Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียนวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

เอกสารประกอบการเรียนวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

Published by supada khunnarong, 2021-08-28 10:51:41

Description: เอกสารประกอบการเรียนวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

กระบวนกำรคน้ คว้ำวิจัยสว่ นใหญม่ กั จะกำเนดิ ในยโุ รป มีกำรวิจยั เรอ่ื งดำรำศำสตร์และเรขำคณิต ระยะตอ่ มำ ำสตร์ และชีววทิ ยำ สมยั โรมันก็ไดม้ คี น้ ควำ้ เรอ่ื งดำรำ บกระบวนกำรแสวงหำควำมรู้ และขอ้ เทจ็ จรงิ ต่ำง ๆ บและใช้กันมำกทสี่ ดุ คือวธิ กี ำรทำงวิทยำศำสตร์ บวนกำรแสวงหำควำมรูค้ วำมจรงิ โดยวธิ ีกำรทำง 2016)

กำรวจิ ยั ทำงว กำรสำรวจ วเิ ครำะห์ ทดลองอยำ่ งมีระบ เก่ยี วกบั ธรรมชำติ สง่ิ มีชวี ติ ปรำกฏกำร สรำ้ งสรรคข์ นึ้ มำดว้ ยควำมรู้ หรอื ประสบ อนำมยั ควำมผำสกุ และควำมเจรญิ ก้ำว

งวิทยำศำสตร์ บบและเป็นขั้นตอนดว้ ยอุปกรณ์หรือวธิ ีพิเศษ รณธ์ รรมชำติ ตลอดจนส่ิงทีม่ นษุ ย์ได้ บกำรณ์ เพอื่ เสนอควำมรู้ใหม่ เพอ่ื สุขภำพ วหน้ำของมนษุ ยชำติ

กำรวจิ ัยทำงวิทย • วทิ ยำศำสตร์ศึกษำ หมำยถึง กระบวนกำรและควำมพ กำรและควำมพยำยำมท่ีว่ำนีจ้ ะเปน็ อะไรกไ็ ด้ ซง่ึ อำจเก เรยี นรู้ กำรสอน สือ่ และเทคโนโลยีกำรเรยี นรู้ แหล่งกำ • กำรวิจัยทำงวิทยำศำสตร์ศึกษำแตกต่ำงจำกกำรวจิ ัยท วทิ ยำศำสตร์ศกึ ษำเรมิ่ จำกกำรถำมว่ำ “จะทำอยำ่ งไรใ คำถำมว่ำ “เกิดอะไรข้ึนกบั โลก ปรำกฏกำรณท์ ำงธรรม • กำรวจิ ยั ทำงวิทยำศำสตรศ์ ึกษำอำจเปน็ กำรศกึ ษำแล วิธีกำรประเมินกำรเรียนรู้ เป็นต้น (ทมี่ ำ : ชำตรี ฝ่ำยคำตำ, 2559)

ยำศำสตร์ศกึ ษำ พยำยำมในกำรพัฒนำผู้เรยี นใหเ้ ปน็ ผูร้ ู้วทิ ยำศำสตร์ กระบวน- กย่ี วข้องกับนโยบำยกำรศกึ ษำ หลกั สูตรวทิ ยำศำสตร์ กำร ำรเรยี นรู้ และอื่น ๆ ทำงวทิ ยำศำสตร์ คือ คำถำมวิจัย หลกั กำรวิจัยทำง ให้ผเู้ รยี นเกดิ กำรเรียนรู้” แต่งำนวจิ ยั ทำงวทิ ยำศำสตรเ์ นน้ ตอบ มชำติเกดิ ข้นึ ได้อยำ่ งไรและทำไมจงึ เกดิ เช่นน้นั ” ละพฒั นำวิธสี อนวิทยำศำสตร์ นวัตกรรมและสอ่ื กำรเรียนรู้ หรอื

ตัวอยำ่ งกำรวิจัยท กำรจัดกำรเรยี นรโู้ ดยใชแ้ บบจำลองเปน็ ฐำนเพ่ือพฒั ควำมเข้ำใจธรรมชำติของแบบจำลองของนักเรยี นช้นั ม และพจนำรถ สวุ รรณรจุ ,ิ 2558)  กำรพฒั นำแนวคิดทำงวทิ ยำศำสตรแ์ ละควำมสำมำ เกี่ยวกับเสยี ง ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษำปที ี่ 5 โดยก (ทกั ษพร สมส,ี 2563) กำรพฒั นำทักษะกำรเรยี นรู้และนวตั กรรมของนักเร กำรวิจัยเปน็ ฐำนตำมแนวทำงโครงกำรเพำะพนั ธ์ุปญั ญ กำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรโู้ ดยใช้กรณศี กึ ษำเพ่ือส่งเส สัดสว่ นและร้อยละ ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษำปที ่ี 1

ทำงวิทยำศำสตร์ศกึ ษำ ฒนำแบบจำลองทำงควำมคดิ เรอ่ื ง โครงสรำ้ งอะตอมและ มัธยมศกึ ษำปที ่ี 4 (ภรทพิ ย์ สภุ ัทรชัยวงศ์ ชำตรี ฝำ่ ยคำตำ ำรถในกำรแกโ้ จทยป์ ญั หำวชิ ำฟสิ กิ ส์ เร่อื ง ปรำกฏกำรณ์ กำรจัดกำรเรียนรแู้ บบใชบ้ รบิ ทเปน็ ฐำนรว่ มกบั กลวธิ ี STAR รยี นระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนตน้ ด้วยกำรจดั กำรเรยี นรโู้ ดยใช้ ญำ (เดชมณี เนำวโรจนแ์ ละสภุ ำวดี หริ ัญพงศส์ นิ 2564) สริมควำมสำมำรถในกำรคิดวิเครำะห์ เรื่อง อตั รำส่วน (ระววิ รรณ อุปถมั ภ์,และวนินทร พูนไพบูลย์พิพัฒน์, 2564)

