1 .35 โรคจากสารกำจดั ศตั รูพชื (Diseases caused by pesticdes)บทนำ คำว่าสารกำจัดศัตรูพืช (pesticide) หมายถึงสารเคมี (หรือสารผสม) ซ่ึงใช้ทำลายส่ิงมีชีวิตท่ีมีผลเสียตอ่ มนุษย์ ซึ่งมคี วามหมายรวมทงั้ ยาฆา่ แมลง (insecticides) ยาฆ่าเชื้อรา (fungicides) ยาฆา่ วชั พืช(herbicides) ยาฆ่าสัตว์แทะ(rodenticides) ยาฆา่ แบคทเี รยี (bactericides) ยาฆ่าเชอ้ื เห็บ ไร (miticides)ยาฆ่าพยาธิ์ (nematocides) และยาฆ่าหอย (mollusicides) ซง่ึ ชอ่ื แต่ละอย่างบง่ ถงึ สิง่ มชี วี ติ ที่สารเคมีสามารถกำจัดได้ ความเป็นพิษแบบเฉยี บพลันของสารเหลา่ นี้วัดโดยใชค้ า่ LD50 ซ่ึงเป็นจำนวนมลิ ลกิ รัมของสารเคมีต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมท่ีสามารถกำจัดสัตว์ทดลองได้ร้อยละ50 และสามารถเข้าสู่ร่างกายของสัตว์ทดลอง ไดห้ ลายช่องทางโดยเฉพาะทางปากและผวิ หนงั สัตว์ทดลองท่นี ยิ มใช้เปน็ มาตรฐานคอื หนู นอกจากน้ียังมีผลจากการสมั ผสั ในระยะสัน้ (เชน่ พษิ ทางระบบประสาทหรือการกลายพนั ธ)์ หรือ ผลจากการสมั ผัสระยะยาว (เช่นการเป็นมะเรง็ ) ดว้ ย แตส่ ารกำจัดศตั รพู ืชที่มีฤทธเ์ิ หลา่ นป้ี ัจจุบันมีการจำกดั ไมใ่ หใ้ ช้หรอื เลิกใช้ WHO Recommended Classification of Pesticides by Hazard และ Guidelines toClassification 1996-1997 ไดแ้ บ่งตามความเส่ยี งแบบเฉียบพลนั ตอ่ มนุษย์ดังนี้ Class I A- extremely hazardous. Class I B- highly hazardous. Class II- moderately hazardous. Class III- slightly hazardous. การแบ่งชนิดและอันตรายของยาฆ่าแมลงให้ดูในคู่มือดังกล่าวหรือสามารถ download ได้จากhttp://www.who.int/ipcs/publications/pesticides_hazard/en/งาน/อาชีพท่เี สี่ยง 1. เกษตรกร ทำไร่ ปลูกข้าว ทำไม้ 2. ทำสวน 3. สนามกอล์ฟ 4. พน่ สารกำจัดศตั รพู ืช 5. ผสมสารกำจัดศัตรพู ชื 6. ผลติ สารกำจัดศัตรูพืช 7. เจ้าหน้าทใ่ี นหอ้ งฉกุ เฉนิ 8. อุบตั เิ หตุจากการกนิ โดยรไู้ มร่ เู้ ทา่ ทัน 137
สาเหตแุ ละกลไกการเกิดโรค พิษของสารเคมีจะเข้าสู่ร่างกายทางปาก (การกิน) ทางปอด (การหายใจ) ทางผิวหนังปกติและ ผิวหนังที่เป็นแผล สารเคมีอยู่ในหลายรูปแบบได้แก่เป็นผง เป็นสเปรย์ และละลายในน้ำ หรือเป็นฝุ่น เป็น หมอกหรือ เปน็ แกส๊ เพอ่ื ใชร้ ม สารเคมีอาจผสมกับของแข็ง (เช่นอาหารใช้เป็นเหยื่อล่อ) น้ำ kerosene น้ำมัน หรือตัวทำ ละลายอนิ ทรีย์ ซึ่งสารทผี่ สมดว้ ยนีม้ พี ิษมากนอ้ ยของตัวเองตา่ งกนั ไปด้วยและจะเสรมิ การดดู ซึมของสารกำจัด ศตั รูพืชทผี่ สม เมื่อสารกำจัดศตั รูพืชสองตัวผสมเขา้ ดว้ ยกันเปน็ สตู รอน่ื อาจจะมีพษิ มากขน้ึ ด้วย สารเคมีเหล่าน้ีเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีผลหลายอย่าง ซ่ึงจะกล่าวถึงในแต่ละชนิดของสารกำจัด ศัตรูพชื อาการและอาการแสดง สารกำจัดศัตรพู ชื ชนดิ organochlorine สารกำจัดศตั รูพืชชนดิ organochlorine (organochlorine pesticides-OCPs) มีพษิ ตอ่ ผิวหนัง การกิน และการหายใจ ตัวอย่างยาชนดิ นไ้ี ด้แก่ chlordane, chlordecone, Chlorobenzilate, DDT, DDE DDD, Dicofol/Kelthane,endrin, aldrin ,heptachlor, lindane, mehtoxychlor, mirex, toxaphene และ dieldrin การดูดซมึ และพษิ แตกตา่ งขนึ้ อยกู่ ับโครงสรา้ งของสารเคมี และตวั ทำละลาย ร่างกายกำจัด OCPs โดยไตอย่างช้าๆ เมตาโบลิซึ่มในเซลล์มีหลายกลไก เช่น oxidation, hydrolysis OCPs สามารถซึมผ่านเย่ือหุ้มเซลล์และสะสมในไขมันในร่างกาย เน่ืองจากมี lipotropic properties นอกจากน้ยี งั สะสมในสมอง ตบั ไต และกลา้ มเนื้อหวั ใจ ซงึ่ จะทำลายหน้าทขี่ องเอนซัยมท์ สี่ ำคัญ และรบกวนหน้าท่ีของเซลลเ์ หลา่ นี้ เน่ืองจาก OCPs สะสมในไขมนั ตราบเท่าทมี่ กี ารสมั ผัส เมือ่ หยุดการสมั ผัสแล้วมนั จะถูกปลอ่ ย ออกมาอย่างช้าๆในกระแสเลอื ด ซง่ึ ใช้เวลาหลายปี เม่อื มันไปยงั อวยั วะอนื่ อาจทำใหเ้ กดิ พษิ ต่อยนี ส์รวมทัง้ กอ่ ให้เกดิ มะเรง็ อาการเฉยี บพลนั Aldrin, endrin, dieldrin และ toxaphene ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน และมีระยะล่า (delay onset) ประมาณ 30 นาที แต่ใน OCPs อื่นๆที่มีพิษน้อยกว่าจะมีระยะล่าเป็นช่ัวโมงแต่ไม่เกิน 12 ช่ัวโมง อาการเป็นพิษไดแ้ ก่อาการ ทางระบบทางเดนิ อาหาร: คลืน่ ไส้ อาเจียน ท้องเสยี และปวดทอ้ ง อาการทางระบบประสาท: ปวดศีรษะ มึนงง เดินเซ และ การรับความรู้สึกผิดปกติ (paraesthesia) มอี าการสัน่ เรม่ิ จากหนงั ตา กลา้ มเนื้อใบหนา้ สน่ั และตอ่ มาจะเปน็ ทง้ั ร่างกาย ในรายที่เป็นมาก จะมีชกั แบบเกร็งกระตุก การชกั จะทำใหม้ ีอุณหภมู กิ ายสงู ขน้ึ หมดสติ และอาจทำให้ถงึ แกก่ รรมได้ ระบบหายใจ: มีอัมพาตของประสาทควบคุมการหายใจ และ vasomotor centers ทำให้การ หายใจไมเ่ พยี งพอ และ หยุดหายใจ หรือ มหี วั ใจวาย อาการอื่นๆ: หลายรายมอี าการตับอกั เสบ และไตวายจากสารพษิ 138
หลังจากอาการเหล่านี้ดีข้ึน ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปลายประสาทอักเสบ ซีด และ มีเลือดออกง่าย ซ่ึงเกิดจากการสร้างเกร็ดเลือดผิดปกติ การเป็นพิษที่พบบ่อยของ toxaphene คือปอดอักเสบแบบภมู ิแพ้ พิษเฉยี บพลันของ OCPs กินระยะเวลาประมาณ 72 ชว่ั โมง แต่ถ้าอวยั วะเสยี หายมากอาจกนิเวลาเป็นสัปดาห์ ในกรณีทีม่ ตี บั และไตถูกทำลายอาจเปน็ ไปตลอดชวี ิตอาการเรอื้ รงั ในอาชีพเกษตรกรรมพิษของ OCPs จะเป็นพิษเร้ือรัง คือเกิดจากการสัมผัสระยะน้อยๆ เป็นเวลานานๆ สว่ นใหญ่มพี ษิ ต่อระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด และการสร้างเมด็ เลอื ด OCPs ทกุ ตวั เปน็ ตัวกระตนุ้ ระบบประสาทส่วนกลางทำให้เกิดชกั สามารถตรวจพบความผดิ ปกติได้ทางคล่ืนสมอง นอกจากนี้จะพบปลายประสาทอักเสบ สมองอักเสบ หรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ พบการส่ัน (tremor) อาการแสดงท่ีพบบ่อยคือการปวดศีรษะ มึนงง ชา หรือมีอาการเจ็บแปลบๆท่ีแขนขา มีความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรืออาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือดอ่ืนๆ ส่วนน้อยจะพบการปวดแบบรุนแรง (colic) ใต้ชายโครงขวาและในบรเิ วณสะดือ อาการเหล่าน้จี ะดีขน้ึ ถา้ หยดุ การสัมผสั OCPs ยังทำลายตบั และไต มีการเพม่ิ ของเอนซัยมข์ องตับ มกี ารลดของ creatinine clearanceอาการทางหัวใจและหลอดเลอื ดจะเป็นการหอบ หวั ใจเตน้ เรว็ เจ็บหน้าอก กลา้ มเนอ้ื หัวใจหย่อน (tone ของกลา้ มเน้ือหัวใจเสีย) มี thrombopenia, anemia, pancytopenia, agranulocytosis, hemolysis และความผดิ ปกติของหลอดเลือดฝอย, eosinopenia, neutropenia, lymphocytosis และ hypochromic anemiaมีการระคายเคอื งผิวหนงั โดยเฉพาะตัว chlorinated terpenes สารกำจดั ศัตรพู ชื ชนิด pyrethrum และ synthetic pyrethroid ได้แก่ natural pyrethrins, type I pyrethroid (permethrin,resmethrin,cypermethrin),type II (cyano-halogen: Esfenvalerate,cyfluthrin, deltamethrin มีพษิ ในระยะเฉียบพลนั ทำใหเ้ กิดอาการชาเฉพาะที่ ระคายเคืองผิวหนัง ระคายเคืองตาและระบบหายใจ ถ้ากินเข้าไปจะมีพิษต่อร่างกาย นอกจากนี้ทำใหเ้ กดิ อาการผิวหนงั อักเสบจากการสัมผสั แบบภมู ิแพ้ มี allergic rhinitis แน่นจมูก เจบ็ คอ เปน็ หอบหืดไอ แนน่ หน้าอก หายใจลำบากสารกำจดั ศัตรพู ืชชนดิ orgnophosphorus สารตวั นี้มฤี ทธ์ิคล้ายคลงึ กนั คือหยดุ การทำงานของเอนซัยม์ cholinesterase สารทเ่ี ปน็ พิษมากทีส่ ุดคอื parathion ซ่งึ ไมม่ ีแมลงตวั ไหนตา้ นทานสารตัวนีไ้ ด้ (ในขนาด lethal action) พิษของ organic phosphate ตอ่ ระบบประสาทคือการยับย้ังเอนซัยม์ cholinesterase ซึง่ ทำให้เกดิ การกระตนุ้ กลา้ มเนอื้ และต่อมต่างๆที่กระตนุ้ ได้โดย acetylcholine อย่างรุนแรง และต่อเน่อื ง จนถึงจุดที่ทำให้ถึงแก่กรรมได้ parathion เป็นสารท่ียับย้ังเอนซัยม์นี้ทางอ้อมเน่ืองจากจะต้องมีเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมก่อน Organophosphates เข้าสู่ร่างกายได้ทุกทาง ท่ีรุนแรงท่ีสุดคือทางปากจากการกินหรือการสูบบหุ รี่ ดดู ซมึ ไดง้ า่ ยผ่านผิวหนงั และตา ซ่งึ สามารถผ่านเขา้ ร่างกายทางผวิ หนงั ในปริมาณมากจนถึงแกก่ รรมได้ 139
Organophosphates แบ่งเป็น category I parathion: melvinphos, methyl parathion, carbophenothion, EPN, methamidophos, azinphos-methyl, methidathion, dichlorvos(DDVP), cagtegory II chlorpyrifos: diazinon, phosmet, dimethoate, fenthion, naled, trichlorion, category III และ IV acephate: Malathion, stirofos gardona ในระยะแรกจะแยกออกยากจากอาการอ่อนเพลียจากความร้อน อาหารเป็นพิษ สมองอักเสบ หอบหืด และการติดเช้ือทางระบบหายใจ อาการส่วนใหญ่จะมีระยะล่าต้ังแต่สองสามช่ัวโมง แต่จะไม่เกิน สิบสองชั่วโมง อาการจะเกิดเรียงลำดับไปได้แก่ : ปวดศีรษะ อ่อนแรง มึนงง คล่ืนไส้ เหงื่อออก ตาพร่า แนน่ หน้าอก เป็นตะครวิ กลา้ มเนอ้ื หน้าทอง้ อาเจียนและท้องเสีย ในรายท่ีเป็นพิษมากจะมอี าการหายใจลำบาก สัน่ ชัก มีหัวใจวาย หมดสติ ปอดบวมน้ำ และการหายใจลม้ เหลว ยง่ิ เปน็ พิษมากก็จะเหน็ อาการของการยับยง้ั เอนซยั ม์ cholinesterase มากข้นึ คอื มรี ูมา่ นตาหดเลก็ เทา่ รเู ข็ม มีการหายใจเรว็ หอบ มอี าการออ่ นแรงมาก เหงอื่ ออกมาก น้ำลายไหลมาก และปอดบวมน้ำ ในรายที่เป็นพิษ parathion แบบรุนแรง ซึ่งผู้ป่วยจะมีหมดสติไประยะเวลาหนึ่งจะมีการทำลาย เนื้อสมองจากการขาดอากาศ นอกจากนี้ยังมีอาการอ่อนแรง อาการทางตา ความผิดปกติของคลื่นสมอง อาการทางระบบทางเดินอาหาร การฝันมากผิดปกติ และความทนต่อการสัมผัส parathion ลดลงติดต่อกัน เปน็ วันหรอื เปน็ เดือนหลังจากพิษเฉยี บพลัน แต่ยังไม่มรี ายงานว่าอาการเหล่านี้จะเปน็ ไปตลอด การสัมผัส parathion หลายครั้งทำให้เกิดฤทธิ์ในการลดเอนซัยม์ cholinesterase แบบสะสม ดังนั้นแม้เป็นการสัมผัสขนาดน้อยๆติดต่อกันก็อาจทำให้เกิดอาการของพิษเฉียบพลันได้ ถ้าไม่ให้สัมผัสอีก อาการก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วัน ควรมีการทดสอบเม็ดเลือดแดงและพลาสมาเพื่อหาการยับย้ัง เอนซัยม์ cholinesterase ถ้าสงสัยพิษของ phosphate ester ในรายที่รุนแรงระดับของ red cell cholinesterase activity จะลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ ระดับของ cholinesterase ในพลาสมาก็ลดลงและเป็น ตัวชี้วัดถึงการสมั ผสั สาร organophosphate ท่ีไว parathion ในเลอื ดจะถูกกำจดั เป็นเรว็ มากทำให้วัดไม่ได้ แต่ สามารถวัด p-nitrophenol ในปัสสาวะได้ นอกจากนี้สามารถหาสารกำจัดศัตรูพืชท่ีปนเปื้อนบนเสื้อผ้าหรือ เครอ่ื งใชไ้ ด้ดว้ ย สารกำจัดศตั รพู ชื ชนิด Carbamates และ Thiocarbamates มีการค้นพบฤทธ์ิของ carbamatesต้ังแต่ปี 1923 มีสารประกอบ carbamic มากกว่า 1,000 ชนิดในปัจจุบัน มีมากกว่า 50 ชนิดท่ีใช้เป็นสารกำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าวัชพืน ยาฆ่าเชื้อรา และยาฆ่าพยาธ์ิ thiocarbamates บางตวั ใช้เป็น vulcanization accelerators และ derivatives ของ ditiocarbamic acid ใช้ เป็นยาฆ่ามะเร็งและโรคต่างๆ carbamates บางตัวทำให้เกิดภูมิไวเกินในผู้ท่ีสัมผัสและเกิดพิษต่อทารกและ embryo ทำให้เกิดการกลายพันธ์ุ ได้แก่ aldicarb, carbofuran, methomyl, propoxur, bandiocarb, carbaryl อาการเฉียบพลนั จะคล้ายกันกับของ orgnophosphate อาการเรอ้ื รงั เปน็ รายงานจากอาการต่างๆ ทเ่ี กิดข้นึ กับสาร carbamates แตล่ ะตัว อาการท่ีแปลก คือการแพ้ในคนท่ีสัมผัส นอกจากน้ีจากการทดลองในสัตว์ยังมีพิษต่อ embryo, teratogenic, mutagenic และ carcinogenic ไบกอน (isopropoxyphenyl-N-methycarbamate) ทำให้เกิด systemic poison โดย การยบั ยง้ั เอนซัยม์ cholinesterase ถึงร้อยละ 60 หลงั จากกนิ 0.75-1 มิลลกิ รัมตอ่ นำ้ หนกั ตวั หน่งึ กโิ ลกรมั แตม่ พี ษิ ทางผิวหนงั นอ้ ย140
Carbaryl เป็น systemic poison ซ่ึงทำให้เกิดอาการรุนแรงเมื่อกิน หายใจ หรือดูดซึมทางผวิ หนงั รวมทัง้ ทำให้เกดิ การระคายเคอื งท่ผี ิวหนงั มีฤทธิใ์ นแมลงมากกว่าในสตั วเ์ ลยี้ งลูกดว้ ยนม การตรวจคนทำงานทส่ี ัมผสั สารตัวน้ี 0.2-0.3 มิลลกิ รัมตอ่ ลกู บาศกเ์ มตร จะไม่ค่อยพบการลดลงของระดับ cholinesterasebetanal (3-(methoxycarbonyl) aminopheny l-N- (3-methylphenyl) carbamate; N-methylcarbanilate) เปน็ สารกลุ่ม arylcarbamic acid alkyl esters และใช้เปน็ ยาฆา่ วัชพชื มีพษิ ต่อระบบทางเดินอาหารและระบบหายใจ Thiocarbamic Acid Esters เช่น Ziram เป็นสาร vulcanization accelerator ในอตุ สาหกรรมยาง สังเคราะห์และเป็นยาฆา่ เชอ้ื ราในการเกษตร ซง่ึ ระคายเคืองต่อตาและระบบหายใจส่วนบนทำให้เจ็บตามาก ระคายเคืองผิวหนังและทำให้การทำงานของตับผิดปกติ มีพิษต่อ embryo และเกิดteratogenic effect TTD ใช้เป็น seed fumigant ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนัง เกิดผิวหนังอักเสบ และconjunctivitis ทำให้ไวต่อ alcohol Nabam เป็น plant fungicide และเป็นสาร intermediate ของ สารกำจัดศัตรูพืชตัวอื่น มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนังและเย่ือเมือก ถ้ากินเหล้าร่วมด้วยจะมีการอาเจียนอย่างรุนแรง Ferbam เปน็ ยาฆา่ เชอื้ รา มพี ษิ นอ้ ย แตอ่ าจทำใหไ้ ตทำงานผิดปกติ มกี ารระคายเคืองตอ่ conjuntivaเยื่อเมือกบริเวณจมูก และทางเดินหายใจส่วนบน ผิวหนัง Zineb เป็นยาฆ่าแมลงและเช้ือราท่ีทำให้ระคายเคืองตา จมูก หลอดเสียง และ มีอันตรายถ้าหายใจหรือกินเข้าไป Maneb เป็นยาฆ่าเช้ือราทำให้เกิดการระคายเคอื งตา จมูก และหลอดเสียง ยาฆ่าสัตว์แทะ (Rodenticides) Rodenticides เป็นสารพิษใช้ฆ่าหนูหรือสัตว์แทะอื่นๆ มีการใช้ในรูปแบบผสมกับอาหารเป็นเหยอ่ื ล่อ เป็นฝุ่น โฟม หรอื เจล (contact poisons) ซ่ึงเปน็ พิษเมื่อสตั วเ์ หล่านเี้ ลม็ ขนของมัน มสี ว่ นน้อยใช้เป็นการรมควนั มีการแบง่ rodenticides เปน็ สองชนดิ ได้แก่ acute (single dose) poisons และ chronic(multiple dose) poisons ตวั อยา่ งของยาพวกน้เี ช่น alpha-napthylenethiourea, coumafuryl, dicumarol,diphacinone, pindone, strychnine, warfarin , zinc phosphide Acute poisons ไดแ้ ก่ zinc phosphide, norbormide, fluoracetamide, alpha-chloraloseพวกนี้เป็นสารทม่ี ีพษิ มากซง่ึ LD50 จะน้อยกว่า 100 มิลลกิ รัมตอ่ น้ำหนักตัวหนง่ึ กิโลกรมั และทำใหต้ ายหลังจากได้ single dose ภายในระยะเวลาสองสามชัว่ โมง acute rodenticides เหล่านม้ี ีขอ้ ดอ้ ยท่ที ำให้เกิดอาการพิษเรว็ มาก และเป็นพิษไมจ่ ำเพาะ ไม่มียาต้านพิษ ใชป้ รมิ าณมากในเหยื่อลอ่ (รอ้ ยละ 0.1-10) Chronic poisons ออกฤทธิเ์ ปน็ ยาตา้ นการแขง็ ตวั ของเลอื ด (เชน่ calciferol) ซง่ึ เหยอ่ื จะตอ้ งกนิ หลายวนั เพ่ือใหต้ าย ขอ้ ดขี องยาต้านการแข็งตัวของเลอื ดคือออกฤทธิ์ช้า มียาตา้ นพษิ และใช้ในระดบั น้อย(ร้อยละ 0.002-0.1) Acute poisons จะรุนแรงกว่า chronic เน่ืองจากเป็นอาการไม่เฉพาะและไม่มียาต้านพิษ ฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลอื ดจะเกิดช้าและสะสมทำให้สามารถใชย้ าตา้ นพิษคอื vitamin K ได้ 141
