Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ในระบบโซ่อุปทานของการผลิตกวางเชิงพาณิชย์และผลกระทบ (เอกรัฐ ชะอุ่มเอียด, 2562)

การพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ในระบบโซ่อุปทานของการผลิตกวางเชิงพาณิชย์และผลกระทบ (เอกรัฐ ชะอุ่มเอียด, 2562)

Published by RMUTL Knowledge Book Store, 2021-11-01 04:50:47

Description: การทำฟาร์มกวางกวางรูซ่าเชิงพาณิชย์ มีความเสี่ยงในการลงทุนทำฟาร์มอยู่ในระดับต่ำ และมีผลตอบแทนคุ้มค่าในการลงทุน สามารถให้ผลผลิตได้หลายอย่าง ตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยง และต่อยอดไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ได้แก่ รีสอร์ต ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านขายสินค้าที่ระลึก

ดังนั้น เมื่อต้องการการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือหาวิธีการลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยลงให้ได้มากสุด เพื่อเพิ่มผลกำไรของฟาร์มให้มากยิ่งขึ้น นักวิจัยจึงดำเนินการในการพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ในระบบโซ่อุปทานของการผลิตกวางเชิงพาณิชย์และผลกระทบ โดยมีภักดีฟาร์มร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เขตพื้นที่พิษณุโลก โดยมีวิธีการดำเนินการดังนี้

ศึกษาถึงโซ่อุปทานของอาหารและกระบวนการผลิตอาหารอาหารกวางเชิงพาณิชย์
พัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตอาหารกวาง (ทั้งหญ้าแห้ง และอาหารกวางผสมเสร็จ (Total Mixed Ration: TMR)
พัฒนาโปรแกรมและเครื่องให้อาหารกวางอัตโนมัติ
พัฒนาสื่อการเรียนรู้สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิตอาหารกวางเชิงพาณิชย์แล้ว
ศึกษาผลกระทบของธุรกิจการผลิตกวางเชิงพาณิชย์ต่อผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

Keywords: โซ่อุปทาน, กวาง, อาหารกวาง, การผลิตกวางเชิงพาณิชย์, supply chain, deer, deer feedstuff, commercial deer farming, การผลิตอาหารแห้ง, กระบวนการทางด้านวิศวกรรม, commercial deer farming business, produce dried feedstuff, engineering process, กวางรูซ่า, เครื่องอัดเม็ดอาหารสัตว์, หญ้าแพงโกล่า, อาหารผสมเสร็จ, Ruza deer, pelleting machine, Digitaria eriantha, total mixed ration (TMR), การพัฒนาระบบ, การจัดการงานฟาร์ม, การประชาสัมพันธ์, System Development, Farm Management, Public Relations, สื่อการเรียนรู้, แอนิเมชัน 3 มิติ, Instructional, Media 3D Animation, ธุรกิจการผลิตกวางเชิงพาณิชย์, ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย, Commercial Deer Farming, Stakeholder

Search

Read the Text Version

32 ของอาหารเน่าเสียและโรคต่างๆ โดยท่ียังสามารถคงความสดใหม่ และคงคุณค่าของสารอาหาร รวมถึงวิตามนิ ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งครบถว้ น (Wang, R.X. et al., 2012) รูปที่ 2.5 การสรา้ งพลาสมาจากแหล่งพลังงานไฟฟา้ แรงสงู (M Laroussi et al., 2003) การ Discharge ระหว่างขั้วบวกและข้ัวลบในกา๊ ซความดันต่า (โดยท่ัวไปจะมีความดันไมก่ ี่รอ้ ย Pa) จะทาให้เกดิ พลาสมาขึ้น เนื่องจากก๊าซจะมีอุณหภูมิต่าโดยท่ัวไปจึงเรียกว่า พลาสมาอุณหภูมิต่า (Hippler, 2001) นอกจากน้ียังสามารถกาเนิดพลาสมาอุณหภูมิต่าจากก๊าซความดันต่าท่ีได้รับคล่ืน ความถี่สูงหรือ คลื่นไมโครเวฟได้อีกด้วย พลาสมาความดันต่ามีความไวต่อปฏิกิริยาเคมีสูงมาก (Sarinont, 2014) ซึ่งการฆา่ เชื้อราเป็นสาเหตุของโรคเนา่ หลังการเก็บเกี่ยวพืช ต้องการทาใหอ้ นภุ าค ของเชอ้ื แตกตัว โดยทไ่ี ม่ทาลายพ้ืนผวิ ของวัตถุ อีกทงั้ คุณคา่ ทางอาหารไม่ไดถ้ ูกทาใหห้ ายไป เนอื่ งจาก ความร้อน (Dhayal, 2006) ซ่ึงองค์ประกอบสาคัญสาหรับเทคโนโลยีพลาสมาประกอบด้วยตัวสร้าง พลาสมาและชุดควบคุม ซ่ึงในงานวิจัยทาการศึกษาระดับพลังงาน ระยะห่าง และระยะเวลาที่ใช้ แสดงดังรูปที่ 2.6 ดังนั้น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลาสมาสามารถยกระดับคุณภาพและความ ปลอดภยั สาหรับการผลิตหญ้าเพ่ืออาหารสัตว์ได้

33 รูปท่ี 2.6 ระบบฆา่ เชือ้ ด้วยเทคโนโลยพี ลาสมา กระบวนการผลิตหญ้าแห้งจากงานวิจัย จะมีลักษณะโดดเด่นในการผสมผสานเทคนิคและ เทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรม เข้ามาใช้ในกระบวนผลิตเพื่อการผลิตหญ้าแห้งที่มีคุณภาพตาม มาตรฐานสินค้าเกษตร และสามารถช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการอบแห้งและลดต้นทุนการ ผลิตหญ้า อกี ทั้งยังประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยพี ลาสมาเพ่ือยกระดับคณุ ภาพและความปลอดภัยสาหรับการ ผลติ หญ้าเพื่ออาหารสตั ว์อีกด้วย 2.2. กำรทบทวนวรรณกรรม/สำรสนเทศที่เกี่ยวขอ้ ง 2.2.1 พชื อำหำรสตั ว์ เนือ่ งจากประเทศไทยได้พฒั นาเกี่ยวกับการเล้ียงสัตว์ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะการเลี้ยงกวาง ซ่ึงเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ท่ีสามารถทารายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงจาเป็นต้อง พฒั นา และค้นคว้าเรอื่ งพืชอาหารสตั ว์ ซึง่ พืชอาหารสัตว์เปน็ อาหารหยาบ ซ่ึงมอี ยู่ 2 ตระกูล คือ พืช อาหารสัตว์ตระกูลหญ้า ซึ่งมีอยู่หลายชนิดและในแต่ละชนิดก็มีอยู่หลายสายพันธุ์ อาทิ หญ้ารูซ่ี (Brachiaria ruziziensis) หญ้ากินนี (Panicum maximum) หญ้าเฮมิน (Panicum maximum) หญ้าเนเปียร์ (Pennisetum purpureum) หญ้าแพงโกล่า (Pangola) ข้าวฟ่าง (Sorghum almum) ถ่วั โคโลโป (Calopogonium mucunoides) เปน็ ต้น 1. พชื ตระกูลหญ้ำ สายพันธ์ุที่ปลูกในประเทศไทยและถูกนามาใช้เป็นพืชอาหารสัตว์สาหรับสัตว์เค้ียวเอ้ือง มี หลากหลายสายพันธุ์ ซ่ึงสายพนั ธุ์ทีน่ ิยมปลูก (สานกั พัฒนาอาหารสัตว์, 2560) มดี ังนี้ หญ้ากินนี (Panicum maximum) ถ่ินกาเนิดในเขตร้อนและกึ่งร้อนของทวีปอัฟริกา ปลูกกัน แพร่หลายในทวีปอเมริกาใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในออสเตรเลีย สาหรับประเทศไทยนั้น นาเข้ามาปลูกใน พ.ศ. 2444 หญ้ากนิ นีเป็นหญ้าท่ีมีอายุหลายปี ลักษณะลาตน้ ตั้งเป็นกอสูงประมาณ 1.5 - 2.5 เมตร ระบบรากเป็นรากฝอยแข็งแรงทนต่อสภาพแห้งแล้ง เจริญเติบโตได้ดีในท่ีมีปริมาณ

34 นา้ ฝนตลอดปี 1,000 มิลลิเมตร ดินควรจะมีการระบายน้าดี และมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง การ ใช้หญา้ กนิ นที าเป็นท่งุ หญา้ สาหรบั ตดั ให้สัตว์กนิ หรือปลอ่ ยสตั วล์ งไปแทะเลม็ ไม่ควรปล่อยให้สัตวแ์ ทะ เล็มหญ้าจนเหลือสูงจากพ้ืนต่ากว่า 15 เซนติเมตร หญ้ากินนีที่ปลูกในสวนให้ผลผลิตน้าหนักแห้ง 2,000 กโิ ลกรัมต่อไรต่ ่อปี แต่ถา้ ปลูกในสวนซ่งึ รม่ เงาหนาทบึ กว่าจะใหผ้ ลผลติ 700 กโิ ลกรัมตอ่ ไรต่ ่อปี สาหรับผลผลิตหญ้ากนิ นีทีป่ ลูกในที่โล่งแจ้งโดยทั่วไปได้ประมาณ 2,500 – 3,500 กิโลกรัมต่อไรต่ ่อปี มีปรมิ าณโปรตนี ประมาณ 8.2 เปอร์เซ็นต์ แสดงลกั ษณะหญ้ากินนดี งั รปู ที่ 2.7 รปู ท่ี 2.7 ลักษณะหญ้ากนิ นี (แหล่งท่ีมา https://www.ubonforageseeds.com/th/seeds/mombasa/, 15 กนั ยายน 2560.) หญา้ เนเปียร์ (Pannisetum purpureum) มีถ่นิ กาเนิดในอัฟริกาเขตรอ้ น นาเข้ามาในประเทศ ไทยเม่ือปี พ.ศ. 2472 หญ้าเนเปียร์สายพนั ธ์ุต่าง ๆ มเี หง้า (rhizome) อยู่ใต้ดนิ เป็นหญา้ อายุหลายปี เจริญเติบโตได้ในดินหลายชนิดตั้งแต่ดินร่วนปนทราย ถึงดินเหนียวท่ีมีการระบายน้าค่อนข้างดี ตอบสนองต่อความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้าได้ดี เหมาะสาหรับปลูกบริเวณพื้นที่ที่มีฝนตกเฉลี่ย มากกว่า 1,000 มิลลิลิตรข้ึนไป แต่ก็ทนแล้งได้พอสมควร ไม่ทนน้าท่วมขังและการเหยียบย่าของสัตว์ ติดเมล็ดน้อยและมีความงอกต่า จึงต้องปลูกขยายพันธ์ุด้วยท่อนพันธ์ุ 2 – 3 ท่อนต่อหลุม ต้นพันธ์ุ หญ้าเนเปยี ร์ 1 ไร่ สามารถปลูกขยายพนั ธ์ุในพน้ื ทป่ี ระมาณ 20 ไร่ ควรตดั หญ้าเลี้ยงสัตว์ครงั้ แรกหลัง ปลกู 60 วัน และตดั ครงั้ ตอ่ ไปทุก ๆ 30 วัน จะได้ผลผลติ น้าหนกั แห้งประมาณ 2 – 4.2 ตันตอ่ ไร่ตอ่ ปี มโี ปรตีนประมาณ 8 – 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจัดว่าเป็นหญ้าท่ีให้ผลผลิตสูงมีคุณค่าทางอาหารสัตว์อยู่ใน เกณฑ์ดี และสามารถปลูกร่วมกับพืชตระกูลถ่ัวได้หลายชนิด เช่น ถั่วไมยรา ถ่ัวแกรมสไตโล ถ่ัว ขอนแกน่ สไตโล และถ่วั เซนโตรหรอื ถว่ั ลาย แสดงลกั ษณะหญ้าเนเปียรด์ ังรูปที่ 2.8 หญ้ารูซ่ี (Brachiaria ruziziensis) มีช่ือเรียกคองโก เคนเนดี้รูซ่ี และรูซ่ี มีถ่ินกาเนิดในทวปี อัฟ รกิ าแถบประเทศคองโค นาเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย ปลูกในประเทศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2511 หญ้ารูซ่ีเปน็ หญ้าที่มอี ายุหลายปี เจรญิ เติบโตเร็ว แตกกอดี ใบอ่อนนุ่มสัตว์ชอบกนิ ลักษณะลาต้นกึ่ง

35 ต้งั กง่ึ เล้อื ยมรี ากตามข้อ ดงั รูปที่ 2.9 มกี ารขยายพันธุ์ไดด้ ้วยเมล็ดและลาต้น เจรญิ เติบโตได้ในเขตรอ้ น ท่ีมีปริมาณน้าฝนมากกว่า 1,100 มิลลิเมตรต่อปี ไม่ทนต่อสภาพน้าขัง หญ้ารูซี่ตอบสนองต่อปุ๋ยได้ดี กลา่ วคือให้ผลผลติ 2,584 กิโลกรมั ต่อไรเ่ ม่ือใส่ปยุ๋ ถ้าปลูกในดินทรายได้ผลผลิต 3,400 กิโลกรมั ต่อไร่ มีปริมาณโปรตนี ประมาณ 8.2 เปอรเ์ ซ็นต์ รูปที่ 2.8 ลักษณะหญา้ เนเปยี ร์ (แหลง่ ทีม่ า https://www.technologychaoban.com/news-slide/article_5016/, 15 กนั ยายน 2560.) รปู ที่ 2.9 ลกั ษณะหญา้ รซู ่ี (แหล่งท่มี า http://www.biogang.net/plant_view.php?uid=57152&id=211649, 15 กนั ยายน 2560)

36 หญา้ แพงโกล่า (Digitaria eriantha) เปน็ หญ้าทีม่ ีอายุหลายปี ต้นก่ึงต้ังก่ึงเลื้อย ลาตน้ เล็ก ไม่มี ขน ใบเล็กเรียวยาว ใบดกอ่อนนุ่ม ดังรูปท่ี 2.10 ซึ่งเหมาะสาหรับทาหญ้าแห้ง ทนน้าท่วมขัง เจรญิ เตบิ โตดีในดินที่มีความอดุ มสมบรู ณ์สงู ผลผลติ น้าหนักแห้ง 5,000-7,000 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี มี ปริมาณโปรตีนประมาณ 7-11 เปอร์เซ็นต์ การปลูกใชท้ ่อนพันธุ์ อัตรา 250-300 กิโลกรัมต่อไร่ การ ตดั หญา้ แพงโกล่าไปใช้เล้ียงสัตว์ ควรตดั หญ้าครั้งแรก 60 วันหลังปลูก และตดั ครัง้ ต่อไปทกุ ๆ 40 วัน โดยตดั สูงจากพ้ืนดิน 5-10 เซนติเมตร การปล่อยสตั ว์เข้าแทะเล็มครั้งแรกควรปลอ่ ยเมื่อหญ้าอายุ 90 วนั หญ้าแพงโกล่าเหมาะสาหรบั ใชเ้ ล้ียงสัตวเ์ ค้ยี วเอื้อง ในรูปหญา้ สด หญา้ แหง้ หรือหญ้าหมัก รูปท่ี 2.10 ลกั ษณะหญ้าแพงโกลา่ (แหล่งทมี่ า http://www.thaiarcheep.com/หญา้ แพงโกล่า-ราคาสงู ขาย.html, 15 กนั ยายน 2560.) 2. สำรพษิ ในพชื อำหำรสตั ว์ พืชอาหารสัตว์หลายชนิดมีสารพิษท่ีมีโทษต่อสัตว์ เม่ือเกษตรกรนาไปเล้ียงสัตว์โดยไม่ ระมดั ระวังหรือรู้เท่าไมถ่ ึงการณ์ อาจจะทาให้สตั ว์เลย้ี งไดร้ ับอนั ตรายจนถึงตาย ก่อใหเ้ กดิ ความสูญเสีย ได้ หากเกษตรกรเลี้ยงสัตวเ์ ปน็ จานวนมาก และปลอ่ ยโคท้งั ฝูงเลี้ยงในแปลงหญ้าท่ีมีพชื อาหารสัตวบ์ าง ชนดิ อยู่ในระยะท่มี สี ารพิษในลาต้น หรือใบในปริมาณมากสัตว์เล้ยี งทกุ ตวั ต่างก็ได้รับสารพษิ และเกิด อาการเจ็บปว่ ยโดยพรอ้ มๆ กันกระทันหันลม้ ตายเปน็ จานวนมาก ปัจจัยท่เี กย่ี วข้องกับปรมิ าณสารพิษ ความรุนแรงและอนั ตรายท่จี ะเกิดกบั สัตวเ์ ลี้ยง (กองอาหารสัตว์, 2560) ไดแ้ ก่ 2.1 ชนิดของพืชอาหารสัตว์ พืชอาหารสัตว์หลายชนิดมีสารพิษทเ่ี ป็นอันตรายต่อสัตว์ เลย้ี ง แปลงพชื อาหารสัตว์ท่ีมีการดูแลที่ไมด่ ีมักจะมีวัชพืชข้ึนปะปน ซ่งึ บางชนดิ อาจจะมีสารพิษท่ีเป็น อนั ตรายตอ่ สัตวเ์ กษตรกรต้องหม่ันสารวจ และทาลายต้นพืชท่ีแปลกปลอมในแปลงพชื อาหารสัตว์อยู่ เสมอ

37 2.2 อายุของพืชอาหารสัตว์ โดยท่ัวไปพบว่า พืชอาหารสัตว์ที่มีสารพิษส่วนใหญ่จะมี ปริมาณสารพษิ มากในระยะต้นออ่ น หรอื ระยะทีก่ าลงั เจริญเติบโต เม่อื โตเตม็ ทหี่ รอื แกจ่ ดั จะมีปรมิ าณ สารพษิ ลดลง 2.3 การให้ปุย๋ พืชอาหารสัตว์ โดยทั่วไปพบว่า พืชอาหารสัตว์ชนิดเดยี วกันถ้ามีการใช้ ปยุ๋ เพือ่ เร่งการเจริญเตบิ โตทาใหพ้ ชื โตเร็ว มกั จะทาให้พืชอาหารสตั ว์นั้น มปี รมิ าณสารพิษมากขน้ึ ด้วย 2.4 วิธีการนาพืชอาหารสัตว์มาเล้ียงสัตว์ การเลี้ยงสัตว์โดยใช้พืชอาหารสัตว์สดๆ มี ความเส่ียงตอ่ สารพิษในพืชอาหารสตั วค์ อ่ นขา้ งมาก เนื่องจากพืชอาหารสัตวส์ ดมกั จะมปี ริมาณสารพิษ มากกว่าพืชอาหารสัตวท์ ี่ผา่ นกรรรมวิธตี า่ งๆ เช่น การตากแหง้ 2.5 ปริมาณอาหารท่ีสัตว์กิน การใช้พืชอาหารสัตว์ที่มีสารพิษเล้ียงสัตว์ในปริมาณ มากๆ จะทาให้สตั ว์ไดร้ บั สารพิษในปริมาณมาก นอกจากนั้นการใช้พชื อาหารสตั วท์ ี่มสี ารพิษเลีย้ งสัตว์ ทมี่ ีอายุน้อย หรอื สัตว์ทมี่ ขี นาดตวั เล็ก สตั ว์จะแสดงอาการแพส้ ารพิษมาก 3. คุณภำพพชื อำหำรสัตว์ ในการเลี้ยงสัตว์โดยที่จะให้สัตว์มีการเจริญเติบโตและมีสุขภาพดี รวมถึงการให้ผลผลิตสูงนั้น สตั ว์จะต้องได้รับโภชนะในอาหารทเี่ พียงพอตามชนิด อายุ หรือระยะการใหผ้ ลผลติ ของสตั วซ์ ึง่ ในการ จัดอาหารสัตว์ให้มีประสิทธิภาพเต็มท่ีจาเป็นต้องทราบข้อมูล เกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนะของอาหาร สัตว์และความต้องการโภชนะของสัตว์ การให้อาหารสัตว์ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของสัตว์จะ ส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งทางด้านการให้ผลผลิต การสืบพันธุ์ และสุขภาพได้ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อ ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้น สัตว์จะเจริญเติบโตดีและให้ผลิตผลสูง ถ้าได้รับอาหารคุณภาพดี และ เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย คุณภาพของอาหารสัตว์สามารถตรวจสอบได้ เช่น การ ตรวจสอบรสชาติ การเกิดเชื้อรา การมีสารพิษเจือปน และการตรวจหาปริมาณสารอาหาร วิธี ตรวจสอบท่ัวๆ ไป คือ การวิเคราะห์หาส่วนประกอบทางเคมี เช่น หาปริมาณโปรตนี ไขมัน กากหรือ เยอื่ ใย แรธ่ าตุ คา่ พลังงาน สารยอ่ ยยาก เชน่ ลิกนิน ตลอดจนสารพษิ และการยอ่ ยได้ คา่ การยอ่ ยได้ หมายถึง ปริมาณอาหารที่ไมถ่ ูกถา่ ยออกเป็นมูล คิดเป็นร้อยละของอาหารทสี่ ัตว์ กนิ ได้ ทดสอบโดยใหส้ ัตว์กนิ อาหารทตี่ อ้ งการ ชง่ั น้าหนกั อาหารทส่ี ัตว์กนิ ได้และช่ังมูลทถี่ ่ายออกทุกวัน เป็นเวลา 14 วัน น้าหนกั อาหารทีก่ ินได้ ลบด้วยน้าหนักมูลท่ถี ่ายออก เป็นค่าของอาหารท่ถี ูกย่อย ดัง สูตรคานวณสมการที่ 2.1 (โครงการสารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน, 2560) สตู รคานวณจานวนรอ้ ยละของอาหารที่ย่อยได้ (2.1) จานวนรอ้ ยละของอาหารที่ย่อยได้ = ปริมาณอาหารทกี่ ินได้ - ปริมาณมูล x 100 ปรมิ าณอาหารทก่ี นิ ได้ วัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดใดท่ีมีค่าการย่อยได้สูงถือว่า อาหารสัตว์ชนิดนั้นมีคุณค่าอาหารสัตว์ดี หรือคุณภาพดี หมายความว่า สารอาหารถูกนาไปใช้หล่อเลี้ยงร่างกายได้มาก ส่วนการวิเคราะห์ องค์ประกอบทางเคมีของอาหารสัตว์ เป็นการแยกหาสัดส่วนของสารอาหารต่างๆ โดยข้ันแรก แยก เป็นส่วนของน้าหรือความช้นื กับวัตถุอาหารท่ีปราศจากความชนื้ โดยการไล่ความชื้น ด้วยความร้อน