กระบวนการวจิ ยั 1. กำรคดั เลือกหัวขอ้ ในกำรวจิ ยั (Sele 2. วธิ ีกำรเก็บและรวบรวมข้อมูล (Me 3. กำรวิเครำะห์และกำรตีควำมข้อมูล the data) 4. กำรเสนอผลกำรวจิ ัยและข้อสรุป (C

ection of problem area) ethod of gathering data) (Analysis and interpretation of Conclusions and final report)

ลักษณะท่ไี มใ่ ช่กำรวิจยั 1. กำรศึกษำบำงเร่ืองจำกเอกสำร ตำรำ มำดัดแปลงตัดตอ่ กนั 2. กำรค้นพบ(Discovery) โดยท่วั ไป เช เพรำะเปน็ กำรค้นพบทไี่ ม่มรี ะบบและวธิ กี 3. กำรรวบรวมข้อมูลนำมำจัดเขำ้ ตำรำง 4. กำรทดลองปฏิบัติกำรตำมคมู่ ือท่ีแนะน

วำรสำร แลว้ นำเอำข้อมูลควำมร้ตู ่ำง ๆ ชน่ น่ังคิดแล้วได้คำตอบไม่ใชก่ ำรวจิ ยั กำรทถ่ี กู ต้อง งซ่งึ อำจเป็นกำรตดั สนิ ใจ แต่ไมใ่ ชก่ ำรวจิ ยั นำไว้ไมใ่ ชก่ ำรวิจัย

ประเภทการวจิ ัย  แบ่งตำมกำรใชป้ ระโยชน์  แบง่ ตำมวตั ถุประสงค์  แบง่ ตำมควำมสำมำรถ  กำรควบคุมตวั แปร  แบง่ ตำมระเบียบวิธีกำรวจิ ัย  แบง่ ตำมวิธีกำรวจิ ัยทั่วไป  แบ่งตำมลักษณะของขอ้ มูล  แบ่งตำมสำขำวิชำกำรตำ่ ง ๆ (ที่มำ : บุญธรรม กิจปรีดำบรสิ ุทธ์ิ, 2535)



นักวจิ ยั ผู้ทีด่ ำเนนิ กำรคน้ ควำ้ หำควำมรอู้ ย่ำงเป เพอ่ื ตอบประเดน็ คำถำมทสี่ งสัยโดยใชร้ เป็นทย่ี อมรบั ของแตล่ ะศำสตร์ในกำรเก ข้อมูลและนำมำวิเครำะหข์ อ้ มูล

ป็นระบบ ระเบยี บวิธที ี่ ก็บรวบรวม ท่ีมำ : https://www.okusanpix.com/2019/09/woman-researcher/

คณุ สมบัตขิ องนกั วจิ ยั ท่ีดี กำรมีควำมสงสัย กำรมีวจิ ำรณญำณ กำรมใี จกวำ้ ง เป็นผ้รู เิ ร่ิมสร้ำงสรรค์ เป็นผมู้ ีควำมซื่อสัตย์ เป็นผู้มคี วำมขยนั หม่นั เพียร เปน็ ผู้มคี วำมสขุ กบั กำรทำงำน (ท่ีมำ : จรัส สวุ รรณเวลำ, 2528)

ท่มี ำ : http://setthawit4u.blogspot.com/

บทบาทและความสาคญั ของการ ให้นกั ศกึ ษำอภปิ รำยบทบำทและควำมสำคญั ข ตพี ิมพ์ในวำรสำร ไม่เกนิ 5 ปี มำสนบั สนนุ ในแ • เกษตรกรรม • กำรแพทย์ สำธำรณสขุ • กำรศกึ ษำ • กำรคำ้ • อตุ สำหกรรม • สิง่ แวดล้อม

รวจิ ยั ของกำรวจิ ัยในเรื่องต่ำง ๆ โดยมีงำนวิจัยที่ แตล่ ะเรอื่ ง โดยเลือกเพียงคนละ 1 เร่อื งทสี่ นใจ

ลกั ษณะของการวจิ ยั ที่ดี  เป็นกำรค้นคว้ำท่ีต้องอำศัยควำมรู้ ควำมชำนำ เป็นงำนท่มี เี หตมุ ผี ลและมเี ปำ้ หมำยทแ่ี น่นอน มเี ครือ่ งมอื หรอื เทคนคิ ในกำรเกบ็ รวบรวมขอ้ ม มกี ำรเก็บรวบรวมขอ้ มูลใหม่ และได้ควำมรู้ใหม เป็นกำรศึกษำเพื่อม่งุ หำข้อเทจ็ จริง เพื่อใชอ้ ธบิ หรอื ตรวจสอบทฤษฎี  กลำ้ ขดั แยง้ กบั บุคคลอนื่ กลำ้ นำเสนอผลกำรว บนั ทกึ และเขียนรำยงำนกำรวจิ ัยอย่ำงระมัดระว

ำญ และมรี ะบบ มูลที่มีควำมเทย่ี งตรงและเชื่อถอื ได้ ม่ บำยปรำกฏกำรณ์หรอื พัฒนำกฎเกณฑ์ ทฤษฎี วจิ ยั ตรงตำมควำมเปน็ จริงที่คน้ พบ วงั

