Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 4.หลักสูตร-ศรีสุขวิทยา-61-วิทย์-ปรับใหม่แล้ว

4.หลักสูตร-ศรีสุขวิทยา-61-วิทย์-ปรับใหม่แล้ว

Published by Bio, 2021-06-09 12:40:42

Description: 4.หลักสูตร-ศรีสุขวิทยา-61-วิทย์-ปรับใหม่แล้ว

Search

Read the Text Version

89 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถนิ่ มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) (A) สิ่งแวดลอ้ ม โดยการเผยแพรค่ วามรู้ ผลกระทบของส่ิงมชี ีวิต ดัดแปรพนั ธุกรรมที่ ทไี่ ด้ จากการโตแ้ ย้งทาง มตี อ่ สิง่ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังทาการ วิทยาศาสตรซ์ ่ึงมขี ้อมลู สนบั สนนุ ตดิ ตามศกึ ษาผลกระทบดังกล่าว 9. เปรียบเทยี บความหลากหลาย -ความหลากหลายทางชีวภาพ มี 3 ระดับ - คน้ คว้า สบื - ใฝเ่ รียนรู้ ทางชวี ภาพในระดับชนดิ สิง่ มีชีวิต ไดแ้ ก่ ความหลากหลายของระบบนเิ วศ เสาะหา ความรู้ - มุง่ มั่นการ ในระบบนเิ วศต่างๆ ความหลากหลายของชนิดส่ิงมชี ีวติ และ แก้ปัญหาเป็น ทางาน 10. อธิบายความสาคญั ของความ ความหลากหลายทางพันธกุ รรม ความ ระบบโดยใช้ หลากหลายทางชวี ภาพที่มีต่อการ หลากหลายทางชวี ภาพน้มี ีความสาคญั ตอ่ ข้อมูลท่ี รักษาสมดลุ ของระบบ นิเวศ และ การรกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศ ระบบนเิ วศ ตรวจสอบได้ ตอ่ มนษุ ย์ ทม่ี ีความหลากหลายทางชีวภาพสูงจะรักษา 11. แสดงความตระหนักในคุณคา่ สมดลุ ไดด้ ีกวา่ ระบบนิเวศท่มี ีความ และความสาคญั ของความ หลากหลายทางชีวภาพต่ากว่านอกจากน้ี หลากหลายทางชีวภาพ โดยมีสว่ น ความหลากหลายทางชีวภาพยงั มี รว่ มในการดูแลรักษาความ ความสาคัญต่อมนษุ ย์ในด้านต่างๆ เชน่ ใช้ หลากหลายทางชวี ภาพ เปน็ อาหารยารกั ษาโรค วัตถดุ ิบใน อุตสาหกรรมต่างๆ ดังนั้น จงึ เป็นหน้าทขี่ อง ทกุ คนในการดแู ลรักษาความหลากหลายทาง ชีวภาพให้คงอยู่

90 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องค์ประกอบ - ของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง สมบตั ิของสสารกับ โครงสรา้ งและ แรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลง สถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ า เคมี ตัวชีว้ ัด 1. ระบสุ มบตั ิถามกายภาพและ -พอลเิ มอร์ เซรามิกส์ และวัสดุผสม เป็น การใชป้ ระโยชนว์ ัสดุประเภทพอลิ วัสดุทใ่ี ช้มากในชีวิตประจาวนั - ค้นคว้า สบื - ใฝ่เรียนรู้ เมอร์ เซรามิกส์ และวัสดผุ สม โดย -พอลเิ มอรเ์ ปน็ สารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่ เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มั่นการ ใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์และ เกิดจากโมเลกลุ จานวนมากรวมตัวกันทาง แก้ปัญหาเปน็ ทางาน เคมี เช่น พลาสตกิ ยาง เส้นใย ซึ่งเป็นพอลิ ระบบโดยใช้ สารสนเทศ ขอ้ มูลที่ 2. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ เมอร์ทม่ี สี มบัตแิ ตกต่างกนั โดยพลาสตกิ วัสดุประเภท พอลิเมอร์ เซรามิกส์ เป็นพอลิเมอรท์ ขี่ ้นึ รูปเป็นรปู ทรงต่างๆ ได้ ตรวจสอบได้ และวัสดุผสม โดย เสนอ แนะ ยางยืดหยุ่นได้ สว่ นเส้นใยเป็นพอลเิ มอร์ที่ สามารถดึงเปน็ เสน้ ยาวได้ พอลเิ มอรจ์ งึ ใช้ แนวทางการใช้วัสดุอย่างประหยัด ประโยชน์ไดแ้ ตกตา่ งกนั และค้มุ ค่า -เซรามกิ สเ์ ป็นวัสดทุ ่ีผลิตจาก ดิน หิน ทราย และ แรธ่ าตตุ ่างๆ จากธรรมชาติ และ ส่วนมากจะผ่านการเผาทอี่ ณุ หภูมสิ ูงเพือ่ ให้ ไดเ้ นอื้ สารท่ีแข็งแรง เซรามกิ สส์ ามารถทา เปน็ รูปทรงตา่ งๆ ได้ สมบัติ ท่ัวไปของเซรา มิกส์จะ แขง็ ทนตอ่ การสึกกรอ่ น และ เปราะสามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เช่น ภาชนะทเ่ี ป็นเครื่องปัน้ ดนิ เผา ชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ -วัสดผุ สมเป็นวสั ดทุ เี่ กดิ จากวสั ดตุ ้งั แต่ 2 ประเภท ท่ีมสี มบัตแิ ตกต่างกันมารวมตวั กัน เพอ่ื นาไปใช้ ประโยชนไ์ ดม้ ากข้ึน เช่น เสอ้ื

91 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ 3. อธบิ ายการเกิดปฏิกิริยาเคมี แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) (A) รวมถึง การจัดเรียงตัวใหมข่ อง อะตอมเมอื่ การเกิด ปฏิกริ ยิ าเคมี กันฝนบางชนิดเป็นวสั ดุผสมระหว่างผ้ากบั โดยใช้แบบจาลองและสมการ ขอ้ ความ ยาง คอนกรีตเสรมิ เหลก็ เป็นวัสดผุ สม 4. อธบิ ายกฎทรงมวล โดยใช้ ระหวา่ งคอนกรตี กับเหลก็ หลักฐานเชิงประจักษ์ -วัสดบุ างชนดิ สลายตวั ยาก เช่น พลาสตกิ 5. วเิ คราะหป์ ฏกิ ริ ิยาดดู ความรอ้ น และ ปฏกิ ริ ิยาคายความร้อน จาก การใช้ วัสดอุ ย่างฟมุ่ เฟือย และไม่ การเปล่ียนแปลง พลงั งานความ ร้อนของปฏิกริ ยิ า ระมดั ระวังอาจกอ่ ปญั หาต่อส่งิ แวดล้อม 6. อธบิ ายปฏิกริ ยิ าการเกิดสนิม -การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีหรือการ - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ ของเหลก็ ปฏิกริ ิยาของกรดกบั โลหะ ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับเบส เปล่ยี นแปลงทางเคมีของสาร เปน็ การ เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มนั่ การ และปฏิกิรยิ าของเบสกับโลหะ โดย ใช้ หลักฐานเชิงประจกั ษ์ และ เปลย่ี นแปลงท่ที าใหเ้ กดิ สารใหม่ โดยสาร แก้ปัญหาเปน็ ทางาน ที่เขา้ ทาปฏิกิรยิ า เรียกวา่ สารตงั้ ต้น สาร ระบบโดยใช้ ใหม่ ที่เกดิ ขน้ึ จากปฏิกริ ยิ า เรยี กวา่ ข้อมูลท่ี ผลติ ภัณฑ์ การเกิด ปฏกิ ริ ิยาเคมสี ามารถ ตรวจสอบได้ เขียนแทนได้ด้วยสมการขอ้ ความ -เมอ่ื เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี มวลรวมของสารตัง้ - ค้นคว้า สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ ตน้ เทา่ กบั มวลรวมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นไป เสาะหา ความรู้ - มุ่งมั่นการ ตามกฎทรงมวล แก้ปัญหาเปน็ ทางาน ระบบโดยใช้ ข้อมูลที่ ตรวจสอบได้ -เมอื่ เกิดปฏกิ ิริยาเคมี มกี ารถา่ ยโอนความ - คน้ ควา้ สบื - ใฝ่เรียนรู้ ร้อน ควบคู่ไปกับการจัดเรียงตวั ใหม่ของ เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่ันการ อะตอมของสาร ปฏิกิริยาท่ีมกี ารถ่ายโอน แก้ปญั หาเปน็ ทางาน ความรอ้ นจากสง่ิ แวดล้อม เขา้ สรู่ ะบบเป็น ระบบโดยใช้ ปฏิกริ ิยาดดู ความร้อน ปฏกิ ริ ยิ าทม่ี ี การ ข้อมูลที่ ถ่ายโอนความรอ้ นจากระบบออกสู่ ตรวจสอบได้ สง่ิ แวดล้อม เป็นปฏิกิรยิ าคายความรอ้ น โดยใชเ้ ครอื่ งมอื ที่เหมาะสมในการวัด อุณหภูมิ เช่น เทอรม์ อมิเตอร์ หัววัดที่ สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ อณุ หภูมไิ ดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง -ปฏกิ ิรยิ าเคมีท่พี บในชวี ิตประจาวนั มี หลาย - ค้นคว้า สบื - ใฝ่เรยี นรู้ ชนดิ เช่น ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้ การเกิดสนิม เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มน่ั การ ของเหลก็ ปฏิกริ ิยาของกรดกบั โลหะ แกป้ ญั หาเปน็ ทางาน ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกบั เบส ปฏกิ ิริยาของเบส ระบบโดยใช้ กบั โลหะ การเกิดฝนกรด การสงั เคราะห์ด้วย ขอ้ มลู ท่ี

92 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลกั ษณะ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) อธบิ าย ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การ แสง ปฏิกริ ิยาเคมสี ามารถเขียนแทนไดด้ ว้ ย ตรวจสอบได้ เกดิ ฝนกรด การสังเคราะห์ดว้ ยแสง สมการขอ้ ความ ซงึ่ แสดงชอื่ ของสารตัง้ ตน้ โดยใช้สารสนเทศ รวมทง้ั เขยี น และผลติ ภัณฑ์ เชน่ เชื้อเพลิง + ออกซเิ จน สมการขอ้ ความแสดงปฏกิ ิริยา คาร์บอนไดออกไซด์ + นา้ ปฏิกิรยิ าการ ดงั กล่าว เผาไหมเ้ ป็นปฏกิ ริ ิยาระหว่างสารกับ ออกซิเจน สารทเ่ี กดิ ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ ส่วนใหญ่ เป็นสารประกอบทม่ี คี าร์บอนและ ไฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ ซง่ึ ถา้ เกดิ การ เผาไหมอ้ ยา่ งสมบูรณ์ จะไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ปน็ คาร์บอนไดออกไซด์และนา้ -การเกดิ สนมิ ของเหล็ก เกิดจากปฏิกริ ยิ า เคมีธาตุเหลก็ นา้ และออกซิเจน ได้ ผลติ ภัณฑ์เป็นสนิมของเหล็ก-ปฏิกริ ยิ าการ เผาไหม้และการเกิดสนมิ ของเหล็ก เป็น ปฏกิ ริ ยิ าของสารต่างๆ กับออกซิเจน -ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ กรดทาปฏกิ ริ ิยา กบั โลหะไดห้ ลายชนิดได้ผลิตภัณฑเ์ ป็น เกลือของโลหะ และแกส๊ ไฮโดรเจน -ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับสารประกอบ คารบ์ อเนต ได้ผลติ ภณั ฑ์เปน็ แก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ เกลือของ โลหะ และนา้ -ปฏิกิริยาของกรดกบั เบส ได้ผลิตภณั ฑ์เป็น เกลือ ของโลหะและนา้ หรืออาจไดเ้ พยี ง เกลือของโลหะ -ปฏกิ ิรยิ าของเบสกบั โลหะบางชนดิ ได้ ผลิตภัณฑ์ เป็นเกลอื ของเบสและแกส๊ ไฮโดรเจน -การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏิกิรยิ าของ น้าฝน กับออกไซด์ของไนโตรเจน หรือ ออกไซด์ของซลั เฟอร์ ทาใหน้ า้ ฝนมีสมบัติ เป็นกรด -การสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืช เปน็ ปฏิกิริยาของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์กับน้า โดยมแี สงชว่ ยในกาเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ได้ ผลิตภณั ฑเ์ ป็นน้าตาลกลูโคส

93 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ทอ้ งถ่ิน มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ 7. ระบปุ ระโยชน์และโทษของ แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) (A) ปฏกิ ริ ิยาเคมีทมี่ ีต่อส่งิ มชี ีวติ และ สิง่ แวดลอ้ ม และยกตัวอย่าง -ปฏิกริ ิยาเคมีทพ่ี บในชีวิตประจาวนั มีทัง้ - คน้ คว้า สบื - ใฝ่เรียนรู้ วธิ ีการปอ้ งกนั และแก้ปัญหาท่เี กดิ ประโยชน์ และโทษตอ่ สงิ่ มชี ีวติ และ จากปฏิกริ ิยาเคมที พ่ี บใน เสาะหา ความรู้ - มุ่งมั่นการ ชีวิตประจาวนั จากการสืบค้น ส่ิงแวดลอ้ ม จงึ ตอ้ ง ระมดั ระวังผลจาก ขอ้ มูล แกป้ ัญหาเป็น ทางาน 8. ออกแบบวิธแี ก้ปัญหาใน ปฏกิ ิริยาเคมีตลอดจนรจู้ กั วธิ ี ปอ้ งกันและ ชวี ติ ประจาวัน โดยใชค้ วามรู้ ระบบโดยใช้ เก่ยี วกบั ปฏกิ ิริยาเคมี โดยบูรณา แกป้ ญั หาทีเ่ กดิ จากปฏกิ ริ ิยาเคมที พ่ี บ ใน การวทิ ยาศาสตรค์ ณิตศาสตร์ ข้อมลู ท่ี เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ ชีวิตประจาวัน -ความรู้เก่ยี วกับปฏิกริ ิยาเคมี สามารถ ตรวจสอบได้ นาไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั และ สามารถบูรณาการ กับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตรเ์ พือ่ ใช้ ปรับปรงุ ผลติ ภณั ฑ์ใหม้ ีคุณภาพตาม ตอ้ งการ หรอื อาจสร้างนวตั กรรมเพ่อื ป้องกนั และแกป้ ญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ จากปฏกิ ริ ิยา เคมีโดยใชค้ วามรู้เกยี่ วกบั ปฏิกริ ิยาเคมี เชน่ การเปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนอัน เนอ่ื งมาจากปฏกิ ิริยาเคมี การเพ่ิมปริมาณ ผลผลิต

