39 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ 17. อธิบายความสาคัญของ แกนกลาง ทอ้ งถิ่น กระบวนการ(P) (A) เทคโนโลยี การเพาะเล้ยี ง เน้ือเยือ่ พืชในการใช้ มาก แต่อาจมีลักษณะท่แี ตกตา่ ง ไปจากพ่อ ประโยชน์ ด้านต่างๆ 18. ตระหนักถึงประโยชนข์ อง แม่ สว่ นการตอนกิ่ง การปกั ชา การตอ่ กงิ่ การขยายพนั ธ์ุ พืช โดยการนา ความรู้ไปใช้ในชวี ิตประจาวนั การตดิ ตาการทาบกงิ่ การเพาะเล้ียง เน้ือเย่อื เป็นการนาความร้เู รอื่ งการ สืบพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศ ของพชื มาใชใ้ น การขยายพันธ์ุ เพอ่ื ให้ได้พืชท่ีมี ลักษณะ เหมอื นต้นเดมิ ซึ่งการขยายพนั ธแุ์ ต่ละวธิ ี มีขัน้ ตอนแตกตา่ งกัน จึงควรเลือกให้ เหมาะสมกับ ความตอ้ งการของมนุษย์ โดย ต้องคานงึ ถงึ ชนิดของพชื และลักษณะการ สืบพนั ธุ์ของพชื -เทคโนโลยกี ารเพาะเลีย้ งเนอ้ื เยือ่ พืช เป็น การนาความรเู้ ก่ียวกบั ปัจจัยท่ีจาเปน็ ต่อการ เจริญเติบโตของ พชื มาใช้ในการเพิม่ จานวน พืชและทาให้พืชสามารถเจรญิ เติบโตได้ใน หลอดทดลอง ซึง่ จะได้พชื จานวน มากใน ระยะเวลาส้ัน และสามารถนาเทคโนโลยี การ เพาะเลย้ี งเนอ้ื เย่ือมาประยุกตเ์ พื่อการ อนรุ ักษ์ พนั ธุกรรมพืช ปรบั ปรุงพนั ธพุ์ ืชทม่ี ี ความสาคญั ทางเศรษฐกิจ การผลติ ยาและ สาระสาคญั ในพชื และอืน่ ๆ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์ กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบัติ
40 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ ของสสารกบั โครงสรา้ งและ แกนกลาง ท้องถิน่ กระบวนการ(P) (A) แรงยึดเหนีย่ วระหว่าง อนภุ าค หลกั และธรรมชาติ -ธาตุแตล่ ะชนิดมสี มบตั ิเฉพาะตวั และมี - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ ของการเปลยี่ นแปลง สมบตั ทิ างกายภาพบางประการเหมอื นกัน เสาะหาความรู้ - มุ่งมัน่ ใน สถานะของสสาร การเกดิ และบางประการตา่ งกัน ซึ่งสามารถนามาจัด แก้ปัญหาเป็น การทางาน สารละลาย และการ กลมุ่ ธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ธาตุ ระบบ โดยใช้ เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี โลหะมีจุดเดอื ด จุดหลอมเหลวสูง มีผวิ มนั ขอ้ มูลท่ี ตัวชวี้ ัด วาว นาความรอ้ นนาไฟฟา้ ดึงเป็นเส้น หรือ ตรวจสอบได้ 1. อธบิ ายสมบตั ถิ ามกายภาพ ตี เป็นแผ่นบางๆ ได้ และมี บางประการของ ธาตุโลหะ ความหนาแนน่ ท้ังสงู และต่า ธาตุอโลหะ มี อโลหะ และกงึ่ โลหะ โดยใช้ จุดเดือด จดุ หลอมเหลวตา่ มผี ิวไมม่ ัน วาว หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ท่ีไดจ้ าก ไมน่ าความรอ้ น ไม่นาไฟฟ้าเปราะแตกหัก การสังเกตและการทดสอบ และ งา่ ยและมคี วามหนาแน่นต่า ธาตุกง่ึ โลหะมี ใชส้ ารสนเทศทีไ่ ด้จาก สมบัตบิ างประการเหมือนโลหะ และสมบัติ แหลง่ ข้อมูลตา่ งๆ รวมท้ังจดั บางประการเหมือนอโลหะ กลมุ่ ธาตเุ ป็นโลหะ อโลหะ และ กง่ึ โลหะ 2. วเิ คราะห์ผลจากการใชธ้ าตุ -ธาตโุ ลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ ท่ีสามารถ - ค้นคว้า สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ โลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ และธาตุ แผร่ ังสไี ด้ จดั เป็นธาตุกัมมนั ตรงั สี เสาะหาความรู้ - มงุ่ มัน่ ใน กมั มันตรังสี ทม่ี ตี อ่ สง่ิ มีชีวิต -ธาตมุ ที ้ังประโยชนแ์ ละโทษ การใช้ธาตุ แกป้ ัญหาเปน็ การทางาน ส่ิงแวดล้อม เศรษฐกจิ และ โลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ ธาตกุ มั มนั ตรังสี ควร ระบบ โดยใช้ สังคม จากข้อมูลที่ รวบรวมได้ คานึงถึงผลกระทบต่อ สิง่ มชี วี ิต ส่ิงแวดล้อม ขอ้ มลู ท่ี เศรษฐกจิ และสังคม ตรวจสอบได้ 3. ตระหนกั ถึงคณุ คา่ ของการ
41 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ ใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) ธาตกุ ัมมันตรังสี โดยเสนอ แนว ทางการใช้ธาตุอย่างปลอดภัย -สารบริสุทธ์ิประกอบด้วยสารเพียงชนิด - ค้นคว้า สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ คุ้มค่า เดียว ส่วนสารผสมประกอบดว้ ยสารต้ังแต่ เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่ันใน 4. เปรยี บเทียบจดุ เดอื ด จุด 2 ชนิดขนึ้ ไป สารบรสิ ทุ ธ์ิแตล่ ะชนิดมีสมบตั ิ แก้ปัญหาเป็น การทางาน หลอมเหลวของสารบริสุทธแิ์ ละ บางประการที่เป็น คา่ เฉพาะตวั เชน่ จุด ระบบ โดยใช้ สารผสม โดยการวัดอุณหภมู ิ เดอื ดและจุดหลอมเหลวคงท่ี แต่สารผสมมี ขอ้ มูลที่ เขยี นกราฟ แปลความหมาย จดุ เดือดและจุดหลอมเหลวไมค่ งที่ ขึน้ อยู่ ตรวจสอบได้ ข้อมลู จากกราฟ หรอื สารสนเทศ กบั ชนิดและสัดส่วนของสารทผ่ี สมอยู่ 5. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บ ความหนาแน่นของสารบรสิ ทุ ธ์ิ ด้วยกัน และสารผสม 6. ใชเ้ คร่ืองมือเพือ่ วัดมวลและ -สารบริสุทธ์ิแต่ละชนิดมคี วามหนาแน่น - คน้ ควา้ สบื - ใฝ่เรยี นรู้ ปรมิ าตรของ สารบรสิ ุทธแิ์ ละ หรือมวลตอ่ หนง่ึ หนว่ ยปรมิ าตรคงที่ เป็น เสาะหาความรู้ - มุ่งมนั่ ใน สารผสม ค่าเฉพาะของสารนน้ั ณ สถานะและ แก้ปญั หาเปน็ การทางาน อุณหภมู หิ นึง่ แตส่ ารผสมมคี วามหนาแน่น ระบบ โดยใช้ 7. อธิบายเกี่ยวกับ ไมค่ งทข่ี น้ึ อย่กู ับชนิดและสัดส่วนของสารที่ ข้อมลู ที่ ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง ผสมอยู่ ด้วยกัน ตรวจสอบได้ อะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้ -สารบริสุทธ์แิ บ่งออกเปน็ ธาตแุ ละ - คน้ ควา้ สืบ - ใฝ่เรยี นรู้ แบบจาลองและสารสนเทศ สารประกอบ ธาตุประกอบด้วยอนุภาคท่ีเลก็ เสาะหาความรู้ - ม่งุ มนั่ ใน ท่ีสุดทีย่ งั แสดงสมบัติ ของธาตนุ ้ันเรยี กวา่ แกป้ ัญหาเป็น การทางาน อะตอม ธาตแุ ต่ละชนิด ประกอบด้วย ระบบ โดยใช้ อะตอมเพยี งชนิดเดียวและไมส่ ามารถ ขอ้ มลู ที่ ตรวจสอบได้ แยกสลายเป็นสารอ่นื ไดด้ ้วยวิธที างเคมีธาตุ เขยี นแทน ดว้ ยสญั ลักษณ์ธาตุสารประกอบ เกิดจากอะตอมของ ธาตุต้ังแต่ 2 ชนิดขึ้นไป รวมตัวกันทางเคมีในอตั ราสว่ น คงท่ี มีสมบัติ แตกตา่ งจากธาตทุ ่เี ปน็ องคป์ ระกอบ สามารถ แยกเปน็ ธาตไุ ดด้ ้วยวิธที างเคมีธาตุและ สารประกอบสามารถเขยี นแทนไดด้ ้วยสูตร
42 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลกั ษณะ 8. อธิบายโครงสรา้ งอะตอม แกนกลาง ท้องถน่ิ กระบวนการ(P) (A) ที่ประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอน และ เคมี - ค้นควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ อิเลก็ ตรอน โดยใช้ -อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และ เสาะหาความรู้ - มุ่งมัน่ ใน แบบจาลอง อเิ ลก็ ตรอน โปรตอนมปี ระจุไฟฟา้ บวก ธาตุ แกป้ ัญหาเปน็ การทางาน ชนิด เดียวกันมจี านวนโปรตอนเทา่ กนั และ ระบบ โดยใช้ 9. อธบิ ายและเปรียบเทียบ เป็นค่าเฉพาะของธาตุน้ัน นิวตรอนเป็น ข้อมลู ที่ การจดั เรียงอนุภาค แรงยึด กลางทางไฟฟา้ ส่วน อิเลก็ ตรอนมปี ระจุ ตรวจสอบได้ เหนย่ี วธาตอุ นภุ าค และการ ไฟฟ้าลบ เม่ืออะตอมมจี านวน โปรตอน เคลื่อนท่ีของอนุภาคของ สสารชนิดเดียวกันในสถานะ เท่ากับจานวนอิเลก็ ตรอน จะเป็นกลางทาง ของแขง็ ของเหลว และแกส๊ โดยใช้แบบจาลอง ไฟฟ้า โปรตอนและนวิ ตรอนรวมกันตรง กลาง อะตอมเรยี กวา่ นวิ เคลียส ส่วน อเิ ล็กตรอนเคล่อื นท่ี อยใู่ นทว่ี า่ งรอบ นิวเคลียส -สสารทุกชนดิ ประกอบดว้ ยอนภุ าค โดยสาร - ค้นคว้า สบื - ใฝเ่ รียนรู้ เสาะหาความรู้ - มงุ่ มัน่ ใน ชนิด เดียวกันที่มีสถานะของแขง็ ของเหลว แก้ปัญหาเป็น การทางาน แก๊ส จะมี การจัดเรียงอนภุ าค แรงยึดเหนีย่ ว ระบบ โดยใช้ ธาตอุ นุภาคการเคลอ่ื นท่ขี องอนภุ าคแตกต่าง ข้อมลู ที่ กัน ซึง่ มผี ลตอ่ รูปรา่ งและปริมาตรของสสาร ตรวจสอบได้ -อนภุ าคของของแขง็ เรยี งชิดกนั มีแรงยดึ เหนย่ี ว ธาตุอนุภาคมากท่สี ุด อนุภาคสน่ั อยู่ กับที่ ทาให้มี รปู รา่ งและปรมิ าตรคงท่ี -อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กัน มแี รงยดึ เหนี่ยว ธาตอุ นุภาคนอ้ ยกวา่ ของแข็งแต่ มากกวา่ แก๊ส อนภุ าคเคล่อื นที่ได้แตไ่ มเ่ ปน็ อสิ ระเทา่ แก๊ส ทาใหม้ ี รปู รา่ งไม่คงที่ แต่ ปริมาตรคงท่ี -อนุภาคของแกส๊ อยู่ห่างกันมาก มีแรงยึด เหน่ยี ว ธาตอุ นุภาคนอ้ ยทีส่ ุด อนุภาค เคลอ่ื นทีไ่ ด้อย่าง อสิ ระทกุ ทิศทาง ทาให้มี รูปรา่ งและปรมิ าตรไม่คงท่ี
43 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ 10.. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างพลังงานความร้อนกับ แกนกลาง ท้องถ่ิน กระบวนการ(P) (A) การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดย ใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ -ความรอ้ นมีผลตอ่ การเปล่ยี นสถานะของ - ค้นควา้ สืบ - ใฝ่เรียนรู้ และแบบจาลอง สสาร เมือ่ ใหค้ วามร้อนแก่ของแขง็ อนภุ าค เสาะหาความรู้ - มุ่งม่ันใน สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์ กายภาพ ของของแขง็ จะมพี ลงั งานและอณุ หภมู ิ แก้ปญั หาเป็น การทางาน มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจ เพ่ิมขึน้ จนถงึ ระดับหน่ึง ซง่ึ ของแขง็ จะใช้ ระบบ โดยใช้ ธรรมชาตขิ องแรงใน ความรอ้ นในการเปลีย่ นสถานะเปน็ ของเหลว ข้อมลู ท่ี ตรวจสอบได้ เรียกความร้อนทีใ่ ชใ้ นการเปลยี่ นสถานะจาก ของแขง็ เปน็ ของเหลวว่าความรอ้ นแฝงของ การหลอมเหลว และอุณหภมู ขิ ณะเปล่ยี น สถานะจะคงท่ี เรียกอุณหภมู นิ วี้ า่ จดุ หลอมเหลว -เม่ือให้ความร้อนแก่ของเหลว อนภุ าคของ ของเหลว จะมพี ลงั งานและอุณหภมู ิเพิ่มขึน้ จนถึงระดบั หนึง่ ซง่ึ ของเหลวจะใชค้ วามรอ้ น ในการเปลย่ี นสถานะเปน็ แก๊ส เรยี กความร้อน ที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากของเหลว เปน็ แก๊สวา่ ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอ และ อณุ หภูมขิ ณะเปลย่ี นสถานะจะคงที่ เรยี กอณุ หภมู นิ ี้วา่ จดุ เดือด -เม่อื ทาให้อุณหภมู ิของแกส๊ ลดลงจนถึงระดบั หนงึ่ แก๊สจะเปล่ยี นสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กอุณหภมู นิ ้ี วา่ จุดควบแน่น ซึ่งมอี ณุ หภูมิ เดียวกบั จุดเดือดของ ของเหลวนน้ั -เมื่อทาใหอ้ ุณหภมู ขิ องของเหลวลดลงจนถงึ ระดบั หนึง่ ของเหลวจะเปลย่ี นสถานะเป็น ของแขง็ เรียก อุณหภูมนิ ี้ว่า จดุ เยอื กแข็ง ซง่ึ มีอุณหภูมิเดยี วกบั จุดหลอมเหลวของ ของแขง็ น้นั
44 สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลกั ษณะ ชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่ แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) (A) กระทาต่อวัตถุ ลักษณะ การเคลื่อนท่ีแบบต่างๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นาความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ ตัวชีว้ ดั -เม่ือวัตถอุ ยใู่ นอากาศจะมแี รงทอี่ ากาศ - ค้นควา้ สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ 1. สรา้ งแบบจาลองทอ่ี ธิบาย กระทาตอ่ วัตถุในทกุ ทิศทาง แรงทอี่ ากาศ เสาะหาความรู้ - มุ่งมัน่ ใน ความสมั พันธ์ กระทาต่อวัตถขุ ้ึนอยู่ กับขนาดพน้ื ทข่ี อง แก้ปญั หาเป็น การทางาน ธาตคุ วามดันอากาศกับ วัตถุนัน้ แรงท่อี ากาศกระทาตงั้ ฉาก กับผวิ ระบบ โดยใช้ วัตถุตอ่ หนึ่งหน่วยพ้ืนทีเ่ รียกวา่ ความดัน ข้อมลู ที่ ความสูงจากพื้นโลก อากาศ-ความดันอากาศมคี วามสมั พนั ธก์ บั ตรวจสอบได้ ความสูงจากพนื้ โลก โดยบรเิ วณทสี่ ูงจากพื้น โลกขึ้นไป อากาศเบาบางลง มวลอากาศ น้อยลง ความดันอากาศกจ็ ะลดลง สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์ กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของ พลังงาน การเปล่ียนแปลงและ การถา่ ยโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งสสารและ พลงั งาน พลังงานใน ชวี ิตประจาวนั ธรรมชาติของ คลืน่ ปรากฏการณ์ ทเี่ กยี่ วข้องกับเสียง แสง และ คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทั้งนา ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวช้วี ดั -เมือ่ สสารได้รับหรอื สูญเสียความรอ้ นอาจ - ค้นควา้ สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ 1. วเิ คราะห์ แปลวามหมาย เสาะหาความรู้ - มงุ่ มัน่ ใน ขอ้ มลู และคานวณปริมาณ แก้ปัญหาเป็น การทางาน
45 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลกั ษณะ ความร้อนทีท่ าใหส้ สารเปลย่ี น แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) (A) อุณหภูมิและเปลยี่ นสถานะ โดยใชส้ มการโดยใชส้ มการ ทาให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิ เปล่ียนสถานะ ระบบ โดยใช้ Q=mc∆t และ Q=mL หรือเปลี่ยนรปู รา่ ง ขอ้ มลู ที่ 2. ใช้เทอรม์ อมิเตอรใ์ นการวดั -ปริมาณความร้อนท่ีทาให้สสารเปลยี่ น ตรวจสอบได้ อณุ หภมู ขิ องสสาร อณุ หภูมิข้ึนกบั มวล ความรอ้ นจาเพาะ และ 3. สรา้ งแบบจาลองทอี่ ธิบาย การขยายตัว หรอื หดตัวของ อุณหภูมิที่เปลี่ยนไป สสารเนอ่ื งจากไดร้ ับหรือ สูญเสยี ความร้อน -ปรมิ าณความรอ้ นที่ทาให้สสารเปลย่ี น 4. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ อง สถานะขึ้นกับมวลและความร้อนแฝงจาเพาะ ความรู้ของการหด และ ขยายตัวของสสารเนอ่ื งจาก โดยขณะที่ สสารเปล่ียนสถานะ อณุ หภูมจิ ะ ความรอ้ น โดยวเิ คราะห์ สถานการณ์ปญั หา และ ไมเ่ ปลีย่ นแปลง เสนอแนะ วิธกี ารนาความรมู้ า แก้ปญั หาในชีวิตประจาวนั -ความรอ้ นทาให้สสารขยายตัวหรือหดตัวได้ - ค้นคว้า สบื - ใฝเ่ รียนรู้ 5. วิเคราะหส์ ถานการณก์ าร เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่ันใน ถา่ ยโอนความร้อน เน่อื งจากเม่ือสสารได้รบั ความร้อนจะทา แกป้ ัญหาเป็น การทางาน และคานวณปรมิ าณความ ใหอ้ นุภาค เคล่อื นท่ีเรว็ ข้นึ ทาให้เกิด ระบบ โดยใช้ ร้อนทถี่ ่ายโอน การขยายตัว แต่เมื่อสสารคายความร้อน ขอ้ มลู ท่ี ธาตุสสารจนเกดิ สมดุลความ จะทาให้อนภุ าคเคล่ือนทชี่ ้าลง ทาให้ ตรวจสอบได้ ร้อนโดยใช้ เกดิ การหดตัว สมการQสูญเสีย = Qไดร้ บั -ความร้เู รื่องการหดและขยายตวั ของสสาร - คน้ คว้า สืบ - ใฝ่เรยี นรู้ เนอ่ื งจากความรอ้ นนาไปใช้ประโยชน์ได้ เสาะหาความรู้ - มุ่งมนั่ ใน ดา้ น ต่างๆ เช่น การสรา้ งถนน การสรา้ ง แกป้ ญั หาเป็น การทางาน ระบบ โดยใช้ รางรถไฟ การทาเทอร์มอมเิ ตอร์ ข้อมูลท่ี ตรวจสอบได้ -ความร้อนถา่ ยโอนจากสสารทีม่ อี ุณหภมู ิสูง - ค้นควา้ สบื - ใฝ่เรยี นรู้ เสาะหาความรู้ - ม่งุ มนั่ ใน กว่าไปยงั สสารที่มอี ุณหภมู ิต่ากวา่ จนกระทั่ง แกป้ ัญหาเปน็ การทางาน อณุ หภมู ขิ อง สสารทง้ั สองเท่ากนั สภาพที่ ระบบ โดยใช้ สสารทัง้ สองมีอณุ หภมู ิเทา่ กัน เรยี กวา่ ขอ้ มูลท่ี สมดลุ ความรอ้ น ตรวจสอบได้ -เมอื่ มีการถา่ ยโอนความรอ้ นจากสสารทมี่ ี อณุ หภูมิ ต่างกันจนเกดิ สมดุลความร้อน ความรอ้ นที่เพม่ิ ข้นึ ของสสารหน่ึงจะ เทา่ กบั ความร้อนท่ีลดลงของ อีกสสาร
46 สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลกั ษณะ 6. สรา้ งแบบจาลองที่ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) อธบิ ายการถา่ ยโอนความ ร้อนโดยการนาความร้อน หนึ่ง ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการอนุรกั ษ์ การพาความร้อน การแผ่ รังสคี วามร้อน พลงั งาน - คน้ คว้า สบื - ใฝ่เรียนรู้ เสาะหาความรู้ - มงุ่ มน่ั ใน 7. ออกแบบ เลอื กใชแ้ ละสรา้ ง -การถ่ายโอนความรอ้ นมี 3 แบบ คือ การ แกป้ ัญหาเปน็ การทางาน อุปกรณ์ เพอื่ แก้ปญั หาใน นาความรอ้ น การพาความร้อนและการแผ่ ระบบ โดยใช้ ชวี ิตประจาวันโดยใชค้ วามรู้ รงั สคี วามร้อน การนาความรอ้ นเป็นการ ข้อมูลท่ี เก่ยี วกบั การถ่ายโอนความ ถา่ ยโอนความรอ้ นทีอ่ าศัยตวั กลาง โดยที่ ตรวจสอบได้ ร้อน ตวั กลางไมเ่ คลอื่ นทกี่ ารพาความร้อนเปน็ การถ่ายโอนความรอ้ นทีอ่ าศยั ตัวกลาง โดยท่ตี ัวกลางเคล่อื นทไ่ี ปด้วย สว่ นการแผ่ รังสีความรอ้ นเปน็ การถา่ ยโอนความรอ้ นท่ี ไม่ตอ้ งอาศัยตวั กลาง -ความรเู้ ก่ียวกบั การถา่ ยโอนความรอ้ น - คน้ คว้า สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ สามารถนาไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่นั ใน ได้ เชน่ การเลอื กใช้วัสดุเพอื่ นามาทา แก้ปัญหาเป็น การทางาน ภาชนะบรรจอุ าหารเพือ่ เกบ็ ความรอ้ น หรือ ระบบ โดยใช้ การออกแบบระบบระบายความรอ้ นในอาคาร ข้อมูลท่ี ตรวจสอบได้ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์ โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.12 เขา้ ใจ องคป์ ระกอบ และ ความสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณพี ิบตั ภิ ยั กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศ และภูมอิ ากาศโลก รวมทง้ั ผลตอ่ สิ่งมชี วี ิตและ
47 สาระการเรียนร้แู กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตัวช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลกั ษณะ ส่งิ แวดล้อม แกนกลาง ท้องถน่ิ กระบวนการ(P) (A) ตัวชว้ี ัด -โลกมีบรรยากาศหอ่ ห้มุ นกั วิทยาศาสตร์ใช้ - คน้ ควา้ สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ 1. สรา้ งแบบจาลองที่อธบิ าย สมบตั ิ และองคป์ ระกอบของบรรยากาศใน เสาะหาความรู้ - มุ่งมัน่ ใน การแบ่งชน้ั แบง่ บรรยากาศ ของโลกออกเปน็ ชน้ั ซ่ึงแบง่ แกป้ ัญหาเป็น การทางาน บรรยากาศ และเปรียบเทียบ ได้หลายรูปแบบตามเกณฑท์ แ่ี ตกต่างกนั ระบบ โดยใช้ ประโยชน์ ข้อมูลท่ี ของบรรยากาศแต่ละช้นั ตรวจสอบได้ โดยท่ัวไปนกั วิทยาศาสตรใ์ ช้เกณฑ์ การ เปล่ียนแปลงอณุ หภมู ิตามความสูงแบ่ง บรรยากาศ ไดเ้ ปน็ 5 ช้ัน ไดแ้ ก่ ชั้นโทรโพส เฟยี ร,์ ช้ันสตราโตสเฟียร์, ช้ันมโี ซสเฟยี ร์, ชน้ั เทอรโ์ มสเฟียรแ์ ละชั้นเอกโซสเฟียร์ -บรรยากาศแตล่ ะช้นั มีประโยชน์ต่อสิ่งมชี วี ิต แตกต่างกนั โดยชน้ั โทรโพสเฟียรม์ ี ปรากฏการณล์ มฟา้ อากาศท่ีสาคญั ตอ่ การ ดารงชีวิตของส่งิ มชี วี ติ ชั้นสตราโตสเฟยี รช์ ่วย ดูดกลนื รงั สีอัลตราไวโอเลตจาก ดวงอาทิตย์ ไมใ่ หม้ ายังโลกมากเกินไป ชั้นมโี ซสเฟียร์ชว่ ย ชะลอวตั ถุนอกโลกที่ผา่ นเข้ามา ให้เกิดการ เผาไหม้ กลายเป็นวัตถุขนาดเลก็ ลดโอกาสท่ี จะทาความเสียหาย แกส่ ิ่งมีชวิ ตบนโลก ช้นั เทอร์โมสเฟยี รส์ ามารถสะท้อน คลื่นวทิ ยุ และชนั้ เอกโซสเฟียรเ์ หมาะสาหรบั การโคจร ของดาวเทียมรอบโลกในระดบั ตา่ 2. อธิบายปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ -ลมฟ้าอากาศ เปน็ สภาวะของอากาศในเวลา - คน้ คว้า สบื - ใฝเ่ รียนรู้ การเปล่ียนแปลง หนง่ึ ของพื้นทหี่ นึ่งทม่ี กี ารเปล่ยี นแปลง เสาะหาความรู้ - มงุ่ มัน่ ใน องค์ประกอบของลมฟา้ ตลอดเวลาขนึ้ อยกู่ ับ องคป์ ระกอบลมฟ้า แก้ปญั หาเปน็ การทางาน อากาศ ไดแ้ ก่ อณุ หภูมอิ ากาศความกด ระบบ โดยใช้ อากาศจากข้อมลู ท่ีรวบรวม ข้อมูลที่ ได้
48 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ 3. เปรียบเทียบกระบวนการ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) เกิดพายุ ฝนฟา้ คะนองและ พายุหมุนเขตร้อน และผลท่ี อากาศ ลม ความชน้ื เมฆ และหยาดนา้ ฟ้า ตรวจสอบได้ มีตอ่ ส่ิงมชี ีวติ และ สง่ิ แวดล้อม รวมทั้งนาเสนอ โดยหยาดน้าฟ้าที่พบบ่อยในประเทศไทย แนวทางการปฏบิ ัตติ นให้ เหมาะสมและปลอดภยั ได้แก่ ฝน องค์ประกอบลมฟ้าอากาศ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับปจั จัย ตา่ งๆ เช่น ปรมิ าณรงั สจี ากดวงอาทิตยแ์ ละ ลักษณะพื้นผวิ โลกส่งผลตอ่ อุณหภูมิ อากาศ อณุ หภูมอิ ากาศและปริมาณไอน้าส่งผลตอ่ ความชื้น ความกดอากาศส่งผลต่อลม ความช้ืนและลมส่งผลตอ่ เมฆ -พายุฝนฟ้าคะนอง เกิดจากการที่อากาศทีม่ ี - คน้ คว้า สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่นั ใน อุณหภูมิและความชนื้ สงู เคล่ือนที่ขึ้นสรู่ ะดับ แกป้ ัญหาเปน็ การทางาน ความสงู ทม่ี ีอณุ หภมู ติ ่าลง จนกระทงั่ ไอน้าใน ระบบ โดยใช้ อากาศเกิดการควบแนน่ เป็นละอองนา้ และ ขอ้ มูลที่ เกิดต่อเนื่องเป็นเมฆ ขนาดใหญ่ พายฝุ นฟา้ ตรวจสอบได้ คะนองทาใหเ้ กดิ ฝนตกหนกั ลม กรรโชกแรง ฟา้ แลบฟ้าผา่ ซง่ึ อาจก่อให้เกดิ อนั ตรายต่อ ชวี ิตและทรัพย์สนิ -พายุหมนุ เขตรอ้ นเกิดเหนือมหาสมทุ ร หรือ ทะเล ที่น้ามอี ุณหภูมสิ งู ต้ังแต่ 26-27 องศา เซลเซยี ส ขนึ้ ไป ทาใหอ้ ากาศทมี่ อี ุณหภมู ิ และความชน้ื สงู บริเวณนน้ั เคลื่อนท่ีสงู ข้นึ อย่างรวดเร็วเป็นบริเวณกวา้ งอากาศจาก บรเิ วณอน่ื เคล่ือนเขา้ มาแทนท่แี ละพัดเวียน เข้าหาศูนยก์ ลางของพายุ ย่ิงใกล้ศูนยก์ ลาง อากาศจะเคล่ือนท่ีพัดเวียนเกอื บเปน็ วงกลม และมีอตั ราเร็วสูงที่สุด พายหุ มุนเขตร้อนทา ให้เกิดคล่นื พายซุ ดั ฝ่งั ฝนตกหนัก ซง่ึ อาจ ก่อใหเ้ กิดอันตรายต่อชีวติ และทรพั ย์สินจงึ ควรปฏิบัติตนให้ปลอดภยั โดยติดตาม
49 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลกั ษณะ 4. อธบิ ายการพยากรณ์ แกนกลาง ท้องถ่ิน กระบวนการ(P) (A) อากาศ และพยากรณ์ อากาศอยา่ งง่าย ข่าวสารการพยากรณ์อากาศ และไมเ่ ข้าไป จากขอ้ มลู ที่ รวบรวมได้ อยู่ในพ้นื ทีท่ ่เี สี่ยงภัย 5. ตระหนักถงึ คณุ คา่ ของ -การพยากรณอ์ ากาศเปน็ การคาดการณ์ลมฟา้ - ค้นคว้า สืบ - ใฝ่เรียนรู้ การพยากรณ์อากาศ เสาะหาความรู้ - มุ่งมั่นใน โดยนาเสนอแนวทางการ อากาศทจี่ ะเกิดข้นึ ในอนาคตโดยมีการ ปฏบิ ตั ิตนและการใช้ แก้ปญั หาเป็น การทางาน ประโยชน์จากคาพยากรณ์ ตรวจวัดองค์ประกอบลมฟา้ อากาศการ ระบบ โดยใช้ อากาศ ส่อื สารแลกเปลย่ี นขอ้ มูลองคป์ ระกอบลมฟา้ ข้อมลู ท่ี อากาศธาตพุ น้ื ท่ี การวิเคราะหข์ ้อมลู และ ตรวจสอบได้ สร้างคาพยากรณอ์ ากาศ -การพยากรณ์อากาศสามารถนามาใช้ - คน้ ควา้ สบื - ใฝ่เรียนรู้ ประโยชนด์ ้านต่างๆ เช่น การใช้ เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่ันใน ชีวติ ประจาวนั การคมนาคม การเกษตร การ แกป้ ัญหาเปน็ การทางาน ป้องกัน และเฝา้ ระวังภัยพบิ ัตทิ างธรรมชาติ ระบบ โดยใช้ ข้อมลู ท่ี ตรวจสอบได้ 6. อธบิ ายสถานการณ์ ภูมิอากาศโลกเกดิ การเปลย่ี นแปลงอย่าง - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ และผลกระทบ ตอ่ เนื่อง โดยปจั จยั ทางธรรมชาติ แต่ เสาะหาความรู้ - มุ่งมัน่ ใน การเปลีย่ นแปลง ปจั จบุ นั การเปล่ียนแปลง ภมู อิ ากาศ แกป้ ัญหาเป็น การทางาน ภมู ิอากาศโลกจากขอ้ มูล เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเนือ่ งจากกิจกรรม ระบบ โดยใช้ ท่ีรวบรวมได้ ของ มนษุ ยใ์ นการปลดปล่อยแก๊สเรอื น ขอ้ มลู ท่ี กระจกสู่บรรยากาศ แกส๊ เรือนกระจกที่ ตรวจสอบได้ 7. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของ ถูกปลดปล่อยมากท่ีสดุ ได้แก่ แกส๊ การเปล่ียนแปลง คารบ์ อนไดออกไซดซ์ ง่ึ หมุนเวียนอยู่ - คน้ ควา้ สบื - ใฝ่เรียนรู้ ภูมิอากาศโลกโดยนาเสนอ ในวัฏจักรคารบ์ อน เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่นั ใน แนวทางการปฏิบตั ิตน -การเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศโลกกอ่ ให้เกิด แกป้ ญั หาเปน็ การทางาน ภายใต้การเปลี่ยนแปลง ผลกระทบ ต่อสงิ่ มชี ีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม ระบบ โดยใช้ ภูมิอากาศโลก เช่นการหลอมเหลวของนา้ แขง็ ขว้ั โลก การ ขอ้ มูลที่ เพมิ่ ข้ึนของระดบั ทะเล การเปลี่ยนแปลงวฏั ตรวจสอบได้ จกั รนา้ การเกิดโรคอบุ ตั ใิ หมแ่ ละอุบัติซ้า และการเกดิ ภยั พบิ ตั ทิ างธรรมชาติที่รุนแรง
50 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) (A) ขึน้ มนษุ ย์จึงควรเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติ ตนภายใตส้ ถานการณ์ดังกลา่ ว ทง้ั แนวทาง การปฏิบัติตนให้เหมาะสมและแนวทางการ ลดกิจกรรมที่สง่ ผลต่อการเปลยี่ นแปลง ภูมิอากาศโลก สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของ เทคโนโลยีเพอ่ื การดารงชีวติ ใน สงั คมทม่ี ีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเรว็ ใช้ความรู้และ ทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์อนื่ ๆ เพ่อื แกป้ ัญหา หรอื พฒั นางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรคด์ ้วยกระบวนการ ออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และ ส่งิ แวดลอ้ ม
51 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ ตัวชวี้ ัด 1. อธิบายแนวคิดหลักของ แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) (A) เทคโนโลยใี นชวี ิตประจาวัน และวิเคราะหส์ าเหตุ หรอื - ค้นคว้า สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ ปัจจัยทีส่ ง่ ผลต่อการ เปล่ียนแปลงของ เทคโนโลยี -เทคโนโลยี เปน็ สงิ่ ที่มนษุ ยส์ รา้ ง หรือ เสาะหาความรู้ - มุ่งมัน่ ใน พัฒนาขึน้ ซึง่ อาจเปน็ ได้ทั้งช้นิ งาน หรอื แกป้ ญั หาเป็น การทางาน 2. ระบุปัญหาหรอื ความ วิธีการ เพ่ือใช้แกป้ ญั หาสนองความตอ้ งการ ระบบ โดยใช้ ต้องการในชวี ิตประจาวัน หรือเพิม่ ความสามารถในการทางานของมนษุ ย์ ข้อมูลท่ี รวบรวม วเิ คราะหข์ ้อมูลและ ตรวจสอบได้ แนวคดิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหา -ระบบทางเทคโนโลยี เป็นกลุม่ ของส่วน ต่างๆต้งั แต่สองส่วนข้ึนไปประกอบเข้า ดว้ ยกนั และทางาน รว่ มกนั เพ่ือใหบ้ รรลุ วัตถุประสงค์ โดยในการทางานของระบบ ทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปด้วยตัวป้อน (input) กระบวนการ (procass) และ ผลผลิต (output) ทส่ี มั พนั ธก์ ัน นอกจากนร้ี ะบบทางเทคโนโลยีอาจมี ข้อมลู ย้อนกลบั (feedback) เพ่อื ใช้ ปรับปรุงการทางานไดต้ ามวัตถปุ ระสงค์ ซงึ่ การวิเคราะหร์ ะบบทางเทคโนโลยชี ว่ ย ใหเ้ ขา้ ใจองคป์ ระกอบและการทางานของ เทคโนโลยี รวมถึง สามารถปรบั ปรงุ ให้ เทคโนโลยที างานได้ตามต้องการ -เทคโนโลยีมกี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา ตั้งแตอ่ ดตี จนถึงปัจจบุ ัน ซ่งึ มีสาเหตุหรือ ปจั จัยมาจากหลายดา้ นเชน่ ปญั หาความ ตอ้ งการความกา้ วหน้าของศาสตร์ตา่ งๆ เศรษฐกิจ สงั คม - ค้นควา้ สบื เสาะหา - ใฝเ่ รียนรู้ -ปญั หาหรอื ความต้องการในชีวิตประจาวัน ความรู้ แก้ปัญหา - มงุ่ มัน่ ใน พบไดจ้ ากหลายบริบทข้ึนกับสถานการณท์ ี่ เปน็ ระบบ โดยใช้ การทางาน ประสบ เช่น การเกษตร อาหาร ข้อมลู ท่ีตรวจสอบ -การแกป้ ญั หาจาเป็นต้องสืบค้น รวบรวม ได้
52 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ 3. ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) (A) โดยวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบ และตัดสินใจเลอื กข้อมูลท่ี ข้อมูลความรจู้ ากศาสตร์ต่างๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง จาเป็น นาเสนอแนวทางการ แกป้ ญั หาให้ผอู้ นื่ เขา้ ใจ เพ่ือนาไปสกู่ ารออกแบบแนวทางการ วางแผนและดาเนนิ การ แก้ปัญหา แกป้ ัญหา - ค้นคว้า สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ -การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตดั สินใจ เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่ันใน เลือกขอ้ มูลท่ีจาเป็น โดยคานงึ ถึงเงอ่ื นไข แกป้ ัญหาเป็น การทางาน และทรพั ยากร ท่มี ีอยู่ ช่วยให้ได้แนว ระบบ โดยใช้ ทางการแกป้ ัญหาท่ีเหมาะสม ข้อมลู ท่ี -การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาทาได้ ตรวจสอบได้ หลากหลายวธิ ี เชน่ การรา่ งภาพการเขียน แผนภาพการเขยี นผงั งาน -การกาหนดขัน้ ตอนและระยะเวลาในการ ทางานก่อนดาเนินการแก้ปญั หาจะช่วยให้ ทางานสาเร็จไดต้ ามเปา้ หมาย 4. ทดสอบประเมินผล -การทดสอบและประเมินผลเป็นการ - ค้นคว้า สบื - ใฝ่เรยี นรู้ และระบุข้อบกพรอ่ ง ที่เกิดข้นึ พร้อมทั้งหา ตรวจสอบช้ินงานหรอื วธิ กี ารว่าสามารถ เสาะหาความรู้ - มุ่งมนั่ ใน แนวทางการปรับปรุง แก้ปญั หาไดต้ ามวตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ หา แก้ปัญหาเป็น การทางาน แก้ไข และนาเสนอผล ขอ้ บกพร่อง และดาเนินการปรบั ปรงุ ให้ ระบบ โดยใช้ การแก้ปญั หา สามารถแกไ้ ขปัญหาได้ ข้อมลู ที่ ตรวจสอบได้ -การนาเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคิด เพอ่ื ให้ ผอู้ น่ื เขา้ ใจเก่ียวกับกระบวนการ ทางานและช้ินงานหรอื วิธกี ารที่ได้ ซึง่ สามารถทาได้หลายวธิ ี เช่น การเขยี นรายงาน การทาแผ่นนาเสนอผลงาน 5. ใช้ความรู้และทักษะ -วสั ดแุ ตล่ ะประเภทมีสมบัตแิ ตกต่างกนั เช่น - ค้นคว้า สืบ - ใฝ่เรยี นรู้ เก่ียวกับวสั ดุ อปุ กรณ์ ไม้ โลหะ พลาสติก จึงต้องมกี ารวเิ คราะห์ เสาะหาความรู้ - ม่งุ มนั่ ใน เครื่องมือ กลไก ไฟฟ้า สมบตั ิ เพ่อื เลือกใช้ให้เหมาะสมกับลกั ษณะ แกป้ ญั หาเปน็ การทางาน หรอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เพ่ือ ระบบ โดยใช้
53 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตัวช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ แกป้ ญั หาไดอ้ ย่างถูกต้อง แกนกลาง ท้องถิน่ กระบวนการ(P) (A) เหมาะสมและ ปลอดภัย ของงาน ขอ้ มูลท่ี ตรวจสอบได้ -การสรา้ งชิ้นงานอาจใช้ความรู้ เร่อื งกลไก ไฟฟ้าอิเล็กทรอนกิ ส์ เชน่ LED บซั เซอร์ มอเตอร์ วงจรไฟฟา้ -อปุ กรณ์และเคร่ืองมือในการสรา้ งชนิ้ งาน หรือ พัฒนาวิธีการมีหลายประเภท ต้อง เลอื กใช้ใหถ้ กู ตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภัย รวมท้งั รู้จักเก็บรกั ษา สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชงิ คานวณในการแก้ปัญหาท่พี บ ในชวี ติ จรงิ อย่างเป็นข้ันตอน และเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสารใน การเรยี นรู้ การทางาน และ การแก้ปญั หาไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ รู้เทา่ ทนั และมี จริยธรรม ตวั ช้ีวดั -แนวคิดเชงิ นามธรรม เปน็ การประเมนิ - ค้นควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ 1. ออกแบบอัลกอริทมึ ท่ีใช้ ความสาคัญ ของรายละเอียดของปัญหา เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่นั ใน แนวคดิ เชงิ นามธรรม แยกแยะสว่ นท่ีเปน็ สาระสาคัญออกจาก แกป้ ัญหาเป็น การทางาน ส่วนทีไ่ ม่ใชส่ าระสาคญั ระบบ โดยใช้ เพ่ือแกป้ ญั หาหรืออธบิ าย -ตวั อยา่ งปัญหา เชน่ ต้องการปหู ญ้าใน ข้อมูลท่ี ตรวจสอบได้ การทางานที่พบในชีวิตจรงิ
54 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลกั ษณะ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) สนามตามพื้นทที่ ีก่ าหนด โดยหญ้าหน่งึ ผืน มคี วามกวา้ ง 50 เซนตเิ มตร ยาว 50 เซนตเิ มตร จะใช้หญ้าท้ังหมดกผ่ี ืน 2. ออกแบบและเขียน -การออกแบบและเขยี นโปรแกรมท่มี กี ารใช้ - คน้ คว้า สบื - ใฝเ่ รยี นรู้ โปรแกรมอยา่ งงา่ ยเพอ่ื ตวั แปร เง่อื นไข วนซา้ แกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ -การออกแบบอลั กอรทิ ึม เพ่อื แกป้ ญั หาทาง เสาะหาความรู้ - มุ่งมน่ั ใน หรือวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตรว์ ทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งงา่ ยอาจใช้ แกป้ ัญหาเป็น การทางาน แนวคดิ เชงิ นามธรรมในการออกแบบเพ่ือให้ ระบบ โดยใช้ ข้อมูลที่ตรวจสอบ ได้ การแก้ปญั หามปี ระสิทธภิ าพ -การแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ข้ันตอนจะชว่ ยให้ แกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ -ซอฟตแ์ วรท์ ใี่ ชใ้ นการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c -ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรมสมการการ เคล่อื นที่ โปรแกรมคานวณหาพื้นท่ี โปรแกรม คานวณดชั นมี วลกาย 3. รวบรวมข้อมลู ปฐมภูมิ -การรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ ประมวลผล ประมวลผล สร้างถามเลอื ก ประเมนิ ผล จะทา เสาะหาความรู้ - มุง่ มน่ั ใน ประเมนิ ผล นาเสนอข้อมลู และ ใหไ้ ด้ สารสนเทศเพ่ือใชใ้ นการแกป้ ัญหาหรอื แกป้ ัญหาเป็น การทางาน สารสนเทศ การตดั สนิ ใจ ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ระบบ โดยใช้ ตามวตั ถุประสงคโ์ ดยใช้ -การประมวลผลเปน็ การกระทากบั ขอ้ มูล ขอ้ มลู ที่ ซอฟต์แวร์ หรือบริการบน เพอ่ื ให้ได้ ผลลพั ธท์ ่มี คี วามหมายและมี ตรวจสอบได้ อนิ เทอรเ์ น็ตทห่ี ลากหลาย ประโยชนต์ ่อการนาไป ใชง้ านสามารถทาได้ หลายวธิ ี เชน่ คานวณอตั ราสว่ น คานวณ ค่าเฉลย่ี -การใช้ซอฟต์แวร์หรอื บรกิ ารบนอนิ เทอร์เน็ต ท่ีหลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ ง ทางเลอื ก ประเมนิ ผล นาเสนอ จะช่วยให้ แกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ถูกตอ้ ง และแมน่ ยา
55 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ 4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) (A) อยา่ งปลอดภัย ใช้สื่อและ แหล่งข้อมูลตามขอ้ กาหนด -ตัวอยา่ งปัญหา เนน้ การบูรณาการกบั วชิ าอนื่ และ ข้อตกลง เช่น ต้มไข่ใหต้ รงกบั พฤติกรรมการบรโิ ภค คา่ ดัชนมี วลกายของคนในท้องถนิ่ การสรา้ งกราฟ ผลการทดลองและวเิ คราะหแ์ นวโน้ม -ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น - คน้ ควา้ สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ การปกป้องความเปน็ ส่วนตัวและอัตลักษณ์ เสาะหาความรู้ - มงุ่ ม่นั ใน -การจัดการอัตลักษณ์ เช่น การตั้งรหัสผ่าน แก้ปัญหาเปน็ การทางาน การปกป้องข้อมูลสว่ นตัว ระบบ โดยใช้ -การพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหา ข้อมลู ท่ี เชน่ ละเมิดความเป็นสว่ นตัวผูอ้ ่ืน อนาจาร ตรวจสอบได้ วจิ ารณผ์ ูอ้ ่ืน อยา่ งหยาบคาย -ข้อตกลง ข้อกาหนดในการใชส้ ื่อ หรือ แหลง่ ข้อมลู ตา่ งๆ เช่น Creative commons
56 การวเิ คราะห์สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชว้ี ัด ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของ สิง่ มีชีวติ หนว่ ยพ้ืนฐาน ของส่ิงมชี วี ิต การลาเลยี ง สารผ่านเซลล์ความสมั พันธ์ ของโครงสรา้ ง และ หน้าท่ีของระบบตา่ งๆ ของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ท่ี ทางานสัมพนั ธ์ กนั ความสมั พนั ธ์ของ โครงสรา้ ง และหน้าที่ ของอวยั วะตา่ งๆ ของพืช ทท่ี างานสัมพันธ์กนั รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวชว้ี ดั 1. ระบุอวัยวะและ -ระบบหายใจมีอวัยวะตา่ งๆ ท่ีเก่ยี วข้อง - อธบิ าย นาไปใช้ บรรยายหน้าท่ขี อง ได้แกจ่ มกู ท่อลม ปอด กะบงั ลม และ ประโยชน์ อวัยวะทเ่ี กยี่ วข้องใน กระดูกซ่โี ครง มนุษยห์ ายใจเขา้ เพอื่ นาแก๊ส ระบบหายใจ ออกซิเจนเขา้ สู่รา่ งกาย เพื่อนาไปใชใ้ นเซลล์ 2. อธิบายกลไกลการ และหายใจออกเพอ่ื กาจัดแกส๊ หายใจเข้าและออก โดย คาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย ใช้ แบบจาลอง รวมทั้ง อากาศเคลื่อนที่ เข้าและออกจากปอดได้ อธิบายกระบวนการ เนอ่ื งจากการเปลยี่ นแปลง ปริมาตรและ แลกเปลยี่ นแกส๊ ความดันของอากาศภายในช่องอก ซง่ึ เกย่ี วข้องกับการทางานของกะบังลม และ กระดูกซโ่ี ครง
57 สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถ่ิน กระบวนการ(P) (A) -การแลกเปล่ียนแกส๊ ออกซเิ จนกบั แกส๊ คาร์บอนไดออก ไซด์ในร่างกาย เกดิ ขึ้นบริเวณถุงลมในปอด กบั หลอดเลือดฝอยที่ถงุ ลม และระหว่าง หลอดเลือดฝอยกับเน้ือเยอื่ 3. ตระหนกั ถึง -การสบู บหุ รี่ การสดู อากาศทมี่ สี ารปนเปอ้ื น - อธบิ าย นาไปใช้ ความสาคญั ของระบบ และ การเป็นโรคเกย่ี วกับระบบหายใจบาง ประโยชน์ หายใจ โดยการบอก โรค อาจทาให้ เกดิ โรคถงุ ลมโปง่ พอง ซึ่งมี แนวทางในการดูแลรกั ษา ผลให้ความจุอากาศของ ปอดลดลง ดังน้ัน อวยั วะ ในระบบหายใจ จึงควรดแู ลรกั ษาระบบหายใจ ให้ทาหนา้ ที่ ใหท้ างานเป็นปกติ เปน็ ปกติ 4. ระบอุ วยั วะและ -ระบบขบั ถ่ายมีอวัยวะทเ่ี กย่ี วข้อง คอื ไต - อธิบาย นาไปใช้ บรรยายหนา้ ท่ีของ ท่อไต กระเพาะปสั สาวะ และท่อปสั สาวะ ประโยชน์ อวยั วะในระบบขับถา่ ย โดยมไี ตทาหนา้ ทีก่ าจัดของเสีย เช่น ยเู รยี ในการกาจัดของเสีย แอมโมเนยี กรดยรู ิก รวมท้งั สารทร่ี ่างกาย ทางไต ไมต่ ้องการออกจากเลือด และควบคุมสารที่ 5. ตระหนักถึง มมี าก หรอื นอ้ ยเกินไป เช่น น้า โดยขับ ความสาคัญของระบบ ออกมาในรูปของปสั สาวะ ขบั ถา่ ยในการกาจดั ของ -การเลือกรับประทานอาหารทเี่ หมาะสม เสียทางไต โดยการบอก เชน่ รับประทานอาหารทไ่ี ม่มรี สเค็มจัด การ แนวทางในการปฏบิ ตั ิตน ด่มื นา้ สะอาดให้เพยี งพอ เป็นแนวทางหนึ่ง ทช่ี ่วยใหร้ ะบบขบั ถา่ ย ที่ชว่ ยให้ระบบขับถา่ ยทาหนา้ ทไ่ี ด้อย่างปกติ ทาหน้าท่ีได้อย่างปกติ
58 สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตัวช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ 6. บรรยายโครงสรา้ ง แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) (A) และหน้าท่ขี องหวั ใจ หลอดเลือด และเลอื ด -ระบบหมนุ เวียนเลอื ดประกอบดว้ ย หวั ใจ - อธิบาย นาไปใช้ 7. อธบิ ายการทางานของ ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด หลอดเลอื ดและเลือด หัวใจของมนษุ ย์ ประโยชน์ โดยใช้แบบจาลอง แบ่งเปน็ 4 ห้อง ได้แก่ หวั ใจ ห้องบน 2 หอ้ ง และห้องล่าง 2 หอ้ ง ระหว่างหวั ใจ ห้องบนและหวั ใจห้องลา่ งมลี นิ้ หัวใจก้ัน -หลอดเลือด แบ่งเปน็ หลอดเลือดอารเ์ ทอรี หลอดเลอื ดเวน หลอดเลอื ดฝอย ซงึ่ มี โครงสร้างต่างกัน -เลอื ด ประกอบด้วย เซลลเ์ ม็ดเลือด เกล็ด เลอื ดและพลาสมา -การบีบและคลายตัวของหัวใจทาให้เลือด หมุนเวยี น และลาเลียงสารอาหาร แก๊ส ของเสยี และสารอน่ื ๆ ไปยงั อวัยวะและ เซลล์ตา่ งๆ ทวั่ รา่ งกาย -เลอื ดท่ีมปี รมิ าณแก๊สออกซเิ จนสงู จะออก จากหวั ใจไปยงั เซลล์ตา่ งๆ ทว่ั ร่างกาย ขณะเดยี วกนั แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ จากเซลล์จะแพร่เข้าสเู่ ลือดและลาเลยี งกลบั เข้าสู่หวั ใจและถูกสง่ ไปแลกเปลีย่ นแก๊สที่ ปอด 8. ออกแบบการทดลอง -ชีพจรบอกถงึ จงั หวะการเตน้ ของหวั ใจ ซงึ่ - อธบิ าย นาไปใช้ และทดลอง ในการ อตั ราการเต้นของหัวใจในขณะปกตแิ ละ ประโยชน์ เปรยี บเทียบอัตราการ หลังจาก ทากจิ กรรมตา่ งๆ จะแตกตา่ งกนั เต้นของหัวใจ ขณะปกติ ส่วนความดนั เลอื ด เกิดจากการทางานของ และหลังทากิจกรรม หัวใจและหลอดเลอื ด -อัตราการเต้นของหวั ใจมีความแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะ บุคคล คนที่เปน็ โรคหัวใจและ หลอดเลอื ดจะสง่ ผลทาใหห้ วั ใจสูบฉีดเลือด ไม่เปน็ ปกติ - อธิบาย นาไปใช้ ประโยชน์
59 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถ่นิ มาตรฐาน / ตัวช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ (A) 9. ตระหนกั ถงึ แกนกลาง ทอ้ งถ่นิ กระบวนการ(P) ความสาคัญของระบบ หมนุ เวยี นเลือด โดยการ -การออกกาลังกาย การเลอื กรบั ประทาน บอกแนวทางในการดูแล รกั ษาอวัยวะในระบบ อาหาร การพกั ผอ่ น และการรกั ษาภาวะ หมุนเวียนเลือดให้ทางาน เปน็ ปกติ อารมณ์ให้เป็นปกติ จึงเปน็ ทางเลือกหนึ่งใน การดแู ลรักษาระบบหมุนเวียนเลือดให้เป็น ปกติ 10.ระบอุ วัยวะและ -ระบบประสาทสว่ นกลาง ประกอบด้วย - อธบิ าย นาไปใช้ บรรยายหนา้ ท่ีของ สมองและไขสันหลงั จะทาหน้าทร่ี ว่ มกบั ประโยชน์ อวยั วะ ในระบบประสาท เสน้ ประสาท ซึ่งเป็น ระบบประสาทรอบ ส่วนกลาง ในการควบคุม นอก ในการควบคุมการทางาน ของอวยั วะ การทางานตา่ งๆ ของ ต่างๆ รวมถึงการแสดงพฤติกรรมเพ่อื การ ร่างกาย ตอบสนองต่อสิง่ เรา้ 11. ตระหนกั ถึง -เมอ่ื มสี ง่ิ เร้ามากระตนุ้ หน่วยรับความรู้สึก ความสาคัญของระบบ จะเกดิ กระแสประสาทส่งไปตามเซลล์ ประสาท โดยการบอก ประสาทรบั ความรู้สกึ ไปยงั ระบบประสาท แนวทางในการดแู ลรักษา ส่วนกลาง แล้วสง่ กระแสประสาทมาตาม รวมถึงการป้องกนั การ เซลลป์ ระสาทสัง่ การ ไปยงั หน่วยปฏบิ ัตงิ าน กระทบ กระเทอื นและ เชน่ กล้ามเน้อื อันตรายตอ่ สมองและไข -ระบบประสาทเป็นระบบที่มีความซบั ซอ้ น สันหลัง และมีความ สมั พันธก์ บั ทุกระบบในร่างกาย ดงั น้นั จึง ควรป้องกนั การ เกิดอุบัติเหตุทกี่ ระทบ กระเทือนต่อสมอง หลีกเลีย่ งการใช้ สารเสพติด หลีกเล่ียงภาวะเครียดและ รับประทานอาหาร ทีม่ ีประโยชนเ์ พือ่ ดูแลรกั ษาระบบประสาท ให้ทางานเป็นปกติ
60 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ 12. ระบอุ วัยวะและ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) บรรยายหน้าท่ขี อง อวยั วะในระบบสบื พันธุ์ -ทท่ี าหน้าทีเ่ ฉพาะ โดยรงั ไขใ่ นเพศหญิงจะ - อธิบาย นาไปใช้ ของเพศชายและเพศ หญงิ โดยใช้ ทาหน้าที่ผลติ เซลล์ไข่ ส่วนอัณฑะในเพศ ประโยชน์ แบบจาลอง มนษุ ยม์ ี ระบบสืบพันธุ์ที่ ชายจะทาหนา้ ที่สรา้ งเซลลอ์ สุจิ ประกอบดว้ ยอวยั วะ ต่างๆ 13. อธบิ ายผลของ -ฮอร์โมนเพศทาหน้าทค่ี วบคมุ การ - อธิบาย นาไปใช้ ฮอร์โมนเพศชายและเพศ แสดงออกของลักษณะ ประโยชน์ หญิงทคี่ วบคมุ การ ทางเพศท่ีแตกต่างกัน เมอ่ื เข้าสู่วยั หนุม่ สาว เปล่ยี นแปลงของรา่ งกาย จะมีการสร้างเซลลไ์ ข่และเซลลอ์ สุจิ การตก เม่ือเขา้ สวู่ ยั หนุ่มสาว ไข่การมรี อบเดือน และถ้ามี 14. ตระหนกั ถงึ การ การปฏิสนธิของเซลล์ไข่และเซลล์อสจุ ิจะทา เปลีย่ นแปลงของรา่ งกาย ใหเ้ กดิ การตงั้ ครรภ์ เมือ่ เขา้ สู่วัยหน่มุ สาวโดย การดแู ลรักษาร่างกาย และจติ ใจของตนเอง ในชว่ งทม่ี ีการ เปลีย่ นแปลง
61 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ทอ้ งถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ 15. อธบิ ายการตกไข่ แกนกลาง ทอ้ งถ่ิน กระบวนการ(P) (A) การมปี ระจาเดอื น การ ปฏิสนธิและการพัฒนา -การมปี ระจาเดอื น มคี วามสัมพนั ธ์กบั การ - อธบิ าย นาไปใช้ ของไซโกต จนคลอดเป็น ทารก ตกไขโ่ ดยเปน็ ผลจากการเปล่ียนแปลงของ ประโยชน์ 16. เลอื กวิธกี าร คุมกาเนดิ ทเ่ี หมาะสมกับ ระดบั ฮอรโ์ มนเพศหญิง สถานการณ์ท่ีกาหนด -เมอ่ื เพศหญงิ มีการตกไขแ่ ละเซลลไ์ ข่ไดร้ ับ 17. ตระหนกั ถึง ผลกระทบของการ การปฏิสนธิกบั เซลล์อสุจิจะทาให้ได้ไซโกต ตั้งครรภ์ กอ่ นวัยอนั ควร โดยการ ไซโกตจะเจรญิ เป็นเอ็มบรโิ อและฟตี ัส ประพฤตติ นให้เหมาะสม จนกระทั่งคลอดเป็นทารก แตถ่ ้าไมม่ ีการ ปฏิสนธิ เซลล์ไขจ่ ะสลายตัวผนังดา้ นใน มดลกู รวมทง้ั หลอดเลือดจะสลายตวั และ หลุดลอกออก เรยี กวา่ ประจาเดือน -การคมุ กาเนิดเป็นวิธีป้องกนั ไม่ให้เกดิ การ ต้งั ครรภ์ โดยป้องกันไม่ใหเ้ กิดการปฏสิ นธิ หรอื ไมใ่ หม้ กี ารฝังตวั ของเอม็ บริโอ ซ่ึงมี หลายวธิ ี เช่น การใช้ถงุ ยางอนามยั การกิน ยาคุมกาเนดิ
62 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์ แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) (A) กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของ สสาร องค์ประกอบของ สสาร ความสัมพันธ์ ระหว่างสมบตั ขิ องสสาร กบั โครงสร้างและแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ อง การเปลีย่ นแปลงสถานะ ของสสาร การเกดิ สารละลาย และการ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตัวชว้ี ัด -การแยกสารผสมใหเ้ ปน็ สารบริสุทธิ์ทาได้ - อธบิ าย นาไปใช้ 1. อธบิ ายการแยกสาร หลายวิธี ขึ้นอยู่ ประโยชน์ ผสมโดยการระเหยแห้ง กับสมบตั ขิ องสารน้นั ๆ การระเหยแหง้ ใช้ การตกผลึก การกลั่น แยกสารละลายซ่งึ ประกอบด้วยตัวละลายที่ อย่างงา่ ย โครมาโทรก เป็นของแข็งในตัวทาละลายทเี่ ป็นของเหลว ราฟี โดยใชค้ วามร้อนระเหย ตวั ทาละลาย แบบกระดาษ การสกดั ออกไปจนหมดเหลือแต่ตัวละลาย การตก ด้วยตัวทาละลาย โดยใช้ ผลึกใชแ้ ยกสารละลายทปี่ ระกอบดว้ ยตัว หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ละลายที่เปน็ ของแขง็ ในตวั ทาละลายทเี่ ป็น 2. แยกสารโดยการ ของเหลว โดยทาใหส้ ารละลายอิม่ ตวั แลว้ ระเหยแห้ง การตกผลึก ปลอ่ ยใหต้ วั ทาละลายระเหยออกไปบางสว่ น การกลั่นอยา่ งง่าย โครมา ตวั ละลายจะตกผลกึ แยกออกมาการกลน่ั โทรกราฟแี บบกระดาษ อย่างงา่ ยใช้แยกสารสารละลายที่ การสกัดดว้ ยตวั ทา ประกอบดว้ ยตัวละลายและตัวทาละลายที่ ละลาย เป็นของเหลวท่ีมีจุดเดอื ดตา่ งกนั มาก วธิ นี จ้ี ะ แยกของเหลว บริสุทธิ์ออกจากสารละลาย โดยให้ความรอ้ นกบั สารละลาย ของเหลวจะ เดือดและกลายเปน็ ไอแยกจากสารละลาย แล้วควบแนน่ กลับเปน็ ของเหลวอกี ครงั้ ขณะทีข่ องเหลวเดือด อุณหภูมิของไอจะคงท่ี
63 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถ่ิน มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) แกนกลาง ทอ้ งถ่ิน กระบวนการ(P) โครมาโทรกราฟีแบบกระดาษ เปน็ วธิ ีการ แยกสารผสมที่มปี รมิ าณน้อยโดยใชแ้ ยกสารท่ี มสี มบัตกิ ารละลายในตัวทาละลายและการ ถูกดดู ซบั ด้วยตวั ดดู ซบั แตกต่างกัน ทาใหส้ าร แต่ละชนดิ เคลอ่ื นทไ่ี ปบนตวั ดดู ซับได้ตา่ งกนั สารจงึ แยกออกจากกนั ได้ อัตราส่วนระหว่าง ระยะทางทส่ี ารองค์ประกอบแตล่ ะชนดิ เคลอ่ื นท่ีไดบ้ นตัวดูดซบั กับระยะทางที่ตัวทา ละลายเคล่ือนทไ่ี ด้ซึ่งเปน็ คา่ เฉพาะตวั ของ สารแต่ละชนดิ ในตัวทาละลายและตวั ดูดซบั หนง่ึ ๆ การสกดั ดว้ ยตวั ทาละลายเป็นวิธกี าร แยกสารผสมทม่ี สี มบตั กิ ารละลายในตัวทา ละลายที่ตา่ งกนั โดยชนิดของตวั ทาละลายมี ผลตอ่ ชนดิ และปริมาณของสารที่สกัดได้ การ สกัดโดยการกล่ันด้วยไอนา้ ใชแ้ ยกสารที่ ระเหยงา่ ยไมล่ ะลายนา้ และไมท่ าปฏกิ ิริยา กบั น้า ออกจากสารทีร่ ะเหยยาก โดยใชไ้ อนา้ เป็นตวั พา
64 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถ่ิน มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) (A) 3. นาวิธีการแยกสารไปใช้ -ความรดู้ ้านวทิ ยาศาสตร์เกี่ยวกับการแยก - อธิบาย นาไปใช้ แกป้ ัญหาในชีวติ ประจาวัน สารบรู ณาการกับคณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี ประโยชน์ โดยบรู ณาการวิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการทางวศิ วกรรม สามารถ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี นาไปใช้แกป้ ญั หาในชีวติ ประจาวัน หรือ และวศิ วกรรมศาสตร์ ปัญหาทพ่ี บในชุมชน หรือสร้างนวตั กรรม โดยมีขน้ั ตอน ดังน้ี - ระบุปัญหาในชวี ิตประจาวนั ทเี่ ก่ยี วกบั การ แยกสารโดยใชส้ มบตั ิทางกายภาพ หรอื นวตั กรรมที่ต้องการพฒั นาโดยใชห้ ลักการ ดังกลา่ ว - รวบรวมข้อมูลและแนวคดิ เกยี่ วกบั การแยก สารโดยใชส้ มบตั ทิ างกายภาพทส่ี อดคลอ้ งกับ ปัญหาท่ีระบุหรือนาไปสู่การพฒั นานวัตกรรม นน้ั - ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหา หรอื พัฒนา นวัตกรรมทเ่ี กีย่ วกบั การแยกสารในสารผสม โดยใชส้ มบตั ทิ างกายภาพโดยเชอ่ื มโยง ความรดู้ ้านวทิ ยาศาสตรค์ ณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการทางวิศวกรรม รวมทัง้ กาหนดและควบคมุ ตวั แปรอย่าง เหมาะสมครอบคลมุ - วางแผนและดาเนนิ การแก้ปญั หา หรือ พัฒนานวตั กรรม รวบรวมขอ้ มูล จดั กระทา ข้อมูลและเลอื กวิธกี ารสือ่ ความหมายท่ี เหมาะสมในการนาเสนอผล - ทดสอบ ประเมนิ ผล ปรับปรุงวธิ ีการ แก้ปัญหาหรือนวตั กรรมทพี่ ัฒนาขึน้ โดยใช้ หลกั ฐานเชิงประจักษท์ ีร่ วบรวมได้ - นาเสนอวิธีการแก้ปัญหา หรือผลของ นวัตกรรมทพ่ี ฒั นาข้ึน และผลทไี่ ด้ โดยใช้ วิธกี ารส่ือสารทเี่ หมาะสมและนา่ สนใจ
65 สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ (A) 4. ออกแบบการทดลอง แกนกลาง ท้องถิน่ กระบวนการ(P) และทดลองในการอธบิ าย นาไปใช้ ผลของชนดิ ตัวละลาย -สารละลายอาจมสี ถานะเปน็ ของแขง็ - อธิบาย ประโยชน์ ชนดิ ตวั ทาละลายอณุ หภมู ิ ทมี่ ีตอ่ สภาพละลายไดข้ อง ของเหลว และแกส๊ สารละลายประกอบด้วย สาร รวมทั้งอธิบายผลของ ความดันที่มตี ่อสภาพ ตวั ทาละลาย และตวั ละลาย กรณสี ารละลาย ละลายไดข้ องสารโดยใช้ สารสนเทศ เกดิ จากสารทมี่ สี ถานะเดยี วกนั สารทมี่ ี ปริมาณมากทส่ี ดุ จดั เปน็ ตวั ทาละลาย กรณี สารละลายเกิดจากสารทม่ี สี ถานะตา่ งกัน สารท่มี สี ถานะเดียวกนั กับสารละลายจดั เป็น ตวั ทาละลาย . -สารละลายท่ีตัวละลายไมส่ ามารถละลายใน ตวั ทาละลายไดอ้ ีกที่อณุ หภมู ิหนง่ึ ๆ เรยี กว่า สารละลายอิ่มตวั -สภาพละลายไดข้ องสารในตวั ทาละลาย เปน็ คา่ ที่บอกปรมิ าณของสารทล่ี ะลายได้ในตวั ทา ละลาย 100 กรัม จนได้ สารละลายอ่มิ ตัว ณ อณุ หภูมิและความดนั หนงึ่ ๆ สภาพละลายได้ของสารบ่งบอก ความสามารถในการละลายไดข้ องตวั ละลาย ในตัวทาละลายซึง่ ความสามารถในการ ละลายของสารข้ึนอยกู่ บั ชนิดของตัวทา ละลายและตวั ละลายอณุ หภมู ิ และความดนั -สารชนิดหนึง่ ๆ มสี ภาพละลายได้แตกต่าง กัน.ในตัวทาละลายทแี่ ตกตา่ งกนั และสาร ตา่ งชนิดกนั มสี ภาพละลายได้ในตัวทาละลาย หนง่ึ ๆ ไมเ่ ท่ากนั -เมือ่ อุณหภูมิสูงข้นึ สารส่วนมาก สภาพ ละลายได.้ ของสารจะเพ่มิ ขึน้ ยกเว้นแก๊สเม่อื อณุ หภูมิสูงขึน้ สภาพการละลายไดจ้ ะลดลง สว่ นความดนั มีผลตอ่ แก๊ส โดยเมื่อความดัน เพ่ิมขึ้น สภาพละลายไดจ้ ะสงู ขน้ึ -ความรูเ้ ก่ียวกบั สภาพละลายไดข้ องสารเมอ่ื . เปลย่ี นแปลงชนิดตวั ละลาย ตัวทาละลาย และอณุ หภูมิ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน ชีวติ ประจาวนั เช่น การทานา้ เชอ่ื มเข้มข้น การสกัดสารออกจากสมนุ ไพรให้ไดป้ รมิ าณ มากทีส่ ดุ
66 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ 5. ระบปุ ริมาณตัวละลาย แกนกลาง ท้องถิ่น กระบวนการ(P) (A) ในสารละลายในหนว่ ย ความเข้มข้นเป็นรอ้ ยละ -ความเข้มขน้ ของสารละลาย เปน็ การระบุ - อธิบาย นาไปใช้ ปรมิ าตรต่อปรมิ าตร มวล ต่อมวล และมวลต่อ ปรมิ าณตัวละลายในสารละลาย หน่วย ประโยชน์ ปริมาตร 6. ตระหนักถึง ความเข้มขน้ มหี ลายหน่วยท่ีนยิ มระบุ ความสาคญั ของการนา ความรู้เร่อื งความเขม้ ขน้ เป็นหนว่ ยเป็นรอ้ ยละ ปรมิ าตรต่อปรมิ าตร ของสารไปใช้ โดย ยกตวั อย่างการใช้ มวลต่อมวล และมวลตอ่ ปรมิ าตร สารละลายใน ชวี ิตประจาวันท่ีอยา่ ง -รอ้ ยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร เป็นการ ถกู ตอ้ งและปลอดภัย ระบปุ ริ มาตรตัวละลายในสารละลาย 100 หน่วยปริมาตรเดียวกัน นิยมใช้กบั สารละลายทเ่ี ป็นของเหลว หรือแก๊ส -รอ้ ยละโดยมวลต่อมวล เป็นการระบุมวล ตวั ละลาย ในสารละลาย 100 หน่วยมวล เดยี วกัน นิยมใช้กับสารละลาย ทมี่ สี ถานะเป็นของแข็ง -ร้อยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร เปน็ การระบุ มวลตวั ละลายในสารละลาย 100 หน่วย ปรมิ าตร นยิ มใช้กับสารละลายท่มี ตี วั ละลายเป็นของแขง็ ในตวั ทาละลายที่เปน็ ของเหลว การใชส้ ารละลายใน ชีวติ ประจาวัน ควรพิจารณาจากความ เขม้ ข้นของสารละลาย ข้ึนอยูก่ บั จดุ ประสงค์ ของการใชง้ าน และผลกระทบตอ่ ส่ิงชวี ิต และสง่ิ แวดล้อม
67 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์ แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) (A) กายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ อง แรงในชีวิตประจาวัน ผล ของแรงทกี่ ระทาต่อวตั ถุ ลักษณะการเคล่ือนท่ี แบบตา่ งๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ ตวั ช้วี ัด -แรงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ เมอ่ื มีแรงหลายๆ อธิบาย 1. พยากรณก์ ารเคลือ่ นท่ี แรงกระทาตอ่ วัตถุ แล้วแรงลพั ธท์ ่กี ระทาตอ่ เขียน-ทดลอง ของวัตถทุ เ่ี ป็นผลของแรง วัตถมุ คี า่ เปน็ ศูนย์ วัตถจุ ะไมเ่ ปลย่ี นแปลง ลัพธ์ทีเ่ กดิ จากแรงหลาย การเคล่อื นที่ แต่ถา้ แรงลพั ธท์ ่กี ระทาตอ่ แรงท่กี ระทาต่อวตั ถใุ น วตั ถุมีคา่ ไม่เปน็ ศูนย์ วัตถุจะเปลี่ยนแปลง แนวเดียวกันจาก การเคลื่อนที่ หลักฐานเชิงประจกั ษ์ 2. เขียนแผนภาพแสดง แรงและแรงลัพธท์ ่ีเกิด จากแรงหลายแรงที่ กระทาตอ่ วตั ถใุ นแนว เดยี วกัน
68 สาระการเรียนร้แู กนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) 3. ออกแบบการทดลอง แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) และทดลองด้วยวธิ ีท่ี นาไปใช้ เหมาะสมในการอธบิ าย -เมื่อวตั ถอุ ยู่ในของเหลวจะมีแรงท่ีของเหลว อธิบาย -ทดลอง ปจั จัยทมี่ ีผลต่อความดนั ของของเหลว กระทาตอ่ วตั ถุในทุกทศิ ทาง โดยแรงท่ี -วิเคราะห์ ของเหลวกระทาตั้งฉากกับผวิ วัตถตุ อ่ หนง่ึ หนว่ ยพน้ื ท่ี เรียกว่าความดนั ของของเหลว -ความดันของของเหลวมีความสมั พันธก์ ับ ความลึกจากระดับผวิ หน้าของของเหลว โดยบริเวณทีล่ ึกลงไปจากระดับผิวหน้าของ ของเหลวมากขึ้น ความดันของของเหลวจะ เพม่ิ ขนึ้ เนื่องจากของเหลวทอ่ี ยลู่ ึกกวา่ จะมี นา้ หนกั ของของเหลวด้านบนกระทา มากกวา่ 4. วเิ คราะห์แรงพยงุ และ -เม่อื วตั ถุอยู่ในของเหลว จะมแี รงพยงุ อธบิ าย -ทดลอง นาไปใช้ การจม การลอยของ เนอื่ งจากของเหลวกระทาตอ่ วัตถุโดยมที ิศ -วิเคราะห์ วัตถใุ นของเหลวจาก ข้ึนในแนวดง่ิ การจมหรือการลอย หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของวัตถขุ น้ึ กับน้าหนกั ของวัตถแุ ละแรงพยงุ 5. เขียนแผนภาพแสดง ถ้าน้าหนกั ของวตั ถแุ ละแรงพยุงของ แรงทก่ี ระทาต่อวัตถุ ของเหลวมีค่าเทา่ กัน วตั ถุจะลอยนิง่ อยู่ใน ในของเหลว ของเหลวแตถ่ ้าน้าหนักของวตั ถุมคี ่า มากกว่าแรงพยุงของของเหลววตั ถุจะจม 6. อธิบายแรงเสียดทาน -แรงเสยี ดทานเปน็ แรงทเี่ กิดขึ้นระหว่าง อธิบาย ทดลอง นาไปใช้ สถติ และแรงเสียดทาน ผิวสัมผสั ของวัตถุ เพ่อื ตา้ นการเคล่อื นท่ีของ ประโยชน์ จลนจ์ ากหลักฐานเชิง วัตถุน้ัน โดยถ้าออกแรงกระทาต่อวตั ถุท่อี ยู่ ประจักษ์ นงิ่ บนพื้นผิวให้เคล่อื นที่แรงเสยี ดทานกจ็ ะ ต้านการเคล่ือนท่ีของวตั ถุ แรงเสยี ดทานที่ เกดิ ข้นึ ในขณะทว่ี ัตถุยงั ไมเ่ คล่ือนที่เรียก แรงเสยี ดทานสถิต แตถ่ า้ วตั ถกุ าลังเคลื่อนท่ี แรงเสียดทานก็จะทาให้วัตถนุ ั้นเคลื่อนท่ีชา้ ลง หรอื หยดุ นิง่ เรยี ก แรงเสียดทานจลน์
69 สาระการเรียนร้แู กนกลาง / ทอ้ งถนิ่ มาตรฐาน / ตัวช้ีวดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ (A) 7. ออกแบบการทดลอง แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) และทดลองดว้ ยวิธที ่ี นาไปใช้ เหมาะสมในการอธิบาย -ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผวิ สัมผสั อธบิ าย ทดลอง ประโยชน์ ปัจจัยทม่ี ีผลต่อขนาดของ ของวัตถุขึ้นกบั ลักษณะผวิ สมั ผสั และขนาด แรงเสยี ดทาน 8. เขียนแผนภาพแสดง ของแรงปฏิกิรยิ าตงั้ ฉากระหวา่ งผิวสัมผสั แรงเสยี ดทานและแรง อ่ืนๆ ทก่ี ระทาต่อวัตถุ 9. ตระหนกั ถึงประโยชน์ -แรงเสยี ดทาน เชน่ การเปดิ ฝาเกลียวขวดนา้ อธบิ าย ทดลอง นาไปใช้ ของความรู้เรอ่ื งแรงเสียด การใช้แผ่นกันล่นื ในหอ้ งนา้ บางกจิ กรรมไม่ ประโยชน์ ทาน โดยวเิ คราะห์ ต้องการ แรงเสยี ดทาน เชน่ สถานการณป์ ัญหาและ การลากวัตถบุ นพ้นื การใชน้ ้ามนั หล่อลื่นใน เสนอแนะวิธกี ารลด หรือ เครอ่ื งยนต์ เพ่ิมแรงเสียดทานท่ีเปน็ -ความรเู้ รอื่ งแรงเสียดทานสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ต่อการทา ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั ได้ กจิ กรรมในชีวติ ประจาวนั 10. ออกแบบการทดลอง -เมือ่ มแี รงที่กระทาตอ่ วัตถุโดยไม่ผา่ น อธบิ าย -ทดลอง - และทดลองด้วยวธิ ี ท่ี ศนู ยก์ ลางมวลของวตั ถุ จะเกิดโมเมนตข์ อง -คานวณ เหมาะสมในการอธิบาย แรง ทาให้วตั ถุหมนุ รอบศูนย์กลางมวลของ โมเมนตข์ องแรง เมอ่ื วตั ถุ วัตถุนน้ั อยใู่ นสภาพสมดลุ ต่อการ -โมเมนต์ของแรงเป็นผลคณู ของแรงทก่ี ระทา หมุน และคานวณโดย ตอ่ วัตถกุ ับระยะทางจากจดุ หมนุ ไปตงั้ ฉากกบั ใช้สมการ M = Fl แนวแรงเมื่อผลรวมของโมเมนต์ของแรงมีค่า เปน็ ศูนย์ วตั ถุจะอย่ใู นสภาพสมดลุ ต่อการ หมุน โดยโมเมนตข์ องแรงในทิศทวนเข็ม นาฬกิ า จะมขี นาดเท่ากับโมเมนตข์ องแรงใน ทิศตามเข็มนาฬิกา -ของเล่นหลายชนดิ ประกอบดว้ ยอปุ กรณ์ หลายสว่ นท่ใี ช้หลักการโมเมนตข์ องแรง ความร้เู ร่ืองโมเมนต์ของแรงสามารถนาไปใช้ ออกแบบและประดษิ ฐข์ องเลน่ ได้
70 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ทอ้ งถิ่น มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) 11. เปรยี บเทียบแหลง่ แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) ของสนามแม่เหล็ก - สนามไฟฟา้ และสนาม -วัตถุที่มมี วลจะมีสนามโนม้ ถว่ งอย่โู ดยรอบ อธิบาย -สบื ค้น โนม้ ถว่ ง และทศิ ทางของ แรงทกี่ ระทาตอ่ วตั ถุทีอ่ ยู่ แรงโนม้ ถว่ งที่กระทาต่อวัตถทุ ี่อยใู่ นสนาม -อภปิ ราย ในแต่ละสนามจากขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ โนม้ ถ่วงจะมที ิศพุง่ เขา้ หาวัตถุท่ีเป็นแหลง่ 12. เขยี นแผนภาพแสดง แรงแมเ่ หลก็ แรงไฟฟา้ ของสนามโนม้ ถว่ ง และแรงโน้มถ่วงทก่ี ระทา ตอ่ วตั ถุ -วัตถุทม่ี ปี ระจุไฟฟ้าจะมสี นามไฟฟา้ อยู่ โดยรอบแรงไฟฟ้าที่กระทาต่อวัตถุท่ีมปี ระจุ จะมีทิศพุ่งเข้าหาหรือออกจากวตั ถุ ท่มี ปี ระจทุ ่เี ป็นแหลง่ ของสนามไฟฟ้า -วัตถุทเ่ี ปน็ แมเ่ หล็กจะมสี นามแมเ่ หลก็ อยู่ โดยรอบแรงแม่เหล็กทกี่ ระทาต่อ ขว้ั แม่เหลก็ จะมที ิศพุ่งเขา้ หาหรอื ออกจาก ขัว้ แม่เหล็กทีเ่ ป็นแหลง่ ของสนามแมเ่ หลก็ 13. วิเคราะห์ -ขนาดของแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟ้า และแรง อธิบาย -สืบค้น - ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง แมเ่ หล็กทกี่ ระทาต่อวัตถุท่อี ยู่ในสนามน้นั ๆ -อภปิ ราย ขนาดของ จะมคี ่าลดลง เมื่อวตั ถอุ ยูห่ า่ งจากแหล่งของ แรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า สนามน้นั ๆ มากข้นึ และแรงโนม้ ถ่วงท่ีกระทา ต่อวตั ถุที่อย่ใู นสนามนัน้ ๆ กับระยะหา่ งจาก แหลง่ ของสนามถงึ วตั ถุ จากข้อมลู ท่รี วบรวมได้ 14. อธบิ ายและคานวณ -วตั ถเุ ทียบกบั ตาแหนง่ อ้างองิ โดยมีปริมาณ อธบิ าย -สบื ค้น - อัตราเรว็ และความเร็ว ท่เี กี่ยวขอ้ งกับการเคลอ่ื นที่ ซึ่งมีท้งั -อภิปราย ของการเคลอื่ นที่ของวตั ถุ ปรมิ าณสเกลาร์และปริมาณ เวกเตอร์ เช่น โดยใช้สมการ ระยะทาง อตั ราเรว็ การกระจัด v= s/t และ v=s/t จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์
71 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) 15. เขียนแผนภาพแสดง แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) การกระจัดและความเรว็ - -โดยความยาวของลกู ศรแสดงขนาดและหัว อธิบาย -สืบค้น ลกู ศรแสดงทศิ ทางของเวกเตอรน์ ้นั ๆ -อภปิ ราย -ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ โดย ระยะทางเปน็ ความยาวของเส้นทางที่ เคล่ือนท่ีได้ -การกระจดั เป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการ กระจัดมที ิศชีจ้ ากตาแหนง่ เร่ิมตน้ ไปยัง ตาแหนง่ สดุ ท้าย และมีขนาดเทา่ กบั ระยะที่ สนั้ ทีส่ ุดระหว่างสองตาแหนง่ นั้น -อัตราเร็วเปน็ ปริมาณสเกลาร์ โดยอตั ราเรว็ เป็นอัตราสว่ นของระยะทางตอ่ เวลา -ความเร็วปริมาณเวกเตอร์มที ศิ เดยี วกับทศิ ของการกระจัด โดยความเร็วเปน็ อัตราสว่ น ของการกระจดั ต่อเวลา
72 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ท้องถิ่น มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คณุ ลักษณะ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์ แกนกลาง ท้องถิน่ กระบวนการ(P) (A) กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของ พลงั งาน การเปลย่ี นแปลง และการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งสสาร และพลังงาน พลงั งานใน ชวี ิตประจาวัน ธรรมชาติ ของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ี เก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า รวมท้ังนาความรูไ้ ปใช้ ประโยชน์ ตวั ชวี้ ดั -เมอื่ ออกแรงกระทาตอ่ วตั ถุ แลว้ ทาให้วัตถุ อธบิ าย -อภปิ ราย นาไปใช้ 1. วเิ คราะห์สถานการณ์ เคลือ่ นท่ี โดยแรงอยใู่ นแนวเดียวกับการ -คานวณ ประโยชน์ และคานวณเกี่ยวกับงาน เคล่ือนที่จะเกิดงาน งานจะมีคา่ มาก หรอื และกาลังทเี่ กดิ จากแรงที่ นอ้ ยข้นึ กบั ขนาดของแรงและระยะทางใน กระทาต่อวตั ถุ แนวเดยี วกบั แรง โดยใชส้ มการ W=Fs และ P=W/t จากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้
73 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตวั ช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ (A) 2. วเิ คราะห์หลกั การ แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) ทางานของเครอื่ งกล นาไปใช้ อย่างงา่ ยจากข้อมลู ที่ -งานท่ีทาในหน่ึงหน่วยเวลาเรียกวา่ กาลัง อธบิ าย -อภิปราย ประโยชน์ รวบรวมได้ 3. ตระหนักถงึ ประโยชน์ หลักการของงานนาไปอธบิ ายการทางาน -คานวณ ของความรขู้ องเครอ่ื งกล อย่างงา่ ยโดยบอก ของเคร่อื งกลอย่างง่าย ไดแ้ ก่ คาน พนื้ เอยี ง ประโยชน์และการ ประยกุ ตใ์ ชใ้ น รอกเดี่ยว ล่มิ สกรู ล้อและเพลา ซึ่งนาไปใช้ ชวี ิตประจาวัน ประโยชน์ดา้ นตา่ งๆ ในชีวิตประจาวัน 4. ออกแบบและทดลอง -พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถทุ ี่ อธบิ าย อธบิ าย - ดว้ ยวิธที ี่เหมาะสมในการ เคล่อื นท่ีพลงั งานจลนจ์ ะมคี า่ มาก หรือน้อย อธบิ ายปัจจัยท่มี ีผลต่อ ขน้ึ กบั มวลและอตั ราเรว็ ส่วนพลงั งานศักย์ พลงั งานจลน์ และ โน้มถ่วงเก่ยี วข้องกับตาแหน่งของวตั ถุ จะมี พลงั งานศักย์โนม้ ถ่วง ค่ามาก หรือน้อยข้ึนกบั มวลและตาแหนง่ ของวตั ถุ เม่อื วตั ถอุ ยใู่ นสนามโน้มถ่วง วตั ถุ จะมพี ลังงานศักย์โน้มถ่วง พลงั งานจลน์และ พลงั งานศักย์โนม้ ถ่วงเปน็ พลังงานกล 5. แปลความหมายขอ้ มูล -ผลรวมของพลังงานศกั ย์โน้มถว่ งและ อธิบาย อธิบาย - และอธิบายการเปล่ียน พลงั งานจลนเ์ ป็นพลังงานกล พลังงานศักย์ พลงั งานระหว่างพลงั งาน โน้มถว่ งและพลงั งานจลน์ของวัตถุหนง่ึ ๆ ศักย์โน้มถ่วงและพลังงาน สามารถเปลย่ี นกลบั ไปมาได้ โดยผลรวม จลน์ของวัตถุโดยพลงั งาน ของพลังงานศักยโ์ น้มถว่ งและพลังงานจลน์ กลของวัตถุมคี ่าคงตวั มคี ่าคงตัว นั่นคือพลังงานกลของวัตถมุ คี ่า จากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ คงตวั
74 สาระการเรียนร้แู กนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) 6. วเิ คราะหส์ ถานการณ์ แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) และอธบิ ายการเปลีย่ น - และการถ่ายโอนพลังงาน -พลงั งานรวมของระบบมีคา่ คงตวั ซง่ึ อาจ อธบิ าย อธบิ าย โดยใช้กฎการอนุรักษ์ พลังงาน เปล่ียนจากพลงั งานหนง่ึ เป็นอีกพลังงาน หนง่ึ เช่น พลงั งานกลเปลยี่ นเปน็ พลังงาน ไฟฟ้า พลงั งานจลน์เปลี่ยนเปน็ พลงั งาน ความร้อน พลงั งานเสยี ง พลงั งานแสง เนอื่ งมาจากแรงเสยี ดทาน พลังงานเคมีใน อาหารเปล่ียนเป็นพลังงานที่ไปใช้ในการ ทางานของสงิ่ มชี ีวติ -นอกจากนีพ้ ลงั งานยังสามารถถ่ายโอนไป ยังอีกระบบหน่ึง หรือไดร้ บั พลังงานจาก ระบบอน่ื ได้ เช่น การถา่ ยโอนความรอ้ น ระหวา่ งสสาร การถ่ายโอนพลงั งานของการ สั่นของแหล่งกาเนดิ เสียงไปยังผูฟ้ ัง ทงั้ การ เปลี่ยนพลังงานและการถ่ายโอนพลงั งาน พลงั งานรวมทง้ั หมดมคี ่าเทา่ เดิมตาม กฎการอนุรักษพ์ ลังงาน
75 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตัวช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์ แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) (A) โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสมั พันธ์ของ ระบบโลก กระบวนการ เปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณีพิบัติ ภยั กระบวนการ เปล่ยี นแปลงลมฟา้ อากาศและภูมอิ ากาศ โลกรวมทั้งผลต่อสงิ่ มีชวี ติ และส่ิงแวดล้อม ตัวชีว้ ัด 1. เปรียบเทียบ -เช้อื เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ เกิดจากการ อธบิ าย -สืบคน้ นาไปใช้ ประโยชน์ กระบวนการเกิด สมบัติ เปลีย่ นแปลงสภาพของซากสิง่ มชี ีวติ ในอดีต -อภปิ ราย นาไปใช้ และการใช้ประโยชน์ โดยกระบวนการทางเคมแี ละธรณวี ิทยา ประโยชน์ รวมท้งั อธิบายผลกระทบ เชอ้ื เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ ไดแ้ ก่ ถา่ นหิน จากการ ใช้เชอ้ื เพลงิ ซาก หินน้ามัน และปิโตรเลยี ม ซ่งึ เกิดจากวัตถุ ดึกดาบรรพ์ จากข้อมูลท่ี ตน้ กาเนดิ และสภาพแวดลอ้ มการเกิดท่ี รวบรวมได้ แตกตา่ งกัน ทาให้ไดช้ นดิ ของเช้อื เพลงิ ซาก ดกึ ดาบรรพท์ ม่ี ีลกั ษณะ สมบตั ิ และการ นาไปใช้ประโยชนแ์ ตกต่างกัน สาหรับ ปโิ ตรเลียมจะต้องมกี ารผา่ นการกล่ันลาดบั ส่วน ก่อนการใชง้ านเพ่อื ใหไ้ ด้ผลติ ภณั ฑ์ท่ี เหมาะสมตอ่ การใช้ประโยชน์ เช้ือเพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์ เป็นทรัพยากรทีใ่ ช้แลว้ หมดไป เนื่องจากตอ้ งใช้ เวลานานหลาย ล้านปจี ึงจะเกดิ ขนึ้ ใหม่ 2. แสดงความตระหนกั การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพใ์ น อธบิ าย -สืบคน้ ถงึ ผลจากการใชเ้ ช้อื เพลิง กิจกรรม ตา่ งๆ ของมนษุ ย์จะทาให้เกิด -อภปิ ราย ซากดกึ ดาบรรพ์โดย มลพิษทางอากาศ ซง่ึ ส่งผลกระทบต่อ นาเสนอแนวทาง สิ่งมีชีวิตและสิง่ แวดล้อม นอกจากนแ้ี กส๊ การใช้เช้อื เพลงิ ซากดึกดา บางชนิดท่ีเกดิ จากการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ซาก บรรพ์ ดกึ ดาบรรพ์ เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
76 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ (A) 3. เปรยี บเทียบขอ้ ดแี ละ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) ข้อจากดั ของพลังงาน นาไปใช้ ทดแทนแต่ละประเภท และ ไนตรัสออกไซด์ ยงั เป็นแกส๊ เรือน ประโยชน์ จากการรวบรวมขอ้ มลู และนาเสนอแนวทางการ กระจกซงึ่ ส่งผลใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลง - ใชพ้ ลงั งานทดแทน ท่เี หมาะสมในทอ้ งถ่ิน ภมู ิอากาศของโลกรนุ แรงข้นึ ดงั น้นั จงึ ควร นาไปใช้ ประโยชน์ 4. สรา้ งแบบจาลองท่ี ใชเ้ ช้อื เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์ โดยคานงึ ถงึ ผล อธบิ ายโครงสรา้ งภายใน โลกตามองค์ประกอบทาง ทีเ่ กดิ ขน้ึ ต่อส่งิ มชี วี ติ และสง่ิ แวดล้อม เช่น เคมี จากข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ เลือกใชพ้ ลังงานทดแทน หรอื เลือกใช้ 5. อธิบายกระบวนการผุ เทคโนโลยีท่ีลดการใชเ้ ช้อื เพลงิ ซากดกึ ดา พงั อยู่กับที่ การกรอ่ น และการสะสมตัวของ บรรพ์ ตะกอนจากแบบจาลอง รวมท้งั ยกตวั อย่างผลของ -เช้อื เพลิงซากดึกดาบรรพ์เป็นแหล่ง อธบิ าย -สืบค้น กระบวนการดังกลา่ ว ทท่ี าใหผ้ ิวโลกเกิดการ พลังงานท่ีสาคัญ ในกจิ กรรมตา่ งๆ ของ -อภิปราย มนุษย์ เน่อื งจากเชอื้ เพลงิ ซากดึกดาบรรพม์ ี ปรมิ าณจากดั และมกั เพ่มิ มลภาวะใน บรรยากาศมากขน้ึ จึงมกี ารใชพ้ ลังงาน ทดแทนมากขนึ้ เช่น พลงั งานแสงอาทิตย์ พลงั งานลม พลงั งานน้า พลังงานชวี มวล พลงั งานคลน่ื พลงั งานความร้อนใต้พภิ พ พลังงานไฮโดรเจน ซง่ึ พลังงาน ทดแทนแตล่ ะชนิดจะมขี อ้ ดีและข้อจากัดท่ี แตกตา่ งกนั โครงสรา้ งภายในโลกแบง่ ออกเป็นชนั้ ตาม อธบิ าย สบื ค้น องค์ประกอบทางเคมี ไดแ้ ก่ เปลือกโลก ซ่ึง อย่นู อกสุดประกอบด้วยสารประกอบของ ซิลิกอน และอะลมู เิ นียมเปน็ หลกั เนอ้ื โลกคอื ส่วนท่ีอยู่ใต้เปลอื กโลกลงไปจนถงึ แกน่ โลก มี องคป์ ระกอบหลักเป็นสารประกอบของ ซลิ ิกอน แมกนีเซยี ม และเหลก็ และแก่นโลก คือสว่ นทอี่ ยใู่ จกลางของโลก มอี งค์ประกอบ หลักเป็นเหล็กและนิกเกลิ ซึ่งแต่ละชนั้ มี ลักษณะแตกต่างกนั -การผพุ ังอยกู่ บั ท่ี การกรอ่ น และการสะสม อธบิ าย อภปิ ราย ตัวของตะกอน เปน็ กระบวนการเปลยี่ นแปลง ทางธรณวี ทิ ยาทท่ี าให้ผิวโลกเกิดการ เปล่ยี นแปลงเปน็ ภมู ิลกั ษณแ์ บบต่างๆ โดยมี ปัจจัยสาคัญคือนา้ ลม ธารนา้ แข็ง แรงโน้ม ถว่ งของโลก สิง่ มชี วี ติ สภาพอากาศ และ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
77 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง / ท้องถน่ิ มาตรฐาน / ตัวช้ีวดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ เปลี่ยนแปลง (A) แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) -การผพุ ังอยกู่ ับท่ี คือ การทหี่ นิ ผุพงั ทาลายลง ด้วยกระบวนการต่างๆ ได้แก่ ลมฟา้ อากาศ กบั น้าฝน และรวมทั้งการกระทาของต้นไม้ กับแบคทีเรยี ตลอดจนการแตกตัวทาง กลศาสตรซ์ ่ึงมีการเพิม่ และลดอุณหภมู ิ สลับกนั เปน็ ตน้ -การกร่อน คอื กระบวนการหนึง่ หรอื หลา ยกระบวนการทที่ าใหส้ ารเปลือกโลกหลดุ ไป ละลายไปหรือกรอ่ นไปโดยมตี วั นาพา ธรรมชาติ คอื ลม นา้ และธารนา้ แขง็ รว่ มกบั ปจั จัยอ่ืนๆ ได้แก่ ลมฟา้ อากาศ สารละลาย การครูดถู การนาพา ทง้ั นี้ ไมร่ วมถงึ การพังทลายเปน็ กลุ่มกอ้ น เชน่ แผน่ ดินถลม่ ภเู ขาไฟระเบิด -การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตวั ของวตั ถจุ ากการนาพาของน้า ลม หรอื ธาร นา้ แข็ง 6. อธบิ ายลักษณะของ ดนิ เกิดจากหนิ ที่ผพุ ังตามธรรมชาติผสม อธบิ าย -สืบค้น นาไปใช้ ประโยชน์ ชน้ั หน้าตัดดนิ และ คลุกเคล้ากับอินทรียวัตถุท่ีได้จากการเนา่ -อภิปราย กระบวนการเกิดดิน จาก เปอื่ ยของซากพชื ซากสัตว์ ทับถมเป็นช้นั ๆ แบบจาลอง รวมท้ังระบุ บนผิวโลก ชน้ั ดินแบ่งออกเป็นหลายช้ัน ปัจจัยท่ีทาให้ดินมี ขนานหรือเกอื บขนานไปกับผวิ หนา้ ดนิ แต่ ลกั ษณะและสมบัติ ละชัน้ มลี ักษณะแตกต่างกนั เน่ืองจากสมบตั ิ แตกตา่ งกนั ทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และลกั ษณะ อื่นๆ เช่น สี โครงสรา้ ง เน้อื ดนิ การยดึ ตวั ความเปน็ กรด-เบส สามารถสงั เกตได้จาก การสารวจภาคสนาม การเรียกชือ่ ชน้ั ดนิ หลักจะใช้อักษร ภาษาอังกฤษ ตวั ใหญ่ ได้แก่ O, A, E, B, C, R ช้ันหน้าตัด ดนิ เปน็ ชัน้ ดินทมี่ ลี กั ษณะปรากฏใหเ้ ห็น เรียงลาดบั เป็นชัน้ จากชน้ั บนสุดถึ ชัน้ ลา่ งสุด -ปัจจยั ที่ทาใหด้ ินแต่ละทอ้ งถนิ่ มลี ักษณะ และสมบตั แิ ตกตา่ งกนั ไดแ้ ก่ วัตถุต้นกาเนิด
78 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถนิ่ มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ (A) 7. ตรวจวัดสมบัติบาง แกนกลาง ทอ้ งถ่ิน กระบวนการ(P) ประการของดิน โดยใช้ นาไปใช้ เครื่องมอื ท่ีเหมาะสมและ ดนิ ภมู ิอากาศ ส่ิงมชี วี ิตในดิน ประโยชน์ นาเสนอแนวทาง การใชป้ ระโยชน์ดนิ จาก สภาพภูมิประเทศ และระยะเวลาในการเกิด นาไปใช้ ข้อมูลสมบัตขิ องดนิ ประโยชน์ ดนิ 8. อธิบายปัจจัยและ นาไปใช้ กระบวนการเกดิ แหล่งนา้ สมบัตบิ างประการของดนิ เช่น เนอื้ ดิน อธิบาย -สบื คน้ ประโยชน์ ผวิ ดนิ และแหลง่ นา้ ใต้ดิน จากแบบจาลอง ความช้ืนดนิ ค่าความเปน็ กรด-เบส ธาตุ -อภิปราย 9. สรา้ งแบบจาลองท่ี อาหารในดิน สามารถนาไปใช้ในการ อธบิ ายการใชน้ า้ และ นาเสนอแนวทางการใช้ ตดั สนิ ใจถึงแนวทางการใชป้ ระโยชน์ทด่ี ิน น้าอยา่ งยง่ั ยืนในทอ้ งถ่ิน ของตนเอง โดยอาจนาไปใช้ประโยชน์ ทางการเกษตร หรืออ่ืนๆ ซึ่งดินที่ไมเ่ หมาะสมต่อการทา การเกษตร เชน่ ดนิ จืด ดินเปร้ียว ดนิ เค็ม และดินดาน อาจเกดิ จากสภาพดินตาม ธรรมชาติหรือการใช้ประโยชนจ์ ะตอ้ ง ปรับปรุงใหม้ สี ภาพเหมาะสมเพือ่ นาไปใช้ ประโยชน์ ไหลจากทีส่ ูงลงสู่ทีต่ ่าด้วยแรงโนม้ ถ่วง การ อธิบาย -สืบค้น ไหลของน้าทาให้พน้ื โลกเกิดการกดั เซาะ -อภิปราย เป็นร่องน้า เชน่ ลาธาร คลอง และแมน่ า้ ซง่ึ รอ่ งน้าจะมขี นาดและรูปรา่ งแตกตา่ งกัน ขน้ึ อยกู่ ับปรมิ าณน้าฝน ระยะเวลาในการ กัดเซาะ ชนิดดินและหนิ และลักษณะภมู ิ ประเทศ เชน่ ความลาดชนั ความสงู ต่าของ พน้ื ที่ เมอื่ น้าไหลไปยงั บริเวณท่ีเป็นแอ่งจะ เกิดการสะสมตวั เป็นแหลง่ นา้ เชน่ บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร -แหล่งนา้ ใต้ดินเกิดจากการซึมของน้าผิวดนิ ลงไปสะสมตัวใตพ้ น้ื โลก ซงึ่ แบง่ เป็นนา้ ใน ดินและนา้ บาดาล นา้ ในดินเป็นน้าท่อี ยู่ ร่วมกบั อากาศตามชอ่ งว่างระหวา่ งเม็ดดนิ ส่วนน้าบาดาลเป็นนา้ ท่ไี หลซมึ ลกึ ลงไปและ ถูกกักเก็บไวใ้ นชนั้ หินหรอื ชน้ั ดินจนอ่ิมตัวไป ด้วยนา้ -แหล่งนา้ ผิวดนิ และแหล่งน้าใต้ดินถกู นามา อธบิ าย -สบื ค้น ใช้ในกจิ กรรมต่างๆ ของมนุษย์ สง่ ผลต่อ -อภิปราย การจดั การการใชป้ ระโยชนน์ ้าและคุณภาพ ของแหล่งน้า เนื่องจากการเพม่ิ ขึ้นของ จานวนประชากร การใชป้ ระโยชน์พื้นที่ใน
79 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ท้องถ่ิน มาตรฐาน / ตัวช้ีวัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) 10. สรา้ งแบบจาลองที่ แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) อธบิ ายกระบวนการเกิด นาไปใช้ และผลกระทบของนา้ ดา้ นต่างๆ เช่น ภาคเกษตรกรรม ประโยชน์ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝง่ั ในชวี ิต ดนิ ถล่ม หลมุ ยุบ แผน่ ดนิ ภาคอุตสาหกรรม และการเปลย่ี นแปลง ประจาวัน ทรุด ภมู ิอากาศทาใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลง ปริมาณน้าฝนในพ้นื ทลี่ ุม่ นา้ และแหลง่ น้าผิว ดินไม่เพียงพอสาหรับกิจกรรมของ มนษุ ย์ นา้ จากแหล่งน้าใตด้ ินจึงถกู นามาใช้ มากขนึ้ สง่ ผลใหป้ ริมาณนา้ ใต้ดนิ ลดลงมาก จงึ ตอ้ งมกี ารจดั การใช้นา้ อยา่ งเหมาะสม และยัง่ ยนื ซ่งึ อาจทาได้โดยการจัดหาแหลง่ น้าเพ่อื ให้มีแหลง่ น้าเพยี งพอสาหรบั การ ดารงชีวติ การจัดสรรและการใช้น้าอยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ การอนรุ ักษ์และฟนื้ ฟูแหล่ง นา้ การป้องกนั และแก้ไขปญั หาคุณภาพนา้ -นา้ ท่วม การกดั เซาะชายฝ่ัง ดินถลม่ หลุมยบุ อธิบาย อภิปราย แผน่ ดนิ ทรุด มกี ระบวนการเกดิ และ ผลกระทบท่ีแตกต่างกัน ซง่ึ อาจสรา้ งความ เสยี หายรา้ ยแรงแก่ชีวิต และทรพั ย์สนิ นา้ ทว่ ม เกดิ จากพืน้ ทหี่ น่ึงไดร้ บั ปรมิ าณนา้ เกิน กวา่ ทจ่ี ะกกั เกบ็ ได้ ทาใหแ้ ผ่นดนิ จมอยู่ใต้นา้ โดยข้นึ อยกู่ บั ปริมาณนา้ และสภาพทาง ธรณีวิทยาของพนื้ ที่ -การกัดเซาะชายฝั่ง เปน็ กระบวนการ เปลีย่ นแปลงของชายฝ่ังทะเลที่เกิดขนึ้ ตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคลื่นหรือลม ทาใหต้ ะกอนจากทีห่ นงึ่ ไปตกทบั ถมในอกี บรเิ วณหน่งึ แนวของชายฝงั่ เดมิ จึง เปล่ยี นแปลงไป บริเวณทมี่ ีตะกอนเคลอื่ นเขา้ มานอ้ ยกวา่ ปรมิ าณท่ีตะกอนเคลอื่ นออกไป ถอื วา่ เปน็ บรเิ วณทม่ี ีการกัดเซาะชายฝง่ั -ดนิ ถล่ม เปน็ การเคลื่อนทขี่ องมวลดิน หรอื หนิ จานวนมากลงตามลาดเขา เน่อื งจากแรง โน้มถ่วงของโลกเปน็ หลัก ซ่ึงเกิดจากปัจจยั สาคัญ ไดแ้ ก่ ความลาดชนั ของพืน้ ที่ สภาพ ธรณีวทิ ยา ปรมิ าณนา้ ฝน พชื ปกคลมุ ดนิ และการใช้ประโยชน์พนื้ ท่ี -หลุมยุบ คอื แอ่งหรอื หลุมบนแผ่นดนิ ขนาด
80 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ทอ้ งถิน่ มาตรฐาน / ตวั ช้ีวดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ (A) แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) ต่างๆท่อี าจเกิดจากการถล่มของโพรงถา้ หินปนู เกลอื หนิ ใต้ดนิ หรือเกิดจากนา้ พดั พา ตะกอนลงไปในโพรงถา้ หรอื ธารนา้ ใตด้ ิน -แผ่นดินทรดุ เกดิ จากการยบุ ตวั ของช้นั ดิน หรอื หินร่วน เมือ่ มวลของแขง็ หรอื ของเหลว ปรมิ าณมากทร่ี องรับอยูใ่ ตช้ นั้ ดนิ บริเวณนนั้ ถกู เคลอ่ื นย้ายออกไปโดยธรรมชาตหิ รือโดย การกระทาของมนุษย์ สาระท่ี 4 เทคโนโลยี - สาเหตหุ รือปจั จยั ต่างๆ เชน่ ความก้าวหนา้ - ทักษะการคดิ นาไปใช้ มาตรฐาน ว 4.1 ของ ศาสตรต์ ่างๆการเปลีย่ นแปลงทางด้าน คานวณ ประโยชน์ เขา้ ใจแนวคิดหลัก เศรษฐกจิ สังคมวฒั นธรรมทาใหเ้ ทคโนโลยีมี ของเทคโนโลยเี พื่อการ การ เปล่ยี นแปลงตลอดเวล และข้นั ตอนการ ในชวี ิต ดารงชีวติ ในสังคมที่มกี าร - เทคโนโลยแี ตล่ ะประเภทมีผลกระทบตอ่ เปลี่ยนแปลง อย่าง แก้ปัญหา ประจาวนั รวดเรว็ ใช้ความรแู้ ละ ชีวิตสังคมและสงิ่ แวดล้อมที่แตกต่างกนั จงึ ทกั ษะทางดา้ น ต้อง วเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบข้อดขี อ้ เสยี และ วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ น่ื ๆ เพ่ือ แกป้ ัญหาหรือพัฒนางาน อย่างมีความคิด สรา้ งสรรค์ ด้วยกระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีอยา่ ง เหมาะสม โดยคานงึ ถึง ผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสงิ่ แวดล้อม ตัวช้ีวัด 1. คาดการณ์แนวโน้ม เทคโนโลยที จ่ี ะเกิดข้ึน โดยพิจารณาจากสาเหตุ หรอื ปัจจยั ทสี่ ่งผลต่อ การ เปล่ยี นแปลงของ เทคโนโลยีและวเิ คราะห์ เปรียบเทียบตัดสนิ ใจ เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีโดย
81 สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง / ทอ้ งถ่ิน มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) แกนกลาง ทอ้ งถน่ิ กระบวนการ(P) นาไปใช้ คานึงถึงผลกระทบท่ี ตดั สินใจ เลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสม ประโยชน์ ในชวี ิต เกิดขึน้ ต่อชีวิตสงั คมและ ประจาวนั สิง่ แวดลอ้ ม นาไปใช้ ประโยชน์ 2. ระบุปญั หาหรอื ความ -ปญั หาหรือความต้องการในชมุ ชนหรือ - ทกั ษะการคิด ในชีวติ ประจาวัน ตอ้ งการในชุมชนหรือ ทอ้ งถ่ินมหี ลายอย่างขึน้ กบั บรบิ ทหรอื คานวณ นาไปใช้ ท้องถ่ินสรุปกรอบของ สถานการณ์ทป่ี ระสบ เช่น ดา้ นพลังงาน และข้ันตอนการ ประโยชน์ ในชวี ิต ปญั หารวบรวม วิเคราะห์ ส่งิ แวดล้อม การเกษตรการอาหาร แก้ปญั หา ประจาวัน ข้อมูลและแนวคดิ ท่ี - การระบปุ ญั หาจาเปน็ ต้องมีการวเิ คราะห์ เก่ียวข้องกบั ปัญหา สถานการณข์ องปญั หาเพือ่ สรปุ กรอบของ ปัญหาแลว้ ดาเนินการสืบคน้ รวบรวมขอ้ มลู ความร้จู ากศาสตร์ต่างๆ ทเี่ กยี่ วข้องเพ่อื นาไปสู่การ ออกแบบแนวทางการแก้ปญั หา 3. ออกแบบวิธีการ - การวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บและตัดสินใจ - ทักษะการคดิ แก้ปญั หาโดยวิเคราะห์ เลือกข้อมลู ทีจ่ าเป็นโดยคานงึ ถึงเงือ่ นไข คานวณ เปรยี บเทยี บและตัดสนิ ใจ และทรัพยากร เชน่ งบประมาณ เวลา และขน้ั ตอนการ เลอื กข้อมลู ที่จาเป็น ขอ้ มูลและสารสนเทศวสั ดุเคร่ืองมอื และ แกป้ ัญหา ภายใตเ้ ง่อื นไขและ อปุ กรณ์ช่วยให้ไดแ้ นวทางการแก้ปญั หาท่ี ทรัพยากรทีม่ ีอยู่ นาเสนอ เหมาะสม แนวทางการแกป้ ญั หาให้ - การออกแบบแนวทางการแกป้ ญั หาทาได้ ผู้อ่นื เข้าใจวางแผน หลากหลายวธิ ี เช่น การร่างภาพการ ขนั้ ตอนการทางานและ เขยี น แผนภาพการเขยี นผงั งาน ดาเนินการแก้ปญั หา อยา่ ง - การกาหนดขั้นตอนระยะเวลาในการ เป็นขั้นตอน ทางานกอ่ นดาเนินการแกป้ ัญหาจะชว่ ยให้ การทางาน สาเร็จไดต้ ามเปา้ หมายและลด ขอ้ ผดิ พลาดข้องการทางานทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ 4. ทดสอบ ประเมินผล - การทดสอบและประเมินผลเปน็ การ - ทักษะการคดิ และอธบิ ายปญั หาหรื ตรวจสอบชิ้นงาน หรอื วิธีการว่าสามารถ คานวณ ขอ้ บกพร่องทีเ่ กดิ ขนึ้ แก้ปัญหาไดต้ ามวัตถุประสงคภ์ ายใต้กรอบ และขนั้ ตอนการ ภายใตก้ รอบเงอ่ื นไข ของปัญหาเพ่ือหาข้อบกพร่องและ แกป้ ัญหา พร้อมทั้งหาแนวทางการ ดาเนินการปรับปรุงใหส้ ามารถ แกไ้ ขปญั หา ปรบั ปรงุ แก้ไข และ ได้ นาเสนอผลการแกป้ ญั หา -การนาเสนอผลงานเปน็ การถา่ ยทอด แนวคิดเพ่ือใหผ้ อู้ ่ืนเข้าใจเกีย่ วกบั กระบวนการทางาน และช้ินงานหรอื วธิ ีการ ท่ไี ด้ซ่ึงสามารถทาได้ หลายวิธีเชน่ การ เขียนรายงานการทาแผน่ นาเสนอผลงาน
82 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถน่ิ มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คุณลักษณะ (A) 5. ใชค้ วามรแู้ ละทักษะ แกนกลาง ทอ้ งถ่ิน กระบวนการ(P) เก่ยี วกบั วัสดุ อปุ กรณ์ นาไปใช้ เคร่อื งมอื กลไก ไฟฟา้ การจัดนิทรรศการ ประโยชน์ และอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ในชวี ิต - วสั ดุแต่ละประเภทมสี มบตั ิแตกตา่ งกัน - ทักษะการคิด ประจาวัน เพอ่ื แก้ปัญหา หรือพัฒนางานไดอ้ ย่าง เช่น ไม้ โลหะ พลาสติก จงึ ตอ้ งมกี าร คานวณ ถกู ต้อง เหมาะสม และ ปลอดภยั วิเคราะห์สมบตั ิเพือ่ เลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกับ และข้ันตอนการ ลักษณะของงาน แก้ปัญหา - การสรา้ งชิน้ งานอาจใช้ความรู้ เร่อื ง กลไก ไฟฟา้ อิเล็กทรอนกิ ส์ เชน่ LED มอเตอร์ บซั เซอรเ์ ฟอื ง รอก ลอ้ เพลา - อปุ กรณ์และเครอื่ งมอื ในการสร้างช้นิ งาน หรือพัฒนาวธิ กี ารมหี ลายประเภท ต้อง เลือกใชใ้ ห้ถกู ตอ้ ง เหมาะสมและปลอดภัย รวมทงั้ รู้จกั เก็บรกั ษา
83 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง / ท้องถิน่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ สาระท่ี 4 เทคโนโลยี แกนกลาง ท้องถ่นิ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคดิ เชิง คานวณในการแกป้ ญั หา ท่ีพบในชีวิตจรงิ อยา่ งเป็น ขน้ั ตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สารในการ เรยี นรู้ การทางาน และ การแก้ปญั หาได้อยา่ งมี ประสิทธภิ าพ รู้เทา่ ทนั และมีจริยธรรม ตัวช้ีวดั 1. ออกแบบอัลกอริทมึ ท่ี - แนวคดิ เชิงคานวณ - ทักษะการคดิ นาไปใช้ ใชแ้ นวคิดเชงิ คานวณใน - การแกป้ ญั หาโดยใชแ้ นวคิดเชิงคานวณ คานวณ ประโยชน์ การแก้ปัญหา หรอื การ - ตัวอย่างปัญหา เชน่ การเขา้ แถว และขน้ั ตอนการ ในชีวติ ทางานทพี่ บในชวี ติ จรงิ ตามลาดบั ความสงู ใหเ้ ร็วทีส่ ดุ จัดเรยี งเสือ้ ให้ แก้ปัญหา ประจาวัน หาไดง้ า่ ยทสี่ ุด 2. ออกแบบและเขยี น - ตัวดาเนินการบูลนี - ทกั ษะการคดิ นาไปใช้ โปรแกรมทใ่ี ช้ตรรกะ -ฟงั กช์ ัน คานวณ ประโยชน์ และฟงั ก์ชันในการ -การออกแบบและเขียนโปรแกรมทมี่ กี ารใช้ และขัน้ ตอนการ ในชีวิต แกป้ ัญหา ตรรกะ และฟงั กช์ นั แก้ปัญหา ประจาวัน -การออกแบบอัลกอรทิ มึ เพ่อื แกป้ ญั หาอาจ ใช้ แนวคดิ เชงิ คานวณในการออกแบบ เพื่อให้ การแก้ปัญหามปี ระสทิ ธภิ าพ -การแก้ปญั หาอยา่ งเปน็ ข้ันตอนจะช่วยให้ แก้ปัญหา ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ -ซอฟต์แวร์ที่ใชใ้ นการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch,python,java,c -ตัวอยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรมตัดเกรด หาคาตอบท้ังหมดของอสมการหลายตัว แปร 3. อภิปรายองค์ประกอบ -องค์ประกอบและหลักการทางานของ - ทักษะการคดิ นาไปใช้ และหลักการทางานของ ระบบ คอมพิวเตอร์ คานวณ ประโยชน์ ระบบคอมพิวเตอร์ และ -เทคโนโลยีการสอ่ื สาร และข้นั ตอนการ ในชีวิต
84 สาระการเรียนรู้แกนกลาง / ทอ้ งถน่ิ มาตรฐาน / ตวั ชี้วดั ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ (A) เทคโนโลยกี ารส่ือสาร แกนกลาง ทอ้ งถิน่ กระบวนการ(P) เพ่ือประยุกตใ์ ช้งานหรอื ประจาวัน แกป้ ัญหาเบ้อื งตน้ -การประยกุ ตใ์ ชง้ านและการแก้ปญั หา แก้ปัญหา 4. ใช้เทคโนโลยี นาไปใช้ สารสนเทศอย่าง เบือ้ งต้น ประโยชน์ ปลอดภยั มีความ ในชีวติ รบั ผิดชอบ สรา้ งและ -ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัยโดย - ทักษะการคิด ประจาวัน แสดงสทิ ธิในการเผยแพร่ ผลงาน เลือก แนวทางปฏิบัติเมื่อพบเนื้อหาที่ไม่ คานวณ เหมาะสมเช่น แจ้งรายงานผู้เก่ียวข้อง และขั้นตอนการ ป้องกันการเขา้ มาของขอ้ มูลทไ่ี มเ่ หมาะสม แก้ปัญหา ไม่ตอบโต้ ไมเ่ ผยแพร่ -การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งมีความ รับผิดชอบ เชน่ ตระหนกั ถงึ ผลกระทบใน การเผยแพรข่ ้อมลู -การสรา้ งและแสดงสิทธคิ วามเปน็ เจา้ ของ ผลงาน -การกาหนดสิทธิการใชข้ ้อมลู
85 การวเิ คราะห์สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้วี ดั ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง / ทอ้ งถิน่ มาตรฐาน / ตัวช้ีวัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลักษณะ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบ นิเวศความสมั พันธร์ ะหวา่ ง สิ่งไมม่ ีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มีชีวติ กับ ส่ิงมชี วี ิตตา่ งๆ ในระบบนิเวศ การ ถ่ายทอด พลงั งาน การ เปล่ยี นแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหา และผลกระทบท่ีมตี อ่ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ สิ่งแวดลอ้ มแนวทางในการ อนรุ ักษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ การแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดลอ้ ม รวมทง้ั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวชว้ี ัด -ระบบนเิ วศประกอบด้วยองค์ประกอบที่มี - คน้ ควา้ สบื - ใฝเ่ รียนรู้ 1. อธบิ ายปฏสิ ัมพนั ธข์ อง ชีวิต เช่น พชื สตั ว์ จลุ นิ ทรยี ์ และ เสาะหา ความรู้ - มงุ่ ม่ันใน องค์ประกอบของ ระบบนิเวศท่ไี ด้ องค์ประกอบทีไ่ ม่มีชวี ิต เชน่ แสง นา้ แก้ปญั หาเป็น การทางาน จากการสารวจ อณุ หภมู ิ แรธ่ าตุ แก๊ส องค์ประกอบเหล่าน้ี ระบบโดยใช้ มีปฏสิ มั พันธ์กัน เช่น พชื ต้องการแสง น้า ข้อมลู ที่ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ในการสร้าง ตรวจสอบได้ อาหาร สตั ว์ต้องการอาหารและ สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมในการดารงชีวติ เชน่ อุณหภมู ิ ความช้ืน องคป์ ระกอบท้ัง สองส่วนนี้จะตอ้ งมีความ สัมพันธก์ นั อย่าง เหมาะสม ระบบนเิ วศ จึงจะสามารถคงอยู่ ตอ่ ไปได้
86 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตัวชี้วดั ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ 2. อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ แกนกลาง ท้องถนิ่ กระบวนการ(P) (A) ระหว่างสง่ิ มชี ีวิต กบั ส่งิ มีชวี ติ รูปแบบตา่ งๆ ในแหล่งทอ่ี ยู่ -ส่ิงมีชีวติ กับส่ิงมีชีวิตมคี วามสัมพนั ธ์กัน - คน้ ควา้ สบื - ใฝ่เรยี นรู้ เดยี วกนั ที่ไดจ้ ากการสารวจ ในรูปแบบต่างๆ เช่น ภาวะพ่ึงพากัน ภาวะ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมั่นการ 3. สร้างแบบจาลองในการอธิบาย การถา่ ยทอด พลงั งานในสายใย อิงอาศัยภาวะเหยื่อกบั ผลู้ ่าภาวะปรสติ แก้ปัญหาเปน็ ทางาน อาหาร -สงิ่ มชี ีวิตชนิดเดยี วกันท่ีอาศยั อยรู่ ่วมกนั ระบบโดยใช้ มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและ ในแหลง่ ท่ีอยู่เดียวกนั ในชว่ งเวลาเดียวกัน ข้อมลู ที่ ความสาคัญของการถ่ายทอด ลักษณะทางพนั ธกุ รรม สาร เรยี กวา่ ประชากร ตรวจสอบได้ พันธกุ รรม การเปลย่ี นแปลงทาง พันธุกรรมท่มี ีผลต่อสิ่งมชี วี ติ -กลุม่ สงิ่ มีชีวิตประกอบดว้ ยประชากรของ ความหลากหลายทางชวี ภาพและ ววิ ฒั นาการของส่ิงมชี ีวติ รวมทง้ั สงิ่ มีชวี ติ หลายๆ ชนิด อาศยั อยรู่ ว่ มกันใน นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วดั แหล่งทีอ่ ยเู่ ดียวกนั 1. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่าง ยีน ดเี อ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้ -กลุ่มส่งิ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศแบง่ ตาม - ค้นควา้ สืบ - ใฝ่เรยี นรู้ แบบจาลอง หนา้ ที่ไดเ้ ปน็ 3 กลุ่ม ได้แก่ ผูผ้ ลิต ผู้บริโภค เสาะหา ความรู้ - มุ่งมน่ั ใน และผ้ยู ่อยสลาย แก้ปัญหาเปน็ การทางาน ระบบโดยใช้ ขอ้ มูลที่ ตรวจสอบได้ -ลกั ษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชวี ติ - คน้ ควา้ สืบ - ใฝ่เรียนรู้ สามารถถา่ ยทอดจากรนุ่ หนึง่ ไปยงั อีกรุน่ เสาะหา ความรู้ - มุ่งมั่นการ หนึ่งไดโ้ ดยมียนี เป็นหนว่ ยควบคมุ ลักษณะ แก้ปัญหาเป็น ทางาน ทางพนั ธุกรรม ระบบโดยใช้ -โครโมโซมประกอบด้วยดีเอน็ เอ ขอ้ มลู ท่ี และโปรตนี ขดอยใู่ นนิวเคลียส ยนี ตรวจสอบได้ ดีเอ็นเอและโครโมโซมมคี วามสัมพนั ธก์ นั โดยบางสว่ นของดีเอน็ เอทาหนา้ ทเี่ ป็นยีน ท่ีกาหนดลักษณะของสิ่งมชี ีวิต -ส่ิงมชี ีวติ ทม่ี ีโครโมโซม 2 ชดุ โครโมโซมที่
87 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง / ท้องถ่นิ มาตรฐาน / ตัวชี้วัด ความรู้ (K) ทกั ษะ / คณุ ลักษณะ แกนกลาง ทอ้ งถ่ิน กระบวนการ(P) (A) เปน็ ค่กู นั มีการเรียงลาดับของยีนบน โครโมโซมเหมือนกันเรียกว่าฮอมอโลกลั โครโมโซม ยนี หนึง่ ที่อยู่บนคู่ ฮอมอโลกัส โครโมโซมอาจมีรูปแบบแตกตา่ งกัน เรียก แต่ละรปู แบบของยีนทีต่ ่างกนั นวี้ า่ แอลลลี ซ่งึ การเขา้ คู่กนั ของแอลลลี ต่างๆ อาจ สง่ ผลทาให้ สง่ิ มชี ีวิตมีลักษณะที่แตกต่าง กันได้ -ส่งิ มชี ีวติ แตล่ ะชนดิ มีจานวนโครโมโซม คงท่ี มนุษย์ มีจานวนโครโมโซม 23 คู่ เปน็ ออโตโซม 22 คู่ และ โครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญงิ มีโครโมโซมเพศเปน็ XX เพศชายมีโครโมโซมเพศเปน็ X 2. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะ - เมนเดลได้ศึกษาการถา่ ยทอดลักษณะทาง - คน้ คว้า สืบ - ใฝ่เรียนรู้ ทางพนั ธกุ รรม จากการผสมโดย พนั ธกุ รรม ของตน้ ถ่ัวชนดิ หนึง่ และนามา เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มั่นการ พจิ ารณาลักษณะเดยี วที่ แอลลี สู่หลักการพ้นื ฐานของ การถา่ ยทอด แกป้ ญั หาเป็น ทางาน ลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่าง ลกั ษณะถามพันธกุ รรมของสิ่งมีชีวติ ระบบโดยใช้ สมบรู ณ์ - สิง่ มีชีวิตท่ีมีโครโมโซมเป็น 2 ชดุ ยนี แต่ ข้อมลู ท่ี 3. อธบิ ายการเกิดจีโนไทปแ์ ละ ละตาแหนง่ บนฮอมอโลกสั โครโมโซมมี 2 ตรวจสอบได้ ฟีโนไทป์ของลูก และคานวณ แอลลีล โดยแอลลีล หนึ่งมาจากพ่อ และ อัตราส่วนการเกิดจโี นไทป์ และ อีกแอลลีลมาจากแม่ ซึ่งอาจมี รูปแบบ ฟโี นไทป์ของรุ่นลกู เดยี วกนั หรือแตกต่างกัน แอลลีลท่ี แตกต่างกนั นี้ แอลลลี หนึ่งอาจมีการ แสดงออกขม่ อกี แอลลลี หนึง่ ได้ เรียกแอล ลีลน้ันวา่ เป็นแอลลีลเดน่ สว่ นแอลลีลท่ถี ูก ขม่ อยา่ งสมบูรณ์เรียกวา่ เปน็ แอลลลี ด้อย - เมอ่ื มกี ารสรา้ งเซลลสบื พนั ธุ์ แอลลีลท่ี เป็นคู่กัน ในแต่ละฮอมอโลกสั โครโมโซมจะ แยกจากกนั ไปส่เู ซลล์สืบพนั ธแ์ุ ตล่ ะเซลล์ โดยแตล่ ะเซลล์สบื พนั ธุ์จะได้รบั เพยี ง 1 แอลลลี และจะมาเข้าคู่กบั แอลลลี ท่ี ตาแหน่งเดียวกันของอีกเซลล์สืบพนั ธ์ุหน่ึง เมอื่ เกิดการปฏิสนธิ จนเกิดเปน็ จีโนไทป์
88 สาระการเรียนร้แู กนกลาง / ท้องถนิ่ มาตรฐาน / ตวั ชี้วัด ความรู้ (K) ทักษะ / คุณลกั ษณะ แกนกลาง ทอ้ งถนิ่ กระบวนการ(P) (A) และแสดงฟโี นไทปใ์ นรนุ่ ลูก 4. อธิบายความแตกตา่ งของการ - กระบวนการแบ่งเซลลข์ องสิ่งมชี ีวติ มี 2 - ค้นควา้ สบื - ใฝเ่ รียนรู้ แบ่งเซลลแ์ บบ ไมโทซิสและไมโอ แบบ คอื ไมโทซิส และ ไมโอซสิ เสาะหา ความรู้ - มงุ่ มน่ั การ ซสิ - ไมโทซสิ เป็นการแบง่ เซลล์เพอื่ เพ่มิ แกป้ ัญหาเปน็ ทางาน จานวนเซลล์ รา่ งกาย ผลจากการแบง่ จะได้ ระบบโดยใช้ เซลล์ใหม่ 2 เซลลท์ ี่มีลักษณะและจานวน ขอ้ มลู ท่ี โครโมโซมเหมือนเซลล์ตง้ั ต้น ตรวจสอบได้ - ไมโอซิส เปน็ การแบ่งเซลลเ์ พื่อสรา้ งเซลล์ สบื พันธุ์ ผลจากการแบ่งจะไดเ้ ซลลใ์ หม่ 4 เซลล์ท่มี จี านวนโครโมโซมเป็นคร่ึงหน่ึงของ เซลล์ตั้งต้น เม่ือเกดิ การปฏสิ นธิของเซลล์ สืบพนั ธ์ุ ลูกจะได้รับการถา่ ยทอด โครโมโซมชุดหน่งึ จากพอ่ และอกี ชดุ หนึ่ง จากแม่ จงึ เปน็ ผลให้รุ่นลูกมจี านวน โครโมโซมเท่ากบั รุ่นพอ่ แม่และจะคงท่ีใน ทกุ ๆ รนุ่ 5. บอกได้ว่าการเปลย่ี นแปลงของ - การเปล่ียนแปลงของยนี หรือโครโมโซม - ค้นควา้ สืบ - ใฝเ่ รียนรู้ ยีน หรือ โครโมโซมอาจทาใหเ้ กิด สง่ ผลให้ เกดิ การเปลยี่ น แปลงลักษณะ เสาะหา ความรู้ - ม่งุ ม่ันการ โรคทางพันธุกรรม ถามพนั ธุกรรมของ ส่ิงมีชวี ติ เชน่ แก้ปญั หาเป็น ทางาน พร้อมท้งั ยกตัวอย่างโรคทาง โรคธาลสั ซเี มยี เกดิ จากการเปลย่ี นแปลง ระบบโดยใช้ พันธกุ รรม ของยีนกล่มุ อาการดาวน์เกิดจากการ ข้อมลู ที่ 6. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ อง เปลีย่ นแปลง จานวนโครโมโซม ตรวจสอบได้ ความรูเ้ รอื่ งโรค ทางพนั ธุกรรม - โรคทางพนั ธุกรรมสามารถถา่ ยทอด จาก โดยรวู้ า่ ก่อนแต่งงานควร ปรึกษา พอ่ แม่ไปสู่ ลูกได้ ดังน้ันก่อน แต่งงานและ แพทยเ์ พ่ือตรวจและวนิ จิ ฉัยภาวะ มีบุตรจึงควรป้องกนั โดยการตรวจและ เสี่ยงของลูกทีอ่ าจเกดิ โรคทาง วนิ จิ ฉยั ภาวะเสย่ี งจากการถ่ายทอด โรค พันธุกรรม ทางพันธุกรรม 7. อธบิ ายการใชป้ ระโยชนจ์ า -มนษุ ย์เปล่ียนแปลงพันธุกรรมของส่งิ มีชีวิต - คน้ คว้า สืบ - ใฝเ่ รยี นรู้ ส่ิงมชี ีวิตดัดแปร พันธกุ รรมและ ตามธรรมชาติ เพือ่ ให้ได้สิง่ มชี วี ิตท่มี ี เสาะหา ความรู้ - มุง่ มั่นการ ผลกระทบทอ่ี าจมีต่อมนษุ ย์และ ลักษณะตามต้องการเรยี กส่งิ มชี วี ิตน้ีว่า แกป้ ญั หาเปน็ ทางาน สิ่งแวดล้อม โดยใชข้ อ้ มูลทร่ี วบรวม ส่ิงมีชีวติ ดดั แปรพันธุกรรม ระบบโดยใช้ ได้ -ในปัจจุบัน มนษุ ยม์ กี ารใช้ประโยชน์จาก 8. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์และ สิง่ มีชวี ิต ดัดแปรพันธุกรรมเปน็ จานวนมาก ข้อมูลที่ ผลกระทบของ สง่ิ มีชีวิตดัดแปร เชน่ การผลิตอาหาร ยารกั ษาโรคการเกษตร ตรวจสอบได้ พนั ธกุ รรมทีอ่ าจ มีต่อมนษุ ย์ และ อยา่ งไรกด็ ี สังคมยังมคี วามกงั วลเก่ยี วกับ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421