ประโยชน์ของการวจิ ยั • ชว่ ยให้ได้รับควำมรู้ใหม่ ทั้งทำงทฤษฎีและป • ช่วยพสิ ูจน์ หรอื ตรวจสอบควำมถูกตอ้ งของก • ชว่ ยให้เข้ำใจสถำนกำรณ์ ปรำกฏกำรณ์ และ • ชว่ ยแกไ้ ขปญั หำไดถ้ กู ต้องและมีประสิทธิภำพ • ชว่ ยกำรวนิ ิจฉัย ตัดสินใจได้อย่ำงเหมำะสม • ชว่ ยปรับปรุงกำรทำงำนให้มีประสทิ ธิภำพมำ • ชว่ ยปรับปรุงพัฒนำสภำพควำมเปน็ อยู่ และ

ปฏิบตั ิ กฎเกณฑ์ หลกั กำรและทฤษฎีตำ่ ง ๆ ะพฤตกิ รรมตำ่ ง ๆ พ ำกขึ้น ะวิถดี ำรงชวี ติ ให้ดีย่ิงข้ึน

จรรยาบรรณนักวจิ ยั จรรยำบรรณ หมำยถึง หลักเกณฑ กำรดำเนินงำนตั้งอยู่บนพ้ืนฐำนของจ ตลอดจนประกันมำตรฐำนของกำรศึกษ เกยี รติภูมิของนกั วิจยั (สำนักงำนคณะกร

ฑ์ควรประพฤติปฏิบัติของนักวิจัยเพื่อให้ จริยธรรมและหลักวิชำกำรท่ีเหมำะสม ษำค้นคว้ำให้เป็นไปอย่ำงสมศักด์ิศรีและ รรมกำรวจิ ัยแหง่ ชำติ, 2541)

จรรยาบรรณนักวจิ ยั  ซอ่ื สัตย์และมคี ณุ ธรรมในทำงวชิ ำกำรและกำรจัดกำ  ตระหนกั ถงึ พนั ธกรณใี นกำรทำวิจัยตำมข้อตกลงทที่ ต้นสังกัด  มพี ้นื ฐำนควำมรูใ้ นสำขำวิชำกำรทว่ี จิ ัย  มีควำมรบั ผิดชอบต่อส่งิ ที่ศึกษำวิจัยไม่วำ่ จะเป็นสิง่  เคำรพศักด์ศิ รแี ละสิทธขิ องมนุษย์ทีใ่ ชเ้ ปน็ ตัวอย่ำงใ  มอี สิ ระทำงควำมคิดโดยปรำศจำกอคตใิ นทกุ ขน้ั ตอน  พงึ นำผลงำนวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ในทำงที่ชอบ  พงึ เคำรพควำมคดิ เหน็ ทำงวิชำกำรของผอู้ ื่น  พึงมีควำมรบั ผิดชอบต่อสงั คมทกุ ระดบั (สำนักงำนคณะกรรมกำรวิจยั แหง่ ชำต,ิ 2541)

ำร ทำไวก้ ับหน่วยงำนทีส่ นบั สนนุ กำรวิจยั และตอ่ หนว่ ยงำน งทีม่ ชี ีวิตหรือไม่มีชีวิต ในกำรวิจัย นของกำรทำวิจยั

คำถำมทำ้ ยชัว่ โมง 1. อธบิ ำยควำมหมำยและควำมสำคญั 2. กำรวิจัยมปี ระโยชนอ์ ย่ำงไรบ้ำง 3. อธบิ ำยคุณสมบตั ทิ ี่สำคญั ของนักวิจ 4. จงบอกจรรยำบรรณของนกั วิจยั

ญของกำรวจิ ัย จัย

วารสารครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร (Online) ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 1 เดือน กันยายน – ธนั วาคม 2562 Journal of Education Sakon Nakhon Rajabhat University (Online) ISSN 2697-5270 ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์กับการเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี 21 Nature of Science and Learning in the 21st Century ภารณิ ี สุวรรณศร1ี ประสาท เนอื งเฉลิม2 บทคัดย่อ การเรียนการสอนในยุคท่ีมีการเปล่ียนแปลงจึงมิใช่การแสวงหาความรู้อย่างดิ่งเดี่ยว แต่ต้องเติมเต็ม คุณลักษณะท่ีสาคัญของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 บทความนี้มุ่งนาเสนอธรรมชาติของวิทยาศาสตร์กบั การเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นการเตรยี มพลโลกให้มีความพร้อมในการดารงชวี ิตในยุคทมี่ ีการแข่งขันแบบรว่ มมอื ซ่งึ ผอู้ ่าน จะไดน้ าแนวคดิ ไปประยกุ ต์ใหเ้ ขา้ กับบริบทของหอ้ งเรยี นในศตวรรษท่ี 21 ได้อยา่ งเหมาะสม คาสาคัญ: วิทยาศาสตร์ การเรยี นการสอน ศตวรรษที่ 21 การศึกษา ทักษะทจ่ี าเปน็ ABSTRACT Teaching and learning in the era of rapidly changed is not need only pure knowledge, but it must be fulfilled by 21st century learning and important attributes. This paper aims to represent the relationship between nature of science and learning in the 21st century. It helps us to prepare citizens to face with the competitive and collaborative lives. Readers can bring ideas into 21st century classroom as it should be in appropriately. Keywords: Science Instruction, 21st century Education Necessary Skills . 1 โรงเรียนสารคามพิทยาคม จงั หวัดมหาสารคาม 2 คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม 20

วารสารครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร (Online) ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 1 เดอื น กันยายน – ธนั วาคม 2562 Journal of Education Sakon Nakhon Rajabhat University (Online) ISSN 2697-5270 บทนา ความรู้ที่ค้นพบบนโลกล้วนได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นระบบโดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และ ความรู้ท่ีสั่งสมผ่านระยะเวลาอนั ยาวนานก่อใหเ้ กดิ การพัฒนาความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ จนสังคม สะท้อนถึงความตอ้ งการให้บรรจสุ ง่ิ เหลา่ น้ีไว้ในหลักสูตรวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติของวิทยาศาสตรจ์ ึงเป็นหัวใจสาคญั ในการผลักดันให้เยาวชนและพลเมืองของประเทศต่างๆ ได้นาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการจรรโลงความรู้และต่อยอด เป็นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ต่อสังคม การเข้าใจวิทยาศาสตร์อย่างเหมาะสมและควรจะเป็นจะทาให้ การเรียนรู้ของผเู้ รียนมคี ุณค่าและความหมาย ผเู้ รียนมเี จตคติทีด่ ตี ่อการเรยี นวิทยาศาสตร์ และนาความรไู้ ปใช้ในการ ตัดสนิ ใจในเรอื่ งตา่ งๆ ท่เี ก่ยี วกับวทิ ยาศาสตร์ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งเหมาะสม (ประสาท เนืองเฉลิม, 2556) บทความนี้จึงได้นาเสนอธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มองเห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของการส่งเสริม การเรียนการสอนธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ โดยยึดแนวคิดของ The American Association for the Advancement of Science (AAAS, 2009) ซึง่ เปน็ การกาหนดแนวทางการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์จากผู้เช่ียวชาญดา้ น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนักคณิตศาสตร์ มีการเชื่อมโยงแนวความคิดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สู่มาตรฐานทาง วิทยาศาสตร์ มีความมุ่งม่ันเพ่ือให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ มีการกาหนดวิสัยทัศน์ และกรอบ การศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน เพ่ือให้เกิดเอกภาพในการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ กรอบแนวคิดดังกล่าวได้รับการ ยอมรับอย่างแพร่หลายท่ัวโลก และนาไปสู่การรู้วิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy) ซ่ึงเป็นความรอบรู้เชิง วทิ ยาศาสตรห์ รอื การรเู้ ชงิ วทิ ยาศาสตร์ การท่ีบุคคลสามารถเข้าใจในทุกแง่มุมของความรู้วิทยาศาสตร์ ท้ังความเป็นธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ทัศนคติเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ บุคคลสามารถเขา้ ใจในมวลความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ สามารถนาเอาความรู้นั้นไปใชใ้ น การตัดสินใจแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้น สามารถนาไปใช้ดาเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมท้ังด้านธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ (Nature of Science) ด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Knowledge) และด้านจิตวิทยาศาสตร์ (Habits of Mind) การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การดาเนิน กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ข้อเท็จจริง มโนมติ หลักการ และจิตวิทยาศาสตร์ จนกระท่ังสามารถนาไปปรับใ ช้ใน ชีวิตประจาวนั ได้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมไดเ้ ปน็ อยา่ งดี (ประสาท เนอื งเฉลิม, 2558) ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตรช์ ว่ ยให้ผูเ้ รียนเขา้ ใจในเนอื้ หาวทิ ยาศาสตรค์ วบคไู่ ปกบั การเปลย่ี นแปลงทางด้าน การสืบเสาะ วิธีการได้มาซึ่งความรู้ และการนาความรู้วิทยาศาสตร์มาใช้อย่างสร้างสรรค์ต่อสังคม ข้อเท็จจริง หลักการ และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ และวิธีที่จะให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ประวัติวิทยาศาสตร์ ปรัชญา วทิ ยาศาสตร์ วฒั นธรรมประเพณีทม่ี ีวทิ ยาศาสตรเ์ ข้าไปเก่ียวข้อง ตลอดจนความสามารถในการประยุกตใ์ ช้ความรู้ใน ชวี ติ ประจาวนั การเรียนรู้เชน่ นจ้ี ะทาใหเ้ กิดการรู้วทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ หมายถึงการรู้ การใช้ การตัดสินใจ ความมีเหตมุ ผี ล การคิดแบบวิทยาศาสตร์ และการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ ท้ายท่ีสุดสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์จากการบอกเน้ือหาเพียงอย่างเดียว เป็นการพัฒนาเนื้อหาพร้อมกับชี้ให้เห็นกระบวนการให้ได้มาซึ่ง ความร้วู ิทยาศาสตร์ ใหม้ ีการอภปิ ราย ขบคดิ เก่ียวกบั ความเป็นวทิ ยาศาสตร์ดว้ ยความไมม่ ีอคติ และสร้างเสรมิ ความ เป็นจิตวิทยาศาสตร์แก่ผเู้ รียน บริบทการเรยี นการสอนในยคุ แหง่ การแขง่ ขันแบบรว่ มมือ เม่ือสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้แปรเปล่ียนไปตามพลวัตของสังคม การเรียนการสอนก็ควรปรับเปลี่ยน กระบวนทัศน์ใหม่ จากเดิมท่ีเคยเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีต้องมาจากความเข้าใจในทฤษฎี การลงมือค้นคว้าหาคาตอบ ตามหลักการท่ีเคยกาหนดมาก่อน แต่เนื่องด้วยศตวรรษที่ 21 ข้อมูลข่าวสารเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวคิดท่ีจะ ค้นหาความรู้ด้วยตนเองจึงมีความหลากหลายทั้งเทคนิค วิธีการ และช่องทางของการส่ือสาร การศึกษา Mustafa แลคณะ (2017) ได้ช้ีให้เห็นการศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนเกี่ยวกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์เพ่ือนาไปสู่การรู้ วิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับการประเมินสมรรถนะด้านความรู้และทักษะเพ่ือเผชิญกับโลกแห่งอนาคต การเรียนรู้จงึ มุ่งพฒั นาสมรรถนะ (Competency) หรอื การรเู้ รอื่ ง (Literacy) ดงั เช่นโปรแกรมการประเมินผเู้ รยี นระดับนานาชาติ (Programmed for International Student Assessment: PISA) สะท้อนว่าหลักสูตรและการเรียนการสอนของ 21

วารสารครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร (Online) ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 1 เดอื น กนั ยายน – ธนั วาคม 2562 Journal of Education Sakon Nakhon Rajabhat University (Online) ISSN 2697-5270 แต่ละประเทศที่เข้าร่วมการประเมินนั้นมีการเตรียมความพร้อมของประชาชนให้มีศักยภาพสาหรับการพัฒนาและ แขง่ ขนั ในประชาคมโลกอยา่ งไร (สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี, 2551) การศึกษา PISA เป็นการศึกษาระยะยาว โดยเร่ิมตน้ โครงการในปี 2000 จนถึงปัจจุบันการศึกษา PISA มี บทบาทไปท่ัวโลก เพ่ือประเมินคุณภาพการศึกษากับประเทศท่ีพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม น่ันหมายความว่า ประเทศใดท่ีมีการเตรียมความพร้อมของเยาวชนให้มีความรู้ ความสามารถ และสมรรถนะสูงเพ่ือเข้ายุคโลกใหม่ใน การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ย่อมต้องแสวงหาความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษาของ ประเทศตนเองให้มีความก้าวหน้าและทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ PISA ประเมินผู้เรียนท้ังความรู้ ทักษะทาง วทิ ยาศาสตร์ และให้ความสาคัญกบั สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ ความเข้าใจแนวคดิ พนื้ ฐานและความสามารถในการ แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเจตคติตอ่ วทิ ยาศาสตร์อีกด้วย Nuangchalerm and Islami (2018a; 2018b) Eka และคณะ (2018) ได้ชีใ้ ห้เหน็ ว่าธรรมชาติของวิทยาศาสตร์มคี วามเกีย่ วข้องกบั การรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ผเู้ รยี นสามารถ อธิบายปรากฏการณ์ได้ในระดับพื้นฐาน กิจกรรมการเรียนรู้ยังไม่เป็นไปตามการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงเป็น ลักษณะพ้ืนฐานของธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เพ่ือนาไปสู่การแก้ปัญหา PISA 2015 แต่ความสามารถใน การท่องจาเน้ือหาน้ันค่อนข้างสูง ดังนี้ครูจึงควรออกแบบห้องปฏิบัติการ และกิจกรรมที่ทาให้แนวคิดทาง วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นจริง ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความคิดทางวิทยาศาสตร์และปัญหาในชีวิตจริง การรู้ธรรมชาติของวิทยาศาสตรเ์ ป็นสง่ิ จาเป็นทจี่ ะชว่ ยให้ผู้เรยี นเป็นคนทมี่ ีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ในขณะทีค่ วามก้าวหน้าของเทคโนโลยสี ารสนเทศและเทคโนโลยีการส่ือสาร ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน ด้านต่างๆ อยา่ งรวดเรว็ ทั้งดา้ นการแพทย์ การเกษตร อตุ สาหกรรม เศรษฐกจิ และสังคม โดยเฉพาะการเปลีย่ นแปลง ที่เห็นได้ชัดเจนจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการสื่อสาร คือ การเปล่ียนแปลงของสังคมท่ีเปล่ียนแปลงไป โดยสิ้นเชิง แต่ทุกวันน้ีกลายเป็นสังคมแห่งการแข่งขัน เน้นความสะดวกสบาย และรวดเร็ว มีการรับข้อมูลข่าวสาร จากหลากหลายช่องทาง และมีการส่งต่อแบ่งปันข้อมูลกันผ่านช่องทางท่ีหลากหลายจนกลายเป็นสังคมนิยมข้อมูล ส่ิงเหล่านี้ทาให้ความแตกต่างระหว่างชนบทและเมืองน้อยลง ซ่ึงน่าจะเป็นผลดีกลับส่งผลทางลบต่อสังคมของ ประเทศโดยภาพรวม ทางออกที่ดแี ละมีความเปน็ ไปได้ที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนใหด้ ารงชวี ิตอยู่ได้ในศตวรรษที่ 21 นนั้ ผู้ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาต้องช่วยกันสรา้ งสภาพแวดลอ้ มของการแขง่ ขันแบบร่วมมือ การเรยี นรูแ้ หง่ การเปลย่ี นแปลง ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมส่งผลตอ่ วัฒนธรรมการเรียนการสอน ผู้เรียนยุคใหม่ไวต่อข้อมูลข่าวสาร และ ความรู้สึกต่างๆ ผู้เรียนสามารถค้นคว้าและเข้าถึงความรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่การได้มาซ่ึงข้อมูลเหล่าน้ัน จาเป็นอย่างย่ิงที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ สังเคราะห์ว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างแท้จริง ผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 จงึ ควรได้รบั การพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ที่จาเปน็ และสอดคล้องกบั ธรรมชาตกิ ารเรียนรู้อย่าง เปน็ วทิ ยาศาสตร์ ดงั น้ี ทักษะการคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking) ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ ตา่ งๆ สามารถประเมินผลและประยกุ ต์ใชข้ ้อมูลสารสนเทศและความรตู้ ่างๆ ได้อย่างมเี หตุมผี ล ทักษะการทางานร่วมกัน (Collaboration Skill) ผู้เรียนสามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข มคี วามเปน็ ผูน้ า เป็นผู้ตาม สามารถแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ความคิดเห็นของผอู้ ่ืนได้อยา่ งเหมาะสม ทาให้งาน ของส่วนรวมประสบความสาเร็จ บรรลเุ ปา้ หมายทีก่ าหนดไวไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ทักษะการสอ่ื สาร (Communication Skill) ผู้เรียนสามารถสอ่ื สารกบั เพอ่ื น ผสู้ อน และบคุ คลอน่ื ๆ ในการ ทางานร่วมกัน การสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดเห็นระหว่างกันได้ รวมถึงสามารถอธิบาย และ นาเสนอข้อมลู ขา่ วสารให้ผู้อน่ื รบั รู้โดยใชภ้ าษาท่ถี กู ต้องและสือ่ สารไดอ้ ยา่ งชดั เจน เขา้ ใจไดง้ ่าย ทักษะความคดิ สร้างสรรค์ (Creative Thinking) ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการ ทางาน ในการเรียนรู้ การประยุกต์ความรู้ไปใช้อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงสามารถสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ ส่ิงประดิษฐ์ เทคนคิ วธิ กี าร และ/หรอื กระบวนการตา่ งๆ ที่เป็นประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คมได้ ทักษะทางดิจิทัล (Digital Skill) ผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการ ค้นคว้า การเรียนรู้ การแลกเปล่ียน และการแบ่งปันความรู้ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สามารถคัดกรอง 22

วารสารครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร (Online) ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 1 เดอื น กันยายน – ธันวาคม 2562 Journal of Education Sakon Nakhon Rajabhat University (Online) ISSN 2697-5270 ข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินข้อมูลได้อย่างเหมาะสม สามารถแก้ปัญหาที่เก่ียวกับการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ มีจริยธรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ทาผิดกฎหมายเก่ียวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสาร ทกั ษะทางอาชีพและการใช้ชีวิต (Career Skill & Life Skill) ไดแ้ ก่รู้จกั ปรับตัวเพ่อื รบั กับการเปล่ยี นแปลง ทั้งบทบาทหน้าที่ บริบท สภาพแวดล้อม และสถานภาพที่ได้รับมีความยืดหยุ่นในการทางานและการดารงชีวิตมี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นผู้นามคี วามเป็นตวั ของตัวเองที่มีศักยภาพและความสามารถหลากหลาย สามารถ ทางานได้หลายหนา้ ท่ี และจดั สรรแบง่ เวลาไดเ้ หมาะสมระหว่างการทางานและการใช้ชีวติ รวมถึงสามารถจัดการกับ ปัญหาต่างๆ ในทที่ างานและในการใช้ชีวิตไดอ้ ย่างมเี หตมุ ีผล ทางานร่วมกับผู้อ่ืนไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ มภี าวะผู้นา และมคี วามรับผดิ ชอบประพฤติปฏบิ ัติตนอยู่ในศลี ธรรม และจรรยาบรรณในวชิ าชพี ของตนอย่างเครง่ ครดั การเรยี นการสอนจึงตอ้ งให้ความสาคัญกบั กระบวนการเรยี นรมู้ ากย่ิงขน้ึ นาธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์มา ปรับใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งจะให้ประสบการณ์ตรง และสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอน การเรียนรู้นอก ห้องเรียนมีความสาคัญต่อการเรียน และการประยุกตใ์ ช้ในสภาพความเป็นจริงที่อยูใ่ นชีวิตประจาวัน ทาให้เกิดการ เรียนรทู้ ่ีมคี วามหมายและคณุ คา่ เกดิ ทกั ษะทจี่ าเปน็ ตอ่ การใชว้ ธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ซงึ่ จะเป็นการพฒั นาความคดิ คู่ ไปกับความสามารถในการทางาน (Munise et.al., 2015) เป็นไปตามท่ี Gökhan and Orhan (2018) ได้ช้ีให้เห็น วา่ การศกึ ษาผลของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้นอกห้องเรียนมีผลตอ่ การเพิ่มความเข้าใจในธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์สกู่ ารสรา้ งพลโลก ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์มีช่วยพัฒนาวิธีการคิดและแนวทางการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ ซ่ึง American Association for the Advancement of Science (1989) ได้กาหนดธรรมชาติของวิทยาศาสตร์เป็น 3 ประเด็น ไดแ้ ก่ โลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Worldview) ผู้เรียนสามารถทาความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนด้วยความคิดและสติปัญญา แนวคิดทางวิทยาศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่มคี วามคงทนและแปรเปลย่ี นไดน้ ้อย เพราะผา่ นวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ท่เี นน้ ความถกู ตอ้ งแมน่ ยา การสืบเสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) วิทยาศาสตร์ต้องการหลักฐาน และประจกั ษ์ พยานเพ่ือยนื ยันความถกู ตอ้ ง การทาความเขา้ ใจปรากฏการณต์ า่ งๆ ท่เี กดิ ข้นึ ตอ้ งมกี ารพิสจู นด์ ว้ ยการให้เหตผุ ลเชิง ตรรกะที่เช่ือมโยงหลักฐานกับข้อสรุป วิทยาศาสตร์จะให้คาอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ การทานาย ปรากฏการณ์ หรือเหตุการณ์ในอนาคตหรือในอดีตที่ยังไม่มีการค้นพบหรือศึกษามาก่อน การรวบรวมหลักฐานทาง วิทยาศาสตรต์ อ้ งมคี วามถกู ตอ้ งแม่นยาและปราศจากความลาเอยี ง กจิ การทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Enterprise) กิจกรรมของมนุษยชาติเปน็ กจิ กรรม ทางสงั คมที่ซบั ซอ้ น แตกแขนงเป็นสาขาต่างๆ และมีการดาเนินการในหลายองค์กร นักวิทยาศาสตร์ต้องทางานโดยมีจริยธรรมทาง วิทยาศาสตร์ และมคี วามสมั พันธ์ระหวา่ งวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี การสรา้ งเยาวชนให้เปน็ พลเมอื งในศตวรรษท่ี 21 ม่งุ เน้นให้เยาวชนสามารถแสวงหาความร้ดู ้วยตนเอง โดย การมีทักษะการคดิ เรยี นรู้ ทางาน แก้ปญั หา สื่อสาร และร่วมมอื ทางาน เกดิ จากการสร้างจิตใน 2 ลกั ษณะคือ สรา้ ง ให้รู้จักคิด และสร้างให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความเข้าใจในวิถีชีวิตของแต่ละปัจเจกและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซ่ึงจะทาให้มี การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยใจเป็นธรรม มีเมตตาและรู้จักการให้ การศึกษาแห่งศตวรรษท่ี 21 จึงต้องปรับกระบวนการ เพื่อเตรียมเยาวชน ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ท่ีมองส่ิงต่างๆ รอบตัวตามท่ี ควรจะเป็น โดยปราศจากอคติขวางกั้นกระบวนการเรียนรู้ นอกจากนี้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ก็มุ่งหมายที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุล ท้ังด้าน ร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทย และเปน็ พลโลก มคี วามรแู้ ละทกั ษะพนื้ ฐาน สามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551) 23

วารสารครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร (Online) ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1 เดอื น กนั ยายน – ธันวาคม 2562 Journal of Education Sakon Nakhon Rajabhat University (Online) ISSN 2697-5270 บทสรปุ ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ช่วยใหผ้ เู้ รยี นพัฒนาตนเองในการสร้างระบบความคดิ และแนวทางการแสวงหา ความรู้ การเตรียมตวั เองเพอ่ื ม่งุ สู่การเป็นพลโลกทม่ี คี ุณภาพ สามารถเขา้ ใจในวิทยาศาสตร์ รู้วทิ ยาศาสตร์ และมเี จต คติท่ีดีต่อวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการนาวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการสร้างสรรค์สงั คมเพ่อื ให้เกิดการอย่รู ่วมกนั อย่างสันติ ส่ิงเหล่าน้ีล้วนได้รับการบรรจุไว้ในหลักสูตรและการเรียนการสอน แต่ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์จะเกิดมรรคผลก็ ต่อเมื่อกระบวนการเรียนการสอนได้นามาใช้อย่างเป็นรูปธรรมผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นใหผ้ ้เู รียนไดแ้ ละ ลงมอื กระทาดว้ ยตนเองให้มากทีส่ ดุ เอกสารอ้างองิ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). ตัวชว้ี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรต์ ามหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ: ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. ประสาท เนอื งเฉลิม. (2556). การสอนธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์. ครศุ าสตรส์ าร, 7(1): 131-135. ประสาท เนืองเฉลิม. (2558). การเรียนรวู้ ิทยาศาสตรใ์ นศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: สานักพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ลอื ชา ลดาชาติ ลฎาภา สุทธกุล และชาตรี ฝ่ายคาตา. (2556). ความแตกตา่ งท่ีสาคญั ระหวา่ งการสง่ เสรมิ การเรยี น การสอน “ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์” ภายนอกและภายในประเทศ. วารสารเกษตรศาสตร์ (สงั คม), 34: 269-282. สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2551). ความรู้และสมรรถนะทางวทิ ยาศาสตร์สาหรบั โลกวนั พรงุ่ น:้ี รายงานจากการประเมินผลนักเรยี นนานาชาติ PISA 206. กรงุ เทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.). สริ นิ ภา กจิ เก้อื กูล. (2556). ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตรแ์ ละตวั ช้ีวดั การเรยี นรู้ (ตอนที่ 2). วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร, 15: 137-142. American Association for the Advancement of Science (AAAS). (2009). Benchmarks Online: The nature of science, Retrieved 2009, from http://www.project2061.org/ publications/bsl/online/index.php American Association for the Advancement of Science. (1989). Science for all Americans. Oxford University Press. Eka, C. P., Setiya, U., Didi, T. C., Lilik H., & Dadi, R. (2018). Heat and temperature experiment designs to support students’ conception on nature of science. Journal of Technology and Science Education, 8(4): 453-472. Gökhan, S., & Orhan, K. (2018). The effect of out-of-school science learning environment on the understanding the nature of science of the 7th grade students in secondary school . Malaysian Online Journal of Educational Sciences, 6(4): 23-31. Hammerman, R. D., Hammerman, M .W. & Hammerman, L. E. (1994). Teaching in the outdoor. New York: lnterstatate publishers. Munise, S. K., Gultekin, C., & Cemil, A. (2015). The influence of documentary films on 8th grade students’ views about nature of science. Educational Sciences: Theory & Practice, 15(3): 797-808. Mustafa, C., Nurcan, C., Yasemin, T., & Sundus, Y. (2017). Turkish version of students’ ideas about nature of science questionnaire: A validation study. International Journal of Progressive Education, 13: 42-51. 24

วารสารครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร (Online) ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 1 เดอื น กนั ยายน – ธันวาคม 2562 Journal of Education Sakon Nakhon Rajabhat University (Online) ISSN 2697-5270 Nuangchalerm, P. & Islami, R.A.Z. (2018a). Comparative study between Thai and Indonesian novice science teacher students in content of science. Journal for the Education of Gifted Young Scientists, 6(2): 23-29. Nuangchalerm, P. Islami, R.A.Z. (2018b). Context of science on environmental conservation: Comparative study between Thai and Indonesian novice science teacher students. Jurnal Penelitian dan Pembelajaran IPA, 4(1): 60-67. 25

การเรียนรู้กับก  ทบทวนความรู้เดมิ /งานทไ่ี ดร้  ความหมายการเรียนรู้  ธรรมชาติการเรียนรู้  การเรียนรู้จากงานวิจัยทางว

การวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์ รบั มอบหมาย วทิ ยาศาสตรแ์ ละการทาวจิ ยั