94 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถนิ่ มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การ เปลีย่ นแปลงและการถา่ ยโอน พลังงาน ปฏิสมั พันธ์ ระหวา่ ง สสารและพลงั งาน พลงั งานใน ชีวติ ประจาวัน ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณ์ ท่เี กย่ี วขอ้ งกับเสียง แสง และคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวัด 1. วเิ คราะหค์ วามสมั พันธธ์ าตุความ -เมอื่ ต่อวงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมี - คน้ ควา้ สบื - ใฝ่เรียนรู้ ตา่ งศักย์ กระแสไฟฟ้า และความ กระแสไฟฟา้ ออกจากข้วั บวกผ่าน ตา้ นทาน และคานวณปรมิ าณที่ วงจรไฟฟา้ ไปยังข้วั ลบของแหล่งกาเนดิ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมั่นการ เกย่ี วขอ้ งโดยใชส้ มการ ไฟฟา้ ซ่งึ วดั คา่ ได้จากแอมมิเตอร์ แก้ปัญหาเปน็ ทางาน ������ = ������������ -ค่าทีบ่ อกความแตกตา่ งของพลงั งาน ระบบโดยใช้ จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ไฟฟา้ ตอ่ หน่วยประจุธาตุจดุ 2 จุด ขอ้ มูลที่ 2. เขยี นกราฟความสมั พนั ธธ์ าตุ เรยี กวา่ ความตา่ งศักย์ ซง่ึ วดั คา่ ไดจ้ าก ตรวจสอบได้ กระแสไฟฟา้ และความตา่ ง โวลต์มเิ ตอร์ ศกั ยไ์ ฟฟ้า -ขนาดของกระแสไฟฟ้ามคี ่าแปรผนั ตรง 3. ใชโ้ วลต์มเิ ตอร์ แอมมิเตอร์ ใน กบั ความตา่ งศักย์ธาตปุ ลายทง้ั สองของ การวดั ปรมิ าณทางไฟฟา้ ตวั นา โดย อัตราส่วนธาตุความตา่ งศักย์ 4. วเิ คราะห์ความต่างศกั ย์ไฟฟ้า และกระแสไฟฟา้ มีคา่ คงที่ เรยี กคา่ คงทน่ี ี้ และกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ เมอื่ วา่ ความตา้ นทาน ต่อตวั ต้านทานหลายตวั แบบ -ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกาเนิด อนกุ รมและแบบขนานจากหลักฐาน ไฟฟ้าสายไฟฟา้ และอปุ กรณ์ไฟฟ้า โดย อุปกรณ์ไฟฟา้ แตล่ ะชิ้นมีความตา้ นทาน เชงิ ประจกั ษ์ 5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดง ในการตอ่ ตัวตา้ นทานหลายตัว มีท้งั ต่อ การต่อตัว ตา้ นทานแบบอนกุ รม แบบอนกุ รมและแบบขนาน -การตอ่ ตัวตา้ นทานหลายตวั แบบอนกุ รม และขนาน ในวงจรไฟฟา้ ความตา่ งศักยท์ คี่ รอ่ มตวั ต้านทานแต่ละตัวมคี า่ เท่ากบั ผลรวมของ ความต่างศักย์ท่ีคร่อมตัวตา้ นทาน แต่ละ ตัว โดยกระแสไฟฟา้ ทีผ่ า่ นตวั ต้านทานแต่

95 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถิน่ มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลกั ษณะ แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) ละตวั มคี ่าเท่ากัน 6. บรรยายการทางานของช้ินส่วน -การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานใน - คน้ คว้า สืบ - ใฝ่เรียนรู้ อิเลก็ ทรอนิกส์อย่างงา่ ยในวงจรจาก วงจรไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ที่ผ่านวงจรมีค่า เสาะหา ความรู้ - ม่งุ มน่ั การ ข้อมลู ที่รวบรวมได้ เท่ากบั ผลรวมของกระแส ไฟฟา้ ท่ผี า่ นตวั แก้ปัญหาเปน็ ทางาน 7. เขยี นแผนภาพและตอ่ ชน้ิ ส่วน ตา้ นทานแตล่ ะตัวโดยความต่างศักย์ ทคี่ รอ่ ม ระบบโดยใช้ อเิ ล็กทรอนกิ ส์อยา่ งง่ายใน ตวั ต้านทานแตล่ ะตัวมคี ่าเท่ากัน ข้อมูลที่ วงจรไฟฟา้ -ช้นิ สว่ นอเิ ล็กทรอนกิ สม์ หี ลายชนิด เช่น ตวั ตา้ นทานไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตัวเก็บประจุ ตรวจสอบได้ โดยชิ้นส่วนแต่ละชนิดทาหนา้ ทแ่ี ตกต่างกนั เพ่ือให้วงจรทางานได้ตามต้องการ -ตวั ตา้ นทานทาหน้าทค่ี วบคมุ ปริมาณ กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ ไดโอดทาหน้าท่ี ให้กระแสไฟฟ้าผ่านทางเดียว ทรานซิสเตอร์ ทาหนา้ ทีเ่ ป็นสวิตช์ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้า และควบคมุ ปริมาณกระแสไฟฟา้ ตวั เกบ็ ประจุทาหนา้ ท่ีเกบ็ และคายประจุไฟฟา้ -เครือ่ งใช้ไฟฟ้าอยา่ งงา่ ยประกอบด้วย ชนิ้ สว่ นอิเลก็ ทรอนิกสห์ ลายชนิดที่ทางาน ร่วมกัน การตอ่ วงจรอเิ ล็กทรอนิกสโ์ ดย เลือกใชช้ นิ้ ส่วนอิเลก็ ทรอนิกส์ ทีเ่ หมาะสม ตามหน้าที่ของชิน้ ส่วนนัน้ ๆ จะสามารถทา ใหว้ งจรไฟฟา้ ทางานได้ตามต้องการ 8. อธิบายและคานวณพลังงาน -เครื่องใช้ไฟฟา้ จะมคี า่ กาลังไฟฟา้ และความ - คน้ คว้า สืบ - ใฝ่เรยี นรู้ ไฟฟ้าโดยใชส้ มการ ������ = ������������ ตา่ งศกั ย์ กากับไว้ กาลังไฟฟา้ มหี นว่ ยเปน็ วตั ต์ ความต่างศกั ย์ มหี น่วยเปน็ โวลต์ คา่ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมั่นการ รวมทั้งคานวณค่าไฟฟ้าของ ไฟฟ้าสว่ นใหญค่ ิดจากพลงั งานไฟฟ้าที่ใช้ แก้ปัญหาเป็น ทางาน เคร่อื งใช้ไฟฟ้าในบา้ น ทงั้ หมด ซง่ึ หาได้จากผลคณู ของกาลังไฟฟา้ ระบบโดยใช้ ในหนว่ ย กิโลวัตต์ กบั เวลาในหน่วยชั่วโมง 9. ตระหนกั ในคุณค่าของการ พลงั งานไฟฟ้ามหี น่วยเป็น กโิ ลวัตต์-ช่วั โมง ขอ้ มูลท่ี เลอื กใช้ เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าโดยนา ตรวจสอบได้ เสนอแนะวิธีการใช้ เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ อยา่ งประหยัดและ หรอื หนว่ ย -วงจรไฟฟา้ ในบ้านมกี ารต่อเคร่ืองใช้ ปลอดภัย ไฟฟา้ แบบขนาน เพื่อใหค้ วามตา่ งศกั ย์ เทา่ กนั การใช้เครอื่ งใช้ไฟฟ้าใน

96 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ 10. สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบายการ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) เกดิ คล่ืนและบรรยายสว่ นประกอบ ของคลืน่ ชวี ิตประจาวันตอ้ งเลือกใช้เคร่ืองใช้ ไฟฟา้ ทม่ี ี ความต่างศกั ยแ์ ละกาลงั ไฟฟา้ ให้ เหมาะกับการใชง้ านและการใช้ เคร่ืองใช้ไฟฟา้ และอุปกรณไ์ ฟฟา้ ตอ้ งใช้ อยา่ งถกู ตอ้ ง ปลอดภยั และประหยดั -คลน่ื เกดิ จากการส่งผา่ นพลังงานโดยอาศัย - คน้ ควา้ สืบ - ใฝ่เรียนรู้ ตัวกลางและไมอ่ าศยั ตวั กลาง ในคลน่ื กล เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มั่นการ พลังงานจะถกู ถา่ ยโอนผ่านตัวกลางโดย แก้ปัญหาเปน็ ทางาน อนุภาคของตวั กลางไม่เคลื่อนทีไ่ ปกบั คลน่ื ระบบโดยใช้ คลื่นที่แผ่ออกมาจากแหลง่ กาเนดิ คลนื่ อย่าง ต่อเนื่อง และมรี ปู แบบทซี่ า้ กนั บรรยายได้ ขอ้ มูลท่ี ดว้ ยความยาวคล่ืน ความถ่ี แอมพลจิ ดู ตรวจสอบได้ 11.อธบิ ายคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และ -คลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ เป็นคลน่ื ทไี่ ม่อาศัย - คน้ คว้า สบื - ใฝ่เรยี นรู้ สเปกตรัม คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จาก ตัวกลางในการเคลอื่ นที่ มีความถต่ี ่อเนื่อง เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มั่นการ ข้อมลู ท่รี วบรวมได้ เป็นช่วงกว้างมาก เคลอื่ นทใ่ี นสญุ ญากาศ แก้ปญั หาเปน็ ทางาน 12. ตระหนักถึงประโยชน์และ ดว้ ยอัตราเร็วเท่ากัน แตจ่ ะ เคลือ่ นท่ดี ้วย ระบบโดยใช้ อันตรายจากคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ อัตราเรว็ ตา่ งกนั ในตัวกลางอน่ื คล่นื ข้อมูลท่ี โดยนาเสนอการใชป้ ระโยชนใ์ นด้าน แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แบ่งออกเป็นชว่ งความถต่ี า่ งๆ ตรวจสอบได้ ตา่ งๆ และอันตรายจากคล่นื เรยี กวา่ สเปกตรมั ของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในชีวิตประจาวัน แต่ละช่วง ความถมี่ ชี ่อื เรียกต่างกัน ไดแ้ ก่ คลน่ื วิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่ มองเห็น อลั ตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรงั สี แกมมา ซ่งึ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ 13. ออกแบบการทดลอง และ -เมอื่ แสงตกกระทบวตั ถจุ ะเกิดการสะทอ้ น - คน้ ควา้ สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ ดาเนินการทดลองดว้ ยวิธที ่ี ซง่ึ เป็นไป ตามกฎการสะทอ้ นของแสง โดย เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มน่ั การ เหมาะสมในการอธิบายกฎการ รงั สีตกกระทบเสน้ แนวฉาก รังสีสะท้อนอยู่ แกป้ ัญหาเปน็ ทางาน สะท้อนของแสง ในระนาบเดียวกัน และ มมุ ตกกระทบ ระบบโดยใช้ 14. เขียนแผนภาพการเคลอื่ นท่ีของ เทา่ กับมมุ สะท้อน ภาพจากกระจกเงาเกดิ ขอ้ มูลท่ี แสง แสดงการเกดิ ภาพจากกระจก จากรงั สีสะทอ้ นตัดกัน หรอื ตอ่ แนวรังสี เงา สะทอ้ นให้ ตดั กัน โดยถา้ รังสีสะทอ้ นตดั กนั ตรวจสอบได้ จรงิ จะเกิดภาพจรงิ แต่ถ้าต่อแนวรังสี สะทอ้ นให้ไปตัดกัน จะเกดิ ภาพเสมอื น 15. อธิบายการหกั เหของแสงเมอื่ -เมอ่ื แสงเดนิ ถามผา่ นตัวกลางโปร่งใสท่ี - ค้นคว้า สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ ผ่านตวั กลางโปรง่ ใสท่แี ตกตา่ งกัน แตกตา่ งกนั เช่น อากาศและนา้ อากาศและ เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่นั การ

97 สาระการเรียนร้แู กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลกั ษณะ แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) (A) และอธิบายการกระจาย แสงของ แกว้ จะเกดิ การหกั เห หรอื อาจเกิดการ แก้ปญั หาเปน็ ทางาน แสงขาวเม่อื ผา่ นปรซิ มึ จาก สะท้อนกลับหมดในตวั กลางท่ีแสงตก ระบบโดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ กระทบ การหกั เหของแสงผา่ นเลนส์ทาให้ ข้อมลู ที่ 16. เขยี นแผนภาพการเคลื่อนที่ของ เกิดภาพท่มี ีชนิดและขนาดตา่ งๆ ตรวจสอบได้ แสงแสดง การเกดิ ภาพจากเลนส์ -แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสีตา่ งๆ เมือ่ แสง บาง ขาวผา่ นปริซมึ จะเกิดการกระจายแสงเปน็ แสงสตี า่ งๆ เรียกวา่ สเปกตรัมของแสงขาว เมื่อเคลอ่ื นท่ีในตวั กลางใดๆ ทไี่ ม่ใช่อากาศ จะมีอัตราเร็วตา่ งกัน จงึ มกี ารหกั เหตา่ งกัน 17. อธิบายปรากฏการณท์ ่เี กยี่ วกับ -การสะทอ้ นและการหักเหของแสงนาไปใช้ - ค้นควา้ สบื - ใฝเ่ รียนรู้ แสง และการทางานของ อธบิ ายปรากฏการณท์ ่ีเกย่ี วกับแสง เช่น รุ้ง เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มน่ั การ ทศั นอุปกรณจ์ ากข้อมูลที่รวบรวม มิราจ และอธบิ ายการทางานของ แก้ปญั หาเป็น ทางาน ได้ ทัศนอุปกรณ์ เช่น แว่นขยาย กระจกโคง้ ระบบโดยใช้ 18. เขยี นแผนภาพการเคลอื่ นที่ของ จราจร กล้องโทรทรรศน์ กลอ้ งจุลทรรศน์ ขอ้ มูลที่ แสง แสดงการเกิดภาพของ และแว่นสายตา ทศั นอุปกรณ์และเลนส์ตา -ในการมองวัตถุ เลนส์ตาจะถกู ปรบั โฟกัส ตรวจสอบได้ เพ่อื ให้เกดิ ภาพชดั ทจี่ อตาความบกพรอ่ งถาม สายตา เชน่ สายตาสัน้ และสายตายาว เป็น เพราะตาแหน่งทเี่ กิด ภาพไมไ่ ดอ้ ยทู่ ี่จอตา พอดี จงึ ต้องใชเ้ ลนสใ์ นการแก้ไข เพ่ือช่วย ให้มองเหน็ เหมือนคนสายตาปกติโดยคน สายตาส้นั ใช้เลนส์เว้า สว่ นคนสายตายาวใช้ เลนส์นนู 19. อธบิ ายผลของความสว่างที่มี -ความสวา่ งของแสงมผี ลตอ่ ดวงตามนุษย์ - ค้นควา้ สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ ต่อดวงตาจากขอ้ มูลที่ได้จากการ การใช้ สายตาในสภาพแวดลอ้ มทีม่ ีความ เสาะหา ความรู้ - มุ่งม่นั การ สืบค้น สว่างไม่เหมาะสมจะเป็นอนั ตรายต่อดวงตา แกป้ ัญหาเปน็ ทางาน 20. วดั ความสวา่ งของแสงโดยใช้ เชน่ การดูวัตถใุ นทม่ี ี ความสวา่ งมากหรอื ระบบโดยใช้ อปุ กรณ์วัด ความสว่างของแสง น้อยเกนิ ไป การจ้องดหู น้าจอ ภาพ เป็น ขอ้ มูลท่ี 21. ตระหนกั ในคุณค่าของความรู้ เวลานานความสวา่ งบนพื้นทรี่ บั แสงมหี น่วย เรื่อง ความสวา่ งของแสงทมี่ ีตอ่ เปน็ ลักซ์ ความรเู้ ก่ียวกบั ความสว่างสามารถ ตรวจสอบได้ ดวงตาโดยวิเคราะห์สถานการณ์ นามาใช้จดั ความสว่าง ใหเ้ หมาะสมกับการ ปัญหาแลเสนอแนะการจัด ความ ทากิจกรรมต่างๆ สว่างให้เหมาะสมในการทา กิจกรรมต่างๆ