ยาฆ่าวชั พืช (Herbicides) นอกจากใช้ในการเกษตรแล้วยังมีการใช้ในอุตสาหกรรม ในรางรถไฟ และ สายไฟเพื่อไม่ให้มี วัชพืชข้ึน นอกจากน้ียังใช้ทำลายวัชพืชในคลอง ท่อน้ำท้ิง และสระว่ายน้ำอีกด้วย มีการใช้ยาฆ่าวัชพืชสเปรย์ หรือโปรยบน weeds หรือในดิน ซึ่งทำให้ค้างอยู่บนใบไม้ (contact herbicides) หรือซึมในพืชและรบกวน ระบบการทำงานของพืช (systemic herbicides) มกี ารแบง่ เป็น แบบไม่จำเพาะ (non-selective) ซึ่งฆ่าพืชทุก ชนิด และแบบจำเพาะ (selective) ซึ่งยับย้ังการเจริญเติบโตหรือฆ่า weed แต่ไม่ทำลายพืชผล สารเคมีใน กลุ่มน้ีมีหลายชนิดได้แก่ alachlor, amitrole, ammonium sulfamate, atrazine, bifenox, dalapon, dicamba, ethafuralin, glyphosphate, linuron, monuron, oryzalin, oturon, oxadiazon, pictogram, prometon, pronamide, propanil, propham, simazine, terbutryn และ tirfluralin Atrazine ทำให้นำ้ หนกั ตัวลด ซีด และรบกวนเมตาโบลซิ ่มึ ของโปรตีนและกลโู คสในหนู ทำให้ เกิด contact dermatitis จากการทำงานซ่ึงเป็นจากความไวต่อสารของผิวหนัง และเป็น possible human carcinogen (IARC group 2B) Barban ทำให้เกิดความไวต่อสารท่ีผิวหนังในคนทำงาน และในสัตว์ทดลองทำให้เกิดการซีด methaemoglobinaemia และการเปลย่ี นแปลงของเมตาโบลซิ มึ่ ของไขมันและโปรตีน อาการส่ัน ตะครวิ หวั ใจ เตน้ ชา้ Chlorpropharm ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง การสัมผัสเรื้อรังในหนูทำให้เกิดมะเร็ง Cycloate ไม่มีรายงานการเกิดโรคในคนหลังจากสัมผัสติดต่อกันสามวัน แต่ทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบ และการทำลายตับในสตั วท์ ดลอง 2,4-D มีการระคายเคืองและพิษต่อผิวหนังในคนท่ีสัมผัส ระคายเคืองตามาก การสัมผัสแบบ ปัจจบุ นั ในคนทำงานทำใหเ้ กิดอาการปวดศรี ษะ มนึ งง คล่ืนไส้ อาเจยี น อณุ หภูมิกายสูงขึ้น ความดันโลหิตลด ต่ำลง เม็ดเลือดขาวเพ่ิมขึ้น และมีอันตรายต่อหัวใจและตับ การสัมผัสแบบเรื้อรังจากการทำงานโดยไม่มีการ ป้องกันทำให้มีอาการคลื่นไส ้ เอนซัยม์ของตับสูงข้ึน มี contact toxic dermatitis มีการระคายเคืองต่อ ระบบหายใจและตา รวมท้ังอาการทางระบบประสาท derivatives ของ 2,4-D เป็น embryotoxic และ teratogenic ในสัตว์ทดลอง ซ่ึงใช้ในขนาดสูง 2,4-D และกลุ่มใกล้เคียงคือ phenoxy herbicide 2,4,5-T เปน็ group 2B carcinogens (possible human carcinogens) โดย IARC มีรายงานในประเทศสวเี ดนว่า เกษตรกรท่สี มั ผสั ส่วนผสมของ 2,4-D และ 2,4,5-T (ซง่ึ คลา้ ยคลึงกบั herbicide Agent Orange ท่ีใช้โดย ทหารอเมรกิ ันระหวา่ งสงครามเวยี ดนามในปี 1965-1971) เป็น มะเร็งตอ่ มน้ำเหลือง โดยเฉพาะชนิด non- Hodgkin lymphoma Dalapon-Na ทำใหเ้ กดิ อาการซึมเศร้า เดนิ ไมต่ รงทาง นำ้ หนกั ตวั ลด มกี ารเปลี่ยนแปลงหน้าท่ี การทำงานของไตและตับ มีความผิดปกติของต่อมทัยรอยด์และ pituitary และผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส ในคนทำงานที่สัมผัสสารตัวนี้ Diallate มีพิษต่อผิวหนังและทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ตา และเย่ือ เมือก Diquat ระคายเคอื งตอ่ ผิวหนัง ตาและทางเดนิ หายใจส่วนบน ทำให้แผลหายชา้ มีการรบกวนระบบทาง เดนิ อาหารและการหายใจ เป็นต้อกระจกท่ีตาทงั้ สองขา้ ง และ มีการเปลีย่ นแปลงหนา้ ที่ของตับและไต Dinoseb ทำใหเ้ กดิ พิษโดยผ่านทางการสัมผัสทผ่ี ิวหนังมกี ารระคายเคืองผิวหนงั และตา ขนาดที่ ถึงแก่กรรมในคนคือ 1-3 กรัม หลังระยะเฉียบพลันก็จะมีการรบกวนระบบประสาทส่วนกลาง อาเจียน142
ผิวหนงั มีสแี ดง เหงื่อออก และอุณหภมู กิ ายสูง การสมั ผัสเร้อื รังโดยไมม่ กี ารปอ้ งกนั ทำให้น้ำหนกั ลด ผิวหนงัอักเสบ มีการรบกวนระบบทางเดนิ อาหาร ตบั และไต ได้มีการระงบั ใชส้ ารตัวน้ีในหลายประเทศแลว้ Fluometuron เปน็ สารกระตุ้นภูมไิ วเกนิ ที่ผิวหนงั ในหนพู ุกและในคน ทำใหน้ ้ำหนกั ลด ซดี และรบกวนการทำงานของตับ มา้ ม และต่อมทัยรอยด์ Linuron ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและตา ทำให้เกิดการรบกวนระบบประสาทส่วนกลาง ปอด และไต ในสตั ว์ทดลอง MCPA มีการระคายเคืองต่อผิวหนังและเย่ือเมือกมาก มีระดับการเป็นพิษต่ำและมีembryotoxic และ teratogenic ในขนาดสงู ในกระต่ายและหนู การเป็นพิษเฉยี บพลันในคน (ขนาดประมาณ300 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหน่ึงกิโลกรัม) ทำให้เกิดการอาเจียน ท้องเสีย cyanosis มีอาการไหม้ของ เยื่อเมอื ก ปวดลำไสใ้ หญ่ และมกี ารบาดเจ็บของตับและกลา้ มเนอ้ื หัวใจ ทำใหม้ ผี ิวหนงั อักเสบอย่างมากในคนทำงาน การสัมผสั แบบเรอื้ รงั ทำใหม้ ีอาการมึนงง คลนื่ ไส้ อาเจยี น ปวดกระเพาะอาหาร ความตึงตัวของกล้ามเนอื้ เสียไป ตับโต กล้ามเนอื้ หวั ใจทำงานผดิ ปกติ และผวิ หนังอักเสบ Molinate ทำให้เกดิ ภูมิไวเกินทผ่ี ิวหนงั ในคน Monuron ในขนาดสงู ทำใหม้ กี ารรบกวนการทำงานของตับ กลา้ มเนือ้ หัวใจ และไต ทำใหม้ กี ารระคายเคืองผิวหนัง และภูมิไวเกินท่ีผิวหนัง ซ่ึงสารที่มีผลคล้ายกันได้แก่ monolinuron, chloroxuron,chlortoluron และ dodine Nitrofen ทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังและตาอย่างรุนแรง การสัมผัสในการทำงานอย่างเรื้อรังโดยไม่มีการป้องกันทำให้เกิดการรบกวนระบบประสาทส่วนกลาง ซีด อุณหภูมิกายข้ึนสูง น้ำหนักตัวลดออ่ นเพลีย และมผี ิวหนังอักเสบ เปน็ possible human carcinogen (group 2B) กำหนดโดย IARC Paraquat มีพิษต่อผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังและเยื่อเมือก ทำลายเล็บ และ มีเลือดออกในจมูกในการทำงานและไม่มีเคร่ืองป้องกัน การกินโดยอุบัติเหตุทำให้มีการทำลายเยื่อหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร มีการทำลายไต และตับ และจะถึงแก่กรรมจากระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว และปอดถูกทำลายอย่างต่อเน่ือง (เกิดปอดบวมน้ำ เลือดออกในปอด มีพังผืดในถุงลม และบริเวณinterstitial รวมท้ังมี alveolitis และ hyaline membranes) ในทางคลินิกจะมีอาการหายใจลำบาก ขาดอากาศ มีเสียงแคร๊กที่ฐานของปอด และบางรายจะมีตับและกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายด้วย อัตราตายจะสูงข้ึนถา้ เป็นพษิ จากของเหลวทม่ี ีสว่ นผสมเข้มขน้ (ร้อยละ 87.8) และ ตำ่ กว่าจาก granular forms (ร้อยละ18.5) ขนาดท่ีทำให้ถึงแก่กรรมคือ 6 กรัมของ paraquat ion (เท่ากับ 30 มิลิลิตรของ gramoxone หรือ Weedol 4 packets) ไม่มีรายงานการรอดชีวิตในขนาดท่ีสูงกว่าน้ี พวกที่รอดชีวิตส่วนใหญ่จะกิน paraquat ion นอ้ ยกว่า 1 กรัม Potassium cyanate เมือ่ เขา้ สรู่ ่างกายจะเปล่ียนไปเป็นไซยาไนด์ซงึ่ มผี ลต่อร่างกาย (ให้ไปดูในบทไซยาไนด์) Prometryn มีพษิ ต่อผิวหนงั และตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ทำใหเ้ กดิ การแขง็ ตวั ของเลอื ดในสัตว์ทดลอง คนทำงานท่ีสัมผัสจะมีอาการคล่ืนใส้ และเจ็บคอ อาการคล้ายกันพบได้ใน propazine และdesmeryne Propachlor ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนังและเย่ือเมือก รวมทั้งเกิดการแพ้ท่ีผิวหนังอาการจะเปน็ มากขนึ้ เมอื่ อากาศรอ้ น 143
Propham ทำให้เกิดการเป็นพิษแบบสะสม ทำให้เกิดระบบใหลเวียนเลือดผิวปกติ มีการ เปลี่ยนแปลงในตับ ปอด และไต ในสัตวท์ ดลอง Simazine เกิดการระคายเคืองเล็กน้อยที่ผิวหนังและเยื่อเมือก คนทำงาน อาจมีอาการ ออ่ นเพลยี มนึ งง คลนื่ ไส้ และการดมกลน่ิ เสยี หลังใช้ยาโดยไม่มีเครอื่ งปอ้ งกัน 2,4,5-T มีรายงานการเกิด gonadotoxic ในคนทำงานผู้หญิง และเนื่องจากสารพิษ dioxin อาจปนเป้ือนใน trichlorophenoxy acids จึงมีการระงับการใช้ 2,4,5-T ในหลายประเทศ มีรายงานว่าคน ทำงานที่สมั ผัสสว่ นผสมของ 2,4-D และ2,4,5-T ในการทำอุตสาหกรรมการเกษตร ป่าไม้ และอตุ สาหกรรม อืน่ มีความเส่ียงต่อการเกดิ soft-tissue sarcomas และnon-Hodgkin lymphomas เพม่ิ ข้ึน Trifluralin ทำให้มีการระคายเคืองของผิวหนังและเย่ือเมือก มีการเพ่ิมของอัตราการเกิด มะเร็งตบั ใน hybrid female mice เน่ืองจากการปนเปือ้ นสารประกอบของ N-nitroso การสัมผัสในคนทำงาน ทำให้เกดิ ผวิ หนงั อกั เสบ และ photodermatitis ยาฆา่ เช้ือรา (Fungicides) มีการใชย้ าฆ่าเช้อื รามาเปน็ ศตวรรษแล้ว ทองแดงและซลั เฟอร์เปน็ ยาฆา่ เช้อื ราพวกแรกๆ ต่อมา มกี ารใช้ส่วนผสมของ Bordeaux ในปี 1885 ในการทำเหลา้ องุ่น ต่อมามีสารเคมีหลายชนิดขึน้ อาจแบ่งยาฆ่า เช้ือราเปน็ สองกล่มุ ตามฤทธ์ิของมัน ไดแ้ ก่ protective fungicides (ใชก้ ่อนที่จะมี spore ของเชือ้ รามา เช่น สารประกอบของทองแดงและซัลเฟอร์) และ eradicant fungicides (ใช้หลังจากท่ีพืชมีการติดเช้ือ เช่น สารประกอบของปรอท และ nitroderivative ของ phenols) ยาฆ่าเช้ือรามีหลายชนิดและมีพิษแตกต่างกันไป สารที่เป็นพิษมากใช้เป็น fumigants ของ อาหาร และ warehouse ใช้เป็น seed dressing และ soil disinfection การเป็นพิษจะเก่ียวข้องกับ organomercurials, hexachlorobenzene และ pentachlorobenzene เช่นเดียวกบั สาร dithiocarbamates ท่ี มพี ษิ น้อยกว่า Chinomethionate มพี ษิ สะสม และสารกล่มุ thiol และเอนซยั มท์ ม่ี ีสารกลุ่มนอ้ี ยู่ มีการระคาย เคืองต่อผิวหนังและทางเดินหายใจ ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ตับ ระบบทางเดินอาหาร Chloranil มี ฤทธ์ิระคายเคืองต่อผิวหนังและทางเดินหายใจส่วนบน กดระบบประสาทส่วนกลาง และทำให้มีการ เปลย่ี นแปลงของเซลล์ตับและไต ใช้การตรวจหาฟนี อลในปสั สาวะของคนท่ีสัมผสั เพ่อื ควบคมุ สารตัวนี้ Dazomet เป็นสารก่อภมู ิไวเกิน และระคายเคอื งตอ่ ตา จมูก ปากและผิวหนัง การเป็นพิษจะ ทำให้มอี าการกระวนกระวายใจ หวั ใจเต้นเรว็ หายใจเรว็ น้ำลายออกมาก ตะครวิ การเคลอื่ นใหวไม่สมั พันธก์ นั มีน้ำตาลในเลือดสูง และมีการยับย้ังเอนซัยม์ cholinesterase ตรวจพบการโตของตับ และการทำลายของไต และอวยั วะภายในอ่ืนๆ Dichlofluanid จะยับยัง้ กลุ่ม thiol มผี ลตอ่ ตับและไต รวมท้งั adrenal cortex ในสัตว์ทดลอง Diclone ทำให้เกิดมะเรง็ ในสัตวท์ ดลอง Dinobuton, เชน่ เดียวกบั dinitro-o-cresol (DNOC) จะรบกวนเมตาโบลซิ ่ึมของเซลลโ์ ดยการ ยับย้ัง oxidative phosphorylation ทำให้ขาดสารพวก ATP ทำให้เซลล์ของตับและไตผิดปกติ อาการเป็น พิษได้แก่การมีอุณหภูมิกายสูง methaemoglobinaemia และ hemolysis การรบกวนระบบประสาท การระคายเคืองผวิ หนงั และเย่อื เมือก144
Dinocap ทำให้มีระดับ alkaline phosphatase ในเลือดเพ่ิมข้ึน และระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อเมือก ทำให้มีการเปล่ียนแปลงของตับและไต รวมท้ังกล้ามเนื้อหัวใจโต ในระยะเฉียบพลันจะมีการรบกวนต่อ thermoregulation เป็นตะครวิ และการหายใจผดิ ปกติ Hexachlorobenzene (HCB) จะมกี ารสะสมในชนั้ ไขมนั ของรา่ งกาย รบกวนเมตาโบลิซ่มึ ของporphyrin เพม่ิ การขบั coproporphyrins และ uroporphyrins ออกมาทางปัสสาวะ นอกจากน้ีจะเพ่มิ ระดับของ transaminases และ dehydrogenases ในเลือด ทำให้เกิดการบาดเจ็บของตับ (มีตับโตและตับแข็ง)ผวิ หนังมี photosensitization มีphophyria คลา้ ยกับ porphyria cutanea tarda มขี ้ออักเสบและขนขึน้ มาก(hirsutism) มีการระคายเคืองผิวหนัง พิษเรื้อรังต้องการการรักษาระยะนาน ส่วนใหญ่จะมีอาการและไม่หายแมห้ ยุดการสัมผัส จดั เป็น possible human carcinogen (group 2B) โดย IARC Milneb ทำให้ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ อ่อนแรง มีอุณหภูมิกายสูงข้ึน และมีเม็ดเลือด ขาวตำ่ Nirit มพี ษิ ต่อเม็ดเลือด และทำให้เกดิ การซดี และเมด็ เลอื ดขาวขึ้น และมี toxic granulationของเมด็ เลอื ดขาว มกี ารเสอ่ื มของเซลล์ตับ ม้ามและไต Quinones (derivative: chloani, dichlone) จะรบกวนหน้าที่ของระบบเลือด(methaemoglobinaemia, ซีด) มีผลต่อตับ รบกวนเมตาโบลิซึ่มของวิตามิน โดยเฉพาะ ascorbic acidระคายเคอื งตอ่ ระบบหายใจและตา Thiabendazole ทำให้เกิด thymus involution, colloid depletion ในต่อมทัยรอยด์ และ มกี ารเพิม่ ขนาดของตบั และไต การตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ มีการใช้การตรวจสารกำจัดศัตรูพืชได้บางตัวเช่น การตรวจระดับเอนซัยม์ cholinesterase ในเม็ดเลือดหรือพลาสมา ระดับการเป็นพิษคือมีระดับเอนซัยม์น้อยกว่าร้อยละ 50 ในสารกำจัดศัตรูพืชชนิดorganophosphate และ carbamate การตรวจหน้าท่ีของตับ ไต การตรวจเลือด การตรวจคล่ืนสมองจะช่วยได้เมื่อมีความผิดปกติของอวัยวะนน้ั ที่เกิดจากพิษของสารกำจดั ศตั รพู ืชการตรวจสภาพแวดลอ้ มในการทำงาน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเก่ียวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี) ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบบั ที่ 103 ลงวนั ที่ 16 มนี าคม 2515 กำหนดให้ตลอดระยะเวลาทำงานตามปกติ ภายในสถานประกอบการทใี่ หล้ กู จ้างทำงาน จะมปี รมิ าณความเข้มขน้ ของ 1. อัลดรินในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลยี่ เกนิ กว่า 0.25 มิลลิกรมั ต่ออากาศ หนึง่ ลูกบาศก์ เมตรมิได้ 2. อะซินฟอส-เมธิลในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 0.2 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนึง่ ลกู บาศก์เมตรมไิ ด้ 3. คลอเดนในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลย่ี เกินกว่า 0. 5 มิลลกิ รัมตอ่ อากาศ หนง่ึ ลูกบาศก์ เมตรมไิ ด้ 145
4. ดีดีทีในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 1 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนึ่งลูกบาศก์เมตร มิได้ 5. ดดี ีวพี ใี นบรรยากาศการทำงานโดยเฉลีย่ เกนิ กวา่ 1 มิลลิกรมั ตอ่ อากาศ หนึง่ ลกู บาศกเ์ มตร มิได้ 6. ไดคลอวอสในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 1 มลิ ลกิ รมั ต่ออากาศ หน่ึงลูกบาศก์ เมตรมิได้ 7. ดิลดรินในบรรยากาศการทำงานโดยเฉล่ยี เกินกว่า 0.25 มลิ ลกิ รมั ต่ออากาศ หนง่ึ ลูกบาศก์ เมตรมิได้ 8. ไดบรอมในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 3 มิลลิกรัมต่ออากาศ หน่ึงลูกบาศก์ เมตรมิได้ 9. เอนดรนิ ในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลีย่ เกินกว่า 0.1 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนงึ่ ลูกบาศก์ เมตรมิได้ 10. กูไธออนในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลยี่ เกนิ กวา่ 0.2 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนึ่งลูกบาศก์ เมตรมิได้ 11. ตะก่ัวอะซีเนทในบรรยากาศการทำงานโดยเฉล่ียเกินกว่า 0.15 มิลลิกรัมต่ออากาศ หน่งึ ลกู บาศก์เมตรมิได้ 12. ลนิ เดนในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 0. 5 มลิ ลกิ รมั ตอ่ อากาศ หน่งึ ลูกบาศก์ เมตรมิได้ 13. มาลาไธออนในบรรยากาศการทำงานโดยเฉล่ียเกินกว่า 15 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนึ่งลูก บาศกเ์ มตรมิได้ 14. เมธอกซีคลอในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 15 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนึ่งลูก บาศกเ์ มตรมไิ ด้ 15. พาราไธออนในบรรยากาศการทำงานโดยเฉล่ียเกินกว่า 0.11 มิลลิกรัมต่ออากาศ หน่ึงลูก บาศกเ์ มตรมไิ ด้ 16. ฟอสดรนิ ในบรรยากาศการทำงานโดยเฉล่ียเกนิ กว่า 0.1 มลิ ลกิ รัมตอ่ อากาศ หนงึ่ ลกู บาศก์ เมตรมิได้ 17. ไพรีธรัมในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 5 มิลลิกรัมต่ออากาศ หน่ึงลูกบาศก์ เมตรมิได้ 18. วาร์ฟฟารินในบรรยากาศการทำงานโดยเฉล่ียเกินกว่า 0.1 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนึ่งลูก บาศกเ์ มตรมิได้ 19. คาร์บาริลในบรรยากาศการทำงานโดยเฉล่ียเกินกว่า 5 มิลลิกรัมต่ออากาศ หน่ึงลูกบาศก์ เมตรมิได้ 20. 2,4-ดี ในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 10 มิลลิกรัมต่ออากาศ หน่ึงลูกบาศก์ เมตรมิได้ 21. พาราควอทในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลี่ยเกินกว่า 0. 5 มิลลิกรัมต่ออากาศ หนึ่งลูก บาศกเ์ มตรมไิ ด้ 22. 2,4,5-ที ในบรรยากาศการทำงานโดยเฉลย่ี เกินกว่า 10 มลิ ลกิ รมั ตอ่ อากาศ หน่ึงลกู บาศก์ เมตรมไิ ด้146
เกณฑ์การวินิจฉยั โรค แม้จะมสี ารกำจดั ศัตรพู ืชหลายชนิด แตก่ ารวินิจฉยั ใชห้ ลักคล้ายกันคอื ในระยะเฉยี บพลนั 1. มอี าการและอาการแสดงเชน่ อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไสอ้ าเจียน ตาพร่า ซง่ึ สมั พันธก์ ับ การสมั ผสั สารกำจัดศตั รพู ืช 2. มกี ารสัมผสั นำกอ่ นหนา้ แสดงอาการระยะเวลาหนงึ่ 3. มปี ระวัติการเป็นพิษในคนทำงานคนอืน่ หรอื ในครอบครวั สำหรับพิษเรื้อรังน้ันเน่ืองจากไม่มีเกณฑ์การวินิจฉัยโรคสำหรับสารกำจัดศัตรูพืชท่ีแน่นอนหรือเป็นทีย่ อมรับกนั ทั่วไป จึงใชเ้ กณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั โรคทางอาชีวเวชศาสตรเ์ ปน็ หลกั ได้แก่ 1. มอี าการและอาการแสดงของโรคชดั เจน เช่น การเคยมพี ิษเฉียบพลันมาก่อนแลว้ ภายหลังมีอาการปวดศรี ษะ มอี าการเดนิ เซ มอี าการทางสมอง เป็นตน้ 2. มปี ระวัตกิ ารสมั ผสั โดยทำงานท่ใี ชส้ ารกำจัดศัตรูพชื ทีค่ วามเข้มขน้ สงู หรือไม่มีเครื่องป้องกันอนั ตรายสว่ นบคุ คล 3. มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ แสดงอาการของโรค หรือแสดงว่ามีการสัมผัส เช่นการตรวจเอนซัยม์คลอรีนเอสเตอเรสในเลือดมีระดับตำ่ กวา่ ร้อยละ 50 4. มีข้อมูลสงิ่ แวดล้อมสนบั สนนุ วา่ มคี วามเขม้ ข้นของสารกำจัดศัตรพู ืชเกนิ ค่ามาตรฐาน 5. มขี อ้ มูลทางระบาดวทิ ยา ของเพ่ือนรว่ มงานสนับสนุน 6. มกี ารวินิจฉัยแยกโรคอ่นื แลว้ บรรณานกุ รม1. Kamanyire R, Karalliede L: Organophosphate toxicity and occupational exposure. Occp Med (Lond) 2004;54:69.2. O’Malley M. Pesticides. In Ladou eds. Current occupational & environmental medicine. 4th ed. McGraw Hill. New york. 2007. 532-578.3. Page GA. Agricultural Chemical : Pesticides. In Stellamn JM eds. ILO Encyclopedia of Occupational Health and Safety 4th ed. ILO office Geneva. 1998. 62.9-62.15.4. http://www.pan-uk.org/pestnews/actives/organoph.htm5. http://www.emedicine.com/neuro/topic286.htm6. http://www.who.int/ipcs/publications/pesticides_hazard/en/ 147
1. 36 โรคจากอัลดไี ฮด์ ฟอร์มาลดไี ฮด์และกลตู ารัลดีไฮด์ (Diseases caused by aldehyde formaldehyde and glutaraldehyde) บทนำ อัลดีไฮด์จัดเป็นกลุ่มของสารเคมีที่มีคุณสมบัติติดไฟง่าย ที่มีน้ำหนักโมเลกุลน้อยจะมีกล่ินฉุน และทำความระคายเคอื งแกเ่ น้อื เยอื่ ของรา่ งกาย พวกท่ีมีน้ำหนกั โมเลกุลมากๆ จะมกี ล่ินหอม ทใ่ี ช้กันมากได้ แก่ฟอร์มัลดีไฮด์ อาเซตาดีไฮด์ กลูตารัลดีไฮด์ และอ่ืนๆ ฟอร์มัลดีไฮด์ซ่ึงมีสภาพเป็นก๊าซในอุณหภูมิห้อง สามารถละลายนำ้ ไดด้ ี พบไดท้ ั้งในรูปสารละลายเชน่ ฟอร์มาลิน ซ่งึ มีฟอร์มาดไี ฮดผ์ สมอยู่ร้อยละ 30-50 อยู่ ในรปู ผลกึ ของแข็ง ไดแ้ ก่ trioxane ซ่ึงมีกลนิ่ คลา้ ยคลอโรฟอร์ม ละลายได้ดีในน้ำและตัวทำละลายอ่นื ๆ และ อยู่ในรูปผงและเกร็ด สำหรับกลูตาราลดีไฮด์เป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อสูง ใช้ในการฆ่าเช้ือ สำหรบั เคร่อื งมอื ทางการแพทยแ์ บบ Cold sterilization และเป็นองค์ประกอบทางเคมนี ำ้ ยาสำหรบั หอ้ งปฏิบัติ การทางพยาธแิ ละชวี วิทยา งาน/อาชพี ท่เี ส่ียง 1. อุตสาหกรรมการทำ urea-formaldehyde resin 2. อุตสาหกรรมทเี่ กยี่ วกับน้ำยาเชื้อหรือสารกันบดู สารถนอมอาหาร เคร่ืองสำอางค์ 3. ห้องปฏบิ ัตกิ าร 4. การแตง่ ศพ 5. อตุ สาหกรรมพลาสตกิ 6. อตุ สาหกรรมถ่ายภาพ 7. อตุ สาหกรรมผลิตสียอ้ ม ทำยาง และเส้นใยประดษิ ฐ์ 8. อุตสาหกรรมสง่ิ ทอ 9. อตุ สาหกรรมเฟอรน์ เิ จอร์ 10. บุคลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสุข 11. อาชพี ทต่ี ้องสมั ผัสกบั สารฟอร์มาลนิ สาเหตุและกลไกการเกิดโรค อัลดีไฮด์ ถกู ดดู ซึมไดด้ ที ั้งสามทางไดแ้ กท่ างการหายใจ ทางผิวหนังและทางการกนิ รา่ งกายได้ รับฟอร์มาลดีไฮด์จะถูกออกซิไดซ์ไปเป็นกรดฟอร์มิก แล้วแปรรูปเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ทำให้เกิด ภาวะกรดในร่างกาย กรดฟอรม์ กิ ทเ่ี กิดขึ้นส่วนใหญ่ถูกขบั ออกจากรา่ งกายในรูปโซเดียม ฟอร์เมตทางปัสสาวะ นอกจากนนั้ จะขับออกทางลมหายใจในรปู คาร์บอนไดออกไซด์ 148
อาการและอาการแสดงอลั ดีไฮด์ พิษเร้ือรัง ผลเฉพาะท่ีทำให้มีการอักเสบและอาการแพ้ของผิวหนัง เป็นลมพิษ มีอาการแห้งแดง แตก คัน การรบั สัมผัสฟอรม์ าลดีไฮดท์ างระบบทางเดนิ หายใจเปน็ ระยะเวลานาน จะทำใหส้ มรรถภาพการทำงานของปอดลดลง และ IARC จัดเปน็ สารกอ่ มะเร็งกลุ่ม 1 (Carcinogenic for humans), กลูตาราลดีไฮด์ เป็นสารท่ีก่อให้เกิดการแพ้อย่างอ่อน ทำให้เกิดผ่ืนแพ้สัมผัสท้ังประเภทirritant และallergic contact dermatitis และคาดว่าสามารถทำให้มอี าการแพต้ ่อระบบทางเดินหายใจได้ อลั ดีไฮด์ถูกนำมาใช้ในหลากหลายอตุ สาหกรรม เช่น การผลิตเรซิน พลาสตกิ ยาง ตัวทำละลายเม็ดสี เสอ้ื ผา้ กระดาษ ภาพถา่ ย การถนอมอาหาร เคมีภัณฑต์ า่ งๆ น้ำยาฆา่ เช้อื ฟอรม์ าดีไฮด์อาการเฉียบพลัน ทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่ ทำให้มีอาการไอ แสบตาจมูกและคอ การกดประสาทส่วนกลางทำให้ปวดหัว คล่ืนไส้อาเจียน การกดระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือดในรายที่มีพิษรุนแรงอาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ การสัมผัสฟอร์มาลดีไฮด์ทางผิวหนังในรูปสารประกอบ ก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส และลมพิษจากการสัมผัส ผลเฉียบพลันก่อให้เกิดอาการที่บริเวณใบหน้า คือมีการบวมของผวิ หนงั รอบตา (periorbital edema) การสมั ผัสฟอรม์ าลดีไฮด์ ท่คี วามเข้มข้นน้อย ทำใหร้ ะคายเคืองต่อเน้ือเยื่อบริเวณจมูก ตา และลำคอ ระดับที่คนท่ัวไปทนได้มักอยู่ท่ีระดับ 2-3 ส่วนในล้านส่วนโดยปริมาตร และถา้ ระดบั สงู กวา่ น้ีมกั ไมส่ ามารถอยู่ในสถานที่นน้ั ได้ตอ่ ไป ดังนน้ั จงึ เป็นเครอื่ งเตอื นภยั ท่ีดเี นอ่ื งจากทรี่ ะดบั สูงข้ึนอาจมีพษิ มากข้นึ จนถงึ แก่ชีวติ ระดับของการระคายเคอื งเป็นดังน้ี 0.05 – 1.0 สว่ นในลา้ นสว่ นโดยปรมิ าตรจะไดก้ ลิน่ ฉุน 0.01 – 2.0 สว่ นในลา้ นสว่ นโดยปรมิ าตรจะมอี าการเคอื งตา 0.10 – 11.0 ส่วนในลา้ นสว่ นโดยปรมิ าตรจะรู้สกึ ระคายในทางเดินหายใจส่วนบน 5.00 – 30.0 สว่ นในลา้ นสว่ นโดยปรมิ าตรจะมอี าการไอ แนน่ หน้าอก มีอาการหอบหดื 50.0 – 100.0 ส่วนในลา้ นสว่ นโดยปรมิ าตรมอี าการของปอดอกั เสบ บวมนำ้ มากกวา่ 100.0 ส่วนในล้านส่วนโดยปริมาตรจะถึงแก่กรรม เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ทำให้เกิดมะเร็งของช่องปาก คอ และจมูกการตรวจทางห้องปฏบิ ัตกิ าร ในรายทีส่ งสัยว่า เปน็ หอบหดื จากสารฟอรม์ าลดไี ฮด์ หรอื กลูตารลั ดไี ฮด์สใหท้ ำการทดสอบเรา้ ดว้ ยฟอร์มาลดีไฮดห์ รือกลตู ารัลดไี ฮด ์ (formaldehyde or glutaraldehyde provocative test) จะให้ผลบวก 149
การตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี) ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบบั ท่ี 103 ลงวนั ที่ 16 มนี าคม 2515 หา้ มไมใ่ หน้ ายจ้างให้ลูกจา้ ง ทำงานในที่ท่ีมีปริมาณความเข้มข้น ของฟอร์มัลดีไฮด์ความเข้มข้นเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงานปกติ เกินกว่า 3 ส่วน/ล้านสว่ น ปรมิ าณความเขม้ ขน้ สูงสดุ ในชว่ งเวลา 30 นาทีเท่ากบั 10 สว่ น/cลา้ นสว่ น และ ปรมิ าณความเข้มข้นทีอ่ าจยอมใหม้ ไี ด้ 5 สว่ น/ล้านส่วน ค่ามาตรฐานของกลตู ารัลดไี ฮด์ในตา่ งประเทศ ACGIH: Ceiling = 0.05 ส่วน/ลา้ นส่วน MAK = 0.05 ส่วน/ล้านสว่ น เกณฑ์ทใี่ ชเ้ พื่อการวินิจฉัยโรค 1. อาการและอาการแสดงของโรคไดแ้ กอ่ าการแสบตา แสบจมูก 2. ประวัติการทำงานในอาชพี ทเ่ี สย่ี งตอ่ การสมั ผสั 3. การตรวจทางห้องปฏบิ ตั กิ ารเพือ่ ยนื ยนั การตรวจ provocation test ใหผ้ ลบวก 4. การตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงานท่ีสนับสนนุ การวินจิ ฉัยมคี ่าของสารในบรรยากาศเกินที่ กำหนด 5. มีรายงานทางระบาดวทิ ยาสนับสนุน บรรณานกุ รม 1. รวมกฏหมายความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม 2546. สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการ ทำงาน. 2547. 2. อดลุ ย์ บณั ฑกุ ลุ บรรณาธิการ. แนวทางและเกณฑก์ ารวนิ จิ ฉัยโรคจากการทำงาน (ฉบบั จัดทำพุทธศักราช 2547). สำนักงานกองทนุ เงนิ ทดแทน สำนกั งานประกันสังคม กรมทรวงแรงงาน ศนู ย์อาชีวเวชศาสตร์ และเวชศาสตรส์ ่งิ แวดล้อม โรงพยาบาลนพรตั นราชธานี กรมการแพทย์ 3. อดลุ ย์ บณั ฑุกุล. ฟอร์มลั ดีไฮด์. ใน วลิ าวัณย์ จงึ ประเสริฐ, สุรจติ สนุ ทรธรรม บรรณาธกิ าร. อาชวี เวช ศาสตร์ฉบับพษิ วิทยา. บรษิ ทั ไซเบอรเ์ พรสจำกัด. 2542: 145-151. 4. http://www.atsdr.cdc.gov/MHMI/mmg172.html 5. http://toxnet.nlm.nih.gov/cgi-bin/sis/search/r?dbs+hsdb:@term+@rn+7782-50-5150
1.37 โรคจากสารพิษกลุ่มไดอ๊อกซนิ (Toxicity of dioxin group)บทนำ ไดออ๊ กซนิ เป็นช่ือเรยี กของกล่มุ ของสารประกอบที่เป็นพวก polychlorinated dibenzodioxins(PCDDs) ซ่ึงใช้เป็นยาฆ่าวัชชพืช โครงสร้างสำคัญเป็นวงแหวนเบนซีนสองอันต่อกันโดยโมเลกุลของ อ๊อกซิเจนสองตัว ไดออ๊ กซินทีเ่ ปน็ พิษมากท่ีสุดคือ 2,3,7,8 tetrachlorodibenzo-p-dioxin ซ่งึ รู้จักกนั ดใี นชอ่ืagent orange เป็นยาฆ่าวัชชพืชที่ใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม สารเคมีกลุ่มไดอ๊อกซินนี้จะปนเป้ือนอยู่ในธรรมชาติ เป็นกลุ่มของสาร chlorinated organic ท่ีไม่ย่อยสลาย และคนได้รับจากอาหาร โดยเฉพาะปลาเนือ้ นม เน่ืองจาก ไดออ๊ กซินละลายไดด้ ีในไขมนั ไดออ๊ กซินในปรมิ าณน้อยๆ สร้างไดจ้ ากการทีส่ ารอนิ ทรยี ม์ ีการเผาไหมใ้ นสถานท่ีซ่ึงมคี ลอรีนอยู่ ไมว่ ่าจะอยใู่ นรปู ไอออนของคลอรนี หรอื สารประกอบ organochlorineแหล่งกำเนินของไดอ็อกซินได้แก่ ถ่านหิน การหลอมเหล็ก รถยนตร์ดีเซล บริเวณท่ีท้ิงขยะ การเผาไหม้ไม้จากการสูบบุหรี่ เป็นต้น นอกจากน้ี ยงั พบไดอ๊อกซินได้ในกระบวนการฟอกเยอ่ื ไมใ้ นการทำกระดาษ และในอตุ สาหกรรมการทำ chlorinated phenols งาน/อาชีพที่เส่ยี ง 1. อาชพี ทต่ี ้องสัมผัสควันจากการเผาใหม้ของเคร่ืองยนตรด์ เี ซล 2. อาชพี ท่ีมีการผลิตกระดาษทใี่ ช้ chlorine-bleached 3. อาชพี ท่มี กี ารใชเ้ ตาเผา 4. เตาเผาซเี มนต์ 5. Power plant 6. โรงกลนั่ น้ำมัน 7. โรงทำนำ้ ตาลสาเหตแุ ละกลไกการเกดิ โรค ส่วนใหญ่จะได้รับไดอ๊อกซินจากการหายใจ การดูดซึมผ่านผิวหนัง การกิน การสัมผัสทางผิวหนังและตา เมื่อเข้าไปในร่างกายจะเกิดสะสมในเน้ือเยื่อไขมันและเตรียมที่จะถูกเมตะโบไลท์หรือขับออกตอ่ ไป คา่ ครงึ่ ชีวิตของ chlorinated dioxins ในคนมีระยะเวลาต้งั แต่ 7.8 ถึง 132 ปี TCDD จะมพี ษิ มากทส่ี ดุ ในกลุม่ ไดอ๊อกซินมีค่าครึง่ ชีวติ 8 ปี สว่ นสารตัวอืน่ จะมพี ษิ ตั้งแต่ 0-1 โดย TCDD มพี ิษสงู สดุ เป็น 1การให้ระดับการเปน็ พษิ เชน่ นเ้ี รยี กวา่ toxic equivalence factor (TEF) คา่ TEF จะแตกตา่ งกนั ไปในสัตว์แตล่ ะเผ่าพันธ ์ ไดออ๊ กซนิ จัดเปน็ persistent organic pollutants (POPs) ตวั หน่ึง ไดออ๊ กซินจะออกฤทธ ิ์ ในรา่ งกายผ่านทาง cellular receptor เรยี กวา่ aryl hydrocarbon receptor (AhR) 151
อาการและอาการแสดง อาการที่สำคัญได้แก ่ การระคายเคืองตา ผิวหนังอักเสบแบบภูมิแพ ้ เกิดchloracne เกิด porphyria มีการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร อาจทำให้มีการพิการของทารก ในสัตว์ทดลอง มีการ ทำลายตับ ไต และมเี ลือดออกงา่ ย เปน็ สารท่อี าจก่อใหเ้ กิดโรคมะเรง็ และมผี ลทางระบบสืบพนั ธ์ และระบบ ภูมคิ ุม้ กัน พิษอนื่ ๆของสารกลมุ่ ไดออ๊ กซินได้แก่ 1. ผลต่อระบบทัยรอยด์ 2. ผลต่อระบบประสาท 3. ผลต่อระบบภูมิคมุ้ กัน 4. เกดิ เบาหวาน 5. เป็น endometriosis 6. ทำใหก้ ารพัฒนา enamel ในฟันเด็กเสยี มกี ารศกึ ษาผลของไดอ๊อกซินในเวียดนาม พบวา่ ไดออ๊ กซินทำใหเ้ ดก็ ทค่ี ลอดออกมาผิดปกติเป็น จำนวนกวา่ หม่นื คน ในทหารอเมริกนั ทีส่ ัมผัสสาร agent orange ในประเทศเวยี ดนามมีค่าซีรม่ั TCDD สงู ถงึ 600 ppt แมจ้ ะออกจากประเทศเวียดนามมาหลายปแี ลว้ (ในคนปกตมิ ีได้ 1-2 ppt) ถา้ มนษุ ย์ไดร้ บั สาร Dioxins ในปริมาณสงู ในระยะแรกๆ จะมีผลต่อผิวหนงั เช่น เปน็ ผื่น และ เกดิ การไหม้ดำข้นึ จากนนั้ จะมีผลกระทบตอ่ การทำหน้าท่ขี องตบั ในระยะยาวต่อมา และมีผลกระทบตอ่ การทำ หน้าท่ีของระบบภมู ิคมุ้ กนั ของรา่ งกาย ระบบประสาท ระบบตอ่ มไร้ทอ่ และระบบสบื พันธ์ ไดออกซินจะสะสม ในไขมัน เป็นสารก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง อาการ chloracne เป็นอาการทางคลินิกท่ีเด่นท่ีสุดในคนท่ีสัมผัส ส่วนใหญ่จะเข้าไปในร่างกายจากการกินอาหารท่ีปนเป้ือน ส่วนน้อยจากการสัมผัสในการทำงาน พบว่าทารกใน ครรภ์ และทารกแรกเกิด จะไวต่อสาร dioxins มากท่ีสุด ในกลุ่มคนบางจำพวก อาจมีโอกาสได้รับสาร dioxins มากเนื่องจากอาหารที่รับประทาน เช่น ปลา ในบางพืน้ ทข่ี องโลก หรอื ในสถานทบ่ี างแหง่ เชน่ คนงาน ในโรงงานกระดาษ ในโรงงานเผาถ่าน หรือในโรงงานกำจัดของเสีย การประเมินความเสี่ยงของผู้บริโภค จะประเมินแตกต่างกันแล้วแต่กรณี ขึ้นอยู่กับจำนวน ระดับของการปนเปื้อน และปริมาณประชากรท่ีได้รับผล กระทบ ข้อมูลระดับปริมาณของ dioxin ท่ีปนเป้ือนในอาหาร จำนวนของอาหารที่มีการปนเป้ือน และระยะ เวลาของการได้รับสาร dioxin ท้งั หมดน้ี จะใชเ้ ป็นข้อมลู ในการประเมนิ ความเสี่ยงในแต่ละกรณี และจะถกู ใช้ ในการวางแผนการจดั การแกป้ ัญหา นอกจากนี้ ข้อมูลของค่า Tolerable Daily Intake (TDI) จะถกู ใชเ้ ป็น เคร่อื งมือในแผนความปลอดภัยระยะยาว ค่า TDI คำนวนจาก ระดับของการไดร้ บั dioxin ในชว่ งระยะเวลา หนงึ และ ระดับการสะสม dioxin ในรา่ งกาย152