ความหมา  การเรียนรู้ หมายถงึ การทีม่ นษุ ยไ์ ด้รบั รถู้ ึงสง่ิ แวดลอ้ ม มารดาเร่อื ยไป จนกระท่ังคลอดมาเปน็ ทารกแล้วอยู่รอด ซ ท้งั ภายในครรภ์มารดาและเมื่อออกมาอยภู่ ายนอกเพอ่ื ให  การเรียนรู้ มีความหมายลึกซ้ึงมากกว่าการสั่งสอน หร ทาตามแบบ ไม่ได้มีความหมายต่อการเรียนในวิชาต่าง พฤติกรรมอันเป็นผลจากการสังเกตพิจารณา ไตร่ตรอง ในทางที่สังคมยอมรับเท่าน้ัน การเรียนรู้เป็นการปรับ งาม เน้นว่าการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมที่เป็นการเรีย พฤติกรรมท่ีเปลี่ยนแปลงไปนั้นควรจะต้องมีความคงท พฤตกิ รรมทีม่ ุ่งหวงั ก็แสดงว่าเกิดการเรียนร้แู ล้ว

ายการเรยี นรู้ มทอี่ ยรู่ อบตัวเขา โดยเรมิ่ ต้นตง้ั แต่การมปี ฏสิ นธิอยใู่ นครรภ์ ซึ่งบคุ คลกต็ อ้ งปรับตวั เพอ่ื ให้ตนเองอยู่รอดกบั สิง่ แวดล้อม ห้ชีวติ ดารงอยรู่ อดทั้งนกี้ เ็ พราะการเรยี นรู้ท้งั สิ้น รือการบอกเล่าให้เข้าใจและจาได้เท่านั้น ไม่ใช่เร่ืองของการ ๆ เท่านั้น แต่ความหมายคลุมไปถึงการเปล่ียนแปลงทาง แก้ปัญหาท้ังปวงและไม่ชี้ชัดว่าการเปล่ียนแปลงน้ันเป็นไป บตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้เป็นความเจริญงอก ยนรู้ต้องเน่ืองมาจากประสบการณ์ หรือการฝึกหัด และ ทนถาวรเหมาะแก่เหตุเม่ือพฤติกรรมด้ังเดิมเปลี่ยนไปสู่

ความหมา การเรยี นรู้ หมายถึง การปรบั เปล่ยี นทศั นค ไดร้ บั ประสบการณ์ ซง่ึ ควรเป็นการปรบั เป

ายการเรียนรู้ คติแนวคดิ และพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการ ปลย่ี นไปในทางที่ดีข้นึ

ความหมายของการรู้ การรู้ หมายถงึ สภาวะของการรับร้จู ากกา แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง

ารสมั ผสั และสมั พนั ธ์ ต่างๆรวมถงึ รู้วธิ กี าร

ผลของการเรียนรู้ ผลของการเรียนรูท้ ่เี กิดข้นึ ในแตล่ ะบคุ ความสามารถในการคดิ ประสบการณ

คคลจะแตกตา่ งกนั ออกไป ขึน้ อยู่กับ ณเ์ ดิมและการประมวลผลขอ้ มูล

กระบวนการของการเรียนรู้ • มีสงิ่ เร้า (Stimulus) มาเร้าอินทรีย์ (Or • อนิ ทรยี เ์ กิดการรับสัมผสั (Sensation) • ประสาทสัมผสั ส่งกระแสสัมผัสไปยังระบ • สมองแปลผลออกมาวา่ สงิ่ ที่สัมผัสคืออะ • พฤตกิ รรมได้รบั คาแปลผล ทาใหเ้ กดิ คว • เมอ่ื เกดิ กระบวนการเรียนรู้ บคุ คลก็จะเก

rganism ) ประสาทสมั ผสั ทง้ั หา้ ตา หู จมูก ล้ิน ผวิ กาย บบประสาทเกดิ การรบั รู้ (Perception) ะไร เรียกวา่ ความคิดรวบยอด (Conception) วามคิดรวบยอดกจ็ ะเกดิ การเรียนรู้ (Learning) กิดการตอบสนอง (Response) พฤตกิ รรมนนั้ ๆ

ธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ เป็นองค์ประกอบพ้นื ฐานของส จาเป็นท่ีจะต้องมีการเรียนรู้เพ่ือยกระดับ แล ให้มีความเจริญรุ่งเรืองมากย่ิงขึ้น โดยการเร พฤติกรรม ทัศนคติ และความคิดต่าง ๆ ให สามารถมีได้ในหลายๆ ทาง แตกตา่ งกันไปต มาจากประสบการณร์ วมทงั้ การฝกึ ฝน

ส่ิงมีชีวิตท้ังหลายบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ ละพัฒนาชีวิต รวมทั้งพัฒนาสติปัญญาของตน รียนรู้เป็นกระบวนการที่ช่วยในการเปล่ียนแปลง ห้ดีข้ึน ซ่ึงขั้นตอนการเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้น้ี ตามแต่ละบุคคล แต่ส่วนใหญ่แล้วการเรียนรู้จะ

ธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ แนวคิดเรื่องธรรมชาติการเรียนรู้นั้น ม เชื่อว่า มนษุ ยจ์ ะสามารถเรยี นรู้ได้ เมอื่ มนุษ ขึน้ มา หลังจากนัน้ เมือ่ มนษุ ยไ์ ด้สะสมประสบ ขึ้น พร้อมจดจาสิ่งเหล่านั้นได้ จนกระทั่งยก เรียนรู้ไม่หยุด ก็จะเกิดเป็นความชานาญใน ดา้ นน้ี จงึ เรยี กไดว้ า่ เป็นการเปลีย่ นแปลงพฤ