98 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และ แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) (A) อวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ฒั นาการ ของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสรุ ิยะ รวมทัง้ ปฏิสัมพนั ธ์ ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อ สิง่ มีชวี ติ และการประยุกตใ์ ช้ เทคโนโลยอี วกาศ ตัวชีว้ ดั -ในระบบสุรยิ ะมีดวงอาทติ ยเ์ ป็นศูนย์กลาง - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ 1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์ โดยมี ดาวเคราะหแ์ ละบริวารดาวเคราะห์ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมั่นการ รอบดวง อาทิตย์ดว้ ยแรงโน้มถว่ ง แคระ ดาวคราะห์น้อย ดาวหาง และอืน่ ๆ แก้ปญั หาเป็น ทางาน จากสมการ F = (Gm1m2) / r2 เชน่ วัตถุคอยเบอร์ โคจรอยโู่ ดยรอบ ซ่ึงดาว ระบบโดยใช้ เคราะหแ์ ละวัตถเุ หล่านโ้ี คจรรอบดวง ขอ้ มลู ที่ อาทิตยด์ ว้ ยแรงโน้มถ่วง แรงโนม้ ถ่วงเป็น ตรวจสอบได้ แรงดึงดูดธาตุวตั ถสุ องวัตถุ โดยเปน็ สดั ส่วน กบั ผลคูณของมวลทัง้ สอง และเป็น สัดส่วน ผกผันกับกาลังสองของระยะทางธาตวุ ัตถุ ท้ังสอง แสดงได้โดยสมการ F=(Gm1m2) / 2 เมอื่ F แทนความโน้มถว่ งธาตุมวลทั้งสอง G แทนคา่ นจิ โนม้ ถ่วงสากล m1 แทนมวล ของวตั ถแุ รก m2 แทน มวลของวตั ถุทีส่ อง และ r แทนระยะหา่ งธาตุวตั ถุทงั้ สอง

99 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลกั ษณะ แกนกลาง ท้องถ่ิน กระบวนการ(P) (A) 2. สรา้ งแบบจาลองที่อธิบายการ -การที่โลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ในลักษณะท่ี - ค้นคว้า สบื - ใฝ่เรียนรู้ เกดิ ฤดู และการเคลื่อนทป่ี รากฏ แกนโลก เอยี งกบั แนวต้งั ฉากของระนาบถาม เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่นั การ ของดวงอาทิตย์ โคจร ทาใหส้ ว่ นต่างๆ บนโลกไดร้ บั ปรมิ าณ แก้ปัญหาเป็น ทางาน แสงจากดวงอาทิตย์แตกต่างกนั ในรอบปี ระบบโดยใช้ เกดิ เป็นฤดู กลางวนั กลางคนื ยาว ไมเ่ ท่ากนั ข้อมลู ท่ี และตาแหนง่ การขน้ึ และตกของดวงอาทติ ย์ ท่ีขอบฟา้ และเส้นทางการขึ้นและตกของ ตรวจสอบได้ ดวงอาทิตย์เปลย่ี นไปในรอบปี ซงึ่ สง่ ผลตอ่ การดารงชวี ิต 3. สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิด -ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจันทร์ - ค้นควา้ สบื - ใฝ่เรียนรู้ ขา้ งขน้ึ ข้างแรม การเปล่ียนแปลง โคจร รอบดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์รบั แสงจาก เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มน่ั การ เวลาการข้นึ และตก ของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ครึ่งดวงตลอดเวลา เมื่อดวง แก้ปัญหาเป็น ทางาน และการเกิดน้าขึ้นน้าลง จันทรโ์ คจรรอบโลกไดห้ ัน สว่ นสวา่ งมายัง ระบบโดยใช้ โลกแตกตา่ งกัน จึงทาใหค้ นบนโลก สังเกต ขอ้ มลู ท่ี ส่วนสว่างของดวงจันทรแ์ ตกต่างไปในแต่ละ วัน เกิดเป็นขา้ งขน้ึ ขา้ งแรม ตรวจสอบได้ -ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทางเดียวกัน กบั ท่โี ลก หมนุ รอบตวั เอง จงึ ทาให้เห็นดวง จนั ทร์ขน้ึ ชา้ ไปประมาณวนั ละ 50 นาที แรง โน้มถว่ งทีด่ วงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์กระทาต่อ โลกทาให้เกิดปรากฏการณ์น้าขน้ึ นา้ ลง ซ่ึง ส่งผลต่อสงิ่ แวดลอ้ มและสิ่งมีชวี ิตบนโลก วันที่นา้ มรี ะดับการข้นึ สูงสดุ และลงต่าสดุ เรียกวันน้าเกดิ สว่ นวนั ท่รี ะดบั นา้ มกี ารขึน้ และลงนอ้ ยเรยี ก วนั น้าตาย โดยวนั น้าเกิด น้าตายมคี วามสัมพนั ธก์ บั ขา้ งขนึ้ ขา้ งแรม 4. อธิบายการใชป้ ระโยชนข์ อง -เทคโนโลยีอวกาศไดม้ ีบทบาทต่อการ - คน้ คว้า สืบ - ใฝ่เรยี นรู้ เทคโนโลยอี วกาศ และยกตวั อย่าง ดารงชวี ติ ของมนษุ ย์ในปจั จุบันมากมาย เสาะหา ความรู้ - มุ่งมน่ั การ ความกา้ วหนา้ ของโครงการสารวจ มนษุ ยไ์ ดใ้ ชป้ ระโยชน์จากเทคโนโลยี แก้ปญั หาเปน็ ทางาน อวกาศจากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ อวกาศ เช่นระบบนาทางดว้ ยดาวเทียม ระบบโดยใช้ (GNSS) การติดตามพายุ สถานการณ์ไฟปา่ ขอ้ มลู ที่ ดาวเทยี มชว่ ยภัยแล้ง การตรวจคราบ ตรวจสอบได้ น้ามนั ในทะเล -โครงการสารวจอวกาศต่างๆ ไดพ้ ัฒนา เพ่มิ พูนความรคู้ วามเขา้ ใจต่อโลก ระบบ

100 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถ่ิน มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถ่ิน กระบวนการ(P) (A) สรุ ยิ ะและเอกภพมากข้นึ เปน็ ลาดบั ตัวอยา่ งโครงการสารวจอวกาศ เชน่ การ สารวจสิ่งมีชวี ิตนอกโลก การสารวจดาว เคราะหน์ อกระบบสุรยิ ะ การสารวจดาว องั คาร และบรวิ ารอนื่ ของดวงอาทิตย์

101 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลกั ษณะ สาระที่ 4 เทคโนโลยี แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยี เพอ่ื การดารงชีวิตในสงั คมท่ีมกี าร เปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทกั ษะทางดา้ น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตร์อน่ื ๆ เพื่อแกป้ ญั หา หรือ พัฒนางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการ ออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดย คานึงถึงผลกระทบตอ่ ชวี ติ สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม ตวั ช้วี ัด 1. วิเคราะห์สาเหตุหรือปัจจัยที่ -เทคโนโลยีมีการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ สง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงของ ต้ังแตอ่ ดีต จนถงึ ปัจจบุ นั ซงึ่ มสี าเหตหุ รือ เทคโนโลยี และ ความสมั พันธข์ อง ปจั จัยมาจากหลายดา้ นเชน่ ปญั หาหรือ เสาะหา ความรู้ - ม่งุ ม่ันการ เทคโนโลยกี ับศาสตรอ์ นื่ โดยเฉพาะ ความต้องการของมนุษย์ความก้าวหน้าของ แก้ปัญหาเป็น ทางาน วทิ ยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์เพอ่ื ศาสตร์ต่างๆ การเปลยี่ นแปลง ทางดา้ น ระบบโดยใช้ เป็นแนวทางการแกป้ ัญหาหรือ เศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม สิง่ แวดล้อม ข้อมลู ท่ี พัฒนางาน ตรวจสอบได้ -เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ โดยวทิ ยาศาสตร์ เป็นพน้ื ฐานความรู้ ท่ีนาไปสู่การพัฒนา เทคโนโลยี และเทคโนโลยีทีไ่ ด้ สามารถ เป็นเครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการศกึ ษา คน้ คว้า เพอ่ื ให้ได้มาซง่ึ องค์ความรใู้ หม่

102 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถิน่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) 2. ระบุปัญหาหรือความตอ้ งการ -ปัญหาหรอื ความต้องการอาจพบไดใ้ นงาน - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ ของชุมชน หรือทอ้ งถน่ิ เพือ่ พฒั นา อาชพี ของชุมชนหรอื ทอ้ งถ่นิ ซงึ่ อาจมีหลาย เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่ันการ งานอาชพี สรปุ กรอบ ของปญั หา ด้าน เชน่ ด้านการเกษตร อาหาร พลงั งาน แกป้ ัญหาเป็น ทางาน รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมูลและ การขนส่ง ระบบโดยใช้ แนวคิดท่เี กย่ี วข้องกับปญั หา โดย -การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาชว่ ยให้ ขอ้ มูลท่ี คานึงถงึ ความถูกต้องดา้ น เขา้ ใจเง่ือนไขและกรอบของปญั หาได้ชัดเจน ทรัพย์สินทางปัญญา จากนั้นดาเนนิ การสืบคน้ รวบรวมขอ้ มลู ตรวจสอบได้ ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ ที่เก่ียวข้อง เพ่อื นาไปสูก่ ารออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหา 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดย -การวิเคราะห์ เปรยี บเทียบ และตดั สินใจ - ค้นคว้า สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ วเิ คราะห์เปรยี บเทียบ และ เลอื ก ข้อมูลที่จาเปน็ โดยคานึงถงึ ทรัพยส์ นิ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมน่ั การ ตดั สนิ ใจเลอื กข้อมูลทจ่ี าเป็น ทางปัญญาเงอ่ื นไขและทรพั ยากร เชน่ แก้ปัญหาเป็น ทางาน ภายใตเ้ งอ่ื นไขและทรพั ยากรที่มี งบประมาณ เวลา ขอ้ มลู และสารสนเทศ ระบบโดยใช้ อยู่ นาเสนอ แนวทางการแก้ปญั หา วสั ดุ เคร่ืองมือและอุปกรณ์ ช่วยให้ได้ แนว ขอ้ มูลที่ ใหผ้ อู้ ื่นเข้าใจด้วยเทคนิค ทางการแก้ปัญหาท่เี หมาะสม-การออกแบบ ตรวจสอบได้ หรือวธิ กี ารที่หลากหลายวางแผน แนวทางการแก้ปัญหาทาได้หลากหลายวธิ ี ขัน้ ตอการทางานและดาเนนิ การ เชน่ การร่างภาพการเขยี นแผนภาพการเขยี น แก้ปัญหาอย่างเป็น ขั้นตอนน ผงั งาน -เทคนคิ หรอื วิธกี ารในการนาเสนอแนว ทางการแก้ปญั หามีหลากหลาย เช่น การใช้ แผนภูมิตาราง ภาพเคลื่อนไหว -การกาหนดขนั้ ตอนแลระยะเวลาในการ ทางานก่อนดาเนินการแกป้ ญั หาจะชว่ ยให้ การทางานสาเรจ็ ได้ตามเปา้ หมาย และลด ข้อผิดพลาดของการทางาน ทอี่ าจเกดิ ข้ึน

103 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถน่ิ มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลกั ษณะ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) 4. ทดสอบ ประเมินผล วเิ คราะห์ -การทดสอบและประเมินผลเปน็ การ - ค้นคว้า สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ และให้เหตุผล ของปัญหาหรอื ตรวจสอบ ช้ินงานหรือวธิ กี ารวา่ สามารถ เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่ันการ ขอ้ บกพรอ่ งทเี่ กดิ ขน้ึ ภายใต้ กรอบ แก้ปัญหาไดต้ ามวัตถปุ ระสงค์ภายใต้กรอบ แก้ปัญหาเป็น ทางาน เงื่อนไข พร้อมทั้งหาแนวทางการ ของปัญหา เพอื่ หาขอ้ บกพร่อง และ ระบบโดยใช้ ปรบั ปรงุ แก้ไข และนาเสนอผลการ ดาเนินการปรับปรงุ โดยอาจทดสอบ ซ้า ขอ้ มูลที่ แก้ปัญหา เพื่อให้สามารถแกไ้ ขปัญหาได้ ตรวจสอบได้ -การนาเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคดิ เพื่อให้ ผูอ้ นื่ เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ ทางานและชน้ิ งาน หรอื วิธกี ารท่ไี ด้ ซง่ึ สามารถทาไดห้ ลายวธิ ี เช่น การเขยี นรายงานการทาแผน่ นาเสนอ ผลงานการจดั นิทรรศการการนาเสนอผา่ น สื่อออนไลน์ 5. ใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะเกี่ยวกบั -วสั ดแุ ตล่ ะประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน เชน่ - ค้นควา้ สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ วัสดุ อุปกรณ์ เครอื่ งมือ กลไก ไม้ โลหะ พลาสตกิ เซรามกิ จงึ ต้องมีการ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมน่ั การ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกสใ์ ห้ วิเคราะห์สมบตั ิ เพ่ือเลอื กใชใ้ ห้เหมาะสมกับ แก้ปญั หาเปน็ ทางาน ถกู ต้องกับลักษณะของงาน และ ลักษณะของงาน ระบบโดยใช้ ปลอดภยั เพ่อื แก้ปัญหาหรือพฒั นา -การสร้างชน้ิ งานอาจใช้ความรู้ เรอื่ งกลไก งาน ไฟฟา้ อิเลก็ ทรอนิกส์ เชน่ LEDLDRมอเตอร์ ขอ้ มูลที่ ตรวจสอบได้ เฟืองคาน รอก ลอ้ เพลา -อปุ กรณ์และเคร่ืองมือในการสรา้ งชิน้ งาน หรือ พัฒนาวธิ ีการมีหลายประเภท ต้อง เลือกใช้ใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภัย รวมท้งั รูจ้ ักเกบ็ รกั ษา

104 สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง / ทอ้ งถิ่น มาตรฐาน / ตัวช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ มาตรฐาน ว 4.2 แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) (A) เข้าใจและใชแ้ นวคิดเชงิ คานวณใน การแก้ปญั หาทพี่ บในชีวิตจรงิ อย่างเปน็ ข้ันตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการ ส่อื สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมี จริยธรรม ตวั ชว้ี ดั -ขั้นตอนการพัฒนาแอพพลเิ คชนั - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ 1. พัฒนาแอพพลิเคชันท่ีมีการ -Internet of Things (IoT) เสาะหา ความรู้ - มุง่ ม่ันการ บูรณาการกับ วิชาอืน่ อย่าง แกป้ ญั หาเป็น ทางาน สร้างสรรค์ -ซอฟตแ์ วรท์ ่ีใชใ้ นการพฒั นาแอพพลเิ คชัน ระบบโดยใช้ เชน่ Scratch, python, java, c, ข้อมูลท่ี AppInventor ตรวจสอบได้ -ตวั อยา่ งแอพพลเิ คชัน เชน่ โปรแกรมแปลง สกุลเงิน โปรแกรมผันเสียงวรรณยกุ ต์ โปรแกรมจาลองการแบง่ เซลล์ ระบบรดนา้ อตั โนมัติ

105 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถิ่น มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) 2. รวบรวมขอ้ มลู ประมวลผล -การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งขอ้ มูลปฐมภมู ิ - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ ประเมนิ ผล นาเสนอข้อมูลและ และ ทุติยภูมิ ประมวลผล สรา้ งถามเลอื ก เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่ันการ สารสนเทศ ตามวัตถุประสงค์โดยใช้ ประเมินผล จะทาให้ได้สารสนเทศเพ่อื ใช้ใน แก้ปญั หาเป็น ทางาน ระบบโดยใช้ ซอฟตแ์ วร์ หรอื บรกิ ารบน การแก้ปญั หา หรอื การตัดสินใจได้อย่างมี ขอ้ มูลท่ี ตรวจสอบได้ อินเทอรเ์ นต็ ทห่ี ลากหลาย ประสิทธภิ าพ -การประมวลผลเป็นการกระทากับขอ้ มูล เพือ่ ให้ได้ ผลลัพธ์ทีม่ ีความหมายและมี ประโยชน์ตอ่ การนาไป ใชง้ าน -การใช้ซอฟต์แวร์หรอื บรกิ ารบน อินเทอร์เน็ตที่หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลอื กประเมนิ ผล นาเสนอ จะช่วยให้แกป้ ญั หาไดอ้ ย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยา -ตัวอยา่ งปัญหา เชน่ การเลือกโปรโมชัน โทรศพั ท์ ใหเ้ หมาะกบั พฤติกรรมการใช้งาน, สินคา้ เกษตรท่ีต้องการและสามารถปลกู ได้ ในสภาพดินของทอ้ งถ่นิ 3. ประเมนิ ความนา่ เชอื่ ถือของ -การประเมินความนา่ เช่อื ถอื ของขอ้ มูล เช่น - ค้นคว้า สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมน่ั การ ข้อมลู วิเคราะห์สอ่ื และผลกระทบ ตรวจสอบและยนื ยนั ขอ้ มลู โดยเทยี บเคยี ง แก้ปัญหาเปน็ ทางาน ระบบโดยใช้ จากการให้ข่าวสารทผ่ี ิด เพ่อื การใช้ จากข้อมลู หลายแหลง่ แยกแยะข้อมลู ที่ ขอ้ มลู ท่ี ตรวจสอบได้ งานอย่างรูเ้ ท่าทัน เปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คิดเหน็ หรือใช้ PROMPT -การสบื คน้ หาแหลง่ ต้นตอของขอ้ มูล -เหตผุ ลวบิ ัติ (logical fallacy) -ผลกระทบจากขา่ วสารทผี่ ดิ พลาด -การรเู้ ทา่ ทันส่ือ เช่น การวิเคราะห์ถงึ จดุ ประสงค์ของข้อมลู และผใู้ ห้ข้อมูล ตคี วาม แยกแยะเนือ้ หาสาระของสื่อ

106 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลกั ษณะ 4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) (A) ปลอดภัย และมคี วามรับผิดชอบ ตอ่ สงั คม ปฏิบัตติ ามกฎหมาย -การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย - ค้นควา้ สบื - ใฝเ่ รียนรู้ เกยี่ วกบั คอมพวิ เตอร์ ใชล้ ขิ สิทธ์ิ เช่น การทาธรุ กรรมออนไลน์ การซอื้ สนิ คา้ ของ ผู้อ่ืนโดยชอบธรรม เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่ันการ ซอื้ ซอฟตแ์ วร์ คา่ บรกิ ารสมาชิก ซือ้ ไอเทม็ -การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งมีความ แก้ปัญหาเป็น ทางาน รับผิดชอบ เช่น ไมส่ รา้ งขา่ วลวง ไมแ่ ชร์ ระบบโดยใช้ ขอ้ มลู โดยไม่ตรวจสอบข้อเทจ็ จริง ขอ้ มลู ท่ี -กฎหมายเก่ียวกับคอมพวิ เตอร์ ตรวจสอบได้ -การใชล้ ขิ สทิ ธขิ์ องผู้อืน่ โดยชอบธรรม (fair use)

107 การวเิ คราะห์สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้วี ัด ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบ นเิ วศ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง สิ่งไมม่ ีชวี ิตกับส่ิงมชี วี ิต และ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชีวติ กับ สิ่งมชี ีวติ ต่างๆ ในระบบนิเวศ การ ถ่ายทอดพลงั งาน การเปลยี่ นแปลง แทนท่ีในระบบนเิ วศ ความหมาย ของประชากร ปญั หาและ ผลกระทบท่ีมีต่อ ทรพั ยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ ักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไข ปญั หาสิง่ แวดลอ้ ม รวมทั้งนา ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวช้ีวดั ความสมั พันธ์ของสภาพทาง - - สืบค้นข้อมลู - ใฝ่เรยี นรู้ 1. สบื ค้นขอ้ มูลและอธบิ าย ภมู ิศาสตรบ์ นโลกกับความ ความสมั พันธข์ องสภาพทาง หลากหลายของไบโอม ชนิด - อธิบาย - มุ่งม่นั ใน ภมู ศิ าสตร์บนโลกกบั ความ ของไบโอม หลากหลายของไบโอม และ - ยกตัวอยา่ ง การทางาน ยกตวั อยา่ งไบโอมชนดิ ตา่ งๆ 2. สืบค้นข้อมูล อภิปรายสาเหตุ การเปล่ียนแปลงแทนทขี่ อง - - สบื ค้นข้อมลู - ใฝเ่ รยี นรู้ และยกตัวอยา่ งการเปล่ยี นแปลง ระบบนิเวศ แทนท่ีของระบบนิเวศ - อธิบาย - มุง่ มั่นใน - ยกตัวอยา่ ง การทางาน

108 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ 3. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ ายและ แกนกลาง ท้องถ่ิน กระบวนการ(P) (A) ยกตัวอยา่ งเก่ียวกบั การ เปลยี่ นแปลงขององคป์ ระกอบทาง องคป์ ระกอบในระบบนิเวศที่ - สบื ค้นข้อมลู - ใฝ่เรยี นรู้ กายภาพและทางชีวภาพที่มีผลต่อ การเปลีย่ นแปลงขนาดของ มีผลตอ่ การเปล่ียนแปลง - อธิบาย - มุ่งม่นั ใน ประชากรสิ่งมชี ีวติ ในระบบนิเวศ 4. สบื ค้นข้อมลู และอภปิ ราย ขนาดของประชากร - ยกตัวอยา่ ง การทางาน เกี่ยวกับปญั หาและผลกระทบที่มี ต่อทรัพยากรธรรมชาติและ - การเปลย่ี นแปลงของ - - สบื ค้นข้อมูล - ใฝเ่ รยี นรู้ สิ่งแวดลอ้ ม พร้อมทั้งนาเสนอ ทรพั ยากรธรรมชาติและ แนวทางในการอนุรกั ษ์ สง่ิ แวดล้อม - อธิบาย - มุง่ มั่นใน ทรพั ยากรธรรมชาติและการแกไ้ ข - ปญั หาทเี่ กดิ กบั ทรพั ยากร ปญั หาส่ิงแวดลอ้ ม ธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม - ยกตวั อย่าง การทางาน - สาเหตขุ องปัญหา สิ่งแวดล้อม - - การวางแผนจัดการ ทรพั ยากร ธรรมชาติ - แนวทางในการอนรุ ักษ์ ทรพั ยากร ธรรมชาติ

109 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถิ่น มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลกั ษณะ แกนกลาง ท้องถิน่ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของสิง่ มชี ีวติ หนว่ ย พนื้ ฐานของส่ิงมีชวี ิต การลาเลียง สารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พันธข์ องโครงสร้างและ หนา้ ที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์ และมนุษย์ทีท่ างานสัมพันธ์กัน ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและ หน้าท่ีของอวยั วะตา่ งๆ ของพืชท่ี ทางานสมั พนั ธ์กนั รวมทัง้ นาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ตวั ชว้ี ัด 1. อธบิ ายโครงสรา้ งและสมบัติ - โครงสรา้ งและสมบตั ขิ อง - - อธิบาย - ใฝ่เรยี นรู้ ของเยื่อหมุ้ เซลล์ทีส่ ัมพนั ธก์ ับการ เยื่อหมุ้ เซลล์ - เปรยี บเทียบ - มุ่งมนั่ ใน ลาเลยี งสาร และเปรยี บเทียบการ - การลาเลยี งสารแบบต่างๆ การทางาน ลาเลียงสารผ่านเย่ือหุม้ เซลลแ์ บบ ตา่ งๆ 2. อธิบายการควบคุม ดลุ ยภาพ - การรกั ษาดลุ ยภาพของน้า - - อธิบาย - ใฝเ่ รียนรู้ ของนา้ และสารในเลือดโดยการ - มุ่งมน่ั ใน ทางานของไต การทางาน 3. อธบิ ายการควบคุม ดลุ ยภาพ - การรกั ษาดลุ ยภาพของ - - อธิบาย - ใฝ่เรยี นรู้ ของกรด-เบสของเลอื ดโดยการ กรด-เบส - มุ่งมน่ั ใน ทางานของไตและปอด การทางาน 4. อธบิ ายการควบคุม ดุลยภาพ - การรกั ษาดุลยภาพของ - - อธบิ าย - ใฝ่เรยี นรู้ ของอณุ หภมู ิภายในร่างกายโดย อณุ หภูมิ - มงุ่ มั่นใน ระบบหมนุ เวยี นเลือด ผิวหนังและ การทางาน กลา้ มเนอื้ โครงรา่ ง 5. อธิบายและเขยี นแผนผงั - กลไกในการต่อต้านหรอื - - อธบิ าย - ใฝ่เรียนรู้ เก่ยี วกบั การตอบสนองของรา่ งกาย ทาลายสง่ิ แปลกปลอมท้ังแบบ - เขยี นแผนผัง - ม่งุ มั่นใน แบบไมจ่ าเพาะ และแบบจาเพาะ ไม่จาเพาะและแบบจาเพาะ การทางาน ต่อส่งิ แปลกปลอมของร่างกาย 6. สบื คน้ ข้อมูล อธิบาย และ - โรคหรอื อาการท่ีเกดิ จาก - - อธิบาย - ใฝเ่ รียนรู้ ยกตวั อย่างโรคหรืออาการทเ่ี กิดจาก ความผดิ ปกติของระบบ - ยกตัวอยา่ ง - มุ่งมัน่ ใน ความผดิ ปกติของระบบภูมิคุ้มกนั ภูมิคมุ้ กัน - สืบคน้ ข้อมลู การทางาน

110 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตัวช้ีวดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ 7. อธิบายภาวะภูมิคมุ้ กันบกพรอ่ ง แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) (A) ท่มี ีสาเหตุมาจากเชอื้ HIV - ภาวะภูมิคุม้ กนั บกพร่องทมี่ ี - - อธบิ าย - ใฝเ่ รียนรู้ 8. ทดสอบ และบอกชนดิ ของ สารอาหารที่พืชสังเคราะห์ได้ สาเหตุมาจากเช้ือ HIV - มงุ่ มน่ั ใน 9. สบื ค้นข้อมูล อภปิ ราย และ การทางาน ยกตัวอยา่ งเกีย่ วกับการใช้ ประโยชน์จากสารต่างๆ ท่ีพชื บาง - ชนดิ ของสารอาหารทพ่ี ชื - - ทดสอบ - ใฝ่เรียนรู้ ชนดิ สรา้ งข้นึ 10. ออกแบบการทดลอง ทดลอง สังเคราะห์ - บอก - มุ่งมัน่ ใน และอภปิ รายเกยี่ วกับปัจจยั ภายนอกที่มผี ลต่อการเจริญเติบโต การทางาน ของพชื 11. สืบค้นขอ้ มลู เก่ียวกบั สาร - การใช้ประโยชนจ์ ากสาร - - สบื ค้นข้อมลู - ใฝเ่ รยี นรู้ ควบคุมการเจริญเตบิ โตของพืชที่ มนษุ ย์สงั เคราะหข์ ึ้นและ ตา่ งๆ ท่ีพืชบางชนิดสรา้ ง - อภิปราย - มุ่งมนั่ ใน ยกตัวอยา่ งการนามาประยกุ ต์ใช้ ทางด้านการเกษตรของพืช - ยกตัวอย่าง การทางาน 12. สังเกต และอธิบายการ ตอบสนองของพืชต่อ สง่ิ เรา้ ใน -ปัจจยั ภายนอกท่มี ผี ลต่อการ - ออกแบบการ - ใฝเ่ รียนรู้ รปู แบบต่างๆ เจรญิ เตบิ โตของพืช ทดลอง - มงุ่ มน่ั ใน - อภิปราย การทางาน -สารควบคมุ การเจรญิ เติบโต - สบื คน้ ขอ้ มลู - ใฝเ่ รยี นรู้ ของพชื - อภปิ ราย - มุง่ มน่ั ใน การทางาน - การตอบสนองของพชื ต่อสงิ่ - - สังเกต - ใฝ่เรียนรู้ เรา้ - อภิปราย - มุง่ มั่นใน การทางาน

111 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลกั ษณะ มาตรฐาน ว 1.3 แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) (A) เข้าใจกระบวนการและความสาคัญ ของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม สารพันธุกรรม การ เปลี่ยนแปลงทางพันธกุ รรมท่ีมผี ล ต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทาง ชีวภาพและววิ ฒั นาการของ สิ่งมีชวี ิต รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวช้วี ดั 1. อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่าง - ยนี - - อภิปราย - ใฝเ่ รยี นรู้ ยีน การสงั เคราะหโ์ ปรตีน และ - การสงั เคราะห์โปรตนี - มุ่งมน่ั ใน ลักษณะทางพนั ธกุ รรม - ลักษณะทางพนั ธุกรรม การทางาน 2. อธบิ ายหลกั การถา่ ยทอด - หลักการถ่ายทอดลักษณะที่ - - อภิปราย - ใฝ่เรยี นรู้ ลกั ษณะทถ่ี ูกควบคุมดว้ ยยนี ท่ีอยู่ ถูกควบคุมด้วยยนี ที่อยู่บน - มุ่งมน่ั ใน บนโครโมโซมเพศและมัลตเิ ปิล โครโมโซมเพศและ มัลตเิ ปิล การทางาน แอลลลี แอลลีล 3. อธบิ ายผลทีเ่ กิดจากการ - มวิ เทชนั - - สืบคน้ ข้อมลู - ใฝ่เรยี นรู้ เปล่ยี นแปลงลาดับนวิ คลโี อไทดใ์ น - อภิปราย - มงุ่ มัน่ ใน ดเี อ็นเอต่อการแสดงลักษณะของ การทางาน สิ่งมชี ีวิต 4. สืบค้นข้อมูล และยกตวั อยา่ ง การนามวิ เทชนั ไปใช้ประโยชน์ 5. สืบค้นข้อมลู และอภปิ รายผล - เทคโนโลยที างดีเอน็ เอ - - สืบค้นข้อมลู - ใฝเ่ รยี นรู้ ของเทคโนโลยที างดีเอ็นเอที่มีต่อ - ผลของเทคโนโลยีทางดเี อ็น - อภิปราย - มุ่งมั่นใน มนษุ ยแ์ ละสิ่งแวดลอ้ ม เอทม่ี ตี ่อมนุษย์และ การทางาน ส่งิ แวดล้อม 6. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย และ - หลากหลายของสงิ่ มีชีวติ - - สบื คน้ ข้อมูล - ใฝเ่ รียนรู้ ยกตัวอย่างความหลากหลายของ - กระบวนการคดั เลือกโดย - อภปิ ราย - มุ่งมน่ั ใน ส่งิ มีชวี ิต ซ่งึ เป็นผลมาจาก ธรรมชาติ - ยกตัวอยา่ ง การทางาน ววิ ัฒนาการ - ววิ ัฒนาการของสิ่งมชี วี ติ

112 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ สาระท่ี 4 เทคโนโลยี แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยี เพ่อื การดารงชีวติ ในสงั คมท่ีมีการ เปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใช้ ความรูแ้ ละทักษะทางดา้ น วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และ ศาสตร์อื่นๆ เพอ่ื แก้ปัญหาหรือ พฒั นางานอยา่ งมีความคดิ สรา้ งสรรค์ดว้ ยกระบวนการ ออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดย คานึงถึงผลกระทบตอ่ ชีวติ สงั คม และส่ิงแวดล้อม ตวั ชีว้ ัด - เทคโนโลยคี วามสมั พันธก์ บั 1. วเิ คราะหแ์ นวคิดหลกั ของ - - อภปิ ราย - ใฝ่เรยี นรู้ เทคโนโลยี ความสัมพันธก์ ับศาสตร์ ศาสตร์อื่น - อภิปราย - มุ่งม่นั ใน การทางาน อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ - ใฝเ่ รยี นรู้ คณติ ศาสตร์ รวมทง้ั ประเมนิ ผล - มุง่ มั่นใน การทางาน กระทบท่จี ะเกดิ ข้นึ ตอ่ มนุษย์ สงั คม เศรษฐกจิ และสิ่งแวดล้อม เพ่ือเปน็ แนวทางในการพฒั นาเทคโนโลยี 2. ระบปุ ญั หาหรือความตอ้ งการทมี่ ี - วเิ คราะห์ข้อมูลและแนวคิด ผลกระทบต่อสังคม รวบรวม ท่เี กี่ยวข้องกับปัญหาทีม่ ีความ วเิ คราะหข์ ้อมลู และแนวคิดท่ี ซบั ซอ้ นเพ่อื สังเคราะห์วธิ ีการ เกี่ยวข้องกบั ปญั หาที่มีความ เทคนคิ ในการแกป้ ญั หา ซบั ซอ้ นเพ่ือสังเคราะหว์ ิธีการ เทคนิคในการแก้ปัญหา โดย คานงึ ถงึ ความถูกต้องด้านทรัพย์สนิ ทางปญั ญา

113 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถ่ิน มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถ่ิน กระบวนการ(P) (A) อ 3. ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหา โดย - การตัดสินใจเลือกขอ้ มูลที่ - สืบคน้ ข้อมูล - ใฝ่เรียนรู้ วิเคราะห์เปรยี บเทียบ และตัดสนิ ใจ จาเป็นภายใต้เงอ่ื นไขและ - อภิปราย - มุ่งม่ันใน เลอื กข้อมูลท่จี าเปน็ ภายใตเ้ ง่ือนไข ทรัพยากรทม่ี ีอยู่ - ยกตัวอยา่ ง การทางาน และทรัพยากรที่มอี ยู่ นาเสนอ - การนาเสนอ แนวทางการแก้ปญั หาใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจ ด้วยเทคนคิ หรอื วธิ กี ารท่ี หลากหลาย โดยใชซ้ อฟต์แวร์ ช่วย ในการออกแบบ วางแผนข้นั ตอน การทางานและดาเนินการ แก้ปญั หา 4. ทดสอบ ประเมนิ ผล วิเคราะห์ - ทดสอบ ประเมินผล - - อภปิ ราย - ใฝเ่ รียนรู้ และใหเ้ หตผุ ลของปญั หาหรือ วิเคราะห์ และใหเ้ หตผุ ลของ - ยกตวั อยา่ ง - มุ่งมั่นใน ข้อบกพร่องทเี่ กิดขึ้นภายใต้กรอบ ปัญหา - การนาเสนอ การทางาน เง่อื นไข หาแนวทางการปรับปรงุ แก้ไข และนาเสนอผลการ แกป้ ัญหา พร้อมทัง้ เสนอแนว ทางการพัฒนาต่อยอด 5. ใช้ความรู้และทักษะเก่ียวกับ - เทคโนโลยที ่ีซับซ้อนในการ - - อภปิ ราย - ใฝ่เรียนรู้ วัสดุ อปุ กรณ์ เครือ่ งมือ กลไก แกป้ ญั หาหรือพฒั นางาน - ยกตวั อย่าง - มงุ่ มน่ั ใน ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนิกส์ และ - ไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์ - การนาเสนอ การทางาน เทคโนโลยที ี่ซับซ้อนในการ แก้ปัญหาหรือพฒั นางาน ได้อยา่ ง ถกู ต้อง เหมาะสม และปลอดภยั

114 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ สาระที่ 4 เทคโนโลยี แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณ ในการแก้ปัญหาที่พบในชวี ติ จริง อยา่ งเป็นข้นั ตอนและเปน็ ระบบ ใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการ สอ่ื สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รูเ้ ท่าทัน และมี จริยธรรม ตวั ชว้ี ัด - แนวคดิ เชิงคานวณในการ - - อภิปราย - ใฝ่เรียนรู้ 1. ประยุกต์ใช้แนวคดิ เชิงคานวณ พฒั นาโครงงานทม่ี ีการ - มุ่งม่นั ใน ในการพัฒนาโครงงานท่ีมกี าร บูรณาการกบั วิชาอ่ืน อยา่ ง การทางาน บูรณาการกับวิชาอืน่ อย่าง สรา้ งสรรค์ และเชื่อมโยงกับ สร้างสรรค์ และเชื่อมโยงกับชวี ิต ชีวิตจริง จรงิ

115 การวิเคราะห์สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้วี ดั ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชีว้ ัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมบตั ขิ อง สสารกบั โครงสร้างและแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และ ธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลง สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี ตวั ช้วี ัด 1. ระบุวา่ สารเป็นธาตุหรือ - สารเคมที กุ ชนดิ สามารถระบุ - - การจาแนก - สนใจใฝร่ ู้ สารประกอบ และอยู่ในรปู อะตอม ไดว้ ่าเปน็ ธาตุหรอื สารประกอบ - รอบคอบ โมเลกลุ หรอื ไอออนจากสูตรเคมี และอยใู่ นรูปของอะตอม 2. เปรยี บเทียบความเหมือน โมเลกลุ หรอื ไอออนได้ โดย และความแตกตา่ งของแบบจาลอง พจิ ารณาจากสตู รเคมี อะตอมของโบร์กับแบบจาลอง - แบบจาลองอะตอมใชอ้ ธิบาย อะตอมแบบกลุม่ หมอก ตาแหน่งของโปรตอน นวิ ตรอน และอิเลก็ ตรอนในอะตอม โดย โปรตอนและนวิ ตรอนอยู่ รวมกันในนิวเคลียส สว่ น อเิ ล็กตรอน เคลื่อนทีร่ อบ นิวเคลียส ซ่ึงในแบบจาลอง อะตอมของโบร์ อิเล็กตรอน เคลื่อนทีเ่ ป็นวง โดยแตล่ ะวงมี ระยะห่างจากนวิ เคลียสและมี พลงั งานต่างกนั และ อเิ ลก็ ตรอนวงนอกสุด เรียกว่า เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน - แบบจาลองอะตอมแบบกลุม่ หมอก แสดงโอกาสท่จี ะพบ

116 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ทอ้ งถิ่น มาตรฐาน / ตวั ช้วี ัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) อิเลก็ ตรอนรอบนิวเคลียสใน ลักษณะกลุม่ หมอก เนื่องจาก อเิ ลก็ ตรอนมีขนาดเลก็ และ เคลื่อนทีอ่ ยา่ งรวดเรว็ ตลอดเวลา จงึ ไม่สามารถระบุ ตาแหน่งทแ่ี น่นอนได้ 3. ระบจุ านวนโปรตอน - อะตอมของธาตุเป็นกลางทาง - - การจาแนก - สนใจใฝร่ ู้ นิวตรอน และอิเล็กตรอนของ ไฟฟ้า มจี านวนโปรตอนเทา่ กับ - รอบคอบ อะตอม และไอออนท่ีเกดิ จาก จานวนอิเลก็ ตรอน การระบุ อะตอมเดยี ว ชนดิ ของธาตุพจิ ารณาจาก จานวนโปรตอน - เมอ่ื อะตอมของธาตุมีการให้ หรือรบั อิเลก็ ตรอน ทาให้ จานวนโปรตอนและ อเิ ล็กตรอนไม่เทา่ กนั เกดิ เป็น ไอออน โดยไอออนทม่ี ีจานวน อเิ ลก็ ตรอนนอ้ ยกว่าจานวน โปรตอน เรยี กว่า ไอออนบวก สว่ นไอออนท่ีมีจานวน อเิ ล็กตรอนมากกวา่ โปรตอน เรียกวา่ ไอออนลบ 4. เขยี นสญั ลักษณน์ วิ เคลียร์ของ - สญั ลักษณน์ ิวเคลยี ร์ - - การจาแนก - สนใจใฝ่รู้ ธาตุและระบกุ ารเป็นไอโซโทป ประกอบดว้ ยสญั ลักษณ์ธาตุ - สอ่ื ความหมาย - รอบคอบ เลขอะตอมและเลขมวล โดย เลขอะตอมเป็นตัวเลขท่ีแสดง จานวนโปรตอนในอะตอม เลข มวลเปน็ ตัวเลขทแ่ี สดงผลรวม ของจานวนโปรตอนกับ นวิ ตรอนในอะตอม ธาตชุ นิด เดยี วกันแตม่ เี ลขมวลตา่ งกนั เรยี กว่าไอโซโทป

117 สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ช้วี ดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) 5. ระบุหมแู่ ละคาบของธาตุ - ธาตุจัดเป็นหมวดหมไู่ ดอ้ ย่าง - - การจาแนก - สนใจใฝ่รู้ และระบุวา่ ธาตเุ ป็นโลหะ อโลหะ ก่ึง เป็นระบบ โดยอาศัยตารางธาตุ - รอบคอบ โลหะ กลมุ่ ธาตุเรพรเี ซนเททฟี หรือ ซึง่ ในปจั จุบันจัดเรียงตามเลข กลุ่มธาตแุ ทรนซชิ นั จากตารางธาตุ อะตอมและความคลา้ ยคลงึ ของสมบัติ แบง่ ออกเปน็ หมู่ซึ่ง เปน็ แถวในแนวต้ัง และคาบซึ่ง เป็นแถวในแนวนอน ทาให้ธาตุ ท่มี ีสมบตั ิเป็นโลหะ อโลหะ และก่งึ โลหะ อย่เู ปน็ กลมุ่ บรเิ วณใกล้ๆ กนั และแบ่งธาตุ ออกเป็นกล่มุ ธาตเุ รพรีเซนเท ทีฟและกลุ่มธาตแุ ทรนซิชัน 6. เปรียบเทียบสมบตั ิการนา - ธาตุในกลุ่มโลหะ จะนาไฟฟ้า - - เปรยี บเทียบ - สนใจใฝร่ ู้ ไฟฟา้ การใหแ้ ละรบั อิเล็กตรอน ได้ดี และมแี นวโน้มให้ - รอบคอบ ระหวา่ งธาตุในกลมุ่ โลหะกบั อโลหะ อิเล็กตรอน สว่ นธาตใุ นกลุม่ - ม่งุ ม่ัน อโลหะ จะไมน่ าไฟฟ้า และมี แนวโน้มรบั อเิ ลก็ ตรอน โดย ธาตเุ รพรเี ซนเททีฟในหมู่ IA - IIA และธาตุแทรนซิชันทกุ ธาตุ จัดเป็นธาตุในกลุ่มโลหะ สว่ น ธาตเุ รพรีเซนเททฟี ในหมู่ IIIA - VIIA มที ง้ั ธาตใุ นกลุ่มโลหะและ อโลหะสว่ นธาตุเรพรีเซนเททฟี ในหมู่ VIIIA จัดเป็นธาตุอโลหะ ทง้ั หมด

118 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชวี้ ดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) 7. สืบคน้ ขอ้ มลู และนาเสนอ - ธาตเุ รพรเี ซนเททฟี และ - - สืบค้น - สนใจใฝร่ ู้ ตัวอยา่ งประโยชนแ์ ละอันตรายทเี่ กิด ธาตุแทรนซิชนั นามาใช้ - นาเสนอ - รอบคอบ จากธาตเุ รพรเี ซนเททีฟและธาตแุ ท ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวันได้ - มุ่งมน่ั รนซชิ ัน หลากหลาย ซ่ึงธาตบุ างชนิดมี สมบตั ิทเ่ี ปน็ อันตราย จงึ ตอ้ ง คานงึ ถงึ การปอ้ งกันอนั ตราย เพอื่ ความปลอดภัยในการใช้ ประโยชน์ 8. ระบุว่าพันธะโคเวเลนต์เปน็ - พันธะโคเวเลนต์ เป็นการยดึ - - การจาแนก - สนใจใฝ่รู้ พนั ธะเด่ียว พันธะคู่ หรือพนั ธะสาม เหนีย่ วระหวา่ งอะตอมดว้ ยการ - รอบคอบ และระบุจานวนคู่อเิ ล็กตรอน ใช้เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนร่วมกัน ระหวา่ งอะตอมคู่รว่ มพันธะ จากสูตร เกิดเป็นโมเลกุล โดยการใช้ โครงสร้าง เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนร่วมกัน 1 คู่ เรยี กว่า พนั ธะเด่ียว เขียนแทน ด้วยเส้นพนั ธะ 1 เส้น ใน โครงสร้างโมเลกุล ส่วนการใช้ เวเลนซ์อิเล็กตรอนรว่ มกนั 2 คู่ และ 3 คู่ เรียกวา่ พนั ธะคู่ และ พนั ธะสาม เขยี นแทนด้วยเสน้ พนั ธะ 2 เส้น และ 3 เส้น ตามลาดับ 9. ระบสุ ภาพข้ัวของสารท่ี สารท่ีมพี ันธะภายในโมเลกุล - - การจาแนก - สนใจใฝร่ ู้ โมเลกุลประกอบด้วย 2 อะตอม เป็นพันธะโคเวเลนต์ท้ังหมด - อธิบาย - รอบคอบ 10. ระบสุ ารทเ่ี กิดพนั ธะ เรียกวา่ สารโคเวเลนต์ โดยสาร - มุ่งมัน่ ไฮโดรเจนได้จากสตู รโครงสรา้ ง โคเวเลนต์ ที่ประกอบดว้ ย 2 11. อธิบายความสัมพันธ์ อะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน ระหวา่ งจุดเดอื ดของสารโคเวเลนต์ เปน็ สารไมม่ ีขวั้ ส่วนสารโคเว กบั แรงดงึ ดูดระหว่างโมเลกลุ ตาม เลนต์ ท่ปี ระกอบด้วย 2 สภาพข้วั หรอื การเกิดพนั ธะ อะตอมของธาตุตา่ งชนิดกนั ไฮโดรเจน เป็นสารมขี วั้ สาหรับสารโคเว เลนต์ทีป่ ระกอบด้วยอะตอม มากกวา่ 2 อะตอม อาจเปน็ สารมีขวั้ หรอื ไม่มขี ว้ั ขึ้นอยู่กบั รปู รา่ งของโมเลกุล ซงึ่ สภาพข้ัว

119 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตัวชว้ี ัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ท้องถน่ิ กระบวนการ(P) (A) ของสารโคเวเลนตส์ ง่ ผลตอ่ แรง ดงึ ดดู ระหว่างโมเลกลุ ทที่ าให้ จุดหลอมเหลวและจุดเดอื ด ของสารโคเวเลนต์แตกตา่ งกนั นอกจากนีส้ ารบางชนดิ มจี ุด เดอื ดสูงกว่าปกติ เนื่องจากมี แรงดึงดดู ระหว่างโมเลกลุ สงู ที่ เรยี กว่า พนั ธะไฮโดรเจนซึ่งสาร เหลา่ นีม้ ีพันธะ N–H O–H หรือ F–H ภายในโครงสร้าง โมเลกลุ 12. เขยี นสูตรเคมขี องไอออน - สารประกอบไอออนิกส่วน - - การจาแนก - สนใจใฝร่ ู้ และสารประกอบไอออนิก ใหญ่เกิดจากการรวมตัวกันของ - สอ่ื ความหมาย - รอบคอบ ไอออนบวกของธาตุโลหะและ - มุง่ ม่นั ไอออนลบของธาตุอโลหะ ใน บางกรณีไอออนอาจ ประกอบดว้ ยกลมุ่ ของอะตอม โดยเม่อื ไอออนรวมตัวกันเกิด เปน็ สารประกอบไอออนิกจะมี สดั สว่ นการรวมตวั เพ่ือทาให้ ประจขุ องสารประกอบเป็น กลางทางไฟฟ้า โดยไอออน บวกและไอออนลบจะจัดเรียง ตัวสลับตอ่ เนอ่ื งกันไปใน 3 มิติ เกดิ เป็น ผลึกของสารซ่ึงสูตรเคมขี อง สารประกอบไอออนกิ ประกอบด้วยสญั ลักษณ์ธาตุท่ี เปน็ ไอออนบวกตามด้วย สัญลกั ษณธ์ าตุทเี่ ป็นไอออนลบ โดยมีตวั เลขท่แี สดงจานวน ไอออนแต่ละชนิดเป็น อัตราสว่ นอยา่ งต่า

120 สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ช้วี ัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ 13. ระบุว่าสารเกิดการละลาย (A) แบบแตกตวั หรอื ไมแ่ ตกตวั พร้อมให้ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) เหตผุ ลและระบุวา่ สารละลายท่ีได้ - สนใจใฝ่รู้ เป็นสารละลายอเิ ล็กโทรไลต์ หรือ - สารจะละลายนา้ ได้เมือ่ - - การจาแนก - รอบคอบ นอนอิเล็กโทรไลต์ - มงุ่ มั่น องคป์ ระกอบของสารสามารถ - ส่ือความหมาย 14. ระบสุ ารประกอบอนิ ทรีย์ - สนใจใฝ่รู้ ประเภทไฮโดรคาร์บอนว่าอมิ่ ตัว เกิดแรงดงึ ดดู กับโมเลกลุ ของ - รอบคอบ หรอื ไม่อม่ิ ตัวจากสตู รโครงสรา้ ง - มุ่งมน่ั นา้ ได้โดยการละลายของสารใน น้าเกิดได้ 2 ลกั ษณะ คือ การ ละลายแบบแตกตัว และการ ละลายแบบไม่แตกตวั การ ละลายแบบแตกตัวเกิดขนึ้ กับ สารประกอบไอออนิก และสาร โคเวเลนตบ์ างชนิดทม่ี สี มบัติ เป็นกรดหรือเบส โดยเม่อื สาร เกดิ การละลายแบบแตกตวั จะ ได้ไอออนที่สามารถเคลือ่ นทไ่ี ด้ ทาให้ได้สารละลายที่นาไฟฟ้า ซึ่งเรยี กว่า สารละลายอิเล็ก โทรไลต์ การละลายแบบไม่ แตกตัวเกิดขึ้นกับสารโคเว เลนต์ทีม่ ีข้วั สูงสามารถดงึ ดูด กับโมเลกลุ ของน้าไดด้ ี โดยเมอ่ื เกิดการละลายโมเลกลุ ของสาร จะไมแ่ ตกตัวเป็นไอออน และ สารละลายท่ีไดจ้ ะไม่นาไฟฟ้า ซ่ึงเรียกวา่ สารละลายนอนอิ เลก็ โทรไลต์ - สารประกอบอนิ ทรีย์เปน็ - - การจาแนก สารประกอบของคาร์บอนส่วน ใหญ่พบในสงิ่ มชี วี ิต มี โครงสรา้ งหลากหลายและแบง่ ได้หลายประเภท เน่อื งจากธาตุ คาร์บอน สามารถเกิดพนั ธะกบั คาร์บอนดว้ ยกนั เองและธาตุ อื่นๆ นอกจากนพ้ี ันธะระหวา่ ง คาร์บอนยังมีหลายรูปแบบ ได้แก่ พันธะเดีย่ ว พนั ธะคู่ พันธะสาม - สารประกอบอนิ ทรยี ท์ ม่ี ี

121 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชวี้ ัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) เฉพาะธาตุคารบ์ อนและ ไฮโดรเจนเป็นองคป์ ระกอบ เรียกวา่ สารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อน โดย สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน อม่ิ ตัวมีพนั ธะระหว่างคารบ์ อน เปน็ พันธะเด่ียวทุกพันธะใน โครงสรา้ ง ส่วนสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนไมอ่ ิ่มตวั มพี ันธะ ระหวา่ งคารบ์ อนเปน็ พนั ธะคู่ หรือพันธะสามอย่างนอ้ ย 1 พันธะในโครงสรา้ ง 15. สบื คน้ ขอ้ มูลและ - สารท่พี บในชวี ติ ประจาวนั มี - - สืบคน้ - สนใจใฝ่รู้ เปรยี บเทียบสมบตั ิทางกายภาพ ทง้ั โมเลกุลขนาดเลก็ และขนาด - เปรียบเทียบ - รอบคอบ ระหว่างพอลิเมอรแ์ ละมอนอเมอร์ ใหญ่ พอลเิ มอรเ์ ป็นสารทีม่ ี - มงุ่ มั่น ของพอลเิ มอร์ชนิดนัน้ โมเลกุล ขนาดใหญ่ทเี่ กิดจาก มอนอเมอร์หลายโมเลกุล เชอ่ื มตอ่ กนั ดว้ ยพนั ธะเคมี ทา ใหส้ มบตั ิทางกายภาพของพอลิ เมอรแ์ ตกตา่ งจากมอนอเมอร์ท่ี เปน็ สารต้ังต้น เช่น สถานะ จดุ หลอมเหลวการละลาย 16. ระบุสมบัตคิ วามเปน็ กรด- - สารประกอบอนิ ทรียท์ ่มี ีหมู่ - - - การจาแนก - สนใจใฝร่ ู้ เบสจากโครงสรา้ งของสารประกอบ COOH สามารถแสดงสมบตั ิ - รอบคอบ อนิ ทรีย์ ความเป็นกรด สว่ น สารประกอบอินทรีย์ทม่ี ีหมู่ - NH2 สามารถแสดงสมบตั คิ วาม เปน็ เบส

122 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ 17. อธบิ ายสมบตั กิ ารละลายใน แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) (A) ตัวทาละลายชนิดต่างๆ ของสาร - การละลายของสารพจิ ารณา - - อธบิ าย - สนใจใฝ่รู้ ได้จากความมีขัว้ ของตวั ละลาย - ส่อื ความหมาย - รอบคอบ และตัวทาละลาย โดยสาร - ม่งุ มั่น สามารถละลายได้ในตวั ทา ละลายท่ีมขี ั้วใกล้เคยี งกนั โดยสารมขี ว้ั ละลายในตัวทา ละลายที่มีขั้วส่วนสารไม่มีขว้ั ละลายในตัวทาละลายท่ีไม่มขี ั้ว และสารมีขวั้ ไม่ละลายในตัวทา ละลายท่ีไมม่ ีขวั้ 18. วเิ คราะห์และอธบิ าย - โครงสรา้ งของพอลิเมอร์อาจ - - วิเคราะห์ - สนใจใฝ่รู้ ความสมั พันธร์ ะหว่างโครงสรา้ งกับ เป็นแบบเส้น แบบกิ่ง หรือ - อธิบาย - รอบคอบ สมบตั ิเทอรม์ อพลาสติกและเทอร์มอ แบบร่างแห โดยพอลิเมอรแ์ บบ - สอ่ื ความหมาย - มงุ่ ม่นั เซตของพอลเิ มอร์ และการนาพอลิ เส้นและแบบก่งิ มสี มบตั ิเทอร์ - มเี หตุผล เมอรไ์ ปใชป้ ระโยชน์ มอพลาสตกิ สว่ นพอลเิ มอร์ แบบร่างแห มีสมบตั เิ ทอร์มอ เซต จึงมีการใชป้ ระโยชน์ได้ แตกต่างกัน 19. สืบคน้ ขอ้ มูลและนาเสนอ - การใชผ้ ลิตภัณฑ์พอลเิ มอรใ์ น - - สบื ค้น - สนใจใฝ่รู้ ผลกระทบของการใชผ้ ลิตภณั ฑพ์ อลิ ปริมาณมากก่อใหเ้ กิดปญั หาที่ - นาเสนอ - รอบคอบ เมอร์ทมี่ ตี ่อสิง่ มีชวี ติ และสงิ่ แวดล้อม ส่งผลกระทบต่อสง่ิ มีชีวติ และ - สื่อความหมาย - มงุ่ มั่น พร้อมแนวทางป้องกนั หรอื แก้ไข สง่ิ แวดล้อม ดังน้นั จึงควร - มีเหตผุ ล ตระหนักถึงการลดปริมาณการ ใช้ การใช้ซ้า และการนา กลบั มาใชใ้ หม่ 20. ระบสุ ูตรเคมขี องสารต้ังตน้ - ปฏกิ ริ ยิ าเคมีทาใหเ้ กดิ การ - - การจาแนก - สนใจใฝ่รู้ ผลิตภณั ฑ์ และแปลความหมายของ เปล่ยี นแปลงของสาร โดย - สือ่ ความหมาย - รอบคอบ สญั ลักษณใ์ นสมการเคมีของ ปฏกิ ิรยิ าเคมีอาจใหพ้ ลงั งาน ปฏกิ ิรยิ าเคมี ความรอ้ น พลงั งานแสง หรอื พลังงานไฟฟ้า ทสี่ ามารถ นาไปใช้ประโยชนใ์ นด้านต่างๆ ได้

123 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตวั ชวี้ ัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) - ปฏกิ ริ ยิ าเคมแี สดงไดด้ ้วย สมการเคมี ซ่งึ มสี ตู รเคมขี อง สารตัง้ ต้นอยู่ทางดา้ นซา้ ยของ ลกู ศร และสตู รเคมขี อง ผลิตภณั ฑอ์ ย่ทู างด้านขวา โดย จานวน อะตอมรวมของแตล่ ะ ธาตุทางดา้ นซ้ายและขวา เทา่ กัน นอกจากนี้สมการเคมี ยังอาจแสดงปัจจัยอน่ื เช่น สถานะ พลังงานทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ตัวเร่งปฏกิ ิรยิ าเคมที ใี่ ช้ 21. ทดลองและอธิบายผลของ - อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี - - ทดลอง - สนใจใฝร่ ู้ ความเข้มข้นพืน้ ท่ผี วิ อุณหภมู ิ และ ข้นึ อยู่กบั ความเขม้ ข้น ตัวเรง่ ปฏิกริ ิยาที่มีผลต่ออตั ราการ อุณหภูมิ พน้ื ทผ่ี วิ หรอื ตวั เร่ง - อธบิ าย - รอบคอบ เกิดปฏกิ ิริยาเคมี ปฏิกริ ิยา - ความรเู้ กีย่ วกบั ปัจจยั ท่มี ผี ล - สบื คน้ - มงุ่ มั่น 22. สบื ค้นข้อมลู และอธิบาย ตอ่ อัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี ปจั จัยที่มผี ลต่ออัตราการ สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ใน - สอ่ื ความหมาย - มีเหตุผล เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมที ใ่ี ชป้ ระโยชน์ใน ชวี ติ ประจาวันและใน ชวี ติ ประจาวันหรือในอตุ สาหกรรม อุตสาหกรรม 23. อธบิ ายความหมายของ - ปฏิกริ ิยาเคมีบางประเภทเกดิ - - อธบิ าย - สนใจใฝร่ ู้ ปฏิกริ ยิ ารีดอกซ์ จากการถา่ ยโอนอเิ ลก็ ตรอน - สื่อความหมาย - รอบคอบ ของสารในปฏิกริ ิยาเคมี ซง่ึ - มุ่งมั่น เรียกวา่ ปฏกิ ิริยารดี อกซ์ 24. อธิบายสมบตั ิของสาร - สารที่สามารถแผร่ งั สีได้ - - อธิบาย - สนใจใฝร่ ู้ กัมมันตรงั สี และคานวณครงึ่ ชวี ิต เรยี กวา่ สารกมั มนั ตรังสี ซ่ึงมี - คานวณ - รอบคอบ และปรมิ าณของสารกมั มันตรังสี นวิ เคลยี สท่สี ลายตัวอยา่ ง - - มงุ่ มนั่ ต่อเน่อื ง ระยะเวลาท่สี าร กมั มนั ตรงั สสี ลายตวั จนเหลอื ครงึ่ หนงึ่ ของปริมาณเดิม เรยี กวา่ คร่ึงชีวติ โดยสาร กมั มนั ตรงั สแี ต่ละชนิดมคี ่าคร่ึง ชวี ิตแตกต่างกนั

124 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตวั ชวี้ ดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถิน่ กระบวนการ(P) (A) 25. สืบคน้ ขอ้ มูลและนาเสนอ - รังสที แี่ ผจ่ ากสารกมั มันตรังสี - - สืบค้น - สนใจใฝ่รู้ ตัวอยา่ งประโยชนข์ องสาร มีหลายชนดิ เช่น แอลฟา บีตา - นาเสนอ - รอบคอบ กมั มนั ตรงั สีและการปอ้ งกันอนั ตราย แกมมา ซึ่งสามารถนามาใช้ - สอ่ื ความหมาย - ม่งุ มั่น ที่เกดิ จากกมั มนั ตภาพรังสี ประโยชน์ ได้แตกต่างกัน การ - มีเหตุผล นาสารกัมมนั ตรังสแี ต่ละชนิด มาใช้ ต้องคานึงถึงผลกระทบ ต่อส่งิ มชี ีวติ และส่งิ แวดลอ้ ม รวมทงั้ มกี ารจัดการอยา่ ง เหมาะสม

125 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ทอ้ งถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ มาตรฐาน ว 2.2 แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงใน ชีวติ ประจาวนั ผลของแรงที่กระทา ต่อวตั ถุ ลกั ษณะการเคลื่อนที่แบบ ตา่ งๆ ของวตั ถุ รวมท้ังนาความรูไ้ ป ใช้ประโยชน์ ตวั ชี้วดั 1. วเิ คราะห์และแปล - การเคล่ือนที่ของวตั ถุที่มีการ - - วิเคราะห์ - สนใจใฝร่ ู้ ความหมายข้อมลู ความเรว็ กับเวลา เปลี่ยนความเรว็ เปน็ การ - สอ่ื ความหมาย - รอบคอบ ของการเคล่ือนทขี่ องวัตถุ เพ่ือ เคลอื่ นทด่ี ว้ ยความเร่ง - มเี หตผุ ล อธบิ ายความเร่งของวัตถุ ความเรง่ เปน็ อัตราสว่ นของ ความเรว็ ทีเ่ ปล่ยี นไปต่อเวลา และเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ ใน กรณีที่วัตถุทอี่ ยนู่ ่ิงหรือ เคลอื่ นทใี่ นแนวตรงดว้ ย ความเรว็ คงตัววตั ถุนั้นมี ความเรง่ เปน็ ศนู ย์ - วัตถุมีความเรว็ เพ่ิมขน้ึ ถ้า ความเรว็ และความเร่งมที ิศ เดียวกนั และมีความเรว็ ลดลง ถา้ ความเรว็ และความเรง่ มีทศิ ตรงกันข้าม 2. สังเกตและอธบิ ายการหา - เม่ือมีแรงหลายแรงกระทา - - สังเกต - สนใจใฝร่ ู้ แรงลัพธท์ ่ีเกดิ จากแรงหลายแรงท่ี ต่อวตั ถหุ นึง่ โดยแรง ทุกแรง - อธบิ าย - รอบคอบ อยู่ในระนาบเดียวกนั ที่กระทาตอ่ อยู่ในระนาบเดยี วกนั สามารถ - สือ่ ความหมาย - มุ่งมน่ั วตั ถโุ ดยการเขยี นแผนภาพการรวม หาแรงลพั ธ์ ทีก่ ระต่อวัตถุนั้น - มเี หตุผล แบบเวกเตอร์ ไดโ้ ดยรวมแบบเวกเตอร์

126 สาระการเรียนร้แู กนกลาง / ทอ้ งถ่นิ มาตรฐาน / ตัวช้วี ัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ 3. สงั เกต วิเคราะห์ และ แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) (A) อธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่าง ความเร่งของวตั ถุกบั แรงลัพธ์ - เมอ่ื แรงลพั ธ์มีคา่ ไม่เท่ากบั - - สงั เกต - สนใจใฝ่รู้ ทก่ี ระทาต่อวตั ถุและมวลของวตั ถุ ศูนย์กระทาต่อวตั ถุจะทาให้ - วิเคราะห์ - รอบคอบ วัตถุเคลอื่ นที่ด้วยความเรง่ มี - อธิบาย - มงุ่ ม่นั ทศิ ทางเดียวกับแรงลัพธโ์ ดย - ส่อื ความหมาย - มีเหตผุ ล ขนาดของความเร่งขึน้ กบั ขนาดของ แรงลัพธ์กระทาตอ่ วัตถแุ ละมวลของวัตถุ 4. สังเกตและอธบิ ายแรงกิริยา - แรงกระทาระหว่างวตั ถุคู่ - - สังเกต - สนใจใฝ่รู้ และแรงปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งวัตถุคู่ หนึ่งๆ เปน็ แรงกริ ิยาและแรง - อธิบาย - รอบคอบ หนง่ึ ๆ ปฏกิ ิริยา แรงทั้งสองมีขนาด - มีเหตุผล เท่ากนั เกดิ ข้นึ พร้อมกนั กระทากับวัตถุคนละกอ้ น แต่ มีทศิ ทางตรงข้าม 5. สงั เกตและอธิบายผลของ - วตั ถทุ ่เี คล่อื นทดี่ ้วยความเรง่ - - สงั เกต - สนใจใฝ่รู้ ความเร่งท่มี ีต่อการเคล่ือนท่ีแบบ คงตัวหรอื ความเร่งไม่คงตวั - อธบิ าย - รอบคอบ ตา่ งๆ ของวตั ถุ ได้แก่ การเคล่ือนท่ี อาจเป็นการเคลอ่ื นที่แนวตรง - ส่อื ความหมาย - ม่งุ ม่ัน แนวตรง การเคลอื่ นท่แี บบโพรเจก การเคล่อื นท่แี นวโคง้ หรือการ - มเี หตผุ ล ไทลก์ ารเคลอื่ นท่ีแบบวงกลม และ เคลอื่ นทแ่ี บบสนั่ การเคล่ือนที่ การเคลอ่ื นท่ีแบบสน่ั แนวตรงด้วยความเร่งคงตวั นาไปใช้อธบิ ายการตกแบบ เสรี การเคล่ือนท่ีแนวโคง้ ดว้ ย ความเร่งคงตัว นาไปใช้ อธบิ ายการเคล่ือนท่ีแบบ โพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่แนว โคง้ ด้วยความเรง่ มีทิศทางตัง้ ฉากกับความเรว็ ตลอดเวลา นาไปใช้อธบิ ายการเคลื่อนที่ แบบวงกลม การเคลือ่ นที่ กลับไปกลบั มาด้วยความเร่งมี ทิศทางเข้าสูจ่ ดุ ที่แรงลพั ธ์เป็น ศนู ย์ เรียกจดุ นีว้ า่ ตาแหน่ง สมดุลซง่ึ นาไปใช้อธบิ ายการ เคล่ือนท่ีแบบสนั่

127 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตัวช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) (A) 6. สืบค้นข้อมูลและอธิบายแรง - ในบริเวณท่ีมสี นามโน้มถ่วง - - สืบคน้ - สนใจใฝ่รู้ โน้มถว่ งท่เี กี่ยวกับการเคล่ือนที่ของ เม่อื มีวตั ถทุ ี่มีมวลจะมีแรงโน้ม - อธบิ าย - รอบคอบ วัตถตุ ่างๆ รอบโลก ถว่ งซง่ึ เปน็ แรงดึงดดู ของโลก - ส่อื ความหมาย - มุ่งมั่น กระทาต่อวัตถุ แรงน้ีนาไปใช้ - มเี หตผุ ล อธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุ ต่างๆ เช่น ดาวเทยี ม และดวง จันทร์รอบโลก 7. สงั เกตและอธบิ ายการเกดิ - กระแสไฟฟ้าทาให้เกดิ - - สงั เกต - สนใจใฝ่รู้ - รอบคอบ สนามแม่เหลก็ เนื่องจาก สนามแมเ่ หล็กในบรเิ วณรอบ - อธิบาย - มุ่งม่นั - มเี หตุผล กระแสไฟฟ้า แนวการเคล่อื นท่ีของ กระแสไฟฟ้า หาทิศทางของ สนามแม่เหลก็ เนื่องจาก กระแสไฟฟ้าไดจ้ ากกฎมือขวา 8. สังเกตและอธิบายแรง - ในบริเวณท่ีมสี นามแม่เหลก็ - - สงั เกต - สนใจใฝ่รู้ - รอบคอบ แมเ่ หล็กท่ีกระทาต่ออนภุ าคท่ีมี เมือ่ มีอนุภาคท่ีมปี ระจุไฟฟา้ - อธิบาย - มงุ่ มน่ั - มีเหตุผล ประจุไฟฟา้ ที่เคล่ือนท่ใี น เคลอื่ นทโ่ี ดยไมอ่ ยู่ในแนว สนามแม่เหลก็ และแรงแม่เหล็กที่ เดียวกับสนามแมเ่ หล็ก หรือมี กระทาตอ่ ลวดตวั นาท่มี ี กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนา กระแสไฟฟา้ ผา่ นในสนามแมเ่ หล็ก โดยกระแสไฟฟ้าไม่อยู่ในแนว รวมทั้งอธบิ ายหลักการทางานของ เดยี วกบั สนามแม่เหล็ก จะมี มอเตอร์ แรงแม่เหลก็ กระทา ซง่ึ เป็น พื้นฐานในการสรา้ งมอเตอร์ 9. สังเกตและอธบิ ายการเกิด - เมอื่ มสี นามแม่เหลก็ - - สังเกต - สนใจใฝ่รู้ - อธิบาย - รอบคอบ อีเอ็มเอฟ รวมทั้งยกตัวอยา่ งการนา เปลี่ยนแปลงตัดขดลวดตัวนา ความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ทาใหเ้ กดิ อีเอ็มเอฟ ซึ่งเปน็ พนื้ ฐานในการสร้างเครอ่ื ง กาเนดิ ไฟฟ้า

128 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตัวชีว้ ัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ 10. สบื ค้นข้อมลู และอธิบาย แกนกลาง ท้องถิน่ กระบวนการ(P) (A) แรงเข้มและแรงอ่อน - ภายในนวิ เคลียสมแี รงเข้มที่ - - สบื คน้ - สนใจใฝร่ ู้ เปน็ แรงยดึ เหนี่ยวของอนภุ าค - อธิบาย - รอบคอบ ในนวิ เคลียส และเป็นแรงหลัก - มุง่ ม่นั ที่ใช้อธิบายเสถียรภาพของ นวิ เคลยี ส นอกจากน้ียงั มแี รง ออ่ น ซึ่งเป็นแรงท่ีใชอ้ ธบิ าย การสลายให้อนุภาคบีตาของ ธาตุกัมมนั ตรังสี

129 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตัวชว้ี ัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ มาตรฐาน ว 2.3 แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลยี่ นแปลงและการถ่ายโอน พลงั งาน ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งสสาร และพลังงาน พลงั งานใน ชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาติของคล่นื ปรากฏการณ์ทเี่ กยี่ วข้องกับเสยี ง แสง และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมท้งั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชีว้ ดั 1. สบื ค้นข้อมูลและอธบิ าย - พลงั งานทีป่ ลดปลอ่ ยออกมา - - สบื คน้ - สนใจใฝร่ ู้ - รอบคอบ พลังงานนิวเคลยี ร์ฟิชชันและฟวิ ชนั จากฟชิ ชนั หรอื ฟวิ ชนั - อธบิ าย และความสัมพนั ธ์ระหว่างมวลกบั เรยี กวา่ พลงั งานนิวเคลยี ร์ พลังงานท่ีปลดปล่อยออกมาจาก โดยฟิชชนั เป็นปฏกิ ิรยิ าท่ี ฟชิ ชนั และฟวิ ชัน นวิ เคลียสทมี่ มี วลมากแตก ออกเปน็ นวิ เคลียสทม่ี ีมวล นอ้ ยกวา่ ส่วนฟิวชันเป็น ปฏกิ ิรยิ าทนี่ วิ เคลยี สทีม่ ีมวล น้อยรวมตวั กนั เกิดเปน็ นิวเคลยี สทม่ี ีมวลมากขนึ้ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ท่ี ปลดปล่อยออกมาจากฟชิ ชนั และฟวิ ชนั มีคา่ เปน็ ไปตาม ความสัมพันธร์ ะหว่างมวลกบั พลังงาน

130 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชว้ี ดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) (A) 2. สบื ค้นขอ้ มลู และอธิบาย - การนาพลังงานทดแทนมาใช้ - - สืบค้น - สนใจใฝร่ ู้ การเปลี่ยนพลงั งานทดแทนเป็น เป็นการแกป้ ัญหาหรอื - อธบิ าย - รอบคอบ พลังงานไฟฟา้ รวมท้ังสืบคน้ และ ตอบสนองความต้องการด้าน - มุ่งมน่ั อภิปรายเกีย่ วกับเทคโนโลยีทน่ี ามา พลงั งาน เชน่ การเปลี่ยน - มเี หตุผล แกป้ ัญหาหรือตอบสนองความ พลงั งานนวิ เคลยี รเ์ ปน็ ต้องการทางดา้ นพลงั งานโดยเน้น พลังงานไฟฟ้า ในโรงไฟฟ้า ด้านประสทิ ธิภาพและความคุ้มคา่ นวิ เคลียร์ และการเปลยี่ น ด้านคา่ ใช้จ่าย พลงั งานแสงอาทิตย์เปน็ พลังงานไฟฟ้าโดยเซลลส์ รุ ยิ ะ - เทคโนโลยีตา่ งๆ ทน่ี ามา แกป้ ัญหาหรือตอบสนองความ ตอ้ งการทางด้านพลังงานเปน็ การนาความรู้ทักษะและ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาสรา้ งอปุ กรณห์ รือ ผลติ ภัณฑ์ต่างๆ ที่ชว่ ยให้การ ใชพ้ ลงั งานมีประสทิ ธภิ าพ ยิง่ ข้ึน 3. สังเกต และอธบิ ายการ - เม่อื คล่ืนเคล่ือนท่ีไปพบส่ิง - - สังเกต - สนใจใฝร่ ู้ สะทอ้ น การหกั เห การเล้ียวเบน กดี ขวาง จะเกดิ การสะท้อน - อธบิ าย - รอบคอบ และการรวมคลน่ื เมอ่ื คลนื่ เคลือ่ นที่ผา่ นรอยต่อ - มงุ่ มนั่ ระหวา่ งตัวกลางทีต่ ่างกัน จะ เกิดการหักเห เมอื่ คล่นื เคลอ่ื นที่ไปพบขอบส่ิงกดี ขวาง จะเกิดการเลี้ยวเบน เมอ่ื คลน่ื สองขบวนมาพบกันจะเกิด การรวมคลน่ื เกดิ รปู รา่ งของ คลนื่ รวม หลังจากคลน่ื ท้งั สอง เคล่อื นทีผ่ า่ นพ้นกนั แล้วจะ แยกกัน โดยแตล่ ะคล่ืนยังคงมี รปู ร่างและทิศทางเดิม

131 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตวั ช้วี ดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ 4. สังเกต และอธิบายความถี่ ธรรมชาติ การสนั่ พ้อง และผลท่ี แกนกลาง ท้องถน่ิ กระบวนการ(P) (A) เกดิ ขึน้ จากการสั่นพอ้ ง - เมื่อกระตุน้ ให้วตั ถสุ ัน่ แลว้ - - สังเกต - สนใจใฝ่รู้ 5. สงั เกต และอธบิ ายการ สะท้อน การหักเหการเลยี้ วเบน หยุดกระตุ้น วัตถจุ ะสนั่ ดว้ ย - อธิบาย - รอบคอบ และการรวมคลน่ื ของคลืน่ เสยี ง ความถีท่ ีเ่ รยี กวา่ ความถ่ี 6. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ าย ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความเข้ม ธรรมชาติ ถา้ มีแรงกระตุ้น เสยี งกับระดับเสียงและผลของ ความถกี่ บั ระดับเสยี งทม่ี ตี ่อการได้ วัตถุท่กี าลังสั่นดว้ ยความถข่ี อง ยินเสียง การออกแรงตรงกับความถ่ี ธรรมชาติของวัตถุน้นั จะทาให้ วตั ถสุ ่นั ดว้ ยแอมพลจิ ดู มากขน้ึ เรยี กว่า การส่นั พ้อง เช่น การ สน่ั พอ้ งของอาคารสูงการสัน่ พ้องของสะพาน การสนั่ พ้อง ของเสยี งในเครื่องดนตรี ประเภทเปา่ - เสยี งมกี ารสะท้อน การหัก - - สงั เกต - สนใจใฝร่ ู้ เห การเลยี้ วเบนและการรวม - อธบิ าย - รอบคอบ คลืน่ เชน่ เดียวกับคลน่ื อ่ืนๆ - ความถ่ขี องคล่นื เสียงเป็น - - สืบคน้ - สนใจใฝร่ ู้ ปรมิ าณทใี่ ช้บอกเสยี งสูงเสยี ง - อธบิ าย - รอบคอบ ต่า โดยความถี่ที่คนได้ยินมคี า่ - มุ่งม่ัน อยรู่ ะหว่าง 20-20,000 เฮิรตซ์ ระดบั เสยี งเปน็ ปรมิ าณ ทใ่ี ชบ้ อกความดังของเสยี งซงึ่ ขน้ึ กบั ความเข้มเสียง ความ เขม้ เสียงเป็นพลงั งานเสยี งที่ ตกตง้ั ฉากบนพ้ืนทหี่ น่ึงหน่วย ในหน่งึ หนว่ ยเวลา เสยี งท่ีมี ความดงั มากเกินไปเป็น อันตรายต่อหู

132 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถิ่น มาตรฐาน / ตวั ชวี้ ัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถ่ิน กระบวนการ(P) (A) 7. สังเกต และอธิบายการเกิด - เสยี งจากแหลง่ กาเนิด - - สังเกต - สนใจใฝ่รู้ เสยี งสะท้อนกลบั บตี ดอปเพลอร์ เดินทางไปกระทบวตั ถแุ ล้ว - อธบิ าย - รอบคอบ และการสัน่ พ้องของเสยี ง สะท้อนกลบั มายงั ผู้ฟงั ถา้ ผู้ฟัง - มงุ่ มน่ั ได้ยนิ เสียงที่ออกจาก แหลง่ กาเนิดและเสยี งที่ สะท้อนกลับมา แยกจากกัน เสยี งน้เี ปน็ เสียงสะท้อน - เมอ่ื คล่นื เสยี งสองขบวนท่ีมี ความถใ่ี กล้เคียงกนั มารวมกัน จะเกดิ บีต - เมื่อแหลง่ กาเนิดเสียง เคล่ือนที่ ผูฟ้ ังเคลื่อนที่ หรอื ทงั้ แหล่งกาเนิดและผู้ฟงั เคล่ือนท่ี ผู้ฟังจะได้ยินเสียงที่ มคี วามถ่เี ปลย่ี นไป เรยี กวา่ ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร์ - ถา้ อากาศในท่อถกู กระตนุ้ ด้วยคล่นื เสียงที่มีความถี่ เทา่ กบั ความถ่ธี รรมชาตขิ อง อากาศในท่อนั้นจะเกดิ การสนั่ พ้องของเสียง 8. สืบคน้ ขอ้ มูล และยกตัวอยา่ ง - ความรเู้ ก่ยี วกบั เสยี งนาไปใช้ - - สบื ค้น - สนใจใฝ่รู้ การนาความร้เู ก่ยี วกับเสยี งไปใช้ ประโยชนใ์ นด้านต่างๆ เช่น - ยกตัวอยา่ ง - รอบคอบ ประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน คลน่ื เหนือเสยี งหรอื อลั ตราซา - สือ่ ความหมาย - มุ่งมั่น วนดใ์ ช้ในทางการแพทย์ บี - มเี หตผุ ล ตของเสียงในการปรับเทยี บ เสยี งของเคร่ืองดนตรี การสัน่ พอ้ งของเสยี งใช้ในการ ออกแบบเคร่ืองดนตรีและ อธิบายการเปลง่ เสยี งของ มนุษย์

133 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ช้วี ดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ 9. สงั เกต และอธิบายการ (A) มองเหน็ สีของวัตถุและความ แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) ผิดปกติในการมองเห็นสี - สนใจใฝร่ ู้ - เมือ่ แสงตกกระทบวตั ถุ วัตถุ - - สงั เกต - รอบคอบ 10. สังเกต และอธบิ ายการ - อธบิ าย - มงุ่ มั่น ทางานของแผน่ กรองแสงสี การ จะดูดกลืนแสงสบี างสี โดย - มเี หตผุ ล ผสมแสงสี การผสมสารสี และการ นาไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน ขน้ึ กับสารสบี นผวิ วตั ถุ และ - สนใจใฝ่รู้ - รอบคอบ สะท้อนแสงสที เ่ี หลอื ออกมา - มงุ่ ม่นั - มีเหตุผล ทาใหม้ องเหน็ วัตถเุ ป็นสีตา่ งๆ ขน้ึ กบั แสงสที ี่สะท้อนออกมา ความผดิ ปกตใิ นการมองเหน็ สี หรอื การบอดสเี กิดจากความ บกพร่องของเซลลร์ ูปกรวยบน จอตา - แผ่นกรองแสงสียอมให้แสงสี - - สังเกต - อธบิ าย บางสีผ่านออกไปได้ และกั้น บางแสงสี - การผสมแสงสที าให้ได้แสงสี ทีห่ ลากหลาย เปล่ยี นไปจาก เดิม ถา้ นาแสงสปี ฐมภูมิใน สัดส่วน ท่เี หมาะสมมาผสมกัน จะไดแ้ สงขาว - การผสมสารสที าให้ได้สารสี ท่หี ลากหลายเปลย่ี นไปจาก เดมิ ถา้ นาสารสีปฐมภูมใิ น ปรมิ าณ ท่เี ท่ากนั มาผสมกนั จะไดส้ ารสผี สมเปน็ สดี า - การผสมแสงสีและการผสม สารสสี ามารถนาไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ด้านศลิ ปะด้านการแสดง

134 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) 11. สืบคน้ ข้อมูลและอธิบาย - คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า - - สบื ค้น - สนใจใฝ่รู้ คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ ส่วนประกอบ ประกอบดว้ ยสนามแม่เหลก็ - อธบิ าย - รอบคอบ คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า และหลักการ และสนามไฟฟ้าที่ - มงุ่ มนั่ ทางานของอุปกรณบ์ างชนิดท่ีอาศัย เปลย่ี นแปลงตลอดเวลาโดย คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ สนามทง้ั สองมีทิศทางต้ังฉาก กนั และตง้ั ฉากกับทิศทางการ เคลอ่ื นท่ีของคลน่ื - อุปกรณบ์ างชนดิ ทางานโดย อาศยั คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เครือ่ งควบคุมระยะไกล เครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์ คอมพวิ เตอร์ และเคร่ือง ถ่ายภาพการส่นั พ้องแมเ่ หล็ก 12. สบื คน้ ขอ้ มูลและอธิบาย - ในการส่อื สารโดยอาศัยคลนื่ - - สบื ค้น - สนใจใฝร่ ู้ การสือ่ สาร โดยอาศยั คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า - อธบิ าย - รอบคอบ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในการสง่ ผา่ น เพ่อื สง่ ผา่ นสารสนเทศจากที่ - เปรยี บเทียบ - มุ่งม่ัน สารสนเทศและเปรยี บเทยี บการ หนง่ึ ไปอีกทห่ี นึง่ สารสนเทศ - มีเหตผุ ล ส่อื สารดว้ ยสญั ญาณแอนะล็อกกับ จะถกู แปลงให้อยูใ่ นรปู สญั ญาณดจิ ทิ ัล สญั ญาณ สาหรับสง่ ไปยัง ปลายทางซึ่งจะมีการแปลง สัญญาณกลับมาเป็น สารสนเทศท่เี หมือนเดมิ - สญั ญาณที่ใชใ้ นการสื่อสารมี สองชนดิ คอื แอนะลอ็ กและ ดจิ ิทลั การส่งผ่านสารสนเทศ ดว้ ยสัญญาณดิจิทลั สามารถ ส่งผ่านไดโ้ ดยมีความผิดพลาด นอ้ ยกวา่ สญั ญาณแอนะล็อก

135 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ชว้ี ดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี เพ่ือการดารงชวี ิตในสังคมทมี่ ีการ เปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใช้ ความร้แู ละทักษะทางดา้ น วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และ ศาสตรอ์ ่ืนๆ เพอ่ื แก้ปญั หาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคดิ สรา้ งสรรคด์ ้วยกระบวนการ ออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมโดย คานงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม ตัวชีว้ ดั 1. ประยุกตใ์ ช้ความรูแ้ ละ - การทาโครงงาน เป็นการ - - ประยกุ ต์ - สนใจใฝร่ ู้ ทกั ษะจากศาสตร์ตา่ งๆ รวมทั้ง ประยุกต์ใช้ความร้แู ละทกั ษะ - แกป้ ญั หา - รอบคอบ ทรพั ยากรในการทาโครงงานเพ่ือ จากศาสตร์ต่างๆ รวมทงั้ - ม่งุ มนั่ แกป้ ญั หาหรือพฒั นางาน ทรัพยากร ในการสร้างหรือ - มเี หตผุ ล พฒั นาชนิ้ งานหรอื วิธีการ เพื่อ - ความ แก้ปัญหาหรืออานวยความ รับผิดชอบ สะดวกในการทางาน - การทาโครงงานการ ออกแบบและเทคโนโลยี สามารถดาเนนิ การได้ โดยเริม่ จาก การสารวจสถานการณ์ ปญั หาทส่ี นใจ เพ่ือกาหนด หวั ข้อโครงงาน แล้วรวบรวม ข้อมลู และแนวคดิ ทเี่ ก่ยี วข้อง กบั ปัญหา ออกแบบแนวทาง การแกป้ ัญหา วางแผนและ ดาเนินการแก้ปัญหา ทดสอบ ประเมนิ ผล ปรับปรุงแก้ไข วิธกี ารแก้ปัญหาหรอื ชนิ้ งาน และนาเสนอวิธกี ารแก้ปญั หา

136 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตัวช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ มาตรฐาน ว 4.2 แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคานวณ ในการแกป้ ญั หาท่ีพบในชวี ิตจรงิ อยา่ งเป็นข้นั ตอนและเป็นระบบ ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ร้เู ท่าทัน และมี จริยธรรม ตวั ช้วี ัด 1. รวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู - การนาความรดู้ า้ นวิทยาการ - - รวบรวม - สนใจใฝ่รู้ และใช้ความรู้ดา้ นวทิ ยาการ คอมพิวเตอรส์ ่ือดจิ ิทัล และ - วิเคราะห์ - รอบคอบ คอมพวิ เตอร์ สื่อดิจทิ ัล เทคโนโลยี เทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ - แก้ปญั หา - มุง่ มน่ั สารสนเทศในการแกป้ ัญหาหรอื แกป้ ัญหากับชีวติ จรงิ - มีเหตุผล เพิ่มมูลคา่ ให้กับบริการหรือ - การเพิ่มมลู ค่าให้บริการหรอื - ความ ผลติ ภัณฑท์ ใี่ ช้ ในชวี ติ จริงอย่าง ผลิตภัณฑ์ รับผดิ ชอบ สร้างสรรค์ - การเกบ็ ข้อมูลและการ จัดเตรยี มข้อมูลให้พรอ้ มกบั การประมวลผล - การวิเคราะหข์ ้อมลู ทางสถติ ิ - การประมวลผลขอ้ มลู และ เครอ่ื งมอื - การทาข้อมูลใหเ้ ปน็ ภาพ (data visualization) เชน่ bar chart, scatter, histogram - การเลือกใช้แหล่งขอ้ มลู เช่น data.go.th, wolfram alpha, OECD.org, ตลาด หลักทรัพย์ , world economic forum - คุณคา่ ของขอ้ มูลและ กรณศี ึกษา - กรณีศึกษาและวิธกี าร

137 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถิ่น มาตรฐาน / ตัวชีว้ ัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) แกป้ ญั หา - ตวั อยา่ งปญั หา เช่น 1) รูปแบบของบรรจุ ภัณฑ์ท่ดี งึ ดดู ความสนใจ และ ตรงตามความต้องการผู้ใชใ้ น แต่ละประเภท 2) การกาหนดตาแหนง่ ป้ายรถเมลเ์ พ่ือลดเวลา เดินทางและปญั หาการจราจร 3) สารวจความต้องการ รับประทานอาหารในชมุ ชน และเลือกขายอาหารทจี่ ะได้ กาไรสงู สดุ 4) ออกแบบรายการ อาหาร 7 วัน สาหรับผ้ปู ว่ ย เบาหวาน

138 การวเิ คราะห์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั ระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถิน่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและ แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) (A) อวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองคป์ ระกอบและ ความสมั พนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายใน โลกและบนผวิ โลก ธรณีพบิ ัติภยั กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้า อากาศและภมู ิอากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดล้อม ตวั ชว้ี ดั 1. อธบิ ายการแบง่ ชน้ั และสมบัติ - การแบง่ ช้ันและสมบัติของ -- - อธบิ าย - ใฝเ่ รยี นรู้ ของโครงสร้างโลก พร้อม โครงสร้างโลก - มงุ่ มน่ั ใน ยกตัวอยา่ งขอ้ มูลที่สนับสนุน การทางาน 2. อธบิ ายหลกั ฐานทางธรณีวิทยาที่ - หลักฐานทางธรณวี ทิ ยาที่ - - สบื คน้ ข้อมูล - ใฝเ่ รยี นรู้ สนบั สนนุ การเคล่ือนที่ของแผ่นธรณี สนับสนุนการเคลอื่ นท่ีของ - อธบิ าย - มุ่งม่นั ใน แผน่ ธรณี การทางาน 3. ระบสุ าเหตุ และอธบิ ายรปู แบบ - รอยตอ่ ของแผน่ ธรณีที่ - - สืบคน้ ขอ้ มลู - ใฝเ่ รยี นรู้ แนวรอยตอ่ ของแผ่นธรณที ีส่ ัมพนั ธ์ สมั พันธ์กบั การเคลอื่ นท่ขี อง - อธบิ าย - มุ่งมน่ั ใน กบั การเคล่ือนที่ของแผ่นธรณี แผ่นธรณี - ยกตวั อย่าง การทางาน พร้อมยกตัวอย่างหลักฐาน ทาง ธรณวี ทิ ยาทพี่ บ 4. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกดิ - การเกดิ ภเู ขาไฟระเบิด - - สืบค้นข้อมูล - ใฝ่เรียนรู้ ภเู ขาไฟระเบิด รวมท้งั สบื คน้ ข้อมูล - อธิบาย - มงุ่ มนั่ ใน พน้ื ทีเ่ ส่ยี งภยั ออกแบบและ - ยกตัวอยา่ ง การทางาน นาเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและ การปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภัย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook