มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 236 3.2 ความสำคัญต่อองค์กร ค่านิยมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาองค์กร โดยเป็นรากฐานของ การกำหนดวสิ ยั ทศั น์ ค่านยิ มรว่ มของบคุ ลากร ตลอดจนแนวทางในการกำหนดทิศทางและการกระทำ ของบุคคลให้เกิดผลตามเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้ อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรยากาศของ องค์การใหเ้ กดิ สภาวะที่สนับสนนุ การทำงานของบคุ ลากรและชว่ ยใหก้ ารทำงานรว่ มกันดว้ ย 3.3 ความสำคัญต่อสังคม ค่านิยมเป็นตัวชี้นำเป้าหมายและทิศทางของสังคม ค่านิยมใน สังคมเป็นแบบไหน สังคมก็จะเป็นแบบนั้น ถ้าสังคมมีบุคคลที่มีค่านิยมที่เหมาะสม สังคมนั้นก็จะอยู่ อย่างปกติสุข แต่ถ้าสังคมใดมีบุคคลที่มีค่านิยมที่ไม่เหมาะสม สังคมนั้นก็เสื่อมและเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น ค่านิยมจึงมีส่วนทำให้ชีวิต สังคม ประเทศ ดีหรือไม่ดี เจริญหรือเสื่อมได้ รวมทั้งเป็นตัวกำหนด ความเจรญิ และความเส่อื มของสงั คมและความม่ันคงของประเทศชาติได้ 4. ลกั ษณะของค่านิยม ลักษณะของค่านิยม สรุปไดด้ ังน้ี 1. กำหนดการประพฤตปิ ฏิบตั ขิ องคนในสงั คม 2. สมาชกิ ในสังคมยึดถือมานาน 3. คา่ นยิ มทีย่ ดึ ถือน้ันเป็นความตอ้ งการของคนในสังคม 4. สมาชิกในกลุ่มให้การยอมรบั ดังนั้น ค่านิยมจึงเป็นรูปแบบความต้องการของมนุษย์ในสังคมหนึ่ง ๆ ที่มีเป้าหมาย มีการ ยึดถือของสมาชิกในกลุ่มนั้น โดยส่งผลให้เกิดการตัดสินใจของคนในสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัตสิ บื ทอดเป็นวัฒนธรรมว่าเป็นส่งิ ทน่ี า่ กระทำและนา่ ยกย่อง 5. ลักษณะค่านยิ มของสงั คมไทยปัจจบุ ัน สภาพของสังคมไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ตามสภาพของสิ่งแวดล้อมและ กาลเวลา มีการติดต่อค้าขาย สัมพันธ์ทางการทูตกับทางประเทศ มีทุนให้ครูอาจารย์ไปดูงาน ต่างประเทศ การช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีแก่สถาบันการศึกษา ทำให้มีการพัฒนาประเทศให้ เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ค่านิยมตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทย เปล่ยี นแปลงไปตามสภาพของสังคมไทยดว้ ย ดงั นี้ 1. ยึดถือในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับในอดีตมีการศึกษาพระธรรมวินัยอย่างลึกซ้ึง ตลอดจนมีการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ ข้อบังคับของสงฆ์ ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบพฤติกรรม ทางวินัยสงฆไ์ ด้ เพ่ือป้องกนั ปัญหาการแสวงหาผลประโยชน์จากพุทธศาสนา 2. เคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ สังคมไทยต่างจากสังคมชาติอื่น กษัตริย์ไทยเปรียบเสมือน สมมติเทพ คอยดูแลทุกข์สุขของประชาชน ทำนุบำรุงประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรื่องในทุกด้าน จึงเป็น ศูนย์รวมจติ ใจ พระองค์เปน็ สิง่ ทุกอยา่ งในชวี ิต ของคนไทย เปน็ ที่เคารพของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง 3. เชื่อในเรื่องของเหตุผล ความเป็นจริง และความถูกต้องมากขึ้นกว่าในอดีต ในสภาวะของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ปัจจุบันสังคมไทยปลูกฝังให้คนไทยรู้จักคิดใช้ปัญญามีเหตุผลมากขึ้น เช่น ได้ออก กฎหมายเพื่อให้ความคุ้มครองเจ้าของความคิด ไม่ใครลอกเลียนแบบได้เรียกว่า ลิขสิทธิ์ทางปัญญา เปน็ ต้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 237 4. ค่านิยมในการให้ความรู้ ปัจจุบันสังคมไทยมีการแข่งขันกันตลอดเวลา การจะพาตนเอง ให้รอดจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถที่โดดเดน่ จึงเปน็ สิ่งที่คนไทย ในสงั คมปัจจบุ นั ตอ้ งเสาะแสวงหา 5. นิยมร่ำรวยและมีเกียรติ สังคมไทยปัจจุบันให้ความสำคัญเรื่องความร่ำรวยและเงินทอง เพราะมีความเชื่อที่ว่าเงินทองสามารถบันดาลความสุขตอบสนองความต้องการของคนได้ ขณะเดียวกัน ก็จะมีช่ือเสียงเกียรติยศตามมา จงึ เปน็ จุดเรา้ ใหท้ ุกคนอยากรวย ไมว่ า่ จะหาเงินมาด้วยวธิ ีที่ถูกต้องจาก การทำงาน หรอื การได้มาด้วยการชอ่ โกง จงึ ทำใหเ้ กิดชอ่ งวา่ งระหวา่ งคนในสงั คม 6. มีความเชื่อม่ันตนเองสูง เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนไทยทกุ คนกล้าตดั สนิ ใจและกลา้ แสดงออก ทางความคดิ และการกระทำมบี คุ ลกิ ภาพเหมาะสมท่ีจะเปน็ ผนู้ ำทดี่ ี 7. ชอบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ลักษณะกลัวการเสียเปรียบ กลัวสู้เพื่อไม่ได้ เพื่อการอยู่รอดจึง ต้องกระทำการแยง่ ชงิ แสวงหาผลประโยชนใ์ หต้ นเอง 8. นิยมการบริโภค นิยมบริโภคของแพง เลียนแบบอย่างตะวันตก รักความสะดวกสบาย ใช้ จา่ ยเกินตวั เปน็ การนำไปสกู่ ารมหี นส้ี นิ มากมาย 9. ต้องทำงานแข่งกับเวลา ทุกวันนี้คนล้นงาน จึงต้องรู้จักกำหนดเวลา การแบ่งแยกเวลาใน การทำงาน การเดินทางและการพักผ่อน ให้ชดั เจน 10. ชอบอิสระ ไม่ชอบอยู่ภายใต้อำนาจใคร ไม่ชอบการมีเจ้านายหลายคน ในการทำงานมัก ประกอบอาชพี อิสระ เปิดกิจการเปน็ ของตนเอง 11. ต้องการสิทธิความเสมอภาคระหว่างหญิงชายเท่าเทียมกันหญิงไทยในยุคปัจจุบันจะมี ความคล่องแคล่ว สามารถบริหารงานได้เช่นเดียวกับผู้ชายเป็นที่พึ่งของครอบครัวได้ ภรรยาจึงไม่ใช้ ชา้ งเท้าหลงั ต่อไป 12. นิยมการทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน ซึ่งการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกที่มีความ เจริญทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ ผู้ใหญ่ควรทำตน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน เหมาะสมกับศีลธรรม จรรยา 13. นยิ มภาษาตา่ งประเทศ ปจั จุบนั ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญจำเป็นมาก เพราะต้องใช้ ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจและ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ๆ ตำราหรืออินเตอร์เน็ตมีความจำเป็น ต้องรู้ ทางภาษาตา่ งประเทศ หากไมม่ กี ย็ ากต่อการศกึ ษาและนำไปใช้ 6. หน้าท่ีของคา่ นิยม หน้าทขี่ องคา่ นิยม 7 มดี งั น้ี a. ค่านยิ มจงู (Lead) เป็นคา่ นิยมท่ีชว่ ยใหบ้ คุ คลได้แสดงจุดยืนของตนในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับ สงั คมออกมาอยา่ งชดั เจน b. ค่านิยมเป็นตัวช่วยกำหนด (Predispose) ให้บุคคลนิยมอุดมการณ์ทางการเมืองบาง อุดมการณ์มากกว่าอุดมการณ์อืน่ c. ค่านยิ มเปน็ บรรทัดฐานที่ช่วยนำ (Guide) การกระทำใหท้ ำบุคคลประพฤติและแสดงตัวต่อ ผอู้ ่นื ทปี่ ระพฤตเิ ปน็ ปกติอยู่ทกุ วัน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 238 d. ค่านิยมเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ในการประเมิน (Evaluate) ตัดสินการชื่นชมยกย่อง การตำหนิ ติเตียนตัวเอง และการกระทำของผูอ้ ืน่ e. ค่านยิ มเป็นจุดกลางของการศึกษา กระบวนการเปรียบเทียบกบั ผู้อ่นื f. คา่ นิยมเปน็ บรรทัดฐานทถ่ี ูกใชใ้ นการชกั ชวน (Persuade) หรือสรา้ งประสทิ ธผิ ลตอ่ คนอน่ื g. ค่านิยมเป็นบรรทัดฐานที่ถูกใช้เป็นฐาน (Base) สำหรับกระบวนการให้เหตุผลต่อความ นกึ คดิ และการกระทำของตน สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2542) ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับหน้าที่ของ ค่านิยมว่า ค่านิยมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากว่า ค่านิยมที่มนุษย์มีอยู่นั้น ทำหน้าที่มากมายหลาย อย่างท่เี กี่ยวกบั ชีวติ ของมนุษยท์ ี่สำคัญคอื 1. คา่ นิยมทำหนา้ ทเี่ ป็นบรรทดั ฐาน หรือมาตรฐานของพฤติกรรมทงั้ หลายของบุคคลกล่าวคือ ค่านิยมจะเป็นตัวกำหนดการแสดงออกพฤติกรรมของจะทำหรือไม่เราว่า ค่านิยมจะเป็นตัว กำหนดการแสดงออกของพฤติกรรมของเราว่า บุคคลควรจะทำหรือไมค่ วรจะทำส่งิ ใด ค่านิยมจะช่วย กำหนดจุดยืนในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและค่านิยมจะทำหน้าที่ประเมิน การปฏิบตั กิ ารตา่ ง ๆ ทงั้ ของตัวบุคคลเอง และของคนอน่ื 2. ค่านยิ มทำหนา้ ที่เป็นแบบแผนในการตัดสินใจ และการแก้ไขข้อขัดแย้งต่าง ๆ ในบางกรณี บุคคลตอ้ งเจอกบั สถานการณ์บางอยา่ งทีข่ ัดแย้งกัน ทำใหเ้ ขาต้องเลือกทางใดทางหน่ึง เชน่ การปฏิบัติ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด กับความเป็นตัวของตวั เอง หรือรักษาความเป็นอิสระของ ตัวเอง การปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแต่ยากจน กับการปฏิบัติงานในที่ไม่สุจริต แต่ทำให้ ร่ำรวย บคุ คลจะเลอื กเดินทางไหนนัน้ คา่ นยิ มมีอยู่จะชว่ ยกำหนดทางเลือกให้เขา 3. ค่านิยมทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ หรือผลักดันของบุคคล เช่น บุคคลที่มีความนิยมชมชอบ ในการมีอายยุ าวนานหรือสุขภาพดี ก็จะมแี รงผลกั ดันให้อยากออกกำลังกายอยู่เสมอ ตลอดจนมีความ รอบคอบในการ บริโภคอาหาร บุคคล ทมี่ คี วามนยิ มเกยี่ วกับวัตถุนิยมสงู กจ็ ะมีความขยันขันแข็ง และ เพียรพยายามในการทำงานเพื่อให้ได้มาทำงาน เพื่อเงินทองและสิ่งของที่พึงปรารถนา ค่านิยมจะทำ หน้าที่เป็นเกณฑ์ หรือมาตรฐาน ในการแสดงออกของพฤติกรรม ช่วยตัดสินใจในกรณีที่บุคคลได้พบ กบั สถานการณ์บางอย่างที่ขดั แย้งกัน และต้องเลือกเอาอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงและค่านิยมยังช่วยเสริมสร้าง แรงจงู ใจความสนใจ และความต้ังใจทจ่ี ะนำไปสกู้ ารแสดงพฤติกรรมทีส่ อดคล้องกบั ค่านิยมที่ตัวเองยดึ 4. ธรรมชาติและกระบวนการเกิดค่านิยม Rokeach (2001) อธิบายไว้ว่า แนวคิดและค่านิยม ของกรอบทฤษฎนี นั้ ต้งั อยูบ่ นบนฐานที่เก่ียวกบั ธรรมชาตแิ ห่งคา่ นยิ มของมนุษย์ 5 ประการ ดังนี้ 4.1จำนวนของค่านยิ มแต่ละคนมไี ม่มากนัก และอยู่ในข่ายที่จะนับและศกึ ษาได้ 4.2 ความแตกต่างของค่านิยมจะแสดงออกในทางระดบั (Degree) 4.3 ค่านิยมต่างๆ จะสามารถจดั รวมกันได้ เป็นระบบค่านิยม (Values system) 4.4 ค่านิยมของมนุษย์สามารถสืบไปจนถึงพฤติกรรมของมนุษย์ในเกือบทุกรูปแบบที่สามารถ นำมาวิเคราะห์ได้ 4.5 ค่านิยมของมนุษย์จะแสดงออกทางเจตคติและพฤติกรรมของมนุษย์ในเกือบทุก รูปแบบทสี่ ามารถนำมาวเิ คราะหไ์ ด้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 239 7. ประเภทของคา่ นยิ ม ได้มีนักวิชาการหลายท่านได้แบ่งประเภทของค่านิยมไว้อย่างหลากหลาย แต่สำหรับการ นำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนา สามารถแบ่งโดยนำจำนวนประชากรที่ยึดถือค่านิยมมาเป็นเกณฑ์ใน การจดั ซึ่งสามารถแบง่ ประเภทของค่านยิ มได้ 2 ประเภท คอื 7.1 คา่ นิยมส่วนบคุ คล ค่านิยมส่วนบุคคล หมายถึง ค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือ เลือก และนำมาปฏิบัติอย่าง อิสระไม่ เกี่ยวข้องกับผู้อื่นโดยตรง ค่านิยมส่วนบุคคลของแต่ละคนจึงมีความแตกต่างกันตามความ สนใจของ แต่ละคน การเข้าใจพฤติกรรมหรือค่านิยมของตนเองและผู้อื่นจะสามารถทำให้การ ปฏิบัตงิ านเป็นไปด้วยความราบรื่นและประสบความสำเรจ็ 7.1.1 ประเภทของคา่ นิยมส่วนบุคคล สามารถแบ่งประเภทได้ 6 ด้าน ตามความสนใจ ของบคุ คล ดงั น้ี (อลั ฟอร์ท เวอร์นอน และ ลินซี อา้ งใน พีรพงศ์ สรุ เสน, 2534) 1) ค่านิยมด้านวิชาการ หมายถึง ค่านิยมท่ีมุ่งความสนใจใฝ่หาความรู้ความจรงิ ในวิทยาการตา่ ง ๆ ผทู้ มี่ ีคา่ นยิ มด้านน้ีสูงจะมีอุดมคติ ชอบแสวงหาสัจจะแห่งความรู้อยูเ่ สมอ 2) ค่านิยมด้านเศรษฐกจิ หมายถงึ ค่านิยมทมี งุ่ ความสนใจในสิ่งทเี่ ป็นอรรถประโยชน์ แหง่ ตน มีความพอใจกับการไดร้ ับความสะดวกสบายทางกาย ผูท้ ่ีมีคา่ นยิ มด้านนส้ี ูงจะชอบงานท่ีเกี่ยวข้อง กบั การผลติ การธรุ กิจ และการคา้ ขาย 3) ค่านิยมด้านสังคม หมายถึง ค่านิยมที่มุ่งมีความสมั พันธ์อันดีกับผูอ้ ื่น มีความ รักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มองโลกในแง่ดี มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และไม่เห็นแก่ตัว ผู้ที่มีค่านิยม ดา้ นนี้สูง มกั จะเป็นผทู้ ี่มมี นุษยส์ มั พันธ์สูง ชอบการสมาคม และเปดิ เผยตนเองเสมอ 4) ค่านิยมด้านศาสนา หมายถึง ค่านิยมที่มุ่งความสนใจในทางการศาสนาและ การศกึ ษาค้นควา้ เพื่อความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อยและศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน ผู้ท่ีมีค่านิยมด้านนี้ สูงมกั ปฏบิ ตั งิ านดว้ ยการเน้นระเบียบ ขอ้ บังคบั วฒั นธรรมและประเพณีด้งั เดมิ อยู่เสมอ 5) ค่านิยมด้านการเมือง หมายถึง ค่านิยมที่มุ่งความสนใจในเรื่องของการแสวง อำนาจและการแข่งขันหรือต่อสู้ให้ได้มาซึ่งอำนาจ ผู้ที่มีค่านิยมด้านนี้สูงจะชอบสนใจข่าวสารเหตุการณ์ บ้านเมืองมากเปน็ พิเศษ และการมีหนา้ มตี าในสงั คม 6) ค่านิยมด้านสุนทรียะ หมายถึง ค่านิยมที่มุ่งความสนใจในเรื่องของความ ต้องการ ความงดงามด้านศิลปะ ความเป็นสัดส่วน และความเหมาะสมเกี่ยวกับศิลปกรรมและเรื่อง นันทนาการ ผ้ทู ีม่ ีค่านิยมดา้ นนสี้ ูงจะชอบธรรมชาติและรกั ความเปน็ อิสระ โดยทั่วไปแลว้ บคุ คลใดบุคคลหนึ่งจะมีความสนใจหรือมีพฤติกรรมทงั้ 6 ด้าน ไป พร้อม ๆ กัน แต่จะมากน้อยต่างกันตามความสนใจของแต่ละบุคคล ซึ่งถ้าบุคคลใดสนใจด้านใดมาก ก็จะมีพฤติกรรมด้านนั้นมาก สนใจด้านใดนอ้ ยก็จะมีพฤตกิ รรมด้านนัน้ น้อยหรือไม่มีเลย พฤติกรรมที่ แสดงออกดา้ นใดมากท่สี ดุ ก็คือ ค่านยิ มส่วนบุคคลของบุคคลนั้นน่ันเอง 7.2 ค่านิยมของสังคม ซ่งึ นักวชิ าการไดแ้ สดงทัศนะไว้ต่าง ๆ กันดังนี้ ค่านิยมของสังคม คือ การรวมค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม กล่าวคือ สมาชิกของ สังคมส่วนใหญ่นิยมส่งหรืออยากจะปฏิบัติตนในสถานการณ์นั้น ๆ อย่างไร สิ่งหรือสถานการณ์นั้น ๆ ก็กลายเป็นค่านิยมของสังคมนั้น ยกตัวอย่าง เช่น ในสถานการณ์ที่ผัวเมียตบตีกัน สมาชิกส่วนใหญ่
240 ของสังคมอยากสอดรู้สอดเห็นถึงความเดือดร้อนของคนอื่นจึงได้ไปมุงดู การมุงดูก็เป็นค่านิยมของ สังคมนัน้ รองศาสตราจารย์สุพัตรา สุภาพ ได้กล่าวถึง ค่านิยมสังคมเมืองและค่านิยมสังคมชนบทของ สังคมไทยไว้ค่อนข้างชัดเจน โดยแบ่งค่านิยมออกเป็นค่านิยมของคนในสังคมเมืองและสังคมชนบท ซ่ึงลักษณะคา่ นิยมทั้งสองลักษณะ จดั ไดว้ า่ เปน็ ลกั ษณะของค่านยิ มที่ทำใหเ้ กิดมีอิทธิพลต่อค่านิยมท่ีมี ต่อพฤตกิ รรมของบคุ คล ซง่ึ สามารถแสดงให้เหน็ ชัดเจนในตารางที่ 12 มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง ตารางที่ 8.1 ลักษณะค่านยิ มของคนในสงั คมเมอื ง และสงั คมชนบท คา่ นยิ มสังคมเมือง คา่ นิยมสังคมชนบท 1. เช่ือในเรอื่ งเหตแุ ละผล 1. ยอมรับบุญรบั กรรมไม่โตแ้ ย้ง 2. ขน้ึ อยกู่ บั เวลา 2. ข้ึนอยกู่ ับธรรมชาติ 3. แข่งขนั มาก 3. เช่อื ถอื โชคลาง 4. นยิ มตะวนั ตก 4. ชอบเสยี่ งโชค 5. ชอบจัดงานพิธี 5. นิยมเคร่ืองประดับ 6. ฟุ่มเฟอื ยหรูหรา 6. นิยมคุณความดี 7. นยิ มวัตถุ 7. นยิ มพิธีการและการทำบญุ เกนิ กำลงั 8. ชอบทำอะไรเปน็ ทางการ 8. ชอบเป็นฝา่ ยรับมากกวา่ ฝ่ายรกุ 9. ยกยอ่ งผมู้ อี ำนาจผ้มู ตี ำแหนง่ 9. ทำงานเปน็ เลน่ ทำเลน่ เปน็ งาน 10. วนิ ยั 10. พ่งึ พาอาศัยกนั 11. ไม่รักของสว่ นรวม 11. มคี วามเปน็ ส่วนตัวมากเกนิ ไป 12. พดู มากกว่าทำ 12. รักญาติพน่ี ้อง 13. ไมช่ อบเห็นใครเหนือกว่า 13. มคี วามสันโดษ 14. เหน็ แกต่ วั ไมเ่ ชอ่ื ใจใคร 14. หวงั ความสุขชัว่ หนา้ ดงั นัน้ จึงสรุปได้วา่ คา่ นิยมส่วนบคุ คล คือ ส่ิงทต่ี นสนใจ สิง่ ทีต่ นปรารถนาจะได้ ปรารถนาจะ เห็นหรือกลับกลายมาเป็นสิ่งที่คนถอื ว่าเป็นสิ่งบังคับ ต้องทำต้องปฏิบัติ เป็นสิ่งที่คนบชู ายกย่อง และ มีความสขุ จะได้เหน็ ได้ฟัง ได้เปน็ เจา้ ของ ค่านิยมของสังคม คือ ค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคมกล่าวคือสมาชิกของสังคมส่วนใหญ่ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม หรือควรแก่การปฏิบัติสิ่งหรือสถานการณ์นั้น ๆ ก็จะกลายเป็นค่านิยมของ สงั คมนน้ั ๆ คา่ นยิ มออกเปน็ 2 ระดับ คือ 1. ค่านยิ มในทางปฏิบตั ิ (Pragmatic values) เป็นหลกั ของศีลธรรมที่ตงั้ อยู่บนรากฐานที่ว่า ตนในสังคมต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้น ค่านิยมจึงประณาม สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม เช่น การคดโกง การทำร้ายกัน และยกย่องพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 241 2. ค่านิยมอุดมคติ (Ideal values) ซึ่งมีความลึกซึ่งกว่าค่านิยมในทางปฏิบัติ เช่น ศาสนา คริสตส์ อนวา่ ให้คนรักเพ่ือนบา้ นเหมือนกับรักตนเอง ซ่ึงน้อยคนทจ่ี ะปฏบิ ัตติ ามได้ แต่คา่ นิยมระดับนี้ก็ มคี วามสำคญั ในการทำใหค้ นเห็นแก่ตัวนอ้ ยลง ชนิดของค่านยิ ม Phenix ใช้หลักความสนใจและความปรารถนาของบุคคล แบ่งค่านิยมออกเป็น 6 ประเภท ดงั น้ี 1. ค่านิยมทางสังคม (Social Values) เป็นค่านิยมที่ช่วยให้เกิดความรักความเข้าใจและ ความต้องการของอารมณข์ องบคุ คล 2. ค่านิยมทางวัตถุ (Material Values) เป็นค่านิยมที่ช่วยให้ชีวิตร่างกายของคนเราสามารถ ดำรงอยูไ่ ด้ตอ่ ไป ไดแ้ ก่ ปจั จยั 4 คอื อาหาร ทอ่ี ยูอ่ าศัย เส้ือผ้า และยารกั ษาโรค 3. ค่านิยมทางความจริง (Truth Values) เป็นค่านิยมเกี่ยวกับความจริงซึ่งเป็นค่านิยมที่ สำคัญยง่ิ สำหรบั ผู้ทต่ี ้องการความรู้ และนักวิทยาศาสตรท์ ตี่ อ้ งการคน้ หากฎของธรรมชาติ 4. คา่ นยิ มทางจรยิ ธรรม (Moral Values) เปน็ ค่านยิ มทท่ี ำให้เกดิ ความรบั ผิดชอบช่ัวดี 5. ค่านิยมทางสุนทรียะ (Aesthetic Values) เป็นความซาบซึ้งใจในความดีและความงาม ของสิง่ ต่าง ๆ 6. ค่านิยมทางศาสนา (Religious Values) เป็นค่านิยมที่เกี่ยวกับความปรารถนาความ สมบรู ณ์ของชีวติ รวมทงั้ ความศรัทธา และการบชู าในทางศาสนาดว้ ย จากประเภทต่าง ๆ ของค่านิยมข้างต้น ค่านิยมความรัก คู่ครองและการแต่งงานที่ศึกษา ในการวิจัยครั้งนี้เป็นค่านิยมที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพทางสังคมวัยรุ่นที่มีการ เปล่ยี นแปลงอยูเ่ สมอ คา่ นยิ มทศ่ี ึกษาเปน็ คา่ นยิ มทศ่ี กึ ษาเป็นคา่ นยิ มทางสงั คมและทางจรยิ ธรรม 8. ปัจจยั ทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอ่ ค่านยิ ม 8.1 ครอบครัว 8.2 เพื่อนบา้ น 8.3 โรงเรียน 8.4 ศาสนา 8.5 วรรณกรรมและศิลปกรรม 8.6 สถานทพี่ ักผอ่ นหย่อนใจ 8.7 สื่อสารมวลชน 8.8 ภาวะเศรษฐกิจ 8.9 ขนบธรรมเนยี มประเพณี 8.10 การร้แู จ้งคุณคา่ ต่อสงิ่ น้ันด้วยตนเอง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 242 9. คา่ นยิ มพ้นื ฐาน 8 ประการ กระทรวงศึกษาธิการประกาศนโยบายเร่งด่วนเรื่อง เร่งรัดการปฏิรูปการศึกษา โดยยึดหลัก คุณธรรมนำความรู้ เพื่อสร้างความตระหนัก สำนึกในคุณค่าของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงความ สมานฉันท์ สันติวิธี วิถีประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการ เรียนรู้ที่เชื่อมโยง ความร่วมมือของสถาบันครอบครัว ชุมชน สถาบัน ศาสนาและสถาบันการศึกษา