Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 4.หลักสูตร-ศรีสุขวิทยา-61-วิทย์-ปรับใหม่แล้ว

4.หลักสูตร-ศรีสุขวิทยา-61-วิทย์-ปรับใหม่แล้ว

Published by Bio, 2021-06-09 12:40:42

Description: 4.หลักสูตร-ศรีสุขวิทยา-61-วิทย์-ปรับใหม่แล้ว

Search

Read the Text Version

239 โครงสร้างรายวิชาพน้ื ฐาน รายวชิ า ว31111 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต หนว่ ย ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ที่ การเรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวช้ีวัด (ช่วั โมง) คะแนน 1 ระบบนิเวศ ว 1.1 ม.4/1, ระบบนเิ วศมที ้ังบนบกและในน้า หากระบบ 10 25 ม.4/2, นิเวศเสยี สมดลุ ยอ่ มกระทบตอ่ สิ่งมชี วี ติ ทอ่ี าศยั ม.4/3, อย่ใู นระบบนิเวศนั้น มนุษยม์ ีส่วนทาให้ ม.4/4 ทรัพยากรธรรมชาติมปี รมิ าณลดลงหรอื ก่อใหเ้ กดิ มลพิษ ดังน้ัน การใช้ ทรพั ยากรธรรมชาติควรคานึงถงึ การใช้เพ่ือให้ เกิดประโยชน์อย่างย่งั ยนื 2 การรกั ษาดุลยภาพ ว 1.2 ม.4/1, เซลลเ์ ป็นองคป์ ระกอบพ้ืนฐานของส่งิ มชี วี ิต 10 25 ของเซลล์ ม.4/2, การศึกษาเซลลต์ อ้ งใชก้ ลอ้ งจุลทรรศนซ์ ่งึ มีหลาย ม.4/3, ประเภท การรกั ษาดุลยภาพในร่างกาย ม.4/4 จาเป็นตอ้ งอาศยั การทางานประสานรว่ มกัน ต้งั แต่ระดับเซลล์จนถงึ ระบบอวยั วะ 3 ระบบภมู คิ มุ้ กัน ว 1.2 ม.4/5, ในร่างกายคนมรี ะบบภมู คิ มุ้ กนั ซึ่งประกอบด้วย 4 10 ม.4/6, อวัยวะตา่ งๆ ซง่ึ เชื่อมตอ่ กันด้วยระบบนา้ เหลอื ง ม.4/7 เมอ่ื ระบบภูมคิ ้มุ กนั เกิดความผดิ ปกติ มผี ลทา ให้ร่างกายเสยี ดุลยภาพ ซึ่งทาให้เกิดโรคภัยไข้ เจบ็ ต่าง ๆ ได้ 4 การดารงชีวติ ของพชื ว 1.2 ม.4/8, พืชมโี ครงสร้างที่ใช้ในดารงชวี ิต การสรา้ งอาหาร 6 15 ม.4/9, ของพืชเกดิ ขึน้ ในคลอโรพลาสต์ มีดอกเปน็ ม.4/10, อวัยวะในการสรา้ งเซลลส์ ืบพันธ์ุ ม.4/11, นักวทิ ยาศาสตร์สามารถสร้างสารเคมสี งั เคราะห์ ม.4/12 ตา่ ง ๆ ท่มี สี มบัติเหมอื นสารควบคมุ การ เจริญเตบิ โตของพชื เพื่อประโยชน์ทางการเกษตร 5 การถา่ ยทอดลักษณะ ว 1.3 ม.4/1, หนว่ ยพันธุกรรมของสิง่ มชี ีวิตคอื ยนี ซึ่งเป็นสว่ น 10 25 ทางพนั ธกุ รรม ม.4/2, ม.4/3, หน่ึงของ DNA ความรทู้ างพนั ธุศาสตรส์ ามารถ ม.4/4, ม.4/5, พัฒนาไปส่เู ทคโนโลยีทาง DNA ซากดกึ ดา ม.4/6 บรรพ์และการเปรยี บเทียบลาดับเบสบน DNA ทาใหท้ ราบสายวิวฒั นาการของมนุษย์

หน่วย ชอื่ หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั 240 ที่ การเรยี นรู้ เรยี นร/ู้ ตัวช้ีวัด เวลา นา้ หนัก รวม (ชวั่ โมง) คะแนน 40 100

241 คาอธบิ ายรายวิชาพืน้ ฐาน รายวชิ า ว32112 วิทยาศาสตร์กายภาพ 1 ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หน่วยกิต ศึกษาธาตุและสารประกอบ โครงสร้างอะตอม แบบจาลองอะตอม อนุภาคมูลฐานของอะตอม สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ ไอโซโทป ตารางธาตุและสมบัติของธาตุ ตามตารางธาตุ พันธะเคมี สารละลายอิเล็กโทรไลต์และสารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ กรดเบส มอนอเมอร์ พอลิเมอร์ สารประกอบ อินทรีย์ สมบัติความเป็นกรดเบสของสารประกอบอินทรีย์ การละลายของสาร ปฏิกิริยาเคมี สมการเคมี ปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยารีดอกซ์ สมบัติของสารกัมมันตรังสี คร่ึงชีวิตของสาร กัมมันตรงั สี โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การสืบคน้ ขอ้ มลู การสังเกต การวิเคราะห์ การอธิบาย การอภิปรายและสรุป เพือ่ ให้เกดิ ความรู้ ความคิด ความเข้าใจ มคี วามสารถในการตัดสนิ ใจ สือ่ สารส่ิงท่ีเรียนรู้นาความรู้ ไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั มจี ติ วิทยาศาสตร์ เห็นคุณคา่ ของวทิ ยาศาสตร์ มจี ริยธรรม คณุ ธรรมและคา่ นิยมที่ เหมาะสม รหสั ตวั ชี้วัด ว 2.1 ม.5/1, ม.5/2, ม.5/3, ม.5/4, ม.5/5, ม.5/6, ม.5/7, ม.5/8, ม.5/9, ม.5/10 , ม.5/11, ม.5/12, ม.5/13, ม.5/14, ม.5/15, ม.5/16, ม.5/17, ม.5/18, ม.5/19, ม.5/20, ม.5/21, ม.5/22, ม.5/23, ม.5/24, ม.5/25 รวมท้ังหมด 25 ตวั ช้ีวัด

242 โครงสรา้ งรายวชิ าพนื้ ฐาน รายวชิ า ว32112 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ 1 ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 40 ช่วั โมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต หนว่ ยที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ การเรียนรู/้ ตวั ชวี้ ัด (ช่วั โมง) คะแนน 1 ธาตุและสารประกอบ ว 2.1 ม.5/1, • ธาตุในกลมุ่ โลหะ จะนาไฟฟ้าไดด้ ี 10 25 ม.5/2, และมีแนวโนม้ ให้อเิ ลก็ ตรอน ส่วนธาตุใน ม.5/3, กลุ่มอโลหะ จะไมน่ าไฟฟ้า และมี ม.5/4, แนวโนม้ รบั อเิ ลก็ ตรอน โดยธาตุเรพรีเซน ม.5/5, เททฟี ในหมู่ IA – IIA และธาตแุ ทรนซิ ม.5/6, ชนั ทุกธาตุ จัดป็นธาตใุ นกลมุ่ โลหะ ส่วน ม.5/7 ธาตเุ รพรีเซนเททฟี ในหมู่ IIIA – VIIA มี ทงั้ ธาตใุ นกล่มุ โลหะและอโลหะ สว่ นธาตุ เรพรเี ซนเททีฟในหมู่ VIIIA จดั เปน็ ธาตุ อโลหะทง้ั หมด • ธาตุเรพรีเซนเททฟี และธาตุแทรน ซชิ นั นามาใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาวัน ได้หลากหลาย ซ่งึ ธาตุบางชนิดมสี มบัตทิ ี่ เปน็ อนั ตราย จงึ ตอ้ งคานึงถึงการปอ้ งกัน อนั ตรายเพ่ือความปลอดภัยในการใช้ ประโยชน์ 2 พนั ธะเคมี ว 2.1 ม.5/8, • พันธะโคเวเลนต์ เป็นการยดึ เหนี่ยว 8 25 ม.5/9, ระหว่างอะตอมด้วยการใชเ้ วเลนซ์ ม.5/10, อเิ ล็กตรอนร่วมกัน เกิดเปน็ โมเลกุล โดย ม.5/11, การใชเ้ วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกัน 1 คู่ ม.5/12, เรยี กวา่ พนั ธะเดี่ยว เขียนแทนด้วยเส้น ม.5/13, พนั ธะ 1 เส้น ในโครงสร้างโมเลกลุ สว่ น ม.5/14 การใชเ้ วเลนซอ์ เิ ล็กตรอนร่วมกนั 2 คู่ และ 3 คู่ เรียกว่า พนั ธะค่แู ละพันธะ สาม เขยี นแทนด้วยเส้นพันธะ 2 เส้น และ 3 เส้น ตามลาดบั • สารทม่ี ีพนั ธะภายในโมเลกุลเป็นพันธะ โคเวเลนต์ท้งี หมดเรียกวา่ สารโคเวเลนต์ โดยสารโคเวเลนต์ท่ปี ระกอบด้วย 2 อะตอมของธาตุชนิดเดียวกนั เป็นสาร ไมม่ ขี ้ัว สว่ นสารโคเวเลนต์ ที่ ประกอบด้วย 2 อะตอมของธาตุตา่ ง ชนิดกันเป็นสารมีข้ัว สาหรับสารโคเว

243 หน่วยที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ การเรยี นรู้/ตวั ชีว้ ดั (ชั่วโมง) คะแนน เลนต์ทีป่ ระกอบด้วยอะตอมมากกว่า 2 อะตอม อาจเปน็ สารมีข้ัวหรอื ไม่มขี ้ัวอาจ เป็นสารมขี ้ัวหรอื ไมม่ ีขวั้ ขึ้นอยูก่ ับรูปร่าง ของโมเลกลุ ซ่งึ สภาพขัว้ ของสารโคเว เลนต์ส่งผลตอ่ แรงดงึ ดูดระหวา่ งโมเลกลุ ทีท่ าให้จุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดของ สารโคเวเลนตแ์ ตกต่างกนั นอกจากนี้สาร บางชนดิ มจี ุดเดอื ดสงู กว่าปกติ เน่ืองจาก มีแรงดึงดดู ระหว่างโมเลกุลสูงทเี่ รียกวา่ พนั ธะไฮโดรเจน ซง่ึ สารเหลา่ นมี้ พี นั ธะ N-H O-H หรอื F-H ภายในโครงสร้าง โมเลกลุ • สารประกอบไอออนิกส่วนใหญเ่ กดิ จากการรวมตวั กันของไอออนบวกของ ธาตโุ ลหะและไอออนลบของธาตอุ โลหะ ในบางกรณไี อออนอาจประกอบดว้ ยกลุ่ม ของอะตอม โดยเมื่อไอออนรวมตวั กนั เกดิ สารประกอบไอออนิกจะมีสดั สว่ นการ รวมตวั เพื่อทาให้ประจุของสารประกอบ เป็นกลางทางไฟฟ้า โดยไอออนบวกและ ไอออนลบจะจัดเรยี งตัวสลบั ต่อเน่ืองกนั ไปใน 3 มติ ิ เกิดเป็นผลกึ ของสาร ซ่งึ สตู รเคมีของสารประกอบไอออนกิ ประกอบด้วยสัญลักษณธ์ าตุท่เี ป็นไอออน บวกตามดว้ ยสัญลักษณข์ องธาตุที่เปน็ ไอออนลบ โดยมีตัวเลขท่แี สดงจานวน ไอออนแต่ละชนดิ เป็นอัตราสว่ นอยา่ งตา่ • สารละลายน้าไดเ้ ม่อื องค์ประกอบ ของสารสามารถเกดิ แรงดึงดูดกบั โมเลกุล ของนา้ ได้ โดยการละลายของสารในน้า เกดิ ได้ 2 ลักษณะ คือ การละลายแบบ แตกตัว และการละลายแบบไม่แตกตัว การละลายแบบแตกตวั เกิดขึ้นกับ สารประกอบไอออนกิ และสารโคเวเลนต์ บางชนิดทมี่ สี มบัตเิ ป็นกรดหรือเบส โดย เมือ่ สารเกิดการละลายแบบแตกตวั จะได้ ไอออนท่สี ามารถเคลอื่ นท่ีได้ ทาให้ได้

244 หน่วยที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา น้าหนกั 3 การเรยี นรู้ การเรยี นรู/้ ตัวชีว้ ัด (ชั่วโมง) คะแนน พอลเิ มอร์ ทาให้ไดส้ ารละลายท่ีนาไฟฟ้า ซง่ึ เรยี กวา่ สารละลายอิเลก็ โทรไลต์ การละลายแบบ ไม่แตกตัวเกิดข้นึ กับสารโคเวเลนตท์ ่ีมีขั้ว สูงสามารถดงึ ดูดกบั โมเลกลุ ของนา้ ได้ดี โดยเม่อื เกดิ การละลายโมเลกุลของสารจะ ไม่แตกตวั เป็นไอออน และสารละลายที่ ได้จะไม่นาไฟฟ้าซึง่ เรียกว่า สารละลาย นอนอิเลก็ โทรไลต์ • สารประกอบอนิ ทรยี ์เป็น สารประกอบของคาร์บอนส่วนใหญ่พบใน สิ่งมีชวี ติ มีโครงสรา้ งหลากหลาย เน่อื งจากธาตคุ าร์บอนสามารถ สามารถ เกิดพนั ธะกับคาร์บอนด้วยกันเองและธาตุ อนื่ ๆ นอกจากนีพ้ ันธะระหวา่ งคาร์บอนยัง มีหลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ พันธะเดยี่ ว พันธะคู่ และพนั ธะสาม • สารประกอบอนิ ทรยี ์ท่ีมีเฉพาะธาตุ คารบ์ อนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ เรียกว่าสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน โดย สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนอ่มิ ตวั มีพนั ธะ ระหว่างคาร์บอนเปน็ พันธะเดี่ยวทกุ พนั ธะ ในโครงสร้าง สว่ นสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนไม่อ่ิมตวั มพี นั ธะระหวา่ ง คารบ์ อนเป็นพนั ธะคู่หรือพันธะสามอยา่ ง นอ้ ย 1 พันธะในโครงสร้าง ว 2.1 ม.5/15, • สารทพ่ี บในชีวิตประจาวันมีทั้ง 8 25 ม.5/16, โมเลกลุ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ พอลิ ม.5/17, เมอร์เปน็ สารท่ีมีโมเลกุลขนาดใหญ่ท่ีเกิด ม.5/18, จากมอนอเมอร์หลายโมเลกลุ เชื่อมตอ่ กนั ม.5/19 ดว้ ยพันธะเคมี ทาใหส้ มบัติทางกายภาพ ของพอลิเมอร์แตกตา่ งจากมอนอเมอร์ที่ เปน็ สารต้งั ต้น เช่น สถานะ จดุ หลอมเหลว การละลาย • สารประกอบอนิ ทรีย์ท่มี ีหมู่ - COOH สามารถแสดงสมบัตคิ วามเปน็ กรดสว่ นสารประกอบอินทรยี ์ท่มี ีหมู่ - NH2 สามารถแสดงสมบัตคิ วามเปน็ เบส

245 หน่วยที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา น้าหนกั 4 การเรยี นรู้ การเรียนรู/้ ตัวช้วี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน ปฏกิ ริ ยิ าเคมี • การละลายของสารพจิ ารณาไดจ้ าก ความมีขั้วของตวั ละลายและตัวทาละลาย โดยสารสามารถละลายไดใ้ นตัวทาละลาย ท่มี ขี ว้ั ใกลเ้ คยี งกนั โดยสารมขี ้ัวละลายใน ตัวทาละลายท่มี ขี ้ัว ส่วนสารที่ไม่มขี ว้ั ละลายในตัวทาละลายไม่มขี ั้ว และสารมี ขัว้ ไมล่ ะลายในตวั ทาละลายท่ีไม่มีข้ัว • โครงสร้างของพอลเิ มอรอ์ าจเปน็ แบบเสน้ แบบกง่ิ หรอื แบบรา่ งแห โดย พอลิเมอรแ์ บบเส้น และแบบก่งิ มสี มบัติ เทอร์มอพลาสตกิ สว่ นพอลิเมอรแ์ บบ รา่ งแห มสี มบัตเิ ทอร์มอเซต จึงมีการใช้ ประโยชนไ์ ดแ้ ตกตา่ งกัน • การใชผ้ ลติ ภัณฑ์พอลิเมอรใ์ นปรมิ าณ มากกอ่ ให้เกดิ ปญั หาทส่ี ่งผลกระทบต่อ สิ่งมชี วี ติ และสิง่ แวดล้อมดังน้นั จึงควร ตระหนกั ในการลดปรมิ าณการใช้ การใชซ้ ้า และนากลบั มาใชใ้ หม่ • ปฏกิ ิรยิ าเคมที าใหเ้ กดิ การ เปลยี่ นแปลงของสาร โดยปฏิกิริยาเคมี อาจให้พลังงานความร้อน พลังงานแสง หรอื พลงั งานไฟฟา้ ทส่ี ามารถนาไปใช้ ประโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ ได้ ว 2.1 ม.5/20, • ปฏิกิรยิ าเคมแี สดงไดด้ ว้ ยสมการเคมี 10 25 ม.5/21, ซง่ึ มีสตู รเคมขี องสารตงั้ ต้นอยทู่ างด้าน ม.5/22, ซา้ ยของลกู ศร และสตู รเคมีของ ม.5/23, ผลติ ภณั ฑ์อยทู่ างด้านขวา โดยจานวน ม.5/24, อะตอมรวมของแตล่ ะธาตุทางด้านซ้าย ม.5/25 และขวาเท่ากนั นอกจากนี้สมการเคมยี ัง อาจแสดงปจั จัยอน่ื เช่น สถานะ พลงั งานทเ่ี กีย่ วข้อง ตัวเรง่ ปฏิกิริยาเคมีที่ ใช้ • อตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมขี ้นึ อยูก่ ับ ความเข้มข้น อุณหภมู ิ พื้นทผี่ ิว หรือ ตัวเร่งปฏิกริ ิยา • ความรู้เก่ยี วกบั ปัจจัยทมี่ ีผลต่ออัตรา การเกิดปฏิกิรยิ าเคมสี ามารถนาไปใช้

246 หนว่ ยท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ การเรยี นรู/้ ตัวช้วี ดั (ชั่วโมง) คะแนน ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวันและใน อุตสาหกรรม • ปฏิกิรยิ าบางประเภทเกดิ การถา่ ย โอนอเิ ล็กตรอนของสารในปฏกิ ิริยาเคมี ซ่ึง เรยี กวา่ ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ • สารทีส่ ามารถแผ่รังสีได้เรยี กว่า สาร กัมมนั ตรงั สี ซึง่ มนี วิ เคลยี สท่สี ลายตวั อยา่ งตอ่ เน่ือง ระยะเวลาท่ีสาร กมั มันตรังสสี ลายตัวจนเหลอื คร่งึ หนงึ่ ของ ปรมิ าณเดิม เรยี กวา่ คร่ึงชีวิต โดยสาร กมั มนั ตรังสีแต่ละชนดิ มีครึง่ ชวี ิตแตกต่าง กัน รวม 40 100

247 คาอธิบายรายวิชาพ้นื ฐาน รหัสวิชา ว33113 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ 2 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หน่วยกิต ศึกษาหลักการพ้ืนฐานของแรงและการเคลื่อนที่ในเร่ืองระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว ความเรง การเคล่ือนที่แนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล การเคลื่อนที่แบบวงกลมและการ เคลื่อนที่แบบส่ัน แรงที่กระทาต่อวัตถุในสนามโน้มถ่วง และการเคลื่อนท่ีของวัตถุในสนาม โน้มถ่วง แรงท่ีกระทาต่ออนุภาค ที่มีประจุไฟฟ้าในสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก รวมทั้งแรงนิวเคลยี รในนิวเคลียส และการใช้ประโยชน จากแรงและการเคลื่อนท่ีแบบ ต่าง ๆ ศึกษาหลักการพ้ืนฐานของพลังงานในเร่ือง องค์ประกอบของคล่ืน สมบัติ ของคล่ืน เสียงและการได้ยิน ความเข้มเสียง การเกิดเสียงสะท้อนกลับ บีต ดอปเพลอร์ และการสั่นพ้อง ของเสียง มลพิษทางเสียง การมองเห็นสีของวัตถุ การผสมสารสีและการนาไปใช้ประโยชน์ใน ชวี ิตประจาวัน สเปกตรัมคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า การส่ือสารโดยอาศัยคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า หลักการทางานของ อุปกรณ์บางชนิดท่ีอาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสี รังสีในชีวิตประจาวัน ปฏิกิริยานิวเคลียร พลังงานนิวเคลียร และการใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ ผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศในการนาเสนอ และแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และวิเคราะห์การ เปล่ียนแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีมีผลต่อการดาเนินชีวิต อาชีพ สังคม และวัฒนธรรม ประยุกต์ใช้ ความรู้และทกั ษะจากศาสตร์ตา่ งๆ รวมท้งั ทรัพยากรในการทาโครงงานเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูลและการอภปิ ราย เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้ มีความสามารถในการ ตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และ ค่านิยมทเ่ี หมาะสม ตวั ชว้ี ดั ว 2.2 ม.5/1, ม.5/2, ม.5/3, ม.5/4, ม.5/5, ม.5/6, ม.5/7, ม.5/8, ม.5/9, ม.5/10 ว 2.3 ม.5/1, ม.5/2, ม.5/3, ม.5/4, ม.5/5, ม.5/6, ม.5/7, ม.5/8, ม.5/9, ม.5/10 ม.5/11, ม.5/12 รวมทั้งหมด 22 ตวั ช้ีวัด

248 โครงสร้างรายวชิ าพื้นฐาน รหัสวชิ า ว33113 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ 2 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต หนว่ ย ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั (ชวั่ โมง) คะแนน ที่ การเรียนรู้ การเรียนร/ู้ ตวั ช้ีวดั 1 เวกเตอรแ์ รงและกฎ ว 2.2 ม.5/2 แรงสามารถทาให้มวลเปล่ยี นสภาพการ 8 20 การเคลือ่ นท่ี ม.5/3 เคลอ่ื นที่เป็นปริมาณปริมาณเวกเตอร ใช้ ม.5/4 หนว่ ยของในระบบเอสไอเป็นนิวตนั (N) ซง่ึ มวล(Mass) เป็นปรมิ าณทบ่ี อกให้ทราบ ค่าความเฉื่อย(Inertia)อันเป็นสมบัตขิ อง มวลท่ตี า้ นการเปลีย่ นสภาพการเคล่ือนท่ี ของมวล ทั้งน้แี รงใชอ้ ธบิ ายกฎการ เคลอ่ื นที่ของนวิ ตนั 3 ข้อ ซ่งึ กฎการ เคล่ือนที่นเ้ี ป็นผลมาจากค้นพบกฎแรง ดึงดูดระหว่างมวลของนิวตนั อันกลา่ วถึง วตั ถทุ ั้งหลายในเอกภพจะออกแรงดึงดูด ซง่ึ กันและกนั อนั ส่งผลให้ เฮนรี คาเวนดิช (Henry Cavendish) สามารถคิดวธิ ีวัดแรง ดงึ ดดู ระหว่างมวลคา่ น้อยๆไดและ สามารถหาค่า G ได้ 2 การเคลือ่ นทภ่ี ายใต้ ว 2.2 ม.5/1 การบอกตาแหนง่ ของวตั ถใุ น 1 มิติ ต้อง 8 24 แรงโน้มถว่ ง ม.5/5 เทยี บกบั จุดจุดหน่ึงในแนวการเคลื่อนท่ี ม.5/6 เรียกวา่ จดุ อ้างอิงเมอ่ื วัตถุมีการเคล่อื นท่ี ตาแหนง่ ของวตั ถุน้นั จะเปล่ยี นไป การ เปล่ยี นตาแหนง่ ของวตั ถเุ รยี กวา่ การ กระจดั (displacement) เป็นประมาณ เวกเตอร์ ส่วนความยาวตามเสน้ ทางท่วี ัตถุ เคลอื่ นท่ี เรียกว่า ระยะทาง (distance) เป็นปรมิ าณสเกลาร์ ระยะทางทวี่ ัตถุ เคล่อื นที่ไดใ้ นหนึง่ หนว่ ยเวลา จะหมายถึง อตั ราเรว็ เฉลี่ย (Average speed) การ กระจัดต่อหนึ่งหนว่ ยเวลา จะหมายถึง ความเร็วเฉลย่ี (Average velocity) ความเร็วทเ่ี ปล่ียนไปในหน่ึงหน่วยเวลา จะหมายถึง ความเร่ง (acceleration) เมือ่ วตั ถุทเี่ คลื่อนทใ่ี น 1 มติ ิ เม่อื เวลาผ่าน

249 หนว่ ย ชอ่ื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา น้าหนกั ที่ การเรยี นรู้ การเรียนรู้/ตวั ชี้วัด (ช่วั โมง) คะแนน 3 ปรากฏการณแ์ บบ ไปความเร็วและความเร่งของวตั ถอุ าจ คลื่น และคลืน่ เสียง เปลยี่ นไป ปรมิ าณเหล่าน้ีมีความสัมพนั ธ์ กับเวลาที่ใชใ้ นการเคล่ือนท่ี เชน่ กราฟ ความเร็วกบั เวลา โดยความชนั ของกราฟ ความเรว็ กบั เวลา คือ ความเร่ง และ พื้นทใี่ ต้กราฟความเรว็ กบั เวลาเปน็ ระยะทางในแนวตรงที่วตั ถเุ คล่อื นทไี่ ด้ การตกแบบเสรีการตกแบบเสรเี ป็นการ เคลือ่ นที่ของวตั ถภุ ายใตแ้ รงโนม้ ถว่ งของ โลกเพียงแรงเดยี ว โดยไม่คิดแรงตา้ น หรือแรงเสยี ดานของอากาศ ความเรง่ ใน การเคล่อื นท่ขี องวัตถุตกแบบเสรี เรยี กว่า ความเรง่ เนอ่ื งจากแรงโนม้ ถว่ งของโลก ว 2.3 ม.5/3 คลืน่ เป็นปรากฏการณการเคลอ่ื นที่ 8 24 ม.5/4 รูปแบบหนึง่ คลนื่ ท่ีอาศัยตัวกลางในการ ม.5/5 เคลอ่ื นที่ เรียกว่า คล่ืนกล คลื่นท่ีไมอาศัย ม.5/6 ตัวกลางในการเคล่ือนที่ เรียกว่า คลื่น ม.5/7 แมเ่ หล็กไฟฟ้า ลักษณะของคลื่นมี 2 ม.5/8 แบบ คือ คลน่ื ตามยาวและคล่ืนตามขวาง องค์ประกอบของคลื่นตามยาวจะมีส่วน อดั สวนขยายส่วนองคป์ ระกอบของคล่ืน ตามขวาง จะมี สนั คล่ืน ทองคลื่น แอมพลิ จดู ความยาวคลน่ื คาบ ความถ่ี และ อตั ราเร็วคลื่น เสยี งเป็นคล่ืนกลและคลน่ื ตามยาวทีเ่ กิดข้นึ จากแหลงกาเนิดเสียงนัน้ จะประกอบไปด้วยเสียงท่ีมีความถ่ี มากมายผสมกันความถ่ีตา่ สุดของเสยี งท่ี ออกจากแหลง กาเนิดเสียงเรียกว่าความถ่ี มูลฐาน สวนความถ่ี อืน่ ๆ ทีเ่ กดิ ข้นึ พรอม กันน้นั จะเป็นความถที่ ีเ่ ป็นจานวนเทา ของความถมี่ ลู ฐานซ่ึงเราเรยี กว่าความถี่ ฮารม์ อนิก แหลงกาเนิดเสยี งชนิดเดยี วกนั ขณะท่ีสั่นอยูนน้ั ถึงแมว้ ่าจะให้เสยี งซ่ึงมี ทั้งความถ่ีมลู ฐานและความถ่ีฮารมอนกิ แตสาหรบั แหลงกาเนดิ เสียงท่ีแตกต่างกัน

250 หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรยี นรู้ การเรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวดั (ชวั่ โมง) คะแนน 4 แรงแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จานวนฮารมอนิก และความเข้มเสียงของ พลังงานไฟฟา้ คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า มันจะแตกตาง และแสง กนั ส่งผลใหค้ ลน่ื เสยี งแตกตางกัน ดังนั้น การศึกษาลกั ษณะคลน่ื เสยี งท่ีแตกต่าง เรียกวา่ คณุ ภาพเสียง ซึง่ จะแตกต่างกันไป ตามประเภทของแหลงกาเนิดเสยี ง ว 2.2 ม.5/7 เมือ่ ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด 10 20 ม.5/8 จะเกิดสภาพแมเ่ หลก็ รอบ ๆ ขดลวด ถ้า ม.5/9 นาแทง่ เหลก็ ใส่ไว้ในขดลวดจะทาให้แท่ง ว 2.3 ม.5/9 เหลก็ นนั้ มีสภาพเป็นแม่เหล็ก ม.5/10 แม่เหลก็ ไฟฟา้ เป็นส่วนหนึง่ ของมอเตอร์ ม.5/11 ไฟฟ้าที่เปน็ อปุ กรณส์ รา้ งพลงั งานกล และ ม.5/12 เปน็ ส่วนประกอบในไดนาโมซ่ึงเปน็ อปุ กรณ์สร้างพลังงานไฟฟ้า แสงเป็นคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เป็นคลน่ื ชนดิ หนึ่งทเ่ี คลอ่ื นที่โดยไมอาศัยตวั กลาง คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้ามีสมบัตพิ ้ืนฐาน การ สะทอ้ น การหักเห การแทรกสอด การ เลี้ยวเบน คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ประกอบด้วยสนามแม่เหลก็ และ สนามไฟฟ้า ซึง่ มีความสัมพันธ์กนั และ เปล่ียนแปลงตลอดเวลา ทิศ ของสนามทง้ั สองต้ังฉากกันและตั้งฉากกับ ทศิ การเคล่ือนท่ี 5 พลงั งานของแรง ว 2.2 ม.5/10 ปฏิกริ ิยานวิ เคลยี รค์ ือกระบวนการท่ี 6 12 นวิ เคลียร์ ว 2.3 ม.5/1 นวิ เคลยี สเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบหรือ ระดบั พลงั งาน ในทุกสมการปฏกิ ริ ยิ า ม.5/2 นวิ เคลยี ร์ ผลรวมของเลขอะตอมท้ังก่อน และหลงั เกดิ ปฏกิ ริ ิยาจะตอ้ งเท่ากน ซ่ึงแสดงว่า ประจุไฟฟา้ รวมมคี ่าคงตวั และผลรวมของ เลข มวลกอ่ นและหลังเกิดปฏิกริ ิยาจะตอ้ ง เท่ากนั ด้วย แสดงว่าจานวนนิวคลีออนรว

251 หน่วย ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั (ชั่วโมง) คะแนน ท่ี การเรยี นรู้ การเรยี นรู้/ตัวชี้วดั มกอ่ น และหลงั เกดิ ปฏกิ ริ ิยาจะต้องคงตัว รวม 40 100

252 คาอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน รายวิชา ว33114 วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต ศกึ ษากาเนิดและการเปลยี่ นแปลงพลงั งาน สสาร ขนาด อุณหภมู ิของเอกภพหลงั เกิดบกิ แบงใน ชว่ งเวลาต่าง ๆ ตามวิวฒั นาการของเอกภพ โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื ก กระบวนการเกิดดาวฤกษ์ การเปลย่ี นแปลงความดนั อุณหภูมิ ขนาด กระบวนการเกิดระบบสรุ ยิ ะ การ แบ่งเขตบริวารของดวงอาทติ ย์ การสารวจอวกาศ โดยใช้กลอ้ งโทรทรรศนใ์ นชว่ งความยาวคลืน่ ต่าง ๆ ดาวเทียมยานอวกาศสถานีอวกาศ โครงสร้างของดวงอาทติ ย์ การเกดิ ลมสุริยะ การแบ่งช้ันและสมบัตขิ อง โครงสร้างโลก กระบวนการเกิดภเู ขาไฟระเบดิ แผน่ ดนิ ไหว สึนามิ การเคล่อื นท่ีของอากาศ การ หมนุ เวียนของอากาศและน้าผิวหน้าในมหาสมทุ รที่มีตอ่ ลักษณะภูมิอากาศ ลมฟา้ อากาศ ส่ิงมีชีวติ การ เปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศของโลกที่ส่งผลต่อการเปลีย่ นแปลงภมู อิ ากาศโลก โดยใชก้ ารสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละ ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 การสบื ค้นข้อมลู และการอภปิ ราย เพือ่ ใหเ้ กิดความรู้ ความคิด ความเขา้ ใจ สามารถสื่อสารสงิ่ ทเ่ี รยี นรู้ มคี วามสามารถในการ ตดั สินใจ การแกป้ ัญหา การนาความรไู้ ปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และ ค่านยิ มที่เหมาะสม ตวั ชวี้ ัด ว 3.1 ม.6/1, ม.6/2, ม.6/3, ม.6/4, ม.6/5, ม.6/6, ม.6/7, ม.6/8, ม.6/9, ม.6/10 ว 3.2 ม.6/1, ม.6/2, ม.6/3, ม.6/4, ม.6/5, ม.6/6, ม.6/7, ม.6/8, ม.6/9, ม.6/10, ม.6/11, ม.6/12, ม.6/13, ม.6/14 รวมทั้งหมด 24 ตวั ชีว้ ดั

253 โครงสร้างรายวชิ าพ้ืนฐาน รายวิชา ว33114 วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หน่วยกิต หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ชวั่ โมง) คะแนน ที่ การเรียนรู้ การเรียนร/ู้ ตวั ชว้ี ดั 1 กาเนิดและววิ ฒั นาการ ว 3.1 ม.6/1, ทฤษฎีกาเนิดเอกภพทฤษฎีหนึ่ง เรียกวา่ 6 10 ของเอกภพ ม.6/2 “บกิ แบง (BigBang) ” เปน็ ทย่ี อมรับเพราะ มปี รากฏการณ์หลายอย่างทสี่ อดคล้อง ซงึ่ ก่อนการเกิดบิกแบง เอกภพเปน็ พลงั งานล้วนๆ ภายใตอ้ ุณหภมู ิที่สูงยิง่ นบั เปน็ จดุ ที่พลังงานเรม่ิ เปลีย่ นเป็นสสาร ครงั้ แรก เปน็ จุดเริ่มต้นของเวลาและเอก ภพทาให้พลงั งานสว่ นหน่งึ เปล่ยี นเป็นเน้ือ สาร มีวิวฒั นาการต่อเนื่องจนเกดิ เป็น กาแลก็ ซี เนบวิ ลา ดาวฤกษ์ ระบบสุริยะ โลก ดวงจนั ทร์ มนุษย์ และสิง่ มชี ีวติ ต่าง ๆ ปัจจุบันเอกภพประกอบด้วยกาแล็กซี จานวนเปน็ แสนลา้ นแห่ง ระหว่าง กาแล็กซเี ป็นอวกาศขนาดใหญ่ มรี ัศมีไม่ นอ้ ยกว่า 15,000 ล้านปีแสง และมีอายุ ประมาณ 15,000 ล้านปแี สง ภายใน กาแลก็ ซีแตล่ ะแห่งประกอบด้วยดาวฤกษ์ เนบิวลา และท่ีวา่ ง ซง่ึ ขณะเกิดบิกแบง มี เน้อื สารเกิดขน้ึ ในรูปของอนภุ าคพ้นื ฐาน ช่ือ ควารก์ (Quark) อเิ ลก็ ตรอน (Electron) นิวทรโิ น (Neutrino) และโฟตอน (Photon) ซ่งึ เปน็ พลังงาน เมอื่ เกิดอนุภาคก็จะ เกดิ ปฏอิ นุภาค (Anti-particle) ทมี่ ปี ระจุ ไฟฟา้ ตรงกนั ขา้ ม ยกเว้นนิวทริโนและ แอนตินวิ ทรโิ น ไม่มีประจไุ ฟฟ้า ปฏิ อนภุ าคพบอนุภาค จะได้พลังงานและมี อนุภาคเหลืออยู่ เป็นผลให้อนุภาค ก่อกาเนดิ เป็นสสารของเอกภพในปจั จบุ นั โดยนานหลงั บกิ แบง นวิ เคลยี สของ ไฮโดรเจนและฮเี ลยี มดึงอิเล็กตรอนเขา้ มา อยูใ่ นวงโคจร เกดิ เป็นอะตอมไฮโดรเจน

254 หนว่ ย ช่ือหน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ที่ การเรียนรู้ การเรียนร/ู้ ตวั ชว้ี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน 2 กาแลก็ ซีและระบบ และฮีเลยี มตามลาดบั และเกิดมกี าแล็กซี สุริยะ ต่าง ๆ เกดิ หลักบกิ แบงอยา่ งนอ้ ย 1,000 3 ดาวฤกษ์ ล้านปี ภายในกาแล็กซีมธี าตุไฮโดรเจน และฮเี ลียมเปน็ สารเบ้ืองตน้ ซ่ึงก่อกาเนิด เป็นดาวฤกษ์รุน่ แรกๆ สว่ นธาตตุ ่างๆทม่ี ี มวลมากกวา่ ฮีเลยี มเกิดจากดาวฤกษ์ ขนาดใหญ่ โดยในอวกาศมีการค้นพบการ แผ่รังสีซง่ึ เป็นสิง่ หลงเหลือจากเอกภพยคุ แรกเร่ิม การตรวจวัดการแผ่รงั สีพืน้ หลัง ของจักรวาลอย่างแมน่ ยามีความสาคญั มากในการศึกษาจักรวาลวทิ ยา ในความ เชอื่ วา่ ไมโครเวฟพ้ืนหลังเป็นหลกั ฐาน สาหรับการสนับสนนุ ทฤษฎีบิกแบง ว 3.1 ม.6/3, กาแล็กซีถอื กาเนดิ มาจากกลมุ่ แกส๊ ขนาด 4 14 ม.6/8, ใหญ่ ที่เรยี กว่า เนบิวลา เกิดขน้ึ หลังจาก ม.6/9 บิกแบง กาแลก็ ซจี ึงมีองคป์ ระกอบเป็น กล่มุ แก๊สทยี่ ังไม่จับตวั กัน ประกอบด้วย แกส๊ ฝนุ่ ดาวฤกษ์และดาวเคราะหห์ ลาย แสนล้านดวง โลกอย่ใู นกาแล็กซี “ทาง ช้างเผือก” (The Milky Way Galaxy) ว 3.1 ม.6/4, ดาวฤกษ์ คือวัตถุทอ้ งฟ้าท่ีเป็นก้อน 6 16 ม.6/5, พลาสมาสว่างขนาดใหญท่ ี่คงอยูไ่ ด้ดว้ ย ม.6/6, แรงโนม้ ถว่ ง ดาวฤกษ์ทีโ่ ดดเด่นทสี่ ดุ บน ม.6/7, ทรงกลมท้องฟา้ จะถูกจัดเข้าด้วยกนั เปน็ กลุ่มดาว และดาวฤกษ์ทส่ี วา่ งที่สุดจะ ไดร้ ับการต้ังช่อื โดยเฉพาะ นักดาราศาสตร์ จัดทาบญั ชีรายชอื่ ดาวฤกษ์เพ่ือใช้เป็น มาตรฐานในการต้ังชอื่ ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ เปล่งแสงจากปฏิกริ ิยาเทอรโ์ มนิวเคลียร์ ฟวิ ช่นั ที่แกนของดาว แลว้ จงึ แผ่รงั สอี อก ไปส่อู วกาศ ธาตุเคมเี กอื บท้ังหมดซงึ่ เกดิ ข้นึ โดยธรรมชาติกาเนดิ มาจากดาว ฤกษ์ การสังเคราะหน์ ิวเคลียสของดาว ฤกษ์ระหว่างทดี่ าวยังมชี ีวิตอยู่ หรือ ซูเปอร์โนวาหลังจากทดี่ าวฤกษ์เกดิ การ

255 หน่วย ชือ่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ การเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั (ชว่ั โมง) คะแนน 4 เทคโนโลยีอวกาศ ระเบิดหลังส้ินอายุขัยนักดาราศาสตร์ 5 โครงสรา้ งกาเนิดโลก สามารถระบุขนาดของมวล อายุ ธรณีแปรสณั ฐานและ ปรากฏการณ์ทาง ส่วนประกอบทางเคมี และคุณสมบัติของ ดาวฤกษ์อีกหลายประการได้จากการ สงั เกตสเปกตรัม ความสวา่ ง และการ เคลื่อนทีใ่ นอวกาศ มวลรวมของดาวฤกษ์ เป็นตวั กาหนดหลกั ในลาดบั วิวัฒนาการ และจุดส้นิ สดุ ของดาว สว่ นคณุ สมบัตอิ ืน่ ของดาวฤกษ์ เชน่ เสน้ ผ่านศูนย์กลาง การ หมุน การเคลอื่ นท่ี และอุณหภูมิ ถกู กาหนดจากประวัติวิวฒั นาการของดาว แผนภาพคลู่ าดับระหว่างอุณหภมู ิกบั ความสว่างของดาวฤกษ์จากไดอะแกรม ของแฮรท์ สชปรงุ -รสั เซลล์ (H-R ไดอะแกรม) ชว่ ยทาให้สามารถระบุอายุ และรูปแบบวิวฒั นาการของดาวฤกษ์ ว 3.1 ม.6/10 เทคโนโลยอี วกาศ เปน็ ระเบียบวธิ กี ารนา 4 10 ความรู้ เครอื่ งมือ และวิธกี ารต่างๆ ทาง วิทยาศาสตร์มาปรบั ใช้กบั การศึกษา ทางด้านดาราศาสตร์ และอวกาศ ทั้ง นามาประยุกต์ใช้ใหส้ อดคลอ้ งกบั ทรัพยากรธรรมชาติและการดารงชีวิตของ มนุษย์ ซง่ึ การสารวจสิ่งต่างๆท่อี ยู่บนโลก และนอกโลก อาศัยเทคโนโลยีอวกาศที่ พฒั นาไปมากได้มาซง่ึ ความรู้ใหม่ทั้งด้าน การสอ่ื สาร การสารวจทรัพยากรของโลก ดา้ นอตุ ุนยิ มวทิ ยา ทั้งนกี้ ารเดินทางสู่ อวกาศอาศยั ปจั จัยท่ีสาคญั คือ แรงโนม้ ถ่วงของโลก แรงกิริยา และ แรงปฏกิ ริ ิยา ทาใหค้ วามก้าวหน้าทางเทคโนโลยอี วกาศ นาไปสู่การสารวจดวงดาว อวกาศ เอกภพ และวัตถุท้องฟ้าตา่ ง ๆ ว 3.2 ม.6/1, การศึกษาโครงสร้างโลกใช้ข้อมลู จาก 8 20 ม.6/2, องค์ประกอบเคมีของหนิ แร่ และ ม.6/3, อุกกาบาต ข้อมลู คลื่นไหวสะเทอื นที่

256 หน่วย ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา น้าหนกั ที่ การเรียนรู้ การเรียนร/ู้ ตัวชวี้ ัด (ช่ัวโมง) คะแนน ธรณวี ิทยา ม.6/4, เคล่อื นท่ผี า่ นโลก จึงแบ่งชั้นโครงสร้างโลก 6 การหมุนเวยี นของ อากาศ ม.6/5, ได้ คอื โครงสร้างโลกตามองค์ประกอบทาง ม.6/6 เคมไี ด้เป็น เปลือกโลก เนื้อโลก และแกน่ โลก และโครงสร้างโลก ตาม สมบตั เิ ชงิ กล แบง่ ได้คือ ธรณภี าค ฐานธรณภี าค มชั ฌิมภาค แก่นโลก ชน้ั นอก และแกน่ โลกชัน้ ใน แผน่ ธรณีตา่ ง ๆเป็น ส่วนประกอบของธรณีภาค การ เปล่ียนแปลงขนาดและตาแหนง่ ตง้ั แต่ อดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน อธิบายได้ตามทฤษฎี ธรณีแปรสัณฐานมาจาก รากฐานทฤษฎีทวีปเลอื่ นและทฤษฎี การแผ่ขยายพ้ืนสมทุ ร โดยมีหลกั ฐานที่ สนบั สนุน ไดแ้ ก่รูปร่างของขอบทวปี ที่สามารถ เช่ือมต่อกนั ได้ความคล้ายคลงึ กนั ของกลมุ่ หนิ และแนวเทือกเขาซากดกึ ดาบรรพ์ ร่องรอยการเคล่ือนท่ขี องตะกอนธาร น้าแขง็ ภาวะแมเ่ หล็กโลกบรรพกาลอายุ หนิ ของพื้นมหาสมุทร รวมท้งั การคน้ พบ สนั เขากลางสมุทร และรอ่ งลกึ กน้ สมุทร ซง่ึ เป็นผลมากการพาความรอ้ นของแมก มาภายในโลก ทาให้เกิดการเคลื่อนท่ีของ แผน่ ธรณี รวมถึงการพบการเกดิ ธรณีพบิ ตั ิ ภัยท่ีบริเวณแนวรอย ตอ่ ของแผน่ ธรณีเช่น แผน่ ดินไหว ภเู ขาไฟ ระเบิด สึนามซิ ึง่ หลกั ฐานดงั กลา่ วสมั พนั ธ์กบั รูปแบบการเคล่ือนท่ีของแผ่นธรณี ว 3.2 ม.6/7, พนื้ ผิวโลกแตล่ ะบริเวณได้รบั พลงั งานจาก 8 20 ม.6/8, ดวงอาทิตยใ์ นปริมาณทแี่ ตกต่างกัน ม.6/9, เน่อื งจาก ม.6/10, ปจั จัยสาคญั หลายประการส่งผลใหม้ ีความ

257 หนว่ ย ชอื่ หน่วย มาตรฐาน สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ชัว่ โมง) คะแนน ท่ี การเรยี นรู้ การเรียนร/ู้ ตัวชี้วดั ม.6/11, กดอากาศแตกตา่ งกนั สองบรเิ วณ และ ม.6/12 เกิดการถ่ายโอนพลังงานระหว่างกัน ทา ให้เกดิ การหมุนเวียนของอากาศเกดิ ขึ้น อีกท้ังการหมุนรอบตัวเองของโลกทาให้ เกดิ แรงคอริออลิสสง่ ผลใหท้ ิศทางการ เคล่อื นที่ของอากาศเบนไป และทาให้ อากาศในแตล่ ะซีกโลกเกดิ การหมุนเวียน ของอากาศตามเขตละตจิ ดู ดว้ ย รวมถึง บรเิ วณรอยตอ่ ของการหมนุ เวียนอากาศ แต่ละแถบละติจูด จะมลี ักษณะลมฟา้ อากาศตา่ งกัน อทิ ธิพลจากการหมนุ เวยี น ของอากาศในแต่ละแถบละติจูดเป็นปัจจัย หลกั ทาใหบ้ รเิ วณซีกโลกเหนอื และใตม้ ี ทศิ ทางกระแสน้าผวิ หน้ามหาสมทุ ร ต่างกนั สง่ ผลตอ่ ภูมิอากาศ ลมฟา้ อากาศ ส่ิงมีชีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม และเม่อื การ หมุนเวยี นอากาศและน้าในมหาสมทุ ร แปรปรวน ทาให้เกดิ ผลกระทบตอ่ สภาพ ลมฟ้าอากาศ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ และลานีญา 7 การเปลยี่ นแปลง ว 3.2 ม.6/13, โลกไดร้ บั พลงั งานจากดวงอาทติ ยโ์ ดย 4 10 ปรมิ าณ ภูมอิ ากาศและ ม.6/14 พลงั งานเฉล่ยี ท่ีโลกไดร้ ับเท่ากับพลงั งาน เฉล่ีย สารสนเทศของลมฟ้า ทโี่ ลกปลดปล่อยกลับสูอ่ วกาศ หากสมดลุ พลังงานของโลกเกดิ การเปลีย่ นแปลงไป อากาศ จะทาให้อณุ หภูมิเฉล่ยี ของโลกและ ภมู ิอากาศเกดิ การเปลีย่ นแปลงได้ มนษุ ย์ มสี ว่ นชว่ ยในการชะลอการเปลี่ยนแปลง ภูมอิ ากาศโลกไดโ้ ดยการลดกิจกรรมท่ีทา ใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงสมดลุ พลังงาน มนษุ ย์จงึ ต้องมเี ทคโนโลยีเพอ่ื ตรวจสอบ และหาหนทางแกป้ ัญหาด้วยขอ้ มลู การ ตรวจอากาศ

258 หน่วย ช่อื หน่วย มาตรฐาน สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั (ชวั่ โมง) คะแนน ท่ี การเรยี นรู้ การเรียนรู้/ตวั ช้วี ดั ในรปู แบบสัญลกั ษณ์หรอื ตัวเลข ทาให้ ทราบลักษณะลมฟ้าอากาศ รวมถึงการ แปลความหมายสัญลกั ษณ์ทปี่ รากฏบน แผนทีอ่ ากาศ ร่วมกบั ขอ้ มูลสารสนเทศ ต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประยุกต์เก่ียวกบั การพยากรณ์อากาศเรดารต์ รวจอากาศ ภาพถา่ ยดาวเทียม สามารถนามาวาง แผนการดาเนินชวี ิตให้สอดคล้องกับสภาพ ลมฟ้าอากาศ รวม 40 100

259 คาอธิบายรายวชิ าเพิ่มเติม รายวชิ า ว31201 กลศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 80 ชั่วโมง จานวน 2.0 หน่วยกิต ศกึ ษาธรรมชาติของวิชาฟิสิกส ปรมิ าณกายภาพและหน่วย การวัด ความคลาดเคลื่อน ในการวัดและการทดลองในวิชาฟสิ กิ ส การบอกตาแหน่งของวัตถุ ความสมั พันธ์ระหวา่ งปรมิ าณต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการเคลอ่ื นทีแ่ นวตรงด้วยความเร่งคงตัว แรงและผลของแรงที่มตี ่อสภาพการเคลอื่ นที่ของวัตถุ กฎการเคลื่อนทข่ี องนิวตัน กฎแรงดึงดูดระหว่างมวล และแรงเสียดทาน ศึกษาสมดุลกลของโมเมนตท์ ่ีมีตอ่ การหมนุ แรงคู่ควบและผลของแรงคู่ควบที่มตี ่อสมดุลของวัตถุ หลักการของกลศาสตร์ในเร่อื ง งาน พลงั งาน ความสมั พนั ธ์ระหว่างานและพลังงานจลน์ กฎการอนุรกั ษ์พลังงาน กาลงั เครื่องกลอย่างง่ายและ ประสทิ ธิภาพของเคร่ืองกล โมเมนตมั การชนกนั ของวัตถุและกฎการอนุรกั ษ์ โมเมนตมั การเคลอื่ นที่แบบหมนุ ทอรก์ และผลของทอรกท่ีมตี ่อสภาพการหมุน การเคลอื่ นท่แี บบโพรเจก ไทล์ แบบวงกลมในการอธบิ ายการโคจรของดาวเทยี ม โดยใชก้ ารสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 การสบื ค้นข้อมูล การอภิปรายและการนาเสนอ เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสอ่ื สารสิ่งที่เรยี นรู้ มคี วามสามารถในการ ตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนาความรูไ้ ปใช้ในชวี ติ ประจาวัน มจี ิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และ ค่านิยมที่เหมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. สืบคน้ และอธิบายการคน้ หาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวตั ิความเป็นมา รวมทั้งพฒั นาการของ หลกั การและแนวคดิ ทางฟิสกิ ส์ทีม่ ผี ลต่อการแสวงหาความรู้ใหมแ่ ละการพัฒนาเทคโนโลยี 2. วดั และรายงานผลการวดั ปริมาณทางฟสิ กิ ส์ ไดถ้ ูกต้องเหมาะสม โดยนาความคลาดเคล่อื น ใน การวดั มาพจิ ารณาในการนาเสนอผล รวมทั้ง แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วเิ คราะห์ และแปล ความหมายจากกราฟเสน้ ตรง 3. ทดลอง และอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหว่าง ตาแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่ง ของ การเคลื่อนท่ขี องวตั ถุในแนวตรงท่ีมีความเร่ง คงตวั จากกราฟและสมการ รวมทง้ั ทดลองหาค่า ความเรง่ โน้มถ่วงของโลกและคานวณปรมิ าณ ตา่ งๆ ท่ีเกีย่ วข้อง 4. ทดลอง และอธิบายการหาแรงลพั ธข์ องแรงสอง แรงท่ีทามุมต่อกัน 5. เขยี นแผนภาพของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุอสิ ระ ทดลอง และอธิบายกฎการเคลื่อนทขี่ องนิวตนั และการใช้กฎการเคล่ือนที่ของนิวตันกบั สภาพการ เคลอ่ื นทีข่ องวัตถรุ วมทง้ั คานวณปริมาณตา่ งๆที่ เกยี่ วข้อง 6. อธบิ ายกฎความโนม้ ถว่ งสากลและผลของสนามโนม้ ถ่วงท่ที าให้วตั ถุมนี า้ หนกั รวมทง้ั คานวณ ปริมาณตา่ งๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง 7. วิเคราะห์ อธบิ าย และคานวณแรงเสียดทาน ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคหู่ น่ึงๆ ในกรณที วี่ ัตถุ หยดุ น่ิงและวตั ถุเคลอ่ื นท่ี รวมท้งั ทดลองหา สมั ประสทิ ธคิ์ วามเสยี ดทานระหวา่ งผิวสัมผัส ของวตั ถุคหู่ นึง่ ๆ และนาความรเู้ ร่ืองแรงเสยี ด ทานไปใช้ในชวี ิตประจาวนั

260 8. อธิบายสมดลุ กลของวัตถุ โมเมนต์และผลรวม ของโมเมนตท์ ่ีมีต่อการหมุน แรงคู่ควบและผล ของแรงคคู่ วบที่มีต่อสมดลุ ของวัตถเุ ขียน แผนภาพของแรงที่กระทาต่อวัตถุอิสระเม่ือวัตถุ อยใู่ นสมดุลกล และคานวณปริมาณตา่ งๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งรวมท้ังทดลองและอธิบายสมดุลของแรงสามแรง 9. สงั เกต และอธบิ ายสภาพการเคลื่อนท่ีของวตั ถเุ ม่ือแรงท่ีกระทาตอ่ วัตถุผ่านศูนยก์ ลางมวลของ วัตถุ และผลของศนู ยถ์ ่วงทม่ี ีต่อเสถียรภาพของวตั ถุ 10. วเิ คราะห์ และคานวณงานของแรงคงตวั จากสมการและพนื้ ที่ใตก้ ราฟความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง แรงกบั ตาแหน่ง รวมทง้ั อธิบาย และคานวณกาลังเฉลยี่ 11. อธิบาย และคานวณพลังงานจลน์ พลงั งานศักย์ พลังงานกล ทดลองหาความสมั พนั ธ์ ระหวา่ ง งานกบั พลังงานจลน์ ความสัมพันธ์ ระหวา่ งงานกบั พลงั งานศกั ยโ์ นน้ ถ่วง ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขนาดของ แรงทใ่ี ช้ดงึ สปรงิ กับระยะท่สี ปริงยดื ออกและความสัมพันธร์ ะหว่างงานกบั พลังงานศักยย์ ดื หย่นุ รวมท้งั อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างงานของแรงลัพธ์จากแรงลัพธ์ และคานวณงานทเี่ กดิ ขึ้นจากแรงลัพธ์ 12. อธบิ ายกฎการอนรุ ักษพ์ ลังงานกลรวมทง้ั วิเคราะห์และคานวณปริมาณตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง กับ การเคลื่อนท่ขี องวัตถุในสถานการณต์ า่ งๆ โดยใชก้ ฎการอนุรักษพ์ ลังงานก 13. อธิบายการทางาน ประสิทธิภาพและการได้ เปรียบเชิงกลของเคร่ืองกลอย่างงา่ ยบางชนิด โดยใช้ความรูเ้ รือ่ งงานและสมดุลกล รวมทัง้ คานวณประสิทธิภาพและการไดเ้ ปรยี บเชงิ ก 14. อธบิ าย และคานวณโมเมนตัมของวัตถุ และ การดลจากสมการและพื้นที่ใต้กราฟ ความสมั พันธร์ ะหว่างแรงลัพธ์กับเวลา รวมท้งั อธิบายความสมั พันธ์ระหว่างแรงดลกับ โมเมนตัม 15. ทดลอง อธิบาย และคานวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วกับการชนของวตั ถุในหน่ึงมติ ิ ท้ังแบบ ยดื หยุ่นไมย่ ดื หยุน่ และการดีดตัวแยกจากกัน ในหนงึ่ มติ ิซ่ึงเปน็ ไปตามกฎการอนรุ ักษ์ โมเมนตัม 16. อธิบาย วเิ คราะห์ และคานวณปริมาณต่างๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกับการเคลอ่ื นที่แบบโพรเจกไทลแ์ ละ ทดลองการเคลอ่ื นท่ีแบบโพรเจกไทล์ 17. ทดลอง และอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง แรงสศู่ นู ย์กลาง รศั มขี องการเคลอ่ื นทอี่ ัตราเร็วเชิง เสน้ อัตราเร็วเชิงมมุ และมวล ของวตั ถุ ในการเคล่ือนที่แบบวงกลมในระนาบ ระดับรวมทั้งคานวณ ปริมาณตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วข้องและประยกุ ตใ์ ช้ความรกู้ ารเคลือ่ นท่ีแบบวงกลม ในการอธิบายการโคจรของ ดาวเทยี ม รวมทั้งหมด 17 ผลการเรียนรู้

261 โครงสร้างรายวชิ าเพิม่ เติม รายวิชา ว31201 กลศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 80 ช่ัวโมง จานวน 2.0 หน่วยกิต หน่วย ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ที่ การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน 1 การวัด หน่วยระหวา่ ง ขอ้ 1, 2 ฟสิ กิ ส์ เปน็ วิชาทีศ่ กึ ษาหากฎเกณฑต์ ่างๆ 8 15 ชาติ คณติ ศาสตร์ สาหรับอธบิ ายปรากฏการณ์ในธรรมชาติ สาหรบั ฟิสิกส์ การ ความสัมพนั ธ์ระหว่างสสารและพลังงาน เป็น แปลความหมาย ผลมาจากการพัฒนาความรู้ของมนุษย์ เกดิ ขอ้ มลู จากการสังเกต การบนั ทึกข้อมลู และการ วเิ คราะห์ข้อมูลท่ีได้เพื่อสรุปเป็นความร้แู ละ มองเหน็ ความสัมพนั ธ์ในเชิงคณติ ศาสตร์ ระหว่างส่ิงตา่ ง ๆรอบตัวอย่างมนี ยั สาคญั ด้วย หนว่ ยมาตรฐานในวงการวทิ ยาศาสตรท์ ว่ั โลก เรียกว่า “ระบบหนว่ ยระหวา่ งชาติ (SI Unit)” ซง่ึ วิธที ดลองได้ออกแบบตามเครอ่ื งมือหรือ อุปกรณ์มีการนาเสนอข้อมูลจากการทดลอง การวิเคราะห์ การแปลผล และลงข้อสรปุ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจ และเรียนรู้ตาม จุดประสงคข์ องการทดลองน้ัน ๆ 2 การเคล่ือนท่ี ข้อ 3, 16 ,17 การบอกตาแหน่งของวตั ถใุ น 1 มติ ิต้องเทียบ 14 15 กบั จดุ อา้ งอิง เมื่อวตั ถุมีการเคล่อื นท่ีตาแหน่ง ของวัตถนุ ้ันจะเปลี่ยนไป การเปลีย่ นตาแหน่ง ของวัตถุเรยี กวา่ การกระจัด (displacement) การกระจัดเป็นประมาณเวกเตอร์ ส่วนความ ยาวตามเสน้ ทางทว่ี ัตถุเคล่อื นท่ี เรยี กวา่ ระยะทาง (distance) ปรมิ าณทเ่ี กยี่ วข้องกบั การเคล่อื นท่ี นอกจากการกระจดั และ ระยะทางแล้วยงั มีอัตราเรว็ ความเร็ว และ ความเรง่ รวมถงึ การเคล่ือนท่ีในแนวด่งิ จะเป็น การเคล่อื นท่ภี ายใตแ้ รงโน้มถ่วงของโลก ปรมิ าณตา่ งๆ ซง่ึ เกยี่ วข้องกับการเคล่อื นทไ่ี ด แก ระยะทาง การกระจดั อัตราเรว็ เฉล่ีย อตั ราเรว็ ขณะหนง่ึ ความเร็วเฉลีย่ ความเร็ว ขณะหนึ่ง ความเร่งเฉล่ีย ความเร่งขณะหนง่ึ รวมทัง้ การนาความรูเร่ืองการเคลอ่ื นท่ีแนว

262 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ท่ี การเรียนรู้ ขอ้ 4, 5, 6, 7 (ชว่ั โมง) คะแนน 3 แรงและกฎการ ตรงไปใช้ในชวี ติ ประจาวัน ส่วนการเคลื่อนท่ี เคลื่อนที่ ใน 2 มิติประกอบด้วยการเคล่ือนทแ่ี บบ โพรเจกไทล์ คือ การเคลือ่ นท่ีของวตั ถุเป็นแนว โคง้ ในกรณีท่ีวัตถเุ คล่ือนทีอ่ ย่างเสรดี ้วยแรง โน้มถว่ งคงที่ เช่น วตั ถเุ คล่ือนที่ไปในอากาศ ภายใตแ้ รงโน้มถ่วงของโลก ทางเดินของวัตถุ จะเปน็ รูปพาราโบลา และการเคลอ่ื นท่เี ป็น วงกลม ลักษณะการเคลอื่ นท่ีของวัตถจุ ะมีแรง กระทาต้ังฉากกบั เวกเตอร์ความเร็วเสมอ ตลอดการเคล่อื นท่ี วัตถจุ ะเคลอ่ื นทด่ี ว้ ย ความเรว็ คงที่ในแนววงกลม แต่จะมคี วามเร่ง ซง่ึ จะขน้ึ กับการเปล่ยี นเวกเตอรค์ วามเรว็ ทมี่ ี ทศิ สมั ผสั กบั เส้นทางการเคลอื่ นที่ของวตั ถุและ มีทิศตง้ั ฉากกบั แนวรศั มีวงกลม เรียกความเรง่ ชนิดนวี้ า่ ความเร่งแนวสมั ผสั วงกลม (aT) ทัง้ เวกเตอรค์ วามเร่งในการเคลื่อนที่แบบ วงกลมจะมีทศิ ต้ังฉากกับเส้นทางการเคลอ่ื นที่ ของวัตถุและมีทศิ พงุ่ เข้าสูจ่ ุดศูนยก์ ลางวงกลม เสมอเรยี กความเรง่ นี้ว่า ความเร่งสู่ศนู ย์กลาง (ac) มวล (mass) เป็นสมบตั ขิ องก้อนสสารทีบ่ ่ง 18 20 บอกถงึ คา่ ความตา้ นทานในการเปล่ยี นสภาพ การเคล่อื นที่ หรือเป็นปริมาณท่ีแปรผันตรง กับค่าความต้านทานต่อการเกิดความเร่งเม่ือ ถูกแรงกระทาหรือ มวล(m) ของวตั ถุ หมายถึง ความเฉื่อยตอ่ การเคลื่อนท่ี มวลมหี นว่ ยเปน็ กิโลกรัม (kg) ทงั้ นเี้ ซอร์ ไอแซค นิวตัน พบว่า ถ้าไม่มแี รงภายนอกมากระทาตอ่ มวล มวลท่ี หยุดนงิ่ ก็ยงั คงหยุดน่งิ ต่อไป หรือถา้ วัตถุ เคลื่อนทีว่ ตั ถุก็จะยังคงเคลือ่ นที่ด้วยความเร็ว คงที่ต่อไป แต่ถ้าในกรณที ่ีแรงลัพธ์ไมเ่ ป็นศนู ย์ มวลจะเคล่ือนทีด่ ว้ ยความเร่งหรอื เปล่ยี นแปลงสภาพการเคล่อื นท่ี อีกทัง้ ยงั มี แรงเสยี ดทานจากการสมั ผสั กันของวัตถเุ มอ่ื เคลื่อนทผ่ี ่านกัน และเม่อื วตั ถุหน่ึงออกแรง

263 หน่วย ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ขอ้ 10, 11, 4 งานและพลังงาน 12, 13 กระทาตอ่ อีกวัตถหุ นึ่ง จะมีแรงขนาดเทา่ กนั 5 โมเมนตัมและการชน ขอ้ 14, 15 กระทาโตต้ อบแต่ทิศทางตรงข้ามกบั ทิศทาง ของวตั ถุแรก และเมื่อแตล่ ะจุดมวลในเอกภพ จะดงึ ดูดจดุ มวลอื่นๆ ด้วยแรงท่มี ขี นาดเป็น สดั ส่วนโดยตรงกับผลคูณของมวลทง้ั สอง และ เปน็ สัดส่วนผกผันกบั คา่ กาลงั สองของ ระยะห่างระหวา่ งกัน เรียกวา่ กฎความโนม้ ถ่วงสากลของนวิ ตนั งาน (work) คอื ผลของแรงที่กระทาตอ่ วตั ถุ 18 20 แลว้ ทาใหว้ ตั ถเุ คล่ือนทไ่ี ปตามแนวราบ ส่วน พลังงาน (energy) คอื ความสามารถในการ ทางานได้ของวัตถุหรือสสารต่าง ๆ โดย พลังงานสามารถทาให้สสารเกิดการ เปล่ยี นแปลงได้ เช่นทาใหส้ สารร้อนข้นึ เกิด การเคลอ่ื นท่ีเปลย่ี นสถานะเป็นต้น พลงั งานมี หน่วยเป็นจูล และเป็นไปตามกฎการอนรุ ักษ์ พลงั งาน (Law of conservation of energy) ทว่ี า่ \"พลงั งานรวมของวัตถุจะไม่สญู หายไป ไหน แตส่ ามารถเปลย่ี นจากรูปหน่ึงไปเป็นอกี รูปหนึ่งได้\" โมเมนตัมเปน็ ปรมิ าณบอกถึงความพยายามที่ 10 15 วตั ถุจะเคล่ือนทไ่ี ปขา้ งหน้า ข้ึนอยู่กบั มวลและ ความเร็วของวตั ถใุ นขณะน้ัน ซง่ึ แรงลพั ธท์ ่ี กระทาต่อวัตถุเทา่ กับอตั ราการเปล่ียนโมเม นตมั ของวัตถุนน้ั และถ้าคา่ ของแรงลัพธค์ ูณ กับเวลา เราเรียกปรมิ าณนวี้ า่ การดล และ เมอ่ื วัตถุมีการชน ( Collision ) หมายถงึ การท่ี วัตถหุ น่งึ กระทบกับอีกวตั ถุหน่ึงในชว่ งเวลา สนั่ ๆ หรือในบางคร้ังวัตถอุ าจ ไม่ต้องกระทบ กัน แตม่ ีแรงมากระทาตอ่ วัตถุแล้วให้ผล เหมอื นกบั การชน เช่น การระเบดิ ของวตั ถุ ระเบิด การ ยิงปนื ในการชนของวตั ถุโดยมาก มักจะมีแรงภายนอกมากระทาตอ่ วตั ถุ ซึ่ง ขนาดของแรงจะมากหรือน้อย ขน้ึ อยกู่ ับ ลกั ษณะการชนของวัตถุ และในการชนอาจมี

264 หนว่ ย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน 6 สมดุล การสญู เสยี คา่ โมเมนตัมมากหรอื นอ้ ย หรือไม่ สูญเสียเลยกไ็ ด้ทั้งนโี้ มเมนตัมมสี มบตั คิ ือจะถูก อนุรกั ษ์อย่เู สมอ (ไมเ่ พมิ่ ขึ้น และใน ขณะเดยี วกนั ก็ไม่ลดหายไป) ขอ้ 8, 9 สภาพสมดลุ (Equilibrium) คือ สมดลุ ท่เี กิดขึ้น 12 15 ในขณะที่ วตั ถุอยูใ่ นสภาพนิ่ง หรอื เคลอ่ื นท่ี ดว้ ยความเรว็ คงตวั ถ้าแรงลัพธ์ทีก่ ระทาต่อ วัตถมุ คี า่ เปน็ ศูนย์ สภาพสมดุลอาจแบง่ เป็น 2 ประเภท ได้แก่ คือสมดุลสถิต (Static Equilibrium) เป็นสมดุลของวัตถุขณะอยู่นิ่ง และสมดุลจลน์ (Kinetic Equilibrium) เป็น สมดลุ ของวตั ถุทเี่ คล่ือนท่ีดว้ ยความเรว็ คงท่ี (a = 0) ซง่ึ เม่ือพจิ ารณาการเคลื่อนทเ่ี ปน็ หลกั จะ มเี งือ่ นไขสมดลุ อยู่ 2 อย่างคือ สมดลุ ตอ่ การ เลอ่ื นท่ี คือ วตั ถุอยูน่ ง่ิ หรือเคล่ือนที่ดว้ ย ความเรว็ คงตัว และสมดลุ ต่อการหมนุ คือ วตั ถุมีอัตราการหมุนคงตัวผลรวมของโมเมนต์ โดยสภาพสมดุลจะมผี ลตอ่ เสถียรภาพของวตั ถุ คอื สมดุลเสถียร อันเป็นสภาพสมดลุ ของวัตถุ ซง่ึ มีลักษณะทว่ี ตั ถุสามารถกลับสู่สภาพสมดลุ ทตี่ าแหนง่ เดิมได้ โดยเมื่อแรงกระทากับวตั ถุท่ี อยู่ในสมดุลเสถยี ร จดุ ศนู ย์ถว่ งจะอยู่สูงกวา่ ระดบั เดิม แต่เมื่อเอาแรงออกวัตถุจะกลบั สภาพเดิม สมดุลสะเทิน คือสภาพสมดุลของ วตั ถทุ อ่ี ยู่ในลักษณะสามารถคงสภาพสมดุลอยู่ ได้ โดยมตี าแหนง่ สมดุลท่ีเปล่ียนไป และ สมดุลไมเ่ สถียร คือ สภาพสมดลุ ของวตั ถุทอี่ ยู่ ในลักษณะที่ไม่สามารถกลบั สู่สภาพเดิมได้ รวม 80 100

265 คาอธิบายรายวิชาเพ่ิมเตมิ รายวชิ า ว31221 เคมี 1 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ช่ัวโมง จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ศกึ ษา อธิบายเกี่ยวกบั ข้อปฏิบตั เิ บอ้ื งต้นและการปฏิบัตติ นในการทาปฏิบตั ิการเคมี แนวทางแก้ไข เม่ือเกดิ อบุ ตั ิเหตุ การเลอื กและใชอ้ ปุ กรณห์ รอื เครื่องมอื ในการทาปฏบิ ัติการ การนาเสนอแผนการทดลอง การทดลองและการเขียนรายงานการทดลอง การระบหุ น่วยวัดปรมิ าณของสาร และการเปลย่ี นหนว่ ยวัด ขอ้ มลู สมมติฐาน การทดลอง ผลการทดลองที่เปน็ ประจักษ์พยานในการเสนอแบบจาลองอะตอมของ นักวิทยาศาสตร์ ววิ ัฒนาการของแบบจาลองอะตอม สัญลักษณ์นิวเคลยี ร์ของธาตุ จานวนโปรตอน นวิ ตรอน และอิเล็กตรอนของอะตอมจากสญั ลักษณ์นวิ เคลียร์ ความหมายของไอโซโทป การจดั เรยี ง อเิ ล็กตรอนในระดับพลังงานหลกั และระดับพลังงานยอ่ ย ความเป็นโลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะของธาตุ เรพรีเซนเททฟี และธาตแุ ทรนซชิ ันในตารางธาตุ แนวโนม้ สมบัตขิ องธาตเุ รพรเี ซนเททีฟ ธาตุโลหะแทรนซิ ชัน การคานวณคร่ึงชีวติ ของไอโซโทปกมั มนั ตรังสี การนาธาตมุ าใช้ประโยชน์ รวมทงั้ ผลกระทบต่อ สิง่ มชี ีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม การเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะไอออนิก แผนภาพหรอื สญั ลักษณ์แบบจุดของ ลวิ อสิ สูตรและชอ่ื สารประกอบไอออนิก การคานวณพลงั งานทีเ่ กี่ยวข้องกบั ปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบ ไอออนิกจากวฏั จักรบอรน์ -ฮาเบอร์ สมบัตขิ องสารประกอบไอออนิก สมการไอออนิกและสมการไอออนิก สทุ ธิของปฏิกริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก การเกดิ พนั ธะโคเวเลนตแ์ บบพันธะเด่ียว พนั ธะคู่ และพันธะ สาม สตู รและชอื่ สารโคเวเลนต์ ความยาวพนั ธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ การคานวณพลงั งาน ที่เกย่ี วข้องกับปฏิกิริยาของสารโคเวเลนต์จากพลังงานพันธะ การคาดคะเนรปู รา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ โดย ใช้ทฤษฎกี ารผลักระหวา่ งคู่อเิ ล็กตรอนในวงเวเลนซ์และระบุสภาพข้ัวของโมเลกลุ โคเวเลนต์ ชนดิ ของแรง ยดึ เหนีย่ วระหวา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ จดุ หลอมเหลว จดุ เดือด และการละลายน้าของสารโคเวเลนต์ สมบัติของสารโคเวเลนตโ์ ครงร่างตาขา่ ยชนิดตา่ งๆ การเกิดพนั ธะโลหะและสมบัติของโลหะ การ เปรียบเทยี บสมบตั ิของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ ตัวอยา่ งการใชป้ ระโยชนข์ อง สารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ โดยใชก้ ารสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทกั ษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 การสืบค้นข้อมูล การอภิปรายและการนาเสนอ เพอ่ื ให้เกดิ ความรู้ ความคิด ความเขา้ ใจ สามารถสอ่ื สารสิง่ ท่ีเรยี นรู้ มีความสามารถในการ ตดั สินใจ การแกป้ ัญหา การนาความร้ไู ปใช้ในชีวติ ประจาวัน มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และ ค่านิยมท่ีเหมาะสม

266 ผลการเรยี นรู 1. อธบิ ายขอ้ ปฏิบัติเบื้องตน้ และปฏิบตั ติ นท่แี สดงถึงความตระหนกั ในการทาปฏบิ ัติการเคมี เพ่ือใหม้ คี วามปลอดภัยท้งั ต่อตนเอง ผู้อื่นและสิง่ แวดล้อม และเสนอแนวทางแกไ้ ขเมอ่ื เกิดอบุ ตั เิ หตุได้ 2. อธิบายการเลอื กใช้อปุ กรณ์หรือเคร่ืองมือในการทาปฏบิ ตั ิการ และวัดปริมาณตา่ งๆ ได้อย่าง เหมาะสมได้ 3. นาเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลองได้ 4. ระบุหนว่ ยวดั ปรมิ าณตา่ งๆ ของสาร และเปลยี่ นหน่วยวัดใหเ้ ปน็ หนว่ ยในระบบเอสไอด้วยการ ใชแ้ ฟกเตอรเ์ ปล่ยี นหน่วยได้ 5. สบื ค้นข้อมลู สมมตฐิ าน การทดลองหรือผลการทดลองทีเ่ ป็นประจกั ษพ์ ยานในการเสนอ แบบจาลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์และอธบิ ายววิ ัฒนาการของแบบจาลองอะตอมได้ 6. เขียนสัญลกั ษณ์นิวเคลยี ร์ของธาตุ และระบุจานวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอนของ อะตอมจากสญั ลักษณ์นิวเคลียร์ได้ รวมทัง้ บอกความหมายของไอโซโทปได้ 7. อธิบาย และเขียนการจัดเรียงอเิ ล็กตรอนในระดับพลงั งานหลักและระดบั พลงั งานยอ่ ยเม่อื ทราบเลขอะตอมของธาตุได้ 8. ระบหุ มู่ คาบ ความเปน็ โลหะ อโลหะ และก่งึ โลหะ ของธาตุเรพรเี ซนเททีฟและธาตุ แทรนซชิ ันในตารางธาตุได้ 9. วิเคราะห์ และบอกแนวโน้มสมบตั ขิ องธาตุเรพรีเซนเททีฟตามหมู่และตามคาบได้ 10. บอกสมบัติของธาตุโลหะแทรนซิชัน และเปรยี บเทยี บสมบตั กิ บั ธาตโุ ลหะในกลมุ่ ธาตุ เรพรเี ซนเททีฟ 11. อธิบายสมติ และคานวณครง่ึ ชีวติ ของไอโซโทปกัมมันตรงั สี 12. สืบค้นขอ้ มูล และยกตวั อย่างการนาธาตุมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อส่งิ มชี ีวติ และ ส่งิ แวดล้อมได้ 13. อธิบายการเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะไอออนิก โดยใชแ้ ผนภาพหรอื สัญลักษณแ์ บบจดุ ของลิวอิสได้ 14. เขียนสูตร และเรยี กช่ือสารประกอบไอออนิกได้ 15. คานวณพลังงานที่เก่ียวข้องกับปฏิกริ ยิ าการเกดิ สารประกอบไอออนิกจากวฏั จกั รบอร์น-ฮา เบอร์ได้ 16. อธบิ ายสมบตั ขิ องสารประกอบไอออนิกได้ 17. เขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนกิ สุทธขิ องปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิกได้ 18. อธบิ ายการเกิดพนั ธะโคเวเลนต์แบบพนั ธะเด่ียว พันธะคู่ และพันธะสาม ด้วยโครงสร้างลวิ อิส ได้ 19. เขียนสตู ร และเรยี กช่ือสารโคเวเลนต์ได้ 20. วเิ คราะห์ และเปรียบเทยี บความยาวพนั ธะและพลงั งานพันธะในสารโคเวเลนต์ รวมท้งั คานวณพลังงานที่เกี่ยวขอ้ งกับปฏกิ ริ ิยาของสารโคเวเลนตจ์ ากพลังงานพันธะได้ 21. คาดคะเนรูปร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ โดยใช้ทฤษฎีการผลักระหวา่ งคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และระบุสภาพขัว้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ได้ 22. ระบชุ นดิ ของแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรียบเทยี บจุดหลอมเหลว จุด เดือด และการละลายน้าของสารโคเวเลนตไ์ ด้

267 23. สบื ค้นขอ้ มลู และอธิบายสมบตั ขิ องสารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายชนิดต่างๆได้ 24. อธบิ ายการเกิดพนั ธะโลหะและสมบัตขิ องโลหะได้ 25. เปรยี บเทียบสมบตั ิบางประการของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ สืบคน้ ข้อมลู และนาเสนอตัวอยา่ งการใช้ประโยชน์ของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ ได้อยา่ ง เหมาะสม รวมท้ังหมด 25 ผลการเรยี นรู

268 โครงสรา้ งรายวิชาเพม่ิ เติม รายวิชา ว31221 เคมี 1 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ชัว่ โมง หน่วย ชอ่ื หน่วย จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ที่ การเรียนรู้ 1 ปฏบิ ตั ิการเคมี ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ขอ้ 1- 4 (ชั่วโมง) คะแนน เบือ้ งต้น ข้อ 5 - 12 • ทาปฏิบตั กิ ารเคมีต้องคานงึ ถงึ ความ 8 15 2 โครงสร้างอะตอม ปลอดภัยและเป็นมิตรกบั สง่ิ แวดลอ้ ม ศึกษาขอ้ ปฏิบตั ิ เพ่อื ให้มคี วามปลอดภยั ท้ังตอ่ ตนเอง ผูอ้ ื่นและสิ่งแวดล้อม และ เสนอแนวทางแก้ไข การกาจดั สารเคมี • เลือกและใช้อุปกรณห์ รือเคร่ืองมือใน การทาปฏิบัตกิ าร และวัดปริมาณต่างๆ ได้ อย่างเหมาะสม • มีการนาเสนอวางแผนการทดลอง ทดลองและเขียนรายงานการทดลอง มี ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ • มีการวดั ปรมิ าณต่างๆ ของสารและ เปลยี่ นหน่วยวัดให้เปน็ หนว่ ยในระบบเอส ไอดว้ ยการใช้แฟกเตอร์เปลีย่ นหน่วย • นักวิทยาศาสตรศ์ กึ ษาโครงสรา้ งของ 20 40 อะตอม และเสนอแบบจาลองอะตอมแบบ ต่างๆ จากการศึกษาข้อมูล การสงั เกต และผลการทดลอง • แบบจาลองอะตอมมีววิ ัฒนาการ โดย เรม่ิ จากดอลตันเสนอว่าธาตปุ ระกอบด้วย อะตอมซ่ึงเปน็ อนภุ าคขนาดเลก็ ไม่สามารถ แบ่งแยกได้ ตอ่ มาทอมสันเสนอวา่ อะตอม ประกอบดว้ ยอนุภาคท่มี ปี ระจุลบ เรยี กวา่ อเิ ล็กตรอน และอนุภาคประจบุ วก รทั เทอร์ฟอร์ดเสนอวา่ อนภุ าคประจุบวกที่ เรียกว่าโปรตอน รวมกนั อยตู่ รงกลาง นิวเคลยี ส เรียกว่า นิวเคลียส ซ่งึ มขี นาด เลก็ มากและมีอเิ ลก็ ตรอนอยรู่ อบนวิ เคลียส โบร์เสนอว่าอเิ ลก็ ตรอนเคลื่อนทีเ่ ปน็ วงรอบ นวิ เคลียส โดยแต่ละวงมีระดับพลังงาน เฉพาะตัว ในปจั จบุ นั นกั วทิ ยาศาสตร์

269 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน ยอมรบั ว่าอเิ ล็กตรอนมีการเคลื่อนท่รี วดเร็ว รอบนวิ เคลียส และไม่สามารถระบุตาแหน่ง ทีแ่ นน่ อนได้ จงึ จึงเสนอแบบจาลองแบบ กล่มุ หมอก ซึ่งแสดงโอกาสการพบ อิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส • สัญลกั ษณ์นวิ เคลียรข์ องธาตุ ประกอบด้วย สัญลกั ษณ์ของธาตุ เลข อะตอมซ่ึงแสดงจานวนโปรตอน และเลข มวลซึ่งแสดงผลรวมของจานวนโปรตอนกับ นิวตรอน อะตอมของธาตุชนิดเดยี วกนั ท่ีมี จานวนโปรตอนเทา่ กนั แตม่ ีจานวน นิวตรอนต่างกนั เรยี กวา่ ไอโซโทป • การศกึ ษาสเปกตรมั การเปลง่ แสงของ อะตอมแกส๊ ทาใหท้ ราบวา่ อิเล็กตรอน จัดเรียงอยู่รอบๆ นิวเคลียสในระดับพลังงาน หลกั ตา่ งๆ และแตล่ ะระดับพลงั งานหลักยัง แบ่งเปน็ ระดับพลงั งานย่อยซง่ึ มีบรเิ วณที่จะ พบอเิ ล็กตรอน เรยี กว่าออรบ์ ิทัล ได้ แตกต่างกนั และอเิ ล็กตรอนจะจัดเรยี งใน ออรบ์ ิทลั ใหม้ ีระดับพลงั งานต่าที่สุดสาหรับ อะตอมในสถานะพื้น • ตารางธาตใุ นปจั จบุ นั จัดเรยี งธาตตุ าม เลขอะตอมและสมบัติที่คล้ายคลงึ กันเปน็ หมู่ และคาบ โดยอาจแบ่งธาตใุ นตารางธาตเุ ป็น กลุ่มธาตโุ ลหะ กึง่ โลหะ และอโลหะ นอกจากน้อี าจแบ่งเป็นกลุ่มธาตุเรพรีเซนเท ทีฟและกลุ่มธาตุแทรนซิชนั • ธาตุเรพรีเซนเททีฟในหมู่เดยี วกนั มี จานวนเวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนเท่ากนั และธาตทุ ี่ อยู่ในคาบเดียวกัน มีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนใน ระดบั พลงั งานหลักเดยี วกนั ธาตเุ รพรเี ซนเท ทีฟ มีสมบตั ทิ างเคมคี ลา้ ยคลงึ กันตามหมู่ และมแี นวโน้มสมบัติบางประการเปน็ ไปตาม หมูแ่ ละคาบ เชน่ ขนาดอะตอม รศั มี ไอออน พลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโทร

270 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั ที่ การเรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน เนกาติวิตี สมั พรรคภาพอิเล็กตรอน • ธาตุแทรนซิชนั เปน็ โลหะทส่ี ว่ นใหญม่ ี เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนเท่ากับ 2 มีขนาด อะตอมใกลเ้ คียงกัน มจี ดุ เดือด จุด หลอมเหลวและความหนาแน่นสงู เกิดปฏกิ ริ ยิ ากบั น้าไดช้ ้ากวา่ ธาตุโลหะใน กล่มุ ธาตุเรพรเี ซนเททีฟ เมือ่ เกดิ เปน็ สารประกอบส่วนใหญจ่ ะมสี ี • ธาตแุ ต่ละชนดิ มไี อโซโทป ซ่งึ ใน ธรรมชาติบางชนดิ มีไอโซโทปท่ีแผร่ ังสไี ด้ เนื่องจากนิวเคลียสไมเ่ สถยี ร เรียกว่า ไอโซโทปกัมมันตรงั สี สาหรับธาตุ กัมมนั ตรงั สีเป็นธาตุทีท่ ุกไอโซโทปสามารถ แผร่ งั สีได้ รังสที เ่ี กดิ ขึ้น เช่น รงั สแี อลฟา รังสีบตี า รังสแี กมมา โดยคร่ึงชีวิตของ ไอโซโทปกัมมันตรงั สี เปน็ ระยะเวลาท่ี ไอโซโทปกัมมนั ตรงั สสี ลายตวั จนเหลอื คร่ึงหนึ่งของปริมาณเดมิ ซ่งึ เปน็ คา่ คงท่ี เฉพาะของแตล่ ะไอโซโทปกัมมนั ตรังสี • สมบัตบิ างประการของธาตุแต่ละชนิด ทาให้สามารถนาธาตมุ าใช้ประโยชนใ์ นดา้ น ตา่ งๆ ได้อยา่ งหลากหลาย ท้ังน้ีการนาธาตุ ไปใช้ต้องตระหนักถึงผลกระทบท่ีมตี อ่ สิ่งมีชวี ิต และส่งิ แวดล้อมโดยเฉพาะสาร กัมมันตรงั สซี ึ่งตอ้ งมกี ารจดั การอย่าง เหมาะสม 3 พันธะเคมี ข้อ 13 - 25 • สารเคมเี กดิ จากการยึดเหนยี่ วกนั ดว้ ย 26 45 พันธะเคมีซึ่งเกีย่ วข้องกบั เวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอน ท่แี สดงได้ด้วยสัญลกั ษณ์แบบจุดของลวิ อสี โดยการเกิดพันธะเคมี ส่วนใหญเ่ ป็นไปตาม กฎออกเตต • พนั ธะไอออนกิ เกิดจากการยดึ เหน่ยี ว ระหว่างประจุไฟฟา้ ของไอออนบวกกับ ไอออนลบ สว่ นใหญ่ไอออนบวกเกดิ จาก โลหะเสยี อเิ ล็กตรอนและไอออนลบเกดิ จาก

271 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน อโลหะรบั อเิ ล็กตรอน สารประกอบท่ีเกิดจากพันธะไอออนกิ เรียกวา่ สารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนกิ ไม่อยู่ในรูปโมเลกลุ แตเ่ ป็นโครงผลกึ ท่ีประกอบด้วยไอออนบวก และไอออนลบจดั เรยี งต่อเน่ืองกันไปท้งั สาม มิติ • สารประกอบไอออนกิ เขียนแสดงสตู ร เคมีโดยให้สัญลักษณ์ธาตทุ เ่ี ป็นไอออนบวก ไวข้ ้างหน้าตามดว้ ยสญั ลกั ษณ์ธาตุทเี่ ป็น ไอออนลบ โดยมีตวั เลขแสดงอัตราส่วน อย่างต่าของจานวนไอออนท่ีเปน็ องคป์ ระกอบ • การเรียกชื่อสารประกอบไอออนิกทา ได้โดยเรียกชอ่ื ไอออนบวกแล้วตามด้วยช่อื ไอออนลบ สาหรบั สารประกอบไอออนิกท่ี เกดิ จากโลหะท่ีมีเลขออกซิเดชนั ได้หลายค่า ต้องระบุเลขออกซเิ ดชนั ของโลหะด้วย • ปฏิกริ ิยาการเกดิ สารประกอบไอออนิก จากธาตุเกีย่ วข้องกับปฏิกิรยิ าเคมหี ลาย ข้ันตอน มที ั้งทีเ่ ปน็ ปฏกิ ริ ิยาดดู พลงั งานและ คายพลงั งาน ซึง่ แสดงได้ด้วยวฏั จักรบอร์น – ฮาเบอร์ และพลังงานของปฏิกริ ิยาการ เกดิ สารประกอบไอออนิกเปน็ ผลรวมของ พลงั งานทุกขัน้ ตอน • สารระกอบไอออนกิ ส่วนใหญม่ ี ลักษณะเป็นผลกึ ของแข็ง เปราะ มจี ุด หลอมเหลวและจดุ เดือดสงู ละลายน้าแล้ว แตกตวั เปน็ ไอออน เรียกว่า สารละลายอิ เล็กโทรไลต์ เม่อื เปน็ ของแข็งไม่นาไฟฟ้า แต่ถ้าทาใหห้ ลอมเหลวหรอื ละลายในนา้ จะ นาไฟฟ้า • สารละลายของสารประกอบไอออนิก แสดงสมบตั ิความเป็นกรด – เบส ตา่ งกนั สารละลายของสารประกอบคลอไรด์มสี มบตั ิ

272 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน เปน็ กลาง และสารละลายของสารประกอบ ออกไซดม์ สี มบตั ิเป็นเบส • ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนิก สามารถเขยี นแสดงดว้ ยสมการไอออนิกหรือ สมการไอออนิกสุทธิ โดยท่สี มการไอออนิก แสดงสารต้ังต้นและผลิตภัณฑ์ทกุ ชนดิ ทีแ่ ตก ตวั ได้ในรปู ของไอออน สว่ นสมการ ไอ ออนิกสทุ ธแิ สดงเฉพาะไอออนท่ที าปฏกิ ิริยา กัน และผลิตภัณฑ์ทเี่ กดิ ขึน้ • พนั ธะโคเวเลนต์เปน็ การยึดเหนี่ยวที่ เกดิ ข้ึนภายในโมเลกลุ จากการใช้เวเลนซ์ อิเล็กตรอนรว่ มกันของธาตุ ซ่ึงสว่ นใหญ่เป็น ธาตอุ โลหะ โดยทวั่ ไปจะเป็นไปตามกฎออก เตต สารท่ียึดเหนี่ยวกันด้วยพนั ธะโคเว เลนตเ์ รยี กว่า สารโคเวเลนต์ พันธะโคเวเนต์ เกิดได้ทงั้ พนั ธะเดีย่ ว พันธะคู่ และพนั ธะ สาม ซงึ่ สามารถเขียนแสดงได้ดว้ ย โครงสรา้ งลิวอสิ โดยแสดงอิเลก็ ตรอนคู่ร่วม พันธะด้วยจุดหรอื เส้น และแสดง อิเล็กตรอนคูโ่ ดดเดีย่ วของแต่ละอะตอมด้วย จดุ • สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ โดยทวั่ ไปเขียนแสดงสัญลักษณ์ของธาตุ เรียงลาดับตามค่าอเิ ล็กโทรเนกาตวิ ิตีจาก นอ้ ยไปมาก โดยมีตัวเลขแสดงจานวน อะตอมของธาตุทมี่ มี ากกว่า 1 อะตอมใน โมเลกุล • การเรียกชอื่ สารโคเวเลนตท์ าไดโ้ ดย เรยี กชอ่ื ธาตุที่อยูห่ น้าก่อน แลว้ ตามด้วยช่อื ธาตุทอี่ ย่ถู ัดมา โดยมคี านาหนา้ ระบจุ านวน อะตอมของธาตุท่ีเป็นองค์ประกอบ • ความยาวพันธะและพลังงานพันธะใน สารโคเวเลนต์ข้ึนกับชนิดของอะตอมคู่ร่วม พนั ธะและชนดิ ของพันธะ โดยพนั ธะเดี่ยว พันธะคู่ และพนั ธะสาม มีความยาวพันธะ

273 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั ท่ี การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน และพลงั งานพนั ธะแตกตา่ งกัน นอกจากนี้ โมเลกุลโคเวเลนตบ์ างชนิดมีค่าความยาว พนั ธะและพลังงานพนั ธะ แตกต่างจากของพนั ธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ และ พันธะสาม ซ่งึ สารเหล่านส้ี ามารถเขียน โครงสร้างลวิ อิส ที่เหมาะสมไดม้ ากกว่า 1 โครงสร้าง ที่เรยี กว่าโครงสร้างเรโซแนนซ์ • พลงั งานพนั ธะนามาใช้ในการคานวณ พลงั งานของปฏกิ ิรยิ า ซงึ่ ไดจ้ ากผลต่างของ พลงั งานพันธะรวมของสารตัง้ ต้นและ ผลิตภัณฑ์ • รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ อาจ พจิ ารณาโดยใช้ทฤษฎีการผลักระหวา่ งคู่ อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์(VSEPR) ซ่ึงขน้ึ อยู่ กับจานวนพนั ธะและจานวนอิเลก็ ตรอนคู่ โดดเดยี่ วรอบอะตอมกลาง โมเลกุลโคเว เลนต์มีทั้งโมเลกุลมีขัว้ และไม่มีข้วั สภาพข้วั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์เปน็ ผลรวมปริมาณ เวกเตอร์สภาพขั้วของแต่ละพันธะตาม รปู ร่างโมเลกลุ • แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลซง่ึ อาจ เป็นแรงแผ่กระจายลอนดอน แรงระหว่าง ขัว้ และพนั ธะไฮโดรเจน มีผลตอ่ จดุ หลอมเหลว จดุ เดือด และการละลายน้า ของสาร นอกจากนี้สารโคเวเลนต์สว่ นใหญ่ ยังมีจดุ หลอมเหลวและจุดเดือดต่ากวา่ สารประกอบไอออนกิ เนื่องจากแรงยึด เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลมีค่าน้อยกว่าพันธะไอ ออนิก • สารโคเวเลนต์สว่ นใหญม่ จี ุด หลอมเหลวและจดุ เดือดตา่ และไมล่ ะลาย น้า สาหรบั สารโคเวเลนต์ท่ลี ะลายนา้ มที ั้ง แตกตวั และไม่แตกตวั เปน็ ไอออน สารละลายทไ่ี ดจ้ ากสารท่ีไม่แตกตวั เปน็ ไอออนจะไม่นาไฟฟ้า เรียกว่า สารละลาย

274 หนว่ ย ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน นอนอิเล็กโทรไลต์ สว่ นสารละลายทไ่ี ดจ้ าก สารทแี่ ตกตวั เป็นไอออนจะนาไฟฟ้า เรยี กวา่ สารละลายอเิ ล็กโทรไลต์ สารละลายของสารประกอบคลอไรดแ์ ละ ออกไซดจ์ ะมสี มบตั ิเป็นกรด • สารโคเวเลนตบ์ างชนดิ ท่ีมีโครงสรา้ ง โมเลกุลขนาดใหญแ่ ละมีพนั ธะโคเวเลนต์ ต่อเนอื่ งเปน็ โครงรา่ งตาขา่ ย จะมจี ดุ หลอมเหลวและจุดเดือดสงู สารโคเวเลนต์ โครงร่างตาข่ายทม่ี ธี าตอุ งคป์ ระกอบ เหมอื นกนั แต่มีอัญรูปต่างกัน จะมีสมบัติ ต่างกัน เชน่ เพชร แกรไฟต์ • พนั ธะโลหะเกดิ จากเวเลนต์อเิ ล็กตรอน ของทกุ อะตอมของโลหะเคล่ือนทอี่ ยา่ งอสิ ระ ไปท่วั ทง้ั โลหะ และเกดิ แรงยึดเหน่ยี วกบั โปรตอนในนิวเคลยี สทุกทิศทาง • โลหะสว่ นใหญ่เปน็ ของแข็ง มีผิวมนั วาว สามารถตีเปน็ แผ่นหรือดึงเปน็ เสน้ ได้ นาความรอ้ นและนาไฟฟ้าได้ดี มจี ุด หลอมเหลวและจุดเดือดสงู • สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะมีสมบัตเิ ฉพาะตัวบางประการที่ แตกต่างกัน เชน่ จดุ เดอื ด จุดหลอมเหลว การละลายนา้ การนาไฟฟ้า จึงสามารถ นามาใช้ประโยชน์ได้ตามความเหมาะสม รวม 60 100

275 คาอธบิ ายรายวิชาเพ่ิมเตมิ รายวิชา ว31241 ชีววิทยา 1 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ชวั่ โมง จานวน 1.5 หน่วยกติ ศกึ ษาเก่ยี วกบั สมบัตทิ ส่ี าคญั ของสิ่งมชี วี ติ และความสัมพันธข์ องการจัดระบบในส่งิ มีชวี ิต การระบปุ ญั หา ความสัมพนั ธร์ ะหว่างปญั หา สมมติฐานและวิธีการตรวจสอบสมมตฐิ าน การออกแบบการทดลองเพอ่ื ตรวจสอบสมมตฐิ าน สมบัติของนา้ และธาตชุ นดิ ตา่ ง ๆ ทม่ี ีความสาคัญต่อส่ิงมีชีวติ โครงสรา้ งของ คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน ลพิ ดิ กรดนิวคลอิ กิ และความสาคัญทมี่ ตี ่อส่งิ มีชีวิต ระบุกลมุ่ ของคารโ์ บไฮเดรต ระบุชนิดของกรดนิวคลิอิก ปฏกิ ิริยาเคมีและการทางานของเอนไซมใ์ นการเรง่ ปฏิกริ ยิ าเคมีในส่งิ มชี ีวติ และระบุปจั จัยท่มี ผี ลต่อการทางานของเอนไซม์ ลักษณะตัวอย่างสิง่ มชี วี ิตภายใตก้ ล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สง วธิ ีการใช้และการดแู ลรักษากลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สง ศกึ ษาโครงสรา้ งและหน้าทขี่ องสว่ นทห่ี อ่ หุ้มเซลลข์ องเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ ชนดิ และหน้าทข่ี อง ออร์ กาแนล โครงสร้างและหน้าที่ของนิวเคลยี ส การแพร่ ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต และ แอกทีฟทรานสปอร์ต การลาเลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ การแบง่ นิวเคลียสจากตัวอยา่ งภายใต้ กลอ้ งจุลทรรศน์ การหายใจระดับเซลล์ การทดลองของเมนเดล กฎของเมนเดล การถา่ ยทอดลักษณะ ทางพนั ธุกรรมทเ่ี ป็นส่วนขยายของเมนเดล ความแปรผันของลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบน โครโมโซม สารพนั ธกุ รรม โครงสร้างและองคป์ ระกอบทางเคมขี องDNA การจาลองDNA การ สงั เคราะห์โปรตีน หน้าท่ีของDNAและRNA ความสมั พันธ์ระหว่างสารพนั ธุกรรม แอลลีล โปรตนี และ ลักษณะทางพันธกุ รรม มวิ เทชัน สิง่ มชี ีวติ ดัดแปรพนั ธกุ รรม เทคโนโลยีทาง DNA วิวัฒนาการของ สง่ิ มชี ีวิต ทฤษฎีเกย่ี วกับววิ ัฒนาการ ภาวะสมดุลของฮารด์ ี-ไวนเ์ บิรก์ การเกดิ สปีชีส์ใหมข่ องส่งิ มชี ีวติ โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสืบคน้ ข้อมลู การสังเกต การ วเิ คราะห์ การยกตัวอย่าง การอภิปราย การออกแบบการทดลอง การเขียนแผนภาพ การเปรยี บเทยี บ การอธบิ ายและสรปุ เพ่อื ให้เกิดความรคู้ วามคิด ความเขา้ ใจ มีความสามารถในการตดั สินใจ ส่อื สารสิ่งที่เรยี นรู้และนาความรู้ไป ใช้ในชีวติ ของตนเอง มจี ิตวิทยาศาสตร์จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นิยม ผลการเรียนรู้ 1. อธิบาย และสรุปสมบตั ทิ ส่ี าคญั ของสิง่ มีชีวิต และความสัมพนั ธข์ องการจัดระบบในสงิ่ มชี ีวติ ท่ี ทาให้สงิ่ มีชวี ติ ดารงชวี ิตอยู่ไดอธบิ าย และสรปุ สมบตั ทิ ส่ี าคัญของสิ่งมชี วี ิต และความสัมพนั ธข์ องการ จัดระบบในสิ่งมีชีวิตท่ีทาให้สิ่งมชี วี ิตดารงชวี ิตอยไู่ ด้ 2. อภิปรายและบอกความสาคญั ของการระบปุ ัญหา ความสัมพันธ์ระหวา่ งปัญหา สมมตฐิ าน และวิธกี ารตรวจสอบสมมติฐาน รวมทัง้ ออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน 3. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ ายเก่ียวกบั สมบตั ิของน้าและบอกความสาคัญของน้าทมี่ ตี ่อสิ่งมีชีวติ และยกตัวอยา่ งธาตชุ นิดต่างๆ ทม่ี คี วามสาคัญต่อร่างกายสิ่งมีชวี ิต 4. สบื ค้นขอ้ มลู อธิบายโครงสรา้ งของคารโ์ บไฮเดรต ระบุกลมุ่ ของคารโ์ บไฮเดรต รวมทง้ั ความสาคัญของคารโ์ บไฮเดรตทีม่ ตี ่อสิ่งมีชีวติ 5. สืบค้นขอ้ มลู อธิบายโครงสรา้ งของโปรตีน และความสาคัญของโปรตีนทีม่ ีตอ่ สงิ่ มีชีวิต 6. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ ายโครงสร้างของลิพดิ และความสาคัญของลิพดิ ท่ีมีต่อส่ิงมีชวี ิต

276 7. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลอิ ิก และระบชุ นดิ ของกรดนวิ คลิอิก และความสาคญั ของ กรดนิวคลอิ ิกทมี่ ตี ่อส่ิงมชี ีวติ 8. สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายปฏิกิริยาเคมีทเี่ กดิ ขน้ึ ในสิง่ มชี ีวิต 9. อธบิ ายการทางานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมใี นส่ิงมีชีวิต และระบุปจั จัยที่มีผล ตอ่ การทางานของเอนไซม์ 10. บอกวิธีการและเตรยี มตัวอย่างส่ิงมีชีวติ เพื่อศึกษาภายใต้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สง วดั ขนาด โดยประมาณ และวาดภาพท่ีปรากฏภายใต้กลอ้ ง บอกวิธีการใช้ และการดูแลรกั ษากล้องจุลทรรศนใ์ ช้ แสงทถ่ี กู ต้อง 11. อธิบายโครงสรา้ งและหน้าท่ีของสว่ นที่หอ่ หมุ้ เซลลข์ องเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ 12. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย และระบชุ นดิ และหน้าทข่ี องออร์แกเนลล์ 13. อธิบายโครงสร้างและหนา้ ท่ขี องนิวเคลียส 14. อธิบาย และเปรยี บเทียบการแพร่ ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต และแอกทีฟทรานสปอรต์ 15. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย และเขียนแผนภาพการลาเลียงสารโมเลกุลใหญอ่ อกจากเซลล์ดว้ ย กระบวนการเอกโซไซโทซสิ และการลาเลียงสารโมเลกุลใหญ่เขา้ ส่เู ซลล์ด้วยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ 16. สงั เกตการแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโทซสิ และ แบบไมโอซสิ จากตวั อยา่ งภายใต้กลอ้ งจุลทรรศน์ พรอ้ มทัง้ อธิบายและเปรียบเทียบการแบง่ นิวเคลียสแบบไมโทซสิ และแบบไมโอซิส 17. อธบิ าย เปรียบเทียบ และสรปุ ขน้ั ตอนการหายใจระดบั เซลล์ในภาวะทีม่ ีออกซเิ จนเพียงพอ และภาวะท่ีมีออกซิเจนไมเ่ พียงพอ 18. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ ายและสรุปผลการทดลองของเมนเดล 19. อธบิ าย และสรุปกฎแหง่ การแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอยา่ งอสิ ระและนากฎของ เมนเดลน้ไี ปอธิบายการถ่ายทอดลกั ษณะทาง พันธุกรรมและใชใ้ นการคานวณโอกาสใน การเกดิ ฟีโนไทป์และจีโนไทป์แบบตา่ งๆ ของรุ่น F1 และ F2 20. สืบคน้ ขอ้ มูล วิเคราะห์ อธิบาย และสรุปเกีย่ วกบั การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมท่ีเป็น สว่ นขยายของพันธศุ าสตรเ์ มนเดล 21. สืบคน้ ข้อมลู วิเคราะห์ และเปรยี บเทียบลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมท่ีมกี ารแปรผนั ไมต่ ่อเนือ่ ง และลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่ีมีการแปรผันต่อเน่อื ง 22. อธิบายการถ่ายทอดยนี บนโครโมโซม และยกตวั อยา่ งลักษณะทางพนั ธุกรรมที่ถูกควบคุม ด้วยยนี บนออโตโซมและยนี บนโครโมโซมเพศ 23. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ ายสมบตั ิและหน้าท่ีของสารพันธุกรรม โครงสร้างและองค์ประกอบทาง เคมขี อง DNA และสรุปการจาลอง DNA 24. อธิบาย และระบุขัน้ ตอนในกระบวนการ สังเคราะหโ์ ปรตีนและหนา้ ที่ของDNA และ RNA แต่ละชนดิ ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน 25. สรปุ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสารพนั ธกุ รรม แอลลลี โปรตนี ลักษณะทางพนั ธกุ รรม และ เชอื่ มโยงกบั ความรู้เรือ่ งพันธุศาสตรเ์ มนเดล 26. สืบคน้ ข้อมูล และอธิบายการเกิดมิวเทชัน ระดับยนี และระดับโครโมโซม สาเหตุการเกดิ มิวเทชนั รวมทัง้ ยกตัวอยา่ งโรคและกลุ่มอาการท่เี ปน็ ผลของการเกดิ มวิ เทชนั 27. อธิบายหลกั การสร้างส่ิงมชี ีวิตดดั แปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอน็ เอรีคอมบิแนนท์

277 28. สืบคน้ ขอ้ มลู ยกตวั อย่าง และอภปิ รายการนาเทคโนโลยที างดเี อน็ เอไปประยกุ ต์ใชท้ ั้งใน ดา้ นสง่ิ แวดล้อม นิตวิ ิทยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตรและอตุ สาหกรรมและข้อควรคานงึ ถึงด้าน ชวี จริยธรรม 29. สืบคน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายเกีย่ วกบั หลกั ฐานท่ีสนบั สนนุ และขอ้ มลู ทใ่ี ช้อธบิ ายการเกิด ววิ ฒั นาการของส่งิ มีชีวติ 30. อธบิ าย และเปรยี บเทยี บแนวคดิ เก่ยี วกบั ววิ ัฒนาการของสง่ิ มีชวี ิตของฌอง ลามาร์กและ ทฤษฎีเก่ียวกับวิวัฒนาการของส่งิ มชี ีวิตของชาลส์ ดาร์วนิ 31. ระบุสาระสาคัญ และอธิบายเงื่อนไขของภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก ปจั จัยทที่ าใหเ้ กิด การเปลย่ี นแปลงความถข่ี องแอลลีลในประชากร พร้อมทงั้ คานวณหาความถีข่ องแอลลีลและจโี นไทป์ของ ประชากรโดยใช้หลักของฮาร์ดี-ไวนเ์ บริ ก์ 32. สืบค้นขอ้ มลู อภปิ ราย และอธิบายกระบวนการเกิดสปชี ีสใ์ หม่ของสิง่ มีชวี ิต รวมท้ังหมด 32 ผลการเรียนรู้

278 โครงสร้างรายวิชาเพม่ิ เติม รายวชิ า ว31241 ชีววิทยา 1 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 60 ชว่ั โมง จานวน 1.5 หนว่ ยกติ หน่วย ช่ือหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั ท่ี การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน 1 ธรรมชาตขิ อง ขอ้ 1 - 2 • ส่ิงมีชวี ิตมีการสืบพันธ์ุเพ่ือเพ่ิมจานวน 6 10 สิง่ มีชวี ติ และดารงเผ่าพันธ์ุ ตอ้ งการสารอาหาร และพลงั งานเพื่อการดารงชีวิตและการ เจรญิ เติบโต สงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะชนิดมอี ายุขยั และขนาดแตกต่างกัน และมีลักษณะ จาเพาะ สามารถตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ได้ มี กลไกในการรักษาดลุ ยภาพภายในของ รา่ งกายให้เหมาะสมต่อการดารงชีวติ และ มีการจดั ระบบตั้งแต่ระดบั เซลล์ไปจนถึง ระดบั กลมุ่ ส่ิงมีชวี ิต • การศกึ ษาเกีย่ วกับสิง่ มีชีวติ ก่อให้เกิด วิชาเฉพาะดา้ นของสาขาชวี วทิ ยา ซึง่ เป็น ประโยชน์ตอ่ การพฒั นาคุณภาพชวี ติ มนษุ ยแ์ ละส่ิงแวดล้อม การศึกษาและการ ใช้ประโยชนเ์ กี่ยวกับส่ิงมชี ีวติ ต้องคานึง ถึงชีวจรยิ ธรรม • การสังเกตเป็นทักษะสาคัญท่ีนาไปสกู่ าร ต้ังปัญหาและรวบรวมข้อมลู ความเปน็ คน ชา่ งสงั เกตของนกั วทิ ยาศาสตร์ทาให้เกดิ การคน้ พบความรูต้ ่าง ๆ มากมาย รวมท้ัง การคิดคน้ สิง่ ประดิษฐต์ า่ ง ๆ ที่ อานวยความสะดวกให้แกม่ นุษย์ • นกั ชวี วิทยาใช้วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรใ์ น การศึกษาชีววิทยา ซ่งึ ประกอบดว้ ยการ ต้งั ปัญหา การตั้งสมมตฐิ าน การ ตรวจสอบสมมติฐาน การเก็บรวบรวม ขอ้ มูล การวิเคราะห์ขอ้ มูล และการ สรปุ ผลการทดลอง ความรู้ทางชีววิทยา อาจไดจ้ ากการสารวจและการศึกษา ภายในและภายนอกหอ้ งปฏิบัติการ ความรูท้ ีไ่ ด้จากการศึกษาบางเร่ือง

279 หนว่ ย ชอ่ื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ที่ การเรียนรู้ ข้อ 3 - 9 (ชั่วโมง) คะแนน 2 เคมพี ื้นฐานของ สามารถนาไปต้งั เปน็ กฎและทฤษฎีสาหรับ ใช้อ้างอิงได้ ดังน้ันชวี วทิ ยาจึง ประกอบด้วยสว่ นทีส่ าคญั 2 สว่ น คอื สว่ นทเี่ ป็นความรแู้ ละสว่ นทเี่ ป็น กระบวนการ ความรูท้ างวิทยาศาสตร์อาจ มกี ารเปลีย่ นแปลงได้ เมื่อมขี ้อมูลหรอื ประจกั ษ์พยานใหม่เพิ่มเติม หรือโตแ้ ยง้ จากเดมิ ซงึ่ ทา้ ทายให้มกี ารตรวจสอบ อยา่ งระมัดระวังอนั จะนามาสู่การยอมรับ เปน็ ความรใู้ หม่ • สะเตม็ ศกึ ษา คือการศึกษาท่ีบรู ณาการ ความรู้ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์ ในการ แก้ปญั หาทเี่ กดิ ขึ้นในชวี ิตประจาวนั ใน รปู แบบการทากิจกรรมที่นกั เรียนเป็น ผู้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองโดยใช้ กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่ง ประกอบดว้ ย การระบุปญั หา (problem identification) การรวบรวมขอ้ มลู และ แนวคิดท่ีเก่ยี วข้องกับปัญหา (related information search) ออกแบบวิธีการ แก้ปัญหา (solution design) การ วางแผนและดาเนนิ การแก้ปัญหา (planning and development) การ ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแกไ้ ข วิธกี ารแกป้ ัญหาหรือชนิ้ งาน (testing, evaluation and design improvement) และการนาเสนอวธิ ีการ แกป้ ัญหา ผลการแก้ปญั หาหรือชิ้นงาน (presentation) จดุ ประสงค์ของสะเตม็ ศกึ ษาเพื่อใหน้ กั เรยี นฝึกทกั ษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และทกั ษะ แห่งศตวรรษที่ 21 เพ่ือการวางแผนใน การทางานและการแกป้ ัญหา • น้าเป็นสารประกอบทีพ่ บมากท่ีสดุ ใน 9 15

280 หน่วย ช่ือหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก ที่ การเรียนรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน สง่ิ มีชีวิต ส่งิ มีชวี ติ น้ามีบทบาทสาคัญในการรกั ษา ดลุ ยภาพของรา่ งกาย เชน่ น้าเปน็ ตัวทา ละลายท่ีดี เปน็ ตัวกลางของการ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีของกระบวนการ เมแทบอลิซมึ ในร่างกาย การลาเลยี งสาร การยอ่ ยอาหาร การหมนุ เวยี นเลือด การ ขับถ่ายของเสยี ออกจากร่างกาย รวมถงึ การรักษาดลุ ยภาพของอณุ หภูมิ และ ความเปน็ กรด-เบส ของเลอื ดและ ของเหลวต่าง ๆ ในรา่ งกาย • สงิ่ มีชีวิตมีธาตุคารบ์ อน ไฮโดรเจน และ ออกซเิ จน เปน็ องคป์ ระกอบหลัก สว่ น ธาตุอน่ื ๆ มปี รมิ าณทแ่ี ตกต่างกัน ส่วน ใหญอ่ ยใู่ นรูปของไอออน เชน่ แคลเซยี ม ไอออน (Ca2+) ถึงแม้ส่ิงมีชีวิตต้องการ ธาตบุ างชนิดในปริมาณเล็กน้อย แตถ่ ้า ได้รับปริมาณไม่เพยี งพอหรอื มกี ารสญู เสีย ไปอาจทาใหก้ ารทางานของอวยั วะต่าง ๆ ผิดปกติได้ • สารทพ่ี บในสงิ่ มีชวี ิตมีหลายประเภท เช่น คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ลพิ ดิ กรด นวิ คลิอกิ ซงึ่ เป็นสารที่มีคารบ์ อนและ ไฮโดรเจนเปน็ องค์ประกอบหลัก และ อาจมธี าตุอน่ื ๆ เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกามะถันเป็น องคป์ ระกอบอยดู่ ว้ ย สารเหล่าน้เี ป็น องค์ประกอบของเซลล์ ช่วยใหร้ ่างกาย เจรญิ เติบโต เป็นสารที่ใหพ้ ลังงาน กรดนิวคลนิ ิกมี 2 ชนิดคอื DNA และ RNA ทาหนา้ ทเ่ี กบ็ และถา่ ยทอดข้อมูล ทางพันธกุ รรม รวมทง้ั ทาหน้าทีค่ วบคุม การสงั เคราะห์โปรตีน • เมแทบอลซิ ึมเป็นปฏกิ ริ ยิ าเคมีทงั้ หมดที่ เกิดข้นึ ในสิ่งมีชวี ิตประกอบด้วยปฏิกริ ยิ า

281 หนว่ ย ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ที่ การเรียนรู้ ข้อ 10 - 13 (ช่ัวโมง) คะแนน 3 เซลล์ของส่ิงมีชีวิต ดดู พลงั งานและปฏิกิรยิ าคายพลงั งาน ปฏกิ ริ ิยาเคมีเหลา่ นจี้ ะดาเนินไปได้อย่าง รวดเร็วจาเป็นต้องอาศัยเอนไซม์ ชว่ ยเรง่ ปฏกิ ริ ยิ า โดยปฏิกริ ิยาเคมตี า่ ง ๆ ในส่ิงมชี ีวติ ทั้งปฏกิ ิรยิ าสลายสารอินทรยี ์ และสังเคราะห์สารอนิ ทรยี ์ มัก ประกอบดว้ ยปฏกิ ิริยาเคมหี ลายขัน้ ตอน เกดิ ตอ่ เนื่องกนั อย่างเป็นลาดับ และ สามารถควบคุมได้ • เอนไซมส์ ว่ นใหญ่เป็นสารประเภท โปรตีน ทาหนา้ ทเ่ี รง่ ปฏิกิรยิ าเคมโี ดย ในขณะเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีในเซลล์ สารตั้ง ต้นจะเข้าไปจบั กบั เอนไซม์ท่ีบริเวณเรง่ อยา่ งจาเพาะ และจะถกู เปล่ยี นเปน็ สาร ผลิตภณั ฑ์ อณุ หภมู ิ ความเป็นกรด-เบส รวมทง้ั ความเข้มข้นของสารต้ังตน้ และ ความเขม้ ขน้ ของเอนไซม์มผี ลตอ่ ปฏกิ ิริยา ต่าง ๆ ในเซลล์ ปฏิกริ ิยาอาจชะงักหรือ หยดุ ไป ถา้ มสี ารท่มี ีสมบตั ยิ ับย้ังการ ทางานของเอนไซมเ์ ข้ารวมกับเอนไซม์ หรอื สารตงั้ ตน้ • กล้องจุลทรรศนเ์ ป็นเครือ่ งมือทช่ี ่วยใน 6 10 การขยายภาพ ทาให้สามารถมองเห็น สิง่ มชี วี ติ ขนาดเลก็ ๆ ได้ กล้องจุลทรรศนม์ ี ทงั้ แบบที่ใชแ้ สงและแบบอเิ ล็กตรอน การศึกษาเซลล์ดว้ ยกล้องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอนจะเหน็ รายละเอยี ดของ โครงสร้างของเซลล์ทีศ่ ึกษามากกว่ากล้อง จุลทรรศน์ใชแ้ สง • เซลล์เป็นหนว่ ยพ้นื ฐานท่ีเลก็ ท่สี ดุ ของ สง่ิ มีชีวิต โครงสร้างพ้นื ฐานของเซลล์ ประกอบดว้ ยสว่ นท่ีหอ่ หมุ้ เซลล์ ไซโทพลา ซมึ และนิวเคลยี ส เซลลท์ ั่ว ๆ ไปมขี นาด และรปู รา่ งต่างกัน ส่วนมากมีขนาดเลก็ มากมองไม่เห็นดว้ ยตาเปล่า จึงต้องอาศัย

282 หนว่ ย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ที่ การเรียนรู้ ขอ้ 14 - 15 (ช่วั โมง) คะแนน 4 การลาเลียงสารเขา้ กล้องจุลทรรศน์ชว่ ยในการศึกษา และออกจากเซลล์ รายละเอียดต่าง ๆ ของโครงสร้างของ เซลล์ทีท่ าหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกัน • เซลลม์ กี ารลาเลียงสารเขา้ และออกจาก เซลล์ โดยมีการควบคุมทั้งชนิดและ ปรมิ าณสารทผ่ี า่ นเขา้ ออก เยื่อหุ้มเซลล์ ทาหน้าท่ีเปน็ เยื่อเลือกผ่านในการลาเลยี ง สารดงั กล่าว โดยสมบัตขิ องสารและสมบตั ิ ของโครงสรา้ งต่าง ๆ ของเยื่อหุ้มเซลลม์ ี ความสมั พันธก์ ับวธิ กี ารลาเลียงสาร เช่น การแพร่แบบธรรมดา ออสโมซิส การแพร่ แบบฟาซิลเิ ทต แอกทีฟทรานสปอร์ต เอก โซไซโทซิส เอนโดไซโทซิส • เซลล์ตอ้ งการพลงั งานเพ่ือนาไปใชใ้ น กิจกรรมต่าง ๆ ซึง่ พลังงานทเ่ี ซลลต์ อ้ งการ นาไปใชน้ อ้ี ยู่ในรูปของสารพลังงานสูงท่ีได้ จากการสลายอาหารผ่านกระบวนการ หายใจระดบั เซลล์ • เซลลข์ องส่ิงมชี ีวิตมกี ารแบ่งนิวเคลยี ส เกดิ ขึน้ ใน 2 ลักษณะคือ การแบง่ นวิ เคลียสแบบไมโทซสิ ซ่งึ เป็นวิธีการแบง่ ที่ทาให้จานวนโครโมโซมภายในนวิ เคลยี ส เท่าเดมิ มักเปน็ การแบ่งของเซลลร์ ่างกาย และการแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโอซิสซึง่ เปน็ การแบ่งท่ลี ดจานวนโครโมโซมลงครง่ึ หนงึ่ เพือ่ สร้างเซลลส์ ืบพนั ธใุ์ ช้ในการสบื พนั ธุ์ แบบอาศัยเพศ การแบ่งนวิ เคลียสแบบไม โทซิสก่อใหเ้ กิดวัฏจกั รเซลล์ • สารตา่ ง ๆ มกี ารเคลื่อนที่เข้าและออก 6 10 จากเซลล์ อยูต่ ลอดเวลาโดยกระบวนการ ต่าง ๆ ได้แก่ การแพร่ ออสโมซสิ การ แพรแ่ บบฟาซลิ ิเทตแอกทีฟทรานสปอรต์ กระบวนการเอกโซไซโทซสิ กระบวนการ เอนโดไซโทซิส • แกส๊ ต่าง ๆ เขา้ หรือออกจากเซลล์โดย

283 หน่วย ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ที่ การเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) คะแนน การแพร่ ส่วนนา้ เขา้ หรือออกจากเซลล์ ผ่านเยอ่ื หุม้ เซลลโ์ ดยออสโมซิส • ไอออนและสารบางอยา่ งท่ีไมส่ ามารถ ลาเลยี งผ่านเย่ือห้มุ เซลลโ์ ดยตรงได้ จาเป็นต้องอาศยั โปรตนี ที่อยู่บนเยอื่ หุม้ เซลลเ์ ปน็ ตัวพาสารนนั้ เข้าและออกจาก เซลล์ เรยี กว่า การแพรแ่ บบฟาซิลิเทต • แอกทีฟทรานสปอร์ต เป็นการลาเลียง สารจากบรเิ วณทม่ี ีความเข้มข้นตา่ ไปยงั บริเวณทม่ี คี วามเขม้ ขน้ สูง • สารบางอย่างท่ีไม่สามารถแพร่ผา่ นเยอื่ หุ้มเซลลห์ รอื ลาเลยี งผา่ นโปรตนี ที่เป็นตัว พาไดจ้ ะถูกลาเลียงออกจากเซลล์ ดว้ ย กระบวนการเอกโซไซโทซิส • สารทมี่ ขี นาดใหญจ่ ะสามารถลาเลยี งเขา้ สู่เซลลด์ ว้ ยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ ซ่ึง แบ่งเป็น ๓ แบบ ไดแ้ ก่ พิโนไซโทซสิ ฟา โกไซโทซสิ และการนาสารเข้าสู่เซลล์โดย อาศยั ตวั รบั 5 การแบ่งเซลล์และการ ข้อ 16 - 17 • การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชวี ิตเป็นการเพิ่ม 9 15 หายใจระดับเซลล์ จานวนเซลล์ ซึง่ เป็นกระบวนการทเ่ี กิดขึ้น ต่อเนอื่ งกนั เป็น วฏั จักร โดยวฏั จักรของ เซลล์ ประกอบด้วยอินเตอร์เฟส การแบ่ง นิวเคลยี สแบบไมโทซิสและการแบง่ ไซ โทพลาซมึ • การแบ่งนิวเคลยี สมี 2 แบบ คือ การ แบง่ นวิ เคลียสแบบไมโทซิสและการแบ่ง นิวเคลียสแบบไมโอซสิ • การแบ่งนิวเคลยี สแบบไมโทซิส ประกอบด้วยระยะโพรเฟส เมทาเฟส แอ นาเฟส และเทโลเฟส • การแบ่งนวิ เคลียสแบบไมโอซสิ ประกอบ ดว้ ยระยะโพรเฟส เมทาเฟส แอนาเฟส เทโลเฟส ระยะโพรเฟส เมทาเฟส แอนา เฟส และเทโลเฟส

284 หน่วย ชอื่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั ที่ การเรียนรู้ ขอ้ 18 - 28 (ชั่วโมง) คะแนน 6 การถ่ายทอดลักษณะ • การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสทาให้ ทางพนั ธุกรรม เซลล์รา่ งกายเพิ่มจานวนเพ่ือการ เจริญเตบิ โต และซอ่ มแซมสว่ นทีส่ ึกหรอ หรอื ถูกทาลายไปได้ สว่ นการแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโอซสิ มีความสาคญั ตอ่ สิ่งมชี ีวิตในกระบวนการสรา้ งเซลล์ สบื พนั ธุ์ • การแบ่งไซโทพลาซมึ ในเซลล์พชื จะมี การสร้างแผน่ ก้นั เซลลแ์ ละเซลล์สตั ว์จะมี การคอดเว้าเข้าหากันของเย่ือห้มุ เซลล์ • เมนเดลศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทาง 15 25 พันธกุ รรมโดยการผสมพันธ์ุถ่ัวลนั เตา จน สรปุ เปน็ กฎแห่ง การแยกและกฎแหง่ การ รวมกล่มุ อยา่ งอสิ ระ • กฎแห่งการแยกมใี จความว่า แอลลีลที่ อยู่เปน็ คู่ จะแยกออกจากกนั ในระหว่าง การสรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุ โดยเซลล์สบื พนั ธ์ุ แต่ละเซลล์จะมีเพยี งแอลลลี ใดแอลลลี หน่ึง • กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระมี ใจความว่าหลังจากคู่ของแอลลีลแยกออก จากกนั แตล่ ะแอลลลี จะจดั กลุ่มอย่าง อิสระกับแอลลลี อน่ื ๆ ที่แยกออกจากคู่ เช่นกันในการเข้าไปอยู่ในเซลล์สืบพันธ์ุ • การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมบาง ลกั ษณะให้อัตราส่วนที่แตกตา่ งจากผล การศึกษาของเมนเดล เรยี กลักษณะ เหลา่ นว้ี ่า ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทเี่ ปน็ ส่วนขยายของพนั ธุศาสตรเ์ มนเดล เช่น การขม่ ไมส่ มบรู ณ์ การข่มร่วมกนั มลั ติ เปลิ แอลลลี ยนี บนโครโมโซมเพศ และพอ ลิยีน • ลักษณะพนั ธุกรรมบางลักษณะมีความ แตกตา่ งกันชัดเจน เชน่ การมีตง่ิ หหู รือไม่ มตี ง่ิ หู ซง่ึ เป็นลักษณะทางพนั ธกุ รรมทม่ี ี

285 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก ท่ี การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน การแปรผันไม่ตอ่ เนื่อง • ลักษณะทางพนั ธกุ รรมบางลักษณะมี ความแตกตา่ งกันเล็กนอ้ ยและลดหลน่ั กัน ไป เช่น ความสูงและสีผวิ ของมนุษย์ถูก ควบคมุ โดยยีนหลายคู่ซึ่งเปน็ ลักษณะทาง พนั ธกุ รรมที่มกี ารแปรผันตอ่ เน่ืองและ ส่งิ แวดล้อมอาจมีผลต่อการแสดงลักษณะ น้ัน • โครโมโซมภายในเซลลร์ า่ งกายแบ่งเปน็ ออโตโซมและโครโมโซมเพศ ลักษณะทาง พันธุกรรมสว่ นใหญ่ถูกควบคุมด้วยยีนบน ออโตโซม บางลักษณะถูกควบคุมดว้ ยยนี บนโครโมโซมเพศซ่ึงสว่ นมากเปน็ ยีนบน โครโมโซม X • เมือ่ มกี ารสร้างเซลลส์ บื พันธ์ุ ยนี บน โครโมโซมเดียวกันทอี่ ยู่ใกลก้ ันมักจะถูก ถ่ายทอดไปด้วยกัน แต่การเกิดครอสซงิ โอ เวอร์ในการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ อาจทา ให้ยีนบนโครโมโซมเดียวกนั แยกจากกนั ได้ ส่งผลให้รูปแบบของเซลล์สบื พันธุท์ ี่ได้ แตกตา่ งไปจากกรณีทไี่ ม่เกดิ ครอสซิงโอ เวอร์ • DNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ แตล่ ะนวิ คลโี อไทด์ ประกอบด้วย นา้ ตาล ดอี อกซีไรโบส หมฟู่ อสเฟต และไนโตร จนี ัสเบส คอื A T C และ G • โมเลกลุ ของ DNA เป็นพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย เรยี งสลบั ทิศและบดิ เป็นเกลียว เวียนขวา โดยการเข้าคู่กันของสาย DNA เกดิ จากการจับคู่ของเบสคูส่ ม คอื A คู่กับ T และ C คกู่ ับ G • ยนี คือสาย DNA บางช่วงทคี่ วบคมุ ลกั ษณะทางพันธุกรรมได้ โดยยีนกาหนด ลาดบั กรดอะมโิ นของโปรตนี ซึ่งทาหน้าที่ เป็นโครงสร้าง เอนไซม์ และอ่ืน ๆ มีผล

286 หน่วย ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน ทาให้เซลลแ์ ละสง่ิ มีชีวติ ปรากฏลักษณะ ต่าง ๆ ได้ • DNA จาลองตัวเองไดโ้ ดยใช้สายหนง่ึ เปน็ แมแ่ บบและสร้างอีกสายขน้ึ มาใหม่ ซงึ่ จะมีโครงสรา้ งและลาดบั นิวคลีโอไทด์ เหมอื นเดมิ • DNA ควบคมุ ลกั ษณะทางพันธุกรรมของ สง่ิ มีชวี ติ ได้ โดยการสร้าง RNA ๓ ประเภท คอื mRNA tRNA และ rRNA ซ่งึ รว่ มกนั ทาหน้าทใี่ นกระบวนการ สงั เคราะห์โปรตีน • RNA เปน็ พอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ สายเดยี่ วแต่ละนวิ คลีโอไทด์ประกอบดว้ ย น้าตาลไรโบส หม่ฟู อสเฟต และไนโตร จนี สั เบส คือ A U C และ G • มิวเทชนั เป็นการเปล่ียนแปลงของลาดับ หรือจานวนนวิ คลโี อไทด์ใน DNA ซงึ่ อาจ นาไปส่กู ารเปลี่ยนแปลงโครงสรา้ งและ การทางานของโปรตนี ซึ่งถ้าการ เปล่ยี นแปลงดงั กล่าวเกดิ ในเซลล์สืบพนั ธุ์ จะสามารถถ่ายทอดไปยงั รนุ่ ต่อ ๆ ไปได้ และทาใหเ้ กิดความแปรผันทางพนั ธกุ รรม ของสิ่งมชี ีวิต การเกดิ มิวเทชันมสี าเหตมุ า จากปจั จยั ต่าง ๆ เช่น รงั สี และสารเคมี • การขาดหายไปหรือเพิม่ ข้ึนของนิวคลโี อ ไทด์และการแทนที่คู่เบส เป็นการเกดิ มวิ เทชันระดบั ยนี เชน่ โรคโลหติ จางชนิดซิก เคิลเซลล์ เปน็ ผลมาจาก การแทนท่คี ู่เบส • การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ โครโมโซม เช่น หายไปหรอื เพิ่มขึ้น บางสว่ น และการเปล่ยี นแปลงจานวน โครโมโซม เชน่ การลดลงหรือเพ่มิ ขึ้นของ โครโมโซมบางแทง่ หรือทัง้ ชดุ เป็นสาเหตุ ของการเกดิ มวิ เทชนั ระดบั โครโมโซม เชน่ กล่มุ อาการคริดูชาต์และกลุ่มอาการดาวน์

287 หนว่ ย ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั ท่ี การเรียนรู้ ข้อ 29 - 32 (ชั่วโมง) คะแนน 7 ววิ ัฒนาการของ กลมุ่ อาการเทอร์เนอรแ์ ละกล่มุ อาการ สงิ่ มชี วี ิต ไคลนเ์ ฟลเตอร์ • การใช้เทคโนโลยที างดเี อน็ เอ ในการ สรา้ งดเี อ็นเอรีคอมบแิ นนท์ สามารถ นาไปใชใ้ นการสร้างสิ่งมชี ีวติ ดัดแปร พนั ธุกรรม โดยนายนี ท่ีต้องการมาตดั ต่อ ใสใ่ นสงิ่ มีชีวิต ทาให้สงิ่ มชี วี ิตนั้นมีสมบตั ิ ตามต้องการ • เทคโนโลยที างดเี อ็นเอ สามารถนาไป ประยุกตใ์ ชใ้ นด้านตา่ ง ๆ เช่น สงิ่ แวดลอ้ ม นติ วิ ทิ ยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตร และอตุ สาหกรรม โดยการใช้เทคโนโลยี ทางดีเอน็ เอต้องคานึงถงึ ความปลอดภยั ทางชวี ภาพ ชวี จรยิ ธรรม และผลกระทบ ต่อสงั คม • หลักฐานที่ทาให้เชื่อว่าสิ่งมชี ีวติ มี 9 15 ววิ ัฒนาการ เช่น ซากดกึ ดาบรรพ์ กาย วภิ าคเปรียบเทียบวทิ ยาเอ็มบริโอ การ แพร่กระจายของสิ่งมีชวี ิตทางภมู ิศาสตร์ การศึกษาทางชีวภูมศิ าสตร์ และด้าน ชวี วิทยาระดบั โมเลกลุ • มนษุ ย์มีการสบื สายวิวฒั นาการมาเป็น เวลานาน โดยมีหลักฐานท่สี นับสนนุ จาก ซากดกึ ดาบรรพ์ของบรรพบรุ ุษมนุษยท์ ี่ ค้นพบ และจากการเปรยี บเทียบลาดับ เบสบน DNA ระหว่างมนษุ ย์กับไพรเมต อืน่ ๆ • ฌอง ลามารก์ ได้เสนอแนวคิดเพื่อ อธิบายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสง่ิ มีชีวติ วา่ สิ่งมีชีวิตมกี ารเปล่ยี นแปลงโครงสร้าง ให้เขา้ กับสภาพแวดลอ้ ม โดยอาศัยกฎ การใช้และไม่ใช้ และกฎแห่งการถ่ายทอด ลกั ษณะทเ่ี กดิ ขึ้นมาใหม่ • ชาลส์ ดาร์วนิ เสนอทฤษฎเี กยี่ วกบั วิวัฒนาการของส่ิงมีชวี ิตว่า เกดิ จากการ

288 หน่วย ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั ท่ี การเรียนรู้ (ช่วั โมง) คะแนน คดั เลือกโดยธรรมชาติ โดยสง่ิ มชี ีวติ มี แนวโนม้ ทจ่ี ะให้กาเนิดลูกที่มีลักษณะ แตกตา่ งกันจานวนมาก แต่มเี พยี งจานวน หนึ่งทเ่ี หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม สามารถมชี ีวติ รอด และถา่ ยทอดลักษณะ ทีเ่ หมาะสมไปยงั รนุ่ ต่อไปได้ • เมื่อประชากรอยใู่ นภาวะสมดุลของฮาร์ ดี-ไวนเ์ บริ ก์ โดยประชากรมีขนาดใหญ่ ไม่ มกี ารถา่ ยเทยนี ระหว่างประชากร ไมเ่ กดิ มิวเทชัน สมาชิกทกุ ตวั มโี อกาสผสมพันธุ์ ไดเ้ ทา่ กัน และไมเ่ กิดการคดั เลือกโดย ธรรมชาติ จะทาให้ความถ่ขี องแอลลีลของ ลักษณะนนั้ ไม่เปล่ยี นแปลงไม่วา่ จะผ่านไป กรี่ ่นุ กต็ าม เป็นผลใหล้ ักษณะนั้นไม่เกิด ววิ ัฒนาการ • การเปลยี่ นแปลงความถ่ีของยนี หรอื แอล ลีลในประชากร เกิดจากปัจจัยหลาย ประการ นาไปสู่ การเกิดวิวฒั นาการ • สปีชีส์ใหมจ่ ะเกิดข้ึนไดเ้ มื่อไมม่ กี าร ถา่ ยเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากร หนงึ่ กบั อีกประชากรหนง่ึ ในรุ่นบรรพบรุ ุษ ทาใหป้ ระชากรทง้ั สอง มีโครงสร้างทาง พันธกุ รรมที่แตกตา่ งกันและวิวัฒนาการ เกดิ เป็นสปีชสี ์ใหม่ • ปัจจยั ที่ทาให้เกิดสปชี ีส์ใหม่อาจเกิดได้ 2 แนวทาง คอื การเกิดสปชี สี ใ์ หม่จากการ แบง่ แยกทางภมู ศิ าสตร์และการเกดิ สปีชสี ์ ใหมใ่ นเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน รวม 60 100


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook