มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 36 แตล่ ะอย่างเหลา่ น้ี ปจั เจกชนควรมีอสิ รภาพท่ีจะกระทำหน้าท่พี ิเศษของตน และแตล่ ะอย่างก็ เป็นส่วนสำคัญในธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ กระทำหน้าที่ของตนครบสมบูรณ์แล้ว ชอ่ื ว่ามีคุณธรรมพร้อมมลู ปัญญาเป็นคุณธรรมพเิ ศษของวิญญาณที่มีอารมณ์ ส่วนความรู้จักประมาณ มอี ยใู่ นความเชอ่ื ถือของอารมณ์และความปรารถนาที่มตี ่อเหตผุ ล อน่ึง ความยุติธรรม เม่ือกล่าวโดยที่สุดแล้ว คือ การปรากฏพร้อมหน้าแห่งคุณธรรมท้ังหมด เหล่านี้ในดวงวิญญาณและมีการใช้สติปัญญา อารมณ์ และความปรารถนาให้มีความกลมกลืนอย่าง อิสรเสรี ซ่ึงมีเหตุผลเป็นเครื่องนำทาง สำหรับความปรารถนาหรือความต้องการข้ันมูลฐานของมนุษย์ ในสังคมน้ัน พอจะแบ่งออกตามความแตกต่างของสมาชิกในสงั คมได้ 3 ประการ คือ 1) ความตอ้ งการทจ่ี ะแสวงหาความรแู้ ละรกั ษาความร้เู อาไว้ 2) ความปรารถนาท่จี ะรบั ใช้ประเทศชาติบ้านเมอื ง 3) ความต้องการที่จะผลติ วสั ดุท่ตี ้องการออกมาใช้ เพ่ือความสะดวกในการดำรงชีวิตที่สมบรู ณ์ สมาชิกของสังคมทุกคนต้องมีความปรารถนาหรือความต้องการ 3 ประการ เหล่านี้ หรืออย่าง นอ้ ยทส่ี ุดกต็ อ้ งมปี ระการใดประการหนง่ึ อะไรคอื คุณธรรมที่สำคญั ในจรยิ ศาสตร์ของเพลโต นักปรัชญากรีกหลายท่านได้ยอมรับนับถือคุณธรรมที่สำคัญของมนุษย์เพลโตได้แบ่งไว้ 4 ประการ ด้วยกนั คอื 1) ปัญญา (Wisdom) บุคคลมีคุณธรรมย่อมกระทำกิจกรรมทุอย่างด้วยเหตุผลเสมอหรือ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง กิจกรรมท่ีมีเหตุผลย่อมประกอบด้วยคุณธรรม โดยวิธีการดังกล่าวมานี้ ปัญญาจึงเป็น คณุ ธรรมท่รี วมเอาคุณธรรมอ่ืน ๆ ท้ังหมดเข้าไว้ด้วยเหตุนี้ ปญั ญาจึงเป็นรากฐานของคุณธรรมท้ังหมด ที่มอี ยู่อยา่ งเทีย่ งธรรมไมไ่ ด้ ดังน้ัน หลังจากท่ีเราได้เข้าใจอย่างถ่ีถ้วนแล้ว ปัญญาจึง หมายถึง การกระทำที่เหมาะสมกับ สถานการณ์ตามเวลาและสถานท่ีเก่ียวกับเร่ืองน้ี เพลโตถือว่าการคาดเหตุการณ์ได้ล่วงหน้า ความ ระมดั ระวัง การตัดสนิ ใจท่ีแนน่ อนและความสุขมุ กร็ วมอย่ใู นคำว่า “ปัญญา” 2) ความกล้าหาญ (Courage) คุณธรรมเรื่องความกล้าหาญน้ีเป็นคุณธรรมท่ีสำคัญมาก ในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน ความกลา้ หาญเป็นคุณธรรมทจ่ี ำเป็นในการป้องกันชีวติ ของเราให้หลุด พ้นจากส่ิงย่ัวยวนกวนใจ มีบุคคลจำนวนมากท่ีตกเป็นทาสของส่ิงยั่วยวนกวนใจจนทำให้เสียคนไปก็มี ทั้งน้ีเพราะเขาขาดคุณธรรมเร่ืองความกล้าหาญ บุคคลผู้มีความกล้าหาญเท่านั้นจึงจะสามารถชนะคู่ ต่อสู้ได้ ศัตรูหมู่ไพรีได้ หากจะมีคำถามว่า เราจะรู้ว่าบุคคลนั้นมีความกลา้ หาญได้อย่างไร ต่อคำถามน้ี พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “เรารู้ได้เม่ือเวลามีภัย” หมายความว่า เราจะสังเกตได้จากเวลาที่บุคคลนั้น มภี ัยมาถึงตวั โดยทำนองนี้ ความกล้าหาญได้รวมเอาความกล้าและความอดทนเข้าไว้ด้วย ความกล้าเป็น คุณลักษณะภายนอก ส่วนความอดทนเป็นคุณลักษณะภายใน เพราะความกล้าน้ีเองเราจึงบรรลุ จุดมุ่งหมายได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ ขัดขวาง และเพราะอาศัยความอดทนเป็นเดิมพัน บุคคลเราจึง อดทนความเจบ็ ปวดแสนสาหัสไดอ้ ย่างสงบเสงย่ี ม ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ความกล้าหาญจึงรวมเอาการสงวนรักษา ความขยันหม่ันเพียร การตัดสินใจ ศรัทธา ความหวัง และความเชือ่ มนุษย์ต้องการความกล้าหาญที่มีระดับแตกต่างกันตามสถานท่ีและสถานการณ์ท่ีแตกต่างกัน ออกไป เช่น ทหารต้องการความกลา้ ทางร่างกาย นกั ปฏิรปู สงั คมหรือนักการศาสนาจงึ เห็นว่าความกลา้ หาญ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 37 ทางศีลธรรมมีมากกว่าความกล้าหาญทางด้านส่วนตัวของเขา ดังน้ัน ความกล้าหาญจึงเป็นคุณสมบัติ ของสังคมท่ที ุกคนยอมรับ 3) ความรู้จักประมาณ (Temperance) ความรู้จักประมาณเป็นคุณสมบัติของปัจเจกชน ความรูจ้ ักประมาณน้ีก็เหมือนกับความกลา้ หาญ คือ มีความสำคัญมากในชีวิตประจำวันของปัจเจกชน ความกล้าหาญและความรู้จักประมาณทั้งสองเหล่าน้ีช่วยให้บุคคลรอดพ้นจากสิ่งยั่วยวนอันเกิดจาก ประสาทสมั ผสั หรือความเพลดิ เพลนิ ทางวฒุ ปิ ญั ญา (เช่น ทำการศึกษา ค้นควา้ และวิจัยจนเพลดิ เพลนิ ) บคุ คลผู้รู้จกั ประมาณสามารถท่ีจะควบคุมประสาทสัมผัสของเขาได้โดยอาศัยเหตผุ ล โดยวิธนี ี้ ความรจู้ ักประมาณก็เปน็ ระเบียบวินัยในตนเอง ความรจู้ ักประมาณมีความหมายตรงข้ามกับความเกิน ประมาณหรือการขาดความพอดี การหลีกเลี่ยงจากการขาดความพอดีเป็นแบบอย่างข้ันมูลฐานของ ความร้จู กั ประมาณ ความรู้จักประมาณเป็นเคร่ืองวัดท่ีจะรักษาพลังแห่งความพยายามในการบรรลุจุดมุ่งหมาย ของปัจเจกชน ความรู้จักประมาณมีลักษณะท้ังท่ีเป็นฝ่ายบวกและฝ่ายลบ ลักษณะท่ีเป็นฝ่ายบวก มจี ดุ ประสงค์หรือจดุ มงุ่ หมายทีแ่ น่นอน การเสียสละตนเอง การระงบั ใจตนเอง ฯลฯ มีลักษณะเป็นฝ่ายลบ โดยอาศัยความรู้จักประมาณ ท้งั สองชนิดเหล่าน้ี บคุ คลสามารถรกั ษาพลังงานมใิ ห้สญู เสียไปได้ และรวบรวมพลังความคิดเพื่อบรรลุ จุดม่งุ หมายตอ่ ไป 4) ความยุติธรรม (Justice) ความยุติธรรมเป็นคุณธรรมทางสังคมซึ่งได้รวบรวมเอาคุณธรรม ทางสังคมทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันโดยแท้จริง เช่น ความรัก ความกล้าหาญ ความรื่นเริง ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี การทำหน้าท่ีและการรักษาสัญญา ฯลฯ บุคคลผู้มีความยุติธรรมควรเป็นผู้มีความ เอ้ือเฟอื้ เผอ่ื แผ่ต่อบุคคลอนื่ ด้วย เพราะเป็นเงอ่ื นไขท่ีจำเป็นในการแสดงออกซ่งึ ความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผน่ ั้น คุณธรรมพิเศษเปน็ มลู ฐานของคณุ ธรรมทง้ั ปวง คุณธรรมพิเศษทั้ง 4 ประการ ดังกล่าวมาแล้วน้ันเป็นคุณธรรมข้ันมูลฐานทั้งในชีวิตส่วนตัว และชีวิตทางสังคม ด้วยเหตุน้ี คุณธรรมท่ีสำคัญ 4 ประการน้ันจึงได้สร้างมูลฐานให้แก่ศีลธรรมของ สังคมและปจั เจกชน เพลโต ไม่มีข้อโต้แย้งในการยอมรับทฤษฎี ว่าด้วย คุณธรรมที่สำคัญโดยท่ัวไปแต่อย่างใด แต่เราก็ควรจะต้ังข้อสังเกตไว้ในท่ีน้ีด้วยว่า การแบ่งคุณธรรมทั้ง 4 ประการนี้ เพลโตได้แบ่งไว้ในสมัย ท่เี ขามชี ีวติ อยู่เท่าน้ันเอง ดังนั้น การท่ีเราจะนำมาใช้ในยุคปัจจุบันนี้อาจจะไม่มีผลเท่าไรนัก เพราะว่าคุณธรรมต่าง ๆ นั้นเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา สถานที่ ฐานะและบทบาทของประชาชน เพราะฉะนั้น ก่อนท่ีเราจะ นำเอาคณุ ธรรมเหล่าน้นั มาปฏิบัตกิ ็ควรปรบั ปรงุ และแก้ไขเพือ่ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์น้ัน ๆ ด้วย คุณธรรมของสงั คมและคณุ ธรรมของปจั เจก เพลโตไดแ้ บ่งคุณธรรมออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) คณุ ธรรมทางสังคม 2) คุณธรรมของปจั เจกชน คุณธรรมของสังคม หมายถึง คุณธรรมบางส่วนที่เรานำไปใช้ในชีวิตทางสังคมและคุณธรรม ของปัจเจกชนเราก็นำมาใช้ในชีวิตของปัจเจกชนด้วยเหมือนกัน แต่ว่าการแบ่งคุณธรรมออกเป็น 2 ประเภทนี้ยังไม่แน่นอน เพียงแบ่งให้เห็นเป็นแนวทางเท่านั้น คือ คุณธรรมสำหรับชีวิตของปัจเจกชน ได้แก่ ความกล้าหาญ การควบคุมตนเอง การสงวนรักษา การพัฒนาตนเอง ความรู้จักประมาณและ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 38 การมีวัฒนธรรม ส่วนคุณธรรมของสังคม ได้แก่ ความยุติธรรม ความเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ ความรัก การเคารพ บูชา การมีวาจาสตั ย์ ความเช่อื ในส่งิ ทคี่ วรเช่ือ และความซื่อสตั ย์ ฯลฯ ความเปน็ เอกภาพของคุณธรรม ตามทัศนะของเพลโต คุณธรรมไม่ได้มีอยู่อย่างอิสระ แต่มีอยู่แบบเอกภาพและสกลภาพ (Unity of Virtues) อันท่ีจริงแล้วคุณธรรมท้ังหมดมีลักษณะต่าง ๆ กัน ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ได้ใน โอกาสท่ีต่างกัน จุดมุ่งหมายอันสูงสุดของมนุษย์ ก็คือ การเข้าใจตนเองนเี้ ป็นจุดมุ่งหมายอันสูงสุดและ เป็นหน้าทีอ่ ันสงู สดุ ด้วย นสิ ยั การปฏิบัตติ ามหน้าท่นี กี้ เ็ ป็นคณุ ธรรมอันสงู สดุ ดว้ ยเช่นกนั จากข้อความที่กล่าวมานี้ จึงขอสนับสนุนแนวคิดของกรีน ซึ่งได้เขียนไว้ว่า “เป็นความจริงที่ว่า คุณธรรมทัง้ หมดมีจุดม่งุ หมายอยา่ งเดยี วกัน” ความดีทางสงั คมและความดสี ว่ นบุคคล ความยุติธรรมในรัฐที่มีความกลมกลืนกันระหว่างบุคคลต่าง ๆ และความยุติธรรมในปัจเจก ชนที่มีความกลมกลืนกันระหว่างลักษณะต่าง ๆ ของดวงวิญญาณ ดูเหมือนว่าจะมีความคิดท่ีแตกต่าง กนั อยู่ 2 ประการ โดยการพิจารณาเทียบเคยี ง แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะถกู หรือผิด เพลโตก็ยังยืนยัน ลักษณะเหล่าน้ันอยู่ และพบว่าเป็นอันเดียวกับหลักการเร่ืองเอกภาพระหว่างความดีทางสังคมและ ความดสี ่วนบคุ คล บุคคลผู้มีความยุติธรรม คือ ผู้มีปัญญาเป็นเคร่ืองนำทางชีวิต มุ่งพินิจพิจารณาที่จะทำความ เข้าใจความคิดเร่ืองการพัฒนาส่วนต่าง ๆ ภายในดวงวิญญาณท้ังหมดให้มีความกลมกลืนกันอย่างดี เพราะเขาแสวงหาลู่ทางที่เข้าใจความคดิ อันนีใ้ นรัฐด้วยเหมือนกนั ซึง่ หมายความวา่ เขารแู้ นวความคิด เร่ืองความยุติธรรมนั่นเอง คุณธรรมเร่ืองการอยู่ดีกินดีของเขาจะบรรลุเป้าหมายได้ก็ต่อเมื่อความ ยุติธรรมมพี ร้อมมูลอยแู่ ล้วในดวงวญิ ญาณทุก ๆ ดวง รฐั ในอดุ มคติ หนา้ ที่ของปรัชญาสังคมข้ันแรก ก็คอื การวางโครงสร้างของรฐั ที่สมบูรณ์แบบ ซึง่ ในรฐั เช่นน้ัน จะต้องมีความยุติธรรมสากลอยู่ ครั้นแล้วก็นำไปสู่ความคิดท่ีว่าด้วยแบบต่าง ๆ ของรัฐบาลยุคต่อมา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือรัฐบาลทรราชย์ก็ควรมีนักปกครองผู้ฉลาดสามารถบริหารประเทศ ใหด้ ำเนินไปด้วยดี ความรู้และความรักความยุติธรรมเป็นลักษณะสำคัญของนักปรกครองรัฐในอุดมคติในเบ้ืองต้น เราต้องมีความกล้าหาญในการนำความรู้และความรักความยุติธรรมนั้นมาใช้กับนักปรกครองและ ประชาชนพลเมือง ผลประโยชน์ของประชาชน คือ ผลประโยชน์ของรัฐ รฐั เป็นเหมือนรา่ งกาย ถ้าส่วนหน่ึง ได้รับความทุกข์หรือความสุข ก็เท่ากับว่าส่วนทั้งหมดได้รับความทุกข์หรือความสุขด้วย จุดมุ่งหมาย ของความยุติธรรม ก็คอื การเข้าใจคุณธรรมเร่ืองการอยดู่ ีกนิ ดีทัว่ ๆ ไป ไมใ่ ช่การอย่ดู ีกนิ ดีของร่างกาย ทเี่ ลือกสรรแล้ว นักปกครองในอดุ มคติ ถ้าความยุติธรรมมีอยู่ในดวงวิญญาณของทุก ๆ คนแล้ว ดวงวิญญาณของนักปกครอง ก็ควร จะมีความยุติธรรมมากกว่าใคร ๆ แต่มีนักปกครองเพียงเล็กน้อยเท่าน้ันท่ีมีความยุติธรรมฝังอยใู่ นดวง วิญญาณอย่างสมบูรณ์เพราะว่าการจะเป็นนักปกครองท่ีดีได้นั้น ต้องใช้เวลาพัฒนาจิตใจอยู่นานทีเดียว สิ่งสำคัญนั้น ก็คือ การให้การศึกษาอบรมแก่ผู้ท่ีจะมาเป็นนักปกครอง และนักปกครองที่ดีต้อง ประกอบด้วย คุณธรรม 4 ประการ คือ ความฉลาด ความกล้าหาญ ความรู้จักประมาณ และความยุติธรรม ในความหมายอีกอันหนึ่งก็คือว่า นักปกครองต้องมีการบังคับตนเองและความกล้าหาญในการแสดงออก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 39 ซ่ึงความคิดเห็น เพราะฉะนั้น นักปกครองในอุดมคติ จึงต้องเป็นนักปรัชญาเมธี หรือ Philosopher King ผู้รักในปัญญามีความรู้แจ้งทางวุฒิปัญญาและมีความเฉลียวฉลาดทางด้านปฏิบัติอีกด้วย อันที่ จริงแลว้ ความยุติธรรม ก็คอื ปัญญา ซง่ึ เป็นทเ่ี ข้าใจกันในสังคม ทฤษฎคี วามคิด ทฤษฎีความคิดของเพลโต คือ ทฤษฎีท่ีเป็นบ่อเกิดแห่งความคิดที่แท้จริง ความคิดรวบยอด ไม่ใช่เป็นเพียงความคิดทั่วไปเท่านั้น แต่เป็นความคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางประการ ที่มีความจริงในตัวเอง มีอยู่นอกใจและมีอิสระจากใจ หากมีคำถามว่าเพลโตได้เข้าใจคำสอนเรื่องน้ีได้อย่างไร คำสอนเร่ืองน้ี เราพอจะเห็นได้ว่าความแท้จริง หมายถึง ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของความคิดกับข้อเท็จจริง ทม่ี อี ยู่ เมือ่ วา่ ตามทศั นะน้ี ความจริง ได้แก่ ความนึกคิดท่ีเกิดข้ึนในใจ อนั เป็นภาพจำลองของบางส่ิง บางอย่างที่มีอยู่ภายนอกใจ ความรู้หมายถึงความรู้ท่ีเกี่ยวกับความจริงและมีปัญหาว่า อะไรเล่า คือ ความคดิ กอ่ นอืน่ ขอใหพ้ ิจารณาดูวา่ อะไรเป็นลักษณะของความคิดซง่ึ พอจะสรปุ ได้ ดังน้ี 1. ความคิดท้ังหลายเป็นเน้ือสาร ความคิดท้ังหลายเป็นความจริงแท้ท่ีสมบูรณ์และสูงสุด ทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่ในความคิด ความคิดไม่ต้องการอิงอาศัยสิ่งอื่นใด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัย ความคดิ ดงั นนั้ ความคิดจึงเป็นหลกั สำคัญประการแรกของทุกสิ่ง 2. ความคิดเป็นส่ิงสากล ความคิดไม่ใช่สิ่งต่าง ๆ โดยท่ัวไป เช่น ความคิดเรื่องม้า ก็ไม่ได้ หมายถึง ม้าตัวน้ี ตัวนั้น แต่หมายถึงความคิดเร่ืองม้าโดยท่ัว ๆ ไป 3. ความคิดไม่ใช่สิ่งต่าง ๆ แต่เป็นการนึกคิดคำนึง (Thinking) ความคิดไม่ใช่ความคิดของผู้คิด แต่เป็นความคิดท่ีมีอยู่โดยทั่วไปและต้องเป็นความคิดที่มีอยู่ในใจ ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่าความคิดที่เรา กล่าวมาน้ีเปน็ ความคิดเกี่ยวกับสง่ิ ทั่ว ๆ ไป 4. ความคิดแต่ละอยา่ งเป็นเอกภาพ หมายความว่า แต่ละความคิดมีความเป็นหน่ึงเสมอ และ มีอยู่ในบรรดาสิ่งท้ังหลาย เช่น ความคิดเร่ืองคนก็มีเพียงหน่ึง ถึงแม้คนเราจะมีอยู่มาก แต่ความคิด เรอ่ื งคนกม็ เี พยี งหนงึ่ เทา่ นน้ั สำหรับสิง่ ต่าง ๆ ก็เหมอื นกัน แตค่ วามคดิ เร่อื งเฉพาะส่งิ ก็มีเพียงหนึ่ง 5. ความเป็นธรรมชาติท่ีแบ่งแยกไม่ได้และไม่แตกดับเป็นสิง่ นริ ันดร ถงึ อย่างไรก็ตามความคิด ก็ยังครองความเป็นหนึ่งไว้ได้ เพราะความหมายของความคิดไม่อิงอาศัยอะไร ไม่ว่าจะเป็นกาลหรือ อวกาศ ความคิดจงึ เป็นธรรมชาติท่ีไมเ่ ปลีย่ นแปลงเปน็ สงิ่ เดียวกนั กับคำจำกัดความ 6. ความคิดเปน็ แกน่ แท้ของทกุ สิ่งทงั้ หมด เราได้ให้คำจำกดั ความว่าอะไรเป็นส่งิ สำคัญสำหรับ ส่ิงหนึ่ง ถ้าเราได้ให้คำจำกัดความเรื่องคนว่า คนเป็นสัตว์ที่มีเหตุผลอันนี้ก็หมายความว่า เหตุผลเป็น แกน่ แทข้ องคน 7. เมือ่ กล่าวโดยชนิดเดยี วกันแล้ว ความคดิ แตล่ ะความคิดมีความสมบูรณข์ ้ันสงู สดุ ความสมบูรณ์ ของความคดิ กเ็ ปน็ สง่ิ เดียวกนั กับความแทจ้ รงิ ของมนั 8. ความคิดเป็นสิ่งท่ีอยู่นอกเหนือกาลและอวกาศ ถ้าหากว่าความคิดมีอยู่ในกาลและอวกาศ มันก็คงอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ และเราก็พอจะหาพบได้ในที่บางแห่ง ดังน้ัน จึงกล่าวได้ว่าความคิดเป็น สงิ่ ทอ่ี ยนู่ อกเหนือกาลและอวกาศ เพราะเปน็ ธรรมชาตไิ ม่เปลยี่ นแปลงและเป็นนิรันดร 9. ความคดิ เป็นธรรมชาตทิ ่ีมเี หตุผล กลา่ วคือ เราจะเขา้ ใจได้ต้องอาศัยเหตุผลเป็นเครื่องนำทาง ความสุข ความดี และระเบยี บเก่ียวกับเหตุผล มีปัญหาวา่ ความสุข คือ ความดใี ช่หรือไม่ เพลโต ได้ใช้เหตุผลตอ่ ไปนีเ้ พ่อื พิสจู นว์ า่ ความสขุ ไม่ใชเ่ ป็นตัวความดีทั้งหมด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 40 1. ความดี คือ จุดประสงค์ท่ีสูงสุดท่ีทุกคนปรารถนา เพื่อประโยชน์แก่ตนเองมีความสมบูรณ์ และเพียงพอ ซึ่งไม่จำเปน็ จะต้องมาเพ่ิมเติมคุณค่าให้แก่ความดีอีกเป็นส่งิ ท่ีผู้มปี ัญญาต้องแสวงหาและ ปรารถนากันย่ิงนกั แต่ความสุขไม่ไดม้ ลี ักษณะเหล่านี้ 2. ความดีไม่ว่าจะเป็นความดีในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาโดยแท้จริง แต่เนื่องจาก ความสุขชนิดต่าง ๆ มักจะมีความขดั แย้งกนั เอง เพราะฉะนั้น ความสขุ จึงไม่ใช่ความดี 3. ความดีเป็นจุดประสงค์สูงสุด แต่ความสุขในหลายกรณีเป็นส่ิงที่สร้างข้ึนมาใหม่จากความ กลมกลืนบางอย่างทางรา่ งกาย เพลโต ถือวา่ ความสขุ ที่เกิดจากการรับประทานอาหารอร่อย โดยสาระสำคัญแล้วก็มีลักษณะ อนั นี้ เพราะว่าการรับประทานอาหารอร่อยข้ึนอยู่กับความต้องการท่ีมีอยู่ก่อนแล้ว อน่ึง ความสุขเช่นน้ัน ไมใ่ ชเ่ ป็นส่ิงที่น่าปรารถนาโดยแท้จริง เพราะว่าธรรมชาติของความสุขเหล่านั้นมีอยู่เพ่ือกำจัดความทกุ ข์ ความบาดหมาง หรือความต้องการ เราจึงตกลงไดว้ ่าความสุขบางชนิดไมใ่ ชค่ วามดีแตป่ ระการใด กจิ กรรมทางจิตใจเป็นความดหี รอื ไม่ นับว่าเป็นความจริงเหมือนกันท่ีว่าสภาวะทางจิตใจเมื่อปราศจากความรู้สึกอันเกิดจากความสุข (สขุ เวทนา) แล้วก็ไม่เป็นอันเดียวกนั กับความดี ชีวิตท่ีเก่ียวเน่ืองกันกิจกรรมทางจิตใจ คือ ชีวิตที่มีการ ใช้สติปัญญา ความรู้ ความฉลาด และความจำ ถ้าบุคคลไม่สามารถมีความรู้สึกอันเกิดจากความสุข และความทุกข์ (สุขทุกขเวทนา) อาจเป็นชีวิตท่ีไม่น่ารื่นรมย์ก็ได้ ไม่มีใครมีความพอใจเพียงกับการนึกคิด เขาต้องแสวงหาความสุขตามความคิดของเขาเหมือนกัน เพราะฉะน้ันความดีไม่ใช่เพียงเป็นสิ่งที่เรา ควรพึงพอใจเทา่ นน้ั แต่ยังเป็นสง่ิ ทเี่ ราควรกระทำด้วยและความดีต้องมีความสุขเจือปนอยู่ด้วยเหมือนกัน ชวี ิตทมี่ คี วามกลมกลืนกนั เนื่องจากความสุขและกิจกรรมทางจิตใจทั้งสองมีส่วนสำคัญตอ่ ความดีและท้ังสองก็ยังไม่พอเพียง คอื ว่าต้องมีคุณธรรมเรื่องความกินดีอย่ดู ี ซ่ึงเป็นคุณธรรมท่ีเชอ่ื มต่อระหวา่ งความสขุ และกจิ กรรมทาง จิตใจทั้งสองอัตราส่วนของความรู้สึกและกิจกรรมทางจิตใจที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตผสม ย่อมถูก กำหนดโดยปญั ญาซง่ึ ทำหนา้ ทสี่ ูงสุดเกย่ี วกับการตัดสินใจด้วยเหตผุ ล จากแง่นี้เป็นเหตุให้เพลโตต้องทำการแยกแยะความสุขชนิดต่าง ๆ คือ คำตอบ ทั่ว ๆ ไปมีว่า ความสุขท่ีเจือไปด้วยความทุกข์มีค่าน้อยกว่าความสุขล้วน ๆ ความสุขเหล่านั้นเป็นความสุขท่ีปราศจาก ความทุกข์ซึ่งติดตามมาในภายหลัง สำหรับเหตุผลน้ีความสุขทางสุนทรียศาสตร์และความสุขอันเกิด จากการใช้สติปัญญาย่อมดีกว่า สูงกว่า ความสุขอันเกิดจากประสาทสัมผัส ซ่ึงเต็มไปด้วยความ ทะเยอทะยานและเตม็ ไปดว้ ยความทุกข์นานาประการ ความสุขท่ีจำเป็นจริง ๆ น้ัน ได้แก่ ความสุขที่ประกอบด้วย ความปรารถนาในสิ่งท่ีเป็นฝ่าย นามธรรมและต้องรวมอยู่ในชีวิตท่ีมีการกินดีอยู่ดี นอกจากนี้แล้วยังต้องเพิ่มความสุขท่ีเกิดจากศิลปะ และวิทยาศาสตร์ ความคิดตริตรองและการรู้จักประมาณและจากคุณธรรมทางจริยธรรมซึ่งเป็นที่ ยอมรบั กนั โดยทว่ั ไป แตน่ อกเหนอื ไปจากน้ีกเ็ ปน็ ความสุขที่เกิดจากการเข้าถึงความจรงิ (สจั ธรรม) ความหมายทั่ว ๆ ไป เกี่ยวกับมติของเพลโต คือ ว่าความรู้สึกอันเป็นสุขและกิจกรรมทาง จิตใจทั้งสองมีความสำคัญต่อคุณธรรมเร่ืองการอยู่ดีกินดีของบุคคล และคำสอนของเพลโตได้ทำให้ ทฤษฎีต่าง ๆ ของพวกไซนิกส์และไซเรนนิกส์เป็นทฤษฎีท่ีถูกต้อง ส่วนชีวิตท่ีดีท่ีสุดสำหรับปัจเจกชนน้ัน คือ ชีวิตท่ีเป็นเอกภาพซึ่งสติปัญญา อารมณ์และความปรารถนา ทำหน้าที่ร่วมกันเพื่อให้เกิดความ กลมกลืนกนั โดยมีเหตุผลเป็นเคร่ืองกำหนด
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 41 เหตุผลในจกั รวาล ความกลมกลืนของความสุขและกจิ กรรมทางจติ ใจท่สี มบรู ณ์น้ีซง่ึ ก่อให้เกิดความอยดู่ ีกินดีของ ชีวิตอันเกิดมาจากความได้สัดส่วนมาตรฐานและความงาม แต่ลักษณะเหล่าน้ีเป็นพวกเดียวกันกับ ปัญญามากกว่าความสุข เพราะเหตุผลที่อยู่ในอำนาจแห่งความนึกคิดเป็นบ่อเกิดของระเบียบและ ความสมบูรณ์ของจักรวาล เพลโตจึงสรุปว่า ความดีของปัจเจกชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปัญญา มากกว่าความสุข เหตุผลเป็นเคร่ืองกำหนดว่าอะไรเป็นความดี หาใช่ความรู้สึกไม่ ดังน้ัน เพลโตจึง ปฏิเสธคำกล่าวของพวกโปรแทกกอเรียน และยืนยันว่าพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์เป็นเคร่ืองมือวดั ของทุกส่ิง ทกุ อยา่ ง ความคิดเรื่องเทวบัญชาและความกลมกลืนกนั ไมใ่ ชค่ วามปรารถนาและความรู้สึกของมนุษย์ เป็นเคร่อื งกำหนดการอธิบายเรอ่ื งความจริงชน้ั สูงสดุ ของจักรวาล ความคิดสำหรับวิญญาณชั้นต่ำแตล่ ะดวงย่อมมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าและความเจริญรุ่งเรือง เหมือนพระเจ้า ความช่ัวช้าท่ีต่ำทรามท่ีสุดสำหรับมนุษย์ก็คือ การรักตนเองมากไป มนุษย์ควรรักบุคคล ผู้มีวิญญาณที่สูงกว่าและพยายามท่ีจะเข้าถึงระดับเดียวกันกับเขาเหล่าน้ัน วิญญาณมี 2 ส่วน คือ วิญญาณท่ีเป็นมตะและวิญญาณที่เป็นอมตะ และความรู้เป็นกิจกรรมของวญิ ญาณท่ีเปน็ อมตะเหตุผล หรือสติปัญญาในฐานะท่ีเป็นลักษณะแห่งการเข้าใจความแท้จริง ก็คือ ผู้จัดระเบียบที่เหมาะสมแห่ง การกระทำของมนุษย์ ความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นบ่อเกดิ ท่สี ำคัญแห่งความชัว่ ทั้งหลายและอวิชชาในทาง ปฏิบัติแล้วหมายถงึ ความไม่รู้จักฐานะอันสมควรของตนเองและดำเนินไปอยู่ในจักรวาล (คอื แสดงออก ใน รูปของมายากล) คุณธรรมในการทำงาน การมีคุณธรรมในการทำงานเป็นอย่างมีจิตสำนึก ถกู วธิ ี เป็นข้นั ต้อนมปี ระสทิ ธิภาพและเป็นท่ี ยอมรับของผอู้ ่นื ในสังคม ซ่งึ มอี งค์ประกอบสำคญั ดงั น้ี ภาพประกอบท่ี 2.10 คณุ ธรรมในการทำงาน 1. มคี วามซ่ือสัตย์ในการทำงานเราจะต้องมีความซื่อสตั ย์ตอ่ หน้าที่และงานท่เี ราได้รับมอบหมาย ปฏบิ ตั งิ านด้วยความจริงใจ และไม่คดโกงหรือหลอกลวงผู้อื่น เราจงึ จะไดร้ บั ความไวว้ างใจจากผู้รว่ มงาน 2. มีความเสียสละ ในการทำงานร่วมกับผู้อื่นเราจะต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ประโยชน์สว่ นตน ไม่เห็นแกต่ วั รู้จักการใหแ้ ละการแบง่ บนั ช่วยคนอนื่ โดยไมห่ วงั ผลตอบแทน 3. มีความยุติธรรม ในการทำงานเราจะต้องไม่ลำเอียงหรือถือส่ิงใดสิ่งหนึ่งตามท่ีเราเช่ือต้อมี ความเป็นกลาง ยึดถือความถูกต้องเป็นหลัก ไม่มีอคติกับเร่ืองต่าง ๆ ที่ได้ยินหรือรับฟังจึงจะต้องที่น่า นบั ถือของผรู้ ว่ มงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 42 4. มีความประหยัดในการทำงานเราต้องรู้จักอดออม ไม่ฟุ่มเฟือยต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าใน การใช้ทรัพยากร โดยการนำส่ิงที่เหลือใช้หรือส่ิงที่ไม่มีประโยชน์แล้วมาดัดแปลงซ่อมแซม และแก้ไข เพ่อื การทำสิ่งทไี่ ม่มคี ณุ ค่าให้มีคุณค่ามากข้นึ 5. มีความขยันและอดทน ในการทำงานเราจะต้องมีความมุ่งม่ันต่องานท่ีเรารับมอบหมาย เพื่องานน้ันบรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั่งไว้ เมื่อพบปัญหาหรืออุปสรรคในการทำงานให้นำปัญหาหรือ อปุ สรรคนัน้ มาปรบั ปรงุ และแกไ้ ขให้ดียิ่งข้นึ 6. มีความรับผิดชอบ ในการทำงานเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย ผู้ร่วมงาน ลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพมาผลิตสินค้า ร่วมท้ังไม่ทำลาย ทรพั ยากร ธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม 7. มีความตรงต่อเวลา เป็นวินัยพื้นฐานในการทำงาน มีความตรงต่อเวลา ไม่มาทำงานสายและ ตอ้ งส่งงานที่ไดร้ ับมอบหมายตามกำหนด เพราะถ้าเราไมส่ ่งงานตามกำหนดทำใหผ้ ู้ท่ีทำงานต่อจากเรา ไดร้ ับผลกระทบ และทำใหง้ านนั้นไม่สำเรจ็ ตามเป้าหมายทีว่ างไว้ สร้างความเสยี หายต่อองคก์ ร 8. มีการประกอบอาชีพท่ีสุจรติ ในการทำงานเราจะต้องเลือกประกอบอาชีพท่ีสุจรติ ไม่ทำให้ ผู้อ่ืนไม่เดือดร้อน ไม่เป็นภัยต่อสังคม ซ่ึงสังคม ซ่ึงสังคมท่ียอมรับอาชีพนั้นเป็นอาชีพท่ีสุจริต และคน ทวั่ ไปเลอื กท่ีจะประกอบอาชีพนนั้ จงึ เรียกได้ว่าเรามกี ารเลือกประกอบอาชีพที่สุจริต 3. คณุ ธรรมตามแนวพระราชดำรัส ภาพประกอบท่ี 2.11 คณุ ธรรมตามแนวพระราชดำรสั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 43 คุณธรรมที่ทุกคนควรจะศึกษาและนอ้ มนำมาปฏิบตั ิมีอยู่ 4 ประการ ดังนี้ ประการแรก คือ การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเองท่ีจะประพฤติปฏิบัติแต่ส่ิงที่เป็น ประโยชน์และเป็นธรรม ประการท่ีสอง คอื การร้จู ักข่มใจตนเอง ฝกึ ใจตนเอง ใหป้ ระพฤติปฏบิ ตั ิอยู่ในความสจั ความดีนั้น ประการที่สาม คือ การอดทน อดกลั้น และอดออมท่ีจะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่า ด้วยเหตุประการใด ประการทส่ี ี่ คือ การรู้จกั ละวางความชั่ว ความทุจรติ และรจู้ ักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชนส์ ่วนใหญ่ของบา้ นเมอื ง คุณธรรม 4 ประการน้ี ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้เจริญงอกงามข้ึนโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยใหป้ ระเทศชาติบังเกดิ ความสุข ความรม่ เย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรงุ พฒั นาให้มั่นคงก้าวหน้า ตอ่ ไป ดงั ประสงค์ พระราชดำรสั ในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตรริยาธิราชเจา้ วันที่ 5 เมษายน พุทธศกั ราช 2525 ภาพประกอบที่ 2.12 คณุ ธรรมตามแนวพระราชดำรัส พระบรมราโชวาทเร่อื งคุณธรรม 4 ประการนี้ สอดคล้องกบั หลักพุทธธรรมในเรอ่ื ง ฆราวาสธรรม 4 คอื 1. สัจจะ มีความจริงใจต่อตนเองท่ีจะรกั ษาสัจจะท่ใี ห้ไวก้ ับตน 2. ทมะ การรู้จกั ข่มใจตนเองทจ่ี ะปฏบิ ัติตามสจั จะที่กำหนด 3. ขนั ติ มคี วามอดทนอดกล้นั ทีจ่ ะปฏบิ ัตติ ามสัจจะน้นั ให้สำเรจ็ ลลุ ว่ ง 4. จาคะ การสละความชวั่ ความทจุ ริตตามสจั จะนนั้ ๆ … การที่จะทำงานให้สัมฤทธ์ิผลท่ีพึงปรารถนา คือ ที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น จะอาศัยความรู้แตเ่ พียงอยา่ งเดยี วมไิ ด้ จำเป็นตอ้ งอาศยั ความสจุ ริต ความบรสิ ุทธใ์ิ จ และความถูกตอ้ ง เป็นธรรมประกอบด้วย เพราะเหตุว่าความรู้น้ันเป็นเหมือนเคร่ืองยนต์ท่ีทำให้ยวดยานเคลื่อนไปได้ ประการเดียว ส่วนคุณธรรมดังกล่าวแล้วเป็นเหมือนหนึ่งพวงมาลัยหรือหางเสือ ซ่ึงเป็นปัจจัยท่ีนำพา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 44 ให้ยวดยานดำเนินไปถูกทางด้วยความสวัสดี คือ ปลอดภัยจนบรรลุถึงจุดหมายที่พึงประสงค์ ดังนั้น ในการท่ีจะประกอบการงานเพ่ือตนเพื่อส่วนรวมต่อไป ขอให้ทุกคนสำนึกไว้เป็นนิจ โดยตระหนักว่า การงาน สังคม และบ้านเมืองนั้น ถ้าขาดผู้มีความรู้เป็นผู้บริหารดำเนินการ ย่อมเจริญก้าวหน้าไปได้ โดยยาก แต่ถ้างานใด สังคมใด และบ้านเมืองใดก็ตาม ขาดบุคคลผู้มีคุณธรรมความดีสุจริตแล้ว จะดำรงอยู่มิได้เลย…” (ความตอนหน่ึงในพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวทิ ยาลัยรามคำแหง วนั ท่ี 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2520) การมีความรู้คู่คุณธรรม จึงเป็นส่ิงท่ีจำเป็นสำหรับบุคคลผู้แสวงหาความสำเร็จในชีวิตเพราะ การงาน สังคม และบ้านเมืองนั้น ถ้าขาดผู้มีความรู้เป็นผู้บริหารดำเนินการ ย่อมเจริญก้าวหน้าไปได้ โดยยาก แต่ถ้างานใด สังคมใด และบ้านเมืองใดก็ตาม ขาดบุคคลผู้มีคุณธรรมความดีสุจริตแล้ว จะดำรงอยูม่ ิไดเ้ ลย... การทำให้เกดิ “ความรู้คู่คุณธรรม” เป้าหมาย คือ การพฒั นาคนอยู่ที่การกระทำให้คนมีคุณภาพ และคณุ ธรรม คนมคี ุณภาพ หมายถงึ คนที่มคี วามรู้ ความสามารถ ความชำนาญ ในวิชาชีพจนสามารถเล้ยี ง ตนเองและครอบครวั คนมีคุณธรรม หมายถึง เป็นคนดี คิดดีและประพฤติดี ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่นในสังคม และมีเมตตากรุณาตนเอง และผู้อ่ืนเป็นคนใฝ่รู้อยู่เสมอ รู้จักตนเอง เสียสละเพื่อส่วนรวม มองการณ์ไกล ไมป่ ระมาท และมศี ีลธรรม 4. หลักคุณธรรมความเปน็ ครู ภาพประกอบท่ี 2.13 หลกั คุณธรรมความเป็นครู คุณธรรมตามหลักคุณธรรม 4 ประการ ผบู้ ริหารการศึกษา ครอู าจารย์ อยู่ในฐานะที่เปน็ ผนู้ ำและเป็นแบบอย่างที่ดขี องนักเรียน นักศึกษา การที่ศิษย์จะเคารพนับถอื และมีความศรัทธาต่อครอู าจารย์ของตนนั้น ครูอาจารย์ต้องมีคุณธรรมเป็น ปจั จัยสำคัญ คุณธรรม 4 ประการ ได้แก่ 1. การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่ส่ิงที่เป็นประโยชน์และ เปน็ ธรรม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 45 2. การรู้จกั ข่มใจตนเอง ใหป้ ระพฤตปิ ฏิบตั ิอยใู่ นความสัจ ความดี 3. การอดทน อดกลน้ั และอดออมทจี่ ะไม่ประพฤตลิ ว่ งความสัจสุจริตไม่วา่ จะด้วยเหตุประการใด 4. การรู้จักละวางความเชื่อ และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ของบ้านเมือง คุณธรรม 4 ประการนี้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้มีความเจริญงอกงาม ข้ึนโดยท่ัวกันแล้ว และจะช่วยใช้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็นและมีโอกาสท่ีจะปรับปรุง พัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้าตอ่ ไปได้ดังความประสงค์ ครู อาจารย์เป็นคนไทยคนหน่ึงที่ควรถือปฏิบัติตาม หลักคุณธรรมดังกล่าวเพื่อเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ศิษย์ สถาบันวิชาชีพครูจะได้มีความเจริญก้าวหน้า สงั คมและประเทศไทยจะได้มีความเจริญร่งุ เรืองตลอดไป นอกจากหลักธรรม 4 ประการ ดังกล่าวมาแล้ว ผู้บริหาร ครู อาจารย์และเจ้าหน้าท่ีใน สถาบันการศึกษายังต้องประพฤติและปฏิบัติตามหัวข้อธรรมดังกล่าว เพ่ือเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ และนกั เรียนอย่างครบถ้วนสมบรู ณ์ การเรียนการสอนกจ็ ะตอ้ งจัดตามความมุง่ หมายของรัฐ การศึกษา ตามนัยแห่งแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2520 เป็นกระบวนการต่อเน่ืองกันตลอดชีวิตเพ่ือมุ่ง สร้างเสริมคุณภาพของพลเมืองให้สามารถดำรงชีวิตและทำประโยชน์แก่สังคม โดยเน้นการศึกษาเอง สรา้ งเสรมิ ความอยู่รอดปลอดภัย ความมนั่ คงและความผาสุกรว่ มกนั ในสังคมไทยเปน็ ประการสำคญั 5. ความสำคัญของคณุ ธรรม สมเดช สีแสง (2538 : 230) คุณธรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเสริมสร้างความสงบสุขและ ความเจริญให้แก่บุคคลเป็นส่วนตัวและแก่ประเทศชาติเป็นส่วนร่วมดังในพระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ในพิธพี ระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เม่ือวันที่ 8 กรกฎาคม 2520 ว่า “การท่ีจะทำงานให้สัมฤทธิ์ผลที่พึงปรารถนา คือ ท่ีเป็นประโยชน์และเป็นธรรม ด้วยน้นั จะอาศัยความรแู้ ต่เพียงอยา่ งเดยี วมิได้ จำเป็นต้องอาศัยความสุจริตความบรสิ ุทธิ์ใจและความ ถูกต้องเป็นธรรม ประกอบด้วย เพราะเหตุว่าความรู้นั้นเป็นเสมือนเครื่องยนต์ท่ีทำให้ยวดยานเคลื่อน ไปได้ประการเดียว ส่วนคุณธรรมดังกล่าวเป็นเสมือนหนึ่งพวงมาลัยหรือหางเสือ ซึ่งเป็นปัจจัยท่ีนำพา ให้ยวดยานดำเนินไปถูกทางด้วย ความสวัสดี คือ ปลอดภัยจนบรรลุถึงจุดหมายที่พึงประสงค์” ที่ว่า คุณธรรมเป็นปัจจัยท่ีสำคัญท่ีจะเสริมสร้างความสงบสุขและความเจริญให้แก่บุคคลเป็นส่วนตัวน้ันก็ เพราะวา่ คณุ ธรรมเปน็ เคร่อื งชว่ ยใหแ้ ต่ละคนประสบความสุขความเจรญิ ในหลาย ๆ ทาง เชน่ 1. คณุ ธรรมเป็นเครื่องธำรงศักด์ิของความเปน็ มนุษย์ เราไม่คุณคา่ ของมนษุ ยเ์ ปน็ ตัวเงนิ แต่จะ ตีค่ากันด้วยคุณธรรม ผู้มีคุณธรรมจะเป็นผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นคนดีเป็นคนมีค่ามาก ส่วนผู้ไร้คุณธรรม อาจจะถูกประณามวา่ “เหมอื นมใิ ชค่ น” เปน็ คนมคี ่าน้อย 2. คุณธรรมเป็นเคร่ืองเสริมบุคลิกภาพ เช่น “ความซื่อตรง” ทำให้คนมีความสมบูรณ์ในความคิด และการกระทำเพราะไมม่ ีความขดั แยง้ กนั ระหวา่ งความคิด คำพดู และการกระทำ 3. คุณธรรมเป็นเคร่ืองเสริมมิตรภาพ เช่น “ความจริงใจ” ทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นเป็นไป อย่างราบร่นื คนไม่จริงใจย่อมไม่ไดร้ ับความไว้วางใจจึงทำให้เสียผลประโยชนท์ ี่ควรจะได้ 4. คณุ ธรรมเปน็ เครอ่ื งสร้างความสบายใจ ซ่ึงนอกจากจะสบายใจเพราะการทำแตส่ ิง่ ท่ีถูกตอ้ ง ท่ีควรแล้วยังสบายใจที่ไม่ต้องระแวงระวังในอนั ตรายที่จะมีมาอีกด้วย เพราะผู้มีคุณธรรมจะเป็นผู้ประพฤติ แตใ่ นทางที่ถกู ต้องและไมท่ ำผดิ 5. คุณธรรมเป็นเคร่ืองส่งเสริมความสำเร็จและความมั่นคงปลอดภัยในการประกอบอาชีพและ ดำรงชีวติ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 46 6. บทสรุป คณุ ธรรมความเป็นครูในบทความนเี้ ป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวสำหรับคนที่ประกอบวิชาชีพครู ซึ่งข้ึนอยู่กับองค์ประกอบภายนอกตัวครูอ่ืน ไม่ว่าระบบบริหารสถาบันวิชาชีพ จรรยาบรรณหรือกฎเกณฑ์ ต่าง ๆ คำว่า “ครู”น้ัน แม้โดยรูปแบบจะมีการแบ่งเป็นกลุ่ม ระดับตามลักษณะงาน และหลักการศึกษา ทีต่ นมีบทบาทหน้าท่ี แต่โดยเน้ือแท้ ครูต้องเป็นบุคคลทม่ี ีคุณสมบัตหิ รือองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ คือ 1) มีความรู้ดี 2) มีความประพฤติดี และ 3) มีคุณธรรม หากขาดคุณสมบัติทั้ง 3 น้ีก็ยากที่จะ คงบทบาทแหง่ ความเปน็ ครอู ยไู่ ด้ บทบาทแห่งความเป็นครูน้ัน แม้จะกำหนดไว้แตกต่างกันตามลักษณะประเภทองค์กรที่ครู สังกัดแต่อยู่ในกรอบใหญ่ 3 กรอบ ตามคุณสมบัติของครูน่ันเอง คือ บทบาทในกรอบความรู้ กรอบ ความประพฤติและกรอบคุณธรรมแม้จะมีกรอบสามนีแ้ ล้วก็ตาม แต่เน่ืองจากสภาวการณ์ปจั จุบันเป็น ภาวการณ์วกิ ฤตตามกระแสโลกาภิวัตน์ การออกนอกกรอบอาจเกิดข้ึนได้ อันเปน็ จุดเริ่มต้นแห่งความ วุ่นวายในสังคมเพราะสังคมนั้นประกอบด้วยบุคคลจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนยอ่ มได้รับการศึกษาอบรม ไปจากครู เมื่อครูซึ่งเป็นต้นแบบออกนอกกรอบย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผลผลิตก็จะออกนอกกรอบ ไปดว้ ย ดังนั้น จึงจำเป็นท่ีครูต้องมีปรชั ญาและคุณธรรมท่ีเสริมความเป็นครู ในด้านปรัชญานั้นควรที่ จะยึดหรือยืนอยู่ตรงจุดที่มีดุลยภาพ คือ ตรงจุดก่ึงกลางแห่งกระแสโลกาภิวัฒน์ ท้ังน้ี เพื่อกระตุ้นให้ เกิดความรวดเร็วและชะลอความเร็วเกินขนาดจนอาจเป็นอันตรายได้ในด้านคุณธรรม โดยสามัญสำนึก ทุกคนย่อมตระหนักได้เองว่า อะไรดีไม่ดี ควรไม่ควร ถ้าคนน้ันผ่านการกล่อมเกลาทางสังคมมาระดับ หน่ึงแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครูได้ผ่านการกล่อมเกลา และกรองมาแล้วหลายระดับและ หลายครงั้ ย่อมทราบโดยสำนกึ แนน่ อนว่าอะไรดีควรทำตามหน้าที่นั่นหมายความวา่ คุณธรรมเป็นสิ่งท่ี มีประจำใจของใคร ๆ ใฝอย่แู ล้ว อย่างไรก็ตามใน แง่การศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ต้องคำนึงข้ันตอนการพัฒนาตาม หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิและปัญญา เพราะเมื่อดำเนินการตามหลักนี้แล้ว จะทำให้เกิดคุณธรรม อ่ืนๆติดตามมาโดยอัตโนมัติ ในฐานะท่ีหลักไตรสิกขาน้ันเป็นหลักเพ่ือการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อมุ่งไปสู่พุทธิปัญญาที่จะทำให้มีอิสระปลอดโปร่ง และปลอดภัยอย่างแท้จริง อันเป็นท่ีปรารถนา ของคนทุกระดับท่กี ล่าวมาท้ังหมดนีด้ ูเหมือนจะเปน็ เรื่องของปัจเจกบุคคลทข่ี วนขวายแสวงหาเพ่ือการ พัฒนาด้วยตนเอง โดยไม่สัมพันธ์กับระบบโดยเฉพาะอย่างย่ิงระบบบริหารจัดการบุคลากรครูอันเป็น โครงสร้างและส่ิงแวดล้อมสำคัญที่จะให้เกิดการปฏิบัติดังกล่าว จึงน่าจะมีข้อเสนอแนะเก่ียวกับระบบ การบริหารจัดการดงั กล่าวเก่ียวกับบุคลากร ครขู ้อเสนอแนะบางประการ ดังน้ี 1. ครูในฐานะปัจเจกบคุ คลต้องมใี จพร้อมท่ีจะทำหนา้ ทีค่ รู เป้าหมาย คอื ยกระดับวิญญาณมนุษย์ ไมใ่ ชย่ กระดับความรู้เท่าน้นั 2. รัฐตอ้ งปฏิรูปครูทงั้ ระบบทุกระดับ ตั้งแต่ครูก่อนประถมจนถงึ ระดับอุดมศึกษา (ผทู้ ำหน้าท่ี สอนทุกระดับถือวา่ เป็นครู) โดยปฏริ ูปทัง้ ระบบการผลิตการใช้และการพัฒนา 3. ถ้าถือว่าวัยต้น ๆ ของคนเป็นวัยท่ีมีความสำคัญเพราะเป็นวัยท่ีวางรากฐานการพัฒนาท่ีสำคัญ ท่ีสุดเป็นวัยที่ช้ีทิศทางแห่งการพัฒนาวัยต่อไป ๆ แล้ว ครูในระดับต้น ๆ คือ ก่อนประถมศึกษาและ ประถมศึกษาก็ควรจะได้รับความสำคัญเปน็ พิเศษด้วยโดยเฉพาะแง่ความก้าวหน้าทั้งทางด้านวชิ าการ และวชิ าชีพครู กฎระเบียบต่าง ๆ ทลี่ า้ สมัยน่าจะได้รบั การปรบั ปรุงเพือ่ ใหค้ รใู นระดบั ต้น ๆ ได้รับความสำคัญ เป็นพิเศษดังกล่าวทางก้าวหน้าของครูในระดับต้น ๆ น่าจะมีช่องทางเหมือนกันกับครูในระดับสูง ๆ
47 ตำแหน่งทางวิชาการไม่ว่าจะโดยช่ือหรือสิทธิประโยชน์อันมากับตำแหน่งน้ัน น่าจะมีเหมือนกันและ เทา่ กันสำหรบั ครทู กุ ระดบั ศาสตราจารย์มไี ด้แม้ในครูอนบุ าลถ้าคณุ ภาพทางวิชาการถงึ ระดบั กำหนด 4. ในขณะที่ยคุ นีเ้ ทคโนโลยีกำลงั มาแรง ครูและผู้จัดระบบการบรหิ ารจดั การครู ต้องตง้ั สติให้ ดีว่าคนจะต้องใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเท่านั้น อย่าหลงหรือเผลอให้เทคโนโลยีมาใช้คน โดยไม่รู้ เพราะไม่ฉะน้ันจะถึงจุดอันตรายท่ีความเป็นมนุษย์จะสญู สิน้ จะมีแต่ความเป็นวัตถุเมื่อถึงขั้นน้ันควรจะ พูดกนั ด้วยเหตไุ มร่ เู้ ร่อื งแตจ่ ะพดู ดว้ ยวตั ถุ หรอื เงิน หรอื ผลประโยชนอ์ ่ืน ๆ 5. สภาพแวดล้อมทางส่ือสารมวลชนมีบทบาทสำคัญเสมือนหนึ่งเป็นครูโดยอัตโนมัติเพราะ สามารถสื่อความหมายสิ่งต่าง ๆ ท้ังดีและไม่ดีที่มีอิทธิพลต่อคนไม่ ย่ิงหย่อนหรือมากไปกว่าครูด้วยซ้ำไป ดังน้ัน วิชาการทางส่ือสารมวลชนไม่ว่าจะเป็นนิเทศศาสตร์หรือชื่ออ่ืนใด ควรจะมีวิชาคุณธรรมความ เป็นครใู ห้ศึกษาดว้ ยและให้ผู้ประกอบอาชีพด้านน้ี มีความรสู้ ึกว่าตัวเองเป็นหรือเสมือนเป็นครูคนหน่ึง ทงั้ น้ี เพอ่ื ความรสู้ กึ รับผิดชอบตอ่ ผลการเสนอขอ้ มลู ขา่ วสารต่าง ๆ คำถามทบทวน 1. ครูทด่ี ีตอ้ งประพฤตติ นอย่างไรบ้างยกตวั อย่าง 3 ขอ้ 2. การประพฤตติ นแบบใดบา้ งท่คี นเปน็ ครูควรงดเว้น 3. การเปน็ ครูท่ีดีต้องมคี ณุ ธรรมข้อใดบา้ ง 4. คณุ ธรรมของครู คอื อะไร 5. ถ้าคนในสังคมขาดคณุ ธรรมอย่างผลเสยี อย่างไร เอกสารอา้ งอิง ทฤษฎขี องจรยิ ธรรม [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://sites.google.com สืบค้นข้อมูล เมอื่ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. ทฤษฎีทางจติ วทิ ยาท่เี กย่ี วข้องกับจริยธรรม [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : https://www.baanjomyut.com สบื ค้นข้อมูลเมอ่ื วนั ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. ประเภทของจรยิ ธรรม. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://jariyathamcomputer.blogspot.com. สบื ค้นขอ้ มูลเม่ือวนั ท่ี 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. องค์ประกอบของจริยธรรม [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://www.baanjomyut.com สืบค้นขอ้ มลู เม่ือวนั ท่ี 6 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 48 7. จริยธรรม คำว่าจริยธรรมมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า จรยิ ศาสตร์ นอกจากน้ี ยังมีคำท่ีมีความหมาย ใกล้เคียงกันอีกหลายคำบางครั้งก็มีการนำมาใช้แทนกันซึ่งให้ความหมายทั้งท่ีเหมือนกันและแตกต่างกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจความหมายและขอบข่ายของจริยธรรมกับศัพท์เก่ียวข้องในหลายมุมมอง ทำให้ทราบถึงทรรศนะมุมมองของผรู้ ูต้ ่าง ๆ ท่พี ยายามศึกษาแนวคิดจริยธรรมในด้านที่แตกตา่ งกันออกไป โดยทั่วไปเม่ือกล่าวถึง คำวา่ จริยธรรม ผู้ฟังหรอื ผู้อ่านมักจะพิจารณาอย่ใู นกรอบคิดเกี่ยวกับ ศาสนา ทั้งนี้ เพราะคำสอนทางศาสนามีส่วนสรา้ งระบบจริยธรรมให้สังคม ดังคำกล่าวของ ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช ท่ีว่า “จริยธรรมของสังคมไทยขึ้นอยู่กับระบบศีลธรรมของพุทธศาสนาวา่ กำหนดหลักในการ ปฏบิ ตั ใิ นชวี ิตประจำไวอ้ ย่างไร หลักจรยิ ธรรมก็จะกำหนดใหป้ ฏบิ ัตติ ามนน้ั ” 8. ความหมายของจรยิ ธรรม จริยธรรม (ETHICS) คำว่า \"จริยธรรม\" แยกออกเป็น จริย + ธรรม ซ่ึงคำว่า จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคำว่า ธรรม มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี, หลักคำสอนของศาสนา, หลักปฏิบตั ิ เมอื่ นำคำท้ังสองมารวมกนั เป็น \"จริยธรรม\" จึงมีความหมายตาม ตวั อกั ษรว่า \"หลกั แห่งความประพฤติ\" หรอื \"แนวทางของการประพฤต\"ิ (พระเมธีธรรมาภรณ์, 2534 : 74) จริยธรรมหรือจรยิ ศาสตร์เป็นหน่ึงในวิชาหลักของวิชาปรชั ญา ซ่ึงศึกษาเกี่ยวกับความดีงามทางสังคมมนุษย์ จำแนกแยกแยะว่าสิ่งไหนถูกและส่ิงไหนผิด หากจะ อธิบายอย่างง่าย ๆ แล้ว จริยธรรม หมายถึง การแยกส่ิงถูกจากผิด ดีจากเลว มาจากคำ 2 คำ คือ จริยกับธรรม ซึ่งแปลตามศัพท์ คือ จริยะ แปลว่า ความประพฤติ กิริยาท่ีควรประพฤติ คำว่า ธรรม แปลว่า คุณความดี คำสงั่ สอนในศาสนา หลักปฏิบัติในทางศาสนา ความจรงิ ความยตุ ิธรรม ความถูกต้อง กฎเกณฑ์ เมื่อเอาคำ จริยะ มาต่อกับคำว่า ธรรม เป็นจริยธรรมแปลเอาความหมายว่า กฎเกณฑ์แห่ง ความประพฤติหรอื หลกั ความจรงิ ทเี่ ป็นแนวทางแห่งความประพฤตปิ ฏิบตั ิ ความหมายตามพจนานุกรมในภาษาไทย จริยธรรม หมายถึง ธรรมท่ีเป็นข้อประพฤติ ศีลธรรม อนั ดี ตามธรรมเนียมยุโรป อาจเรียก จริยธรรมว่า Moral philosophy (หลักจริยธรรม) จริยธรรม น. ธรรม ที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศลี ธรรม กฎศีลธรรมตามหลกั ในศาสนาพุทธ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้คำนิยามว่า จริยธรรม คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤติ ปฏิบัติ, ศีลธรรม, กฎศีลธรรม วิทย์ วิศทเวทย์ และเสฐียรพงษ์ วรรณปก ใหค้ ำนิยามว่า จรยิ ธรรม หมายถึง หลักคำสอน วา่ ดว้ ย ความประพฤตเิ ป็นหลกั สำหรบั ใหบ้ คุ คลยึดถอื ในการปฏบิ ตั ิตน (วิทย์ วิศทเวทย์ และเสฐียรพงษ์ วรรณปก, 2530 : 2) ประภาศรี สีหอำไพ (2535 : 24) ให้ ความหมายของจริยธรรมไว้ว่า จริยธรรม หมายถึง หลักความประพฤติที่อบรมกิริยาและปลูกฝังลักษณะ นิสัยให้อยู่ในครรลองของคุณธรรมหรือศีลธรรม คุณค่า ทางจริยธรรมช้ีให้เห็นความเจริญงอกงาม ในการดำรงชีวิตอย่างมีระเบียบแบบแผน ตามวัฒนธรรมของบุคคลที่มีลกั ษณะทางจิตใจที่ดีงามอยู่ใน สภาพแวดล้อมท่ีโน้มนำให้บุคคลมุ่งกระทำความดี ละเว้น ความช่ัว มีแนวทางความประพฤติอยู่ในเร่ือง ของความดี ความถูกต้อง ควรในการประพฤติตนเพ่ืออยู่ในสังคมได้อยา่ งสงบเรียบร้อยและเป็นประโยชน์ ตอ่ ผู้อืน่ มีคณุ ธรรมและมโนธรรมท่ีจะสร้างความสมั พนั ธ์อนั ดีโดยมีสำนึกท่จี ะใชส้ ิทธิและหน้าทีข่ องตน ตามคา่ นยิ มทพี่ งึ ประสงค์ กระมล ทองธรรมชาติ (2529 : 80) กล่าวว่า จริยธรรม หมายถึง ธรรมหรือหลัก ความประพฤติ ทีค่ วรแกก่ ารยดึ ถอื และปฏิบตั ติ าม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 49 พนัส หันนาคินทร์ (2520 : 10) กล่าวว่าจริยธรรม หมายถึง ความประพฤติอันพึงปฏิบัติต่อ ตนเองตอ่ ผู้อ่ืน และต่อสังคมเพ่ือให้เกิดความดคี วามถกู ต้อง และความเจริญรุ่งเรอื งในสังคม พุทธทาสภิกขุ (2521 : 3) ให้ความหมายของจริยธรรมว่า จริยธรรมตรงกับคําว่า Ethics ใน ภาษาองั กฤษ จริย แปลว่า ควรประพฤติหรือพึงปฏิบตั ิ ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2522 : 27) มีความเห็นต่างกันออกไปโดยกล่าวว่า จริยธรรม หมายถึง ลกั ษณะทางจติ ใจและสภาพแวดล้อมซงึ่ ทำให้บุคคลทำความดีและไม่ทำช่ัว สาโรช บัวศรี (2522 : 18) ได้ให้ความหมายของจริยธรรมไว้ว่าจริยธรรม คือ แนวทางในการ ประพฤติเพอ่ื อยู่กนั ได้อย่างร่มเย็นในสงั คม อารมณ์ ฉนวนจิตร (2539 : 7) ให้ความเห็นว่าจริยธรรม หมายถึง ความประพฤติการปฏิบัติ ในสิง่ ทีด่ งี ามเปน็ ทยี่ อมรบั ของสังคมและตนเอง คาร์เตอร์วกี ู๊ด (Carter V. Good. 1974 : 314) ให้ความหมายของจริยธรรมว่า จริยธรรม คือ การปรบั ตวั ให้เขา้ กบั กฎเกณฑห์ รอื มาตรฐานของความประพฤติทถี่ ูกต้อง ดีงาม 9. ความสำคญั ของจริยธรรม จรยิ ธรรมนับว่าเป็นพ้ืนฐานทสี่ ำคัญของมนุษย์ทุกคนและทกุ วชิ าชีพ หากบุคคลใดหรอื วชิ าชีพ ใดไม่มีจริยธรรมเป็นหลักยึดเบอ้ื งต้นแล้วก็ยากที่จะกา้ วไปสู่ความสำเร็จแหง่ ตนและวิชาชีพนั้น ๆ ที่ย่ิง ไปกว่านั้นก็คือ การขาดจริยธรรมทั้งในส่วนบุคคลและในวิชาชีพ อาจมีผลร้ายต่อตนเอง สังคมและ วงการวิชาชีพในอนาคตอีกด้วย ดังจะพบเห็นได้จากการเกิดวิกฤติศรัทธาในวิชาชีพหลายแขนง ในปัจจุบัน ท้ังในวงการวชิ าชีพครู แพทย์ ตำรวจ ทหาร นักการเมือง ฯลฯ จึงมีคำกล่าวว่า เราไม่สามารถ สร้างครูดีบนพ้ืนฐานของคนไม่ดี และไม่สามารถสร้างแพทย์ ตำรวจ ทหาร นักการเมืองและนักธุรกิจ ท่ีดไี ด้ ถา้ บุคคลเหล่าน้ันมพี ื้นฐานทางนสิ ัยและความประพฤติที่ไม่ดี พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) (2531 : 3) กล่าวว่า น้ำและอากาศเป็นสิ่งท่ีมีอยู่ทั่ว ๆ ไปเป็น สิ่งจำเป็นต่อชีวิต เพราะถ้าขาดน้ำเพียงวันเดียวคนก็แทบตาย ย่ิงขาดอากาศประเดี๋ยวเดียวก็อาจตาย หรือไม่ก็เป็นอัมพาตไป จริยธรรมหล่อเล้ียงชีวิตมนุษย์และสังคของเราอยู่โดยไม่รู้ตัว แต่ก็มีความ แตกต่างกันอยู่อย่างหน่ึงระหว่างน้ำและอากาศ กับศาสนาและจริยธรรม คือ น้ำและอากาศน้ัน คนขาดไปแล้วก็รู้ตัวเองว่าตัวเองขาดอะไรและต้องการอะไร แต่ศาสนาและจริยธรรมนั้นมีลักษณะ ประณีตและเป็นนามธรรมมาก จนกระท่ังแม้ว่าคนจะขาดส่ิงเหล่าน้ีจนถึงข้ันมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วก็ยัง ไม่รู้ว่าขาดอะไร ซึ่งเป็นปัญหาท่ีต้องสร้างความเข้าใจ และชี้แจงอย่างต่อเนื่องให้ตระหนักเห็นคุณค่า และความสำคัญ ภาพประกอบภาพที่ 2.14 ความสำคญั ของจริยธรรม
50 10. แหลง่ ทีม่ าของจริยธรรม มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ภาพประกอบท่ี 2.15 แหล่งที่มาของจริยธรรม แหล่งท่มี าอนั เปน็ บ่อเกดิ แหง่ จริยธรรมมีดว้ ยกันหลายทางมผี ู้เสนอไว้ 5 แรง ไดแ้ ก่ 1. ปรัชญา วิชาปรัชญาเป็นผลท่ีเกิดจากการใช้สติปัญญาของผู้ที่เป็นนักปราชญ์หรือนักปรัชญา จนเกิดเป็นแหล่งแห่งความรู้และความจริงท่ีพิสูจน์ได้สาระโดยทั่วไปของนักปรั ชญามักจะกล่าวถึง ลกั ษณะของชีวิตและธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ที่พึงปรารถนา หลักการและเหตุผลของปรชั ญามักเป็น เร่ืองเกี่ยวกบั ความดี ความถูกตอ้ ง เหมาะสมซึ่งสามารถยึดถอื แนวปฏิบัติในชีวติ ได้ 2. ศาสนา เป็นคำสอนที่เป็นหลักประพฤติปฏิบัติหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตของบุคคล ตามแต่ศาสนาของเจ้าลัทธิหรือศาสนาจะเป็นผู้กำหนดหรือวางแนวทาง คำสอนของแต่ละศาสนา ถึงแม้จะแตกต่างกันแต่สภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม ทุกศาสนามีหลักคำสอนและวิธีทาง ท่ีคล้ายคลึงกัน คือ มุ่งเน้นที่จะทำให้เกิดความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคมและเกิดสันติสุข แก่ชาวโลก ดังน้ัน ศาสนาจึงเป็นตัวกำหนดศิลธรรม จรรยาเพือ่ ให้คนในสังคมได้นำไปประพฤติปฏิบัติ ใหบ้ ังเกิดผลและบรรลุจุดมุง่ หมาย 3. วรรณคดี วรรณคดีของทุกชาติทุกภาษาย่อมมีแนวคิดและคำสอนที่เป็นเอกลักษณ์ของ ตนเอง ชาติที่มีความเจริญทางวัฒนธรรม ย่อมมีแนวคิดและคำสอนที่เป็นแนวทางสำหรับประพฤติ ปฏิบัติโดยถูกเก็บรักษาและเผยแพร่ในรูปของวรรณคดี ฉะน้ัน จึงอาจกล่าวได้ว่าวรรณคดีนับเป็น แหล่งกำเนิดและรวบรวมแนวคิดทางจริยธรรมได้อีกทางหน่ึง แนวคิดหรือคำสอนในวรรณคดีไทย ที่นำมาใช้เป็นแนวทางประพฤติได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่น สุภาษิตพระร่วง โคลงโลกนิติ สุภาษิต สอนหญิง เปน็ ต้น 4. สังคม การที่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคมได้ก็เนื่องมาจากมีข้อกำหนดที่เป็นที่ยอมรับและ ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกันเพ่ือความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน และถือปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนาน อันได้แก่ จารีต ประเพณี ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ข้อกำหนดทางสังคมเหล่านี้จึงเป็นท่ีมาและเป็นตัว กำหนดมาตรฐานและคณุ คา่ ทางจริยธรรมของแต่ละสงั คม 5. การเมืองการปกครอง หลักในการปกครองที่นำมาใช้ในแต่ละสังคมโดยทั่วไปมักเกิดจาก การผสมผสานกันของหลักการต่าง ๆ ทั้งท่ีเป็นหลักศาสนาและหลักปรัชญาจารีตประเพณีแล้ว พัฒนาข้ึนเป็นกฎข้อบังคับของสังคม ตลอดจนตราเป็นกฎหมายต่าง ๆ ทั้งนี้ ก็เพอ่ื ตอ้ งการใหส้ ังคมอยู่ รว่ มกนั อย่างสันตสิ ขุ และผดุงไว้ซึ่งความยตุ ิธรรม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 51 ประเภทของจรยิ ธรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 1. จริยธรรมภายใน เป็นจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติของบุคคลตามสภาพจิตใจและ สภาวะส่ิงแวดล้อมเป็นสิ่งท่ีอยู่ภายใน อาจจะไม่แสดงออกมาให้เห็น เช่น ความซ่ือสัตย์สุจริต ความ ยุติธรรม ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที เป็นต้น 2. จริยธรรมภายนอก เป็นจริยธรรมท่ีบุคคลแสดงออกทางพฤติกรรมภายนอกที่ปรากฎให้เป็นท่ีสังเกตเห็นได้ด้วย ตาเปล่าอย่างชัดเจน เช่น ความรบั ผิดชอบ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความมีวินัย การตรงต่อเวลา สภุ าพ อ่อนน้อม มีมารยาท เอาใจใส่ต่อหน้าทกี่ ารงาน ความกตัญญูกตเวที เป็นต้น 11. จริยธรรมในการทำงาน จริยธรรมในการทำงาน หมายถึง กฎเกณฑ์ท่ีเป็นแนวทางปฏิบัติติตนในการประกอบอาชีพท่ี ถือว่าเป็นสง่ิ ทีด่ งี านเหมาะสมและยอมรับ 1. ชำนาญในวิชาชีพของตน (มงคลชีวิตข้อที่ 8) เป็นการนำความรู้ที่เล่าเรียน ฝึกฝน อบรม มาปฏบิ ตั ิให้เกิดความชำนาญจนสามารถยึดเป็นอาชพี ได้ 2. ระเบียบวินัย (มงคลชีวิตข้อท่ี 9) การฝึกกาย วาจาให้อยู่ในระเบียบวินัยที่สังคมหรือสถาบัน วางไว้เป็นแบบแผน 3. กล่าววาจาดี (มงคลชีวิตข้อที่ 10) คือ วจีสุจริต 4 ประการ ได้แก่ ความจริง คำประสาน สามคั คี คำสภุ าพ คำมปี ระโยชน์ 4. ทำงานไม่ค่ังค้างสับสน (มงคลชีวติ ข้อที่ 14) ลกั ษณะการทำงานของคนโดยทว่ั ไปมี 2 แบบ คอื – การทำงานค่งั ค้างสับสน คอื ทำงานหยาบยุง่ เหยงิ ทำงานไมส่ ำเร็จ – การทำงานไมค่ งั่ คา้ ง คือ การทำงานดมี ีระเบียบ ทำงานเตม็ ฝมี ือ และทำงานให้เสร็จ 12. แนวทางการพฒั นาจริยธรรม ภาพประกอบท่ี 2.16 แนวทางการพฒั นาจรยิ ธรรม รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี (2546 : 50-60) ได้กล่าวไว้ว่า วิธีการส่งเสริมการพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ทส่ี อดคล้องกับทฤษฎีที่กล่าวมา และความเหมาะสมกับ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 52 การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ของเด็ก เยาวชนในวัยเรียนโดยการประยุกต์ใช้ พทุ ธวธิ ีในการสอน การพัฒนาจริยธรรมของบุคคลจะต้องมุ่งเน้นไปท่ีบุคลิกภาพภายใน คือ บคุ ลิกภาพดา้ นอุปนิสัย ใจคอ กล่าวโดยหลักก็คือ ต้องมุน่ เน้นพัฒนาท่ีจิตใจให้มีคุณภาพ ท้ังน้ี ต้องอาศัยหลกั ธรรมทางศาสนา เป็นพื้นฐานเบื้องต้น เพราะคุณธรรมที่อยู่ในจิตใจจะคอยกระตุ้นเตือนให้บุคคลแสดงออกทางจริยธรรม ที่เหมาะสมในขณะที่กระทำภารกิจต่าง ๆ จัดเป็นการพัฒนาตนเองในการอยู่ร่วมกันในสังคม (บุญสืบ โพธิ์ศรี และอทุ ยั วรรณ ฉตั รสวุ รรณ, 2547 : 173-177) พระพุทธศาสนามีหลักธรรม ซ่ึงล้วนแล้วแต่เป็นหลักธรรมเพื่อพัฒนาตนเองในด้านจริยธรรม ไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองหรือปรังปรุงตนเองทั้งตัวผู้ ประกอบอาชีพคอมพิวเตอร์และผู้ใช้บริการคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การปฏิบัติงานในอาชีพคอมพิวเตอร์ เอือ้ อำนวยประโยชนใ์ นลกั ษณะทเ่ี รยี กว่า ความรคู้ คู่ ุณธรรม ดงั นี้ 1. ความเห็นชอบ หลักธรรมที่พัฒนาความเห็นชอบหรือความคิดในทางท่ีเป็นคุณประโยชน์ คือ กศุ ลกรรมบถ 10 แปลวา่ ทางแห่งการกระทำความดี 10 ประการ ได้แก่ 1.1 ประพฤติดีด้วยกาย 3 ประเภท น้นั ชือ่ ว่า กายกรรม คอื ทำกิจการงานดว้ ยกายอย่าให้ ทุกขเ์ กดิ ขนึ้ แก่ผอู้ ่นื กายกรรมท่ใี ห้เกิดทกุ ขแ์ กผ่ อู้ นื่ นัน้ มี 3 ประการ 1.1.1 อย่าเบียดเบียนร่างกาย คือ อย่าฆ่า อย่าฟัน อย่าทุบ อย่าตีร่างกายของผู้อื่น รวมไปถงึ สัตว์ดว้ ย ตรงภาษาบาลที ีว่ า่ ปาณาตปิ าตาเวรมณี ฯ 1.1.2 อย่าเบียดเบียนทรัพย์สมบัติของผู้อื่น คือ อย่าลักขโมย อย่าฉ้อโกง อย่าเบียดบัง เอาขา้ วของของผู้อนื่ มาเป็นของตน ตรงภาษาบาลทีว่ า่ อทินนฺ าทานาเวรมณี ฯ 1.1.3 อย่าแย่งชิงลักลอบด้วยอำนาจของกายในหญิงที่ท่านหวงห้ามตรงภาษาบาลี ท่วี ่า กาเมสมุ จิ ฉาจาราเวรมณี 1.2 ประพฤตดิ ดี ้วยวาจา 4 ประเภท (วจีกรรม 4 ประเภท) น้นั ได้แก่ 1.2.1 กลา่ วแต่วาจาถอ้ ยคำท่ีสัตย์ที่จรงิ ให้เว้นจากวาจาที่เทจ็ ไมจ่ รงิ ตรงกับภาษาบาลี ทว่ี า่ มสุ าวาทาเวรมณี ฯ 1.2.2 กล่าวแต่วาจาถ้อยคำอันสมานประสานสามัคคีให้ท่านดตี ่อกันให้เว้นวาจาสอ่ เสียด ยยุ ง ตรงกับภาษาบาลีท่ีวา่ ปสิ ณุ ายาวาจาเวรมณีฯ 1.2.3 กล่าวแต่วาจาถ้อยคำอันอ่อนโยน ให้เกิดความยินดีแก่ผู้ฟัง ให้งดเว้นวาจาที่ หยาบคาย ใส่รา้ ยผูอ้ ื่นทำใหร้ บั ความเดือดร้อนต่าง ๆ ตรงกบั ภาษาบาลที ่ีวา่ ผรุสายวาจายเวระมะณี ฯ 1.2.4 กล่าวแต่วาจาถอ้ ยคำทเ่ี ปน็ ประโยชน์ให้เว้นวาจาท่ีเหลวไหล คอื พูดเล่นหาประโยชน์ มไิ ดต้ รงกับภาษาลีท่ีว่า สมผฺ ปปฺ ลาปา วาจายะเวระมะณี ฯ 1.3 ประพฤตดิ ดี ว้ ยใจ 3 ประเภท (มโนกรรม 3 ประเภท) น้ันคอื 1.3.1 มีความเมตตาต่อผู้อ่ืนอยู่เสมอ คือ ความดำริของใจ อย่าให้ลุอำนาจแห่งโลภ คือ อย่าเพ่งเอากิเลสกามและวัตถุกามของท่านผู้อ่ืน อันไม่สมควรแก่ฐานะของตน ตรงกับภาษาบาลี ทีว่ า่ อนภชิ ฺฌา โหติฯ 1.3.2 มคี วามกรุณาอยู่ทุกเมื่ออย่าให้มีความโกรธ พยาบาท เข้าครอบงำตรงกับภาษา บาลที ่ีวา่ อพฺพยาปาโท โหติฯ 1.3.3 มีมุทิตา อุเบกขา อยู่ทุกเมื่อมีความยินดีเม่ือผู้อ่ืนได้ดี ไม่มีจิตใจริษยา และรู้จัก วางเฉยตอ่ สิง่ ยว่ั ยุตา่ ง ๆ ตรงกับภาษาบาลีท่วี า่ สมมฺ ทิฎฺฐโิ ก โหติฯ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 53 2. ความซื่อตรง หลักธรรมที่พัฒนาความซื่อตรง คือ การมีสัจจะ สัจจะ แปลว่า ความจริงใช้กับ การรักษาสัญญา การรักษาคำพูด การมุ่งแสวงหาจริงหรือความถูกต้องเท่ียงธรรม รักษาความเที่ยงธรรม ไว้ได้ 3. ความรบั ผิดชอบ หลกั ธรรมท่พี ัฒนาความรับผดิ ชอบ คือ 3.1 อัปปมาทธรรม คือ ความไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะคอยควบคุมให้เกิดความสำนึก ในหนา้ ที่อยูต่ ลอดเวลา 3.2 หิริ โอตตัปปะ หิริ คือ ความละอายใจ ละอายใจต่อการทำความผิดทุกชนิด สังเกตได้ จากการท่ีรู้สึกละอายใจตนเองเม่ือได้กระทำความผิด โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป หิริ โอตตัปปะ ถึงแม้จะไม่ใช่ธรรมท่ีใช้พัฒนาจริยธรรมในด้านความรับผิดชอบโดยตรงแต่ก็เป็นธรรมท่ีสนับสนุนให้ บุคคลมีความคิดหรือจิตสำนึกท่ีจะไม่ทำช่ัว ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อ ตนเองและสงั คม 4. ความรู้จักประมาณหรือรูจ้ ักพอ หลักธรรมทพ่ี ัฒนาความรู้จกั ประมาณ คอื 4.1 สันโดษ แปลว่า ความยินดี คือ ยินดีในผลท่ีพึงได้เท่านั้น ท้ังน้ี ต้องอยู่ในขอบเขตอัน สมควรดว้ ยจงึ จะเปน็ สนั โดษที่ถกู ต้อง 4.2 อัตตัญญุตาและมัตตัญญตุ า 4.2.1 อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้ตน หมายถึง ความรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร มีฐานะ และสถาวะอย่างไร มีความต้องการอะไร และพยายามปรับตัวเองให้เป็นอย่างที่ควรจะเป็นโดยความ เหมาะสมกับฐานะและสภาวะของตน 4.2.2 มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักประมาณ หมายถึง ความรู้จักประมาณในการ แสวงหาเล้ยี งชพี ใหเ้ ปน็ ไปในทางที่ชอบ ไม่ใฝส่ ูงทะเยอทะยานเกนิ ประมาณ รจู้ ักจับจ่ายใช้สอย ในทาง ปฏิบัตกิ ็คือการประหยัดมัธยัสถ์น้ันเอง ความรู้จักประมาณในลักษณะนี้ทำให้บุคคลเกิดสติความยงั้ คิด ในการใช้สอยและการบริโภค 5. การเสียสละ หลกั ธรรมท่พี ัฒนาอปุ นิสัยในการเสยี สละ คือ 5.1 กตญั ญุตา คือ ความเป็นผรู้ ู้อุปการะที่เขากระทำแล้ว หมายถึง ความเป็นผู้รจู้ ักคุณค่า แห่งการทำความดีของผู้อ่ืนที่มีแก่ตน กตัญญุตาเป็นเหตุให้บุคคลคิดที่จะสนองคุณต่อผู้มีคุณแล้ว ปฏิบตั ดิ ้วยการเสียสละทงั้ กำลังกายและกำลังทรัพย์เพ่อื เป็นการตอบสนองคุณ การที่บุคคลกระทำการ เสียสละได้เช่นน้ี เพราะมีพนื้ ฐานจติ ใจท่ไี ด้รับการพัฒนามาดีแลว้ จากกตัญญตุ าธรรม 5.2 ปริจาคะ คือ การสละสิ่งท่ีเป็นประโยชน์น้อยเพ่ือประโยชน์ท่ีมากกว่าหรือยิ่งกว่าจัดเป็น คุณธรรมท่ีแสดงออกถึงจริยาธรรมในการเสียสละ ปริจาคะ ก็คือ การสละเพ่ือรักษาหน้าที่รักษากิจที่ พ่ึงกระทำ รักษาคุณความดเี พ่อื ความสขุ ความเจริญในการอยู่รว่ มกนั ทำงานร่วมกัน 6. ความมเี หตผุ ล หลักธรรมทพี่ ัฒนาอปุ นสิ ัยใหเ้ ปน็ ผู้มเี หตผุ ล คือ 6.1 โยนิโสมนสิการ แปลว่า การทำไว้ในใจในทางปฏิบัติ คือ การเอาใจใส่ กำหนดจิตใจพิจารณา หาเหตุแห่งผล โยนโิ สมนการเป็นพื้นฐานเบือ้ งต้นของการปฏบิ ัตคิ วามดีทกุ อยา่ งเพราะนอกจากอาจจะ ทำให้เปน็ บคุ คลทม่ี ีความคดิ เห็นถกู ต้องแล้ว ยงั ทำให้ไดช้ ่อื วา่ เป็นผ้มู เี หตุผลอกี ด้วย 6.2 สตสิ ัมปชัญญะ การพฒั นาตนมิใช่พัฒนาด้านควบคุมตนเองเพยี งด้านเดียวยงั สามารถ พัฒนาบุคคลในดา้ นความมเี หตุผลอกี ดว้ ย เพราะความมสี ตจิ ะทำให้ระลึกรู้อยใู่ นเหตุในผลตลอดเวลา 6.3 สัปปุริธรรม คือ ธรรมของคนดี เม่ือความมีสติสัมปชัญญะ ความระลกึ รู้ตวั ได้จะทำให้ แสดงออกในความเป็นคนดมี ีจริยธรรมได้บริบรู ณ์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 54 7. การควบคุมตนเองหลกั ธรรมท่พี ัฒนาอปุ นสิ ยั ในการควบคุมตนเอง คือ 7.1 ศลี แปลว่า ปกติ เป็นเจตนาที่จะระวังละเว้นความช่ัวด้วยความสำรวมระวัง ควบคุมและ ระงับอาการทั้งทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ ไม่ล่วงละเมิดกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ตามที่ใจปรารถนา และไมเ่ บียดเบียนผอู้ ่นื 7.2 วินัย คือ กฎระเบียบสำหรับฝึกกาย วาจา ใจ มิให้ล่วงละเมิดศีลเป็นแบบแผนหรือ ข้อบังคับที่บัญญัติไว้ สำหรับกำกับความประพฤติของสมาชิกในหมู่คณะ โดยสอดคล้องกับความ คิดเหน็ ของหมู่คณะน้นั โดยเฉพาะ 7.3 ขันติ คือ ความอดทนในการที่ถูกกระทบด้วยสิ่งอันไม่พึงปรารถนาไม่ย่อท้อเม่ือประสบ กบั ส่งิ ท่ียากลำบากหรือไม่ตอ้ งการ ในเร่อื งของการปฏบิ ตั ไิ ด้ แบ่งไดเ้ ป็น 4 ลักษณะ คือ 7.3.1 อดทนต่อความลำบากตรากตรำตอ่ หน้าทกี่ าร 7.3.2 อดทนตอ่ ความทุกขย์ ากและความเจ็บปว่ ย 7.3.3 อดทนต่อความเจบ็ ใจ 7.3.4 อดทนตอ่ อำนาจกเิ ลศตา่ ง ๆ 7.4 ทมะ คอื ความข่มใจ เป็นการฝึกฝนจติ ใจมิให้ฟุ้งซ่าน หวั่นไหวง่าย เป็นหลกั สำหรับฝึกให้ บุคคลมีความหนักแน่นมั่นคง ทมะ จัดเป็นธรรมข้อหนึ่งในฆราวาสธรรม หมายถึง การบังคับและข่มใจ ตนเองได้ ปรับปรงุ แก้ไขตนเองให้ถกู ตอ้ งดีงามอยเู่ ป็นนิจ 7.5 สติสัมปชัญญะ สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว เป็นธรรมท่ีมาคู่กัน สติสัมปชัญญะ คือ ความระลึกได้ถึงเหตุหรือผลท่ีเก่ียวข้องกับประสบการณ์ที่กำลังได้รับหรือประสบ อยใู่ นขณะนัน้ และผมู้ สี ติน้ันก่อนท่ีจะทำการสงิ่ ใดก็มกั จะใครค่ รวญดว้ ยดี แนวทางการพัฒนาจริยธรรมนั้น ผู้ประกอบอาชีพต้องยึดหลักปฏิบัติของตนเองตามหลักธรรม หรือจรรยาบรรณในอาชีพน้ัน ๆ ไม่เพียงเท่านี้การได้รับการปลูกฝังขัดเกลาจากสังคมก็เป็นส่วนหนึ่ง ของการพฒั นาด้วยเช่นกนั 13. ทฤษฎีจริยธรรม ทฤษฎีตน้ ไมจ้ ริยธรรม ดวงเดือน พนั ธุมนาวนิ ได้ทำการศกึ ษาวจิ ยั ถึงสาเหตุพฤตกิ รรมของคนดีและคนเก่ง โดยไดท้ ำ การประมวลผลการวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษา สาเหตุของพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนไทยทั้งเด็กและ ผู้ใหญ่อายุต้ังแต่ 6-60 ปี ว่าพฤติกรรมเหล่านั้น มีสาเหตุทางจิตใจอะไรบ้างและได้นำมาประยุกต์เป็น ทฤษฎีตน้ ไม้จริยธรรมสำหรับคนไทยขนึ้ โดยแบง่ ต้นไมจ้ รยิ ธรรมออกเป็น 3 ส่วน ดังน้ี ส่วนท่ีหนึ่ง ได้แก่ ดอกและผลไม้บนต้นท่ีแสดงถึงพฤติกรรมการทำดีละเว้นชว่ั และพฤติกรรม การทำงานอย่างขยันขันแข็งเพ่ือส่วนรวม ซ่ึงล้วนแต่เป็นพฤตกิ รรมของพลเมืองดี พฤตกิ รรมท่เี อ้ือเฟ้ือ ตอ่ การพฒั นาประเทศ ส่วนท่ีสอง ได้แก่ ส่วนลำต้นของต้นไม้แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็ง ซ่ึงประกอบด้วย จิตลกั ษณะ 5 ดา้ น คอื 1) เหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรม 2) ม่งุ อนาคตและการควบคมุ ตนเอง 3) ความเชอื่ อำนาจในตน 4) แรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธิ์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 55 5) ทัศนคติ คุณธรรมและค่านยิ ม ส่วนที่สาม ได้แก่ รากของต้นไม้ที่แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็งซ่ึง ประกอบด้วย จิตลกั ษณะ 3 ด้าน คือ 1) สติปัญญา 2) ประสบการณ์ทางสังคม 3) สุขภาพจติ ภาพประกอบที่ 2.17 ทฤษฎีตน้ ไม้จรยิ ธรรม จิตลักษณะทั้งสามน้ีอาจใช้เป็นสาเหตุของการพัฒนาจิตลักษณะ 5 ประการ ท่ีลำต้นของ ตน้ ไม้ก็ได้ กล่าวคือ บุคคลจะตอ้ งมีลักษณะพ้ืนฐานทางจิตใจ 3 ด้าน ในปริมาณที่สูงพอเหมาะกับอายุ จึงจะเป็นผู้ท่ีมีความพร้อมที่จะพัฒนาจิตลักษณะท้ัง 5 ประการ ที่ลำต้นของต้นไม้ โดยท่ีจิตท้ัง 5 ลักษณะนี้จะพัฒนาไปเองโดยอัตโนมัติ ถ้าบุคคลท่ีมีความพร้อมทางจิตใจ 3 ด้าน ดังกล่าว และอยู่ใน สภาพแวดล้อมทางครอบครัวและสังคมที่เหมาะสม นอกจากน้ันบุคคลยังมีความพร้อมท่ีจะรับการ พัฒนาจิตลักษณะบางประการใน 5 ด้านน้ี โดยวธิ ีการอนื่ ๆ ด้วย ฉะนนั้ จติ ลักษณะพ้ืนฐาน 3 ประการ จึงเป็นสาเหตุของพฤติกรรมของคนดีและของคนเก่งนั่นเอง นอกจากนี้จิตลักษณะพื้นฐาน 3 ประการ ทร่ี ากน้ี อาจเป็นสาเหตรุ ่วมกับจิตลักษณะ 5 ประการ ที่ลำต้น หากบุคคลมีพ้ืนฐานทางด้านจิตใจเป็น ปกติและได้รับประสบการณ์ทางสังคมท่ีเหมาะสม บุคคลน้ันก็จะสามารถพัฒนาโดยธรรมชาติ แต่ใน สังคมไทยมีการวิจัย พบว่า พัฒนาการหยุดชะงักอย่างไม่เหมาะสมกับวัย กล่าวคือ ผู้ใหญ่จำนวนหนึ่ง ซ่ึงสมควรพัฒนาการใช้เหตุผลไปถึงขั้นสูงแล้วแต่ยังหยุดชะงักท่ีข้ันต่ำ เช่น ยังยึดหลักแลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนพวกพ้อง เป็นต้น บุคคลที่มีแรงจูงใจดังกล่าวจึงยังไม่สามารถคิดประโยชน์ เพอื่ สังคมได้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 56 ดังน้ัน บุคคลจึงควรมีการตรวจสอบจริยธรรมของตัวเองอยู่ตลอดเวลา การบันทึกกิจกรรมท่ี ได้กระทำแต่ละวันทำให้ได้ข้อมูล เพ่ือใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ดีงามย่ิงข้ึน ซึ่งการบันทึกข้อมูลการปฏิบัติหรือกิจกรรมที่ได้กระทำ เสมือนการปฏิบัติธรรมโดยวิธีนั่งสมาธิเพราะ ในขณะท่ีจิตกำลังทบทวนส่ิงท่ีได้กระทำเสมือนเป็นการพิจารณาตัวเองพิจารณาการกระทำดีและไม่ดี ในขณะที่จิตพิจารณาก็จะเกิดสมาธิ และเม่ือได้พิจารณาตนเองแล้วก็สามารถเข้าใจตนเองและปรับเปลี่ยน พฤติกรรมใหมซ่ ง่ึ เปน็ เสมอื นเกิดปัญญาในการนำพาชวี ิตผ่านพน้ ทกุ ข์ได้ ทฤษฎีจริยธรรมของมาสโลว์ ภาพประกอบที่ 2.18 ทฤษฎีจรยิ ธรรมของมาสโลว์ มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม ซ่ึงนักจิตวิทยากลุ่มน้ีเชื่อว่าโดยธรรมชาติ แล้วมนุษย์เกิดมาดีและพร้อมที่จะทำส่ิงดี ถ้าความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ มาสโลว์ (Maslow) เป็นผู้หน่ึงที่ได้ศึกษาค้นคว้าถึงความต้องการของมนุษย์ โดยมองเห็นว่ามนุษย์ทุกคน ล้วนแต่มีความต้องการท่ีจะสนองความต้องการให้กับตนเองทั้งสิ้น ซึ่งความต้องการมนุษย์มีมากมาย หลายอย่างด้วยกัน เขาได้นำความต้องการเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นลำดับจากขั้นต่ำไปขั้นสูงสุดเป็น 5 ขั้น ด้วยกนั 1. ความต้องการด้านร่างกาย (physiological needs) เป็นความต้องการขั้นพ้ืนฐาน ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำดื่ม อากาศ การพักผ่อน ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่น ต้องการขจัดความเจ็บป่วย และต้องการรักษาความสมดุลของร่างกาย ทุกคนต้องการส่ิงเหล่านี้ เหมือนกัน อาจแตกต่างกันเป็นรายบุคคล ทั้งน้ขี ึ้นอยูก่ ับเพศ วัย และสถานการณ์ ฯลฯ ความต้องการ ปจั จัย 4 ดงั กลา่ วขา้ งต้น หากเพยี งพอแลว้ มนุษยจ์ ะพัฒนาในขัน้ ตอ่ ไป 2. ความต้องการความม่ันคงปลอดภัย (safety needs) เมื่อได้รับความพึงพอใจทางด้าน ร่างกายแล้ว มนุษย์จะพัฒนาไปสู่ข้ันท่ี 2 คือ ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ส่ิงท่ีแสดงถึงความต้องการขั้นน้ี คือ การท่มี นุษย์ชอบอยู่อย่างสงบ มีระเบยี บวินัย ไมร่ ุกรานผู้อน่ื ความต้องการระดบั นอี้ าจแยกย่อยได้ ดังนี้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 57 ความม่ันคงในครอบครัว การมีบา้ นแข็งแรงปลอดภัย มคี วามรักใคร่ปรองดองกันในครอบครัว ความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพ มีรายได้ยุติธรรม ไม่ถูกไล่ออก งานไม่เส่ียงอันตราย ผู้บังคับบัญชาดีมี ความยตุ ธิ รรม ฯลฯ มหี ลกั ประกันชวี ิต เชน่ มีผู้ดแู ลเอาใจใสย่ ามชรา ยามเจบ็ ไข้ 3. ความตอ้ งการความรกั และความเปน็ เจ้าของ (belongingness and love need) - ความตอ้ งการมีเพอ่ื น - ความต้องการการยอมรับจากกลุม่ - ต้องการแสดงความคิดเห็นในกลุม่ - ต้องการรักคนอ่นื และได้รบั ความรกั จากคนอน่ื - ต้องการความรูส้ กึ วา่ สงั คมเป็นของตน 4. ความตอ้ งการเกยี รตยิ ศช่อื เสยี ง และความภาคภมู ิใจ (sefl- esteem need) ไดแ้ ก่ - ต้องการยอมรับความคดิ เหน็ หรือขอ้ เสนอ - ต้องการเกยี รติยศช่อื เสียงจากสงั คม - ต้องการนับถอื ตนเอง มีความม่ันใจตนเอง ไมต่ ้องพ่งึ ผอู้ ื่น - ต้องการไดร้ บั การยกย่องนบั ถือจากผู้อ่ืน - ตอ้ งการความมั่นใจในตนเอง และร้สู ึกตนเองมคี ุณคา่ 5. ความต้องการตระหนกั ในตนเอง (self-actualization need) ไดแ้ ก่ - ต้องการรจู้ ักตนเอง ยอมรบั ตนเอง เปิดใจรบั ฟังคำวิจารณ์โดยไม่โกรธ - ตอ้ งการรจู้ กั แก้ไขตนเองในสว่ นทยี่ งั บกพร่อง - ตอ้ งการพฒั นาตนเอง พร้อมทจี่ ะรับฟงั ความคิดเห็นของผ้อู ่ืนเก่ยี วกบั ตนเอง - ต้องการค้นพบความจรงิ พรอ้ มทจี่ ะเปิดเผยตนเองโดยไมม่ กี ารปกป้อง - ตอ้ งการเป็นตวั ของตัวเอง ประสบความสำเรจ็ ดว้ ยตัวเอง แนวคิดตามทฤษฏีของมาสโลว์ จึงเป็นแนวทางหน่ึงในการพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม บุคคลท่ีพฒั นาถึงข้ันตระหนักในตนเอง (self-actualization) เปน็ บคุ คลทมี่ ีจริยธรรมมวี ินัย ในตนเอง และมีบุคลิกภาพประชาธิปไตย การพัฒนาจากขั้นต้นไปสู่ขั้นต่อ ๆ ไปนั้น ต้องอาศัยความ “พอ” ของบุคคล ซึ่งความพอนี้ นอกจากจะขึ้นกับสภาพทางกายแล้ว ยังขึ้นอยู่กับความรู้สึกพอดดี ้วย จึงมิได้หมายความว่า ทุกคนจะต้องได้รับการสนองตอบความต้องการพื้นฐานเท่า ๆ กัน แต่เป็นไป ตามลำดบั ขั้นเหมือน ๆ กนั พรรณี ช. เจนจิต (2538 :461-476) ได้กล่าวถึง ลำดับข้ันความต้องการของมนุษย์ตามแนวคิด ของมาสโลว์ว่ามาสโลว์กำหนดความต้องการของมนุษย์จากขั้นต่ำสุดไปสู่ข้ันสูงสุดเป็น 7 ข้ัน ด้วยกัน โดยที่มนุษย์จะมีความต้องการในข้ันสูงต่อไป ถ้าความต้องการในขั้นต้น ๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว ลำดับ 7 ข้ัน ของความต้องการมีดังน้ี 1) ความตอ้ งการทางสุนทรียะ 2) ความต้องการทจ่ี ะรู้และเข้าใจ 3) ความตอ้ งการทีจ่ ะตระหนักในความสามารถของตนเอง 4) ความตอ้ งการการยอมรับและได้รบั การยอมรับ 5) ความตอ้ งการความรักและความเป็นเจา้ ของ 6) ความตอ้ งการความปลอดภัย 7) ความต้องการทางดา้ นรา่ งกาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 58 (Abraham H. Maslow, “A Theory of Hunman Motivation” Psychological Review vol. 50. 1943 . PP 340-396. อ้างในพรรณี ช. เจนจิต 2538 : 463) ความต้องการท้ัง 7 ขั้น มาสโลว์ แบ่งออกเป็น 2 กล่มุ คอื กลุ่มที่ 1 ความต้องการขั้นที่ 1–4 เรียกว่า “ความต้องการขัน้ ต่ำ” และกลุ่มท่ี 2 ความต้องการขั้นท่ี 5-7 เรียกว่า “ความต้องการขั้นสูง” ซ่ึงความต้องการของ 2 กลุ่ม มีความแตกต่างกัน ดงั นี้ ความตอ้ งการขนั้ ต่ำ 1. มนุษย์ทำทุกวิถีทางเพ่ือให้สำเร็จหรือขจัดความต้องการข้ันต่ำ เช่น เม่ือหิวก็ต้องหาอาหาร มากนิ เพ่ือขจดั ความหวิ 2. แรงจูงใจอันเน่ืองมาจากความต้องการขั้นต่ำจะนำไปสู่การกระทำเพื่อลดความตึงเครียด ต่าง ๆ ทั้งนี้ เพอ่ื ให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุล เช่น คนท่ีต้องการการยอมรับนับถือจะทำทกุ ส่ิงให้ได้มา ซง่ึ การยอมรบั นบั ถือ ความมีชอ่ื เสยี ง 3. การที่มนุษย์สามารถสนองความต้องการข้ันต่ำ ทำให้หลีกเลี่ยงจากความทุกข์หรือความ เจ็บปว่ ยได้ เช่น อากาศหนาวเราจะนอนไมห่ ลับจนกวา่ จะได้เสื้อหรอื ผา้ ห่มจึงจะนอนหลบั 4. การท่ีมนุษย์สามารถสนองความต้องการข้ันต่ำจะรู้สึกว่าพ้นจากความทุกข์ พ้นจากความ กระวนกระวาย จะเกิดความรสู้ กึ ว่าไม่ตอ้ งการสิง่ ใดอีกแลว้ ในขณะน้นั 5. การสนองความต้องการขั้นต่ำจะมีลักษณะเป็นคร้ังคราวหรอื เป็นเป็นเวลาและมีลักษณะที่ ใช้หมดไปในแตล่ ะครั้ง 6. ความต้องการขั้นต่ำซึ่งต้องการการตอบสนอง จากปัจจัยภายนอกนั้นเป็นส่ิงท่ีทุกคนมี ประสบการณ์รว่ มกัน เช่น รู้วา่ ความหิวเป็นเช่นไรหรือความต้องการความรัก การยอมรับจากกลุ่มเป็น อยา่ งไร 7. ความสนองต้องการขั้นต่ำ ซ่ึงต้องการอาศัยปัจจัยภายนอกน้ัน ส่วนใหญ่ผู้อื่นเป็นผู้สนองให้ ซึ่งจะทำใหค้ นเกดิ ความรู้สึกที่ต้องคอยพ่ึงพาผู้อ่ืน ซึ่งจะนำความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำอะไรต้อง คอยระมดั ระวังการยอมรบั ของผอู้ ่นื คอยดูวา่ ผูอ้ นื่ จะคิดอยา่ งไรกับตน 8. คนที่มีลักษณะของความต้องการข้ันต่ำ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่คอยพึ่งพาผู้อ่ืน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับบุคคลที่เห็นว่าจะสนองความต้องการให้ได้ ซ่ึงจะกลายเป็นคนสัมพันธภาพกับบุคคลอ่ืน ในวงจำกัด ไมส่ นใจทีจ่ ะสรา้ งความสมั พันธ์กบั บคุ คลท่ไี ม่สามารถทำประโยชนใ์ หไ้ ด้ 9. คนที่มีลกั ษณะของความต้องการข้ันตำ่ มีแนวโน้มจะยดึ ตนเปน็ ศูนย์กลาง ไม่คอยคำนกึ ถึง ปญั หา มักจะคำนึกถงึ เรือ่ งส่วนตัว 10. คนที่มีลักษณะของความต้องการขั้นต่ำ จะช่วยตัวเองไม่ได้ต้องคอยขอความช่วยเหลือ จากผู้อ่นื เม่ือเข้าทคี่ ับขันหรอื ประสบปัญหายุ่งยากตา่ ง ๆ ความต้องการข้นั สูง 1. มนุษย์จะแสวงหาความพึงพอใจข้ันสูงสุด เช่น แสวงหาความรู้ หรือทำประโยชน์ให้สังคม โดยไมห่ วงั สิ่งตอบแทน นอกจากความพึงพอใจ 2. แรงจูงใจที่เน่ืองมาจากความต้องการขั้นสูง จะทำให้คนมีความสบายใจอยู่ได้แม้ในสภาพ ท่ีมีความตึงเครียด เช่น ทนได้แมน้ แต่คำนินทาวา่ ร้าย ไม่สะดุ้งสะเทือนเพราะตระหนักดีถึงความสามารถ ที่ตนจะทำประโยชน์ให้แก่สังคมเกินกว่าจะไปสนใจคำพูดของคนบางคน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 59 3. การท่ีสามารถสนองความต้องการขัน้ สูงได้จะทำใหเ้ กดิ ความสุข มสี ุขภาพจติ ดี เช่น คนที่มี ความปรารถนาจะศึกษาค้นคว้าโดยมิได้มีส่ิงล่อใจอ่ืนใด จะมีความสุข ความอม่ิ ใจ มากกวา่ การกระทำ ทหี่ วงั สิง่ ตอบแทน 4. การสนองความต้องการข้ันสูง จะนำไปสู่ความพึงพอใจและความปรารถนา จะแสวงหา ความสุข ในขั้นต่อไป เช่น การแสวงหาโดยมิได้หวังส่ิงตอบแทนจะทำให้ผู้ท่ีแสวงหาเกิดความสุข ความพงึ พอใจโดยไมม่ ีที่สิ้นสุด 5.การสนองความต้องการขั้นสูงเป็นเร่อื งต่อเนื่องกนั ไปไมม่ ีที่สน้ิ สดุ 6. ความต้องการข้ันสูง เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้เพราะความแตกต่างระหว่างบุคคล เช่น บางคนฟังดนตรี หรือมองพระจันทร์แล้วเกิดความซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ซ่ึงเป็นความรูส้ ึกเกินกว่า จะบรรยายใหผ้ ใู้ ดรบั ทราบได้ 7. การสนองความต้องการข้ันสงู นั้น แต่ละคนจะเปน็ ผู้สนองความตอ้ งการให้กับตนเอง ซึ่งจะ นำไปสู่การพึ่งตนเองหรือนำตนเองได้ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องวิตกกังวลว่าใครจะคิดอย่างไรกับตน ซ่งึ สามารถทำงานไดเ้ ต็มที่ 8. คนท่ีมีลักษณะของความต้องการข้ันสูง จะเป็นคนท่ีพึ่งตนเองได้ จะเป็นผู้สร้างสัมพันธภาพ ทีด่ กี ับคนท่วั ไป ไมใ่ ชส่ รา้ งสัมพนั ธเ์ ฉพาะกบั คนท่ีจะทำประโยชนใ์ หเ้ ท่านัน้ 9. คนทีม่ ีลักษณะของความต้องการข้ันสงู จะเป็นคนคำนึกถึงปัญหามากกว่า ไม่ค่อยคำนึกถึง เรอ่ื งสว่ นตวั เป็นผูท้ ำงานเพือ่ งาน มุ่งผลประโยชน์สว่ นรวมมากกวา่ ส่วนตวั 10. คนท่ีมีลักษณะของความต้องการข้ันสูงจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี แม้เม่ือเข้าท่ีคับขัน ทง้ั น้ี เพราะมคี วามเชือ่ ม่ันในตนเองสามารถตัดสนิ ใจแกป้ ญั หาต่าง ๆ ไดด้ ้วยตนเอง แนวคิดของนักวิจิตวิทยาที่เก่ียวกับคุณธรรมจริยธรรมดังกล่าวข้างต้น เป็นพื้นฐานประการหน่ึง ที่ผู้บริหารควรนำมาพิจารณาประกอบการพิจารณาคุณธรรมจริยธรรมของตนเองและบุคคลท่ีอยู่ใน บังคับบัญชา เพ่ือเป็นแนวทางพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของตนเองและในปกครองด้วย วิชาจิตวิทยา เป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ ซึ่งศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรม การกระทำ และการะบวนการคิดไปพรอ้ ม ๆ กบั การศึกษาถึงเร่ืองสติปัญญา ความคิด ความรู้ ความเข้าใจ การให้ เหตุผล เรอื่ งของตนเองหรือเร่ืองของมนุษย์ และพยายามอธิบายเก่ียวกบั วิธีการปรับตัวของมนุษย์กับ ส่ิงแวดล้อม ไม่ว่าเป็นทางทฤษฎีจิตวิทายาด้านบุคลิกภาพจิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาความแตกต่างระหว่างบุคคล จิตวิทยาสังคม ล้วนเป็นเร่ืองศึกษาเก่ียวกับธรรมชาติ เหตุแห่ง ความเป็นมาและผลท่ีเกิดข้ึน การศึกษาในแนวจิตวิทยาจึงเป็นการศึกษาท่ีใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซงึ่ คนทวั่ ไปคอ่ นข้างยอมรับในหลกั การทฤษฎวี ่าเป็นส่ิงที่นา่ เช่ือถือ แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาตัดสินวา่ เรือ่ งใดควรเช่ือหรือไม่ควรเช่ือขอให้ถือตามหลักคำสอน ของพระพุทธองค์ ในบทกาลามสูตรที่ว่าการเชื่อส่ิงใดให้ถือปฏิบัติตามหลัก 10 ประการ คือ อย่าเช่ือ เพราะฟังตามกันมา อย่าเช่ือเพราะถือปฏิบัติสืบต่อกันมา อย่าเชื่อเพราะเสียงเล่าลือ อย่าเชื่อเพราะ การอา้ งตำราหรอื คัมภรี ์ อย่าเชอื่ ดว้ ยวา่ เป็นตรรกะ อย่าเชือ่ ดว้ ยการอมุมาน อย่าเชื่อด้วยความคดิ ตาม แนวเหตุผล อย่าเช่ือเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน อย่าเชื่อเพราะมองเห็น รูปลักษณะน่าเช่ือ และ อย่าเชื่อเพราะนับถือว่าผู้บอกนั้นเป็นครูของเรา แต่ให้เช่ือต่อเม่ือได้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาของตนเอง และปฏิบัติตามจนเห็นจริงแลว้ จงึ คอ่ ยเชือ่ ว่าจริงศรทั ธา และปญั ญา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 60 “......ศรัทธาความเชือ่ นน้ั กลา่ วไดว้ ่ามีสองอยา่ ง ได้แก่ ศรัทธาทีม่ ีผู้อื่นชกั นำกบั ศรัทธาที่เกิดขึน้ ในตัวเอง ศรัทธาอย่างไหนก็ตาม อาจใหผ้ ลไดท้ ้ังทางดแี ละทางเสื่อม ขน้ึ อยกู่ ับวิธีการสรา้ งขึน้ ถา้ สักแต่ว่าเช่ือ ไมไ่ ดใ้ ชป้ ญั ญาพิจารณาแลว้ ก็ไม่ไดป้ ระโยชนจ์ ากปัญญานั้น อาจเกดิ โทษก็ได้ จำเปน็ ต้องใชป้ ัญญาความรู้เหตุรู้ผล พจิ ารณาวิเคราะห์ให้ถ่องแทก้ ่อน วา่ เร่อื งใดส่ิงใดมาจากความคิดที่ดหี รอื ความคดิ ที่ชั่ว แลว้ ปลกู ศรทั ธาลง แต่ในส่วนทเี่ กดิ จากความคิดทดี่ ี จงึ จะได้ประโยชนเ์ ตม็ เปีย่ ม...” พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ภมู พิ ลอดุลยเดชมหาราช 14. ทฤษฎีจรยิ ธรรมของโคลเบิร์ก ภาพประกอบท่ี 2.19 ทฤษฎีจริยธรรมของโคลเบริ ์ก
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 61 ประวัติของโคลเบิร์ก ลอเรนส์ โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) ผู้สนใจความประพฤติ ถูก-ผิด-ดี-ชั่วของมนุษย์ ทฤษฎีของโคลเบิร์กได้ชื่อทฤษฎีพฒั นาการทางจริยธรรม (Moral Development Theory) โคลเบริ ์ก (Lawrence Kohlberg) ได้ศึกษาวิจัยพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวทฤษฎีของพีอาเจต์ แต่โคลเบิรก์ ไดป้ รับปรุงวิธวี ิจัย การวเิ คราะห์ผลรวมและได้วิจัยอยา่ งกวา้ งขวางในประเทศอ่ืนทม่ี ีวัฒนธรรมต่างไป โคลเบิร์ก ไดศ้ ึกษาการใชเ้ หตุผลเชิงจริยธรรมของเยาวชนอเมริกัน อายุ 10-16 ปี และได้แบ่ง พัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ (Levels) แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น (Stages) ดังน้ัน พฒั นาการทางจริยธรรมของโคลเบริ ์กมที ัง้ หมด 6 ข้ัน ดังนี้ ระดบั ท่ี 1 ระดับกอ่ นกฎเกณฑ์สงั คม จะพบในเด็ก 2-10 ปี โคลเบิร์กแบ่งข้ันพฒั นาการระดับนี้ เป็น 2 ขน้ั คอื ข้ันที่ 1 ระดับจริยธรรมของผู้อื่นในข้ันน้ีเด็กจะใช้ผลตามของพฤติกรรมเป็นเครื่องช้ีว่า พฤตกิ รรมของตน “ถกู ” หรือ “ผดิ ”เป็นต้นว่า ถ้าเด็กถูกทำโทษก็จะคดิ ว่าสิ่งที่ตนทำ “ผิด” และจะพยายาม หลีกเลี่ยงไม่ทำส่งิ นั้นอกี พฤติกรรมใดท่ีมีผลตามดว้ ยรางวลั หรือคำชม เด็กกจ็ ะคิดว่าสง่ิ ทตี่ นทำ “ถูก” และจะทำซ้ำอีกเพื่อหวงั รางวลั ขั้นที่ 2 ระดับจริยธรรมของผู้อ่ืน ในขั้นนี้เด็กจะสนใจทำตามกฎข้อบังคับ เพื่อประโยชน์หรือ ความพอใจของตนเอง หรือทำดีเพราอยากได้ของตอบแทน หรือรางวัล พฤติกรรมของเด็กในข้ันนี้ ทำเพื่อสนองความต้องการของตนเอง แต่มักจะเป็นการแลกเปลี่ยนกับคนอื่น เช่น ประโยค “ถ้าเธอ ทำใหฉ้ นั ฉนั จะให.้ ......” ระดับท่ี 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคมจะพบในวัยรุ่นอายุ 10-16 ปี โคลเบิร์ก แบ่ง พัฒนาการระดับนี้เป็น 2 ขัน้ คือ ขั้นที่ 3 การยอมรับของกลุ่มหรือสังคมใช้เหตุผลเลือกทำในส่ิงท่ีกลุ่มยอมรับโดยเฉพาะเพื่อน เพ่ือเป็นที่ช่ืนชอบและยอมรับของเพ่ือนไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้อยตามการชักจูงของผู้อื่น เพ่ือต้องการ รักษาสัมพันธภาพที่ดีพบในวัยรุ่นอายุ 10-15 ปี ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อต้องการเป็นท่ียอมรับของ หมู่คณะ การช่วยเหลอื ผอู้ น่ื เพอ่ื ทำใหเ้ ขาพอใจ ข้ันท่ี 4 กฎและระเบียบของสังคมจะใช้หลักทำตามหน้าท่ีของสังคม โดยปฏิบัติตามระเบียบ ของสังคมอย่างเคร่งครัด เรียนรู้การเป็นหน่วยหน่ึงของสังคม ปฏิบัติตามหน้าท่ีของสังคมเพื่อดำรงไว้ ซึง่ กฎเกณฑ์ในสงั คม พบในอายุ13-16 ปี ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพ่ือทำตามหน้าท่ีของสังคม โดยบุคคล รูถ้ ึงบทบาทและหน้าท่ีของเขาในฐานะเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมนั้น จึงมีหน้าท่ีทำตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ท่สี งั คมกำหนดใหห้ รอื คาดหมายไว้ ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมอย่างมีวิจารณญาณ เป็นหลักจริยธรรมของผู้มีอายุ 20 ปี ขึ้นไป ผู้ทำหรือผู้แสดงพฤติกรรมได้พยายามท่ีจะตีความหมายของหลักการและมาตรฐานทางจริยธรรม ด้วยวิจารณญาณ ก่อนที่จะยึดถือเป็นหลักของความประพฤติท่ีจะปฏิบัติตาม การตัดสินใจ “ถูก” “ผิด” “ไม่ควร” มาจากวจิ ารณญาณของตนเอง โคลเบิรก์ แบ่งพฒั นาการ ระดับนเี้ ปน็ 2 ขนั้ คือ ขัน้ ที่ 5 สัญญาสังคมหรอื หลักการทำตามคำม่ันสญั ญา ข้ันน้ีเน้นถึงความสำคัญของมาตรฐาน ทางจริยธรรมท่ีทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกสมควรที่จะปฏิบัติตาม โดยพิจารณา ถึงป ระโย ช น์ แล ะสิ ทธิของบุ คคล ก่อน ที่จ ะใช้ เป็ น มาต รฐาน ทางจ ริย ธรรม ได้ ใช้ ความคิด แล ะเห ตุ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 62 ผลเปรยี บเทยี บว่าสิ่งไหนผิดและสง่ิ ไหนถูก ในข้ันน้ีการ “ถูก” และ “ผิด” ขึน้ อยู่กับค่านิยมและความ คดิ เหน็ ของบคุ คลแตล่ ะบคุ คล ขั้นที่ 6 หลักการคุณธรรมสากล ข้ันนี้เป็นหลักการมาตรฐานจริยธรรมสากล เป็นหลักการ เพื่อมนุษยธรรม เพอื่ ความเสมอภาคในสทิ ธิมนุษยชนและเพ่ือความยุติธรรมของมนุษย์ทุกคน ในขั้นน้ี สิง่ ที่ “ถกู ” และ “ผดิ ” เป็นส่งิ ทข่ี ้ึนมโนธรรมของแตล่ ะบคุ คลที่เลือกยึดถือ การประยกุ ตใ์ ช้ทฤษฎพี ฒั นาการทางจรยิ ธรรมของลอว์เรนซ์ โคลเบิร์ก ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กทำให้ครูได้ทราบว่าในช่วงก่อน 10 ขวบ เด็กจะเรียน ด้านจรยิ ธรรมจากผลของการกระทำของตนเอง ในช่วงวัยน้ีเราควรช้ีแจงถงึ ส่ิงทีถ่ ูกต้องอย่างเหมาะสม มีการใช้คำชมเชย ของรางวัลกับเด็กท่ีกระทำตนเป็นเด็กดี และมีการว่ากล่าวตักเตือนเด็กเมื่อทำผิด ไมใ่ ชป่ ลอ่ ยเพราะคิดว่ายังเยาวว์ ัยอยู่ ในการว่ากลา่ วตกั เตือนต้องอธิบายถึงสิง่ ทีเ่ ด็กทำผิดด้วย ในระดบั ตามกฎเกณฑ์เด็กจะเรียนจากสังคมกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนและจะ เรียนรู้จากบุคคลอื่น ๆ หรือมีการเลียนแบบ ผู้ปกครองและครูควรเป็นแบบอย่างที่ดี และควรหา แบบอย่างท่ีดีให้เด็กเห็นเป็นตัวอย่าง เช่น การเล่าถึงผู้ท่ีกระทำความดี การเล่านิทานท่ีให้แง่คิด เป็นต้น ในระดับนี้ครูควรเริ่มสอนเร่ืองบทบาท หน้าท่ี และกฎระเบียบการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ควรใช้วิธีท่ี เข้าใจง่ายเพอื่ ให้เด็กสนใจ เช่น การให้ดูวดิ โี อเก่ยี วกับกฎหมาย บทลงโทษ เปน็ ต้น ระดับเหนือกฎเกณฑ์เด็กเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความคิดท่ีอิสระมากขึ้น เด็กเร่ิมเป็น ผู้ตัดสินว่าส่ิงใดถูกส่ิงใดผิดดว้ ยตนเอง ในช่วงวยั น้ีครูควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ศึกษาจากกรณีศึกษา ตา่ ง ๆ ให้เด็กได้คิดวเิ คราะห์และร่วมอภิปราย แสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับสถานการณ์นั้น ๆ โดยมีครู เปน็ ผู้ชี้แนะไปในทางท่ีถูกต้อง ทฤษฎีจริยธรรมของเพยี เจท์ เพียเจท์ เป็นผู้ริเริ่มความคิดท่ีว่า พัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์ย่อมขึ้นอยู่กับความ ฉลาดท่ีจะทำให้รับรู้กฎเกณฑ์และลักษณะต่าง ๆ ทางสังคม พัฒนาการทางจริยธรรมของบุคคล จึงขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลน้ัน ๆ เขาเช่ือว่าจริยธรรมเป็นกระบานการท่ีซับซ้อน (Complex Process) ระหว่างความรู้ ความรู้สึก และการสรา้ ง ในการศึกษาค้นคว้าเขา พบว่า เด็กจะ พัฒนาการทางสติปัญญาได้ถงึ ขั้นสูงสุดเม่อื อายปุ ระมาณ 8–10 ปี ดงั น้ัน พัฒนาการทางจรยิ ธรรมของ เด็กจะบรรลุถึงขั้นสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 8–10 ปี เช่นกัน เพียเจท์ได้แบ่งข้ันการพัฒนาจริยธรรม ของมนษุ ยเ์ ปน็ 3 ขั้น คอื ข้ันท่ี 1 ขั้นก่อนจริยธรรม เร่ิมต้ังแต่เด็กแรกเกิดจนถึง 2 ขวบ ในข้ันน้ีเด็กยังไม่มีความสามารถ ในการรับรู้สิ่งแวดล้อมอย่างละเอียด มีแต่ความต้องการทางกาย ซ่ึงต้องการที่จะได้รับบำบัดโดยไม่ คำนึงถึงกาลเทศะ เม่ือเด็กมีความสามารถในการพูดก็จะเริ่มเรียนรู้สภาพแวดล้อมและบทบาทของ ตนเองตอ่ บคุ คลอน่ื ข้ันที่ 2 ข้ันปฏิบัติตามคำสั่ง เร่ิมต้ังแต่อายุ 2 ถึง 8 ปี เด็กจะมีพัฒนาการในข้ันปฏิบัติตาม คำส่งั มีความเกรงกลัวผูใ้ หญ่ และเหน็ ว่าคำสง่ั ของผใู้ หญ่คือส่งิ ที่ตนต้องการทำตาม ขั้นที่ 3 ข้ันยึดหลักแห่งตน เกิดจากการพัฒนาทางสติปัญญาและประสบการณ์ในการมี ในกลุ่มเพ่ือนเด็กด้วยกัน ความเกรงกลัวอำนาจภายนอกกลายเป็นหลักภายในจิตใจของเด็กเก่ียวกับ ความยุติธรรม เมื่อเด็ก พบว่า กฎเกณฑ์ทางศีลธรรมทางบ้าน ทางโรงเรียน และทางสังคมแตกต่างกัน เด็กจะตัดสินใจเลือกเกณฑ์เองโดยปรับเกณฑ์ท้ังหลายเข้าด้วยกัน (อ้างในดวงเดือน พันธุมนาวิน , 2524)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 63 ทฤษฎจี รยิ ธรรมของอิมมานูเอิล คานท์ ภาพประกอบท่ี 2.20 ทฤษฎีจรยิ ธรรมของอิมมานเู อลิ คานท์ อิมมานเู อิล คานท์ (Immanuel Kant) (22 เมษายน 2267 - 12 กุมภาพนั ธ์ 2347) เป็นนกั ปรัชญา ชาวเยอรมัน จากแคว้นปรัสเซียได้รับการยกย่องโดยท่ัวไปวา่ เป็นนักคิดท่ีมีอิทธิพลมากที่สุดของยุโรป และเป็นนักปรัชญาคนสำคัญคนสุดท้ายของยุคแสงสว่าง เขาสร้างผลกระทบที่สำคัญไปถึงนักปรัชญา สายโรแมนตกิ และสายจิตนิยม ในสมัยครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19 งานของเขาเป็นจดุ เร่มิ ของ เฮเกลิ คานท์เปน็ ที่รู้จกั เน่ืองจากแนวคิดของเขาท่ีเรยี กว่า จิตนิยมอตุ รวิสยั (transcendental idealism) ที่กล่าวว่า มนุษย์ใช้แนวคิดบางอย่างท่ีติดตัวมาแต่กำเนิด (innate idea) ในการรับรู้ประสบการณ์ ท่ีเกิดข้ึนรอบตัวในโลก เรารับรู้โลกโดยผ่านทางประสาทสัมผัสประกอบกับมโนภาพท่ีติดตัวมาน้ี ดังน้ัน เราจึงไม่สามารถล่วงรู้หรือเข้าใจใน \"สรรพส่ิงท่ีแท้\" ได้ ความรู้ต่อสรรพส่ิงท่ีเรามีน้ันจึงเป็นได้ แคเ่ พยี งภาพปรากฏ ที่เรารับรไู้ ดผ้ ่านทางประสาทสัมผสั เทา่ นน้ั (ดเู นื้อหาเกยี่ วกับ อุตรภาพ เพม่ิ เตมิ ) ญาณวิทยา (epistemology) หรือทฤษฎีความรู้ของคานท์น้ัน เกิดข้ึนเพ่ือแก้ความขัดแย้ง ระหว่างปรัชญาสายเหตุผลนิยมที่กล่าวว่า ความรู้สามารถสร้างขึ้นได้ไม่จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ กับปรัชญาสายประสบการณ์นิยมที่กล่าวว่า ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีเรารู้มีที่มาจากประสบการณ์ คานท์ได้ เชื่อมแนวคิดที่ขัดแย้งกันท้ังสอง ดังคำกล่าวที่เขาเองเปรียบเปรยว่าเป็นการปฏิวัติแบบโคเปอร์นิคัส (Copernical Revolution) โดยสรุปคร่าว ๆ ได้เป็นประโยคข้ึนต้นของหนังสือ บทวพิ ากษ์ของการใช้ เหตผุ ล (Critique of Pure Reason) ว่า \"แม้วา่ ความรู้ท้ังหมดที่เรามีจะมีจุดเริ่มต้นจากประสบการณ์ แตน่ ่นั มิได้หมายความว่า ความร้ทู ้ังหมดนั้นเกดิ ข้นึ มาจากประสบการณ์\" ใน Critique of Pure Reason ยังได้นำเสนอเน้ือหาของหลักทางศีลธรรม (จริยศาสตร์) ที่ยังคง มีอิทธิพลต่อแนวความคดิ ดา้ นจรยิ ธรรมของโลกตะวันตกมาจนถึงปัจจบุ ัน ตลอดจนอาจกลา่ วได้ว่าเขา เป็นบิดาแห่งแนวคิดเร่ืองสหประชาชาติ ดังที่ปรากฏในความเรียงว่าด้วยเร่ืองสันติภาพถาวรของเขา ได้เสนอให้มีการจัดต้ังองค์กรระหว่างประเทศข้ึนเพ่ือยุติความขัดแย้งและความโหดร้ายของสงคราม กระท่งั สันนิบาตชาตแิ ละตามด้วยสหประชาชาตไิ ด้เกิดข้ึนจรงิ ในปัจจุบนั เกร็ดประวัติชีวิตท่ีน่าสนใจของนักปรัชญาผู้น้ี คือ คานท์ เกิดและตายท่ีเมืองโคนิกสเบิร์ก (Konigsberg) ทางตะวันออกของปรัสเซีย และดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยโคนิกส เบิร์กที่นั่น ท้ังชีวิตของเขาไม่เคยออกนอกเมืองดังกล่าวเลย แนวคิดของเขาส่งผ่านไปทั่วโลกโดยทาง จดหมาย หลักศีลธรรมของเขาไม่เพียงแต่ปรากฏในแผ่นกระดาษเท่านั้น แต่เขายังถือปฏิบัติอย่าง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 64 จริงจังอีกด้วย เขาครองโสดตลอดชีวิตมีความเป็นอยู่อย่างสมถะและไม่โอ้อวดในทางวิชาการ นอกจากน้ีเขายังเป็นคนท่ีตรงเวลามากอีกด้วย ทุก ๆ วัน เขาจะออกจากบ้านเวลาเดียวกันเสมอ กระทั่งมีคำกลา่ วว่า หากเห็นคานท์ออกจากบ้านเมื่อใดก็สามารถนำเวลาน้ันมาตั้งหน้าปัดนาฬิกาของ ตนเองได้ อิมมานูเอล คานท์ มีชีวิตอยู่ในระหว่างรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สมัยอยุธยาและรัชสมัย พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก สมัยรัตนโกสินทร์ คานท์ ถึงแก่กรรมเม่ืออายไุ ด้ 80 ปี เหตุผลนิยมของคานท์ เหตุผลนิยมของคานท์น้ี บางคร้ังเรียกว่า Rigorist หมายถึง ลัทธิท่ียึดมั่นในคุณธรรมหรือเหตุผล อย่างเคร่งครัดเคร่ง ในหนังสือบางเล่มใช้คำว่า Moral Purism หรือ Formal Ethics ลัทธิเหตุผลนิยมนี้ ตรงขา้ มกบั ลทั ธสิ ขุ นยิ ม (Hedonism) หรอื นกั ปรชั ญาบางทา่ น เรียกว่า รติวาท สขุ นิยมจะเน้นความสุขอันเกิดจากประสาทสัมผสั ส่วนเหตุผลนั้นจะตรงข้าม คือ เน้นเหตุผล เป็นหลัก นกั ปรชั ญาบางท่านให้นิยามของสขุ นิยมวา่ เป็นทฤษฎี “ความเพลิดเพลินเพื่อความเพลดิ เพลนิ ” และนิยามเหตุผลนยิ มว่าเปน็ ทฤษฎี “หน้าทเ่ี พ่ือหนา้ ที”่ 1 สำหรับเหตุผลนิยมของคานท์ เป็นหลักการท่ีอยู่ในกลุ่มของมโนธรรมที่มีเหตุผลคานท์ถือว่า มโนธรรมเป็นเหตุผลภาคปฏิบัติเพราะบ่งบอกถึงกฎศีลธรรมในตัวเอง คานท์มคี วามคดิ ว่า หลักศีลธรรมน้ัน สามารถรู้ได้เองเป็นส่ิงท่ีมีมาก่อนแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นมาภายหลังโดยอาศัยประสบการณ์ และเป็นแนวคิด ที่มีประจักษ์พยานในตัวเอง ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับจริยศาสตร์ของพุทธศาสนาที่ว่า “ตนนั่น แหละเป็นพยานแห่งตนว่าตนได้ทำดีหรือช่ัว” ดังน้ัน ความลับจึงไม่มีในโลกเพราะแม้ว่าในป่าอันว่าง จากคนอ่ืนก็ไม่ว่างจากตน คือ ยังมีตนอยู่ ตนน่ันแหละเป็นผู้รู้ผู้เห็น ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธ์ิเป็น ของเฉพาะตน คนอื่นไม่สามารถมาทำให้ตนบริสุทธิ์ได้ หลักการของเหตุผลของค้านน้ีมีบทบาทสำคัญ ต่อทฤษฎีทางศีลธรรมของค้าน ท้ังน้ี เพราะคานท์เช่ือว่าการใช้เหตุผลทางศีลธรรมของเราเป็นการใช้ เหตผุ ลเพอื่ ตัดสินวา่ เราควรจะปฏิบตั ิตนอยา่ งไรให้อยใู่ นกรอบหรอื กฎเกณฑ์ท่เี ป็นอุดมคติ หรอื กฎทมี่ ี ลักษณะสมบูรณ์ไม่มีเงื่อนไข คานท์กล่าวว่ากฎดังกล่าวน้ันไม่สามารถที่จะมาจากประสบการณ์ได้ แต่มาจาก “Idea of reason” ของเรา 2 นั่นคือ “หลักจริยธรรมนั้น เราจะต้องถือเป็นข้อเท็จจริง แห่งเหตุผลอันบริสุทธิ์ท่ีเรามีความสำนึกมาแต่เร่ิมแรก และเป็นสิ่งแน่นอนอยู่เหนือความขัดแย้งใด ๆ ทง้ั สน้ิ ” 3 จากแนวความคิดทางเหตผุ ลนิยมน้ีเองทำให้คานท์ สรุปว่า “การพูดโกหกไม่เคยเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถงึ แม้วา่ จะมใี ครบางคนต้องการจะฆ่าเพ่ือนของคณุ ” เช่น “การโกหกฆาตกรผู้ซึง่ กำลงั ตามล่าตวั เพอื่ น เราอยวู่ ่าเขาไดห้ ลบอยใู่ นบา้ นของเราอาจนำมาซ่ึงการฆาตกรรมได”้ จรยิ ศาสตร์แนวคานท์ ในด้านจริยศาสตร์นั้นคานท์กล่าวว่า “จริยศาสตร์ คือ ความนึกในจริยธรรมหรือความสำนึกถึง ความผูกพันทางศีลธรรมอันชวนให้มนุษย์ประพฤติชอบต่อกัน” จากจริยพันธะนี้เองเราสามารถ อธิบายได้ดงั นีว้ ่า เราทุกคนมีจริยพันธะทางใจในอันท่ีจะต้องปฏิบัติตามธรรมะเพราะว่าเรามีความสำนึกในศีลธรรม อันเป็นข้อเท็จจริงอันบริสุทธ์ิ จริยะพันธะน้ีเกิดขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ต้องได้รับการกระตุ้นเป็นกฎที่ไม่มี ผู้ใดกำหนดข้ึน แต่เป็นกฎธรรมชาติซ่ึงต่างจากกิเลสตัณหาหรือความใคร่ความอยาก จริยะพันธะเป็น ส่ิงที่ลึกลับ ซ่อนเร้น และจริงจังยิ่งกว่าประสบการณ์ต่าง ๆ ดังนั้น จึงสามารถแสดงออกมาในด้าน คุณธรรมของตนเอง โดยอาศัยหลักศีลธรรมเท่านั้นเป็นกฎในการอธิบาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 65 เจตนาดี (Good Will) : ส่ิงดีอยา่ งไมม่ ีเง่อื นไข หนังสอื บางเล่มอาจใชค้ ำว่า เจตจำนงดี คานท์มีความคิดวา่ “เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าใจทุกอย่าง ในโลกน้ีและนอกโลกท่เี ป็นความดีซึ่งปราศจากเงอ่ื นไข นอกจากเจตนาด”ี 2 สติปญั ญากด็ ี ไหวพริบก็ดี การตัดสินใจอย่างแน่วแน่ก็ดีรวมท้ังพรสวรรค์อ่ืน ๆ ของจิตซึ่งจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่หรือความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยวและความบากบ่ันเหล่าน้ีก็เป็นสิ่งที่ดี และน่าพึงปรารถนาในหลาย ๆ แง่ แต่ท้ังหมดนี้ อาจกลายเป็นส่ิงไม่ดีและอันตรายท่ีสุดได้ ถ้าเราใช้พรสวรรค์ท่ีได้รับนี้โดยเจตนาท่ีไม่ดี คานท์เช่ือว่า “เจตนาดี” เป็นคุณลักษณะทางศีลธรรม คอื เมื่อบุคคลคนหน่ึงทำสิ่งที่เขาเช่ือว่าถูกต้องหรือส่ิงท่ีเป็น หน้าทท่ี ่ีต้องทำ ไม่ว่าบุคคลน้ันจะปราศจากความรู้สึกเมตตาสงสาร หรอื แม้แต่ปราศจากความสนใจที่ จะใฝ่หาประโยชน์ส่วนตนหรือของส่วนรวม เราก็ยังถือว่าเขามีความดีที่เป็นลักษณะพื้นฐานทางศีลธรรม อยู่น่ันคือ เขามีเจตนาดีอยู่ให้สังเกตว่าคุณค่าของคนที่มีเจตนาดี หรือคนท่ีมีศีลธรรมดีน้ัน ไม่จำเป็น จะต้องขน้ึ อยู่กับการทวี่ ่าเขาจะประสบความสำเร็จในการทำตามเจตนาดีของเขาหรือไม่ แต่คุณค่าของ บุคคลน้ันขึน้ อยู่กบั หลักการทที่ ำให้เกิดเจตนาที่จะกระทำน้นั ๆ ต่างหาก คานท์เชื่อวา่ บุคคลที่มีเจตนา ดีจะกระทำสิ่งต่าง ๆ จากสาเหตุของแรงจูงใจเดียวเท่านั้น ซึ่งน่ันคือ การเคารพในศีลธรรมหรือเคารพ ในความถูกต้อง แต่หากว่าเขาจงใจที่จะกระทำดีแล้วไม่สำเร็จ ซึ่งอาจเนื่องมาจากสาเหตุบางประการ คือ สถานการณ์แวดล้อมท่ีบังคับเขา เช่น เขาเห็นคนกำลังจะจมน้ำ เขาตัดสินใจลงไปช่วยคนน้ัน เพราะเขาเชื่อว่าเป็นส่ิงท่ีถูกต้อง แต่เน่ืองด้วยเขาว่ายน้ำไม่แข็งพอจึงทำให้เขาช่วยคนน้ันไม่ได้ซึ่งคานท์ กล่าวว่า คุณคา่ ความดีของเขามิไดล้ ดนอ้ ยถอยลงแต่อยา่ งใด เราพอสรุปได้ว่า “เจตนาดีไม่ได้ดีเพราะว่าผลของมันทีจ่ ะเกิดข้ึน ซึ่งอาจจะสำเรจ็ ตามท่ีต้ังใจ เอาไว้ แต่ว่าความดีอยู่ท่ีความจงใจเพียงอย่างเดียวอันเป็นความดีในตัวของมันเอง” ซ่ึงเป็นความดีท่ี ครบถ้วน ไม่มีความจำกดั ทางสภาวะแวดล้อมเป็นความดีท่ีปราศจากเง่ือนไข ถงึ แม้ว่าคานท์จะเชื่อวา่ มี แต่เจตนาดเี ทา่ นั้นท่ีดีอย่างไมม่ ีเง่ือนไข แต่คานท์ก็มีความคิดว่าการอ้างเหตุผลเพ่ือสนบั สนนุ ความเช่ือ นีก้ ็เป็นส่ิงจำเป็น คา้ นเห็นวา่ การสรา้ งเหตุผลมจี ดุ มุ่งหมายอยูท่ กี่ ารสรา้ งเจตนาทด่ี ีในตัวเองเทา่ น้นั การท่ีเราทำตามพันธะหน้าท่ีหรือกฎศีลธรรมเพราะเรารู้ก่อนว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและเม่ือเรารู้ว่า เป็นสิ่งดี เราก็เกิดความปรารถนาท่ีจะกระทำ แน่นอนทีเดียวว่าหากไม่มีความปรารถนาที่จะกระทำ ตามกฎศีลธรรม หรือปราศจากเจตนาดีนั่นเอง กจ็ ะไม่มีการทำตามกฎศีลธรรม คานท์เช่ือว่า ถึงแม้ว่า เราจะไม่มีพันธะอะไรท่ีจะต้องมีความปรารถนาหรือเจตนาดีเช่นน้ี แต่คานท์ก็เชื่อว่าเราสามารถที่จะ สำนึกรู้ถึงกฎศีลธรรม (หรือเรามี Ideas of reason) ความปรารถนาหรือเจตนาที่จะกระทำตามกฎ ดังกล่าวก็จะเกิดขึ้น แม้ว่าในคนที่เลวท่ีสุดก็จะตอ้ งรู้สึกถึงความปรารถนาน้ัน เพียงแต่ว่าความเข้มข้น จะมอี ยูใ่ นระดับใดเท่านั้น “ศลี ธรรม” กบั “ความรอบคอบ” ตามทก่ี ล่าวข้างต้น เราเห็นความคดิ ของคานท์ในเรื่องเจตนาดี เจตนาดี คือ การจะทำตามกฎ ศีลธรรม โดยคานท์มักใช้คำว่า “หน้าท่ี” แทนคำวา่ “กฎศีลธรรม” คุณค่าทางศีลธรรมของมนุษย์ อยูท่ ่ีเจตนาดี กอ่ นท่ีจะเข้าใจคณุ คา่ ของมนุษย์จำเปน็ จะต้องเข้าใจภาพรวมของ “หน้าที่” หน้าที่คืออะไร? จาก Glossary of Kant’s Technical Terms “หน้าที่” หมายถึง การกระทำ ซ่ึงเราถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามกฎศีลธรรม เราต้องกระทำด้วยความรู้สึกว่าเรามีความผูกพันอยู่กับ อะไร เช่น ทุกคนมีหน้าที่ หน้าท่ีของพ่อแม่ หน้าท่ีของลูก หน้าท่ีของครูบาอาจารย์ หน้าท่ีของศิษย์ ซึง่ การจะกระทำหนา้ ที่ทกุ อย่างให้สมบูรณ์น้ันเป็นการยาก และคนที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์นน้ั ก็หา ไดย้ ากทเี ดียว เม่ือบุคคลสำนึกได้ว่าตนเองได้ทำหน้าท่ีของตนอย่างสมบรู ณ์แลว้ บุคคลน้ันย่อมเป็นคน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 66 ดีเสมอ แต่ว่าต้องทำหน้าท่ีน้ันอย่างเฉลียวฉลาดรอบคอบด้วย คานท์ถือว่า ความรู้สึกในหน้าที่เป็น แรงจูงใจอันสำคัญย่ิงทางศีลธรรม ความถูกต้องและความรับผิดชอบมีความสำคัญเป็นอันดับแรก ส่วนความดีและจุดมุ่งหมายเป็นส่ิงสำคัญรองลงมา “มนุษย์ที่ดีที่สุด คือ ผู้ท่ีทำหน้าท่ีดีท่ีสุด ถูกต้อง ครบถว้ นทส่ี ุด” การกระทำท่ีถือว่าดีทางศีลธรรมจะต้องมิได้เกิดจากแรงโน้มหรือความปรารถนาท่ีถูกกำหนด ด้วยปัจจัยภายนอกเหตุผลบริสุทธ์ิ แต่จะต้องเป็นการกระทำที่มีสาเหตุมาจากความปรารถนาท่ีจะทำ ตามกฎศีลธรรม หรือเปน็ การกระทำเพราะวา่ เป็นหนา้ ทีน่ ั่นเอง ศีลธรรม มีความแตกต่างจากความรอบคอบเพราะว่ากฎศีลธรรมจะต้องมาจากเหตุผ ล ส่วนกฎความรอบคอบน้ันเป็นกฎที่ถูกกำหนดด้วยประสบการณ์ คือ ทั้งจุดหมายและวิถีท่ีจะไปสู่ จุดหมายน้ันได้ถูกกำหนดด้วยประสบการณ์ไม่ใช่เหตุผล เราเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าอะไรที่ทำให้ เราสุขและอะไรที่ทำให้เราทุกข์ เรารู้ว่าเราควรทำอะไรเพื่อให้เราเป็นสุขและไม่ควรทำอะไรท่ีจะนำเรา สคู่ วามทุกข์ ความร่ืนรมย์บางอย่างอาจเป็นอปุ สรรคต่อเราในการมีความสุขในระยะยาวของเรา ทำให้ การตอบสนองความปรารถนาบางอย่างของเราอาจขัดแย้งกัน นั่นคือ หากเราเอาอีกอย่างหน่ึงก็ จำต้องเสียอีกอย่างหนึ่งไป เราต้องตัดความปรารถนาบางอย่างเพ่ือให้ได้มาซ่ึงความสุขระยะยาว ของเรา ดังน้ัน กฎของความรอบคอบจงึ เป็นกฎท่เี ราเรยี นรู้จากประสบการณ์ที่จะทำอยา่ งไรให้ได้สิง่ ที่ ต้องการ ความถูกต้องของกฎขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการนำมาซ่ึงส่ิงท่ีเราต้องการ และประสิทธิภาพก็ ขึ้นอยู่กับข้อมูลทางประสบการณ์เก่ียวกับโลก และข้อมูลเก่ียวกับความสามารถท่ีจะช่วยให้ได้ในส่ิงท่ี ตอ้ งการ ดงั นน้ั เราจะเห็นได้ว่าคุณคา่ ของเจตนาดจี ึงตรงข้ามกับกฎความรอบคอบ คุณคา่ ของเจตนาดี มไิ ด้อย่ทู ี่เราจะประสบความสำเร็จในการกระทำตามเจตนาดีหรือไม่ แต่กฎความรอบคอบมีคุณน่าอยู่ ท่ีความสำเร็จในการได้มาซึ่งสิ่งท่ีเป็นจุดหมาย จึงเห็นว่ากฎความรอบคอบเป็นกฎที่มีเง่ือนไขใน ความหมายที่ว่า ถ้าเราอยากได้อะไรเราก็ควรใช้วิธที ี่มีประสิทธิภาพท่ีสุดเพ่ือนำมาซงึ่ ที่ต้องการ ซ่ึงเรา อาจกล่าวได้ว่า “ถ้าท่านต้องการ ก (จุดหมาย) ท่านก็ควรทำ ข (วิถีหรือวิธีการให้ได้มาซึ่ง ก)” คำว่า “ควร” มิใช่ควรในทางศีลธรรมแต่เป็น “ควร”ในแงค่ วามรอบคอบ ผู้ท่ีกระทำตามกฎความรอบคอบอาจมีคุณลักษณะเป็นคนฉลาด มีทักษะ เมตตา กล้าหาญ หรือมีช่ือเสียง ร่ำรวย ซึ่งคุณลักษณะเหล่าน้ีสามารถนำไปสู่ความสุขได้ท้ังส้ิน แต่เราต้องเข้าใจว่า คุณลักษณะเหล่านี้มีคุณค่าภายนอก ไม่ได้มีค่าในตัวเอง ทำนองเดียวกัน ความสุขหรือจุดหมายท่ีเรา ปรารถนาก็ไม่ได้มีคุณค่าในตัวเอง หรือมีค่าทางศีลธรรมด้วยเช่นกัน เน่ืองจากจุดหมายดังกล่าวได้ถูก กำหนดประสบการณ์ ไม่ใช่จากเหตผุ ล กฎศีลธรรม กฎศลี ธรรม (Moral law) หมายถึง ความเป็นจริงของเหตุผลปฏิบัติ (practical reason) ที่มี อยใู่ นบุคคลผู้มีเหตุผล ซ่ึงบางคนได้ตระหนักมากกวา่ สงิ่ อนื่ สาระสำคัญของกฎศีลธรรมก็คือ การที่เรา ร้วู ่าสง่ิ ไหนดีและสงิ่ ไหนช่ัว และการตดั สนิ ภายในของเรามาจาก อะไรท่ีเราควรทำส่ิงนั้นเปน็ ส่งิ ดี กฎศีลธรรมเป็นข้อบังคับอย่างเด็ดขาด กฎศีลธรรมย่อมจะไม่กล่าวว่าจงทำอย่างน้ี ถ้าท่าน ตอ้ งการจะมีความสุข มีความสำเร็จ แต่จะกลา่ วว่าจงไปทำเพราะว่ามนั เป็นหน้าท่ีของท่านที่จะต้องทำ โดยคานท์เองยกยอ่ งการทำหน้าที่เพอื่ ประโยชนข์ องหนา้ ท่เี องซ่ึงเหมือนกับลทั ธิสโตอคิ กฎศีลธรรมยัง เป็นกฎสากลและจำเป็น เป็นสิ่งดั้งเดิมและมีอยู่ในเหตุผลนั่นเอง กฎสากลน้ีควบคุมการตัดสินทาง ศลี ธรรมดว้ ย น่ันคือ เปน็ กฎเกณฑท์ ใ่ี ช้ตดั สนิ ความถูกและความผดิ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 67 คานทไ์ ดพ้ ยายามสรา้ งกฎศีลธรรมขนึ้ โดยไดว้ างหลกั สำคญั ไว้ 3 ประการ ดังน้ี จงทำเฉพาะส่ิงที่เม่ือท่านทำแล้วเป็นกฎสากล หมายความว่า สิ่งท่ีถูกน้ันคือสิ่งท่ีเป็นสากล และจงทำสิ่งที่คนอ่ืนอาจทำตามไดโ้ ดยไมก่ ่อความเดือดร้อนแก่สังคม ทำเหมือนกับว่าได้ปฏิบัติต่อเพ่ือนมนุษย์ในฐานะเป็นจุดมุ่งหมายไม่ใช่เป็นวิถีทาง คือ จง ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่เราอยากให้เขาปฏิบัติต่อตัวเรา และอย่าทำให้คนอ่ืนเป็นเครื่องมือ แต่ ใหเ้ ราคำนงึ ถึงจดุ ม่งุ หมายร่วมกนั ทำเหมือนกับว่าเราเป็นส่วนหน่ึงแห่งอาณาจักรแห่งจุดมุ่งหมาย คือ ให้ปฏิบัติต่อตนเองและ คนอื่นในฐานะที่เป็นบุคคลผู้มคี ุณค่าภายในเสมอกนั จงประพฤติตนในฐานะเปน็ สมาชิกของประชาคม ที่มอี ุดมคติ ซึ่งทกุ คนในประชาคมนีเ้ ปน็ ท้งั ผู้ปกครองและผู้ถกู ปกครอง กฎข้อแรก เป็นวิธีการหลีกเล่ียงความมีอคติ โดยให้เราพิจารณาว่าการกระทำอย่างใดอย่าง หน่ึงไม่ว่าถูกหรือว่าผิดศีลธรรม เราควรถามตัวเองว่าต้องการให้ทุกคนทำเช่นน้ันหรือไม่ คานท์เสนอ ความคิดท่ีว่า จงกระทำเสมือนหน่ึงว่าเรากำลังวางกฎทั่วไปของธรรมชาติ เท่ากบั เป็นการบอกเราให้มี จินตนาการว่าการตัดสินใจของเราเป็นการกระทำที่มาจากพระเจ้าซึ่งมีผลต่อทุกคนเราควรจะถือว่า การตัดสนิ ใจของเราน้นั เปน็ ดั่งกฎหมายท่ที กุ คนตอ้ งทำตาม กฎข้อนี้แสดงถึงการตัดสินทางศีลธรรมซ่ึงใช้คำว่า “ควร” ในแงท่ างศีลธรรม มีรูปแบบที่เป็น คำส่ังท่ัวไป “ข้าพเจ้าควร” หรือ “ท่านควร” “มีศีลธรรมท่ีจะทำ X” ไม่ได้เป็นลักษณะของคำเตือน อย่างตรงไปตรงมาหรือเป็นคำส่ังแก่คนใดคนหน่ึงว่า “ขอข้าพเจ้าทำ X” หรือ “ทำ X” แต่ หมายถึง การบ่งชวี้ า่ ใครก็ตามหรอื ทกุ คนทตี่ กอยใู่ นสถานการณน์ จ้ี ะต้องทำ X 1 กฎข้อท่ี 2 การปฏิบัติต่อผู้อ่ืนเหมือนกับว่าเป็นจุดหมาย คือ การกระทำที่ยอมรับว่าเขาก็มี จดุ มุง่ หมายเหมือนกนั กบั เรา ซ่ึงอาจแยกเปน็ 2 ส่วน คือ 1) ความปรารถนา 2) ทางเลือก การปฏิบัติต่อคนอ่ืนเหมือนเป็นจุดหมาย คือ การทำให้จุดหมายของเขาเป็นของเราเอง มนั เป็นการช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมาย เม่ือเราได้จ้างคนงานมาและเราจ่ายเงนิ ให้เขาตามท่ีไดต้ กลงกัน เราก็ได้กระทำให้ความปรารถนาทั้งของเขาและของเราบรรลผุ ล ซ่ึงจะไม่เหมือนความสัมพันธร์ ะหวา่ ง เจ้านายและทาสของเขา เราได้เคารพทางเลือกของเขาด้วยการปล่อยให้เขามีอิสระที่จะกระทำให้ สำเร็จด้วยตัวเขาเอง ดังน้ัน เราก็ได้ปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนเป็นจุดมุ่งหมายเพราะว่าเราได้ช่วยให้เขา บรรลุส่ิงท่ีปรารถนาและยอมหรือช่วยให้เขาสามารถทำตามการตัดสินใจของเขา จากข้อความข้างต้น ทำให้เรารู้ว่า ลักษณะของการผิดศีลธรรมไม่เพียงแต่ทำให้คนอ่ืนตกเป็นทาสเท่าน้ัน แต่ยังเป็นการใช้ อทิ ธิพลครอบงำ ซ่ึงเป็นการไม่เปดิ หนทางใหผ้ ้อู ่นื ที่ถกู ครอบงำนนั้ ได้มีพลงั ตดั สนิ ดว้ ยตัวเอง สำหรับกฎข้อท่ี 3 เป็นการเชื่อมกฎข้อแรกกับข้อท่ี 2 เข้าด้วยกัน เป็นกฎที่ให้เราแสดงว่าเรา เป็น “ส่วนหน่ึงของอาณาจักรจุดมุ่งหมาย” น่ันคือ เราต้องแสดงตนว่าเราเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคม ซึ่งทุกคนต้องตัดสนิ ใจทางศีลธรรม โดยทีส่ มาชิกแต่ละคนต้องปฏบิ ัติตอ่ คนอน่ื ๆ เหมอื นเป็นบุคคลผูม้ ี ศีลธรรม โดยมีความเคารพต่อความปรารถนาของผู้อื่น และยอมรับว่าทกุ คนสามารถและควรตดั สินใจ เหมือนกับว่าเป็นกฎหมายสำหรับทุกคน เราต้องยอมรับว่าใคร ๆ ก็มีความสามารถตัดสินกฎสากล ทั่ว ๆ ไป ไดเ้ ทา่ กับท่าน สิ่งนี้จะชว่ ยเช่ือมความเปน็ สากลของการตดั สินทางศีลธรรมไปสู่ความจริงท่วี ่า การกระทำที่มศี ีลธรรมนั้นจะปฏบิ ัติตอ่ คนทง้ั ปวงในฐานะเป็นจุดหมาย ซ่ึงจะบ่งชี้ถงึ ความเท่าเทียมกัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 68 ของทุกคนในสังคม รวมทั้งกำหนดให้เราต้องยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีอำนาจท่ีจะเลือกและตัดสินใจ เท่าเทยี มกัน รวมถึงการตดั สินใจทางศลี ธรรมเกย่ี วกับสง่ิ ที่ถกู ต้องสำหรบั ทุกคน ศีลธรรมของคานท์มีความเก่ียวโยงกับการแบ่งแยกโลกปรากฏ กับโลกความจริงแท้ในตัวเอง คานท์มองว่า ความมีศักดิ์ศรีของมนุษย์อยู่ท่ีความสามารถในการรู้กฎศีลธรรม และยอมให้กฎนั้นมา กำหนดหลักการการกระทำของตน กฎศีลธรรมของคานท์เป็นกฎที่เด็ดขาดไม่มีเงื่อนไข คุณค่าทาง ศีลธรรมของมนุษย์มิได้อยู่ที่การกระทำภายนอกแต่อยู่ที่เจตนาอันทำให้เกิดการกระทำ และเจตนา ท่ีว่านั้นต้องเป็นเจตนาท่ีดีด้วย เป็นเจตนาท่ีเป็นอิสระจากปัจจัยทางจักรกล ซ่ึงเป็นเจตนาที่เกิดจาก พลงั ของเหตุผล คานท์เองมองว่ามนุษยจ์ ะเป็นอิสระก็ต่อเม่ือมนุษย์ใช้เหตุผลซึ่งต่อต้านแรงโนม้ และถ้าเมอื่ ใด ท่ีมนุษย์ปฏิบัติตนตามแรงโน้มมนุษย์ก็จะไม่มีอิสระ กฎศีลธรรมหรือหน้าที่มีคุณค่าที่แตกต่างจากกฎ ความรอบคอบ เพราะว่ากฎศีลธรรมมาจากเหตุผลภายในที่ปราศจากเงื่อนไข ส่วนกฎความรอบคอบ มาจากปัจจัยภายนอกคือ ประสบการณ์ หน้าท่ีเป็นตัวกำหนดคุณค่าทางศีลธรรม หากว่าเราปฏิบัติ หน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วถือว่าเป็นมนุษย์ท่ีดีที่สุด เป็นท่ีหน้าสังเกตว่าการทำความดีหรือการปฏิบัติตาม ศีลธรรมนั้น ไม่ได้นำเราไปสู่ความสุขเสมอ แต่เราก็จำเป็นต้องทำความดีเพราะว่าสิ่งน้ันเป็นความดี และเป็นหน้าท่ีของเราท่ีจะต้องกระทำไม่ว่าเราจะได้รับความสุขหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น ความสุขจึงไม่ใช่ แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าท่ีของเรา แต่เราปฏิบัติหน้าที่เพ่ือหน้าท่ี เราไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพ่ือให้ได้มา ซง่ึ ความสขุ 15. จรยิ ธรรมที่ควรมี ภาพประกอบท่ี 2.21 จริยธรรมทีค่ วรมี 1. พาผู้ใตบ้ งั คับบญั ชารูปภาพไปวัดฟังธรรม และน่ังสมาธิ 2. ให้หัวหน้าแผนกไปดูลูกจ้างที่ขาดราชการหลายวัน ทราบว่าบ้านถูกน้ำท่วม จึงทำเร่ืองขอ ความช่วยเหลือจากทางราชการ และรวบรวมความชว่ ยเหลอื ขั้นตน้ ในหนว่ ย 3. ยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ จากทุกฝ่ายไม่ถือความคิดของตนเองเปน็ ใหญ่ 4. สนับสนนุ ผู้ใตบ้ ังคับบัญชาให้เข้าศกึ ษาอบรมหลกั สตู รตา่ ง ๆ เพอ่ื เพม่ิ พูนความรู้ 5. แยกเรอื่ งงานออกจากความขดั แย้งสว่ นตวั 6. ถอื ความสำเร็จของงาน มาจากความสามารถของผู้ใตบ้ ังคบั บัญชา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 69 คณุ ธรรม จรยิ ธรรม สำหรับขา้ ราชการ คุณธรรม จริยธรรม สำหรับข้าราชการ คือ การใช้หลักธรรมปฏิบัติในการบริหารงานทุกระดับ ต้ังแต่ระดับปฏิบัติการและผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง หรือระดับสูงให้ได้ผลดี มีประสิทธิภาพสูง โดยการปกครองและบรหิ ารทีด่ ี (Good Governance) การปกครองและบริหารที่ดี ตามหลักธรรมปฏิบัติน้ัน ผู้บริหารงานต้องมี “ประมุขศิลป์” คือ คุณลักษณะความเป็นผู้นำที่ดี (Good Leadership) อันเป็นคุณสมบัติที่ดีท่ีสำคัญของหัวหน้า ฝ่ายบริหาร ลงมาถึงหัวหน้างานทุกระดับให้สามารถปกครอง และบริหารองค์กรท่ีตนรับผิดชอบให้ ดำเนินไปถึงความ สำเร็จอย่างได้ผลดี มีประสิทธิภาพสูงและให้ถึงความเจริญ รุ่งเรือง และสันติสุข อยา่ งมั่นคง คุณลักษณะความเป็นผู้นำที่ดีน้ัน เป็นท้ังศาสตร์ (Science) และศิลป์ (Arts) กล่าวคือ สามารถ ศึกษาวิเคราะห์วิจัยข้อมูลอย่างมีระบบ (Systematic Study) จากพฤติกรรมและวิธีการปกครอง การบริหาร องค์กรให้สำเร็จด้วยดี มีประสิทธิภาพสูงมาแล้ว ประมวลข้ึนเป็นหลัก หรือทฤษฎี (Theory) ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) สำหรับใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานของหัวหน้า ฝ่ายบริหารให้เกิด ประโยชน์แก่การปกครองการบริหารท่ีดี (Good Governance) กล่าวคือ ให้บรรลุผล สำเรจ็ ด้วยดีมีประสิทธิภาพสูงไดเ้ พราะเหตุนัน้ ประมุขศิลป์ คือ คุณลักษณะความเป็นผู้นำท่ีดีจึ่งชื่อว่า เปน็ ศาสตร์ (Science) นอกจากนี้ คุณลักษณะความเป็นผู้นำท่ีดีน้ัน ยังเกิดจากการที่บุคคลได้เคยศึกษา หาความรู้ ฝกึ ฝน อบรม บ่มนิสัย และเคยปฏิบัตพิ ัฒนาสภาวะความเป็นผู้นำทดี่ ี มาแต่ปางก่อน คือ แต่อดตี กาล จนหล่อหลอมบุคลิกภาพและสภาวะความเป็นผู้นำที่ดี ปลูกฝัง เพ่ิมพูน อยู่ใน จิตสันดานย่ิงข้ึนต่อ ๆ มาจนถงึ ปัจจบุ ัน ประมุขศิลป์ คอื คุณลกั ษณะของความเป็นผู้นำท่ีดีเช่นนี้ ชอื่ ว่า เป็นศิลป์ (Arts) ซ่ึงก็ คอื “บญุ บารมี” น้ันเอง คุณธรรม จริยธรรม สำหรบั ขา้ ราชการน้ัน ประกอบด้วย หลักธรรม 4 ประการ คือ 1. หลักการครองตน 2. หลกั การครองงาน 3. หลกั การครองคน 4. หลกั ธรรมาภบิ าล หลักการครองตน หลักการครองตน ประกอบดว้ ย หลกั ธรรมดังต่อไปน้ี 1. เปน็ ผู้มบี คุ ลิกภาพทดี่ ี คือ เป็นผมู้ สี ุขภาพกายและสขุ ภาพจติ ที่ดี 1.1 มีสุขภาพกายที่ดี คือ เป็นผู้มีสุขภาพอนามัยท่ีดี มีท่วงท่ากิริยา รวมท้ังการแต่งกาย ทส่ี ุภาพ เรียบร้อย ดีงาม สะอาด และดูสง่างามสมฐานะ 1.2 มีสุขภาพจิตที่ดี คือ เป็นผู้มีอัธยาศัยใจคอที่งาม เป็นคนดี มีศีลธรรม ได้แก่ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ วริ ยิ ะ สติ สมาธิ และปญั ญา ผู้มีศรัทธา หมายถึง เป็นผู้รู้จักศรัทธาบุคคล และข้อปฏิบัติท่ีควรศรัทธา ไม่ลุ่มหลง งมงายใน ทต่ี ้ังแห่งความลุ่มหลง ผ้มู ีศลี คอื ผู้ที่รู้จกั สำรวมระวงั ความประพฤติปฏิบตั ิ ทางกาย และทางวาจา ให้เรียบร้อย ดีงาม ไม่ประพฤตเิ บยี ดเบียนตนเองและผอู้ ่ืน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 70 ผมู้ ีสุตะ คอื ผไู้ ดเ้ รยี นรูท้ างวชิ าการและไดศ้ กึ ษาคน้ คว้าในวชิ าชีพ ผู้มีจาคะ คือ เปน็ ผู้มีจติ ใจกว้างขวาง ไมค่ บั แคบ รจู้ ักเสียสละ ผมู้ วี ริ ยิ ะ คอื ผขู้ ยนั หมัน่ เพยี รในการประกอบกจิ การงานงานอาชีพและ/หรอื ในหนา้ ทร่ี ับผิดชอบ ผมู้ ีสติ คอื ผรู้ จู้ ัก ยบั ยงั้ ชั่งใจ รจู้ กั คดิ ไตร่ตรองใหร้ อบคอบ กอ่ นคดิ พูด ทำ ผู้มสี มาธิ คือ ผ้มู จี ิตใจตงั้ ม่นั ข่มกิเลสนวิ รณ์ ผู้มีปญั ญา คอื ผูม้ ปี ญั ญาอันเหน็ ชอบรอบรทู้ างเจรญิ ทางเสื่อมแหง่ ชีวติ ตามท่ีเป็นจรงิ 2. ผูม้ กี ลั ยาณมิตตธรรม คือ ผมู้ คี ณุ ธรรมของมติ รที่ดี 7 ประการ 2.1 เปน็ ผู้นา่ รัก (ปิโย) คอื เป็นผ้มู ีจิตใจกอปรด้วยเมตตากรุณาพรหมวหิ าร 2.2 เป็นผู้น่าเคารพบชู า (คร)ุ คอื เป็นผ้ทู ส่ี ามารถเอาเป็นทีพ่ ่งึ อาศยั เป็นท่ีพึง่ ทางใจ 2.3 เป็นผู้น่านับถือ น่าเจริญใจ (ภาวนีโย) ด้วยว่า เป็นผู้ได้ฝึกฝนอบรมตนมาดีแล้ว ควรแก่ การยอมรบั และยกย่องนับถอื เอาเปน็ เยยี่ งอย่างได้ 2.4 เป็นผู้รู้จักพูดจาโดยมีเหตุผลและหลักการ (วัตตา) รู้จักชี้แจง แนะนำให้ผู้อ่ืนเข้าใจดี แจม่ แจง้ เป็นท่ปี รึกษาที่ดี 2.5 เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำที่ล่วงเกิน วิพากษ์ วิจารณ์ ซักถาม หรือขอปรึกษาหารือขอให้ คำแนะนำต่าง ๆ ได้ (วจนกั ขโม) 2.6 สามารถแถลงช้ีแจงเรื่องที่ลึกซึ้ง หรือเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจอย่างถูกต้องและ ตรงประเดน็ ได้ (คมั ภีรัญ จะ กะถัง กตั ตา) 2.7 ไม่ชักนำในอฐานะ (โน จัฏฐาเน นิโยชะเย) คือ ไม่ชักจูงไปในทางเส่ือม (อบายมุข) หรือ ไปในทางทีเ่ หลวไหลไร้สาระหรอื ที่เปน็ โทษ เป็นความทุกข์ เดอื ดร้อนหลักการครองงาน หลกั การครองงาน ประกอบดว้ ย หลกั ธรรม คอื อิทธิบาทธรรม ไดแ้ ก่ 1. ฉันทะ ความรักงาน คือ จะต้องเป็นผู้รักงานที่ตนมีหน้าท่ีรับผิดชอบอยู่และทั้งจะต้องเอาใจใส่ กระตือรือร้นในการเรียนรู้งาน และเพิ่มพูนวิชาความรู้ความสามารถในการทำกิจการงาน และมุ่งมั่น ท่ีจะทำงานในหน้าท่รี บั ผิดชอบหรือกิจการงานอาชพี ของตนใหส้ ำเรจ็ เรียบรอ้ ยอยู่เสมอ 2. วิริยะ ความเพียร คือ จะต้องเป็นผู้มีความขยันหม่ันเพียร ประกอบด้วย ความอดทน ไม่ย่อท้อ ต่อความยากลำบากในการประกอบกิจการงานในหน้าที่หรือในอาชีพของตน จงึ จะถงึ ความสำเรจ็ และ ความเจริญก้าวหนา้ ได้ 3. จิตตะ ความเป็นผ้มู ีใจจดจ่ออยกู่ บั การงาน ผ้ทู ่ีจะทำงานไดส้ ำเร็จดว้ ยดี มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องเป็นผู้เอาใจใส่ต่อกิจการงานท่ีทำ และมุ่งกระทำงานอย่างต่อเน่ืองจนกว่าจะสำเร็จ ไม่ทอดทิ้ง หรอื วางธุระเสียกลางคัน ไม่เป็นคนจับจด หรือทำงานแบบทำ ๆ หยุด ๆ หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้บริหารจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ “ติดตามผลงาน และ/หรือตรวจงาน” หน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์การของตน เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย ตัดสินใจ และสั่งการให้ กิจการงาน ทกุ หนว่ ยดำเนินตามนโยบายและแผนงานให้ถึงความสำเร็จตามวตั ถุประสงค์ทก่ี ำหนดไว้ 4. วิมังสา ความเปน็ ผู้ร้จู ักพิจารณาเหตุสังเกตผลในการปฏิบัตงิ านของตนเอง และของผ้นู ้อย หรือของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ว่า ดำเนินไปตามนโยบายและแผนงานที่วางไว้หรือไม่ ได้ผลสำเร็จหรือ มีความคืบหน้าไปตามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้หรือไม่เพียงไร มีอุปสรรคหรือปัญหาท่ีควรได้รับการ ปรับปรุงแก้ไขวิธีการทำงาน หรือวิธีการบริหารกิจการงานน้ันให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้อย่างไร ข้ันตอนนี้ เป็นการนำข้อมูลจากจากที่ได้ติดตามประเมินผลงานหรือตรวจงานน้ันแหละมาวิเคราะห์ วิจัย ให้ทราบเหตุผล ของปัญหาหรืออุปสรรคข้อขัดข้องในการทำงาน แล้วพิจารณาแก้ไขปัญหา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 71 เหล่านั้น และปรับปรุงพัฒนาวิธี การทำงานให้ดำเนินไปสู่ความสำเร็จ ให้ถึงความเจริญก้าวหน้าย่ิง ๆ ข้ึนไปได้ อนึ่ง อิทธิบาทธรรม ข้อ “วิมังสา” คือ ความเป็นผู้รู้จักพิจารณาเหตุสังเกตผลในการทำงาน ให้ได้ผลดีน้ี กล่าวโดยความหมายอย่างกว้าง จะเห็นมีข้อปฏิบัติท่ีจะช่วยให้การปฏิบัติงานในหน้าที่ รับผิดชอบ หรือในการประกอบสัมมาอาชีวะให้ได้ผลดีและมีความเจริญม่ันคงยิ่งกว่าข้ออื่น ๆ อีกท่ี ในวงวชิ าการบริหาร ไดศ้ กึ ษาวิจัยเห็นผลดมี าแล้ว ได้แก่ ก) เป็นผู้มีความคิดริเร่ิม (Initiatives) ด้วยความคิดสร้างสรรค์ (Creative) โครงการ ใหม่ ๆ ท่ีเป็น ประโยชน์สุขแก่หมู่คณะ สังคมและประเทศชาติ และวธิ กี ารทำงานใหม่ ๆ ให้การปกครอง การบริหาร กจิ การงานไดบ้ งั เกิดผลดี มปี ระสทิ ธิภาพสงู ยิ่งขึน้ ข) มีความคดิ พฒั นา (Development) คอื เป็นนักพฒั นาปรบั ปรุงแกไ้ ขสง่ิ ทล่ี ้าหลังหรอื ขอ้ บกพร่อง ในการทำงานใหด้ ขี ึ้นอยู่เสมอ ค) เป็นผู้มีสำนึกในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ (Sense of Responsibilities) สูง คือ มีสำนึก ในความรับผิดชอบต่อตนเอง โดยการศึกษาหาความรู้ เพ่ิมพูนศักยภาพ และสำนึกในการสร้างฐานะ ของตน และมีสำนึกในหน้าท่ีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม คือ ต่อครอบครัว ต่อองค์กรและหมู่คณะ ท่ีตนรับผิดชอบอยู่ และต่อสังคมประเทศชาติให้เจริญสันติสุข และม่ันคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนึก ในหน้าท่ี รับผิดชอบต่อสถาบันหลักท้ัง 3 ของประเทศชาติไทยเรา คือ สถาบันชาติ 1 สถาบัน พระพุทธศาสนา 1 และสถาบันพระมหากษัตริย์ 1 เพราะสถาบันหลักทง้ั 3 น้ี หากสถาบนั ใดคลอนแคลน ไม่มนั่ คง ไมว่ ่าจะเป็นเพราะถูกศตั รูภายใน และ/หรือ ศัตรูจากภายนอกรกุ ราน ย่อมกระทบกระเทือน ถงึ สถาบันหลกั อื่น ๆ ของชาตไิ ทยเราให้พลอยคลอนแคลนออ่ นแอไปดว้ ย ผู้นำท่ีดี จึงย่อมต้องสำเหนียก และจกั ต้องมีความสำนึก ในหน้าท่ีความรับผิดชอบต่อ สถาบัน หลกั ท้งั 3 น้ี อย่างจรงิ ใจ และจะตอ้ งรับชว่ ยกนั ดำเนินการให้ความค้มุ ครอง ปอ้ งกนั แก้ไข บำรงุ รกั ษา อยา่ งเขม้ แขง็ จรงิ จัง และตอ่ เน่อื งใหเ้ กดิ ความเจริญ และความสนั ตสิ ขุ อย่างมนั่ คงให้ได้ ง) มีความมั่นใจตนเอง (Self Confidence) สูงน้ี หมายถึง มีความมั่นใจ โดยธรรม คือ มีความ ม่ันใจในความรู้ ความสามารถ สติปัญญาและวิสัยทัศน์ และท้ังคุณธรรม คือ ความเป็นผู้มีศีล มีธรรม อนั ตนได้ศึกษาอบรมมาดีแล้ว มิใชม่ ีความมั่นใจอย่างผิดๆ ลอย ๆ อยา่ งหลงตวั หลงตนท้ัง ๆ ท่ีแท้จริง ตนเอง หาได้มีคุณสมบัติและคุณธรรมดีสมจริงไม่ และจักต้องรู้จักแสดงความ ม่ันใจ ในเวลาคิด พูด ทำใหเ้ หมาะสมกบั กาละ เทศะ บคุ คล สถานท่ี และประชมุ ชน ด้วย หลกั การครองคน หลกั การครองคน ประกอบดว้ ย หลักธรรมดงั ตอ่ ไปน้ี 1. รู้จักหลักปฏิบัติต่อกันด้วยดี ระหว่างผู้บังคับบัญชากับลูกน้อง หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ชื่อ “เหฏฐิมทิศ” มีเน้ือความว่า “เหฏฐิมทิศ” คือ ทิศเบ้ืองต่ำ เจ้านาย หรอื ผบู้ งั คบั บัญชา พงึ บำรุงบา่ ว คอื ผู้ใต้บงั คับบญั ชาดว้ ยสถาน 5 คอื 1.1 ด้วยการจัดงานให้ตามกำลัง กล่าวคือ มอบหมายหน้าท่ีการงานให้ตามกำลังความรู้ สติปญั ญา ความสามารถ (Put the right man on the right job – รู้จักใช้คนใหถ้ กู กบั งาน) 1.2 ด้วยการใหอ้ าหารและบำเหน็จรางวลั กล่าวคอื เมอื่ ทำดีก็รจู้ ักยกย่องชมเชยและ/หรือ สนับสนุน อุดหนุนให้ได้รับบำเหน็จรางวัล เล่ือนยศ เลื่อนตำแหน่งตามสมควรแก่ฐานะ เมื่อทำไม่ดีก็ให้ คำตักเตือน แนะนำ สั่งสอนให้พัฒนาสมรรถภาพให้ดีขนึ้ ถ้าไม่ยอมแกไ้ ขพัฒนาตนให้ดีขนึ้ กต็ ้องตำหนิ และมีโทษตามกฎเกณฑโ์ ดยชอบธรรม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 72 1.3 ด้วยการรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ กล่าวคือ ต้องรู้จักดูแลสารทุกข์ สุกดิบของผู้อยู่ ใตบ้ งั คบั บัญชา ไม่เป็นผแู้ ล้งนำ้ ใจ คือ ไม่ปฏิบัตกิ ับลูกนอ้ งหรือผู้อยใู่ ต้บังคับบัญชา 1.4 ด้วยแจกของมรี สดีแปลก ๆ ใหก้ ิน หมายความว่า ให้รจู้ ักมีน้ำใจแบ่งปันของกินของใช้ดี ๆ ให้ลูกน้อง 1.5 ดว้ ยปล่อยในสมยั คือ รู้จกั ใหล้ ูกนอ้ งหรอื ผู้อยใู่ ต้บงั คับบญั ชาได้ลาพักผ่อนบ้าง ส่วนบ่าวหรือลูกน้องผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เมื่อเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชา ทำนุบำรุงอย่างนี้แล้ว ก็พงึ ปฏบิ ตั ิอนเุ คราะหเ์ จา้ นาย ผบู้ ังคบั บญั ชาด้วยสถาน 5 ตอบแทนด้วยเช่นกัน คือ 1. ลุกขึ้นทำงานก่อนนาย คือ ให้รับสนองงานผู้บังคับบัญชาด้วยความขยันขันแข็ง ควรมา ทำงานก่อนนายหรือผู้บังคับบัญชาอย่างน้อย ก็มาให้ทันเวลาทำงาน ไม่มาสายกว่านายหรือสายกว่า เวลาทำงานตามปกติ 2. เลิกการทำงานทีหลังนาย คือ ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง แม้เลิกก็ควรเลิก ทีหลังนาย หรอื ผบู้ งั คับบญั ชา อย่างน้อยกอ็ ยูท่ ำงานใหเ้ ตม็ เวลาไมห่ นีกลับก่อนเวลาเลกิ งาน 3. ถือเอาแต่ของที่นายให้ คือ มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่คดโกงนายหรือผู้บังคับบัญชา ไมค่ อร์รัปชนั่ ไมเ่ รยี กรอ้ งตอ้ งการโดยไมเ่ ป็นธรรม หรอื เกินเหตุ 4. ทำงานให้ดีขึ้น คือ ต้องรู้จักพัฒนาคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถและวิสัยทัศน์ในการ ทำงานให้ไดผ้ ลดีมปี ระสทิ ธิภาพสงู 5. นำคุณของนายไปสรรเสริญ คือ รู้จักนำคุณความดีของเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาไปยกย่อง สรรเสริญตามความเป็นจริงในทแ่ี ละโอกาสอันสมควร กล่าวโดยย่อ ผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา พึงปฏิบัตติ ่อกนั ดังคำนักปกครอง นักบริหาร แต่โบราณ กลา่ ววา่ “อยสู่ ูงใหน้ อนคว่ำ อย่ตู ำ่ ใหน้ อนหงาย” “อยู่สูงให้นอนคว่ำ” หมายความวา่ เปน็ ผ้ปู กครอง ผบู้ ังคับบัญชาหรอื เป็นผู้นำคนพึงดูแลเอาใจใส่ ทำนุบำรุงผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกน้องด้วยดี คือ ด้วยความเป็นธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ตามท่ีกล่าวข้างต้นนี้ เพ่ือให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา มีขวัญกำลังใจในการสนองงานได้เต็มที่อย่า ให้ลูกน้องหรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเกิดความรู้สึกท้อถอยว่าทำดีสักเท่าใดผู้ใหญ่ก็ไม่เหลียวแล ดงั คำโบราณทา่ นวา่ มปี าก ก็มีเปลา่ เหมือนเต่าหอย เปน็ ผูน้ ้อย แมท้ ำดี ไมม่ ีขลงั หรืออย่าให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความรู้สึกน้อยเน้ือต่ำใจว่าผู้ใหญ่ไม่ยุติธรรม มกั เลือกปฏิบตั ิไมเ่ สมอกนั ดงั คำที่วา่ (เรา) ทำงานท้งั วัน ได้พนั ห้า (ส่วนคนอน่ื ) เดนิ ไปเดนิ มา ได้หา้ พัน “อยู่ต่ำให้นอนหงาย” หมายความว่า ลูกน้องหรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็พึงปฏิบัติตนต่อเจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชาด้วยดี รับสนองงานท่านด้วยความยินดี ด้วยใจจริง และทำงานด้วยความเข้มแข็ง ตามหลกั ธรรม คอื “เหฏฐิมทิศ” ดังทก่ี ลา่ วมาแลว้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 73 2. เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation) ท่ีดีด้วยคุณธรรม คือ พรหมวิหารธรรมและ สงั คหวัตถุ 16. จรยิ ธรรมของความเป็นครู จริยธรรมของครู หมายถึง ความประพฤติการกระทำตลอดจนความรู้สึกนึกคิดอันถูกต้องดี งามท่ีครูควรประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนเองและลูกศิษย์เพื่อนร่วมงานและ บคุ คลทวั่ ไป 1. จริยธรรมต่อตนเอง ปฏิบัติตนเปน็ แบบอยา่ งท่ดี ี 2. จรยิ ธรรมตอ่ บุตรธิดา เล้ยี งดบู ุตรใหม้ ีความสขุ เหมาะสมกับฐานะตนเอง 3. จรยิ ธรรมต่อภริยาหรอื สามี ซื่อสตั ย์ ให้เกียรตซิ ่ึงกนั และกนั 4. จริยธรรมตอ่ บดิ ามารดา ตอบแทนพระคุณทา่ น เลี้ยงดูทา่ นให้สขุ สบาย 5. จรยิ ธรรมตอ่ ลกู ศิษย์ ให้ความรกั ต่อลูกศษิ ย์เหมอื นกับบตุ รของตน 6. จริยธรรมต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ 17. ความสำคญั ของจริยธรรมความเปน็ ครู ภาพประกอบที่ 2.22 ความสำคญั ของจริยธรรมความเป็นครู จริยธรรมเปน็ รากฐานแห่งความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงและความสงบสุขของปัจเจกชนสังคม และประเทศชาติ นับว่าจริยธรรมเป็นพ้ืนฐานท่ีสำคัญของทุกคน ถ้าคนใดขาดจริยธรรมอาจมีผล ร้ายแรงต่อตนเองและสังคม สังคมที่มีคนขาดจริยธรรมมาก ย่อมเป็นสังคมท่ีวุ่นวายไร้ความสุขซึ่ง (วศนิ อนิ ทสระ, 2518 : 6-7) กล่าวถึง ความสำคัญของจริยธรรมดังต่อไปน้ี 1. ช่วยให้ชีวิตดำเนนิ ไปดว้ ยความราบรนื่ และสงบ ไมพ่ บอปุ สรรค ถ้าคนในสงั คมทุกคนมจี ริยธรรม สงั คมเราก็จะสงบสุข 2. ช่วยให้เรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เตือนสติให้รักษาเกียรติยศชื่อเสียงของตนเอง และวงศต์ ระกูลไมใ่ หเ้ บยี ดเบียนผู้อืน่ รู้จักเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผช่ ่วยเหลอื ผูท้ ่ดี ้อยโอกาสกวา่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 74 3. ช่วยสร้างความเปน็ ระเบียบวนิ ัยให้แก่บุคคลในชาติ โดยจะเป็นตัวกำหนดการประพฤติปฏิบตั ิ ของบุคคลใหเ้ ปน็ ไปตามกฎเกณฑ์ท่ีคนส่วนใหญ่ในสงั คมยอมรบั วา่ ถูกต้อง 4. ช่วยควบคุมความเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจของคนให้ เติบโตไปพร้อมพร้อมกันปัจจุบัน ความเจริญก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยมี ีสงู มากถ้ามนุษย์นำความเจรญิ นม้ี าใชใ้ นทางที่ผิดเชน่ สร้างอาวุธมา ประหัตประหารกันจนล้มตายลงเป็นจำนวนมากโดยหวังเป็นใหญ่มีอำนาจคว ามเดือดร้อนก็จะเกิด แก่คนทวั่ ไปแต่ถ้าผ้ผู ลิตเทคโนโลยีมจี ริยธรรม เหตกุ ารณ์เหล่านน้ั กม็ นั จะไม่เกิดขนึ้ 5. มนุษย์นำความรู้และประสบการณ์ท่ีได้เล่าเรียนมาสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีมีคุณค่า ถ้ามนุษย์ นำความรู้ประสบการณ์มาใช้ในการประกอบอาชีพที่สุจริต ย่อมสร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้แก่คน ทั่วไป รวมท้งั สังคมและประเทศชาตดิ ้วย 18. บทสรปุ จริยธรรมเป็นหลักหรือแนวทางของความประพฤติของมนุษย์ในสังคม ช่วยทำให้สังคมอยู่ รวมกันอย่างสงบสุข เป็นสิ่งจําเป็นทั้งคุณค่าและประโยชน์อย่างมากมายแก่บุคคลทั้งในระดับครอบครัว ไปจนถงึ ระดบั ประเทศชาติ คุณสมบัติทางความประพฤติท่ีสังคมมุ่งหวังให้คนในสังคมน้ันประพฤติ มีความถูกต้อง ในความประพฤติ มเี สรีภาพภายในขอบเขตของมโนธรรม (Conscience) เปน็ หนา้ ทีท่ ส่ี มาชิกในสงั คม พึงประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง ต่อผู้อ่ืนและต่อสังคม ทั้งนี้เพ่ือก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองข้ึนในสังคม การท่จี ะปฏบิ ัติให้เป็นไปเช่นน้นั ได้ ผู้ปฏิบตั ิจะต้องรวู้ ่าสงิ่ ใดถกู สิง่ ใดผิด คำถามทบทวน 1. จริยธรรมท่ีครูควรมี มอี ะไรบ้างจงยกตวั อยา่ ง 2. จงยกตัวอย่างขา่ วเกีย่ วกบั ครทู ี่ปฏบิ ตั ติ นอยา่ งมจี ริยธรรม 3. เพราะเหตใุ ดจริยธรรมจงึ จำเป็นต่อการปฏิบัตติ นของบคุ คลทจ่ี ะเปน็ ครู 4. จริยธรรมแตกต่างจากคุณธรรมหรอื ไม่อย่างไร 5. จงยกตวั อย่างปัญหาทเ่ี กดิ ขึน้ จากครทู ีไ่ ร้จรยิ ธรรม เอกสารอา้ งอิง ประเภทของจริยธรรม. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://jariyathamcomputer.blogspot.com สบื ค้นขอ้ มลู เมื่อวนั ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. องค์ประกอบของจริยธรรม. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.baanjomyut.com สืบคน้ เม่ือวันท่ี 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. ทฤษฏีของจริยธรรม. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก : https://sites.google.com สบื ค้นขอ้ มูล เมอื่ วนั ท่ี 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. ทฤษฏที างจิตวิทยาท่ีเก่ียวข้องกบั จริยธรรม. [ระบบออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก : https://www.baanjomyut.com สบื ค้นเมอ่ื เมื่อวนั ท่ี 6 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 75 19. จิตวิญญาณของความเปน็ ครู วิชาชีพครูถือเป็นวิชาชีพชั้นสูงที่มีความสำคัญและ เป็นกลไกหลักในพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้แก่ประเทศชาติ ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องใช้องค์ความรู้ในสาขาวิชาเฉพาะและวิชาชีพครูร่วมกับ คุณลักษณะความ เป็นครูท่ีสะท้อนการเป็นผู้มีจิตวิญญาณความเป็นครู จึงจะสามารถสั่งสอนอบรม ศิษย์ให้เป็นคนดี คนเก่ง มี ความสุขและใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต รวมทั้งสร้างเสริมให้ผู้เรียน สามารถ พัฒนาคุณลักษณะตามท่ีสังคมต้องการได้ อย่างเต็มศักยภาพของผู้เรียนแต่ละบุคคล ดังพระบรม ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิ พลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ท่ไี ด้ พระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้ารับพระราชทานเข็มเคร่ืองหมาย เชิดชูเกียรติซึ่งมีลักษณะของ ครทู ดี่ ตี อนหนึง่ ว่า “ครูท่ีแท้น้ัน ต้องเป็นผู้กระทำแต่ความดี ต้องหม่ันขยันและอุตสาหะพากเพียร ต้องเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่และเสียสละ ต้องหนักแน่น อดกลั้น และ อดทน ต้องสำรวม ระวังความประพฤติของตนเอง ตนให้อยใู่ นระเบียบแบบ แผนอันดีงาม ต้องปลีกตัว ปลีกใจออกจากความสบาย และความสนุกรื่นเริง ท่ีไม่ควรแก่เกียรติภูมิ ต้องต้ังใจให้ ม่ันคง และแน่วแน่ ต้องซ่ือสัตย์ รักษาความจริงใจ ต้องเมตตา หวังดี ต้องวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจ อคติ ต้องอบรมปัญญาให้เพ่ิมพูนสมบูรณ์ข้ึนทั้งในด้าน วิทยาการ และความรู้ในเหตุผล” แนวคิดทฤษฎีจิตวิญญาณความเป็นครู คำว่า จิตวิญญาณ Spiritual หรือSpirituality มีรากศัพท์ มาจากคำว่า Spiritus ในภาษา ลาติน หมายถึง ลมหายใจผสมกับคำว่า Enthusiasms มาจากรากศัพท์ ของคำว่า Enthusiasm ที่หมายถึง The god within หรือพลังอำนาจศักดิ์สิทธ์ิของชีวิต (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2549) ดังน้ัน คำว่า “จิตวิญญาณ” มาจาก คำว่า “จิต” และ “วิญญาณ” โดยสรุป หมายถึง ส่งิ ที่อยใู่ นตนทำให้เปน็ บุคคลขนึ้ เปน็ ความรูแ้ จ้งความร้สู ึกตวั จิตใจ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546) นกั วิชาการไดจ้ ำแนกความหมายของจิตวิญญาณไว้เป็น 3 ประการ 1. ความเปน็ เอกัตตาหรอื ปัจเจกบคุ คล หมายถึง ความเป็นตัวตนทีม่ ีลักษณะเฉพาะของแตล่ ะ บคุ คลซ่ึงเกิดจากการหยั่งรูน้ ำไปสู่การปฏิบัติและการเกิดศรัทธาในเรอื่ งใดเร่ืองหนึ่ง (ศภุ ลักษณ์ ทัดศรี และอารยา พรายแยม้ . 2554 : 61) 2. ความมีคุณค่าสูงส่ง หมายถึง ปัญญาหลักการของชีวิต เช่น ความดี บุญกุศล คุณธรรม จริยธรรม การรู้จักผิดชอบชั่วดมี จี ติ ใจสงู ขน้ึ (ประเวศ วะสี และประสทิ ธ์ิ อุน่ หนองกงุ่ . 2555 หนา้ 12) 3. ความเป็นนามธรรม หมายถึง โครงสร้างหนึ่งของมนุษย์ที่นอกเหนือจากร่างกายและจิตใจ จับต้องไม่ได้ พัฒนามาจากความผูกพันด้านจิตใจของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งของความหวัง พลังใจที่เข้มแข็งเป็นขุมพลังของชีวิตท่ีทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข (พัชนี สมกำลัง, 2556 : 93) ประเวศ วะสี (2554 : 1) ได้ให้ความหมายของจิตวิญญาณว่า “จิตวิญญาณหรือจิตสูงนั้น หมายถึง ความดี การลดความเห็นแก่ตัวการเข้าถึงสิ่งสูงสดุ สิ่งสูงสุดทางพุทธ คือ พระนิพพานหรือปัญญา หรือวิชชา ศาสนาอนื่ หมายถงึ พระผเู้ ปน็ เจ้า” สถานะของมติ ทิ างจิตวญิ ญาณ รตั ติกรณ์ จงวศิ าล และคณะ(2557 : 1) ได้ใหค้ วามหมายของจิตวิญญาณว่า จิตวิญญาณเป็น คำศัพท์ที่ พบว่า มีความแตกต่างกันตามวัฒนธรรม ศาสนา ภาษาและประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามมี ลักษณะร่วมกันบางประการและมีความแตกต่างกันไปตามภาษาและวัฒนธรรมรวมทั้ง พบความ คล้ายคลึงสอดคล้องกันอยู่ในความต่างเหล่านั้น เร่ืองจิตวิญญาณนี้เป็นกระแสความคิดท่ีมีมาอย่าง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 76 ตอ่ เนื่องตามประวัติศาสตรข์ องมนษุ ย์ โดยมีจุดสงู สดุ ของความรทู้ ่ีใหค้ วามสำคญั กับมติ ิทางจิตวิญญาณ กค็ อื ศาสนธรรมต่าง ๆ จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปความหมายของจิตวิญญาณ ได้ว่า ลักษณะของ จิตอันสูงส่งของบคุ คล มคี วามกล้าท่ีจะยืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีความเมตตากรุณา ลดความเห็นแก่ตัว รู้จักการให้อภัย และ มีการตระหนักรู้ รวมทั้งการมีความเชื่อและศรัทธาในตัวบุคคลนั้น ๆ ด้วยจิตใจ อันบรสิ ทุ ธิ์ 20. ความหมายของจิตวญิ ญาณความเป็นครู ภาพประกอบที่ 2.23 ความหมายของจติ วญิ ญาณความเป็นครู ความหมายของจิตวิญญาณความเป็นครู คำว่า จิตวิญญาณความเป็นครู (Teacher spirituality) ในประเทศไทยน้ันเราใช้กันมากในวงการศึกษา แต่อย่างไรก็ตาม ทางด้านจิตวิทยา Snyder และLopez (2007) ได้ให้ความหมายของคำว่า Spirituality ว่าเป็น การหาหนทางท่ีนำไปสู่การเป็นที่ยอมรบั และ ภาคภูมใิ นตนเอง นอกจากน้ี PaJak และ Blaise (1989) กลา่ ววา่ จติ วิญญาณความเปน็ ครจู ะทำให้ครู ประกอบอาชีพครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครูท่ีมีจิตวิญญาณความเป็นครู มักจะมีความเป็นมิตร ดแู ลเอาใจใส่ เข้าใจ และยอมรับและอดทนต่อนกั เรยี นของตน ดังน้ัน การปฏิบัติตาม จรรยาบรรณครู ทั้ง 9 ประการ จึงเป็นหนทางสู่การพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู (ธวัชชัย เพ็งพินิจ, 2550) จิตวิญญาณ ความเป็นครูจึงเป็นความตระหนักถึงหน้าท่ีในความเป็นครูของตนเองเพื่อพัฒนานักเรียนและวิชาชีพ ดังน้ัน คำว่า จิตวิญญาณ จึงแตกต่างจาก คำว่าอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์หมายถึงหลักการที่วาง ระเบียบไว้เป็น แนวปฏิบัติเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังน้ันอุดมการณ์จึงเป็นระบบแห่งความ เชื่อในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งท่ี สมาชิกของสังคมน้ัน ๆ ยึดถือร่วมกัน อุดมการณ์ความเป็นครูจึงเป็นเป้าหมาย ที่ครูมีร่วมกนั ในวชิ าชีพครู (ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง และปยิ วรรณ วเิ ศษสวุ รรณภมู ิ, 2553 : 2) 1. ความหมายของ คำว่า ครู พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 อธิบายว่า ครู คือ ผู้สั่งสอนศิษย์ผู้ถ่ายทอด ความรู้ให้แก่ศิษย์ ในปัจจุบันคำาว่า ครูจะค่อนข้าง หมายถึง อาชีพประการหน่ึงในสังคมมากกว่าจะ หมายถึง บุคคล ครู มีรากศัพท์ เป็นภาษาบาลี มาจากคำว่า ครุ (คะรุ) ซึ่งแปลว่า หนักแน่น และ สันสกฤต ว่า คุรุ (คุ-รุ) ซ่ึงแปลว่า ผู้ชี้แสงสว่า แต่โดยความหมายในภาษาไทยก็คือ ครูผู้สอนประสิทธิ์ ประสาทความรู้ อบรมบ่มนิสยั ศิษย์ให้เป็นคนดียกระดับ วิญญาณความรู้ดีชั่วให้แยกแยะความดีความชั่ว และรู้จักการดำรงชวี ติ ในแนวทางที่ถกู ตอ้ งมคี ุณธรรม
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 77 พุทธทาสภิกขุ (2557) ไดใ้ ห้ความหมายของครู วา่ ครใู นสมัยโบราณในประเทศอินเดยี ซ่ึงเป็น เจ้าของคำนี้ เป็นคำท่ีสูงมากเป็นผู้เปิดประทางตูวิญญาณแล้วก็นำไปเดินทางวิญญาณไปสู่คุณธรรม เบื้องสูงเป็นเร่ืองทางจิตโดยเฉพาะมิได้หมายถึงเร่ืองวัตถุหรือมรรยาทหรือแม้แต่อาชีพ จึงมีน้อยมาก ครนู ั้นมักจะไปทำหน้าที่เปน็ ปุโรหิต ของพระราชาหรอื อิสระชนซึ่งมอี ำนาจวาสนา มหี น้าที่การงานอัน ใหญ่หลวง คำว่า ครู มักแปลกนั มาแต่เพยี งว่าเป็นผู้ควรเคารพหรือมีความหนกั เป็นหน้ีอยู่เหนือศีรษะ เป็นเจ้าหน้ีอยู่บนเหนือศีรษะของทุกคน แต่เดี๋ยวน้ีกลายมา เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอย่างหน่ึง จาก คำอธิบายดังกล่าวนั้นครูในอดีตเป็นตำแหน่งที่สังคมยกย่องเป็นผู้เปิดประตู ทางวิญญาณ วิญญาณ ศิษย์ทั้งหลายท่ียังปิดด้วยอวิชชา เป็นการช่วยให้ศิษย์ทำลายอวิชชาท้ังหลายเพ่ือได้พัฒนาความเป็น มนุษย์ มีชวี ิตจติ ใจทส่ี ูงกว่าสัตวท์ ้ังหลายน้นั เอง ในแงข่ องความหมายนี้ ธรรมนันทิกา แจ้งสว่าง (2554 : 7) ได้ให้ความหมายของครู ว่าเป็นบุคลากรวิชาชีพที่ทำ หน้าท่ีในการ ส่ังสอนศิษย์หรือถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์มีหน้าท่ีหลักทางด้านการเรียนการสอนและ การส่งเสริมการ เรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ในสถานศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรอบรู้ เจริญก้าวหน้าและพัฒนาในทุก ๆ ด้าน รวมท้ังให้เป็นผู้ท่ีมีศีลธรรม จริยธรรม ตามที่สังคมปรารถนา จากความหมายของครูที่ได้กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปความหมายของครูได้ว่า ครูเป็นบุคคล ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ อบรมบ่มนิสัยศิษย์ให้เป็นคนดี โดยการส่ังสอนให้รู้จักการแยกแยะความดี ความชวั่ และรู้จักการ ดำรงชีวติ ในแนวทางท่ถี ูกต้องมีคณุ ธรรม ภาพประกอบที่ 2.24 ความหมายของจิตวญิ ญาณความเปน็ ครู เมื่อนำความหมายของจิตวิญญาณ มารวมกับคำว่าครู สรุปได้ว่า จิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง จิตสำนึกตาม กรอบคุณธรรมจริยธรรมซ่ึงทำให้เกิดการใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์ ถ่ายทอด ปลูกฝังและเป็นแบบอย่างท่ีดีทั้งของศิษย์ เพื่อนร่วมงานและคนในสังคม นอกจากน้ียังมีนกั วิชาการได้ ใหค้ วามหมายของคำาว่า จติ วญิ ญาณความเป็นครู ไวด้ งั นี้ ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง และปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ (2553 : 37) ได้ให้ความหมายของจิต วิญญาณ ความเป็นครูว่าเป็นคุณลักษณะของบุคคลในการมีจิตใจที่ปฏิบัติตนเพื่อนำไปสู่การเป็นท่ี ยอมรับและภาคภูมิใจใน การถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคคลอ่ืน ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวประกอบด้วย ความรับผิดชอบในหน้าที่ความรักในอาชีพ ความรักและเมตตาเพื่อนมนุษย์ ความเสียสละ ความอดทน ความยุติธรรมและการเป็นแบบอย่างทด่ี ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 78 ธรรมนันทิกา แจ้งสว่าง (2554 : 8) ได้ให้ความหมายของจิตวิญญาณความเป็นครูว่าเป็น คุณลักษณะทางจิตและพฤติกรรมการทำงานที่สะท้อนถึงการเป็นครูที่ดี จิตวิญญาณความเป็นครูที่ ปรากฏเป็นคุณลักษณะทางจิตนี้จะเก่ียวข้องกับความคิดท่ีมีต่อวิชาชีพครู ประกอบด้วย การเห็นคุณค่า ของบทบาทหน้าท่ี การมีศรัทธาในวิชาชพี และยึดม่ันต่ออดุ มการณ์ในการทำงานเป็นครู มีความเขา้ ใจ ทั้งตนเองและผู้อ่ืน ในขณะท่ีจิตวิญญาณความเป็นครูที่ปรากฏเป็นพฤติกรรม ประกอบด้วย การปฏิบัติ ต่อนักเรียนด้วยความเมตตา ชว่ ยเหลือ เสยี สละ อดทน การเป็นแบบอยา่ งที่ดีรวมทงั้ การพฒั นาตนเอง โดยการแสวงหาความรเู้ พ่ิมเตมิ สุพัตรา ไวทยะพิศาล (2554 : 8) กล่าวถึง จิตวิญญาณความเป็นครู คือ ครูที่ทำแต่ความดี คือ ต้องขยันหมนั่ เพียรและอุตสาหะพากเพียร ต้องเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่และเสียสละ ต้องหนักแน่นอดทน และ อดกลน้ั สำรวม ระวังความประพฤตปิ ฏบิ ตั ิของตนให้อยู่ในระเบียบแบบแผนทด่ี งี ามรวมท้งั ต้องซื่อสตั ย์ สุพิชญา โคทวี(2557 : 50) ได้กล่าวว่า จิตวิญญาณความเป็นครู คือ การเป็นครูด้วยใจรักมีความ เมตตาตอ่ ศิษย์ มีความอดทน มีคุณธรรมจรยิ ธรรมและเป็นผู้ที่มีความเสียสละเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม จุมพล พูลภัทรชีวิน (2558 : 9) ให้ความหมายของจิตวิญญาณครูและจิตวิญญาณของผู้ท่ี ประกอบวิชาชีพอ่ืน หมายถึง จิตสำนกึ ความคิด ทัศนคติ พฤติกรรมการแสดงออกที่ดี ลุ่มลึกสงบเย็น ตามกรอบของจริยธรรม คุณธรรม ค่านิยม จารีตประเพณี วัฒนธรรม และความคาดหวังของสังคม อันเป็นองค์รวม ธาตุแท้ของบุคคลผู้ใฝ่รู้ ค้นหา สร้างสรรค์ ถ่ายทอด ปลูกฝัง และเป็นแบบอย่างท่ีดี ของสังคมซงึ่ มขี น้ึ ไดใ้ นทกุ คน ธวัชชัย เพ็งพินิจ (2558 : 1) กล่าวว่า จิตวิญญาณครูมีคุณลักษณะที่บ่งบอกให้เห็นถึง พฤตกิ รรมการก้าวข้ามขีดจำกดั ของบริบททางสงั คมและส่ิงแวดลอ้ มของบุคคล ในการก้าวเขา้ สู่มิติทาง วญิ ญาณทีเ่ ปิดกวา้ งต่อความคิด จติ ใจ มโนธรรมและภาพมายาคติของวาทกรรมแห่งอัตลักษณท์ ้ังปวง กล่าวโดยสรุปจิตวิญญาณความเป็นครู หมายถึง คุณลักษณะท่ีแสดงถึงพฤติกรรมที่เป็น ประจักษ์ น่าช่ืนชมและเป็นที่ยอมรับในการปฏิบัติหน้าท่ีครู ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการด้วย คณุ ธรรม จริยธรรม และความปรารถนาดี มคี วามเข้าใจที่จะพัฒนาศิษย์ตามศักยภาพด้วยความจรงิ ใจ เสยี สละอย่างมคี วามสขุ 21. องคป์ ระกอบของจิตวิญญาณความเป็นครู จากการศึกษาเอกสารและผลการวิจัยท่ีเกีย่ วขอ้ งจิตวิญญาณความเปน็ ครมู ีองค์ประกอบและ ตัวบ่งชี้จิต วิญญาณความเป็นครู ดังนี้ กิตินันท์ โนสุและเสริมศักด์ิ วิศาลาภรณ์ (2558 : 60-61) ได้ กลา่ วถงึ องค์ประกอบของจิตวิญญาณความ เปน็ ครู ดังนี้ ภาพประกอบท่ี 2.25 องคป์ ระกอบของจติ วิญญาณความเปน็ ครู
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 79 1. องค์ประกอบด้านการพฒั นาตนเอง ประกอบด้วย 1) การใฝ่หาความรู้ เพ่อื พัฒนาตนเองอยเู่ สมอ 2) มีความขยันหมนั่ เพยี รแสวงหาความรใู้ หม่ ๆ 3) มีการแลกเปล่ยี นเรียนร้กู ับผ้อู น่ื เพ่ือการพฒั นาตนเองทุกครัง้ ท่มี ีโอกาส 4) มกี ารพฒั นาตนเองเพอื่ สร้างความก้าวหน้าในวชิ าชพี จนไดร้ ับอนุมตั ใิ ห้มหี รอื เลอื่ นวิทยฐานะ 5) มีความพยายามแสวงหาโอกาสเขา้ รับการอบรมเพอ่ื นำความรมู้ าพัฒนางานในหน้าที่ให้ เจริญกา้ วหนา้ 6) มกี ารพฒั นางานในวิชาชพี หรอื ได้รับการยกย่องชมเชย หรือรางวัลท่ีเกี่ยวกับวิชาชพี ครู 7) มีการสรา้ งสรรค์ผลงานทางวชิ าการเพื่อบริการสงั คม 8) มีความกระตอื รอื ร้นในการคน้ คว้าหาความร้เู พิ่มเติมเพ่อื พัฒนาศิษย์ 9 มกี ารพฒั นาตนเองใหท้ ันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สงั คมและการเมืองอยู่เสมอ 10) มีการสำรวจและปรบั ปรงุ แกไ้ ขตนเองอยู่เสมอ 2. องค์ประกอบดา้ นความมเี มตตาในการปฏิบตั งิ าน ประกอบด้วย 1) การยอมรบั ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความคิด และความเชอื่ 2) การสนับสนุนความคิดรเิ ริ่มในทางที่ถูกตอ้ งของเพอื่ นรว่ มงาน 3) การใชแ้ นวทางในการแกป้ ัญหา โดยวิธกี ารทางปญั ญาและสันติวิธี 4) ปฏบิ ัติงานโดยอาศยั หลักแห่งเหตุผล ปราศจากอคติ 5) การยอมรบั ผลทเ่ี กดิ จากการกระทำของตน ด้วยความเตม็ ใจ 6) มคี วามเป็นประชาธปิ ไตย 7) การใชห้ ลักการและเหตุผลในการตัดสินใจแกป้ ัญหา 8) การยอมรับความคิดท่ีมเี หตผุ ลโดยคำนงึ ถึงประโยชนส์ ว่ นรวมเปน็ หลัก 9) ปฏิบัตงิ านโดนไมเ่ พกิ เฉยในเหตุการณ์ทจี่ ะทำให้เกดิ ผลเสยี ต่องานในหน้าที่ 3. องค์ประกอบดา้ นความคดิ รเิ ริ่ม สร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1) มกี ารติดตามและประเมนิ ผลผูเ้ รยี นในรปู แบบที่หลากหลาย 2) การใชแ้ หลง่ เรียนรูท้ งั้ ในและนอกสถานศึกษามาเปน็ สว่ นหน่ึงในการจัดการเรียนการสอน 3) การแกไ้ ข ปรบั ปรุง ขอ้ บกพร่องที่เกิดข้ึนจากการเรียนการสอน 4) การใชผ้ ลการวเิ คราะห์ วจิ ยั เพื่อพฒั นางานในหนา้ ท่ีอยูเ่ สมอ 5) การสร้างโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ท่ีได้รับจากการเรียนรู้กับประสบการณ์ ชวี ติ จริง 6) การคิดค้นการสรา้ งส่อื นวตั กรรม การเรียนการสอนในรูปแบบใหมๆ่ 7) การแสวงหาแนวทาง วิธกี ารปรบั ปรงุ งานท่ีรับผิดชอบอยูเ่ สมอ 8) มีความกล้า มุ่งมนั่ ในการกระทำสิ่งตา่ ง ๆ ด้วยวธิ ีการที่แตกตา่ งจากเดิม 4. องค์ประกอบดา้ นการปฏิบัตติ ามจรรยาบรรณวิชาชีพ ประกอบด้วย 1) การใหค้ วามรว่ มมอื ในกจิ การของสถาบนั เปน็ อยา่ งดี 2) การอุทศิ ตนเพื่อประโยชน์ต่อวชิ าชพี ครู 3) มีความตัง้ ใจปฏิบตั ิงานเพอื่ ให้วชิ าชพี ครเู ปน็ ทย่ี กย่อง 4) มคี วามจริงใจในความรบั ผดิ ชอบต่อวชิ าชพี ครู 5) การให้เกยี รตแิ กผ่ ู้ร่วมวชิ าชีพครู
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 80 6) การธำรงเกียรติแกผ่ รู้ ว่ มวชิ าชีพครู 5. องค์ประกอบด้านวิรยิ ะ อตุ สาหะ ประกอบด้วย 1) มีความขยันตงั้ ใจในการทำงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 2) มีความกระตือรอื รน้ ในการทำงาน 3) มคี วามเตม็ ใจอทุ ิศเวลาในการปฏบิ ตั หิ น้าท่ี 4) การรู้จกั หน้าทแี่ ละปฏบิ ตั หิ นา้ ท่อี ยา่ งเต็มความสามารถ 5) ปฏิบัติงานการสอนตรงเวลาเสมอๆ 6. องค์ประกอบด้านความเมตตา กรณุ า ประกอบดว้ ย 1) มคี วามปรารถนาดตี ่อศษิ ย์ 2) มคี วามเอ้อื เฟื้ออาทรต่อศิษย์ 3) มคี วามเมตตาต่อศิษย์ 4) การยึดม่ันในคุณธรรม จรยิ ธรรม ตามหลักศาสนา 7. องคป์ ระกอบด้านความซือ่ สตั ยต์ ่อวชิ าชีพ ประกอบด้วย 1) การให้เกยี รติผู้อน่ื ทางวชิ าการ โดยไม่นำผลงงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นของตน 2) มีความตระหนักในคุณค่าศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ โดยไม่คำนงึ ถึง เชอื้ ชาติ ศาสนา และสถานภาพของบุคคล 3) ไม่ยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทจุ ริต 4) ไมแ่ สวงหาผลประโยชน์จากศิษยใ์ นการปฏิบัติหน้าท่ี 5) ตอ้ งปฏบิ ัตติ อ่ ศษิ ยท์ กุ คนด้วยความเสมอภาค 8. องคป์ ระกอบด้านความดี ประกอบดว้ ย 1) มคี วามสุภาพอ่อนโยน 2) มคี วามเอื้อเฟือ้ เผอ่ื แผ่ ชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื 3) มีความเสยี สละ 4) มคี วามเหน็ อกเหน็ ใจผู้อน่ื 9. องคป์ ระกอบด้านความรัก ศรัทธาในวิชาชพี ประกอบด้วย 1) มคี วามรักในวิชาชพี ครูยิ่งกว่าวชิ าชีพใด 2) มคี วามศรัทธาในวิชาชีพครูมากกว่าวิชาชีพอนื่ 3) มีความมุ่งมัน่ ต้ังใจมาเป็นครเู ปน็ อนั ดบั แรก 10. องคป์ ระกอบดา้ นการปฏิบัติการสอน ประกอบดว้ ย 1) การไดร้ ับการยกย่องนับถือในเชิงภูมิปัญญาและเชาวน์ไหวพรบิ ในด้านการอบรมส่งั สอน 2) การคิดค้น วธิ กี ารจัดการเรยี นการสอนใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ 3) สามารถประยุกต์ความรู้ที่มีอยู่ จัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพ ของผ้เู รยี น ณฎั ฐภรณ์ หลาวทอง และปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ (2553 : 46-47) ได้กล่าวเกี่ยวกับองค์ประกอบ ของจติ วิญญาณความเปน็ ครู ประกอบดว้ ย 4 องค์ประกอบ ดังน้ี องค์ประกอบที่ 1 การปฏิบัตหิ น้าที่ครูเป็นการปฏิบัตหิ น้าท่ีทีไ่ ด้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ ได้แก่ การอบรมส่ังสอนศิษย์โดยคำนึงถึงการพัฒนาศิษย์ได้อย่างเต็มตามศักยภาพแนะ นอกจากนี้ยัง ต้องมีความรกั ในอาชพี และปฏิบตั ติ นเปน็ แบบอย่างทด่ี ีแกผ่ รู้ ่วมอาชีพ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 81 องคป์ ระกอบท่ี 2 การปฏิบตั ิต่อศิษย์โดยเสมอภาคเปน็ การปฏิบัติตอ่ ศิษย์ทุกคนอยา่ งยุติธรรม และมีเหตุผลโดยไม่คำนงึ ถึงอามสิ สนิ จา้ งหรือความสมั พนั ธ์ส่วนบุคคล องค์ประกอบที่ 3 ความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ เป็นความเชื่อมั่นและศรัทธาวา่ มนุษย์ ทุกคนเป็นคน ดี และมีศกั ยภาพในการเรียนร้แู ละพัฒนาตนเอง องค์ประกอบท่ี 4 การเสียสละในงานครู เป็นการปฏิบัติหน้าท่ีสอนศิษย์อย่างเต็มใจโดยไม่ คำนงึ ถึง ประโยชนส์ ่วนตนเปน็ หลกั อมรรัตน์ แก่นสาร (2558) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาตัวบ่งช้ีจิตวิญญาณความเป็นครูของครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน พบว่า จิตวิญญาณความเป็นครูของครู สังกัด สำนกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานประกอบดว้ ย 7 องคป์ ระกอบหลัก คือ 1) การปฏิบตั ิตามบทบาทหน้าท่ี 2) การมีมนษุ ยสมั พันธ์ท่ีดีและมีความเป็นกัลยาณมิตร 3) การเปน็ แบบอยา่ งที่ดี 4) การมจี ิตวทิ ยาในการสอน 5) ความรัก และศรัทธาในวชิ าชีพ 6) การมีคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม 7) ความผูกพันระหว่างครูกับศษิ ย์ จากองค์ประกอบของจิตวิญญาณความเป็นครูข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า จิตวิญญาณความ เป็นครูมี องค์ประกอบ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) คุณลักษณะส่วนตัวและการมีคุณธรรม จริยธรรม ได้แก่ ความวิริยะอุตสาหะ เมตตากรุณา ซ่ือสัตย์ มีเหตุผล 2) การตระหนักรู้และปฏิบัติตนบนวิถี ความเป็นครู ได้แก่ การปฏบิ ัติตนตาม จรรยาบรรณวิชาชีพครู การทำงานเพ่ือเด็ก การเป็นแบบอย่าง ท่ีดี 3) รักและศรัทธาในวิชาชีพครู 4) ความ เชี่ยวชาญในการสอน และ 5) การพัฒนาตนเองอย่าง ตอ่ เนอ่ื ง แนวทางการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู นักวิชาการได้เสนอแนวทางท่ีเก่ียวข้องกับการ พัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู ดังน้ี ธวัชชัย เพ็งพินิจ (2558 :1) กล่าวถึง วิธีปฏิบัติสู่ความถึงพร้อม แห่งจิตวิญญาณที่ช่วยในการ เสริมสร้างความ ดีอันเจริญงอกงามให้มีข้ึนทั้งต่อบุคคลและสังคม อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. มีความเจริญและสมดุลทั้งด้าน IQ และ EQ (I.Q. ย่อมาจาก Intelligence Quotient หมายถึง ความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญา ส่วน E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์) ซ่ึง IQ น่ันเกิดจากการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ พินิจ พิจารณา สร้างความรู้ให้มีข้ึนในตัวเอง ส่วน E.Q น่ันเกิดจากการฝึกฝนและพัฒนาภายในตัวตนของ บุคคล ซึ่งคนท่ีมี IQ สูงหรือมีอัจฉริภาพเพียงอย่างเดียวนั้นอาจไมป่ ระสบความสำเร็จในชีวิตได้เพราะ ภาวะสังคมที่เป็นพิษทำให้ 18 จิตใจคนแปรเปล่ียนไป สมอง เฉื่อยชาไม่รู้จักจัดระบบให้กับตัวเอง ทั้งน้ีคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต EQ มักจะนำ IQ ดังน้ัน ในความเป็นครูทั้งสองน้ีต้องสมดุลกัน มิฉะน้นั จะเปน็ ไปไดย้ ากท่ีจะพัฒนาผู้อนื่ ได้ 2. ยึดหลักศาสนธรรม ท้ังนี้เพราะศาสนธรรมเป็นหลักพื้นฐานในการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 มรรค 8 (อัฏฐังคิกมรรค) พรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 หิริ โอตัปปะ (ความละอาย เกรงกลัว ต่อบาป) เป็นต้น เพ่ือให้การดำเนินชวี ิตไปด้วยความสุขุมลุ่มลกึ มีสติ และขดั เกลาจิตใจให้มี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 82 ความนบน้อม อ่อนโยน เมตตาจิต มี จิตประภัสสร เช่ือมั่นในเรื่องผลแห่งกรรม (การกระทำ) ดังพุทธ พจนท์ ี่ว่า “ธม. โม สุจิณ. โณ สขุ มา วหาติ ผู้ ประพฤตดิ ีแลว้ ยอ่ มนำความสขุ มาให”้ 3. เคารพตนเองและผอู้ ่ืน เชื่อมั่นในส่ิงที่ทำมองเห็นคุณค่าและศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์ เช่ือว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีศักยภาพท่ีสามารถพัฒนาได้ รวมท้ังมีสำนึกดีต่อสังคม มุ่งม่ันในการทำความดีใน ทุกขณะ มองโลกในแง่ดี ศรทั ธาในพุทธพจนท์ ่วี ่า “ทำดีไดด้ ี ทำช่วั ได้ช่วั ” 4. ใช้ชีวิตอยู่ท่ัวจักรวาล มีคำกล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวท่ีอยู่ท่ัวจักรวาล ท้ังนี้เพราะ มนุษย์มีอดีต มีปัจจุบันและมีอนาคต ดังน้ัน ครูจะต้องเช่ือมโยงทั้ง 3 มิติน้ีเข้าด้วยกันโดยนำเอาอดีต มาเรียง ร้อยประสานเข้ากับปัจจุบันแล้วมองภาพอนาคต (Scenario) ที่พึงปรารถนาให้เห็นโดยมี สมมตฐิ านว่าอนาคตทด่ี ีมาจากการวางรากฐานของปัจจุบันท่ีพัฒนามาจากประสบการณ์ของอดีต 5. คร่ึงหนึ่งของชีวิตอุทิศเพ่ือสังคม คนเราไม่ได้เกิดมาด้วยตัวคนเดียวโดด ๆ แต่ชีวิต คือ ผลรวมของความ มุ่งมั่นจากสิ่งรอบตัว เพราะฉะน้ันชีวิตแต่ละชีวิตต่างติดหน้ีสังคมอยู่ครึ่งชีวิต การ กระทำที่ยุติธรรมทั้งต่อตนเองและบุคคลอ่ืน คือ การแบ่งผลประโยชน์คร่ึงหนึ่งของชีวิตคืนให้สังคม เปิดกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของตัวเองให้พ้น กรอบของความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่น และ การไขว่คว้าเพ่ือสนองตัณหา เฉพาะในช่วงชีวิตของตัวเองต้องระลึกอยู่เสมอว่ามนุษย์ชาติน้ันมี ระยะเวลาที่ยาวไกลมากนักเราในฐานะ “ผู้มาเยือน” จะหลงเหลืออะไรไว้บ้าง นั่นจะเป็นคำ “ขอบคุณ” หรือ “ประณาม” 6. ครู คือ ผู้สร้างค่านิยมกระแสสังคม การกระทำใด ๆ จะต้องใส่ใจและรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่เพื่อ สนองตอบต่อมายาคติของตนเองเท่าน้ัน ท้ังนี้เพราะบทบาทของครูนั้นมีอิทธิพลต่อการ กำหนดค่านิยม ทัศนคติ และกระแสสังคมอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ดังนั้นตัวอย่างท่ีดีย่อมมีความสำคัญ เสมอเหตทุ จ่ี ิตวญิ ญาณความเปน็ ครเู ปน็ คุณลกั ษณะสำคญั ของครูมอื อาชีพ ศตวรรษท่ี 21 เป็นยุคแห่งเทคโนโลยี จึงทำให้วิธีเรียน วิธีสอนและสื่อการสอนเปล่ียนแปลงไป ครูจะใช้วิธีสอนแบบเดิมที่มีครูเป็นบุคคลสำคัญ (Teacher-centered Approach) คือ การถ่ายทอด ความรู้ ความจำจาก ครูไปสู่นักเรียน แบบที่เคยทำมาในอดีตไม่ได้ เพราะการเรียนของคนในปัจจุบัน เกิดข้ึนได้ทุกที่ ทุกเวลาและไร้ ขอบเขตจำกัด ดังน้ันครูจำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้สามารถสร้างหรือ ผลิตส่ือการสอนท่ีใช้วิทยาการสมัยใหม่และสามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้นานข้ึน เช่น สื่อผสม (Multimedia) เป็นต้น ครูต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตนมาเป็น “ผู้สนับสนุนหรือผู้ เอื้ออำนวย” (Facilitator) ให้นกั เรยี นเกดิ การเรยี นร้โู ดยนักเรียน มีบทบาทในการแสวงหาความรู้ดว้ ย ตนเอง เพ่ิมมากขึ้นหรือท่ีเรียกว่าการสอนแบบยึดนักเรียนเปนสำคัญ (Student-centered Approach) ครทู ี่ปรบั เปล่ียนความคิดและ วิธีทำงานได้ดังกล่าวข้างต้น เชื่อแน่ว่านักเรียนจะมีผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียนเพ่ิมขึ้นอย่างชัดเจนและครูก็จะได้ชื่อว่า “เป็นมืออาชีพ” อย่างไรก็ตามการมีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนเพิ่มขึ้นก็ มิได้เป็นเป้าหมายหลักประการเดียวของการจัดการศึกษาของชาติ หากแต่ต้องมี “คุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค”์ หรือ “เปน็ คนด”ี อกี ดว้ ย อาชีพครูเป็นอาชีพท่ีทำงานกับคนเพ่อื พัฒนาหรือยกระดับศักยภาพและสภาพจิตของคนการ สร้างคนดี คนที่มีลักษณะพึงประสงค์ จำเป็นต้องมีแบบอย่าง (Model) ท่ีดีต้องใช้เวลาหล่อหลอม ปรับแต่งยาวนานต่อเน่ือง ด้วยจิตท่ีมุ่งมั่นอดทน ไม่ละท้ิงอุดมการณ์ หรือหน้าท่ีในการพัฒนาศิษย์ ด้วยเหตุดังกล่าว ครูมืออาชีพจึงต้องเป็นมืออาชีพทั้งด้านวิชาการและด้านการปฏิบัติหน้าที่ด้วย จิตวิญญาณในอันที่จะพัฒนาศิษย์อย่างรอบด้าน เพื่อให้เป็นคนดี คนเก่ง และสามารถดำรงชีวิตได้ อยา่ งมคี วามสขุ การท่ีจะเป็นครูมืออาชพี นน้ั ใจหรอื จติ และวญิ ญาณจะตอ้ งมาเปน็ อันดับแรก เมอื่ มีใจ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 83 ให้กับงานสอนงานพัฒนานักเรียนก็จะเกิดความรัก ความศรัทธาและการยึดมั่น ในอุดมการณ์แห่ง วิชาชีพ การพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเน่ืองให้มีความรู้และทักษะในการสอน ประพฤติตวั ดี เป็นแบบอยา่ ง ท่ีดี เอาใจใส่ดูแลและหวังดีต่อศิษย์ การปฏิบัติ ดังกล่าวเรียกได้ว่าการปฏิบัติด้วยจิตวิญญาณความ เป็นครูเป็นท่ีทราบกันดีว่าการปฏิบัติหน้าท่ีด้วยใจ ด้วยจิตและวิญญาณจะทำให้ เกิดความตระหนัก และมุง่ มัน่ ท่มุ เทในการทำงาน พยายามรักษา เกียรตแิ ละศกั ดิ์ศรีแหง่ ตนและวชิ าชพี (วัลนิกา ฉลากบาง, 2559 : 3) ซึ่ง สอดคล้องกับกัญญา โพธิวัฒน์ (2554) ที่ว่า สมรรถนะที่ สำคัญของครูมืออาชีพคอื ความศรทั ธาในวิชาชีพครู การมคี วามสุขในการสอน การมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง และการแสวงหาความร้ใู หม่อยู่เสมอ ดังนั้น จิตวิญญาณความเป็นครูจึงเป็นคุณลักษณะสำคัญของครู มืออาชีพ 22. คุณสมบัตขิ องครูตามแนวคิดจิตวิญญาณความเปน็ ครู ภาพประกอบที่ 2.26 คุณสมบตั ิของครูตามแนวคิดจติ วิญญาณความเปน็ ครู ครูต้องเด่นในเร่ืองวิชาการ รู้ลึก รู้จริง รู้กว้าง ครูต้องมีศิลปะในการถ่ายทอดความรู้และครู ต้องมีใจเมตตา ต่อศิษย์ รักศิษย์ดังลูก ซึ่ง สุเทพ ธรรมะตระกูล (2555, หน้า 24-27) ได้กล่าวถึง คุณสมบตั ิ ดงั น้ี 1. บุคลิกภาพดีการมีบุคลิกภาพท่ีดี ไม่ว่าจะประกอบอาชีพการงานใดก็เปรียบเสมือนได้ ประสบความสำเร็จไปแล้วคร่ึงหนึ่ง อาชีพครูก็เป็นอีกอาชีพหน่ึงที่ต้องอาศัยบุคลิกภาพ เพ่ือก้าวไปสู่ ความเป็นครูมืออาชีพ ท่ีกล่าวว่า บุคลิกภาพสามารถนำไปสู่การเป็นครูมืออาชีพได้นั้น ก็เพราะว่า นอกจากบุคลิกภาพที่ดีจะสามารถสร้างความม่ันใจให้กับตัวครูเองแล้ว ยังสามารถสร้างความประทับใจ แรกพบ (First impression) ใหก้ บั ผู้พบเห็น โดยทั่วไปอีกดว้ ย โดยครกู ับบุคลิกภาพท่ีดจี ะต้องเร่ิมจาก การพฒั นาส่วนตา่ ง ๆ คอื 1) การพัฒนาพฤตกิ รรมภายนอกหรอื รปู สมบตั ิ ได้แก่ รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย กิริยาท่าทาง น้ำเสียงและการพูด 2) การพัฒนาพฤติกรรมภายในหรือคุณสมบัติ ประกอบด้วย ส่วนต่าง ๆ ดังน้ี ความเชื่อมั่นในตนเอง รวมไปถึงการมีความเช่ือมั่น ในการแต่งกายและการวางตัวที่ เหมาะสม ความแนบเนียน บางครั้งครูจำเป็นตอ้ งใช้จิตวิทยาในการพูดกับนักเรียน ความกระตือรือร้น ความไว้วางใจได้ ครูต้องมีความจำท่ีดี ความยับยั้งชั่งใจ ดังน้ัน บุคลิกภาพทีดีกับอาชีพครูจึงขาดกัน เสียมิได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าครูคนใดมีบุคลิกภาพท่ีดีก็สามารถ ประสบความสำเร็จไปแล้วคร่ึงหนึ่ง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 84 ที่เหลืออีกครึ่งหน่ึงก็น่าจะเป็นความรู้ความสามารถเฉพาะตัวของบุคคลน้ัน ๆ ที่ จะหลอมรวมกัน เพือ่ สรา้ งความสำเรจ็ ในชีวติ ให้กบั ตนเอง 2. มีความเมตตาต่อศิษย์ครูคือผู้มีเมตตาความเมตตาเป็นคุณธรรมที่สำคัญอีกประการหน่ึง ของครทู ่ีจะขาดเสียมิได้ ครูที่สอนศษิ ยด์ ้วยความเมตตาจะอยู่ในดวงใจของศษิ ย์ทุกคน 2.1 เมตตาต่อศิษย์ ครูควรมีเมตตาตอ่ ศิษย์ทกุ คน และควรถอื ว่าศิษย์ทุกคนเปน็ เสมือนลูก เสมือนหลาน ความเมตตาที่มีต่อศิษย์จะทำให้ครูมีความกระตือรือร้นในการสอน และสอนด้วย ความสุขเพราะในดวงจิต ของครูมีแต่ความปรารถนาดีท่ีต้องการให้ศิษย์มีความรู้ และมีอนาคตที่ดีใน ภายภาคหน้า ครูท่ีมีเมตตาจะพูดกับ ศิษย์ด้วยคำพูดท่ีมีความไพเราะสุภาพ และอ่อนโยน และจะให้ กำลังใจศษิ ยอ์ ยู่เสมอ 2.2 เมตตาต่อญาติ ครูควรมีเมตตาต่อญาติพี่น้องด้วยการช่วยเหลือ อนุเคราะห์และ สนับสนุนให้ทุกคน มีการศึกษา มีความก้าวหน้าในชีวิตและการงาน และช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาทบาดหมางระหว่างเครือ ญาติ มีเมตตาต่อญาติพี่น้องจะทำให้ครูเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ และของคนทุกคน 2.3 เมตตาต่อมิตร โดยธรรมชาติของอาชีพครู ครูจะมีแต่ผทู้ ี่เป็นมิตรทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ดังน้ัน ครูจึงต้องมีเมตตาต่อมิตรทุกคน ด้วยการช่วยเหลือ การให้คำแนะนำและอื่น ๆ ตามอัตภาพ การมีเมตตาต่อมิตรจะบ่งบอกถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดีของครู ทำให้ครูเป็นที่รักและเคารพแก่ศิษย์ แกบ่ ุคคลทว่ั ไป 2.4 เมตตาต่อศัตรู การมีเมตตาต่อศัตรูถือเป็นคุณธรรมข้ันสูงท่ีครูทุกคนพึงมีเนื่องจากครู เปน็ ปูชนียบุคคล หมายความว่า เป็นบุคคลที่น่านับถือที่สำคัญ คือ ครูเปน็ ตวั อย่างท่ีดีของศิษย์หากครู เป็นคนวู่วาม ใจร้อน และชอบผูกพยาบาท ครูก็จะเป็นตัวอย่างท่ีดีไม่ได้การมีเมตตา ต่อศัตรู คือ การ ไมโ่ กรธ ไมผ่ ูกพยาบาท และการให้อภัย 2.5 เมตตาต่อคนทุกคน เม่ือครูคือผู้ท่ีมีหนา้ ทอ่ี บรมสั่งสอน ครจู ึงต้องมีความเมตตาตอ่ คน ทุกคนโดยไม่เลอื กช้ันวรรณะบทบาทของครูคอื บทบาทในการเผยแพรค่ วามเมตตาต่อ ชาวโลกทงั้ มวล 3. รอบรู้ในสายวิชาชีพ ครูผู้สอนมีความรอบรู้ในทุกศาสตร์ เข้าใจ มีความเปน็ ครูอยู่ในตัวตน มีความเป็น ครูที่มีเจตจำนงอยากสอนศิษย์ และเป็นมืออาชีพที่สามารถช้ีชัดในวิชาการ และครูต้อง สามารถชวนลูกศิษย์ให้ลงมือปฏิบัติได้ และต้องรู้จักเสียสละ ทุ่มเท และประยุกต์งานต่าง ๆ เพ่ือให้ นวตั กรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา ท้งั น้คี รูตอ้ งกล้าที่จะให้โอกาสศิษย์ ต้องกล้าหาญ ในเชงิ จรยิ ธรรมที่สำคัญตอ้ ง ปลกู ฝังให้ศิษยร์ ่าเริง เบกิ บาน แจ่มใส 4. เทคนคิ การสอนดเี ทคนิควิธีการสอนและการปฏบิ ัติตนทด่ี ี 10 ประการ สำหรบั ครมู ีดังน้ี 4.1 ให้ความรักแก่นักเรยี นพร้อม ๆ ไป กับเนื้อหาวชิ าเรียน ครูควรแนะนำวิธีเรียนรใู้ ห้แก่ เด็กดูแลและเอาใจใส่นักเรียนทำให้การเรียนการสอนน้ันมีความหมายขึ้นมาจนเกิดเป็นความผูกพัน ระหวา่ งครกู ับศษิ ย์ 4.2 สอนให้นกั เรยี นเชื่อมโยงกับชีวติ จริงและฝกึ ให้นักเรียนคิดให้บ่อยทส่ี ุดให้ผู้เรียนเข้าใจ ว่าความรู้ ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในเฉพาะหนังสือเท่านั้น ครูยังควรเช่ือมช่องว่างระหว่างทฤษฎีและการ ปฏิบัติทำให้นักเรียนเกิดความชำนาญในเร่ืองที่นักเรียนสนใจ โดยครูให้คำปรึกษาช่วยเหลือในการ ปฏบิ ตั ิ และเชื่อมโยงสภาพชีวติ ในชมุ ชนของนักเรยี นกับความรู้ท่ศี ึกษาในโรงเรียน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 85 4.3 ตั้งใจฟังนักเรียน ครูต้องรู้จักต้ังคำถามสามารถตอบข้อสงสัยแก่นักเรียนได้ และควร ระลึกอยู่เสมอว่านักเรียนแต่ละคนในช้ันเรียนมีความแตกต่างกัน ครูควรกระตุ้นการตอบสนอง การ เรยี นรแู้ ละการพฒั นาทกั ษะ การสอ่ื สารให้แก่นักเรียนด้วย 4.4 การจัดการเรียนรู้ต้องยืดหยุ่นเปล่ียนแปลงได้มีการทดลอง การสอนท่ีหลากหลาย และครูควรปรับการสอนบ้างเมื่อมีวิธีการช่วยให้นักเรียนบางคนเรียนรู้ได้ดีขึ้น และควรสร้างสมดุล ระหว่างเนื้อหาและความ ยืดหยนุ่ ในการสอน 4.5 สรา้ งบรรยากาศเป็นกันเอง ตอ้ งทำใหน้ กั เรยี นเกดิ ความร้สู กึ มสี ่วนรว่ ม 4.6 มีอารมณ์ขัน พยายามอย่าทำตัวให้เครียด การมีอารมณ์ขันจะช่วยทลายกำแพง ระหว่างครกู บั นกั เรียนได้ ครูควรเรียนรูท้ ่จี ะผอ่ นคลาย บรรยากาศในห้องเรียน 4.7 เตรียมตัวให้พร้อมมีความเอาใจใส่และอุทิศเวลาให้แก่การค้นคว้าหาวิธีถ่ายทอด ความรู้ด้านต่าง ๆ ให้แก่นักเรียน ครูดีต้องมีการเตรียมการสอนมาอย่างดี มีส่ือการสอนที่พร้อมและ วิธกี ารสอนทีน่ า่ สนใจ 4.8 ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้บริหาร ทั้งในด้านทรัพยากรและ บุคลากร ผู้บริหารควร ให้การเสริมแรงครูอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติหน้าท่ีและสามารถ ทำงานไดอ้ ย่างปราศจากอุปสรรคปญั หา 4.9 รู้จักทำงานร่วมกับเพ่ือนครู เพื่อแลกเปล่ียนประสบการณ์การจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ของครูแต่ละคน 4.10 มจี ินตนาการจะเป็นครทู ่ีดไี ด้จะต้องรูจ้ กั ใชจ้ ินตนาการบา้ งเพราะจะมีผลต่อความคิด ริเริ่มใหม่ ๆ ลองจ้องไปท่ีนักเรียนแถวหลังสุด นึกถึงเส้นประสาทที่เช่ือมต่อกันและประกอบกันมี รูปร่างรวมตัวเป็นมนุษย์ การเรียนรู้ของคนเราคงจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง หากครูไม่หยุด น่ิงท่ีจะเรียนรู้และพัฒนา ความสามารถของทั้งตนเองและนักเรียนไปพร้อม ๆ กัน ครู คือ วิศวกร สงั คมท่ีมสี ่วนสำคัญย่ิงในการสร้างคนรนุ่ ใหมท่ ่สี มบรู ณข์ นึ้ มา 5. มีจิตอาสา จติ อาสา คือ หวั ใจของการบริการวิชาการการท่ีคนเราจะประสบผลสำเรจ็ ไม่ว่า ในอาชีพการงานหรือส่ิงที่มุ่งหวังได้ มิใช่แค่เพียงเกิดจากความสามารถของตนเองเท่าน้ัน หากแต่เกิด จากการฟูมฟักของพ่อแม่และครูบาอาจารย์ที่พร่าอบรมบ่มนิสัยและถ่ายทอดวิชาความรู้ ตลอดจน ประสบการณ์ทส่ี ะสมมา ลองนึกยอ้ นกลับไปจะพบว่า บูรพาจารย์ของเรา ท่านไมไ่ ด้ทำหน้าที่ แค่สอน หนังสือเท่านั้น แต่ท่านยังทำหน้าที่เสมือนญาติผู้ใหญ่และเป็นพ่ีเลี้ยงให้กับศิษย์อีกด้วยเพราะท่านมี หัวใจของการบริการอยู่ตลอดเวลา แต่คนท่ีมีจิตวิญญาณเป็นครูท่านทำไปโดยไม่คิดหวังผลตอบแทนใด นอกจากอยากเห็นความก้าวหน้า เจริญรุ่งเรืองของศิษย์ท่านก็ปลื้มใจแล้วด้วยท่านมีจิตเมตตาและ มีจิตอาสาท่ีไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหน่ือยท้ังน้ีจิตอาสาของครูสัมฤทธ์ิผลและมีประสิทธิภาพในการให้ บริการวชิ าการ มอี งค์ประกอบของ 5 ย. ร่วมด้วย คอื ยม้ิ แย้ม ยกย่อง ยอมแพ้ ยดื หยุน่ และยนื หยดั ยนต์ ชุ่มจิต (2553, หน้า 138-139) ได้ศึกษาคุณสมบัติของครูที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูควร ประกอบด้วย ความประพฤติเรียบร้อย ความรู้ดี บุคลิกลักษณะและการแต่งกายดี สอนดีตรงเวลา มีความยุตธิ รรม หาความรูอ้ ยู่เสมอ ร่าเรงิ แจม่ ใส ซอ่ื สตั ย์ และเสียสละ จึงสรุปได้วา่ คุณสมบัติของครทู ม่ี ีจติ วญิ ญาณความเป็นครูนน้ั ประกอบดว้ ย 1) ความมเี มตตา ต่อศิษย์ท่ี รวมถึงพฤติกรรมที่นักศึกษาได้รับรู้จากครู/อาจารย์ และนำไปใช้เป็นแบบอย่างในด้านการ ปลูกฝัง ดูแลเอาใจใส่ลูกศิษย์ให้ความช่วยเหลือเป็นกันเองรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาและแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ ให้กับนักศึกษา 2) บุคลิกภาพดี คือ พฤติกรรมท่ีนักศึกษาแสดงออกด้วยความมั่นใจ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428