โดยมีจุดเน้นเพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้ และอยู่ดีมีสุข ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อน ดังกล่าวมีความชัดเจน เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม 8 คณุ ธรรมพน้ื ฐานที่ควรเร่งปลูกฝงั ประกอบดว้ ย 9.1 ขยัน ความหมายของคำว่า ขยัน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่าง ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อดทนไม่ท้อถอยเมื่อพบอุปสรรค ความขยันต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปัญญา แกป้ ญั หาจนเกดิ ผลสำเรจ็ ตามความมงุ่ หมาย คุณลักษณะเชงิ พฤตกิ รรม ผู้ที่มีความขยนั คือ ผู้ที่ตั้งใจทำอย่างจริงจงั ตอ่ เนือ่ งในเรื่องทีถ่ กู ที่ควรผู้ที่เป็นคนสู้งาน มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานท่ีทำ ตั้งใจทำหน้าที่อย่าง จรงิ จัง 8.2 ประหยัด ความหมายของคำว่า ประหยัด คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน ส่งิ ของแต่พอควรพอประมาณ ให้เกิดประโยชน์คุม้ ค่า ไม่ฟ่มุ เฟอื ย ฟุง้ เฟอ้ คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม ผู้ที่มีความประหยัด คือ ผู้ที่ดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ที่เรยี บ ง่าย รู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้คิดก่อนซื้อ เก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของอย่างคุ้มค่า รู้จักทำบัญชรี ายรับ-รายจ่ายของตนเองอยู่เสมอ 8.3 ความซื่อสัตย์ ความหมายของคำว่า ความซื่อสัตย์ คือ ประพฤติตรงไม่เอนเอยี งไม่มเี ล่ห์ เหลี่ยม มคี วามจริงใจ ปลอดจากความรูส้ กึ ลำเอยี งหรอื อคติ คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ คือ ผู้ที่มีความประพฤติตรงทั้งต่อหน้าท่ี ต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลา ไม่ใช้เล่ห์กล คดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเองและปฏิบตั ิ อย่างเต็มที่ถูกตอ้ ง 8.4 มวี ินัย ความหมายของคำว่า มีวินยั คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ขอ้ บังคับและข้อ ปฏิบัติ ซ่ึงมที ้ังวินยั ในตนเองและวินยั ตอ่ สังคม คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม ผู้ที่มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎ ระเบียบของ สถานศกึ ษา สถาบัน/องคก์ ร/สังคมและประเทศ โดยทีต่ นเองยินดปี ฏิบัติตามอย่างเต็มใจและต้งั ใจ 8.5 สุภาพ ความหมายของคำว่า สุภาพ คือ เรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม มีกิริยามารยาท ท่ดี งี าม มีสัมมาคารวะ คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม ผู้ที่มีความสุภาพ คือ ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพ และกาลเทศะ ไมก่ ้าวร้าว รุนแรง วางอำนาจข่มผู้อ่นื ทั้งโดยวาจาและท่าทาง แต่ในเวลาเดียวกันยังคง มคี วามมน่ั ใจในตนเอง เป็นผู้ทมี่ มี ารยาท วางตนเหมาะสมตามวฒั นธรรมไทย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 243 8.6 สะอาด ความหมายของคำว่า สะอาด คือ ปราศจากความมัวหมองทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความผ่องใสเปน็ ทเี่ จรญิ ตาทำใหเ้ กดิ ความสบายใจแกผ่ พู้ บเหน็ คุณลกั ษณะเชงิ พฤติกรรม ผู้ที่ความสะอาด คอื ผูร้ กั ษาร่างกาย ท่อี ยูอ่ าศัยสิ่งแวดล้อม ถูกต้องตามสุขลกั ษณะ ฝึกฝนจิตใจมิใหข้ นุ่ มวั จึงมีความแจม่ ใสอยู่เสมอ 8.7 สามัคคี ความหมายของคำว่า สามัคคี คือ ความพร้อมเพียงกัน ความกลมเกลียวกัน ความปรองดองกัน ร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บรรลุ ผลตามที่ต้องการเกิดงานการอย่างสร้างสรรค์ ปราศจากการทะเลาะวิวาท ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นการยอมรับความมีเหตุผล ยอมรับความ แตกต่างหลากหลายทางความคิด ความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ ความกลมเกลียวกันในลักษณะ เช่นน้ี เรียกอีกอย่างวา่ ความสมานฉันท์ คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม ผู้ทมี่ คี วามสามคั คี คอื ผูท้ เ่ี ปิดใจกว้างรับฟงั ความคิดเห็นของ ผู้อ่ืน รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้นำและผตู้ ามท่ีดี มีความม่งุ มั่นตอ่ การรวมพลัง ช่วยเหลือเก้ือกูลกัน เพื่อให้การงานสำเร็จลุล่วง แก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่าง หลากหลายทางวัฒนธรรม ความคดิ ความเช่ือ พรอ้ มท่ีจะปรับตัวเพอ่ื อยรู่ ว่ มกนั อย่างสนั ติ 8.8 มนี ้ำใจ ความหมายของคำวา่ มีน้ำใจ คอื ความจริงใจท่ไี มเ่ ห็นแกเ่ พยี งตัวเองหรือเรือ่ งของตัวเอง แต่เห็นอกเห็นใจเห็นคุณค่าในเพื่อน มนุษย์ มีความเอื้ออาทรเอาใจใส่ ให้ความสนใจในความต้องการ ความจำเป็น ความทุกขส์ ุขของผู้อืน่ และพร้อมที่จะใหค้ วามชว่ ยเหลือเก้ือกูลกันและกนั คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม ผู้ที่มีนน้ำใจ คือ ผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคม รู้จัก แบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่นเข้าใจ เห็นใจ ผู้ที่มีความ เดือดร้อน อาสา ช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกาย สติปัญญา ลงมือปฏิบัติการเพื่อบรรเทา ปัญหา หรือร่วมสร้างสรรค์สิ่งดี งามใหเ้ กิดข้ึนในชมุ ชน 9. ค่านิยมของครู ค่านิยมของครู หมายถึง แนวความคิดหรือความประพฤติอันดีงามของสังคมที่ครูจะต้อง ยึดถือเปน็ หลกั ประจำใจ และปฏิบัตติ ามส่ิงที่ไดย้ ึดถือนนั่ เปน็ ประจำ ค่านิยมของครูจะต้องเป็นไปตาม คณุ ลกั ษณะของคนไทยทปี่ ระเทศชาติ ต้องการและจะต้องสอดกับค่านิยมที่ดีงามของสังคมไทย ดงั นั้น ค่านยิ มทพ่ี ง่ึ ประสงค์ของครจู งึ ควรมี ดงั น้ี 9.1 ความมรี ะเบียบวินยั 9.2 ความซอ่ื สัตย์ สจุ ริตและความยุตธิ รรม 9.3 ความขยนั ประหยัด อดทน การยึดม่นั ในสัมมาชพี 9.4 ความสำนึกในหนา้ ที่ และความรับผดิ ชอบต่อสังคมและประเทศชาติ 9.5 มคี วามคดิ ริเริ่ม วจิ ารณ์และตัดสินอยา่ งมเี หตผุ ล 9.6 ความกระตือรอื รน้ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย รักและเทิดทนู ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 9.7 การรู้จกั รักษาพลานามยั ของร่ายกายจติ ใจให้สมบูรณ์ 9.8 การพ่ึงตนเอง และมีอดุ มการณแ์ ห่งวชิ าชพี 9.9 ความภาคภูมิใจ และมีอุดมการณ์แหง่ วิชาชีพ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 244 9.10 ความเสียสละ เมตตาอารี กตัญญกู ตเวที กล้าหาญ และสามัคคี 9.11 ความนิยมไทย 9.12 ความหมั่นในการศกึ ษาความรูอ้ ยู่เป็นนิจ 9.13 การเคารพยกย่อง คนดมี คี ณุ ธรรม 9.14 การมีอิสรภาพทางวิชาการ ความคิดและการกระทำ 9.15 ความสนั โดษ 9.16 ความสุภาพออ่ มน้อม ถ่อมตน 9.17 ความยึดมนั่ และปฏบิ ัตติ ามคำสอนในศาสนา 10. ค่านิยมทค่ี รูควรยดึ ม่นั ค่านิยม 12 ประการ ภาพประกอบท่ี 8.2 คา่ นิยม 12 ประการ 1. มีความรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 2. ซอ่ื สัตย์ เสียสละ อดทน มีอดุ มการณใ์ นสงิ่ ทด่ี งี ามเพ่ือส่วนรวม 3. กตัญญตู อ่ พ่อแม่ ผปู้ กครอง ครูบาอาจารย์ 4. ใฝห่ าความรู้ หม่นั ศึกษาเล่าเรียนทัง้ ทางตรง และทางอ้อม 5. รกั ษาวฒั นธรรมประเพณไี ทยอันงดงาม 6. มศี ลี ธรรม รักษาความสัตย์ หวงั ดีต่อผอู้ ่ืน เผื่อแผ่และแบ่งปัน 7. เขา้ ใจเรียนรู้การเปน็ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขท่ีถูกต้อง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 245 8. มรี ะเบยี บวินัย เคารพกฎหมาย ผ้นู ้อยรู้จักการเคารพผใู้ หญ่ 9. มีสติรตู้ วั รคู้ ิด ร้ทู ำ รู้ปฏิบัตติ ามพระราชดำรัสของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั 10. รจู้ กั ดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรสั ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ร้จู ักอดออมไวใ้ ช้เมื่อยามจำเป็น มไี ว้พอกนิ พอใช้ ถ้าเหลอื กแ็ จกจา่ ยจำหน่ายและพร้อม ท่จี ะขยายกจิ การเมอ่ื มีความพรอ้ ม เมอ่ื มภี ูมคิ มุ้ กันทีด่ ี 11. มคี วามเข้มแข็งทงั้ รา่ งกาย และจิตใจ ไมย่ อมแพต้ ่ออำนาจฝา่ ยตา่ ง ๆ หรอื กิเลส มคี วาม ละอายเกรงกลัวต่อบาปตามหลกั ของศาสนา 12. คำนึงถงึ ผลประโยชนข์ องส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ ของตนเอง คา่ นยิ มพนื้ ฐาน 5 ประการ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ร่วมกันพิจารณากำหนดค่านยิ มพื้นฐาน 5 ประการข้ึนไว้ และได้ประกาศใช้เพื่อให้ประชาชนในสังคมไทย ได้ดำเนินชีวิตตามหลักคุณธรรมเพื่อความปลอดภัย สนั ตสิ ุขของคนในสังคมและเพอ่ื ความม่ันคงของชาตดิ ังนี้ 1. การพ่งึ ตนเอง ขยันหมั่นเพียร และมคี วามรบั ผดิ ชอบ 2. การประหยัด อดออม 3. การมีระเบยี บวนิ ยั และเคารพกฎหมาย 4. การปฏบิ ตั ิตามคุณธรรมทางศาสนา 5. ความรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ เพอ่ื ให้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งค่านิยมดงั กล่าว สำนักงานคณะกรรมการการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ เห็นสมควรวางแนวปฏบิ ัติไว้ดังน้ี 1. การพงึ่ ตนเอง ขยนั หมัน่ เพยี ร และมคี วามรบั ผดิ ชอบ 1.1 การศกึ ษาหาความรู้อยเู่ ป็นนจิ 1.2 ฝึกฝนตนเองให้มคี วามร้คู วามสามารถและความชำนาญ 1.3 ใช้ความรคู้ วามสามารถของตนเองใหเ้ ต็มทก่ี ่อนที่จะขอความร่วมมอื จากผอู้ ่นื 1.4 มคี วามเข้มแข็ง อดทน ไมย่ อ่ ท้อต่ออุปสรรคและปญั หาทั้งปวง 1.5 ใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ 1.6 คดิ ชอบ ทำชอบ และแก้ปญั หาได้ 1.7 ขวนขวายประกอบอาชีพโดยสุจรติ ไมเ่ ลอื กงาน 1.8 รับผดิ ชอบตอ่ ตนเอง ต่อส่วนรว่ ม ต่อหน้าที่และการกระทำ 1.9 ปฏบิ ตั ิงานใหเ้ สร็จเรยี บรอ้ ย ไม่คง่ั คา้ ง 2. การประหยดั และอดออม 2.1 มคี วามเปน็ อยูอ่ ยา่ งเรยี บง่าย 2.2 มคี วามพอดใี นการบริโภคและเว้นการผ่อนส่งทีเ่ กนิ ความสามารถ 2.3 ใชท้ รัพยากรและเวลาเป็นประโยชนม์ ากท่สี ดุ 2.4 คำนึงถึงฐานะและเศรษฐกจิ คดิ ก่อนจ่าย ใชเ้ ทา่ ท่ีจา่ ยจรงิ 2.5 ไม่ใช่จ่ายสลุ ุ่ยสรุ า่ ย ฟมุ่ เฟือย หรือตระหน่ีถ่เี หนียวเกินไป
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 246 2.6 จัดงานหรือพิธีตา่ ง ๆ โดยใชจ้ ่ายเท่าทีจ่ ำเปน็ 2.7 เพิม่ พนู ทรัพย์ด้วยการเก็บและนำไปทำใหเ้ กิดประโยชน์ 2.8 รจู้ กั ใช้ ดแู ลรักษา และบูรณะทรัพย์ท้ังของตนและของสว่ นร่วม 2.9 วางแผนการใชจ้ ่ายใหร้ อบคอบ มสี ัดสว่ นและออมไว้บ้างตามสมควร 3. การมีระเบียบวนิ ัยและเคารพกฎหมาย 3.1 รักษาความสะอาดของบ้านเมอื ง 3.2 ช่วยกนั รักษาและไมท่ ำลายสาธารณสมบัตแิ ละสง่ิ แวดล้อม 3.3 รจู้ ักสิทธแิ ละหนา้ ท่ี และละเว้นการใช้อภสิ ทิ ธิ์ 3.4 รบั บริการและให้บริการตามลำดบั กอ่ นกลัง 3.5 สนับสนนุ และสง่ เสริมเจ้าหน้าทปี่ ฏิบัตติ ามกฎหมาย 3.6 ไมแ่ กไ้ ขปญั หาดว้ ยวธิ ีรนุ แรงหรือไม่ชอบด้วยระเบยี บวินัย 3.7 มีมารยาทในการขบั ขยี่ านพาหนะปฏิบัตติ ามกฎจราจรและชว่ ยดูแลทางสัญจรไปมา 3.8 ทำหนา้ ที่พลเมืองดีโดยแจ้งตอ่ เจา้ หน้าท่ี เมือ่ รเู้ ห็นการกระทำผดิ ระเบยี บวนิ ัยและกฎหมาย 3.9 รบั ผดิ ชอบและปฏิบตั ติ ามระเบียบวนิ ยั ในฐานะเจ้าหนา้ ที่ 4. การปฏิบตั ติ ามคณุ ธรรมของศาสนา 4.1 ไมเ่ บยี ดเบียนประทุษร้ายต่อคนและสัตว์ 4.2 มเี มตตากรุณา 4.3 ไมเ่ หน็ แกต่ วั ได้ เอ้อื เฟ้ือเผ่ือแผ่ และเสียสละ เหน็ ประโยชนส์ ่วนรวมยิง่ กว่าสว่ นตวั 4.4 ไม่พูดปด ไม่ยยุ งใหแ้ ตกร้าว ไมพ่ ูดคำหยาบ ไม่พูดเหลวไหล 4.5 มีความประพฤติดใี นความสัมพันธท์ างครอบครวั และเพศ 4.6 เว้นสงิ่ เสพติด มีสตสิ ัมปชญั ญะ 4.7 มคี วามละอายและเกรงกลวั ต่อการกระทำช่ัว 4.8 มคี วามอดทน อดกลน้ั 4.9 มคี วามกตัญญกู ตเวที 4.10 มีความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ 4.11 ละชั่วประพฤติดี ทำจิตใจใหผ้ อ่ งใส 4.12 เชอ่ื กฎแหง่ กรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชว่ั ได้ชั่ว 5. ความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 5.1 สถาบนั ชาติ 5.1.1 ศกึ ษาให้มีความเข้าใจประวตั กิ ารดำรงของชาติ 5.1.2 สอดส่องปองกันภัย และแก้ไขความเสียหายที่กระทบกระเทือนความมั่นคงของ สถาบนั ชาติ 5.1.3 ป้องกนั และรักษาผลประโยชน์ของชาติ 5.1.4 สง่ เสริมและรกั ษาเกยี รตขิ องชาติ ภาคภมู ิใจในความเปน็ ไทยและนยิ มไทย 5.1.5 สร้างเสรมิ และความสามัคคขี องคนในชาติ 5.1.6 เสยี สละประโยชน์สขุ สว่ นตวั และมชี วี ิตเพือ่ ประเทศชาติ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 247 5.1.7 ปฏิบัติหน้าที่ของพลเมืองดี โดยเข้ารับราชการทหาร ประกอบอาชีพสุจริต และเสยี ภาษีอากรเพือ่ พฒั นาประเทศ 5.1.8 ยกย่องให้เกียรตผิ ้ทู ี่ทำหน้าท่ปี อ้ งกนั และเสยี สละเพ่ือประเทศชาติ 5.1.9ปฏบิ ตั ิตามคตพิ จน์ที่วา่ “การรักษาวัฒนธรรม คอื การรกั ษาชาติ” 5.2 สถาบันศาสนา 5.2.1 ศกึ ษาศาสนาใหม้ ีความรคู้ วามเข้าใจอันถูกต้อง 5.2.2 ปลูกฝงั ความเชือ่ ความเสอ่ื มใสในศาสนาดว้ ยปัญญา 5.2.3 ปฏบิ ตั ิตามคำสั่งของศาสนาในชีวติ ประจำวัน 5.2.4 สอดส่องปอ้ งกนั ภัยและแกไ้ ขความเสยี หายที่กระทบกระเทือนความม่นั คงของ สถาบนั ศาสนา 5.2.5 ชว่ ยกนั สง่ เสริมทำนบุ ำรุงศาสนา 5.2.6 ไมท่ ำลายปชู นยี สถาน ปูชนียวตั ถแุ ละศิลปกรรมของศาสนา 5.2.7 เผยแผค่ วามรแู้ ละการปฏบิ ัติของศาสนา 5.2.8 เคารพเทิดทลู ศาสนาไม่กระทำการใด ๆ ในทางดหู มิ่นเหยยี ดหยาม 5.2.9 สรา้ งความเขา้ ใจอนั ดีระหว่างผนู้ บั ถอื ศาสนาต่างๆ 5.3 สถาบันพระมหากษตั รยิ ์ 5.3.1 ศกึ ษาหาความรู้ ความเข้าใจอนั ดเี ก่ยี วกบั สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ 5.3.2 รักษาและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข 5.3.3 สอดส่องป้องกันภัยและแก้ไขความเสียหายที่กระทบกระเทือน ความมั่นคง ของสถาบันพระมหากษัตริย์ 5.3.4 แสดงความจงรกั ภกั ดี เทดิ ทูนพระเกียรติและเผยแผพ่ ระราชกรณียกิจ 5.3.5 ร่วมกันประกอบความดีเพื่อความเป็นพระราชกุศล โดยเฉพาะในวันสำคัญท่ี เก่ียวกบั พระมหากษตั รยิ ์ 11. คา่ นิยมที่ครไู มค่ วรยดึ ม่ัน 11.1 การถือฤกษ์ถือยาม 11.2 ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ 11.3 ความฟุ่มเฟือย 11.4 ความนยิ มในศลิ ปวัฒนธรรมต่างชาติ 11.5 ความนิยมของนอก 11.6 การยึดถือสง่ิ ศักดิ์สทิ ธิ์ 11.7 การเสพสิ่งเสพตดิ มนึ เมา 11.8 การยกย่องคนรวยแต่มีพฤติกรรมไมเ่ หมาะสม 11.9 การใช้อำนาจในทางท่ผี ิด 11.10 การนยิ มตัวบุคคลมากกวา่ อุดมการณ์ 11.11 การเลน่ การพนนั
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 248 12. การพฒั นาค่านยิ มในวชิ าชีพครู การพฒั นา หมายถึง การทำให้เจรญิ ขนึ้ การพัฒนาคน หมายถึง การทำให้เกิดการเจริญงอกงามแก่ตน โดยมีลักษณะที่มีความเจริญ งอกงามมาจากภายใน กล่าวคือจิตใจของผู้ที่ได้รับการพัฒนานั้นยอมรับเพื่อความเจริญ หรือเพ่ือ สำเร็จตามจดุ ประสงคข์ องการพัฒนา การพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครูจึงหมายถึง การกระทำให้ครูยอมรับ ความสำคัญของวิชาชีพครู เพื่อความเจริญงอกงามของผู้ประกอบวิชาชีพครู และสถาบันวิชาชีพครูด้วย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครูก็คือ การทำความเชื่อความมั่นใจในคุณค่าของความเป็นครูให้ดีข้ึน บุคคลท่ีควรได้รบั การพัฒนานนั่ คือ นักศึกษาทเี่ ลือกเรียนวชิ าชีพครูพวกหน่งึ กบั ครอู าจารย์ที่กำลังทำ หนา้ ท่ีการสอนตามโรงเรยี นต่าง ๆ อีกพวกหน่ึง ยนต์ ชุ่มจิต (2541: 180-183) กล่าวว่า ครูอาจารย์สามารถพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครูให้ สูงขึ้นได้ โดยการนำอาชีพทางการสอนหรือวิชาชีพครูไปเปรียบเทียบกับงานอื่น ๆ ในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี คือ 1. เกียรตแิ ละศักดิ์ศรี การมีเกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพครู มิใช่อยู่ที่การได้รับเงินเดือนครั้งละ มาก ๆ แต่อยู่ที่ ความสุจริตของอาชีพ ตามพุทธภาษิตทีว่ ่า “สกุ ัมมิโก กิตติมาเวหาต”ิ แปลว่า “อาชพี ที่สุจริตมีเกียรติ ทง้ั ส้นิ ” 2. เป้าประสงค์ของวชิ าชีพ วิชาชีพหรืองานอาชีพบางอย่าง มีเป้าประสงค์เพื่อฐานะทางเศรษฐกิจหรือความร่ำรวยของ ผู้ประกอบอาชพี การทำงานนน้ั ๆ ส่วนเป้าประสงค์ของวิชาชีพครูท่ีแท้จริงมิไดอ้ ยู่ในฐานะความร่ำรวย และการมีงานทำถือว่าเป็นเป้าประสงค์รอง เป้าประสงค์สูงสุดของครู คือ การยกระดับวิญญาณข อง ศษิ ยไ์ ปสู่คณุ ธรรมอันสงู สดุ 3. ความก้าวหนา้ ในอาชพี ในบรรดาอาชีพรับราชการด้วยกัน อาชพี ครนู บั ว่ามีความกา้ วหน้ามากกว่าอีกหลาย ๆ อาชีพ ทั้งในด้านการเงิน และระดับชั้น หลักฐานในเรื่องนี้จะสังเกตได้จากมีบุคคลที่รับราชการอื่น ๆ พยายามหาโอกาสศึกษาต่อทางวชิ าชีพครู เพ่อื หาโอกาสสอบแขง่ ขันบรรจุเขา้ เปน็ ครูกันจำนวนมาก 4. สถานภาพทางวิชาชีพ วิชาชีพครูได้รับการยกย่องให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงเช่นเดียวกับวิชาชีพอื่น ๆ ซึ่ง ได้แก่ แพทย์ พยาบาล ทนายความ ตุลาการ สถาปัตยกรรม วศิ วกรรม และผู้ตรวจสอบ บัญชี เพราะวชิ าชีพเหล่านี้ ต้องใช้เวลาในการศึกษาเป็นระยะยาวนาน ต้องมีการฝึกฝน อบรม ต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมใน วิชาชพี อกี ด้วย กล่าวโดยสรุป จากการเปรยี บเทยี บงานอาชีพครูกบั งานอาชีพอนื่ ๆ ดังกล่าวมาแลว้ จะเห็นว่า วชิ าชีพครูมิได้มคี วามด้อยไปกวา่ วิชาชีพอน่ื ๆ เลย ไมว่ ่าจะเปน็ ในด้านความมเี กียรตมิ ีศักด์ิศรีในสังคม การกระทำประโยชน์ให้แก่สังคมและบ้านเมือง ความเจริญก้าวหน้าในการประกอบอาชีพหรือ สถานภาพทางวิชาชีพ เมื่อเป็นเช่นนี้นักศึกษาครู และครูอาจารย์ทุกคนจึงควรมีความมั่นใจ เชื่อมั่น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 249 ในคุณค่าของความเป็นครู ปฏิบัติหน้าที่ของครูอาจารย์ พัฒนาความสามารถในการสอน เสียสละ ความสขุ สว่ นตวั เพ่ือความเจริญกา้ วหนา้ ของตนเอง ของศษิ ย์ และของชาตบิ า้ นเมือง การพฒั นาคา่ นิยมในความเปน็ ครูนั้น นอกจากจะพัฒนาความรู้สึกของผปู้ ระกอบวิชาชีพตาม หลักการที่กล่าวมาแล้ว บุคคลที่เกี่ยวข้องกับครูทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันพัฒนาโดยอาศัยแนวทาง ดงั ต่อไปนี้ 1. ผู้มีหน้าที่บังคับบัญชาครูอาจารย์ทุกระดับชั้น จะต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีใน ด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม 2. ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับจรรยามารยาทของครู เพื่อให้ครูอาจารย์ทุกระดับชั้นได้รับรู้ และ นำไปปฏิบัติอย่างจริงจงั หากครูอาจารย์บุคคลใดฝ่าฝืนหลังจากได้รับการว่ากล่าวตักเตือนพอสมควร แล้วยังไมด่ ีขึน้ กค็ วรลงโทษตามความเหมาะสม 3. จัดกจิ กรรมทีเ่ ป็นการเสริมสรา้ งค่านิยมและคุณธรรมความเป็นครู เชน่ การจัดประกวดครู ดีเด่นในด้านต่าง ๆ การฝึกอบรมมารยาทแก่ ครู การฝึกสมาธิและการปฏิบัติธรรมหรือการฟัง ปาฐกถาธรรม เปน็ ต้น 4. จดั ใหม้ ีการทบทวน ช้แี จง ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านิยมของครอู ย่างสม่ำเสมอ 5. ประกาศเกยี รติคุณแก่ครูอาจารย์ ผู้มคี วามสามารถดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนการจัดให้ มีการส่งเสริมสวัสดิการแก่ครูอาจารย์ และครอบครัวที่มีคุณธรรมดีเด่น เช่น การมอบทุนการศึกษา ให้แกบ่ ุตร เปน็ ตน้ 6. การสอบบรรจุและการปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ ควรบรรจุเรื่องคุณธรรมและค่านยิ มของครู ไว้ดว้ ย เพราะอย่างนอ้ ยกช็ ว่ ยใหค้ รไู ด้หันมาสนใจในสิง่ เหลา่ นบ้ี า้ งตามสมควร 7. ทำการวจิ ยั เพ่ือหาทางแก้ไข ปรับปรงุ คุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยมของครู 8. จัดหาเอกสารเพือ่ การสร้างเสริมคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมของครูอาจารย์ได้อ่านกัน อยา่ งทั่วถึง 9. สถาบันที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพครู ต้องเร่งรัดพัฒนาวิชาชีพครูให้ก้าวหน้าโดยการส่งเสริม ความก้าวหนา้ ของครูอาจารย์ใหม้ ากทีส่ ดุ 10. การให้ทุนและการให้งานแก่นักศึกษาที่เลือกเรยี นครู วิธกี ารน้จี ะชว่ ยให้บุคคลมีความสนใจ ในความเป็นครูมากข้นึ เพราะมีเคร่ืองล่อใจและจะได้บุคคลทีม่ ีสติปัญญาค่อนข้างสูง รวมท้ังบุคคลที่มี ความประพฤติและบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับความเปน็ ครูยิ่งข้ึน ตามวิธีการนี้บุคคลที่มีสิทธิได้รับการ คัดเลือกเข้าเรียน ควรจะต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลายไม่ต่ำกว่า 3.00 เมื่อสอบคัดเลือกเข้าเรียนได้จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ผลการเรียนในแต่ละปีจะต้อง ไมต่ ำ่ กว่า 2.75 หากทำไม่ได้ตามเกณฑก์ ็จะถูกตดั สทิ ธใิ นการรับ ทุน และการบรรจุเข้าทำงาน 13. การพฒั นาและการปลกู ฝงั ค่านิยมของนกั เรยี น ค่านิยมเป็นเสมือนเข็มทิศชี้แนวทางของสังคม หากบุคคลในสังคมยึดค่านิยมที่ไม่ถูก ไม่ควร และมีคา่ นยิ มที่ผิด ๆ ยอ่ มมีผลทำให้สงั คมไมส่ งบสุข มคี วามเสอื่ มของสังคมเกดิ ขน้ึ โรงเรียน และครู – อาจารย์จึงมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาและปลูกฝังค่านิยมของ นักเรียนให้เหมาะสม ถูกต้องและสอดคล้องกับสังคมตามหลักสากลโลก โดยจะตองช่วยให้นักเรียน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 250 รู้จักเลือกเฟ้น ตรวจสอบ และประเมินค่าของค่านิยม รับค่านิยมที่พึงประสงค์เข้ามาเป็นคุณสมบัติ ของตน เพ่อื ที่จะได้ยดึ เปน็ แนวทางการดำเนนิ ชีวิตต่อไป การพัฒนาและปลูกฝังค่านิยมของนักเรียนนั้นมีหลักการกว้าง ๆ โดยทั่วไปเป็นกิจกรรมที่ จะต้องทำต่อเนื่องตลอดระยะเวลา ฉะนั้นจึงมีสูตรสั้น ๆ ให้จำง่าย ๆ และนำสู่การปฏิบัติได้ทันที ดังน้ี (สมพงษพ์ ยงุ กจิ , 2538) 1. บอกดีบอกชั่ว ครูเป็นผู้รู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดเลว ครูควรเป็นผู้บอกเด็กบ่อยครั้ง และครั้งละ น้อย ๆ ให้ค่อยจดค่อยจำ บอกบ่อย ๆ แตอ่ ยา่ บน่ 2. ทำตัวเป็นแบบ ต้นแบบเป็นอย่างไร เด็กมักจะเป็นอย่างนั้น ครูจำต้องเป็นแบบอย่างดี ให้กับเด็กนักเรยี น นอกจากครูจะทำตัวเปน็ แบบอย่างท่ีดแี ล้ว จะต้องจัดสภาพแวดล้อมช่วยดว้ ย เชน่ ตอ้ งการให้นกั เรยี นรกั ความสะอาด โรงเรยี นต้องสะอาด มีถังขยะ เปน็ ต้น 3. แอบแทรกสิ่งควร ครูกับเด็กใกล้ชิดกัน เมื่อไรมีโอกาสพูดคุยขอให้ครู อดแทรกคุณธรรม ลงไป แต่อยา่ ให้มากจนกลายเป็นการสอน เดก็ จะพาลเบ่อื 4. ชวนร่วมกิจกรรม การที่เด็กจะดูดซับคุณธรรมไว้ภายในจิตใจและเกิดเป็นค่านิยมขึ้นนั้น ไม่ใชเ่ พยี งการรับรู้อย่างเดยี ว แต่จะตอ้ งได้ลงมือปฏิบัติดว้ ย การไดล้ งมือประกอบกิจกรรมและเห็นผล การประกอบกิจกรรมนั้น ๆ เป็นความภูมิใจยิ่งของเด็ก กิจกรรมที่ให้เด็กทำควรเป็นกิจกรรมง่าย ๆ เด็กสามารถทำได้ เช่น การให้นักเรียนแสดงบทบาทสมมติ การหยิบยกประเด็นมาศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) และการจดั กจิ กรรมเสริมหลักสตู ร ตามความสนใจของเด็ก เป็นตน้ ครูมีหน้าทีโ่ ดยตรง ในการปลกู ฝงั ค่านยิ มและจรยิ ธรรม เพราะครมู ีหน้าทใี่ นการอบรมสั่งสอน จงึ ควรถา่ ยทอดค่านิยมและจริยธรรมให้แกศ่ ษิ ย์ ดงั นี้ 1. เคารพผอู้ าวุโสและครบู าอาจารย์ 2. รักบดิ ามารดาและญาติพีน่ ้อง 3. จงรักภกั ดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 4. มาโรงเรียนดว้ ยเส้ือผา้ สะอาดเรยี บร้อย ค่านิยมและจรยิ ธรรมทคี่ รูควรปลกู ฝงั แกศ่ ิษย์ 5. รกั ษาโรงเรยี นและชั้นเรียนให้สะอาดเรียบรอ้ ย 6. น่งั ยนื และเดิน ให้องอาจ มสี งา่ 7. บริหารรา่ งกายทกุ วนั 8. ทำการบ้านให้เสร็จเรยี บร้อยตามกำหนด 9. ตง้ั ใจเรียน 10. เชือ่ ฟังคำแนะนำและประพฤตปิ ฏบิ ตั ิหนา้ ทีด่ ว้ ยความรับผิดชอบ 11. ประพฤตดิ ที ุกวาระ 14. บทสรปุ ค่านิยม หมายถงึ ความนิยม ชมชอบในแนวคดิ การกระทำ ความประพฤติอย่างหน่ึงอย่างใด ว่าเป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่าพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ในชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือตลอดไป ซึ่งค่านิยมของบุคคล ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย ค่านิยม แบ่งออกเป็น 6 ชนิด คือ ค่านิยมทางวัตถุ ค่านิยมทาง สังคม ค่านิยมทางความจริง ค่านิยมทางจริยธรรม ค่านิยมทางสุนทรียภาพ และค่านิยมทางศาสนา ค่านิยมของคนเราเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบตา่ ง ๆ ดงั น้ี คอื ความคิดและประสบการณ์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 251 การอบรมสั่งสอน การชักชวนจากบุคคลอื่น การปลูกฝังอุดมการณ์ การเห็นตามกัน การใช้กฎข้อบังคับ ความนิยมตามยคุ ตามสมัย และความเปลีย่ นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม ดังนั้นบุคคลที่ประกอบวิชาชีพครูทุกคน ควรปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงค่านิยมขอตนเอง ใหเ้ ป็นไปตามท่ีสังคมยอมรับเหน็ วา่ ดงี าม เชน่ คา่ นยิ มพ้ืนฐาน 5 ประการ คา่ นิยมทีพ่ งึ่ ประสงค์ของครู ซง่ึ การปลูกฝงั และการพฒั นาค่านยิ มเปน็ เร่ืองที่ควรเอาใจใส่ ดำเนนิ การตามลำดับข้นั ตอน คอื ขน้ั ท่ี 1 การสร้างศรัทธาให้เกิดค่านิยมนั้น ๆ ขั้นที่ 2 การให้ความรู้ในเรื่องค่านิยมและวิธีปฏิบัติตามค่านิยม ข้ันที่ 3 การสง่ เสริมให้ปฏิบตั ิตามค่านิยม เพอ่ื ใหไ้ ดช้ ่อื วา่ เปน็ ครทู ี่ดเี หมาะสมกับสงั คมปจั จบุ ัน บุคคลที่ ประกอบวิชาชีพครูทุกคน ตอ้ งใหค้ วามสำคญั กับการพฒั นาคา่ นยิ มของตน อนั จะเป็นการสง่ ผลต่อการ พฒั นาวชิ าชีพครโู ดยสว่ นรวม คำถามทบทวน 1. จงอธิบายความหมายและความสำคัญของคา่ นยิ ม 2. “สงั คมใดท่ีมคี ่านิยมถูกตอ้ งเหมาะสม สงั คมนั้นย่อมมีความเจริญก้าวหน้า” มีความหมาย วา่ อย่างไร 3. คา่ นิยมพืน้ ฐาน 5 ประการ มอี ะไรบ้าง และมีแนวทางปฏบิ ตั ิอยา่ งไร 4. ตามความคดิ นักศึกษา ค่านยิ มใดท่ีสมควรไดร้ ับการแก้ไขในสังคมไทย 5. จงอธบิ าย ค่านยิ มที่พง่ึ ประสงคแ์ ละไม่พึ่งประสงคข์ องครู 6. ในฐานะนกั ศึกษาวชิ าชีพครู มวี ิธีการบรู ณาการเรยี นการสอนเพ่ือสร้างคา่ นยิ มอยา่ งไร เอกสารอา้ งองิ ทรงพล เจริญคำ. (2557). สมรรถนะและศกั ยภาพของครู. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : https://www.slideshare.net/kongmaya/ss-32236591 สืบคน้ ข้อมูลเมื่อวนั ท่ี 4 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. นงนชุ มะยมทอง. (ม.ป.ป). คุณธรรม จรยิ ธรรมในการทำงาน. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.dsd.go.th/Trat/Region/showhilight/3509 สืบค้นข้อมูลเมื่อวนั ที่ 4 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564 มณีวรรณ เหลี่ยมจงกล. (2555). ค่านยิ มพ้นื ฐาน 8 ประการ. [ระบบออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก : https://maneewaan.wordpress.com สืบคน้ ข้อมลู เม่ือวนั ที่ 4 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 สำนกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ กระทรวงวัฒนธรรม. (2549). คา่ นยิ ม และ สภาพแวดลอ้ มท่พี ึงประสงค์ของสังคมไทย. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://book.culture.go.th/newbook/book/other/kaneeyom สบื ค้นข้อมลู เมือ่ วันที่ 4 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2564. สำนักงานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ กระทรวงวฒั นธรรม. (2549). คา่ นยิ ม และ สภาพแวดล้อมที่พึงประสงคข์ องสังคมไทย. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : http://book.culture.go.th/newbook/book/other/kaneeyom สบื คน้ ขอ้ มลู เมือ่ วันที่ 4 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564.
252 Blogger. (2558). การพฒั นาบุคลิกภาพและคา่ นิยมในอาชีพครู. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก : http://tn-sumittano5.blogspot.com/ สืบคน้ ขอ้ มลู เม่ือวนั ที่ 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564. มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง บทท่ี 9 จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู อาชีพครูเป็นอาชีพท่ีสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเองและต่อเด็กเยาวชนผู้ท่ีต้องการความรู้ที่ยัง จะตอ้ งศึกษา มันเป็นสิ่งทส่ี ำคัญและมคี ุณค่าอย่างมากมาย ฉะนน้ั ครตู ้องมีความม่ันใจในตัวเองใหม้ าก มีความรักมีความรักความชื่อสัตว์ต่อตนเองและต่อสถาบันต่อเพื่อนพ้องในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน การเรียนการสอน ดา้ นการศกึ ษา ปลูกฝงั สิ่งท่ีดีใหแ้ ก่ใหแ้ กต่ นเองและสถาบนั ไม่ว่าจะด้านไหนเราต้อง หม่ันเรยี นรู้หมั่นศึกษา เพ่ือท่ีจะพัฒนาตนเองให้มศี ักยภาพมีประสิทธิภาพในการสรา้ งองค์ความรู้ใหม่ ใหม้ คี วามชำนานสามารถนำไปฝึกสอนได้อยา่ งมีคุณภาพและประสิทธภิ าพท่ดี ีต่อสงั คมต่อเด็กเยาวชน ในความเป็นครูต้องรู้จักให้อภัยทำตัวให้มีความน่าเคารพน่านับถือสามารถเป็นผู้นำเป็นผู้ให้ คำแนะนำเป็นผู้สอนและให้ความรู้ท่ีดีได้ แบ่งเวลาการทำงานท่ีถูกต้อง ตรงต่อเวลาให้ความสำคญั กับ เวลาไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามเพราะมันจะเป็นการผลักดันให้เราดูเหมือนมีความรับผิดชอบต่อเวลาและ เร่ืองราวต่างๆ ค้นหาข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์แก่สถาบัน เช่นคิดค้นหากิจกรรมต่างๆที่ควรจะจัด และจะต้องมีประโยชน์สามารถให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาผู้ท่ียังไม่ได้รู้ เช่น เพ่ือน ครูอาจารย์ การเป็นครู คอื ผูถ้ ่ายทอดวชิ าความรู้ความสามารถ คือการเปน็ ผู้นำ ฉะนั้นครตู ้องมคี วามรู้และความสามารถที่จะ สร้างคนให้มีประสิทธิภาพท่ีดีมีความรู้ความสามารถ ครูจึงเป็นบุคคลหนึ่งท่ีสำคัญท่ีจะสร้างเด็กและ เยาวชนใหไ้ ด้ดีมคี วามร้ใู นวนั ขา้ งหนา้ และในอนาคต วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง มีวิถีทางแห่งปัญญาในการบริการ มีเสรีภาพทางวิชาการ และ ได้รับการยกย่องจากสังคมทั่วไป เช่นเดียวกับวิชาชีพช้ันสูงอ่ืน ๆ เช่น แพทย์ วิศวกร ทนายความ สถาปนิก วิชาชีพเหล่าน้ีต่างมีจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพน้ัน ๆ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ และ เป็นการสร้างความเช่ือถือให้เกิดในวิชาชีพ และมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ สร้างความเจริญก้าวหน้าใน วิชาชีพ และยกระดับวิชาชีพของตนให้เป็นที่ยอมรับในสังคม จรรยาบรรณในวิชาจึงเป็นส่ิงสำคัญใน การจำแนกอาชีพว่า ครูเป็นวิชาชีพ การกำหนดมาตรฐานของความประพฤติของผู้อยู่ในวงการ วิชาชีพครูซ่ึงเรียกว่า “จรรยาบรรณ” เพื่อให้สมาชิกในวิชาชีพครูดำเนินชีวิตตามหลักมาตรฐาน ท่ีกำหนดไว้ในจรรยาบรรณวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพครูของประเทศไทย ได้ถูกกำหนดขึ้น โดยคุรสุ ภา ซ่ึงเปน็ องค์การวชิ าชพี 1. ความหมายของจรรยาบรรณวชิ าชพี ครู วิชาชพี ช้ันสูงใด ๆ ก็ตาม ไม่ใช่เปน็ การรวมกลุ่มของบุคคลซ่ึงประกอบด้วยอาชพี เดียวกนั หรือ ปกป้องผลประโยชน์ของสมาชิกในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น แต่ยังต้องมีความรับผิดชอบในเร่อื งความสาม รถและคุณภาพของสมาชิกในวิชาชีพน้ัน ๆ ด้วย จึงมักมีการกำหนดข้อห้ามมิให้สมาชิกระทำหรือ ประพฤติ อันจะก่อให้เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียต่อวิชาชีพโดยส่วนรวมสิ่งที่ช่วยยับย้ังเตือนสติการ กระทำนี้ คือ จรรยาบรรณของวิชาชีพ อาชีพครูซ่ึงเป็นวิชาชีพช้ันสูงอาชีพหน่ึง จึงต้องมีจรรยาบรรณ วิชาชีพครูด้วย ในฐานะครูด้วย ในฐานะครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ ต้องมี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 254 กิริยามารยาทท่ีงดงาม ครูต้องมีจรรยาบรรณและวินัยในตนเอง เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการ ปฏิบัติตน ดงั น้นั จึงมผี ู้ให้ความหมายไว้หลายอย่างดงั น้ี พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า “จรรยาบรรณ” ไว้ว่าเป็นคำนาม หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดข้ึน เพ่ือรักษาและ ส่งเสรมิ เกียรตคิ ณุ ชอ่ื เสยี งและฐานะของสมาชิก อาจเขยี นเป็นลายลกั ษณ์อักษรหรือไม่กไ็ ด้ สำนักงาน ก.พ. กล่าวว่า “จรรยาบรรณ” หมายถึง ประมวลความประพฤติเพื่อรักษาไว้ ซึ่งศักด์ิศรีและส่งเสริมชื่อเสียงเกียรติคุณ เกียรติฐานะของข้าราชการพลเรือน อันจะยังผลให้ผู้ ประพฤติเปน็ ทเี่ ลือ่ มใสศรทั ธาและยกยอ่ งของบุคคลทว่ั ไป ไกรนุช ศิริพูล กล่าวว่า จรรยาบรรณของครู คือ หนังสือหรือเอกสารท่ีว่าด้วยกิริยาท่ีครูควร ประพฤตปิ ฏิบัติ ยนต์ ชุ่มจิต กล่าวว่า จรรยาบรรณของครู หมายถึง ประมวลความประพฤติ หรือกิริยา อาการที่ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครูควรประพฤตปิ ฏบิ ัติ เพื่อรักษา สง่ เสริมเกียรติคุณ และฐานะของความ เป็นครู จากความหมายพอสรุปได้ว่า จรรยาบรรณของครู หมายถึง ประมวลความประพฤตทิ ี่ว่าด้วย กิรยิ า ที่ครูควรปฏิบัติ เพ่ือรักษา ส่งเสริมเกียรติคุณช่ือเสียงและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลาย ลักษณอ์ กั ษรหรือไม่ก็ได้ และฐานะของความเปน็ ครู 2. ความสำคัญของวิชาชีพครู การสอนเป็นภารกิจหลักของครู ครูมืออาชีพจึงต้องเน้นการสอนให้มีคุณภาพ เพราะว่า คุณภาพการสอนของครูย่อมส่งผลดีต่อนักเรียนและเยาวชนของชาติ การประเมินคุณภาพของครูจึง สมควรอย่างยิ่งท่ีจะต้องประเมินจากตัวเด็กและเยาวชนของชาติ ดังคำกล่าวที่ว่า “คุณภาพของเด็ก” สะท้อน “คุณภาพของครู” ดังน้ัน ครูมืออาชีพควรมีและควรเป็นก็คือ ต้องเน้นคุณลักษณะพื้นฐาน น่นั คือ ฉันทะ เมตตาและกลั ยาณมิตร ซึง่ ถือวา่ เปน็ คณุ ภาพพนื้ ฐานท่สี ำคญั ของครูและพัฒนาการสอน ของครูซ่ึงเป็นภารกิจหลัก โดยเฉพาะการสอนอย่างมีคุณภาพ นั่นคือ ครูมืออาชีพ จึงต้องมีคุณธรรม โน้มนำทำการสอนอย่างมีคุณภาพมีภาพลักษณ์ของความเป็นครูดี เพ่ือพัฒนาศักด์ิศรีของอาชีพครู สบื ไป ราชบัณฑิตยสถาน ได้กล่าวว่า วิชาชีพ คือ อาชีพที่ต้องอาศัยวิชาความรู้ ความชำนาญ และ ไปดขู ้อบงั คับครุ สุ ภา ว่าด้วย มาตรฐานวชิ าชพี และจรรยาบรรณของวิชาชีพ \"วิชาชีพช้ันสูง\" ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย คือ จะต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้สูง มีมาตรฐาน ในการปฏิบัติงานสูงข้ึน มีการติดตาม ศึกษา ค้นหาความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งความรู้ทางคณิตศาสตร์ ภาษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ คุณธรรม จริยธรรม เศรษฐศาสตร์ ดนตรี สุขภาพ อนามัย ฯลฯ ทงั้ ความรทู้ ี่เกิดขึ้นในและต่างประเทศ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 255 ครูกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง คือ การทำให้ครูมีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง โดยมี พันธะหน้าท่ีในการสั่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนดีและมีความรู้ ซ่ึงถือเป็นภาระหน้าที่หนักหนากว่าคน ธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงต้องทำให้ครูยืนอยู่ในสังคมได้อย่างสง่างาม และไม่เดือดร้อนเร่ืองฐานะความ เปน็ อยู่ เพื่อใหพ้ วกเขาทุ่มเทพลงั ทั้งหมดในการสร้างเยาวชนทีม่ คี ุณภาพและคุณธรรม ทัศนีย์ บัวคำ ได้กล่าวว่า ครูเป็นวิชาชีพช้ันสูง (profession) ท่ีได้รับการยอมรับมาช้านาน กว่าร้อยปีอย่างเป็นทางการโดย เฉพาะประเทศไทย ความเป็นวชิ าชีพของอาชีพครู มีองค์ประกอบที่ สำคญั อยู่ 6 ประการ คือ 1. วิชาชพี ทใี่ หก้ ารบรหิ ารแกส่ งั คมในลักษณะทม่ี ีความจำเปน็ และเจาะจง (social service) 2. สมาชิกในวงการวิชาชีพครูจะต้องใช้วิธีการแห่งปัญญาในการให้บริหาร (intellectual method) 3. สมาชิกในวงการวิชาชีพครูจักต้องได้รับการศึกษาอบรมให้มีความรู้ กว้างขวางลึกซ้ึง โดย ใช้ระยะเวลายาวนานพอสมควร (long period training ) 4. สมาชิกในวงการวิชาชีพครูจักต้องมีเสรีภาพในการใช้วิชาชีพน้ัน ๆ ตามมาตรฐานของ วชิ าชีพ (Professional autonomy) 5. วิชาชีพครจู ะต้องมีจรรยาบรรณ (professional ethics) 6. วิชาชีพครูจะต้องมีสถาบันวิชาชีพเป็นแหล่งกลางในการสร้างสรรค์ จรรโลงความเป็น มาตรฐานวิชาชีพ (professional institute) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีการกำหนดเก่ียวกับวิชาชีพไว้ว่า กระบวนการ ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานท่ีเหมาะสมกับ การเป็นวิชาชีพช้ันสูง โดยรัฐจัดสรรงบประมาณและกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากร ทางการศึกษาอย่างเพียงพอ มีกฎหมาย ว่าด้วย เงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ ฯลฯ ให้มีองค์กร วิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา เป็นองค์กรอิสระมีอำนาจหน้าที่กำหนด มาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ รวมทั้งกำกับดูแลการปฏิบัติตาม มาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากร ทางการศึกษาอ่ืนทงั้ ของรฐั และเอกชน ต้องมีใบอนุญาตประกอบวชิ าชีพ ครู เป็นวิชาชีพทท่ี ุกประเทศ ต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย วิชาชีพครูจึงมีความสำคัญเป็น อย่างมากในการช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้แก่เด็กนักเรียนให้มีศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ผู้ที่เข้า เรียนหลักสูตรการผลิตครู จะได้รบั ใบประกอบวิชาชพี ครู เพอื่ ใช้ทำการสอน ดงั นนั้ ผู้ทไี่ มไ่ ด้เรียนมาใน หลักสูตรการผลิตครู ก็จะไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพครู ซ่ึงนั่นหมายความว่า ถ้าใครในประเทศไทยท่ี ทำการสอนโดยไมม่ ใี บวชิ าชพี ครู ถอื ว่าเปน็ \"ครู\"ทีผ่ ิดกฎหมาย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 256 3. วัตถปุ ระสงค์ของจรรยาบรรณวชิ าชพี ครู วัตถุประสงค์ของจรรยาบรรณวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถแบ่งออกเป็น 4 ข้อ ดังนี้ 1. เพ่ือให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีวินัยในตนเองและพัฒนาตนเองมีวิสัยทัศน์มีความ ประพฤติดีสำนึกในหนา้ ท่แี ละเปน็ ทย่ี อมรับของบุคคลท่วั ไป 2. เพื่อให้ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษารกั ศรัทธาและซื่อสัตย์สจุ รติ รับผิดชอบต่อวชิ าชีพ 3. เพ่ือให้ครูและบุคลากรทางการศึกษารักเมตตาเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริมให้กำลังใจแก่ ศิษย์และผ้รู ับบรกิ ารด้วยความจริงใจและเสมอภาค 4. เพื่อให้ครแู ละบุคลากรทางการศึกษาได้ช่วยเหลือเก้ือกูลซึ่งกันและกันอยา่ งสร้างสรรคโ์ ดย ยึดม่ันในระบบคุณธรรมสรา้ งความสามัคคใี นหมคู่ ณะ 4. เกณฑม์ าตรฐานวิชาชพี ครู ผู้ประกอบอาชีพทุกอาชีพจะ ต้องมีระเบียบวิธีการปฏิบัติเป็น ลักษณะเฉพาะของตนเอง ซึ่งระเบียบหรือแนวปฏิบัตินั้นจะ ต้องสอดคล้องกับศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีของสังคม น่ันก็คือ ทกุ คนทุกอาชีพจะ ตอ้ งปฏิบัตติ ามจรรยาบรรณแหง่ วิชาชีพของตน พิบลู ย์ กระแสสขุ กล่าวในเรอื่ งจรรยาบรรณของวชิ าชีพครวู ่า มคี วามจำเป็นอย่างมาก เพราะ งานจัดการศึกษาจะสำเร็จลงได้เพราะครูผู้ปฏิบัติแต่ด้วยเหตุที่ครูเป็นมนุษย์มีชีวิตจิตใจ ความรู้สึกทำ ให้ครูมีความพึงพอใจมีความรักในอาชีพรู้บทบาทหน้าท่ี ปฏิบัติหน้าท่ีอย่างมีอุดมการณ์ยึดมั่นใน จรรยาบรรณวิชาชีพ และโดยเฉพาะอย่างย่ิงอาชีพครูซ่ึงเป็นที่คาดหวังของสังคมว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรมปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ เป็นแบบอย่างแก่ศิษย์และ ผู้คนท่ัวไป การพัฒนาส่งเสริมพฤติกรรมของครูให้เป็นไปตามจรรยาบรรณวิชาชีพครูจึงเป็นเร่ืองสำคัญ เพราะ วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพช้ันสูง มีสภาวิชาชีพ มีจรรยาบรรณวิชาชีพ ซ่ึงจรรยาบรรณเป็นเรื่องของ ความรู้สึกนึกคิดที่รับผิดชอบต่อสังคมและ ประเทศชาติซ่ึงจะต้องอาศัยคุณธรรมทางศาสนาเข้ามา ประกอบด้วย บางอาชีพมีจรรยาบรรณเข้ามาควบคุมอย่างเคร่งครัดโดยกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร หากผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ ฝ่าฝืนหรือละเมิดก็จะถูกคาดโทษหรือลงโทษแล้วแต่กรณีหากร้ายแรงก็ อาจจะมีการถอดถอนใบอนญุ าตประกอบอาชพี นั้นด้วย พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ กล่าวว่า จรรยาบรรณวิชาชีพครู คือ กฎแห่งความประพฤติสำหรับ สมาชิกวิชาชีพครูซึ่งองค์กรวิชาชีพครูเป็นผู้กำหนด และสมาชิกในวิชาชีพทุกคนต้องถือปฏิบัติ โดยเคร่งครัด หากมีการละเมดิ จะมีการลงโทษ จะตอ้ งมีลักษณะ 4 ประการ คือ 1. เป็นคำมน่ั สญั ญาหรือพันธะผูกพนั ต่อผเู้ รียน (Commitment to the student) 2. เป็นคำมัน่ สัญญาหรอื พนั ธะผกู พันต่อสงั คม (Commitment to the society) 3. เปน็ คำมน่ั สญั ญาหรอื พนั ธะผกู พนั ตอ่ วิชาชพี (Commitment to the profession) 4. เป็นคำม่ันสญั ญาหรือพันธะผูกพนั ต่อสถานปฏบิ ตั งิ าน (Commitment to the employment practice)
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 257 สำนักเลขาธกิ ารครุ สุ ภาได้กำหนดจรรยาบรรณของครไู ว้ 9 ประการ ดงั น้ี 1. ครู ต้องรักเมตตา โดยให้ความเอาใจใส่ และช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจ ในการศึกษา เล่าเรียนแก่ศษิ ย์โดยเสมอหน้า 2. ครูต้องอบรม ส่ังสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้เกิดแก่ ศิษย์อยา่ งเตม็ ทค่ี วามสามารถด้วยความบริสุทธใิ์ จ 3. ครูต้องประพฤตปิ ฏิบัตติ นเป็นแบบอยา่ งท่ีดีแก่ศษิ ยท์ ั้งกายวาจา และจติ ใจ 4. ครูต้องไมก่ ระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จติ ใจอารมณแ์ ละสังคม ของศิษย์ 5. ครูต้องไมแ่ สวงหาประโยชนอ์ ันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษยใ์ นการปฏบิ ตั ิหน้าท่ีตามปกติและ ไม่ให้ศิษย์กระทำการใดๆ อันเปน็ ประโยชนใ์ หแ้ กต่ นโดยมชิ อบ 6. ครูย่อมพัฒนาทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ให้ทนต่อการพัฒนาทาง วิทยาการ เศรษฐกจิ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ 7. ครูย่อมรกั และศรัทธาในวชิ าชพี ครแู ละ เป็นสมาชิกท่ีดขี ององค์กรวชิ าชีพครู 8. ครูพงึ ช่วยเหลอื เกือ้ กลู ครูและชมุ ชนในทางสร้างสรรค์ 9. ครพู งึ ประพฤติปฏิบตั ิตน เป็นผ้นู ำในการอนุรกั ษแ์ ละ พฒั นาภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทย ดังท่ี บวร ทองยัง กล่าวว่า ในการประกอบวิชาชีพนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการใน การควบคุมจรรยาบรรณของผู้ประกอบอาชีพน้ันๆ โดยมีข้อจำกัดท่ีชัดเจนเพื่อสามารถนำไปสู่การ ปฏิบัติและ ต้องมีองค์กรทีทำหน้าท่ีในการควบคุมดูแล ซึ่งกำหนดให้มีการออกใบอนุญาตในการ ประกอบอาชพี เพื่อเป็นตัวควบคุมจรรยาบรรณของผู้ประกอบอาชีพ ถ้าไม่มีมาตรการหรอื องค์กร ใน การพิจารณาผู้กระทำผิดจรรยาบรรณครูก็สามารถก่อให้เกิดความเส่ือมในวิชาชีพได้ดังนั้นการท่ีมี จรรยาบรรณในวิชาชีพน้ัน จำเป็นต้องเป็นผทู้ ่ีมีจริยธรรมในตวั เองอย่างสงู เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและ เปลีย่ นแปลงไปในทางทีด่ ขี ้นึ สรุปว่า ความสำคัญของจรรยาบรรณครูเป็นส่ิงที่ชี้ให้เห็นถึงความเป็นครูของครูอย่างแท้จริง อาชีพครูมีคุณค่าและ ส่งผลต่อทุกวิชาชีพเช่นนี้ต้องมีจรรยาบรรณระดับสูงเท่าน้ัน จึงสามารถรักษา อาชพี ครูให้คงอยู่ต่อไป 5. พฒั นาการของจรรยาบรรณวิชาชีพครู จรรยาบรรณวิชาชีพครูนั้นมีการกำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในปีพุทธศักราช 2506 มีหม่อมหลวงป่ินมาลากุลรัฐมนตรี ว่าการ กระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้นเป็นผู้ริเริ่มโดย สามารถแบง่ พฒั นาการของจรรยาบรรณวชิ าชีพสามารถสรปุ ได้ดงั นี้ ฉบับท่ี 1 เรียกว่าระเบยี บคุรสุ ภา วา่ ด้วย วินยั ตามระเบยี บประเพณขี องครู พ.ศ. 2506 1. ครูต้องสนบั สนุนและปฏิบตั ิตามนโยบายของรฐั บาลด้วยความบรสิ ุทธิ์ใจ 2. ครูต้องต้ังใจปฏิบัติหน้าท่ีของครูให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ ของสถานศึกษา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 258 3. ครูต้องสุภาพเรียบร้อยเช่ือฟังและไม่แสดงความกระด้างกระเด่ืองต่อผู้บังคับบัญชาผู้อยู่ใต้ บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตามคำส่ังผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและ ระเบียบแบบแผนของการศึกษาในการปฏิบัติหน้าท่ีการงานห้ามมิให้กระทำข้ามผู้บังคับบัญชาเห นือ ตนเว้นแตผ่ ูบ้ ังคับบญั ชาเหนือขึ้นไปเป็นผูส้ ่ังใหก้ ระทำหรอื ไดร้ บั อนญุ าตเป็นพเิ ศษช่วั ครั้งช่ัวคราว 4. ครูต้องอุทศิ เวลาของตนให้สถานศกึ ษาจะละท้ิงหรอื ทอดท้ิงหน้าที่การงานมิได้ 5. ครตู อ้ งประพฤตติ นอย่ใู นความสจุ รติ และปฏบิ ัติหนา้ ทขี่ องตนดว้ ยความซื่อสัตย์เทย่ี งธรรม 6. ครูต้องรักษาชื่อเสียงของครูมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วห้ามมิให้ประพฤติการใด ๆ อัน อาจทำใหเ้ สื่อมเสียเกียรติศกั ดแ์ิ ละช่ือเสียงของครูเชน่ ประพฤติตนเปน็ คนเสเพลเสพเครอื่ งดองของเมา จนไม่อาจครองสติได้มีหนี้สินรุงรังหมกมุ่นในการพนันกระทำผิดอาญาประพฤติผิดในทางประเวณีต่อ บุคคลหรือคู่สมรสของผู้อื่นกระทำหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการอ่ืนใดอันอาจทำให้เส่ือมเสียเกียรติศักดิ์ ของตำแหน่งหนา้ ทข่ี องตน 7. ครูต้องประพฤตติ นเปน็ แบบอย่างทด่ี ีแก่ศษิ ย์และไมด่ หู มน่ิ เหยยี ดหยามบุคคลใด 8. ครูต้องถือและปฏิบัตติ ามแบบธรรมเนียมของสถานศกึ ษา 9. ครูตอ้ งรกั ษาความสามัคคีระหว่างครแู ละช่วยเหลอื ซง่ึ กันและกันในหน้าที่การงาน 10. ครตู ้องรักษาความลบั ของศษิ ยผ์ ้รู ่วมงานและสถานศึกษา ฉบับที่ 2 เรียกว่าระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย จรรยามรรยาทตามระเบียบประเพณีของครู พ.ศ. 2506 1. ครคู วรมีศรัทธาในอาชีพครแู ละให้เกยี รติแก่ครดู ้วยกัน 2. ครูควรบำเพญ็ ตนให้สมกับทไี่ ดช้ อ่ื วา่ เปน็ ครู 3. ครคู วรใฝ่ใจศึกษาหาความรคู้ วามชำนาญอยเู่ สมอ 4. ครคู วรต้ังใจฝกึ สอนศิษยใ์ ห้เปน็ พลเมอื งดขี องชาติ 5. ครูควรร่วมมอื กับผู้ปกครองในการอบรมสง่ั สอนเด็กอย่างใกลช้ ดิ 6. ครคู วรรู้จกั เสียสละและรบั ผดิ ชอบในหนา้ ท่กี ารงานท้ังปวง 7. ครูควรรกั ษาชอ่ื เสียงของคณะครู 8. ครคู วรรจู้ ักมธั ยสั ถ์และพยายามสรา้ งฐานะของตนเอง 9. ครูควรยึดมั่นในศาสนาท่ตี นนับถือและไม่ลบหลศู่ าสนาอื่น 10. ครูควรบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชนแ์ กส่ ังคม จรรยาบรรณท้ังสองฉบับดังกล่าวได้ยกเลิกหลังจากได้มีการประกาศใช้ระเบียบคุรุสภาด้วย จรรยามรรยาทและวินัยตามระเบียบประเพณขี องครู พ.ศ. 2526 ในปี พ.ศ. 2523 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้จัดประชุมสัมมนาเก่ียวกับ จรรยาบรรณครูมีข้อสรุปให้มีจรรยาบรรณครูขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งเรียกว่า “จรรยาบรรณครูสำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2523 “แบง่ จรรยาบรรณออกเปน็ 4 หมวด คือ 1. หมวดอุดมการณข์ องครู 2. หมวดเอกลักษณค์ รู 3. หมวดวนิ ัยแห่งวิชาชพี ครู
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 259 4. หมวดบทบาทของครูตอ่ บคุ คลและสงั คม แต่เนื่องจากจรรยาบรรณครูฉบับนี้มิได้มีการประกาศใช้เป็นทางการจึงไม่มีผลในทางปฏิบัติ มากนักต่อมาคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภามีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการเพ่ือปรับปรุงจรรยาบรรณครู ขึ้นใหม่โดยหลอมรวมระเบียบคุรุสภาทั้งสองฉบับกับจรรยาครูของคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เข้าด้วยกันเป็นระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู พ.ศ. 2526 ประกาศใช้เมื่อวันท่ี 23 สิงกาคม 2526 มีรายละเอียดดังน้ีระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยา มรรยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู พ.ศ. 2526 โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบ คุรุสภา ว่าด้วย จรรยามรรยาทตามระเบียบประเพณีของครูและระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย วินัยตาม ระเบียบประเพณีของครูเสียใหม่ให้เหมาะสมคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาโดยอาศัยอำนาจตาม ความในมาตรา 28 แหง่ พระราชบญั ญัติครูพุทธศกั ราช 2488 จึงวางระเบยี บไว้ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า“ ระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบ ประเพณีของครู พ.ศ. 2526 ขอ้ 2 ระเบียบนใ้ี ห้ใชบ้ งั คับต้งั แต่ 1 ตลุ าคม 2526 เปน็ ต้นไป ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย จรรยามรรยาทตามระเบียบประเพณีของครู พ.ศ. 2506 ระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย วินัยตามระเบียบประเพณีของครูและระเบียบหรือคำส่ังอื่นใดซ่ึงขัด หรือแย้งกบั ระเบียบนี้ ข้อ 4 ครูต้องมีจรรยามรรยาทอันดีงามและต้องอยู่ในวินัยตามระเบียบประเพณีของครู ดงั ต่อไปน้ี 4.1 เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วย ความบริสทุ ธิ์ใจ 4.2 ยดึ มั่นในศาสนาทต่ี นนบั ถอื ไม่ลบหลู่ดหู ม่ินศาสนาอนื่ 4.3 ต้ังใจส่ังสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่อุทิศเวลา ของตนให้แก่ศิษยจ์ ะละทิ้งหรอื ทอดท้ิงหน้าทก่ี ารงานมิได้ 4.4 รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ข้ึนช่ือว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจ ทำใหเ้ สอ่ื มเสยี เกียรตแิ ละชอื่ เสยี งของของครู 4.5 ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษาและปฏิบัติตาม คำสั่งของผู้บังคับบัญ ชาซ่ึงส่ังในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎห มายและระเบียบแบบแผนของ สถานศกึ ษา 4.6 ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพรางไม่นำหรือยอมให้นำผลงาน ทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทจุ ริตหรอื เป็นภัยตอ่ มนษุ ยช์ าติ 4.7 ให้เกียรตแิ ก่ผูอ้ ื่นทางวิชาการโดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไมเ่ บยี ดบงั ใชแ้ รงงานหรือนำผลงานของผู้อนื่ ไปเพื่อประโยชนส์ ว่ นตน 4.8 ประพฤติตนอยู่ในความซ่ือสัตย์สุจริตและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรม ไมแ่ สวงหาประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อ่ืนโดยมิชอบ 4.9 สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์รักษาความลับของศิษย์ของ ผรู้ ว่ มงานและของสถานศกึ ษา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 260 4.10 รักษาความสามคั คีระหว่างครูและช่วยเหลอื กันในหนา้ ที่การงาน ขอ้ 5 ให้เลขาธิการคุรุสภาเปน็ ผู้รักษาการตามระเบียบน้ี สำหรับจรรยาบรรณครูท่ีใช้ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2541) เรียกว่าระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย จรรยาบรรณ ครู พ.ศ. 2539 มีรายละเอียดดงั นี้ ระเบยี บครุ ุสภา ว่าด้วย จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 คุรุสภา ได้ประกาศใช้ระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 แทนระเบียบคุรุสภา วา่ ด้วย จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู พ.ศ. 2526 อาศยั อำนาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติครู พ.ศ. 2488 คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา จึงได้วาง ระเบียบไว้เป็นจรรยาบรรณครูเพ่ือเป็นหลกั ปฏิบัตใิ นการประกอบวิชาชพี ครูจรรยาบรรณที่กำหนดให้ ครปู ฏบิ ัติมาจนถึงปจั จุบันน้ันมที งั้ หมด 9 ข้อ ดังต่อไปนี้ 1. ครูต้องรักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่ ช่วยเหลือส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษา เล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า หมายถึง การตอบสนองต่อความต้องการความถนัด ความสนใจของ ศิษยอ์ ย่างจริงใจ สอดคล้องกับการเคารพการยอมรับ การเห็นอกเห็นใจ ต่อสิทธิพื้นฐานของศิษย์เป็น ท่ีไวว้างใจ เช่ือถือและช่ืนชมได้เป็นผลไปสู่การพัฒนารอบด้านอย่างเท่าเทียมกัน พฤติกรรมท่ีครู แสดงออก ได้แก่ 1.1 สร้างความรสู้ ึกเป็นมิตร เป็นที่พึ่งพาและไว้วางใจได้ของศษิ ย์แต่ละคนและทกุ คน เช่น ให้ความเป็นกันเองกับศิษย์รับฟังปัญหาของศิษย์และให้ความช่วยเหลือศิษย์ร่วม ทำกิจกรรมกับศิษย์ เป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม สนทนาไตถ่ ามทุกข์สุขของศษิ ย์ 1.2 ตอบสนองข้อเสนอและการกระทำของศิษย์ในทางสร้างสรรค์ และตามสภาพปัญหา ความต้องการและศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน เช่น สนใจคำถามและคำตอบของศิษย์ทุกคน ให้โอกาสศิษย์แต่ละคนได้แสดงออกตามความสามารถความถนัด และความสนใจ ช่วยแก้ไข ข้อบกพรอ่ งของศษิ ย์ รับการนัดหมายของศิษย์เก่ียวกับการเรยี นรกู้ อ่ นงานอนื่ 1.3 เสนอและแนะแนวทางการพัฒนาของศิษย์แต่ละคนและทุกคนตามความถนัดความ สนใจและศักยภาพของศิษย์เช่น มอบหมายงานตามความถนัด จัดกิจกรรมหลากหลายตามสภาพ ความแตกต่างของศิษย์เพ่ือให้แต่ละคนประสบความสำเร็จเป็นอยู่เสมอแนะแนวทางที่ถูก ให้แก่ศิษย์ ปรกึ ษาหารอื กบั ครผู ู้ปกครองเพอ่ื นนักเรยี น เพื่อหาสาเหตุและวธิ แี ก้ปัญหาของศิษย์ 1.4 แสดงผลงานท่ีภูมิใจของศิษย์แต่ละคน และทุกคนท้ังในและนอกสถานศึกษา เช่น ตรวจผลงานของศิษย์อย่างสม่ำเสมอ แสดงผลงานของศิษย์ในห้องเรียนหรือห้องปฏิบัติการ ประกาศ หรอื เผยแพร่ผลงานของศิษย์ทป่ี ระสบความสำเรจ็ 2. ครูต้องอบรมส่ังสอนฝึกฝนสร้างเสริมความรู้ทักษะและนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้เกิดแก่ ศิษย์ อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธ์ิใจ หมายถึงการดำเนินงานต้ังแต่การเลือกกำหนดกิจกรรม การเรียนที่มุ่งผลต่อการพัฒนาในตัวศิษย์อย่างแท้จริง การจัดให้ศิษย์มีความรับผิดชอบ และเป็น เจ้าของการเรียนรู้ตลอดจนการ ประเมินร่วมกับศิษย์ในผลการเรียนและการเพิ่มพูนการเรียนรู้ ภายหลังบทเรียนต่าง ๆ ด้วยความปรารถนาที่จะให้ศิษย์แต่ละคนและทุกคนพัฒนาได้อย่างเต็ม ศักยภาพและตลอดไปพฤตกิ รรมที่ครูแสดงออกได้แก่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 261 2.1 อบรม สั่งสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือพัฒนาศิษย์อย่าง มุ่งม่ัน และต้ังใจ ตัวอย่างเช่น สอนเต็มเวลาไม่เบียดบังเวลาของศิษย์ไม่ไปหาผลประโยชน์ส่วนตน เอาใจใส่ อบรมสั่งสอนศิษย์จนเกิดทักษะในการปฏิบัติงาน อุทิศเวลาเพ่ือพัฒนาศิษย์ตามความ จำเป็นและ เหมาะสม ไม่ละทิง้ ชั้นเรียนหรอื ขาดการสอน 2.2 อบรม ส่ังสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศิษย์อย่างเต็ม ศักยภาพ เช่น เลือกใช้วธิ ีการท่ีหลากหลายในการสอนให้เหมาะสมกับสภาพของศิษย์ให้ความรโู้ ดยไม่ ปิดบัง สอนเต็มความสามารถเปิดโอกาสให้ศิษย์ได้ฝึกปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ สอนเต็ม ความสามารถและด้วยความเต็มใจ กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย พัฒนาข้ึนลงมือจัดเลือกกิจกรรมท่ี นำสผู่ ลจริงประเมนิ ปรบั ปรุง ให้ไดผ้ ลจรงิ และภมู ใิ จเมื่อศษิ ย์มกี ารพฒั นา 2.3 อบรม ส่ังสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศิษย์ด้วยความ บริสุทธิ์ใจเช่น ส่ังสอนศิษย์โดยไม่บิดเบือนหรอื ปิดบังอำพราง อบรมส่ังสอนศิษย์โดยไม่เลือกที่รักมักที่ ชงั และมอบหมายงานและตรวจผลงานดว้ ยความยตุ ธิ รรม 3. ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ท้ังทางกาย วาจาและจิตใจ หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีการแสดงออกอย่างสม่ำเสมอของครูที่ศิษย์สามารถสังเกต รับรู้ได้เอง และเป็นการแสดงที่เป็นไปตามมาตรฐานแห่งพฤติกรรม ระดับสูงตามค่านิยม คุณธรรม และวฒั นธรรมอันดีงาม พฤตกิ รรมท่คี รแู สดงออกได้แก่ 3.1 ตระหนักว่าพฤติกรรมการแสดงออกของครูมีผลตอ่ การพัฒนาพฤติกรรมของ ศิษย์อยู่ เสมอ เช่น ระมัดระวังในการกระทำและการพูดของตนเองอยู่เสมอไม่โกรธง่ายหรือแสดง อารมณ์ ฉุนเฉียวต่อหน้าศษิ ยม์ องโลกในแง่ดี 3.2 พูดจาสุภาพและสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดข้ึนกับศิษย์และสังคม เช่น ไม่พูด คำหยาบหรอื ก้าวร้าวไมน่ นิ ทาหรอื พดู จาสอ่ เสียด พดู ชมเชยให้กำลังใจศษิ ย์ 3.3 กระทำตนเป็นแบบอย่างท่ีดสี อดคล้องกับคำสอนของตน และวัฒนธรรม ประเพณีอัน ดีงาม ตัวอย่างเช่น ปฏิบัติตนให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพท่ีดีอยู่เสมอ แต่งกายสะอาดสุภาพเรียบร้อย เหมาะสมกับกาลเทศะ แสดงกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยอยเู่ สมอตรงต่อเวลา แสดงออกซ่ึงนิสัยที่ดี ในการประหยดั ซอ่ื สัตย์ อดทน สามคั คี มวี ินัย รกั ษาสาธารณสมบตั ิ และสิ่งแวดล้อม 4. ครตู ้องไม่กระทำตนเปน็ ปฏิปกั ษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปญั ญาจติ ใจและสังคมของศิษย์ หมายถึง การไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญาจิตใจอารมณ์ และสังคมของศิษย์ หมายถึง การตอบสนองต่อศิษย์ในการลงโทษหรือให้รางวัลหรือการกระทำ อ่ืนใดท่ีนำไปสู่การลด พฤติกรรมท่พี งึ ปรารถนาและการเพ่ิมพฤติกรรมท่ีไมพ่ งึ ปรารถนา พฤตกิ รรมทค่ี รูแสดงออก ไดแ้ ก่ 4.1 ละเว้นการกระทำท่ีทำให้ศิษย์เกิดความกระทบกระเทือนต่อจิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสงั คมของศิษย์เช่นไม่นำ ปมด้อยของศิษย์มาล้อเลยี น ไม่ประจานศิษย์ไม่พดู จาหรือ กระทำการใด ที่เป็นการซ้ำเติมปัญหาหรือข้อบกพร่องของศิษย์ไม่นำความเครียดมาระบายต่อศิษย์ไม่ว่าจะด้วย คำพูดหรอื สีหน้า ท่าทางไมเ่ ปรียบเทยี บฐานะความเปน็ อยู่ของศิษยไ์ มล่ งโทษศิษย์เกนิ กว่าเหตุ 4.2 ละเว้นการกระทำท่ีเป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์ เช่น ละเว้นการ กระทำท่ีเป็นอันตราต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์ไม่ทำร้ายร่างกายศิษย์ไม่ลงโทษศิษย์เกินกว่า
