มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 136 พลธรรม 4 หมายถึง หลักธรรม 4 ประการ ท่ีเป็นกำลังในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จด้วยความม่นั ใจ และปลอดภยั มีดังน้ี (สุวรรณภมู ิ นามธรรม. 2546 - นายนอ้ ม อม้ั กลุ . 2546) 1. ปัญญาพละ หมายถึง ปัญญาท่ีเป็นกำลังให้รู้ดี รู้ชอบ รู้ถูกต้องแล้วปฏิบัติตนในทางท่ีถูกที่ควรทั้งกาย และใจเพื่อจะได้อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมอย่างมีความสุข คนทุกคนมีปัญญาแต่ไม่เท่ากัน คนท่ีมีปัญญาดีอาจจะมี โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตได้มากกว่า ส่วนคนท่ีมีความรู้หรือปัญญาไม่ดีสะสมเพิ่มพูนได้เพราะ ปญั ญาเกดิ ขึน้ โดย 3 ทาง คอื 1.1 ปัญญาที่เกิดจากการศกึ ษาเลา่ เรยี น คอื ได้รบั การถ่ายทอดจากผู้อนื่ โดยการฟังการอ่าน 1.2 ปัญญาที่เกิดจากการพิจารณาหาเหตุผลด้วยตนเองตามพ้ืนฐานพันธุกรรม เช่น ฟังเร่ือง การปลูก ฟักทองวา่ จะได้ผลอกี 65 วนั แลว้ นำมาศึกษาไตร่ตรองทดลองใหม่ ไดฟ้ กั ทองที่ใหผ้ ลในเวลา 45 วนั เปน็ ตน้ 1.2 ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติ ฝึกอบรมและสร้างสมประสบการณ์ด้วยตนเอง เช่น ช่างถ่ายรูปต้อง เรยี นรทู้ ฤษฎเี ก่ยี วกับกล้องถา่ ยรปู กอ่ นแลว้ มาฝึกการถ่ายรูปจนเกิดความชำนาญทำเป็นอาชพี ได้ 2. วิริยะพละ หมายถึง ความเพียรพยายามที่เป็นพลังในการทำให้คนเราไปสู่จุดมุ่งหมายท่ีต้องการโดย ความเพียรน้นั ต้องเปน็ ความเพยี รชอบคือ 2.1 เพียรพยายามไม่ให้เกิดความชั่ว ไมท่ ำชั่วดูแลคนใกล้ชิดให้อบอุ่น ปูองกันให้ห่างไกลจาก การคิดชั่ว ทำช่ัว เช่น ดูแลบุตรหลานไม่ใหต้ ิดยาเสพติด 2.2 เพยี รพยายามละความชว่ั ที่มอี ยแู่ ลว้ เชน่ ติดบุหรี่อยกู่ เ็ ลิกเสยี 2.3 เพียรสร้างความดี โดยการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี มีการเสียสละและช่วยเหลือส่วนรวม เช่น การ บริจาคโลหิต 2.4 เพียรรักษาความดีและสร้างความดีเพ่ิมขึ้น คนเราเมือ่ มีปญั ญากจ็ ะรู้จักคิด หาเหตุผล รู้ปฏิบัติ แต่ก็ ไม่ได้ประสบผลสำเร็จไปทุกอย่าง บางทีก็มีอุปสรรคเราจึงต้องมีความเพียรมีความบากบ่ันไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเรา จงึ จะไปถงึ จุดมงุ่ หมายท่ีตง้ั ไว้ 3. อนวัชชพล หมายถึง การกระทำท่ีไม่มีโทษเป็นกำลัง คือ ทำในส่ิงท่ีดีที่เป็นมงคลผู้กระทำจะเกิดความ เจริญกา้ วหน้า การกระทำท่ีกลา่ วนมี้ ี 3 ทาง คอื 3.1 กายกรรม คือ การกระทำทางกาย เช่น การยนื การเล่น การสง่ั สอน 3.2 วจกี รรม คอื การกระทำทางวาจาทีเ่ ป็นคำพูด เชน่ การพดู คุย 3.3 มโนกรรม คือ การกระทำทางใจ เช่น การนึกคิด การมีจิตเมตตา หลักเกณฑ์การพิจารณาว่าการ กระทำใดเป็น อนวชั ชพล 1) ไมผ่ ิดกฎหมาย เช่น ฆา่ คน ค้ายาเสพตดิ 2) ไม่ผดิ จารีตประเพณี เชน่ การที่หญงิ สาวบรรลนุ ติ ภิ าวะ หนตี ามผู้ชาย 3) ไม่ผิดศีล เช่น พดู เทจ็ ด่ืมนำ้ เมา 4) ไม่ผิดธรรม เช่น การโกรธ การคิดอิจฉาริษยา การกระทำทางกาย วาจาและใจท่ีไม่มีโทษย่อมได้รับ การยกย่องชน่ื ชมจากผู้อ่นื และยงั เปน็ พลงั ให้ผ้กู ระทำดำเนนิ ชีวติ ได้อย่างม่นั คงและปลอดภัย 4. สังคหพละ หมายถงึ การสงเคราะห์เปน็ กำลงั เพราะคนเม่อื อยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม กค็ วรจะช่วยเหลอื เกือ้ กูล กนั เพ่ือสร้างความรักความสามัคคี ในทางพระพุทธศาสนามีหลักธรรมในการสงเคราะห์ผู้อื่น เรียกว่า สังคหวัตถุ 4 ได้แก่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 137 4.1 ทาน คือ การให้โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนให้กับผู้ที่ต้องการผู้ท่ีเดือดร้อน ขาดแคลนหรือผู้มี พระคุณ การให้อาจเป็นวัตถุสิ่งของคำแนะนำหรือข้อคดิ ของที่ให้ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ผู้ให้มีความสุข ผ้รู ับกพ็ อใจ 4.2 ปิยวาจา คือ การใช้วาจาทส่ี ภุ าพ ประกอบด้วย เหตุผลทม่ี ีประโยชน์ฟังแลว้ สร้างสรรค์ใชค้ ำพูดท่ีไพเราะ ออ่ นหวาน ไมใ่ ช้คำหยาบ ไม่นนิ ทาผูอ้ ่นื ผู้ท่ีมีปิยวาจาจะเป็นที่รักของผู้อน่ื 4.3 อัตถจรยิ า คือ การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่ืนตามโอกาสอันควรในฐานะที่ต้องอยู่ร่วมสังคมกัน เช่น บริจาคของช่วยเหลอื ผู้ประสบภยั นำ้ ทว่ ม 4.4 สมานัตตตา คือ ความเสมอต้นเสมอปลาย ในการวางตนให้เหมาะสมกับสถานะของตนไม่หว่ันไหว ตกอยู่ในความชั่วท้ังหลาย เช่น การทำตนเป็นลูกท่ีดีของพ่อแม่ทุก ๆ วัน ไม่ใช่ทำตนดีเฉพาะวันพ่อหรือวันแม่ เท่านน้ั พละ 4 นี้เป็นธรรมที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติดำเนินชีวิตด้วยความม่ันใจและปลอดภัยแล้วยังส่งเสริมให้เกิด ความสงบสขุ ดว้ ยการอยู่ร่วมกนั อยา่ งสามัคคี เอ้ือเฟอ้ื เผอ่ื แผช่ ่วยเหลือเกอ้ื กูลกนั อธิษฐานธรรม 4 ธรรมเป็นท่ีม่ัน ธรรมเป็นรากฐานท่ีมั่นคงของบุคคล ธรรมควรใช้เป็นที่ประดิษฐานตนเพ่ือให้มีความสามารถ ยึดเอาเหตุผลเพอื่ ให้สำเร็จขั้นสูงสุด ตามท่ตี นได้ตั้งจุดหวงั ไว้ โดยไม่ใหม้ ีการเขา้ ขา้ งตนเองเพอื่ หลีกเวน้ สิง่ ท่ผี ิด สงิ่ ท่ี เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ ความมวั หมองท่ีจะนำมาทับถมตน ธรรมควรจะเอาไวใ้ นใจให้เปน็ สถานทม่ี ่งั คงโดยปฏบิ ตั ิดังตอ่ ไปนี้ 1. ปญั ญา ควรรู้ให้ชดั แจ้งในเหตุผลใหพ้ จิ ารณาใหเ้ ขา้ ใจในสภาวะของส่ิงทั้งหลายจนกว่ารคู้ วามเปน็ จรงิ 2. สัจจะ แปลว่า ดำรงม่ันคงอยู่ในความเป็นจริงท่ีรู้แจ้งด้วยปัญญาเร่ิมจากความเป็นจริงด้านวาจาจนถึง ปรมัตถสจั จะ 3. จาคะ ความสละหรือการละเสีย คือ การละจากสิ่งท่ีตนเคยชินที่ตนยึดมั่นไว้และส่ิงทั้งหลายที่เป็นการผิด จากความเป็นจรงิ ให้ละวางให้ได้ อันนีเ้ รม่ิ ต้นจากอมสิ าอาชีพละไปจนถึงการสละอาชีพ 4. อุปสมะ คือ ความสงบ คอื การระงับโทสะ ระงับความวุ่นวายอันเกิดจากกิเลสท้ังหลายแล้วทำจิตใจให้ สะอาดสงบ 7. การครองคน การครองคน หมายถึง การมีความสามารถในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น สามารถจูงใจให้เกิดการยอมรับและ ใหค้ วามรว่ มมอื การสร้างความสมั พนั ธใ์ นองคก์ ร การท่ีมนุษยจ์ ะอยู่ร่วมกันเพ่ือดำเนินกิจกรรมอันมีเป้าหมายเดยี วกัน หรือแตกต่างกันเป็นจำเพาะของกลุ่ม ในการอยู่ร่วมกันจะต้องมีการประสานสัมพันธ์ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบและส่วนท่ีเกี่ยวข้อง ในด้านส่วนตัว ซึ่งท้ังสองลักษณะนี้ถือว่าจะต้องเป็นความสัมพันธ์ท้ังส้ิน ทั้งระหว่างบุคคลต่อบุคคลและบุคคลต่อ องค์การ เช่น การสร้างความสมั พันธ์ต่อผู้บรหิ าร เพ่ือนรว่ มงานให้ความชว่ ยเหลอื บุคคลในองค์กร ในการทำงานให้ คำปรึกษาและยอมรับฟังความคิดเห็นจากข้อแนะนำต่าง ๆ ยอมรับในส่ิงท่ีตนได้กระทำ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อ บุคคลในองค์กรและนอกองค์กร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 138 การสร้างงานจากการทำงานเป็นทมี การทำงานเป็นทีม เป็นประเภทหนึ่งของการทำงานกลุ่ม (Group Work) ทีมงานทุกทีมงานจัดเป็นกลุ่มทำงาน แต่กลุ่มทีมงานทุกกลุ่มอาจจะไม่เป็นทีมงานเสมอไป เนื่องจากจากทำงานเป็นกลุ่มน้ันเป็นการทำงานของบุคคล ต้ังแต่ 2 คนขึ้นไป เพ่ือการทำงานที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและมีเป้าหมายร่วมกัน มีลักษณะการทำงานหลายแบบ มีการทำงานที่ประสานกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายท่ีร่วมกันตั้งไว้ ให้ความร่วมมือในการทำงานทุก ๆ กิจกรรม ในองค์กร ลงมือปฏิบัติงานอย่างเต็มใจจนงานท่ีได้ทำลุล่วงและประสบความสำเรจ็ ตามวัตถุประสงค์หรอื เป้าหมาย ทีต่ ้งั ไว้ให้เกรยี ตซิ ่ึงกนั และกัน เหน็ ความสำคญั ในการปฏบิ ตั งิ านทกุ งาน การสรา้ งความสมั พนั ธท์ ดี่ ีแกผ่ รู้ ับบริการ ความสัมพันธ์ของผู้รับบรกิ ารและผู้มีส่วนไดส้ ่วนเสีย เป็นพื้นฐานท่ีสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดภาพลักษณ์ ท่ีดีต่อการให้บริการของส่วนราชการ และนำไปสู่การพัฒนาให้เกิดความไว้วางใจและความพึงพอใจในการ ให้บริการในท่ีสุด การจัดการความสัมพันธ์จำเป็นต้องมีพ้ืนฐานในเรื่องของสารสนเทศเก่ียวกับผู้รับบริการและผู้มี ส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งความต้องการ ความคาดหวัง ความนิยมชมชอบ ตลอดจนต้องมีการเรียนรู้พฤติกรรมการมาใช้ บริการ ความชอบ/ไม่ชอบในการมาใช้บริการ การอำนวยความสะดวกที่ถูกใจ/ไม่ถูกใจ โดยต้องมีการดำเนินการ ในการส่อื สารและ ปฏิสัมพันธ์กบั ผู้รับบริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ ความผูกพันในระยะยาวและ นำไปสกู่ ารเกดิ ภาพลักษณ์ท่ีดี 8. การครองงาน การครองงาน หมายถึง หลกั ธรรมข้อปฏิบัตใิ ห้ถึงความสำเร็จความเจรญิ ก้าวหน้าและความม่ันคงในหน้าท่ี กิจการงานโดยชอบในการประกอบสัมมาอาชีวะซึ่งย่อมยังผลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงความเจริญก้าวหน้าและ ความสุข ในชีวิตงาน 1. ความรับผดิ ชอบตอ่ หนา้ ที่ 1.1 ศกึ ษา คน้ คว้าหาความรู้ท่ีจำเป็นตอ้ งใชใ้ นการปฏบิ ัตงิ านอยู่เสมอ 1.2 มีความตงั้ ใจปฏิบัติงานใหไ้ ด้รับความสำเรจ็ 1.3 สนใจและเอาใจใสง่ านทรี่ บั ผิดชอบ 1.4 ปฏิบัตงิ านในหน้าทค่ี วามรับผิดชอบและท่ีได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ 1.5 ใหค้ วามร่วมมือและชว่ ยเหลอื ในการปฏิบัตงิ าน 2. มคี วามรู้ ความสามารถและความพึงพอใจในการปฏบิ ตั งิ าน 2.1 มีความรู้และเขา้ ใจหลักเกณฑ์ วธิ ีการ ระเบียบ กฎ ข้อบงั คับ มติ กฎหมายและนโยบาย 2.2 มคี วามสามารถในการนำความรูท้ ่ีมอี ยูไ่ ปใชใ้ นการปฏบิ ัติงานไดเ้ ปน็ อย่างดี 2.3 มคี วามสามารถในการแกป้ ญั หา และมปี ฏภิ าณ ไหวพริบในการปฏบิ ัตงิ าน 2.4 รกั และชอบทีจ่ ะปฏิบตั งิ านในหนา้ ท่คี วามรบั ผิดชอบหรอื งานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเตม็ ใจ 3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และปรบั ปรงุ งาน 3.1 มคี วามสามารถในการคิดริเรม่ิ หาหลกั การ แนวทาง วิธกี ารใหม่ ๆ มาใช้ประโยชน์ในการปฏบิ ตั ิงาน 3.2 มคี วามสามารถในการปรบั ปรุงงานใหม้ ีประสทิ ธภิ าพย่ิงขนึ้ 3.3 มคี วามสามารถในการทำงานทย่ี าก หรืองานใหมใ่ ห้สำเร็จเปน็ ผลดี
139 4. ความพากเพียรในการทำงาน และมผี ลงานที่เปน็ ทนี่ ่าพอใจ 4.1 มีความกระตือรือรน้ ตอ้ งการท่ีจะปฏิบัตงิ านทไ่ี ด้รับมอบหมายจนสำเร็จ 4.2 มีความขยันหม่นั เพียร เสยี สละและอุทิศเวลาท่ใี หแ้ ก่ราชการหรืองานทรี่ ับผดิ ชอบ 4.3 ได้รบั การยกยอ่ งในความสำเรจ็ ของงาน 4.4 สามารถปฏิบัติงานในภาวะที่มีข้อจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ขาดแคลนวัสดุ อุปกรณ์หรือ อตั รากำลงั เปน็ ต้น 5. การคำนึงถึงประโยชนข์ องสว่ นรวมและประชาชน 5.1 การปฏิบตั งิ านยดึ หลกั ผลประโยชนข์ องส่วนรวมและประชาชน 5.2 การดำเนนิ งานสอดคล้องหรอื เปน็ ไปตามความต้องการของส่วนรวมและประชาชน 5.3 ใช้วัสดุ อุปกรณ์ และสาธารณปู โภคไดอ้ ยา่ งประหยดั และเหมาะสม 5.4 ร่วมมือ ชว่ ยเหลือและประสานงานระหว่างราชการกับประชาชน 9. การสรา้ งความศรัทธาและเจตคตทิ ่ีดตี ่อวิชาชีพครู ความรักและเชื่อม่ันในอาชีพของตนย่อมทำให้ทำงานอย่างมีความสุขและมุ่งมั่น อันจะส่งผลให้อาชีพน้ัน เจริญร่งุ เรอื งและมั่นคงดังนน้ั ครูย่อมรกั และศรทั ธาในอาชีพครู และเป็นสมาชิกท่ีดีขององคก์ รรวชิ าชีพครูด้วยความ เตม็ ใจ ผู้ประกอบาอาชีพครูตอ้ งมีคณุ ลักษณะและคณุ สมบัตทิ ี่สำคญั หลายประการ ผู้ประกอบอาชพี ครคู วรมีเจตคติ ท่ีดีต่อคุณลักษณะและคุณสมบตั ิท่ีสำคัญ ๆ น้ันๆ ด้วย จึงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานก่อให้เกิดผลดีต่อ สงั คมและประเทศชาติ เจตคตทิ ี่ดีต่อคณุ ลักษณะและคุณสมบัติของอาชีพครซู ึ่งแบ่งออกเป็น 4 ข้อ ดงั น้ี 1) หลักการ หมายถึง แนวทาง ข้อตกลง หรือกฎการปฏิบัตสิ ำหรับทำงานต่าง ๆ เพอื่ ใหเ้ กิดผลดีและบรรลุ เป้าหมาย ทั้งนี้ อาจกำหนดข้ึนมาสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ หรือทฤษฎีที่มมี าก่อน หรอื มติของสังคม หรือผ้มู ีอิทธิพล อันเป็นท่ียอมรับ หลักการที่ดีจะต้องมีการกำหนดข้ึน เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างรัดกุม แน่นอน สามารถปฏิบัติได้ มคี วามเที่ยงตรงและสอดคล้องกับสภาวะทางสงั คม 2) คำอธิบาย หมายถงึ การทำให้บคุ คลอ่ืนเขา้ ใจความจริง ความสัมพันธ์หรือปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ทง้ั ท่ีเป็น ปรากฏการณท์ างสังคม และปรากฏการณท์ างธรรมชาติ 3) พฤติกรรมสำคัญ หมายถึง กริยาอาการที่แสดงออกหรือปฏิกิริยาโต้ตอบเม่ือเผชิญกับสิ่งเร้า (Stimulus) หรือสถานการณ์ต่าง ๆ อาการแสดงออกต่าง ๆ เหล่านั้น อาจเป็นการเคลื่อนไหวที่สังเกตได้หรือวัดได้ เชน่ การเดนิ การพูด การเขียน การคิด การเต้นของหวั ใจ เป็นตน้ ส่วนสิ่งเร้าทม่ี ากระทบแลว้ ก่อให้เกิดพฤติกรรมก็ อาจจะเป็นสง่ิ เร้าภายใน (Internal Stimulus) และสง่ิ เรา้ ภายนอก (External Stimulus) 4) เจตคติท่ีดีต่อของครูท่ีมีต่อวิชาชีพครู หมายถึง เจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครูมีความสำคัญบุคคลที่เป็นครู และผู้ศึกษาวิชาชีพครูเพื่อจะไปเป็นครูในอนาคต เพราะเม่ือบุคคลเกิดเจตคติที่ดีต่องานของตนหรือพอใจในงานที่ ตนทำอยู่ ย่อมทำให้ทำงานอย่างมีความสุข และมีความตั้งใจในการทำงานอย่างดีที่สุด ดังน้ัน จึงอาจกล่าวได้ว่า เจตคติที่ดีวชิ าชีพครูมีความสำคัญมากดจุ เดยี วกันกับโครงเหล็กภายในทีช่ ว่ ยยึดอาคารให้มัน่ คงแข็งแรง มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 140 ความศรทั ธาในวชิ าชพี ครู หลักการ ความรักและเชื่อมั่นในอาชีพของตนย่อมทำให้ทำงานอย่างมีความสุขและมุ่งม่ัน อันจะส่งผลให้อาชีพน้ัน เจรญิ รงุ่ เรอื งและมนั่ คงดังนนั้ ครยู ่อมรกั และศรทั ธาในอาชีพครู และเป็นสมาชิกทด่ี ีขององคก์ รรวิชาชพี ครดู ้วยความ เต็มใจ คำอธิบาย ความรักและศรัทธาในวิชาชีพครูและเป็นสมาชิกท่ีดีขององค์กรวิชาชีพครู หมายถึง การแสดงออกด้วย ความชื่นชมและเช่ือมั่นในอาชีพครูด้วยตระหนักว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพท่ีมีเกียรติ มีความสำคัญและจำเป็นต่อสังคม ครูพึงปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจและภูมิใจรวมทั้งปกป้องเกรียติภูมิของอาชีพครู เข้าร่วมกิจกรรมและสนับสนุน องคก์ รวชิ าชีพครู พฤตกิ รรมสำคญั 1. เช่ือมั่น ชนื่ ชม ภูมใิ จในความเป็นครแู ละองค์กรวชิ าชีพครูวา่ มคี วามสำคัญและจำเป็นต่อสังคม ตัวอย่างเช่น 1) ชืน่ ชมในเกียรตแิ ละรางวัลท่ไี ดร้ บั และรักษาไวอ้ ย่างเสมอตน้ เสมอปลาย 2) ยกยอ่ งชมเชยเพ่ือนครทู ่ปี ระสบผลสำเร็จเกี่ยวกับการสอน 3) เผยแพรผ่ ลสำเร็จของตนเองและเพ่ือนครู 4) แสดงตนวา่ เปน็ ครูอย่างภาคภมู ิ ฯลฯ 2. เป็นสมาชิกองค์กรวชิ าชพี ครแู ละสนบั สนุนหรอื เข้าร่วมหรือเปน็ ผนู้ ำในกจิ กรรมพัฒนาวิชาชีพครู ตัวอยา่ งเชน่ 1) ปฏบิ ัตติ ามเง่ือนไขข้อกำหนดขององค์กร 2) ร่วมกิจกรรมทอ่ี งค์กรจดั ข้นึ 3) เป็นกรรมการหรอื คณะทำงานขององคก์ ร ฯลฯ 3. ปกปอ้ งเกยี รตภิ มู ขิ องครูและองค์กรวิชาชีพ ตัวอย่าง เช่น 1) เผยแพร่ประชมสมั พนั ธง์ านของครูและองคก์ รวชิ าชพี ครู 2) เมื่อมีผู้เข้าใจผดิ เกีย่ วกบั วงการวิชาชพี ครกู ็ช้แี จงทำความเข้าใจใหถ้ ูกต้อง ฯลฯ เจตคติของครทู ี่มีตอ่ วชิ าชีพครู แบง่ ออกเป็น 5 ด้าน 1) เจตคติท่ีดีต่อลักษณะอาชีพของครู ผู้ประกอบอาชีพครูต้องมคี วามเสียสละ มีเมตตากรณุ าและต้องมี ความอดทนอดกลั้นเปน็ อยา่ งยิ่ง ครคู วรมีความภมู ิใจในอาชีพของตน ไมค่ วรคิดวา่ ตำ่ ต้อยหรอื ด้อยเกยี รติในสังคม 2) เจตคติท่ีดีต่อลักษณะการเป็นครู ผู้ประกอบอาชีพครูควรเป็นผู้รอบรู้ทันสมัย ขยันขันแข็ง มีสุขภาพ สมบรู ณ์ แข็งแรง 3) เจตคติที่ดีต่อนักเรียน ผู้ประกอบอาชีพครูต้องมีความรู้สึกท่ีดีต่อเด็ก รักและเอ็นดูเด็ก ให้อภัยและ ช่วยเหลือเดก็ อยเู่ สมอ 4) เจตคตทิ ี่ดีตอ่ การเรียนการสอน ผู้ประกอบอาชีพครตู ้องมีความรู้สึกรักการสอน มีการเตรียมการสอนที่ดี มเี ทคนิคและมีวิธกี ารสอนท่ีหลากหลายให้นักเรยี นมคี วามรู้ และมีความเข้าใจในเน้ือหาวิชาอย่างกว้างขวางชัดเจน พรอ้ มทง้ั มกี ารปรับปรงุ การสอนอยเู่ สมอ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 141 5) เจตคติท่ีดีต่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานของครู อาชีพครูทุกอาชีพมีความเจริญก้าวหน้า ทั้งสิ้น ถ้าผู้ประกอบอาชพี มีความตั้งใจอย่างเต็มกำลังความสามารถและยังผลให้งานน้ันสำเรจ็ ลุล่วงไปด้วยดีอยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ 10. มาตรฐานวชิ าชีพครู มาตรฐานวิชาชพี ทางการศึกษา คือ ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณภาพทพี่ ึงประสงค์ในการประกอบ วิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องประพฤติปฏิบัติตามเพ่ือให้เกิดคุณภาพในการประกอบ วิชาชีพ สามารถสร้างความเชื่อม่ัน ศรัทธาให้แก่ผู้รับบริการจากวิชาชีพได้ว่าเป็นบริการท่ีมีคุณภาพ ตอบสังคมได้ ว่าการท่ีกฎหมายให้ความสำคัญกับวิชาชีพทางการศึกษา และกำหนดให้เป็นวิชาชีพควบคุม นั้น เนื่องจากเป็น วชิ าชีพทม่ี ีลักษณะเฉพาะ ต้องใช้ความรทู้ ักษะ และความเช่ียวชาญในการประกอบวิชาชพี ตามพระราชบัญญัติสภา ครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2546 มาตรา 49 กำหนดให้มมี าตรฐานวชิ าชพี 3 ด้าน ประกอบด้วย 1) มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ หมายถึง ข้อกำหนดสำหรับผู้ท่ีจะเข้ามาประกอบวิชาชีพ จะต้องมีความรู้และมีประสบการณ์วิชาชีพเพียงพอที่จะประกอบวิชาชีพ จึงจะสามารถขอรับใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพเพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์พร้อมที่จะประกอบ วชิ าชพี ทางการศึกษาได้ มาตรฐานที่ 1 ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเก่ียวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่เสมอ หมายถึง การศึกษา ค้นคว้าเพื่อพัฒนาตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการท่ีองค์การหรือ หน่วยงาน หรือสมาคมจัดข้ึน เช่น การประชุม การอบรม การสัมมนา และการประชุมปฏิบัติการ เป็นต้น ท้ังน้ี ตอ้ งมีผลงานหรอื รายงานท่ปี รากฏชัดเจน มาตรฐานที่ 2 ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลท่ีจะเกิดกับผู้เรียน หมายถึง การเลือก อย่างชาญฉลาดด้วยความรกั และหวังดีต่อผู้เรียน ดังนั้น ในการเลือกกิจกรรมการเรียนการสอนและกิจกรรมอื่น ๆ ครตู อ้ งคำนึงถึงประโยชน์ทจี่ ะเกดิ แกผ่ ้เู รียนเปน็ หลัก มาตรฐานที่ 3 มุ่งม่ันพัฒนาผู้เรียน หมายถึง การใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของครูท่ีจะให้ ผู้เรียนเกดิ การเรียนรใู้ ห้มากที่สุด ตามความถนดั ความสนใจ ความต้องการ โดยวิเคราะห์ วินิจฉัยปัญหาความต้องการ ที่แท้จริงของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนที่จะให้ได้ผลดีกว่าเดิม รวมท้ังการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตาม ศักยภาพของผเู้ รียนแต่ละคนอย่างเป็นระบบ มาตรฐานท่ี 4 พัฒนาแผนการสอนใหส้ ามารถปฏิบัตไิ ดเ้ กิดผลจรงิ หมายถึง การเลือกใช้ ปรบั ปรุง หรือ สร้างแผนการสอน บันทึกการสอน หรือเตรียมการสอนในลักษณะอ่ืน ๆ ที่สามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียน การสอนให้ผู้เรียนบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ของการเรยี น มาตรฐานที่ 5 พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ หมายถึง การประดิษฐ์คิดค้น ผลิต เลือกใช้ปรับปรงุ เครื่องมืออุปกรณ์ เอกสารสิ่งพิมพ์ เทคนิควิธีการต่าง ๆ เพ่ือให้ผเู้ รียนบรรลุ จุดประสงค์ของ การเรียนรู้ มาตรฐานท่ี 6 จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยเน้นผลถาวรท่ีเกิดแก่ผู้เรยี น การจดั การเรียนการสอน โดยเน้นผลถาวร หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการแสวงหาความรู้ตาม สภาพความแตกต่างของบุคคล ด้วยการปฏิบัติจริง และสรุปความรู้ทั้งหลายได้ด้วยตนเอง ก่อให้เกิดค่านิยมและ นิสยั ในการปฏบิ ตั ิจนเปน็ บุคลิกภาพถาวรตดิ ตัวผเู้ รียนตลอดไป
