี รวู ยั หกสบิ กวำ่ ไดส้ บื สำนภมู ปิ ญั ญำบรรพชนทเี่ ปน็ เครอื่ งมอื เลย้ี งชพี สรำ้ ง ฐำนะครอบครวั คือ ภมู ปิ ญั ญำดำ้ นกำรประกอบอำหำรพืน้ ถนิ่ ครเู ชญิ เขำ้ ไปภำยในรำ้ นทเ่ี ตรยี มพนื้ ทไี่ วส้ ำ� หรบั รบั แขกทมี่ ำพดู คยุ นำ้� ทำ่ เตรยี ม ไว้พร้อม สังเกตวำ่ รำ้ นอำหำรของครูดูชำ่ งเงยี บสงบ ไมไ่ ด้จัดโตะ๊ เก้ำอี้ไวร้ องรบั ผ้มู ำ ส่ังอำหำรรับประทำน หรือวันนี้จะปิดร้ำนแต่เห็นมีคนมำส่ังอำหำรบ้ำงน�ำกลับไป หนำ้ รำ้ นครมู ตี โู้ ชวผ์ ลติ ภณั ฑอ์ ยดู่ ว้ ย แลว้ ณ ทโี่ ตะ๊ นง่ั คยุ กนั มอี ำหำรคำวหลำยอยำ่ ง วำงไว้อยำ่ งเรียบรอ้ ย อดแปลกใจไม่ได้วำ่ ครมู ีแขกมำรับประทำนอำหำรด้วยรึยังไง แล้วครูกเ็ ชญิ ไปนัง่ ยงั โต๊ะที่มำอำหำรหลำยอยำ่ งวำงเรียงรำยอยู่นั่นแหละ ทุกอย่างถ้าปรุงรสด้วยผลผลิตของครูค�าพันแล้วท�าให้เกิด รสชาติถูกปากถูกใจ ท่ีส�าคัญน้�าปรุงรสของครูค�าพันย�้าท�า จากธรรมชาติ เป็นน้�าปรุงรสจากไม้ชนิดหนึ่ง เป็นอินทรีย์ รอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ต์

ครูคำพัน ออ่ นอทุ ัย ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย 219 ครคู ำ� พนั ขยำยควำมเลยวำ่ สว่ นประกอบ สำ� คญั หนึ่งในกำรประกอบอำหำรคำวท่วี ำงอยู่ นคี้ อื นำ�้ ปรงุ รส ทงั้ ตม้ ทง้ั ยำ� สม้ ตำ� ทกุ อยำ่ งถำ้ ปรุงรสด้วยผลผลิตของครูค�ำพันแล้วท�ำให้เกิด รสชำติถูกปำกถูกใจ ท่ีส�ำคัญน้�ำปรุงรสของครู “เป็นภูมิปัญญาของต้นตระกูลท่ีคิดค้น ค�ำพันย้�ำท�ำจำกธรรมชำติ เป็นน้�ำปรุงรสจำก แลว้ สืบสานต่อๆกันมา จนมาถงึ ครูตัง้ แต่เด็กๆ ไม้ชนดิ หน่ึง เปน็ อินทรยี ์รอ้ ยเปอร์เซ็นต์ ทั้งคุณแม่ พ่ีเลี้ยงหรือคนในบ้านท�าให้เห็น ครชู ไ้ี ปทช่ี ำมอำหำรหลำยชนดิ ทน่ี ำ� มำวำง เราช่วยท�าเป็นลูกมือบ้าง เขาก็สอนไปด้วย ก็ ไว้เป็นรูปธรรม ย�้ำว่ำทุกอย่ำงเดี๋ยวลองชิมดู สืบสานต่อเนือ่ งเรือ่ ยมาจนวนั นี้”ครวู ่ำ ลว้ นปรงุ ดว้ ยนำ้� ผกั สะทอน ไมใ่ ชน้ ำ้� ปลำ ผงชรู ส ด้วยผลพวงแห่งฝีมือกำรท�ำอำหำรท�ำน�้ำ เป็นน�้ำผักสะทอนแทน แล้วย้�ำว่ำคนด่ำนซ้ำย ปรุงรสจำกธรรมชำติจำกภูมิปัญญำบรรพบุรุษ เปน็ สว่ นใหญผ่ ลติ นำ�้ ปรงุ รสนเี้ หมอื นภำคกลำง ที่ถ่ำยทอดไว้ให้ ส�ำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำร หรอื ทำงชำยทะเลผลติ น�ำ้ ปลำนน่ั แหละ ศกึ ษำไดป้ ระกำศยกยอ่ งเชดิ ชเู ปน็ ครภู มู ปิ ญั ญำ ครูบอกน้ำ� ปรงุ รสนแ้ี ปรรปู มำจำกต้นไม้ที่ ไทย ด้ำนโภชนำกำร ค�ำว่ำ ครูที่ถูกเรียกขำน ท้องถิ่นเรียกช่ือ “ต้นผักสะทอน” น�ำแปรรูป ตดิ ปำกเวลำนก้ี ม็ ำจำกครภู มู ปิ ญั ญำไทยนแ่ี หละ เปน็ ผลผลติ นำ้� ปรงุ รส เรยี กนำ้� ผกั สะทอน ทเ่ี ปน็ มรดกตกทอดทำงภูมิปัญญำมำแต่ครั้งโบรำณ อย่ำงน้อยนับย้อนหลังท่ีครูพอจ�ำควำมได้จำก ค�ำบอกเลำ่ คอื รชั สมัยรัชกำลที ่ ๕

๑๕ครู ครคู ำพัน ออ่ นอุทยั ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย 220 ดา� รงชวี ติ แบบพออยพู่ อกนิ ไมท่ า� อาชพี ดว้ ย ความโลภมงุ่ รวยเปน็ ทต่ี งั้ จงึ อยอู่ ยา่ งมคี วาม สุข อย่อู ยา่ งสงบในชุมชน โดยครูเองกจ็ ะใช้ พ้ืนท่ีครัวแม่ค�าพันน้ีแหละ เป็นศูนย์กลาง แลกเปล่ยี นเรียนรู้ สนับสนนุ สง่ เสรมิ กัน เพรำะกำรเป็นผู้น�ำกำรผลิต ภูมิปัญญำนี้เพ่ือบริโภคเองและเป็น ผลติ ภณั ฑท์ ำ� รำยไดเ้ สรมิ ใหค้ รอบครวั จึงต้องมีวัตถุดิบในสวนตัวเองและ เครือข่ำยประมำณ ๓๒ ครัวเรือน เครือข่ำยนอกจำกเขำผลิตเองแล้ว เหลอื ยงั เอำมำขำยเรำได้รบั เฉพำะผกั สะทอน “ในสว่ นของเครอื ขา่ ยเขาผลติ ทงั้ วตั ถดุ บิ และผลติ ในการ แปรรปู เองทง้ั บรโิ ภคและจา� หนา่ ย ซงึ่ สว่ นใหญแ่ ตล่ ะครวั เรอื น จะมีพ้ืนที่ของตนเอง ใช้พ้ืนท่ีปลูกต้นผักสะทอนราว ๑๐ ไร่ ทา� มาหากนิ ตามวถิ ที ปี่ ยู่ า่ ตายายทา� มา ยง่ิ ปจั จบุ นั คนดา่ นซา้ ย น้อมน�าหลกั พอเพียง ในหลวง ร.๙ มาเป็นประทีปนา� ทาง คอื ดา� รงชีวิตแบบพออยพู่ อกนิ ไมท่ า� อาชีพดว้ ยความโลภม่งุ รวย เป็นที่ต้ัง จึงอยู่อย่างมีความสุข อยู่อย่างสงบในชุมชน โดย ครูเองก็จะใช้พ้ืนท่ีครัวแม่ค�าพันน้ีแหละ เป็นศูนย์กลางแลก เปลยี่ นเรียนรู้ สนบั สนนุ สง่ เสรมิ กัน”

ครคู ำพัน ออ่ นอทุ ยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย 221 วิถีอยู่กบั กำรท�ำอำหำร อำหำรภมู ิปัญญำอำหำร ท่ีคนส่วนหน่ึงรู้จกั เป็นอำหำรพื้นถ่นิ ของดำ่ นซ้ำย ครูค�ำพันเลำ่ ถึงชีวิตวำ่ มีวถิ ีอยู่กบั กำรทำ� อำหำรมำแตเ่ ด็กสบื ทอดปยู่ ำ่ ตำยำย พ่อแม่ ปัจจุบันจึงท�ำอำหำรขำยด้วย แต่หลักแล้วเป็นอำหำรภูมิปัญญำ อำหำรที่ คนส่วนหน่ึงรู้จักเป็นอำหำรพื้นถิ่นของด่ำนซ้ำยที่ทำงรำชกำรเมื่อจะรับรองแขก ท่มี ำเยอื นจำกถ่ินอน่ื ดว้ ยอำหำรท้องถน่ิ จะมำให้ไปทำ� หน้ำท ่ี โดยเฉพำะต้องปรุงรสด้วยน้�ำผักสะทอนท่ีมีส่วนน�ำสู่กำรเป็นองค์ประกอบที่ ท�ำให้ได้รับกำรยกย่องเป็นปรำชญ์ชำวบ้ำน เพรำะส่วนใหญ่เป็นอำหำรที่ตกทอด มำแตโ่ บรำณ เชน่ ลำบไกบ่ ้ำน ๓ ปี