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 262 ระเบียบกำหนด ไม่จัดหรือปล่อยปละละเลยให้สภาพแวดล้อมเป็นอันตรายต่อศิษย์ ไม่ใช้ศิษย์ทำงาน เกินกำลังความสามารถ 4.3 ละเว้นการกระทำที่สกัดกั้น พัฒนาการทางสตปิ ัญญาอารมณ์จิตใจและสงั คมของศิษย์ เช่น ไม่ตัดสินคำตอบถูกผิดโดยยึดคำตอบของครู ไม่ดุด่าซ้ำเติมศิษย์ท่ีเรียนช้า ไม่ขัดขวางโอกาสให้ศิษย์ ไดแ้ สดงออกทางสร้างสรรค์ และไม่ต้ังฉายาในทางลบให้แกศ่ ิษย์ 5. ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช้ศิษย์กระทำการใด ๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ หมายถึงการไม่กระทำ การใดที่จะได้มาซ่ึงผลตอบแทนเกินสิทธิที่พึงได้จากการปฏิบัติหน้าท่ีในความรับผิดชอบตามปกติ พฤตกิ รรมที่ครแู สดงออกได้แก่ 5.1 ไม่รับหรือแสวงหาอามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์อันมิควรจากศิษย์เช่น ไม่หารายได้ จากการนำสินค้ามาขายให้ศิษย์ไม่ตัดสินผลงานหรือผลการเรียนโดยมีสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่บังคับหรือ สรา้ งเง่อื นไขใหศ้ ษิ ยม์ าเรียนพเิ ศษเพ่ือหารายได้ 5.2 ไม่ใชศ้ ิษย์เป็นเครอ่ื งมอื หาประโยชน์ให้กับตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณีหรือความรู้สึกของสังคม เช่น ไม่นำผลงานของศิษย์ไปแสวงหากำไรส่วนตน ไม่ใช้แรงงาน ศิษย์เพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ใช้หรอื จ้างวานศษิ ย์ไปทำสิ่งผดิ กฎหมาย 6. ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนา ทางวิชาการเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ หมายถึงการพัฒนาตนเองท้ังในด้านวชิ าชีพ ด้าน บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ หมายถึงการใฝ่รู้ศึกษาค้นคว้าริเร่ิมสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ให้ทันสมัยทันเหตุการณ์และทันต่อการ เปลย่ี นแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม การเมือง และเทคโนโลยีสามารถพัฒนาบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ พฤติกรรมทีค่ รูแสดงออก ไดแ้ ก่ 6.1 ใส่ใจศึกษาค้นคว้าริเริ่มสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ท่ีเกี่ยวกับวิชาชีพอยู่เสมอ เช่น หาความรู้ จากเอกสาร ตำราและสื่อต่าง ๆ อยู่เสมอจัดทำ และเผยแพร่ความรผู้ ่านส่ือต่าง ๆ ตามโอกาสเข้าร่วม ประชมุ อบรม สมั มนา หรอื ฟงั การบรรยาย หรืออภปิ รายทางวชิ าการ 6.2 มีความรอบรู้ ทันสมัย ทันเหตุการณ์ สามารถนำมาวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมาย แนวทางพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ทันต่อการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจสังคม การเมืองการ อาชีพ และเทคโนโลยีเช่น นำเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมมาใช้ประกอบการเรียนการสอน ติดตามข่าวสาร เหตุการณ์บ้านการเมอื ง เศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื งอยู่เสมอวางแผนพัฒนา ตนเองและพัฒนางาน 6.3 แสดงออกทางร่างกาย กิริยาวาจาอย่างสง่างาม เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น รักษา สุขภาพและปรับปรุงบุคลิกภาพอยู่เสมอ มีความเชื่อมั่นในตนเองแต่งกายสะอาด เหมาะสมกับ กาลเทศะและทันสมยั และมคี วามกระตอื รือรน้ 7. ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครูและเป็นสมาชิกท่ีดีขององค์กรวิชาชีพครู หมายถึง การ แสดงออกด้วยความช่ืนชมและเช่ือม่ัน ในอาชีพครูด้วยตระหนักว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพท่ีมีเกียรติมี ความสำคัญ และจำเป็นตอ่ สังคม ครูพึงปฏิบัติงานด้วยความเตม็ ใจและภูมิใจ รวมทงั้ ปกป้องเกยี รติภูมิ ของอาชีพครเู ข้าร่วมกจิ กรรมและสนับสนุนองค์กรวิชาชีพครูพฤติกรรมท่ีครแู สดงออกได้แก่
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 263 7.1 ครูเชื่อมั่นชื่นชมภูมิใจในความเป็นครูและองค์กรวิชาชีพครูว่ามีความสำคัญ และ จำเป็นต่อสังคม เช่น ช่ืนชมในเกียรติและรางวัลท่ีได้รับและรักษาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ยกย่อง ชมเชยเพื่อนครูทปี่ ระสบผลสำเร็จเกย่ี วกับการสอนเผยแพร่ผลสำเร็จของตนเองและเพ่ือนครู แสดงตน ว่าเป็นครูอยา่ งภาคภมู ิ 7.2 เป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพครูและสนับสนุนหรือเข้าร่วมหรือเป็นผู้นำในกิจกรรม พัฒนาวิชาชีพครูเช่น ปฏิบัติตามเง่ือนไขข้อกำหนดขององค์กร ร่วมกิจกรรมที่องค์กรจัดข้ึนเป็น กรรมการหรือคณะทำงานขององค์กร 7.3 ปกป้องเกียรติภูมิของครูและองค์กรวิชาชีพ เช่น เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานของ ครแู ละองคก์ รวิชาชีพครเู มื่อมีผู้เขา้ ใจผิดเก่ียวกบั วงการวิชาชพี ครูก็ช้ีแจงทำความเขา้ ใจให้ถูกต้อง 8. ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์การช่วยเหลือเก้ือกูลครูและชุมชน ในทางสร้างสรรค์ หมายถึงการให้ความร่วมมือ แนะนำปรึกษาช่วยเหลือแก่เพื่อนครูท้ังเร่ืองส่วนตัว ครอบครัว และการงานตามโอกาสอย่างเหมาะสม รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน โดยการให้ คำปรึกษาแนะนำแนวทางวิธีการปฏิบัติตน ปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน พฤติกรรมทีค่ รแู สดงออกได้แก่ 8.1 ให้ความร่วมมือ แนะนำปรึกษาแก่เพ่ือนครูตามโอกาสและความเหมาะสม เช่น ให้ คำปรึกษาการจัดทำผลงานทางวิชาการใหค้ ำแนะนำการผลิตส่ือการเรียนการสอน 8.2 ให้ความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ส่ิงของแด่เพ่ือนครูตามโอกาสและความเหมาะสม เช่น รว่ มงานกุศลช่วยทรัพย์เม่ือเพ่ือนครเู ดือนรอ้ นจัดต้ังกองทุนเพื่อชว่ ยเหลอื ซ่ึงกนั และกนั 8.3 เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน รวมท้ังให้คำปรึกษาแนะนำ แนวทางวิธีการปฏิบัติตน ปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน เชน่ แนะแนวทางการป้องกันและกำจดั มลพิษรว่ ม กิจกรรมตามประเพณีของชุมชน 9. ครูพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย การเปน็ ผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมปิ ญั ญาและวัฒนธรรมไทย หมายถึง การริเรมิ่ ดำเนินกจิ กรรม สนับสนุนส่งเสรมิ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยโดยรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิเคราะห์เลือกสรรปฏิบัติตน และเผยแพรศ่ ิลปะ ประเพณีดนตรกี ีฬาการละเล่น อาหาร เครอ่ื งแต่งกาย เพ่ือใช้ในการเรียนการสอน การดำรงชีวิตตนและสังคม พฤติกรรมท่คี รแู สดงออกได้แก่ 9.1 รวบรวมข้อมูลและเลือกสรรภูมิปัญญาท้องถ่ินและวัฒนธรรมที่เหมาะสมมาใช้จัด กจิ กรรมการเรียนการสอน เชน่ เชิญบุคคลในท้องถ่นิ มาเป็นวทิ ยากรนำภูมิปัญญาท้องถ่ินมาใช้จัดการ เรยี นการสอน นำศิษย์ไปศกึ ษาในแหล่งวทิ ยาการชมุ ชน 9.2 เปน็ ผนู้ ำในการวางแผน และดำเนินการเพ่ืออนุรักษ์และพัฒนาภมู ิปญั ญาท้องถิน่ และ วัฒนธรรม เช่น ฝึกการละเล่นท้องถิ่นให้แก่ศิษย์จัดตั้งชมรม สนใจศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดทำ พพิ ิธภัณฑ์ในสถานศึกษา 9.3 สนับสนุนส่งเสริมเผยแพร่และร่วมกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน อย่าง สม่ำเสมอ เช่นรณรงค์การใช้สินค้าพ้ืนเมือง เผยแพร่การแสดงศิลปะพื้นบ้าน และร่วมงานประเพณี ของทอ้ งถ่ิน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 264 9.4 ศึกษาวิเคราะห์ วิจัยภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพ่ือนำผลมาใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน เช่น ศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับการละเล่นพ้ืนบ้าน นิทานพ้ืนบ้าน เพลง กล่อมเด็กตำนานและความเชื่อถือ นำผลการศึกษาวิเคราะห์มาใช้ในการเรียนการสอน จรรยาบรรณ ครูฉบับ พ.ศ. 2539 น้ีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาได้วางระเบียบ ปฏิบัติโดยมีลักษณะมุ่งเน้น ความเป็นครูในด้านบทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบท่ีพึงมีต่อศิษย์เป็นสำคัญข้อ สังเกตของ จรรยาบรรณครูฉบับน้ีมี 2 ประการ คือ ประการท่ีหนึ่งจรรยาบรรณครู ไม่ใช่กฎหมายและไม่ได้เป็น กฎกระทรวงศึกษาธิการ แต่เป็นระเบียบที่คณะกรรมการอำนวยการ คุรุสภากำหนดไวเ้ พอื่ ใช้เป็นหลัก ปฏิบัติของสมาชิกคุรุสภาท่ีเป็นครูอาจารย์เท่าน้ัน กรณีครูอาจารย์ ที่เป็นสมาชิกของคุรุสภาละเมิด จรรยาบรรณครูข้างต้น ไม่มีบทลงโทษแต่อย่างใด แม้คณะกรรมการคุรุสภาไม่มีอำนาจลงโทษครู อาจารย์โดยตรงประการที่สอง จรรยาบรรณครูฉบับน้ีเป็นฉบับที่ถูกนำไปใช้ในทุกสถานศึกษา ทั้งน้ี อาจเป็นเพราะคุรุสภาในฐานะเป็นองค์กรวิชาชีพครูเป็นผู้ออก จรรยาบรรณครูซึ่งมีกฎหมายรองรับ อย่างเป็นทางการ คือ พระราชบัญญัติครู พ.ศ. 2488 ความแตกต่างของจรรยาบรรณครูฉบับน้ีกับ จรรยาบรรณของครูในอดีต คือ บ่งบอกถึงจรรยาบรรณของครูโดยตรงและโดยรวม มิได้จำแนกเป็น จรรยามารยาทจารตี ประเพณี หรอื วินยั ของครู โดยที่เห็นเป็นการสมควรให้มีการปรับปรุงระเบียบคุรุสภา ว่าด้วย จรรยามารยาทและวินัย ตามระเบียบประเพณีครู พ.ศ. 2526 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติครูพุทธศักราช 2488 คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาจึงวางระเบียบไว้เป็น จรรยาบรรณครูเพอ่ื เป็นหลักปฏิบตั ิในการประกอบวชิ าชีพครู ข้อ 1 ระเบียบนเี้ รยี กวา่ “ ระเบยี บครุ ุสภาวา่ ด้วยจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539” ข้อ 2 ระเบยี บให้ใช้บงั คับต้งั แตว่ นั ถดั จากวันประกาศเปน็ ตน้ ไป ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู พ.ศ. 2526 และให้ใช้ระเบยี บนแี้ ทน ข้อ 4 กำหนดให้ครมู ีจรรยาบรรณดงั ตอ่ ไปนี้ 4.1 ครูต้องรักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริมให้กำลังใจใน การศกึ ษาเลา่ เรยี นแกศ่ ษิ ยโ์ ดยเสมอหน้า 4.2 ครูต้องอบรมส่ังสอนฝึกฝนสร้างเสริมความรู้ทักษะและนิสัยท่ีถูกต้องดีงามให้เกิด แก่ศิษย์อยา่ งเตม็ ความสามารถดว้ ยความบรสิ ทุ ธ์ิใจ 4.3 ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกายสติปัญญาจิตใจอารมณ์ และสงั คมของศษิ ย์ 4.4 ครูต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติหน้าท่ี ตามปกตแิ ละไม่ใช้ให้ศิษย์กระทำการใด ๆ อนั เป็นการหาประโยชนใ์ หแ้ ก่ตนโดยมิชอบ 4.5 ครูต้องพัฒนาตนเองท้ังในด้านวิชาชีพด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการ พฒั นาทางวทิ ยาการเศรษฐกจิ สังคมและการเมืองอยู่เสมอ 4.6 ครยู ่อมรกั และศรัทธาในวชิ าชพี ครแู ละเป็นสมาชกิ ที่ดีขององค์กรวชิ าชพี ครู 4.7 ครูพ่ึงช่วยเหลือเก้อื กลู ครแู ละชมุ ชนในทางสรา้ งสรรค์
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 265 4.8 ครูพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและ วัฒนธรรมไทย ขอ้ 5. ใหเ้ ลขาธิการคุรุสภารักษาการใหเ้ ป็นไปตามระเบยี บน้ี ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วย จรรยาบรรณของวชิ าชพี พ.ศ 2556 จรรยาบรรณวิชาชพี พ.ศ. 2556 แบ่งออกเป็น 5 ดา้ น 9 ข้อ ดงั น้ี ด้านที่ 1 จรรยาบรรณต่อตนเอง 1. ผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองดา้ นวชิ าชีพ บุคลกิ ภาพ และวสิ ัยทัศน์ ให้ทนั ต่อการพฒั นาทางวิทยาการ เศรษฐกจิ สงั คม และการเมืองอยเู่ สมอ ดา้ นท่ี 2 จรรยาบรรณตอ่ วิชาชีพ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจรติ รับผิดชอบตอ่ วิชาชพี และ เปน็ สมาชิกทดี่ ขี ององค์กรวิชาชีพ ดา้ นที่ 3 จรรยาบรรณต่อผู้รับบรกิ าร 3. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลอื ส่งเสริมให้กำลงั ใจแก่ศิษย์ และผรู้ ับบริการ ตามบทบาทหน้าทีโ่ ดยเสมอหน้า 4. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะ และนิสัยท่ีถูกต้องดี งามแก่ศิษย์ และผรู้ บั บริการตามบทบาทหนา้ ทีอ่ ย่างเตม็ ความสามารถด้วยความบรสิ ทุ ธิ์ใจ 5. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีท้ังทางกาย วาจา และจิตใจ 6. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สตปิ ัญญา จติ ใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ และผูร้ บั บรกิ าร 7. ผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียก รบั หรอื ยอมรับผลประโยชนจ์ ากการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมชิ อบ ด้านท่ี 4 จรรยาบรรณต่อผู้รว่ มประกอบวิชาชีพ 8. ผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา พึงช่วยเหลอื เกื้อกูลซ่ึงกันและกันอย่างสรา้ งสรรค์ โดยยึด มน่ั ในระบบคุณธรรม สรา้ งความสามคั คีในหมู่คณะ ด้านท่ี 5 จรรยาบรรณต่อสงั คม 9. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนา เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของ ส่วนรวม และยึดม่ันในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ 6. จรรยาบรรณวิชาชพี ครูและลักษณะของครทู ่ดี ี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 74 ท่าน เพื่อร่าง จรรยาบรรณวิชาชีพครูในระหว่างวันท่ี 8–10 เมษายน พ.ศ. 2524 ผลการประชุมที่ประชุมเห็นชอบ ให้แบง่ จรรยาบรรณวชิ าชีพครเู ปน็ 4 หมวด ดังนี้ หมวดท่ี 1 ว่าดว้ ยอุดมการณ์ครซู ่งึ เปน็ หัวใจของการเปน็ ครู
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 266 หมวดท่ี 2 ว่าด้วยเอกลักษณ์ของครูโดยเน้นให้เห็นลักษณะเฉพาะของครูที่แตกต่างจาก บุคคลในอาชพี อ่ืน หมวดที่ 3 ว่าด้วยการรกั ษาวินัยแหง่ วชิ าครู หมวดท่ี 4 ว่าดว้ ยบทบาทของครูต่อบคุ คลและสังคม หมวดท่ี 1 อดุ มการณ์ครูซึ่งเป็นหัวใจของการเป็นครู ประกอบดว้ ย คุณลักษณะดังน้ี 1. ศรทั ธาในอาชพี ครูอุทิศตนเพอื่ ศษิ ย์และการศกึ ษา 2. ธำรงและสง่ เสริมเกียรติแห่งวิชาชพี ครู 3. บำเพ็ญตนเพือ่ ประโยชน์ส่วนรวมมากกวา่ ส่วนตน 4. ยดึ มั่นในคณุ ธรรม มีใจรักและเมตตาต่อศิษย์ 5. มจี ติ ใจเปน็ ประชาธปิ ไตย 6. ยดึ ม่นั ในศาสนาพระมหากษัตรยิ ์ หมวดหมู่ที่ 2 เอกลักษณ์ของครูโดยเน้นลักษณะเฉพาะของครูท่ีแตกต่างจากบุคคลใน อาชีพอ่ืน ประกอบดว้ ย คณุ ลกั ษณะดังน้ี 1. ดำรงตนอยา่ งเรยี บงา่ ย ประหยดั เหมาะสมกับอาชพี ครู 2. มีอารมณ์มนั่ คงและสามารถควบคมุ อารมณ์ท้ังในและนอกเวลาที่สอน 3. มีสัจจะความจริงในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ครูและต่อตนเอง สามมารถร่วมงานเป็นหมู่ คณะได้ 4. เป็นผ้มู วี ฒั นธรรม มีศีลธรรมตามศาสนาที่ตนนับถอื และเป็นแบบอย่างทีด่ ีตอ่ ศิษย์ 5. เปน็ คนตรงเวลา ประพฤติตนสม่ำเสมอ 6. เป็นผ้มู ีวาจาสุภาพอ่อนโยนและแตง่ กายเรยี บรอ้ ยเหมาะสม 7. ใฝห่ าความรสู้ ำรวจ ปรบั ปรงุ แก้ไขตนเองและงานสอนอยูเ่ สมอ 8. กระตือรอื รน้ ขยนั หมนั่ เพยี รและตัง้ ใจใชก้ ลวิธสี อนใหศ้ ษิ ยเ์ กดิ ความรูจ้ นเป็นแบบอย่างที่ดี 9. มีความคิดรเิ รม่ิ และนำสิง่ ใหม่ ๆ มาใช้สอนศิษย์ 10. รู้จักผอ่ นปรนตอ่ ปัญหาต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วกับงานครูและหาทางแก้ไขโดยสนั ติวิธเี ป็นพลเมืองดี 11. ใหเ้ กยี รติโดยไมเ่ ลือกเชือ้ ชาติศาสนาฐานะครอบครวั เพศและวัย 12. เป็นผ้มู ีใจกว้างและมีน้ำใจนักกฬี า รบั ฟังความคดิ เห็นของศิษย์ และเปิดโอกาสให้ศิษยไ์ ด้ ปรึกษาหารืออยา่ งสม่ำเสมอ 13. เอาใจใส่ตอ่ การเรยี น ความประพฤติและความเปน็ อยู่ของศษิ ย์อยูเ่ สมอ 14. เขา้ ใจถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลของศิษย์ 15. เปน็ ผู้เห็นศษิ ย์มคี วามสำคัญ และพจิ ารณาคุณคา่ ของศษิ ยแ์ ต่ละคนด้วยเหตุผล 16. เป็นผู้ทนี่ ่าเคารพรักและทำให้ศิษย์เกดิ ความอบอ่นุ ใจ 17. มีความยุติธรรม และตัดสนิ ใจหรอื ลงโทษศิษย์อยา่ งมีเหตผุ ล 18. เปน็ ผ้คู วรแกก่ ารยกย่องนบั ถือในเชิงภมู ปิ ัญญาและเชาว์ไหวพริบในด้านการอบรมสัง่ สอน 19. สามารถอธบิ ายเร่อื งยากใหเ้ ข้าใจงา่ ย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 267 หมวดที่ 3 ว่าด้วยการรกั ษาวินัยแห่งวชิ าชีพครู 1. รกั ษาความลบั ของศิษย์เพือ่ นร่วมงานและสถานศึกษา 2. ไม่แสดงอาการอาฆาตพยาบาทต่อศิษย์ 3. เข้าสอนโดยสมำ่ เสมอไม่ปิดบังหรือบิดเบอื น เนอื้ หาสาระทางวชิ าการ 4. สุภาพเรียบร้อย เช่ือฟังและไม่แสดงความกระด้างกระเดื่อง ต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งส่ังในหน้าที่ การงานโดยชอบดว้ ยกฎหมายและระเบยี บแผนของสถานศึกษา 5. ต้องถือและปฏบิ ตั ิตามแบบธรรมเนยี มท่ีดีของสถานศึกษา 6. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาผลประโยชน์ ของ สถานศึกษา 7. ไม่ละท้ิงหน้าที่ด้านการสอนและงานที่ได้รับมอบหมาย ตลอดจนอุทิศเวลาของตนให้กับ สถานศึกษา 8. รกั ษาความสามคั คชี ่ือเสียงของคณะและสถานศึกษาทสี่ ังกดั อยู่ 9. ปฏิบตั หิ นา้ ทอ่ี ยา่ งจรงิ จังด้วยความรับผดิ ชอบและเสียสละ 10. ให้เกยี รตแิ ก่เพื่อนรว่ มอาชพี และบคุ คลทัว่ ไป 11. ไมล่ บหลูด่ หู ม่นิ ศาสนา 12. รกั ษาความลับของเพ่อื นร่วมงาน และสถานศึกษา 13. รักษาและส่งเสริมความสามคั คขี องหมู่คณะ 14. ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริต หรือเป็นภัยต่อ มนษุ ยชาติ 15. ไม่นำผลงานของผู้อืน่ มาแอบอ้างเป็นผลงานของตน 16. รักษาช่อื เสียงมใิ ห้ขึ้นช่อื วา่ ประพฤตชิ ่ัว 17. ประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซ่ือสัตย์และเท่ียงธรรม โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ อนั มิชอบ หมวดที่ 4 ว่าดว้ ยบทบาทของครตู ่อบุคคลและสงั คม 1. ยึดมั่นในชาติศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 2. สง่ เสรมิ กจิ กรรมในระบอบประชาธิปไตย 3. สง่ เสริมความสมั พันธ์ระหว่างสถาบัน ด้วยกนั และระหว่างสถาบันและชมุ ชน 4. สร้างและสง่ เสริมความสามัคคีอัน ดีระหว่างครูและผู้ปกครอง 5. ดำรงชวี ติ และการปฏบิ ัติตนเป็นตัวอย่างท่ีดชี มุ ชน 6. รบั ใชส้ งั คม ดว้ ยการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทางวชิ าการ 7. โอบออ้ มอารมี ีน้ำใจตอ่ ผู้อ่ืน ในปีพ.ศ. 2526 คุรุสภาได้มีการปรับปรุงจรรยาบรรณวิชาชีพครูขึ้นใหม่ เรียกว่า “ระเบียบคุรสุ ภา ว่าด้วย จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู” ซึ่งมีรายละเอียด ดังน้ี ครูต้องมีจรรยา มารยาทและวนิ ยั ตามระเบยี บประเพณขี องครดู ังต่อไปน้ี
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 268 1. เล่ือมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ด้วยความ บรสิ ุทธิ์ใจ 2. ยึดมั่นในศาสนาทตี่ นนบั ถอื ไมล่ บหลู่ดูหมิน่ ศาสนาอืน่ 3. ต้ังใจสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้เกิดผลดดี ้วยความเอาใจใส่อุทิศเวลาของตน ใหแ้ กศ่ ิษย์จะละท้งิ หรือทอดทงิ้ หน้าท่กี ารงานมิได้ 4. รักษาช่ือเสียงของตนเองมิให้ชื่อว่าประพฤติชั่วไม่ประพฤติการอันใดจะทำให้เสียงและ เกยี รติของความเปน็ ครู 5. ถือปฏบิ ัติตามระเบียบ และแบบธรรมเนียมอนั ดีงามของสถานศึกษา 6. ถา่ ยทอดความรู้โดยไม่ปิดบังอำพรางไม่นำหรอื ยอมให้นำผลงานทางวทิ ยาการของตนไปใช้ ในทางทจุ รติ หรอื เปน็ ภัยตอ่ มนษุ ยชาติ 7. ให้เกยี รตผิ ู้อื่นทางวชิ าการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอา้ งเป็นผลงานของตนเองและ ไม่เบยี ดบงั คบั ใชแ้ รงงาน หรอื นำผลงานของผู้อื่นไปเพื่อใช้ประโยชนส์ ว่ นตน 8. ประพฤติอยู่ในความซ่ือสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเท่ียงธรรมไม่ แสวงหาประโยชนต์ นเองหรอื ผูอ้ ่นื โดยมิชอบ 9. สุภาพเรียบร้อย ประพฤติตนเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ของ ผรู้ ่วมงาน และสถานศกึ ษา 10. รักษาความสามัคคขี องครแู ละช่วยเหลอื กันในหนา้ ท่ีการงาน 7. จรรยาบรรณตอ่ ผเู้ รียน ครูจะตอ้ งมคี วามประพฤตปิ ฏิบัตติ อ่ ผู้เรยี น 9 ประการ คือ 1. ต้ังใจถ่ายทอดวิชาการ บทบาทของครูต้องพยายามท่ีจะทำให้ลูกศิษย์เรียนด้วยความสุข เรียนด้วย ความเข้าใจและเกิดความมานะพยายามท่ีจะรู้ในศาสตร์น้ัน ครูจึงต้องตั้งใจอย่างเต็มท่ีท่ีจะ ศึกษาวิชาการท้ัง ทางศาสตร์ท่ีจะสอนศาสตร์ที่จะถ่ายทอดหรือวิธีการสอน ครูต้องพยายามที่จะหา วธิ ีการใหม่ ๆ มาลองทดลองสอน 2. รักและเข้าใจศิษย์ ครูต้องพยายามศึกษาธรรมชาติของวัยรุ่น ว่ามีปัญหามีความไวต่อ ความรู้สึก (sensitive) และอารมณ์ไม่ม่ันคงครูจึงควรให้อภัย เข้าใจและหาวิธีการให้ศิษย์ปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอันไม่ พึงประสงค์ครูต้องพยายามทำให้ลูกศิษย์รักและไว้ใจเพื่อท่ีจะได้กล้าปรึกษาในสิ่ง ต่าง ๆ แล้วครูก็จะสามารถ ช่วยให้ศิษย์ประสบความสำเร็จในการเรียน และการดำรงชีวิตได้อย่าง ถกู ต้อง 3. ส่งเสริมการเรียนรู้ปัจจุบันการส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองหรือการ เรียนรจู้ ากการช่วยเหลือกนั ในกลุ่มอาจจะทำให้ผู้เรียนมีวิธีการหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง มากข้ึนมากกว่าจะ คอยให้ครูบอกให้แต่ฝ่ายเดียวครูจึงจำเป็นต้องช้ีช่องทางให้ผู้เรียนหาวิธีการศึกษา หาความร้ดู ว้ ยตนเองมากข้นึ 4. ยุติธรรม อาชีพครูเป็นอาชีพท่ีจะต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนซ่ือสัตย์ ยุติธรรมไม่มีอคติ ลำเอียงต่อลูกศิษย์ ไม่เห็นว่าคนท่ีมีปัญหาเป็นคนน่ารังเกียจ หรือพอใจแต่เฉพาะศิษย์ที่เรียนเก่ง ไม่สร้างปัญหาเท่านั้น ครูต้องมีความเป็นธรรมในการให้คะแนน และพร้อมท่ีจะอธิบายวิธีการให้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 269 คะแนน และการตัดเกรด ได้ ครูต้องรอบคอบในการรอกคะแนนเพราะถ้าผิดพลาดแล้วบางครั้งก็จะ ทำใหผ้ ู้เรยี นทค่ี วรได้คะแนนดี ๆ กลับได้คะแนนเกอื บจะสอบตกไป 5. ไม่แสวงหาประโยชน์จากผู้เรียน ลักษณะของครูจะต้องเป็นผู้ไม่แสวงหาอามิสสินจ้าง เงนิ ไม่ใชส่ ่ิงที่สร้างความสขุ เสมอไป ครูจึงจะต้องมีความระมัดระวงั เปน็ พิเศษในการกระทำใด ๆ อันจะ กอ่ ให้เกิดความเขา้ ใจได้วา่ ครูกำลังหาประโยชน์จากศิษย์อยา่ งไมเ่ ป็นธรรม 6. ทำตนเป็นแบบอย่างท่ีดีครูมีอิทธิพลต่อศิษย์ทั้งด้านวาจา ความคิด บุคลิกภาพ และความ ประพฤติ ครูจงึ จะตอ้ งพัฒนาตนเองอย่เู สมอ เพื่อให้ลกู ศิษย์ไดซ้ ึมซับสิ่งท่ีทำจากตัวครูไป เมื่อศิษย์เกิด ศรัทธาในความสามารถของครูศิษย์อาจจะเลียนแบบความประพฤติของครูไปอย่างไม่ได้เจตนา เช่น การตรงต่อเวลา การพดู จาชัดเจนการแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา สภุ าพเรียบร้อย เปน็ ต้น 7. ให้เกียรติผู้เรียน การยกย่องให้เกียรติผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ และเกรงใจ ผูส้ อน ครู ไม่ควรใชอ้ ำนาจในทางที่ผิด เช่น พูดจาข่มขู่ ใช้คำพูดไม่สุภาพ เปลี่ยนชื่อผู้เรยี น เยาะหยัน หรอื ดูถูกผู้เรียน การเคารพผู้เรียนในฐานะปัจเจกบุคคลเป็นส่ิงท่ีทำให้เกิดความเข้าใจ และการเรียนรู้ ทีด่ ี เม่อื ผูเ้ รียนไดร้ บั การ ปฏิบตั ิอย่างดยี ่อมกอ่ ให้เกิดพลงั ในการศึกษาต่อไป 8. อบรมบ่มนิสัย ม.ล. ปิ่น มาลากุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ส่งเสริม สนบั สนุนให้ครูมบี ทบาทหนา้ ที่ในการอบรมบม่ นิสยั เด็ก โดยทา่ นเชื่อวา่ “การอบรมบ่มนสิ ยั ใคร ๆ นั้น เพยี งแคว่ นั ละนาทกี ็ดีถม” ดงั น้นั ครูควรแบ่งเวลาในการอบรมบม่ นิสัยผู้เรยี น เช่น ก่อนการสอนแต่ละ ชั่วโมงอาจช้ีแนะ หรือใหค้ วามคิดท่ดี ีแกผ่ ู้เรียนไดค้ รูควรถือเป็นหน้าทีท่ ่ีจะต้องสอนคนให้เป็นคนดี 9. ชว่ ยเหลือศิษย์ผ้เู รียนมาอย่ใู นสถานศึกษาพร้อมด้วยประสบการณ์และปัญหาทแี่ ตกต่างกัน ออกไป ดังน้ันครูจึงมีหน้าท่ีท่ีจะต้องสังเกตความผิดปกติหรือข้อบกพร่องของศิษย์ และพร้อมที่จะให้ การช่วยเหลอื ไดอ้ ยา่ งทันท่วงทไี ม่ให้ศิษยต์ อ้ งก้าวถลำลกึ ลงไปในพฤติกรรมท่ีไม่พงึ ประสงค์ นอกจากจรรยาบรรณต่อศิษย์แล้ว ครูจะต้องมีความประพฤติปฏิบัติต่อตนเองด้วย คือ จรรยาบรรณ ต่อตนเอง ครูจะต้องพฒั นาตนเองตลอดเวลาเพ่อื ใหม้ ีลักษณะพฤตกิ รรม ดงั น้ี 1. ประพฤติชอบ ครูต้องตั้งตนไว้ในท่ีถูกท่ีควรสามารถบังคับตนเองให้ประพฤติแต่ส่ิงท่ีดีงาม ถกู ตอ้ ง 2. รบั ผดิ ชอบ ครูตอ้ งฝกึ ความรบั ผดิ ชอบ โดยตัง้ ใจทำงานใหส้ ำเรจ็ ลุลว่ งมคี วามผดิ พลาดนอ้ ย 3. มีเหตุผลครูต้องฝึกถามคำถามตนเองบ่อย ๆ ฝึกความคิดวิเคราะห์หาเหตุหาผล หาข้อดี ข้อเสียของ ตนเอง และเร่ืองต่าง ๆ เพือ่ ทำให้ตนเองเปน็ คนมีเหตผุ ลที่ดี 4. ใฝ่รู้การติดตามข่าวสารข้อมูลอยู่เสมอ ๆ ทำให้ครูมีนิสัยใฝ่รู้ อยากทราบคำตอบในเร่ือง ต่าง ๆ ครูควรมีความรู้รอบตัวอย่างดที ั้งด้านสงั คม เศรษฐกิจ และการเมืองเพื่อให้ครูดำรงชีพในสงั คม ได้อย่างเปน็ สขุ ปรบั ตวั เขา้ กับสถานการณ์ตา่ ง ๆ ไดแ้ ละชีแ้ นะสง่ิ ที่ถูกตอ้ งให้ศิษย์ได้ 5. รอบคอบ ครูต้องฝึกฝนตนเองให้เป็นคนรอบคอบ ละเอียดและประณีตในการดำเนิน กิจการต่าง ๆ การทำกิจกรรม เช่น ควบคุมบัญชีการเงินต้องรอบคอบ ต้องเห็นตัวเลขชัดเจนไม่ตก หล่น ทำให้เกดิ การผดิ พลาดทเ่ี ป็นผลรา้ ยทัง้ ของตนเองและผู้อื่น 6.ฝึกจิต การพัฒนาจิต ทำให้ครูอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและส่งผลทำให้ครูทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครูจึงต้องหมั่นฝึกจิตของตนให้สูงส่งสูงกว่ามาตรฐาน ระงับอารมณ์ไม่ดี คิดอะไรได้ สูงกวา่ มาตรบานและคดิ เป็นบวกมากกวา่ คดิ ลบหรือคดิ ร้าย
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 270 7.สนใจศิษย์การสนใจพัฒนาการของผู้เรียน เป็นส่วนหน่ึงท่ีจะทำให้วิชาชีพครูก้าวหน้า เพราะถ้า ไม่มีผู้เรียนก็ไมม่ ีวชิ าชีพครูครจู งึ จำเปน็ ต้องศกึ ษาหาความรูเ้ ก่ียวกับลกั ษณะธรรมชาติผเู้ รยี น การแก้ปญั หาผเู้ รยี น การส่งเสริมให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ 8. บทสรปุ มาตรฐานความประพฤติท่ีผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องประพฤติปฏิบัติ เป็นแนวทางให้ผู้ ประกอบวิชาชีพปฏิบัติอย่างถูกต้องเพ่ือผดุงเกียรติและสถานะ ของวิชาชีพน้ันก็ได้ผู้กระทำผิด จรรยาบรรณ จะต้องได้รับโทษโดยว่ากล่าว ตักเตือน ถูกพักงาน หรือถูกยกเลิกใบประกอบวิชาชีพได้ จรรยาบรรณในวิชาจะเป็นส่ิงสำคัญในการท่ีจะจำแนกอาชีพว่าเป็นวิชาชีพห รือไม่ อาชีพท่ีเป็น “วิชาชีพ” น้ันกำหนดให้มีองค์กรรองรับ และมีการกำหนดมาตรฐานของความประพฤติของผู้อยู่ใน วงการวิชาชีพซึ่งเรียกว่า “จรรยาบรรณ” ส่วนลักษณะ “วิชาชีพ” ท่ีสำคัญ คือ เป็นอาชีพที่มีศาสตร์ ช้ันสูงรองรับ มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยและพัฒนาวิชาชีพมีการจัดการสอนศาสตร์ดังกล่าวในระดับ อุดมศึกษาท้ังการสอนด้วยทฤษฎีและการปฏิบัติจนผู้เรียนเกิดความชำนาญ และมีประสบการณ์ใน ศาสตร์น้ัน นอกจากนี้จะต้องมีองค์กรหรือสมาคมวิชาชีพ ตลอดจนมี “จรรยาบรรณในวิชาชีพ” เพื่อให้สมาชิกในวิชาชีพดำเนินชีวิตตามหลักมาตรฐานดังกล่าวหลักที่กำหนดใน จรรยาบรรณวิชาชีพ ท่ัวไป คือ แนวความประพฤติปฏิบตั ทิ มี่ ตี อ่ วิชาชพี ตอ่ ผู้เรยี น ต่อตนเอง และตอ่ สังคม คำถามทบทวน 1. จรรยาบรรณวิชาชีพครูมคี วามสำคญั ต่อผ้ปู ระกอบวิชาชพี ครูอย่างไร 2. ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วย จรรยาบรรณวิชาชีพ พ.ศ. 2556 กำหนดจรรยาบรรณผปู้ ระกอบ วิชาชพี ครูต่อตนเอง ต่อวชิ าชพี ต่อผรู้ ับบรกิ าร ตอ่ ผู้รว่ มประกอบวชิ าชพี และตอ่ สงั คม อยา่ งไร 3. ระเบียบครุ สุ ภา วา่ ดว้ ย จรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 ว่าดว้ ย กำหนดใหค้ รมู จี รรยาบรรณดา้ นใด 4. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาใดที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วย มาตรฐาน วิชาชพี ครู พ.ศ. 2556 จะมีบทลงโทษจากการตรวจสอบอยา่ งไร 5. เอกลกั ษณ์ของครูโดยเนน้ ลกั ษณะเฉพาะของครูท่ีแตกตา่ งจากบุคคลในอาชีพอื่น คอื อะไร เอกสารอ้างอิง เดชพงษ์ อนุ่ ชาต.ิ (2555). สรุปจรรยาบรรณวชิ าชีพคร.ู [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก : http://www.kruchiangrai.net. สบื ค้นข้อมลู เมอ่ื วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564. จรนิ ทร์ งามแม้น. (2526). จรรยาบรรณวิชาชีพ. มหาวทิ ยาลัยราชภัฏหมูบ่ า้ นจอมบงึ . พฤทธ์ิ ศริ ิบรรณพิทักษ์. (2556). จรรยาบรรณวิชาชีพครู. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : https://ap.mju.ac.th/data_silo/jarya/2013-07-01-09-36-54go0.pdf สืบคน้ ข้อมูล เม่ือวนั ท่ี 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564.
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 271 9. คุณธรรม จริยธรรมสำหรบั ครู คุณธรรมและจริยธรรมนับว่าเป็นพ้ืนฐานที่สำคญั ของมนุษย์ทุกคน ถ้าคนใดขาดคุณธรรมและ จริยธรรมอาจมีผลร้ายต่อตนเองและสังคม สังคมท่ีมีคนขาดคุณธรรมและจริยธรรมมาก ย่อมเป็น สังคมที่วุ่นวายไร้ความสุข ดังจะพบได้จากการเกิดวิกฤติศรทั ธาในวิชาชพี หลายแขนงในปัจจุบัน ท้ังใน วงการวิชาชพี ครแู พทย์ ตำรวจ ทหาร หรือนักการเมอื ง เป็นต้น จึงมีคำกล่าวว่า เราไมส่ ามารถสร้างครู บนพื้นฐานของคนไม่ดีและไม่สามารถผลิตแพทย์ ตำรวจ ทหาร นักธุรกิจท่ีดีได้ถ้าหากบุคคลเหล่าน้ัน มพี ื้นฐานทางนิสยั และความประพฤติทไี่ ม่ดี คณุ ธรรมและจริยธรรมจึงเป็นสิ่งท่ีสำคัญต่อชีวิตและสงั คม มีส่วนสำคัญท่ีจะนำความสงบสุข และความเจริญกาวหน้ามาสู่สังคมน้ัน ๆ เพราะเม่ือคนในสังคมมีคุณธรรมและจริยธรรมจิตใจก็ย่อม สูงส่ง มีความสะอาดและสว่างในจิตใจ จะทำการใดก็ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แก่ตนเองและผู้อื่น เป็นบุคคลที่มีค่า มีประโยชน์ต่อสังคม คนทุกคนควรได้รับการปลูกฝังคุณธรรม และจรยิ ธรรมไปพร้อม ๆ กัน 10. คุณธรรมสำหรบั ครู คุณธรรม (Virtue หรือ Morality) เป็นสภาพคุณงามความดีที่อยู่ประจำใจของแต่ละคนเป็น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีท่ีเกิดข้ึนจากการเรียนรู้ การวิเคราะห์ พิจารณาไตร่ตรองแล้วพบว่าส่ิงใดดีสง่ิ ใด ไม่ดี สิ่งใดควรปฏิบัติส่ิงใดไม่ควรปฏิบัติ สิ่งใดถูกต้องสิ่งใดไม่ถูกต้อง เป็นต้น เมื่อพิจารณาไตรตรอง แล้วจึงนำมาปฏิบตั ิในชีวิตประจำวัน เพ่อื ให้ชีวติ ดำเนินไปอย่างถกู ต้อง มีความสขุ และยุติธรรม เรามัก พบเสมอวา่ คนท่มี คี ุณธรรมจะรกั ษาความยุตธิ รรม และมีเมตตาต่อคนอ่ืนเสมอ อาชพี ครไู ด้รับการยกย่องว่าเป็นอาชีพชั้นสูง เช่น เดียวกับผ้ทู ี่ประกอบอาชีพแพทย์ ทนายความ ดังน้ัน คนเป็นครูคงไม่ใช่เป็นเพียงเรือจ้าง มีหน้าท่ีนำพาศิษย์ข้ามไปสู่ฝั่งฝันอย่างปลอดภัยเท่านั้น (ทำใหศ้ ษิ ย์ซง่ึ เปน็ ผูท้ ่ีไม่รู้ ใหเ้ ปน็ ผู้รู้ ผ้ตู ื่น ผเู้ บิกบาน) ครูในยุคน้ีต้องเปน็ คนที่ทนั โลก ทันสมยั ทันเทคโนโลยี และทนั การเปล่ียนแปลง เป็นครอู าชีพไม่ใชอ่ าชพี ครู ดงั คำกลา่ วที่พลเอกเปรม ติณสลู านนท์ ประธาน องคมนตรีและรฐั บรุ ุษ กลา่ ววา่ ครูอาชีพ คือ ครูท่ีเป็นครูด้วยใจรัก เป็นครูด้วยจิตและวิญญาณมีความเป็นครูทุกลมหายใจ ต้ังแต่เกิดจนตาย เป็นครูที่รักและหวงแหน ห่วงใยอาทรต่อนักเรียนต่อศิษย์ดุจลูกในไส้ของตนจะทำ ทุกวิถีทางที่ จะให้ศิษย์เป็นคนดีไม่ยินยอมให้ศิษย์เป็นคนไม่ดีเป็นอันขาด จะติดตามสอดส่องศิษย์ทุก เมื่อเชื่อวนั โดยไม่ละทิ้ง และมีความสุขมากในการท่ีได้เกิดมาเป็นครู รักเกียรติเทิดทูนสถาบันครูอย่าง ภาคภูมิใจในขณะท่ี อาชีพครู คือ คนท่ีมายึดการเป็นครูอาชีพเพ่ือให้ได้ค่าตอบแทน ขาดจิตวิญญาณ ของความเป็นครู ซ่ึงขณะน้ีครูของไทยมีลักษณะอาชีพครูเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจะเป็น เง่ือนไขที่จะท่าลายความหวังของการปฏิรูปการศึกษาเพราะครูคือความหวังท่ีจะนำส่คู วามสำเร็จของ การปฏิรปู การศึกษา นอกจากจะต้องเป็นครูอาชีพ แล้วครูต้องมีบทบาทหน้าที่ท่ีสำคัญในการอบรมส่ังสอนศิษยใ์ ห้ เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข บทบาทหน้าท่ีน้ี รองศาสตราจารย์ รังสรรค์แสงสุข อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยรามคำแหงกล่าวว่า ครูต้องเป็นผู้ให้ ผเู้ ตมิ เตม็ และผ้มู ีเมตตา คือ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 272 ครคู ือผู้ให้…ใหโ้ อกาส…ให้ความคิด…ให้ชีวิต…ใหอ้ ภัย ครูคือผู้เติมเต็ม…เตม็ ความร…ู้ เตม็ ประสบการณ์…เต็มสตปิ ญั ญา ครคู อื ผมู้ เี มตตา ... ตอ่ ศษิ ย…์ ตอ่ ญาติ…ต่อมติ ร ... ต่อศัตรู ครูที่จะเป็นครูอาชีพ เป็นผู้ให้ ผู้เต็มเต็ม และผู้มีเมตตา ทำหน้าที่อบรม ส่ังสอน ฝึกฝน ศิษย์ ให้เป็นคนดี มีความรู้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข น้ันจำเป็นต้องมีคุณธรรมประจำตนใน เรื่อง คุณธรรม 4 ประการ ฆราวาสธรรม 4 สปั ปุรสิ ธรรม 7 และหิรโิ อตตัปปะ ดงั นี้ 1. คุณธรรม 4 ประการ ผู้ที่ประกอบอาชีพครูต้องน้อมนำพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเม่ือคราว เสด็จพระราชดำเนนิ ทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธริ าชพระราชพิธี ฉลองสิรริ าชสมบัติครบ 60 ปีเมื่อวนั ทีม่ ิถนุ ายน 2555 ความว่า คุณธรรม ซึ่งเป็นที่ตั้งของความรักความสามัคคี ท่ีทำให้คนไทยเราสามารถร่วมมือร่วมใจกัน รกั ษาและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันไปได้ตลอดรอดฝ่ัง ประการแรก คือ การที่ทุกคน คิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือ เก้อื กลู กัน ประสานงาน ประสานประโยชนก์ นั ให้งานท่ีทำสำเร็จผล ท้งั แก่ตน แก่ผอู้ น่ื และกับประเทศชาติ ประการท่ีสาม คอื การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริตในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน ประการที่ส่ี คือ การท่ีต่างคนต่างพยายามทำความคิดความเห็นของตนให้ ถูกต้องเท่ียงตรง และม่ันคงอยู่ในเหตุในผลหากความคิดจิตใจพร้อมมูลในกายในใจของคนไทยก็ม่ันใจ ได้ว่า ประเทศชาติไทยจะดำรงม่ันคงอยู่ตลอดไปได้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายในมหาสมาคมน้ีทั้ง ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้รักษาจิตใจและคุณธรรมนี้ไว้ให้เหนียวแน่นและถ่ายทอดความคิด จิตใจนี้กันต่อไป อย่าให้ขาดสายเพ่ือให้ประเทศชาติของเราดำรงยืนยงอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขทั้ง ในปจั จบุ นั และในภายหน้า 2. ฆราวาสกรรม 4 หลักธรรมสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพครูท่ีจะใช้ยึดถือเป็นคุณธรรมพ้ืนฐานของจิตใจในการ ครองชีวิต ครองเรือน ให้ประสบความสุขสมบูรณ์ และเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่บุคคลทั้งหลาย ประกอบดว้ ย ธรรม 4 ประการ คือ 1. สัจจะ หมายถึง ความซ่ือสัตย์จริงใจต่อกันผู้ประกอบวิชาชีพ ครูจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับ บคุ คลอน่ื ในสังคมการท่จี ะให้ผรู้ ว่ มงานเกดิ ความไว้วางใจ และมไี มตรีจติ สนทิ ต่อกนั จำเป็นต้องเปน็ คน ท่ีมีความซ่ือสัตย์จริงใจต่อกันถ้าไม่มีสัจจะเม่ือใดย่อมเป็นเหตุให้เกิดความหวาดระ แวงแคลงใจกัน เปน็ จุดเร่ิมตน้ แห่งความร้าวฉานซ่งึ ยากนักท่จี ะประสานให้พน้ื ทไี่ ดต้ ั้งเดิม 2. ทมะ หมายถึง การรู้จักบังคับควบคุมอารมณ์ ข่มใจระงับความรู้สึกต่อความผิดพลาด ความบกพร่องของตนเองและผู้อืน่ ผู้ที่จะเป็นครูที่ดีต้องรู้จักฝึกฝน แก้ไขขอ้ บกพรอ่ งปรับปรงุ ลักษณะ นิสัยส่วนตน ไม่เป็นคนดื้อด้านเอาแต่ใจและอารมณ์ตนเองเป็นสำคัญถ้าผู้ที่ประกอบวิชาชีพครูขาด หลักธรรมข้อน้ี จะกลายเป็นคนที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้เป็นผู้ที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional quotient) ไม่สามารถจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ทำให้ขาดสัมพันธภาพที่ดีต่อ ผู้ร่วมงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 273 3. ขันติ หมายถึง ความอดทนอดกล้ันต่อความยากลำบาก ความเลวร้าย อุปสรรคท้ังปวง ที่เกิดข้ึนท้ังต่อตนเองและการปฏิบัติงานในหน้าท่ี การอยู่ร่วมกับคนหมู่มากย่อมมีการกระทบกระท่ัง กันบ้าง ทั้งเรื่องความคิดความเชื่อทัศนคติการกระทำต่าง ๆ มีเหตุล่วงเกินกันอย่างรุนแรงซ่ึงอาจจะ เป็นถ้อยคำหรือกิริยาอาการจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามก็ต้องรู้จักอดกล้ันระงับใจไม่ก่อเหตุให้เรื่อง ลุกลามกวา้ งขยายต่อไป นอกจากนย้ี ังตอ้ งมคี วามอดทนต่อความยากลำบากในการประกอบงานอาชีพ โดยเฉพาะเมื่อเกิดความผิดพลาดความบกพร่องความไม่เข้าใจไมก่ ้าวหน้ากต็ ้องไม่ตีโพยตพี าย แต่มสี ติ อดกล้นั คดิ หาอบุ ายใช้ปัญญาหาทางแกไ้ ขสถานการณเ์ หตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ใหล้ ุล่วงไปดว้ ยดี 4. จาคะ หมายถึง ความเสียสละมีน้ำใจเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่แบ่งปันกันการอยู่ร่วมกันในสังคม ถ้าครูมีความเห็นแก่ตัวคอยจ้อง แต่จะเป็นผู้รับเอาแต่ประโยชน์ใส่ตัว โดยไม่คำนึงถึงคนอ่ืนก็จะเป็น คนท่ีไม่มีความสุข ไม่มีเพ่ือน ไม่มีคนคบค้าสมาคมด้วย การจะเป็นคนที่ได้รับการยอมรับเป็นที่รักของ เพื่อน ๆ จะต้องรู้จักความเป็นผใู้ ห้ด้วยการให้มิใช่หมายถึง แต่เพียงการเออื้ เฟื้อ เผ่ือแผ่ แบ่งปันทรัพย์ ส่งิ ของ ซง่ึ มองเห็นและเข้าใจไดง้ ่าย ๆ เท่านัน้ แต่ยังหมายถึง การใหน้ ำ้ ใจแก่กนั และกนั ด้วย 3. สปั ปุริสธรรม 7 คุณธรรมนี้เหมาะสำหรับครูเป็นอย่างย่ิง เพราะจะช่วยให้เป็นคนสมบูรณ์แบบหรือคนที่ สมบูรณ์พรอ้ มส่งผลใหม้ ีความเชื่อม่ันเปน็ ผู้นำสอนส่ังลกู ศิษย์ให้มีชีวิตท่ีเป็นสุขได้ นอกจากนย้ี ังใช้เป็น หลักช่วยในการพจิ ารณาวา่ บคุ คลใดเปน็ คนดหี รือไม่ดีได้อีกด้วยคนดีต้องมีคุณสมบัติ 7 ประการ ดงั น้ี 3.1 รู้หลกั และรู้จักเหตุ (ธัมมัญญตา) คือ รู้หลักการและกฎเกณฑ์ของส่ิงทั้งหลายทตี่ นเข้า ไปเก่ียวข้องในการดำเนินชีวิตในการปฏิบัติหน้าท่ีและดำเนินกิจการต่าง ๆ รู้เข้าใจส่ิงท่ีตนจะต้อง ประพฤติปฏิบัติตามเหตุผลเช่นรู้ว่าตำแหน่งฐานะอาชีพการงานของตนเองเป็นอย่างไรมีหน้าท่ีและ ความรับผิดชอบอย่างไรนอกจากน้ียังต้องรู้หลักความจริงของธรรมชาติว่า ของหลักการที่ตนปฏิบัติ เขา้ ใจวัตถุประสงคข์ องงานท่ตี ้องปฏิบัติรู้ว่าสิง่ ทตี่ นทำอยดู่ ำเนินชีวิตอยู่นั้นเพ่ือประโยชน์อะไรหรือควร จะได้รับอะไรการทำงานตามหน้าที่ตำแหน่งฐานะการงานอย่างน้ัน ๆ เขากำหนดวางกันไว้เพื่อความ มุ่งหมายอะไรงานที่ตนทำอยู่ขณะนี้เม่ือทำไปแล้วจะบังเกิดผลอะไรบ้างเป็นผลดีหรือผลเสียอย่างไร เป็นตน้ 3.2 รู้อรรถ (อัตตัญญตา) รู้ความมุ่งหมายหรือเป็นผู้รู้จักผล คือ รู้ความหมาย รู้ความมุ่ง หมาย รู้ประโยชน์ที่ประสงค์ รู้จักผลที่จะเกิดข้ึนสืบเนื่องจากการกระทำหรือความเป็นไปตามหลั ก เช่น รู้ว่าหลักธรรมหรือภาษิตข้อน้ัน ๆ มีความหมายว่าอย่างไร หลักน้ัน ๆ มีความมุ่งหมายอย่างไร กำหนดไว้หรือพึงปฏิบัติเพื่อประสงค์ประโยชน์อะไร การท่ีตนกระทำอยู่มีความมุ่งหมายอย่างไร เมอื่ ทำไปแล้วจะบงั เกิดผลอะไรบา้ งดังนเี้ ป็นตน้ 3.3 รู้ตน (อัตตัญญตา) คือ รจู้ ักและเข้าใจตนเองว่าเป็นใครมีความรู้ความถนัดความสามารถ พเิ ศษอะไรเมื่อรู้แล้วจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้เหมาะสมให้สอดคล้องกับบุคลิกลักษณะของตนเอง รู้จกั ปรบั ปรงุ พฒั นาตนเองใหม้ คี วามสมบรู ณ์พร้อมยิ่งขน้ึ ไป 3.4 รู้ประมาณ (มัตตัญญตา) คือ รู้จักความพอดีความพอประมาณเช่นรู้จักประมาณ ในการบริโภคการใช้จ่ายทรัพย์รู้จักความพอเหมาะพอดีในการพูดการปฏิบัติหน้าที่การงานต่าง ๆ ตลอดจนการพักผ่อนนอนหลับและการสนุกสนานร่ืนเริงเป็นต้นผู้เป็นครูต้องไม่ทำการทุ กอย่าง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 274 ตามความชอบใจหรือเอาแต่ใจของตนเป็นหลัก แต่ต้องทำตามความพอดีแห่งเหตุปัจจัยหรือ องค์ประกอบท้งั หลายท่จี ะลงตวั ให้เกดิ ผลดีงามตามทมี่ องเหน็ ดว้ ยปัญญา 3.5 รู้กาลเวลาอันเหมาะสม (กาลัญญตา) คือ ต้องรู้ระยะเวลาที่จึงใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ การงานต่าง ๆ เช่นรู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไรอย่างไรและท่าให้ตรงเวลาให้เป็นเวลาให้ทันเวลาให้พอ เวลาให้เหมาะเวลาใหถ้ กู เวลาตลอดจนรจู้ กั บรหิ ารเวลาการใช้เวลาได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ 3.6 รู้ชุมชน (ปริสัญญตา) คือ รู้จักถิ่นรู้จกั ท่ีชุมนุมและชมุ ชนรกู้ ารอนั ควรประพฤติปฏิบัติ ต่อชุมชนน้ันว่าคนในชุมชนที่เราอยู่หรือเข้าไปอยู่เราควรต้องทำกิริยาหรือปฏิบัติตนอย่างนี้ ส่วนอีก ชุมชนหนึ่งถ้าเราเข้าไปควรต้องทำกิริยาหรือปฏิบัติอย่างน้ันเพราะแต่ละชุมชนมีระเบียบวินัยธรรม ปฏิบัติวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกันการที่เราเรียนรู้ชุมชนก็เพื่อเข้าใจเข้าถึงเข้ากับชุมชนได้จน สามารถช่วยเหลือส่ังสอนแนะนำและพฒั นาชมุ ชน 3.7 รู้บุคคล (บุคคลัญญตา) คือ รู้จักและเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคลว่าแต่ละคนมี ความร้คู วามสามารถความถนัดความสนใจแตกต่างกัน เมือ่ แต่ละคนแตกตา่ งกันดังนัน้ เราจึงต้องรู้จักที่ จะปฏบิ ัติตอ่ บุคคลอ่ืน ๆ ใหเ้ หมาะสมดว้ ยการสง่ั สอนฝึกอบรมกต็ ้องใหพ้ อดีพอเหมาะพอควรให้ถูกกับ จริตหรอื ลกั ษณะของแต่ละคนเพราะคนเรามีลีลาการเรยี นรู้ (Learning style แตกตา่ งกัน 11. คณุ ธรรมสำหรบั ครตู ามแนวพระพุทธศาสนา ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้มีทัศนะเกี่ยวกับคุณธรรมครูว่า ครูควรจะต้องมีคุณธรรม 4 ประการ ตามพระพุทธองค์ ดงั น้ี 1. พระวิสุทธิคุณ คือ ครูจะต้องมีจิตใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ปราศจากโลภะโทสะโมหะไม่ อาฆาตพยาบาทรจู้ กั การใหอ้ ภัย และมีมทุ ิตาจติ ต่อศิษย์ 2. พระปญั ญาคุณ คือ ครูจะตอ้ งมีปัญญาทเ่ี ฉียบแหลม สามารถชว่ ยแก้ปัญหาให้ศษิ ยไ์ ด้ 3. พระกรุณาธคิ ุณ คือ ครูจะต้องมคี วามเมตตากรณุ าตอ่ ศิษย์ 4. ขันติ คอื ครจู ะต้องมีความอดทนต่อความเหน็ดเหนือ่ ยทงั้ รา่ งกาย และจติ ใจ พระวรธมั โมภิกขุ ไดก้ ลา่ ววา่ คุณธรรมท่ที ำใหค้ นเปน็ ครทู ีส่ มบรู ณไ์ ดม้ ดี งั น้ี คือ 1. ครูต้องเป็นผู้ท่ีมั่นใจ ในเรื่องทางวิญญาณเพราะครูมีหน้าที่เป็นผู้นำทางวิญญาณและมี หนา้ ทีย่ กระดบั จติ ใจของเยาวชนใหส้ ูงขึน้ โดยครูจะต้องถือว่าเป็นความรบั ผดิ ชอบของครโู ดยตรง 2. ครูต้องมีธรรมะ คือ ต้องใช้ธรรมะหล่อเลี้ยงชีวิตให้ชุ่มช่ืนให้มีความอิ่มใจมีปีติปราโมทย์ มฉิ ะน้นั ชีวิตครูจะน่าเบื่อหน่ายไมร่ ื่นรมย์ 3. ครูต้องเป็นเสมือนพระโพธิสัตว์ คือ บุคคลผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมีคติประจำใจท่ีว่า ยอมลำบากเพ่อื ใหค้ นอน่ื สขุ สบายเพราะครูควรยดึ ถือคุณธรรมของพระโพธสิ ัตวเ์ ป็นหลกั ปฏิบัติ คือ 3.1 สุทธิ คือ มีความบริสุทธิ์อยู่ในดวงจิตไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่พยาบาท อาฆาตมาด ร้ายมี แต่ให้อภยั และมมี ทุ ติ าจิตในลกู ศษิ ย์ 3.2 ปัญญา คือ การรู้เข้าใจสว่างไสวรู้เหตุแห่งความเส่ือมความเจริญของชีวิตครูควรใช้ ปญั ญาเพื่อปรับปรุงและส่งเสริมให้ลกู ศิษย์ดว้ ยความเสียสละ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 275 3.3 เมตตา คือ มีความรักปรารถนาท่ีไม่มีท่สี ิ้นสุด ครจู ะตอ้ งให้ความเมตตาต่อลูกศิษย์แม้ การอบรมสั่งสอน ตักเตอื น และการลงโทษก็ควรใช้ความเมตตาเปน็ หลกั 3.4 ขนั ติ คือ การยอมอดทนตอ่ ความเหนอ่ื ยยากทั้งกาย วาจา เพือ่ สั่งสอนลูกศิษย์ สำหรับคุณธรรมหรือหลักธรรมที่ครูควรยึดถือ และปฏิบัติตัวเป็นตัวอย่างท่ีดีแก่ลูกศิษย์ โดยอาศัยหลักธรรมที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเลือกธรรมท่ีเหมาะแก่หน้าที่การงานของครู เช่น ขนั ติ (ความอดทน) สมั ปชญั ญะ (ความรู้สกึ ตัว) พรหมวิหาร 4 อคติ 4 เป็นต้น 12. หลกั ธรรมสำหรับครู คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ผู้เป็นครูจึงควรศึกษาและนำคำสอน ทางศาสนามาปฏบิ ตั ิมธี รรมะท่คี รคู วรยดึ ถอื อยูห่ ลายหมวดดงั ต่อไปนี้ 1. อิทธิบาท 4 คือ คุณธรรมท่ีนำไปสู่ความสำเร็จ หมายถึง การทำงานท่ีบรรลุตามวัตถุประสงค์ ซ่ึงอาจเปน็ เร่อื งหน้าทกี่ ารศกึ ษารวมท้ังชวี ติ ส่วนตวั มอี ยู่ 4 อยา่ ง คอื 1.1 ฉันทะ ความพอใจในสิ่งน้ัน คือ พอใจรักที่จะเป็นครูทำงานด้านการสอนด้วย ความชอบตั้งใจในการสอนมีการเตรียมการสอน ที่เหมาะสมกับวัย และความแตกต่างของเด็กมีการ สอนท่ีทำให้เด็กได้ท้ังความรู้ และคุณธรรมมีเมตตากรุณาต่อเด็ก ไม่ลงโทษเด็ก โดยไม่มีเหตุผล เช่น ดีเด็กจนเกนิ ขอบเขตไม่ปล่อยปละละเลย เมื่อเด็กทำความผดิ 1.2 วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น คือ ความพยายามประกอบอาชีพครูด้วยความขยันหม่ันเพียร ตัวครูก็ต้องพยายามหาความรู้เพม่ิ เตมิ มีการพฒั นาความรู้และตนเองตลอดเวลา 1.3 จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ไม่ทอดธุระ คือ เอาใจฝักใฝ่ในความเป็นครูคิดตลอดเวลาว่าครูเป็น อาชีพที่สำคัญในการจะพัฒนาเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ท่ีมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ มีความตั้งใจท่จี ะทำหนา้ ทีค่ รใู หด้ ที ่สี ดุ 1.4 วิมังสาการหม่ันตริตรองพิจารณาเหตุผลส่ิงน้ัน คือ พิจารณาเหตุผลในอาชีพครูว่าทำ ไดด้ ีมีประสทิ ธภิ าพแลว้ หรือไม่สอนดีเพียงใดและควรหาแนวทางใดมาปรับปรงุ วธิ กี ารสอนใหด้ ยี ่งิ ข้นึ 2. โลกปาลธรรม ธรรมคุ้มครองโลก คือ ธรรมที่ช่วยให้โลกมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อน และวุ่นวาย มี 2 อยา่ ง คือ 2.1 หิริ แปลว่า ความสะอายต่อบาป คือ ละอายใจต่อการทำความช่ัว ไม่ยอมทำบาปโอตตัปปะ แปลว่า ความกลวั บาป 2.2 โอตตปั ปะ แปลว่า ความกลวั บาป คอื เกรงกลัวต่อความชว่ั และผลของความช่ัวตา่ ง ๆ ทง้ั หริ ิ” กบั “ โอตตปั ปะ” เป็นธรรมท่สี รา้ งพ้ืนฐานของจิตใจไมใ่ หค้ นทำความชวั่ 2.3 ธรรมอันทำให้งาม 2 ประการ คอื 1. ขันติ คือ ความอดทน อดกลั้น ความหนักแน่นของจิตใจ เพื่อบรรลุความดีและความ มุ่งหมายอันชอบความอดทนแบง่ ได้ 3 ชนิด คอื - อดทนตอ่ ความเจบ็ ปวดทกุ ข์ ทรมาน อนั เกดิ จากการเจ็บไข้ไดป้ ว่ ย - อดทนตอ่ ความสำบาก เหนอ่ื ยยาก อันเน่อื งจากความไมร่ าบรนื่ ในการทำงาน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 276 - อดทนตอ่ ความเจบ็ ใจ ทไี่ ด้รับจากคำพูดทีไ่ มด่ ี 2. โสรัจจะ คือ ความสงบเสง่ียม อัธยาศัยงาม มีวาจาสุภาพเรียบร้อย ซ่ึงเป็นธรรมท่ีคู่ กับความอดทน คือ เมื่อมีความอดทนแล้ว ต้องแสดงออกให้เป็นปกติท้ังกาย วาจา ธรรมท้ังสอง ประการน้ีเรยี กว่าเป็น“ ธรรมท่ีทำใหง้ าม” 3. พรหมวิหาร 4 หรือ ธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐ หรือ ผู้มีจิตใจย่ิงใหญ่ คือ คณุ ธรรมทคี่ วรใช้ปกครองลูกศษิ ย์ มี 4 ประการ 3.1 เมตตา คือ มีความรักความปรารถนาดีมีไมตรี และต้องการช่วยให้ทุกคนได้ ประโยชน์ และมคี วามสุข 3.2 กรุณา คือ ความสงสารอยากช่วยผู้อื่น ให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจที่จะปลดเปล้ือง บำบัด ความทุกขย์ ากความเดือดร้อนของคน และสัตวท์ ้งั หลาย 3.3 มุทิตา คือ ความยินดีเม่ือผู้อื่นได้ดีมีจิตใจผ่องใสแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ และ ยนิ ดเี ม่ือผอู้ น่ื ได้ดแี ละเจริญกา้ วหน้า 3.4 อุเบกขา คือ ความมีใจเป็นกลางมีจิตเที่ยงธรรมไม่เอนเอียงด้วยความรัก ความ ชงั ปฏบิ ัติตนตามหลกั การ และเหตุผล 4. อคติ 4 คือ ความไม่เท่ียงตรง ความสำเอียง ผู้ที่เป็นครูอาจารย์ และคนท่ัวไปควรเว้นอคติ 4 อยา่ งน้ี 4.1 ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก, ชอบ คือ การช่วยเหลือเข้าข้างคนท่ีตนรัก ทำให้เสีย ความเทย่ี งธรรม 4.2 โทสาคดี สำเอยี งเพราะ ความไม่ชอบ คอื การกลั่นแกลง้ ให้โทษคนทเ่ี ราเกลยี ดชัง 4.3 โมหาคติ ลำเอยี งเพราะ ความหลงความเขลา คือ การกล่ันแกลังให้คนท่เี ราเกลยี ดชงั 4.4 ภยาคติ ลำเอียงเพราะ ความกลัว คือ การกระทำอย่างใดอย่างหน่ึงเพื่อช่วยเหลือคน ที่มอี ำนาจหรืออทิ ธพิ ลเหนอื เราทำให้เสียความยตุ ธิ รรม 5. สัปปุริสธรรม 7 คอื ธรรมของสัตบุรุษหรือธรรมของคนดมี ี 7 ประการ คอื 5.1 ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักหลักและรู้จักเหตุ คือ รู้หลักการ และกฎเกณฑ์ของส่ิง ท้ังหลายท่ีตนเข้าไปเก่ียวข้องในการดำเนินชีวิต ในการปฏิบัติต่อหน้าท่ี และดำเนินกิจการต่าง ๆ รู้ เข้าใจสิ่งทต่ี นจะต้องประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตามเหตุผล 5.2 อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผลและความมุ่งหมาย คือ รู้ความหมายความมุ่งหมาย ของหลักการทตี่ นปฏิบตั ิเขา้ ใจวตั ถปุ ระสงค์ของกจิ การที่ตนกระทำ 5.3 อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตน คือ รู้ตามเป็นจริงว่า ตัวเรานั้นโดยฐานะภาวะเพศ กำลงั ความรคู้ วามสามารถความถนัด ฯลฯ เป็นอย่างไร 5.4 มัตตัญญตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ คือ รู้จักพอดี เช่นรู้จักประมาณ ในการใช้จ่าย การบริโภคในการใชจ้ ่ายทรพั ยห์ รือในการพูดเปน็ ต้น
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 277 5.5 กาลัญญตา ความเปน็ ผู้รูจ้ กั เวลา คือ รู้เวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่พง่ึ ใชใ้ นการ ประกอบกิจหนา้ ทีก่ ารงานปฏิบัติการตา่ ง ๆ และเก่ียวขอ้ งกบั ผอู้ นื่ 5.6 ปริสัญญตา ความเป็นผู้รู้จักชุมชน คือ รู้จักการอันควรประพฤติปฏิบัติ ในถิ่นชุมชน รจู้ กั ระเบียบวินยั วัฒนธรรมประเพณขี องชุมชนทเ่ี ข้าไปเกย่ี วข้อง 5.7 บุคคลัญญตา ความเป็นผู้รู้จักบุคคล คือ รู้จักและเข้าใจความแตกต่างแห่งบุคคลรู้จัก ท่ีจะปฏิบตั ติ อ่ บุคคลอื่น ๆ ด้วยดี 6. มรรค 8 หมายถึง ทางปฏิบัติเพ่ือความพ้นทุกข์ เพื่อแก้ปัญหาชีวิตและปัญหาสังคมหรือ เปน็ ทางปฏิบตั สิ ายกลาง 8 อยา่ ง คือ 6.1 สมั มาทิฏฐิ คอื ความเห็นชอบเช่นเห็นว่าทำดียอ่ มไดด้ ที ำชวั่ ย่อมไดผ้ ลชวั่ เปน็ ต้น 6.2 สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบเช่นการดำริออกจากกามไม่มัวเมาในรูปรสกลิ่น เสยี ง และสัมผสั 6.3 สมั มาวาจา คือ การเจรจาชอบเช่นเว้นจากการพดู เทจ็ พดู ส่อเสียดพูดคำหยาบและพูด เพ้อเจ้อการพูดและวิธีพูดของครูมีผลต่อความรู้สึกและจิตใจของ นักเรียนเสมอดังนั้นครูควรพูดด้วย ความจริงใจออ่ นโยนให้นกั เรยี นเกิดความเคารพนบั ถือ 6.4 สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำชอบเป็นการทำงานท่ีปราศจากโทษท้ังปวง เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์และไม่ประพฤติผิดประเวณีเป็นต้นครูต้องกระทำการเหล่าน้ีด้วยความอดทนซื่อสัตย์และ รอบคอบ 6.5 สัมมาอาชีวะ คือ การเล้ียงชีวิตชอบไม่ทำมาหากินในทางที่ผิดศีลธรรม และผิด กฎหมายธรรม ข้อน้ีสำหรับครู คือ ไม่เบียดเบียนเวลาสอนไปทำอาชีพอย่างอื่น หรือ รู้จักใช้เวลาว่าง เพอ่ื ค้นหาความรเู้ พือ่ ใชใ้ นการสอน 6.6 สัมมาวายามะ คือ ความเพียรพยายาม ชอบเป็นการเพียรพยายามมิให้ความชั่วเกิด เพียรละความชั่วเพียรกระทำความดีและรักษาความดี 6.7 สัมมาสติ คือ ความระลกึ ชอบเป็นการระลึกในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลต่าง ๆ ครูผู้ระลึก ชอบย่อมเปน็ ครผู ้มู ีสติไมเ่ สยี สติและอยใู่ นทำนองคลองธรรมและไม่นอกลู่นอกทาง 6.8 สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งใจชอบเป็นความตั้งใจให้มีอารมณ์สงบระงับโลภโกรธหลง ทั้งปวงมรรคท้งั 8 ประการนี้ จัดเข้าเปน็ “ ไตรสกิ ขา” คือ ศลี สมาธิ และปญั ญา ศลี ไดแ้ ก่ สัมมาวาจา สมั มากัมมันตะ และสมั มาอาชวี ะ สมาธิ ได้แก่ สมั มาวายามะ สมั มาสติ และสัมมาสมาธิ ปัญญา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสมั มาสังกปั ปะ 7. ทศพิธราชธรรม หรือ ราชธรรม 10 หมายถึง หลักธรรมสำหรับพระราชานักบริหาร และ ผู้ทำหน้าที่ปกครองคนอ่นื เช่น ครอู าจารย์เป็นต้นทศพิธราชธรรมมี 10 อยา่ ง คอื 7.1 ทาน คอื การให้ การสละทรัพย์สง่ิ ของการช่วยเหลอื 7.2 ศลี คือ ความประพฤตเิ รยี บรอ้ ยทางกาย วาจา
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 278 7.3 บริจาคะ คือ การเสียสละความสุขของตน เพ่อื ประโยชนส์ ุขของผ้อู ่นื 7.4 อาชวะ คอื ความซอื่ ตรง มีความจริงใจ ปฏิบัติงานดว้ ยความสจุ ริต 7.5 มทั ทวะ คอื ความสภุ าพ อ่อนโยน มีอธั ยาศัยงดงาม 7.6 ตบะ คอื การระงับยบั ย้งั มใิ หก้ ิเลสเข้าครอบงำ มคี วามเปน็ อยู่ธรรมดา 7.7 อกั โกธะ คอื ความไมโ่ กรธ ไม่ลแุ กอ่ ำนาจความโกรธ มเี มตตา ประจำใจ 7.8 อวิหงิ สา คือ ความไมเ่ บยี ดเบียน ไม่บีบบังคับกดขี่ ไมห่ ลงระเริงอำนาจ 7.9 ขนั ติ คือ ความอดทน อดทนต่อความยากลำบาก ต่อคำยวั่ ยุ และเยาะเยย้ ต่าง ๆ 7.10 อวิโรธนะ คอื ความไม่ประพฤตผิ ิดธรรม ไม่หวั่นไหว ต่อลาภ ยึดมัน่ อยู่ในธรรม หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนานี้ เป็นเพียงธรรมะขั้นพ้ืนฐานทีค่ รู อาจารย์ทั้งหลายควร นำไปยึดถือปฏิบัติในฐานะท่ีเป็นครูเพื่อจะได้ประพฤติตัวให้เป็นแบบอย่างท่ีตีแก่ลูกศิษย์คุณธรรม สำคัญหลัก ๆ เช่น ขันติ โสรัจจะ คือ ผ้ทู ี่เป็นครตู ้องมีความอดทนอย่างมากในการจะเป็นครูท่ีดี ตอ้ งมี ความสงบเสงี่ยมสำรวมกาย วาจา ใจเพื่อทำหน้าที่ครูท่ีดี และครูต้องมีหิริ โอตตัปปะ คือ มีความ ละอาย และความกลัวที่จะทำความชั่ว ทั้งในท่ีลับและท่ีแจ้งครูต้องทำตัวในฐานะที่ควรได้รับการ เคารพยกย่องสมกับเปน็ ครูทีด่ ขี องสงั คม คณุ ธรรมของครทู ี่เรยี กวา่ “ คุรุธรรมนยิ ม” ซ่ึงประกอบด้วย คุณธรรมของครใู น 4 ด้าน คือ 1. อดุ มคตขิ องครู (Teacher's Will) 2. วญิ ญาณของครู (Teachers Spirit) 3. คณุ ธรรมของครู (Teachers Qualification) 4. จริยธรรมของครู (Teachers Function) หมวดท่ี 1 อุดมคติของครู (Teachers Wall) หมายถึง ส่ิงที่ครูมีความต้ังใจ ในส่ิงท่ีดีท่ีสุดท่ี พงึ ยดึ ถอื มี 1. ยดึ มั่นในสถาบนั ชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ 2. รกั และศรทั ธาในอาชพี ครู 3. ยินดีท่จี ะทำงานโดยไมเ่ หน็ แก่ความยากลำบากแม้อยใู่ นแห่งใดกต็ าม 4. ต้งั ใจทำงานอยา่ งหนักเพ่อื ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของนักเรยี น 5. เปน็ สมาชกิ และร่วมทำงานในสมาคมทีเ่ กีย่ วกับการศกึ ษา 6. ดำรงตนให้เหมาะสมกบั สภาพของอาชีพครูไมห่ รูหราฟ่มุ เฟือย 7. ธำรงไว้ซ่ึงช่อื เสียงและเกียรตคิ ุณแหง่ อาชีพครู 8. ปรบั ปรุงแกไ้ ขตนเองอยเู่ สมอ 9. ใฝห่ าความรูใ้ ส่ตนเองอยู่เสมอ 10. ตง้ั ใจทำงานเพื่อพฒั นาสังคมและประเทศชาติ 11. เชื่อม่ันว่าครู คือ ปูชนียบคุ คล 12. อทุ ศิ ตนให้แก่การศกึ ษาด้วยความเตม็ ใจโดยไมค่ ำนึงถึงผลตอบแทน
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 279 หมวดท่ี 2 วิญญาณของครู (Teachers Spirit) หมายถึง ลักษณะท่ีเป็นแก่นแท้ในสภาวะ ของความเปน็ ครูซ่ึงประกอบดว้ ยรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ 1. อดทนอดกล้นั ต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ของนกั เรยี น 2. อบรมนักเรยี นให้เป็นคนดีของสังคม 3. หาทางขจัดปญั หาของนกั เรียนใหห้ มดไป 4. รักและหวงั ดีตอ่ นกั เรียนเสมอื นบตุ รธดิ าของตน 5. เป็นมติ รกับนกั เรียน 6. ให้กำลังใจนกั เรยี นทง้ั ดา้ นการเรยี นและความประพฤติ 7. ให้เกียรติแก่นกั เรียนโดยไม่เลอื กชาติศาสนาฐานะครอบครัวเพศและวัย 8. สนใจและรว่ มกจิ กรรมเสรมิ หลกั สูตรของนกั เรยี นสม่ำเสมอ 9. กระตือรือร้นในการอบรมส่งั สอนและทำงานในหนา้ ที่ 10. รบั ฟังความคิดเห็นของนกั เรยี นและนำมาพจิ ารณาไตร่ตรอง 11. พยายามหาทางแกป้ มดอ้ ยของนักเรียน 12. เปิดโอกาสให้นกั เรยี นไดป้ รกึ ษาหารืออยา่ งสมำ่ เสมอ 13. แสดงความช่ืนชมยินดตี ่อความกา้ วหน้าของนกั เรยี น 14. สนใจและติดตามความเป็นอย่ขู องนกั เรยี นอยู่เสมอ 15. เอาใจใส่ตอ่ การเรยี นของนักเรียนอยา่ งสม่ำเสมอ 16. เอาใจใส่ด้านความประพฤตแิ ละแนะแนวการเรียนให้นักเรยี น 17. เอาใจใส่ตอ่ ความป่วยไข้ของนักเรยี น 18. ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากและความเหน่ือยหนา่ ยในงาน 19. ชว่ ยเหลอื นักเรียนทข่ี าดแคลน 20. ยินดสี อนพิเศษใหน้ ักเรยี นโดยไมห่ วังผลตอบแทน 21. เปิดโอกาสใหน้ กั เรียนไดป้ ระเมนิ ผลการสอนของครู 22. ร่วมมือกบั ผู้ปกครองในการอบรมสั่งสอนนกั เรียนอย่างใกล้ชิด 23. ส่งเสรมิ ความสัมพันธ์อันดรี ะหวา่ งโรงเรยี นกบั ชุมชน 24. ให้กำลังใจและปลุกปลอบใจนักเรียนอย่เู สมอ 25. หมน่ั สำรวจตนเองและปรับปรงุ ตนเองเสมอ 26. ภมู ิใจและรับผิดชอบตอ่ อาชีพของตน 27. ขยนั หม่นั เพียรในการสอนและศกึ ษาหาความรเู้ พ่มิ เติมอยู่เสมอ 28. ยดึ มนั่ ในกิจกรรมทีส่ ่งเสริมประชาธิปไตย 29. พยายามใช้ความเพยี รทกุ อย่างเพ่ือใหห้ น้าทีข่ องครูประสบผลสำเร็จ 30. เขา้ ใจความแตกตา่ งระหว่างบุคคลของนักเรยี น 31. รู้จรงิ และตั้งใจสอนจนเปน็ แบบอยา่ งที่ดไี ด้
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 280 หมวดท่ี 3 คุณธรรมของครู (Teachers Qualification) คือ คุณสมบัติหรือคุณภาพดีตลอดจน ความสามารถทมี่ อี ยภู่ ายในตวั ครมู ีลักษณะดงั น้ี 1. มคี วามร้เู พยี งพอ และถูกต้องในระดับท่สี อน 2. รับฟงั และเคารพเหตผุ ลของผอู้ ืน่ 3. พิจารณาคณุ คา่ ของนกั เรยี นแต่ละคนด้วยเหตผุ ล 4. ตดั สิน หรอื ลงโทษนกั เรยี นอยา่ งมเี หตผุ ล 5. ยดื หยุ่นต่อปัญหาตา่ ง ๆ และหาทางแกไ้ ขด้วยสนั ติวิธี 6. มคี วามคดิ รเิ รม่ิ 7. นำวิธกี ารใหม่ ๆ มาใชป้ รบั ปรุงการทำงานของตน 8. มีความยตุ ธิ รรมไมล่ ำเอยี ง 9. มอี ารมณ์มน่ั คง และสามารถควบคุมอารมณข์ องตนเองไดต้ ลอดเวลา 10. ไม่คดิ แสวงหาประโยชน์ ทางวตั ถุเกินความจำเปน็ 11. ซื่อสัตยส์ ุจริต และจรงิ ใจ 12. ภูมิใจในความสำเรจ็ ของตนเอง 13. ใหเ้ กยี รติแก่เพอ่ื นร่วมอาชีพ และบคุ คลทั่วไป 14. ไม่ดูหมิน่ ศาสนาอนื่ 15. มคี วามกรุณา และสนใจเด็กเปน็ รายบคุ คล 16. รักษาความลบั ของนกั เรียน 17. เอื้อเฟ้ือเผ่อื แผช่ ว่ ยเหลอื นกั เรียนตามสมควร 18. เสยี สละ เพื่อประโยชน์ของสังคม 19. ไมอ่ าฆาตพยาบาทนกั เรียน 20. ให้ความไวว้ างใจแกผ่ ูร้ ่วมงาน หมวดท่ี 4 จริยธรรมของครู (Teachers Function) หมายถึง การแสดงออกในสิ่งที่ควรปฏิบัติ อนั เปน็ หน้าทท่ี ่ีครูควรจะทำซ่ึงมรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ 1. ประพฤติตนดีสมำ่ เสมอ 2. ดำรงชวี ิต และปฏบิ ัตติ นเป็นตัวอยา่ งท่ดี ีของชมุ ชน 3. ประพฤติตนเป็นแบบอย่างท่ีดีของสังคม ในด้านศีลธรรมวัฒนธรรมกิจนิสัย สุขนิสัย และ อุปนสิ ัย 4. นำนกั เรยี นในรายทางเสือ่ มเสยี 5. ไม่ทำโทษนกั เรียนจนเกินกว่าเหตุ 6. เปน็ คนตรงตอ่ เวลา 7. สรา้ งความก้าวหน้าในอาชพี ตามความสามารถของตน 8. เว้นการกระทำผดิ เร่อื งชูส้ าว
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 281 9. รกั ษาช่ือเสียง และค่านยิ มของโรงเรยี นและคณะครู 10. ทำงานเปน็ หมคู่ ณะได้ดี 11. ใหค้ วามชว่ ยเหลือแก่เพ่อื นร่วมอาชีพเดียวกัน 12 รบั ผดิ ชอบตอ่ อาชีพทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 13. รบั ผิดชอบตอ่ การกระทำของตนเอง 14. มีอารมณ์ขนั แต่ไมต่ ลกเหลวไหล 15. แต่งกายเรียบรอ้ ยเสมอ 16. มีระเบยี บวนิ ยั 17. มีกรยิ าวาจาสุภาพออ่ นโยนยม้ิ งา่ ย 18. แสดงกริยาวาจาสภุ าพใชภ้ าษาสุภาพและถูกตอ้ ง 19. วางตนเหมาะสมเขา้ กับชนทกุ ชั้น 20. ปฏบิ ตั ิตนได้เหมาะสมกบั โอกาสและสถานที่ 21. สร้างความสัมพันธ์อันดรี ะหวา่ งครแู ละผู้ปกครอง 22. แนะนำใหน้ ักเรียนใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์ 23. ส่งเสริมให้นักเรียนมีความเมตตากรุณาอดทนซื่อสตั ย์ และสภุ าพออ่ นโยน 24. ไม่ใหน้ ักเรยี นทำในสิง่ ทีเ่ กินความสามารถ และเกนิ ความศรทั ธา 25. ปฏบิ ัติกับนักเรียนได้เหมาะสมกบั เพศ และวัย 26. ทำหน้าที่การงานดว้ ยความรวดเรว็ และถูกตอ้ ง 27 รจู้ ักวิพากษ์วิจารณ์เพื่อปรับปรุงการศึกษา และการงานด้วยถ้อยคำท่ีสุภาพ ไม่ทำให้ผู้อื่น เสยี กำลังใจ 28. สร้างชือ่ เสียง และเกยี รติคณุ ใหแ้ กต่ นเอง เพอ่ื นรว่ มงาน และสถาบัน 29. หลีกเลย่ี งส่งิ ที่กอ่ ให้เกดิ ความแตกรา้ วในหมู่คณะ เชน่ ความรษิ ยา และพยาบาท 30. ใช้กลวิธีสอนที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้จริง ประกอบด้วยคุณธรรมซ่ึงสามารถนำไปใช้ใน ชีวติ ประจำวันอยา่ งมคี วามสขุ 13. การพัฒนาคุณธรรมของครู คุณธรรมเป็นอุปนิสัยอันดีงามท่ีสะสมอยู่ในจิตใจ ซ่ึงได้มาจากความเพียรพยายามท่ีจะ ประพฤติปฏิบัติในส่ิงท่ีถูกต้อง ดีงาม ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน คณุ ธรรมจะมีความสัมพันธ์กับหน้าที่ เพราะกระทำหนา้ ทีจ่ นเปน็ นิสยั พฒั นาคุณธรรมของครคู วรจะเร่ิมต้นท่ี 1. คุณธรรมทางสติปัญญา รวมท้ังความรู้ทางทฤษฎี และแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ส่งผล ต่อความมีเหตุผลในการทำหน้าท่ี 2. คุณธรรมทางศีลธรรม คอื ความมีจิตสำนึกในส่ิงท่ีดีงามและเหตุผล คุณธรรมทางศีลธรรม ไม่ได้เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ หรือติดตัวมาแต่กำเนิด หากแต่สร้างขึ้นด้วยความรู้สึกผิดชอบช่ัวดี ในทางศีลธรรม ซึง่ จะสะสมอยภู่ ายในจติ ใจของครู
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 282 14. จรยิ ธรรมสำหรบั ครู จริยธรรม (Ethics) เป็นเร่ืองของความรู้สึก เป็นจิตสำนึกของบุคคลเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้อง ดีงาม ท้งั ทางกาย วาจา และใจ เป็นปฏิสัมพันธ์ท่ีเหมาะสมทางสังคม เป็นรากฐานของสันติสุขที่ยั่งยืน คนเป็นครูจึงควรต้องสร้างจิตสำนึกที่ดีงามให้เกิดข้ึนในตนเอง ในสังคมต้องซื่อสัตย์สุจริตต่อวิชาชีพ ของตนเองมีการประพฤติปฏบิ ัติท่แี สดงถึงความเป็นผู้มีธรรมะในใจและต้องมีพันธสัญญา (Commitment) ต่อตนเองต่อเพื่อนร่วมงานต่อหน่วยงานที่สังกัดและต่อประเทศชาติเช่นมีเมตตากรุณาซ่ือสัตย์สุจริต เสียสละรับผิดชอบยุติธรรมเป็นต้นจรยิ ธรรมมีท่มี าจากแหล่งต่าง ๆ กนั กลา่ ว คอื 1. จริยธรรมเป็นหลักการของธรรมชาติที่ปรากฏทั่วไป มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมสสาร สงิ่ แวดลอ้ มสภาพธรรมชาติท่ัวไปท่ีเป็นรปู ธรรม 2. จริยธรรมมาจากปรัชญา คือ วิชาท่ีว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริงสาระของปรัชญา จะกล่าวถึงลักษณะชีวิตท่ีพึงปรารถนาควรเป็นอย่างไรธรรมชาติของมนุษย์สภาพสังคมที่ดีความคิด เชิงปรัชญาจะเป็นความเช่ืออย่างมีเหตุผลปรัชญาจะกล่าวถึงความดีความงามค่านิยมเพ่ือจะได้ยึดถือ เป็นหลักปฏิบตั ติ ่อไป 3. จริยธรรมเปน็ ข้อกำหนดทางศาสนาเรยี กว่าศีลธรรม (Moral ethics) เพราะศาสนาทุกศาสนา ได้กำหนดหลักปฏิบัติไว้เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขโดยมิต้องเบียดเบียนหรือทำ ร้ายซึ่งกนั และกนั 4. จริยธรรมมาจากคำนิยมต่าง ๆ ซึ่งแต่ละสังคมจะมีค่านิยมที่แตกต่างกันได้เนื่องจากแต่ละ สังคมมคี วามแตกต่างในเร่อื งเชอื้ ชาติศาสนาความเชื่อวฒั นธรรมและประวตั คิ วามเป็นมา 5. จริยธรรมมาจากสังคมแต่ละสังคมท่ีกำหนดข้อบังคับ วิธีปฏิบัติของสมาชิกไว้เนื่องจาก พฤติกรรมหรือการกระทำของมนุษย์มีทั้งดีและไม่ดีซึ่งอาจสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสท้ังห้าการ กำหนดกฎข้อบังคับข้ึนมากเพื่อใช้ควบคุมให้สมาชิกอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขเม่ือสมาชิกในสังคม ยอมรับและปฏิบัติติดต่อกันนานเข้าจนได้รับการยอมรับสืบทอดกันมาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ตา่ ง ๆ นัน่ เอง 6. จริยธรรมมาจากวรรณคดีวรรณคดี เป็นหนังสือท่ีมีมาตรฐานท้ังด้านเนื้อหาสาระและ คุณคา่ ชาตทิ ีเ่ จรญิ แล้วจะมวี รรณคดเี ปน็ ของตนเองหนงั สือวรรณคดจี ะมคี ำสอนทเี่ ป็น 15. ความสำคญั ของจรยิ ธรรมสำหรับครู จริยธรรมสำหรับครู คือ แนวทางปฏิบัติหรือกริยาที่ควรประพฤติให้เป็นคนดีในทางที่ถูกที่ ควรรู้จักรับผิดชอบช่ัวดีพูดให้ง่ายก็คือแนวทางปฏิบัติท่ีถูกท่ีดีท่ีควรทำของครูจะช่วยให้ครูมีชีวิตท่ีดี นำไปสู่ความสำเรจ็ ในการพฒั นาคนและประเทศชาติได้ดงั น้ี 1. ช่วยให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความราบร่ืนและสงบ ไม่พบอุปสรรค ถ้าคนในสังคมทุกคนมี คุณธรรม และจริยธรรมสังคมของเราก็จะสงบสุขตามไปด้วย ทุกคนจะใช้เวลาท่ีมีท้ังหมดช่วยกัน พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญมั่นคงเป็นปึกแผ่น เป็นอารยประเทศไม่ต้องแบ่งเวลาไปคอยระมัดระวัง อนั ตรายใด ๆ ทจี่ ะเกดิ ข้ึนจากการกระทำของคนเลว
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 283 2. ช่วยให้คนเรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลาคุณธรรม และจริยธรรมท่ีมีอยู่ในตัวแต่ละคน จะเตอื นสติให้รักษาเกียรติยศช่ือเสียงของตนเองและวงศ์ตระกลู ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น รู้จกั เอ้ือเฟอ้ื เผื่อแผ่ ชว่ ยเหลือผทู้ ี่ด้อยโอกาสกว่า สงั คมก็จะสงบสขุ ประเทศชาติกจ็ ะมั่งคั่งม่ันคง 3. ช่วยสร้างความมีระเบียบวนิ ัยใหแ้ กบ่ ุคคลในชาติ โดยจะเปน็ ตัวกำหนดการประพฤติปฏิบัติ ของบุคคลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ท่ีคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าถูกต้อง กฎเกณฑ์นั้นจะมาจาก ความพอใจของคนเพียงคนเดียวไม่ได้คนเมื่ออยู่ในสังคมจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และกันเป็นญาติ พ่ีน้องหรือเพื่อนฝูงรว่ มสังคมเดียวกันจะอยู่คนเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้เมื่อบุคคลประพฤติตามคุณธรรม และจริยธรรมของสังคมชวี ติ ก็จะมีระเบียบไมต่ อ้ งพบกบั อุปสรรคถา้ ทุกคนปฏิบัตเิ หมอื นกนั สังคม และ ประเทศชาตกิ ็จะเป็นระเบียบตามไปด้วย 4. ช่วยควบคุมไม่ให้คนช่ัวมีจำนวนเพิ่มมากข้ึน การปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นนับว่า เป็นคุณแกส่ ังคมเพราะนอกจากจะเปน็ ตัวอย่างโดยการช้ีนำทางออ้ มแลว้ ยังจะออกปากแนะนำสั่งสอน โดยตรงได้อีกด้วย เช่น แนะนำให้แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่าเห็นแก่ตัวอย่าเห็นแก่ได้จนสร้าง ความเดือดร้อนให้แก่ผู้อ่ืน ซ่ึงส่งผลกระทบไปถึงความมั่นคงของสังคม และประเทศชาติมิฉะน้ันผู้ที่ คอยยึดเราเป็นตัวอย่างอาจหมดความศรัทธา และหมดกำลังใจสร้างคุณธรรม และจริยธรรมหัน กลับไปทำความชั่วเช่นเดมิ ไดอ้ กี 5. ช่วยทำให้มนุษย์นาความรู้และประสบการณ์ที่ได้ร่ำเรียนมาสร้างสรรค์ แต่ส่ิงที่มีคุณค่า ถา้ มนุษย์นำความรู้ และประสบการณ์มาใช้ในการประกอบอาชีพที่สุจริตย่อมสรา้ งสรรคค์ ุณประโยชน์ ให้แก่คนทั่วไปรวมท้ังสังคม และประเทศชาติด้วย แต่ในทางตรงข้ามถ้ามนุษย์ขาดคุณธรรม และ จรยิ ธรรมก็จะนำความรู้และประสบการณ์ที่มีไปเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น สร้างความเสียหาย ให้สงั คม และประเทศชาตเิ พียงหวังให้ตนเองมที รัพยม์ คี วามสขุ ผูอ้ ่ืนจะทุกข์อย่างไรก็ไม่คำนึงถึง 6. ช่วยควบคุมความเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจของคนให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน ปัจจุบัน ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี มีสูงมากถ้ามนุษย์นำความเจริญมาใช้ในทางท่ีผิด เช่น สร้าง อาวุธมาประหัตประหารกัน จนคนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก โดยหวังความเป็นใหญ่ความมีอำนาจ ความเดอื ดร้อนก็จะเกดิ แก่คนท่วั ไป แต่ถา้ ผู้ผลิตเทคโนโลยมี ีคุณธรรมและจริยธรรมเหตกุ ารณ์เหล่านก้ี ็ จะไม่เกิดส่ิงที่จะได้รับการสร้างหรือผลิตข้ึนมาก็จะมุ่ง แต่ประโยชน์ท่ีจะเกิดแก่คนทั่วไป เช่น เคร่ือง คอมพิวเตอร์เครื่องถ่าย เอกสารดาวเทียม ฯลฯ เพราะมีจิตใจท่ีสงบสุขจึงสร้างสรรค์ แต่สิ่งที่มีคุณค่า ตอ่ คนในสังคมและประเทศชาติ ความสำคัญของจริยธรรมที่กล่าว มาน้ีประเด็นท่ีสำคัญก็คือ สามารถลดปัญหาและขจัด ปัญหาที่จะเกิดข้ึนแก่บุคคล สังคม และประเทศชาติได้ เมื่อครูประพฤติปฏิบัติตนดีแล้วอุปสรรคศัตรู ภัยอันทรายก็จะหมดสิ้นไปครูจะมี แต่ความรักต่อกันสังคมมี แต่ความสงบและประเทศชาติก็จะ เจรญิ รุ่งเรือง
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 284 16. จริยธรรมที่ครตู อ้ งมี 1. ครูตอ้ งมีความขยันหม่นั เพยี ร 2. ครตู ้องมีวินยั ตนเอง 3. ครูตอ้ งรจู้ ักปรับปรงุ ตนเอง 4. ครูตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลอื ผอู้ ื่น 5. ครูต้องบำเพญ็ ประโยชนเ์ พือ่ ชมุ ชน 6. ครูต้องเสียสละเพื่อสาธารณะประโยชน์ 7. ครตู อ้ งรู้จกั เห็นอกเหน็ ใจผู้อื่น 8. ครตู อ้ งมคี วามกตญั ญูกตเวที 9. ครตู อ้ งไม่ประมาท 10. ครตู อ้ งปฏบิ ตั ิตอ่ ผูอ้ าวุโสในทางทีด่ ี 11. ครูต้องมีสจั จะและแสดงความจริงใจ 12. ครูตอ้ งมีความเมตตากรณุ า 13. ครูตอ้ งมคี วามอดทน อดกลน้ั 14. ครตู อ้ งมคี วามซือ่ สัตย์ 15. ครูตอ้ งมีระเบียบวนิ ัยและตรงตอ่ เวลา 16. ครตู อ้ งมกี ารใหอ้ ภัย 17. ครตู ้องประหยัดและอดออม 18. ครตู ้องเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่ 19. ครูต้องมีความรับผดิ ชอบ 20. ครูตอ้ งจงรักภักดีตอ่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ 17. ประโยชน์ของจริยธรรม 1. ด้านตนเองการปฏิบัติตามหลักจริยธรรม ทำให้คนเราเป็น คนดีคนดีย่อมมีความสบายใจ อ่ิมเอิบใจ เพราะได้ทำความดีจึงเป็นท่ีรักใคร่ชอบและชอบพอของคนอื่น นอกจากนี้หลักธรรมเช่น ความเพยี รความอดทน ความมีวนิ ัย ยงั ช่วยใหป้ ระสบความสำเร็จในการงานด้วย 2. ด้านสังคมตนดีย่อมทำประโยชน์แก่ตนเอง และคนอ่ืนด้วยการไม่ทำชั่วเป็นการลดภาระ ของสังคมท่ีไม่ตอ้ งแก้ปญั หาการทำดีจึงเป็นประโยชน์แก่สังคมและช่วยใหส้ ังคมพัฒนาไปสู่ความเจริญ และเปน็ ตวั อยา่ งทด่ี ใี ห้แกค่ นอน่ื ๆ คนดีจึงเป็นทรัพยากรบคุ คลทม่ี ีคุณคา่ 3. ด้านการรกั ษาจริยธรรมจริยธรรม เป็นสิง่ ท่ดี มี ีคุณคา่ ทั้งแกบ่ ุคคลและสังคมจะรักษาไว้ดว้ ย การปฏิบัติ เพราะถ้าไม่ปฏิบัติก็จะเป็นเพียงคำพูด หรือตัวหนังสือท่ีเขียนไว้จะช่วยใครไม่ได้ท้ังส้ิน ดังนั้นการศึกษาจริยธรรมและนำไปปฏิบัติดีจึงเป็นการรักษาจริยธรรมให้คงอยู่ เช่นเดียวกับพระภิกษุ สงฆ์สืบต่อพระพุทธศาสนาได้ด้วย การปฏิบัตดิ ีปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพระพุทธศาสนา จึงดำรงมาได้จนถึงปัจจุบันคนทั่วไป ก็สามารถรักษาจริยธรรมของศาสนาได้ด้วยการปฏิบัติ
มหา ิวทยา ัลยราช ัภฏห ู่ม ้บานจอม ึบง 285 เช่นเดียวกัน การปฏิบัติจึงให้คุณแก่ตนแก่สังคม และเป็นการรักษาจริยธรรมไว้ให้เป็นประโยชน์แก่ อนชุ นสบื 4. การพัฒนาบ้านเมือง ต้องพัฒนาจิตใจก่อนหรืออย่างน้อยก็ต้องควบคู่ไปกับการพัฒนา เศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ ด้วย เพราะการพัฒนาที่ไม่มีมีจริยธรรมเป็นแกนนำ ก็จะสูญเปล่าเพราะ ทำให้บุคคลลุ่มหลงในวัตถุ และอบายมุขมากขึ้นการท่ีเศรษฐกิจต้องเส่ือมโทรมประชาชนยากจน สาเหตุหน่ึงกค็ ือ คนในสังคมละเลยจริยธรรมมุ่ง แต่จะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ขาดความเมตตา ปราณี แลง้ น้ำใจเห็นแก่ตัว โดยไม่คำนึงถึงคนอืน่ และสังคมโดยสว่ นรวมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คม รวมท้ังการเมืองจึงไม่ประสบความสำเรจ็ เทา่ ท่ีควร 5. จริยธรรมช่วยควบคุมมาตรฐาน รับประกันคุณภาพและปริมาณท่ีถูกต้อง ในการประกอบ อาชีพในการผลิตและในการบริการถ้าผู้ผลิตมีจริยธรรมก็จะผลิตสินค้าท่ีมีคุณภาพไม่ปลอมปนอะไร ไม่ดีก็บอกว่าไม่ดีอะไรว่าดีก็บอกว่าดีจริยธรรมจึงเป็นเร่ืองของความซื่อสัตย์สุจริตยุติธรรมช่วยให้ มาตรฐานสินค้าดีมีคุณภาพลดปัญหาการคดโกงฉ้อฉลเอารัดเอาเปรียบเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ตลอดจน ความใจแคบไม่ยอมเสียสละผู้ท่ีประกอบอาชีพครูต้องอยู่ร่วมกันในสังคมร่วมกับบุคคลอ่ืนซ่ึงมีอาชีพ แตกต่างกันซ่ึงแต่ละคนแต่ละอาชีพล้วนมีบทบาทมีหน้าที่การงานที่ต้องปฏิบัติแตกต่างกัน แต่ส่ิงท่ี ทุกคนต้องมีเหมือนกัน คือ ทุกคนมีจริยธรรมประจำตนหากทุกคนรับรู้บทบาทหน้าท่ีของตนและ มีจริยธรรมตามบทบาทหน้าท่ีนั้น ๆ เป็นอย่างดีสังคมก็สงบสุข อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขเป็น สังคมทดี่ ี มีคุณภาพ ครอบครัวอบอุ่นชมุ ชนเข้มแขง็ จริยธรรมของผ้ปู ระกอบอาชพี ครมู ีดังนี้ 5.1 จรยิ ธรรมตอ่ ตนเอง ประกอบอาชีพครูต้องปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรมเป็นหลักยึด ประจำตน เช่น รู้รักสามัคคีซื่อสัตย์สุจริตเสียสละมีน้ำใจเมตตากรุณายุติธรรมกตัญญูกตเวทีรักษา ระเบียบวินัยมีความอุตสาหะรู้จักความพอเพียงพอประมาณมีเหตุมีผลมีจิตสำนึกสาธารณะ (Public mind) เป็นต้น 5.2 จรยิ ธรรมตอ่ บุตรธดิ า บิดามารดามีหน้าที่เล้ียงดูบุตรธิดาให้มีความสุขพอเหมาะกับฐานะของตนเอง นอกจากนี้ยังต้องให้การอบรมส่ังสอนชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควรที่เหมาะสมเพ่ือให้เป็นคนดีมีคุ ณธรรม อยใู่ นสังคมอยา่ งมคี วามสขุ 5.3 จริยธรรมต่อภริยาหรอื สามี บุคคลท่ีได้ชื่อวา่ เป็นภรยิ าหรอื สามถี อื ว่าเปน็ บุคคลคนเดยี ว ดังนัน้ จงึ ต้องมคี วามรักใคร่ ปรองดองกัน ให้เกียรติซ่ึงกันและกันภาระงานในบ้านก็ไม่ควรเกี่ยงกันต้องช่วยกันทำแบ่งเบาภาระซึ่ง กัน และกันภรรยาก็ไม่ว่าหรือนินทาสามีสามีก็ไม่นินทาว่าร้ายภรรยาทั้งในและนอกบ้านดังคำท่ีว่า“ ความในไม่ให้นำออกความนอกไม่ให้นำเข้า 5.4 จริยธรรมตอ่ บดิ ามารดา บิดามารดาเปน็ บุพการีผูใ้ ห้กำเนิดบุตรจึงมหี น้าทตี่ อบแทนพระคุณท่านในขณะที่มชี ีวิต อยู่เช่นเลี้ยงดูท่านให้มีความสุขสบายสมฐานะช่วยทำธุรการงานให้ท่านรักษาพยาบาลเม่ือเจ็บป่วย พดู คยุ พาเท่ียวเมื่อมโี อกาส ฯลฯ และเมือ่ ท่านลว่ งลบั ไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกศุ ลให้ท่านกลา่ วถึงพระ คุณทา่ นให้บตุ รหลานรับรู้เป็นต้น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428