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 142 มาตรฐานที่ 7 รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ หมายถึง การรายงานผลการ พัฒนาผู้เรียนที่เกิดจากการปฏิบัติการเรียนการสอนให้ครอบคลุมสาเหตุ ปัจจัยและการดำเนินงานท่ีเก่ียวข้อง โดยครนู ำเสนอรายงานการปฏบิ ตั ใิ นรายละเอยี ด ดงั น้ี 1) ปัญหาความต้องการของผู้เรียนทต่ี ้องการไดร้ ับการพัฒนาและเปา้ หมายของการพัฒนาผเู้ รียน 2) เทคนิค วิธีการหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนท่ีนำมาใช้เพ่ือการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนและ ขน้ั ตอนวิธกี ารใช้เทคนคิ วธิ กี ารหรอื นวัตกรรมนั้น ๆ 3) ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนตามวธิ ีการทีก่ ำหนดท่เี กิดกบั ผเู้ รยี น 4) ข้อเสนอแนะแนวทางใหม่ ๆ ในการปรบั ปรงุ และพัฒนาผู้เรยี นใหไ้ ดผ้ ลดยี ิง่ ขน้ึ มาตรฐานท่ี 8 ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างท่ีดี หมายถึง การ แสดงออก การประพฤติและปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพทั่วไป การแต่งกาย กิรยิ า วาจา และจริยธรรมที่เหมาะสมกับ ความเป็นครูอยา่ งสม่ำเสมอท่ที ำให้ผ้เู รียนเลื่อมใสศรัทธาและถือเป็นแบบอย่าง มาตรฐานที่ 9 ร่วมมือกับผู้อ่ืนในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ การร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่าง สร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสำคัญ รับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถให้ความ ร่วมมือในการปฏิบัตกิ ิจกรรมตา่ ง ๆ ของเพอ่ื นร่วมงานดว้ ยความเต็มใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของสถานศึกษาและ รว่ มรบั ผลท่เี กิดขน้ึ จากการกระทำน้ัน มาตรฐานท่ี 10 ร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ในชุมชน การร่วมมือกับผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์ในชุมชน หมายถึง การตระหนักในความสำคัญ รับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถของบุคคลอ่ืนในชุมชน และร่วมมือปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนางานของสถานศึกษาให้ชุมชนและสถานศึกษามีการยอมรับซึ่งกันและกันและ ปฏิบัตงิ านรว่ มกันด้วยความเต็มใจ มาตรฐานที่ 11 แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา การแสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการ พฒั นา หมายถึง การค้นหา สังเกต จดจำ และรวบรวมข้อมูลขา่ วสารตามสถานการณข์ องสังคมทุกด้าน โดยเฉพาะ สารสนเทศเก่ียวกับวิชาชีพครู สามารถวิเคราะห์ วจิ ารณ์อย่างมีเหตุผล และใช้ข้อมูลประกอบการแก้ปัญหาพัฒนา ตนเอง พฒั นางาน และพัฒนาสังคมได้อยา่ งเหมาะสม มาตรฐานท่ี 12 สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ การสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ หมายถงึ การสรา้ งกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการนำปญั หาหรือความจำเป็นในการพัฒนาต่าง ๆ ท่ีเกดิ ขึน้ ในการเรยี น และการจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในโรงเรียน มากำหนดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือนำไปสู่การพัฒนาของผู้เรียนที่ถาวร เปน็ แนวทางในการแก้ปัญหาของครูอีกแบบหนึ่ง ทีจ่ ะนำเอาวิกฤตติ ่าง ๆ มาเป็นโอกาสในการพัฒนา ครูจำเป็นตอ้ ง มองมุมต่าง ๆ ของปัญหา แล้วผันมุมของปัญหาไปในทางการพัฒนา กำหนดเป็นกิจกรรมในการพัฒนาของผู้เรียน ครูจึงต้องเป็นผู้มองมุมบวกในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ กล้าที่จะเผชิญปัญหาต่าง ๆ มีสติในการแก้ปัญหา มิได้ ตอบสนองปัญหาตา่ ง ๆ ด้วยอารมณ์หรอื แง่มุมแบบตรงตัว ครสู ามารถมองหกั มุมในทุก ๆ โอกาส มองเหน็ แนวทาง ทนี่ ำสู่ผลก้าวหนา้ ของผเู้ รียน 2) มาตรฐานการปฏิบัติงาน หมายถึง ข้อกำหนดเก่ียวกับการปฏิบัติงานในวิชาชีพให้เกิดผลเป็นไปตาม เป้าหมายที่กำหนด พร้อมกับมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง เพ่ือให้เกิดความชำนาญในการประกอบวิชาชีพ ทง้ั ความชำนาญเฉพาะดา้ นและความชำนาญตามระดบั คุณภาพของมาตรฐานการปฏิบัติงาน หรอื อย่างน้อยจะตอ้ ง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 143 มีการพัฒนาตามเกณฑ์ที่กำหนดว่ามีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญ เพียงพอที่จะดำรงสถานภาพของการ เป็นผปู้ ระกอบวิชาชีพต่อไปได้หรือไม่ นัน่ กค็ อื การกำหนดใหผ้ ปู้ ระกอบวิชาชพี จะต้องต่อใบอนญุ าตทุก ๆ 5 ปี 3) มาตรฐานการปฏิบัติตน หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับการประพฤติตนของ ผู้ประกอบวิชาชีพ โดยมี จรรยาบรรณของวิชาชีพเป็นแนวทางและข้อพึงระวังในการประพฤติปฏิบัติ เพ่ือดำรงไว้ซึ่งชื่อเสียง ฐานะ เกียรติ และศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ ตามแบบแผนพฤติกรรม ตามจรรยาบรรณของวิชาชีพที่คุรุสภาจะกำหนดเป็นข้อบังคับ ตอ่ ไป หากผปู้ ระกอบวิชาชีพผู้ใดประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพทำใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่บุคคลอื่นจนได้รับ การร้องเรียนถึงครุ สุ ภาแล้ว ผู้นัน้ อาจถูกคณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพวินิจฉัยช้ีขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปน้ี (1) ยกขอ้ กลา่ วหา (2) ตกั เตอื น (3) ภาคทัณฑ์ (4) พักใช้ใบอนญุ าตมกี ำหนดเวลาตามทเี่ หน็ สมควร แต่ไมเ่ กนิ 5 ปี (5) เพิกถอนใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี (มาตรา 54) 11. จรรยาบรรณของวชิ าชพี “จรรยาบรรณของวิชาชีพ” หมายความว่า มาตรฐานการปฏิบัตติ นทกี่ ำหนดข้นึ เปน็ แบบแผนในการประพฤติตน ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องปฏิบัติตาม เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณช่ือเสียง และฐานะของผู้ประกอบ วชิ าชพี ทางการศกึ ษาให้เปน็ ทีเ่ ชอ่ื ถอื ศรัทธาแกผ่ ้รู บั บริการและสังคมอันจะนำมาซึ่งเกียรติและศักดศ์ิ รีแหง่ วิชาชพี 1) จรรยาบรรณต่อตนเอง ขอ้ 1 ข้าราชการพลเรือน พึงเปน็ ผมู้ ีศลี ธรรมอันดี และประพฤตติ นใหเ้ หมาะสมกบั การเป็นข้าราการ ข้อ 2 ข้าราชการพลเรือน พึงใช้วิชาชีพในการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์และไม่แสวงหา ประโยชนโ์ ดยมชิ อบในกรณีวิชาชีพใด มีจรรยาบรรณวชิ าชพี กำหนดไวก้ พ็ ึงปฏิบัตติ ามจรรยาบรรณวิชาชีพนัน้ ด้วย ข้อ 3 ข้าราชการพลเรือน พึงมีทัศนคติที่ดีและพัฒนาตนเองให้มีคุณธรรม จริยธรรมรวมทั้งเพิ่มพูน ความรู้ ความสามารถ และทักษะในการทำงานเพื่อให้การปฏบิ ัติหนา้ ทรี่ าชการมปี ระสทิ ธภิ าพประสิทธผิ ลย่งิ ข้นึ 2) จรรยาบรรณต่อวิชาชพี ขอ้ 4 ผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องรัก ศรัทธา ซือ่ สตั ย์สจุ รติ รับผิดชอบต่อวิชาชีพและเป็นสมาชิกที่ ดีขององคก์ รวิชาชพี 3) จรรยาบรรณต่อผรู้ ับบรกิ าร ข้อ 5 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจแก่ศิษย์ และผูร้ ับบริการตามบทบาทหนา้ ทีโ่ ดยเสมอหนา้ ข้อ 6 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา ต้องสง่ เสริมให้เกดิ การเรยี นรู้ ทักษะและนิสัยท่ีถูกต้องดีงามแก่ศิษย์ และผรู้ ับบริการตามบทบาทหนา้ ที่อยา่ งเต็มความสามารถดว้ ยความบริสทุ ธิ์ใจ ข้อ 7 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ท้ังทางกาย วาจา และจิตใจ ขอ้ 8 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏปิ ักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จติ ใจ อารมณ์ สังคมของศษิ ยแ์ ละผู้รับบรกิ าร
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 144 ขอ้ 9 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตอ้ งให้บริการด้วยความจรงิ ใจและเสมอภาคโดยไมเ่ รยี กรบั หรือ ยอมรบั ผลประโยชน์จากการใช้ตำแหนง่ หนา้ ท่โี ดยมิชอบ 4) จรรยาบรรณตอ่ ผู้รว่ มประกอบวิชาชพี ข้อ 10 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงช่วยเหลือเก้ือกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์โดยยึดมั่น ในระบบคณุ ธรรมสร้างความสามคั คีในหมูค่ ณะ 5) จรรยาบรรณตอ่ สงั คม ข้อ 11 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของ ส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข 12. ลักษณะของครทู ีด่ เี ปน็ ทรี่ ักของนกั เรียน การเป็นครูว่ายากแล้ว แต่การท่ีเราจะเป็นครูที่ดีเป็นแบบอย่างให้กับนักเรียนยากยิ่งกว่าเพราะสังคม ส่วนใหญ่ มกั คาดหวงั ว่าครูจะเป็นแบบอย่างท่ีดขี องลูกศิษย์เป็นผู้สร้างสมาชกิ ใหม่ของสังคมให้เป็นทรัพยากร 107 มนษุ ย์ที่มี คุณภาพต่อสังคม โดยธรรมชาติของอาชีพครูเป็นอาชีพท่ีต้องเก่ียวข้องกับผู้คนมากมายฉะน้ันผู้ดำเนิน อาชีพครู จึงตอ้ งเป็นผูใ้ ฝร่ ู้ ใฝเ่ รียน และใฝ่พัฒนาตนเองอยา่ งต่อเน่อื ง 1. รอบร้ทู ั้งวชิ าการและตัวเด็ก เป็นผู้ทม่ี ีความรู้ความเข้าใจในด้านวิชาการและเข้าใจในตัวของศิษยท์ ี่สอน เพ่ือปรับวิธีการเรียนการสอนให้เข้ากับบริบทของโรงเรียนและในห้องเรียน ครูต้องสามารถให้คำแนะนำให้คำปรึกษา แก่เด็กนักเรียนได้ทัง้ เรอื่ งการเรียนรวมเร่ืองอื่น ๆ ด้วย 2. ทำการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเตรียมการสอนล่วงหน้าอย่างมีเป็นระบบและครบทุกขั้นตอน วางแผนและจดั ส่ิงแวดล้อมในห้องเรียนใหเ้ หมาะสมแก่การเรียนรู้จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยให้เด็ก นกั เรยี น มีสว่ นร่วม นำเทคโนโลยีมาใช้เพอื่ ให้เกิดความเข้าใจในบทเรยี นมากย่งิ ขนึ้ 3. รู้หลักการวัดและประเมินผล มีความรเู้ ก่ียวกบั ลักษณะแบบทดสอบตามหลักการวดั ผลประเมินผลและ สามารถออกข้อสอบและปรับปรุงแบบทดสอบให้นำมาใช้งานได้จริงเหมาะสมกับทุกระดับชั้นของผู้เรียน โดยการ วดั ผลต้องมีความเหมาะสมกบั สภาพการเรียนรู้และสามารถนำผลที่ไดจ้ ากการวัดผลมาปรับปรุงการเรียนการสอน 4. รจู้ กั แนะแนว การทคี่ รรู ู้จักทีจ่ ะสงั เกตและร้จู กั นกั เรียนเป็นรายบคุ คล บันทึกลงระเบียนประวัตินกั เรยี น เป็นการสอดส่องดูความประพฤตินักเรียนเม่ือนักเรียนคนใดเกิดปัญหาขึ้น ครูสามารถจัดกิจกรรมหรือเรียกมาพูดคุย เพอ่ื ช่วยแนะแนวทางหรือแกป้ ัญหาใหแ้ ก่นักเรียน 5. มีความเมตตากรุณา มีความสนใจและห่วงใยในการเรียนและความประพฤติของผู้เรียน แนะนำเอาใจ ใส่ช่วยเหลือเด็กและเพื่อนร่วมงานให้ได้รับความสุข เป็นกันเองกับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรยี นมคี วามรู้สึกเปิดเผยไวว้ างใจ และเปน็ ทพ่ี งึ่ ได้ 6. มีความยุติธรรม มีความเป็นธรรมต่อนักเรียนและรู้จักที่จะเอาใจใส่ต่อผู้เรียนและเพ่ือนร่วมงานทุกคน อย่างเสมอภาค ไม่ลำเอียง ตัดสินปัญหาของผู้เรียนด้วยความเป็นธรรม ยินดีช่วยเหลือผู้เรียน ผู้ร่วมงานและ ผู้บรหิ ารโดยไม่เลือกทรี่ กั มกั ท่ีชงั 7. มีความรับผิดชอบ มุ่งเน้นการสอนให้เด็กนักเรียนได้ความรู้ มีวิธีปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์วางแผน การใช้เวลาอย่างเหมาะสมและปฏิบตั ิงานได้ทนั เวลา ใชเ้ วลาไดอ้ ยา่ งคุ้มค่าและมีประสิทธภิ าพสูงสดุ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 145 8. มีวินัยในตัวเอง ควบคุมตนเองให้ปฏิบตั ิตนอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีวิธที ำงานที่เป็นแบบอยา่ ง ทดี่ ีใหแ้ กน่ ักเรยี นและบุคคลอ่นื ได้ 9. มีความขยันและอดทน มีความต้ังใจและกระตือรือร้นและปฏิบัติงานเต็มความสามารถของตนเอง อย่างสม่ำเสมอ ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคในการทำงาน มีความอดทนเมื่อเกิดอุปสรรคในการทำงาน และมีความสามารถ ในการที่จะควบคุมอารมณข์ องตนเอง 10. มีความรักและศรัทธาในอาชีพครูเห็นความสำคัญของอาชีพครู เข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาชีพครูสนับสนุน การดำเนินงานขององคก์ รวิชาชีพ ร่วมมือและส่งเสรมิ ให้มีการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพครู รักษา ช่ือเสยี งวิชาชีพครู ตั้งใจปฏิบัติหน้าท่ีให้เกิดผลดีและประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ รักษาความสามัคคีและช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน ในหน้าทกี่ ารงาน 11. พัฒนาตนเอง ครูที่ดีต้องรู้จักประเมินผลและปรับปรุงการทำงานของตนอยู่เสมอรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ และนำมาพัฒนาตนเอง ยอมรบั ความเปล่ียนแปลงและปรับตัวเข้ากับสง่ิ แวดลอ้ มอย่างมเี หตผุ ล ศึกษาหาความรู้อยู่ ตลอด สนใจ ติดตาม เข้าร่วมประชุมเพือ่ แลกเปลีย่ นความร้คู วามคิดเมื่อมีโอกาส 12. พัฒนาชุมชน พานักเรียนไปบำเพ็ญประโยชน์แก่ชุมชน เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนตามความ เหมาะสม ส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามวิถีของชุมชน ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างและชักชวนนักเรียนและคน ในชุมชนใหป้ ฏิบตั ิตาม พยายามใช้แหล่งเรยี นรูใ้ นชมุ ชนเปน็ แหล่งความร้ใู หแ้ กน่ กั เรยี น 13. บทสรปุ การที่นักเรยี นหรือชุมชนจะศรัทธาในตัวของครูได้นัน้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวครูเองด้วยผู้คนสว่ นใหญ่ ศรัทธาในอาชพี คนอยู่แล้วแต่การท่ศี รัทธาต่อตัวครูนั่นเปน็ สงิ่ ท่คี รูต้องทำขึน้ ด้วยตัวเอง กระทำตนให้เปน็ แบบอย่าง ที่ดีแม่พิมพ์แห่งชาติท่ีเขาได้ตั้งไว้ในรูปแบบครู เราจะได้รับความเคารพครูท่ีดีก็ต้องรักเด็กเมตตาต่อเด็กมีน้ำใจต่อ เพื่อนร่วมงานและเพ่ือนร่วมโลกเดียวกัน และก็ต้องเรียนรู้ในรายวิชาของตนเองที่จะต้องได้รับการมอบหมาย ในรายวิชาที่ตนเองสอนให้เก่งและชำนาญถูกต้องในการสอนนักเรียน ใจดีรักเด็กจะทำให้นักเรียนรักและเช่ื อฟัง ครผู ู้สอนไดด้ ีเย่ียม 14. คำถามทบทวน 1. การสรา้ งศรัทธาในวิชาชพี ครูควรมีรูปแบบอยา่ งไรตามความคดิ ของตนเอง 2. คิดว่าหลักธรรมในการศรัทธาในวชิ าชีพครหู ลกั การใดสำคญั ทสี่ ุด เพราะเหตใุ ด จงอธิบาย 3. อรยิ สัจ 4 สอนในเรอ่ื งอะไร ทำไมต้องมหี ลักธรรมข้อนี้ 4. การปลกู ฝังค่านยิ มควรปลูกฝงั ในเรอื่ งอะไรมากท่สี ุดเพราะเหตุใด 5. ค่านยิ มของอาชีพครูมสี ำคญั อยา่ งไร 6. การดำรงตนให้เปน็ ทเ่ี คารพศรทั ธาของผเู้ รียนและสมาชกิ ในชมุ ชนควรคำนึงถึงสง่ิ ใดบา้ ง เพราะเหตุใด 7. เพราะเหตใุ ดจึงมมี าตรฐานวิชาชพี ครู 8. การครองตน ตรองคน ครองงาน มีความสอดคลอ้ งกบั อาชพี ครอู ย่างไรบ้าง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 146 เอกสารอ้างอิง กรมสามญั ศกึ ษา. (2556). ความรู้ด้านพฤติกรรมมนุษย์และทักษะการครองตน. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ชวนพิมพ.์ กรรณกิ าร์ วิขัมภประหาร .(2539) “การศึกษาความต้องการในการพัฒนาตนเองของข้าราชการ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น” วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ พฤทธิศ์ ริ ิ บรรณพิทักษ.์ (2557). จรรยาบรรณวิชาชพี ครู Code of Ethics of Teaching. [ระบบออนไลน]์ . เข้าถึงได้จาก : http://www.ap.mju.ac.th/data_silo/jarya/2013-07- 01-09-36-54go0.pdf. สืบค้นข้อมูลเมือ่ วันที่ 12 กภุ าพันธ์ พ.ศ. 2564. มลฑล พระแกว้ . (2563). การปลูกฝังค่านิยมของครู. [ระบบออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก : http://www.eledu.ssru.ac.th/monmanus_su/pluginfile.php. สืบคน้ เมื่อข้อมลู เมอ่ื วนั ที่ 7 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. มลฑา จันทร์เดือน. (2562). การสร้างศรัทธาในวิชาชพี ครู. [ระบบออนไลน]์ . เข้าถงึ ได้จาก : https://sites.google.com/site/chumnankarn. สืบคน้ ข้อมลู เมอ่ื วัน : 1 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. มหาวิทยาลยั บรู พา. ความหมายและความสำคัญของคณุ ธรรม. [ระบบออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก : http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/53930095/chapter2.pdf สบื คน้ ข้อมลู เม่ือวนั ที่ 3 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. วลั นิกา ฉลากบาง. (2559). จิตวิญญาณความเป็นครู : คณุ ลักษณะสำคญั ของครูมืออาชีพ. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.eledu.ssru.ac.th/kalanyoo_pe/file.php/2/_5_1.pdf สบื คน้ ข้อมูล เมื่อวันท่ี 3 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. วิธีการปฏบิ ตั ติ นเป็นพลเมอื งดีของสังคม. [ระบบออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://119.46.166.126/self_all/selfaccess10/m4/social4_1/lesson4/lesson4_2.h tml. สืบคน้ ข้อมลู เมอ่ื วนั ท่ี 7 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. สำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2561). มาตรฐานการศึกษา พ.ศ. 2561. [ระบบออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก : http://qa.vru.ac.th/pdf/ 2560. สืบคน้ ข้อมูลเมื่อวันท่ี 2 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. Plook Teacher. (2560). ลักษณะของครูท่ดี เี ป็นท่รี ักของนกั เรยี น. [ระบบออนไลน]์ . เข้าถงึ ได้จาก : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/62291/-teaartedu-teaart- teaarttea. สบื คน้ ข้อมลู เม่อื วันที่ 7 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. Wasana Permpool. (2564). คุณธรรม จริยธรรม และจติ วญิ ญาณความเป็นครู. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก : http://e-learning.dru.ac.th/course/info.php?id=461. สบื คน้ ข้อมลู เมื่อวนั ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงบทท่ี 5 การรอบรู้บริบทการเปลยี่ นแปลงของสงั คมภายในประเทศ ท่ีสง่ ผลกระทบต่อการศกึ ษา 1. บริบท ความหมายบริบท บริบท (context) เป็นคำท่ีใช้ในวิชาภาษาศาสตร์ (linguistics) หมายถึง วาทกรรมและส่ิงแวดล้อม วาทกรรมท่ีช่วยให้เข้าใจความหมายของคำ ในการใช้ภาษา บางครั้งข้อความที่กล่าวจะไม่กระจ่างชัดเจน จงึ ตอ้ งอาศัยข้อความข้างเคียง หรือในบางคร้ังต้องอาศัยสถานการณ์แวดล้อม หรอื ความรู้เกี่ยวกบั ตัวผู้พูด ผู้ฟังซึ่งหมายรวมถึง ประวัติความเป็นมา สภาวะแวดล้อมของเหตุการณ์ที่เก่ียวข้องกับตัวบทน้ัน ๆ ภูมิหลัง ตลอดจนมูลบทของผู้ส่งสารและผู้รับสารทำให้สามารถเข้าใจความหมายของตัวบทน้ัน ๆ ได้มากท่ีสุด เท่าที่จะทำได้ คำหรือข้อความแวดล้อม รวมทั้งสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ เง่ือนไขต่าง ๆ ท่ีรายล้อม เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เร่ืองใดเรื่องหนึ่ง หรือ ประเด็นใดประเด็นหนึ่ง บริบทรวมถึงสภาพทาง ประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม และภมู ศิ าสตร์ ( พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน ,2525) บริบทของสังคมภายในประเทศ ซึ่งบริบทของสังคมภายในประเทศสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านสังคม 2) ด้านเศรษฐกิจ 3) ด้านวิทยาศาสตร์ละเทคโนโลยี และ 4) ด้านศาสนาและ วฒั นธรรม ด้านสงั คม ภาพประกอบที่ 5.1 บริบทของสังคมไทยต่อการศกึ ษา (ทม่ี า : lalidayanapat , 2558 ) บริบทด้านสังคมไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงตามการเปล่ียนแปลงของบริบทสังคมโลก ทั้งระดับ โลกและระดับภูมิภาค โดยมเี ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นกลไกขับเคล่อื นสำคญั ส่งผลกระทบ ทั้งทางบวกและทางลบต่อการเปลี่ยนแปลงสงั คมไทยในด้านเศรษฐกิจการเมืองและสังคม โดยเฉพาะอยา่ ง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 148 ยิ่งภายหลังกระแสโลกาภิวัตน์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการส่ือสาร จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจ กับการเปล่ียนแปลงทั้งด้านบวกและด้านลบในมิติด้านต่าง ๆ จนมีภูมิคุ้มกัน เพ่ือดำรงชีวิตอย่างรู้เท่าทัน และสามารถปรับตัวก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ ท้ังด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและการสือ่ สาร สังคมไทยด้านสังคม สภาพปจั จุบนั ตกอย่ใู น “ภาวะเจบ็ ป่วย” ซึ่งเปน็ ผลมาจาก ปญั หาความไม่สมดลุ ของโครงสร้างการพฒั นาด้านสังคมที่สำคัญ ได้แก่ 1) ความสามารถเข้าถึงข้อมลู ข่าวสารและความรู้พอ ๆ กับโอกาสที่สังคมไทยจะใช้อย่างไม่เหมาะสม จนเกดิ ความเสย่ี ง 2) การขาดภูมิคุ้มกันในการเปิดรบั สอ่ื และเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) สุขภาพจากโรคอุบตั ิใหม่หรอื โรคระบาดซำ้ จากการเคล่ือนยา้ ยของคนขา้ มชาติ อันเป็นผลจาก การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การเข้ามาของนักท่องเที่ยว การเข้ามาของแรงงานจากประเทศ เพอ่ื นบ้านจากการเข้าสูป่ ระชาคมเศรษฐกจิ อาเซียน 4) อาชญากรรมข้ามชาติเป็นภัยทางสังคม มีการขยายเครือข่ายโยงใยอาชญากรรมข้ามชาติไป หลายประเทศ 5) ความวิกฤตทางค่านิยม จริยธรรม และพฤติกรรมของคนไทย เกิดโรคทางสังคมแบบใหม่ เช่น โรคเสพติดสื่อ โรคเสพติดเกมส์และพฤติกรรม “สังคมก้มหน้า” จากการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์ การโพสตภ์ าพอนาจารบนสือ่ สงั คมออนไลน์เพราะต้องการเป็น “เน็ตไอดอล” 6) ความไม่เท่าเทยี มกนั ระหวา่ งเพศชายและเพศหญงิ ลดน้อยลง 7) สงั คมไทยกำลงั กา้ วเป็นสงั คมผูส้ งู อายุ 8) การให้การศึกษาแก่ประชากรต่างชาติ เช่น สมาชิกประชาคมเศรษฐกจิ อาเซียน ต่างชาตทิ ี่เข้า มาลงทนุ ชนกล่มุ น้อยและชาวเขาซงึ่ เป็นชนกล่มุ น้อยท่อี ยู่อาศัยในไทย แตย่ งั ไมไ่ ด้สัญชาติ ด้านเศรษฐกิจ ภาพประกอบที่ 5.2 การบริบททางด้านเศรษฐกิจ (ทมี่ า : ศ.ดร.เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศกั ด์ิ, 2560)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 149 บริบทสงั คมไทยดา้ นเศรษฐกจิ อยใู่ น “ภาวะบรโิ ภคนิยม” ตามกระแสโลภาภิวัตนท์ ีส่ ำคญั ไดแ้ ก่ 1) การเปิดเสรีทางการค้า เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรี โอกาสดึงดูดกำลังคนที่มีคุณภาพ หรือมีความเช่ียวชาญในสาขาท่ีไทยต้องการเข้ามาได้สะดวกข้ึน การไหลเข้าของแรงงานไร้ฝีมือค่าจ้างต่ำ และสาขาขาดแคลน อาจกระทบต่อภาวะการมีงานทำของแรงงานไทยไร้ฝมี ือทมี่ ีอยู่จำนวนมาก 2) การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) การเคลื่อนย้าย ของแรงงานประเทศเพือ่ นบ้าน ซึง่ ค่าจ้างต่ำกวา่ ประเทศไทยเข้ามาสู่ระบบการจา้ งงานในไทยมากยิ่งขนึ้ 3) การเร่งรัดจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) กับประเทศคู่ค้าในบาง สาขา โดยขาดการเตรยี มความพร้อมใหผ้ ้ปู ระกอบการ อาจส่งผลให้ประเทศไทยเสยี เปรียบทางการค้า 4) การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศคู่ค้าในเวทีการค้าโลกด้วยประเด็นสิทธิมนุษยชนและ สิ่งแวดล้อม แทนการกีดกันด้วย “กำแพงภาษีศุลกากร” (Traffic Barrier) เช่น การส่งสินค้าส่งออกต้อง ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพส่ิงแวดล้อม การกีดกันทางภาษีหรือเว้นการนำเข้าสินค้าส่งออกท่ีใช้ แรงงานประมงผดิ กฎหมาย การละเมดิ สิทธมิ นษุ ยชนการค้ามนุษย์ การใชแ้ รงงานเดก็ 5) เศรษฐกิจของไทยพัฒนาเป็นสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based-economy/ society) 6) บริษัทข้ามชาติจำนวนมากลดต้นทุนการผลิต เช่น จ้างเหมา กระจายงานนอกสถานประกอบการ ร่วมมือกันกระจายปัจจัยการผลิต บริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ร่วมกันเพื่อประหยัดต้นทุนค่าขนส่งจ้าง ผลิตบางส่วนของสินคา้ ใชศ้ ูนย์วิจัยและพฒั นาร่วมกันจา้ งแรงงานข้ามชาติ 7) เศรษฐกิจของไทย พัฒนาเป็นสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ( knowledge-based-economy/ society) 8) บริษัทข้ามชาติจำนวนมากลดต้นทุนการผลิต เช่น จ้างเหมา กระจายงานนอกสถานประกอบการ ร่วมมือกันกระจายปัจจัยการผลิต บริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ร่วมกันเพื่อประหยัดต้นทุนค่าขนส่งจ้าง ผลติ บางสว่ นของสนิ ค้า ใช้ศนู ยว์ ิจยั และพฒั นาร่วมกัน จา้ งแรงงานข้ามชาติ 9) พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นรูปแบบวิถีการดำเนินชีวิต (Life style) และสัมพันธ์กับกลยุทธ์การ ส่ือสารการตลาดท่ีซับซ้อนแต่เจาะจงกลุ่มผู้บริโภคตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketing) รวมท้ังใช้ส่ือ สังคมออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม (Instagram) เพ่ือเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (Market Segmentation) มากข้นึ 10) มีการแบ่งกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด (Target Group) โดยใช้หลักจิตวิทยา (Psychographics) ความแตกต่างของวัยกบั พฤติกรรมการซือ้ ทแ่ี ตกตา่ งกันมาประกอบ 11) ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีทำให้เกิด “ความต้องการเทียม” (Pseudo Demand) ทาง เศรษฐศาสตรใ์ นตลาดเสรีอยา่ งเกนิ ความจำเป็นในการดำรงชวี ติ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 150 ด้านวิทยาศาสตร์ละเทคโนโลยี ภาพประกอบที่ 5.3 การบริบททางด้านวิทยาศาสตร์ (ทม่ี า : bio-engine, 2560) ภาพประกอบท่ี 5.4 การบริบททางดา้ นเทคโนโลยี (ทีม่ า : ประชาชาติธุรกิจ, 2561) บรบิ ทด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สงั คมไทยดา้ นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยอี ย่ใู น “ภาวะพ่งึ พา ทางเทคโนโลยี” จากตา่ งประเทศอยมู่ ากทสี่ ำคญั ได้แก่ 1. การขยายความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับวทิ ยาศาสตร์จน 2. ทำใหเ้ กิดสง่ิ ทีเ่ รียกว่า “การร้เู ท่าทันทางวทิ ยาศาสตร”์ (Scientific Literacy)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 151 3. วิทยาศาสตร์พัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น เลือกบริโภค อุปโภคอย่างชาญฉลาด กรณีการเลือกใช้ เครื่องสำอางท่ีมรี าคาถูกผิดปกติ อาจส่งผลต่ออาการแพ้ทางผวิ หนังหรือถึงขั้นมะเร็งผิวหนังได้ การใช้ชีวิต และทรพั ยากรอย่างเปน็ มิตรกับสง่ิ แวดล้อม 4. กรณีการเลือกใช้วัสดุและแบบในการสร้างบ้านท่ีช่วยลดความร้อนเพื่อช่วยประหยัดพลังงานและ ช่วยลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม การใช้พลาสติกหรือผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายง่าย การแยกขยะท่ีมีพิษ ขยะยอ่ ยสลายงา่ ยกบั ขยะย่อยสลายไมไ่ ดเ้ พ่อื เปน็ การลดภาระส่งิ แวดล้อม เปน็ ต้น 5. สรา้ งกระบวนการคิดท่ีเป็นเหตุและผลและเปน็ การคิดแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Thinking) 6. สังคมไทยต้องเร่งลดการพ่ึงพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ เช่น การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) การถ่ายทอดเทคโนโลยี (technology transfer) ทางการเลือกเทคโนโลยีที่ เหมาะสม (appropriated technology) 7. การเผชิญกับภาวะโลกร้อนของโลก (Global Warming) จากการเกิดปฏิกิริยาปรากฏการณ์ เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ส่งผลต่อระบบนิเวศต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เช่น ชั้นน้ำแข็งละลาย การ สูญพนั ธ์ขุ องพชื และสัตว์บางชนดิ 8. ความต้องการพลงั งานในสังคมไทยเพิ่มข้ึนอย่างต่อเน่ือง ขณะที่สถานการณ์ปริมาณสำรองของ พลังงานเชิงพาณชิ ย์ เชน่ น้ำมนั ถา่ นหิน และก๊าซธรรมชาติในโลกลดน้อยลงทุกขณะ จึงตอ้ งสง่ เสริมให้หัน ไปใชพ้ ลังงานทดแทน ดา้ นศาสนาและวฒั นธรรม ภาพประกอบที่ 5.5 บรบิ ทของวัฒนธรรมไทย (ท่มี า : สำนกั งาน ก.พ., 2558)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 152 บริบทดา้ นศาสนาและวฒั นธรรม บรบิ ทสังคมไทยที่เกดิ การผสมผสานวฒั นธรรม 1. การทอ่ี ยอู่ าศยั ใกลช้ ดิ กนั 2. การย้ายถน่ิ ท่อี ยูอ่ าศยั 3. การทตู และการค้า 4. การสมรสระหว่างผู้ตา่ งวฒั นธรรม 5. ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีและการคมนาคม 6. อทิ ธิพลของสอื่ มวลชน 7. สงคราม ผลจากการเปลย่ี นแปลงทางวัฒนธรรมมี 2 ดา้ น 1. ด้านบวก : ทำให้เกดิ การพัฒนา ความเปน็ อยสู่ ะดวกสบายขน้ึ 2. ด้านลบ : เกดิ ปญั หาการปรับตวั ปัญหาสังคม ลกั ษณะสำคัญของวฒั นธรรมไทย 1. นบั ถือระบบเครือญาติ มีค่านิยมเคารพผอู้ าวธุ โส 2. ยึดถือในบุญกุศล เชื่อในกฎแหง่ กรรมตามหลักพระพุทธศาสนา มีไมตรีจิตต่อผู้อ่ืน ชอบทำบุญ ตามโอกาสำคัญของชวี ิต 3. มแี บบแผนพธิ กี รรมในการประกอบกิจการหรอื ประเพณตี ่าง ๆ ตงั แต่เกิดจนตาย 4. มวี ถิ ชี วี ติ เกษตรกรรม ยอมรบั ความสำคญั ของธรรมชาติ 5. นยิ มความสนุกสนาน ดำเนนิ ชวี ิตแบบสบาย ๆ 6. เป็นวฒั นธรรมแบบผสมผสาน (ไทย จนี ฝรั่ง แขก ฯลฯ) 7. ยึดมน่ั จงรกั ภักดี เทดิ ทูนสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ 2. การเปลย่ี นแปลงทางสังคม ความหมายของการเปล่ยี นแปลงทางสังคม วริ ัช วิรชั นิภาวรรณ (2532 : 113) ได้ให้ความหมายของคำว่า การเปล่ียนแปลง (Change) เอาไว้ ว่าเป็นภาวะหรือปรากฏการณ์ที่ไม่หยุดน่ิงและเกิดข้ึนตลอดเวลาท้ังกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ท้ังการ เปล่ียนแปลงโดยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการกระทำของมนุษย์เอง ท้ังการเปลี่ยนแปลง ไปสทู่ ิศทางท่ดี ขี ้นึ หรือเลวลงกว่าเดิม ส่วนความหมายของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Change) ได้มีนักสังคมวิทยาได้ให้ ความหมายไวห้ ลายท่าน ดังน้ี แฮนส์, เกิร์ท และ มิลล์ (Hans, Gerth and Mill, 1953 : 398 อ้างถึงในมหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช, 2538 : 126) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมหมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ เกยี่ วกบั บทบาท สถาบนั หรือระเบียบต่าง ๆ ทีป่ ระกอบข้ึนเปน็ โครงสรา้ งสังคม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 153 สเมลเซอร์ (Smelser, 1988 : 383 อ้างถึงในสุพิศวง ธรรมพันธา, 2543 : 67) กล่าวว่า การ เปล่ยี นแปลงทางสงั คม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับประชากร พฤติกรรมของสมาชิกในสงั คม โครงสรา้ งสงั คมและแบบแผนของความสัมพนั ธ์ระหว่างสมาชิกและแบบแผนทางวัฒนธรรม ราชบัณฑิตยสถาน (2524 : 327) ได้กำหนดความหมายไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคม หมายถึง การที่ระบบสังคม ระบบครอบครัว ระบบการปกครองได้เปล่ียนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ ตาม การเปลีย่ นแปลงทางสงั คมนี้อาจจะเป็นไปในทางก้าวหนา้ หรือถดถอย เปน็ ไปอย่างถาวรหรือชว่ั คราว โดยวางแผนใหเ้ ปน็ ไปหรอื เปน็ ไปเอง และที่เปน็ ประโยชน์หรือให้โทษกไ็ ดท้ ัง้ ส้ิน ณรงค์ เสง็ ประชา (2541 : 207) ไดใ้ ห้ความหมายไวว้ า่ การเปล่ียนแปลงทางสงั คมเป็นการเปลีย่ นแปลง รูปร่างและลักษณะของสงั คม เชน่ ขนาด ความหนาแนน่ ระดบั การศกึ ษา สุขภาพอนามัยเพิ่มข้นึ เป็นตน้ สัญญา สัญญาวิวัฒน์ (2547 : 5) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Change) หมายถึง การเปล่ยี นแปลงองคก์ ารทางสงั คม (Social Organization) ได้แก่ การเปลยี่ นแปลงในเร่อื ง 1. ขนาดขององคก์ ารสังคม (Size) คือ ใหญข่ นึ้ หรอื ลดลง 2. ประเภทขององค์การสังคม (Kind) เช่น จากกลุ่มเพ่ือนไปเป็นครอบครัว จากครอบครัวเป็น ชมุ ชน เป็นต้น 3. ลักษณะองค์การสังคม (Characteristics) เช่น จากยึดเหนี่ยวกันหลวม ๆ เป็นยึดเหน่ียวกัน เหนยี วแน่น จากแบง่ แยกมาเป็นสมคั รสมานสามคั คี 4. สถานภาพและบทบาท (Status–Role) เช่น เคยสถานภาพสูงมาเป็นต่ำ จากเคยต่ำมาเป็นสูง จากเคยเป็นเพ่อื นกันมาเปน็ สามีภรรยากัน บทบาทก็พลอยเปลยี่ นไปด้วย สรุ ิชัย หวันแก้ว (2549 : 156) อธิบายว่า การเปล่ียนแปลงทางสังคม หมายถึง การเปล่ียนแปลง ของระบบความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคมและการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างของความสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มและระหว่างส่วนประกอบของสังคมน้ัน ๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างชาวชนบท ชาวเมือง เปน็ ตน้ การเปล่ยี นแปลงทางสังคมดงั กล่าวนี้ยอ่ มเกดิ ขึน้ ในระดบั กลุ่มบุคคลและในระดบั สถาบันทางสงั คม ไม่ว่าจะเป็นในสถาบันครอบครัว เครือญาติ การสมรส การครองเรือนหรือสถาบันการเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ กไ็ ด้ อาจสรุปได้ว่า การเปล่ียนแปลงทางสังคมเป็นการเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนในระยะเวลาใดระยะ เวลาหน่ึงเป็นการเปล่ียนแปลงในระบบโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบความสัมพันธ์ทางสั งคมระหว่าง มนุษย์หรือกลุ่มคนในสังคม ตลอดจนเป็นการเปลี่ยนแปลงการกระทำระหว่างกันทางสังคม ในการติดต่อ การกระทำระหว่างมนษุ ย์หรือกลุ่มของสงั คม แนวคดิ เก่ยี วกบั การเปลี่ยนแปลง การเปล่ียนแปลงเป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับเวลาหรือข้ึนอยู่กับเวลาเสมอ การเปลี่ยนแปลงน้ันกล่าวถึง ระยะเวลาหน่ึงเปลีย่ นแปลงไปอกี ระยะเวลาหนึ่ง เชน่ วนั เดือน ปี ทางดาราศาสตร์ก็มกี ารเปลี่ยนแปลงไป ทุกปี เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะกำหนดว่าจะเป็นสิ่งที่เปล่ียนแปลงไป ในเร่ืองใดก็ตามท่ีได้เปล่ียนแปลงไป จากเดิม สำหรบั สังคมมนุษยก์ ็มกี ารเปล่ยี นแปลงแต่มีเรือ่ งที่ไม่มีการเปลย่ี นแปลง คือ การเกิดและการตาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 154 แตอ่ ย่างไรก็ตามกระบวนการต้ังแต่เกิดจนตายเปน็ การเปลย่ี นแปลงต่อเนอื่ ง ดงั น้ัน ความพยายามของการ เปล่ียนแปลงอาจจะกล่าวได้ว่า คือ การที่ส่ิงใดสิ่งหนึ่งได้แปรสภาพที่เคยมีอยู่มาเป็นสภาพใหม่โดยมี องค์ประกอบของเวลาเป็นเคร่ืองกำหนด ในการที่เราจะเข้าใจเร่ืองของการเปล่ียนแปลงให้มากย่ิงขึ้นนั้น จะต้องเข้าใจธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงเสียก่อน ซ่ึงอาจจะมีความแตกต่างกันไปตามความเข้าใจของ นักคิดต่าง ๆ ท้ังน้ี เนื่องจากว่าเป็นเร่ืองของข้อสมมติของการเปล่ียนแปลงที่แตกต่างกัน การทำความ เข้าใจข้อสมมติของการเปล่ียนแปลงจะทำให้รู้ถึงลักษณะ สาเหตุและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลง ซึ่งมี ความสำคัญต่อความหมายของการเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม โดยข้อสมมติของการเปลี่ยนแปลง นสิ เบท (Nisbet, 1969 : 166-168) อธิบายไวด้ ังน้ี 1. การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ นักการศาสนามักจะอธิบาย การเปลย่ี นแปลงของ ชีวติ ของมนุษยว์ ่า คนเรามีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเร่ืองธรรมดาและเป็นเรื่องของธรรมชาติไม่มใี ครทจี่ ะ บงั คับให้หยดุ การเปลย่ี นแปลงได้ การเปล่ียนแปลงจงึ เป็นเรือ่ งของขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ 2. การเปลี่ยนแปลงเปน็ อยตู่ ลอดเวลา การเปลย่ี นแปลงในลกั ษณะนคี้ วาม หมายถงึ วา่ การเปล่ยี นแปลง ท่ีเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานี้ ได้เกิดมาจากปัจจัยท่ีผลักดันให้เกิดการเปล่ียนแปลง มีลักษณะของการกระทำ หน่ึง ๆ เป็นสาเหตุผลักดันไปสู่การเปล่ียนแปลง การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส่ิงใด ๆ จะเกิดจาก ปัจจัยที่ผลักดนั ทำให้มีการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา เช่น คนเรามกี ารเจริญเติบโตเน่ืองจากการรับประทาน อาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา เม่ือเป็นเช่นนี้ทำให้เห็นว่าเด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ตลอดเวลาหรอื ผใู้ หญ่จะกลายเปน็ คนชราในทส่ี ดุ 3. การเปลี่ยนแปลงเป็นการต่อเนื่อง การเปล่ียนแปลงที่ได้กล่าวถึง ที่ผ่านมาน้ันมีขั้นตอนต่าง ๆ มองเป็นเรื่องของการต่อเน่ืองเป็นสาเหตุสืบต่อกันมา เช่น สังคมมีการเปล่ียนแปลงผ่านข้ันตอนต่าง ๆ จากอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน การเปล่ียนแปลงจากขั้นตอนหนึ่งไปสขู่ ั้นตอนหนึ่งเป็นลักษณะของสายสัมพันธ์ เชือ่ มโยงหรือสาเหตตุ ิดต่อกันไป 4. การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเดียวกัน นักสังคมวิทยาสมัยรุ่นแรก ๆ ได้ให้ทัศนะว่าการเปล่ียนแปลง ทกุ สังคมต้องผา่ นขั้นตอนแบบเดยี วกนั หมายความวา่ สังคมที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงทกุ สังคมในโลกจะมี การเปลย่ี นแปลงเหมือน ๆ กัน เพียงแต่วา่ บางสังคมเปล่ียนแปลงได้เร็วกวา่ บางสังคมเท่าน้ัน ในปัจจุบันนี้ ข้อสมมติน้ีได้รับการคัดค้าน เพราะไม่จำเป็นท่ีทุกสังคมจะเปล่ียนแปลงข้ันตอนแบบเดียวกัน เช่น สังคมไทย มีการเปล่ียนแปลงท่ีแตกต่างจากสังคมอเมริกา สังคมโซเวียต (รัสเซีย) มีการเปลี่ยนแปลงท่ี แตกต่างไปจากสงั คมจนี เปน็ ตน้ 5. การเปล่ียนแปลงเป็นส่ิงจำเป็น การเปล่ียนแปลงในความหมายน้ีได้พยายามกล่าวถึง การ เปลี่ยนแปลงในสังคมนั้นเปน็ ส่ิงจำเป็นที่จะต้องทำให้เกดิ ข้ึน เพอ่ื ให้มนษุ ย์มีความเป็นอยู่ทดี่ ีขึน้ มคี วามเท่า เทียมกันในสังคม เมื่อเป็นเช่นน้ัน รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บริหารของประเทศจึงเป็นผู้ริเร่ิมในการวางแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมเพื่อให้ประชาชนได้รับการพัฒนาทุก ๆ ดา้ นอย่างท่ัวถึง ทั้งนี้เป็นหน้าท่ีของรัฐบาลอยู่ แล้วที่จะตอ้ งทำขอ้ สมมติทัง้ 5 ประการดงั ได้กลา่ วมาแล้วนน้ั จะเหน็ ไดว้ ่าการเปลีย่ นแปลงมี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 155 ธรรมชาติและความเป็นมาท่ีอาจจะวิเคราะห์แตกต่างกันไปตามแนวความคิดและข้อสมมติน้ัน ๆ อยา่ งไรก็ตามขอ้ สมมติของการเปล่ยี นแปลงน้มี ีประโยชน์ต่อการเขา้ ใจเบ้ืองหลังในการมองสงั คมทกี่ ำลงั จะ เปล่ียนแปลงในทางสังคมได้อย่างละเอียดยิ่งข้ึน เน่ืองจากชุมชนและท้องถ่ินมีลักษณะที่เป็นพลวัต (Dynamic) ทัง้ นี้เพราะสภาพแวดล้อมมกี ารเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา วิธีการดำรงชีวติ ก็ต้องเปลีย่ นไป เพื่อให้เข้ากับ สภาวะใหม่ท่เี กดิ ข้ึนซ่ึงการเปล่ียนแปลงน้ันอาจดขี ้นึ หรือเลวลงกไ็ ด้ ดังนั้น การศึกษาเร่ืองการเปล่ียนแปลงของชุมชนจำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องทำความเข้าใจใน ความหมายของการเปลี่ยนแปลงและการเปลย่ี นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง บางอย่างที่เกิดข้ึนในชุมชนท้องถิ่นนั้นไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเสมอไป ในทางสังคมวิทยาถือว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมซ่ึงต้องอาศัยอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นและมีการปะทะสังสรรค์ซ่ึงกันและกันการเปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์ต่อกันของคน คือ ที่มาของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม (โกวิทย์ พวงงาม, 2553 : 64) เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2543 : 32-35) ได้อธิบายแนวคิดของอัลวิน ทอฟเลอร์ (Alvin Toffler) ที่ได้ทำการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ท้ังในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมีการ เปรียบเทียบการเปล่ียนแปลงของอารยธรรมโลกเหมอื นกับคลน่ื ลกู ที่สาม (The Third Wave) ดงั นี้ คล่ืนลูกที่ 1 สังคมเกษตรกรรม เริ่มต้นประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นผลมาจากการ ปฏิวัติเกษตร โดยมีเครื่องชี้วัดความยิ่งใหญ่หรอื ความเจรญิ ก้าวหน้าของสังคม คือ การมีอาณาเขตใหญ่โต ทกี่ ว้างขวาง มพี ้ืนที่สำหรับเพาะปลกู เลีย้ งสัตวแ์ ละทำการเกษตรจำนวนมาก คลื่นลูกที่ 2 สังคมอุตสาหกรรม เริ่มเมื่อประมาณ ค.