289 คาอธิบายรายวชิ าเพ่ิมเติม รายวิชา ว32202 ของไหล ความร้อนและทฤษฎจี ลน์แก๊ส ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 80 ชั่วโมง จานวน 2.0 หน่วยกติ ศกึ ษาหลักการของสสาร สภาพยดื หยุน่ ความเคน้ ความเครยี ด และมอดูลสั ของยัง ความ หนาแน่น ความดนั ในของไหลและกฎพาสคลั แรงพยุงและหลกั อารคิมดี ีส ความตงึ ผวิ การเคล่อื นที่ในของ ไหล และหลกั แบร์นลู ลี และฟสิกสแผนใหม่ในเรื่อง ความร้อน การเปลย่ี นสถานะของสาร การถ่ายโอน พลงั งาน ความร้อนตามกฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน แกส๊ อุดมคติ ทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ กฎของแกส๊ และพลังงาน ภายในระบบ ของแกส และการประยกุ ต์ใช้ โดยใช้การสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละ ทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 การสบื ค้นข้อมูลและการอภปิ ราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคดิ ความ เข้าใจ สามารถสื่อสารสิง่ ที่เรียนรู้ มคี วามสามารถในการตัดสนิ ใจ การแกป้ ญั หา การนาความรู้ไปใชใ้ น ชีวิตประจาวัน มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมท่เี หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. อธบิ ายและคานวณความร้อนที่ทาใหส้ สาร เปลย่ี นอณุ หภมู ิความรอ้ นท่ีทาให้สสารเปลยี่ น สถานะและความร้อนทีเ่ กิดจากการถ่ายโอน ตามกฎการอนุรักษ์พลงั งาน 2. อธิบายสภาพยดื หยุน่ และลักษณะการยืด และหดตวั ของวัสดุทเ่ี ป็นแท่งเมื่อถูกกระทา ดว้ ยแรง ค่าตา่ งๆ รวมทง้ั ทดลอง อธิบายและ คานวณความเคน้ ตามยาว ความเครียดตามยาวและมอดลุ ัสของยัง และนาความรู้เรื่องสภาพยืดหยุ่นไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั 3. อธบิ ายและคานวณความดันเกจความดัน สัมบรู ณแ์ ละความดันบรรยากาศ รวมทั้ง อธบิ าย หลกั การทางานของแมนอมเิ ตอร์ บารอมิเตอร์และเคร่ืองอัดไฮดรอลกิ 4. ทดลองอธิบายและคานวณขนาดแรงพยงุ จากของไหล 5. ทดลองอธิบายและคานวณความตงึ ผิวของ ของเหลวรวมทง้ั สงั เกตและอธบิ ายแรงหนืดของ ของเหลว 6. อธบิ ายสมบตั ิของของไหลอุดมคตสิ มการ ความต่อเน่ืองและสมการแบร์นูลลี รวมทง้ั คานวณ ปริมาณตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วข้องและนาความรู้ เกยีว่ กบสั มการความต่อเนื่องและสมการแบรนล์ ูลี ไปอธบิ าย หลักการทางานของอุปกรณต์ ่างๆ 7. อธบิ ายกฎของแกส๊ อุดมคติและคานวณปริมาณ ต่างๆที่เกย่ี วขอ้ ง 8. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอดุ มคติทฤษฎจี ลน์ ของแกส๊ และอตั ราเร็วอาร์เอม็ เอสของโมเลกุล ของแกส๊ รวมทง้ั คานวณปริมาณตา่ งๆทเี่ กย่ี วข้อง 9. อธิบายและคานวณงานท่ีทาโดยแกส๊ ในภาชนะปิด โดยความดนั คงตวั และอธบิ ายความสมั พันธ์ ระหว่างความร้อนพลังงานภายในระบบและงานรวมทั้งคานวณปรมิ าณต่างๆทเ่ี กีย่ วข้อง และนาความรู้ เรอื่ งพลังงานภายในระบบไปอธิบายหลักการทางานของเครือ่ งใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั รวมทั้งหมด 9 ผลการเรยี นรู้
290
291 โครงสรา้ งรายวชิ าเพม่ิ เติม รายวชิ า ว32202 ของไหล ความรอ้ นและทฤษฎีจลน์แกส๊ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 80 ช่ัวโมง จานวน 2.0 หนว่ ยกิต หน่วย ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ที่ (ชั่วโมง) คะแนน 1 สภาพยดื หยนุ่ และ ข้อ 2 สภาพยืดหยนุ่ ของของแข็ง (elasticity) เป็น 10 20 มอดูลัส สมบตั ขิ องวัตถุท่เี ปลีย่ นแปลงรูปรา่ งไดเ้ ม่ือมี แรงกระทา และจะกลบั คืนสู่รูปรา่ งเดิมไดเ้ ม่ือ หยดุ ออกแรงกระทาต่อวตั ถนุ ั้น เชน่ ฟองนา้ ซงึ่ เป็นไปตามกฎของฮกุ และกรณีวัสดุเปล่ยี น รูปรา่ งไปอย่างถาวร โดยผิววสั ดไุ มม่ ีการฉกี ขาดหรอื แตกหกั เรียกวา่ สภาพพลาสติก (plasticity) เม่อื ออกแรงดึงเส้นวสั ดุโดยไม่ให้ ขนาดของแรงดึงเกินขดี จากดั การแปรผนั ตรง ของวสั ดุ ความเคน้ ตามยาวจะแปรผนั ตรงกับ ความเครยี ดตามยาว น่นั คือ อัตราสว่ น ระหว่างความเค้นตามยาวและความเครยี ด ตามยาว เรียกว่า คา่ โมดูลัสความยดื หยุน่ ของ วัตถุ และมคี ่าคงท่สี าหรบั วัตถชุ นิดเดยี วกนั ซง่ึ มอดูลัสสภาพยืดหยนุ่ และขดี จากัดสภาพ ยืดหยนุ่ เป็นสมบตั เิ ฉพาะตวั ของวสั ดุ มี ประโยชนม์ ากในดา้ นวศิ วกรรม วัสดทุ ม่ี คี ่า มอดลู ัสยืดหย่นุ สงู เปน็ วสั ดทุ ี่สามารถทนต่อ แรงภายนอกไดม้ าก หรอื ทาให้เปลีย่ นรูปร่าง ได้ยาก และวสั ดทุ มี่ ีความเคน้ ท่ีมขี ดี จากดั สภาพยืดหยนุ่ สงู จะบอกให้ทราบว่าวัสดนุ น้ั สามารถทนต่อแรงภายนอกได้มากทส่ี ดุ เพ่ือให้สามารถกลับคนื สสู่ ภาพเดิมได้ 2 แรงของไหล ข้อ 3, 4, 5 ของเหลวเป็นสถานะหนึ่งของสสาร มปี รมิ าตร 20 25 คงตวั และมรี ูปร่างตามภาชนะที่บรรจุ สว่ น ก๊าซเป็นอีกสถานะหน่งึ ของสสาร มีรูปร่างและ ปรมิ าตรไม่คงตัว ขึ้นกับภาชนะทบ่ี รรจุ ท้ัง ของเหลวและกา๊ ซสามารถไหลจากท่ีหน่งึ ไป อกี ท่หี นึ่งได้ จงึ เรียกของเหลวและกา๊ ซวา่ ของ ไหล (fluid) สมบตั ขิ องของไหลได้แก่ ความ หนาแนน่ ความดัน ความตึงผิวและความหนืด
292 หน่วย ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ท่ี (ชว่ั โมง) คะแนน 3 พลศาสตรข์ องของ ขอ้ 6 พฤติกรรมของของไหลท้ังท่ีอยู่น่งิ ทอ่ี ธิบายได้ 10 15 ไหล ขอ้ 1, 7 ด้วยหลักของแรงและกฎทางฟสิ ิกส์ 20 15 4 ความรอ้ น พลศาสตรข์ องไหล (Fluid dynamics) เป็น การศกึ ษาการเคลื่อนท่ีของของไหล ซ่ึงรวมทัง้ ของเหลวและแก๊ส โดยอากาศพลศาสตร์ คือ ศกึ ษาการเคล่ือนที่ของอากาศ และพลศาสตร์ ของเหลว ท่ีศึกษาการเคล่ือนท่ีของของเหลว ทง้ั นขี้ องไหลในอุดมคตมิ ีสมบัติคือ ไหล สมา่ เสมอ ความเร็วของทกุ อนุภาค ณ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆของของไหลมีคา่ คงตวั มีการ ไหลโดยไม่หมนุ คืออนุภาคจะไม่เคลื่อนท่ีดว้ ย ความเร็วเชิงมุม มกี ารไหลโดยไมม่ แี รงต้าน เนื่องจากความหนดื หมายถึงไม่มแี รงตา้ นใด ๆในเน้ือของของไหล และไมส่ ามารถอัดได้ หมายความว่าของไหลมปี รมิ าตรคงตัวมคี วาม หนาแนน่ เทา่ เดิมตลอด เรยี กว่า สมการความ ต่อเนื่อง คือผลคูณระหว่างพื้นทหี่ น้าตัดกับ อตั ราเร็วของของไหลอดุ มคติ ไม่วา่ จะอยูท่ ่ี ตาแหนง่ ใดในหลอดจะมคี า่ คงตัวเสมอ รวมถงึ สมการของแบรน์ ลู ลี ทว่ี า่ ผลรวมของความดัน พลังงานจลนต์ อ่ หนึ่งหน่วยปริมาตร และ พลงั งานศักยโ์ นม้ ถ่วงต่อหน่งึ หน่วยปรมิ าตร ณ ตาแหนง่ ใดๆภายในท่อทข่ี องไหลผ่าน มีค่าคง ตัว อุณหภูมเิ ป็นสงิ่ ที่บอกระดับความรอ้ นของวัตถุ อณุ หภูมวิ ัดไดดวยเทอรมอมิเตอร สาหรบั แกส ชนิดต่าง ๆรวมทงั้ แกสผสม อุ ณหภู มิ เป็ นคุณสมบตั ิตัวหนง่ึ ท่ใี ช้บอกระดับ พลงั งานของระบบ ถ้านาวัตถุ สองก้อน อุณห ภมู ิตา่ งกันมาสัมผัสกันกันจะถ่ายเท ความรอ้ นจากวัตถทุ ี่มี อุณหภูมิ สูงกวา่ ไป ยังวตั ถุที่มีอณุ หภู มิ ตา่ กว่า จนกวา่ อุณหภ มิ ของวัตถุทั้งสองเทา่ กัน กระบวนการการถ่ายเทความร้อนจงึ จะสน้ิ สุด
293 หน่วย ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ที่ (ชัว่ โมง) คะแนน ลง จุดท่ี อณุ หภู มิ ของวัตถุ ทง้ั สอง เท่ากนั เรยี กว่า สมดุลทางความร้อน โดยพลังงานความร้อนที่ถา่ ยโอนจากที่มี อณุ หภมู ิสูงไปยังทม่ี ี อณุ หภู มิ ตา่ กว่า 5 ทฤษฎีจลน์ของแกส๊ ขอ้ 8, 9 ไดห้ ลายรูปแบบ ทัง้ การนาความร้อน การพา 20 25 ความรอ้ น หรือการแผ่รงั สีความรอ้ น กฎของแกสอุดมคติ ซ่งึ ให้ความสัมพันธ์ ระหวา่ งอณุ หภมู ิ ปริมาตร ความดนั และโม ลของแกส สามารถอธิบายสมบัติของแกสได้ และนาไปหาความดันของไอน้าในอากาศได การใช้ทฤษฎีจลน์ของแกสไปอธิบายสมบตั ิตา่ ง ๆ ของแกส และสามารถคานวณอณุ หภู มิ พลังงานจลน์เฉล่ียของโมเลกลุ ของแกสที่ อณุ หภูมิตา่ ง ๆ รวมทงั้ หาพลังงานภายใน และ 80 100 ความจุความร้อนของแกส ดว้ ยกฎของอุณ หพลศาสตร์ คือ กฎการอนุรักษพ์ ลงั งาน ซึ่ง อาจนาไปประยุกตเ์ พ่ืออธบิ ายการทางานของ เคร่ืองยนต์ รวมท้ังการเปลี่ยนสถานะของสาร รวม
294 คาอธบิ ายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ รายวชิ า ว32203 คลนื่ เสียง แสง ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ช่ัวโมง จานวน 1.5 หน่วยกติ ศึกษาหลักการการเคลื่อนทแี่ บบฮาร์มอนกิ ส์อย่างง่าย พนื้ ฐานของพลงั งานในเรอ่ื งองคป์ ระกอบ ของคลื่น สมบัตขิ องคลื่น เสยี งและการไดย้ ิน ความเขม้ เสียง การเกิดเสยี งสะท้อนกลบั บีต ดอปเพลอร์ และการส่นั พอ้ งของเสียง มลพิษทางเสยี ง การมองเหน็ สขี องวตั ถุ การผสมสารสีและการนาไปใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจาวนั โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู การสืบคน้ ข้อมูล การสงั เกต การวเิ คราะห์ การอธิบาย การอภปิ รายและสรุป เพ่ือใหเ้ กิดความรู ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถ ในการตัดสินใจ ส่ือสารสงิ่ ที่เรียนรูและนาความรู้ไปใช้ในชวี ิตของตนเองและดแู ลรักษาส่ิงมชี ีวติ อืน่ ๆ เฝา้ ระวงั และพัฒนาสง่ิ แวดล้อมอย่างยัง่ ยนื มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรมและค่านยิ มทีเ่ หมาะสม ตวั ชว้ี ัด 1. ทดลองและอธิบายการเคลื่อนท่ีแบบฮารม์อนิก อยา่ งง่ายของวตั ถุตดิ ปลายสปริงและลูกตมุ้ อย่างงา่ ยรวมท้ังคานวณปริมาณตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง 2. อธิบายความถี่ธรรมชาตขิ องวตั ถแุ ละการเกิด การสน่ั พ้อง 3. อธบิ ายปรากฏการณ์คลนื่ ชนดิ ของคลื่น ส่วนประกอบของคลื่น การแผข่ องหน้าคลนื่ ดว้ ย หลักการของฮอยเกนส์ และการรวมกันของคลื่น ตามหลักการซอ้ นทบั พร้อมท้ังคานวณ อัตราเรว็ ความถ่ี และความยาวคลน่ื 4. สังเกต และอธิบายการสะทอ้ นการหักเหการแทรกสอด และการเลย้ี วเบนของคล่นื ผวิ น้า รวมท้งั คานวณปริมาณตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง 5. อธบิ ายการเกิดเสียงการเคลอื่ นทข่ี องเสียงความสัมพันธ์ระหว่างคล่นื การกระจัดของ อนุภาค กับคลื่นความดัน ความสัมพนั ธ์ระหว่าง อตั ราเร็วของเสียงในอากาศที่ขน้ึ กบั อณุ หภูมใิ นหน่วยองศา เซลเซียส สมบัติของคลี่นเสียงได้แก่ การสะท้อนการหักเห การแทรกสอดการเลย้ี วเบน รวมทั้งคานวณ ปริมาณตา่ งๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง 6. อธิบายความเข้มเสยี ง ระดับเสยี งองค์ประกอบ ของการไดย้ ินคณุ ภาพเสยี ง และมลพิษทาง เสียงรวมทง้ั คานวณปริมาณต่างๆ ทเี่ กย่ี วข้อง 7. ทดลองและอธบิ ายการเกดิ การส่ันพ้องของ อากาศในท่อปลายเปดิ หน่ึงด้าน รวมทัง้ สังเกต และอธบิ ายการเกิดบีตคลน่ื น่ิงปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คล่นื กระแทกของเสยี ง คานวณ ปริมาณ ตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง และนาความรู้เร่ืองเสยี งไปใช้ในชีวิตประจาวนั 8. ทดลองและอธิบายการแทรกสอดของแสง ผ่านสลิตคู่และเกรตติงการเล้ียวเบนและการแทรก สอดของแสงผา่ นสลิตเดยี่ วรวมท้ังคานวณปริมาณตา่ งๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 9. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุ ตามกฎการสะท้อน เขยี นรังสีของแสงและ คานวณตาแหนง่และขนาดภาพของวัตถุ เม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้ง
295 อธบิ ายการนาความรเู้ รอ่ื งการสะท้อน ของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงา ทรงกลมไปใชป้ ระโยชน์ ในชีวิตประจาวัน 10. ทดลองและอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ดรรชนหี กั เห มมุ ตกกระทบและมุมหกั เห รวมทงั้ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริง และความลึกปรากฏมุมวกิ ฤตและการ สะท้อนกลบั หมดของแสง และคานวณ ปริมาณต่างๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง 11. ทดลอง และเขยี นรังสขี องแสงเพ่ือแสดงภาพท่เี กิดจากเลนส์บางหาตาแหนง่ ขนาดชนิด ของ ภาพและความสมั พันธ์ระหว่างระยะวตั ถรุ ะยะภาพและความยาวโฟกสั รวมทัง้ คานวณ ปริมาณตา่ งๆ ท่ี เกย่ี วขอ้ งและอธบิ ายการนา ความรู้เร่อื งการหักเหของแสงผ่านเลนสบ์ างไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั 12. อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ ่เี กี่ยวกับแสงเชน่ รุ้งการทรงกลดมิราจและการเหน็ ท้องฟา้ เป็นสีตา่ งๆในช่วงเวลาต่างกนั 13. สงั เกตและอธิบายการมองเห็นแสงสี สีของ วตั ถกุ ารผสมสารสี และการผสมแสงสรี วมทง้ั อธบิ ายสาเหตุของการบอดสี รวมท้ังหมด 13 ผลการเรยี นรู้
296 โครงสร้างรายวิชาเพมิ่ เติม รายวิชา ว32203 คลนื่ เสยี ง แสง ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ช่ัวโมง จานวน 1.5 หน่วยกิต หนว่ ย ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ที่ (ชว่ั โมง) คะแนน 1 การเคลื่อนทแี่ บบ ข้อที่ 1, 2 การเคลอื่ นท่แี บบฮารม์ อนิกอย่างงา่ ยเป็นการ 12 20 ฮาร์มอนกิ อย่างงา่ ย เคลือ่ นท่ีกลบั ไปกลบั มาซ้าทางเดิม โดยมุมทเ่ี บน ออกจากแนวด่งิ มากท่สี ุดเท่าเดิมตลอดเวลา (แอมพลิจูดคงตัวตลอดเวลา) ความเร่งแปรผนั ตรงกบั การกระจดั แต่ทิศทางตรงกันข้าม ยกตัวอยา่ งการเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนิก เช่น การ เคล่ือนท่ีของชิงชา้ การส่นั ของสายกตี าร์ การ เคลือ่ นที่ของลูกตมุ้ นาฬกิ า เม่ือวตั ถุถูก กระทบกระเทือน โดยท่วั ไปแลว้ วัตถจุ ะเกิดการ สัน่ สะเทือนด้วยความถเี่ ฉพาะ ตัวค่าหนึง่ เรียก ความถนี่ ้วี า่ ความถ่ีธรรมชาติ (natural frequency) ของวตั ถนุ ั้น เชน่ ลกู ตุ้มท่แี ขวนตดิ กบั สายแกว่ง เมอื่ ถูกกระทบกจ็ ะแกวง่ ไปมาด้วยความถ่ี ธรรมชาตขิ องลูกตุ้มน้นั และเม่อื วัตถนุ ั้นถูกแรง ภายนอกมากกระทาอย่างต่อเนือ่ งด้วยความถี่ เทา่ กบั ความถ่ีธรรม ชาติของวัตถุ จะทาให้วตั ถุ เกดิ การสน่ั สะเทอื นอย่างรนุ แรง เราเรียก ปรากฏการณ์การสน่ั อย่างรนุ แรงเนือ่ งจากเหตุ เชน่ นี้ว่าเป็นการสั่นพ้อง 2 การเคล่ือนทแ่ี บบ ขอ้ ที่ 3, 4 คลน่ื เป็นปรากฏการณการเคล่ือนท่ีรปู แบบหนง่ึ 12 20 คลืน่ และสมการ คลน่ื คลืน่ บางชนิดอาศยั ตัวกลางในการเคลือ่ นที่ คลน่ื บางชนิดไมอาศัยตวั กลางในการเคล่ือนที่ คลื่นทอี่ าศัยตวั กลางในการเคลื่อนท่ี เรียกว่า คลน่ื กลคลืน่ ที่ไมอาศยั ตวั กลางในการเคล่ือนที่ คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ลักษณะของคลนื่ มี 2 แบบ คอื คลื่นตามยาวและคลืน่ ตามขวาง องคป์ ระกอบของคลื่นตามยาวจะมสี ่วนอัด สวน ขยาย สวนองค์ประกอบของคลื่นตามขวาง จะมี สนั คล่นื ทองคลื่น แอมพลจิ ูด ความยาวคลื่น คาบ ความถ่ี และอัตราเรว็ คลน่ื เมอ่ื คล่ืนเคล่ือนที่ไปตกกระทบกับแผ่น
297 หนว่ ย ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ที่ (ชัว่ โมง) คะแนน สะท้อน (แผ่นก้นั ) คล่นื จะเปลี่ยนทศิ ทางกลบั สู ตัวกลางเดิมโดยมีมุมตกกระทบเท่ากบั มุมสะท้อน ปรากฏการณนี้เรียกวา่ การสะท้อนของคล่นื เมอ่ื คลื่นเคลื่อนที่ผ่านรอยต่อระหว่างตวั กลาง 2 ชนิด ทาใหท้ ิศการเคล่ือนท่ขี องคล่นื เปลี่ยนไป เนอ่ื งจากอตั ราเรว็ เปล่ียนไป ปรากฏการณนี้ เรยี กว่า การหกั เหของคลื่น เมอื่ คล่ืนเคล่ือนท่ีไป พบส่งิ กดี ขวาง ซึ่งกันทางเดนิ ของคลื่นบางส่วน จะมีคลน่ื ส่วนหน่งึ เคลื่อนจากขอบแผ่นกนั้ ไป ทางดา้ นหลังของแผ่นกัน้ ปรากฏการณนี้เรียกวา่ การเลย้ี วเบนของคล่ืน เม่ือคลื่นต่อเนือ่ งวงกลม จากแหล่งกาเนิดอาพันธ์ 2 แหลง จะเกิดการ รวมกันของคลนื่ ปรากฏการณนีเ้ รียกว่า การ แทรกสอดของคลื่น โดยอาจรวมกนั แบบหักล้าง กัน และการแทรกสอดแบบเสริม 3 เสยี ง ข้อที่ 5, 6, 7 การไดย้ นิ เสยี งของเราเกดิ จากหไู ด้รับพลังงาน 12 20 จากการสน่ั ของแหลง่ กาเนิดเสียงผา่ นโมเลกุลของ อากาศ ลักษณะการเคลื่อนที่ของโมเลกลุ ของ อากาศจะอยู่ในรูปของคล่ืนตามยาว มีผลทาให้ ความดนั ของอากาศบริเวณท่ีมีการถา่ ยทอด พลังงานมีค่าเปลี่ยนแปลงไปจากความดนั ปกติ บรเิ วณท่ีมคี วามดนั มากกว่าปกติเราเรยี กว่า สว่ น อดั สว่ นบริเวณท่มี ีความดนั น้อยกว่าปกตเิ รา เรียกว่า ส่วนขยาย เม่อื คล่นื เสยี งเคล่ือนท่ผี ่าน ตวั กลางหนึ่งไปยงั อกี ตัวกลางหนงึ่ ความถ่ีของ คล่ืนเสยี งจะมีคา่ คงตวั เทา่ กับความถข่ี อง แหล่งกาเนิดเสียง สว่ นอตั ราเรว็ ของเสียงใน ตัวกลางหน่ึง ๆ จะคงตวั เมอ่ื อุณหภมู ขิ อง ตวั กลางน้ันคงตวั ปรากฏการณท์ เ่ี กีย่ วกบั ความ ดังและค่อยของเสียงเรยี กว่า ความเข้ม และ ระดับความเข้มเสยี ง ส่วนถา้ การได้ยนิ ความถี่ เสยี งทีเ่ ปล่ียนไป เรียกว่า ปรากฏการณด์ อป เปลอร์ ส่วนคุณภาพและเสยี งดนตรจี ะเกีย่ วข้อง กับการสนั่ พ้องของเสียง
298 หน่วย ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ท่ี (ช่วั โมง) คะแนน 4 แสงเชิงเรขาคณิต ข้อท่ี 9, 10, สมบัติของแสงเชงิ เรขาคณติ (Geometrical 12 20 11, 13 Optics)ในดา้ นการมองเห็นภาพของวัตถตุ ่างๆท่มี ี ขนาดใหญ่มากเม่ือเปรยี บเทียบกบั ความยาวของ คล่ืนแสง สมบัติท่ีเราจะศึกษาไดแ้ ก่ การสะท้อน และการหักเหของแสง ซง่ึ การสะทอ้ นของแสง (Reflection) เกิดเมือ่ แสงเคล่อื นทไ่ี ปตกกระทบกับ ผวิ สะท้อนแสงจะสะท้อนกลับมายงั ตัวกลางเดิม สว่ นการหกั เหของแสง เกิดจากการท่ีแสง เคลอื่ นทผี่ า่ นตวั กลางทม่ี ีความหนาแนน่ ต่างกัน เปน็ ผลทาใหอ้ ตั ราเรว็ แสงเปล่ียนไป ความยาว คลนื่ แสงเปลย่ี นแปลง ทิศทางของแสง เปลีย่ นแปลงไปด้วยโดยความถ่ีคงที่ ซึ่งในขณะที่ แสงเกิดการหกั เหก็จะเกิดการสะทอ้ นของแสงขึน้ พรอ้ ม ๆกันด้วย และการนาเอาอุปกรณ์ทเี่ รยี กว่า กระจก และเลนส์มาใช้ประโยชนเ์ พื่ออานวย ความสะดวกของมนุษย์ก็อาศัยหลกั การของแสง เชิงเรขาคณติ มาใชใ้ นการสรา้ ง 5 แสงเชิงฟสิ ิกส์ ขอ้ ท่ี 8,12 แสงเชิงกายภาพ (Physics of light) ศกึ ษาเกี่ยวกับ 12 20 ปรากฏการณ์ทางแสงท่ไี ม่สามารถ อธิบายไดด้ ้วย แสงเชงิ เรขาคณิต ประกอบด้วย ปรากฏการณ์ ดังนี้ การแทรกสอด (Interference) การเลี้ยวเบน (Diffraction) โพลาไรเซชัน (Polarization) โดย การแทรกสอดของแสง (Interference) เกิดได้ ตอ่ เม่ือคล่ืนแสง 2 ขบวนเคลื่อนทม่ี าพบกัน จะ เกดิ การรวมตวั กนั และแทรกสอดกนั เกดิ เป็นแถบ มืดและแถบสวา่ งบนฉาก โดยแหลง่ กาเนิดแสง จะต้องเปน็ แหล่งกาเนิดอาพันธ์ (Coherent Source) คอื เปน็ แหล่งกาเนดิ ท่ีใหค้ ล่นื แสงความถ่ี เดยี วกนั และความยาวคลน่ื เทา่ กัน นกั วทิ ยาศาสตร์ท่ปี ระสบความสาเร็จในการ ทดลองเพอื่ ทดสอบทฤษฎี คือ โทมัส ยงั สว่ นการ เลยี้ วเบน ค้นพบโดยฮอยเกน และกริมัลดิ กล่าว วา่ ทุกๆ จุดบนชอ่ งเด่ยี วจะทาหนา้ ท่เี ปน็ แหล่งกาเนิดแสงใหม่ แสงจากแหล่งกาเนิดแสง ใหมจ่ ะเกดิ การซ้อนทับกนั บนฉาก มีผลให้
299 หน่วย ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั ที่ (ช่วั โมง) คะแนน แถบสว่างกลางมขี นาดกวา้ งกว่าสลติ นอกจากน้ี ถดั จากแถบสว่างกลางออกไปทั้งสองขา้ งยงั มี แถบสว่างและแถบมืดสลบั กนั ไป และโพลาไรเซ ชนั เป็นปรากฏการณ์ของคล่ืนตามขวาง คือ เป็น คลื่นทีม่ ีระนาบการสนั่ ในระนาบใดระนาบหน่ึง เพยี งระนาบเดยี ว คลื่นแสงท่ีถกู ปลอ่ ยออกมามา จากแหล่งกาเนิดแสงส่วนใหญ่จะเปน็ คลื่นท่ีมี ระนาบการสัน่ ของสนามแมเ่ หล็กและสนามไฟฟ้า หลายระนาบ จงึ เป็นแสงท่ีไม่โพลาไรซ์ ถ้าเราเอา แผน่ โพลารอยดไ์ ปกัน้ (Analyzer) แสงท่ีผ่านแผน่ โพลารอยดม์ าจะเปน็ แสงทีม่ รี ะนาบการส่นั เพียง ระนาบเดยี วตามแกนของแผ่นโพลารอยด์ แสงที่ ผ่านมานเี้ รียกวา่ แสงโพลาไรซ์ รวม 60 100
300 คาอธบิ ายรายวชิ าเพิ่มเตมิ รายวชิ า ว32222 เคมี 2 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศกึ ษาเก่ยี วกับความหมายสญั ลักษณ์ในสมการเคมี สมการเคมขี องปฏิกริ ยิ าเคมีบางชนดิ การ คานวณปรมิ าณของสารในปฏิกิรยิ าเคมีทเี่ กยี่ วข้องกบั มวลสาร ความเข้มข้นของสารละลาย และปรมิ าตร แกส๊ การคานวณปริมาณของสารในปฏิกิริยาเคมหี ลายขั้นตอน การระบุสาร กาหนดปรมิ าณและคานวณ ปริมาณสารตา่ งๆ ในปฏกิ ริ ิยาเคมี การคานวณผลได้ร้อยละของผลิตภณั ฑใ์ นปฏิกิรยิ าเคมี มวลอะตอม และการคานวณมวลอะตอมเฉลยี่ ของธาตุ มวลโมเลกลุ และมวลสตู ร การคานวณปริมาณจาก ความสมั พันธข์ องโมล จานวนอนุภาค มวล และปริมาตรของแกส๊ ท่ี STP การคานวณอัตราสว่ นโดยมวล ของธาตุองคป์ ระกอบของสารประกอบตามกฎสัดสว่ นคงที่ การคานวณสูตรอย่างงา่ ยและสตู รโมเลกลุ ของ สาร การคานวณความเข้มขน้ ของสารละลายในหนว่ ยต่างๆ การเตรยี มสารละลายใหม้ ีความเข้มข้นใน หน่วยโมลารติ ีและปรมิ าตรสารละลาย การเปรยี บเทยี บและคานวณจุดเดือดและจดุ เยือกแขง็ ของ สารละลายกบั สารบรสิ ทุ ธ์ิ โดยใช้การสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละ ทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 การสืบค้นข้อมลู การอภิปรายและการนาเสนอ เพอ่ื ให้เกดิ ความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสอื่ สารส่งิ ทีเ่ รียนรู้ มีความสามารถในการ ตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนาความรไู้ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และ คา่ นยิ มที่เหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. บอกความหมายสัญลักษณ์ในสมการเคมี เขยี นและดลุ สมการเคมขี องปฏิกิรยิ าเคมีบางชนิดได้ 2. คานวณปริมาณของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมีทเ่ี ก่ียวข้องกับมวลสารได้ 3. คานวณปริมาณของสารในปฏิกริ ิยาเคมที ่ีเกยี่ วข้องกับความเข้มขน้ ของสารละลายได้ 4. คานวณปรมิ าณของสารในปฏิกริ ยิ าเคมีท่ีเกยี่ วข้องกบั ปริมาตรแก๊สได้ 5. คานวณปริมาณของสารในปฏกิ ริ ิยาเคมีหลายข้ันตอนได้ 6. ระบุสารกาหนดปริมาณ และคานวณปรมิ าณสารตา่ งๆ ในปฏกิ ิริยาเคมีได้ 7. คานวณผลได้รอ้ ยละของผลติ ภัณฑใ์ นปฏกิ ริ ิยาเคมไี ด้ 8. บอกความหมายของมวลอะตอมของธาตุ และคานวณมวลอะตอมเฉลีย่ ของธาตุ มวลโมเลกลุ และมวลสตู รได้ 9. อธิบาย และคานวณปริมาณใดปรมิ าณหน่ึงจากความสมั พนั ธ์ของโมล จานวนอนภุ าค มวล และปริมาตรของแกส๊ ที่ STP ได้ 10. คานวณอตั ราส่วนโดยมวลของธาตุองค์ประกอบของสารประกอบตามกฎสัดสว่ นคงที่ได้ 11. คานวณสูตรอย่างงา่ ยและสตู รโมเลกุลของสารได้ 12. คานวณความเขม้ ขน้ ของสารละลายในหนว่ ยต่างๆ ได้ 13. อธิบายวธิ กี าร และเตรียมสารละลายใหม้ คี วามเขม้ ข้นในหนว่ ยโมลาริตี และปรมิ าตร สารละลายตามที่กาหนดได้
301 14. เปรยี บเทียบจุดเดอื ดและจดุ เยือกแขง็ ของสารละลายกับสารบรสิ ุทธ์ิ รวมท้งั คานวณจุดเดอื ด และจุดเยือกแขง็ ของสารละลายได้ รวมทั้งหมด 14 ผลการเรียนรู้
302 โครงสรา้ งรายวิชาเพิม่ เติม รายวชิ า ว32222 เคมี 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ชวั่ โมง จานวน 1.5 หนว่ ยกติ หนว่ ย ชอ่ื หน่วย ที่ การเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ขอ้ 1 - 7 (ชวั่ โมง) คะแนน 1 ปฏกิ ริ ิยาเคมี (สมการเคมี) • ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เปน็ การเปล่ยี นแปลง 25 45 ท่มี ีสารใหมเ่ กิดขน้ึ จากการจัดเรยี งตัวใหม่ ของอะตอมธาตุโดยจานวนและชนิดของ อะตอมธาตุไม่เปล่ยี นแปลง ปฏิกิริยาเคมี เขียนแสดงได้ดว้ ยสมการเคมี ซึง่ ประกอบด้วยสตู รเคมีของสารต้งั ตน้ และ ผลติ ภณั ฑ์ ลกู ศรแสดงทิศทางของการ เกิดปฏิกริ ยิ า และเลขสัมประสิทธ์ของ สารต้ังต้นและผลิตภัณฑ์ท่ีดลุ แลว้ นอกจากน้อี าจมีสญั ลักษณ์แสดงแสดง สถานะของสาร หรือปัจจัยอื่นทีเ่ ก่ยี วข้อง ในการเกิดปฏกิ ริ ยิ า • การดุลสมการเคมีทาได้โดยการเติม เลขสัมประสทิ ธ์หิ นา้ สารตง้ั ตน้ และ ผลติ ภณั ฑ์ เพ่อื ให้อะตอมของธาตใุ นสาร ตงั้ ตน้ และผลติ ภัณฑ์เทา่ กนั • การเปล่ยี นแปลงปริมาณสารใน ปฏิกริ ยิ าเคมี มคี วามสมั พันธ์กันตามเลข สัมประสิทธิใ์ นสมการเคมี ซงึ่ บอกถงึ อัตราส่วนโดยโมลของสารในปฏกิ ิริยา สามารถนามาใช้ในการคานวณปริมาณ ของสารทีเ่ กยี่ วข้องกับมวล ความเข้มขน้ ของสารละลาย และปรมิ าตรของแกส็ ได้ • ความสัมพันธข์ องโมลสารตงั้ ตน้ และ ผลติ ภณั ฑ์ในปฏกิ ริ ิยาเคมหี ลายขน้ั ตอน พิจารณาไดจ้ ากเลขสัมประสิทธ์ของ สมการเคมีรวม • ปฏิกริ ยิ าเคมีทสี่ ารตง้ั ต้นทาปฏกิ ริ ยิ า ไม่พอดีกัน สารต้งั ต้นทีท่ าปฏกิ ริ ยิ าหมด กอ่ น เรียกวา่ สารกาหนดปริมาณ ซงึ่ เปน็ สารทก่ี าหนดปริมาณผลติ ภัณฑท์ เี่ กิดข้ึน
303 หน่วย ชือ่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน และปริมาณสารตั้งต้นอน่ื ทีท่ าปฏกิ ิรยิ าไป เมือ่ ส้ินสดุ ปฏกิ ริ ยิ า • ผลติ ภัณฑท์ เ่ี กิดขน้ึ จริงในปฏิกิริยา เคมสี ่วนใหญม่ ีปรมิ าณน้อยกว่าท่ีคานวณ ได้ตามทฤษฎี ซง่ึ ค่าเปรยี บเทียบผลได้ จริงกับผลได้ตามทฤษฎเี ปน็ ร้อยละ เรียกว่า ผลได้ร้อยละ 2 ปริมาณสมั พนั ธ์ ข้อ 8 - 14 • มวลอะตอมของธาตุ เปน็ มวลของ 29 55 ธาตุ 1 อะตอม ซง่ึ เป็นผลรวมของมวล โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน แต่ เนือ่ งจากอิเลก็ ตรอนมีมวลนอ้ ยมาก เมื่อ เทียบกับโปรตอนและนวิ ตอน ดงั น้ันมวล อะตอมจึงมคี ่าใกลเ้ คียงกับผลรวมของ มวลโปรตอนและนวิ ตรอน • มวลอะตอมเฉลีย่ ของธาตุเป็น คา่ เฉลี่ยจากค่ามวลอะตอมของแตล่ ะ ไอโซโทปของธาตชุ นิดน้นั ตามปรมิ าณท่ีมี ในธรรมชาติ • มวลโมเลกลุ และมวลสตู รเปน็ ผลรวมของมวลอะตอมเฉลี่ยของธาตทุ ่ี เป็นองค์ประกอบของสารนนั้ • โมลเป็นปรมิ าณสารทีม่ ีจานวน อนุภาคเทา่ กับเลขอาโวกาโดร คอื 6.02 × 1023 อนภุ าค มวลของสาร 1 โมล ทีม่ หี น่วยเป็นกรัม เรยี กว่า มวลตอ่ โมล ซึง่ มคี ่าตวั เลขเท่ากับมวลอะตอมหรอื มวล โมเลกุลหรอื มวลสูตรของสารน้ัน สาหรับ สารทม่ี ีสถานะแกส๊ 1 โมล จะมี ปริมาตรเท่ากับ 22.4 dm3 ท่ี STP • สารประกอบเกดิ จากการรวมตวั ของธาตุตัง้ แต่ 2 ชนิดข้ึนไป โดยมี อัตราส่วนโดยมวลของธาตุองค์ประกอบ คงทีเ่ สมอ ตามกฎสัดส่วนคงที่ • สูตรเคมสี ามารถแสดงไดด้ ว้ ยสตู ร เอมพริ ิคลั หรือสตู รอยา่ งง่ายและสตู ร
304 หน่วย ชือ่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ท่ี การเรียนรู้ (ชั่วโมง) คะแนน โมเลกลุ ซึ่งสูตรอยา่ งง่ายคานวณได้จาก ร้อยละโดยมวลของมวลอะตอมของธาตุ องค์ประกอบ และถ้าทราบมวลโมเลกลุ ของสารจะสามารถคานวณสูตรโมเลกุลได้ รวม 60 100
305 คาอธิบายรายวชิ าเพ่ิมเติม รหัสวิชา ว32223 เคมี 3 ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 60 ชว่ั โมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศึกษาเก่ียวกับการเขยี นกราฟการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสารทีท่ าการวัดในปฏิกิริยา และสารท่ี ไมไ่ ดว้ ัดในปฏิกริ ยิ าเคมี การคานวณอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ทศิ ทางการชนกันของอนุภาคและพลังงาน ท่สี ่งผลต่ออตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ผลของความเขม้ ข้น พ้ืนท่ีผิวของสารต้งั ต้น อุณหภมู ิ และตวั เรง่ ปฏิกริ ิยาทีม่ ตี ่ออัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี การเปรียบเทยี บอตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเมอื่ มีการเปล่ียนแปลง ความเขม้ ข้น พนื้ ทผ่ี ิวของสารตั้งต้น อณุ หภูมิ และตัวเรง่ ปฏิกริ ิยา ตวั อยา่ งและปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ อตั ราการ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมใี นชีวิตประจาวันหรืออตุ สาหกรรม ความหมายของปฏกิ ริ ยิ าผันกลบั ได้และภาวะสมดุล การเปล่ยี นแปลงความเข้มข้นของสาร อัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาไปข้างหน้า และอตั ราการเกิดปฏกิ ิริยา ย้อนกลับ การคานวณคา่ คงที่สมดุลของปฏิกริ ิยา การคานวณความเข้มข้นของสารทีภ่ าวะสมดุล การ คานวณค่าคงท่ีสมดลุ หรือความเข้มขน้ ของปฏกิ ริ ิยาหลายข้ันตอน ปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ ภาวะสมดลุ และค่าคงที่ สมดุลของระบบ การคาดคะเนการเปลย่ี นแปลงท่ีเกิดข้นึ เมื่อภาวะสมดลุ ของระบบถูกรบกวน โดยใช้หลกั ของเลอชาเตอลเิ อ ตัวอย่างของสมดุลเคมขี องกระบวนการท่เี กดิ ขนึ้ ในสิง่ มีชีวิต ปรากฏการณใ์ นธรรมชาติ และกระบวนการในอตุ สาหกรรม ทฤษฎกี รด-เบสของอารเ์ รเนยี ส เบรนิ สเตด-ลาวรี และลวิ อสิ ระบุคู่ กรด-เบสของสารตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรนิ สเตด-ลาวรี การคานวณและเปรยี บเทียบความสามารถใน การแตกตัวหรอื ความแรงของกรดและเบส การคานวณค่า pH ความเข้มขน้ ของไฮโดรเนียมไอออนหรอื ไฮดรอกไซด์ไอออนของสารละลายกรดและเบส การเขยี นสมการเคมีแสดงปฏกิ ิรยิ าสะเทิน การระบุความ เป็นกรด-เบสของสารละลายหลงั การสะเทิน การเขียนปฏิกริ ิยาไฮโดรลซิ สิ ของเกลอื และการระบุความ เป็นกรด-เบสของสารละลายเกลอื หลักการไทเทรตและการเลือกใชอ้ นิ ดิเคเตอร์ การคานวณปริมาณสาร หรือความเข้มขน้ ของสารละลายกรดหรือเบสจากการไทเทรต สมบัติ องค์ประกอบ และประโยชนข์ อง สารละลายบฟั เฟอร์ การสืบค้นขอ้ มูลและนาเสนอตัวอย่างการใชป้ ระโยชน์และการแก้ปัญหาโดยใชค้ วามรู้ เกยี่ วกับกรด-เบส โดยใชก้ ารสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละ ทักษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 การสืบคน้ ข้อมลู การอภิปรายและการนาเสนอ เพอื่ ให้เกดิ ความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสอ่ื สารสงิ่ ทเี่ รียนรู้ มีความสามารถในการ ตดั สินใจ การแกป้ ัญหา การนาความรู้ไปใช้ในชีวติ ประจาวัน มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และ คา่ นิยมทเี่ หมาะสม
306 ผลการเรยี นรู้ 1. ทดลอง และเขยี นกราฟการเพิ่มข้ึนหรือลดลงของสารที่ทาการวดั ในปฏกิ ิรยิ าได้ 2. คานวณอตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี และเขียนกราฟการลดลงหรือเพ่ิมข้นึ ของสารที่ไม่ไดว้ ัดใน ปฏกิ ริ ิยาได้ 3. เขยี นแผนภาพและอธบิ ายทิศทางการชนกนั ของอนภุ าคและพลังงานท่สี ง่ ผลตอ่ อตั ราการ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้ 4. ทดลอง และอธิบายผลของความเขม้ ขน้ พ้ืนทผี่ วิ ของสารตัง้ ต้น อณุ หภูมิ และตวั เรง่ ปฏิกิริยาที่ มีต่ออัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมไี ด้ 5. เปรยี บเทียบอัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเข้มขน้ พื้นทผี่ ิวของสารตัง้ ตน้ อณุ หภูมิ และตัวเรง่ ปฏกิ ิริยาได้ 6. ยกตวั อยา่ ง และอธิบายปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีในชวี ิตประจาวนั หรอื อตุ สาหกรรมได้ 7. อธิบายความหมายของปฏิกริ ิยาผันกลบั ได้และภาวะสมดุล 8. อธบิ ายการเปลย่ี นแปลงความเข้มข้นของสาร อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าไปขา้ งหนา้ และอัตราการ เกิดปฏิกริ ิยาย้อนกลับ เมื่อเริ่มปฏิกริ ยิ าจนกระท่งั ระบบอยู่ในภาวะสมดุลได้ 9. คานวณคา่ คงทสี่ มดุลของปฏกิ ริ ิยาได้ 10. คานวณความเข้มขน้ ของสารทภี่ าวะสมดุลได้ 11. คานวณค่าคงทสี่ มดลุ หรือความเขม้ ขน้ ของปฏกิ ิริยาหลายขนั้ ตอนได้ 12. ระบปุ จั จยั ท่ีมีผลต่อภาวะสมดุลและค่าคงท่ีสมดุลของระบบ รวมทงั้ คาดคะเนการ เปลี่ยนแปลงทเ่ี กิดข้ึนเม่ือภาวะสมดุลของระบบถกู รบกวน โดยใช้หลกั ของเลอชาเตอลิเอได้ 13. อธบิ ายและยกตัวอย่างสมดุลเคมีของกระบวนการทเี่ กิดขน้ึ ในส่งิ มชี วี ติ ปรากฏการณใ์ น ธรรมชาตแิ ละกระบวนการในอตุ สาหกรรมได้ 14. ระบุ และอธิบายวา่ สารเป็นกรดหรือเบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของอารเ์ รเนยี ส เบรินสเตด- ลาวรี และลิวอิสได้ 15. ระบุคู่กรด-เบสของสารตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรไี ด้ 16. คานวณ และเปรียบเทียบความสามารถในการแตกตวั หรอื ความแรงของกรดและเบสได้ 17. คานวณคา่ pH ความเขม้ ข้นของไฮโดรเนียมไอออนหรือไฮดรอกไซด์ไอออนของสารละลาย กรดและเบสได้ 18. เขยี นสมการเคมแี สดงปฏิกริ ยิ าสะเทิน และระบุความเป็นกรด-เบสของสารละลายหลังการ สะเทนิ ได้ 19. เขียนปฏกิ ริ ยิ าไฮโดรลซิ ิสของเกลอื และระบุความเปน็ กรด-เบสของสารละลายเกลือได้ 20. ทดลอง และอธบิ ายหลักการไทเทรต และเลือกใชอ้ ินดิเคเตอร์ท่ีเหมาะสมสาหรับการไทเทรต กรด-เบสได้ 21. คานวณปรมิ าณสารหรือความเข้มข้นของสารละลายกรดหรือเบสจากการไทเทรตได้ 22. อธิบายสมบัติ องคป์ ระกอบ และประโยชนข์ องสารละลายบฟั เฟอร์ได้ 23. สบื คน้ ขอ้ มูล และนาเสนอตวั อยา่ งการใช้ประโยชน์และการแก้ปัญหาโดยใช้ความรเู้ กี่ยวกับ กรด-เบสได้ รวมทั้งหมด 23 ผลการเรยี นรู้
307
308 โครงสร้างรายวิชาเพมิ่ เติม รหสั วิชา ว32223 เคมี 3 ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ช่วั โมง จานวน 1.5 หนว่ ยกิต หน่วย ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน 1 อตั ราการ ข้อ 1 - 6 • ปฏกิ ริ ยิ าเคมีแต่ละปฏิกิริยามอี ตั รา 14 30 เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี การเกิดปฏิกริ ิยาต่างกนั โดยอาจวดั จาก การลดลงของสารตัง้ ต้นหรือการเพ่ิมข้นึ ของผลิตภณั ฑ์ต่อหน่งึ หน่วยเวลา และ หารด้วยเลขสัมประสิทธขิ์ องสารนน้ั ๆใน สมการเคมี เพ่ือใหไ้ ด้อตั ราการ เกิดปฏิกริ ิยาเคมที ีเ่ ท่ากันไมว่ ่าจะเป็นการ วัดจากสารตงั้ ตน้ หรอื ผลติ ภัณฑ์ • ปฏกิ ริ ยิ าเคมจี ะเกิดขน้ึ ไดก้ ต็ อ่ เมื่อ อนุภาคของสารตั้งตน้ ชนกนั นทิศทางที่ เหมาะสมและมีพลังงานอยา่ งนอ้ ยเท่ากบั พลังงานก่อกัมมนั ต์ ดังนน้ั อตั ราการ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมจี ึงข้ึนกับทิศทางการชน และพลงั งานที่เกดิ จากการชน • อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีของสาร หนึง่ ๆ ขึ้นอยู่กับความเขม้ ขน้ พ้ืนท่ผี วิ อณุ หภูมิ ตวั เรง่ และตวั หน่วงปฏกิ ริ ยิ า นอกจากน้อี ตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมยี งั ขึ้นอยกู่ ับชนดิ ของสารทีท่ าปฏิกิริยาเคมี ดว้ ย • ความร้เู ก่ยี วกบั ปจั จยั ที่มีผลต่ออัตรา การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีสามารถนามาใช่ อธิบายกระบวนการท่ีเกดิ ขน้ึ ใน ชวี ิตประจาวนั หรอื อตุ สาหกรรม 2 สมดลุ เคมี ข้อ 7 - 13 • ปฏกิ ริ ิยาเคมที ่ีสามารถดาเนนิ ไป 16 30 ข้างหน้าและย้อนกลบั ได้ เรียกวา่ ปฏิกริ ิยาผนั กลบั ได้ เมื่อปฏกิ ิรยิ าดาเนิน ไปความเข้มขน้ ของสารต้งั ตน้ และอัตรา การเกิดปฏิกิริยาไปขา้ งหนา้ จะลดลง
309 หน่วย ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ที่ การเรยี นรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน ส่วนความเขม้ ข้นของผลติ ภณั ฑ์และอัตรา การเกิดปฏกิ ริ ิยายอ้ นกลบั จะเพิ่มข้ึน เม่ือ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยาไปข้างหนา้ เท่ากับ อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาย้อนกลับ สมดลุ พลวตั ระบบจะอยใู่ นภาวะสมดุลที่มีความเข้มขน้ ของสารตง้ั ต้นและผลิตภณั ฑ์คงที่ เรยี กว่า • ณ ภาวะสมดุล ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์กบั สารต้งั ตน้ แสดงได้ดว้ ยค่าคงทส่ี มดุล ซ่งึ เปน็ คา่ คงท่ี ณ อุณหภมู หิ น่ึง • คา่ คงทสี่ มดุลของปฏิกริ ิยาหลาย ขนั้ ตอน หาไดจ้ ากผลคณู ของคา่ คงท่ี สมดลุ ของปฏิกริ ิยาย่อยทน่ี าสมการเคมมี า รวมกนั โดยถ้ามกี ารคณู สมการย่อยให้ยก กาลงั คา่ คงท่สี มดลุ ด้วยตัวเลขที่คูณ และ หากมกี ารกลบั ข้างสมการ ให้กลับคา่ คงที่ สมดลุ เป็นตัวหาร • เมือ่ ระบบทอี่ ยู่ในภาวะสมดุลถูก รบกวน โดยการเปลี่ยนแปลงความ เข้มขน้ ของสาร ความดัน หรืออุณหภูมิ ระบบจะเกดิ การเปล่ยี นแปลงเพอ่ื เข้าสู่ ภาวะสมดลุ อกี คร้ังตามหลักของเลอชา เตอลเิ อท้ังนี้การเปลยี่ นแปลงอณุ หภมู มิ ี ผลทาใหค้ ่าคงทสี่ มดุลเปลย่ี นแปลง • ความร้เู กย่ี วกับสมดลุ เคมีสามารถ นามาใชอ้ ธบิ ายกระบวนการที่เกิดข้นึ ใน ส่ิงมีชวี ิต ปรากฏการณ์ในธรรมชาติและ กระบวนการในอุตสาหกรรม 3 กรดเบส ขอ้ 14 - 23 • สารในชีวติ ประจาวนั หลายชนิดมี 24 40 สมบตั ิเป็นกรดหรือเบส ซึ่งพิจารณาได้ โดยใชท้ ฤษฎีกรด-เบสของอาร์เรเนียส เบ รนิ สเตด-ลาวรี หรอื ลิวอสิ • ตามทฤษฎีกรด-เบสของเบรินส
310 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน เตด-ลาวรี เม่อื กรดหรือเบสละลายน้า หรอื ทาปฏกิ ิริยากับสารอ่นื จะมีการถา่ ย โอนโปรตอนระหวา่ งสารตงั้ ต้นทีเ่ ปน็ กรด และเบส เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ซ่ึงเปน็ โมเลกลุ หรือไอออนทเ่ี ป็นคู่กรด-เบสของ สารตั้งต้นน้ัน โดยสารทีเ่ ป็นคกู่ รด-เบส กันจะมโี ปรตอนต่างกัน 1 โปรตอน • กรดและเบสแตล่ ะชนิดสามารถแตก ตังในน้าได้แตกต่างกัน กรดแกห่ รือเบส แกส่ ามารถแตกตัวเป็นไอออนในนา้ ได้ เกอื บสมบรู ณ์ สว่ นกรดอ่อนหรอื เบสอ่อน แตกตวั เป็นไอออนไดน้ ้อย โดย ความสามารถในการแตกตวั หรือความแรง ของกรดหรอื เบสอาจพิจารณาได้จาก ค่าคงท่ีสมดุลการแตกตัวของกรดหรือเบส หรอื ปรมิ าณการแตกตวั เปน็ ร้อยละของ กรดหรอื เบส • นา้ บรสิ ทุ ธทิ์ ่อี ณุ หภูมิ 25 องศา เซลเซียสแตกตัวให้ไฮโดรเนยี มไอออน และไฮดรอกไซดไ์ อออนท่ีมีความเข้มขน้ เทา่ กันคือ 1.0 × 10-7 โมลต่อลติ ร โดย มคี า่ คงท่ีการแตกตัวของน้าเท่ากับ 1.0 × 10-14 • เมอ่ื กรดหรอื เบสแตกตวั ในน้า ค่า ความเปน็ กรด-เบสของสารละลายแสดง ไดด้ ว้ ยค่า pH ซ่ึงสัมพนั ธก์ ับความเข้มข้น ของไฮโดรเนียมไอออน โดยสารละลาย กรดมคี วามเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออน มากกวา่ 1.0 × 10-7 โมลตอ่ ลติ ร หรือมี คา่ pH นอ้ ยกวา่ 7 สว่ นสารละลายเบส มคี วามเข้มขน้ ของไฮโดรเนียมไอออนน้อย กว่า 1.0 × 10-7 โมลตอ่ ลติ ร หรอื มคี า่ pH มากกว่า 7 • ปฏกิ ิรยิ าสะเทินระหวา่ งกรดแก่และ เบสแก่ ให้สารละลายทีเ่ ป็นกลาง
311 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ปฏกิ ริ ิยาการสะเทนิ ระหว่างกรดแกแ่ ละ เบสอ่อน ใหส้ ารละลายที่เปน็ กรด สว่ น ปฏิกิริยาการสะเทนิ ระหว่างกรดออ่ นและ เบสแก่ ให้สารละลายทเ่ี ปน็ เบส • เกลอื ท่ไี ดจ้ ากการสะเทินของกรด แก่ดว้ ยเบสอ่อน เม่ือละลายในน้าจะ เกิดปฏิกริ ิยาไฮโดรลซิ ีส ไดส้ ารละลายท่มี ี สมบัตเิ ป็นกรด ส่วนเกลอื ที่ไดจ้ ากการ สะเทินของกรดอ่อนด้วยเบสแก่ เม่ือ ละลายในนา้ จะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซสี ได้สารละลายท่ีมีสมบัติเป็นเบส • การไทเทรตเป็นเทคนิคในการ วิเคราะห์หาปริมาณหรอื ความเข้มข้นของ สารที่ทาปฏกิ ริ ิยาพอดีกัน จุดทส่ี ารทา ปฏิกริ ยิ าพอดีกนั เรยี กว่า จดุ สมมูล ในทางปฏบิ ตั ิ จดุ สมมูลของปฏิกริ ิยาอาจ ไมส่ ามารถสังกตเห็นได้ จึงสังเกตจาก การเปลี่ยนสขี องอนิ ดิเคเตอร์ เพือ่ บอก จุดยตุ ขิ องการไทเทรต ดังน้ันอนิ ดเิ คเตอร์ ท่เี หมาะสมในการไทเทรตกรด-เบส ควร เปน็ อนิ ดิเคเตอร์ที่เปลี่ยนสีในช่วง pH ตรงกับหรือใกลเ้ คียงกบั pH ของ สารละลาย ณ จดุ สมมลู • ปรมิ าณกรดและเบสที่ทาปฏิกิรยิ า พอดีกนั จากการไทเทรตกรด-เบส สามารถนาไปคานวณความเข้มขน้ ของ กรดหรอื เบสท่ีต้องการทราบความเขม้ ข้น ได้ • สารละลายบฟั เฟอร์เป็นสารละลาย ของกรดอ่อนกับเกลอื ของกรดออ่ นนนั้ หรอื เบสอ่อนกบั เกลอื ของเบสอ่อนนัน้ เม่ือเติม กรด เบส หรอื น้า จะมีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงค่า pH น้อยกวา่ สารละลายทั่วไป สมบัติเฉพาะของ สารละลายบัฟเฟอร์เปน็ ประโยชนต์ ่อการ
312 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั ท่ี การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน ควบคุม pH ของระบบในสงิ่ มชี ีวิตและ ส่งิ แวดลอ้ ม • ความรเู้ กีย่ วกบั กรด-เบส สามารถ นามาใช้ประโยชน์และแกป้ ญั หาใน ชีวิตประจาวัน เกษตรกรรม อุตสาหกรรมและการแพทย์ รวม 60 100
313 คาอธิบายรายวชิ าเพ่ิมเตมิ รหัสวิชา ว32242 ชีววทิ ยา 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศกึ ษาเก่ียวกบั ชนิดและลกั ษณะของเน้ือเย่ือพชื โครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะของพืชดอกจาก ราก ลาตน้ และใบ การแลกเปล่ียนแกส๊ และการคายน้าของพืช การลาเลยี งนา้ และสารอาหารของพืช ธาตอุ าหารที่มผี ลต่อการเจริญเติบโตของพชื การคน้ คว้าทีเ่ กยี่ วข้องกับการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง โฟโตเรสไพเรชนั กลไกการเพิ่มความเขม้ ขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์ใน พชื C4 และพชื CAM ปจั จัยบางประการที่มีผลต่ออตั ราการสงั เคราะหด์ ้วยแสง รวมทงั้ การปรับตัวของ พชื ทางดา้ นโครงสร้างของใบ ทศิ ทางของใบ และ การจดั เรียงใบของพชื เพอื่ รบั แสง ศึกษาการสบื พันธุ์ของ พชื ดอกและการเจริญเติบโต วัฏจกั รชีวติ และการสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศของพืชดอกท่ีเกี่ยวข้องกับ โครงสร้างของดอกและการสร้างสปอร์ เรณู ถุงเอ็มบรโิ อ การสร้างเซลล์สืบพันธแุ์ ละการปฏิสนธผิ ลและ เมล็ด และการงอกของเมลด็ ศกึ ษาสารควบคุม การเจรญิ เติบโตของพืชและการตอบสนองของพชื ตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม การนาความรเู้ ก่ียวกับพืช มาประยุกตใ์ ช้ในชีวิตประจาวัน โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมลู การสงั เกต การวเิ คราะห์การทดลอง การอภปิ ราย การอธบิ าย และสรุป เพอื่ ใหเ้ กิด ความรู้ความคิด ความเขา้ ใจ มีความสามารถในการตัดสนิ ใจ ส่ือสารส่งิ ท่ีเรียนรแู้ ละนา ความรู้ไปใช้ ในชวี ติ ของตนเอง มีจติ วทิ ยาศาสตร์จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่านิยม ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายเกีย่ วกบั ชนดิ และลักษณะของเน้ือเยอ่ื พืชและเขยี นแผนผงั เพ่ือสรปุ ชนิดของ เนื้อเยอื่ พชื 2. สงั เกต อธบิ ายและเปรยี บเทยี บโครงสร้างภายในของรากพชื ใบเลย้ี งเดย่ี วและรากพืชใบ เลย้ี งค่จู ากการตดั ตามขวาง 3. สังเกต อธิบายและเปรียบเทยี บโครงสรา้ งภายในของลาต้นพืชใบเลีย้ งเดี่ยวและลาต้น พืชใบเลย้ี งคู่จากการตดั ตามขวาง 4. สังเกตและอธบิ ายโครงสร้างภายในของใบพชื จากการตัดตามขวาง 5. สืบคน้ ข้อมูล สังเกต และอธิบายการแลกเปลย่ี นแก๊สและการคายนา้ ของพชื 6. สบื ค้นข้อมูล และอธิบายกลไกการลาเลียงนา้ และธาตุอาหารของพืช 7. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบายความสาคญั ของธาตุอาหารและยกตวั อยา่ งธาตุอาหารท่สี าคัญท่มี ี ผลต่อการเจรญิ เติบโตของพชื 8. อธบิ ายกลไกในการลาเลียงอาหารของพืช 9. สบื คน้ ขอ้ มลู และสรุปการศึกษาทไี่ ด้จากการทดลองของนักวิทยาศาสตรใ์ นอดตี เกยี่ วกับ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 10. อธบิ ายขน้ั ตอนท่เี กดิ ขึน้ ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพชื C3 11. เปรียบเทียบกลไกการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในพชื C3 พชื C4 และ พชื CAM 12. สืบค้นข้อมลู อภปิ ราย และสรปุ ปัจจยั ความเข้มของแสง ความเขม้ ขน้ ของ คาร์บอนไดออกไซด์และอณุ หภมู ิ ทีม่ ีผลต่อการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืช
314 13. อธบิ ายวฏั จักรชีวิตแบบสลับของพืชดอก 14. อธิบาย และเปรยี บเทยี บกระบวนการสร้างเซลลส์ บื พันธุ์เพศผู้และเพศเมยี ของพชื ดอก และอธิบายการปฏสิ นธิของพืชดอก 15. อธบิ ายการเกดิ เมล็ดและการเกดิ ผลของพชื ดอก โครงสร้างของเมลด็ และผล และ ยกตวั อย่างการใช้ประโยชนจ์ ากโครงสรา้ งต่าง ๆ ของเมลด็ และผล 16. ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกบั ปัจจยั ตา่ ง ๆ ท่มี ผี ลต่อการงอกของเมล็ด สภาพพักตัว ของเมล็ดและบอกแนวทางในการแก้สภาพพักตวั ของเมล็ด 17. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ ายบทบาทและหน้าทีข่ องออกซิน ไซโทไคนิน จบิ เบอเรลลิน เอ ทลิ นี และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเกยี่ วกับการนาไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร 18. สบื คน้ ข้อมูล ทดลอง และอภปิ รายเก่ียวกับสิ่งเรา้ ภายนอกที่มผี ลตอ่ การเตริญเตบิ โต ของพืช รวมท้ังหมด 18 ผลการเรยี นรู้
315 โครงสรา้ งรายวชิ าเพิ่มเติม รหสั วชิ า ว32242 ชีววิทยา 2 ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หน่วยกติ หน่วย ชือ่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ที่ การเรียนรู้ (ชั่วโมง) คะแนน 1 โครงสรา้ งและหน้าท่ี ข้อ 1-8 • เนอ้ื เยือ่ พชื แบ่งเปน็ 2 กล่มุ ใหญค่ ือ 21 35 ของพชื ดอก เนอ้ื เย่อื เจริญและเนื้อเยื่อถาวร •เนอื้ เยื่อเจรญิ แบง่ เปน็ เนื้อเย่ือเจริญส่วน ปลายเนอ้ื เย่ือเจริญเหนือขอ้ และเนื้อเยื่อ เจริญดา้ นขา้ ง • เนือ้ เยอ่ื ถาวรเปลย่ี นแปลงมาจาก เนือ้ เยอื่ เจรญิ เน้ือเย่ือถาวรอาจแบง่ ได้ เปน็ 3 ระบบคือระบบ เนื้อเย่ือผิว ระบบ เนื้อเยื่อพน้ื และระบบเน้ือเยื่อทอ่ ลาเลยี ง ซงึ่ ทาหน้าทีต่ ่างกนั • ราก คือ ส่วนแกนของพชื ทโ่ี ดยทัว่ ไป เจรญิ อยใู่ ตร้ ะดับผวิ ดินทาหน้าท่ียึดหรือ คา้ จุนใหพ้ ชื เจรญิ เตบิ โตอยู่กบั ที่ได้ และ ยังมหี น้าที่สาคัญใน การดดู น้าและธาตุ อาหารในดนิ เพ่ือส่งไปยงั ส่วน ต่างๆของ พชื • โครงสร้างภายในของปลายรากทตี่ ัด ตามยาว ประกอบดว้ ยเนอื้ เย่ือเจรญิ แบง่ เป็นบรเิ วณตา่ งๆ คอื บรเิ วณหมวก รากบรเิ วณเซลลก์ าลงั แบง่ ตวั บรเิ วณ เซลลข์ ยายตัวตามยาวและบริเวณท่ีเซลล์ มีการเปล่ยี นแปลงไปทาหน้าที่เฉพาะ และเจรญิ เติบโตเตม็ ท่ี • โครงสรา้ งภายในของรากระยะการ เตบิ โตปฐมภูมเิ ม่อื ตัดตามขวางจะเห็น โครงสร้างแบง่ เป็น๓ช้ันเรียงจากดา้ น นอกเขา้ ไปคอื ชั้นเอพเิ ดอร์มสิ ชน้ั คอร์ เทกซแ์ ละช้นั สตีลในชนั้ สตลี จะพบมดั ท่อ ลาเลียงที่มีลักษณะแตกต่างกันในพืชใบ เลย้ี งเดย่ี วและพืชใบเล้ียงคู่ • โครงสรา้ งภายในของรากระยะการ
316 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก ที่ การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน เตบิ โตทุติยภูมิช้ันเอพิเดอร์มสิ จะถกู แทนท่ีด้วยชั้นเพรเิ ดิร์มซงึ่ มี คอรก์ เปน็ เนื้อเยื่อสาคญั ชัน้ คอร์เทกซอ์ าจมีการ เปล่ียนแปลงเกดิ เซลลท์ ่ีทาให้มีความ แข็งแรงเพิ่มขนึ้ หรือเกิดเซลล์ท่สี ะสม อาหารเพ่ิมขนึ้ สว่ นลักษณะมัดท่อ ลาเลยี งจะเปล่ียนไปเน่ืองจาก มกี าร สร้างเนอ้ื เย่อื ลาเลยี งเพมิ่ ขนึ้ • ลาตน้ คือ สว่ นแกนของพชื ทโี่ ดยทัว่ ไป เจริญ อยูเ่ หนือระดับผิวดนิ ถดั ขน้ึ มาจาก รากทาหน้าที่ สรา้ งใบและชใู บ ลาเลียงนา้ ธาตอุ าหารและ อาหารท่ีพชื สรา้ งขึน้ ส่งไปยังส่วนต่างๆ • โครงสรา้ งภายในของลาตน้ ระยะการเต บโิ ตปฐมภมู ิ เม่อื ตดั ตามขวางจะเห็น โครงสร้างแบ่งเปน็ 3 ชนั้ เรียง จากด้านนอกเข้าไป คือ ชนั้ เอพิเดอร์มิส ช้ันคอร์เทกซ์และช้นั สตลี ซง่ึ ชั้นสตีลจะ พบมัด ท่อลาเลยี งที่มีลักษณะแตกตา่ ง กันในพชื ใบเล้ียงเดีย่ วและพืชใบเล้ียงคู่ •ลาตน้ ในระยะการเติบโตทตุ ยิ ภมู ิจะมี เสน้ รอบวง เพิ่มขึ้นและมีโครงสรา้ ง แตกตา่ งจากเดมเิ นอ่ื งจาก มีการสรา้ ง เนื้อเยอ่ื เพรเิ ดิร์ม และเน้ือเยือ่ ทอ่ ลาเลยี ง ทตุ ยิ ภูมิเพมิ่ ขน้ึ • ใบมีหน้าที่สังเคราะหด์ ว้ ยแสง แลกเปลย่ี นแกส๊ และคายน้า ใบของพืช ดอกประกอบดว้ ย กา้ นใบ แผ่นใบ เสน้ กลางใบ และเส้นใบ พืชบางชนดิ อาจไม่ มีกา้ นใบ ท่ีโคนกา้ นใบอาจพบหรือไม่พบ หใู บ • โครงสร้างภายในของใบตัดตามขวาง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ ๓ กลุม่ ไดแ้ ก่ เอพิ เดอรม์ ิส มโี ซฟลิ ล์ และเนื้อเยื่อท่อ
317 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน ลาเลยี ง • พชื มกี ารแลกเปลี่ยนแกส๊ และการคาย น้าผา่ นทางปากใบเป็นสว่ นใหญ่ ปากใบ พบได้ที่ใบและ ลาต้นออ่ น เม่ือความชนื้ สัมพัทธ์ใน อากาศภายนอกตา่ กวา่ ความชื้นสมั พัทธ์ ภายในใบพืช ทาให้น้าภายในใบพืช ระเหยเปน็ ไอออกมาทางรปู ากใบ เรียกวา่ การคายนา้ • ความชืน้ ในอากาศ ลม อุณหภูมิ สภาพ น้าในดนิ ความเข้มของแสง เป็นปัจจยั ที่ มผี ลตอ่ การคายน้าของพืช • พชื ดูดนา้ และธาตุอาหารตา่ ง ๆ จาก ดนิ โดยเซลล์ขนรากแล้วลาเลยี งผา่ นช้นั คอร์เทกซ์เข้าสู่ เนอื้ เย่ือลาเลยี งน้าในชั้นสตลี ซึ่งเป็นการ ดดู น้าจากดนิ สู่เน้ือเยื่อลาเลยี งนา้ ในแนว ระนาบ และลาเลยี งไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของพชื ในแนวดิ่ง • ในสภาวะปกตกิ ารลาเลยี งน้าจากรากสู่ ยอด ของพชื อาศยั แรงดงึ จากการคายน้า รว่ มกบั แรงโคฮีชัน แรงแอดฮีชนั • ในภาวะท่บี รรยากาศมคี วามช้นื สัมพทั ธส์ ูงมากจนไมส่ ามารถเกดิ การ คายนา้ ได้ตามปกติ นา้ ท่เี ข้าไปในเซลล์ รากจะทาใหเ้ กดิ แรงดนั เรยี กว่าแรงดนั ราก ทาใหเ้ กิดปรากฏการณก์ ัตเตชนั • พชื แตล่ ะชนดิ ต้องการปรมิ าณและชนิด ของธาตุอาหารแตกตา่ งกัน สามารถนา ความรู้เกี่ยวกับสมบัติของธาตุอาหาร ชนดิ ต่าง ๆ ทม่ี ผี ลต่อการเจริญเตบิ โต ของพชื ในสารละลายธาตุอาหาร เพื่อให้ พืชเจรญิ เตบิ โตได้ตามท่ตี ้องการ • อาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์
318 หน่วย ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ที่ การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ดว้ ยแสงจากแหล่งสรา้ ง จะถูก เปล่ยี นแปลงเปน็ ซูโครส และลาเลียง ผ่านทางท่อโฟลเอ็ม โดยอาศัยกลไก การ ลาเลียงอาหารในพืชซ่งึ เกยี่ วข้องกับ แรงดันน้า ไปยังแหล่งรับ 2 การสงั เคราะหด์ ้วยแสง ขอ้ 9-12 • การศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ 18 30 ในอดีตทาให้ได้ความรู้เก่ยี วกับ กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงมาเปน็ ลาดับขนั้ จนได้ขอ้ สรปุ ว่า คารบ์ อนไดออกไซด์ และน้า เปน็ วตั ถุดบิ ที่พืชใชใ้ นกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ย แสง และผลผลิตท่ีได้ คือ นา้ ตาล ออกซเิ จน • กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงมี 2 ขนั้ ตอน คือ ปฏกิ ริ ยิ าแสง และการตรึง คาร์บอนไดออกไซด์ • ปฏิกริ ยิ าแสงเป็นปฏิกริ ิยาท่ีเปลย่ี น พลงั งานแสงเปน็ พลงั งานเคมี โดยแสง ออกซิไดซ์โมเลกลุ สารสีที่ไทลาคอยด์ของ คลอโรพลาสต์ ทาใหเ้ กดิ การถ่ายทอด อิเลก็ ตรอน ไดผ้ ลิตภณั ฑ์เป็น ATP และ NADPH+ H+ ในสโตรมาของคลอโรพ ลาสต์ • การตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์ เกิดในส โตรมา โดยใช้ RuBP และเอนไซม์รูบสิ โก ได้สารทีป่ ระกอบดว้ ยคาร์บอน 3 อะตอม คือ PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ทีไ่ ด้จากปฏกิ ิริยาแสงไปรีดิวซ์ สารประกอบคารบ์ อน 3 อะตอมไดเ้ ปน็ นา้ ตาลทมี่ คี าร์บอน 3 อะตอม คือ PGAL ซ่ึงส่วนหนึ่งจะถูกนาไปสร้าง RuBP กลับคืนเปน็ วฏั จักร โดยพชื C3 จะมีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวฏั จักรคลั วนิ เพยี งอย่างเดยี ว • พชื C4 ตรึงคาร์บอนอนนิ ทรยี ์ 2 ครงั้
319 หนว่ ย ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ท่ี การเรียนรู้ ข้อ 13-16 (ช่วั โมง) คะแนน 3 การสืบพนั ธุ์ของพชื ครงั้ แรกเกดิ ขึน้ ทเี่ ซลล์มโี ซฟิลล์ โดย ดอก PEP และเอนไซม์ เพบคารบ์ อกซิเลส ได้ สารประกอบที่มีคารบ์ อน 4 อะตอม คือ OAA ซ่ึงจะมกี ารเปล่ียนแปลงทางเคมีได้ สารประกอบทมี่ ีคารบ์ อน 4 อะตอม คือ กรดมาลกิ ซ่ึงจะถูกลาเลยี งไปจนถึงเซลล์ บันเดลิ ชที และปล่อย คารบ์ อนไดออกไซด์ในคลอโรพลาสต์ เพ่ือใช้ในวฏั จักรคลั วนิ ตอ่ ไป • พืช CAM มีกลไกในการตรึง คารบ์ อนไดออกไซด์คล้ายพืช C4 แตม่ ี การตรึงคารบ์ อนอนินทรียท์ ง้ั 2 ครง้ั ใน เซลล์เดยี วกนั โดยเซลลม์ กี ารตรึง คาร์บอนอนนิ ทรีย์ครั้งแรกในเวลา กลางคนื และปล่อยออกมาในเวลา กลางวันเพ่ือใช้ในวฏั จกั รคัลวินตอ่ ไป • ปัจจัยทมี่ ผี ลตอ่ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง เชน่ ความเข้มของแสง ความเขม้ ข้นของ คาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิ ปรมิ าณ นา้ ในดนิ ธาตอุ าหาร อายใุ บ • พชื ดอกมีวฏั จักรชวี ติ แบบสลบั 15 25 ประกอบดว้ ย ระยะทส่ี ร้างสปอร์ เรียก ระยะสปอโรไฟต์ (2n) และระยะท่สี รา้ ง เซลล์สืบพันธุ์ เรยี ก ระยะแกมีโทไฟต์ (n) • สว่ นประกอบของดอกทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับ การสืบพันธุโ์ ดยตรงคือชัน้ เกสรเพศผู้ และชนั้ เกสรเพศเมยี ซึ่งจานวนรงั ไข่ เก่ียวขอ้ งกบั การเจรญิ เปน็ ผลชนดิ ตา่ ง ๆ • พืชดอกสร้างไมโครสปอร์และเมกะ สปอร์ ซึ่งอาจสร้างในดอกเดยี วกนั หรือ ตา่ งดอกหรือตา่ งตน้ กัน • การสร้างไมโครสปอร์ของพืชดอก เกิดขน้ึ โดยไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ แบ่งเซลลแ์ บบ
320 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ที่ การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ไมโอซิสได้ไมโครสปอร์ โดยไมโครสปอร์ นี้ แบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ได้ 2 เซลล์ คือ ทิวบเ์ ซลลแ์ ละเจเนอเรทฟิ เซลล์ เมอื่ มี การถา่ ยเรณูไปตกบนยอดเกสรเพศเมีย ทิวบเ์ ซลล์จะงอกหลอดเรณู และเจเนอ เรทฟิ เซลลแ์ บ่งไมโทซิสไดเ้ ซลลส์ บื พันธ์ุ เพศผู้ 2 เซลล์ • การสรา้ งเมกะสปอรเ์ กิดขนึ้ ภายใน ออวุลในรงั ไข่ โดยเซลลท์ ่เี รยี กวา่ เมกะ สปอร์มาเทอรเ์ ซลล์ แบ่งไมโอซสิ ได้เมกะ สปอร์ ซง่ึ ในพชื ส่วนใหญ่จะเจรญิ พัฒนา ต่อไปได้เพียง 1 เซลล์ ท่ีเหลืออกี 3 เซลล์จะฝอ่ เมกะสปอรจ์ ะแบ่งไมโทซิส 3 ครงั้ ได้ 8 นิวเคลยี ส ท่ีประกอบดว้ ย 7 เซลล์โดยมี 1 เซลล์ ทีท่ าหน้าท่เี ปน็ เซลล์ สืบพนั ธ์ุ เรยี กเซลลไ์ ข่ สว่ นอีก 1 เซลลม์ ี 2 นวิ เคลียส เรียก โพลารน์ ิวคลไี อ • การปฏิสนธิของพชื ดอกเป็นการ ปฏสิ นธิคู่ โดยคหู่ น่ึงเปน็ การรวมกันของ สเปิร์มเซลลห์ น่ึง กบั เซลลไ์ ข่ได้เป็นไซโกต ซง่ึ จะเจริญและ พัฒนาไปเปน็ เอ็มบริโอ และอีกคู่หนงึ่ เป็นการรวมกันของสเปริ ์มอีกเซลลห์ น่งึ กับโพลาร์ นวิ คลไี อ ได้เป็นเอนโดสเปิรม์ นิวเคลียส ซงึ่ จะเจรญิ และพฒั นาตอ่ ไป เปน็ เอนโดสเปิรม์ • ภายหลังการปฏสิ นธิ ออวลุ จะมกี าร เจริญและพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรงั ไข่ จะมีการเจริญและพัฒนาไปเป็นผล • โครงสร้างของเมล็ดประกอบดว้ ย เปลอื กเมลด็ เอ็มบรโิ อ และเอนโด สเปริ ์ม โครงสรา้ งของผลประกอบด้วย ผนงั ผล และเมล็ด ซงึ่ แตล่ ะส่วนของ
321 หน่วย ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรยี นรู้ ข้อ 17-18 (ชวั่ โมง) คะแนน 4 กรตอบสนอง รวม โครงสร้างจะมปี ระโยชน์ตอ่ พืชเองและ ของพชื ต่อสิ่งมชี วี ิตอ่นื • เมล็ดทเ่ี จรญิ เตม็ ทีจ่ ะมีการงอกโดยมี ปจั จัยต่าง ๆ ทมี่ ีผลต่อการงอกของเมลด็ เช่น น้าหรอื ความชืน้ ออกซเิ จน อณุ หภูมิ และแสง เมล็ดบางชนิด สามารถงอกไดท้ นั ที แต่เมลด็ บางชนดิ ไม่ สามารถงอกได้ทนั ทเี พราะอยู่ในสภาพ พักตัว • เมล็ดบางชนดิ มสี ภาพพักตวั เน่อื งจากมี ปจั จยั บางประการทมี่ ีผลยับยัง้ การงอก ของเมล็ด ซึ่งสภาพพักตัวของเมล็ดสามารถแก้ไขได้ หลายวธิ ีตามปัจจัยที่ยบั ย้งั • พชื สร้างสารควบคมุ การเจริญเตบิ โต 6 10 หลายชนดิ ท่สี ว่ นตา่ ง ๆ ซง่ึ สารนเี้ ปน็ สิง่ เรา้ ภายในท่มี ผี ลต่อการเจรญิ เติบโตของ พชื เช่น ออกซนิ ไซโทไคนนิ จิบเบอ เรลลนิ เอทิลีน และกรดแอบไซซกิ • แสงสว่าง แรงโนม้ ถว่ งของโลก สารเคมี และเปน็ สง่ิ เรา้ ภายนอกที่มีผลต่อการ เจรญิ เตบิ โตของพืช • ความรู้เกีย่ วกับการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ภายในและสง่ิ เร้าภายนอกทีม่ ีผลต่อการ เจรญิ เติบโตของพชื สามารถนามา ประยกุ ตใ์ ช้ควบคมุ การเจรญิ เติบโตของ พืช เพมิ่ ผลผลิต และยืดอายผุ ลผลิตได้ 60 100
322 คาอธบิ ายรายวิชาเพิ่มเตมิ รหสั วชิ า ว32243 ชีววิทยา 3 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หน่วยกิต ศกึ ษาเกีย่ วกับระบบย่อยอาหารของสตั วแ์ ละมนษุ ย์ โครงสรา้ งท่ที าหนา้ ท่ีแลกเปล่ียนแก๊สของ สตั ว์ โครงสร้างของปอดในสัตวเ์ ล้ยี งลกู ด้วยนม โครงสรา้ งท่ใี ชใ้ นการแลกเปลย่ี นแก๊ส และกระบวนการ แลกเปลย่ี นแก๊สของมนุษย์ การทางานของปอด ปรมิ าตรอากาศในการหายใจของมนุษย์ ระบบหนุน เวยี นเลือดแบบปดิ และแบบเปิด โครงสรา้ งและการทางานของหัวใจและหลอดเลือดในมนุษย์ โครงสร้าง หัวใจของสตั วเ์ ล้ยี งลูกดว้ ยนม ทศิ ทางการไหลของเลือดผ่านหวั ใจมนุษย์ ส่วนประกอบของเลือด หมู่ เลือด หลักการใหแ้ ละรบั เลอื ด สว่ นประกอบและหน้าทขี่ องระบบน้าเหลอื ง กลไกการตอ่ ต้านหรอื ทาลายส่ิงแปลกปลอม การสร้างภมู คิ มุ้ กนั ของร่างกาย ความผิดปกติของระบบภมู คิ ุ้มกัน โครงสรา้ งและ หนา้ ทใี่ นการกาจัดของเสยี ของสัตวไ์ มม่ กี ระดูกสนั หลงั และสัตว์มีกระดูกสันหลัง โครงสรา้ งและหนา้ ท่ี ของไต โครงสร้างทใ่ี ชใ้ นการลาเลยี งปัสสาวะ การทางานของหนว่ ยไต ความผิดปกติของไต โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การสืบค้น ข้อมูล การ สงั เกต การวิเคราะหก์ ารทดลอง อภิปราย การอธิบาย และสรุป เพ่ือใหเ้ กิดความรูค้ วามคดิ ความเขา้ ใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ สือ่ สารสิง่ ท่ีเรียนรู้และนา ความรูไ้ ปใช้ในชวี ิตของตนเอง มีจิตวทิ ยาศาสตรจ์ ริยธรรม คุณธรรม และคา่ นยิ ม ผลการเรียนรู้ 1. สืบค้นข้อมลู อธิบาย และเปรยี บเทยี บโครงสร้างและกระบวนการยอ่ ยอาหารของสตั ว์ท่ไี มม่ ี ทางเดินอาหาร สัตวท์ มี่ ีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ และสตั ว์ทมี่ ที างเดินอาหารแบบสมบูรณ์ 2. สงั เกต อธบิ าย การกนิ อาหารของไฮดราและพลานาเรีย 3. อธิบายเก่ียวกบั โครงสร้าง หนา้ ท่ี และกระบวนการยอ่ ยอาหาร และการดดู ซึมสารอาหาร ภายในระบบยอ่ ยอาหารของมนษุ ย์ 4. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างท่ีทาหนา้ ทีแ่ ลกเปล่ียนแกส๊ ของฟองน้า ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดือนดิน แมลง ปลา กบ และนก 5. สงั เกต และอธบิ ายโครงสร้างของปอดในสัตวเ์ ลี้ยงลกู ด้วยนม 6. สบื คน้ ขอ้ มลู อธิบายโครงสร้างท่ีใชใ้ นการแลกเปลย่ี นแก๊สของมนุษย์ 7. อธิบายการทางานของปอด และทดลองวดั ปริมาตรของอากาศในการหายใจออกของมนษุ ย์ 8. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย และเปรยี บเทียบระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดและระบบหมุนเวยี น เลอื ดแบบปดิ 9. สงั เกต และอธิบายทิศทางการไหลของเลือดและการเคลื่อนท่ีของเซลล์เม็ดเลือดในหางปลา และสรปุ ความสมั พนั ธ์ระหว่างขนาดของหลอดเลอื ดกบั ความเรว็ ในการไหลของเลือด
323 10. อธิบายโครงสรา้ งและการทางานของหวั ใจและหลอดเลอื ดในมนุษย์ 11. สงั เกต และอธิบายโครงสรา้ งหัวใจของสัตว์เลี้ยงลกู ด้วยนม ทิศทางการไหลของเลือดผ่าน หวั ใจมนษุ ย์ และเขียนแผนผังสรปุ การหมุนเวยี นเลอื ดของมนุษย์ 12. สืบค้นขอ้ มูล ระบุความแตกต่างของเซลล์เมด็ เลอื ดแดง เซลลเ์ ม็ดเลือดขาว เพลตเลต และพลาสมา 13. อธบิ ายหม่เู ลือดและหลกั การให้และรับเลือดในระบบ ABO และระบบ Rh 14. อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับสว่ นประกอบและหน้าท่ีของนา้ เหลือง รวมท้ังโครงสร้างและ หนา้ ทขี่ องหลอดน้าเหลือง และตอ่ มน้าเหลอื ง 15. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย และเปรยี บเทียบกลไกการต่อต้านหรือทาลายส่งิ แปลกปลอมแบบไม่ จาเพาะและแบบจาเพาะ 16. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บการสรา้ งภูมคิ ุ้มกันก่อเองและภูมิคมุ้ กนั รับมา 17. สบื คน้ ข้อมลู และอธิบายเก่ียวกบั ความผดิ ปกตขิ องระบบภูมิค้มุ กันทท่ี าใหเ้ กดิ เอดส์ ภมู แิ พ้ การสร้างภมู ติ า้ นทานต่อเนื้อเยอ่ื ตนเอง 18. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย และเปรยี บเทยี บ โครงสร้างและหนา้ ที่ในการกาจัดของเสยี ออกจาก รา่ งกายของฟองน้า ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดือนดิน แมลง และสตั ว์มกี ระดกู สันหลัง 19. อธิบายโครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องไต และโครงสร้างทีใ่ ช้ในการลาเลยี งปสั สาวะออกจาก รา่ งกาย 20. อธบิ ายกลไกการทางานของหนว่ ยไต ในการกาจดั ของเสียออกจากรา่ งกาย และเขียน แผนผังสรปุ ขัน้ ตอนการกาจัดของเสยี ออกจากรา่ งกายโดยหนว่ ยไต 21. สบื คน้ ขอ้ มลู อธิบาย และยกตวั อย่างเกีย่ วกบั ความผิดปกตขิ องไตอนั เนื่องมาจากโรคต่าง ๆ รวมท้ังหมด 21 ผลการเรยี นรู้
324 โครงสรา้ งรายวชิ าเพิ่มเติม รหัสวชิ า ว32243 ชีววิทยา 3 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ชวั่ โมง จานวน 1.5 หน่วยกิต หนว่ ย ช่ือหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน 1 ระบบย่อย ข้อ 1-3 • รา มกี ารปล่อยเอนไซมอ์ อกมายอ่ ย 12 20 อาหาร อาหาร นอกเซลล์ สว่ นอะมบี าและพารา มเี ซยี มมีการยอ่ ย อาหารภายในฟดู แวคิว โอลโดยเอนไซม์ในไลโซโซม • ฟองนา้ ไม่มีทางเดินอาหารแตจ่ ะมีเซลล์ พเิ ศษ ทาหน้าทจ่ี บั อาหารเข้าสู่ เซลล์แลว้ยอ่ยภายในเซลล์โดยเอนไซม์ ในไลโซโซม • ไฮดราและพลานาเรยี มีทางเดนิ อาหาร แบบไมส่ มบรู ณจ์ ะกินอาหารและขบั กาก อาหารออกทางเดยี วกนั • ไส้เดอื นดิน แมลง สัตว์ไมม่ ีกระดกูสัน หลังวส่วนใหญ่และสตั ว์มกี ระดกู สันหลัง จะมีทางเดนิ อาหารแบบสมบูรณ์ • การยอ่ ยอาหารของมนุษย์ประกอบดว้ ย การย่อย เชิงกลโดยการบดอาหารให้มี ขนาดเล็กลง และการย่อยทางเคมโี ดย อาศัยเอนไซมใ์ นทางเดนิ อาหาร ทาให้ โมเลกุลของอาหารมีขนาดเล็กจนเซลล์ สามารถดดู ซึมและนาไปใช้ได้ • การยอ่ ยอาหารของมนุษย์เกิดขึ้นที่ช่อง ปาก กระเพาะอาหาร และลาไสเ้ ล็ก • สารอาหารที่ยอ่ ยแลว้ วิตามินบาง ชนิด และ ธาตอาุ หารจะถกูดดูซมึทวี่ ลิลสเั ข์าสหลู่ อดเลอืดฝอย แล้วผ่านตับ กอ่ นเข้าสหู่ ัวใจ สว่ นสารอาหารประเภท ลพิ ดิ และวิตามินทล่ี ะลายในไขมนั จะถูกดดู ซมึ เข้าสหู่ ลอดน้าเหลอื งฝอย • อาหารทไ่ี มถ่ ูกย่อยหรือยอ่ ยไมไ่ ด้จะ เคล่อื นต่อไป ยงั ลาไส้ใหญ่ น้า ธาตอุ าหาร และวิตามนิ บางสว่ น ดูดซึมเข้าสูผ่ นงั ลาไส้
325 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน ใหญท่ ่ีเหลอื เปน็ กากอาหาร จะถกู กาจดั 20 ออกทางทวาร 30 2 ระบบหายใจ ข้อ 4-7 • ไส้เดอื นดินมีการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่าน 12 เซลล์บรเิ วณ ผวิ หนงั ที่เปยี กชน้ื • แมลงมีการแลกเปล่ียนแก๊สโดยผ่านทาง ทอ่ ลม ซง่ึ แตกแขนงเป็นท่อลมฝอย • ปลาเป็นสัตวน์ ้ามกี ารแลกเปลี่ยนแก๊สท่ี ละลายอยูใ่ นนา้ ผ่านเหงือก •สตั วส์ ะเทินนา้ สะเทนิ บกใช้ปอดและ ผวิ หนัง ในการแลกเปลีย่ นแก๊ส • สัตว์เลอื้ ยคลาน สตั ว์ปีก และสตั วเ์ ลี้ยง ลูกดว้ ยนา้ นมอาศยั ปอดในการแลกเปล่ียน แก๊ส • ทางเดนิ หายใจของมนุษยป์ ระกอบด้วย ช่องจมูกโพรงจมกู คอหอย กลอ่ งเสียงทอ่ ลม หลอดลม และถุงลมในปอด • ปอดเป็นบรเิ วณท่ีมีการแลกเปลี่ยนแก๊ส ระหวา่ ง ถุงลมกับหลอดเลือดฝอยและ บริเวณเซลล์ของ เนื้อเยอื่ ต่างๆมกี าร แลกเปลยี่ นแกส๊ โดยการแพร่ผา่ นหลอด เลอื ดฝอยเชน่ กนั • การหายใจเข้าและการหายใจออกเกดิ จากการเปล่ียนแปลงความดนั ของอากาศ ภายในปอดโดยการทางานร่วมกันของ กลา้ มเนอื้ กะบงั ลมและกลา้ มเนอื้ ระหวา่ ง กระดูกซ่ีโครง และควบคุม โดยสมองสว่ น พอนสแ์ ละเมดลั ลาออบลองกาตา 3 ระบบ ขอ้ 8-13 • สิง่ มีชีวิตเซลลเ์ ดยี วและสัตวท์ ีม่ ี 18 หมนุ เวยี น โครงสร้างรา่ งกาย ไม่ซับซ้อนมกี ารลาเลยี ง เลอื ด สารต่างๆ โดยการแพร่ ระหวา่ งเซลลก์ ับ สิง่ แวดลอ้ ม • สัตวท์ ่มี โี ครงสร้างร่างกายซับซ้อนจะมี การลาเลยี ง สารโดยระบบหมุนเวยี นเลอื ด ซง่ึ ประกอบด้วย หัวใจ หลอดเลอื ดและ เลอื ด
326 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ชัว่ โมง) คะแนน • ระบบหมุนเวยี นเลอื ดมี 2 แบบ คอื ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบเปิดและระบบ หมุนเวียนเลือดแบบปิด • ระบบหมนุ เวยี นเลอื ดแบบเปดิ พบในสัตว์ จาพวก หอย แมลง กงุ้ ส่วนระบบ หมนุ เวยี นเลือดแบบปดิ พบในไสเ้ ดือนดิน และสัตวม์ กี ระดกู สันหลัง • ระบบหมนุ เวียนเลอื ดของมนุษย์ ประกอบดว้ ย หวั ใจ หลอดเลือด และ เลอื ด ซง่ึ เลือดไหลเวียน อยู่เฉพาะใน หลอดเลอื ด • หวั ใจมีเอเตรียมทาหน้าทรี่ ับเลอื ดเข้าสู่ หัวใจ และ เวนตรเิ คลิ ทาหนา้ ทส่ี ูบฉีด เลอื ดออกจากหวั ใจ โดยมลี นิ้ กัน้ ระหวา่ งเอ เตรียมกับเวนตรเิ คลิ และ ระหวา่ งเวนตริ เคิลกบั หลอดเลือดทนี่ าเลือดออกจาก หวั ใจ • เลือดออกจากหวั ใจทางหลอดเลือด เอออตาร์ อาร์เตอรี อาร์เตอริโอล หลอด เลือดฝอย เวนลู เวน และเวนาคาวาแล้ว เขา้ สหู่ วั ใจ • ขณะท่หี วั ใจบบี ตวั สูบฉีดเลือดทาให้เกิด ความดนั เลอื ดและชีพจรสภาพการทางาน ของร่างกาย อายุ และเพศของมนุษย์เป็น ปจั จัย ที่มผี ลตอ่ ความดันเลือดและชพี จร • เลือดมนษุ ยป์ ระกอบด้วยเซลล์เมด็ เลือด ชนิดตา่ งๆ เพลตเลตและพลาสมา ซึ่งทา หนา้ ท่แี ตกต่างกัน • หมู่เลือดของมนุษย์จาแนกตามระบบ ABO ไดเ้ ป็นเลือดหมู่ A B AB และ O ซง่ึ เรยี กชื่อตามชนิด ของแอนติเจนท่เี ย่ือหุม้ เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง และ จาแนกตามระบบ Rh ไดเ้ ปน็ เลือดหมู่ Rh+ และRh- การให้ และรับเลอื ดมีหลกั วา่ แอนตเิ จนของ ผ้ใู ห้ ต้องไม่ตรงกบั แอนตบิ อดีของผู้รับ และ