38 ในตอู้ บ ซึ่งองค์ประกอบส่วนหลงั น้ี เรียกว่า วตั ถุแห้ง จากวตั ถุแห้งแยกสว่ น โดยการเผาไดแ้ รธ่ าตรุ วม เรียกว่า เถา้ ซึง่ ประกอบด้วยแรธ่ าตุตา่ งๆ ส่วนทีถ่ ูกเผาไหม้หายไป เป็นส่วนประกอบของอินทรีย์วัตถุ ประกอบด้วยโปรตีน ไขมัน กากและคาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง ในการวัดค่าของการย่อยได้ โดยสูตร ขา้ งต้น จะใช้ปรมิ าณของวัตถุแห้งเป็นเกณฑ์คานวณ เชน่ ค่าการย่อยของโปรตีน ไขมนั กาก และแป้ง ผลรวมของคา่ การย่อยไดท้ ง้ั หมดนี้ เรยี กวา่ ยอดรวมโภชนะท่ีย่อยได้ คิดเปน็ ร้อยละของอาหารท่กี ินได้ ทัง้ หมด โดยคดิ คานวณจากวตั ถุแหง้ ดงั สมการที่ 2.2 รอ้ ยละยอดรวมโภชนะทยี่ อ่ ยได้ = โปรตนี ยอ่ ยได+้ (2.5xไขมันยอ่ ยได้) +กากยอ่ ยได+้ แป้งยอ่ ยได้ (2.2) 4. มำตรฐำนสนิ คำ้ เกษตร การผลิตพืชอาหารสัตว์นั้นมกี ารควบคมุ คุณภาพการผลิตโดยสานักงานมาตรฐานสนิ ค้าเกษตร และอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พืชอาหารสัตว์ประเภทหญ้าแพงโกล่าแห้ง (Pangola Hay) นนั้ มีมาตรฐานสินค้าเกษตรดา้ นคณุ ภาพ ซ่งึ มีรายละเอียดดังนี้ (สานกั งานมาตรฐาน สนิ ค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ , 2556) ข้อกาหนดข้ันต้นของหญ้าแพงโกล่าแห้งทุกช้ันคุณภาพ ต้องมีลักษณะดังต่อไปน้ี เว้นแต่จะมี ข้อกาหนดเฉพาะของแต่ละช้นั (1) ตรงตามพนั ธ์ุ (2) มีความแห้งอยา่ งสมา่ เสมอ (3) มีความนุ่ม มีกล่ินหอม และมีสีของหญ้าแห้งตามธรรมชาติ ไม่มีกล่ินหรือสีที่ ผิดปกติ (4) ไม่เหน็ เชื้อรา ชัน้ คุณภาพของหญ้าแพงโกล่าแห้ง ตามมาตรฐานสินค้าเกษตรนี้ ทุกชั้นคุณภาพมีความช้ืนไม่ เกินร้อยละ 15 แบง่ เป็น 4 ชั้น (เอ บี ซี และด)ี ตามร้อยละของปรมิ าณโปรตนี ต่อน้าหนกั แห้ง (Dry matter basis) และในแต่ละช้ัน คุณภาพแบ่งเป็นชั้นคุณภาพย่อย (1, 2 และ 3) ตามร้อยละของ ปริมาณใยเอดเี อฟ (ADF) ต่อน้าหนกั แห้ง ดังตารางที่ 2.1 5. กำรลดตน้ ทุนกำรผลิตในภำคเกษตร ตน้ ทุนการผลติ (Production cost) หมายถึง ค่า ใช้จ่ายในการดาาเนินกิจกรรมทางการผลิต เพื่อให้ได้มาซ่ึง ผลิตภัณฑ์ท่ีดี มีคุณภาพตามความต้องการ ดังน้ัน ต้นทุนการผลิตจึงถือเป็นหัวใจ สาคญั ของการดาเนินงาน เพราะเมือ่ ตน้ ทนุ เพ่ิมขึน้ ย่อมมผี ลทาให้กาไรลดลง (พกิ ลุ , 2559) ปัจจัยของตน้ ทนุ การผลติ มดี งั น้ี 1. วตั ถุดบิ (Materials) วัตถุดิบถอื เป็นสว่ นประกอบ หลักในการผลติ สนิ ค้า ซงึ่ ต้นทนุ ท่ีเกี่ยวกับ การใช้วัตถุดบิ ในการผลิตสินคา้ สามารถจาแนกได้ ดังน้ี

39 1.1 วัตถุทางตรง (Direct materials) หมายถึง วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตและ สามารถระบุได้อย่าง ชัดเจนว่าใช้ในการผลิตสินค้าปริมาณและต้นทุนเท่าใด รวมท้ังจัดเป็นวัตถุดิบ สว่ นใหญท่ ีใ่ ชใ้ นการผลติ สินค้าชนิดน้นั 1.2 วัตถุทางอ้อม (Indirect materials) หมายถึง วัตถุดิบต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องโดย ทางออ้ มกบั การผลติ สินคา้ แต่ไม่ใชว่ ตั ถดุ บิ หลกั หรอื วัตถุดบิ ส่วนใหญ่ ตำรำงท่ี 2.1 ช้ันคณุ ภาพของหญา้ แพงโกล่าแหง้ (สานกั งานมาตรฐานสินคา้ เกษตรและอาหาร แหง่ ชาติ, 2556) %โปรตนี *1 ร้อยละของปริมาณใยเอดีเอฟ (% ADF) (Crude Protein) <35.0 35.0 - 40.0 >40.0 > 13.0 เอ*2 1 (A1) เอ*2 2 (A2) เอ*2 3 (A3) 10.0 – 13.0 บี 1 (B1) บี 2 (B2) บี 3 (B3) 7.0 – 9.9 ซี 1 (C1) ซี 2 (C2) ซี 3 (C3 < 7.0 ดี 1 (D1) ดี 2 (D2) ดี 3 (D3) *1 คุณภาพของหญา้ แห้งท่ดี ีต้องมีปรมิ าณโปรตีนสงู (โปรตนี หมายถึง โปรตีนหยาบทีไ่ ด้จากการวเิ คราะห์หาปรมิ าณ ไนโตรเจนแล้วคูณด้วยคา่ แฟค เตอร์ 6.25) เพ่ือใหเ้ พียงพอต่อความตอ้ งการโปรตนี ของสตั ว์ และมปี รมิ าณใยเอดเี อฟ ต่าเน่อื งจากใยเอดีเอฟมคี วามสมั พนั ธ์แบบผกผันกับคา่ การยอ่ ย ได้ของวัตถแุ ห้งในสตั ว์ *2 ชั้นคณุ ภาพเอ ต้นหญา้ แพงโกลา่ ตอ้ งมคี วามยาวไมเ่ กิน 50 เซนติเมตร ควรเปน็ หญ้าท่ตี ดั ท่ีอายไุ ม่เกิน 45 วัน ต้นหญ้ามใี บมากและผา่ นการจดั การ แปลงทีด่ ี มกี ารใส่ปุย๋ ตามคุณภาพของดนิ และความต้องการธาตอุ าหารของพืช 2. ค่าแรงงาน (Labor) หมายถึง ค่าจ้างหรือผลตอบแทน ที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือคนงานที่ทา หน้าทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การผลิตสินค้าโดยปกตคิ ่าแรงงานสามารถจาแนกได้ ดงั น้ี 2.1 ค่าแรงงานทางตรง (Direct labor) หมาย ถึง ค่าแรงงานต่าง ๆ ที่จ่ายให้แก่ คนงานหรือลูกจา้ งทท่ี าหนา้ ท่เี กีย่ วกับการผลติ สินคา้ 2.2 ค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect labor) หมาย ถึง ค่าแรงงานที่ไม่เก่ียวข้องกับ คา่ แรงงานทางตรงทใ่ี ชใ้ นการผลิตสินค้า 3. ค่าใช้จ่ายการผลิต (Manufacturing overhead) หรือค่าใช้จ่ายโรงงาน (Factory overhead) การผลติ (Manufacturing burden) หรอื ต้นทนุ ผลิต ทางอ้อม (Indirect cost) หมายถึง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการผลิตสินค้าซ่ึงนอกเหนือจากวัตถุทางตรงและค่าแรงงานทางตรง โดยปกติรายการท่รี วมไว้ ในค่าใช้จ่ายการผลติ ได้แก่ วตั ถุทางอ้อม ค่าแรงงานทาง อ้อมและคา่ ใช้จ่าย การผลิตอ่ืนท่ีเก่ียวข้องกับโรงงานและ เคร่ืองจักร เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่า ค่าเส่ือมราคา ค่า ซอ่ มแซมและบารุงรักษา

40 ตน้ ทุนการผลติ ถือเปน็ หัวใจสาคัญของการเกษตร เน่ืองจากตน้ ทุนการผลิตมมี ลู ค่าสูงข้ึนเร่ือยๆ ทาให้ เกษตรกรไม่สามารถบริหารจัดการตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยการผลิต ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เคร่ืองมือการเกษตร ฯลฯ ที่มีการเปล่ียนแปลงพลิกผันไป ดังนั้น แนวทางในการลดต้นทุนการผลิต ทางการเกษตร ได้แก่ การลดปัจจัยการผลิต เช่น ลดการใช้ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลง การพัฒนาเพ่ือเพ่ิม ผลผลิต เช่น การพัฒนาพันธุ์ดี พัฒนาดินและน้า การเพิ่มการบริหารจัดการ เชน่ การรวมแปลง รวม คน รวมเครือ่ งมือ และแนวทางสุดท้ายคือ การตลาด เพ่ือวางแผนและเพ่ิมชอ่ งทางจดั จาหน่าย 2.2.2 กระบวนกำรผลิตพชื อำหำรสัตว์ กระบวนการผลิตหญ้าแห้งเพื่อเป็นอาหารสัตว์น้ัน มีกระบวนการที่สาคัญ 3 ส่วน ได้แก่ กระบวนการตดั ซง่ึ เปน็ กระบวนการเรม่ิ ตน้ สาหรับการกาหนดกาลังการผลติ หญา้ แห้ง ในกระบวนการ น้จี าเปน็ ท่ีต้องทาการหาค่าความเหมาะสมของขนาดหญ้าที่เหมาะสมสาหรับอาหารสตั ว์ กระบวนการ อบแห้ง ซ่ึงมุ่งเน้นการอบแห้งตามมาตรฐานของหญา้ แห้ง (Pangola Hay) (สานกั งานมาตรฐานสนิ ค้า เกษตรและอาหารแห่งชาติ, 2556) และกระบวนการฆ่าเช้ือ ในแต่ละกระบวนการน้ันมีนักวิจัยได้ นาเสนอวิธีการที่หลากหลายและมวี ตั ถปุ ระสงค์ในแตล่ ะกระบวนการทแ่ี ตกตา่ งกนั 1. กระบวนกำรตดั (Cutting Process) กระบวนการตดั คือ กระบวนการทางกลที่แบง่ วตั ถุคงรูป (Rigid Body) ตามแนวเสน้ ทกี่ าหนด ไว้แล้ว โดยใชเ้ ครือ่ งมอื ตัด (Cutting Tools) ซ่งึ มีคุณลักษณะเปน็ ขอบเขตทแ่ี น่นอนและเห็นได้ชัดเจน ในกรณีท่ัวไปวัตถุเดิมจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ทาให้ผิว (Surface) ท่ีเกิดใหม่ซึ่งเรียกว่าส่วนที่ถูกแบ่ง (Cuts) การตัดจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบพื้นฐาน 3 ประการ คือ วัตถุท่ีตัด ใบมีด แทน่ ต้านทานการตดั โดยใบมีดเคล่ือนท่ผี ่านวัตถุท่จี ะตัดซ่ึงถกู ยดึ ให้อย่กู ับท่ีด้วยแท่นต้านทานการตัด ดงั แสดงในรปู ที่ 2.11 การตดั สามารถแบง่ ออกได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1. การตัดแบบกรรไกร (Scissors Cut) คือ การตัดท่ีใบมีดและแท่งต้านทานการตดั เคล่ือนที่ ผ่านเข้าไปในเนอ้ื วัตถทุ ง้ั คู่ 2. การตัดแบบมีด (Knife Cut) คือ การตัดทข่ี อบใดๆ ทีม่ คี มหรอื ใบมดี เคล่อื นทผ่ี ่านเข้าไปใน เนื้อวตั ถุเพียงอย่างเดยี ว กลไกสาคัญที่ก่อให้เกิดการสับในเคร่ืองสับพืชอาหารสัตว์ คือ ส่วนประกอบท่ีเรียกว่า หัวสับ (Cutter Head) ซง่ึ สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คอื 1. หัวสับชนิดจานกลม (Flywheel Type) รูปร่างของหัวสับมีลักษณะเป็นจานกลม ใบมีดติด อยู่ในแนวรัศมี โดยปกติจะมีใบมีด 4-6 ใบ เส้นผ่านศูนย์กลางของหัวสับประเภทน้ีมีขนาดค่อนข้าง ใหญ่ บางแบบที่เป็นประเภทใช้งานหนัก (Heavy Duty) อาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางของหัวสับถึง 1.25 เมตร และมีใบมดี 2, 5 หรอื 10 ใบ สาหรบั เครือ่ งเก็บเกี่ยวหญ้าและสับในแปลง (Forage Harvester) บนหวั สบั ประเภทน้จี ะมีใบมีด 3 หรอื 4 ใบ ติดอยรู่ อบเส้นรอบวงของหัวสบั ทาหน้าท่ีเหวีย่ งวัสดทุ ีถ่ ูก สบั แล้วขน้ึ ไปทางด้านบนตามทอ่ สง่ และตกลงในรถพ่วงสาหรบั รถบรรทุก

41 2. หัวสับชนิดทรงกระบอก (Cylinder Type) รูปร่างของหัวสับประเภทนี้มีลักษณะเป็น ทรงกระบอก โดยปกติจะมีใบมีด 6 ใบ และเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 61 เซนติเมตร หัวสับชนิด ทรงกระบอกที่ทางานในลักษณะสับและเหว่ียง (Direct Throw) ต้องการความเร็วตามเส้นรอบวง (Peripheral Speed) อยู่ระหว่าง 1,676 - 1,829 เมตรต่อนาที (5,500 - 6,000 รอบต่อนาที) เพ่ือท่ีจะเหวี่ยงวัสดุที่ถกู สับแล้วหลายประเภท ความเร็วรอบของหัวสับชนิดทรงกระบอกทม่ี ีเส้นผ่าน ศูนย์กลางเฉล่ยี ทวั่ ไปมีค่าประมาณ 1,000 รอบต่อนาที รปู ท่ี 2.11 ส่วนประกอบพื้นฐานและการเคลือ่ นท่ใี นการตดั (พัชราภรณ์, 2547) หัวสบั (Cutter Head) ไมว่ ่าจะมลี ักษณะแบบใดกต็ ามจะมคี ุณสมบัตทิ สี่ าคัญ ดงั น้ี 1. การติดตงั้ ใบมีดหรือรูปร่างของใบมีดจะทาให้การตัดเกิดขึน้ อยา่ งต่อเนื่องเป็นลาดับจากมุม ใดมมุ หนงึ่ ของใบมดี ไปยงั ดา้ นตรงขา้ ม ทัง้ น้ีเพ่ือลดแรงบิดท่ตี อ้ งใช้ 2. ใบมีดสามารถถอดออกได้เพื่อเพิ่มความยาวในการสับ แต่ใบมีดท่ีเหลือจะต้องมีระยะห่างๆ เทา่ กนั เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสมดุลของหวั สับ กระบวนการตัดเป็นกระบวนการเริ่มต้นของการผลติ หญ้าแห้ง ในกระบวนการตัดมีการศึกษา และออกแบบเครื่องตัดท่ีหลากหลาย ตัวอย่างเครื่องตัด-สับแสดงดังรูปที่ 2.12 โดยพิจารณาปัจจัย สาหรับการออกแบบที่แตกต่างกัน ท้ังการลดต้นทุนการผลิต การเพ่ิมประสิทธิภาพการตัด การหา ขนาดทเี่ หมาะสมในการตดั ความเร็วและเวลาที่ใช้ในการตัด และพลังงานทใ่ี ชส้ าหรับการตัด เป็นต้น จากการตรวจเอกสาร พบว่า เคร่ืองสับวัสดุการเกษตรมีหลายแบบและหลายขนาดที่แตกต่างกันไป ขนึ้ อยู่กับชนิดและสภาพของพืชหรอื วัสดุทท่ี ดสอบสถาบนวจิ ัยเกษตรวิศวกรรม (จารุวฒั น์ และคณะ, 2554) ได้ออกแบบและพัฒนาเคร่อื งห่นั ยอ่ ยซาก พืช ซ่ึงสามารถใช้หัน่ พชื เสน้ ใย เชน่ หมอ่ น และ ปอ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถย่อยซากก่ิง ต้นหม่อน ซึ่งจาเป็นต้องมีการตัดแต่งก่ิงอยู่เป็น ประจาแล้ว จึงนามาใช้เป็นประโยชน์ในการเพาะเห็ดหรือทาเป็นปุ๋ยหมักได้อย่างมีประสิทธิผล ชุด ใบมดี ตัดมีลักษณะเป็นหน้าแปลนจาน มีใบมีดติดต้ังอยู่ 2 ใบ ห่างกนั 180 องศา ด้านหลังหนา้ แปลน จานใบมีดมีครีบเหล็กติดอยู่ 4 ใบ หา่ งกัน 90 องศา ทาหน้าท่ีเป็นใบพัดลม ชดุ จานใบมดี ตดั นย้ี ึดด้วย

42 ลกู ปืนรองล่ืนแบบตุ๊กตาติดตั้ง 2 ชุด ใบมีดตัดมีมุมคม 30 องศา ใบมีดรบั มีมมุ คม 45 องศา โดยมีมุม หลบด้านล่าง 5 องศา ใช้เคร่ืองยนต์ขนาดกาลัง 5 - 8 แรงม้า มีความสามารถห่ันย่อย กิ่งหม่อนได้ 80 - 320 กิโลกรมั ต่อชวั่ โมง นอกจากน้ันมีการออกแบบเครือ่ งยอ่ ยกิ่งไม้และวัชพืช ใช้แหลง่ พลังงาน กลและอุปกรณก์ ารถ่ายทอดกาลังประกอบด้วยมอเตอรส์ ามแรงมา้ ความเร็วรอบ 1,400 รอบตอ่ นาที สายพานแบบ B-54 มู่เลย์ขับ (Pulley) และมู่เลย์ตามขนาด 4 นิ้วเท่ากัน พบว่า การย่อยก่ิงไม้ ประเภทไม้เน้ือแข็งขนาด 1-1.5 นิ้ว ความยาวประมาณ 1 เมตร ใช้เวลาเฉล่ีย 27.66 วินาที ไม้ เนอื้ ออ่ นใชเ้ วลาเฉลยี่ 12.33 วินาที การย่อยใบไมห้ รอื วชั พืชที่มีขนาดเล็กน้าหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ใช้เวลาย่อยเฉล่ีย 75 วินาที ใบไม้ขนาดใหญ่ ใช้เวลาย่อยเฉลี่ย 92 วินาที (นภัควัฒน์ และ คณะ, 2556) รปู ท่ี 2.12 ตัวอยา่ งเครื่องจกั รกลการเกษตร เครื่องตดั -สับ (แหล่งท่ีมา http://www.an-anek.com/pro-detail.php?id=57, 15 กนั ยายน 2560.) ในปี 2554 มงคล และคณะ ทาการออกแบบและพัฒนาเคร่ืองห่ันย่อยต้นถ่ัวลิสง ให้มีความ เหมาะสมสาหรบั การนาไปใช้เป็นอาหารสัตว์หรือปุ๋ยหมัก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีต้นทุนการผลิต ตา่ จากผลการออกแบบซึ่งตัวเคร่ืองมใี บมีดสาหรับหั่นย่อยจานวน 2 ใบ ความยาว 1 ฟตุ ทาจากเหล็ก ไฮสปดี ติดตั้งตรงข้ามกัน วางมุมเอียง 18 องศากับแนวระดับ ความเร็วรอบท่ีเหมาะสมของใบมีดห่ัน คือ 900 รอบตอ่ นาที สว่ นความเรว็ รอบของลกู กล้ิงป้อนคอื 225 รอบต่อนาที ทาใหม้ อี ัตราการทางาน 515 กิโลกรมั ต่อช่ัวโมง ขนาดช้ินท่ีห่ันย่อยได้ 6.2 - 7.6 เซนติเมตร โดยใชเ้ ครอ่ื งยนต์ 6 แรงมา้ เป็น ต้นกาลัง อัตราการใช้น้ามันเช้ือเพลิง 1 ลิตรต่อช่ัวโมง ซ่ึงมีต้นทุนการผลิตไม่รวมเครื่องยนต์กาลัง 15,000 บาท 2. กระบวนกำรอบแห้ง (Drying process) การอบแห้งเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสาคัญในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพื่อยืดอายุ การเกบ็ รักษา ซึ่งจะชว่ ยรองรับปัญหาผลผลติ เกษตรขาดแคลนในชว่ งฤดูแล้งได้อีกทางหนง่ึ เทคโนโลยี การอบแห้งเปน็ กระบวนการให้ความร้อนภายใต้สภาวะควบคุมกบั ผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงพืช อาหารสัตวป์ ระเภทต่างๆ ท่ีมีความชน้ื สูงเพื่อลดปริมาณน้าหรอื ความชนื้ ด้วยวิธรี ะเหยน้าออกไป โดย

43 ท่ีคุณภาพของผลิตภัณฑ์อบแห้งจะข้ึนอยู่กับกลไกการถ่ายเทความร้อนและการถ่ายเทมวลสารใน ระหว่างกระบวนการอบแห้ง การวิจัยและพัฒนาเพอ่ื ปรับปรุงประสิทธภิ าพของกระบวนการอบแห้ง จึงเป็นกุญแจสาคัญในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์อบแห้งที่ยังคงกล่ิน รส และคุณค่าทาง โภชนาการไว้ใกล้เคยี งกบั ผลผลิตสด (อรรถพล, 2551) อย่างไรก็ตามมการออกแบบระบบอบแห้งให้ เหมาะสมกับเง่ือนไขท่ีต้องการจาเป็นต้องคานึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ท้ังในด้านวิธีการอบแห้ง แหลง่ พลงั งานท่ีใชแ้ ละผลกระทบต่อคณุ ภาพของผลติ ภณั ฑอ์ บแห้ง กลไกการอบแห้งประกอบด้วยการให้ตัวกลางความร้อนเพ่ือส่งถ่ายพลังงานความร้อนไปยัง ผลิตภณั ฑ์เกษตรจนปริมาณความชื้นระเหยและถ่ายเทความช้นื เข้าสู่ตวั กลางทางความร้อนในรูปแบบ ของการแลกเปล่ียนมวลสารและความร้อนในลักษณะต่างๆ ซ่ึงมีข้อจากัดและความเป็นไปได้ทาง เศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการใช้เวลาในการอบแห้งนานจะส่งผลเสียต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์อบแห้ง ตลอดจนมีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานสูง จากสาเหตุดังกล่าวจึงได้มีความพยายามศึกษานวัตกรรม การให้ความร้อนด้วยวิธีการใหม่ท่ีมีประสิทธิภาพสูงมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการอบแห้งเพ่ือลด ข้อจากัดต่างๆ ของการอบแห้งแบบด้ังเดิมด้วยลมร้อนและเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางความร้อนท่ีมี ประสิทธภิ าพสูง มีอตั ราการอบแห้งเรว็ และรักษาคณุ ภาพทางโภชนาการของผลติ ภณั ฑ์อบแหง้ จงึ ได้มี การศึกษาวิจัยแหล่งพลังงานท่ีมีประสิทธิภาพสูงในการถ่ายเทมวลความร้อนระหว่างกระบวนการ อบแห้ง เทคโนโลยีการอบแห้งด้วยคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Drying Technology) เป็นนวัตกรรม การสร้างความรอ้ นทม่ี ีประสิทธิภาพสูง ซ่งึ คล่นื ไมโครเวฟจะเหนี่ยวนาให้เกิดความร้อนในผลผลิตทาง การเกษตรหรอื พชื อาหารสตั ว์ท่ีมคี ณุ สมบัติเปน็ ไดอิเลก็ ตริกจึงสามารถดูดกลนื คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ แปลงเป็นพลังงานความรอ้ นได้ คล่นื ไมโครเวฟจดั เป็นคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ ชนดิ หนงึ่ ซงึ่ มีความถี่ระหว่าง 300 เมกะเฮรติ ซ์ ถึง 300 จกิ ะเฮรติ ซ์ (อรรถพล, 2550) (1) การอบแห้งด้วยคลน่ื ไมโครเวฟ (Microwave Drying) ในปัจจุบันกระบวนการอบแห้งถูกนาเสนอด้วยการใช้พลังงานความร้อนที่หลากหลายจาก นักวิจัยหลายท่าน ซึ่งในแต่ละแหล่งพลังงานความร้อนมีข้อดีและข้อจากัดที่แตกต่างกัน และมี วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน อาทิ ลดเวลาในกระบวนการอบแห้งของผลิตภัณฑ์ การคงคุณค่าทาง อาหาร รักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนด้านพลังงาน เป็นต้น Cheng และคณะวิจัย (Cheng et al., 2006) นาเสนอวิธกี ารการอบแหง้ โดยใช้ไมโครเวฟ ซึ่งไมโครเวฟเป็นการให้พลงั งานในรปู ของ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า โดยอาหารสามารถดดูกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดี ทั้งนี้ข้ึนกับคุณสมบัติของ อาหารชนดิ นนั้ เม่ืออาหารไดร้ ับคลื่นไมโครเวฟจะเปลีย่ นไปเปน็ ความรอ้ น โดยไมโครเวฟทาให้อนภุ าค หรือโมเลกุลที่มีข้ัวเกิดการเคล่ือนที่และการเสียดสีกันจนเกิดความร้อนข้ึน อาหารจึงร้อนท่ัวทั้งช้ิน อย่างรวดเร็ว และไม่ทาให้ผิวหน้าร้อนเกินไป ดังน้ัน การใช้ไมโครเวฟในการอบแห้งทาให้อัตราการ ถ่ายมวลเร็วข้ึน เวลาในการอบแห้งจึงสั้นลง ในระหว่างการอบแห้งด้วยไมโครเวฟ พบว่า ค่า Loss Factor ของผลิตภัณฑ์แห้งจะลดลง ในขณะท่ีอุณหภูมิและความดันในผลิตภัณฑ์สูงขึ้นส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์พองตัว และมีโครงสร้างรูพรุนภายในทาให้เกิดการคืนตัวดี อย่างไรก็ตามการอบแห้งท่ีมี อตั ราการถ่ายเทมวลทีเ่ ร็วเกินไป บางคร้ังอาจเกิดผลเสียตอ่ เน้อื สมั ผัสได้ในบางกรณี นอกจากนกี้ ารใช้

44 ไมโครเวฟทาให้เกิดความร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว และมักพบรอยไหม้ในบางตาแหน่งของผลิตภัณฑ์ได้ เน่ืองจากความไม่สมา่ เสมอของคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า ในปี ค.ศ. 2010 Arslam และ Özcan (Arslan, 2010) ได้เปรียบเทียบคุณสมบัติของแผ่นหัว หอมอบแหง้ ดว้ ยพลังงาน 4 รปู แบบ ไดแ้ ก่ พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ พลังงานความรอ้ นจาก ลมร้อนท่ีอุณหภูมิ 50 และ 70 องศาเซลเซียส และพลังงานความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟ 210 วัตต์ จากผลการทดสอบ พบว่า การอบแห้งด้วยพลังงานความร้อนจากไมโครเวฟใช้เวลาในการอบแห้ง ประมาณ 19.2 นาที ซง่ึ น้อยกว่าการอบแห้งวธิ ีการอบแหง้ พลงั งานแสงอาทิตย์และการอบแหง้ ดว้ ยลม ร้อนที่อุณหภูมิ 50 และ 70 องศาเซลเซียส ถึง 53.13, 46.88 และ 34.38 เท่าตามลาดับ อีกท้ังมี ปริมาณของสารประกอบฟีนอลิก (Phenolic Content) เท่ากับ 1,664 และ 1,624 มิลลิกรมั ต่อ 100 กรัมของตัวอย่างในตัวอย่างแผ่นหัวหอมเมื่ออบแห้งด้วยคลื่นไมโครเวฟที่ 210 วัตต์ และ 700 วัตต์ ตามลาดับ ในขณะที่การอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์และการอบแห้งด้วยลมร้อน (50 และ 70 องศาเซลเซียส) มีปริมาณสารประกอบฟีนอลิกเท่ากับ 472, 512 และ 780, 624 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมของตัวอย่างตามลาดับ ซ่งึ สอดคล้องกบั รายงานวจิ ยั ของ Maskan (Maskan, 2001) ซ่งึ พบว่าการ อบแห้งด้วยคล่ืนไมโครเวฟ (270 วัตต์) มีอัตราการอบแห้งสูงกว่าการอบแห้งด้วยลมร้อน (60 องศา เซลเซียส) ถงึ 65 เท่า นอกจากนี้ยังช่วยลดการเกดิ ปฏิกิริยาสนี ้าตาลที่เกิดจากการได้รับความร้อนเป็น เวลานาน จากรายงานวิจยั ท่ีกล่าวมาแสดงใหเ้ ห็นว่าการอบแหง้ ด้วยคลน่ื ไมโครเวฟสามารถลดเวลาใน การอบแห้งจงึ ช่วยรักษาคณุ ภาพของผลิตภัณฑอ์ บแหง้ ได้ Zhang et al., 2005 นาเสนอการอบแห้งด้วยการแผ่รังสีอินฟราเรดเป็นการแผ่รังสใี นรปู ของ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ในย่านความยาวคล่ืนรังสีอินฟราเรดจากแหลง่ พลังงานความร้อนมาตกกระทบลง บนผิวของวัสดุ แล้วรังสีทะลุทะลวงเข้าไปในวัสดุ ทาให้พลังงานส่วนหนึ่งของการแผ่รังสีถูกวัสดุ ดูดกลืนเอาไว้ และทาให้โมเลกลุ ของวัสดุเกิดการส่ันสะเทือนแล้วเปลี่ยนเปน็ พลังงานความรอ้ นข้นึ ใน วัสดุ ดังนั้น น้าที่อยู่ในโมเลกลุ ก็จะได้รับความรอ้ น และเกิดการแพร่ไปยังบรเิ วณผิวของวัสดุ ช่วยลด ระยะเวลาในการอบแห้ง และผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพดี (Zhang et al., 2006; Soponronnarit et al., 2005; Varith et al., 2007; Kathiravan et al., 2008; Nathakaranakule et al., 2010) นอกจากนี้มีการอบแห้งด้วยเทคนิคความดันต่ากว่าบรรยากาศที่สามารถอบ แห้งได้รวดเร็วและ มี ประสิทธิภาพ (Artnaseaw et al., 2010) อย่างไรก็ตามการอบแห้งโดยใช้คล่ืนไมโครเวฟเป็นแหล่ง พลังานเพียงอย่างเดียวยังมีข้อจากัดในเร่ืองความยุ่งยากในการทางานของระบบและต้นทุนพลังงาน ตลอดจนความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น จึงได้มีการประยุกต์ใช้ระบบผสมผสาน (Hybrid system) ระหว่างพลังงานจากคล่ืนไมโครเวฟและเทคนิคการอบแห้งแบบต่างๆ ข้ึนมาเพื่อเพ่ิม ประสิทธิภาพการอบแหง้ (Assawarachan, R and Noomhorm, A. 2008). (2) ระบบการอบแหง้ แบบพลงั งานผสม (Hybrid Microwave Drying System) การอบแห้งระบบพลังงานผสมเป็นท่ีนิยมท้ังในระดับการศึกษาวิจัยและการนาไปใช้ในระดับ อตุ สาหกรรม อาทิ การอบแห้งด้วยคล่นื ไมโครเวฟรว่ มกับสุญญากาศ (Microwave Vacuum Drying) และ การอบแห้งด้วยคลื่นไมโครเวฟร่วมกับลมร้อน (Microwave hot-air Drying) การอบแห้งด้วย คลืน่ ไมโครเวฟรว่ มกับสญุ ญากาศเปน็ นวตั กรรมการอบแหง้ ท่สี ามารถรักษาคุณภาพของผลิตภณั ฑ์แห้ง

45 ซ่ึงเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร เช่น พืชสมุนไพรและการพัฒนาอาหารขบเคี้ยว นกั วิจัยหลายท่านได้ศึกษาคุณภาพท่ีเปลี่ยนแปลงไปของผลผลิตทางการเกษตร จากผลการวิจัยของ Walde และคณะ ได้ทาการศึกษาการอบแหง้ โดยการใช้ไมโครเวฟร่วมกับสุญญากาศ ซ่ึงการอบแห้ง เห็ดดว้ ยไมโครเวฟอย่างเดียว พบว่า มีค่า diffusion coefficient 331.02x10-6 ตารางเมตรต่อวินาที ซ่ึงสูงกวา่ การอบแห้งโดยสุญญากาศทม่ี ีค่า diffusion coefficient 0.3225x10-6 ตารางเมตรต่อวินาที แต่คุณภาพเห็ดแหง้ ไมด่ ีนัก เมือ่ นาเทคโนโลยีมาใช้รว่ มกัน พบว่า สามารถปรับปรุงคณุ ภาพเหด็ และใช้ เวลาอบแห้งส้ันลง (Walde et al., 2006) นอกจากนี้ Giri and Prasad (2007) ยังพบว่าการใช้ ไมโครเวฟรว่ มกบั สญุ ญากาศในการอบแห้งเหด็ ทาให้เห็ดมอี ัตราการคืนตัวท่ดี ีข้ึนสาหรับผลกระทบต่อ คณุ ค่าทางโภชนาการ พบวา่ การอบแห้งผลแอพริคอทด้วยไมโครเวฟร่วมกับสุญญากาศ มีการสูญเสีย ไวตามิน เอ ซี และ ดี น้อยกว่าการอบแห้ง โดยใช้อินฟราเรด แต่พบการสูญเสียไวตามินเอมากข้ึน เม่ือใช้เวลาในการอบแห้งช่วงแรกที่ยาวแล้วต่อด้วยกาลังไมโครเวฟสูงในช่วงหลัง (Karatas and Kamisli, 2007) สาหรับการอบแห้งโดยใชไ้ มโครเวฟร่วมกับสุญญากาศสองขัน้ ตอนสาหรบั มะเขอื เทศ ที่ผ่านการแช่อ่ิมซ่ึงมีปริมาณน้าตาลสูง พบว่า ช่วงแรกควรใช้กาลังไมโครเวฟสูงแล้วลดกาลงในช่วง หลงั เพือ่ ลดปัญหาการเกิดรอยไหม้ (Therdthai and Patanapha, 2007) จากการศกึ ษาขอ้ มูล พบว่า การอบแห้งดว้ ยไมโครเวฟมีศักยภาพในการปรบั ปรงุ คณุ ภาพของผกั และผลไมอ้ บแห้ง นอกจากการอบแหง้ ระบบพลงั งานผสมดังกล่าว อีกวธิ ีการหนึ่งทไ่ี ดร้ ับความนิยมคือการอบแห้ง ดว้ ยลมร้อนร่วมกบั คลื่นไมโครเวฟ (ผดุงศักด์ิ, 2551) จากรายงานของ Alibas (Alibas, I., 2007) ซ่ึง ศึกษาเทคนิคการอบแห้งระบบพลังงานผสมระหว่างลมร้อนและคล่ืนไมโครเวฟเพื่อศึกษาสภาวะการ อบแห้งแผ่นฟักทองท่ีเหมาะสม โดยเปรียบเทียบอัตราส้ินเปลืองพลังงานและการเปลี่ยนแปลงคุณ ภาพสี พบว่า สภาวะในการอบแห้งแบบผสม (ลมร้อน 70 องศาเซียลเซียส และคล่ืนไมโครเวฟ 350 วัตต์) มีอัตราส้ินเปลืองพลังงาน 0.175 กิโลวัตต์ ในขณะที่การอบแห้งด้วยคลื่นไมโครเวฟและการ อบแห้งด้วยคล่นื ไมโครเวฟและการอบแห้งด้วยลมรอ้ นอยา่ งเดยี วมอี ัตราการสิน้ เปลืองพลังงาน 0.232 และ 1.24 กิโลวัตต์ตามลาดับ คุณภาพสีของแผ่นฟักทองที่ผ่านการอบแห้งด้วยระบบผสมดีกว่าการ อบแห้งด้วยคล่ืนไมโครเวฟ และการอบแห้งด้วยลมร้อนตามลาดับ นอกจากน้ี Maskan (Maskan, M., 2000) ได้นาเสนอความเป็นไปได้ในการอบแห้งแผ่นกลว้ ยดว้ ยเทคนิคการอบแหง้ แบบ 2 ขัน้ ตอน โดยใช้ลมรอ้ นทอี่ ณุ หภูมิ 70 องศาเซียลเซยี ส ความเร็วลม 1.45 เมตรต่อวินาที ซง่ึ การอบแหง้ ในชว่ งท่ี 1 เพื่อลดความช้ืนในแผ่นกล้วยจนเหลือ 1.32 กิโลกรัมน้าต่อกิโลกรัมวัสดุแห้ง จากน้ันนามาอบแห้ง ด้วยคลื่นไมโครเวฟ 350 วัตต์ จนแผ่นกล้วยมีความช้ืนเหลือ 0.4 กิโลกรัมน้าต่อกิโลกรัมวัสดุแห้ง พบว่า การอบแห้งระบบผสมผสานน้ีสามารถลดเวลาในการอบแห้งได้ร้อยละ 64.3 ของการอบแห้ง ด้วยลมร้อนเพยี งอย่างเดียวและผลติ ภัณฑ์แห้งมีคุณภาพสที ่ีดีกว่าการอบแหง้ ดว้ ยคลื่นไมโครเวฟเพยี ง อย่างเดียว จึงอาจกล่าวได้ว่าการอบแห้งแบบพลังงานผสมเป็นที่ยอมรับและถูกนาไปพัฒนาใช้ใน ระดบั อตุ สาหกรรม Silva et al. (Silvas et al., 2006) นาการอบแห้งแบบพลงั งานผสมด้วยคลื่นไมโครเวฟมาใช้ ในการอบแห้งมะคาเดเมียนัท (Macadamia Nuts) โดยใช้เวลาในการอบแห้งเพียง 4.5-5.5 ช่ัวโมง ในขณะท่ีการอบแห้งดว้ ยลมร้อนใชเ้ วลาถึง 144 ชวั่ โมง โดยผลติ ภัณฑแ์ ห้งมีคุณลักษณะทางประสาท สัมผัสใกล้เคียงกัน แต่มะคาเดเมียนัทที่ อบแห้งด้วยคลื่นไมโครเวฟแบบพลังงานผสมมีปริมาณกรด

46 ไขมันอิสระมากกว่า นอกจากน้ียังพบ รายงานวิจัยท่ีเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้คลื่นไมโครเวฟร่วมกับ เทคนิคการอบแห้งแบบอ่ืนๆ เช่น การนาคลื่นไมโครเวฟมาประยุกต์ร่วมกับการอบแหง้ ด้วยฟลูอิไดซ์ เบดหรอื สเปาเต็ดเบด ซึ่งมีความเหมาะสมกับผลผลิตเกษตรเชิงอนภุ าค Feng และคณะ ประยุกต์ใช้ คล่ืนไมโครเวฟร่วมกับการอบแห้งด้วยเทคนิคฟลูอิไดซ์เบดทาให้สามารถสามารถลดเวลาในการ อบแห้งได้มากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับการอบแห้งด้วยฟลูอิไดซ์เบดเพียงอย่างเดยี วและยังรกั ษา คุณภาพของผลติ ภัณฑอ์ บแหง้ ได้ดกี วา่ 3. กระบวนกำรฆ่ำเชอื้ ดว้ ยเทคโนโลยพี ลำสมำ การควบคุมความสะอาดปลอดภัยของอาหารสัตว์น้นั ต้องวเิ คราะห์ตามความเสยี่ งจากสารพิษ จากเชื้อรา (Mycotoxins) ซ่ึงเป็นปัญหาที่มีระดับความรุนแรงเพ่ิมขึ้นในปัจจุบันเพราะมีพัฒนาการ ของวิธีการตรวจทาให้พบการปนเป้ือนของสารพิษจากเชอื้ ราหลายชนดิ มากขึ้น โดยเชื้อราที่ปนเปื้อน อยู่ในพืชอาหารสัตว์ในปัจจุบันมีหลายชนิด กลุ่มใหญ่ๆ ท่ีพบ ได้แก่ กลุ่มฟูซาเรียม (Fusarium) พบ การปนเปื้อนมากในแปลงปลูกวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาเล่ย์ ข้าวโอ๊ต ฟาง และหญ้าหมัก กลุ่มแอสเปอจลิ ลัส (Aspergillus) พบในวตั ถุดบิ ประเภท ข้าวโพด ถ่ัว เมล็ดฝา้ ย และ เพนนิซิเลียม (Penicillium) พบในวัตถุดิบ ข้าวโพด ข้าวบาเลย์ ข้าวฟ่าง และหญ้าหมัก ซึ่งการ ปนเปื้อนของเชื้อราและสารพษิ กลุ่มนี้มักพบในสถานที่เกบ็ วัตถุดิบในโรงงานอาหารสตั ว์ เชน่ สถานที่ อบั ชน้ื อากาศไม่ถ่ายเท และแสงน้อย อยา่ งไรก็ตามยังมีเชอื้ ราอีกหลายกล่มุ ทส่ี ามารถผลติ สารพิษรวม ได้หลากหลายชนิด เช้ือรามีความแตกต่างจากสารพิษจากเช้ือรา ในแง่การควบคุมการปนเปื้อนใน อาหารสัตว์ เนือ่ งจาก เช้ือรามักจะถูกนิยามวา่ เป็นจลุ ินทรียท์ ่ีใชว้ ตั ถุดิบเปน็ แหล่งอาหารและทาใหเ้ กิด การเน่าเสียของอาหารชนิดนั้นๆ แต่สารพิษจากเช้ือราเป็นสารเคมี หรือสารพิษ ท่ีเชื้อราผลิตข้ึน หลังจากเจริญเต็มที่แล้ว ประเด็นท่ีสาคัญของความแตกต่างระหว่างเช้ือราและสารพิษท่ีสาคัญ คือ เช้ือราถูกทาลายได้ด้วยความรอ้ น ความดันระหว่างอุณหภูมิอดั เม็ด ระหว่าง 80 ถึง 120 องศาเซียล เซยี ส หรือควบคุมไมใ่ ห้เจรญิ เติบโตหรอื เจริญเติบโตไดช้ ้าด้วยการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ตอ่ การเจรญิ เตบิ โต (Nattawadee Jantasila, 2014) ขนั้ ตอนการผลิตอาหารสตั ว์สว่ นใหญ่มักจะเร่ิมจากการรบั ซื้อวตั ถุดิบจากผูผ้ ลิต ซึ่งอาจเป็นการ นาเข้า ดังนัน้ ตอ้ งย้อนไปตรวจสอบความเส่ยี งและป้องกนั ปัญหาการปนเป้ือนเชื้อราระหว่าง การปลูก การตากแห้ง และการขนส่งเนื่องจากเช้ือราสามารถผลิตสารพิษได้ระหว่างข้ันตอนดังกล่าว หากมี สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม ระหว่างการเก็บรักษาวัตถุดิบก็มีความสาคัญ ท้ังส่วนที่เก็บในถัง ไซโล ขนาดใหญ่ หรอื เกบ็ ในหอ้ งเก็บวัตถดุ ิบก็ต้องมีการควบคุมสภาวะแวดล้อมไม่ใหเ้ ออ้ื ตอ่ การเจริญเติบโต ของเช้ือราและต้องมีการวางแผนการเก็บไม่ให้ยาวนานเกินไป หรือถ้าต้องเก็บนานเกนิ กว่า 3 เดือน จาเป็นต้องมีมาตรการลดการปนเปื้อน เช่น ใช้สารควบคุมการเจริญของรา เช่น Mold Inhibitor กลุ่มอะซิติกแอซิด (Acetic Acid) โพรพิโอนิกแอซิด (Propionic Acid) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการเก็บข้ึนอยูก่ ับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น ความชน้ื ในอากาศ หรือคุณภาพของวัตถุดิบท่ี เก็บ หากอากาศชื้นมากอาจต้องลดเวลาการเกบ็ ใหส้ ั้นลง เนื่อง จากหญ้าเป็นพืชอาหารสัตว์จึงมีความจาเป็นต้อง มีกร รมวิธีสาหรับฆ่าเช้ื อเพ่ือความ ปลอดภัยกอ่ นนาให้สัตว์บรโิ ภค นักวิจัยหลายท่านนาเสนอวิธีการทแี่ ตกต่างกัน อาทิ การให้ความร้อน

47 การใช้ไอน้า การทาสุญญากากาศ และเทคโลโลยพี ลาสมา โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือลดปริมาณจุลินทรีย์ เชน่ รา ยสี ต์ แบคทีเรยี (1) พลาสมา (Plasma) พลาสมา ในทางฟิสิกส์และเคมี คือ แก๊สท่ีมีสภาพเปน็ ไอออนและมักจะถอื เปน็ สถานะหน่ึงของ สสาร การมีสภาพเป็นไอออนดังกล่าวน้ี หมายความว่า จะมีอิเล็กตรอนอย่างน้อย 1 ตัว ถูกดึงออก จากโมเลกลุ ประจไุ ฟฟ้าอิสระทาใหพ้ ลาสมามีสภาพการนาไฟฟ้าเกดิ ข้นึ รปู ที่ 2.13 สถานะของสสารเปรยี บเทียบอณุ หภมู ิและพลงั งาน (แหลง่ ทม่ี า http://tetronics.com/our-technology/what-is-plasma/) 12 กนั ยายน 2560) สถานะที่ 4 ของสสารนี้ มีการกล่าวถึงคร้ังแรก โดยเซอร์ วิลเลียม ครูกส์ ( Sir William Crookes) เมอ่ื ค.ศ. 1879 และในปี ค.ศ. 1928 นน้ั เออร์วงิ แลงเมียร์ (Irving Langmuir) ใชค้ าจากัด ความของสถานะท่ี 4 น้ีว่าพลาสมา (Plasma) ดังรูปที่ 2.13 เนื่องจากมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไป จากสถานะอืน่ อยา่ งชัดเจน พลาสมาประกอบด้วยอนุภาคท่ีมีประจุท้ังประจุบวกและลบ ในสัดส่วนท่ี ทาให้ประจุรวมเป็นศูนย์ การอยู่รวมกันของอนุภาคเหล่าน้ีเป็นแบบประหน่ึ งเป็นกลาง (Quasineutral) ซ่ึงหมายความว่าอิเล็กตรอนและไอออนในบริเวณน้ัน โดยรวมแล้วมีจานวนเท่า ๆ กัน และแสดงพฤติกรรมรว่ ม (Collective Behavior) ซง่ึ เป็นการเคล่ือนท่ีของอนุภาคในพลาสมา ไม่ เพยี งแต่จะขึ้นอยู่กบั เงอื่ นไขในบริเวณนนั้ ๆ เท่านน้ั แต่เป็นผลโดยรวมจากพลาสมาส่วนใหญ่ มากกว่า จะเป็นผลมาจากการชนกันของอนภุ าคที่อยูใ่ กล้เคียงกนั เน่ืองจากอนุภาคในพลาสมาท่ีสถานะสมดุล จะมกี ารสั่นด้วยความถท่ี ี่สูงกว่าความถใี่ นการชนกันของอนุภาค 2 ตัวท่ีอยู่ใกล้กัน ดังน้ันอาจกล่าวได้ ว่าพฤตกิ รรมร่วมนีเ้ ปน็ พฤติกรรมทก่ี ลุ่มพลาสมาแสดงออกมาร่วมกัน พลาสมาสามารถเกิดได้โดยการให้สนามไฟฟ้าปริมาณมากแก่ก๊าซที่เป็นกลาง เมื่อพลังงาน ส่งผ่านไปยังอิเล็กตรอนอิสระมากพอ จะทาให้อิเล็กตรอนอิสระชนกับอะตอมและทาให้อิเล็กตรอน หลุดออกจากอะตอม กระบวนการนี้เรียกว่ากระบวนการแตกตัวเป็นไอออน (Ionization) ซ่ึงจะ เกิดข้ึนอย่างรวดเร็วจนทาให้จานวนอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาน้ีเพ่ิมจานวนขึ้นอย่างมากซึ่งจะทาให้ ก๊าซแตกตัวและกลายเป็นพลาสมา พลาสมามีความแตกต่างจากสถานะของแข็ง ของเหลว และก๊าซ

48 โดยมีเงื่อนไข 3 ประการ ดังต่อไปน้ีคือ ความยาวคล่ืนเดอบาย จานวนอนุภาค และความถ่ีพลาสมา ซึง่ ทาให้พลาสมามคี วามจาเพาะเจาะจงท่แี ตกตา่ งจากสถานะอืน่ ออกไป (2) การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยพี ลาสมา (Plasma Applications) เทคโนโลยีพลาสมา (Plasma Technology) เป็นเทคโนโลยีที่กาลังได้รับความนิยมในการ นาไปประยุกต์ใชท้ างด้านวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ จุดเดน่ ของเทคโนโลยนี ค้ี อื เป็นหนึ่งในเทคโนโลยสี ะอาด (Clean Technology) โดยจะทาให้เกิด OH radical ซงึ่ สามารถทาให้เกิดความเสยี หายต่อโครงสร้าง ผนังเซลล์ของเชื้อราได้ (Wang et al., 2012) งานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นในการใช้แก๊สพลาสมาเพ่ือการ ยบั ยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และเป็นแนวทางในการพัฒนาวิธีการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ทางการ เกษตรดังรูปที่ 2.14 ให้มคี ุณภาพดีและยดื อายกุ ารเก็บรกั ษาไดน้ านย่งิ ขน้ึ โดยมีองค์ประกอบและส่วน ท่ีสาคญั ของเคร่อื งพลาสมาดงั แสดงในรูปท่ี 2.15 รูปท่ี 2.14 สว่ นประกอบการฆา่ เช้อื ด้วยวิธกี ารพลาสมา รปู ที่ 2.15 องคป์ ระกอบและสว่ นท่ีสาคัญของเครื่องพลาสมา

49 ลักษณะการฆ่าเช้ือพ้ืนผิวด้วยการฉายรังสี (Irradiation) (Yusuke, A.,et al., 2011) การฆ่า เชื้อพื้นผิวสัมผัสอาหารเป็นกระบวนการสาคัญในการช่วยลดการปนเปื้อนของวัสดุสัมผัสอาหาร ประเภทตา่ งๆ เพอ่ื ยดื อายกุ ารเกบ็ รักษาการฆ่าเช้ือพน้ื ผิวสัมผสั อาหารด้วยวิธกี ารฉายรังสี ได้แก่ 1. การฉายรังสีไอออไนซ์ (Ionizing Radiation) เป็นการฉายรังสีเพื่อทาให้เกิดการแตกตัวของ อิเล็กตรอนดังรูปที่ 2.16 บนพื้นผิววสั ดุสัมผัสอาหารประเภทอนภุ าคดว้ ยรงั สีแกมมา (Gamma Rays) ซึ่งมีอานาจทะลุผ่านวัสดุแก้ว กระดาษ และพลาสติกได้ ดังรูปท่ี 2.17 โดยอาศัยการกระตุ้นด้วย พลงั งานทาให้เกิดการปลดปล่อยอิเล็กตรอนด้วยธาตุโคบอลต์ -60 หรือซีเซียม -137 ซงึ่ นิยมใช้ฆ่าเช้ือ พ้ืนผิวบรรจุภัณฑ์ประเภทต่างๆ โดยเฉพาะวัสดุท่ีไม่ทนความร้อน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่มีรูปทรงที่ไม่ สามารถฆ่าเชื้อด้วยวิธีการอื่นได้ ซึ่งระดับความเข้มของรังสีที่ใช้สาหรับฆ่าเชื้อที่เหมาะสม ได้แก่ 25 กโิ ลเกรย์ (kGy) ขึ้นไป โดยนาบรรจภุ ัณฑ์ท่ตี อ้ งการฆ่าเชื้อไปใส่ไว้ในภาชนะทีป่ อ้ งกันการปนเป้ือนของ จลุ นิ ทรีย์แล้วนาไปผา่ นกระบวนการฉายรังสี รปู ที่ 2.16 Ionizing Radiation (แหล่งท่ีมา https://cna.ca/issues-policy/radiation/what-is-radiation/, 12 กันยายน 2560.) รปู ที่ 2.17 ชนดิ ของรงั สีและอานาจการทะลุผ่านวัสดขุ องรงั สีแตล่ ะชนิด (แหล่งท่มี า http://nagasakipeace.jp/english/kids/kaisetsu/hoshasen.html, 12 กนั ยายน 2560.)

50 2. การฉายรงั สดี ้วยวิธี Pulsed light เป็นวิธีการฆ่าเชือ้ โดยอาศัยการปลดปล่อยพลงั งานไฟฟ้า ท่ีสะสมไว้ในตัวเก็บประจุ (Capacitor) เป็นจังหวะสั้นๆ (Short Pulse) มีพลังงานสูง (High Power Level) ซึ่งอยู่ในช่วงความยาวคลื่น หรือสเปกตรมั ของแสงขาว (White Light) ทงั้ นี้ระยะเวลาท่ีใช้ใน การปลดปล่อยไฟฟ้าเป็นจงั หวะจะอยรู่ ะหว่าง 1 ไมโครวินาที ถึง 0.1 วนิ าที เกดิ เป็นแสงวาบ (Flash) มีความถ่ีประมาณ 1 - 20 ครั้งต่อวินาที การใช้แสงที่ความเข้มสูงเป็นจังหวะนี้จะทาให้เกิดพลังงาน กระทบกับพ้นื ผิววัสดหุ รือสัมผสั อาหาร เพื่อทาลายเช้ือจลุ ินทรีย์ วิธีการนน้ี ิยมนาไปประยกุ ต์ใชใ้ นทาง การแพทย์และการรักษาร้วิ รอยบนผิวพรรณ อย่างไรก็ดีวิธีการดังกล่าวยังไม่นิยมประยุกต์ใช้สาหรับ การฆา่ เชอื้ บรรจภุ ณั ฑใ์ นระดบั อุตสาหกรรม 3. การฉายรงั สี UV-C รังสี UV เปน็ รังสที ่ีมคี วามยาวคลืน่ อยู่ในช่วง 200 - 315 นาโนเมตร ซึ่ง เป็นช่วงความยาวคล่ืนต่าจึงมีพลังงานสูงเหมาะสาหรับใช้ฆ่าจุลินทรีย์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงช่วง 248 - 280 นาโนเมตร หรือท่ีเรียกว่า UV-C ซ่ึงมีความยาวคล่ืนทีม่ ีประสิทธภิ าพทาลายจลุ ินทรียท์ ี่เหมาะสม คือ 253.7 นาโนเมตร โดยใช้หลอดไอปรอท (Mercury Vapor Lamp) หรือหลอดแสงจันทร์ซ่ึงจะ ปล่อยรังสี UV-C ที่ความยาวคล่ืน 253.7 นาโนเมตร โดยวิธีการฉายรังสี UV-C นี้จะใช้ร่วมกับสาร ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์เพื่อฆ่าเชื้อบรรจุภัณฑ์ แสดงลักษณะสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประเภทต่างๆ ดงั รูปที่ 2.18 รปู ท่ี 2.18 สเปกตรัมของคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าประเภทต่างๆ (แหล่งที่มา http://2008.igem.org/File:Spettro.jpg, 12 กนั ยายน 2560.) 4. พลาสมา (Plasma) พลาสมาเป็นพลังงานไฟฟ้าท่ีประกอบด้วยอนุพันธ์ท่ีว่องไว (Highly Reactive Species) ไดแ้ ก่ โมเลกุลแก๊ส อนุภาคมีประจุ อนุมูลอิสระ อิเล็กตรอนและโฟตอน ซึ่งใช้ใน การทาลายเชื้อจุลินทรยี ์บนพ้ืนผิวอาหารรวมถึงการใช้ไมโครเวฟพลาสมาในระบบความดนั ต่า (Low Pressure Microwave Plasma) นอกจากน้ัน ยังประยุกต์ใช้พลาสมาในการฆ่าเช้ือขวดพลาสติก ซ่ึง ทาใหเ้ กิดแก๊สผสมของไนโตรเจน ออกซเิ จน และไฮโดรเจนขึ้นภายในขวด พลาสมาทาให้เกิดโฟตอน ของรังสี UV และอนุมูลอิสระทม่ี ีอายุสั้น (Short-lived Free Radical) ท่ีทาลายจลุ ินทรีย์ ซง่ึ การฉาย พลาสมาเพียง 5 วินาที สามารถลดปริมาณจุลินทรีย์ลงได้ถึง 105 cfu สอดคล้องกับงานวิจัยของ

51 Wang และคณะ ซึ่งนาเสนอการประยุกต์ใช้พลาสมาแบบ Cold Plasma Microjet (PMJ) สาหรับ การฆ่าเช้อื แบคทีเรียชนิดซาลโมเนลลา (Salmonella) ในผลไม้สดและผักสด จากผลการทดสอบการ ใช้พลาสมากับเวลา 1 วินาที พบว่า คุณสมบัติทางเคมีฟิสิกส์ (Physiochemical Properties) เช่น ปริมาณน้า สี และโภชนาการ ท่ีถูกตรวจสอบก่อนและหลังการใช้เทคโนโลยีพลาสมามีความ เปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วงท่ียอมรับได้ จากงานวิจัยเกี่ยวกับการฆ่าเซ้ือราที่ผิวผลไม้เป็นการใช้พลาสมา เพอื่ ยับยั้งการเจรญิ เติบโตของเช้ือรา กลา่ วคือ Pestalotiopsis sp. เป็นเชอื้ ราสาเหตุโรคเนา่ หลงั การ เกบ็ เกี่ยวของผลลาไย จากการศึกษาทดลองใชแ้ ก๊สพลาสมาในการยบั ย้งั การเจรญิ ของเชื้อราในสภาพ in vitro โดยทาการพ่นแก๊สพลาสมาเปน็ เวลา 0, 3, 5 และ 8 นาที ลงบนผวิ หนา้ อาหารเลี้ยงเชอื้ PDA กอ่ นท่ีจะนาเชื้อรามาเพาะและพ่นลงบนเชื้อราโดยตรงเป็นเวลา 2 นาที, 5 นาที และ 8 นาที แล้วนา เชือ้ ราไปเล้ียงบนอาหาร PDA ใหม่ บนั ทึกการเจรญิ ของเสน้ ใยเช้ือราหลังเพาะ 2 - 8 วัน จากน้นั นามา คานวณหาเปอร์เซ็นตก์ ารยับยั้งการเจริญของเช้อื ผลการทดลองพบว่า การพ่นแก๊สพลาสมาสามารถ ทาให้เชอ้ื ราเจรญิ เติบโตไดช้ ้ากวา่ ปกติ การพ่นแก๊สพลาสมาเป็นเวลา 5 นาที จะมีผลในการยบั ยัง้ เช้ือ ราดีที่สุดคือ 40.10 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ พ่นแก๊สพลาสมาเป็นเวลา 3 และ 8 นาที มีผลยับยั้ง 29.95 และ 12.27 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดับ ส่วนการพ่นพลาสมาลงบนเชื้อราโดยตรงที่ 8 นาที สามารถยับย้ังเชอื้ ไดด้ ีที่สุด 41.58 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ 5 และ 2 นาที ยับยั้งเช้ือได้ 37.86 และ 28.27 เปอร์เซ็นต์ ตามลาดับ ผลการทดลองคร้ังน้ีสามารถสรุปได้ว่า แก๊สพลาสมามีศักยภาพท่ีจะ พฒั นาเป็นแนวทางในการยืดอายกุ ารเก็บรกั ษาลาไยหลงั การเกบ็ เกยี่ วได้ (ศภุ ลกั ษณ์, 2559) นอกจากการใช้พลาสมาในการฆ่าเชือ้ ในผัก ผลไม้ และอาหาร ยังมีการใช้สนามไฟฟ้าฆ่าเช้ือใน อาหารชนิดเหลว จากรายงานของ พานิช อินต๊ะ (2555) ซง่ึ ทาการทดลองโดยใชส้ นามไฟฟ้าแบบพลั ส์ ฆ่าเชอื้ ในอาหารชนิดเหลวโดยใชห้ ลักการคานวณสนามพลังงานไฟฟ้าท่เี หมาะสมกับการฆา่ เช้ืออาหาร เหลวแบบทอ่ ทรงกระบอกซ้อนแกนร่วมสาหรับกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์อาหารเหลวทีใ่ ช้สนามไฟฟ้า แบบพัลส์ โดยพัฒนาแบบจาลองการคานวณเชิงตัวเลขของห้องฆ่าเช้ือฯ เพื่อทานายพฤติกรรมของ สนามไฟฟ้าและสนามการไหลภายในห้องฆา่ เชอื่ ฯ นาสมการ Navier Stokes แบ บ ไ ม่ ยุบ ตั ว ต า ม ความดันและสมการ Laplace’s มาใช้ในการคานวณเชิงตวั เลขสาหรับสนามการไหลและสนามไฟฟ้า ดว้ ยโปรแกรมสาเร็จรูปที่ใช้ในการคานวณทางด้านพลศาสตร์ของไหล CFDRCTM ที่ใช้ระเบียบวิธีเชิง ตัวเลขแบบวิธกี ารปริมาตรสบื เน่อื ง จากผลการคานวณพบวา่ คา่ ความเข้มของสนามไฟฟ้ามีค่าสูงสุด ภายในห้องฆ่าเชื้อท่ีประมาณ 1.845×106, 3.689×106 และ 5.534×106 โวลต์ต่อเมตร สาหรับท่ี แรงดันไฟฟ้าที่ข้ัวอิเล็กโทด 10, 20 และ 30 กิโลโวลต์ ตามลาดับ และค่าความเร็วของไหลสูงสุด ภายในห้องฆา่ เช้ือมีค่าเท่ากับ 1.451, 4.214 และ 6.975 เมตรต่อวินาที สาหรับอัตราการไหลที่ 1, 3 และ 5 ลิตรตอ่ นาที ตามลาดบั (พานชิ อินตะ๊ และคณะ, 2555) 2.3 ศกั ยภำพทำงกำรตลำดของเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมที่จะพัฒนำ 2.3.1 ขนำดและแนวโน้มของตลำด/โอกำสทำงกำรตลำด สาหรับประเทศไทย การเล้ียงกวางในประเทศไทยได้มีกฏหมายควบคุม การที่จะเลี้ยง จาเป็นต้องขออนุญาตกรมป่าไม้ นอกจากน้ี กวางยังได้รับการบรรจุเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ท่ีได้รับการ สง่ เสรมิ การเล้ียงมาต้งั แตแ่ ผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติฉบับที่ 7 และหากดูจากตารางขอ้ มูล

52 กวางกับผเู้ ลย้ี งที่แสดงในตารางท่ี 2.2 มีความเป็นไปไดถ้ งึ การขยายตัวของผู้ทท่ี าฟาร์มกวางเติบโตเต็ม รปู แบบในลกั ษณะของเกษตรเชิงพาณิชย์ ซ่ึงเหน็ ไดจ้ ากแนวโนม้ ของจานวนผู้เล้ียงกวางเชิงพาณิชย์ท่ี ได้ทาการขน้ึ ทะเบียนฟาร์มกวางแสดงดังรูปท่ี 2.19 การทาฟาร์มกวางในปัจจุบนั นอกจากจะสามารถ ใช้ประโยชน์ทุกส่วนของกวางแล้ว ยังมีอย่างหนึ่งท่ีเกษตรกรเร่ิมหันมาสนใจคือ การท่องเที่ยวเชิง อนุรักษ์และเพ่ิมความสามารถในการแข่งขันการเกษตรต้องอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่งเสริม และสนับสนุกการเกษตรแบบบูรณาการร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชนและเกษตรกร เป็นการผลักดันให้ นาผลงานวิจัยและเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยทุ ธศาสตรท์ ่ี 3 ของการพัฒนาการเกษตร ตำรำงที่ 2.2 ข้อมูลจานวนกวางและเกษตรกรผเู้ ลยี้ งกวาง ปี 2556-2560 (ศนู ย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร กรมปศสุ ตั ว์, 2560) ข้อมลู จานวนกวาง จานวนเกษตรกร (ปี พ.ศ.) (ตวั ) (ราย) 2556 3,684 102 2557 2,848 81 2558 2,980 94 2559 - - 2560 2,939 103 รูปที่ 2.19 แนวโน้มทีข่ นึ้ ทะเบียนจานวนเกษตรกรผเู้ ลี้ยงกวางเชงิ พาณชิ ย์ จากข้อมูลการขยายตัวของเกษตรกรผู้เลี้ยงกวางข้างต้นทาให้เห็นว่าการแข่งขันในธุรกิจการ เล้ียงกวางมีแนวโน้มสูงข้ึน เพื่อเป็นการสนบั สนุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจการ เล้ียงกวางเชิงพานิชย์จึงต้องหาวิธีการลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยลงให้ได้มากสุด และเพ่ิม

53 ประสิทธิภาพการผลิต คุณภาพของผลผลิต การสร้างความน่าเช่ือถือ ให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือสูง กว่า รวมถึงการนาเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการผลิตเพ่ือเพิ่มมูลค่า (Value Added) และคุณค่า (Value Creation) ของผลผลิต ส่งผลทาให้เกิดความสามารถในการแข่งขันเพมิ่ สูงขึ้นและสามารถต่อ ยอดหรือพัฒนาเทคโนโลยีสตู่ ลาดสัตวป์ ระเภทอื่นๆ ตอ่ ไปได้

54 เอกสำรและงำนวิจัยท่ีเกยี่ วขอ้ งโครงกำรย่อยที่ 3 พนั ธก์ุ วำงทส่ี ำมำรถนำมำเลยี้ งเปน็ สตั วเ์ ศรษฐกิจในประเทศไทย การทาฟาร์มกวางในประเทศไทย มีข้อจากัดในการห้ามเลี้ยงกวางป่า เน่ืองจากเป็นสัตว์ป่า คุ้มครอง และได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติให้ทาการเพาะเลี้ยงในเชิงการค้าได้ โดยต้องขออนุญาต จากกรมปา่ ไม้ เพ่ือป้องกันควบคุมการลกั ลอบจบั สัตวป์ า่ เพือ่ การซื้อขาย พันธ์ุกวางที่เล้ยี งทัว่ ไป ได้แก่ 1. กวางปา่ หรอื กวางม้า มีถิ่นกาเนิดในประเทศมาเลเซีย เกาะสุมาตรา อินเดีย จีน ไตห้ วัน กมั พูชา ลาว และไทย เปน็ กวางที่มขี นาดใหญ่ สีน้าตาลเขม้ ภาพท่ี 2 กวางป่า หรอื กวางมา้ ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/กวางปา่ (2563)

55 2. เนื้อทราย มถี นิ่ กาเนดิ ในเอเชยี พบได้ใน พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม และไทย ภำพที่ 3 เน้ือทราย ท่มี ำ : https://www.facebook.com/lrizoo/posts/1094713633965703:0 (2563) 3. กวางดาว เป็นกวางท่ีมีขนาดเล็ก เลี้ยงอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 50 ปี อุปนิสัย ค่อนข้างเชอื่ งกว่าพนั ธอ์ุ ่ืนๆ ภำพท่ี 4 กวางดาวอินเดีย ทมี่ ำ: https://www.facebook.com/nwsthailand (2563)

56 4. กวางรูซ่า มีถ่ินกาเนิดในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ขนาดกลาง สีขนเทาจนถึง น้าตาลเหลือง ภำพท่ี 5 กวางรูซา่ ท่ีมำ: ภกั ดีฟาร์ม (2563) 5. กวางซีก้า มีถ่นิ กาเนิดในประเทศญีป่ ุ่น จีน เวียดนาม เป็นกวางท่ีมีขนาดกลาง ขนสีเหลือ งอมน้าตาล นยิ มเลย้ี งเพ่อื ตัดเขากวางออ่ น ภาพที่ 6 กวางซิก้า ท่มี า: http://www.pattayasheepfarm.com/pet-farm (2563) 6. กวางฟอลโล มีถ่ินกาเนดิ ในยโุ รป ลาตวั สีเทา-น้าตาล มจี ดุ สขี าวหางยาว

57 ภำพท่ี 7 กวางฟอลโล ท่ีมำ: http://thaipetzone.blogspot.com/2011/07/fallow-deer.html 7. กวางแดง มถี ่นิ กาเนิดในยุโรป ขนสีน้าตาลแดง มขี นาดใหญ่ ภำพท่ี 8 กวางแดง ทีม่ ำ: https://pixabay.com/th/photos/1505726 (2563)

58 เคร่ืองมือและอุปกรณ์กำรผลติ อำหำรสัตว์ การผลิตอาหารสัตว์หรือการผสมอาหารสัตว์น้ัน แม้ว่าสูตรอาหารต่าง ๆ ได้ผ่านการคานวณ อย่างดีแล้วรวมท้งั วัตถุดิบท่ีใช้ผสมได้มาตรฐานแล้วก็ตาม แตเ่ ม่ือผสมอาหารแล้วนาไปเล้ียงสัตว์ไม่โต หรือมีประสิทธิภาพต่า อาจขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตอาหาร ซ่ึงอาจเกิดจากอาหารผสมไม่ ท่ัวถึง สารอาหารสูญหายไปกับอุปกรณ์ดังกล่าวมาก หรือเวลาที่ใช้ในการผสมนานเกินไป รวมท้ัง ประสิทธิภาพของเครื่องต่า ทาให้ต้นทุนในการผลิตอาหารสูง ดังนั้นอุปกรณ์ในการผลิตอาหารจึงมี ความสาคัญ เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการผลิตอาหารสตั ว์ทสี่ าคัญโดยทัว่ ไปมี 4 อยา่ ง คือ เครือ่ งบดเครื่องผสม เคร่อื งอัดเม็ดและเคร่ืองช่ัง 1. เครื่องบด (grinding processor) เคร่ืองบดท่ีนิยมใช้สาหรับการผลิตอาหารมีหลายแบบ การที่จะเลือกใช้แบบใด ข้นึ อยู่กบั ลกั ษณะงาน และราคาซง่ึ ไดแ้ ก่ 1.1 เคร่ืองปั่น (blender) เครื่องบดแบบน้ีใช้ระบบใบมีดหมุนด้วยความเร็ว ทาให้ ตดั ผ่านวัตถุให้มีขนาดเล็กและอัดผ่านรูตะแกรงต่าง ๆ ทางานได้เร็วและบดไดเ้ น้ือวัตถุสม่าเสมอเป็น เนื้อเดียวกัน ซ่ึงอาจใช้เป็นทั้งเคร่ืองบดและเครื่องผสมในขณะเดียวกันได้ เครื่องบดแบบน้ี ใช้ระบบ ใบมีดหมุนด้วยความเรว็ สูง สามารถทาลายไขแ่ มลงท่ีมีอยใู่ นอาหารหรือวตั ถุดบิ ได้ ทาให้เกบ็ อาหารไว้ ได้นานข้ึน แต่หากใช้เป็นเครื่องผสมความเรว็ ของใบมีดอาจทาให้สารที่ใช้เคลอื บวิตามินสังเคราะห์ท่ี ผสมอยู่แตกทาลายทาใหเ้ ส่ือมสลายไดง้ ่ายข้ึน 1.2 เครือ่ งโม่ (burr mill , roller mill) เครื่องบดแบบโม่ทางานโดยอาศัยแรงเสียด สี มีส่วนประกอบที่สาคัญคอื แผ่นเหล็กสองแผ่นประกบกนั โดยแผน่ หนง่ึ ติดอยูก่ บั ที่ไมม่ กี ารเคล่อื นไหว ในขณะท่ีอกี แผน่ หนึง่ หมุน ผิวของแผน่ เหลก็ ของด้านทป่ี ระกบกันจะมีลกั ษณะเป็นร่อง ๆ หรือตารางมี สันนนู เพอ่ื ให้อาหารที่บดได้ทแ่ี ล้วผ่านออก ขนาดวัตถุที่บดไดข้ ึ้นกับความห่างของแผ่นเหล็ก 2 อัน ที่ เสียดสีกัน เคร่ืองแบบน้ีสามารถบดได้ละเอียดตามขนาดท่ีต้องการส่วนอีกแบบหน่ึงใช้เป็นลูกกล้ิง หมุนรอบแกนและบดอาหารได้โดยผ่านลงระหวา่ งชอ่ งลูกกล้งิ 1.3 เครอื่ งบดแบบค้อนเหว่ียง (hammer mill) เคร่อื งบดนี้ประกอบดว้ ยท่อนเหล็ก เลก็ ๆ หลายทอ่ นยดึ อยู่กับแกนหมุนอยา่ งหลวม ๆ เม่อื แกนกลางหมุนจะเหว่ียงท่อนเหลก็ ใหก้ างออกตี วัตถุต่าง ๆ ที่เราต้องการบดให้แตกละเอียด จนสามารถที่จะผ่านรูตะแกรงออกมาได้ การควบคุม ขนาดของวัตถุท่ีบดอาศัยความเร็วของค้อนและตะแกรงท่ีมีรูขนาดต่าง ๆ กัน เช่น ถ้าค้อนหมุนเร็ว และรูตะแกรงเล็ก วตั ถทุ บี่ ดได้จะละเอียดขึ้น เปน็ ที่นิยมกนั มาก เพราะราคาถกู และบดได้เรว็ แต่เหล็ก และตะแกรงสกึ กรอ่ นง่ายและต้องระวงั อาหารท่ีนามาบด อยา่ ให้มเี ศษโลหะปนเพราะ จะทาให้สึกง่าย ยง่ิ ข้ึน

59 ภำพท่ี 9 ส่วนภายในของเครอ่ื งบดแบบลกู กล้งิ และแบบค้อนเหวีย่ ง ท่มี ำ: นงเยาว์ (2546) 2. เคร่อื งผสม (mixer) เคร่ืองผสมอาหารสตั วม์ ีหลายแบบหลายขนาดและมีคุณสมบตั ิแตกตา่ งกนั ตามท่ีผู้ใชเ้ ลือกได้ ดงั นี้ 2.1 เครื่องผสมแบบตั้ง (vertical mixer) การทางานของเครื่องใช้เดือยหัวหมู มี ลักษณะเป็นเกลยี วหมุนดึงอาหารเข้าท่อเหลก็ จากตอนล่างของเคร่ือง แล้วเหวย่ี งอาหารออกตอนบน และตกลงมาทาให้เกิดการผสมข้ึนอย่างช้าๆ ซึ่งจะเป็นถังลักษณะทรงกระบอกตั้งข้ึน และตอนล่าง เรียวเข้าเป็นรูปกรวย เครื่องแบบนี้ใช้มากตามโรงผสมขนาดเล็กและใช้ในฟาร์มขนาดเล็ก เพราะ สะดวกในการใช้และราคาถูก แต่มีข้อเสีย คือ ใช้เวลานานมากในการผสม(ประมาณ 45 นาท)ี จึงจะ คนเข้าท่ัวกันดี ซ่ึงทาให้เปลืองค่าเช้ือเพลิง บางทีก็ผสมไม่ท่ัวถ้าผสมทีละน้อย นอกจากนี้ ยังมีการ ตกค้างของอาหารรวมท้ังวิตามินและแร่ธาตุที่มีลักษณะเป็นฝุ่น เกาะติดอยู่ข้างถังภายในโดยเฉพาะ ตามปุ่มน๊อต ย่ิงถ้าอาหารมีความชื้นสูงหรือมีไขมันการตกค้างก็ยิ่งมาก ความร้อนท่ีเกิดจากการผสม อาหารเป็นเวลานานทาให้สารอาหารบางอย่างสูญเสีย เช่น วิตามินและยาปฏิชีวนะบางอย่าง ทาให้ ต้องเสริมสารอาหารเหล่าน้ี ซง่ึ มีราคาสงู เพ่มิ ข้ึนเป็นการส้ินเปลอื งและระหวา่ งการเทอาหารลงถุงหรือ ภาชนะเก็บ อาหารทีผ่ สมกันแล้วมกั จะเกดิ การแยกตวั ของวตั ถดุ ิบแต่ละชนิดอกี ไดง้ า่ ย

60 ภำพท่ี 10 เครื่องผสมแนวตงั้ ที่มำ: นงเยาว์ (2546) 2.2 เคร่ืองผสมแบบริบบ้ินถังนอน (horizontal ribbon mixer) ภายในเครื่องผสม แบบนี้ มีลักษณะเป็นถังยาวขนานกับพื้น มีแกนข้างในให้เส้นของแถบเหลก็ บางคล้ายริบบิ้นพันรอบ แกนใช้คลุกอาหาร ฝาถงั เปิดออกดา้ นบน รูปรา่ งคล้ายรูปตัวยใู นภาษาอังกฤษ ตวั ถังผสมอย่กู ับที่ แต่ แกนภายในหมุน การผสมอาศัยการหมุนจากมอเตอร์ทาให้อาหารคลุกเข้ากันได้ ความจุของถัง จานวนเส้นริบบิ้นเหล็ก และจานวนรอบของการหมุนจะต้องสมดุลกันจึงจะทาให้ผสมได้ท่ัวถึง เครอ่ื งแบบนี้ผสมได้ทวั่ ถึงง่าย สูญหายนอ้ ยและใช้เวลาในการผสมน้อย (ประมาณ 25 นาท)ี แต่ราคา แพงกว่าแบบต้งั 2.3 เคร่ืองผสมแบบใบพายถังนอน (horizontal shaft paddle type mixer) แบบ น้ีใช้ได้ผลดีเช่นเดียวกับแบบริบบ้ินถังนอน แต่แทนที่ใช้แถบริบบิ้นเหล็กเป็นท่ีคลุกอาหารกลับใช้ ท่ี กวนมีลักษณะคล้ายใบพายติดรอบแกนแทน ใชผ้ สมได้ท้ังวิตามนิ แรธ่ าตุ และอาหารอ่นื ๆ

61 ภำพท่ี 11 เคร่ืองผสมแบบใบพายถงั นอนและใช้ร่วมกบั ทีท่ าแหง้ ทม่ี ำ: นงเยาว์ (2546) 2.4 เคร่ืองผสมแบบถังหมุนขนานพ้ืน (horizontal rolled mixer) การทางานของ เครื่อง เป็นถังหมุนกล้ิงรอบแกนกลางในแนวขนานกับพื้น เครื่องแบบนี้ผสมได้เร็วมาก (ประมาณ 10 – 20 นาที) กาลังมอเตอรป์ ระหยัด แตม่ ขี ้อแม้วา่ วตั ถดุ ิบจะต้องบดละเอยี ด ไม่ ช้ืนและไม่เกาะถงั แต่ไมเ่ หมาะกับการผสมวติ ามนิ เพราะวติ ามินบางตวั มคี ณุ สมบตั ใิ นการดูด ความช้นื จากอากาศ ทาใหจ้ ับตวั เปน็ กอ้ นได้ง่าย จงึ ทาใหผ้ สมไมท่ ว่ั ถึง 2.5 เคร่ืองผสมแบบถังหมุนต้ังฉากพื้น (vertical rolled mixer) เคร่ืองแบบน้ีใช้ ระบบหมุนกล้ิงเช่นเดียวกับแบบท่ี 2.4 ประกอบด้วยถังกลมหรือถังสองใบ ปาดข้างเชื่อมให้ ติดกัน เป็นรูปตัววาย (Y) ในภาษาอังกฤษ ตัวถังหมุนรอบแกนที่ตั้งฉากกับพื้นอย่างช้า ๆ ประมาณ 10 – 300 รอบต่อนาที สามารถทาขึ้นใช้เองโดยใช้ถังน้ามัน 200 ลิตรต่อกับแกน แล้วหมุนด้วยมือหรือมอเตอร์ บางครั้งอาจผสมไม่ทั่ว ถ้าอาหารช้ืนหรือจับตัวเป็นก้อน ซ่ึง อาจจะแก้ปญั หานี้ โดยเสริมแกนกลางท่ีหมุนรอบจัดภายในถัง เพ่ือตกี อ้ นอาหารแตกกระจาย ใหท้ ว่ั

62 ภำพที่ 12 เครือ่ งผสมถังหมนุ ตั้งฉาก และเครือ่ งผสมแบบกรวย ที่มำ: นงเยาว์ (2546) 2.6 เครอ่ื งผสมแบบกรวย (cone mixer) ประกอบด้วยถังรูปกรวย ภายในมแี กน ทาให้หมุน ดว้ ยเดอื ยหัวหมู หมนุ สองจงั หวะ คือถังหมุนรอบตัวเอง และมแี กนหมนุ ในทิศทาง ตรงข้ามกนั ด้วย ถ้า ผสมมากกต็ ่อถังเพ่มิ พร้อมกบั ติดต้ังแกนท่ีหมุน ราคาค่อนข้างแพง แต่ประสิทธิภาพสูง สามารถผสม อาหาร 1 ตัน ให้แล้วเสร็จภายในเวลาประมาณ 5–8นาทีโดยใช้มอเตอร์5–6แรงม้าการสูญเสียและ การทาลายสารอาหารต่างๆ น้อย 3. เครอ่ื งอดั เมด็ (pelleting machine) เครื่องอัดเม็ดอาหารสัตว์ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 ส่วน คือ เครอื่ งสง่ แรง (motor) ลูกกลง้ิ (roller) และตะแกรงกลม (pellet mill die) ซึ่งมีความหนามากและมีรูขนาดตา่ ง ๆ เจาะเต็ม แผ่น เคร่ืองส่งแรงทาให้ตะแกรงกลมหมุน เมื่ออาหารผ่านเข้าไปในตะแกรง ลูกกลิ้ง ท้ังสองลูกท่ีอยู่ ภายในตะแกรงจะอัดหรือกดอาหารให้ผ่านรูของตะแกรงออกมาด้วยแรงอัดที่สูงมาก ขนาดของเม็ด อาหารจะใหญ่หรือเลก็ ขึ้นอยูก่ ับรตู ะแกรงท่ีใช้ บางชนิดมที ่อไอนา้ ฉดี อย่ตู อนบน เพ่ือฉีดไอน้าใหผ้ สม กบั อาหารก่อนอัดเม็ด หรือใช้ของเหลวอ่ืนเป็นตัวประสาน (binder) เช่นกากน้าตาล หรือใช้วิตามิน หรือแร่ธาตเุ สริมแบบของเหลว ทาให้อัดได้สะดวกขนึ้ กินแรงเคร่อื งนอ้ ยลงและอาหารเกาะตัวกันดีขึ้น อาหารที่อัดเม็ด เม่ือนาไปเล้ียงสัตว์โดยท่ัวไป สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของอาหารได้ถึง 10 เปอร์เซน็ ต์ เพราะสัตวไ์ ม่อาจเลอื กกนิ อาหารทผี่ สมรวมกันแลว้ อาหารไม่แยกตัว การแตกตัวของเซลล์ พืชท่ีแข็งมีมากข้ึน ทาให้สัตว์ย่อยง่ายและได้รับธาตุอาหารครบถ้วน กินสะดวกขึ้นเพราะไม่เป็นฝุ่น และการสูญเสียเนือ่ งจากการตกหลน่ น้อยลง แต่การอัดเม็ดอาหารเป็นการเพ่มิ ต้นทนุ เพราะมอเตอร์ท่ี ใช้ต้องมีกาลังสูงเช่น เครื่องขนาด100แรงม้าจะอัดอาหารเป็นเมด็ ได้ ประมาณ 6 ตันต่อชัว่ โมง คา่ สึก

63 หรอของตะแกรงและลูกกล้ิงค่อนข้างสูง สารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินหรือโปรตีนอาจสูญเสียไป เนอ่ื งจากความรอ้ นที่เกิดขึ้นระหว่างการเสยี ดทานระหวา่ งการอัดเมด็ อาหารผ่านรูตะแกรง ภำพที่ 13 เครอ่ื งอดั เม็ดและสว่ นประกอบ ท่ีมำ: นงเยาว์ (2546) 4. เครื่องชั่ง (balance) เคร่อื งช่ังควรมีท้ังที่ช่ังได้เป็นจานวนมากและจานวนน้อย ซึ่งข้ึนกับปริมาณของอาหารท่ีผสม ในแต่ละคร้ัง ในฟาร์มขนาดเลก็ เคร่ืองช่ังขนาดใหญค่ วรชั่งได้ถงึ 100 กโิ ลกรัม และ เครอ่ื งชั่งเลก็ ควร ชั่งได้ขนาดถึง 100 กรัม และควรเปน็ ชนิดวางช่ังด้านบน (top pan balance , platform balance) เคร่ืองช่ังละเอียดขนาด 0.01 กรัม อาจมีไว้หากจาเป็นสาหรับการใช้ช่ังวิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิด หรือการใช้อาหารเสริมบางอย่าง เครื่องช่ังควรมีการทาความสะอาดหลังการใช้ทุกคร้ัง และมีการ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของน้าหนกั เป็นระยะ ๆ

64 ภำพท่ี 14 เคร่อื งชั่งขนาดใหญ่ และเคร่ืองชง่ั ละเอยี ด ทีม่ ำ: นงเยาว์ (2546) กรรมวิธที ่ีใชใ้ นกำรเตรยี มวัตถดุ ิบ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือกรรมวิธีแบบแห้ง ได้แก่ การทาให้แห้ง การบด การบดด้วยลูกกลิ้ง การอัดเม็ด การอัดผ่านรู การค่ัว การอบ ด้วยความร้อน ส่วนกรรมวิธีแบบเปียก ได้แก่ การแช่ใน ของเหลว การอบด้วยไอน้าภายใต้ความดันต่าง ๆ การทาให้เมล็ดแตกออกโดยใช้ความดัน การหมัก และการเก็บเก่ียวกอ่ นทเ่ี มลด็ จะแกจ่ ดั พอสรปุ ไดด้ ังน้ี 1. กรรมวิธีแบบแห้ง 1.1 การทาแห้ง (drying) เป็นวิธีที่ทาได้ง่ายจุดประสงค์เพื่อต้องการให้ความชื้น ในเมล็ด ลดลงเพือ่ สะดวกในการเกบ็ รักษา หรือผ่านไปในกรรมวิธีอื่น เช่น ถ้าเมล็ดพืชยังมีความช้ืนสูง การบด ผา่ นรูตะแกรงขนาด 1 มิลลิเมตร จะทาใหร้ ตู ะแกรงอดุ ตัน เปน็ ตน้ นอกจากน้ี การตากแดดยังเป็นการ ทาลายเชื้อโรคและสารพิษบางอย่าง เชน่ มันสาปะหลังเม่ือนาไปตากแดด จะลดพิษจากกรดไฮโดรไซ ยานิกได้ การนาไปตากแดดถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่จะต้องคานึงถึง ขนาดวัตถุดิบด้วย ถ้ามีขนาดใหญ่ อาจจะทาให้ความร้อนไม่ท่ัวถึง ดังน้ัน ควรสับหรือตัดก่อน การค่ัว (roasting) การผ่ึงลม (air – cured) การใชล้ มร้อน (dryer) เป็นกรรมวิธที ีท่ าใหแ้ ห้งได้ 1.2 การบด (grinding) การบดเป็นการเตรียมอาหารอย่างง่าย ระดับของการบด จะ แตกต่างกันจากขนาดหยาบจนถึงละเอียดเป็นแป้งขึ้นอยู่กับขนาดของตะแกรงท่ีใช้ในเคร่ืองบดและ ชนิดของเคร่ืองบด ขนาดของการบดท่ีต้องการน้ันขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์ อายุและการใช้ ร่วมกับ อาหารชนิดอื่น ๆ เช่น ใช้คลุกร่วมกับหญ้าหมัก และชนิดของเมล็ดที่ต้องการบด โดยทั่วไปควรบด หยาบ ๆ การบดละเอียดมากเกินไป นอกจากส้ินเปลืองแรงงานเวลาและค่าใช้จา่ ยแล้วยังทาให้ความ น่ากินลดลง เช่น เปน็ ฝุ่น ทาให้ความนา่ กินลดลง หรือจบั ตัวกันเป็นก้อน (ball up) ในทางเดินอาหาร

65 ได้แน่นข้นึ อาจทาใหน้ ้าย่อยเขา้ ไปย่อยวตั ถดุ ิบที่เกาะกันอยู่กลางก้อนไดน้ ้อยลง หรือก้อนอาหารครูด กับผิวทางเดินอาหาร ทาให้เป็นแผลในกระเพาะ (gastric ulcer) หรือเกิดเป็นแผลในกระเพาะรูเมน ของสัตว์เค้ียวเอ้อื ง (ruminal parakeratosis) บางครงั้ วัตถทุ ่ีบดละเอยี ดเกินไปจะเคล่ือนผ่านทางเดิน อาหารเร็วกวา่ ปกตทิ าให้การย่อยและการดดู ซึมไดน้ ้อยลง หรือทาใหเ้ กิด การระคายเคืองกับกระเพาะ ของสตั วไ์ ด้ 1.3 การบดด้วยลูกกลิ้ง (rolled – grinding , cracking) การบดแบบนี้แตกต่างกับวิธีท่ี 1.2 ทีเ่ ป็นการบดโดยอาศัยคอ้ นหรือโม่ ส่วนวธิ ีนี้อาศยั การผ่านเมลด็ เขา้ ไปในระหวา่ งกลางของ ลกู กลิง้ ทา ให้เมลด็ พืชแตก ขนาดของเมล็ดที่แตกออกมาข้ึนกับระยะเวลาของการผา่ นเขา้ ไป ในลูกกลิง้ น้าหนัก และขนาดของลูกกล้งิ รวมท้ังความแข็งแรงของเมล็ด ลกั ษณะเน้ืออาหารที่บดผา่ นลูกกล้งิ นี้ มลี กั ษณะ เปน็ แผ่นหรือเป็นเกลด็ (flask) ถ้าใช้ลกู กลงิ้ ทมี่ ีรอ่ งตามแนวยาวลูกกล้งิ จะชว่ ยให้บดได้เร็วข้นึ 1.4 การอัดเม็ด (pelleting) เป็นการนาเอาวัตถุดบิ อาหารที่บดแลว้ หรอื ผสมตามต้องการ มา คลกุ รวมกนั แล้วอัดผา่ นรูตะแกรง ขนาดของเมด็ อาหารมีขนาดเลก็ หรอื ขนาดใหญ่ขน้ึ กับ ความสัมพันธ์ ของรตู ะแกรง ความร้อน และแรงอัดให้มีความแนน่ ขนาดเม็ดอาหารท่ีนาไป เล้ียงสตั ว์ข้นึ กบั ประเภท ของสัตว์และวัย สัตว์ที่มีขนาดใหญ่หรือมีอายุมากกว่าจะใช้อาหารอัดเม็ดขนาดใหญ่กว่า การอัดเม็ด เป็นการลดการเป็นฝุ่นของอาหาร เช่น การอัดเม็ดมันสาปะหลัง (cassava pelleted) เพ่ิมความน่า กนิ และไม่ทาให้สูญเสียสว่ นประกอบทางสารอาหารจากอาหารทม่ี ีขนาดชิ้นส่วนเลก็ หรือเป็นผงไม่ให้ ฟุ้งกระจายไป การเก็บอาหารใชพ้ ื้นทีน่ ้อยลงเนื่องจากมีความหนาแน่นของเนื้อวตั ถสุ ูง นอกจากนี้ ยัง ทาให้อาหารมีคณุ ค่าสูงข้ึน ความรอ้ นท่ีเกิดขนึ้ ในขณะท่ีอัดผ่านรูตะแกรงจะทาให้แป้งบางสว่ นสกุ หรือ เปลยี่ นโครงสร้างทาให้เอนไซม์ของสตั ว์ทาการยอ่ ยได้ง่ายข้ึน หรือจลุ ินทรยี ์ทางานได้มากกว่า แรงอัด ทาใหผ้ นังเซลล์ของพืชแตกทาใหย้ ่อยไดง้ ่ายข้ึน เพมิ่ การใชป้ ระโยชน์ของสว่ นท่ีเป็นเยื่อใยมากขน้ึ การ อดั นสี้ ามารถใชก้ ับวตั ถุดิบทีเ่ ปน็ อาหาร ชนิดเดยี ว เชน่ เมลด็ พืชหรือพืชแหง้ ท่ผี ่านการสับแลว้ หรือถ้า เป็นการอัดอาหารผสม ขนาดของวัตถดุ ิบที่ใช้เป็นสว่ นผสมควรใกล้เคียงกัน โดยท่ัวไปใช้ขนาดลอดรู ตะแกรง 2 - 2.5 มิลลิเมตร จะจับตัวเป็นเม็ดแข็งและไม่ร่วนง่ายเมื่อกระทบกระเทือนจากการขนส่ง การใช้ไอน้าผสมก่อนการอดั เม็ดทาให้อัดง่ายขึ้นและการสกึ หรอของรตู ะแกรงลดลงด้วย ปรมิ าณไอน้า ต้องพอเหมาะถ้ามากเกินไปเม็ดอาหารจะนม่ิ เมื่ออัดแล้วควรท้ิงระยะเวลาให้เยน็ ลงก่อนบรรจุ ปล่อย ให้ความร้อนจากการอัดและไอน้าแทรกอยู่ในเม็ดอาหารระเหยไป ถ้ารีบบรรจุไอน้าที่คายออกมาใน ภาชนะจะทาให้อาหารสัตว์ข้ึนราได้ง่าย Miloslav (1982) สรุปคุณค่าของอาหารท่ีเพ่ิมข้ึนจากการใช้ กรรมวิธีอัดเม็ด ได้แก่ การเพ่ิมปริมาณพลังงานเมตาบอไลซ์ และการย่อยได้ของโปรตีนและไขมัน มี การเพิ่ม การใช้ประโยชน์ได้ของฟอสฟอรัส อยา่ งไรกต็ าม มีรายงานการสูญเสียกรดอะมิโนไลซีนเป็น

66 บางส่วนเน่ืองจากใช้ความรอ้ นสูงเกนิ ไป พบร่องรอยของการสะสมไขมนั มากข้ึนในตับและไตในสัตว์ ปกี ที่กนิ อาหารอัดเมด็ สงู กวา่ กล่มุ กินอาหารป่น เพราะสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากคาร์โบไฮเดรตเพมิ่ ขน้ึ 1.5 การคั่ว (popping) เป็นการใช้ความร้อนแบบแห้งทาให้อาหารสกุ และขยายตวั ความ ร้อนท่ใี ช้ต้องสูงกว่าอุณหภูมกิ ารทาไอนา้ ใชเ้ วลานาน 15 – 30 นาที ทาให้เมล็ดแตกออกโดยเฉพาะ เอนโดสเปอร์มขยายใหญ่ ความร้อนทาให้น้าในเมล็ดกลายเป็นไอและทาให้ส่วนที่เป็นแป้งพองตัว ความชื้นในอาหารจะลดลงเหลือประมาณ 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ การเก็บรักษาทาได้ง่ายข้ึนเพราะเน้ือท่ี ลดลง 1.6 การอบ (roasting) เป็นการใช้ความร้อนแห้งอีกวิธีหน่ึง เคร่อื งมือที่ใช้เป็นภาชนะรูป ทรงกระบอกหมุนได้ภายในบรรจุเมล็ดพืช อาหารที่ต้องการอบด้วยความร้อนอาจอยู่ส่วนล่างหรือมี เปลวไฟพ่นลงที่ภาชนะพรอ้ ม ๆ กับท่ีกระบอกกห็ มนุ รอบตวั เอง หลังจากการอบเมล็ดพืช มีความช้ืน ลดลง นา้ หนักลดลง 1.7 การอัดผ่านรู (extrusion) วธิ ีน้เี มล็ดพชื ถกู เทผา่ นกรวยขนาดใหญ่ไหลลงในเครอื่ งมือ ที่เรียกว่า เอกซ์ทรูเดอร์ (extruder) เป็นเครื่องมือให้ความร้อนแบบให้ความร้อนสูงและใช้เวลาสั้น ภายในเคร่อื งประกอบด้วยสว่านตวั ใหญ่ทาหนา้ ทีเ่ ป็นตัวอัดเมล็ดผ่านทอ่ เกลยี ว ซึ่งหมุนด้วยความเร็ว 200 - 500 รอบตอ่ นาที สวา่ นจะเป็นตัวบบี อัดและเกดิ ความร้อนจากการเสียดสีแป้งภายในอาหารจะ ทาให้อาหารมีสภาพลักษณะข้นเหนยี วและสกุ ด้วยเวลาสั้นประมาณ 15 – 30 วินาที แล้วอดั ออกเป็น เส้นยาว หรอื เป็นแทง่ แล้วแต่ความรอ้ นท่ีเกิดข้ึนจากการอัด ความหนาแน่นของเนือ้ อาหารและขนาด ช่องรูเปิดสุดท้ายของเครื่องมือ เมื่ออาหารสัมผัสกับอุณหภูมิและความดัน ภายนอกท่ีต่ากว่าอย่าง กระทันหันจะทาให้มีลักษณะเน้ือฟูขึ้น ตัวอย่างของการอัดแบบน้ี ได้แก่ การสกัดน้ามันจากถ่ัวชนิด ต่าง ๆ ความร้อนท่ีเกิดขึ้นจะทาให้อาหารย่อยง่ายมีคุณค่าทางอาหารดีข้ึน ทาลายสารพิษบางอย่าง ทาลายเช้ือโรคบางชนิด และความหนาแน่นอาหารเพ่ิมข้ึนทาใหก้ าร จดั เกบ็ ใช้เน้ือทนี่ ้อย

67 ภำพท่ี 15 เครื่องเอกซท์ รูเดอร์ (extruder) ที่มำ: นงเยาว์ (2546) 1.8 การอัดแผ่นแบบแห้ง (expanding) เครื่องมือท่ีมีลักษณะคล้ายเคร่ืองเอกซทรูเดอร์ แต่สามารถใช้งานได้เหมือนเครื่องอัดเม็ด ใชห้ ลักการให้ความร้อนแบบความร้อนสูงเวลาสั้น (high – temperature – short – time , HTST) ใช้การอัดเกลียวและด้วยแรงอัดสูงสามารถทาลาย เชอ้ื โรค ได้และยังสามารถเติมสารไขมัน กากน้าตาลหรือสารที่เป็นของเหลวไปพร้อมกันได้และเม่ืออัดผ่าน แผ่นด้านหน้าทางออก สามารถทาเป็นรูปต่าง ๆ ได้ ซึ่งอาหารอาจมีลักษณะเป็นแท่ง เป็นแผ่น เป็น เกล็ด คณุ ค่าทางอาหารโดยทั่วไปสูงกว่าปกติ 2. กรรมวธิ แี บบเปยี ก การทาวัตถดุ ิบอาหารสตั วใ์ ห้เปยี กมขี ้นั ตอนทาดังนี้ 2.1 การแชใ่ นของเหลว (soaking) ของเหลวในท่นี ี้ ไดแ้ ก่ น้าธรรมดา กรดและดา่ ง หรือ ของเหลวอ่ืน ๆ การแช่ในน้าธรรมดาเป็นที่รู้จักกันมานาน เช่น การแช่ปลายข้าวให้สุกร โดยแช่ไว้ ประมาณ 12 – 24 ช่ัวโมง แล้วนาไปใหส้ ัตวก์ นิ โดยตรง หรือนามาทาให้เปน็ แผน่ หรือบดในภายหลงั จึง นามาผสมกับอาหารอื่น ในขณะที่แช่น้าอาจมีการให้ความร้อนด้วยก็ได้ ผลของ การแช่ทาให้เอน โดสเปอร์ม และส่วนท่ีเป็นไขเคลือบอยู่อ่อนนุ่มลงทาให้น่ากินเพิ่มขึ้นและสัตว์ จะย่อยได้ง่ายกว่า อาหารทีไ่ มไ่ ด้แช่ วิธีนีใ้ ช้ได้กบั กจิ การทมี่ ีขนาดเล็กหรอื ปานกลางที่มแี รงงานและพ้ืนท่ีเพียงพอ แต่ถ้า เป็นกิจการใหญ่จะเกิดปัญหาด้านการเก็บและตาก ซ่งึ ตอ้ งใช้เนอ้ื ท่มี ากหรอื ต้องประกอบดว้ ยเครือ่ งมือ ทท่ี าใหแ้ หง้ ข้อควรระวงั คือ ระยะเวลาทใี่ ชแ้ ชอ่ ยา่ ให้นานเกนิ ไปเพราะอาจเกิดการบดู เน่าหรอื ทาให้ ส่วนที่เป็นวัตถุแห้งลดลง นอกจากน้ีสารพิษในวัตถุดิบบางชนิด เช่น ใบกระถิน เม่ือแช่น้าจะทาให้ ปริมาณของมิโมซีน (mimosine) ลดลง ทาให้สัตว์ใช้ประโยชน์ได้มากข้ึน สว่ นการแช่ในกรดหรือด่าง สามารถทาใหค้ ุณค่าของ สารอาหารต่าง ๆ ภายในวตั ถุดิบอาหารสัตว์เพ่ิมขึ้น แล้วแต่ระดับความเป็น กรดเป็นด่าง (pH) ท่ีเหมาะสมกับวัตถุดิบแต่ละชนิดน้ัน เช่น การแช่กรดเกลือหรือด่างโซดาไฟกับ

68 เมล็ดถ่วั เหลือง ทาให้ใช้ประโยชน์จากกรดอะมิโน เมทไธโอนีนไดม้ ากขึ้น การแช่ฟางในสารละลายดา่ ง แคลเซียมไฮดรอกไซด์ทาให้เซลล์พืชเป่ือยง่ายและจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารทางานได้มากขึ้น นอกจากน้ี ยังอาจใชก้ รดอนิ ทรยี ์พวกกรดโพรพิออนิก (propionic acid) หรือกรดผสมระหว่างอาซตี ิก และโพรพอิ อนิก (acetic – propionic acid mixture) พน่ เป็นฝอยลงไป เปน็ การรักษาสภาพเนอ้ื เยื่อ พชื ลดความสูญเสยี ได้ การทาให้แห้งภายหลังการแช่น้าโดยทั่วไปจะทาใหก้ ารใช้ประโยชนจ์ ากอาหาร ดขี นึ้ (Miloslav, 1982) 2.2 การอบด้วยไอน้า (steam cooking) จุดประสงคห์ ลักเป็นการทาลายเช้ือโรค ทาลาย เมลด็ วัชพืชและแมลงตา่ ง ๆ ท่ตี ิดมาหรืออาศยั อยู่ในวัตถดุ ิบอาหาร เชน่ ในเมลด็ พืช และเป็นการขจัด ฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่ติดมากับเมล็ดด้วย ผลพลอยได้คือ ทาให้อาหารสุกก่อนทาให้ ย่อยได้ง่ายข้ึน ขบวนการเป็นแบบง่าย ๆ คือ น่ึงเมล็ดด้วยไอน้าที่อุณหภูมิ 130 องศาเซลเซียสนาน 3 - 5 นาที ถ้า เปน็ เมล็ดใหญ่ก็อาจทาให้แตกหรือกะเทาะเปลือกเสยี ก่อน หลังจากนั้นจึงจะผา่ นเขา้ ลูกกลงิ้ บดเพ่ือให้ มีขนาดท่ีต้องการซ่ึงอาจเป็นช้ินหรือเป็นเกล็ด เม่ือเปรียบเทียบกับการบดด้วยลูกกลิ้งโดยวิธีแห้ง วิธกี ารนี้ประสทิ ธิภาพของอาหารเม่อื นาไปเล้ียงสัตวส์ ูงกว่า 2.3 การทาให้เป็นเกล็ดด้วยไอน้า (steam flaking) กรรมวิธีน้ีเริ่มต้นด้วยการผ่านเมล็ด เข้าไปในหอ้ งอบไอน้าหรือทอ่ ท่ีมีความยาวภายในเวลาทพี่ อเหมาะ ประมาณ 15 – 30 นาที เพอ่ื ให้ มี ความช้นื ประมาณ 18 – 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเมล็ดธัญพชื ใดมคี วามชื้นน้อยจะต้องอบไอน้านานข้ึน และ ถ้าเมล็ดมีไขคลุมก็ต้องใช้เวลาอบนานยิ่งขึ้นเพราะไอน้าแทรกซึมเข้าไปได้ยากกว่า เมื่อเมล็ดออกมา จากห้องอบไอน้าจะมีอุณหภูมิประมาณเท่ากับความร้อนของน้าเดือด หลังจากน้ันจะถูกบดด้วย ลกู กลิง้ ให้มขี นาดหนาบางตามท่ีต้องการ ความชื้นจะลดลงเหลือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ วิธกี ารน้ที า ให้มีประสิทธิภาพของอาหารดีข้ึนเพราะผนังเซลล์ของเอนโดสเปอร์มแตกกระจายไป หรือขนาดของ เมลด็ แปง้ ภายในเปล่ยี นแปลงทาใหย้ อ่ ยงา่ ยข้ึน 2.4 การน่ึงด้วยความดันไอน้า (pressure cooking) วิธีน้ีใช้ไอน้าร้อนคล้ายคลึงกับ วิธีท่ี 2.2 และ 2.3 แต่เพ่ิมความดันเขา้ ช่วยทาให้อาหารสกุ เรว็ ขนึ้ และใช้เวลานอ้ ย หลงั จากน้ัน จงึ นาไปบด ให้เป็นแผ่นหรือเป็นเกลด็ มีความชน้ื เหลอื อยู่ประมาณ 20 เปอรเ์ ซ็นต์ เน่อื งจากวิธีนีอ้ าหารสุกกว่าทุก แบบ ในแง่ของการย่อยได้แล้วอาหารทผ่ี า่ นกรรมวธิ ีนีจ้ ะมปี ระสิทธิภาพมากกวา่ แต่คา่ การผลิตสงู กวา่ 2.5 การหมกั (ensiling) จดุ ประสงค์ของการหมักโดยทั่วไปเพื่อเป็นการถนอมอาหารเก็บ ไว้ให้สัตว์กินในเวลาที่ขาดแคลน แต่ก็อาจทาให้เพ่ิมประสิทธิภาพของอาหารให้ดีขึ้นและทาลายหรือ

69 ลดสารพษิ บางอย่างใหม้ ีจานวนน้อยลงหรืออยู่ในระดบั ทไ่ี ม่เป็นอนั ตรายตอ่ สัตว์ วิธีการคือ นาอาหาร ท่เี ตรียมไว้อัดลงในท่เี ก็บอาหารทีเ่ รียกวา่ ไซโล (silo) ซึ่งอาจเติมกากนา้ ตาล หรอื สารกระตุ้นการหมัก เพ่ือให้เกดิ การหมักเรว็ ขึ้น ระดับ pH ทเี่ หมาะสมประมาณ 3.8 ถึง 4.2 อาหารที่เก็บไว้ในสภาวะแบบ น้ีจะเก็บไว้ได้นานมีรสชาดและกล่ินชวนกิน บางครั้งอาจมีการเติมกรดอินทรีย์เพื่อช่วยทาให้ทาให้มี คณุ ค่าทางอาหารเพิ่มขึ้นได้ เช่น กรดโพรพิออนิก (propionic acid) ช่วยในการหยดุ การหายใจของ เมลด็ หรอื หยุดปฏกิ ิรยิ าบางอย่างของเชื้อรา นอกจากนี้การนาวัตถดุ ิบอาหารที่เปน็ ผลพลอยไดม้ าจาก พืชที่มีลักษณะย่อยยาก เช่น ลาต้นข้าวโพดหวานหลังการเก็บฝักนามาหมักกับเชื้อเห็ดชนิดต่าง ๆ Nongyao el at. (1998) พบว่าการหมักด้วยเชื้อเห็ด พลูโรตัสซาจูคาจู (Pleurotus sajor - caju) และเชื้อแอสเพอร์จิรัสนิเกอร์ (Aspergillus niger) เป็นเวลา 14 วัน ทาให้โครงสร้างของเซลล์พืช สญู เสียสภาพและเม่ือนาไปเล้ยี งนกกระทาเพอื่ หาอตั ราการย่อยได้ พบว่า การยอ่ ยไดข้ องโปรตีนมีค่า สูงข้ึนกว่าการไมห่ มัก แตไ่ มม่ ีความแตกต่างทางสถติ ิ 2.6 การทาให้เมล็ดแตกออกโดยอาศัยความดัน (exploding) วิธีการนี้ได้แก่ การนาเมล็ด พืชอบในห้องอบไอน้าที่มีความดันสูงภายในระยะเวลาสั้น อาจใช้อุณหภูมิสูงแต่เวลาน้อย แล้วลด ระดับความดันลงมาให้เท่ากับอากาศภายนอกโดยเร็ว ซ่ึงจะทาให้เมล็ดพืชแตกออกและเปลือกหลุด หายไป วิธนี เ้ี ปน็ วธิ ีทีง่ ่ายและได้ผลไม่แตกตา่ งกับการอบไอนา้ ด้วยวิธอี ื่นๆ จากวธิ ีการที่ไดก้ ลา่ วมาแล้ว นั้น ผู้เลี้ยงสัตว์ต้องพิจารณาเลือกใช้วิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม และขนาดของกจิ การ โดยมีจดุ มุ่งหมายวา่ ใช้ประโยชน์ให้ได้มากท่ีสุด และลดตน้ ทุนการผลติ ใหต้ า่ ท่สี ุด เทา่ ที่จะทาได้ เพือ่ จะทาให้ได้ผลกาไรจากการเลยี้ ง มากทส่ี ุด กำรเตรียมวัตถดุ ิบสำหรับสตั ว์เคย้ี วเออื้ ง สัตว์เคี้ยวเอื้องโดยท่ัวไปจะมีความสามารถย่อยอาหารได้สูง แต่การเตรียมอาหารก่อนให้ ก็ ยังมีความจาเป็น เพราะความสามารถในการย่อยจะลดลงเม่ือปริมาณของการให้อาหารเพิ่มขึ้น เนือ่ งจากเวลาที่อาหารอยใู่ นระบบการยอ่ ยนอ้ ยลง วตั ถุดิบอาหารสัตว์เคยี้ วเอือ้ งมีทั้งชนิดท่ีเป็นอาหาร ข้น เช่น ข้าวโพด และชนดิ ท่เี ป็นอาหารหยาบ ได้แก่ หญา้ และต้นพืชตา่ งๆ 1. กำรเตรยี มเมล็ดพืชสำหรบั สัตวเ์ ค้ียวเออื้ ง วิธีการเตรียมเมล็ดพืชก่อนนาไปใช้เลี้ยงสตั ว์เค้ียวเอ้ืองนั้นเป็นที่ยืนยันแล้วว่าทาให้ สตั วใ์ ช้ประโยชนไ์ ด้สงู กว่า ซ่ึงได้แก่ การกะเทาะเปลือก (dehulling) เมลด็ ฝา้ ยทาให้เปลอื กหลุดออก การทาให้ไขที่เคลือบผิวเมลด็ หลดุ ออกไป ทาให้การใช้ประโยชน์จากวัตถุแห้งสงู ขึน้ บางวิธีการอาจทา ให้ขนาดและปริมาณพอเหมาะแกก่ ารยอ่ ยในกระเพาะรูเมน หรอื เพ่มิ ความน่ากินในสัตว์กาลังขนุ หรือ การเสริมด้วยอาหารเมล็ดพืช ควรบดเสียก่อนจะทาให้สัตว์ใช้ประโยชน์ได้สูงกว่า สาหรับวัว ควาย

70 และแกะ การบดเมล็ดพืชอาจมีความแตกต่างกันบ้าง เพราะแกะบดอาหารในปากได้ดีกว่าวัวควาย การคั่ว ทาให้เมล็ดข้าวโพดมีกล่ินหอมนา่ กินขึ้นและทาให้ประสิทธิภาพอาหารสูงข้ึน การทาให้เมล็ด แตกด้วยความดนั เช่น ทากบั เมล็ดขา้ วฟ่าง ทาให้การย่อยได้ของวัตถแุ ห้งและแป้งดขี น้ึ แต่ไม่ทาให้การ ย่อยได้ของโปรตีนหรือไขมันเพิ่มข้ึน ส่วนกรรมวิธีแบบเปียกนั้นในประเทศเราไม่นิยมทาแต่ใน ต่างประเทศมบี า้ ง เช่น มีการพ่นเมลด็ ข้าวโพดดว้ ยกรดอินทรยี เ์ จอื จางในระดับท่เี หมาะสม หรอื การให้ เมล็ดพืชที่เกบ็ เกย่ี วกอ่ นแก่ ทาให้สัตวไ์ ดร้ ับอาหารมคี ุณคา่ เพ่ิมข้ึน 2. กำรเตรียมอำหำรหยำบสำหรบั สัตวเ์ ค้ยี วเออ้ื ง การเตรยี มอาหารหยาบสาหรับสัตวเ์ ค้ยี วเอ้ือง มดี ังน้ี 2.1 การอัดฟ่อน (baled roughage) การอัดฟ่อนเป็นวิธีการธรรมดาทั่วไปท่ีใช้ สาหรับ อาหารหยาบเพ่ือความสะดวกในการเก็บและการขนส่ง การอัดอาจใช้แรงคนหรือเคร่ืองจักร การทา มกั ทาในพ้ืนท่ที ่ีปลกู พชื น้ัน ๆ ตอ้ งระวังการหลุดรว่ งของใบเพราะจะทาให้พืชแหง้ นั้น เหลือกง่ิ ก้านท่ีมี เยื่อใยสูงมากข้ึน โปรตนี และคุณค่าโดยรวมต่าลง การใชป้ ระโยชน์จากพืชท่ี อัดเป็นแท่งนี้ได้มากน้อย ขึ้นกับวิธีการให้ ถ้าให้แบบวางทิ้งไว้ให้กินก็จะมีการสูญเสียมาก ถ้าให้มากเกินไปก็จะถูกย่าหรือสัตว์ เลือกกินใบหรือกา้ นเล็ก ๆ ส่วนทเ่ี ป็นลาต้นก็จะทง้ิ ไป ดังนั้น การสญู เสียของอาหารสูงขึ้นเมอ่ื ให้พชื ที่ อัดเปน็ ฟ่อน จานวนที่กนิ ไมพ่ อเพยี งทจ่ี ะทาใหส้ ตั วเ์ ติบโตถ้าใช้อาหารหยาบแบบน้ีเพยี งอยา่ งเดียว 2.2 การตัดหรือสับ (chopped roughage , shredding) การตัดหรือสับพชื ให้สัตว์กินทาให้ เพ่ิมปริมาณท่ีกินได้ ความสูญเสียจากการเลือกกินอาหารน้อยลงแต่ความนา่ กินอาจน้อยลงเน่ืองจาก ความชืน้ สญู เสียไปเร็ว ความยาวของช้ินพชื ควรอยู่ระหว่าง 1 – 2 นว้ิ ถา้ เลก็ กวา่ น้ไี มม่ ีผลแตกต่างกัน แต่เปลืองแรงงานมากข้นึ การตัดหรือสบั น้ีอาจทาไดท้ งั้ พืชสดหรือพืชแหง้ ถ้าเปน็ พืชแห้งอาจมีปญั หา เร่ืองฝุ่น ในบางคร้ังอาจรดน้า ผสมไขมันหรือราดด้วยกากน้าตาล เป็นการเพ่ิมความน่ากินและเพ่ิม คุณค่าทางอาหารได้ 2.3 การอัดเมด็ (pelleting) การอัดเม็ดเปน็ การทาให้คุณค่าของอาหารทีส่ ัตว์กินเข้าไปสูงข้ึน เพราะปริมาณท่ีกนิ ไดม้ ากขนึ้ ขนาดของเมด็ อาหารทอี่ ัดจะตอ้ งมีขนาดเหมาะสมนานพอ ที่จะทาใหอ้ ยู่ ในกระเพาะรเู มนจนเซลลูโลสถกู แบคทีเรียยอ่ ย เพื่อเปล่ียนเป็นกรดไขมันทรี่ ะเหยได้ แลว้ นาไปใชเ้ ป็น พลังงานได้ แต่ถ้าขนาดเม็ดที่อัดมีขนาดเล็กเกินไปอาหารจะเคลื่อนผา่ นไปเร็วและไปถูกย่อยในลาไส้ เล็ก โดยท่ัวไปพบว่า อาหารอัดเม็ดจะเคลื่อนท่ผี ่านทางเดินอาหารเร็วขึ้นทาให้การยอ่ ยได้ของเยื่อใย ตา่ ลง นอกจากนี้ยังทาให้สัตวเ์ คย้ี วเอื้องกนิ อาหารได้มากขึ้น ทาให้อาหารเคลอื่ นที่เร็ว โอกาสของการ ย่อยได้ของอาหารโดยรวมมักต่าลง ในสัตว์เค้ียวเอื้องที่อายุยังน้อย ได้ประโยชน์จากการใช้อาหาร

71 อัดเม็ดมากกว่า ดังนั้น การอัดเม็ดอาหารหยาบต้องคานึงถึงสตั ว์ ที่เล้ียง ขนาดของเม็ดและค่าใช้จ่าย ในการอัดตัวอย่าง เช่น การอัดกากสบั ปะรดหรืออัลฟัลฟา่ ใช้ประโยชน์ในแง่การเก็บรักษาและขนส่ง แตเ่ พ่ิมคณุ คา่ ไดส้ ูงกวา่ การไม่อดั เม็ด 2.4 การอัดเป็นก้อน (cubed roughage) เป็นวิธีการเตรียมอาหารหยาบอีกแบบหนึ่ง ซง่ึ อัด พชื แห้งที่บดหยาบ ๆ เข้าด้วยกันเปน็ ก้อนส่ีเหล่ียมขนาด 3 เซนติเมตร หรือมากกว่า การอดั เป็นก้อน เมื่อผ่านขบวนการอัดควรพ่นน้าหรือสารอ่ืน ๆ เพื่อให้เกาะตัวดี เม่ือนาไปเลี้ยงสัตว์ พบว่า การให้ อาหารหยาบท่ีอัดเปน็ กอ้ นทาใหส้ ัตว์เตบิ โตดีกว่ากินอาหารท่ีอัดเป็นฟ่อน ทั้งนี้ตน้ พืชถูกตัดใหม้ ีขนาด เล็กลงกว่าการอัดเป็นฟ่อน การหลุดร่วงของใบพืชมีน้อยกว่าและทาให้ต้นทุนค่าอาหารต่ากว่าการ อดั เมด็ (นงเยาว์, 2546) ภำพที่ 16 อาหารอัดเม็ดสาหรับสตั วก์ ระเพาะรวม ทม่ี ำ: นงเยาว์ (2546) 2.5 การหมกั (ensiling) การหมักเป็นการนาชิ้นส่วนของพชื ทีผ่ า่ นการตดั สับมาแล้วท้ังลาต้น และใบ อัดลงในถงั หรือภาชนะท่ีบรรจุใหแ้ น่น เพอ่ื ใหจ้ ุลินทรยี ์เตบิ โตไดด้ ใี นสภาพ ไร้อากาศสรา้ งกรด ขึ้นมารักษาสภาพเน้ือเยื่อของพืชไม่ให้เน่าเสียหาย ดังนั้น การทาจึงต้องใช้พืช ที่มคี วามช้ืนพอเหมาะ ประมาณ 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ เมื่อทาแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานจนกว่า จะเปดิ ใช้ สัตว์เค้ียวเอื้องกิน พืชหมักได้ดีแต่ตอ้ งกินในปริมาณมากกว่าพืชแหง้ เพราะมีน้าปนอยู่สูง อย่างไรก็ดีพืชหมักมีความน่า กินสูง คุณค่าทางสารอาหารลดลงไม่มากและสัตว์เลือกกินไม่ได้ระหว่างลาต้นและใบ นอกจากน้ียัง เพ่ิมคุณค่าด้วยการใช้ฟางธรรมดาหมักกับปุ๋ยยูเรีย (46 เปอร์เซ็นต์ ไนโตรเจน) ในอัตราส่วน 100 : 100 : 5 (ฟาง : น้า : ปยุ๋ ยูเรีย) เป็นเวลา 10 วนั โดยใช้พลาสตกิ คลุม ทาให้โปรตีนเพ่ิมขน้ึ จาก 2 – 3 เปอร์เซ็นต์ เปน็ 7 – 8 เปอร์เซ็นต์ (โดยน้าหนกั แหง้ ) ปริมาณ การยอ่ ยได้เพม่ิ จาก 45 เปอร์เซ็นต์ เป็น 55 – 57 เปอร์เซน็ ต์ ซงึ่ ทาให้สตั ว์กินฟางหมักเพมิ่ ขน้ึ ถงึ 30 เปอรเ์ ซ็นต์ (เมธา และฉลอง, 2533)

72 กำรผสมอำหำรสัตว์ การผสมอาหารสัตวจ์ ะกระทาหลังจากการคานวณสัดส่วนของวัตถุดิบต่างๆแล้วยังตอ้ งคานงึ ถึง หลกั การดังนี้ 1. จำนวนอำหำรที่ผสม เมื่อคานวณได้สตู รอาหารทีใ่ ช้เล้ียงสัตว์แต่ละอย่างแล้ว สามารถนามาคิดปริมาณว่า สัตว์ตอ้ งการใชว้ ัตถุดิบอาหารสัตว์แตล่ ะชนิดเป็นจานวนเท่าใดได้ อาหารบางชนิดอาจชั่งให้กิน ทุกวัน แต่ถ้ามีสัตว์จานวนมากต้องมีการผสมเผื่อไว้สาหรับกินได้หลายวันเป็นการประหยัดท้ังแรงงานและ เวลา แต่โดยท่วั ไปมกั ผสมไวใ้ หก้ นิ ไม่เกิน 2 สปั ดาห์ จานวนอาหารท่ผี สม = จานวนอาหารที่กนิ ตอ่ ตวั ตอ่ วนั x จานวนสตั ว์ x จานวนวนั 2. วิธีผสมอำหำรอำหำรสัตว์ การผสมอาหารเป็นวิธกี ารท่ีทาให้วัตถุดิบอาหารสัตว์ต่าง ๆ ทีบ่ ่งบอกไว้รวมเข้าเป็น เน้ือเดียวกนั และกระจายอยทู่ ุกส่วนของอาหารทาให้สตั วไ์ ดร้ ับสารอาหารตา่ งๆครบตามความตอ้ งการ 2.1 การผสมอาหารด้วยมือ เป็นวิธกี ารท่ีเหมาะแกเ่ กษตรกรรายย่อยที่มีจานวน สัตว์เลี้ยงไม่ มาก อุปกรณท์ ี่สาคัญ ได้แก่ เคร่ืองช่ัง ถังเปล และพล่ัว เป็นต้น ก่อนการผสม ต้องกวาดพื้นใหส้ ะอาด ซ่ึงควรเป็นพื้นเรียบ หลังจากน้ันชั่งวัตถุดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ประเภทแป้งก่อน เช่น รา ปลายข้าวหรือข้าวโพด เมื่อชั่งได้จานวนที่ต้องการแล้ว ใหแ้ บ่งกองไว้จานวนหน่ึง และให้ตัก แยกออกจากกองใส่กาละมังประมาณ 4 - 5 กิโลกรัม เพ่ือนาไปผสมกับอาหารวิตามินหรือแร่ธาตุ พรีมิกซ์ซึ่งได้ชั่งไว้ก่อนแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากน้ัน ช่ังวัตถุดิบอาหารที่เหลือ เช่น กากถั่ว เหลือง ปลาป่น หรืออื่น ๆ ตามทีก่ าหนดไว้ คลุกเคลา้ เขา้ กับกองอาหารเดิม หลังจากน้ันจงึ นาอาหาร ทอ่ี ยู่ในกะละมังที่มีแร่ธาตุและวิตามินตลอดจน สารเติมพิเศษอ่นื มาคอ่ ย ๆ ผสมลงไป อาจใช้พลั่วช่วย ในการคลุกเคลา้ เพอ่ื ให้เข้ากนั ดี ถา้ มวี ัตถดุ ิบอาหารท่ีมีลกั ษณะเหลวปนอยู่ เช่น นา้ มนั หรอื กากนา้ ตาล จะต้องชั่งอาหารพวกน้ีผสมต่างหาก กับอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าวโพดหรืออาหารท่ีมีเน้ือหยาบ เล็กน้อย เช่น กากถ่วั เหลือง ให้ตักแบ่งออกมาจากกองใหญ่ในปริมาณที่น้ามัน หรือกากน้าตาลจะถูก คลุกเคล้าใหเ้ ข้ากันได้ หรอื ดดู ซบั ไดท้ ว่ั ถึง และทงิ้ ไว้ให้แหง้ เพือ่ มใิ ห้มกี ารจับตวั เปน็ ก้อน เม่อื นาไปผสม กับอาหารอน่ื ๆ จะทาให้ ผสมเข้ากันไดง้ ่าย หลังจากนั้นค่อยผสมกับอาหารอื่น ๆ พลิกกลบั ไปมาให้ เข้ากนั 2.2 การผสมอาหารด้วยเครอื่ ง เป็นการผสมอาหารปรมิ าณมาก ๆ ซึง่ ใชห้ ลักการ เชน่ เดยี วกับ การผสมด้วยมือ การผสมน้ีจะใช้เวลาน้อยกว่าเน่ืองจากเคร่ืองมีความสามารถในการคลุกเคล้าได้เร็ว กวา่ ลาดับของการนาวตั ถุดิบเข้าผสมมคี วามสาคัญตอ่ การการทาให้ผสมไดท้ ่ัวถงึ และรวดเร็ว เป็นการ ประหยัดค่าใช้จ่าย เร่ิมด้วยการใส่อาหารพวกเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวโพด ปลายข้าวหรือรา ประมาณ

73 25 - 35 เปอร์เซ็นต์ แล้วจึงใส่อาหารประเภทอ่ืน ๆ คือ อาหารประเภทโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ เปิดเครื่องผสมกันสักครู่ก่อนแล้วจึงใส่อาหารที่เหลือเข้าไป ถ้ามีการผสมอาหารท่ีเป็นของเหลวผสม เข้าด้วยควรรอให้อาหารทุกอย่างผสมให้ทั่วถึง โดยใช้เวลาไปก่อน 60 - 70 เปอร์เซน็ ต์ ของเวลาท่ีต้ัง ผสม แล้วจึงใส่อาหารที่เปน็ ของเหลวตาม และเมอ่ื ผสมอาหารเสร็จแล้วควรตอ้ งนาอาหารออกใหห้ มด ไม่ให้ตกคา้ งอยูเ่ พราะจะเปน็ อาหารเสียหรอื ปนกบั สูตรอาหารอน่ื ท่ีจะผสมต่อไป 2.3 การผสมพรีมิกซ์ เป็นวิธีการเฉพาะเพ่ือการผสมอาหารจานวนน้อย ๆ ได้แก่ การผสมแร่ ธาตุปลีกย่อย วิตามินและสารเติมพิเศษบางชนิด ซึ่งมักจะเป็นการผสมเตรียมไว้ล่วงหน้าเรียกว่า อาหารพรีมิกซ์ โดยปกตจิ ะแยกผสมเปน็ พรีมิกซ์ของแร่ธาตแุ ละพรมี ิกซข์ องวติ ามิน เวลาจะใช้จึงนามา ผสมกับอาหารอืน่ ๆ ซึง่ วิธีการผสมพรมี กิ ซ์ มดี งั น้ี 2.3.1 ชั่งอาหารที่ใช้เป็นตัวกลางในการผสมหรือส่ือ ซ่ึงเป็นอาหารท่ีจะทาให้การ ผสมท่ัวถึง เพราะโดยทั่วไปวิตามินหรือแร่ธาตุน้ันใช้เป็นจานวนน้อยมาก หากไม่มีอาหาร มาเพ่ิม ปริมาณการนาไปใช้อาจไม่สะดวก เนื่องจากต้องใช้เคร่ืองชง่ั ที่ละเอียดมาชั่งหรอื เมื่อนาไปผสมก็อาจ ปนหายไปอยูก่ ับอาหารบางสว่ น ไมก่ ระจายสม่าเสมอ ทาใหส้ ตั วไ์ ม่ไดร้ ับวิตามินหรอื แรธ่ าตุน้ัน ๆ ตาม สมควร ตวั กลางนี้ ไดแ้ ก่ กากถ่ัวเหลือง ข้าวโพดป่น ราหยาบ ชัง่ จานวนท่ีตอ้ งการแล้วใส่ลงในภาชนะ แล้วกองเป็นรปู กรวยและทาเปน็ แอง่ ไวต้ รงกลาง 2.3.2 ช่ังแร่ธาตุหรือวิตามินชนิดต่างๆ ตามจานวนที่กาหนดลงในแอ่งของ กอง อาหารตัวกลาง แยกกนั เป็นแตล่ ะชนิดไมค่ วรวางให้สัมผสั กันโดยตรง 2.3.3 คลุกเคลา้ อาหารและแร่ธาตใุ หเ้ ขา้ กนั โดยขยีร้ วมกันผ่านฝ่ามอื ใหต้ กลงในกอง รูปกรวย เม่ือหมดแล้วขย้ีกลับไปมา 3 - 4 คร้ัง และควรผสมในภาชนะท่ีก้นเป็นรูปโค้ง หรือไม่ให้มี ซอกมุมที่เศษแรธ่ าตหุ รือวติ ามินเขา้ ไปตดิ อยู่ไดเ้ ครื่องผสมควรใช้เครื่องทาดว้ ยโลหะไม่เปน็ สนิม 2.3.4 ช่ังอาหารพรีมิกซ์เท่ากับจานวนท่ีจะใช้ต่อการผสมกับอาหาร 100 กิโลกรัม หรือตามท่ีต้องการใส่ถุงปิดสนิท เขียนวันเดือนปีทผ่ี สม และชนิดสัตว์ท่ีจะนาไปใช้ การผสม พรีมิกซ์ ด้วยเคร่ืองก็ทาในทานองเดียวกันเพียงแต่ไม่ต้องใชม้ ือขยี้ ใชพ้ ายคลุกปาดไปมาก่อนใชเ้ ครอ่ื ง แล้วจึง เดินเครื่องผสม การผสมพรีมิกซ์ของวิตามินควรผสมยากันหืนในอตั ราที่กาหนดด้วย ข้อควรระวัง คือ อย่าผสมเกลือ หรือแร่ธาตุปนกับวิตามิน หรือยาปฏิชีวนะโดยตรง ควรนาไปผสมกับอาหารส่วนอื่น ก่อน เพราะมีแร่ธาตุบางอย่างทาปฏิกิริยากับวิตามินมีโอกาสทาให้สูญเสียประสิทธิภาพได้ การผสม พรีมกิ ซแ์ ตล่ ะครั้ง ควรมจี านวนไม่น้อยกว่า 5 กโิ ลกรัม เพราะถ้าน้อยเกินไปจะช่ังไดล้ าบาก หรือต้อง ใช้เครื่องชั่งละเอียดซึ่งมีราคาแพง การเลือกใช้อาหารท่ีเป็นตัวกลางหรือสื่อในการผสม อย่าเลือกใช้ อาหารที่เปน็ ฝุ่นละเอียดเกินไปหรอื มีน้ามันเพราะจะทาให้วิตามิน หรือแร่ธาตุเกาะตัวกันเป็นกระจุก ไม่กระจายไปอยา่ งทว่ั ถงึ (นงเยาว์, 2546)

74 ผลิตภัณฑ์จำกกำรเลี้ยงกวำง และประสิทธิภำพกำรผลิต เน้ือกวำง (Venison ) และสมรรถภำพกำรเจริญเตบิ โต เน้ือกวางเป็นผลิตผลที่มีคุณประโยชน์ไม่นอ้ ยไปกว่าสัตว์เศรษฐกิจอ่ืนๆ เพราะเป็น เนื้อสัตวท์ ใ่ี หโ้ ปรตนี สูงและมีไขมันตา่ ขณะเดยี วกันก็มีธาตุเหลก็ สูง เหมาะสาหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ท่ีรัก สขุ ภาพ คุณภาพของเน้ือกวางที่ดีจะต้องมาจากกวางท่ีมีอายุไม่เกิน 3 ปี กล่าวคือจะเปน็ ช่วงที่ใหเ้ น้ือ นุ่ม ไขมันน้อย เพ่ือให้ได้เนื้อที่มีคุณภาพสาหรบั ผู้บรโิ ภคอย่างแท้จริง ความต้องการบริโภคเนื้อกวางมี อัตราการเพิ่มขน้ึ ค่อนข้างสูง เน่ืองจากผ้บู ริโภคยงั มีความต้องการท่ีเพิ่มขึ้นอย่างตอ่ เน่ือง กวางที่นามา เชือดเพื่อผลิตเนื้อกวางส่วนใหญ่เป็นกวางท่ีผา่ นการตดั เขาอ่อน ชิ้นส่วนซากกวางท่ีมีมลู คา่ สูงคือ ส่วน ของขาหลัง (hindquarters) และสันหลัง (saddle) คุณภาพของเนื้อกวางพิจารณาจากการวัดความ หนาไขมนั ของซาก และความหนาของกล้ามเนื้อสันนอกท่ีตาแหน่งซ่ีโครงท่ี 12 หา่ งจากกระดกู สันหลัง ลงมาทางลาตวั เน้ือกวางมลี ักษณะพเิ ศษเฉพาะตัว ที่มีไขมันและคลอเรสเตอรอลต่า เสน้ ใยกล้ามเนื้อ ละเอียด และเนื้อนุ่มจึงเป็นท่ีนิยมบริโภคเกือบท่ัวโลก โดยเฉพาะประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป สหรฐั อเมริกาและประเทศในเอเชียทม่ี ีฐานะทางเศรษฐกิจดีเชน่ ญ่ีปุ่น เกาหลี ฮอ่ งกงและไต้หวัน ส่วนประกอบทางเคมีของเนื้อสันนอกของกวางมีคา่ พลังงานและเปอร์เซ็นตไ์ ขมันตา่ กว่าเน้ือ โค เนื้อแกะ และเนื้อสุกร เน้ือกวางคุณภาพดีเป็นวัตถุดิบเนื้อสัตว์ป่าที่ผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคารและโรงแรมสามารถขายได้ราคาสงู กว่าราคาเน้ือโคถงึ สองเทา่ เพราะเนื้อกวางมีขอ้ ดีเด่นเม่ือ เปรยี บเทียบกบั เน้ือโดยทั่วไป เนื่องจากกวางท่ีมีถิ่นกาเนิดในประเทศไทย ได้แก่เน้ือทราย กวางป่าหรือกวางม้า มีจานวน นอ้ ยไมส่ ามารถแพร่ขยายพันธ์ุได้เพียงพอกับความตอ้ งการในการพัฒนาการเล้ียงให้เป็นการคา้ จึงมี การนาเข้ากวางจากต่างประเทศจากประเทศนิวคาลิโดเนีย และประเทศออสเตรเลีย มาเลี้ยง ขยายพันธุ์ โดยผ่านสหกรณ์กวางแห่งประทศไทย กวางพันธุ์รูซ่ามีอัตราการเลี้ยงรอดและการ เจริญเติบโตดี สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม สมรรถภาพการเจริญเตบิ โตขึ้นอยู่กบั การจัดการใหอ้ าหาร และคณุ ภาพของอาหารที่แตกต่างกนั ในแต่ ละพ้ืนท่ี กล่าวคือกวางเพศผู้อายุ1 ปี ท่ีเล้ียงในประเทศออสเตรเลีย หากได้รับอาหารคุณภาพดีเช่น หญ้าคุณภาพดีผสมพืชตระกูลถ่ัวหรือเสริมอาหารข้นอาจมีน้าหนักตัวถึง 70 กิโลกรัม (Woodford and Dunning, 1990) ในประเทศไทยอาหารหยาบท่ีใช้เล้ียงกวางมีไม่เพียงพอและคุณภาพของอาหารหยาบไม่ สม่าเสมอตลอดท้ังปี และมีคุณภาพต่าโดยเฉพาะในชว่ งฤดแู ลง้ ทาใหเ้ กษตรกรต้องซื้อหาอาหารหยาบ ทเี่ ป็นผลพลอยได้จากการปลูกพืช รวมถึงการเสริมอาหารข้นที่ไม่เหมาะสม ส่งผลใหส้ มรรถภาพการ ผลติ ในประเทศไทยยังอยใู่ นระดับที่ตา่ จากการศกึ ษาสมรรถภาพการเจริญเตบิ โตของกวางพันธ์ุรูซ่าใน ประเทศไทย (สุวิทย์ และคมจักร, 2541) ท่ีทาการศึกษาให้กวางได้รับอาหารหยาบที่มีอยู่ทั่วไปใน

75 ประเทศไทยคือหญ้าขนสด และหญ้าแห้งให้กินเต็มที และเสริมอาหารข้น (อาหารโคนมสูตรโปรตีน 18%) ให้กินวนั ละ 2% ของนา้ หนกั ตวั ตอ่ วัน โดยมีนา้ และแร่ธาตใุ ห้กินตลอดเวลา ผลการศึกษาพบว่า น้าหนักเริ่มต้นการทดลองเมื่ออายุประมาณ 4 เดือน เพศผู้มีน้าหนัก 22 กิโลกรัม เพศเมียมีน้าหนัก 18.7 กิโลกรัม น้าหนักเม่ือสิ้นสุดการทดลอง เพศผู้มีน้าหนัก 44.3 กิโลกรัม เพศเมียมีน้าหนัก 39.1 กโิ ลกรัม ที่อายุ 11 และ 10.6 เดือน ตามลาดับ อตั ราการเจริญเติบโตเพศผู้ 103 กรัม/วัน และเพศ เมีย 94 กรัม/วัน ปริมาณวัตถุแห้งท่ีกินได้ท้ังหมด เพศผู้ 1,017.94 กรัม/วัน และเพศเมีย 931.22 กรมั /วัน ประสิทธภิ าพการใช้อาหารในการเพิ่มนา้ หนักตวั 1 กิโลกรัม เพศผ้มู ีคา่ เท่ากบั 9.91 และเพศ เมียค่าเทา่ กับ 9.88 เขำกวำงออ่ น (Antlers) ชาวเอเชียตะวันออกมีความต้องการใช้เขากวางออ่ นมาเป็นระยะเวลายาวนาน และ อุตสาหกรรมการผลติ เขากวางออ่ นในประเทศนวิ ซีแลนด์เพื่อการส่งออกไปยงั ประเทศเหล่าน้ีมีมลู ค่าท่ี สูง เขากวางอ่อนตัดสดของกวางเพศผู้เกรดดีและคุณภาพดีสามารถสร้างรายได้ให้ฟาร์มจานวนมาก การค้าเขากวางออ่ นในตลาดโลกส่วนใหญม่ กี ารซ้ือขายผ่านพ่อค้าและตัวแทนจาหน่าย เขากวางออ่ นท่ี มาจากประเทศตะวันตกมีตลาดเป้าหมายหลักในประเทศตะวันออกโดยเฉพาะประเทศเกาหลี และ ฮอ่ งกง ปัจจุบันในประเทศตะวนั ตกมีการตดั เขากวางอ่อนมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ การ ใช้เขากวางอ่อนในประเทศทางเอเชียตะวันออกมีการใช้มายาวนานโดยใช้เป็นส่วนประ กอบของยา สมุนไพรจนี หรอื ยาจนี เช่ือกนั ว่าคุณสมบตั ขิ องเขาออ่ นอบแหง้ ท่ีมีการใช้มานานในการแพทย์แผนจนี มี สรรพคุณทางยาที่ช่วยบารุงรา่ งกาย กระตนุ้ การเจรญิ เตบิ โต ลดความดนั โลหติ ลดโคเลสเตอรอล ชว่ ย สมานแผลทีเ่ กดิ จาการบาดเจบ็ ฟกชา้ บารงุ ตับ ชะลอความแกช่ รา ในต่างประเทศที่มกี ารทาฟาร์มกวางเชงิ พาณชิ ยม์ กี ารแบ่งเกรดตามคุณภาพเขากวาง ออ่ นโดยเกรด A (Green Grade A) มคี วามช้ืน 67% ถงึ 72% น้าหนกั จะสญู เสยี ระหว่างการกระบวน แปรรูปน้อยกวา่ 10% เขากวางอ่อนแห้ง (dried velvet) จะมีน้าหนักประมาณ หน่ึงในสามสว่ นของ นา้ หนักเขากวางสด ส่วนประกอบทางเคมขี องเขากวางสดของแตล่ ะส่วน ท่ีตัดมาจากเขากวางออ่ นท่ี ตาแหนง่ ต่างกัน จากการศึกษาการสร้างเขากวางของกวางรูซ่าท่ีเลี้ยงในศูนย์วจิ ัยและบารุงพันธุ์สัตว์ หนองกวาง จังหวัดราชบุรี พบว่ากวางรูซ่าเริ่มงอกเขาแรก (เขาเทียน) เมื่ออายุ 213.32 วัน เขามี ความยาวสูงสุดเฉลี่ย10.21 เซนติเมตร (7.0-17.5 เซนติเมตร) เส้นรอบวงเขาเฉลี่ย 7.13 เซนติเมตร (5.5-10.5 เซนติเมตร) และสลัดเขาแรกท้ิงเมื่ออายุ 418 วัน หลังจากสลัดเขาแรกท้ิง 24.11 วัน จึง เริ่มสรา้ งเขาสองเมื่ออายุ 653.43 วัน เขากวางออ่ นท่ีมคี ณุ ค่าทางโภชนาการท่ีดี จะอยู่ในช่วงประมาณ 60 วัน นับแต่วันท่ีเขาเก่าหลุด อายุกวางท่ีให้เขาไม่ได้เป็นตัวแปรที่สาคัญเท่ากับระยะเวลาการงอก

76 ของเขาอ่อน ประเทศนิวซแี ลนด์ ไดก้ าหนดน้าหนักเขากวางออ่ นท่ีเหมาะสมตามอายุการตัด ดังแสดง ในตารางท่ี 1 ตำรำงที่ 1 ระยะการตัดและนา้ หนักเขากวางรซู า่ อำยุ (ป)ี อำยเุ ขำท่ีตัด (วนั ) นำ้ หนักเขำ (กิโลกรมั ) 1.01 2 55 1.60 1.93 3 58 2.17 4 61 5 60 ที่มำ: Yerex and Spiers (1990) ในขณะเดียวกันก็กาหนดน้าหนักเขากวางอ่อนสาหรับการคัดพ่อพันธุ์ออกจากฝูง ออกจากฝูงผสมพันธุ์ ดงั นี้ กวางอายุ 2 ปี น้าหนกั เขาออ่ นนอ้ ยกว่า 0.9 กิโลกรมั อายุ 3 ปี น้าหนกั เขา ออ่ นนอ้ ยกวา่ 1.2 กิโลกรมั อายุ 4 ปี น้าหนกั เขาอ่อนน้อยกว่า 1.8 กิโลกรัม และอายุ5 ปี นา้ หนักเขา ออ่ นน้อยกวา่ 2.2 กิโลกรมั เพื่อใหก้ ารปรบั ปรุงพนั ธุ์เป็นไปไดอ้ ย่างรวดเร็ว ปรมิ ำณกำรบรโิ ภค และกำรนำเข้ำ การเล้ียงกวางในประเทศไทยในเชิงพาณิชย์มีวัตถุประสงค์เพ่ือทดแทนการนาเข้า เนื้อกวางและผลิตภัณฑ์กวางจากต่างประเทศ ลดการเสียดุลการค้ากับต่างประเทศ ซ่ึงความต้องการ บริโภคผลผลิตจากกวางมีมูลค่ามากพอสมควร ประกอบกับราคาในการซื้อ-ขายกวางพันธุ์ เนื้อกวาง และผลิตภัณฑ์จากกวางที่มีราคาสูง แต่อย่างไรก็ตาม อาชีพการเล้ียงกวางของเกษตรกรและจานวน กวางในประเทศไทยในหลายปีท่ีผ่านมา มกี ารเปลียนแปลงเพิ่มข้ึนหรือลดลงในปรมิ าณที่ไมม่ ากนัก ดัง แสดงในตารางท่ี 2 ทั้งน้ีนา่ จะเปน็ ผลมาจากความตอ้ งการของตลาดเป็นหลัก

77 ตำรำงที่ 2 จานวนเกษตรกรผูเ้ ล้ียงกวางและจานวนกวางในประเทศไทย ปี พ.ศ. เกษตรกร (ครัวเรือน จำนวนกวำง (ตวั ) 2553 176 6,684 2552 144 8,054 2551 74 4,085 2550 198 8,546 ท่มี ำ: กรมปศสุ ตั ว์ (2554) การบริโภคเนื้อกวางในประเทศไทยมปี ริมาณน้อยหากเปรยี บกบั การบริโภคเนื้อสตั ว์เศรษฐกิจ ชนิดอ่ืน เนื่องจากปริมาณผลผลติ ที่มีจานวนน้อยและราคาจาหน่ายสูง การบรโิ ภคจึงจากดั อยู่ในกลุ่ม ผู้บริโภคท่ีมีฐานะทางเศรษฐกจิ ดีเท่านั้น ส่วนผลติ ภัณฑ์อื่นๆ จากกวางเชน่ เขากวางออ่ นอบแห้ง เอ็น กวาง และหางกวาง ร้านยาจีนมีการใช้ชิ้นส่วนจากผลผลิตจากกวางในส่วนประกอบของยาแผน โบราณ ยาสมุนไพรบารุงร่างกายมาเป็นเวลานาน ส่วนหนังกวางก็มีการนามาแปรรูปเป็นหนังฟอก และตัดเย็บเป็นเคร่ืองประดับ เคร่ืองแต่งกาย หมวก รองเท้าและกระเป๋า ซ่ึงเกษตรกรนามาจาหน่าย เองโดยตรง ฝากขายกับทางร้านค้าของบริษัทเอกชนท่ีทาธุรกิจเก่ียวกับกวางหรือฝากสหกรณ์กวาง แห่งประเทศไทยจาหน่าย แต่มีปริมาณการผลิตจานวนน้อยและไม่สม่าเสมอ เน่ืองจากปริมาณการ เชือดกวางเพ่ือจาหน่ายยังไมม่ าก กำรประเมนิ ควำมสมบรู ณ์ของรำ่ งกำย การใหคะแนนรางกาย เปนการประเมนิ ทางออมถึงระดับของพลังงานท่รี างกายเก็บสะสมไว ในรูปของ ไขมันและกลามเนื้อ โดยประเมินจากจุดตางๆ ที่มกี ารสะสมไขมนั , กลามเนื้อทสี่ ัมพันธกับ การใหผลผลิตและความสมบรู ณพันธุ วิธีการใหคะแนนจะตองมีการจัดใหโคอยูในซองเด่ียวหรือมีเจา ของจับโคเรียงเปนแถวเดี่ยว เพ่ือใหผูประเมินสามารถ เขาไปใกลจับและพจิ ารณาตามจุด/สวนตางๆ ของรางกายโค การใหคะแนนความสมบูรณรางกายของโคมีใชกันหลายระบบ เชนในประเทศ ออสเตรเลียใชระบบ 8 คะแนน สวนประเทศนิวซีแลนดใชระบบ 10 คะแนน แตที่จะกลาวถึงเป นระบบที่ใชในประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษซ่ึงมีคะแนนเต็ม 5 คะแนน การใชระบบใหแบบ คะแนนนี้ จะชวยใหผูเลี้ยงจัดแบงกลุมโคเล้ียงไดงาย และทาใหทราบสถานการณของโควา ไดรับ อาหารเพยี งพอตอความตองการของรางกายหรอื ไม ตลอดจนผูเลยี้ งจะไดทราบวาโคทอ่ี ยูในแตละชวง การใหผลผลิต มีมาตรฐานคะแนนรางกายเทาใด และโคของเรามีคะแนนเทาใด อวนหรือผอม จะ เสริมหรือไมเสริมอาหารอยางใดตอไป ซึ่งจะเห็นวาเปนประโยชนมากตอการจัดการฟารม การให คะแนนรางกายโดยทั่วไป ก็ควรใหเปนประจาทุกเดือนๆ ละ 1-2 ครั้งเปนอยางนอย และมีการลง

78 บนั ทึกเพ่ือใชเปรียบเทียบ ในแตละชวงแตละเดือน วาโคมกี ารเปลี่ยนแปลงอยางไร นอกจากทีก่ ลาว มาแลวยังมีการใหคะแนนโคอีกแบบท่ีเรียกวาการใหคะแนนโคประกวด จะใหเปนคะแนนเต็ม 100 คะแนนโดยประเมนิ จากลักษณะความเปนมาตรฐานโคนม การใหคะแนนแบบนีจ้ ัดไดวาเปนพ้ืนฐาน สาคญั ของการปรับปรุงพนั ธุโคนม ประเทศของเราควรสงเสรมิ ใหมีการประกวดแบบนี้มากขนึ้ จะช่วย ใหสามารถพฒั นามาตรฐานพนั ธุโคนมของไทยไดเร็ว เชน่ เดยี วกบั การใหค้ ะแนนรา่ งกายกวาง เกณฑการใหคะแนน มาตรฐานที่จะใชตอไปนี้จะยึด ตาม Edmonson et.al. (1989) มีหลักการใหคะแนนที่มีคะแนนเต็ม 5 แตในการใหคะแนนเรา สามารถเพ่ิมความละเอียดโดยการนับเปนทศนิยมดวย เชน แทนท่ีใหเปนคาคะแนน 2 หรือ 3 แต กวางควรมีคาคะแนนระหวางกลางหรือสูงกวา คาที่เราใหจึงควรเปนคะแนน 2.5 หรือ 2.6 เปนตน หลักเกณฑความสมบูรณ คะแนนรางกายเฉล่ีย 1 คะแนน เปนกวางที่ผอมมากและไมอยูในสภาพท่ี จะใหผลผลิตได รวมถึงไมมศี กั ยภาพในการสืบพันธุ กวางคะแนนรางกายเฉลี่ย 2 คะแนน เปนกวาง ท่ีผอมและใหผลผลติ ไดนอย รวมถงึ ผสมตดิ ยาก กวางคะแนนรางกายเฉลี่ย 3 คะแนน เปนกวางทสี่ ม บูรณและผสมติดดี กวางคะแนนรางกายเฉล่ีย 4 คะแนน เปนกวางที่อวนและกวางจะเปลี่ยน สารอาหารไปเปนอาหาสะสมในรางกาย กวางคะแนนรางกายเฉลี่ย 5 คะแนน เปนกวางที่อวนมาก เสมอื นโคขนุ โอกาสเปนหมันและคลอดอยากสงู ภำพที่ 17 การใหค้ ะแนนร่างกายกวาง ทมี่ ำ: www.deernz.org

79 งำนวิจัยท่ีเกีย่ วขอ้ ง กิตติพงษ์ และคณะ ได้ออกแบบและสร้างเครื่องบดอัดเม็ดอาหารสัตว์ ที่สามารถช่วยลด ต้นทุนจากการซ้ืออาหารสาเร็จรูปจากท้องตลาด เพ่ือให้การผลิตอาหารสัตว์อัดเม็ดมีต้นทุนท่ีลดลง เคร่ืองบดอัดเม็ดอาหารสัตว์ มีส่วนประกอบที่สาคัญคือ ลูกกล้ิงบดอัด แม่พิมพ์ ช่องระบายวัตถุดิบ อาหารสัตว์ แผ่นเหว่ียงอาหาร ใบมีดตัด ชุดควบคุมทางไฟฟ้า เกียร์ทดรอบขนาดอัตราทด 1:20 ใช้ มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 1500 วัตต์ (2 แรงม้า) เป็นต้นกาลัง จากผลการทดสอบเคร่ืองบดอัดเม็ดอาหาร สัตว์ พบวา่ ประสทิ ธิภาพในการบดอัดเม็ดอาหาร สัตว์ที่เหมาะสม คือ ความเร็วรอบการอัด 72.5 rpm การอัดแบบ 4 ลูกกล้งิ อัตราสว่ นผสมวตั ถุดบิ และน้า 10:4 กโิ ลกรัม /ลิตร (ความชื้น 59 %) สามารถ บดอัดเม็ดได้ 102 กิโลกรัม/ช่ัวโมง ขนาดอาหารท่ีได้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 mm ความยาว 8 mm จากการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ระยะเวลาคืนทุนของการใช้เคร่ืองบดอัดเม็ดอาหารสัตว์ เทา่ กบั 306 วนั กฤติยา และคณะ ได้ออกแบบและสร้างเครอื่ งผสมอาหารสัตว์ โดยศกึ ษาการกระจายตัวของ แกลบดากับลูกปัดซ่ึงทาการทดลองระหว่างเกลียวผสมอาหารสัตว์ 2 ชนิด ท่ีแตกต่างกันซ่ึงจะเก็บ ตวั อยา่ งของการผสมของเกลยี วผสมชนดิ ละ 2 ครั้ง คือการหมนุ ขา้ งซ้ายและการหมนุ ขา้ งขวา โดยเก็บ ตัวอย่างท้ังหมด 12 จุด จากการนากระป๋องเก็บตัวอย่างตักในแต่ละจุด ในชว่ งระยะเวลาห่างกนั ทุกๆ 30 วินาที เครื่องผสมอาหารสัตว์ท่ีสร้างข้ึนมีขนาด 900x1590x1500 mm. ซ่ึงสามารถผสมอาหารได้ สูงถึง 300 kg. ต่อ 1 คร้ัง เคร่ืองผสมอาหารสัตว์มีส่วนประกอบที่สาคัญคือ ถังผสม ใบกวนปล่อง ระบายวัตถุดิบอาหารสัตว์ ชุดควบคุมทางไฟฟ้า ชุดส่งกาลังอัตราทดใช้มอเตอรข์ นาด 3hp.3 phase. เป็นต้นกาลัง โดยใช้ชุดควบคุมไฟฟ้าซ่ึงสามารถกลับทางหมุนได้ควบคุมการทางานของเคร่ืองผสม อาหารสัตว์จากการทดสอบพบว่า เครื่องผสมอาหารสัตว์ สามารถทางานได้ตามขอบเขตท่ีวางไว้โดย ผลของการทดลองสามารถสรุปไดว้ ่าค่า C.V ท่ีดีที่สุดท่ีน้อยกว่า 20 % ได้จากการทดสอบของเกลียว ผสมแบบที่ 2 ไดค้ า่ สมั ประสทิ ธ์กิ ารกระจายเทา่ กบั 19.28 % ที่เวลา 180 s. ณฐั ชนก และปฐมา ได้ศกึ ษาผลของอณุ หภูมิอัดเม็ดตอ่ ความแข็งของเม็ดอาหารและการยอ่ ย ได้ของแป้งในข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสาปะหลังเส้น ณ สภาวะความช้ืนเฉล่ีย 30 % โดยมีอุณหภูมิ อัดเม็ดที่ 70 ซ , 80 ซ และ 90 ซ ต่อคณุ สมบตั ิทางกายภาพและการใช้ประโยชน์ได้ของแป้งในวตั ถุดิบ อาหารสัตว์ ด้วยแผนการทดลองเป็นแบบสุ่มตลอด 3 ซ้า ในแต่ละชุดการผลติ ปัจจยั หลักคืออุณหภูมิ และชนิดวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า อุณหภูมิและชนิดของวัตถุดิบมีปฏิสัมพันธ์ต่อ ความแข็งของเมด็ อาหาร โดยความแขง็ ของเม็ดอาหารท่ีขน้ึ รูปจากข้าวโพดมีค่าเพม่ิ ขนึ้ จาก 99.8 เป็น 174.5 กโิ ลกรัมแรงกด (P<0.05) และ 153.3 เปน็ 178.0 กิโลกรมั แรงกด (P<0.05) ในเม็ดอาหารขึ้น รูปจากมันสาปะหลังเส้น เม่อื อุณหภมู ิการคลกุ ไอน้าและอัดเมด็ สูงขึ้นจาก 70 ซ เป็น 90 ซ และความ แข็งของเม็ดอาหารท่ีผลิตจากมันสาปะหลังเส้นมีค่าสูงกว่าที่ผลิตจากข้าวโพด (P<0.05) นอกจากน้ี

80 อุณหภูมิเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อระดับการเจลาติไนซ์ โดยเม่ืออุณหภูมิอัดเม็ดสูงข้ึนจาก 70 ซ เป็น 90 ซ ระดับการเจลาตไิ นซ์มคี า่ เพ่มิ ขึน้ (P<0.05) จาก 34.99 % เปน็ 73.05 % ในเม็ดอาหารที่ข้นึ รูป จากขา้ วโพดและเพิม่ ขึ้นจาก 19.93 % เป็น 77.74 % ในเมด็ อาหารทีข่ ึ้นรูปจากมันสาปะหลงั เส้นและ ระดับการรีโทรแกรเดชั่นเพิ่มข้ึน (P<0.05) เม่ืออุณหภูมิการคลุกไอน้าเพ่ิมข้ึนจาก 80 ซ เป็น 90 ซ โดยเม็ดอาหารที่ขึ้นรูปด้วยข้าวโพดมีระดับของการรีโทรเกรเดช่ันเป็น 4.03 % และ 8.66 % ตามลาดบั และสาหรับเม็ดอาหารท่ีข้ึนรปู ด้วยมันสาปะหลังเสน้ มีระดบั การรโี ทรเกรเดชั่นเป็น 3.21 % และ 3.98 % ตามลาดับ นอกจากน้แี ป้งที่ต้านทานการย่อยให้ผลไปในทิศทาง เดยี วกับระดับการรีโทร เกรเดช่ัน เมอื่ อุณหภูมิอดั เมด็ สงู ขึ้น โดยเมด็ อาหารท่ีขึ้นรปู จากขา้ วโพดมีระดับของแปง้ ทต่ี ้านทานการ ยอ่ ยที่ 0.46 %, 0.74 %, 0.97 % และ 0.36 %, 0.42 %, 0.56 % สาหรับเม็ดอาหารท่ขี ้ึนรูปจากมัน สาปะหลังเส้น การวิจัยเพื่อเพ่ิมมูลคาผลิตภัณฑของฟารมกวางมหาวิทยาลัยรามคาแหง ดาเนินการวิจัยที่ ฟารมกวาง มหาวิทยาลัยรามคาแหง สถาบันวิจัยสัตวในภูมิภาคเขตรอน มหาวิทยาลัยรามคาแหง จงั หวัดสุโขทัย ตัง้ แต พ.ศ. 2554 - 2556 ทดลองกับกวาง 3 ชนิด คือ กวางซิกา กวางรูซา และกวาง แดง ศึกษาการจัดการดานอาหารกวางเพ่ือเพ่ิมผลผลิตที่ไดจากกวาง โดยการทดลองใหกวางกิน อาหารผสม TMR (Total Mixed Ration) 4 สูตร ซึ่งมีสัดสวนระหวาง อาหารขนและอาหารหยาบ แตกตางกัน โดยใชการเจริญเติบโตของกวาง การเจริญของเขากวางออน และระดับฮอรโมน Testosterone และ IGF-1 ในเขากวางออนเปนตัวช้ีวัด จากการทดลอง พบวา อาหารผสมสูตรท่ี 3 ซึ่งมีขาวโพด มากกวาสูตรอ่ืนๆ มีคารโบไฮเดรตและโปรตีนมากที่สุด เปนสูตรที่กวางซิกาและกวาง แดงท้ังเพศผูและเพศเมียกิน มากกวาสูตรอืน่ ๆ สวนอาหารผสมสตู รท่ี 4 ซึ่งมีใบกระถินแหงมากกวา สตู รอืน่ พบมีไขมันมากและเปนสตู รที่กวางรูซา ทั้งเพศผูและเพศเมียกินมากกวาสูตรอนื่ ในกวางท้ัง 3 ชนิดหลงั กินอาหารผสมสตู รที่ 1 ซ่ึงมีกากถ่วั มากกวาสูตรอื่นๆ มีแนวโนมมีน้าหนกั ความยาว และเส้น รอบวงกลางเขากวางออนยาวกวาเขากวางออนของกวางที่กินอาหารผสมสูตรอื่น อยางไรก็ตาม เขา กวางออนขนาดใหญไมไดเปนสัดสวนโดยตรงกบั ปริมาณฮอรโมนในเขากวางออนบดเพราะ ปริมาณ ฮอรโมน Testosterone และ IGF-1 ในเขากวางออนบดของกวางท่ีกินอาหารผสมสูตรที่ 2 ซ่ึงเป็น สตู รท่ีมีอาหารเม็ดมากที่สุด มปี ริมาณสูงกวาฮอรโมนในเขากวางออนของกวางท่ีกินอาหารผสมสูตร อื่นๆ เปนไปไดวา สวนประกอบในอาหารเม็ดมีสวนทาใหการสรางฮอรโมนมากกวาสวนผสมอืน่ ของ อาหารผสม TMR ฉะนั้น การจะทาใหคณุ ภาพเขากวางออนดีเยย่ี มทั้งขนาดและปริมาณฮอรโมน การ วางแผนโปรแกรมการใหอาหารแกกวางตองกระทาภายใตความเหมาะสม ธันยพร และวิโรจน์ (2557) ศึกษารูปแบบและลักษณะการดาเนินธุรกิจการเพาะเล้ียงกวาง ระบบ การดาเนินงานของธรุ กจิ สภาวะตลาดและแนวโนม้ การแขง่ ขันของธุรกจิ และปัจจัยที่ส่งผลต่อ ความสาเร็จของธุรกิจ ใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการฟาร์มกวาง ประธานสหกรณ์กวางฯ และ

81 ผู้บริโภค ใช้วิธีการสัมภาษณ์ และการสังเกตจากผลการศึกษา พบว่าลักษณะฟาร์มเป็นแบบขังคอก รูปแบบธุรกิจเปน็ แบบเจ้าของคนเดียว มีการหาความรู้ก่อนการเลี้ยงกวางจากส่ือต่างๆ ใช้เงินลงทุน 300,000-500,000 บาท วัสดุที่จาเป็นในฟาร์ม คือร้ัว และโรงจัดการ พันธ์ุกวางท่ีเลี้ยงคือพันธ์ุรูซ่า การผสมพันธุ์ไม่นิยมผสมพันธ์ุในหมู่สายเลือดเดียวกัน โรคท่ีพบส่วน ใหญ่คือโรคพยาธิ ผลผลิตของ กวางได้แก่ เนื้อ เขาและพันธุ์กวาง ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการจาหน่ายผ่านการแปรรูปจากสหกรณ์ กวางฯ เท่านนั้ ในอนาคตการเปิดตลาด AEC อาจเป็นคู่แขง่ ท่ีสาคัญ ดว้ ยปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ จึง ส่งผลใหผ้ ลิตภัณฑ์ถกู จากัดในเฉพาะบางกลุ่มผู้บรโิ ภค อกี ทง้ั ทัศนคตขิ องคนท่วั ไปในสงั คมมองวา่ กวาง ไม่ควรนามาบริโภค การเลี้ยงกวางบางสายพันธุ์มีข้อจากัดด้านกฎหมาย เทคโนโลยีที่ใช้คือการนา ความรู้มาพัฒนาสายพันธ์ุกวางให้มีคุณภาพ มีการจัดทาบัญชีอย่างเป็นระบบ และวางแผนจานวน กวางภายในฟารม์ การบรหิ ารเน้นเร่อื งคณุ ภาพและมาตรฐานของฟาร์ม ผปู้ ระกอบการมกี ารเรยี นรู้อยู่ ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นจากหน่วยงานต่างๆ หรอื จากเพอ่ื นสมาชกิ