ศ. 1650-1750 เป็นผลมาจากการปฏิวัติ อุตสาหกรรม มีการใช้เครื่องจักรกล มีโรงงานขนาดใหญ่ผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อมวลชน ใช้เวลา ประมาณ 300 ปี ในการก่อตัวโดยมีเครื่องชี้วัดความย่ิงใหญ่และความมั่งคั่งของประเทศ คือ ความอุดม สมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ จำนวนแหลง่ แร่ธาตุ วัตถุดบิ ท่ีมอี ยู่และในสมัยต่อมาเคร่ืองชี้วัดคือ “ทุน” จำนวนมาก คลื่นลูกที่ 3 สังคมแห่งเทคโนโลยี เร่ิมต้นราว ค.ศ. 1955 จนกระท่ังถึงปัจจบุ ัน จัดว่าเป็นยุคแห่ง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีได้รับการต่อยอดทางความรู้อย่างสูง มีการพัฒนาด้าน คอมพิวเตอร์ เครือข่ายการสื่อสารและการคมนาคม ทำให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสินค้า ผู้คนและการบริการ มีการเช่ือมโยงและส่งอิทธิพลต่อกันและกัน โดยมีเครื่องช้ีวัดความ ย่งิ ใหญ่และความม่งั ค่ังของประเทศ คือ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศและอำนาจในการ เขา้ ถึงการใชป้ ระโยชนจ์ ากขอ้ มูลข่าวสาร นับตั้งแต่กระบวนการโลกาภิวัตน์ที่ได้แพร่ขยายแนวคิดเศรษฐกิจทุนนิยม และแนวคิดด้าน การเมืองการปกครองแบบเสรีนิยมประชาธปิ ไตยจากประเทศตะวันตกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนับจาก สมัยการแสวงหาอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกและเพิ่มทวีคูณในสมัยหลังสงครามโลก ครั้งท่ี 2 ที่นำกลไกตลาดแบบเสรีเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ จนถึงยุคปัจจุบันท่ีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สารสนเทศ ระบบการติดต่อสื่อสารมีความเจริญอย่างยิ่ง เสมือนท้ังโลกเป็นหนึ่งเดียว กล่าวคือ กระบวนการ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 156 โลกาภิวัตน์เป็นกระบวนการท่ีทำให้ชุมชนโลกเป็นแบบเดียวกัน มีการเชื่อมโยงระบบและส่ิงต่าง ๆ เข้า เป็นเครือข่ายเดียวกัน โดยผ่านกระบวนการสังสรรค์ทางสังคมท่ีมีการกำหนดรูปแบบและการเชื่อมโยง ในด้านเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ได้เกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว (globalization. อ้างถึงในดำรงศักดิ์ แก้วเพ็ง, 2556 : 208) ลักษณะเช่นน้ีก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงส่ิงต่าง ๆ ในชุมชน ทัง้ วิธีคิด ความรู้ การจัดการและระบบความสัมพันธ์ อีกทั้งส่งผลต่อระบบสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน และทำให้ความสัมพันธ์ของภาครัฐท่ีร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจเอกชนมีอิทธิพลต่อการกำหนดแนวทางการ พัฒนาประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมอย่างหลีกเล่ียงมิได้ (เสน่ห์ จามริก, 2556) นอกจากน้ีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลกได้ เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งทางดา้ นเศรษฐกจิ สังคม การเมอื ง การปกครองและสิ่งแวดล้อม ย่อมกอ่ ให้เกิดการ เปล่ียนแปลงในชมุ ชนไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเช่นเดยี วกัน การศึกษาเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงทางสังคมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ได้รับความ สนใจเป็นอย่างมากและมากย่ิงขึ้นในปัจจุบัน การท่ีจะดำเนินงานด้านการพัฒนาในยุคปัจจุบันที่กำลัง เปล่ียนแปลงไปน้ัน จำเป็นท่ีจะต้องเข้าใจแนวคิดพ้ืนฐานของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการ เปลยี่ นแปลงทางวัฒนธรรมอยา่ งถ่องแท้ เพ่ือเป็นการสร้างความเข้าใจและหาแนวทางแกไ้ ขหรอื วางแผนท่ี เหมาะสมตอ่ การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึน้ ในยุคโลกาภิวัตน์ ปจั จัยทก่ี ่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม การเปล่ียนแปลงในชุมชนและสังคมมีสาเหตุปัจจัยท่ีเก่ียวเนื่องถึงกันหลายประการ เมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งของพื้นท่ีทางชุมชนสังคมก็จะส่งผลกระทบไปยังส่วนอ่ืน ๆ ด้วยท้ัง ทางด้านเศรษฐกจิ สังคม เทคโนโลยี วฒั นธรรมและสง่ิ แวดล้อม เป็นต้น ซง่ึ ถ้าจะพิจารณาถึงปัจจัยทที่ ำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ได้มีนักวิชาการหลายท่านท่ีกล่าวถึงปัจจัยท่ีก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงขึ้นในชุมชนและสังคมของมนุษย์ จึงขอนำเสนอให้เห็นภาพรวมของปัจจัยที่ก่อให้เกิดการ เปล่ียนแปลง ดังท่ีนักวิชาการผู้ทรงความรู้ได้กล่าวไว้ (โกวิทย์ พวงงาม, 2553, วรวุฒิ โรมรัตน์พันธ์, 2554, ดำรงศักด์ิ แก้วเพ็ง, 2556) ดงั ต่อไปนี้ 1. ปัจจัยทางชวี วทิ ยา (Biological) หมายถึง องค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งเปน็ ตัวกำหนดสมาชิกตวั ประกอบ การเลือกคุณภาพทางด้านพนั ธุกรรมที่ถา่ ยทอดมาจากบรรพบุรษุ จึงมคี วามแตกตา่ งกันไปในด้านคุณภาพ และด้านศักยภาพของมนุษย์ในแต่ละสังคม ซ่ึงมีผลต่อความสามารถของสังคมในการเปลย่ี นแปลงและการ แสดงออกทางแนวคิดและคณุ สมบตั ิอื่น ๆ 2. ปัจจัยทางประชากร (Population) การเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรและองค์ประกอบของ ประชากรนับว่ามีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ชุมชนท่ีมีประชากรเพ่ิมข้ึนอย่างมากนั้นจะ ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนหรือแม้กระท่ังอัตราการเกิด การตาย การย้ายถิ่นฐานและปรมิ าณของเพศ ก็ย่อมเป็นผลต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคมอย่างยิ่งอีกด้วย ทั้งที่เกิดสภาวการณ์ต่าง ๆ การก่อใหเ้ กิดปญั หาในสังคมและการพฒั นาส่วนรวมด้วย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 157 3. ปจั จัยทางกายภาพ (Physical) เป็นปัจจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับสภาพทางภมู ิศาสตร์ ดาราศาสตร์และ ด้านส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ มนุษย์มีความเชื่อว่าดวงดาวและดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตท้ังทางดี และไม่ดี และสามารถกำหนดความเป็นไปแห่งชีวิตได้ ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตรแ์ ละดาราศาสตร์ก็สามารถ อธิบายการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นได้ เช่น การเกิดน้ำขน้ึ น้ำลง ขา้ งข้ึนข้างแรม กลางวันกลางคืน ส่ิงเหล่านี้ อาจส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนด้านการประกอบอาชีพ การตง้ั ถิ่นฐาน เป็นต้น นอกจากนป้ี ัจจัยทางภมู ศิ าสตร์ อันได้แก่ การท่ีโลกมีลักษณะกลม การท่ีโลกแบ่งเป็นพ้ืนแผ่นดินและพ้ืนแผ่นน้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ ภมู ิอากาศ ทำเลท่ีต้ังและภูมิประเทศ ส่ิงเหล่าน้ีช่วยให้มีการเปลยี่ นแปลงทางสังคมท้ังสิ้นและทำให้มนุษย์ มีอารยธรรมท่แี ตกต่างหรือคลา้ ยคลึงกนั อีกดว้ ย 4. ปัจจัยทางวัฒนธรรม (Cultural) จากการท่ีบุคคลติดต่อกันทั้งทางตรงและทางอ้อมส่งผลให้ การขยายตัวของวฒั นธรรม การเลยี นแบบและการหยบิ ยมื วฒั นธรรม รวมท้งั การผสมผสานทางวฒั นธรรม ท้ังท่ีเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุและมิใช่วัตถุ สิ่งเหล่าน้ีย่อมส่งผลซึ่งกันและกัน จากนั้นทำให้เกิดการ เปล่ียนแปลงในชุมชนหรือสังคม กล่าวคือ เมื่อการเปลี่ยนแปลงในส่วนของวัฒนธรรมท่ีเป็นวัตถุหรือมิใช่ วัตถุเกิดขึ้น ก็จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของท่ีอยู่อาศัย ภาษา เครื่องแต่งกาย เป็นต้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างไรก็ตามหากวัฒนธรรมแบบใดแบบหนึ่งเปลี่ยนแปลงเร็วหรือช้าเกินไปก็จะ ทำให้เกดิ ความขัดแยง้ ระหว่างวฒั นธรรมทั้งสอง ซึง่ นำไปสูก่ ารเกิดปัญหาสังคมในดา้ นต่าง ๆ ขน้ึ ได้ 5. ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี (Technological) การนำเอาเทคโนโลยีหรือการประดิษฐ์ส่ิงใหม่มา ใช้จะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในสถาบันและประเพณีบางอย่าง ซึ่งออกเบิร์น (Ogburn,1964 : 562) มีฐานคิดว่า การประดิษฐ์ส่ิงใหม่ขึ้นมาจะเพิ่มความสลับซับซ้อนของวัฒนธรรม ชีวิตของมนุษย์ก็จะ สับสนขึ้นตามเน้ือหาของวัฒนธรรมนั้น และเป็นเหตุให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ ท้ังการเพิ่มของ ผลผลิต การกระจายสินค้าและบริการ และทำให้โครงสร้างทางสังคมมีการปรบั ตัวให้เป็นไปตามส่ิงเหล่านี้ กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมโดยการเปล่ียนแปลงสิ่งแวดล้อม เราต้อง ปรับตัวให้เข้ากันให้ได้ ซึ่งปกติก็คือการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมทางวัตถุ การปรับตวั ของมนุษย์ได้สร้าง ตัวแบบแหง่ จารตี ประเพณีและสถาบนั ทางสงั คมขน้ึ มาเพ่ือความสอดคล้องระหว่างสิ่งท้งั สอง 6. ปัจจัยด้านขบวนการสังคม (Social Movement) นักสังคมวิทยาบางกลุ่มพยายามอธิบายให้เห็น วา่ ขบวนการสังคมทำให้มกี ารเปล่ยี นแปลงทางสังคม ท้งั นเี้ พราะขบวนการสังคมใด ๆ ก็ตามเมื่อดำเนินการได้ สำเร็จหรอื ไมส่ ำเร็จกต็ าม จะมผี ลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งเสมอ เน่อื งจากเป็นการกระทำ ร่วมกันของกลุ่มคนท่ีมีอุดมการณ์ตรงกัน เพ่ือต้องการให้มีการเปล่ียนแปลงในโครงสร้างของสังคมซึ่ง อาจจะเป็นการออกกฎหมายหรือการยับย้ังการดำเนินนโยบายบางอย่างของรัฐบาล การบำบัดความ ต้องการใหไ้ ด้จงึ ตอ้ งเปลยี่ นแปลงบางสิง่ บางอยา่ ง (อุทัย หริ ัญโต, 2522 : 121) 7. ปัจจัยทางจิตวิทยา (Psychological) นักจิตวิทยาส่วนมากถือว่าปัจจัยนี้มีความสำคัญอย่าง มากที่ทำให้สงั คมเปล่ยี นแปลง มักจะกลา่ ววา่ สาเหตแุ หง่ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมมาจากจิตใจของมนษุ ย์ เพราะมนษุ ย์โดยธรรมชาตชิ อบทีจ่ ะเปลยี่ นแปลง คน้ ควา้ สิ่งใหม่ ๆ หาประสบการณใ์ หม่ ๆ มนุษยใ์ นสังคม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 158 ทุกแห่งจะมีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีของตน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็น การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเปน็ คอ่ ยไป (Sharma, 1968 : 136) 8. ปัจจัยอ่ืน ๆ (Other) นอกเหนือปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วน้ัน ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางการศึกษา ปัจจัยทางการเมืองและการทหาร ปัจจัยทางศาสนาและ อดุ มการณ์ ความคิด ความเชอ่ื ก็สามารถทำให้ชมุ ชนสงั คมเกดิ การเปลยี่ นแปลงได้ ดงั น้นั อาจสรปุ ถึงปจั จัยท่กี อ่ ใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงทางสงั คมดงั ที่กลา่ วมาแลว้ ในเบื้องต้นได้ ดงั น้ี 1. ปัจจัยภายในส่ิงต่าง ๆ ภายในชุมชนสังคมที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงข้ึนในชุมชน สังคมน้นั ๆ ซ่งึ มี 5 ลักษณะ คอื 1.1 ปัจจัยทางธรรมชาติ รวมท้ังสภาพทางภูมิศาสตร์และดาราศาสตร์ด้วย ได้แก่ ความอุดม สมบูรณ์หรอื ไม่อุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ท่ีทำให้ธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มท่ีเปล่ยี นไป เชน่ สภาพภมู ิ ประเทศ สภาพภูมอิ ากาศ การโคจรของดวงดาว ทรพั ยากรธรรมชาติ แผน่ ดนิ ไหว พายุ อุทกภัย เปน็ ตน้ 1.2 ปัจจัยทางสังคม เป็นการเปล่ียนแปลงลักษณะหรือความแตกต่างขององค์ประกอบของ ประชากร เช่น การเพ่ิมขึ้นและลดลงของประชากร อันเนื่องจากการเกิด การตายและการย้ายถิ่น อายุ เพศและการศึกษา กระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม การกระทำของปัจเจกชนในสังคม เช่น การขัดแย้ง การแข่งขัน ความร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ ความเข้มแข็งหรือความอ่อนแอของประชากร การประดิษฐ์ ส่งิ ใหม่ ๆ การวางแผนทางสงั คม 1.3 ปจั จยั ทางวฒั นธรรม ไดแ้ ก่ ศาสนา อดุ มการณ์ ความคิด ความเชือ่ เทคโนโลยี 1.4 ปจั จัยทางเศรษฐกจิ เนือ่ งจากมนุษย์จะต้องทำมาหากินจึงตอ้ งมีการประกอบอาชีพ ความ ตอ้ งการวสั ดุอุปกรณ์ในการผลติ สินคา้ และบริการ 1.5 ปัจจยั ทางการเมือง นโยบายทางการเมือง การออกกฎหมาย การบรหิ าร และการทหาร 2. ปจั จัยภายนอก เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นภายนอกของสงั คมปัจจยั ท่เี หน็ ชดั คอื 2.1 การติดต่อระหว่างสังคมที่หลากหลาย เช่น การติดต่อค้าขายระหว่างชุมชน ประเทศ การศกึ ษาระหวา่ งกนั การเผยแพรศ่ าสนา การยมื และยอมรบั วัฒนธรรมอ่ืนมาใช้การแลกเปลี่ยนการ แพรก่ ระจายทางวฒั นธรรม เป็นตน้ 2.2 การกระทบกระทั่งระหว่างสังคม ต้ังแต่การล่าอาณานิคมและการโจมตี จากชาติอื่น การ ขัดแย้งระหว่างชายแดนของสองประเทศ ความไม่สงบระหว่างประเทศไปจนถึงสงครามแบบต่าง ๆ ซ่ึง ล้วนเปน็ เหตใุ ห้เกิดการเปลี่ยนแปลงทงั้ สิน้ จากท้ังหมดท่ีกล่าวมาอาจกล่าวสรุปได้วา่ การเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกิดข้ึน ในชุมชนและสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซ่ึงมีเหตุปัจจัยหลายประการท่ีก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเปล่ียนแปลงนั้น ๆ ล้วนแลว้ แตม่ ีความเก่ียวเนือ่ งสมั พันธก์ ัน ถ้ามี ความเข้าใจถึงปัจจัยเหล่าน้ันแล้ว ย่อมมองเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ วฒั นธรรม ซง่ึ จะนำไปสู่การกำหนดแนวทางการพัฒนาไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 159 กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมและวัฒนธรรมของชุมชน การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเป็นกระบวนการที่มีลักษณะของการต่อเน่ืองอย่างไม่มี ที่ส้ินสุด ไม่ว่าจะอยู่ ณ ท่ีแห่งใดและเวลาใด เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อกล่าวถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง สังคม ณ ชุมชนสังคมหรือประเทศชาติใด ๆ ย่อมจะมีลักษณะของกระบวนการท่ีแสดงให้เห็นถึง กระบวนการเปล่ยี นแปลงทางชมุ ชนสงั คมนน้ั ๆ การที่วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในชุมชนได้เปล่ียนแปลงไปก็ดี หรือความสัมพันธ์ทางสังคม ของผู้คนในสังคมได้เปลีย่ นแปลงไปจากอดีตก็ตาม ลว้ นแลว้ แต่เปน็ เรอ่ื งท่มี ีความเกี่ยวขอ้ งกบั กระบวนการ ตา่ ง ๆ ท่ีนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของชุมชนตามแบบแผนพฤติกรรมของสังคมต่าง ๆ ทั้งส้ิน และแนวโน้ม ในสภาวการณ์ปัจจุบันท่ีสังคมและวัฒนธรรมได้มีการเปล่ียนแปลงไปเป็นอย่างมากนั้น มีกระบวนการที่ เก่ียวข้องกบั การเปล่ียนแปลงท่ีสำคญั ดังนี้ กระบวนการเปลีย่ นแปลงไปสู่ความเปน็ เมือง (Urbanization) นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ความเจริญด้านเทคโนโลยีของมนุษย์เริ่มก้าวหน้ามากขึ้น มนุษย์สามารถเพ่ิมผลผลิตให้แก่ชุมชนได้มากยิ่งข้ึนทุกที จากการค้นพบการใช้แรงงาน น้ำ ลม ไอน้ำ จนกระทั่งน้ำมันหรือไฟฟ้า ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีพัฒนาข้ึนเร่ือย ๆ การจัด ระเบียบทางสังคมกพ็ ฒั นาข้ึนเรื่อย ๆ เชน่ กัน ความสัมพันธ์ระหวา่ งการพัฒนาทางเศรษฐกิจและแบบแผน ของการอยอู่ าศยั ไวเ้ ปน็ ลำดับตามข้นั ของการวิวัฒนาการ ดงั น้ี ลำดบั ที่ 1 เศรษฐกิจเป็นแบบการพ่ึงพาอาศัยซ่งึ กันและกัน มีความเป็นอย่อู ย่างง่ายๆ เก็บ ผกั ล่าสตั ว์ เปน็ อาหารท่ีอยยู่ งั ไมเ่ ปน็ หลักแหลง่ ลำดบั ท่ี 2 เศรษฐกจิ เปน็ แบบเกษตรกรรม เลย้ี งสัตวเ์ ปน็ ฝงู ต้องย้ายถิน่ ไปเรอื่ ย ๆ ลำดับที่ 3 จะเป็นไปได้ก็เมื่อมีการพัฒนาด้านการกสิกรรมจนมีอาหารเป็นส่วนเหลือเพียงพอ สำหรบั ชุมชนน้ัน ลำดับที่ 4 มาจากความสามารถท่ีจะเพิ่มผลิตผลให้ได้มากข้ึน มีงานฝีมือมากขึ้น การคมนาคมท่ีดี ขน้ึ และมกี ารพัฒนาการค้าเกิดข้ึน ลำดับที่ 5 เป็นผลจากการพัฒนาทางดา้ นเทคโนโลยี การจัดระเบียบสังคมทีเ่ ปลี่ยนแปลงสัมพันธ์ กบั การเปลยี่ นไปสูอ่ ตุ สาหกรรมและความซับซ้อนในแบบเมืองใหญ่ ลกั ษณะการเปลยี่ นแปลงไปสคู่ วามเป็นเมือง เร่ิมจากการท่ีมนุษย์อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นชุมชนขึ้นตามที่ ฮัวส์ (Hauser, อ้างถึงใน ดำรงศักด์ิ แก้วเพ็ง, 2556 :219) กล่าววา่ การที่เมืองจะมีและพัฒนาขึ้นได้นั้นจะต้องประกอบด้วย ขนาด ของประชากร มกี ารพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี มคี วามสามารถในการควบคุมสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ของมนุษย์และมีการพัฒนาในทางการจัดระเบียบทางสังคม เพ่ือให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มี ความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งในชุมชน จากศตวรรษท่ี 19 เป็นต้นมา ความเจริญด้านเทคโนโลยีของ มนุษย์เริ่มพัฒนาก้าวหน้า สามารถเพิ่มผลผลิตให้แก่ชุมชนมากขึ้น การจัดระเบียบทางสังคมได้พัฒนา เป ลี่ ย น แ ป ล งสั ม พั น ธ์ กั บ ก ารเป ล่ี ย น แ ป ล งไป สู่ อุ ต ส าห ก รรม แ ล ะก ำลั งเป ล่ี ย น แ ป ล งไป สู่ สั งค ม ห ลั ง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 160 อตุ สาหกรรมหรอื สังคมสารสนเทศในปัจจุบัน ดังนั้นชุมชนและสังคมจงึ มีความเปลี่ยนแปลงท่ีซับซอ้ นเป็น แบบเมอื งมากขึ้น ความหมายของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นเมืองน้ัน ปทานุกรมสังคมศาสตร์ได้ให้ความหมายไว้ ดังน้ี 1. การกระจายของอิทธิพลสังคมเมือง ได้แก่ ขนบธรรมเนียมและลักษณะการณ์ของเมืองไปสู่ สงั คมชนบท 2. ปรากฏการณ์ของลักษณะการณ์สังคมเมืองเกิดข้ึนหรือลักษณะของสังคมเมืองในแง่ประชากร เช่น การปฏวิ ัติทางด้านวัฒนธรรมในชนบทไดก้ ลายเปน็ วัฒนธรรมแบบสงั คมเมือง 3. เป็นกระบวนการของประชากรที่มาอยู่รวมกันอย่างหนาแน่นหรือเป็นกระบวนการของการ เคล่ือนไหวจากท่ีไม่ใช่สังคมเมืองไปเพ่ือความสมบูรณ์แหล่งลักษณะการณ์ของเมืองท่ีประชาชนมารวมอยู่ อยา่ งหนาแน่น 4. เป็นกระบวนการของการรวมตัวอย่างหนาแน่นของประชากร ซ่ึงอัตราของประชากรในเมือง ตอ่ ประชากรทั้งหมดได้เพิ่มข้นึ สมศกั ดิ์ ศรีสันติสุข (2536 : 117-118) กลา่ วถึงค่านยิ ามของนลี แอนเดอร์สันทไี่ ดใ้ หค้ ำนยิ ามการ เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นเมือง คือ การที่ประชาชนจากชนบทย้ายถ่ินไปในเมืองเพื่อต้ังถ่ินฐานเป็นหลักแหล่ง ชาวชนบทเหล่าน้ีจะเปล่ียนไปสู่การมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเมืองหรือการเปล่ียนงานจากเกษตรกรรม ไปสู่งานที่ไม่ใช่เกษตรกรรม ตลอดจนการเปล่ียนดา้ นความคิดและพฤติกรรม แบบเมือง (Urbanism) ของ ประชาชนในชนบท ถึงแมจ้ ะไม่ไดย้ า้ ยถน่ิ เข้าไปอย่ใู นเมือง โดยมลี กั ษณะคตแิ บบเมือง ดังน้ี 1. วิถีการทำงาน เป็นแบบอุตสาหกรรม การขนส่ง การคา้ ขาย การบริการ เปน็ ตน้ 2. การเคลื่อนไหว เป็นการเคล่ือนย้ายของคนสูโ่ รงงานอตุ สาหกรรม การเปล่ียนย้ายจากงานหนึ่ง ไปสอู่ กี งานหนงึ่ ทไ่ี ม่เกยี่ วกับตำแหน่งท่งี ่ายกว่าหรือสงู กวา่ 3. การกระทำระหว่างกนั ทางสงั คมอยา่ งไม่เป็นบคุ คล ทีม่ คี วามสมั พนั ธท์ ไ่ี มร่ ้จู กั เพยี งพอ 4. การทำงานตรงเวลา เพราะชวี ติ ในเมืองจะมีลกั ษณะท่เี กีย่ วข้องกบั งานตลอดเวลา 5. การอยู่ภายในครอบครัวไม่ต้องพ่ึงพาญาติพี่น้องหรือเพ่ือนบ้าน เพราะมีเคร่ืองอำนวยความ สะดวกตา่ ง ๆ ครบครัน 6. มีการรู้จักดัดแปลงสิ่งธรรมชาติให้สวยงามข้ึนกระบวนการของการเปล่ียนไปสู่ความเป็นเมือง ในประเทศตะวันตกจะมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศนั้น สำหรับการเปลี่ยนไปสู่ ความเปน็ เมอื งในประเทศท่ีกำลงั พฒั นาน้ัน ปรากฏว่าการเติบโตของเมืองไม่ได้เป็นสัดส่วนกับอัตราของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และ การเพ่มิ ข้ึนของประชากร ซ่งึ เรยี กกระบวนการของการเปลีย่ นไปสคู่ วามเป็นเมืองในประเทศทก่ี ำลงั พัฒนา ว่า การเปล่ียนไปสู่ความเป็นเมืองมากเกินไป เป็นลักษณะท่ีการย้ายถ่ินของชาวชนบทจำนวนมากเข้าไป ในชุมชนเมือง ทำให้ประชากรเพ่ิมมากขึ้นอย่างรวดเร็วและความยากจนเกิดข้ึนในเมือง หรือเรียกว่า
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 161 การเปล่ียนไปสู่ความเป็นเมืองที่ไม่แท้จริง เน่ืองจากการเจริญเติบโตของเมืองไม่ได้สัดส่วนการพัฒนา เศรษฐกจิ และประชากรท่ีเพมิ่ ขึน้ อาจกล่าวได้ว่าการเปล่ียนแปลงไปสู่ความเป็นเมือง เป็นการกระจายอิทธิพลปรากฏการณ์ของ สังคมเมืองไปสู่ชนบท ทั้งท่ีเป็นการขยายอาณาบริเวณของเมืองออกไปให้ได้สัดส่วนกับประชากรที่อาศัย อยใู่ นเมือง และการทีป่ ระชากรในชนบทมารวมกันอย่างหนาแน่นและมอี ัตราของประชากรเพม่ิ ขึ้นแล้วทำ ให้เกิดการเปล่ยี นแปลงในด้านอาชพี วิถีชีวิต ความคิดและพฤติกรรมแบบเมือง เช่น เปล่ียนอาชีพและวิถี ชีวิตแบบเกษตรกรรมเป็นอตุ สาหกรรม การพาณิชยแ์ ละการบรกิ าร ความสัมพนั ธ์ทางสังคม การดำรงชวี ิต แบบอยา่ งของการจัดระเบียบที่เปน็ ทางการ ความคิดทเ่ี ปน็ แบบแผน เป็นตน้ จะเห็นได้ว่า กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นเมืองของประเทศกำลังพัฒนาจะไม่ มีความสัมพันธ์กับการพัฒนาอุตสาหกรรม จึงทำให้การเจริญเติบโตของเมืองไม่ได้สัดส่วนกับการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ และการเพิ่มขึ้นของประชากรหรอื เปน็ การเปล่ียนไปสู่ความเปน็ เมืองมากเกนิ ไป (Over Urbanization) ส่ิงเหล่าน้ีย่อมส่งผลให้เกิดปญั หาตา่ ง ๆ ขน้ึ มากมายในเมือง อาทิ เช่น การปรับตัว อาชญากรรม ที่อยู่อาศัย เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาจะต้องไม่มุ่งเน้นความเจริญเติบโตของเมืองเพียง ด้านเดียว ในทางกลับกันก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับชุมชนชนบทท่ีจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นเมืองและ ปญั หาตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ข้ึนหรอื อาจจะเกิดข้นึ ในชุมชนหรอื สังคมเมืองด้วยเช่นกัน กระบวนการเปลยี่ นแปลงไปสูค่ วามทันสมยั (Modernization) ภายหลังส้ินสุดสงครามโลกครั้งที่สอง แนวคิดในการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลกต่าง พากันมุ่งไปสู่ความทันสมัยซึ่งประเทศต่าง ๆ ที่ประสบกับปัญหาภัยสงครามและประเทศท่ีได้รับเอกราช ต่างพากันพัฒนาชุมชนท้องถิ่นของตนเองเป็นอย่างมาก ประกอบกับการที่องค์การสหประชาชาติได้ กำหนดให้เป็นทศวรรษแห่งการพัฒนาของโลก จึงส่งผลกอ่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดา้ นต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเร่ืองของการคิดประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วยการขอยืมการหรือยอมรับเอาเทค นิค แนวความคิดหรือวัตถุอ่ืน ๆ ของสังคมอื่น ๆ เข้ามาปรับใช้ให้เหมาะสมเข้ากับชุมชนของตน ความเจริญ ของระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ตลอดจนการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมท่ีส่งผลให้เกิดการเปล่ียนแปลง ตามมาดังกลา่ ว สเมลเซอร์ (Smelser, 1966 : 111) กล่าวว่า การเปลี่ยนไปสู่ความทันสมัย หมายถึง การเปล่ียนแปลง ทางเทคนิคด้านเศรษฐศาสตร์และการเปล่ยี นแปลงทางนิเวศวิทยา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมและ วัฒนธรรม เช่น การเปล่ียนแปลงทางการเมืองจากการปกครองชุมชนหมู่บ้าน มาเป็นระบบแบบข้าราชการ การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา คือ ลดการอ่านเขียนหนังสือไม่ได้และเพ่ิมความรู้ความชำนาญมากข้ึน การเปล่ียนแปลงทางศาสนา จากความเช่ือทางโลกเข้ามาแทนท่ีความเช่ือเก่า ๆ การเปลี่ยนแปลงทาง ครอบครัว ทำให้ความผูกพันทางเครอื ญาติพีน่ ้องลดลงและกล่าวเพิ่มเติมอีกวา่ การเปล่ียนแปลงไปสู่ความ ทนั สมยั มคี วามหมายควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจแตจ่ ะมีขอบเขตที่กวา้ งกว่า
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 162 มัวร์ (Moore, 1968 : 301-309) กล่าวว่า การเปล่ียนไปสู่ความทันสมัย คือ การเปลี่ยนแปลงระบบ ประเพณีมาเป็นแบบอย่างของประยุกต์วิทยาใหม่ ๆ และจัดองค์การอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์ในสังคม ซ่ึงแสดงถึงลักษณะเศรษฐกิจท่ีเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาทางเศรษฐกิจจนมีความม่ันคงทางการเมือง เหมือนประเทศตะวันตกและสรุปว่าการเปล่ียนไปสู่ความทันสมัยเกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจอาจกล่าวได้ว่า ลกั ษณะของการเปลย่ี นไปสคู่ วามทันสมยั ในสงั คมชนบทไทยนัน้ มีลกั ษณะดังน้ี 1. การจ้างแรงงาน เช่น จากการช่วยเหลือลงแรงกันในลักษณะการลงแขก ได้ปรับเปลี่ยนไปเป็น การใชต้ วั เงินเป็นสง่ิ ตอบแทน เช่น คา่ จ้าง คา่ ตอบแทน เป็นต้น 2. การประกอบอาชพี อ่ืนแทนการทำนา เช่น พอ่ ค้า ช่าง ข้าราชการ นักการเมอื ง เปน็ ตน้ 3. การใชป้ ระยุกต์วทิ ยาศาสตร์ใหม่ ๆ เช่น การใช้เครื่องจกั ร การใช้ปุ๋ยในการปรับสภาพดิน การ พัฒนาปรบั ปรงุ พันธ์ุพืชตา่ ง ๆ การควบคุมโรคและแมลง เปน็ ตน้ 4. การเล่ือนฐานะทางสังคม เช่น การได้รับการศึกษาสูงข้ึน ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงข้ึน ฐานะ ความเปน็ อยทู่ ดี่ ขี ึ้น เปน็ ต้น 5. การเปล่ียนแปลงความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น บทบาทของพ่อแม่ลดลง ลูกไม่เช่ือฟังและ ไม่ช่วยเหลืองานบา้ น ขาดความรบั ผดิ ชอบในครอบครวั เปน็ ต้น 6. การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในด้านศาสนา เช่น บทบาทของผ้นู ำ ศาสนาลดลง ความเชอ่ื ใน เร่ืองบญุ กรรม ความศรทั ธา ความยึดมน่ั และการปฏิบัติรวมถงึ พธิ กี รรมและพิธีการลดลง 7. เครอ่ื งอำนวยความสะดวก การนำเอาความทนั สมัยเข้ามาในชมุ ชน เช่น โทรทศั น์ ตู้เยน็ รถจักรยานยนต์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าหากมีถนน ไฟฟ้าเข้าถึงชุมชนเมื่อใด เครอื่ งอำนวยความสะดวกกจ็ ะตามมาดว้ ย 8. โลกทัศน์ต่าง ๆ จิตใจของประชาชนจะมีอย่สู ูง ซ่ึงจะเปล่ียนไปในอัตราท่ีเร็วกว่าแบบแผนชีวิต ท่ีปรากฏออกมาภายนอก (ด้านวัตถุ) โดยเฉพาะในด้านโลกทัศน์ที่เล็งเห็นคุณค่าของการศึกษา การยอมรับ การแสวงหาสิ่งใหม่และการนยิ มทำงานอย่างจริงจัง การเปล่ียนไปสู่ความทันสมัยเป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากชุมชนได้มีการ เปล่ียนแปลงไปสูก่ ารพัฒนาในด้านต่าง ๆ หลายด้าน ซ่ึงการพัฒนาทกี่ ลา่ วมาแลว้ นั้นมีผลต่อความทนั สมัย โดยสังเกตได้จากวิถชี ีวิตความเป็นอยู่หรอื พฤตกิ รรมของผ้คู นและความเจริญทางดา้ นวตั ถุ เป็นต้น 2.7 การเปล่ียนไปส่คู วามเป็นอุตสาหกรรม (Modernization) การเปล่ียนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมน้ันมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนไปสู่ความเป็นเมือง หมายความว่า การเปลี่ยนไปสู่ความเป็นเมืองเป็นวิถชี ีวิตท่ีเกิดข้ึนจากสงั คมท่ีได้กลายมาเป็นอุตสาหกรรม แลว้ ในขณะเดยี วกันการเปลี่ยนไปสคู่ วามเป็นอุตสาหกรรม เปน็ การแสดงถึงการเปล่ยี นไปสู่ความทันสมัย ในสังคมอกี ด้วย การเปลี่ยนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม คือ กระบวนการที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี หรือด้านเคร่ืองจักรต่าง ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนการผลิตภายในสังคมอย่างท่ัวถึง การเปลี่ยนแปลงไปสู่ ความเป็นอุตสาหกรรมจงึ มคี วามเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจภายในสังคมเป็นอย่างย่ิง เราอาจจะกลา่ วได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 163 ว่าการเปล่ียนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมนเ้ี ป็นกระบวนการทำลายระบบศกั ดินา นอกจากนก้ี ารเปลย่ี นไป สู่ความเป็นอุตสาหกรรมเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบทุนนิยมที่สำคัญ แน่นอนว่าชีวิตความเป็นอยู่ ของประชาชนในสังคมอตุ สาหกรรมจะมลี กั ษณะแบบสังคมเมืองหรือสังคมอสุ าหกรรม โดยท่ัวไปการเปลี่ยนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม อาจจะพิจารณาได้จากการเปลี่ยนแปลงทาง สงั คมจากสงั คมก่อนอตุ สาหกรรมมากลายเป็นสงั คมอตุ สาหกรรม การเปลี่ยนไปสูค่ วามเปน็ อุตสาหกรรมนี้ ในแง่ของการจัดระเบียบทางสังคม อาจจะพิจารณาการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนภายในระบบครอบครัว ระบบชนช้ัน ศาสนาและกฎหมาย เป็นต้น เราอาจจะกล่าวโดยสรุปว่า การเปล่ียนไปสู่ความเป็น อุตสาหกรรมเป็นการเปลี่ยนแปลงหรอื พัฒนาทางด้านเทคโนโลยี พลงั งานและทรัพยากรภายในสังคม เพื่อ ความก้าวหน้าในการผลิตของสังคมเป็นความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสังคม ซึง่ มีการจัดระเบียบจากสงั คมก่อนอุตสาหกรรม การเปล่ียนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมในสังคมหน่ึงจะมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ซึ่งเปน็ เง่อื นไขก่อน สง่ิ อ่นื ท่จี ะเปล่ียนไปสคู่ วามเป็นอุตสาหกรรมซ่ึงมพี นื้ ฐานต่อไปน้ี (วรวุฒิ โรมรัตน์พันธ์. 2554 : 104-105) 1. การพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านวัตถุ เนื่องจากทรัพยากรเป็นส่ิงจำเป็นต่อการโรงงานอุตสาหกรรม จงึ จำตอ้ งค้นควา้ หาทางพฒั นาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ๆ เพ่ือชว่ ยการจดั การกับทรัพยากรไปใช้ประโยชนม์ าก ทสี่ ุดและประหยดั ทสี่ ดุ 2. การพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรในสงั คมอตุ สาหกรรมสมยั ใหม่ความเจรญิ ทางด้านการเกษตร จะเป็นพ้ืนฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เทคโนโลยีทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นในด้านเครื่องจักร และอ่ืน ๆ ได้รับการพฒั นาในการส่งเสรมิ ทำใหก้ ารผลิตทางการเกษตรเพ่ิมขน้ึ จำนวนประชากรที่มีอาชีพ เกษตรกรรมจะลดลง เน่ืองจากประชากรจะเปลี่ยนอาชีพจากเกษตรกรรมไปสู่อาชีพอุตสาหกรรม ผลผลิต ทางการเกษตรเพียงพอท่ีจะเล้ียงประชากรท้ังประเทศได้และอาจมีส่วนหน่ึงส่งสินค้าออกไปยังประเทศ อ่ืนอีกด้วย 3. การพัฒนาการจัดระเบียบทางสังคม เป็นเร่ืองของการจัดระเบียบทางสังคมสมัยใหม่ท่ีเกิดข้ึน ภายในสังคมอุตสาหกรรม มีลักษณะของการแบ่งงานกันทำ มีผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทางด้านต่าง ๆ ความเป็นอยู่ในสังคมจะมีลกั ษณะเป็นทางการ การจัดการด้านบริการมีลักษณะท่ีเน้นถึงประสิทธิผลท่ีเห็น ได้ในเชิงปริมาณ สังคมอุตสาหกรรมน้ีเป็นลักษณะที่มีการจัดระเบียบทางสังคมใหม่ ซ่ึงแตกต่างจากสังคม กอ่ นอุตสาหกรรมท่ีมีอาชพี เกษตรกรรมเป็นส่วนมาก มีการพึ่งพาอาศยั กนั ระหวา่ งญาติพี่น้องและเพื่อนบา้ น 4. ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันทางการเมือง เป็นเรื่องท่ีมีความสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ในสังคมท่ีกำลังเปลี่ยนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม การอุตสาหกรรมสมัยใหม่จำเป็นต้องมีงานสัมพันธ์ ติดต่อกับนักการเมืองในการกำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรมและอื่น ๆ บางคร้ังการลงทุนเก่ียวกับอุตสาหกรรมจากประเทศอ่ืนจำเป็นต้องดูความมั่นคงของรัฐบาล มิฉะน้ันจะไม่ มีใครกลา้ ลงทุนในประเทศ 5. การพัฒนาคา่ นิยมแบบทุนนิยม ในประเทศอุตสาหกรรมประชาชนส่วนมากจะมีคา่ นยิ มในการ ลงทุน การกล้าเส่ียง การทำงานหนักและอ่ืน ๆ ลักษณะค่านิยมดังกลา่ วเป็นคุณสมบัติท่ีเหมาะสมสำหรับ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 164 ผนู้ ำด้านอุตสาหกรรม เนื่องจากการลงทุนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ทำให้เห็นได้ว่าการเปลี่ยนไปสู่ความเป็น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมซึ่ง จำเปน็ ตอ้ งพฒั นาแบบนายทนุ หรือทนุ นยิ มเพื่อทจ่ี ะไปพัฒนาการเปล่ียนไปสูค่ วามเปน็ อตุ สาหกรรมต่อไป เน่ืองจากการเปลี่ยนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมมีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เพ่ือท่ีจะได้เข้าใจกระบวนการของการเปล่ียนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม จะได้กล่าวถึงความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ โรสโตว์ ได้กล่าวถึงการเปล่ียนแปลงทางสังคมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม 6 ขั้นตอน ดังน้ี (โกวิทย์ พวงงาม, 2553 : 90) ขั้นท่ี 1 สังคมมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ตามแบบประเพณี เกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักแต่มี ลกั ษณะเพือ่ ยงั ชีพเพยี งพอภายในครวั เรอื น ยงั ไม่เพยี งพอทีจ่ ะนำไปขาย การสะสมทนุ ยังมีนอ้ ย ขั้นท่ี 2 สังคมกำลังที่จะเปลี่ยนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม มีเง่ือนไขที่จำเป็น คือ ประชาชนเริ่ม ตระหนักถึงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจซ่ึงสามารถจะสนองความต้องการของตนได้ การเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้น คือ การมีธนาคารเกิดขึ้น สถาบันการศึกษาได้ผลิตบุคคลท่ีจะทำงานในระบบเศรษฐกิจใหม่และท่ี สำคัญท่ีสดุ คือการเมืองมีอำนาจทจี่ ะปกครองประเทศ ขั้นที่ 3 สงั คมกำลังมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นลักษณะของสังคมที่กำลังทะยานขึ้นไปสู่ การเปลี่ยนไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรม เง่ือนไขอย่างหนึ่งสำหรับสังคมในข้ันน้ี คือ การมีสัดส่วนของการ ลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ของรายได้ประชาชาติ ระบบการเมืองและสังคมมีลักษณะท่ีสอดคล้องกับการ เปลย่ี นไปสคู่ วามเปน็ อุตสาหกรรม ขั้นที่ 4 สังคมมีความเจริญเต็มที่ ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ อยา่ งมาก สดั ส่วนของการลงทุนมีมากกวา่ รอ้ ยละ 20 ของรายได้ประชาชาติ ขน้ั ท่ี 5 สังคมมีความอยู่ดีกินดี มีการบริโภคที่เหมาะสมประชาชนได้รับสวัสดิการทางสังคมอย่าง ดีจากรัฐบาล ขั้นที่ 6 สังคมที่ประชาชนได้พยายามค้นหาชีวิตความเป็นอยู่และการบริโภคที่มีคุณภาพ ซ่ึงเป็น ลักษณะทว่ั ไปของสังคมอุตสาหกรรม ขั้นตอนต่าง ๆ ตามแนวความคิดของโรสโตว์ ท่ีสามารถจะอธิบายการเปล่ียนไปสู่ความเป็น อุตสาหกรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกันกับความเจริญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามการเปล่ียนไปสู่ ความเปน็ อตุ สาหกรรมนม้ี ีการเปลยี่ นแปลงทางสงั คม การเมอื งและวฒั นธรรมดว้ ย ปัจจุบันอุตสาหกรรมมีบทบาทหลักต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้มีความเห็นว่าใน หลายประเทศได้ดำเนินการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง ซึ่งถ้ามีการคำนึงถึงผลกระทบท่ี ตามมา อาทิ มลพิษ มลภาวะ การเสื่อมโทรมขอทรัพยากรธรรมชาติ ที่ส่งผลต่อชุมชนโดยเฉพาะด้าน สุขภาพ ส่ิงแวดล้อม เป็นต้น การสร้างกระบวนการสู่ความเป็นอุตสาหกรรมจะต้องไม่เป็นกระบวนการที่ ทำลายหรือสรา้ งปัญหาให้กับคนในชมุ ชนสังคม กับทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มโดยรวม ซึ่งเป็นไป ตามแนวทางของการพฒั นาที่ยง่ั ยนื นัน่ เอง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 165 การเปล่ียนไปสู่ระเบยี บบรหิ ารแบบราชการ (Bureaucratization) การเปลี่ยนไปสู่ระเบียบบริหารราชการเป็นกระบวนการหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ วัฒนธรรม มีความหมายถึง กระบวนการของการจัดระเบียบทางสังคมอย่างมีเหตุผล เพื่อท่ีจะปรับปรุง การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผล การเปล่ียนไปสู่ระเบียบบริหาร ระบบราชการมีความเกี่ยวข้องกับการเปล่ียนไปสู่ความทันสมัย การเปลี่ยนไปสู่ความเป็นเมืองและการ เปลี่ยนไปสู่ความเป็นอตุ สาหกรรม การเปลี่ยนไปสู่ระเบียบบริหารแบบราชการนี้ เป็นกระบวนการของการต่อเน่ืองการที่เกิดมีระเบียบ บริหารราชการเกิดขึ้นน้ีเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม จำเป็นต้องมีรูปแบบของการบริหาร และติดต่อซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์หรือกฎหมายอย่างมีเหตุและผล นอกจากนี้การจัดระเบียบการสังคม ในองค์กรใหญ่ ๆ จำเป็นที่จะตอ้ งมีระเบียบบริหารที่เหมาะสมเพ่ือให้การปฏบิ ัตงิ านดำเนินไปสู่จุดประสงค์ อย่างมีประสิทธิภาพตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมสมัยใหม่หรือสังคมอุตสาหกรรมจะต้องมีกระบวนการ ของการเปล่ยี นไปสู่ระเบยี บบริหารแบบราชการเพื่อที่จะทำให้การวางแผนตา่ ง ๆ ประสบความสำเรจ็ ปจั จัยตา่ ง ๆ ทม่ี ีผลต่อการเปล่ยี นไปสู่ระเบยี บบริหารราชการมดี งั ต่อไปน้ี 1. การเติบโตของขนาดการจัดระเบียบทางสังคมในองค์กรต่าง ๆ ถ้าหากการจัดระเบียบทาง สังคมขนาดเล็ก เช่น ครอบครัว เพ่ือนเล่น กลุ่มสังคมเล็ก ๆ มีการจัดระเบียบที่ไม่ซับซ้อนก็ไม่จำเป็นที่ จะต้องมีการจัดระเบียบบริหารแบบราชการ จนกว่าการจัดระเบียบทางสังคมขององค์กรใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร มหาวิทยาลัย บริษัทและโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ จำต้องมีการจัดระเบียบทางสังคมซึ่งเป็น การเปล่ียนไปสู่ระเบียบราชการแบบราชการ เพ่อื ให้การงานดำเนนิ ไปด้วยความเหมาะสม 2. การจัดระเบียบของสังคม ความมีเหตุผลในการทำงานเพ่ือให้การปฏิบัติตามระเบียบบริหาร แบบราชการในองค์กรต่าง ๆ ดำเนินไปได้นั้นจะต้องมีการจัดระเบียบของสังคมอย่างเหมาะสมด้วยไม่ว่า จะเป็นระเบยี บ กฎเกณฑแ์ ละข้อบังคับต่าง ๆ ซ่งึ จะตอ้ งมรี ะเบยี บอยา่ งดี 3. ความมีเหตุผลจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากภายในองค์กรยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบค่านิยม บรรทัด ฐานทางสังคม และระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างวิทยาศาสตร์ เน่ืองจากการทำงานในองค์กร ต่าง ๆ มีประชาชนเป็นจำนวนมากจำเป็นท่ีจะต้องให้ประชาชนมีแนวความคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นการ ทำงานแบบมีส่วนร่วม การติดต่อสัมพันธ์จึงเป็นแบบไม่เป็นทางการ และมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เพอื่ ที่จะทำใหก้ ารทำงานมปี ระสทิ ธิภาพ 4. การเปลี่ยนไปสู่ระเบียบบริหารแบบราชการ จำเป็นท่ีจะต้องมีเทคโนโลยีทางสังคมซึ่งเป็น ลักษณะของระเบียบบริหารแบบราชการ เวเบอร์ (Weber, 1946 : 329-341) กล่าวว่า ลักษณะของระเบียบ บรหิ ารแบบราชการ มดี งั ตอ่ ไปน้ี 4.1 แต่ละสถานภาพและบทบาทไดก้ ำหนดหนา้ ท่ีและความรบั ผดิ ชอบอย่างชดั เจน 4.2 กจิ กรรมทกุ อย่างดำเนนิ ไปตามกฎเกณฑ์และระเบยี บที่ได้กำหนดไว้ 4.3 การตัดสินใจทกุ เรอ่ื งขนึ้ อยู่กบั ความรทู้ างด้านวิชาการและเหตผุ ล ไม่ได้ข้ึนกับอารมณ์หรือ ความคดิ ส่วนตัว
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 166 4.4 กิจกรรมทุกอย่างได้มีการเขียนหรือบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและเก็บเอกสารอย่าง เป็นระบบ 4.5 ความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของบุคคลต่าง ๆ มีลักษณะไม่ใช่ส่วนตัวแต่ขึ้นอยู่กับหน้าที่ ตำแหน่งการงานและความรบั ผดิ ชอบ 4.6 ตำแหน่งต่าง ๆ มีขึ้นจากการทำสัญญาและเลือกจากความรู้ความสามารถที่ได้รับ การศึกษาอบรมหรอื งานทที่ ำ 4.7 การเล่ือนบทบาทของบุคคลข้นึ อยูก่ ับการทำงานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและมรี ะเบียบวนิ ัย 4.8 งานของปจั เจกบุคคลหนงึ่ ๆ เปน็ อาชพี ขนั้ พ้ืนฐานซง่ึ มีโอกาสทจี่ ะไตเ่ ต้าไปส่คู วามก้าวหนา้ ต่อไป 4.9 ปัจเจกบุคคลมีงานที่ม่ันคงเน่ืองจากการมีเงินเดือนท่ีแน่นอน ระบบการขึ้นเงินเดือนและ ระบบเบ้ยี บำนาญ เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทางหน่งึ ปรากฏว่า การเปลี่ยน ไปสรู่ ะเบียบบรหิ ารแบบราชการมีผลต่อการพฒั นาเศรษฐกจิ ดังต่อไปน้ี 1. ระเบียบบริหารแบบราชการสามารถจะให้บริการทางด้านกฎหมายที่จำเป็นและการบริหาร สาธารณชนแก่องค์การต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบการธนาคารและการจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเพื่อให้ องค์การต่าง ๆ ดำเนนิ งานไปดว้ ยดี 2. ระเบียบบริหารแบบราชการท่ีสามารถช่วยประกอบการจัดระบบโครงสร้างทรัพยากรของ ประเทศและเออื้ อำนวยในการพัฒนาเศรษฐกจิ 3. ระเบียบบรหิ ารแบบราชการจะช่วยใหอ้ งคก์ ารท่ลี า้ หลงั ไดร้ บั การพฒั นาท่เี หมาะสมข้นึ 4. ประเทศท่ีก้าวหน้ามาก ๆ ระเบียบบริหารแบบราชการ สามารถช่วยงานในด้านการเก็บภาษี เงนิ รายได้และนโยบายการลงทนุ ตา่ ง ๆ เพือ่ นนำไปสู่ความกา้ วหน้าทางเศรษฐกจิ อย่างไรก็ตามปัญหาท่ีมักจะประสบในประเทศท่ีกำลังพัฒนาท่ัว ๆ ไป ก็คือ ระเบียบบริหารแบบ ราชการมีลักษณะของความล่าช้า ปัญหาของการคอร์รัปชั่น การทำงานไม่ประสานงานระหวา่ งหน่วยงาน ต่าง ๆ ลักษณะดังกล่าวจะพบในหน่วยราชการมากกว่าหน่วยงานของเอกชน ท้ังนี้อาจจะกล่าวได้ว่า ปัจจัยต่าง ๆ ของการพัฒนาของการเปล่ียนไปสู่ระเบียบบริหารแบบราชการยังไม่ได้เหมาะสมอย่างเต็มที่ จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้วได้มีการพัฒนาระเบียบบริหารแบบราชการอย่าง รัดกุมและมีประสทิ ธภิ าพทำใหป้ ัญหาตา่ ง ๆ ลดนอ้ ยลง จากที่กล่าวมาท้ังหมดเก่ียวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสงั คมและวัฒนธรรม อาจกล่าวได้ว่า ลักษณะของกระบวนการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นล้วนแล้วมีเหตุสืบเน่ืองถึงกันและส่งผลกระทบต่อชุมชน ท้องถ่ินทั้งส้ิน กระแสของการเปลี่ยนแปลงท่ีเกดิ ข้ึนในชุมชนท้องถิ่นปัจจุบัน อาทิ กระแสทุนนิยม กระแส การเมอื งการปกครองแบบประชาธปิ ไตย กระแสการเชื่อมโยงส่ือสารเครอื ข่ายทางสังคม เป็นต้น ลกั ษณะ ของการเปลยี่ นแปลงที่เกดิ ขึ้น จึงมีความสลบั ซับซอ้ นมากข้ึนและมีความสัมพันธ์เชอ่ื มโยงกับส่วนต่าง ๆ ท่ี สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและวัฒนธรรม การเปล่ียนแปลงด้านเศรษฐกิจและการเปล่ียนแปลง ด้านการเมืองการปกครอง ท่ีได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนท้องถ่นิ ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับตัว เพ่ือการ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 167 ดำรงอย่แู ละพฒั นาตอ่ ไป ดังนัน้ การศึกษาด้านการพฒั นาจงึ ไมค่ วรมองแบบแยกสว่ น แตค่ วรมองงานดา้ น การพัฒนาท่ีมีลักษณะเชื่อมโยงแบบเป็นองค์รวม การศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลงจะเป็นการสร้าง กรอบในการมองการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ ในชมุ ชนได้ชดั เจ ปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนจากการเปลี่ยนแปลง การเปล่ียนแปลงในชุมชนและสังคมไทยน้ัน ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการเปล่ียนแปลง เพ่ือความเจริญก้าวหน้าหรือนำมาซึ่งการปรับปรุงแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาได้มากมายหลากหลาย ประการซึ่งผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้ อย่างน้อยทำให้ชุมชนเกิดการพัฒนา สังคมไทยเกิด ความก้าวหนา้ ประเทศชาติได้หลดุ พ้นจากการเป็นประเทศล้าหลงั หรอื ด้อยพัฒนารวมถงึ การกา้ วไปสู่การ เป็นประเทศกำลังพัฒนาซึ่งเป็นท่ียอมรับในสังคมโลกแล้วก็ตาม แต่ทว่ากระบวนการในการพัฒนาของ ชุมชนสังคมไทย เราจะพบวา่ ยังมีปญั หาอีกมากมายท่ีได้กอ่ ตัวข้ึนมาทง้ั ท่ีรู้ตัวหรอื ไม่รู้ตวั ก็ตามและสง่ ผลให้ ต้องมีการแกไ้ ขปัญหาดังกลา่ วต่อเน่ืองไมร่ จู้ บ ปรัชญา เวสารัชช์ (2555 : 296-297) ได้สรุปถึงมิติของปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากการเปล่ียนแปลง ในชมุ ชนสังคมไทย ดงั น้ี 1. ปัญหาการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ความพยายามในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอัน แสดงออกในรูปของนโยบายสำคัญต่าง ๆ นั้น ไม่จำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบสนับสนุนจากคน ในสังคมทุกเร่ือง อันที่จริงหลาย ๆ เร่ืองกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี โดยผู้ท่ีไม่เห็นด้วยกับทิศ ทางการดำเนินการของรัฐหรือถูกดึงให้กลายเป็นประเด็นโต้แย้งทางการเมืองจนก่อให้เกิดปัญหาได้ ตวั อย่างเช่น การพยายามสำรวจก๊าซธรรมชาติและสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติผ่านบางพื้นที่ อาจจะนำไปสู่ การต่อต้านของคนบางกลุ่มหรือกลายเปน็ ชนวนความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุม่ คนท่มี คี วามคดิ เห็นท่ีไมต่ รงกนั 2. ปัญหาค่าใช้จ่ายท่ีต้องมีในการสร้างความเปลี่ยนแปลง การดำเนินการให้เกิดการพัฒนานั้น จำเป็นต้องมีการลงทุนหรือต้องการใช้จ่ายทรัพยากรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรเงิน วัสดุอุปกรณ์ เวลา แรงงาน ทุน เป็นต้น ซ่ึงอาจก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ จากการแสวงหา การบริหารจัดการหรือการใช้ทรัพยากร ค่าใช้จ่ายดังกล่าว ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรหรือการพัฒนาอุตสาหกรรมพ้ืนฐาน ซ่งึ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นำมาซง่ึ การทำลายทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสภาพแวดล้อม การลงทนุ เรง่ รัดการ พัฒนาอุตสาหกรรม นำมาซึ่งการลงทุนนำเข้าเครื่องจักรกลในการผลิตเป็นจำนวนมากหรือการจัดทำ โครงการพัฒนาต่าง ๆ ซึง่ มคี ่าใชจ้ ่ายมาก นำมาซ่ึงโอกาสในการทจุ ริตประพฤตมิ ิชอบ เปน็ ต้น 3. ปัญหาอันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการเปล่ียนแปลง การเปลี่ยนแปลงพัฒนาซ่ึงประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมาย ในเรื่องหนึ่งอาจนำไปสปู่ ัญหาอน่ื ท่ีไม่คาดคิดมาก่อน ตัวอย่างเช่น การพัฒนาภาคอตุ สาหกรรม นำมาซึ่งการโยกย้ายถิ่นฐานของคนชนบทเข้ามาหางานทำในเมือง ก่อให้เกิดปัญหาชุมชนแออัด ความไม่ เพียงพอในการให้บริการสังคม การกำเนิดของลัทธิวัตถุนิยมและปัญหามลภาวะ เป็นต้น ทำให้ต้องมีการ แกไ้ ขปัญหาตอ่ ไปอกี อย่างตอ่ เนื่อง 4. ปัญหาความไม่สมดุลของการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบ มิติด้านต่าง ๆ ของสังคมเสมอ วิธีการเปล่ียนแปลงท่ีดีที่สุดก็คือ การคาดคะเนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 168 ในด้านต่าง ๆ และมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดดุลยภาพหรือความสมดุลของการ เปลี่ยนแปลง กล่าวคือไม่ทำให้เกิดการพัฒนาที่เน้นหนักเพียงด้านใดด้านหน่ึงจนก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อการพัฒนาด้านอ่ืน ๆ ท่ีจำเป็น ตัวอย่างเช่น การพัฒนาวัตถุโดยไม่ใช้ความพยายามพัฒนาด้านจิตใจ ย่อมนำมาซึ่งสถานการณ์ความรุนแรง การเอารัดเอาเปรียบ ความเห็นแก่ตัวและการกอบโกยของคนบาง กลุ่มในสังคม เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเร่ืองยากย่ิงท่ีสังคมใดจะสามารถพัฒนาระบบการเปล่ียนแปลงท่ีสามารถ รองรับหรือป้องกันปญั หาแทรกซอ้ นอ่นื ๆ ได้อย่างกลมกลืนหรอื มีประสิทธภิ าพไดอ้ ย่างแท้จริงซึ่งสามารถ สรปุ มิตขิ องปญั หาทเ่ี กิดขนึ้ จากการเปล่ยี นแปลงในชมุ ชนสงั คมไทย ดังตารางที่ 2 ได้ดังนี้ ปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการเปลยี่ นแปลงในสังคมไทย ปญั หาการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ปญั หาคา่ ใช้จา่ ยท่ตี ้องมใี นการสร้างความ เปลย่ี นแปลง ปัญหาอนั เป็นผลตอ่ เนอ่ื งมาจากการเปล่ยี นแปลง ปญั หาความไม่สมดลุ ของการเปล่ียนแปลง ตารางท่ี 5.1 มติ ปิ ัญหาท่เี กดิ ข้ึนจากการเปล่ยี นแปลงในชุมชนสังคมไทย ทีม่ า : ปรับปรุงจากปรชั ญา เวสารชั ช์ (2555 หน้า 296-297) ดังท่ีได้กล่าวแล้วในเบื้องต้นย่อมจะเห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเร่ืองปกติ การเปล่ียนแปลง อาจเป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาหรือป้องกันปัญหา แต่การเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งปัญหาอื่นท้ังที่คาดคิด หรอื ไม่คาดคดิ ก็ได้ การดำเนินงานดา้ นการพฒั นาระดับชุมชน สังคมและประเทศชาติ จงึ เป็นเร่ืองของการเผชิญ กับการเปลีย่ นแปลง สรา้ งการเปลีย่ นแปลง พรอ้ มกันน้ันก็ยงั เป็นการแก้ไขปัญหาอยา่ งต่อเน่ืองไม่รู้จบ 3. การเปลี่ยนแปลงบริบทปัจจุบันทีส่ ง่ ผลกระทบต่อการศึกษา การแพร่ระบาดของ COVID 19 การแพร่ระบาดของ COVID 19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการศึกษาทุกระดับท่ัวโลก ทำให้ สถานศึกษาเกือบทุกแห่งท่ัวโลกต้องปิดการเรียนการสอน จากข้อมูลของ World Economic Forum (2020) อ้างถึง UNESCO มีจำนวนนักเรียน 1.38 พันล้านคน ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานศึกษาซึ่งเป็น ผลกระทบต่อเน่ืองอย่างกว้างขวาง และเกิดการปรับเปลี่ยนระบบการจัดการศึกษาท่ีเด่นชัดที่สุด คือ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 169 การเรียนการสอนท่ีต้องดำเนินงานต่อ มิให้หยุดชะงักเพราะจะส่งผลต่อคุณภาพของนักเรียน นั่นก็คือ คุณภาพของประชากรในอนาคต จึงมีการปรับการเรียนสอนในหลายรูปแบบ เกิดนวัตกรรมทางความคิด เป็นความคิดกระทันหัน ไม่มีการเตรียมการก่อนล่วงหน้า มีรูปแบบใหม่ทางการเรียนการสอน จาก นักเรียนไม่สามารถมาโรงเรียนได้ แต่สามารถเรียนได้ แนวคิดทางการเรียนการสอนทางไกลโดยใช้ส่ือ ออนไลน์ จงึ ระดมเขา้ มาชว่ ยแกป้ ัญหาทางการเรียนการสอน การทำงานก็เชน่ เดยี วกนั ทง้ั ครแู ละพนักงาน ก็ทำงานท่ีบ้านช่วงระบาดหนัก แต่ไม่สามารถดำเนินงานได้สมบูรณ์ เพราะทางโรงเรียนและนักเรียน บางส่วนไม่สามารถหาเคร่ืองมือทางการเรียนได้ครบ เช่น สมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพดี ผู้ปกครองก็เดือดร้อน เพราะระบบเศรษฐกิจหยุดชะงัก คนตกงานจำนวนมาก ซ่ึงถือว่าเป็นกระทบท่ีรุนแรง อาจจะรุนแรงกว่า เกิดสงครามโลก เพราะมีคนเสียชวี ิตจำนวนมาก 7 แสนคน จากข้อมูล ศปค. 10 สิงหาคม 2563) และติด เชื้อระบาดกระจายเป็นทวีคูณ ผลกระทบต่อทางการศึกษาคร้ังนี้ มีผลโดยตรงต่อนักศึกษาซึ่งเป็นกำลัง ของชาติ และสง่ ผลกระทบในระยะยาว ทำให้เกดิ ระบบการจดั การศึกษาในรปู แบบใหม่ สถาบนั การศึกษา ทุกระดับต้องปรับตัวในสถานการณ์ปัจจุบัน และต้องเตรียมเพ่ืออนาค ในบทความน้ี จึงมีวัตถุประสงค์ เพ่ือวิเคราะห์ผลกระทบของ COVID -19 ต่อระบบการศึกษา โดยเฉพาะการเรียนการสอน การเข้าสู่ชีวิต วถิ ใี หม่ (New Normal) และการออกแบบการศึกษาในชวี ติ วิถใี หม่ การระบาดของไวรัสโคโรนาในปลายปี 2562 จากเมืองอู่ฮั่น จนถึงปัจจุบัน (19 สิงหาคม 2563) ได้มีการระบาดไปทั่วโลก ซ่ึงต่อมา WHO ได้ประกาศตั้งชื่ออย่างเป็นทางการสำหรับเช้ือไวรัสโคโรนาสาย พันธุ์ใหม่ 2019 ว่า COVID-19 ซ่ึงย่อมาจาก \"coronavirus disease starting in 2019” หรือโรคไวรัสโคโรนา ท่เี ร่ิมตน้ ในปี 2019 และต่อมา วันที่ 11 มีนาคม 2563 องค์การอนามยั โลกได้ประกาศให้การระบาดนี้เป็น โรคระบาดทวั่ ไป ปัจจบุ ัน (19 สิงหาคม 2563) มผี ตู้ ิดเชื้อยืนยันแล้วท่ัวโลกจำนวนทงั้ สิน้ 21,991,954 คน ในเสียชีวิตจากโรคระบาดแล้ว 777,018 คน ขณะที่มีผู้หายป่วยแล้ว 13,981,129 คน สำหรับประเทศ ไทยซึ่งเป็นประเทศแรกท่ีมีการพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 นอกประเทศจีน พบผู้ติดเช้ือรายแรกเมื่อวันท่ี 13 มกราคม 2563 และปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อท่ียืนยันแล้ว 3,382 คน จำนวนผู้เสียชีวิต 58 คน และผู้ปว่ ยทีม่ กี ารรกั ษาและหายแล้ว 3,199 คน (วิกพิ เี ดยี . 2563) สำหรับการแพร่เช้ือของไวรัสชนิดน้ีมีการแพร่เช้ือระหว่างคนในลักษณะเดียวกับไข้หวัดใหญ่ โดยผ่านการติดเช้ือจากละอองเสมหะจากการไอ สำหรับการสัมผัสผู้ติดเชื้อผู้สัมผัสจะมีอาการแสดง โดยทั่วไป 5 วัน อย่างไรก็ตามอาจจะมีระยะการฟักตัวก่อนแสดงอาการได้ถึง 14 วัน ลักษณะอาการของ ผูต้ ดิ เชื้อโดยทัว่ ไปทีพ่ บบอ่ ย ไดแ้ ก่ มไี ข้ ไอแหง้ ๆ ไม่มเี รยี่ วแรง ไอแบบมเี สมหะ อยู่ระหวา่ งรอ้ ยละ 38-88 และการหายใจลำบาก เจบ็ คอ ปวดกลา้ มเนอ้ื ปวดหัวและหนาวส่นั อยรู่ ะหวา่ งรอ้ ยละ 11-18 การรักษามุ่งเป้าไปที่การจัดการกับอาการและการรักษาแบบประคับประคองและสำหรับมาตรการ ป้องกัน คือ การล้างมือ การอยู่ห่างจากบุคคลอื่นโดยเฉพาะกับบุคคลท่ีป่วย สำหรับบุคคลท่ีต้องสงสัยว่า อาจจะมีการติดเช้ือต้องกักตัวห่างจากบุคคลอื่น ๆ เป็นเวลา 14 วัน สำหรับค่าระดับการติดเชื้อพื้นฐาน (จำนวนเฉล่ียของบุคคลที่บุคคลท่ีติดเชื้อมีแนวโน้มจะแพร่ใส่) ระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์ของไวรัสอยู่ท่ี ประมาณ 2.13 ถึง 4.82 ซึ่งคล้ายกับไวรัสโคโรนาสายพันธ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 170 (SARS - CoV) สำหรับการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิดจะมีระยะตั้งแต่การพัฒนาการของโรคจนถึง แก่ชีวิตจะอยู่ระหว่าง 6-41 วัน ซึ่งบุคคลท่ีเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย ท่ีมีอายุมากกว่า 60 ปี และ นอกจากน้ันมีปญั หาทางด้านสุขภาพ เช่น เบาหวาน และโรคหวั ใจหลอดเลือด การแพร่ระบาดของโควดิ -19 สรา้ งผลกระทบต่อการศกึ ษาไทยท่ีสำคญั 3 ประการ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าหรือโควิด-19 ส่งผลให้นักเรียนไทยกว่า 15 ล้านคนต้องหยุดเรียน ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม หมายความว่า นักเรียนไทยจะไม่ได้เรียนเป็นเวลาถึงหน่ึงในสามของปีการศึกษา แม้กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดนโยบายที่จะยกเลิกวันหยุดเพื่อชดเชยเวลาเรยี นที่หายไป แตก่ ารขาดเรียน สะสมก็ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวนักเรียนในระยะยาว และเมื่อถึงเวลาน้ัน ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชา สังคมรวมถึงทุกหน่วยงานของไทยจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพ่ือลดผลกระทบเชิ งลบที่จะเกิดข้ึนกับ เยาวชนของชาตเิ หลา่ นีไ้ มเ่ ช่นนั้นแล้วประเทศไทยอาจไดร้ บั ผลกระทบเชงิ ลบอยา่ งมหาศาลในอนาคต โรคโควิด-19 ถือนับเป็นวิกฤติที่ทั่วโลกต่างเผชิญอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลทุกประเทศพงึ รบั ฟังมมุ มอง และความคิดเห็นของบุคลากรทางการแพทย์และผู้เช่ียวชาญด้านสาธารณสุขเป็นสำคัญในการรับมือและ เตรียมมาตรการลดการแพรร่ ะบาดในกลุ่มประชาชนได้อย่างรัดกมุ และเหมาะสม ซึ่งบางคร้ังบางมาตรการ อาจสร้างผลกระทบต่อสังคมในด้านอ่ืน ๆ อาทิ ผลกระทบต่อระบบการศึกษาซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งในวิกฤติ ที่ร้ายแรงที่สุดต่อจากน้ีก็เป็นได้ หากกลับมาพิจารณาว่าอะไรคือ ผลกระทบที่จะต้องได้รับการจัดการให้ ทันกาลมลู นธิ ิคีนันแห่งเอเซยี จงึ ได้ทำการวเิ คราะห์และสรุปเปน็ ประเด็นทีส่ ำคัญ 3 ประการ ดงั น้ี 1) ความเหล่ือมล้ำและไม่เท่าเทียมทางการศึกษาที่อาจเพิ่มมากข้ึนเราทุกคนสังเกตเห็นว่าความ เหลื่อมล้ำและโอกาสเข้าถึงระบบการศึกษาท่ีมีคุณภาพนับเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ช่องว่าง ระหว่างโอกาสเข้าถึงการศึกษา และความพร้อมทางด้านอุปกรณ์รองรับการเรียนเพ่ิมมากข้ึนอย่างชัดเจน เห็นได้จากนักเรียนในโรงเรียนนานาชาตแิ ละโรงเรยี นรฐั ที่มีช่ือเสยี งในกรงุ เทพ ฯ สามารถเข้าถึงการเรียน การสอนผ่านทางระบบออนไลน์หรืออีเลิร์นนิ่ง (E-Learning) อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อตอ้ งกกั ตัวอยู่ท่ีบ้าน ในขณะท่ีมีนักเรียนไทยอีกหลายล้านคน โดยเฉพาะเด็กในโรงเรียนขยายโอกาส ท่ีผู้ปกครองของพวกเขา ยากจน กลบั ทไ่ี มม่ ีเงินทจ่ี ะซ้ือคอมพวิ เตอร์หรือโนต้ บุ๊คเพ่อื เรยี นหนงั สือผ่านชอ่ งทางออนไลนไ์ ด้ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลากกิจการต่างเลิกกิจการและลดตำแหน่งงาน อาจทำให้ ผู้ปกครองของนักเรียนกลุ่มนี้ ต้องถูกเลิกจ้างหรือไม่มีงานประจำท่ีม่ันคงน้ีก็จะย่ิงสร้างความลำบากต่อ สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขายิ่งข้ึน ยิ่งการแพร่ระบาดคร้งั น้ีใช้เวลานานมากเท่าไร ก็จะย่ิงสร้างช่องว่าง ของความไม่เทา่ เทียมทางการศึกษาใหข้ ยายกว้างยงิ่ ขึ้นเท่านน้ั 2) ประสิทธิภาพของการเรียนการสอนท่ียังมีไม่พอเพียงเราต้องยอมรับว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะสร้างการเปล่ียนแปลงอย่างถาวร เราอาจไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตเฉกเช่นปกติได้อย่างที่หวัง เช่น เมื่อครูไม่สามารถดำเนินการสอนด้วยตนเองในห้องเรียนได้อย่างที่ควรจะเป็น ผู้กำหนดนโยบายด้าน การศึกษาจึงต้องพิจารณาช่องทางการเรียนรู้อื่น ๆ ทดแทนแต่น่าเสียดายท่ีประสิทธิภาพของระบบการ เรียนการสอนแบบออนไลน์ หรืออีเลิร์นนิ่ง (E-Learning) ของเรายังไม่เพียงพอ มีครูเพียงไม่กี่ท่านที่ได้รับ การฝึกอบรมเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน อีกทั้งนักเรียนจำนวนมากยังขาดแคลนอุปกรณ์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 171 การเรยี นผา่ นระบบเทคโนโลยีทีจ่ ำเปน็ โดยเฉพาะนักเรียนในพ้นื ท่ชี นบท แม้วา่ ขณะนก้ี ระทรวงศึกษาธกิ าร กำลังพิจารณาหาทางแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนโดยมีแนวคิดที่จะมอบแท็บเล็ตให้กับครูและนักเรียนท่ีมีความจำ แต่น้ันก็อาจไม่อเพราะการมอบแท็บเล็ต ก็อาจไม่ช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพเท่าที่หวังไว้ เพรา ะ หากครูไม่ได้รบั การอบรมหรือไม่มีประสบการณ์ในช้ันเรียนออนไลน์มาก่อนก็ไม่เข้าใจว่าเม่ือนักเรียนเรียน ออนไลน์จะรู้สึกอย่างไร ขาดเทคนิคในการติดตามการเรียนรู้แบบออนไลน์ ท้ังยังยึดถือรูปแบบการเรียน แบบท่องจำ อุปกรณ์แท็บเล็ตอาจจะทำหน้าที่ได้เพียงทดแทนกระดานดำ หากครูยังเน้นการสอนโดยการ บรรยายนาน ๆ และไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมกับช้ันเรียน นักเรียนก็จะขาดโอกาสฝึกฝนปฏิบัติ หรือลงมือค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง รวมทั้งอาจจะขาดการเรียนรู้เทคโนโลยีจากตัวอุปกรณ์แท็บเล็ต ที่ตนเองมีโอกาสครอบครอง การเรียนรู้แบบน้ีไม่เพียงแต่จะทำให้นักเรียนเกิดความเบ่ือหน่ายเท่านั้น หากแต่ยังไมส่ ่งเสริมประสทิ ธภิ าพการเรยี นรู้ คิดวิเคราะหข์ องนักเรียนอีกด้วย 3) ระบบส่งเสริมและสนับสนุนการสอนออนไลน์ของครูยังไม่เพียงพอเราทุกคนตระหนักดีว่าครู คือแม่พิมพ์ของชาติผู้อยู่เบ้ืองหลังความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากรมนุษย์สำหรับสร้างอนาคตของชาติ แมพ้ วกทา่ นจะมีรายได้ที่ไม่มากนกั หากแตก่ ม็ ีความมุ่งม่ันและอยากมีสว่ นรว่ มท่ีสำคัญที่ไดช้ ่วยสร้างคนให้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังจะเห็นจากเม่ือเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในคร้ังนี้ ครูไทยจำนวนไม่น้อย ที่ออกเย่ียมบ้านเพ่ือติดตามความเป็นอยู่ของนักเรียนตน เพื่อประเมินความพร้อมในการเรียนวิถีใหม่ แต่อย่างไรก็ตามครูหลายท่านยังรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในด้าน วิชาการ การปรับกระบวนการเรียนการสอน หลากครั้งเม่ือมีการเปล่ียนแปลงหรือประกาศแบบเร่งด่วน แต่ยังไม่ได้รับการชี้แจงหรือแจ้งนโยบายท่ีแน่ชัดจากผู้อำนวยการโรงเรียนท่ีตนเองสังกัด ก็อาจทำให้ครู เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่าจะเร่ิมต้นวิธีการสอนผ่านระบบออนไลน์อย่างไร รวมถึงการติดตาม ความก้าวหน้าการเรียนรู้และประเมินผลสัมฤทธ์ิการศึกษาว่าจะปรับเปล่ียนอย่างไร รวมทั้งการให้ความ ช่วยเหลอื นกั เรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมีสภาพความเป็นอย่ทู ่ีลำบาก เป็นต้น ทุกวกิ ฤติมโี อกาสสำหรบั การเปลยี่ นแปลง การหยุดชะงักในคร้ังน้ีทำให้เรามีเวลาหันกลับมาพิจารณามองหาโอกาสท่ีจะสร้างระบบ การศึกษาของไทยให้มีคุณภาพ การเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาท่ีเน้นท่องจำอันล้าสมัย นับเป็นข้อจำกัด สำหรับการพัฒนาของนักเรียนไทยมายาวนานหลายทศวรรษ ภายใต้วิกฤติท่ีเรากำลังเผชิญเราสามารถ เลือกที่จะใช้วิธีการแบบด้ังเดิม หรือนำวิธีการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มาใช้ โดยช่วยให้ครูทุกคนสามารถ เข้าถึงการเรียนการสอนที่เน้นผลลัพธ์ขั้นสูง (High-impact Learning) เพ่ือที่จะได้กลับมาถ่ายทอด สนู่ กั เรียนผูเ้ ปน็ อนาคตของประเทศชาติต่อไป ครูของไทยควรได้รับการปรับมุมมองต่อการเรียนการสอน ผ่านการฝึกอบรม เรียนรู้เทคนิค กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียน และประยุกต์ใช้สื่อการเรียนการสอนและเทคโนโลยีท่ีจำเป็น สำหรับการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ท้ังนี้ ครูเองจะต้องเป็นผู้ท่ี แสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ และหมั่นเรียนรู้สิง่ ใหม่ ๆ เพ่ือนำมาปรับให้เข้ากับกระบวนทัศน์ใหม่ โดยเฉพาะ การผสมผสานระหวา่ งการสอนแบบออนไลน์ และการสอนในช้นั เรียนปกติ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 172 ครูควรต้องได้รับการติดอาวุธให้สามารถมีกระบวนการสอนที่เน้นผลลัพธ์ขั้นสูง( High-impact teaching practices) เช่น การเรียนรู้ด้วยการใช้โครงงานเป็นฐาน อันเป็นกระบวนการที่จะกระตุ้นการ มีส่วนรว่ มของนักเรียนโดยใชโ้ ครงการเป็นส่อื การเรียนรู้ ฝึกตัง้ คำถาม และคน้ ควา้ บนั ทึก และหาทางออก เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แนวทางปฏิบัติน้ีถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนานักเรียนด้วยทักษะแห่ง ศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงเป็นทักษะสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งสร้างให้เกิดความได้เปรียบเชิงแข่งขันด้าง ทรพั ยากรมนษุ ย์ของไทยเพื่อขบั เคล่ือนประเทศไทยใหเ้ ตบิ โต กา้ วหนา้ อย่างยั่งยืน สิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงภาพในอุดมคติ หรือสร้างเกิดข้ึนได้จริงหรือไม่ ก็คงเป็นคำถามที่หลาย ๆ คน สงสัยมูลนิธิคีนันแห่งเอเซียเชื่อว่าเราสามารถสร้างให้เกิดข้ึนได้ เพราะประสบการณ์ในการจัดทำโครงการ ทำให้เราได้เห็นผลลัพธ์ท่ีเป็นรูปธรรม และการยอมรับจากครูที่หลาย ๆ ท่านท่ีเคยได้รับโอกาสเข้าร่วม โครงการพัฒนาวิชาชีพครูมากอ่ นหน้าน้ี ว่าสามารถช่วยให้ผวกเขาปรับการสอนท่ีกระตุ้นเด็กนักเรียนของ ตนให้เกดิ ความอยากรู้และเร่ิมต้ังคำถามมากขน้ึ ทั้งยงั กระตือรือรน้ ทีจ่ ะมาเข้าเรยี น การแพร่ระบาดของไวรสั โคโรน่าหรอื โควิด-19 ยงั คงเป็นปัญหาใหญ่ในทุกภาคส่วน เราจะไม่ยอม ให้วิกฤติวันนี้ ทำให้เราสูญส้ินความหวังในอนาคต ในทางกลับกันเราจะพลิกสถานการณ์น้ีมาเป็นโอกาส เพ่ือพัฒนาระบบการศึกษาของไทยและสานฝันให้นักเรียนของเราสามารถเดินทางไปสู่เส้นทางอาชีพ ในอนาคตข้างหนา้ ที่ดยี ง่ิ ข้ึนได้อยา่ งไร 4. บทสรุป ภาวะและปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนต่อเน่ืองกันตลอดเวลา โดยจะมีความแตกต่างกันในช่วงระยะเวลา หนึ่ง ๆ ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมจะมีความเก่ียวเนื่องสมั พันธ์กัน เพราะถ้าสังคมเปลี่ยนวัฒนธรรมก็เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้น คำว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและคำว่าการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม จึงมักมารวมกันเป็นคำว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมเพ่ือเป็น การง่ายต่อการอธิบาย โดยการเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมมีปัจจัยท่ีก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลง ปจั จยั ภายใน ไดแ้ ก่ ปัจจัยทางธรรมชาติ ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางวัฒนธรรม ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทาง การเมือง มีปัจจัยท่ีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอก ได้แก่ การติดต่อระหว่างสังคมที่หลากหลาย และการกระทบกระทั่งระหว่างสังคม โดยมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีประกอบด้วย กระบวนการเปล่ียนแปลงไปสู่ความเป็นเมือง กระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย กระบวนการ เปลีย่ นแปลงไปสู่ความเป็นอุตสาหกรรมและกระบวนการเปล่ียนไปสรู่ ะเบยี บริหารแบบราชการชุมชนหรือ สังคมไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมโลกซ่ึงจะมีการเกิด ข้นึ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเปล่ียนผ่านยุคของความเจริญในด้านต่าง ๆ ที่เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และสารสนเทศเข้ามามีส่วนสำคัญในการเปิดพ้ืนที่ของโลกให้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ผ่านระบบ เครือข่ายทางสังคม (Social Network) จนนำไปสู่ยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) มีการเปิดรับข้อมูลได้ อย่างท่ัวถึงกันในทุกพื้นท่ี ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน ชุมชน สังคม ประเทศ ภูมิภาค โลก จนกระทั่งก่อให้เกิด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 173 การเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซ่ึงกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเร่ืองปกติธรรมดาของ สังคมมนุษย์ ทุกชุมชนสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่าง ๆ กัน ไม่มีชุมชนสังคมใดสามารถยืน หยดั รกั ษาสถานะของตนเองไดต้ ลอดเวลา ดังนั้น การทำความเข้าใจหรือศึกษาถึงการเปล่ียนแปลงทางสังคม ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง กระบวนการเปลี่ยนแปลง และอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ที่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงจึงมี ความสำคัญอย่างย่ิงสำหรับผู้ที่เก่ียวข้องกับงานด้านการพัฒนาทุกภาคส่วน เพื่อที่จะสามารถกำหนดทิศ ทางการพัฒนาและดำเนินการพัฒนาให้ไปสู่ความสมดุลและย่ังยืน ซึ่งผลกระทบที่ส่งผลต่อการศึกษาไทย ในปัจจุบันสามารถสรุปภาพรวมได้ดงั น้ี 1. การศกึ ษา ระบบสังคมเปน็ ผู้สง่ ตัวปอ้ นสู่ระบบการศึกษา 2. มีอทิ ธพิ ลในการกำหนดจุดมงุ่ หมายของการศกึ ษา 3. ใหแ้ หลง่ เรยี นรู้ในลกั ษณะต่าง ๆ 4. ควบคมุ การบริหารจัดการศึกษา คำถามทบทวน 1. สภาวะเศรษฐกิจในช่วง 5 ปี (พ.ศ. 2559-2564) ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูแล นักเรียน ของผู้ปกครองอยา่ งไรบ้าง จงยกตวั อยา่ งมา 3 ขอ้ 2. จากสถานการณ์โรคระบาด covid19 ในช่วง 2 ปีท่ีผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ ทางการศึกษาของนักเรยี นจากพื้นท่ีตา่ ง ๆ ในดา้ นใดบ้าง 3. การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ฉบับ พ.ศ. 2560 วิชาวิทยาศาสตร์ มกี ารเพ่ิมวิชาประยกุ ต์ วิชาใดเขา้ มาในหลกั สูตร 4. จากปัญหาผลกระทบ สถานการณ์โรคระบาด covid-19 น้ัน ทำให้กระทบการทดสอบ ระดับชาติ (o-net) อย่างมาก หากนักเรียนสามารถเสนอแนวทางการแก้ปัญหาได้ นักเรียนจะเสนอวิธี แกป้ ัญหาอย่างไร จงอธิบายพอสงั เขป 5. ในปัจจุบันเป็นท่ียอมรับว่า นักเรียนมีการต่ืนตัว ในเร่ืองสิทธิเสรีภาพของบุคคลกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย ทรงผม สิทธิในการแสดงความคิดเห็นในฐานะที่ท่านจะไปเป็นครู ท่านจะช้ีแนะ หรอื อธิบายให้นกั เรยี นเขา้ ใจในเรือ่ งสิทธิเสรภี าพอยา่ งไร 6. จงยกตัวอยา่ งเทคโนโลยี, โปรแกรม, แอพพลเิ คช่นั ทสี่ ามารถนำมาใชค้ วบค่กู ับการสอนได้ 1 ตวั อยา่ ง พร้อมระบุประโยชน์และอธิบายวธิ กี ารใช้งานเบอื้ งตน้ 7. ปัญหาการว่างงาน จากความไม่สมดุลของจำนวนนักศึกษาครู กับอัตราการสอบเข้าบรรจุเป็น ครผู ชู้ ่วย แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ปัญหาใด 8. ท่านคิดเห็นอยา่ งไร กบั การเรียนการสอนออนไลน์ จงบอกขอ้ ดี/ข้อเสยี อย่างละ 2 ข้อ
174 เอกสารอา้ งอิง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง ทางสงั คม. [ม.ป.ป.]. [ระบบออนไลน]์ . เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://agecon- extens.agri.cmu.ac.th/Course_online/Course/352332/4.pdf สืบคน้ ข้อมูลเม่ือวนั ที่ 8 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564. คอลมั น์ Productivity Food for Thought หนังสือพมิ พก์ รุงเทพธุรกจิ . ความหมายและ ความสำคัญของบริบท. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก : http://novabizz.com/NovaAce/Relationship/context.htm สบื คน้ ข้อมลู เม่ือวันที่ 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. พจนา วลยั . การเปลยี่ นแปลงของสังคม. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงจาก : https://prachatai.com/journal/2016/01/63691 สบื คน้ ขอ้ มูลเมื่อวันที่ 8 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏรำไพพรรณณี. การเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม. [ม.ป.ป.]. [ระบบ ออนไลน]์ . เข้าถึงไดจ้ าก : http://www.epub.rbru.ac.th/pdf-uploads/thesis-158- file06-2016-10-19-12-45-00.pdf สืบค้นขอ้ มลู เม่ือวนั ที่ 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. รองศาสตราจารย์บําเพญ็ เขียวหวาน. การเปลี่ยนแปลงทางสงั คมไทยและสังคมโลก. [ม.ป.ป.]. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://edupol.org/eduOrganize/eLearning/generalStaff/doc/group02/03/01.pdf สืบค้นข้อมลู เม่ือวันที่ 8 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564. วารสาร มจร สงั คมมศาสตรป์ ริทรรศน์. บริบทสังคม. [ระบบออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก : https://docs.google.com/document/d/1Igpzt5QS71PWWUR4i9vAazr- v4lWKGbiPYUo922SpKs/edit สบื คน้ ขอ้ มูลเม่ือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. สอ่ื การเรยี นการสอนมหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสนุ นั ทา. สังคมไทยในบริบทปจั จุบัน. [ม.ป.ป.]. [ระบบ ออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก : http://www.elfms.ssru.ac.th/narong_an/file.php/1/2- 2560/5/GEH1102_CHAPT_08.pdf สบื คน้ ข้อมลู เม่ือวันท่ี 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบงบทท่ี 6 การรอบรู้บริบทการเปลี่ยนแปลงของสงั คมภายนอกประเทศ ทส่ี ง่ ผลกระทบต่อการศกึ ษา การรอบรู้บริบทการเปล่ียนแปลงของสังคม ภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษา ยกกรณี ตัวอย่าง 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศฟินแลนด์ ประเทศสิงคโปร์และประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งบริบทการศึกษา มีหัวข้อดังนี้ การปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศ ระบบการศึกษาของประเทศ ข้อมูลโครงการประเมินผล นักเรยี นร่วมกับนานาชาติ ปัจจัยที่ทำให้การศึกษาของประเทศประสบความสำเร็จ งบประมาณด้านการศึกษา และบริบทสุดท้ายที่สำคัญในปัจจุบันต่อการศึกษา สถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของ ประเทศ ดังนั้น การรอบรู้บริบทการเปล่ียนแปลงของสังคม ภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษา ในปัจจุบัน จึงมีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนจากเดิมมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แต่ละ ประเทศมกี ารเปล่ียนแปลงรูปแบบการเรยี นการสอนจากเดมิ 1. การศึกษาในประเทศฟนิ แลนด์ การปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ การที่เด็กมีแรงกดดันในการเรียนน้อย การมุ่งเน้น ทก่ี ารสอน และการพัฒนาแบบองค์รวมประเทศฟินแลนด์ได้ปฏิรปู ระบบการศึกษาของประเทศจนขึ้นเป็นหน่ึง ในประเทศท่มี ีระบบการศึกษาทม่ี ีผลสัมฤทธ์ิสงู ทีส่ ุดในโลก ด้วยการขอให้เดก็ นักเรียนใช้เวลาท่ีโรงเรยี นน้อยลง ให้ทำการบา้ นและสอบน้อยลง ภาพประกอบท่ี 6.1 การศกึ ษาของโรงเรียนยโู รเปยี นสกูลออฟเฮลซิงกจิ ากประเทศฟินแลนด์ นายพาซี ซัหล์ เบิร์ก นักการศึกษาชาวฟนิ แลนด์ทเี่ คยทำงานเปน็ ครู ผฝู้ ึกสอนครู นักวจิ ยั และท่ีปรึกษา ด้านนโยบายการศกึ ษา ระบุว่า \"ระบบการศึกษาท่ีมีความเสมอภาคสูงของประเทศฟินแลนด์ไม่ไดม้ าจากปจั จัย ด้านการศึกษาเพยี งอยา่ งเดยี ว\" 1. โรงเรียนในประเทศฟินแลนด์มีบรรยากาศท่ีผ่อนคลาย ที่นี่ไม่มีเครื่องแบบนักเรียน เด็ก ๆ เดินไปไหน มาไหนโดยสวมถุงเทา้ ตามธรรมเนียมของประเทศในแถบสแกนดิเนเวยี ทเ่ี ดก็ ๆ จะไมส่ วมรองเท้าในช้ันเรียน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 176 ภาพประกอบที่ 6.2 การศึกษาของโรงเรียนยโู รเปยี นสกูลออฟเฮลซิงกิจากประเทศฟินแลนด์ 2. ครูในฟินแลนด์ใช้เวลาในการสอนหนังสือวันละ 4 ช่ัวโมง ทำให้พวกเขาได้มีเวลาเตรียมการสอน และมเี วลาใสใ่ จเดก็ นักเรียนมากขึ้น ปรัชญาของระบบการศึกษาประเทศฟินแลนด์ ยังสะท้อนออกมาในห้องเรียนด้วยในโรงเรียนท่ัวไป ครูใช้เวลาในการสอนหนงั สือวันละ 4 ช่ัวโมง ทำให้พวกเขาได้มีเวลาเตรียมการสอนนำความรู้ทม่ี ีอยู่กลับมาใชใ้ หม่ และมีเวลาใสใ่ จเด็กนักเรียนมากขนึ้ วชิ าชีพครูมีรายไดด้ พี อสมควรและเง่ือนไขการทำงานกด็ ดี ว้ ย ดว้ ยเหตุนี้ ครุศาสตร์ จงึ กลายเป็นหนึ่งในอาชีพที่เยาวชนในประเทศฟินแลนด์นิยมเรียนมากที่สุดแซง หน้าการเรียนเป็นแพทย์ นักกฎหมายและสถาปนิก นอกจากนี้ ชั่วโมงการเรียนของโรงเรยี นในประเทศฟินแลนด์ยังสนั้ กว่าเมื่อเปรยี บเทียบกับโรงเรียนใน ประเทศกลุ่ม OECD อื่น ๆ หรือ ราว 670 ชั่วโมงต่อปสี ำหรบั โรงเรยี นระดับประถมศึกษา เป็นตน้ ขณะท่ีคอสตาริกา มีช่ัวโมงการเรียนมากกว่าน้ีเกือบสองเท่า ส่วนเด็กนักเรียนประถมในสหรัฐฯ และ โคลอมเบีย มีชว่ั โมงเรยี นกวา่ 1,000 ชั่วโมงตอ่ ปี 3. เด็กประเทศฟินแลนด์ใชเ้ วลาทำการบ้านน้อยกวา่ เด็กประเทศอื่น ๆ ข้อมูลจาก OECD ระบุว่า เด็ก อายุ 15 ปีในประเทศฟินแลนด์ใช้เวลาทำการบ้านเฉล่ียสัปดาห์ละ 2.8 ช่ัวโมง ตามด้วยเด็กในเกาหลีใต้ท่ีใช้ เวลา 2.9 ช่ัวโมง ขณะท่ีเวลาทำการบ้านโดยเฉล่ียของนักเรียนในกลุ่ม OECD คือ 4.9 ช่ัวโมงต่อสัปดาห์ และ เพ่มิ ข้นึ เปน็ 13.8 ช่ัวโมงสำหรับจนี เอยี รย์ า ชคั ครูท่ีโรงเรียน Viikki บอกวา่ \"มนั เปน็ เร่ืองสำคัญทีเ่ ด็กจะมเี วลาไดเ้ ป็นเดก็ \" \"ส่ิงสำคัญท่ีสุด คอื คุณภาพ ไมใ่ ชป่ ริมาณของเวลาท่ใี ช้ในหอ้ งเรยี น\" เธอกลา่ ว \"เด็กได้เรียนส่ิงท่ีพวกเขาต้องเรียนรู้ในชั้นเรียน พวกเขามีเวลามากข้ึนในการอยู่กับเพื่อนและทำอย่าง อนื่ ท่พี วกเขาชอบซึ่งก็สำคญั เชน่ กัน\" มาร์ตตี เมรี ครูอีกคนกล่าว 4. หลักสูตรการเรียนในประเทศฟินแลนด์ออกแบบให้ช่วยพัฒนาความสงสัยใคร่รู้ตามธรรมชาติและ การเรียนรู้ของเด็ก รากฐานหลักสตู รการศึกษาของประเทศฟนิ แลนดจ์ ึงถูกพัฒนาขึ้น ภายใต้กรอบคิด 4 ด้าน คือ 1.) ความเสมอภาค 2.) การสนบั สนนุ เงนิ 3.) การประเมนิ ผลนักเรียน 4.) การเรียนรู้ตลอดชีวิต
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 177 โดยหลักสตู รน้ปี ระกอบด้วย 7 สมรรถนะ เพือ่ พฒั นาผ้เู รียนในหลากหลายด้าน ประกอบด้วย 1. Thinking and Learning to Learn ทักษะการคิดและการเรียนรู้ให้เด็กรู้จักการตั้งคำถามได้ทดลอง และเนน้ การมสี ่วนร่วมพรอ้ มท้งั สง่ เสรมิ ให้เดก็ เรยี นรู้ไปพร้อมกับครู 2. Culture Competence, Interaction, and Self-expression คือ ครูต้องคำนึงถึงการเรียนรู้ร่วมกัน ของเด็กในความหลากหลาย และนักเรียนต้องตระหนักถึงท่ีมาท่ีไปของวัฒนธรรมท่ีเป็นอยู่โดยความหลากหลาย น้นั คือ สว่ นหนง่ึ ในชีวติ การเรยี นร้ขู องผเู้ รียนเพ่อื การอยรู่ ว่ มกัน 3. Taking Care of Oneself and Others ; Managing Daily Life คือ คำถามในชีวิตประจำวัน ของเดก็ ๆ เชน่ การไปโรงเรียน การเขา้ หอ้ งเรียน ซงึ่ อาจเปน็ คำถามธรรมดา แต่คำถามเหล่านมี้ ีความสำคัญต่อ ครูในการสรา้ งการเรยี นรู้ 4. Multi-literacy เน้นความสามารถในการอ่านและเขียนได้ในหลายภาษา ทักษะน้ีจะช่วยให้เด็ก เข้าใจแหล่งข้อมูล ตีความข้อมูล โดยครูจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจว่า เขามีข้อมูลมากมายอยู่รอบตัว ดังน้ัน การ ทำความเขา้ ใจตอ่ ข้อมูลตา่ ง ๆ จึงสำคญั 5. Competence in Information and Communication Technology (ICT) คือ การบูรณาการไอซี ทีเขา้ ไปในสาขาวชิ าต่าง ๆ เพอ่ื เป็นเครอ่ื งมือในการเรยี นรู้ของนักเรยี นท้งั แบบเดี่ยวและกลมุ่ 6. Working Life Competence and Entrepreneurship คือ การเรียนรู้ถึงสาขาวิชาต่าง ๆ ว่ามีบทบาท อยา่ งไรในการทำงาน และยงั กำหนดให้นักเรียนบางระดับช้ันไปร่วมทำงานกับผใู้ หญเ่ ปิดให้สัมผัสประสบการณ์ จรงิ เพ่ือเป็นทางเลือกในชีวิตให้กับผูเ้ รียน 7. Participation, Involvement and Building a Sustainable Future ส่งเสริมให้เด็กเข้ามามี ส่วนร่วมในการสร้างความยั่งยืน ท้ังเรื่องตนเอง ผอู้ ื่น รวมทั้งความสำคัญในการดูแลสังคมและส่งิ แวดล้อม นอกจากน้ี เด็ก ๆ ในประเทศฟินแลนด์ยังไม่ต้องวิตกกังวลกับการสอบด้วยเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มี ในการศึกษาช่วง 5 ปีแรกของเด็ก และในปีต่อจากน้ัน นักเรียนจะถูกประเมินจากความสามารถในชั้นเรียน หลักการของระบบการศึกษานคี้ ือการมองว่าเด็กทกุ คนมีศักยภาพในการเรียนรู้หากพวกเขาได้รบั การสนับสนุน และโอกาสส่วนครูอาจารย์ต่างเชื่อวา่ หน้าท่ีของพวกเขาคือการช่วยนกั เรียนให้เรียนรู้โดยปราศจากความกังวล และพฒั นาความสงสัยใคร่รู้ตามธรรมชาติของพวกเขา ไม่ใชก่ ารสอบผ่าน ข้อมูลจาก PISA ระบุว่า มีนักเรียนในประเทศฟินแลนด์เพียง 7% เท่าน้ันมีความวิตกกังวลในการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ ขณะทญ่ี ีป่ ุ่นซ่งึ มรี ะบบที่เข้มงวดและมีผลการเรียนเป็นเลิศ แต่ตอ้ งแลกมาดว้ ยสุขภาพจิต ของเด็ก โดยตัวเลขดังกลา่ วสงู ถึง 52% 5. บริการสาธารณะ (Public Goods) ความก้าวหน้าในนโยบายการศึกษาของประเทศฟินแลนด์มา พร้อมกบั สวัสดิการรฐั ชั้นยอด ซึง่ เปน็ ผลมาจากการเป็นหน่ึงในประเทศที่มีอัตราภาษีสูงท่ีสดุ ในโลก คือ 51.6% แม้ประชาชนจะมีภาระทางภาษีที่หนักหน่วง แต่ประเทศฟินแลนด์ยังถูกจัดให้เป็นประเทศที่ประชากรมี ความสุขท่ีสุดในโลก ตามรายงานความสุขโลกขององคก์ ารสหประชาชาตปิ ระจำปี 2018 นอกจากน้ี นโยบายท่ีทำให้การศึกษาเป็นบริการสาธารณะท่ีทุกคนต้องได้รับ เป็นหน่ึงในลักษณะ สำคัญของการศึกษาในประเทศฟินแลนด์ รัฐบาลฟินแลนด์พยายามปกป้องรักษาไม่ให้การศึกษากลายเป็น ธุรกิจที่ถูกนำมาใช้การแสวงหากำไร โดยหลายประเทศทีต่ ิด 5 อันดบั ที่นักเรียนได้คะแนนผลประเมินสงู สุดของ PISA เช่น แคนาดา เอสโตเนีย ล้วนแต่มีนโยบายเช่นนี้ ทั้งนั้น ขณะที่ประเทศท่ีมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการศึกษาเป็น เลิศอย่างสิงคโปร์ กลับมีความเสมอภาคน้อย นั่นหมายความว่า นักเรียนที่มาจากฐานะยากจน จะประสบ ความสำเรจ็ ทางการศึกษาได้ยาก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 178 ภาพประกอบที่ 6.3 การศึกษาของโรงเรยี นยูโรเปียนสกูลออฟเฮลซิงกิจากประเทศฟินแลนด์ การปฏิรูปการศึกษาช่วยพลิกโฉมประเทศฟินแลนด์จากประเทศที่เด็กมีผลการเรียนธรรมดาช่วง ทศวรรษท่ี 1970 มามีผลการเรียนเป็นเลิศภายในเวลาเพียง 30 ปี นายซัห์ลเบิร์ก กล่าวว่า การท่ีประเทศฟินแลนด์เป็นประเทศขนาดเล็กท่ีมีประชากรราว 5.5 ล้านคน และสังคมค่อนข้างมีเอกภาพนั้น ก็ทำให้การวางนโยบายด้านการศึกษาและการดำเนินนโยบายเพื่อปฏิรูป เป็นไปได้ง่ายกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เม่ือเทียบกับประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีเขตการปกครองท่ี หลากหลาย 2. ระบบการศึกษาของประเทศฟนิ แลนด์ สำหรับผู้ใหญ่ ยุทธศาสตร์ของประเทศฟินแลนด์มีเพื่อให้บรรลุความเสมอภาคและความเป็นเลิศ ด้านการศึกษาบนพื้นฐานของการสร้างระบบโรงเรียนท่ีมีการเลือก การติดตามนักเรียนในระหว่างการศึกษา ข้ันพ้ืนฐานทั่วไป ส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ คือ การแพร่กระจายเครือขา่ ยโรงเรยี นเพ่ือใหน้ ักเรียนมโี รงเรยี นใกล้ บ้านของพวกเขา เมอื่ ใดก็ตามท่ีเป็นไปได้ หรือหากเปน็ ไปไมไ่ ด้ เช่น ในพ้ืนท่ีชนบท กอ็ ำนวยบรกิ ารขนสง่ ฟรีไป ยงั โรงเรยี นอย่างแพร่หลายมากข้ึน รวมถึงการศึกษาพเิ ศษในห้องเรยี น และความพยายามในการเรียนการสอน เพื่อลดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นทีต่ ่ำ ซึง่ ถอื เปน็ ระบบการศกึ ษาแบบนอร์ดิกทว่ั ไป ระบบการศึกษาปัจจุบันในประเทศฟินแลนด์ จะเร่ิมต้นต้ังแต่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสำหรับเด็กอายุ 8 เดือน – 5 ปี เนื่องจากการศึกษาในช่วงวัยเด็กเป็นช่วงที่จำเป็นและสำคัญมากท่ีสุด เพราะจะส่งผลต่อเน่ืองไป จนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งจากการวิจัยทางประสาทวิทยา พบว่า ร้อยละ 90 ของการเจริญเติบโตของสมองเด็กจะ เกดิ ขนึ้ ในช่วงตัง้ แตแ่ รกเกิดจนถึงอายุ 5 ปี ดังนั้น เด็กชาวฟินแลนด์ส่วนมากต้องเริ่มต้นการศึกษาต้ังแต่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แต่อย่างไรก็ตามมี ผู้ปกครองบางส่วนท่ีไม่อยากส่งลูกเล็กไปศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เนื่องจากเป็นห่วงด้านความปลอดภัยจึงมี ทางเลือกพิเศษอีกทางหน่ึง คือ การดูแลลูกอยู่ที่บ้าน โดยการปรับปรุงบ้านให้เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กซ่ึงทาง รัฐบาลจะมีงบประมาณสนับสนุนให้ผู้ปกครองท่ีปรับปรุงบ้านให้เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และจะมีการสุ่มตรวจ อยเู่ สมอว่ามีผลสำเรจ็ ในการจัดการศกึ ษามากน้อยเพยี งใด เม่อื อายุครบ 6 ปี จะเข้าเรียนในโรงเรียน Pre-School/Kindergarten เป็นเวลา 1 ปี ซ่ึงเปน็ โรงเรียน เตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาโดยจะมีการเรียน อ่าน เขียน หนังสือกันอย่างจริงจัง
179 ควบคู่ไปกับการฝึกตนเองให้เป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน เข้าใจในความต้องการของผู้อ่ืน และมีทัศนคติใน แง่บวกตอ่ คนรอบขา้ งและวฒั นธรรมอืน่ ๆ เมื่ออายุครบ 7 ปี จะต้องเข้ารบั การศกึ ษาในภาคบังคบั ซ่ึงใช้เวลาทั้งหมด 9 ปี คือ ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (เร่ิมตอนอายุ 7 ขวบ และสิ้นสุดเมื่ออายุ 16 ปี) หลังจากจบภาคบังคับ 9 ปี นักเรียน จะเรียนต่อหรอื ไมก่ ไ็ ด้ แต่สำหรบั ผูท้ ี่ตอ้ งการเรียนตอ่ ก็สามารถเลือกเรยี นได้ 2 ทาง คือ 1. สายวิชาการหรือโรงเรียนมัธยมปลาย เหมาะสำหรับนักเรียนท่ีต้องการเรียนแพทยศาสตร์ ครุศาสตร์ นติ ศิ าสตร์ ฯลฯ 2. สายอาชีวศึกษาหรือโรงเรยี นสายอาชีพ เหมาะสำหรบั นักเรยี นที่ตอ้ งการฝึกทกั ษะวิชาชพี เม่ือเรียนจบจากโรงเรยี นมัธยมปลายหรอื โรงเรียนสายอาชีพ ก็สามารถศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยทั่วไป หรือโปลีเทคนิคได้ ซึ่งจะใช้เวลาเรียนประมาณ 3–4 ปี หลังจากเรียนจบปริญญาตรี สามารถเรียนต่อในระดับ ปรญิ ญาโทและปริญญาเอกได้ ปัจจบุ ันประเทศฟินแลนดม์ มี หาวิทยาลัยประมาณ 20 แห่ง และมีโปลีเทคนคิ ประมาณ 30 แหง่ (ฟินแลนด์ ทำไมจงึ มีระบบการศึกษาดีทส่ี ดุ ในโลก, 2559) 3. ข้อมลู โครงการประเมนิ ผลนกั เรียนร่วมกับนานาชาติ ข้อมูลโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programmer for International Student Assessment) หรอื PISA ระบุว่า เด็กนกั เรียนในฟนิ แลนด์มีผลการเรียนในวชิ าวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ การอ่านโดยเฉล่ียดีกว่าเด็กจากประเทศท่ีพัฒนาแล้วในกลุ่มองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ความสำเร็จนี้มีขึ้นทั้งท่ีช่วงก่อนส้ินสุดยุคทศวรรษท่ี 1960 ฟินแลนด์เคยมีอัตราเด็กที่จบการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาเพยี ง 10% เทา่ นน้ั มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง อันดบั ที่ 4 อนั ดบั ที่ 5 อนั ดับที่ 12 ตารางที่ 6.1 คะแนนเฉลย่ี วิทยาศาสตร์ การอา่ น และคณติ ศาสตร์ ของประเทศตา่ ง ๆ ใน PISA 2015 (สสวท. และ OECD.) ประเทศฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับสูงอย่างต่อเน่ืองในการศึกษาของ โครงการประเมินผลนักเรียน ร่วมกับนานาชาติ ซ่ึงเปรียบเทียบระบบการศึกษาระดับประเทศในระดับสากล แม้ว่าในช่วงไม่ก่ีปีท่ีผ่านมา ฟนิ แลนดไ์ ด้ถกู แทนทจี่ ากดา้ นบนสุด ในการศึกษาปี ค.ศ. 2015 ประเทศฟินแลนด์ครองอันดับท่ี 4 ในการอา่ น, อันดับท่ี 12 ในวิชาคณิตศาสตร์ และอันดับท่ี 5 ในวิชาวทิ ยาศาสตร์ ในขณะที่กลับมาในสว่ นการศึกษาปี ค.ศ. 2003 ประเทศฟินแลนด์ได้อันดับ 1 ด้านวิทยาศาสตร์และการอ่าน และอันดับที่ 2 ในด้านคณิตศาสตร์นอกจากน้ี การศึกษาระดับอดุ มศึกษาของประเทศฟนิ แลนดไ์ ด้รับการจัดอันดับเปน็ อันดบั ทีห่ นึง่ จากสภาเศรษฐกิจโลก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 180 ในขณะที่มีการเฉลิมฉลองความสำเร็จโดยรวม ช่องว่างระหว่างเพศของฟินแลนด์เก่ียวกับการสอบ การอ่านในปี ค.ศ. 2012 ของโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติได้รับการระบุไว้ในรายงานของ สถาบันบรูคิงส์ในปี ค.ศ. 2015 อย่างไรก็ตามส่ิงเหล่าน้ีสามารถเปลี่ยนไปกับหลายปัจจัย เช่น การเลือกสาขาวิชาท่ี แต่ละเพศเข้ามา ประสิทธิภาพของเด็กชายวัย 15 ปี ท่ีสอบข้อเขียนน้ันไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญจาก คา่ เฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมอื และการพฒั นาทางเศรษฐกิจ และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐานที่ 0.66 ตามหลัง หญิงสาวในวยั เดยี วกนั ส่วนมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศฟินแลนด์ ได้รับการก่อต้ังขึ้นในปี ค.ศ. 1640 มีการอ่านออก เขียนได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ในปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 18 มีการอ่านออกเขียนได้มากกว่า 80–90 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 19 ประเด็นน้ันไม่มีโรงเรียนในเขตเทศบาล จึงมีการสอนการอ่านในโรงเรียน เคลอ่ื นที่ เมอื่ เร็ว ๆ น้ี เป็นไปได้อย่างเป็นทางการท่ีจะเขา้ สกู่ ารศกึ ษาระดบั อุดมศึกษาด้วยอาชีวศึกษา แม้ว่าจะ เปน็ เร่อื งยากเนือ่ งจากแผนการศึกษาสายอาชพี ไมไ่ ด้เตรยี มความพรอ้ มสำหรบั การสอบเข้ามหาวทิ ยาลยั ในประเทศฟินแลนด์ สถานรับเล้ียงเด็กและสถานรับเลี้ยงเด็กอนุบาลชั้นสูง ถือเป็นส่ิงสำคัญสำหรับ การพัฒนาความรว่ มมอื และทักษะการสือ่ สารที่สำคัญในการเตรยี มเด็กเล็ก สำหรับการศึกษาตลอดชีวิต เช่นเดียวกับ การเรียนรู้การอ่านและคณิตศาสตร์อย่างเป็นทางการ ซ่ึงระยะเวลาเตรยี มการน้ีกนิ เวลาจนถงึ อายุ 7 ขวบ การศึกษาปฐมวัยของฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับการเคารพในความเป็นตัวของตัวเอง และโอกาสท่ีเด็ก แต่ละคนจะพัฒนาเป็นบุคคลท่ีมีเอกลักษณ์ นักการศึกษาตอนต้นของฟินแลนด์ยังแนะนำเด็ก ๆ ในการพัฒนา ทักษะทางสังคมและการโต้ตอบ กระตุ้นให้พวกเขาใส่ใจกับความต้องการและความสนใจของผู้อื่น ห่วงใยผู้อ่ืน และมีทัศนคติท่ีดตี ่อผู้อื่น วฒั นธรรมอ่ืน และสภาพแวดลอ้ มทีแ่ ตกตา่ งกัน จุดประสงคข์ องการค่อย ๆ ให้โอกาส สำหรับความเป็นอิสระที่เพ่ิมข้ึน คือ เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถดูแลตัวเองในฐานะกำลังจะเป็นผู้ใหญ่มีความสามารถ ในการตัดสนิ ใจอยา่ งรบั ผิดชอบ มีส่วนร่วมอย่างมปี ระสิทธผิ ลในสังคมในฐานะพลเมอื งท่ีกระตอื รอื รน้ และดแู ล ผ้อู น่ื ท่ีตอ้ งการความช่วยเหลอื จากเขา ขอ้ มูลโครงการประเมนิ ผลคะแนน PISA ปี ค.ศ 2018 ตารางท่ี 6.2 คะแนนเฉลยี่ วิทยาศาสตร์ การอา่ นและคณติ ศาสตร์ ของประเทศต่าง ๆ ใน PISA 2018 (ท่ีมา : ณรงค์กร มโนจันทรเ์ พญ็ 04.12.2019) ประเทศฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับ 7 ในปี ค.ศ. 2018 การศึกษาของโครงการประเมินผลนักเรียน ร่วมกับนานาชาติ ซึ่งได้คะแนนเฉล่ีย ในการอ่าน 522 คะแนน ,ในวิชาคณิตศาสตร์ 507 คะแนน และในวิชา วิทยาศาสตร์ได้ 520 คะแนน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 181 4. ปจั จัยทีท่ ำให้การศึกษาของประเทศฟนิ แลนดป์ ระสบความสำเร็จ เด็กไม่ต้องเรียน สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ อย่างละชั่วโมง แต่จะเป็นการเรียนรู้ เช่น ช่ัวโมงนี้เรียน ดา้ นการบริการในร้านอาหาร เด็ก ๆ ก็จะได้ใช้ความสามารถแบบผสมผสาน ท้ังใช้การคิดเงนิ การส่ือสารกบั ลูกค้า และการจัดการอารมณ์ดว้ ย Sophia Farida นักการศึกษาสหรัฐอเมริการ ได้เข้าไปศึกษาระบบการศึกษาของประเทศฟินแลนด์และ พบปัจจัยดังนี้ ภาพประกอบที่ 6.4 การศึกษาของโรงเรียนยูโรเปียนสกูลออฟเฮลซิงกจิ ากประเทศฟินแลนด์ 1. การเรียนท่ีประเทศฟินแลนด์เน้นไปท่ีการเล่น เพราะคดิ ว่าเด็กสามารถเรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่นและ การค้นพบด้วยตนเอง ครูจึงไม่เพียงแต่อนุญาตให้เล่นได้แต่ยัง สนับสนุนให้เด็กๆ เล่นด้วย จึงไม่แปลกที่แม้จะ อย่รู ะดับมธั ยมศกึ ษาแลว้ ยงั จะเหน็ เด็กโตนง่ั เล่นวิดีโอเกมสท์ ่ี student center 2. การสอบไม่ได้เป็นไปแบบเอาเป็นเอาตาย โรงเรียนท่นี ่ันเช่ือว่า หากตอ้ งเตรียมตัวอ่านหนงั สือจนไม่ มเี วลาจะทำให้ไม่เวลาคิดอยา่ งอสิ ระ แต่จะมกี ารประเมินความรบั ผิดชอบของเดก็ ตลอดการเรยี นการสอนแทน 3. ความเชื่อใจ เป็นสิ่งที่ Farida เห็นว่าแตกต่างท่ีสุดจากประเทศอ่ืน ๆ เพราะรัฐบาลของฟินแลนด์ เช่ือม่ันในเขตการปกครองยอ่ ย ๆ ของตนเอง และหน่วยปกครองย่อยกเ็ ช่ือมันในโรงเรียนลงไปถึงครู ครูก็ไว้ใจ นักเรยี นตัวเอง ในทางกลบั กันผปู้ กครองจะก็เช่อื ม่ันในครูมาก เทียบเทา่ กับอาชพี แพทยเ์ ลย 4. แตล่ ะโรงเรยี นไม่แข่งกนั เอง ไมม่ กี ารจัดลำดบั โรงเรียน เพราะเช่ือว่าทกุ โรงเรยี นนัน้ ดเี ทา่ กนั 5. การคัดเลือกก่อนที่จะเป็นครูน้ันเข้มงวด เหตุผลหนึ่งท่ีครูได้รับความไว้วางใจมากเพราะการ คัดเลือกนั้นเข้มงวดมาก ต้องเป็นระดับหัวกะทิเท่าน้ันถึงจะได้เป็นครู และไม่ใช่ว่าแค่ได้คะแนนทดสอบสูง เท่าน้ัน ต้องผ่านการสัมภาษณ์ด้านศีลธรรมรวมถึงถามถึงแรงบันดาลใจในการเป็นครูด้วยและจะต้องจบ ปรญิ ญาโทเท่านั้น 6. เวลาส่วนตวั ของเด็กนน้ั สำคัญเพราะทุก ๆ 45 นาที เด็กจะมีสิทธพิ์ ักส่วนตัว 15 นาที ตามกฎหมาย เพราะเช่อื วา่ การเรยี นรูน้ ้ัน จะสำเรจ็ ได้หากผูเ้ รียนได้รบั การผอ่ นคลายเปน็ ชว่ งเวลา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 182 ภาพประกอบที่ 6.5 การศึกษาของโรงเรยี นยูโรเปียนสกูลออฟเฮลซิงกจิ ากประเทศฟินแลนด์ 7. น้อยแต่ดี เด็กจะไม่ต้องเข้าโรงเรียนจนถึงอายุ 7 ขวบ และระยะเวลาเรียนระหว่างวันยงั ส้นั อีกด้วย เช่น เรยี นประมาณ 4-5 ชวั่ โมงตอ่ วนั ในระดบั ประถมศึกษา 8. เน้นท่ีคุณภาพชีวิต ระบบการศึกษาฟินแลนด์เชอ่ื ว่า ครูท่ีมีความสุข คือ ครทู ่ีดแี ละครูทีท่ ำงานหนัก เกนิ ไปจะไม่ใชค่ รูของพวกเขา ซงึ่ จะมชี ่วั โมงสอนประมาณ 20 ชัว่ โมงตอ่ สปั ดาห์ 9. เรียนสายไหนก็ได้รับการยอมรับ เมอื่ หลังจากอายุ 16 ปี เดก็ สามารถเลือกได้วา่ จะเรียนสายสามัญ หรอื อาชีพ แตท่ ั้งสองสายไดร้ บั การยอมรบั สงู ในสงั คมฟนิ แลนด์ และสามารถต่อมหาวิทยาลยั ได้ 10. ระบบการศึกษามมี าตรฐานเดียวกัน ซ่ึงครจู ะเป็นผสู้ อนตามหลักสูตร โดยแล้วแต่ครูจะสรา้ งสรรค์ แต่ยังอยูภ่ ายใตม้ าตรฐานเดียวกนั ท้งั ประเทศ 11. จะไมม่ กี ารตัดสินเกรดจนถงึ ป.4 เพราะเนน้ การเรียนรมู้ ากกว่า 12.จริยธรรมจะถูกสอนต้ังแต่ยังเล็ก แม้เด็กเล็กจะเรียนจริยธรรมจากห้องเรียนสอนศาสนาอยู่แล้ว แตก่ จ็ ะมนี ักเรยี นบางสว่ นทีไ่ มไ่ ดน้ ับถือศาสนากจ็ ะตอ้ งเขา้ เรยี นวิชาจริยธรรม 13. มีส่ิงแวดล้อมที่สนับสนุนความร่วมมือกัน โดยแต่ละห้องเรียนนั้นอาจมารวมกันในพื้นที่หนึ่ง ๆ เพื่อท่ีจะให้เด็กต่างระดับชั้นได้เรียนร่วมและแลกเปลี่ยนกันโดยไม่แบ่งแยก รวมถึงครูยังได้ร่วมกันช่วยเป็นที่ ปรึกษาใหเ้ ดก็ เหล่าน้ีดว้ ย \"อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านไี้ ม่ได้อธิบายถงึ ความสำเรจ็ ทงั้ หมดของระบบการศกึ ษาประเทศฟนิ แลนด์\" นายซหั ล์ เบิรก์ ระบุ \"ความยุติธรรม ความซ่อื สตั ย์ และความเป็นธรรมทางสังคมซึ่งหย่งั รากลกึ ในวิถีชวี ติ ของคน ประเทศฟินแลนด์ ผู้คนมจี ิตสำนึกรบั ผดิ ชอบตอ่ ส่วนรวม ไม่ไดค้ ิดถึงแค่ชวี ติ ของตัวเอง แตย่ งั คดิ ถงึ ผู้อืน่ ด้วย\" \"การฟูมฟักสุขภาวะของเดก็ เร่มิ ตง้ั แตก่ ่อนท่พี วกเขาจะเกิด แลว้ ดำเนินต่อไปกอ่ นทพ่ี วกเขาจะเขา้ โรงเรียนตอน 7 ขวบ และเดก็ ทุกคนยังสามารถเข้าถึงบรกิ ารสาธารณสขุ ได้โดยง่า 5. งบประมาณด้านการศึกษาของประเทศฟนิ แลนด์ สวัสดิการรัฐในประเทศฟินแลนด์มีบทบาทสำคัญในการให้โอกาสเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมในการ เร่ิมตน้ เสน้ ทางการศึกษาที่ประสบความสำเร็จตั้งแตอ่ ายุ 7 ปี ปัจจุบัน เวลาที่มีคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่างชาติเดินทางไปดูงานเรื่องระบบการศึกษาที่ \"มหัศจรรย์\" ของประเทศฟินแลนด์ พวกเขาจะได้รับการบอกกล่าวว่า ระบบการศึกษาคุณภาพสูงท่ีภาครัฐจัด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 183 ใหป้ ระชาชนนน้ั ไม่เพยี งจะเป็นผลมาจากนโยบายดา้ นการศึกษาเพยี งอย่างเดียว ทว่ามาจากนโยบายด้านสังคม ทมี่ ปี ระสิทธิภาพดว้ ย \"โครงสร้างพ้ืนฐานของสวัสดิการรัฐในประเทศฟินแลนด์มีบทบาทสำคัญในการให้โอกาสเด็กทุกคน รวมท้งั ครอบครัวของพวกเขามีสถานะทเ่ี ท่าเทยี มกนั ในการเร่มิ ต้นเส้นทางการศึกษาท่ปี ระสบความสำเร็จตัง้ แต่ อายุ 7 ปี\" นายซัห์ลเบิร์ก เปรียบเทยี บขอ้ มลู รายไดป้ ระชากรในประเทศกลมุ่ OECD กับผลสัมฤทธ์ิทางการศกึ ษา ของ PISA แล้วได้ข้อสรุปว่า \"มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระจายรายได้ของประชากรกับผลการเรียนของเด็ก ซ่ึงแม้จะไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่โดดเด่นชัดเจนแต่ก็ยอมรับได้ที่แสดงให้เห็นว่า ย่ิงสังคมมีความเสมอภาคมาก เท่าไหร่ เด็กนักเรียนก็ดูจะมีผลการเรียนดีข้ึนเท่านั้น นายซัห์ลเบิร์ก ระบุว่า ยิ่งประเทศมีความเสมอภาคมาก เท่าใด (วัดจากข้อมูลเชิงสถิติ) ประชากรก็ยิ่งมีการศึกษา และสุขภาพจิตดีมากข้ึนเท่านั้น อีกท้ังยังมีอัตราเด็ก เลิกเรียนกลางคัน, มีปัญหาโรคอ้วน และการต้ังครรภ์ในวัยรุ่นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศท่ีมีปัญหาความ เหล่ือมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยมากกว่า ซึ่งความไม่เสมอภาคเหล่าน้ีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเรียน การสอนในโรงเรยี น ภาพประกอบที่ 6.6 การศกึ ษาของโรงเรยี นยูโรเปยี นสกูลออฟเฮลซิงกจิ ากประเทศฟินแลนด์ การศึกษาของฟินแลนด์ฟรีตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปถึงปริญญาโท-เอก ความเสมอภาคและความเป็นธรรม ในสังคม ท่ีโรงเรียน Vikki ในกรุงเฮลซิงกิ เด็กนักเรียนท่ีมาจากครอบครัวร่ำรวยและครอบครัวชนชั้นแรงงาน นง่ั เรียนรวมกันในห้องเรียนท่ีน่ีไม่มีค่าเทอม และไม่มีค่าใช้จ่ายดา้ นอุปกรณ์การเรียน ทโ่ี รงอาหารอันกวา้ งขวาง มกี ารเสริ ์ฟอาหารท่เี ปน็ ประโยชนต์ ่อสุขภาพแก่เดก็ นักเรยี น 940 คน ของโรงเรียน ซ่ึงมีต้ังแต่ชั้นประถมไปถึงมัธยมศึกษา เด็ก ๆ ยังได้รับบริการดูแลสุขภาพและทันตกรรมฟรี อีกทั้งมี นักจิตวิทยาและครูคอยส่งเสริมด้านพัฒนาการของพวกเขา \"มันเป็นเร่ืองท่ีเข้าใจได้ว่า ความเหลื่อมล้ำทาง รายได้ ความยากจนในเด็ก และการท่ีโรงเรยี นไม่มสี วัสดิการที่เหมาะสมใหแ้ ก่เด็กนักเรยี น มีส่วนสำคัญต่อการ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพระบบการศกึ ษา\" นายซัห์ลเบิร์กกลา่ ว
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 184 ภาพประกอบท่ี 6.7 การศกึ ษาของโรงเรยี นยูโรเปียนสกูลออฟเฮลซิงกิจากประเทศฟินแลนด์ เด็ก ๆ ในฟินแลนด์จะได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายฟรีที่โรงเรียนเขาช้ีว่า ความสำเร็จด้านการศึกษาของฟินแลนด์ส่วนใหญ่มาจากรูปแบบเศรษฐกิจที่ส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมและ ความเปน็ ธรรมในสงั คม ซ่ึงเร่มิ ใชห้ ลงั จากสงครามโลกครัง้ ที่สองสน้ิ สุดลง รูปแบบนี้เป็นการท่ีรัฐจัดบริการด้านสาธารณสุขและการศึกษาฟรีให้แก่ประชาชน จัดท่ีพักอาศัยใน ราคาที่คนส่วนใหญ่สามารถซ้ือได้ ให้พ่อแม่ได้สิทธ์ิเล้ียงลูกหลังคลอดเป็นเวลานานเพื่อส่งเสริมให้ผู้ชาย รับผิดชอบในการดูแลลูกมากข้ึน ให้มีบริการรับเลี้ยงเด็กเล็กในราคาท่ีรัฐบาลอุดหนุนหรือฟรี รวมท้ังจัด สวสั ดิการสงั คมทีเ่ พียงพอให้แก่ประชาชน สถานการณ์โควิด-19 ทสี่ ่งผลกระทบตอ่ การศกึ ษาของประเทศฟินแลนด์ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โรงเรียน การศึกษา เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับ ผลกระทบ ประเทศฟนิ แลนด์ เปน็ ระบบการศึกษาที่ดที ่ีสุดในโลก ซ่ึงคุณครูท่ีบอกวา่ ประเทศฟนิ แลนด์ไม่ไดร้ ับ ผลกระทบมาก ภาพประกอบที่ 6.8 การศกึ ษาของโรงเรยี นยูโรเปียนสกูลออฟเฮลซิงกจิ ากประเทศฟินแลนด์ (PPTV Online เผยแพร่ 30 เม.ย. 2563, 17:04 น.)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 185 โรงเรียนในประเทศฟินแลนด์ เริ่มต้นการเรียนการสอนแบบออนไลน์ตั้งแต่วันท่ี 17 มีนาคม 2563 โดยหลัก ๆ แลว้ จะใชโ้ ปรแกรมไมโครซอฟทท์ ีมหรอื ซมู ติดต่อกบั เด็กนักเรยี น โดยโรงเรียนยูโรเปียนสกูลออฟเฮลซิงกิให้สัมภาษณ์กับเฮลซิงกิไทมส์ว่า โรงเรียนยูโรเปียนสกูลออฟ เฮลซิงกิก็เหมือนกับโรงเรียนทั่วไปในประเทศฟินแลนด์ท่ีปฏิบัติตามแนวทางของรัฐบาล แต่โชคดีที่ประเทศ ฟินแลนด์มีการใช้ระบบ IT ในโรงเรียนอยู่แล้ว ทั้งระบบการสอนแบบดิจิทัล การเรียนผ่านวิดีโอ ทุกๆ วันทาง โรงเรียนจะกำหนดกิจกรรมที่หลากหลายที่สามารถทำได้ง่ายๆท่ีบ้าน อย่างคาราเต้ ยิมนาสนิก กีฬา การเต้น ดนตรีหรือศิลปะ ซ่ึงผลลัพธ์ที่ออกมา เด็กนักเรียนและผู้ปกครองล้วนพอใจด้วยระบบการศึกษาของฟินแลนด์ ทีเ่ น้นการลงมอื ปฏบิ ัติ และการสร้างจินตนาการ ไม่เน้นการแข่งขัน จึงทำให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 แทบ ไม่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของประเทศฟินแลนด์เลย เน่ืองจากไม่มีการสอบด้วยข้อสอบกลาง ครูแต่ละคน สามารถดูแลเดก็ ๆ ของตวั เองได้อยูแ่ ลว้ ไม่จำเป็นตอ้ งเล่ือนการสอบแตอ่ ยา่ งใด ภาพประกอบที่ 6.9 การศึกษาของโรงเรียนยโู รเปียนสกูลออฟเฮลซิงกจิ ากประเทศฟินแลนด์ (PPTV Online เผยแพร่ 30 เมษายน 2563, 17 : 04 น.) 6. การศกึ ษาในประเทศสิงคโปร์ การปฏิรปู ระบบการศกึ ษาของประเทศสิงคโปร ภาพประกอบที่ 6.10 นกั เรียนและครูในประเทศสิงคโปร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428