Chloracne Chloracne ประกอบด้วย comedones, cysts, pustules และฝี และอาจพบ ร่ ว ม กั บ ก า ร ท ำ ง า น ผิ ด ป ก ติ ข อ ง ตั บ ปลายประสาทอักเสบ ไขมันในเลือดสูง และ porphyria cutanea tada ซ่งึ อาจ คงอยู่เป็นปี หลังจากออกจากการ สัมผสั ไดออกซนิ การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการไดแ้ ก่ การตรวจการทำงานของตับ ไต การตรวจนำ้ ตาล การตรวจฮอรโ์ มนทยั รอยด์ และการตรวจตามอาการของผู้ป่วยทีม่ าหา มีการตรวจเน้ือเย่ือไขมันหรือการตรวจซีรั่มหา TCDD ในทหารเวียดนามการตรวจพบ ในเนื้อเยื่อไขมันเกิน 15 พิโคกรัมต่อกรัมของเนื้อเย่ือไขมันถือว่าสัมผัสในปริมาณมาก ค่าคร่ึงชีวิตของ ไดออกซินในรา่ งการเท่ากบั 5-8 ปีการตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงานค่ามาตรฐานของการตรวจวัดไดออกซินในตา่ งประเทศ MAK 1 x 10 -08 mg/m3, inhalable fractionเกณฑก์ ารวินจิ ฉัยโรค เนื่องจากไม่มีเกณฑ์การวินิจฉัยโรคพิษของสารไดออกซินที่แน่นอนหรือเป็นที่ยอมรับกันท่ัวไป จึงใช้เกณฑ์การวินิจฉัยโรคจากการทำงานทัว่ ไปเปน็ หลกั ได้แก่ 153
1. มีอาการและอาการแสดงของโรคชัดเจน โดยหลังการสัมผัสมีการระคายเคือง มี chloracne และมอี าการอื่นๆ ของพษิ ไดออกซนิ ดงั กล่าวข้างตน้ 2. มปี ระวตั กิ ารสัมผัส โดยทำงานทมี่ กี ารสัมผัสสารไดออกซนิ 3. มีการตรวจทางห้องปฏบิ ัตกิ ารแสดงอาการของโรค หรือ แสดงวา่ มกี ารสัมผัส 4. มีข้อมูลสิ่งแวดล้อมสนับสนุนว่ามีความเข้มข้นของสารไดออกซินเกินค่ามาตรฐานใน สิ่งแวดลอ้ ม 5. มขี ้อมลู ทางระบาดวทิ ยา ของเพื่อนรว่ มงานสนบั สนนุ 6. มีการวินิจฉัยแยกโรคอ่นื แลว้ บรรณานกุ รม 1. Bronstein AC, Sullivan JB. Herbicides. In Sullivan JB, Krieger GR. Clinical Environmental Health and Toxic Exposures. Lippincott Williams & Wilkins, Philadelphia. 2001: 1092-1098. 2. Solomon G, Ladou J, Wesseling C. Dioxins and Furans. In Ladou ed. Current Occupational & Environmental Medicine. 4th ed. McGrawHill, New York. 2007: 648- 651. 3. http://hazmap.nlm.nih.gov/cgi-bin/hazmap_generic?tbl=TblAgents&id=431 4. http://www.cdc.gov/niosh/npg/npgd0594.html154
1 .38 โรคจากไตรคลอโรเอธีลีน (Trichloroethylene)บทนำ มCีน2H้ำหCนLัก3 ไตรคลอโรเอธีลีน เป็นสารท่ีสังเคราะห์จาก ไตรคลอโรอีเธน มีสูตรทางเคมีคือเป็นสารไม่ติดไฟ มีจุดเยือกแข็งที่และจุดเดือดที่ – 73 และ 86.9 องศาเซลเซียส ตามลำดับโมเลกุล 131.40 มีลักษณะเป็นของเหลวใส ท่ีอุณหภูมิห้อง ไม่มีสี และมีกล่ินหวานคล้ายอีเธอร์หรือคลอโรฟอร์ม และมีรสหวานปนไหม้ ส่วนใหญ่ใช้เป็นตัวทำละลายเพ่ือทำความสะอาดคราบไขมันจาก ส่วนโลหะ ไตรคลอโรเอธีลีน ละลายได้เล็กน้อยในน้ำ แต่อยู่ในแหล่งน้ำใต้ดินเป็นเวลานาน ไม่ควรพบ ไตรคลอโรเอธีลีนในธรรมชาติ แต่ก็พบได้ในแหล่งน้ำใต้ดินและผิวน้ำหลายแห่ง และสามารถระเหยไปในอากาศได้ง่าย ซึง่ เกิดจากการใชใ้ นอตุ สาหกรรม งาน/อาชพี ที่เสี่ยง 1. งานล้างคราบไขมนั ของโลหะ เพอ่ื ทำความสะอาด 2. งานทม่ี กี ารผสมสี ผลติ สี 3. งานผลิตสารpolyvinyl chloride 4. งานที่มีการใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมสิ่งทอโดยใช้เป็นตัวยึดเหนี่ยว (adhesives) และตัวหลอ่ ล่นื 5. การผลติ สารกำจัดศัตรูพชื และสารเคมีอืน่ ๆ 6. งานผสมและผลติ สแี ละกาว 7. งานผลติ นำ้ ยาลบคำผดิ 8. งานผลติ น้ำยาดบั เพลงิ สาเหตแุ ละกลไกการเกิดโรค ไตรคลอโรเอธลี นี เขา้ ส่รู า่ งกายทางการหายใจเป็นส่วนใหญ่ สว่ นน้อยจากการกิน และ น้อยมากทเ่ี ข้าทางผวิ หนงั ยกเว้นเป็นสารละลายเขม้ ข้นท่ที ำให้มีการสลายตัวของชัน้ ผวิ หนงั เม่อื เขา้ ไปในปอด จะถกูขับออกโดยการหายใจออกร้อยละ 10 ท่ีเหลือจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดและเข้าสู่อวัยวะต่างๆโดยเฉพาะที่มไี ขมนั อย่างรวดเรว็ จึงเปน็ พิษกับอวยั วะท่มี ไี ขมนั มากเช่น สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อเปน็ ต้น ไตรคลอโรเอธีลีนจะถูกเปลี่ยนแปลงท่ตี บั โดยเอนซยั ม์ ซยั โตโครม พี-450 ออกซิเดส กลายเปน็ epoxide และไตรคลอโรคอเซตาลดีไฮด์ และคลอรัลไฮเดรต ตามลำดับ จนเป็นสารตัวสุดท้าย คือไตรคลอโรเอธานอล และ กรดไตรคลอโรอเซตกิ ทสี่ ามารถตรวจได้ในเลือดและในปสั สาวะ 155
อาการและอาการแสดง อาการเฉียบพลัน เกดิ ข้ึนจากไดร้ ับสารพษิ เขม้ ข้นทันทีทนั ใด อาการพิษจะเกิดกับหลายอวยั วะในร่างกาย ได้แก่ 1. อาการทางสมองจะขึ้นกบั ความเขม้ ขน้ และระยะเวลาทไ่ี ดร้ บั ซึ่งถา้ มีปริมาณนอ้ ย ๆ ในเวลาไม่นานจะเป็นฤทธ์ิกระตุ้นทำให้มีอารมณ์เคล้ิมสุข หรืออารมณ์ฝันหวาน (euphoria) มีอารมณ์ดี รสู้ ึกสบายกายและใจทำงานได้มาก ถ้าไดร้ ับมากขน้ึ จะมอี าการมนึ งง สบั สน เดินเซ ตรวจพบอาการแสดง ของเซเรเบลลัม ขน้ั ต่อมาจะมีอาการคล่นื ไส้ อาเจียนหรอื หมดสติ 2. อาการทางระบบทางเดินอาหาร เกิดจากกินโดยอุบัติเหตุจะมีการไหม้อักเสบ ตลอดทาง เดนิ อาหาร ถา้ มีการสมั ผัสทเ่ี นอื้ เย่ือตา่ งๆ จะเกดิ อาการอกั เสบท่ีผิวหนงั (contact dermatitis) และตา (conjunctivitis) 3. อาการที่ปอด ตบั และไต จะมีอาการปอดอักเสบ ตับหรอื ไตถูกทำลายได้ 4. อาการอืน่ ๆทพ่ี บมคี วามผิดปกตขิ องการเตน้ ของหวั ใจแบบ ventricular dysrhythmia อาการเรื้อรงั เกดิ จากได้รบั สารปรมิ าณน้อยเป็นระยะเวลานานๆ มีลกั ษณะดังน้ี 1. มกี ารกดการทำงานของสมองทำใหม้ อี าการง่วง ซมึ ไมร่ ู้สกึ รบั รสู้ ่งิ ต่างๆ ซึง่ จะหายไปหลัง จากให้หยุดงานหรือย้ายงาน 2. อาการพิษเร้ือรังซ่ึงจะพบได้ต่อไปอีกหลังหยุดงานเป็นเดือนๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการ เหนอื่ ยหน่าย สบั สน ปวดศรี ษะ มกี ารรบกวนระบบทางเดินอาหาร มอี าการทางจติ ประสาท ทำให้มนึ งง ปวดศรี ษะ ไมม่ สี มาธ ิ การทนตอ่ การดมื่ สุราจะลดลง ไมพ่ บโรคของระบบประสาทส่วนปลาย การสัมผัสผวิ หนังทำใหเ้ กดิ ผิวหนงั อักเสบรุนแรง โดยผวิ หนังจะมลี ักษณะแห้ง แดง และแตก เปน็ รอ่ ง มรี ายงานวา่ ทำให้เกิดหวั ใจเต้นผิดปกติและเปน็ พิษต่อตับ จะเห็นว่าการตรวจร่างกายจะพบแตอ่ าการแสดงจากอวยั วะต่าง ๆ ท่ีมอี าการออกมาสว่ นอาการ แสดงทางระบบประสาทจะได้จากการซักประวัติ นอกจากถ้าเป็นมากๆ เช่น ในกรณีพิษเฉียบพลันอาจพบ อาการแสดงของความผิดปกติของเซเรเบลลัม อาการชา และเสียวแปลบปลาบท่ีใบหน้า เหตุจากโรคของเส้นประสาทสมองคู่ที ่ 5 (trigerminal neuralgia) อาการพิษเร้ือรัง อาจมีผลทำให้เป็นหมัน คลอดก่อนกำหนด หรือมีผลต่อบุตรในครรภ์ (teratogenic effect) จากรายงานการประชมุ ของ National Toxicology Program คร้ังที่ 9 และของ International Agency for Research on Cancer (IARC) ระบวุ า่ ไตรคลอโรเอธีลนี เปน็ สารทอ่ี าจก่อให้เกิดมะเรง็ ในคน หรอื มสี ่วนร่วมในการก่อมะเร็งในคน (Class II) 3. มรี ายงานการแพ้สารไตรคลอโรเอธีลีนในคนทำงานโดยมีกลุ่มอาการผื่นผวิ หนงั คล้ายอาการ แพย้ า แบบ Steven Johnson syndrome และมอี าการตับอกั เสบ ซ่ึงทกุ คนจะเขา้ ทำงานภายใน 1-2 เดอื น สาเหตยุ ังไมท่ ราบแนช่ ดั 156
การตรวจทางห้องปฏิบตั กิ าร 1. การตรวจเลือดอาจพบ ความผิดปกตขิ องการทำงานของตับ ไต 2. การตรวจคลนื่ ไฟฟ้าสมองพบความผิดปกตไิ ม่จำเพาะ 3. การตรวจ CT scan หรือ MRI ของสมองไมพ่ บผดิ ปกติ ยกเว้นเม่ือเปน็ มาก 4. การตรวจจิตประสาท อาจพบความผิดปกติ 5. บันทกึ คลืน่ ไฟฟา้ หวั ใจอาจแสดงจังหวะเตน้ ผิดปกติ 6. การวเิ คราะหป์ ริมาณ กรดไตรคลอโรอเซตกิ หรือ ไตรคลอโรเอธานอล ในปสั สาวะพบวา่ กรดไตรคลอโรอเซติก ในตัวอย่างปสั สาวะท่ีเกบ็ เมื่อเลิกงานในวนั สดุ ท้ายของสปั ดาห ์ มีคา่ ไม่เกิน 100 มลิ ลิกรัม/กรมั ครีอะตนิ นี , และค่าผลรวมของกรดไตรคลอโรอเซตกิ กบั ไตร คลอโรเอธานอล เมื่อเลิกงานในวันสุดสัปดาห์ไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/กรัมครีอะตินีน (ในการแปลผลตรวจควรระลึกเสมอว่าท้ัง กรดไตรคลอโรอเซติก กับไตรคลอโรเอธานอล ไม่ใช่สาร เมตาโบไลท์ที่ จำเพาะของ ไตรคลอโรเอธานอล เท่านั้น ตัวทำละลาย halogenate อื่นก็ทำให้เกิดสารกลุ่มน้ีได้เช่นกัน การด่ืมสุราทำให้การขับ เมตาโบไลท์ ดังกล่าวออกมาในปสั สาวะน้อยกวา่ ปกต)ิ 7. การตรวจไตรคลอโรเอธานอล ในเลือดเมื่อเลกิ งานในวันสุดสปั ดาห์ (end of work week) ถ้าไดค้ ่าเกิน 4 มก./ลิตร ขึ้นไปบง่ ชวี้ ่ามกี ารสมั ผสั สารไตรคลอโรเอธลิ นี การตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเก่ียวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี) ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบบั ที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 กำหนดให้ความเขม้ ข้นเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงานปกติ เท่ากับ 100 ส่วน/ล้านส่วน ความเข้มข้นสูงสุดในระยะเวลาท่ีจำกัด 300ส่วน/ล้านสว่ น (กำหนดให้ทำงานได้ 5 นาทใี นทุกชว่ งเวลา 2 ช่วั โมง และปริมาณความเขม้ ขน้ ทอ่ี าจยอมให้มีได้ 200 ส่วน/ล้านสว่ นเกณฑ์การวนิ ิจฉัยโรค 1. มีอาการและอาการแสดงของโรคชัดเจน ได้แก่ อาการทางระบบประสาทส่วนกลาง เป็นหลกั และมอี าการของอวยั วะอน่ื บ้างเช่น ผวิ หนัง ตับ และไต หรือมีอาการแพ้ (hypersensitivity) โดยเกิดเป็นกลุ่มอาการมผี ่ืนทผี่ วิ หนัง (หรอื เกดิ มากจนคลา้ ยกับ Steven Johnson’s syndrome) และมีตบั อกั เสบซ่ึงรุนแรงจนถึงแก่กรรมได้ ส่วนอาการทาง neurobehavior อาจต้องใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา โดยใช้แบบคัดกรอง Q 16 คัดกรองกอ่ น 2. มปี ระวัติการสัมผัส โดยทำงานทม่ี ีการสมั ผัสสารไตรคลอโรเอธลี ีน ท่ีความเขม้ ขน้ สูงเป็นเวลานาน อย่างน้อย 10 ปี 3. มีการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการแสดงอาการของโรค หรอื แสดงวา่ มกี ารสมั ผัส การตรวจตามอวยั วะ เชน่ การทำ patch test และการตรวจการทำงานของตบั ในกลุม่ อาการทแี่ พ้ไตรคลอโรเอธิลีน หรอื การตรวจปัสสาวะ พบกรดไตรคลอโรอเซติก ในตัวอย่างปัสสาวะท่ีเก็บเมื่อเลิกงานในวันสุดท้ายของสัปดาห ์ 157
มีคา่ เกนิ 100 มลิ ลกิ รัม/กรมั ครีอะตนิ นี , และคา่ ผลรวมของกรดไตรคลอโรอเซตกิ กับ ไตรคลอโรเอธานอล เมอ่ื เลิกงานในวนั สุดสัปดาหเ์ กนิ 300 มิลลกิ รัม/กรัม ครอี ะตินนี การตรวจไตรคลอโรเอธานอล ในเลือดเมื่อ เลกิ งานในวนั สุดสปั ดาห์ (end of work week) ได้ค่าเกนิ 4 มก./ลติ ร ซ่งึ คา่ เหล่านี้แสดงว่าได้รับสาร ไตรคลอโรเอธลิ ีนเขา้ ไปมาก แต่ไมไ่ ดบ้ ่งช้วี า่ เกิดพิษขึน้ เปน็ การเฝา้ ระวัง ควรระวังในการแปลผลดว้ ย 4. มีข้อมูลสิ่งแวดล้อมสนับสนุนว่ามีความเข้มข้นของสารไตรคลอโรเอธีลีนเกินค่ามาตรฐานท่ี กฏหมายกำหนด 5. มขี อ้ มลู ทางระบาดวิทยา ของเพื่อนรว่ มงานสนบั สนุน 6. มกี ารวินจิ ฉัยแยกโรคอื่นแล้ว บรรณานกุ รม 1. อดุลย์ บณั ฑกุ ลุ . ไตรคลอโรเอธลิ ีน. วิลาวณั ย์ จงึ ประเสริฐ, สุรจติ สุนทรธรรม บรรณาธกิ าร. อาชีวเวช ศาสตร์ ฉบบั พษิ วทิ ยา. สำนกั พมิ พไ์ ซเบอร์เพลส 2542: 189-196. 2. อดลุ ย์ บัณฑกุ ลุ บรรณาธกิ าร. แนวทางและเกณฑก์ ารวินจิ ฉัยโรคจากการทำงาน (ฉบบั จัดทำพทุ ธศักราช 2547). สำนักงานกองทนุ เงนิ ทดแทน สำนกั งานประกนั สังคม กรมทรวงแรงงาน ศูนย์อาชวี เวชศาสตร์ และเวชศาสตร์สง่ิ แวดล้อม โรงพยาบาลนพรตั นราชธานี กรมการแพทย์ 3. Axelson O, Hogstedt C. The Health effects of Solvents. In: Zenz C, Dickerson OB, Horvath EP, eds. Occupational Medicine, 3rd ed. St. Louis: Mosby-Year Book, Inc. 1994: 764-778. 4. CRC. 1994. CRC Handbook of Chemistry and Physics, 75th edition. Lide DR, ed. Boca Raton, FL: CRC Press Inc. 5. David A. Trichloroethylene. In: Parmeggiani L, ed. Encyclopaedia of occupational health and safety, 3rd (revised) ed. Geneva: International Labour Offife 1991: 2214 – 2216. 6. Holmberg B, Zenz C, Dodson VN. The Polymer Industry. In: Zenz C, Dickerson OB, Horvath EP, eds. Occupational Medicine, 3rd ed. St. Louis: Mosby-Year Book, Inc. 1994: 719-753. 7. Hogstedt C, Andersson K and Hank M.A. A questionnaire approach to the monitoring of early disturbances in central nervous functions. In:Aitio A et al. (eds). Biological monitoring and surveillance of workers exposed to chemicals. Hemisphere Publications, Washington. 8. IARC. 1979. Trichloroethylene. IARC Monographs on the Evaluation of the Carcinogenic Risk of Chemicals to Humans. Vol. 20. Lyon:IARC, pp. 545-572. 9. Kimmerle G, and Eben A. 1973. Metabolism, excretion and toxicology of trichloroethylene after inhalation: 2. Experimental human exposures. Arch. Toxicol. 30:127-138.158
10. Lindstrom K. Criteria for the psychological diagnosis of toxic encephalopathy. In: WHO/ Nordic Council of Ministers. Chronic effects of organic solvents on the central nervous system and diagnostic criteria. Copenhagen, 1985.11. Lipsky MM, Trump BF. Chemical Toxicity. In: Craighead JE, ed. Pathology of Environmental and Occupational Diseases. St. Louis: Mosby-Year book, Inc. 1995:57-77.12. Rom WN, ed. Environmental and Occupational Medicine. 2nd ed. Boston: Little Brown and Company. 1992.13. Pauling T.L. and Ogden JA. Screening and neuropsychological assessment of spray painters at risk for organic solvent neurotoxicity. International Journal of Occupational and Environmental Health, 1966;2:286-293.14. Phoon W, Chan M, Rajan V, Tan K, Thirumoorthy T, and Goh C. (1984). Stevens- Johnson syndrome associated with occupational exposure to trichloroethylene. Contact Dermatitis 10:270-276. 159