๑๕ครู ครูคำพนั ออ่ นอทุ ัย ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 222 คนโบราณพดู ใหฟ้ งั จา� มาเลย ไกม่ ปี ระโยชนแ์ กค่ นไมใ่ ช่ แคเ่ ปน็ อาหารแตย่ งั ใหค้ ณุ คน เตอื นสตคิ น เชน่ ปลกุ คน ใหต้ นื่ ไปทา� การงานตอนเชา้ มดื ไมใ่ หน้ อนขเ้ี กยี จ เวลา มภี ัยถงึ พวกตัวเองก็รอ้ งกระตา๊ ก ครเู ลำ่ ใหฟ้ งั วำ่ บรรพบรุ ษุ เปน็ ถงึ ทำ่ นขนุ ชอ่ื ขนุ อำ� นวยกบั นำงเจยี ม เป็นตน้ ตระกูลในสมัยรัชกำลท่ี ๕ มคี �ำบอกเลำ่ ตอ่ มำในยคุ ต้นตระกลู นัน้ วำ่ วนั หนง่ึ มนี ำยอำ� เภอจะมำประชุมในท้องท่ีขมี่ ำ้ มำแล้วเพือ่ มำดคู วำม เปน็ อยขู่ องชำวบำ้ นวำ่ อยกู่ นั ยงั ไง ทบี่ ำ้ นมที ำส มำถงึ รนุ่ แม่ ลกู หลำน ทำสยงั นับถือครอบครัวเรำอย ู่ ท�ำลำบไกบ่ ำ้ น ๓ ปตี ้อนรบั ยงั มแี กงซวั ไกบ่ ำ้ น(แซบ) ไกน่ คี่ นเลยี้ งไดป้ ระโยชนไ์ ม่ เพยี งเปน็ อำหำร ไกย่ งั มบี ญุ คณุ กบั คนในสว่ นอน่ื ๆอกี ดว้ ย ขำ้ วทก่ี นิ ทกุ วนั กต็ อ้ งตำ� กนิ คอื เอำขำ้ วเปลอื กมำตำ� ใหเ้ ปน็ ข้ำวกล้อง คนท้องถิ่นตงั้ แตอ่ ดีตมำ อยกู่ ันแบบมที ุกอยำ่ งใน บำ้ น คอื เลี้ยงไก่ เปด็ อ่นื ๆ ผกั ต่ำงๆปลูกบำ้ ง ข้นึ เอง บ้ำงในสวน หน้ำบำ้ น ข้ำงบำ้ นมหี มด ในน้ำ� มีปลำ ใน นำมีข้ำว ใครไม่มีต้องซื้อ เรำมีก็ขำย ต้องขยันหม่ัน เพยี ร อดทน มผี กั มีข้ำว ในนำ�้ มปี ลำทำ� ไดท้ ุกอยำ่ ง ครูค�ำพันบอกว่ำ ข้ำวต�ำแต่ละครั้ง ต�ำเองพอกินวันต่อวัน ไม่เยอะ ไม่มีเวลำ มำกมีอย่ำงอ่ืนท�ำอีกเยอะ แล้วต้องต�ำ ตอนกลำงคืน ท่ีต�ำข้ำวจึงเป็นที่พบปะกัน ของหนุ่มสำวด้วย แล้วข้ำวเปลือกยังเอำ ไปเล้ียงไก่ด้วย ไก่ก็กลับมำเป็นอำหำรคน เลี้ยงอีก

ครคู ำพนั ออ่ นอทุ ัย ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภูมิปญั ญาไทย 223 ครบู อกเลอื กทา� ลาบไก่บ้าน ๓ ปี เพราะโบราณถือว่าทา� ยากต้อง ใชเ้ วลาใช้วัตถดุ ิบเยอะ จะทา� ให้สา� เรจ็ ให้อร่อยต้องช่วยกัน ตอ้ ง สามัคคกี ัน ไปจับไก่ ไปหาปลี หาวตั ถดุ บิ มา อาหารจานน้ีสือ่ ถงึ ความสามคั คี ความขยัน ความรักใคร่ปรองดองกัน พดู ถงึ ไก ่ ครคู ำ� พนั กเ็ ลำ่ ถงึ เกรด็ ควำมรวู้ ำ่ คนโบรำณ พูดให้ฟังจ�ำมำเลย ไก่มีประโยชน์แก่คนไม่ใช่แค่เป็น อำหำรแต่ยังให้คุณคน เตือนสติคน เช่น ปลุกคนให้ต่ืน ไปท�ำกำรงำนตอนเช้ำมืด ไม่ให้นอนขีเ้ กยี จ เวลำมีภยั ถึง พวกตัวเองก็ร้องกระต๊ำก บำงทีก็เตือนคนเจ้ำของบ้ำน ดว้ ย เชน่ งเู ขำ้ บำ้ น มสี ง่ิ แปลกปลอมเขำ้ มำกร็ อ้ งกระตำ๊ ก นแ่ี สดงถงึ ควำมรกั ควำมสำมคั คกี นั เวลำมแี ขกมำถงึ บำ้ น ไก่ก็สร้ำงประโยชน์เอำไปเป็นอำหำรเล้ียงผู้มำเยือน ท�ำ เป็นลำบไก่ ต้มไก่ อั่วไก่

๑๕ครู ครคู ำพัน อ่อนอุทยั ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 224 มำถึงตรงน ี้ สงสยั อำหำรของคร ู ลำบไก ่ ๓ ปี ครบู อกทที่ ำ� ลำบไก ่ ๓ ปีเลยี้ งนำยอ�ำเภอไมใ่ ช่ ทำ� รอ ๓ ปกี วำ่ นำยอำ� เภอจะมำถงึ แตม่ นั คอื ไก ่ ๑ ตวั หวั ปล ี ๓ หวั เอำเนอ้ื หวั ปลใี หม้ ำกแทนเนอื้ ไกท่ ม่ี เี พยี งแค่ ๑ ตวั เรำพดู กนั เลน่ ๆวำ่ ถำ้ ไกน่ อ้ ยปลเี ยอะกเ็ ปน็ ลำบปลใี สไ่ ก ่ แตถ่ ำ้ ไกม่ ำกปลนี อ้ ย กเ็ ปน็ ลำบไกใ่ สป่ ล ี ไมว่ ำ่ จะยงุ่ ยำกแคไ่ หนกต็ อ้ งทำ� เลยี้ งนำยอำ� เภอ สมยั กอ่ นเขำบอกวำ่ ทำ� อำหำร ใหพ้ ระยำกนิ ทม่ี ำของคำ� วำ่ ชำ้ งเหยยี บนำพระยำเหยียบบำ้ น เป็นสริ ิมงคลนกั ถ้าไกน่ ้อยปลเี ยอะกเ็ ป็นลาบปลใี ส่ไก่ แตถ่ า้ ไกม่ ากปลีนอ้ ยกเ็ ปน็ ลาบไก่ใส่ปลี ไม่ ว่าจะยุ่งยากแค่ไหนก็ต้องท�าเล้ียงนายอ�าเภอ สมัยก่อนเขาบอกว่าท�าอาหารให้ พระยากนิ ทม่ี าของค�าวา่ ช้างเหยยี บนาพระยาเหยียบบ้าน เปน็ สิรมิ งคลนกั ครบู อกเลอื กทำ� ลำบไกบ่ ้ำน ๓ ป ี เพรำะโบรำณถือว่ำทำ� ยำก ต้องใช้เวลำ ใช้วัตถุดิบเยอะ จะท�ำให้ส�ำเร็จให้อร่อยต้องช่วยกัน ต้องสำมัคคีกัน ไปจับไก่ ไปหำปลี หำวัตถุดิบมำ อำหำรจำนนี้ส่ือ ถงึ ควำมสำมคั คี ควำมขยัน ควำมรักใคร่ปรองดองกัน ลำบไก่สูตรของด่ำนซ้ำยท่ีว่ำนี้ จึงบอกได้เลยว่ำ เป็นอำหำร พื้นบ้ำน เป็นอำหำรสูตรโบรำณที่สืบสำนรักษำและน�ำมำเป็นเมนู เลยี้ งชีพได้ มีคนมำเรียนท�ำอำหำรท�ำน้�ำผักสะทอนพอสมควร ครูบอก เปดิ กวำ้ งพรอ้ มทจี่ ะเผยแพรใ่ หค้ วำมรอู้ ยแู่ ลว้ เพรำะมอี งคป์ ระกอบ ท่ีอยำกจะซึมซับผ่ำนกำรเรียนท�ำน้�ำผักสะทอนและปรุงอำหำร พน้ื บ้ำน