327 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก ที่ การเรยี นรู้ ขอ้ 14-17 (ช่วั โมง) คะแนน การใหแ้ ละรบั เลือดทเี่ หมาะสมท่ีสุดคือ 4 ระบบ ผใู้ ห้และผ้รู ับควรมีเลือดหมูต่ รงกนั 9 15 ภูมคิ มุ้ กัน • ของเหลวทซี่ ึมผา่ นผนังหลอดเลอื ดฝอย ออกมา อยรู่ ะหวา่ งเซลล์ เรยี กวา่ น้าเหลือง ทาหน้าท่ี หล่อเล้ยี งเซลล์และ สามารถแพรเ่ ขา้ สู่ หลอดน้าเหลืองฝอย ซ่งึ ต่อมาหลอดน้าเหลืองฝอย จะรวมกันมี ขนาดใหญ่ขน้ึ และเปดิ เข้าสู่ระบบ หมนุ เวียนเลือดท่ีหลอดเลอื ดเวนใกลห้ ัวใจ • ระบบน้าเหลืองประกอบด้วย น้าเหลือง หลอดน้าเหลอื ง และตอ่ มนา้ เหลือง โดย ทาหน้าท่ี นานา้ เหลอื งกลับเข้าสรู่ ะบบ หมุนเวยี นเลือด ต่อมน้าเหลืองเป็นที่อยู่ ของเซลลเ์ ม็ดเลือดขาว ทาหน้าทที่ าลาย ส่งิ แปลกปลอมทล่ี าเลียงมากับ นา้ เหลอื ง • กลไกที่ร่างกายต่อตา้ นหรือทาลายสิ่ง แปลกปลอม มอี ยู่ 2 แบบ คือ แบบ จาเพาะและแบบไมจ่ าเพาะ • ตอ่ มไขมนั ต่อมเหงื่อ ทผี่ ิวหนงั ชว่ ย ปอ้ งกันและ ยับยงั้ การเจรญิ ของจลุ นิ ทรยี ์ บางชนดิ และเมื่อ เช้อื โรคหรอื ส่งิ แปลกปลอมเขา้ สรู่ า่ งกาย เซลล์ เม็ดเลือด ขาวชนดิ นิวโทรฟิลและโมโนไซต์ จะมีการตอ่ ตา้ นและทาลายสงิ่ แปลกปลอม โดยกระบวนการฟาโกไซโทซิส สว่ นอโี อซิ โนฟลิ เกยี่ วข้องกับการทาลายปรสิต เบ โซฟิลเกีย่ วขอ้ ง กับปฏิกิริยาการแพ้ซ่ึงเป็น การตอ่ ต้านหรอื ทาลายสงิ่ แปลกปลอม แบบไม่จาเพาะ • การต่อตา้ นหรือทาลายส่ิงแปลกปลอม แบบ จาเพาะจะเกีย่ วขอ้ งกับการทางาน ของลิมโฟไซต์ ชนิดเซลลบ์ ีและเซลล์ที • อวัยวะที่เก่ียวข้องกบั การสร้างและ ตอบสนอง ของลมโิ ฟไซต์ ประกอบด้วย ตอ่ มน์าเหลือง ทอนซลิ มา้ ม ไทมสั และ
328 หนว่ ย ช่ือหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก ที่ การเรยี นรู้ ข้อ 18-21 (ชั่วโมง) คะแนน เนอื้ เยอื่ น้าเหลืองท่ผี นงั ลาไส้เลก็ 5 ระบบ • การสรา้ งภมู ิคุม้ กนั แบบจาเพาะของ 9 15 ขับถ่าย ร่างกาย มี 2 แบบ คอื ภมู ิคุม้ กันก่อเอง และภูมคิ มุ้ กันรับมา • การไดร้ ับวคั ซีนหรือทอกซอยด์เปน็ ตัวอย่างของ ภูมคิ ุ้มกันก่อเอง โดยการ กระต้นุ ให้ร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกนั ขน้ึ ด้วย วิธกี ารใหส้ ารทเ่ี ป็นแอนติเจน เข้าสู่ ร่างกาย สว่ นภูมคิ ้มุ กันรบั มาเปน็ การรับ แอนติบอดีโดยตรง เชน่ การได้รบั ซีรัม การได้รบั น้านมแม่ •เอดส์ ภูมแิ พ้ และการสร้างภูมิ ต้านทานต่อเนื้อเย่ือ ตนเอง เป็นตัวอยา่ ง ของอาการทเ่ี กิดจากระบบ ภมู ิคมุ้ กันของ รา่ งกายท่ีทางานผดิ ปกติ • อะมีบา และพารามเี ซียมเป็นสงิ่ มีชีวิต เซลลเ์ ดยี ว ท่ีมคี อนแทรกไทล์แวคิวโอลทา หน้าท่ใี นการกาจัด และรักษาดลุ ยภาพ ของนา้ และแร่ธาตใุ นเซลล์ • ฟองน้าและไฮดรามเี ซลลส์ ่วนใหญส่ มั ผสั กบั น้า โดยตรง ของเสียจึงถกู กาจดั ออก โดยการแพร่สู่ สภาพแวดลอ้ ม • พลานาเรยี ใช้เฟลมเซลล์ซ่ึงกระจายอยู่ 2 ข้าง ตลอดความยาวของลาตัวทาหน้าท่ี ขับถา่ ยของเสีย • ไสเ้ ดอื นดินใช้เนฟริเดียม แมลงใช้มัลพิ เกียนทวิ บลู และสตั ว์มีกระดูกสนั หลงั ใชไ้ ต ในการขับถ่ายของเสีย • ไตเปน็ อวยั วะท่ีทาหน้าทเ่ี กยี่ วกับการ ขบั ถ่าย และรักษาดลุ ยภาพของน้าและแร่ ธาตใุ นรา่ งกาย • ไตประกอบด้วยบริเวณส่วนนอก ที่ เรยี กว่า คอร์เท็กซ์ และบรเิ วณส่วนใน ท่ี เรยี กว่า เมดัลลา และบริเวณสว่ นปลาย ของเมดลั ลาจะยนื่ เขา้ ไป จรดกบั สว่ นท่ี
329 หน่วย ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน เป็นโพรงเรียกว่า กรวยไต โดยกรวยไตจะ ตอ่ กับทอ่ ไตซ่งึ ทาหน้าท่ีลาเลียง ปัสสาวะ ไปเกบ็ ไว้ทีก่ ระเพาะปสั สาวะเพ่อื ขับถา่ ย ออกนอกร่างกาย • ไตแตล่ ะข้างของมนุษยป์ ระกอบดว้ ย 60 100 หน่วยไตลกั ษณะเป็นท่อ ปลายข้างหนง่ึ เป็นรูปถ้วย เรียกวา่ โบว์แมนส์แคปซลู ลอ้ มรอบกล่มุ หลอดเลือดฝอย ที่เรียกวา่ โกลเมอรูลสั • กลไกในการกาจัดของเสียออกจาก ร่างกาย ประกอบด้วยการกรอง การดดู กลับ และการหล่ังสารทีเ่ กินความต้องการ ออกจากร่างกาย • โรคน่ิวและโรคไตวายเป็นตัวอย่างของ โรคทเ่ี กดิ จาก ความผิดปกติของไต ซ่ึง ส่งผลกระทบตอ่การรักษา ดลุ ยภาพของ สารในรา่ งกาย • นอกจากไตที่ทาหนา้ รกั ษาดุลยภาพของ นา้ แร่ธาตุ และกรด-เบส ผวิ หนัง และ ระบบหายใจ ยงั มสี ว่ น ชว่ ยในการรักษา ดุลยภาพเหลา่ นี้ดว้ ย รวม
330 คาอธบิ ายรายวชิ าเพิ่มเตมิ รหัสวชิ า ว33204 ไฟฟ้า - แมเ่ หลก็ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 80 ชั่วโมง จานวน 2.0 หน่วยกติ ศกึ ษาหลักการของไฟฟาและแมเหล็กในเรื่อง กฎของคลู อมบ สนามไฟฟา ศักยไฟฟา ความจแุ ละตัวเก็บประจุ กฎของโอหม สภาพตานทานและสภาพนาไฟฟา การวิเคราะหวงจรไฟฟา กระแสตรงอยางงายการหาพลังงานไฟฟาทีใ่ ชในเครื่องใชไฟฟา สนามแมเหล็ก ความสมั พนั ธระหวาง แมเหล็กและไฟฟาหลักการของมอเตอร กฎการเหนย่ี วนาแมเหล็กไฟฟาของฟาราเดยและกฎของเลนซ หลกั การของเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา ไฟฟากระแสสลบั การแปลงไฟฟ้ากระแสสลบั เปนไฟฟากระแสตรง แนวคิดทฤษฎีแมเหลก็ ไฟฟาของแมกซเวลล คลน่ื แมเหล็กไฟฟาและสเปกตรมั คลนื่ แมเหล็กไฟฟา โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การคานวณการสังเกต การสืบคน้ ขอ้ มูลและอภปิ ราย สรุปและนาไปใช้ประโยชน์ เพ่อื ให้เกิดความรู้ ความคดิ ความเข้าใจ สอื่ สารส่ิงท่ีเรยี นรู้ มคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจ ตระหนกั ในคณุ ค่าของการนาความรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีและเขา้ ใจวา่ วทิ ยาศาสตร์เทคโนโลยสี ังคม และสงิ่ แวดล้อมเกีย่ วข้องสัมพันธ์กัน มีจติ วทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมทเ่ี หมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. ทดลอง และอธบิ ายการทาวตั ถทุ ่ีเป็นกลางทางไฟฟา้ ใหม้ ีประจไุ ฟฟ้าโดยการขดั สีกัน และการเหนยี่ วนาไฟฟา้ สถิต 2. อธิบาย และคานวณแรงไฟฟา้ ตามกฎของคูลอมบ์ 3. อธิบาย และคานวณสนามไฟฟ้าและแรงไฟฟ้าที่กระทากับอนภุ าคที่มปี ระจุไฟฟา้ ท่ีอยูใ่ น สนามไฟฟ้า รวมท้งั หาสนามไฟฟ้าลัพธ์เนือ่ งจากระบบจุดประจุโดยรวมกันแบบเวกเตอร์ 4. อธิบาย และคานวณพลงั งานศกั ย์ไฟฟา้ ศกั ย์ไฟฟ้าและความตา่ งศักย์ระหว่างสองตาแหนง่ ใด ๆ 5. อธิบายสว่ นประกอบของตัวเกบ็ ประจุความสัมพันธร์ ะหว่างประจุไฟฟา้ ความตา่ งศกั ย์ และ ความจุของตวั เกบ็ ประจุ และอธบิ ายพลงั งานสะสมในตวั เก็บประจุ และความจุสมมูล รวมท้ังคานวณ ปรมิ าณต่าง ๆ ที่เกีย่ วข้อง 6. นาความรเู้ รอ่ื งไฟฟา้ สถติ ไปอธิบายหลักการทางานของเครือ่ งใช้ไฟฟา้ บางชนดิ และ ปรากฏการณ์ในชีวติ ประจาวนั 7. อธบิ ายการเคลื่อนทีข่ องอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระและกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นา ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนากับความเรว็ ลอยเลอ่ื นของอเิ ล็กตรอนอสิ ระ ความหนาแน่นของอิเล็กตรอน ในลวดตัวนาและพื้นที่หน้าตัดของลวดตวั นา และคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวข้อง 8. ทดลอง และอธิบายกฎของโอห์ม อธิบายความสมั พนั ธ์ระหว่างความต้านทานกบั ความยาว พน้ื ที่หน้าตัด และสภาพตา้ นทานของตัวนาโลหะท่ีอณุ หภูมิคงตัว และคานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กี่ยวข้อง รวมท้ังอธิบายและคานวณความต้านทานสมมูล เมื่อนาตวั ต้านทานมาต่อกนั แบบอนกุ รม และแบบขนาน 9. ทดลอง อธบิ าย และคานวณอีเอ็มเอฟของแหลง่ กาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง รวมทัง้ อธิบายและ คานวณพลังงานไฟฟา้ และกาลงั ไฟฟ้า
331 10. ทดลอง และคานวณอเี อ็มเอฟสมมลู จากการต่อแบตเตอรีแ่ บบอนุกรม และแบบขนานรวมทัง้ คานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ งในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงซง่ึ ประกอบด้วยแบตเตอรแ่ี ละ ตัวต้านทาน 11. อธบิ ายการเปลย่ี นพลงั งานทดแทนเปน็ พลงั งานไฟฟา้ รวมทงั้ สืบค้นและอภิปรายเกยี่ วกับ เทคโนโลยที ีน่ ามาแกป้ ญั หาหรือตอบสนองความตอ้ งการทางดา้ นพลงั งานไฟฟา้ โดยเน้นดา้ นประสิทธภิ าพ และความคุ้มค่าด้านคา่ ใชจ้ ่าย 12. สังเกต และอธบิ ายเสน้ สนามแมเ่ หลก็ อธิบายและคานวณฟลักซแ์ ม่เหลก็ ในบริเวณที่กาหนด รวมทั้งสังเกต และอธิบายสนามแม่เหลก็ ทีเ่ กิดจากกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นาเส้นตรงและโซเลนอยด์ 13. อธบิ าย และคานวณแรงแมเ่ หล็กท่ีกระทาตอ่ อนภุ าคท่ีมีประจุไฟฟา้ เคลอ่ื นทีใ่ นสนามแม่เหลก็ แรงแมเ่ หล็กทกี่ ระทาต่อเสน้ ลวดท่ีมกี ระแสไฟฟา้ ผ่านและวางในสนามแม่เหลก็ รศั มีความโค้ง ของการเคล่ือนทีเ่ มื่อประจุเคลือ่ นทตี่ ั้งฉากกับสนามแม่เหล็ก รวมท้งั อธิบายแรงระหว่างเสน้ ลวด ตัวนาค่ขู นานท่ีมีกระแสไฟฟ้าผา่ น 14. อธบิ ายหลักการทางานของแกลแวนอมเิ ตอร์ และมอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสตรง รวมทัง้ คานวณ ปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง 15. สงั เกต และอธิบายการเกิดอเี อ็มเอฟเหนยี่ วนากฎการเหนีย่ วนาของฟาราเดย์ และคานวณ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง รวมทงั้ นาความรู้เรือ่ งอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนาไปอธบิ ายการทางานของครอ่ื งใช้ไฟฟา้ 16. อธิบาย และคานวณความตา่ งศักยอ์ าร์เอ็มเอส และกระแสไฟฟ้าอารเ์ อม็ เอส 17. อธิบายหลกั การทางานและประโยชนข์ องเครื่องกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั 3 เฟส การแปลง อเี อ็มเอฟของหม้อแปลง และคานวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 18. อธบิ ายการเกดิ และลักษณะเฉพาะของ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แสงไมโ่ พลาไรสแ์ สงโพลาไรสเ์ ชงิ เสน้ และแผ่นโพลารอยด์รวมทั้งอธบิ ายการนาคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ในชว่ งความถีต่ า่ ง ๆ ไปประยกุ ต์ใช้ และหลกั การทางานของอปุ กรณ์ทเี่ กีย่ วข้อง 19. สบื คน้ และอธิบายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ และเปรยี บเทยี บการสื่อสารด้วยสัญญาณแอนะลอ็ กกับสัญญาณดจิ ทิ ลั รวมทั้งหมด 19 ตวั ช้วี ัด
332 โครงสรา้ งรายวชิ าเพ่ิมเติม รหัสวชิ า ว33204 ไฟฟ้า - แม่เหลก็ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 80 ชั่วโมง จานวน 2.0 หนว่ ยกิต หนว่ ย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน 1 ไฟฟา้ สถติ ขอ้ 1 - 6 วัตถุที่มีประจุไฟฟา้ ไปใกล้ตวั นา 12 16 ไฟฟา้ จะทาให้เกิดประจชุ นิดตรงขา้ มบน ตัวนาทางดา้ น ทใี่ กล้วัตถุและประจุชนิด เดียวกนั ดา้ นทีไ่ กลวตั ถุเรียกวิธีการน้ีว่า การเหนีย่ วนาไฟฟ้าสถิต จุดประจไุ ฟฟา้ มีแรงกระทาซ่งึ กันและ กันโดยมี ทิศอยู่ในแนวเสน้ ตรงระหวา่ งจุด ประจุทั้งสองและมขี นาดของแรงระหว่าง จุดประจุแปรผนั ตรงกับผลคูณของขนาด ของประจุทงั้ สอง และแปรผกผนั กับกาลัง สองของระยะห่างระหว่างจดุ ประจุ ซง่ึ เป็นไปตามกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟา้ ลัพธเ์ น่ืองจากจดุ ประจุ หลายจุดประจุ เท่ากับผลรวมแบบ เวกเตอรข์ องสนามไฟฟ้า เน่ืองจากจดุ ประจแุ ตล่ ะจดุ ประจุ พลงั งานศักย์ไฟฟา้ ทต่ี าแหนง่ ใด ๆ ตอ่ หนง่ึ หน่วยประจุเรยี กวา่ ศักย์ไฟฟา้ ท่ี ตาแหนง่ นัน้ โดยศกั ย์ไฟฟ้าทีต่ าแหนง่ ซ่ึง อยหู่ า่ งจากจดุ ประจแุ ปรตรงกับขนาดของ ประจุ และแปรผกผันกับระยะทาง จาก จุดประจถุ งึ ตาแหน่งนั้น ศักย์ไฟฟา้ รวมเน่อื งจากจุดประจุ หลายจดุ ประจุ คือผลรวมของศกั ย์ไฟฟ้า เนอ่ื งจากจดุ ประจแุ ตล่ ะจดุ ประจุ ตวั เก็บประจุประกอบดว้ ยตัวนาไฟฟา้ สองช้ินท่ีคนั่ ดว้ ยฉนวน โดยปริมาณประจุ ท่เี กบ็ ได้ขึ้นอยู่กบั ความต่างศักย์คร่อมตวั เก็บประจุ และความจุของตัวเก็บประจุ เมือ่ นาตวั เก็บประจมุ าต่อแบบอนกุ รม ความจุ สมมลู มคี ่าลดลง และเม่ือนาตวั
333 เกบ็ ประจมุ าตอ่ แบบขนานความจุ สมมูล มีค่าเพิม่ ขึ้น ไฟฟา้ สถิตสามารถนาไปอธบิ าย การ ทางานของเคร่ืองใช้ไฟฟา้ บางชนดิ อธิบายปรากฏการณใ์ นชวี ิตประจาวนั ได้ เช่น ฟ้าผ่า ประกายไฟจากการเสยี ดสีกนั ของวัตถุ ซ่ึงชว่ ยให้ สามารถป้องกนั อนั ตรายที่อาจเกิดข้ึน 2 ไฟฟ้ากระแส ข้อ 7 - 11 เม่ือต่อลวดตวั นากับแหลง่ กาเนิดไฟฟา้ 28 34 อเิ ล็กตรอนอิสระท่ีอยู่ในลวดตัวนาจะ เคล่ือนทใ่ี นทิศตรงข้ามกับสนามไฟฟ้า ทาให้เกิดกระแสไฟฟา้ ซ่ึงทศิ ของกระแส ไฟฟา้ มีทศิ ทางเดยี วกบั สนาม ไฟฟา้ หรอื มี ทศิ ทางจากจุดท่ีมศี ักยไ์ ฟฟ้าสูงไปยัง จุดที่ มศี กั ย์ไฟฟา้ ตา่ กวา่ กระแสไฟฟา้ ในตัวนาไฟฟ้ามีความ สัมพันธ์กับความเร็วลอยเล่อื นของ อิเล็กตรอนอิสระความหนาแน่นของ อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระในตัวนาและพ้นื ที่ หน้าตัดของตัวนา เมือ่ อณุ หภูมิคงตวั กระแสไฟฟ้าใน ตวั นาโลหะ ความต่างศักยท์ ปี่ ลายท้ังสอง และความต้านทานของตวั นานั้นมีความ สมั พันธ์กันตามกฎของโอห์ม พลงั งานไฟฟ้าท่ปี ระจไุ ฟฟ้าไดร้ ับต่อ หน่ึงหนว่ ยประจุไฟฟา้ เมื่อเคลอ่ื นที่ผา่ น แหล่งกาเนิดไฟฟ้าเรียกวา่ อเี อ็มเอฟ พลังงานไฟฟ้าท่ีถกู ใช้ไปในเครื่องใช้ไฟฟ้า ในหนึ่งหน่วยเวลาเรยี กวา่ กาลงั ไฟฟา้ เมื่อนาแบตเตอร่ีมาต่อแบบอนกุ รม อีเอ็มเอฟ สมมูลและความต้านทานภาย ในสมมูลมคี ่าเพิ่มขนึ้ และเมื่อตอ่ มาต่อ แบบขนาน อเี อ็มเอฟสมมูลมีคา่ คงเดิม และความต้านทาน ภายในสมมูลมีค่า ลดลง
334 การนาพลงั งานทดแทนมาใช้เป็นการ แกป้ ัญหา หรอื ตอบสนองความตอ้ งการ ด้านพลังงาน เทคโนโลยตี ่าง ๆ ที่นามา แกป้ ญั หา หรือตอบสนองความต้องการ ทางด้านพลังงานเป็นการนาความรู้ ทักษะ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรม์ า สรา้ งอปุ กรณ์หรือผลิตภัณฑต์ ่าง ๆ 3 แมเ่ หล็กไฟฟา้ ข้อ 12 - 15 เส้นสนามแมเ่ หล็กเป็นเส้นสมมตทิ ใ่ี ช้ 20 20 แสดงบริเวณทม่ี ีสนามแม่เหล็ก โดย บรเิ วณท่ีมสี นามหนาแน่นมากแสดงว่า เป็นบริเวณท่สี นามแมเ่ หล็กมีความเขม้ มาก และฟลักซ์แมเ่ หลก็ คือ จานวนเสน้ สนามแม่เหล็กที่ทีพ่ ิจิารณาและอัตราส่วน ระหว่างฟลกั ซ์แมเ่ หล็กต่อพน้ื ท่ีตง้ั ฉากกบั สนามแม่เหลก็ ลวดตวั นาทีม่ กี ระแสไฟฟ้าผ่านและ อยูใ่ นสนามแมเ่ หลก็ จะเกิดแรงกระทา ตอ่ ลวดตวั นานั้น โดยทศิ ทางของแรงหา ได้จากกฎมือขวา เมอ่ื วางเส้นลวดสอง เสน้ ขนานกันและมกี ระแส ไฟฟา้ ผา่ นทงั้ สองเส้นจะเกดิ แรงกระทาระหว่าง ลวด ตัวนาทงั้ สอง การทางานของแก แวนอมิเตอรแ์ ละ มอเตอร์ ไฟฟา้ กระแสตรง โดยโมเมนต์ ของแรงคคู่ วบ เมื่อมีกระแสไฟฟา้ ผ่าน ขดลวดตัวนาที่อยใู่ น สนามแมเ่ หล็กจะมี โมเมนตข์ องแรงค่คู วบกระทาตอ่ ขดลวด ทาใหข้ ดลวดหมุน ทิศทางของกระแสไฟฟา้ เหน่ียวนาหา ได้โดยใช้กฎของเลนซ์ ความรเู้ กีย่ วกับ อเี อ็มเอฟเหนยี่ วนา ไปใชอ้ ธิบายการ ทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟ้าและการ ทางานของเคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ต่าง ๆ
4 ไฟฟา้ ข้อ 16 - 17 การวดั ความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟา้ 10 335 กระแสสลับ สลับใช้ค่ายงั ผลหรอื ค่ามิเตอร์ ซึ่งเปน็ 10 10 ค่าเฉล่ยี แบบรากท่ีสองของกาลังสองเฉลย่ี 10 5 คล่ืน 80 แมเ่ หล็กไฟฟา้ ไฟฟา้ กระแสสลับที่ส่งไปตามบา้ นเรือน 100 เป็นไฟฟ้ากระแสสลับทตี่ ้องเพิ่มอีเอ็มเอฟ จากโรงไฟฟ้าแล้วลดอีเอม็ เอฟให้มคี า่ ท่ี ตอ้ งการโดยใช้หมอ้ แปลงซง่ึ ประกอบด้วย ขดลวดปฐมภูมแิ ละขดลวดทตุ ยิ ภูมิ ข้อ 18 - 19 แสงเป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ชนิดหนึ่ง โดยแสงในชีวิตประจาวันเป็นแสงไมโ่ พลา ไรส์เมือ่ แสงนน้ั ผา่ นแผน่ โพลารอยด์ สนามไฟฟา้ จะมีทิศทางอยู่ ในระนาบ เดยี วเรียกวา่ แสงโพลาไรสเ์ ชงิ เสน้ สมบตั ิ ของแสงลักษณะนีเ้ รียกว่า โพลาไรเซชนั การสอื่ สารเพื่อสง่ ผา่ นสารสนเทศจาก ทีห่ นึ่ง ไปอีกทห่ี น่ึงทาได้โดยอาศัยคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ สารสนเทศจะถกู แปลงให้ อย่ใู นรูปสญั ญาณ สาหรบั สง่ ไปยงั ปลาย ทางซ่งึ จะมีการแปลงสัญญาณกลับมาเปน็ สารสนเทศทเี่ หมือนเดมิ รวม
336 คาอธิบายรายวชิ าเพิ่มเติม รหัสวชิ า ว33205 ฟสิ กิ ส์อะตอม ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 80 ช่วั โมง จานวน 2.0 หนว่ ยกติ ศึกษาหลักการของสสารและฟสิกสแผนใหม่ในเรื่อง ความร้อน การเปลยี่ นสถานะของสาร การถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ นตามกฎการอนรุ ักษ์พลังงาน สภาพยดื หยุ่น ความเค้น ความเครียด และมอดลุ ัสของยัง ความดนั ในของไหลและกฎพาสคลั แรงพยุงและหลักอารคมิ ดี ีส ความตึงผิว การเคลอื่ นที่ในของไหล และหลกั แบร์นูลลี แก๊สอดุ มคติ ทฤษฎจี ลนข์ องแก๊ส กฎของแก๊สและพลังงาน ภายในระบบของแกส แนวคดิ เก่ียวกับแบบจาลองอะตอม สมมตฐิ านของพลังค์ ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ การเกิดเสน้ สเปกตรัมของอะตอมไฮโดรเจน การคนพบอเิ ล็กตรอน ปรากฏการณโฟโตอิเลก็ ทริก ทวิภาวะของคล่นื และอนภุ าค กมั มนั ตภาพรังสี การสลายกัมมันตรงั สี ปฏกิ ิรยิ านวิ เคลียร พลงั งาน นิวเคลียร รงั สใี นธรรมชาติ การปองกนั อนั ตรายและการใชประโยชนจากกัมมันตภาพรังสี และพลังงานนิว เคลยี ร โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสารวจตรวจสอบ การคานวณ การสงั เกต การสืบค้นขอ้ มูลและอภิปราย สรุปและนาไปใช้ประโยชน์ เพอื่ ให้สามารถสื่อสารสง่ิ ทีเ่ รยี นรู มีความสามารถในการตัดสนิ ใจ เห็นคุณค่าของการนา ความรูไปใชประโยชนในชวี ติ ประจาวนั มจี ิตวทิ ยาศาสตร จรยิ ธรรม คณุ ธรรมและคานิยมทเี่ หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. อธบิ ายและคานวณความร้อนทท่ี าให้สสารเปลย่ี นอณุ หภูมิ ความรอ้ นทท่ี าให้สสารเปลี่ยน สถานะและความร้อนท่ีเกดิ จากการถ่ายโอนตามกฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน 2. อธบิ ายสภาพยืดหยุ่นและลักษณะการยืดและหดตัวของวัสดุทเ่ี ป็นแทง่ เมอ่ื ถูกกระทาดว้ ยแรง คา่ ตา่ ง ๆ รวมทง้ั ทดลอง อธิบายและคานวณความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว และมอดลุ ัสของยัง และนาความรู้เร่ืองสภาพยดื หยุน่ ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน 3. อธิบายและคานวณความดันเกจ ความดันสมั บูรณ์ และความดนั บรรยากาศ รวมทั้งอธิบาย หลักการทางานของแมนอมิเตอร์ บารอมเิ ตอร์ และเครื่องอัดไฮดรอลกิ 4. ทดลอง อธบิ ายและคานวณขนาดแรงพยงุ จากของไหล 5. ทดลอง อธิบายและคานวณความตึงผวิ ของของเหลว รวมทงั้ สังเกตและอธบิ ายแรงหนืดของ ของเหลว 6. อธบิ ายสมบตั ิของของไหลอดุ มคติ สมการความต่อเน่ือง และสมการแบรน์ ูลลี รวมท้งั คานวณ ปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง และนาความรเู้ กี่ยวกบั สมการความต่อเนื่องและสมการแบร์นูลลีไปอธิบาย หลักการทางานของอุปกรณต์ ่าง ๆ 7. อธิบายกฎของแกส๊ อุดมคติและคานวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง 8. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอดุ มคติ ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส และอตั ราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุล ของแกส๊ รวมท้ังคานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 9. อธบิ ายและคานวณงานทที่ าโดยแกส๊ ในภาชนะปดิ โดยความดนั คงตวั และอธิบายความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งความร้อน พลังงานภายในระบบ และงาน รวมทงั้ คานวณปริมาณตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้องและนาความรู้ เร่อื งพลังงานภายในระบบไปอธบิ ายหลกั การทางานของเครอ่ื งใช้ในชีวติ ประจาวัน
337 10. อธิบายสมมติฐานของพลังค์ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ และการเกิดเส้นสเปกตรัมของอะตอม ไฮโดรเจน รวมท้งั คานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกย่ี วข้อง 11. อธบิ ายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและคานวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโต อเิ ล็กตรอน และฟังกช์ นั งานของโลหะ 12. อธบิ ายทวภิ าวะของคลน่ื และอนภุ าครวมทง้ั อธบิ ายและคานวณความยาวคลนื่ เดอบรอยล์ 13. อธิบายกัมมันตภาพรงั สีและความแตกตา่ งของรังสแี อลฟา บีตาและแกมมา 14. อธบิ ายและคานวณ กมั มันตภาพของนิวเคลยี ส กมั มันตรงั สี รวมท้ังทดลอง อธบิ าย และ คานวณจานวนนิวเคลยี สกัมมันตภาพรงั สีทเ่ี หลือจากการสลาย และครึง่ ชีวติ 15. อธบิ ายแรงนิวเคลยี ร์ เสถียรภาพของนวิ เคลียส และพลังงานยดึ เหนย่ี ว รวมทง้ั คานวณ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เกีย่ วข้อง 16. อธบิ ายปฏกิ ริ ิยานิวเคลยี ร์ ฟิชชัน และฟวิ ชัน รวมทัง้ คานวณพลงั งานนวิ เคลียร์ 17. อธิบายประโยชน์ของพลังงานนวิ เคลยี ร์ และรังสี รวมทั้ง อนั ตรายและการป้องกันรังสีในด้าน ต่าง ๆ 18. อธบิ ายการคน้ ควา้ วจิ ยั ด้านฟสิ กิ ส์อนภุ าคแบบจาลองมาตรฐาน และการใชป้ ระโยชน์จากการ ค้นควา้ วจิ ัยดา้ นฟิสกิ ส์อนุภาคในดา้ นต่าง ๆ รวมทั้งหมด 18 ผลการเรียนรู้
338 โครงสร้างรายวิชาเพม่ิ เติม รหัสวชิ า ว33205 ฟิสกิ ส์อะตอม ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 80 ชวั่ โมง จานวน 2.0 หนว่ ยกติ หนว่ ย ช่ือหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน 1 สมบตั ิเชงิ กลของ ขอ้ 1 - 9 สสารไดร้ ับหรือคายความร้อน สสารอาจ 40 50 สาร มีอณุ หภมู เิ ปลยี่ นไป และสสารอาจเปล่ียน สถานะ โดยไมเ่ ปล่ยี นอณุ หภูมซิ ่งึ ปรมิ าณ ความร้อน ที่ทาใหส้ สารเปลี่ยนอณุ หภมู ิ สว่ นปริมาณของพลังงานความรอ้ นที่ทาให้ สสาร เปลีย่ นสถานะคานวณไดจ้ ากสมการ Q = mL สมบัตทิ ีว่ ัสดุเปล่ยี นรูปและกลับสู่รูปเดมิ เมือ่ หยุดออกแรงกระทาเรียกว่าสภาพ ยืดหยุ่น ถา้ ยงั ออกแรงต่อไปวัสดุจะขาดหรือ เสยี รปู อยา่ งถาวร วตั ถมุ ีการเปล่ียนแปลงความยาว ถา้ ออกแรงกระทาต่อเส้นลวดไม่เกินขีด จากดั การแปรผนั ตรงความยาวท่ีเพ่ิมขึน้ ของเส้นลวด แปรผันตรงกบั ขนาดของแรง ดงึ ทาให้ ความเครยี ดตามยาวทีเ่ กิดข้ึนแปร ผันตรงกบั ความดันทเ่ี คร่อื งมือวัดได้เรยี กวา่ ความดันเกจ คานวณได้จากสมการส่วน ผลรวมของความดนั บรรยากาศและความดัน เกจ เรียกวา่ ความดันสัมบรู ณ์ เมอื่ เพ่มิ ความดัน ณ ตาแหน่งใด ๆ ใน ของเหลวท่ีอยู่นง่ิ ในภาชนะปิดความดนั ที่ เพิ่มขน้ึ จะส่งผ่านไปทกุ ๆ จดุ ในของเหลว นน้ั เรียกวา่ กฎพาสคัล กฎน้ีนาไปใช้ อธบิ ายการทางานของเครอื่ งอดั ไฮดรอลกิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421