1 .39 โรคจากนิกเกลิ หรอื สารประกอบของนิกเกลิ (Diseases caused by nickel or its toxic compounds) บทนำ นิกเกิลเป็นโลหะท่ีแข็งสีเงินวาว หรือเป็นผงสีเทา ไม่ละลายน้ำแต่ละลายได้ดีในกรดไนตริก มคี ณุ สมบตั ิเปน็ แม่เหลก็ ทน่ี ำมาใช้ในอตุ สาหกรรมเปน็ แร่ทอี่ ยู่ในรูปซลั ไฟด์ และออกซดิ ิก มกี ารใชน้ กิ เกิลเป็น ส่วนสำคัญของโลหะผสม ส่วนมากใช้ในการทำโลหะเสตนเลส นิกเกิลอัลลอยมีความคงทนและใช้เป็น เครอ่ื งมอื ในอุตสาหกรรมอาหาร เหรยี ญ สปรงิ แม่เหล็ก แบตเตอรี่ (nickel cadmium) และในอตุ สาหกรรม หลายอย่าง งาน/อาชีพทีเ่ ส่ยี ง 1. เหมืองแรผ่ ลติ นกิ เกลิ 2. โรงงานกลงุ แร่นกิ เกลิ 3. โรงงานสกดั แรน่ กิ เกิล 4. โรงงานบรรจผุ งแรน่ กิ เกิล 5. โรงงานสกดั ทำนกิ เกลิ คาร์บอนิล 6. โรงงานผลติ เหลก็ กล้า 7. โรงงานผลิตอัลลอย 8. โรงงานผลติ แบตเตอร่ีท่ีทำจากนกิ เกิล 9. โรงงานชุบโลหะ 10. โรงงานทำ Electroplating 11. โรงงานทใี่ ชก้ ารพน่ ไฟและตดั ด้วยพลาสมา 12. โรงงานผลติ สี 13. โรงงานอุตสาหกรรมโลหะหนกั 14. โรงงานผลติ ฉนวนไฟฟา้ 15. โรงงานเชอ่ื มโลหะ 16. โรงงานผลิตนกิ เกลิ Catalyst สาเหตุและกลไกการเกิดโรค ส่วนใหญ่เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจและการกิน พบมีนิกเกิลสะสมอยู่ในปอด และกระจายไป สะสมในกระดกู ต่อมธยั รอยด์ ต่อมหมวกไต ไต หัวใจ ตบั สมอง มา้ ม และตับอ่อน รวมทง้ั สามารถผา่ นรกได้ ในกรณีท่ีได้รับทางการกิน ร้อยละ 1-5 จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดและจับกับ อัลบูมิน ในพลาสมาเป็น nickelplasmin มีคา่ ครง่ึ ชีวิต 11 ช่ัวโมงหลงั กนิ และ 20-34 ชั่วโมงหลงั หายใจเขา้ ไป นกิ เกิลจะถูกขบั ออก จากปัสสาวะภายใน 17-30 ชัว่ โมง ส่วนน้อยขบั ออกทางนำ้ ย่อย ตับอ่อน น้ำดี และเหงื่อ เมื่อเขา้ สูร่ า่ งกายก็ ทำใหเ้ กิดอาการระคายเคือง ปฏิกิริยาภูมิแพ้ หรือ ภมู ไิ วเกนิ ได้160
อาการและอาการแสดงอาการเฉียบพลนั การหายใจนิกเกิลคาร์บอนิล(Nickel Carbonyl) ในบรรยากาศการทำงานที่มีปริมาณความเข้มข้น .30 ppm ขึ้นไป นาน 30 นาที จะทำใหเ้ สยี ชวี ติ ได้ ในระยะแรกจะมอี าการปวดศรี ษะ เวียนศรี ษะ คล่ืนไส้อาเจียน อ่อนเพลยี แนน่ หน้าอกนอนไม่หลบั และหงดุ หงิดง่าย ซึง่ หลงั จากนัน้ จะเรม่ิ ดขี นึ้ แต่ใน 12 ถงึ 36 ชั่วโมงต่อมาจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น โดยมีอาการของโรคปอดอักเสบได้แก่ อาการเจ็บแน่นหน้าอก ไอหายใจไมส่ ะดวก ตัวเขยี วจากขาดเลือดบางคร้งั มีอาการรุนแรงโดยมเี ลือดออก ในปอดมอี าการสมองอกั เสบซึ่งอาจจะทำใหเ้ สียชีวิตได้ มีการจัดข้ันของความรุนแรงตามปรมิ าณคา่ ของนกิ เกลิ ที่ตรวจพบในปสั สาวะ ดงั น้ี ขั้นความรุนแรง ระดับคา่ ของนกิ เกลิ ในปสั สาวะ นอ้ ย ( Mild) <10 ug/L ปานกลาง (Moderate) 10-50 ug/L มาก (Severe) >50 ug/Lอาการเรอื้ รัง การสมั ผัสนกิ เกิลเป็นเวลานาน ก่อใหเ้ กิดอาการตามสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายดงั น้ี :-ผิวหนัง : ทำใหเ้ กดิ โรคผวิ หนังอกั เสบจากการสมั ผัส ได้ 2 ชนิด คอื 1) Eczematous contact dermatitis หรือ “Nickel itch” โดยการสัมผัสนานจะเกิดเป็น ผ่ืนหนา (lichenification) อาการคนั ของ Nickel itch ในคนงานในโรงงาน electroplating จะมอี าการรุนแรงมากข้นึ ในช่วงฤดรู อ้ น เน่ืองจากอากาศรอ้ นช้ืนและมเี หง่อื ออกมาก 2) Atopic dermatitis ระบบทางเดินหายใจ : การหายใจเอาไอของนิกเกิลเข้าไปจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน เกิดเยอ่ื บจุ มกู อกั เสบชนิด chronic hypertrophic rhinitis ไซนัสอักเสบ nasal polyposis เย่อื กนั้ จมูกทะลุการดมกล่ินเสยี ไป เกดิ ปอดอักเสบชนดิ eosinophic ปอดเป็นพงั ผืด และเป็นโรค pneumoconiosis นกิ เกิล เป็นสารก่อใหเ้ กดิ โรคหอบหดื (asthma)ตา : ทำใหเ้ กดิ เยื่อบตุ าอกั เสบ (Conjunctivitis)มะเร็ง : จากการศึกษาในมนุษย์พบว่าสารออกไซด์และสารละลายของนกิ เกิล เป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งปอด และมะเร็งของโพรงจมูก (nasal sinus cancer) และพบว่ามะเร็งของระบบทางเดินหายใจ มีความสัมพันธ์กับระดับความเข้มข้นของสารละลายของนิกเกิลท่ีเกิน 1 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร นอกจากน้ันพบวา่ สารประกอบของนกิ เกิล อาจทำใหเ้ กดิ มะเรง็ ของลารงิ ซ์ กระเพาะอาหาร และ ไต 161
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ - การตรวจสมรรถภาพปอด และภาพรงั สีทรวงอก กรณีท่ีมีปอดอักเสบจะตรวจพบความจุของปอดและcarbon monoxide diffusing capacityลดลง ในภาพรังสีทรวงอกจะพบลักษณะท่ีเข้ากับรอยโรคของปอดอักเสบ Pneumoconiosis หรือปอดเป็นพังผืด - การตรวจการทำงานของตบั ตรวจพบ SGOT, SGPT มคี ่าสงู ขึ้น การตรวจยืนยนั โรค (Diagnostic test) การตรวจหาระดับของนกิ เกลิ ในปัสสาวะ ตรวจหาระดับของนิกเกิลในปัสสาวะในผู้ป่วยที่ได้รับนิกเกิลคาร์บอนนิล จากการหายใจ ถ้าพบค่าสงู กว่า 100 มคก/ล บ่งวา่ มกี ารสมั ผัสขัน้ รนุ แรงตาราง แสดงถึงอาชีพหรือลักษณะงานท่ีเสี่ยง ปริมาณเฉลี่ยของนิกเกิลในบรรยากาศการทำงานและ ปริมาณเฉลี่ยของนิกเกิล ในปัสสาวะของคนงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมชนิดต่าง ๆ ที่เสี่ยงต่อการ เกิดโรคพษิ นกิ เกลิ ชนดิ อุตสาหกรรม ปรมิ าณเฉลย่ี ของ ปริมาณเฉลย่ี ของ รายงานจากประเทศ นกิ เกิลในบรรยากาศ นกิ เกลิ ในปสั สาวะ (มคก/ล) การทำงาน (มคก/ลบ.ม) เหมือนแรผ่ ลิตนกิ เกลิ 6 - 40 สหรฐั ฯ,คานาดา โรงถลงุ แร่นกิ เกลิ 37 - 1,160 คานาดา 230 - 860 44.6 - 129 นอรเ์ วย์ 10 - 5,000 24 - 39 องั กฤษ Electrolytic refinery 20 - 2,200 8.6 - 813 มคก/ก ครีอะตนิ ีน. สหรัฐฯ 86 - 1,265 125 - 450 เช็คโกสโควาเกยี 0.1 - 500 49.9 - 117.5 ฟินแลนด์ Nickel carbonl refinery 10 - 5,000 องั กฤษ โรงงานผลติ เหลก็ กล้า 1 - 60,000 คานาดา 2 - 141 ฝรง่ั เศส <4 - 900 สหรัฐฯ โรงงานผลิต 1 - 4,400 คานาดา High nickel alloy 300 0.5 - 52 องั กฤษ โรงงานผลิต 3.4 - 25 สหรฐั ฯ Nickel batterry 12.3 - 33.0 23.7 - 26. มคก/ก ครอี ะตินีน. สหรัฐฯ 1.9 - 10.9 เยอรมันนี162
ชนดิ อตุ สาหกรรม ปรมิ าณเฉล่ยี ของ ปริมาณเฉล่ยี ของ รายงานจากประเทศ นกิ เกิลในบรรยากาศ นกิ เกลิ ในปสั สาวะ (มคก/ล) การทำงาน (มคก/ลบ.ม) โรงงานผลติ Nickel Catalyst 10 - 600 0.1 - 5.8 มคก/ก ครอี ะตนิ นี . สหรัฐฯ 11 - 26 อินเดยี โรงงาน Electroplating 3.6 - 65 สหรัฐฯ 30 - 160 25 - 120 ฟินแลนด ์ 0.1 - 42 0.7 - 50 อิตาลี โรงงานอุตสาหกรรม 3 - 3800 3.6 - 42.1 องั กฤษ ผลติ แก้ว Hollow glass โรงงานทใ่ี ชก้ ารพ่นไฟ 0.04 - 6.5 1.4 - 26 สหรัฐฯ และตดั ด้วยพลาสมา < 1 - 240 1.7 - 4.3 นวิ ซแี ลนด์ โรงกลึงโลหะ 0.05 - 129 0.5 - 9.5 สหรฐั ฯ โรงงานผลิตสี 6 - 39 สหรัฐฯ โรงงานเชื่อมโลหะ 70 - 1,070 8.1 - 38 สวเี ดน ผลิต High nickel alloy < 2 - 5 1.1 - 4.4 นวิ ซแี ลนด์การตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงาน โลหะนกิ เกลิ ( Nickel Metal) ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี) ตามประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบับท่ี 103 ลงวนั ท่ี 16 มีนาคม 2515 กำหนดใหค้ วามเขม้ ขน้ ในบรรยากาศการทำงานไม่ควรเกิน 1 มิลลกิ รัม/ลูกบาศก์เมตร สารละลายนกิ เกิล ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม (สารเคม)ี ตามประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบับท่ี 103 ลงวันท่ี 16 มีนาคม 2515 กำหนดใหค้ วามเขม้ ขน้ ในบรรยากาศการทำงานไม่ควรเกิน 1 มิลลกิ รัม/ลูกบาศกเ์ มตร นกิ เกลิ คาร์บอนนลิ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทำงานเก่ียวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี) ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับท่ี 103 ลงวนั ที่ 16 มนี าคม 2515 กำหนดให้ความเข้มข้นในบรรยากาศการทำงานไม่ควรเกนิ 0.007 มก/ ลบม. 163
เกณฑ์การวนิ ิจฉัยโรค 1. มีประวตั ิการสมั ผสั โดยทำงานที่มีการสัมผสั นกิ เกิล หรือสารประกอบของมนั มกี ารตรวจ ทางห้องปฏิบัติการแสดงอาการของโรค หรือ แสดงว่ามีการสัมผัส ตรวจหาระดับของนิกเกิล ในปัสสาวะใน ผู้ป่วยท่ีได้รับนิกเกิลคาร์บอนนิล จากการหายใจ ถ้าพบค่าสูงกว่า 100 มคก/ล บ่งว่ามีการสัมผัสข้ันรุนแรง มอี ากการการและอาการแสดงของพิษนกิ เกลิ ชัดเจนเชน่ อาการผิวหนกั อักเสบแบบภูมิแพ้ หอบหดื ปวดศีรษะ คล่นื ไส้ อาเจยี น ปอดอักเสบ ชัก 2. มีข้อมูลสิ่งแวดล้อมสนับสนุนว่ามีความเข้มข้นของนิกเกิล เกินค่ามาตรฐานที่กฎหมาย กำหนด 3. มขี ้อมลู ทางระบาดวทิ ยา ของเพือ่ นร่วมงานสนบั สนนุ 4. มกี ารวินจิ ฉยั แยกโรคอ่นื แลว้ บรรณานุกรม 1. โยธนิ เบญจวงั . นกิ เกิล. วลิ าวัณย์ จึงประเสริฐ, สุรจติ สนุ ทรธรรม บรรณาธกิ าร. อาชวี เวชศาสตร์ฉบับ พษิ วทิ ยา. สำนกั พิมพ์ไซเบอรเ์ พลส 2542: 60 – 66. 2. รวมกฏหมายความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม 2546. สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการ ทำงาน. 2547. 3. อดุลย์ บัณฑุกลุ บรรณาธิการ. แนวทางและเกณฑก์ ารวนิ จิ ฉัยโรคจากการทำงาน (ฉบับจัดทำพุทธศกั ราช 2547). สำนักงานกองทนุ เงนิ ทดแทน สำนักงานประกันสงั คม กรมทรวงแรงงาน ศนู ยอ์ าชีวเวชศาสตร์ และเวชศาสตร์ส่ิงแวดล้อม โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ 3. International Programme on chemical safety (IPCS). Environmental Health Criteria 108, Nickle. Geneva: World Health Organization, 1991. 4. Ladou J. Current Occupational & Environmental Medicine. 4th ed. McGraw Hill, New York 2007. 5. Zenz C, Dickerson OB, Horvath EP, eds. Occupational Medicine, 3rd ed. St. Louis: Mosby-Year Book, Inc. 1994. 164
(2) โรคท่ีเกิดขึ้นจากสาเหตุทางกายภาพDiseases caused by physical agents 165
166
2.1 โรคหตู งึ จากเสียง (Hearing impairment caused by noise)บทนำ เสยี งเป็นพลงั งานรูปแบบหนึ่ง มองไม่เหน็ และมักไมใ่ ช่พลังงานหลักท่ใี ช้ในงานอตุ สาหกรรม แตเ่ สยี งเป็นพลงั งานทถ่ี ูกปล่อยออกมาจากเครอื่ งจักรแทบทกุ ประเภท การสญู เสยี การได้ยินอนั เป็นผลจากการสมั ผสั เสียงดงั นาน ๆ เป็นโรคเหตอุ าชีพท่พี บบ่อย และหากไม่ตรวจการได้ยนิ ก็มกั ไมไ่ ด้รับการวินิจฉัยในระยะแรก เพราะความถี่ทเี่ รม่ิ เสียการไดย้ ินอยูน่ อกยา่ นความถี่การสนทนาในชวี ิตประจำวนั งาน/อาชพี ท่เี สี่ยง การทำงานในที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานาน หรือสัมผัสกับเสียงดังมากทันที (เช่น หม้อน้ำ โรงงานระเบดิ แกส๊ ระเบดิ ) โดยเฉพาะผู้ท่ที ำงานใน 1. อุตสาหกรรมสิ่งทอ 2. อุตสาหกรรมเครอ่ื งเรือน 3. อตุ สาหกรรมถลงุ เหลก็ 4. อตุ สาหกรรมเครื่องเหลก็ 5. อุตสาหกรรมเครอื่ งแก้ว 6. โรงเลือ่ ย 7. ขบั เรอื หางยาว 8. ขับรถสามล้อเคร่อื ง 9. ตำรวจจราจร 10. นักจดั รายการดนตร ี 11. อาชพี อนื่ ๆ ท่มี กี ารสัมผัสเสยี งดังสาเหตุและกลไกการเกดิ โรค เสียงเข้าสู่ร่างกายทางหูชั้นนอก เข้าสู่รูหู เย่ือแก้วหู หูชั้นกลางและหูชั้นในตามลำดับ เม่ือเปลย่ี นเป็นพลงั งานกลในหชู น้ั ในแล้วกจ็ ะส่งผลเสียต่อ hair cell ใน Organ of Corti ทำให้ hair cell ถูกทำลาย ส่งผลให้การไดย้ ินลดลงอาการและอาการแสดง อาจมเี สียงดงั ในห ู เวียนศรี ษะ หูออ้ื ทันที หรอื คอ่ ย ๆ อ้ือเพ่ิมขึ้น การตรวจหูชนั้ นอกมักไม่พบสง่ิ ผิดปกติ ในกรณที ่สี ัมผัสกับเสียงดงั มากทันที (acoustic trauma) เช่น เสยี งระเบิด อาจพบมแี กว้ หูทะลรุ ่วมด้วย 167
เสยี งดงั คอื เกนิ 90 dBA ในเวลา 8 ชั่วโมงการทำงาน เวลานานคอื นานอย่างนอ้ ย 1 ปี หรอื ทำงานในทท่ี ี่มเี สียงดงั ติดต่อกนั อยา่ งน้อย 3 วัน ในหนงึ่สปั ดาห์ เปน็ เวลา 40 สัปดาห ์ ต่อปี เสยี งดงั มากทนั ท ี คอื เสยี งดังเกนิ 140 dBA ท่ีเกดิ ข้ึนทนั ทีการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั ิการ เมื่อสูญเสียการได้ยินในระยะแรก ภาพบันทึกการได้ยิน (Audiogram) มีลักษณะเป็นรูปอกั ษร ว ี คือ มีจดุ ตก (notch) ท่ีบริเวณ 4,000 เฮิร์ทซ์ (3,000 – 6,000 เฮริ ท์ ซ)์ โดยพิจารณาเทียบกบั 2,000 และ 8,000 เฮริ ์ทซ ์ ซึง่ มกั เปน็ ท้ังสองข้างพอ ๆ กนั (bilateral) ภาพบันทึกการได้ยินจะเปล่ียนแปลงไปเมื่อสัมผัสกับเสียงดังนานข้ึน โดยจะสูญเสียการได้ยินมากข้ึนในความถอ่ี น่ื ๆ ด้วย ในที่สุดจะมภี าพบนั ทกึ การไดย้ นิ เป็นแบบ sensorineural hearing loss อย่างชัดเจน ซ่ึงจะแยกจาก sensorineural hearing loss จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น หูเสื่อมเหตุอายุมาก(presbycusis) ได้ยากการตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงาน การตรวจวดั ความเขม้ ของเสยี ง ในส่ิงแวดล้อมในทที่ ำงานจะช่วยบอกความดงั ของเสยี งแบบเปน็ปรนัย มากกว่าความรู้สึกว่าเสียงดังซึ่งเป็นอัตนัย และอาจทำแผนท่ีเสียง (noise contour) ของสถานประกอบการไว้ เพื่อประมาณปริมาณการสัมผสั เสยี ง ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรอื่ ง ความปลอดภัยในการทำงานเก่ยี วกบั ภาวะแวดลอ้ ม ลงวนัท่ี 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2519 หมวดที่ สาม เร่ืองเสยี ง ขอ้ 13 ภายในสถานประกอบการท่ีให้ลูกจา้ งคนหน่งึ คนใดทำการต่อไปนี้ 1. ไมเ่ กินวันละ 7 ชว่ั โมง ต้องมีระดับเสียงท่ลี ูกจา้ งไดร้ ับตดิ ตอ่ กันไมเ่ กนิ 91 เดซิเบล (เอ) 2. เกินกว่าวันละ 7 ช่ัวโมง แต่ไม่เกิน 8 ช่ัวโมง เสียงที่ลูกจ้างได้รับติดต่อกันไม่เกิน 90 เดซิเบล (เอ) 3. เกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง จะต้องมีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับติดต่อกันไม่เกิน 80 เดซิเบล (เอ) ข้อ 14 นายจ้างจะใหล้ ูกจา้ งทำงานในทมี่ ีระดบั เสียงเกนิ กว่า 140 เดซิเบล (เอ) มิได้เกณฑ์การวินิจฉัยโรค - อาการและอาการแสดงของการสญู เสยี การได้ยนิ - ประวตั กิ ารทำงาน โดยเฉพาะระยะเวลาการทำงาน - การตรวจสมรรถภาพการไดย้ ิน (audiometry) ซงึ่ ควรต้องพจิ ารณาเปรยี บเทยี บกับ การตรวจเมอื่ แรกเข้าทำงานซ่ึงทำไวเ้ ป็นพน้ื ฐาน (baseline audiogram) 168
บรรณานกุ รม1. สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน. แนวทางและเกณฑ์วินิจฉัย โรคจากการทำงาน (ฉบบั จัดทำพทุ ธศกั ราช 2547): หนา้ 90-1.2. International Labour Office. ILO Encyclopaedia of Occupational Health and Safety. 4th Ed Geneva. vol II; 1998: 47.2-47.18. 169
2.2 โรคจากความส่ันสะเทือน (Diseases caused by vibration)บทนำ ความสั่นสะเทือนเป็นพลังงานหลักที่ใช้เพ่ืองานบางชนิด เช่น การกระแทกเพื่อขุดหรือเจาะ การพมิ พด์ ดี การทุบ การเคาะ การต ี แตบ่ างคร้ังความสั่นสะเทอื นเป็นพลังงานซง่ึ ไม่ใช่พลงั งานหลักในการทำงานน้นั เช่น การขบั รถบรรทุก ฯลฯ งาน/อาชพี ทเ่ี สย่ี ง 1. ขบั รถแทรกเตอร์ 2. ขับรถแข่งหรือรถทม่ี ีการสนั่ สะเทอื นรนุ แรงบางอย่าง เชน่ รถบรรทุก 3. รถ off road อื่น ๆ เช่น รถขุด รถเกรด รถดมั พ ์ รถลากเล่อื ยและตดั ไม ้ รถขดุ และ เจาะแร่ และรถ forklift 4. คนงานท่ีคมุ เคร่ืองจักรผลิตคอนกรตี 5. ขบั เฮลคิ อปเตอรแ์ ละอากาศยานบางประเภท 6. ขับรถไฟ 7. ขับรถมอเตอร์ไซค์ 8. กิจกรรมทางกีฬาบางอยา่ งที่มคี วามสั่นสะเทอื น 9. อปุ กรณ์อตุ สาหกรรมบางอยา่ งทม่ี ีความสน่ั สะเทอื นสาเหตแุ ละกลไกการเกดิ โรค โดยการสัมผัสโดยตรงของร่างกายส่วนท่ีสัมผัสรับแรงส่ันสะเทือน แล้วส่งต่อให้ร่างกายส่วนอ่นื ๆ ต่อไป องค์ประกอบของแรงส่ันสะเทือนทีม่ ผี ลต่อรา่ งกาย ได้แก ่ ความถี ่ ความแรง (ขนาด) ทศิ ทางและระยะเวลาท่ีสมั ผัส อาการและอาการแสดง อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ ความส่นั สะเทอื นทงั้ รา่ งกาย ความส่นั สะเทือนเฉพาะส่วน (มือและแขน) และอาการเมารถเมาเรอื (motion sickness)ความสั่นสะเทอื นท้งั รา่ งกายอาการเฉียบพลัน 1. ความร้สู กึ ไมส่ บาย (Discomfort) 2. การรบกวนกิจกรรมท่ที ำอย:ู่ ความส่ันสะเทือน อาจจะสง่ ผลเสียต่อการรับรขู้ องประสาทตา ตอ่ การแสดงออกของการรับรแู้ ละการทำงานของมือและ / หรอื เท้า หรือตอ่ กระบวนการทำงานอนั ซบั ซ้อนท่ี170
เกี่ยวข้องตั้งแต่การรับความส่ันสะเทือน จนถึงการตอบสนอง เช่น การเรียนรู้ ความจำและการตัดสินใจ ผลเสียมากที่สุดของความสั่นสะเทือนทั้งร่างกายอยู่ที่กระบวนการรับ (โดยส่วนใหญ่ คือ รบกวนการมองเห็นหรือสายตา) และกระบวนการแสดงออก (โดยสว่ นใหญ่ คอื การใช้มือควบคุมเครื่องจักรและวตั ถ)ุ 3. การเปลี่ยนแปลงการทำงาน ของระบบสรีระวิทยา ซ่ึงแปรผลหรือวัดได้ยาก เนื่องจากความสนั่ สะเทือนทคี่ นงานสมั ผัสมกั จะร่วมกับปจั จัยอ่นื ๆ ท่ีมคี วามสำคญั ดว้ ย เช่น งานทม่ี คี วามเครียดสงู เสียงดัง และการสมั ผสั สารพิษ 4. การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ เช่น การเพ่ิมแรงกดต่อไขสันหลัง ซ่งึ เปน็ ผลจากการลดความมัน่ คงของกลา้ มเน้ือหลงั ในขณะสมั ผสั ความถี่ 6.5-8 hertz และในชว่ งเร่มิ ตน้ ของการมคี วามสัน่ สะเทือนในแนวขน้ึ ลง 5. การเปลย่ี นแปลงทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดนิ หายใจ ระบบ ตอ่ มไร้ทอ่ และระบบเมตาโบลิสม 6. การเปลี่ยนแปลงระบบประสาทสัมผัสและระบบประสาทส่วนกลางมีการทดลอง ให้สัมผัสเสียงร่วมกบั ความส่ันสะเทอื นทัง้ รา่ งกาย ไม่ว่าจะเปน็ สัมผัสระยะสนั้ หรอื สมั ผัสตอ่ เน่ืองนาน ๆ พบวา่ ความส่ันสะเทอื นมีผลเสียเสริมกบั การเสียการไดย้ นิ โดยที่การสมั ผสั ความสัน่ สะเทอื นทง้ั ร่างกายท่ี 4-5 hertz มีความสัมพันธ์กับการเพ่ิมขึ้นของการเสียการได้ยินแบบช่ัวคราว ส่วนความส่ันสะเทือนในแนวข้ึนลงและ ทางขวาง อยา่ งมากเปน็ ครง้ั คราว จะกระตุ้นไฟฟา้ ในสมอง (brain potentials) ด้วย การเปลยี่ นแปลงการทำงานของระบบประสาทสว่ นกลางของมนษุ ย์กส็ ามารถวัดได้โดย Auditory evoked brain potentials อาการเรอ้ื รัง 1. ผลเสียต่อไขสนั หลัง การสัมผสั ความส่ันสะเทือน ท้งั ร่างกายอย่างแรง ต่อเนอ่ื ง เป็นเวลานาน ทำให้เกิดผลเสยี ตอ่ กระดูกสนั หลังและเพม่ิ ความเสย่ี งท่จี ะเปน็ โรคปวดหลังสว่ นล่างได้ กระดกู สันหลังส่วนเอว เป็นส่วนที่ได้รับผลจากความสั่นสะเทือนทั้งร่างกายมากท่ีสุด ตามมาด้วยกระดูกสันหลังส่วนทรวงอก 2. ผลเสียต่อสุขภาพด้านอ่ืน ๆ ข้อมูลทางวิทยาการระบาดแสดงว่า การสั่นสะเทือน ทั่วร่างกายเป็นปัจจัยหนึ่งในปัจจัยหลาย ๆ อย่างท่ีร่วมกันก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ซ่ึงได้แก่ เสียง ความเครียดด้านจิตใจ และการทำงานเปน็ กะ 1.1 ระบบประสาท : อวยั วะทคี่ วบคมุ การทรงตัวและอวัยวะรับเสยี ง ความสนั่ สะเทือนทว่ั ร่างกายอย่างรุนแรงที่ความถี่สูงกว่า 40 hertz อาจก่อให้เกิดการทำลายและการ รบกวนระบบประสาทสว่ นกลาง 1.2 ระบบไหลเวียนโลหติ และระบบย่อยอาหาร: มีรายงานการรบกวนระบบการไหลเวียน เลือด 4 กลมุ่ ดว้ ยกนั วา่ มีอบุ ัตกิ ารณส์ งู ข้ึนในคนงานที่รับสัมผัสกับความสั่นสะเทือน ทวั่ ร่างกาย ไดแ้ ก่ (1) ความผิดปกติทีร่ ะบบประสาทสว่ นปลาย เช่น กลุ่มอาการ Raynaud ในตำแหน่งท่ีใกล้กับจดุ ทรี่ บั ความสนั่ สะเทอื นทวั่ รา่ งกาย (2) เส้นเลือดขอด ที่ขา ริดสีดวง และ varicocele (3) โรคหัวใจขาดเลือดและความดันโลหิตสูง และ(4) ความเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทและหลอดเลือด อย่างไรกต็ ามการเจบ็ ป่วยจากการรบกวนระบบไหลเวียนเหล่าน้ีไม่ได้มีความสัมพันธ์กับขนาดหรือระยะเวลา 171
ของการสมั ผัสความสนั่ สะเทือนเสมอไป แม้วา่ ความผดิ ปกติของระบบทางเดินอาหาร จะมีความชุกสูงในกลุ่มคนที่สัมผัสความสั่นสะเทือนทั่วร่างกาย แต่นักวิชาการส่วน ใหญ่เห็นพ้องกันว่า ความสั่นสะเทือนทั่วร่างกายไม่ใช่สาเหตุเดียวและไม่ใช่สาเหตุ สำคัญทส่ี ุด 1.3 ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง การต้ังครรภ์และระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง พบว่ามีความ เส่ียงในการแท้งเพ่ิมขึ้น ความผิดปกติของประจำเดือนเพ่ิมข้ึน และความผิดปกติ ของตำแหน่งมดลูกเพ่ิมขึ้น ซึ่งมีผู้ตั้งสมมติฐานว่าเกี่ยวกับการสัมผัสความสั่นสะเทือน ท่ัวร่างกายต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามระดับรับสัมผัสที่ปลอดภัย (safe exposure limit) เพอ่ื ท่ีจะหลีกเลีย่ งความเสย่ี งตอ่ สขุ ภาพเหล่าน ้ี ไมส่ ามารถค้นหาได้ จากงานวจิ ัยทผ่ี า่ นมา ความไวของแตล่ ะบุคคลกม็ ผี ลต่อการเปลี่ยนแปลงทางชีววทิ ยา เหล่านี้ด้วยความส่ันสะเทอื นเฉพาะมือและแขน Vibration White Fingers (VWF): หรือท่ีปจั จบุ ันนยิ มเรยี กกนั วา่ Hand - arm vibration syndrome (HAVS) อาการประกอบด้วย การเสยี วแปลบ ชา และซีดขาวของน้ิวมอื อาจเสียความสามารถในการควบคุมกล้ามเนือ้ และเมอ่ื มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลีย้ งดังเดิม อาจมีอาการปวดและความรสู้ กึ รอ้ น- เย็นลดลง ในรายทร่ี นุ แรง จะมีการทำลายผนงั หลอดเลือดแดงที่นิ้ว ทำให้รหู ลอดเลือดเล็กลง และจะมีการดาํ เนนิ โรครุนแรงขน้ึ เรอื่ ย ๆ โดยมอี งคป์ ระกอบ 3 อย่าง คอื (1) มีการรบกวนการไหลเวียนเลอื ด ทำให้มีหลอดเลือดตีบและ น้ิวซีดขาว (2) มีการทําลายเส้นประสาทรับความรู้สึกและเส้นประสาทส่ังการ ทำให้มีอาการเสยี วแปลบ ชา เสยี การประสานงานระหวา่ งนิว้ และความคล่องแคลว่ ในการใชม้ อื และ (3) มคี วามผดิ ปกตขิ องระบบกระดูกและกล้ามเนอื้ อาการเฉยี บพลัน ความรู้สึกไม่สบาย (discomfort) ความส่ันสะเทือนในแนวต้ังหรือแนวขึ้นลงทำให้เกิดความไม่สบายมากกว่าความสั่นสะเทือนในทิศทางอ่ืน นอกจากนี้ความรู้สึกไม่สบายของผู้ใช้อุปกรณ์ยังขึ้นกับองค์ประกอบของความส่ันสะเทือนว่ามีย่านความถ่ีเป็นอย่างไร และขึ้นกับแรงและเครื่องมือท่ีมีความสั่นสะเทือนนน้ั การรบกวนการทำงาน - การสัมผัสเฉพาะมือและแขนอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดการเพ่ิมข้ึนชว่ั คราวของ Vibrotactile threshold เน่ืองจากการกดการกระตุ้นของระบบรับสัมผัสที่ผิวหนัง การสัมผัสความเยน็ เพิม่ การกดการรบั สมั ผสั ที่เกิดจากความสน่ั สะเทือนดว้ ย เพราะอณุ หภมู ิที่ลดลงมีผลให้หลอดเลอื ดหดตวั เลอื ดไปเล้ียงนิ้วมือลดลงและลดอุณหภูมทิ ผ่ี ิวหนงั ของนิว้ มือ ในคนงานทส่ี มั ผัสความสั่นสะเทอื นซึง่จะต้องทำงานในท่ีมีอุณหภูมิต่ำการมีประสาทสัมผัสที่ผิวหนังลดลงบ่อย ๆ อาจจะส่งผลให้เกิดการลดลงของการรับประสาทสัมผัสอย่างถาวรและเสียความถนัดของมือในการจับต้องอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้มีการรบกวนการทำงาน เพิม่ ความเสี่ยงทีจ่ ะเกิดการบาดเจบ็ เนอื่ งจากอบุ ัตเิ หตไุ ด้172
ผลเสียต่ออวยั วะต่างๆระบบกระดกู และขอ้ การบาดเจ็บต่อกระดูกและข้อท่ีเป็นผลจากความส่ันสะเทือนนั้นยังเป็นประเด็นท่ีถกเถียงกัน ผู้รู้บางท่านเห็นว่าความผิดปกติของกระดูกและข้อของคนงานที่สัมผัสเคร่ืองมือที่มีความสั่นสะเทือนนั้นไม่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และมีความคล้ายคลึงกับการเปล่ียนแปลงที่มาจากกระบวนการเสื่อมตามอายุของคนงานท่ีทำงานหนัก ในขณะท่ีผู้รู้บางท่านรายงานลักษณะการเปล่ียนแปลงทางกระดูกและข้อที่เฉพาะเจาะจง ทม่ี ือ ขอ้ มอื และข้อศอกว่าเป็นผลจากการสัมผสั ความสน่ั สะเทอื นเฉพาะมอื และแขนเป็นเวลานาน อย่างไรกต็ าม ประเทศฝร่งั เศส เยอรมนั และอิตาลี ถอื วา่ ความผิดปกตขิ องกระดูกและข้อทเ่ี กดิ ขึ้นในคนงานทใ่ี ช้เครื่องมือที่มีความส่ันสะเทือน ได้รับการพิจารณาว่าอาจเป็นโรคเหตุอาชีพ และคนงานเหล่านั้นมิสิทธ์ิได้รับเงนิ ทดแทน ระบบประสาท คนงานที่ใช้เครื่องมือที่มีความส่ันสะเทือนอาจจะมีอาการชาและเจ็บแปลบ ๆ ท่ีนิ้วมือและมือ ถา้ ยงั ทำงานสัมผสั ความสั่นสะเทอื นต่อไป อาการเหล่าน้จี ะแย่ลงและอาจจะรบกวน ขีดความสามารถในการทำงานและการดำรงชีวิตประจำวัน คนงานเหล่าน้ีอาจจะวัดได้ว่ามีการรับรู้ต่ออุณหภูมิและการสัมผัสลดลงในการตรวจทางคลินกิ มีผ้เู สนอว่า การสมั ผัสความสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องไม่เพยี งแต่ลดการกระตุ้นตัวรบั ที่ผวิ หนัง แต่ยังเพิม่ การเปลีย่ นแปลงทางพยาธิสภาพต่อเสน้ ประสาททน่ี ว้ิ มอื เชน่ มกี ารบวมรอบเสน้ ประสาทตามด้วยการเกิดพังผืดและใยประสาทเสียหาย การสำรวจทางวิทยาการระบาดในคนงานท่ีสัมผัสความส่ันสะเทือนแสดงให้เห็นว่า ความชุกของความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลายแตกต่างกัน ตั้งแต่ไม่ก่ีเปอรเ์ ซน็ ต์ถึงมากกวา่ 80 เปอรเ์ ซ็นต์ และการเสียประสาทรบั สัมผสั เกดิ ขน้ึ ในคนงานท่ใี ช้เคร่อื งมอื มากมายหลากหลายชนิด และดูเหมือนว่าความผิดปกติที่เส้นประสาทซึ่งเป็นผลจากความส่ันสะเทือนนั้นเกิดข้ึนเป็นอิสระจากความผิดปกติที่เกิดจากความส่ันสะเทือนแบบอื่น ๆ แนวทางการแบ่งกลุ่มน้ันมีผู้เสนอไว้ในStockholm workshop ระบบกลา้ มเนอ้ื คนงานท่ีสัมผัสกับความส่ันสะเทือนอาจจะมีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและมีอาการปวดในมือและแขน และอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้สูญเสียสมรรถภาพในคนงานบางคน การลดลงของความแข็งแรงของแรงจบั ของมอื กม็ ีรายงานในคนงานท่ใี ช้เครอื่ งขดุ เจาะ มีผู้เสนอกลไกอธบิ ายว่าเปน็ การบาดเจบ็ ด้วยแรงเชงิ กลโดยตรง หรือมีการทำลายของเส้นประสาทส่วนรอบว่าเป็นสาเหตุและกลไกของการเกิดอาการทางกล้ามเนื้อ อาการที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้ออ่ืน ๆ ได้แก ่ เอ็นอักเสบและปลอกหุ้มเอ็นอักเสบในแขนและมือส่วนบน และ Dupuytren’s contracture ความผิดปกติเหล่านี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบที่เป็นแรงเค้นทางการยศาสตร์จากการทำงานหนัก ในขณะท่ีความสัมพันธ์กับความสั่นสะเทือนท่ีผ่านมาทางมือน้ันไม่ชดั เจน 173
ความผิดปกติของระบบหลอดเลือด Raynaud’s phenomenon ท่ีมีสาเหตุจากอาชีพ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า vibration-inducedwhite finger (VWF) การจดั ระดับความรุนแรงของ VWF ก็ไดถ้ กู นำเสนอใน Stockholm workshop เชน่เดียวกนั มีการตรวจทางห้องปฏบิ ัติการหลายอย่างที่ถูกใช้เพอ่ื การวนิ ิจฉยั VWF อย่างเป็นปรนัย ส่วนใหญ่อาศัยการกระตุ้นโดยให้สัมผัสความเย็นและการวัดอุณหภูมิท่ีผิวหนังบริเวณน้ิว การวัดการไหลเวียนของเลือดไปยงั น้ิวและความดันเลอื ดในนิ้วก่อนและหลงั การทำให้น้ิวและมือเยน็ ลง ข้อมูลทางวิทยาการระบาด แสดงว่าความชุกของ VWF มีความแปรปรวนสูง ตั้งแต่ 1-100 เปอรเ์ ซ็นต์ อย่างไรก็ตามตัง้ แตป่ ี 1975-1980 เป็นตน้ มา อตั ราอบุ ตั กิ ารณ์ของผปู้ ่วยรายใหม่ของ VWF ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในยุโรปและญี่ปุ่น หลังจากมีการใช้เลื่อยท่ีมีการต้านความสั่นสะเทือน และมาตรการในเชิงบริหารจัดการโดยการลดระยะเวลาทำงานสัมผสั ความสน่ั สะเทอื น ความผิดปกติอ่ืน ๆ มีการศึกษาพบว่าคนงานท่ีมี VWF จะมีการสูญเสียการได้ยินมากกว่าท่ีคาดว่าจะเกิดจากอายแุ ละการสัมผัสเสยี งเทา่ นัน้ ในรัสเซียและญ่ีปุ่นมคี นบรรยายกลมุ่ อาการทางคลินกิ วา่ โรคความส่ันสะเทือน (vibration disease) ซึ่งมีอาการและอาการแสดงสัมพันธ์กับการรบกวนการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในสมอง เช่น มีอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดศีรษะ หงุดหงิด มีปัญหาในการ นอนหลับ ความรู้สึกทางเพศลดลง และความผิดปกติของคลื่นสมอง อย่างไรก็ตามความผิดปกติเหล่าน้ี ควรจะแปรผลด้วยความระมัดระวังและใช้การออกแบบทางวิทยาการระบาดท่ีดีกว่านี้ รวมท้ังการวิจัยทางคลินิกด้วย เพื่อยืนยันทฤษฎีหรือสมมติฐานที่ว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางเหล่าน้ ี กบั การสมั ผสั ความสนั่ สะเทอื นทผี่ า่ นมาทางมอื การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัติการ ความสัน่ สะเทอื นอาจเกิดข้นึ ไดใ้ น 3 แกน หรือ 3 ทศิ ทาง รวมทงั้ การหมนุ ตามแกน ท้งั 3นน้ั คอื แกน X แกน Y และแกน Z โดยทั่วไปความสั่นสะเทือนอาจสามารถวดั ได ้ ณ จุดสมั ผสั ระหว่างรา่ งกายกับความสั่นสะเทือนน้ัน ในการประมาณระยะเวลาท่ีมนุษย์สัมผัสความสั่นสะเทือนนั้น การใช้นาฬิกาจับเวลาอาจจะเพียงพอที่จะประเมินระยะเวลาสัมผัส ในกรณที ่ีการสัมผัสความส่ันสะเทือนไม่ยุ่งยากซับซอ้ น แตก่ ารสัมผัสความส่ันสะเทือนในงานอาชีพน้ันมักจะเป็นลักษณะแบบสัมผัสเป็นคร้ัง ๆ (intermittent) มีขนาดความแรงแตกต่างกันจากช่วงหนึ่งไปยังอีกช่วงหน่ึง หรืออาจจะมีการกระแทกอย่างแรงร่วมด้วยเป็นคร้ังคราว การเคลือ่ นไหวเหลา่ น้ีอาจมีการสะสมซึง่ อาจจะคำนวณไดโ้ ดยการคำนวณขนาดสะสม บางครงั้ อาจเปน็ ความสน่ั สะเทอื นท้ังสองแบบรว่ มกนั ได้ เช่น คนงานใช้เคร่อื งขุดเจาะ จะได้รบัความส่ันสะเทือนท่ีมือและแขน ถ้าเขาใช้ท้องหรือลำตัวกดหรือยันเครื่องขุดเจาะนั้น เขาก็จะได้รับความส่ันสะเทอื นทงั้ รา่ งกายได้ ความส่นั สะเทอื น อาจเป็นแบบ หนา้ -หลัง (back-and-forth) ขน้ึ -ลง (up-and-down) หรือซ้าย-ขวา (side-to-side) ความถี่ของความสั่นสะเทือน (vibration frequency) มีหน่วยเป็นเฮิทซ์ (Hertz:Hz) ในส่ิงแวดล้อมการทำงาน ความส่ันสะเทือนส่วนใหญ่จะมีมากกว่า 1 ความถ่ีในขณะเดียวกัน เรียกว่าเปน็ ย่านความถี่ (vibration spectrum) ส่วนกำธรความสัน่ สะเทอื น (resonance) หมายถึงสภาพท่ีเหมาะสมท่ีจะทำให้เกิดการถ่ายเทพลังงานความสั่นสะเทือนได้อย่างสูงสุด จากแหล่งกำเนิดความสั่นสะเทือนมายัง174