ครรูคคู ำำพพันนั ออ่ อนอ่ อนทุ อัยุทยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 225 ครูบอกเลยว่า แรกทีเดียวมองดูรอบๆตัว พระองค์ท่านทรงให้ความส�าคัญ รอบๆบ้านเรา มีวตั ถดุ ิบม้ยั ท่ีสว่ นใหญ่คือพืชผกั เร่ืองต้นไม้ เร่ืองป่า เร่ืองน้�า ตน้ ไมท้ เี่ ปน็ สว่ นประกอบ อยา่ งทา� นา้� ผกั สะทอน ท่ีรวมแล้วคือ ทรัพยากร เม่ือ กต็ อ้ งมตี น้ ผกั สะทอน ตรงนจี้ ะซมึ ซบั วา่ เราตอ้ ง มีทรัพยากรสมบูรณ์ เราก็ สนับสนุนการปลูกหรือปลูกเองในพื้นท่ีแม้ไม่ สามารถเอาสร้างผลผลิตเป็น มากมายอะไร อาหาร เป็นอาชีพได้ อย่างการ มีต้นผักสะทอนก็น�ามาผลิตเป็น “ตรงน้ี ครูจะย้�ำเลยว่ำ ให้ลองกลับไป น้�าปรุงรสผักสะทอน ศึกษำโครงกำรตำมพระรำชด�ำริสมเด็จพระ เทพรัตนรำชสุดำฯสยำมบรมรำชกุมำรี อนรุ ักษ์ พันธุกรรมพืช พระองค์ท่ำนทรงให้ควำมส�ำคัญ เรื่องต้นไม้ เร่ืองป่ำ เร่ืองน�้ำ ที่รวมแล้วคือ ทรัพยำกร เมื่อมีทรัพยำกรสมบูรณ์ เรำก็ สำมำรถเอำสรำ้ งผลผลิตเปน็ อำหำร เป็นอำชพี ได้ อย่ำงกำรมีต้นผักสะทอนก็น�ำมำผลิตเป็น นำ้� ปรุงรสผักสะทอน”

๑๕ครู ครคู ำพนั ออ่ นอุทัย ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 226 สบื สำนสตู รอำหำรโบรำณ มรี อยยมิ้ มนี ำ้� ใจ มนี ำ�้ คำ� มนี ำ�้ มอื มรี อยยม้ิ คอื เช้อื เชญิ สำมัคคี ครูบอกหลักกำรกำรเรียนด้วยว่ำ มีหลักง่ำยๆ จะต้องมรี อยย้ิม มีนำ�้ ใจ มนี �ำ้ ค�ำ มีน�้ำมอื มีรอยย้ิม คอื เชอ้ื เชญิ สำมคั ค ี นำ�้ คำ� คอื เชอ้ื เชญิ นำ�้ มอื กล็ งมอื ทำ� เกอื้ กลู กนั เออ้ื เฟอ้ื เผอื่ แผ ่ คำ� โบรำณวำ่ มที กุ อยำ่ ง เป็นองค์ควำมรเู้ ชน่ เดยี วกับศำสตร์พระรำชำ วธิ กี ำรสบื สำนสตู รอำหำรโบรำณอยำ่ งทที่ ำ� อยู่ ทุกวันน้ีเพรำะท�ำไปถวำยวัด วัดในอ�ำเภอน้ีทุกวัด เวลำมีงำนเทศกำลจะแจกซองไปยังบ้ำนทุกหลัง หลกั คดิ หนง่ึ ของคนโบราณคือ ไม่มีกลอ้ งเกบ็ ภาพเป็นทรี่ ะลึกความทรง จ�ากใ็ ช้ผา้ ขาวม้าลายเอกลักษณพ์ ืน้ ถ่นิ นนั้ เปน็ ท่รี ะลึกย้�าความทรงจา� กัน และกนั ...กน็ า่ จะมเี หตุผลได้เหมอื นกนั ชำวบำ้ นกจ็ ะทำ� อำหำรสตู รนไ้ี ปถวำยพระ ไปทำ� บญุ นอกจำกไดบ้ ญุ แลว้ อำนสิ งสบ์ ญุ เกดิ ทนั ท ี เปน็ กำรเผยแพรแ่ ลว้ กเ็ กดิ กำรอยำกทำ� กม็ ำเรยี นที่ศูนยเ์ รียนรแู้ ห่งนี้

ครูคำพัน ออ่ นอุทยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ัญญาไทย 227 ลองชำ� เลอื งดรู อบๆบ้ำนดำ้ นใน สงั เกต เพรำะกำรท�ำอำหำรที่เกิดจำกฝีมือพร้อม ได้ว่ำมีองค์ควำมรู้ลับเร้นอยู่ในซอกหลืบ รสชำติเพ่ือไว้ต้อนแขกส�ำคัญท่ีไปเยือนถึงบ้ำน ท่ีสุดจึงจับควำมได้ว่ำ ร้ำนครัวแม่ค�ำพัน ชำนเรือน ครคู ำ� พันเลำ่ ประสบกำรณท์ เี่ กยี่ วโยง แห่งนี้เป็นศูนย์เรียนรู้ภูมิปัญญำควบคู่กับ กนั คอื อสี ำนมกั จะผกู ผำ้ ขำวมำ้ รบั แขกวำ่ เรอื่ ง ศูนย์กลำงแลกเปลีย่ นองคค์ วำมร้ชู ำวชุมชน ผกู ผำ้ ขำวมำ้ แกผ่ ไู้ ปเยอื น เชน่ นำยอำ� เภอหรอื ผู้ ท่เี ป็นเครือข่ำยด้วย หลักผู้ใหญ่มำก็ผูกผ้ำขำวม้ำต้อนรับแสดงควำม อำหำรอกี ชนดิ หนงึ่ ทคี่ รบู อกวำ่ สบื สำน เคำรพนบั ถอื ครบู อกหลกั คดิ หนง่ึ ของคนโบรำณ มำจำกภูมิปัญญำคนโบรำณคือ บ่ำมไข่ ไม่ คอื ไมม่ กี ลอ้ งเกบ็ ภำพเปน็ ทร่ี ะลกึ ควำมทรงจำ� ก็ ขยำยควำมนะอยำกหำโอกำสไปดกู บั ตำ จะ ใชผ้ ำ้ ขำวมำ้ ลำยเอกลกั ษณพ์ นื้ ถนิ่ นน้ั เปน็ ทรี่ ะลกึ เกิดส�ำนึกถึงภูมิปัญญำของคนโบรำณที่ช่ำง ย�้ำควำมทรงจ�ำกันและกัน...ก็น่ำจะมีเหตุผลได้ คิดช่ำงพัฒนำวิธีกำรแก้ปัญหำให้รอดพ้น เหมอื นกัน จำกกำรอดตำยได้ ไปถึงอีสำน คนภำคอื่นมักจะนึกถึงค�ำค�ำ หนึ่ง “ปลำแดก” ครูเลยให้ควำมรู้นิดหน่ึงค�ำว่ำ ปลำแดก หมำยถึง ได้ปลำได้อ่ึงมำเยอะก็เก็บ แบบคนโบรำณพ้ืนถิ่นอีสำนเป็นกำรถนอม อำหำรโดยกำรท�ำปลำร้ำเก็บไว้ ด้วยกำรเอำไป อัดในกระบอกไม้ไผก่ ระแทกลงให้แน่น ให้ไดป้ ริ มำณมำกๆ กำรกระแทกนอกจำกไดค้ วำมจแุ ล้ว ยงั รวู้ ำ่ ปลำหรอื องึ่ ลงไปลกึ แคไ่ หน กำรกระแทก ใหแ้ น่นใหล้ กึ นี่แหละ อีสำนเรียกวำ่ “แดก”

๑๕ครู ครูคำพัน ออ่ นอทุ ัย ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ญั ญาไทย แต่ในภำคอีสำน มีประเพณีบุญข้ำวจี่ 228 เปน็ บญุ เดอื นสำม เลำ่ วำ่ มลู เหตทุ ท่ี ำ� บญุ ขำ้ ว จใี่ นเดอื นสำม เนอ่ื งจำกเปน็ เวลำทชี่ ำวนำได้ ข้ำวจี่...อ�ำเภอด่ำนซ้ำยโบรำณ เท่ียง มกี ำรทำ� นำเสรจ็ สน้ิ ชำวนำไดข้ ำ้ วขน้ึ ยงุ้ ใหม่ กินเมี่ยงโค้น-น้�ำผักสะทอนแล้วข้ำวเหนียว จึงอยำกร่วมกันท�ำบุญข้ำวจี่ถวำยแก่พระ ตำมทกุ วนั พอตกเยน็ สงฆ ์ สำ� หรบั มลู เหตดุ งั้ เดมิ ทมี่ กี ำรทำ� บญุ ขำ้ ว ชำวบ้ำนที่ไปหำผัก จี ่ มำจำก ในสมยั พุทธกำล นำงปณุ ณะทำสี หำปลำหำอำหำรได้ ได้ท�ำขนมแป้งจ่ีถวำยแด่พระสัมมำสัมพุทธ อะไรมำก็เอำมำรวม เจำ้ และพระอำนนทเ์ ถระ ครนั้ ถวำยแลว้ นำง กันกิน รวมกันทั้ง คิดว่ำพระองค์คงไม่เสวยและอำจเอำทิ้งให้ ผัก ปลำ ไก่ กระรอก สุนัขหรือกำกิน เพรำะ อำหำรที่นำงถวำย กระแต เห็ด เช้ำก็ ไมป่ ระณีตน่ำรบั ประทำน เอำปลำมำทำ� ปลำปน่ (อีสำน) เอำมำแจ่ว (ด่ำนซ้ำย) คือ เอำ ป ล ำ ท่ี เ ห ลื อ ม ำ ป ่ น ผสมกับผักจนเป็น อำหำรของคนพน้ื ถน่ิ ด่ำนซำ้ ยอีกชนดิ หนึ่ง จนเกิดภำวะภัยธรรมชำติ เช่น น้�ำท่วม ไปท�ำงำนไปหำอำหำรไม่ได้ ก็ท�ำข้ำวจี่กินกัน กำรท�ำข้ำวจี่เป็นเร่ืองดีท่ีจะให้ได้สังเกตคนใน บ้ำนลูกหลำนวำ่ มอี ุปนิสยั ใจคอยงั ไง เชน่ ใคร ใจเยน็ จข่ี ำ้ วกอ็ อกมำผวิ สวยสกุ พอด ี ใครขโี้ กรธ ข้ำวจี่จะออกมำไหมด้ ำ� คนทีม่ ใี จเออ้ื เฟอ้ื ขำ้ วจี่ สุกก็จะเอำไปให้พ่อแม่ปู่ย่ำตำยำย น่ีคือวิธีคน โบรำณ

ครูคำพนั ออ่ นอุทยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ิปัญญาไทย 229 เมื่อพระพุทธเจ้ำทรงทรำบภำวจิตของนำงปุณณะทำสี จงึ รบั สงั่ ใหพ้ ระอำนนป์ ลู ำดอำสนะแลว้ ทรงประทบั นง่ั ฉนั ขนม แป้งจี ่ ณ ทน่ี ำงถวำยน้ัน เปน็ ผลใหน้ ำงเกดิ ปีติยนิ ดีเปน็ อยำ่ ง ยงิ่ และเมอื่ นำงไดฟ้ งั พระธรรมเทศนำทพี่ ระพทุ ธเจำ้ ทรงแสดง ก็บรรลุโสดำบันปัตติผลด้วยอำนิสงส์ท่ีถวำยขนมแป้งจ่ี ชำว อีสำนจึงเช่ือในอำนิสงส์ของกำรถวำยทำนดังกล่ำวจึงพำกัน ทำ� ข้ำวจ่ถี วำยทำน แด ่ พระสงฆ์สบื ต่อมำ ครูบอกท่ีน่าช่ืนชมส�าหรับคนท่ีม่ันอยู่ในหลักคุณธรรม คือ อดทน ว่ากันว่ายอดสุด อดทนนี่ ไปแดดก็ไม่ร้อน ไป น�้าก็ไม่หนาว อดกล้ัน ก็ต้องใจเย็นทุกอารมณ์ไม่ง้ันเกิดเร่ือง อดออม กค็ อื รจู้ กั แยกแยะเกบ็ ออมเปน็ สดั สว่ น นก่ี ค็ นโบราณ

๑๕ครู ครูคำพนั อ่อนอทุ ยั ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 230 ครูค�ำพัน อ่อนอุทัย เกิดเมื่อวันท่ี ๑ กรกฎำคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ณ อ�ำเภอด่ำนซ้ำย จงั หวัดเลย เปน็ ผ้มู ีควำมคิดริเริ่มสร้ำงสรรคใ์ น กำรพัฒนำต่อยอดภูมิปัญญำอำหำรพ้ืนบ้ำน ของจังหวัดเลย ได้แก ่ นำ�้ ผักสะทอน ซึง่ ได้จำก กำรหมกั ใบสะทอนใหเ้ ปน็ นำ�้ ปรงุ รส ทชี่ มุ ชนใน อดตี ใชใ้ นกำรบรโิ ภคมำชำ้ นำนแตป่ จั จบุ นั แนว โน้มในกำรบริโภคลดลงจำกปัจจัยหลำยๆด้ำน ซ่ึงอำจก่อให้เกิดกำรสูญหำยภูมิปัญญำอำหำร พื้นบ้ำนได้ การทา� ขา้ วจเี่ ปน็ เรอื่ งดที จ่ี ะใหไ้ ดส้ งั เกตคนในบา้ นลกู หลานวา่ มอี ปุ นสิ ยั ใจคอ ยงั ไง เช่น ใครใจเย็นจขี่ ้าวก็ออกมาผวิ สวยสกุ พอดี ใครข้โี กรธข้าวจี่จะออก มาไหมด้ �า คนทม่ี ีใจเอือ้ เฟ้ือข้าวจ่สี กุ กจ็ ะเอาไปให้พ่อแมป่ ูย่ ่าตายาย น่คี อื วิธี คนโบราณ ครูค�ำพัน อ่อนอุทัย ได้พยำยำมอนุรักษ์ภูมิปัญญำ กำรท�ำน�้ำผักสะทอน โดยน�ำควำมรู้เชิงวิชำกำรและ เทคนิควิธีกำรท่ีเกิดจำกกำรเรียนรู้ของตนเอง น�ำมำ พัฒนำต่อยอดให้น�้ำผักสะทอนที่ผลิตได้ มีรสชำติดี มี คณุ ค่ำทำงโภชนำกำรสงู มีอำยกุ ำรเก็บนำนขึ้น บรรจใุ น ภำชนะท่ีสะอำดสวยงำม ถูกสขุ ลกั ษณะและปลอดภัย

ครูคำพนั อ่อนอุทยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ัญญาไทย 231 ท่ีน่าชื่นชมส�าหรับคนท่ีมั่นอยู่ในหลักคุณธรรม คือ ครูค�ำพัน อ่อนอุทัย อดทน ว่ากันว่ายอดสุด อดทนน่ี ไปแดดก็ไม่ร้อน ให้แง่คิดในกำรด�ำเนินชีวิต ไปนา้� ก็ไมห่ นาว อดกลน้ั กต็ ้องใจเยน็ ทกุ อารมณ์ไม่ วำ่ เปน็ คนตอ้ งมคี วำมขยนั ง้ันเกิดเร่ือง อดออม ก็คือรู้จักแยกแยะเก็บออมเป็น อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักเด็ก สดั สว่ น นก่ี ค็ นโบราณ รู้จักผู้ใหญ่ ต้ังแต่เด็กจึง ได้รับกำรถ่ำยทอดควำมรู้ อีกท้ังยังน�ำน�้ำปรุงรสผักสะทอนมำเป็น ด้ำนกำรท�ำอำหำรพื้นเมืองจำกท้ังคุณย่ำคุณ ส่วนประกอบในอำหำรพ้ืนบ้ำนหลำยชนิดซึ่ง ยำย คนใชใ้ นสมัยยังเด็ก เม่ือรูส้ กึ สนใจ ผนวก เป็นกำรเพ่ิมควำมหลำกหลำยของผลิตภัณฑ์ กับนิสัยท่ีใฝ่รู้ ช่ำงสังเกต จึงลงมือท�ำจริงจัง จนไดร้ บั กำรยอมรบั และผำ่ นกำรคดั สรรใหเ้ ปน็ ท�ำให้เกิดควำมช�ำนำญและพัฒนำปรับปรุงวิธี สนิ ค้ำหน่ึงต�ำบลหนงึ่ ผลติ ภัณฑ์ ระดบั ๕ ดำว กำรผลติ อำหำรพืน้ เมอื ง เม่ือโตข้ึนกน็ �ำมำเปน็ แหง่ แรกของจงั หวัดเลย เปน็ กำรสรำ้ งชอื่ เสยี ง สร้ำงเป็นอำชีพ จนเป็นที่รู้จักและยอมรับของ เพิ่มรำยไดใ้ ห้สมำชิกกบั ชมุ ชน และบำ� เพญ็ ตน ชุมชน รวมถึงหน่วยงำนในจังหวัดเลย ให้เข้ำ ใหเ้ กดิ ประโยชนโ์ ดยรวมตอ่ สงั คม จดั เปน็ สำ� รบั ร่วมกิจกรรมต่ำงๆ อำทิ กำรประกอบอำหำร พื้นบ้ำนเมืองด่ำนซ้ำย เป็นจุดสนใจกำรกินอยู่ พื้นเมอื งจำ� หน่ำย เปน็ วิทยำกรสำธติ จดั แสดง อยำ่ งคนดำ่ นซ้ำยไทเลย นิทรรศกำร และจัดท�ำโรงทำนในพิธีงำนบุญ ประเพณีในชุมชนอย่ำงต่อเน่ืองและสมำ�่ เสมอ

๑๕ครู ครูคำพัน อ่อนอทุ ัย ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 232 เฉพ�ะอย่�งย่ิง ผลิตภัณฑ์น้ำ�ปรุงรสผักสะ ครบู อกเพรำะอำชพี ทอน อันเลื่องช่ือของอำ�เภอด�่ นซ�้ ย ขำยอำหำรหน่ึง เพรำะ ควำมไม่ปิดบังทำงอำชีพ ต้องกำรให้ชำวชุมชนได้มีอำชีพเสริมจำก ตลอดจนควำมต้องกำร ผลผลติ ของทอ้ งถนิ่ จดั ตงั้ กลมุ่ แมบ่ ำ้ นเกษตรกร ให้ชำวชุมชนได้มีอำชีพ บ้ำนนำดี แปรรูปแจ่วด�ำน้�ำผักสะทอน ผักสะ เสริมจำกผลผลิตของท้องถิ่น ทอนบรรจุขวด และทำ� อำหำรพืน้ เมอื ง จึงแนะน�ำชักชวนให้มำร่วมศึกษำ เรียนรู้แล้วน�ำกลับไปผลิตในบ้ำนตัวเอง มีควำมสัมพันธ์ที่ดีกับคนชุมชน สร้ำง กระบวนกำรมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โดยจัดต้ังกลุ่มแม่บ้ำนเกษตรกรบ้ำนนำด ี แปรรูปแจ่วด�ำน�้ำผักสะทอน ผักสะทอน บรรจขุ วด และท�ำอำหำรพน้ื เมอื ง

ครูคำพนั อ่อนอทุ ัย ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ิปญั ญาไทย 233 ตงั้ แตเ่ ดก็ จงึ ไดร้ บั การถา่ ยทอดความรดู้ า้ นการทา� อาหารพน้ื เมอื งจากทงั้ คณุ ยา่ คุณยาย คนใช้ในสมยั ยังเดก็ เมอ่ื รูส้ ึกสนใจ ผนวกกับนิสยั ทีใ่ ฝ่รู้ ชา่ งสงั เกต จึง ลงมอื ทา� จรงิ จงั ทา� ใหเ้ กดิ ความชา� นาญและพฒั นาปรบั ปรงุ วธิ กี ารผลติ อาหารพน้ื เมือง เม่อื โตขึน้ ก็น�ามาเป็นสรา้ งเป็นอาชีพ จนเปน็ ที่รจู้ ักและยอมรบั ของชุมชน เชน่ เมยี่ งโคน้ เมยี่ งทนู ทใ่ี ชน้ ำ�้ ผกั สะทอน ปรุงรส โดยใช้แรงงำน คือ คนในชุมชนอย่ำง แท้จริง ถ่ำยทอดจำกรุ่นสู่รุ่น จึงท�ำให้คนใน ชุมชนมีควำมผูกพันกันเหมือนญำติพี่น้อง มี กำรรวมกลุ่มสมำชิกให้ได้รับควำมรู้ ควำม เข้ำใจให้ตรงกันในกำรพัฒนำภูมิปัญญำด้ำน อำหำรทอ้ งถิ่นใหเ้ ปน็ สินค้ำเอกลกั ษณ์ มีจุดเน้นด้ำนกำรผลิตที่อำศัยควำม สะอำด และสำมำรถผลติ ไดต้ ำมควำมตอ้ งกำร ของตลำด ท�ำให้เกิดกำรสร้ำงรำยได้กับชุมชน อยำ่ งยงั่ ยืน

๑๕ครู ครคู ำพนั ออ่ นอุทยั ด้านโภชนาการ ภูมิปญั ญาไทย 234 คุยกับครูท่ีโต๊ะล้ิมรสอำหำรสูตรพ้ืนถิ่นที่ เดนิ ดปู า่ พน้ื ทน่ี บั ยส่ี บิ ไรข่ องครคู า� พนั ทคี่ รู ปรุงรสด้วยน�้ำผักสะทอนแทนน�้ำปลำ ผงชูรส ไมล่ มื จะทา� ไว้ คอื แหลง่ น�้า มีทั้งลำบไก่ ๓ ปี แล้วก็อื่น ๆ ปลำนิลทอด ป่ำ ๓ อย่ำง ประโยชน์ ๔ อย่ำง คอื วถิ ี กระเทียม จ้ิมแจ่วน้�ำผักสะทอนแล้วก็น้�ำพริก ของครูสอดรับแนวพระรำชด�ำริโครงกำร แจ่วด�ำนำ้� ผกั สะทอน ครูกลวั ว่ำจะเมื่อยลำ้ เลย อนรุ กั ษพ์ นั ธกุ รรมพชื ในสมเดจ็ พระเทพรตั น ชวนไปดตู น้ ผกั สะทอนกนั ทงั้ ทป่ี ลกู ขำ้ งบำ้ นอยู่ รำชสดุ ำฯสยำมบรมรำชกมุ ำรี ไม่ก่ีต้น แต่ในสวนหลังบ้ำนพ้ืนท่ีหลำยสิบไร่มี ครูบอกส�ำคัญแล้วยังบอกด้วยว่ำ พื้นท่ี ทั้งปลูกต้นผักสะทอน มะขำมหวำน แปลงข่ำ ของครูปลูกป่ำตำมแนวพระรำชด�ำริในหลวง ตะไคร้ แลว้ ก็อกี จิปำถะผสมผสำนกนั ไป รชั กำลท ี่ ๙ คอื ปำ่ ๓ อยำ่ ง ประโยชน ์ ๔ อยำ่ ง เรียกว่ำ เต็มไปด้วยป่ำไม้นำนำชนิด ท่ี ที่อดนึกถึงไม่ได้เลยก็ คือ วิถีของครู สอดรับ ขำดไม่ได้ซึ่งครูช้ีให้ดูคือ พวกตระกูลสมุนไพร แนวพระรำชด�ำริโครงกำรอนุรักษ์พันธุกรรม ต่ำงๆ ครูบอกจริงๆแล้วไม้ไทยทุกต้นล้วนเป็น พชื ในสมเดจ็ พระเทพรัตนรำชสุดำฯสยำมบรม สมนุ ไพร มสี รรพคณุ ทำงยำทงั้ นัน้ เพียงแตอ่ ำจ รำชกมุ ำร ี จะเป็นบำงส่วนของต้น แล้วหลำยต้นก็ใช้ได้ ตง้ั แตย่ อดถงึ รำก รวมท้ังต้นผักสะทอนด้วย

ครูคำพัน อ่อนอทุ ยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ัญญาไทย 235 ประโยชน์ท่ีครูได้รับก็เป็นไปดังพระ ประมำณ ๔-๕ ชวั่ โมง จนได้นำ้� ผักสะทอนที่มี รำชด�ำริ อย่ำงน้อยท่ีสุดป่ำของครูสร้ำงอำชีพ สนี ำ�้ ตำลเขม้ และกลิ่นหอม ให้ครแู ละคนในขอบชำยคำรับผิดชอบ จำกน้ันท�ำกำรบรรจุน�้ำผักสะทอนขณะ กลบั มำท่นี ้�ำผกั สะทอน ครูบอกว่ำ นำ�้ ผัก รอ้ น โดยขวดและฝำทใี่ ชใ้ นกำรบรรจจุ ะทำ� กำร สะทอน เกดิ จำกกำรนำ� ใบสะทอน ๓ สำยพนั ธุ ์ ลวกดว้ ยนำ้� เดอื ดเพอื่ ฆำ่ เชอื้ จลุ นิ ทรยี ท์ ปี่ นเปอ้ื น ได้แก ่ สะทอนจั่น สะทอนจำน สะทอนววั ปดิ ฉลำกและระบุวันที่ทำ� กำรผลติ อย่ำงชดั เจน รสชำติสะทอนของแต่ละสำยพันธุ์ แตก ครูบอกมีคนสนใจเรื่องน้�ำผักสะทอนพอ ต่ำงกัน มีเปร้ยี ว มีหวำน มีเค็มอยู่ในตัว ทีแ่ ตก สมควร แมแ้ ตค่ นในอำ� เภอด่ำนซ้ำยก็สนใจโดย ยอดอ่อนในช่วงเดือนกุมภำพันธ์-มีนำคม น�ำ เฉพำะคนรุ่นใหม่ ตรงนี้จึงเป็นศูนย์ถ่ำยทอด มำลำ้ งใหส้ ะอำด ตำ� รวมกนั ใหล้ ะเอยี ด กำ� หนด องค์ควำมรู้ ในเวลำเดียวกันก็เดินทำงไปให้ อัตรำส่วนที่ใช้ ใบสะทอน ๑๕ กิโลกรัมต่อน�้ำ ควำมรใู้ นท่อี ่ืนตำมทเี่ ชิญมำถ่ำยทอดควำมร้ใู น ๖๐ ลติ ร และหมกั ในโอ่งดนิ ๓ วัน ในระหวำ่ ง กำรผลิตน้�ำผักสะทอนด้วยวิธีกำรบรรยำยและ น้ันท�ำกำรพลิกกลับส่วนผสมเพื่อให้เกิดกำร สำธิตเพื่อให้ผู้รับกำรถ่ำยทอดได้เรียนรู้ด้วย หมักที่สม่�ำเสมอ หลังครบระยะเวลำกำรหมัก ตนเอง น�ำมำกรองเอำเฉพำะส่วนที่เป็นน�้ำไปต้มใน กระทะที่อุณหภูมิ ๑๒๐ องศำเซลเซียส เคี่ยว ตอ้ งการใหช้ าวชมุ ชนไดม้ อี าชพี เสรมิ จากผลผลติ ของทอ้ งถนิ่ จดั ตง้ั กลมุ่ แมบ่ า้ นเกษตรกรบา้ นนาดี แปรรปู แจว่ ดา� นา้� ผกั สะทอน ผกั สะทอนบรรจขุ วด และท�าอาหารพน้ื เมอื ง

๑๕ครู ครคู ำพัน อ่อนอุทัย ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย เพร�ะคว�มทเี่ ป็นคนเกดิ ในพ้ืนท่ไี กล 236 ปืนเที่ยงแล้วก็เป็นลูกผู้หญิง จึงได้รับก�ร ผลกั ดนั ก�รศกึ ษ�นอกบ�้ นนอ้ ยม�ก แตด่ ว้ ย ตรงน้ีจึงเปน็ ศนู ย์ถ่ายทอด ตระหนักว่�ก�รศึกษ�เป็นหัวใจสำ�คัญของ องคค์ วามรู้ ในเวลาเดยี วกนั คนจึงเร่ิมหนั ม�ศกึ ษ�แม้จะในชว่ งอ�ยุม�ก ก็เดินทางไปให้ความรู้ในท่ี กระทง่ั จบระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษ�ปที ่ี ๖ จ�ก อ่ืนตามท่ีเชิญมาถ่ายทอด ศนู ยก์ �รศกึ ษ�นอกโรงเรยี นอ�ำ เภอด�่ นซ�้ ย ความรู้ในการผลิตน้�าผัก แลว้ ไตร่ ะดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษ�ปที ่ี ๖ จ�ก ศนู ย์ สะทอนด้วยวิธีการบรรยาย ก�รศึกษ�นอกโรงเรียนอำ�เภอด่�นซ้�ย และสาธิตเพ่ือให้ผู้รับการ ถ่ายทอดได้เรียนรู้ด้วย และด้วยผลง�นฝีมือปรุงอ�ห�รพ้ืน ตนเอง บ้�น ครูค�ำ พนั ไดร้ ับก�รยกย่องจ�กหน่วย ง�นต�่ งๆ อ�ทิ มหำบณั ฑติ กติ ติมศกั ด ์ิ สำขำกำรพฒั นำ ชมุ ชน จำก มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั เลย / เกยี รติ บตั รแหง่ ภมู ปิ ญั ญำไทย ผอู้ นรุ กั ษแ์ ละสง่ เสรมิ ภูมิปัญญำท้องถ่ิน / บุคคลดีเด่นทำงด้ำน วัฒนธรรมจังหวัดเลย / ครูภูมิปัญญำไทย ดำ้ นโภชนำกำร จำกสำ� นกั งำนเลขำธกิ ำรสภำ กำรศกึ ษำ / รำงวลั ยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรตบิ คุ คล ผอู้ นรุ กั ษภ์ มู ปิ ญั ญำแผน่ ดนิ จำกหนงั สอื พมิ พ์ เส้นทำงผนู้ ำ� ทอี่ ยู่ปจั จุบนั : ๑๖๒ ม. ๑ ต.นาดี อ.ด่านซา้ ย จ.เลย ๔๒๑๒๐

ครูคำพนั ออ่ นอทุ ยั ๑๕ครู ด้านโภชนาการ ภมู ปิ ัญญาไทย 237 มนี ้�าใจ มีน้�าค�า มีรอยยม้ิ สืบสานสูตรอาหารโบราณ ผักสะทอน พชื พนื้ บ้านอา� เภอด่านซา้ ย สนู่ า้� ผกั สะทอน น�้าปรงุ รส ท่ีไดร้ บั การแปรรูปจากใบสะทอน ๓ สายพันธ์ุ จัดเปน็ สินคา้ ๕ ดาว หน่ึงต�าบลหนึ่งผลิตภณั ฑ์ อันดบั แรกของจังหวัดเลย ครูคา� พนั ออ่ น อทุ ยั ครภู มู ปิ ญั ญาไทย รนุ่ ที่ ๗ ผนู้ า� ความรเู้ ชงิ วชิ าการและเทคนคิ สมยั ใหม่ พฒั นาต่อยอดน�า้ ผักสะทอน ท่ีมคี ณุ คา่ ทางโภชนาการสงู อายุ การเกบ็ นาน บรรจุในภาชนะสะอาด ถูกสขุ ลกั ษณะ รวมท้งั ถา่ ยทอด ใหช้ มุ ชน ผา่ นรา้ นครวั คา� พัน ศนู ย์เรียนรู้ภูมปิ ัญญาไทย ศนู ยก์ ลาง แลกเปลยี่ นความร้ขู องชุมชนดา่ นซา้ ย

๑๕ครู ครคู ำพัน ออ่ นอุทยั ด้านโภชนาการ ภูมิปัญญาไทย 238

ครไู พบูลย์ พนั ธ์เมือง ๑๕ครู ดา้ นภาษาและวรรณกรรม ภมู ปิ ญั ญาไทย 239 ครไู พบูลย์ พันธ์เมอื ง ครภู มู ปิ ญั ญาไทย ดา้ นภาษา และวรรณกรรม

๑๕ครู ครไู พบูลย์ พนั ธ์เมอื ง ดา้ นภาษาและวรรณกรรม ภูมปิ ญั ญาไทย 240 ¹¡Ñ ÊÙÀٸþԡÒà ÇÃó¡ÃÃÁ แมเ่ ปน็ คนหัวไทร พอ่ ชาวอ�าเภอเชียรใหญ่ อาชพี หลกั ทา� นา ใช้วัวและควายเปน็ แรงงาน ย้ายไปอยเู่ มืองคอน ปี ๙๖

ครูไพบลู ย์ พนั ธเ์ มือง ๑๕ครู ด้านภาษาและวรรณกรรม ภมู ปิ ญั ญาไทย 241 “แม่ผมเป็นชาวอ�าเภอหัวไทรแต่งงานกับพ่อชาว อ�าเภอเชียรใหญ่ ญาติทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่เห็นว่าที่ อ�าเภอหัวไทร การท�ามาหากินล�าบาก อาชีพหลักท�า นา ใชว้ ัวและควายเปน็ แรงงาน แถมยังเปน็ ดงโจร ทาง ราชการไมส่ ามารถจะปราบให้หมดสน้ิ ได้ แม่กบั พอ่ จงึ ยา้ ยตามครอบครัวปู่ยา่ และพน่ี อ้ งของปแู่ ละยา่ มาอยู่ท่ี บา้ นศาลาบางปู อา� เภอเมืองนครฯ ปี ๒๔๙๖” ครูไพบูลย์ พันธ์เมือง เร่ิมต้นด้วยการบอกกับผู้ มาเยือนถึงบ้านที่เหมือนคุ้นหน้ากันมาก่อนเม่ือนานมา แล้ว แต่พอบอกเพียงบอกช่ือ เท่านั้นแหละ นามสกุลที่ เหมือนถูกฝังด้วยชิปแห่งความทรงจ�าของครูก็หลุดออก มาอย่างถูกต้องชัดเจน ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน ประหนึ่งญาติ ท่ีสนิทท่ีไม่ได้เจอะเจอกันมานาน ทุกเร่ืองราวจึงเป็น ความสนุกทั้งเสียงหัวเราะและน�้าตาคลุกเคล้ากันไปกับ ความหลัง

๑๕ครู ครไู พบูลย์ พันธเ์ มือง ดา้ นภาษาและวรรณกรรม ภูมิปัญญาไทย 242 “ผมจบช้ันประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียนวัด ไพศาลสถิต ต�าบลปากพูน อ�าเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช ชั้นมัธยมปีที่ ๒ ท่ีโรงเรียนนคร วิทยา ตา� บลในเมอื ง อา� เภอเมอื ง นครศรธี รรมราช ชั้นมัธยมปีท่ี ๓ ท่ีโรงเรียนอ�ามาตย์พิทยานุสรณ ์ ตา� บลคลัง อ�าเภอเมอื ง นครศรธี รรมราช” ตามทะเบียนบ้านราชการบันทึกแปลงออก มาเป็นภาษาชาวบ้าน รับรู้กันว่า นายไพบูลย์ พันธ์เมอื ง เกิดวนั อาทติ ย์ ท่ ี ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ท่ีบ้านเลขที่ ๑๓๘ หมู่ที่ ๑๐ ต�าบลปาก พูน อ�าเภอเมือง จงั หวัดนครศรธี รรมราช บิดาชอื่ นายผนั แมช่ ือ่ นางเพยี ร พนั ธ์เมอื ง เปน็ บุตรคนท ่ี ๑ ในจา� นวนลกู ร่วมมารดา ๓ คน ในตา� บลปากพนู อา� เภอเมอื งนครศรธี รรมราช เมื่อปี ๒๔๙๑ มีโรงเรียนประชาบาล ท่ีเด็กจาก บ้านศาลาบางปู สามารถเดินทางไปเรียนได้ คือ โรงเรียนบ้านท่าแพ อยู่ห่างไปทางทิศใต้ของบ้าน ศาลาบางปู ประมาณ ๖ กโิ ลเมตร

ครไู พบลู ย์ พันธ์เมือง ๑๕ครู ดา้ นภาษาและวรรณกรรม ภูมปิ ัญญาไทย 243 จุดท่ีต้ังศาลาเป็นส่ีแยก คือ ทิศใต้ไปเข้าตัวเมือง นครศรีธรรมราช ทิศเหนือไปอ�าเภอท่าศาลา สิชล ขนอม ทิศ ตะวนั ตกไปตา� บลโมคลาน แหลง่ โบราณสถานสา� คญั แหง่ หนง่ึ ของ เมอื งนครฯ ทิศตะวันออกขา้ มท่งุ นาแคบๆ ไป ๒ ทงุ่ จะไปออกป่า ชายเลน มลี า� บางที่น้า� ข้นึ และลง มกี งุ้ หอย ปู ปลา ชุกชมุ โดย เฉพาะปูเปี้ยว ที่คนนิยมจับมาดองเป็นปูเค็มจะมีมาก จนเอาไป ไหนไมห่ วดั ไหว ชอ่ื บา้ นจงึ ถกู ตง้ั ขนึ้ วา่ “ศาลา(ทางแวะไป)บางป”ู หรือ “ศาลาบางป”ู ตอนทกี่ �ำลงั เรียนชน้ั ม. ๓ ปว่ ยด้วยโรคประหลำด คือ อยู่ ๆ ก็ขำออ่ นเปลี้ย ไมค่ อ่ ยมแี รง แรก ๆ ไมไ่ ด้เจ็บปวด อำกำรปรำกฏขึ้นแต่เพยี งเมอ่ื เดินหรอื ยืนมำกๆ และเวลำวิ่ง เหมอื นใครเอำหินมำถ่วงขำ ตอ่ มำกเ็ ริม่ เดินกะเผลก กระดกู สนั หลงั ที่โคง้ งอ “เม่ืออายุได้ ๑๐ ขวบ แม่ได้สามีใหม่ พ่อ เล้ียงไม่ชอบ แม่จึงหาทางยักย้ายถ่ายเท พาผม กับนอ้ งชายไปฝากพระใหเ้ ป็นเด็กวัด ตอนที่ก�าลัง เรยี นช้นั ม. ๓ ป่วยด้วยโรคประหลาด คือ อย่ ู ๆ กข็ าอ่อนเปล้ยี ไม่คอ่ ยมีแรง แรก ๆ ไมไ่ ด้เจบ็ ปวด อาการปรากฏข้ึนแต่เพียงเม่ือเดินหรือยืนมากๆ และเวลาวิ่ง เหมือนใครเอาหินมาถ่วงขา ต่อมาก็ เริม่ เดินกะเผลก กระดกู สนั หลงั ทโี่ คง้ งอ

๑๕ครู ครไู พบลู ย์ พนั ธเ์ มอื ง ด้านภาษาและวรรณกรรม ภูมิปัญญาไทย 244 แม่พาไปหาหมอทุกโรงพยาบาลในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งโรง พยาบาลเอกชน โรงพยาบาลของรัฐ หมอตรวจอาการ ฉีดยา แลว้ กใ็ ห้ยา มากิน แต่อาการก็มิได้ทุเลา แม่เปล่ียนเป็นพาผมไปหาหมอไสยศาสตร์ หมอเข้าทรงบอก “เด็กโดนครูหมอโนราห์ลงโทษ” แม่จึงให้ออกจาก โรงเรียน มาอยู่บา้ นช่วยใส่ฟนื เค่ียวนา�้ ตาลหารายได้เขา้ ครอบครวั และ ใหน้ อ้ งชายทีเ่ พ่ิงจบ ป.๔ เข้าไปเรยี นช้นั มัธยมแทน ทุก ๆ วัน มีหน้าที่เค่ียวน้�าตาลและตักน�้าตาลใส่ปี๊บ ส่วนแม่ท�า ขนมจีนและขนมหวานไปเดินหาบขายตามบ้าน เยน็ เกอื บค�า่ จงึ จะกลับ” ครูเล่าถงึ ความล�าเคญ็ ชว่ งวัยเยาว์ ทยี่ ิง่ กวา่ นิยาย ในความโชคร้ายอีกมุมหนึ่งที่ยังมีมุมแห่งความ งดงาม ฝืนลขิ ติ ฟ้าดินด้วยการเลือกทางเดินเอง ก็ตรงที่ครูเป็นคนท่ีติดหนังสืออ่านเล่นมาก โดยใช้เวลาอ่านใน ระหว่างคอยนั่งซุนฟืนเข้าเตาทเี่ คี่ยวน้�าตาล คือ เค่ียวนา้� ตาลไปดว้ ย อา่ น หนงั สือไปด้วย เมอ่ื อา่ นหนงั สอื มาก ๆ ท�าให้เริม่ ใฝ่หาอนาคต มหี นทาง เดยี วทจ่ี ะท�าใหไ้ ดเ้ รยี นตอ่ คือ บวชเปน็ สามเณร เรียนนกั ธรรมตร-ี โท

ครไู พบูลย์ พันธ์เมือง ๑๕ครู ด้านภาษาและวรรณกรรม ภมู ิปัญญาไทย 245 หลังจากน้ันมีปัญหาด้านโรคภัย ต้องบวชเป็นสามเณร วัดวิสุทธิยาราม (วัดศาลาบางปู) อ�าเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช เห็นพระ เณรวาดรูปเหมือน และวาดสีน�้า ไดส้ วยงาม จึงอยากจะให้ตวั เองวาดได้แบบน้ันบ้าง อีกทงั้ ตวั เองเปน็ คนพกิ าร หลงั คอ่ ม และเดนิ ขากะเผลก ทา� ใหร้ ไู้ ดด้ ว้ ย ตนเองวา่ ในชวี ติ น้ ี จงึ พยายามศกึ ษาดว้ ยตนเอง สามารถวาด รูปเหมอื นขาว-ด�า ด้วยผงถา่ นคาร์บอนได ้

๑๕ครู ครูไพบูลย์ พันธ์เมอื ง ดา้ นภาษาและวรรณกรรม ภูมปิ ญั ญาไทย 246 เณรไมต่ ้องไปเรียนหรอก เพำะช่ำง ฝมี อื เณรตอนน้ีมนั ระดับเพำะชำ่ งปี ๓ วุฒิ ป.ป.ช.(ประกำศนียบัตรครูประถมกำรช่ำง) หรือระดับวำดเขยี นโทแลว้ ไปเรียนจะเสียเวลำเปลำ่ จบช้ันมัธยมปีที่ ๕ ที่โรงเรียนมัธยมฆังคะทวีศิลป ์ ต�าบลเปลยี่ น อ�าเภอสชิ ล จงั หวดั นครศรีธรรมราช ป ี พ.ศ. ๒๕๐๕ เดินทางไปอยู่ที่วัดแรก ต�าบลท่าราบ อ�าเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี แล้วไปจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ ๖ ท่ี โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ ต�าบลคลองกระแชง อ�าเภอเมือง จงั หวัดเพชรบรุ ี การวาดสีน้า� ได้ไปศึกษากับคุณครู ๒ ท่าน คือ คุณครู นอ้ ม ทิชนิ พงศ ์ และคณุ ครแู นบ ทชิ ินพงศ์ จนสามารถวาด สนี า�้ เปน็ วาดลายไทยได ้ และไดร้ วู้ า่ ถา้ สอบวาดเขยี นโท เอก ไดจ้ ะสามารถสมคั รเขา้ เปน็ ครสู อนวาดเขยี นตามโรงเรยี นได้ ชว่ งท่มี กี ารสอบนกั ธรรม ท่านพระครูกลั่น ถาวโร จะ พาพระและสามเณร จากวัดศาลาบางปูที่จะสอบนักธรรม ไปพักท่วี ดั ชะเมา อ�าเภอเมอื ง นครศรีธรรมราช ระหวา่ งท่ี เขา้ ไปสอบนกั ธรรมทวี่ ดั ในเมอื ง เหน็ พระเณรบางรปู ฝกึ วาด รปู และไปสอบวาดเขยี นตรี - โท ชอบใจ กลับมาที่วัดท่ีพักแล้ว จึงลงมือ วาดรูปแบบที่ไปยืนดู ท�าให้วาดรูป เป็น จึงหันกลับไปเรียนช้ันมัธยม อีกครั้ง จบช้ัน ม.๖ (เท่า ม.๓ ใน ปัจจุบัน) ที่โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ จงั หวดั เพชรบุรี เพราะจงั หวัดอน่ื ไมม่ ี โรงเรียนให้พระ-เณรเรียนร่วมกับเด็ก ได ้ จงึ ตอ้ งมาไกล

ครูไพบูลย์ พนั ธ์เมือง ๑๕ครู ด้านภาษาและวรรณกรรม ภมู ิปัญญาไทย 247 ระหว่างท่ีเรียนมัธยมฯได้หัดวาดรูปด้วยสีน้�า วันไหนเดินๆ ไป เห็น ตน้ ไม้ เหน็ ทา่ น�า้ ล�าคลอง สะพาน โบราณสถาน หรือมุมใดมุมหนงึ่ ของวดั ดู แล้วดสู วย กจ็ ะน�ากระดาษติดบนกระดานรองเขยี นไปนงั่ วาด ระหวา่ งเรยี นชน้ั มธั ยม ไดก้ า� ลงั ใจจากครวู เิ ชยี ร สนิ ทอง ทส่ี อนวชิ าวาด เขยี นในโรงเรียนปรยิ ัตริ ังสรรค ์ ชแ้ี นะวา่ “เณรไมต่ อ้ งไปเรยี นหรอก เพาะชา่ ง ฝมี อื เณรตอนนมี้ นั ระดบั เพาะชา่ ง ป ี ๓ วฒุ ิ ป.ป.ช.(ประกาศนยี บตั รครปู ระถมการชา่ ง) หรอื ระดบั วาดเขยี นโท แลว้ ไปเรยี นจะเสียเวลาเปล่า” เกิดก�าลงั ใจเป็นทสี่ ุด แล้วไปสอบวาดเขียน ตรี-โท ตามค�าแนะน�าของครู จนได้ ประกาศนียบัตรและใบสุทธิ ม.๖ จึงเดินทางจากจังหวัดเพชรบุรีเข้าไปใน กรุงเทพฯ ไปหาหลวงพี่บรรจบ จ�าพรรษาท่ีวัดใหม่ยายแป้น ฝั่งธนบุรี ริม คลองบางกอกน้อย ได้ช่วยเหลือพาไปที่กรมอาชีวศึกษา เพื่อแจ้งชื่อขอ เปล่ียนสนามสอบจากเพชรบุรีมากรุงเทพฯ และให้ท่ีอยู่อาศัยหลับนอน อาหารทั้งก่อนสอบและหลังสอบ โดยอาศัยอาหารปิ่นโตจากโยมอุปัฏฐาก และบิณฑบาตของหลวงพ่ี ตลอด

๑๕ครู ครูไพบูลย์ พันธ์เมือง ดา้ นภาษาและวรรณกรรม ภมู ปิ ัญญาไทย ทุกเช้าน่ังรถเมล์ไปทางถนนพรานนก ไป 248 ออกวงเวยี นใหญ ่ ขา้ มสะพานพระพทุ ธยอดฟา้ ไปลงหน้าโรงเรียนเพาะช่าง สนามสอบ โดย ใชเ้ วลาสอบนานเกอื บเดือน สามารถสอบผา่ น หลกั สตู รวาดเขยี นตรแี ละโท ซง่ึ ม ี ๖ ชดุ วชิ าหนิ เร่ิมจาก ลายเครือเถา วาดออกแบบลาย เส้น เป็นเถาไม้เลื้อย มีดอก ผล ใบก้าน จาก จนิ ตนาการ ไมเ่ หมอื นจรงิ และเปน็ ลายติดตอ่ แบบลายแกะสลกั บานประต ู หนา้ ตา่ งโบสถว์ ดั ตา่ ง ๆ ลายไทย มลี ายมมุ ลายกา้ นขด ลายกนก เปลว ลายหน้าจ่วั ลายลกู ฟัก กระจังและแขง้ สงิ ห ์ นิยมใช้สเี หลืองเปน็ ตวั ลาย ตัดเส้นด้วยสี ด�าและสพี ื้นเป็นสดี �า หนุ่ นงิ่ วาดภาพ ผลไม ้ พชื ผกั หรอื สงิ่ ของ กล่องสบู่ ยาสฟี ัน แก้วน�้าฯลฯ วาดดว้ ยสีน้�า มี แสงเงาเหมอื นตาเหน็ ตามดว้ ย วาดเส้น การ วาดภาพดอกไม้ ใบไม้ ท่ีจัดวางใส่แจกัน ทรง สูง ทรงเต้ยี กระทงั่ จดั วางไวก้ ับพ้ืน คา� วา่ เส้น ทหี่ มายถงึ การเขยี นกลบี ซอ้ นของ ดอกไม ้ หรอื กา้ นใบไม ้ ใชแ้ สงเงาแบบธรรมชาต ิ แตไ่ มม่ กี าร ตดั เส้นใด ๆ

ครไู พบูลย์ พันธเ์ มือง ๑๕ครู ดา้ นภาษาและวรรณกรรม ภมู ิปญั ญาไทย 249 และสดุ ท้าย คือ ภาพร่าง เปน็ การใชฝ้ ีมือวาดภาพววิ เดือน เมษายน ปี ๒๕๐๖ ทิวทัศน์จากสถานที่จริง จัดองค์ประกอบของภาพให้มีจุด เดินทางลากรุงเทพฯ กลับบ้าน สนใจ มคี วามสมดุลของวตั ถใุ นภาพ ด้วยสีนา�้ อาจเป็นภาพ พอถึงวัดศาลาบางปู เข้ากราบ บา้ นเรือน วัด เจดยี ์ โบสถ์ วหิ าร ใชท้ ฤษฎกี ารเดินของเส้น ไหว้พ่อท่านพระครูกล่ัน ถาวโร หรือ เปอร์สเป็กตฟี (PERSPECTIVE) ขอลาสิกขา แต่โยมแม่ขอให้ และสุดท้ายจริง ๆ คือ วิชาครู ให้อธิบายวิธีการท่ีจะ อุปสมบทก่อนสึก จึงอุปสมบท น�าความรู้ในวิชาวาดเขียนไปใช้สอนนักเรียน ถ้าสอบวิชา เป็นพระในเดือนน้ันเอง ก่อนจะ สดุ ทา้ ยน้ไี มไ่ ด ้ ก็จะไม่มโี อกาสไดร้ ับใบประกาศนียบตั รวาด เขา้ พรรษาของปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้ เขยี นโท จากกรมอาชีวศึกษา อีกแล้ว วา่ งัน้ รบั ฉายาวา่ พระไพบลู ย์ อนิ ทสโร ทกุ วิชา ผา่ นหมด และสดุ ทำ้ ยจริงๆ คอื วชิ ำครู ใหอ้ ธบิ ำยวิธกี ำรท่ี จะน�ำควำมรู้ในวิชำวำดเขียนไปใช้สอนนักเรียน ถ้ำสอบวิชำสุดท้ำยนี้ไม่ได้ ก็จะไม่มีโอกำสได้ รับใบประกำศนียบัตรวำดเขียนโท จำกกรม อำชวี ศึกษำ อกี แล้ว ออกพรรษากล็ าสกิ ขาไปรอ้ งเพลงกองเชียรร์ า� วง กอ่ นขนึ้ ฝั่ง สอบ บรรจุได้ ถูกส่งไปสอนทโี่ รงเรยี นบา้ นนอกนา ก่งิ อา� เภอเกาะคอเขา กอ่ นเข้าสโู่ ลกบรรณพภิ พ ออกพรรษา ครูก็ลาสิกขาและเดินทางไปตะก่ัวป่า เพราะได้ยินว่าโรงเรียนเทศบาลที่นั่น ประกาศรับครสู อนวาดเขียน แตพ่ อไปถึงกลับพบว่า มีชา่ งวาดภาพในโรงภาพยนตร์คนหน่ึง ถกู จา้ งให้เป็นคร(ู อัตราจ้าง)สอนอยใู่ นโรงเรยี นเทศบาลแหง่ น้ัน ตดั สินใจไมอ่ ยากแย่งงานใคร จงึ ไป ขอแบ่งเช่าร้านซักแห้ง เปิดเป็นมุมรับวาดรูปเหมือน กิจการไปได้ดีพอสมควร ต่อมามีเพื่อนใน ตะก่ัวปา่ ชวนให้ไปร้องเพลงเปน็ นักร้องกองเชยี ร์รา� วง กระทัง่ ๓ ปผี ่านไป