ผู้รับ(ร่างกายมนุษย์) ประกอบกับมีการขยายความสั่นสะเทือนท่ีผ่านเข้ามาในร่างกายทำให้มีผลเสียต่อร่างกายมากข้ึนความถี่ของความส่ันสะเทือนมีผลต่อความมากน้อยที่ความส่ันสะเทือนนั้นจะผ่านร่างกาย และความมากน้อยท่ีความส่ันสะเทือนนั้นจะถึงร่างกาย รวมถึงผลท่ีความสั่นสะเทือนนั้นจะมีต่อร่างกายมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างระยะขจดั ท่ีวัตถหุ รอื ร่างกายมนุษยเ์ คล่อื นทีไ่ ปกม็ ีความสัมพันธก์ บั ความถี่ของความสน่ั สะเทือนดว้ ย ผลของความสั่นสะเทือนทง้ั ร่างกายจะมากท่สี ุดในความถ่ีระหวา่ ง 0.5-100 Hertz และสำหรับความสน่ัสะเทือนทม่ี ือความถส่ี งู ถงึ 1000 Hertz หรือมากกว่า อาจจะมีผลเสยี ตอ่ รา่ งกายได้ ในขณะที่ความถ่ตี ำ่ กว่า0.5 Hertz อาจจะทำใหเ้ กดิ อาการเมารถเมาเรอื ได้ (motion sickness) การทดสอบทางสรรี ะวิทยา รังสวี ินิจฉัยและไฟฟ้าตา่ ง ๆ ท่มี ผี ู้ศกึ ษาวจิ ยั ไว ้ ได้แก่ 1. Quantitative sensory testing (QST) คือ การใช้เทคนิคทางสรีระจิตวิทยาเพื่อวัดความแรงของการกระตุ้น เพื่อใหเ้ กดิ การรับรู้เฉพาะบางอย่าง องค์ประกอบทางกายภาพเป็นการกระตุน้ ทีม่ ีความแรงแตกต่างกันไปยังผิวหนัง ตาหรือหู และองค์ประกอบทางจิตวิทยา คือสภาพการรับรู้ของจิตใจต่อสิ่งกระตุ้นทางกายภาพดงั กลา่ ว เน่ืองจากการสัมผสั ความสัน่ สะเทอื นอาจจะกอ่ ให้เกดิ อาการและอาการแสดงของความผดิ ปกตขิ องระบบประสาทรบั สัมผัสในมือและแขน การใช้ QST เป็นเครอ่ื งมอื ช่วยในการตรวจคดั กรองและวินิจฉัยจึงมผี สู้ นใจมากขึน้ เชน่ การจัดกลมุ่ ของ Stockholm Workshop ท่มี กี ารจดั กลุม่ การเปลย่ี นแปลงระบบประสาทสัมผัสก็ใช้ QST QST นั้นทำได้ง่ายไม่ทำให้เกิดการเจ็บปวด เหมาะสำหรับใช้คัดกรองและสามารถใช้ในงานภาคสนามได้ แต่ QST กข็ ึน้ กบั ผลของตวั แปรหลายตวั และวิธีทดสอบด้วย จงึ มคี วามสำคญัทจี่ ะพจิ ารณาผลที่วัดได ้ ว่าได้รบั อิทธพิ ลจากตัวแปรเหล่านีม้ ากนอ้ ยเพยี งใด ตัวแปรเหล่าน้ีมีอะไรบา้ ง และพยายามจัดทำให้เป็นมาตรฐานถึงวิธีการตรวจท้ังหลายก่อนที่ QST จะมีความเชื่อถือได้สูงกว่านี้และเป็นประโยชน์ในการเป็นเครื่องมือตรวจวินิจฉัยและคัดกรองในการตรวจหาความผิดปกติในระบบรับสัมผัสท่ีเกิดจากความสั่นสะเทือน ความไว ความจำเพาะ และความเชอ่ื ถอื ไดข้ องวธิ ีการตรวจตา่ ง ๆ ของ QST สำหรบัความผิดปกติท่ีเกิดจากความส่ันสะเทือนนี้ยังไม่เป็นท่ีทราบกันดีนัก สาเหตุเกิดจากการไม่ทราบค่าปกติ การไม่ไดจ้ ัดทำการตรวจใหเ้ ปน็ มาตรฐาน และยังขาด gold standard สำหรับความผิดปกติของระบบประสาทรับสัมผสั 2. การทดสอบโดยให้สัมผัสความเย็นที่มือภายใต้สภาพท่ีกำหนด แล้ววัดความดันโลหิตที่น้ิวโดยใช้เคร่ือง Laser Doppler flowmetry พบว่า การตรวจดงั กล่าวมคี วามไวและความจำเพาะต่ำ แต่ก็ยงั พบความแตกต่างอย่างมาก ในกลุ่มที่ได้รับการวินิจฉัยกับกลุ่มท่ีไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น VWF ผู้วิจัยเสนอว่าการใช้แบบสอบถามเก่ียวกับอาการของ VWF อาจได้รับอิทธิพลจากบริบทที่ผู้ตอบตอบแบบสอบถามนั้น จงึ ควรท่จี ะใช้วิธที ดสอบท่เี ปน็ ปรนัยมากกวา่ น้ใี นการประเมนิ คนงานทอี่ ยใู่ นภาวะเสี่ยงท่ีจะเกดิ VWF 3. วธิ ี Current perception threshold มีผู้ศกึ ษาวธิ นี โี้ ดยทดสอบที่ 3 ความถี ่ คอื 5 Hertz,250 Hertz และ 2000 Hertz ทน่ี ้ิวช้แี ละน้วิ ก้อย โดยความถที่ ้งั 3 นจี้ ะเป็นการประเมินเสน้ ประสาทท่ีไม่มีmyelin หุ้ม เส้นประสาทขนาดเล็กท่ีมี myelin หุ้ม และเส้นประสาทขนาดใหญ่ที่มี myelin หุ้มตามลำดับ พบว่ากลุ่มท่ีมี HAVS มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของ Current perception threshold ท้ังในนิ้วชี้และ นิ้วก้อย แต่การเพิ่มข้ึนนี้มีนัยสำคัญเฉพาะในเส้นประสาทที่มี myelin ไม่พบความแตกต่างในเส้นประสาทที่ไมม่ ี myelin ความไวของการตรวจ HAVS โดยวิธนี ี้คอ่ นข้างสงู และไดเ้ สนอให้ใช้ Current perceptionthreshold เปน็ การประเมิน HAVS ด้วย 175
4. มผี ศู้ ึกษาโดยใช้ Two-point discrimination กบั Depth sense perception ตรวจในกลุ่มคนท่ีมี HAVS, กลุ่มคนที่ทำงานใช้แรงงาน, และกลุ่มคนท่ีทำงานแบบอยู่กับท ี่ พบว่า Two-pointdiscrimination มีความไวมากกว่า Depth sense perception ในการตรวจทราบความผิดปกติทางระบบรับสมั ผสั ในคนที่มี HAVS และเสนอให้ใช้ Two-point discrimination ในการประเมินความผิดปกติของระบบประสาทรับสมั ผัสในผูป้ ่วยที่มี HAVS 5. การวินิจฉัยการหดเกร็งของเส้นเลือดแดงในน้ิวมือในผู้มี HAVS มีผู้ศึกษาโดยใช้ Coldprovocation thermography โดยทำการทดสอบนี้ในกลุ่มควบคุม 10 คน และผู้ป่วยท่ีมีอาการ Raynaud 21 คน ซง่ึ อาการ Raynaud นเี้ ป็นผลทตุ ิยภูมิมาจาก HAVS การทำให้เห็นภาพ (image) ก่อน แลว้ ให้ผ้ถู ูกตรวจสวมถงุ มือ latex และแช่ไปในนำ้ ทมี่ ีอณุ หภูมิ 5 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 นาที เอามือขน้ึ มาจากน้ำ ถอดถงุ มอื ออกและตรวจภาพมอื อีกครั้ง ทุก ๆ 30 วนิ าที เปน็ เวลา 10 นาท ี ในแต่ละภาพท่ีเหน็ อณุ หภูมิท่ีปลายน้ิวและทีโ่ คนนวิ้ จะถกู วเิ คราะห์สำหรับน้วิ แตล่ ะนิว้ แยกกันความไว ความจำเพาะ positive predictivevalue และ negative predictive value ได้ถูกวิเคราะหแ์ ยกระหวา่ งอณุ หภมู ิปลายน้วิ , อุณหภูมิปลายนว้ิ และโคนนิ้ว, และอุณหภูมิปลายนิ้ว อุณหภูมิโคนนิ้วกับความแตกต่างของอุณหภูมิโคนนิ้วกับปลายน้ิว พบว่า ผู้ป่วยท่ีมี Raynaud ที่เป็นผลจาก HAVS มีอุณหภูมิปลายน้ิวและโคนน้ิวต่ำกว่า และมีความแตกต่างของอุณหภูมิโคนน้ิวกับปลายน้ิวต่ำกว่ากลุ่มควบคุมทุกช่วงเวลา และเสนอว่าการตรวจด้วย Cold provocationthermography นี้ มคี วามไว ความจำเพาะ positive predictive value และ negative predictive valueสูง เหมาะทจี่ ะใชใ้ นทางคลินิก เพื่อวนิ ิจฉยั การหดตวั ของหลอดเลอื ดแดงในน้วิ มือ 6. มีผู้ศึกษาโดยการฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดแดงแล้วถ่ายภาพรังสีของหลอดเลือดที่มือและเท้าของผู้ป่วย HAVS และพบว่ามีการตีบแคบลง หรือมีการคดงอของเส้นเลือดเหล่าน้ีในผู้ป่วยเกือบ ทกุ ราย 7. มีการศกึ ษาเปรียบเทยี บ Vibration perception threshold, Pain perception thresholdและ Thermal perception threshold ในนิ้วกลางของผู้ป่วย HAVS 50 ราย และกลุ่มควบคมุ 29 รายที่มีอายุใกล้เคียงกัน ผลการศึกษาพบว่า Thermal threshold รวมทั้ง Vibration threshold และ Painthreshold เสอื่ มลงชัดเจนกวา่ ในผปู้ ่วยเทยี บกับในกลมุ่ ควบคุม ในกลุ่มผู้ป่วยเอง Warm threshold เพ่ิมขนึ้ และ Cold threshold ลดลง เมือ่ พิจารณาตาม Stockholm Workshop scale Thermal threshold มีสหสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับ Pain threshold และความไวของ Thermal threshold ดูจะมากกว่าของ Painthreshold ผวู้ ิจัยจงึ เสนอให้ใช้ Thermal perception threshold แทน Pain perception threshold ในการตรวจหาการบาดเจ็บต่อเสน้ ประสาทขนาดเลก็ ในผู้ทีม่ ีความผิดปกติท่เี กดิ จากความสัน่ สะเทอื นการตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยทั่วไปไม่มีการตรวจสิ่งแวดล้อม แต่สามารถประเมินได้ว่าเครื่องจักรเคร่ืองยนต์มีความสั่นสะเทือนมากหรือน้อย อย่างไรก็ตามในกรณีสัมผัสต่อเน่ืองมานาน การประเมินความส่ันสะเทือนของเคร่อื งจกั รเครือ่ งยนต์ที่สมั ผัสมาในอดตี คงตอ้ งอาศัยผเู้ ชี่ยวชาญ เชน่ นกั อาชวี สุขศาสตร์176
เกณฑก์ ารวินิจฉัยโรค การวินจิ ฉัยโรคจากความสน่ั สะเทอื นทั้งร่างกาย ขอ้ มลู เท่าที่มีอยู่ในปจั จบุ นั ไมส่ นบั สนุนวา่ โรคจากความสั่นสะเทอื นท้ังรา่ งกายเปน็ โรคเหตอุ าชีพ(occupational disease) คงเปน็ เพยี งโรคทีเ่ ก่ยี วเนอ่ื งกับการทำงาน (work-related disease) เทา่ นั้นหรอื เปน็ปัจจัยเสี่ยงของโรคอนื่ เชน่ โรคปวดหลงั การวินจิ ฉยั จงึ อาศัยการวินิจฉัยโรคนนั้ บวกกับการประเมินการสัมผสัความสน่ั สะเทือนทง้ั รา่ งกาย เช่น การซกั ถามประวัตกิ ารทำงาน การสมั ผสั ความส่ันสะเทือนในงานอดเิ รกหรอืนันทนาการ เชน่ กฬี าฯ แลว้ ให้นำ้ หนักกับการสัมผัสนนั้ ว่ามากนอ้ ยเพียงใด และประเมนิ ว่าเปน็ โรคทีเ่ กีย่ วเนื่องกับการทำงานสัมผัสความส่ันสะเทือนท้ังร่างกาย หรือการทำงานสัมผัสความส่ันสะเทือนทั้งร่างกายเป็นปจั จยั เส่ียงใหเ้ ป็นโรคดงั กล่าว หรอื ไม่ การวินิจฉัยโรคจากความสัน่ สะเทือนเฉพาะมือและแขน เน่ืองจากประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน จึงน่าจะมีอุบัติการณ์ของโรคจากความสั่นสะเทือนเฉพาะมือและแขนต่ำกว่าประเทศในเขตหนาว อยา่ งไรก็ตาม ไมม่ ขี อ้ มูลยืนยันข้อสงั เกตนีไ้ ด ้ การวนิ ิจฉยั โรคจากความส่ันสะเทือนเฉพาะมือ และแขนก็คงต้องอาศัยประวัติการทำงานสัมผัสความสั่นสะเทือนเฉพาะมือและแขน, การประเมนิ การสัมผสั ในเชิงคณุ ภาพหรอื ในเชิงปรมิ าณ, ลกั ษณะทางคลินกิ ตาม Stockholm scale,การวนิ ิจฉัยแยกโรคอนื่ ๆ ออกไป และการตรวจพเิ ศษตา่ ง ๆ ทางประสาท สรรี วทิ ยาหรอื ทางไฟฟา้ หรอื ทางรงั สวี ินิจฉยั ตารางท่ี 1 Stockholm Revised Vibration Syndrome Classification System ระยะ ความรนุ แรง ลกั ษณะ I องค์ประกอบด้านการไหลเวียนโลหติ * 1 เล็กน้อย นิว้ ซดี ขาวเป็นบางคร้ัง เฉพาะปลายนิว้ นวิ้ เดยี ว หรือหลายนวิ้ 2 ปานกลาง นิ้วซดี ขาวเป็นครัง้ คราว ท้ังปลายน้วิ และ นิ้วขอ้ กลาง (distal and middle phalanges) นว้ิ เดียวหรอื หลายน้ิว 3 รนุ แรง นิ้วซีดขาวบอ่ ย ทกุ ขอ้ น้ิวของนว้ิ ส่วนใหญ่ 4 รนุ แรงมาก เหมอื นระยะ 3 และมีการเปลี่ยนแปลงของ ปลายนวิ้ ในทางเสอื่ มลง (trophic change) เช่น เกดิ แผลทป่ี ลายนิ้ว (finger tip ulceration) *พิจารณาจัดระยะแยกกันสําหรับมือแต่ละข้าง และระบุจำนวนนิ้วท่ีมีอาการ เช่น ระยะ.... มือข้าง.... จำนวน......นว้ิ เช่น 2L(2)/1R(1) หมายถึง ระยะ 2 มอื ซ้าย จำนวน 2 นว้ิ / ระยะ 1 มอื ขวา จำนวน 1 นิ้ว 177
II องคป์ ระกอบด้านระบบประสาท** สัมผัสความสั่นสะเทอื น ไม่มีอาการ 0 SN 1 SN ชาเป็นบางครั้ง หรอื ตลอดเวลา อาจมี อาการ เสียวแปลบ หรือไมก่ ไ็ ด้ 2 SN เหมอื นระยะ 1 SN และการรบั ความรสู้ ึกลดลง 3 SN เหมอื นระยะ 2 SN และมกี ารลดลงของความ สามารถในการแยกโดย การสัมผสั และ ความ คล่องแคลว่ ในการใชม้ ือ (reduced tactile discrimination and manipulative dexterity)**พิจารณาจดั ระยะแยกกนั สำหรับมอื แตล่ ะข้าง บรรณานุกรม1. สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน. แนวทางและเกณฑ์วินิจฉัย โรคจากการทำงาน (ฉบบั จัดทำพทุ ธศักราช 2547): หนา้ 102-12.2. International Labour Office. ILO Encyclopaedia of Occupational Health and Safety. 4th Ed Geneva. vol II; 1998: 50.2-50.15.178
2.3 โรคจากความกดดนั อากาศ (Diseases caused by work in compressed air)บทนำ มนุษย์มีความสามารถปรับตัวในสภาพความกดดันอากาศที่เปล่ียนแปลงได้ในระดับหนึ่ง แต่หากเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปหรือมากเกินไป ร่างกายมนุษย์ก็ไม่สามารถปรับได้ทัน สภาพที่พบได้บ่อยว่าทำให้ความกดอากาศเปลี่ยนกค็ ือการเปลยี่ นแปลงของความสูง (ในอากาศ) หรือความลึก (ในนำ้ ) โรคจากความกดอากาศ อาจแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื ความกดอากาศเพ่ิม เชน่ ดำนำ้ ลง กับความกดอากาศลด เช่น ขึน้ จากนำ้ ทล่ี ึกมาตืน้ หรอื ขึ้นไปในอากาศทส่ี งู ขน้ึ ไป เชน่ ข้ึนเขางาน/อาชพี ทีเ่ สีย่ ง 1. นกั ประดานำ้ 2. ชาวประมงทม่ี ีการดำนำ้ 3. ผทู้ ่ตี อ้ งทำงานในบรรยากาศความดันสูง (Caisson operations) เชน่ คนงานก่อสรา้ งท่ีตอ้ งทำงานใต้นำ้ ผ้ทู ำงานในอุโมงค์ เป็นตน้ ผู้ทีม่ ีความเส่ียงสงู ต่อการเกดิ โรคจากความกดอากาศ ไดแ้ ก ่ ผทู้ ี่มีประวัติเปน็ โรคหรอื มคี วามผดิ ปกตขิ องระบบหายใจ โดยเฉพาะมกี ารอุดกัน้ ของทางเดนิ หายใจ ผ้ทู ่ีเป็นโรคเกยี่ วกบั ห ู ผทู้ ่ีมนี ้ำหนักมากหรอื อว้ น ผทู้ ี่มีอายมุ าก หรอื มีภาวะการเจ็บป่วยอย ู่ เป็นต้นสาเหตุและกลไกการเกิดโรค เมือ่ ความกดอากาศเพ่ิมขนึ้ กา๊ ซไนโตรเจนกล็ ะลายในเลือดและของเหลวในเน้อื เยอ่ื ต่าง ๆของร่างกายเพ่ิมขึ้น ในขณะเดียวกันเมื่อความกดอากาศลดลง ไนโตรเจนท่ีละลายในเลือดและของเหลวในเนื้อเยือ่ ตา่ ง ๆ ในร่างกายกจ็ ะกลับมาอยู่ในสภาพกา๊ ซเพิ่มขึ้น หากอยใู่ นบริเวณท่ีปิด การเปลยี่ นแปลงความกดอากาศอย่างรวดเรว็ ก็จะกอ่ ให้เกดิ ก๊าซเร็วและแรงดันสงู มากได้อาการและอาการแสดง ไดแ้ ก่ การบาดเจ็บจากแรงดันอากาศท่หี สู ว่ นกลางและไซนัส ปอดฉีกขาด (burst lung) การอุดตันของเส้นเลือดไปเล้ียงสมอง (cerebral air embolism) การเจ็บป่วยจากการเปล่ียนความดันอากาศ(decompression sickness) พิษจากก๊าซออกซิเจน (ในกรณีท่ีมีการใช้ก๊าซออกซิเจนในขณะท่ีมีการปรับเปลยี่ นความดนั อากาศ ) และภาวะกระดกู ตายจากความดันทผี่ ดิ ปกติ (dysbaric osteonecrosis) การบาดเจ็บทีห่ สู ว่ นกลางและไซนสั (Middle ear and sinus barotrauma) เปน็ อาการท่พี บมากทสี่ ดุ ในผทู้ ท่ี ำงานภายใต้ความกดอากาศ สาเหตเุ กิดจากผ้ปู ่วยมีการ อดุ ตนัของท่อยูสเตเชียนอยู่แล้ว เช่นเป็นโรคติดเชื้อของระบบหายใจส่วนบน ทำให้แรงดันอากาศในบริเวณหูส่วนกลางไม่สามารถปรับให้มีความสมดุลเทียบเท่ากับแรงดันภายนอกได ้ และก่อให้เกิดการฉีกขาดของแก้วห ู 179
ตามมา และยังเกิดจากความพยายามท่ีจะปรับแรงดันอากาศโดยการทำ Valsalva’s manoeuvre เพ่ือท่ีจะเปดิ ทอ่ ยสู เตเชียน ทำให้เกิดการส่งผา่ นแรงดันไปทห่ี ูส่วนกลาง จนทำใหเ้ กดิ การฉกี ขาดของ round หรอื oval window ได้ อาการผิดปกตทิ เ่ี กดิ ขน้ึ คอื ผปู้ ่วยจะมอี าการหอู ื้อและหูตึงทนั ที บางคร้งั อาจมปี ญั หาเรือ่ งการทรงตวั และอาจตรวจพบอาการตากระตุก สำหรับไซนัสนั้น โดยปกติจะเปิดเสมอในขณะท่ีเริ่มเข้าสู่บริเวณความกดอากาศ ถ้าเกิดความผิดปกตชิ อ่ งไซนัสไม่เปิด ผูป้ ่วยจะมอี าการเจ็บปวดมาก ความผดิ ปกติท่เี กิดขึน้ มักจะพบที่ frontal sinusesเปน็ สว่ นใหญ ่ และถ้าพบความผดิ ปกติ ที่บรเิ วณน้ีจะมีอาการเจบ็ ปวดรนุ แรงมากที่สุด ภาวะปอดฉีกขาดและมกี ารอดุ ก้นั ของเส้นเลือดที่ไปเล้ียงสมองจากฟองอากาศ (Burst lung with cerebral air embolism) ในขณะทีป่ รบั เปลีย่ นความดันอากาศ จากมากมาน้อย (decompression) ถ้ามีการอุดกัน้ ของทางเดินหายใจ เช่น บริเวณหลอดลมส่วนต้นหรือส่วนปลายที่ถุงลม จนทำให้แรงดันบริเวณถุงลม สูงข้ึนประมาณ 10.8 KPA (80 มิลลเิ มตรปรอท) ซ่ึงมากกว่าแรงดันในช่องทรวงอก จะทำใหเ้ กดิ การฉีกขาดของเน้ือปอดได้ และอาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนท่ีรุนแรงคือมีฟองอากาศ เข้าไปอุดกั้นอยู่ในเส้นเลือดท่ีไปเลี้ยงสมอง อาการผิดปกติทีเ่ กิดขึน้ คือ มีอาการเป็นอัมพาตของร่างกายครึง่ ซีก หมดสต ิ ชัก และผปู้ ่วยอาจเสียชีวิตไดภ้ ายในเวลา 1-2 นาที ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ทพ่ี บคือมลี มในเยื่อหุม้ ปอด mediastinum ใต้ช้ันผิวหนัง หรือในเย่ือหุ้มหัวใจ การเจ็บป่วยจากภาวะการปรับเปล่ียนความดันจากมากไปน้อย(Decompression sickness) แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท คือ 1. Type I decompression sickness จะมแี ต่อาการเจบ็ ปวดเท่าน้ัน โดยอาการเจ็บปวดมกั จะเกิดขึ้นท่ีบริเวณแขนและขา โดยปวดท่ีกล้ามเน้ือหรือเส้นเอ็น โดยเฉพาะบริเวณใกล้ ๆ กับข้อ โดยพบประมาณ 90% ของผ้ปู ว่ ย สำหรับผู้ปว่ ยท่ีทำงานในอุโมงค์โดยใช้แรงดนั อากาศชว่ ย (compressed air caissons) จะมีอาการเจ็บปวดทบ่ี รเิ วณขาเป็นสว่ นใหญ่ 2. Type II decompression sickness มีความรนุ แรงมากกว่า โดยพบการเกิดอนั ตรายของไขสันหลัง และสมองร่วมด้วย รวมท้ังอาจพบความผิดปกติของช่องห ู ส่วนในปอด และภาวะช็อค(decompression sickness shock) ผู้ปว่ ยท่มี ีความผดิ ปกตขิ องไขสันหลังจะมีอาการชา ผิวหนงั ไม่มคี วามรู้สึก แขนขาออ่ นแรง (พบมากทีส่ ุดท่ีบริเวณขา) ผู้ทีท่ ำงานในอุโมงค์ มกั จะไมค่ อ่ ยพบความผดิ ปกติของสมอง โดยทั่วไปประมาณ 25% ของผู้ป่วยท่มี ภี าวะ Decompression sickness จะมคี วามผิดปกตขิ องระบบประสาท ความผิดปกติที่พบอีกแบบหนึ่งของ Type II decompression sickness คือ ความผิดปกต ิ ของระบบ vestibular ที่มีชื่อเรียกความผิดปกติน้ีว่า Staggers ซ่ึงพบประมาณ 5% ของผู้ป่วยท้ังหมด โดยผ้ปู ว่ ยจะมีอาการ true vertigo อยา่ งรุนแรง มคี ล่นื ไสอ้ าเจยี น และตรวจพบอาการตากระตุก ความผดิปกติที่พบท่ีระบบหายใจ ท่ีมีช่ือเรียกว่า Chokes พบได้ประมาณ 6% ของผู้ป่วยท้ังหมด โดยผู้ป่วยจะมีอาการหายใจเขา้ ออกลำบาก โดยเฉพาะการหายใจเข้าออกลึก ๆ มอี าการไอ (choking cough) โดยอาการจะรนุ แรงเพม่ิ ขึน้ เรอื่ ย ๆ ถา้ ผปู้ ว่ ยไมไ่ ดร้ ับการรกั ษาอยา่ งทันที อาจเกิดภาวะอาการ asphyxia ได้ ภาวะช็อคจาก Decompression sickness จะมีความรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ แม้ว่าภาวะปอดบวมน้ำ จะเป็นภาวะแทรกซ้อนหนึ่งท่ีพบไม่บ่อยนัก ในผู้ป่วยท่ีมีภาวะช็อค แต่ถือว่าเป็นภาวะท่ีมีความสำคญั อย่างเรง่ ด่วน ทีจ่ ะต้องให้การรกั ษาอย่างทันที180
Dysbaric osteonecrosis (aseptic necrosis) ในอดีตได้มีการรายงานว่าในขณะที่คนงาน อยู่ในสภาวะเปลี่ยนความดันบรรยากาศจากมากไปน้อยอย่างไม่เหมาะสม จะเกิดภาวะแทรกซ้อน คือเกิดการเส่ือมของข้อ สะโพก และไหล่ โดยจะพบอัตราป่วยประมาณ 20% ในกลุ่มคนงานท่ีทำงานในอุโมงค์ ภายใต้สภาวะความกดอากาศ และพบอัตราป่วยถึง35% ในกลุม่ คนงานท่ที ำงานอืน่ ๆ ที่ทำงานภายใต้สภาวะ ความกดอากาศเชน่ กัน ลกั ษณะอาการแสดงเรมิ่แรกของโรคทพ่ี บคือ มีความผดิ ปกติของกระดกู ยาวไดแ้ ก่ distal femur และproximal tibia โดยท่ผี ู้ปว่ ยยังไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจะตรวจพบทางภาพถ่ายรังสี ในระยะเวลา 3 – 4 เดือน หลงั จากที่ผู้ปว่ ยทำงานภายใต้สภาวะความผิดปกตดิ ังกลา่ ว การทำงานภายใต้สภาวะความกดอากาศ ที่เป็นอันตรายเพียงคร้ังเดียว ก็สามารถที่จะก่อให้เกิดความผดิ ปกตขิ องข้อได ้ อย่างไรกต็ ามแม้โรคจะมคี วามรนุ แรงมากเทา่ ใด ก็มักจะพบความผดิ ปกตเิ กดิ ขน้ึทข่ี ้อสะโพกและไหล่เท่าน้ันความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการรบั สมั ผัสกับผลกระทบทางสุขภาพ การเจ็บปวดที่ไซนัสจะเกิดข้ึนเมื่อมีความแตกต่างของความดันบรรยากาศเพียงเล็กน้อยเท่าน้ันขณะทีก่ ารฉีกขาดของแก้วห ู จะเกดิ ขนึ้ ที่ความแตกตา่ งของความดนั ประมาณ 49 KPA และการฉกี ขาดของปอดจะเกดิ ขึน้ เมอ่ื มคี วามแตกต่างของความดันอากาศเพียง 10.8 KPAระบาดวทิ ยาทส่ี นบั สนุน - อุบัติการของโรคท่ีเกิดจากความกดอากาศ จะมีค่าอยู่ระหว่าง 1-26% ของกลุ่มผู้ที่ทำงานในแต่ละรอบของการทำงาน - ความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานในสภาพที่มีความกดอากาศกับการเกิดความเจ็บป่วย มีความสมั พันธอ์ ย่างซับซ้อน ตัวอย่างเชน่ จำนวนของปรมิ าณก๊าซไนโตรเจนท่ีละลายในเลอื ดและใน เน้ือเยื่อของร่างกาย จะข้ึนอยู่กับระดับของแรงดันบรรยากาศและช่วงเวลาท่ีทำงานอยู่ในสภาวะน้ัน ๆ รวมท้ังปริมาณของไขมันในคนงานผู้นัน้ - สำหรับปริมาณของฟองก๊าซไนโตรเจนท่ีเกิดขึ้นจะข้ึนอยู่กับปริมาณของก๊าซไนโตรเจนท่ีละลายอยูใ่ นเลือด และความเรว็ ของการเปลย่ี นสภาวะความดนั จากมากไปน้อย (จากทม่ี ีความกดอากาศสูงไปสคู่ วามดนั บรรยากาศปกติท่ีระดับน้ำทะเล) - สำหรับการเกิดภาวะ Dysbaric osteonecrosis นั้น มักจะไม่พบในผู้ท่ีทำงานที่ความดันบรรยากาศนอ้ ยกวา่ 113 KPA การตรวจทางหอ้ งปฏิบัติการ ไมม่ ีการตรวจสภาพแวดล้อมในการทำงาน ไมม่ ี 181
เกณฑก์ ารวนิ ิจฉัยโรค - มอี าการและอาการแสดงของโรคจากความกดอากาศ - มลี กั ษณะการทำงานและอาชีพทเี่ สยี่ งต่อการเกิดบรรณาธกิ าร1. สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน. แนวทางและเกณฑ์วินิจฉัย โรคจากการทำงาน (ฉบับจัดทำพทุ ธศกั ราช 2547): หนา้ 113-6.2. International Labour Office. ILO Encyclopaedia of Occupational Health and Safety. 4th Ed Geneva. vol II; 1998: 36.2-36.13.3. International Labour Office. ILO Encyclopaedia of Occupational Health and Safety. 4th Ed Geneva. vol II; 1998: 37.2-37.15.182
2.3 โรคจากความกดอากาศ โรคจากความกดดนั อากาศต่ำ (Diseases caused by work in decompressed air)บทนำ มีแนวโน้มว่าจะมีผู้ทำงานในบริเวณที่มีระดับความสูงมากขึ้นเร่ือย ๆ เช่น การทำเหมืองแร่ กิจกรรมนันทนาการ กจิ การขนสง่ การกสกิ รรม และกจิ กรรมทางการทหาร โดยการทำกิจกรรมในที่สงู นจี้ ะต้องใช้กำลงั กายและกำลังสมองเพิ่มขนึ้ เนื่องจากปัญหาของสถานทีส่ งู จากระดบั น้ำทะเล คอื ความกดดนับรรยากาศและปริมาณก๊าซออกซิเจนในบรรยากาศจะลดลงเร่ือย ๆ ตามระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลทำให้เหนื่อยง่าย และการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางช้าลง ความจำ ความสามารถในการคำนวณ การใชว้ จิ ารณญาณและการตดั สินใจจะลดลง มีโอกาสทำงานผิดพลาดมากข้ึน สิ่งสำคัญพื้นฐานของการทำงานในที่มีระดับความสูง คือ ต้องรักษาปริมาณออกซิเจนไปเลี้ยงเน้ือเยื่ออย่างเพียงพอ ซึ่งร่างกายมนุษย์มีกลไกการปรับตัวให้สามารถมีชีวิตรอดและทำงานในท่ีสูงได้หลายประการ กลไกท่ีสำคัญประการหนึ่ง คือ การเปล่ียนแปลงของอวัยวะท่ีเก่ียวข้องกับการเพ่ิมปริมาณออกซิเจนเขา้ สรู่ า่ งกาย การกระจายออกซเิ จนไปยังอวยั วะทม่ี ีความจำเปน็ สูง และการปลดปลอ่ ยออกซิเจนให้แก่เน้ือเย่ือ หรือที่เรียกว่าการปรับตัวด้านการหายใจ (Ventilatory acclimatization) ซึ่งถือเป็นกลไกระยะสน้ั คอื กลไกนี้จะทำงานทนั ทเี มอ่ื ขึน้ สูท่ ่สี ูง ประกอบดว้ ย การเพมิ่ อัตราการหายใจ การเปลย่ี นแปลงของเส้นโคง้ การแยกตัวของออกซฮี โี มโกลบนิ (Oxyhemoglobin dissociation curve) การเพิม่ อัตราการเต้นของหัวใจ การตีบตัวของหลอดเลอื ดในปอดส่วนทีม่ ีออกซเิ จนน้อยเพื่อเพิม่ เลือดไปเลีย้ งเน้อื เย่ือปอดสว่ นทม่ี ีออกซิเจนมาก ส่วนกลไกระยะยาวท่ีต้องใช้เวลาหลายวันในการเร่ิมทำงาน คือ การปรับการทำงานของไตโดยการขับด่างออกจากร่างกายเพ่ือชดเชยภาวะเลือดเป็นด่างจากอัตราการหายใจที่เพ่ิมขึ้น และการเพ่ิมปรมิ าณฮโี มโกลบินในกระแสเลอื ดงาน/อาชีพทเ่ี สี่ยง อาชพี หรืองานทีต่ ้องสมั ผสั สภาพแวดล้อมทม่ี คี วามกดดันบรรยากาศต่ำ ประกอบด้วย นักบิน และพนักงานบริการในเครื่องบิน และอากาศยานอ่ืน ๆ งานเหมืองแร่ในท่ีสูง นักสำรวจ และงานในหอสงั เกตการณด์ ้านดาราศาสตร ์ เป็นตน้ อาการและอาการแสดงการขาดออกซิเจนของเนอื้ เยือ่ (Hypoxia) ภาวะเน้ือเยื่อขาดออกซิเจน เกิดข้ึนเน่ืองจากเม่ือข้ึนสู่สถานท่ีท่ีมีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจะมคี วามดนั บรรยากาศลดลงและส่งผลใหป้ รมิ าณออกซิเจน ในบรรยากาศลดลงตามมา หากข้ึนสทู่ ่ีสงูอย่างรวดเร็วจะทำให้เกดิ ภาวะขาดออกซเิ จนแบบเฉียบพลัน เนื่องจากร่างกายไมม่ ีเวลาพอสำหรับการปรับตัว ซึ่งเป็นปัญหากับนักบินและหน่วยกู้ชีพท่ีทำงานในที่สูง หากปริมาณการอ่ิมตัวของออกซีฮีโมโกลบิน(Oxyhemoglobin Saturation) ลดต่ำลงกว่าร้อยละ 40-60 จะทำให้เกิดการหมดสติ การขาดออกซิเจนที่ 183
รนุ แรงนอ้ ยกว่าน้ีจะทำให้เกิดการปวดศีรษะ สับสน เซือ่ งซึม หรือระบบประสาททำงานไม่ประสานกัน รวมทงั้เกดิ ภาวะเคลิบเคล้ิม ส่วนการขาดออกซเิ จนอยา่ งรนุ แรงทำใหเ้ สยี ชีวติ ทันที ภาวะเน้ือเยื่อขาดออกซิเจนแบบเฉียบพลันน ี้ สามารถฟื้นคืนสู่สภาพปกติอย่างสมบูรณ์หาก ผูป้ ่วยไดร้ บั กา๊ ซออกซเิ จนหรือถกู นำลงมาจากทม่ี รี ะดับความสูงAcute mountain sickness เชอ่ื วา่ ภาวะนเี้ กดิ จากภาวะขาดออกซิเจน ซ่งึ จะทำใหเ้ ลือดไปเลี้ยงสมองและความดันในสมองเ(vพPeOnิ่มtข2i)lึ้นatใiนonกจารกrะeแกsสาpรoเเลnพือsิ่มeด)ข ึ้น มขโาดกอยจงคะพมวบอีาวมา่ากดผาันู้ทรคี่มนาีก้ีนรา้อ์บรยตออนกบไลดสไอนกอกอกางรตไเซ่อกดกดิ ์ าภ(ราPขวCาะดOบอว2อ)มกนแซำ้ ลิเยจะงั นกไมดา่สร้วลยามดกาลลรไงถกขอกอธางบิรคหาวยาาไยมดใดแ้จันต(อเ่ Hชอือ่ yกวpซ่าoอิเxจาiนจcเกิดจากระดับสารโปรตีนในเลือดท่ีผิดปกติและ / หรือระดับฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำของไตผิดปกติ ซ่ึงเป็นการตอบสนองต่อการทำงานของระบบประสาทซิมพาธิติก (Sympathetic) ท่ีเพ่ิมขึ้นในผู้ป่วยที่มีภาวะ Acutemountain sickness Acute mountain sickness เปน็ ภาวะทีพ่ บบอ่ ยท่ีสุด โดยพบประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ที่ขึ้นสู่พ้ืนทที่ ม่ี รี ะดบั สูง โดยอัตราอบุ ตั ิการณข์ องภาวะนี้ขนึ้ อยกู่ ับปัจจยั หลายประการ เช่น อตั ราความเรว็ ของการขึ้นสรู่ ะดบั ความสงู ระยะเวลาของการอย่ใู นที่สูง ปรมิ าณการออกแรงกาย และความไวสว่ นบุคคล การค้นพบภาวะน้ีแต่เนิ่น ๆ มคี วามสำคัญในการป้องกนั มใิ ห้กลายเป็นภาวะที่มคี วามรนุ แรงขึน้ เชน่ ปอดหรอื สมองบวมนำ้ (Pulmonary or Cerebral edema) ภาวะนี้จะมีอาการภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากขึ้นสู่ท่ีระดับความสูงกว่า 2,500 เมตรอย่างรวดเรว็ อาการทพ่ี บบ่อยทสี่ ุดคือ ปวดศรี ษะท่เี ปน็ มากตอนกลางคืน เบื่ออาหาร อาจรว่ มกับการคลืน่ ไส้อาเจียน นอนไมห่ ลับและอ่อนแรง ผูป้ ่วยมักจะมอี าการหายใจไมอ่ ิ่ม ไอ และอาการทางระบบประสาท เชน่ หลงลืมง่าย การมองเห็นและการได้ยินผิดปกติ ตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่อาจพบภาวะบวมน้ำได้การสะสมของนำ้ ในร่างกายน้ีจะไปมผี ลทำใหเ้ กดิ น้ำในเนอ้ื เยื่อ (Interstitial space) ของปอด ซงึ่ ในรายทเ่ี ปน็มากอาจมีภาวะปอดหรอื สมองบวมน้ำ (Pulmonary or Cerebral edema) ตามมาได้High-altitude pulmonary edema ปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการเกิดโรคของภาวะนี้อย่างแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการเพ่ิมความดันและความซึมซ่านของผนังหลอดเลือดแดงขนาดเล็กซ่ึงอาจเป็นผลให้ผนัง หลอดเลือดเสียหายและทำให้เกิดปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) พบว่าผู้ที่มีการตอบสนองการขาดออกซิเจนด้วยกลไกการหายใจ (Hypoxic ventilation response) ต่ำจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ีเพ่ิมข้ึน เนื่องจากจะมีความเสย่ี งต่อการเกิดการหดตัวของหลอดเลอื ดแดงในปอดจากการขาดออกซเิ จนเพมิ่ ข้นึ พบภาวะ High-altitude pulmonary edema ประมาณร้อยละ 0.5-2.0 ในผู้ที่ข้ึนสู่ท่ีระดับความสงู กว่า 2,700 เมตร และเปน็ สาเหตุการตายทีส่ ำคัญทีส่ ุดท่ีเกดิ ข้นึ ในระดบั ความสงู ภาวะนจี้ ะเกิดขึ้นในช่วง 6-96 ชั่วโมง หลังขึน้ สทู่ สี่ งู ปัจจัยเส่ียงเชน่ เดียวกบั ภาวะ Acute mountain sickness อาการเรมิ่แรกที่พบบ่อยประกอบด้วย อาการของ Acute mountain sickness ร่วมกับการมีความสามารถออกกำลังกายลดลง ตอ้ งใช้เวลาการฟ้ืนตวั หลังจากออกกำลังกายนานขึน้ หายใจไมอ่ ่มิ และไอแหง้ ๆ อย่างเร้อื รัง เมือ่184
เป็นมากข้ึน ผู้ป่วยจะหายใจไม่อิ่มแมข้ ณะพัก มภี าวะปอดบวมนำ้ ซึ่งตรวจพบโดยใชห้ ูฟงั เล็บมือเลบ็ เท้าและรมิ ฝปี ากเขียวคลำ้ High-altitude cerebral edema เป็นภาวะท่ีรุนแรงท่ีสุดของ Acute mountain sickness ท่ีพัฒนารุนแรงข้ึนจนอาจสูญเสีย การทำงานของสมองรว่ มด้วย กลไกการเกดิ โรคเชื่อว่าเปน็ การพัฒนาจากการเกิด Acute mountain sicknessคือ ภาวะขาดออกซิเจน จะทำให้เลือดไปเล้ียงสมอง และความดันในสมองเพิ่มขึ้น แล้วพัฒนาไปส ู่ สมองบวมน้ำ (Cerebral edema) อาการเรมิ่ แรกเหมอื น Acute mountain sickness ต่อมาเมอื่ เปน็ มากขึน้ จะมีอาการทางระบบประสาท เชน่ กระสบั กระสา่ ยอยา่ งมากและนอนไมห่ ลับ เดินเซ ประสาทหลอน อัมพาต ชัก และหมดสติตรวจร่างกายพบประสาทตาบวม (Papilledema) อาจพบเลอื ดออกทจี่ อตา (Retinal hemorrhage) ได้รวมทัง้อาจมปี อดบวมน้ำ (Pulmonary edema) รว่ มด้วยRetinal hemorrhage เป็นภาวะทพ่ี บบ่อยที่สุด คอื ประมาณรอ้ ยละ 40 ของผู้ขน้ึ ส่รู ะดับความสงู กว่า 3,700 เมตร และร้อยละ 56 ท่ีระดับความสูงกว่า 5,350 เมตร โดยท่ัวไปมักไม่มีอาการใด ส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณเลอื ดในหลอดเลือดทีไ่ ปเล้ียงจอตา (Retina) เพ่ิมข้ึน และหลอดเลือดขยายตัวจากการขาดออกซิเจน ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ รวมท้ังการออกกำลังกายหนักอาจทำให้เสี่ยงต่อภาวะน้ียิ่งขึ้น ไม่สามารถป้องกันภาวะน้ีได้ด้วยยา Acetazolamide หรือ Furosemide แต่สามารถ หายได้เองภายในระยะเวลา 2สัปดาห์Chronic mountain sickness เกิดขึ้นกับผู้อาศัยอยู่ในท่ีสูงเป็นเวลานาน เพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิง อาการประกอบดว้ ย ตวั แดง (Plethora) เขยี ว (Cyanosis) และปริมาณเมด็ เลอื ดแดงเพ่มิ ข้นึ อันจะทำให้เกดิ อาการทางระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะ มึนศรี ษะ ซมึ และความจำเสื่อม อาจเกดิ ภาวะหวั ใจ ซีกขวาวายท่ีเรียกว่า cor pulmonale เนอ่ื งจากความดนั ในหลอดเลอื ดแดงของปอดเพมิ่ ขน้ึ และปรมิ าณออกซิเจนในเลอื ดต่ำมาก กลไกการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด การตรวจวัดพบว่าการตอบสนองต่อการขาดออกซิเจนด้วยกลไกการหายใจ (Hypoxic ventilation response) ลดลง ภาวะออกซิเจนในเลือด ลดต่ำอย่างมากโดยเฉพาะขณะนอนหลับ ปริมาณความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเลือดสูงขึ้น และความดันหลอดเลือดแดงในปอด เพ่ิมข้ึนภาวะอืน่ ๆ ผู้ที่เป็นโรคเลือดประเภท Sickle cell disease มีความเส่ียงท่ีจะเกิดความเจ็บปวดจากการตีบตัวของหลอดเลือดเพ่ิมขึ้น แม้ที่ความสูงเพียง 1,500 เมตร โดยพบว่าจะมีอาการถึงร้อยละ 60 ท่ีระดับความสูง 1,925 เมตร โดยอาจทำให้เกิดการตายของเน้ือเยื่อม้ามได้เม่ือขึ้นสู่ที่สูง เชื่อว่าสาเหตุของภาวะนี้อาจเกิดจากการขาดน้ำ การเพิ่มขนึ้ ของปริมาณเมด็ เลือด และการเคลื่อนไหวนอ้ ย การรกั ษาโดยการลงจากท่ีสงู ใหอ้ อกซเิ จน และให้สารนำ้ ทางหลอดเลอื ดดำ 185
การตรวจทางห้องปฏิบัตกิ าร การถา่ ยภาพรงั สปี อดพบ Kerley lines และลักษณะของ Patchy edema ช่วยในการวนิ ิจฉยัภาวะ High-altitude pulmonary edema ส่วนภาวะอื่น ๆ ไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการใดที่ช่วยในการวินิจฉัยได้อยา่ งจำเพาะการตรวจสภาพแวดลอ้ มในการทำงาน ไม่มีเกณฑก์ ารวนิ ิจฉยั โรค มอี าการและอาการแสดงของโรคดังกลา่ วข้างต้น รว่ มกับมลี กั ษณะการทำงานและอาชีพท่เี สีย่ งตอ่ การเกิดโรคหรอื ภาวะน้ีบรรณานกุ รม D’mmer W. Barometric Pressure, Reduced. In: Internationnal Labour Office.Encyclopaedia of Occupational Health and Safety, 4th ed. Geneva,1998: 37.15.186
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 458
Pages: