คํานาํ อธบิ ายธรรมวภิ าคปริเฉทท่ี ๑ ทพ่ี ระศรีวสิ ทุ ธิญาณ (อบุ ล นนฺทโก ป. ธ. ๙) วดั บวรนิเวศวิหาร บันทกึ ไวน ้ี นบั วา เปนประโยชน แกค รูท่ีจะสอนแนะนาํ และแกน กั เรียนจะไดเขาใจความหมายของ อรรถะแหง ธรรมนน้ั ๆ งายเขา มหามกุฎราชวิทยาลัย ขออนุโมทนาแต พระศรีวิสุทธญิ าณ (อุบล นนฺทโก ป. ธ. ๙) ทเ่ี สยี สละ ทาํ ใหการศึกษาธรรมะสะดวก รคู วามมงุ หมายในทางธรรม ไมตีความเอาความพอใจของตนเปน ใหญ ช่ือวา เปน ผูเ คารพในสกิ ขา เปน การสืบอายพุ ระพุทธศาสนา จงถงึ ความสุขความเจรญิ ย่ิง ๆ ข้ึนไป เทอญ. มหารามกุฏราชวทิ ยาลัย
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 1 อธบิ ายธรรมวิภาค ปรจิ เฉทท่ี ๑ ทกุ ะ คือหมวด ๒ _______ ธรรมมีอปุ การะมาก ๒ อยา ง ๑. สติ ความระลกึ ได ๒. สมั ปชญั ญะ ความรตู วั ท.ี่ ปาฏ.ิ ๑๑/๒๙๐ อง.ฺ ทุก. ๒๐/๑๑๙ อธบิ ายศัพท ๑. สติ แปลวาความระลกึ หรอื ความระลึกได สตมิ คี วามระลกึ เปน ลกั ษณะ มคี วามไมลืมเลือนเปนกิจ มีการควบคมุ เปน เครื่องปรากฏ.๑ หมายความวา ลกั ษณะเครอื่ งกาํ หนดของสตนิ ้นั กค็ ือความระลกึ หรือนึกคดิ ไดใ น ๓ กาล กลาวคือ ระลึกถงึ การที่เคยทํา คําทเ่ี คยพดู รปู ทเี่ คย เห็น เสยี งทเี่ คยฟง กลน่ิ ทีเ่ คยสดู รสทีเ่ คยลมิ้ โผฏฐัพพะท่เี คยถูกตอ ง ธรรมะคอื เร่ืองราวตาง ๆ ทเี่ คยเลาเรียนเขียนอา นในกาลกอ น นี้เรยี กวา ระลึกอดีตกาลได ๑ ระลกึ ถงึ การที่กาํ ลังทําหรอื กําลงั จะทาํ คาํ ทก่ี าํ ลงั พูด หรือกําลังจะพูด เรอ่ื งทกี่ ําลังคิด ไดแ กก ารตั้งสตกิ ําหนดระลึกนึกคิดใน ๑. คัมภรี วิสทุ ธิมรรค ๑/๒๐๗
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 2 เร่ืองกายเวทนาจิตและธรรม ตามแนวสติปฏ ฐาน น้ีเรยี กวา ระลึกปจ จุบัน- กาลได ๑ ระลกึ ถึงเรอื่ งอนั จะพึงเกดิ มใี นกาลขา งหนา เชน ความตายอัน จะมีแกตนและบุคคลอน่ื น้เี รยี กวา ระลกึ เร่ืองอนาคตกาลได ๑. กิจหรอื หนา ทข่ี องสตินั้น กค็ ือการไมล ืมเร่อื งอดีต ระลกึ ไดท กุ คร้งั ทต่ี องการ, ไมเลือ่ นลอยเผลอตวั ในเร่ืองปจ จบุ นั , ไมห วาดหว่ันฟงุ เฟอในเรื่องอนาคต. เครอ่ื งปรากฏของสตนิ ัน้ กค็ ือมกี ารปองกันรักษาซึง่ การทํา การพูด การคดิ ทง้ั ๓ กาลไวม ิใหหันเหไปในทางผดิ ตามกิเลส ระวังใหต ้ังอยู เฉพาะในทางถกู เทา น้นั ประดจุ นายสารถีผไู มป ระมาทคอยบังคับรถเรอื ใหแ ลนไปโดยปลอดภยั ฉะนั้น. ๒. สมั ปชญั ญะ แปลวาความรตู ัว สมั ปชญั ญะมีความไมฟ นเฟอน เปนลักษณะ มีความไตรตรองเปนกจิ มีความเลอื กเฟนเปน เครือ่ งปรากฏ๑. หมายความวา ลักษณะของสมั ปชญั ญะนี้ ไดแ กค วามรูท่วั รูชดั โดยถูก ตอง ไมใชหลง ๆ ลืม ๆ หลบั ๆ ตน่ื ๆ ฟน เฟอ นในขณะยืน เดิน นง่ั นอน กนิ ด่มื ทาํ พูด คดิ เปนตน รสู กึ ตัวดีอยู ตน่ื ตัวดีอยูวากาํ ลงั ยืน เดนิ เปนตน . กิจหรอื หนา ท่ขี องสมั ปชัญญะนั้น ไดแ กการพิจารณา ถึงคณุ โทษเปนตน ชิงขน้ึ หนา คอยกุมแจอยูทุกอิริยาบถ. เครอ่ื งปรากฏ ของสัมปชัญญะน้ี ไดแกการเลอื กเฟนไตรตรองประจาํ อยูทกุ อิรยิ าบถใน ปจจบุ นั ไมส งใจไปอ่ืน. อธบิ ายชอ่ื หมวดธรรม สติ/B> และ สัมปชัญญะ ทัง้ สองน้ี ช่ือวา มีอุปการะมาก เพราะ ๑. คมั ภีรวสิ ทุ ธมิ รรค ๑/๒๐๗
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 3 เปน อปุ การธรรมอุดหนุนใหส ําเร็จกิจในทางดกี ไ็ ด ทางช่วั ก็ได. แตใน ท่ีนีห้ มายเอาเฉพาะในทางด.ี ทา นกลาววา ท่ีชอื่ วามีอุปการะมาก เพราะเปน เคร่อื งนาํ มาซึง่ ประโยชนเ กอ้ื กลู ในกิจการทุกอยา ง เหมอื นความไมประมาท เปน อุปการะในการบาํ เพญ็ ศีลเปนตน๑. หมายความวา ธรรม ๒ ประการน้ี มี อยูแ กผูใด ผนู ้นั กระทาํ กิจใด ๆ จะบําเพ็ญศีล เจรญิ สมาธิ ปญ ญากต็ าม จะเลาเรยี นเขยี นอา นกต็ าม ประกอบการงานอยางใดอยางหนึ่งก็ตาม โดย ที่สุดแมจ ะลุกจะนัง่ จะยืนจะเดนิ โดยมีสตสิ ัมปชญั ญะเสมอ กจิ น้นั ๆ ยอ ม สําเร็จดวยดี ไมผิดพลาด ปราศจากภยนั ตรายทกุ ประการ ในที่ทกุ สถาน และในกาลทกุ เมื่อ เพราะฉะน้ัน ธรรม ๒ ประการน้ี จึงชอื่ วา มอี ปุ การะมาก ดงั น้ีแล. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. สตมิ ีลกั ษณะอยางไร ? ๒. สมั ปชัญญะมลี ักษณะอยางไร ? ๓. สตกิ บั กบั ปชญั ญะมีหนา ที่ตา งกนั อยางไร ? ๔. อะไรเปน เครอื่ งปรากฏของสตแิ ละสมั ปชญั ญะ ? ๕. เพราะเหตใุ ด สตแิ ละสมั ปชัญญะ จึงชอื่ วา เปน ธรรมมอี ปุ การะ มาก ? ๑. อรรกถาสมุ ังคลวิลาสนี ี ๓/๓๒๖
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 4 ธรรมเปน โลกบาล คอื คุม ครองโลก ๒ อยา ง ๑. หริ ิ ความละอายแกใจ ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลัว องฺ. ทกุ . ๒๐/๖๕ ขุ. อติ ิ. ๒๕/๒๕๗ อธิบายศพั ท ๑. หริ ิ แปลวา ความละอายแกใ จ. ไดแกค วามละอายใจในการ ประพฤตชิ ่ัว. ทานวา หริ นิ น้ั มคี วามรงั เกยี จบาปมกี ายทุจริตเปน ตน เปน สกั ษณะ๑ หิรมิ ีความเคารพยาํ เกรงเปนลักษณะ๒ อธิบายวา บางคนเกดิ ความละอาย อันมีความเคารพเปนลกั ษณะโดยเหตุ ๔ อยา งคือ เคารพชาติตระกูลเปน สําคัญ ๑ เคารพครอู าจารยเปน สาํ คญั ๑ เคารพทรพั ยม รดกเปน สาํ คญั ๑ เคารพคนประพฤตดิ ีเปนสาํ คญั ๑ แลว ไมก ระทําความชว่ั . และหริ ิน้ี มีเหตุภายในเปนสมุฏฐาน อธิบายวา บางคนคาํ นึงถึงชาติ วยั กําลัง ความรูข องตนวา เปน อยางน้ี ๆ แลว ปลงใจวาไมควรทําบาป แลว ก็ไมทํา น้ชี อื่ วาเกิดความละอายเพราะเหตุภายใน. อนง่ึ หิริ มกี ารปรารภตนเปน ใหญ อธิบายวา บางคนทําตนใหเปนใหญ คาํ นึงวาการทําบาปไมค วรแก เราผมู ภี าวะอยา งน้ี ๆ แลว ไมย อมทําบาป. หริ นิ ้ที รงตวั อยูไ ดด วยอาการท่ี กระดากอายนน่ั เอง คือถา หมดยางอายเสยี แลว ก็เปน อันวา ไมมีหิร.ิ ทาน กลา วอปุ มาไวว า คนรักสวยรกั งาม เกลียดของสกปรก รูอยู ยอมละอาย ๑. อภธิ ัมมัตถวภิ าวนิ ี หนา ๑๐๔ ๒. อติ ิวุตตกวัณณนา ๒๐๕
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 5 ไมยอมแตะตองกอ นเหล็กแมเ ยน็ แตเ ปอนคูถฉันใด คนมหี ิริกไ็ มย อมแตะ ตอ งบาปอนั เปรียบดวยคูถฉนั นน้ั . ๒. โอตตัปปะ แปลวา ความเกรงกลวั ไดแ กความหวาดกลัว ผลชัว่ ไมกลา ทาํ เหตชุ ั่ว. ในอภิธมั มตั ถวิภาวนิ ีวา โอตตปั ปะน้ัน มี ความสะดุงแตบ าปเปน ลักษณะ ในอติ วิ ุตตกวณั ณนาวา โอตตปั ปะ มี ความเปน ผูกลวั โทษ และเหน็ แจงซึง่ ภยั เปนลกั ษณะ อธบิ ายวา บางคน เกดิ ความสะดงุ อนั มีความกลัวโทษเห็นภยั เปนลกั ษณะโดยเหตุ ๔ อยางคอื กลัวตนเองติเตยี นตนเองได ๑ กลัวผอู น่ื ตเิ ตยี น ๑ กลัวอาชญา ๑ กลัว ทุคติ ๑ แลว ไมทําความชั่ว. และโอตตัปปะ มีเหตุภายนอกเปนสมฏุ - ฐาน. อธบิ ายวา บางคนพจิ ารณาเห็นวา ถา เราทําชว่ั . ก็จักถูกตเิ ตยี นใน สังคม วิญูชนจกั ตําหนริ ังเกียจเรา เหมือนชาวเมืองเกลยี ดของโสโครก เราถกู ผมู ศี ลี ทอดท้งิ แลว จักทาํ อยา งไร ดงั นีแ้ ลวไมทาํ ความช่ัว เพราะ ความกลัวอันเกิดขึน้ จากเหตภุ ายนอก. อนึ่ง โอตตปั ปะน้มี ีการปรารภโลก เปนใหญ. อธิบายวา บางคนทําโลกใหเ ปนใหญ คอื ปรารภวาโลกน้ี กวางใญไ พศาล พวกมฤี ทธ์ิ ตาทิพย หทู พิ ย และรูจิตคนอ่ืนมอี ยู เขา คงรเู หน็ หากเราทําชว่ั แมใ นที่ไกลทลี่ บั อยา งไร เขาคงติเตยี นได ดงั น้ี แลวไมทําช่ัว. โอตตัปปะนี้ ทรงตวั อยูไดด ว ยความกลัวอบายคอื ความเส่อื ม กลาวคอื ถา ไมกลวั ความเส่ือมความพนิ าศฉบิ หายแลว ก็เปน อนั วา ไมมี โอตตัปปะ ทา นกลา วอุปมาไววา คนผรู ักชวี ติ รูอ ยู ยอ มเกรงกลวั ไมกลา จบั เหล็กทรี่ อ น หรืออสรพิษ หรอื สตั วรา ยฉันใด คนมโี อตตัปปะยอ ม ไมกลาแตะตองความชวั่ อันเปรียบดว ยของรา น หรอื อสรพษิ หรือสัตวราย ฉนั นนั้ .
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 6 อธิบายช่อื หมวดธรรม หริ ิ และ โอตตัปปะ ทั้งสองนี้ ช่อื วา เปนโลกบาล คมุ ครองโลก โดยอธิบายวา ธรรมเหลา น้ยี อ มคมุ ครอง คอื ปอ งกันรักษาโลกคือหมสู ัตว อนั ไดแ กส ัตวผ ูของอยใู นโลกทกุ จําพวก ใหด าํ รงอยูโ ดยสนั ตสิ ุขตามวิสัย ของสตั วโลก. กฎแหงกรรมมอี ยวู า กรรมดีเปนเหตแุ หงสุข กรรมชัว่ เปนเหตุแหงทุกข ผทู าํ กรรมอยางใด ยอมไดรบั ผลอยางน้ัน และผลนน้ั บางอยาง บางคราว กระทบกระเทือนไปถึงผอู ่ืนที่เกย่ี วของดวยไมมากก็ นอ ย ถึงเชน นน้ั กย็ งั มคี นจาํ นวนไมนอยท่ยี ินดพี อใจทาํ กรรมช่วั ในท่ี เปดเผยบา ง ลลี้ บั บา ง ทง้ั ๆ ทีไ่ มช อบความทุกข แตกจ็ ําตอ งไดรบั ทกุ ข ระทมขมขืน่ ดังทเ่ี ห็น ๆ กนั อยู การทเี่ ปนเชนนี้ กเ็ พราะผูทาํ กรรมชั่ว น้ัน ขาดหิรโิ อตตปั ปะน้ีเอง. เมอื่ ขาดธรรมะสองขอน้ีแลว จะทําช่ัวอยางใด ก็ได ในบาลกี ลา ววา สตั วโลกก็จะพงึ สมสกู ันเหมอื นสัตวด ริ จั ฉานโดยไมมี การเคารพยาํ เกรงวา ผนู ้ีเปน มารดา ปา นา พ่ี นอง ครอู าจารย เปนตน. ใครเลา จะหามปรามเขาได เมื่อสตั วโลกทาํ ชั่วแลว ใครเลา จะคุม ครอง โลกใหต ง้ั อยูในสันตสิ ุขได หลวงพอขลงั ๆ สงิ่ ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ หรือผมู ฤี ทธิ์ อาํ นาจ แมพ ระราชกําหนดกฎหมายก็คุม ไมอยู. แตถ า สตั วโลกมธี รรม สองประการน้ปี ระจําใจกันแลว แมไ มม ีหลวงพอขลัง ๆ จนกระท่ัง กฎหมายกไ็ มต องมี ธรรมสองประการนยี้ ังคุมอยไู ด. เพราะผูมีหริ โิ อต- ตปั ปะประจําใจ ยอมรงั เกียจเกลยี ดกลวั ตอความชั่ว ไมกลาทาํ ชวั่ ทุกอยา ง ทงั้ ในท่ลี ับและทแ่ี จง รจู กั เหนยี่ วรั้งยับยัง้ ปราบปรามจิตใจไมใ หประพฤติ ชว่ั เม่ือตางไมประพฤติช่ัว ความเบียดเบยี นกนั และกันก็จะไมม ี คนทั้งหลายก็จะอยเู ย็นเปนสขุ ไมม ที ุกขเดือดรอ น ตา งตั้งหนาทาํ มา
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 7 หากินดว ยความสุจรติ โลกกป็ ราศจากความวุนวาย ไดป ระสบสันตสิ ุข เพราะฉะนัน้ หิริและโอตตัปปะทั้งสองจึงช่ือวา เปนธรรมคมุ ครองโลก ดังนแี้ ล. อนึ่ง ธรรมสองประการนเี้ รียกวา สกุ กธรรม กม็ ี เพราะเปนธรรม ฝา ยกศุ ลอนั เปรียบดว ยสขี าวและเปนไปเพ่อื ความผองแผวแหง จิต. เรียกวา เทวธรรม กม็ ี เพราะเปนธรรมทท่ี ําบคุ คลใหเปนเทวดา หรอื ใหเ ปนผู รุงเรือง. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. อะไรเปน ลกั ษณะของหิริและโอตตปั ปะ ? มอี ธบิ ายอยา งไร ? ๒. หริ แิ ละโอตตปั ปะ มีอะไรเปน สมุฏฐาน ? จงอธบิ าย ? ๓. หิรแิ ละโอตตปั ปะ มีอะไรเปนใหญ ? ทรงตวั อยูไดอยา งไร ? ๔. จงยกอุปมาแหง หิริโอตตปั ปะมาดู ? ๕. ทางโลกมีองคก ารสาํ หรับรกั ษาสนั ตภิ าพของโลก ทางธรรม กม็ ีหิริโอตตปั ปะเปน ธรรมคุม ครองโลก ขอถามวา ธรรม ทัง้ สองน้ี คมุ ครองโลกไดอยางไร ? ดอกเอย ดอกกระดังงา รจนา กลีบแยม แซมเกษร หอมละมุน กรนุ ชอ อรชร สเี หลอื งออ น อบกลิ่น นายินดี. ไมล ะทิ้ง ธรรมะ พระชนิ สหี เมอ่ื มนุษย มากหลาย ท้งั ชายหญงิ คอยอบรม บมนสิ ยั หทัยดี สมุ าลี มิหอมลน สุมน เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 8 ธรรมอันทําใหง าม ๒ อยาง ๑. ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงย่ี ม วิ. มหา. ๕/๓๓๕ อง.ฺ ทกุ . ๒๐/๑๑๘ อธบิ ายศัพท ขนั ติ แปลวา ความอดทน เปน ลักษณะของผูมมี ีนาํ้ ใจเขมแขง็ หนักแนน เปนสมบัตขิ องนกั รบ เหมือนชางท่ีออกสสู งครามจะตองเปน ชางที่อดทนตอภัยอันตรายจากขา ศกึ ความอดทนเปน คณุ สมบัตขิ อง นกั ปกครองดวย เปนมงคลเหตุแหงความเจรญิ ดวย. ขนั ติ เปน คําพูดงาย ๆ แตแฝงไวซ ง่ึ ความหมายอยา งลกึ ซงึ้ เพราะ มักจะไดฟงและใชพดู กนั อยูเสมอวา นา้ํ อด นา้ํ ทน อดได ทนได หรอื นํา้ ใจทรหดอดทน ความอดทนน้ี เปนหลักคาํ สอนสาํ คัญประการหนึง่ ซึ่งเห็นไดจากการท่พี ระพทุ ธเจาตรัสไวใ นเร่อื งวันสาํ คัญของศาสนา วัน นนั้ คอื วนั มาฆบชู า พระองคไ ดประทานพระโอวาท คอื โอวาทปาฏิโมกข เปนการแสดงหลักธรรมอันเปนหวั ใจของพระพุทธศาสนาในท่ีประชมุ สงฆ วา \" ความอดกลัน้ คอื ความทนทานเปน ตบะธรรมอยา งยอด \" ดังนี้ เปน ตน . ความอดทนในทนี่ ี้ หมายเอาความอดทนในฝายดอี ยา งเดียว ซึ่ง เปน ไปท้งั ฝายโลกและฝา ยธรรม วา โดยประเภทมี ๓ คอื :- ๑. อดทนตอความลาํ บากตรากตรํา เชน ทนหนาว ทนรอ น ทนตอ คาํ ส่ังสอน ทนในการศึกษาเลาเรียน และทนในการประกอบ
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 9 การงานอาชีพ ดว ยความชื่อสตั ยส จุ รติ . ๒. อดทนตอทุกขเวทนา เชน เมอ่ื เวลาเกดิ อาพาธภายใน หรือกาย เปนบาดแผลเปน ตน ไมแ สดงอาการทุรนทุรายวนุ วายจนเกนิ กวาเหตไุ ป. ๓. อดทนตอความเจบ็ ใจ เชน ในคราวท่ีไดป ระสบอนิฏฐารมณ มีคําดาวา เสยี ดสี คําสาปแชงของผูอน่ื เปน ตน . ความอดทนนัน้ วา โดยลักษณะมี ๓ คือ :- ๑. ตีตกิ ขาขนั ติ อดทนดว ยการกลน้ั ไวได. ๒. ตปขนั ติ อดทนจนเปนตบะเดชะ. ๓. อธวิ าสนขนั ติ อดทนจนยงั คําพูดหยาบคายของผูอนื่ ใหก ลบั อยเู ปน เพ่ือนเปนมติ รกนั ได. ตตี กิ ขาขันติ อดทนดว ยการกลนั้ ไวไ ด น้ัน ขอ นี้ตอ งใชส ติ นึกอยเู สมอวา คนทีอ่ ยรู วมกันเปนหมูเ ปน คณะ ตองกระทบกระทง่ั กนั บาง เปนธรรมดา ถา ไดยนิ ไดฟ ง เสยี งท่ีไมเพราะหู กต็ อ งอดทน โดยนําเอา ความดีเขา ตอสเู พ่ือชนะความไมด ีน้ัน และไมก อ เหตุวิวาททุมเถียงกันขึ้น ไมต องทะเลาะววิ าทกนั เพราะคําพูด. ตปขนั ติ อดทนจนเปน ตบะเดชะ นน้ั ขอ น้ีมคี วามสําคัญมาก ย่งิ ขึ้นไปอกี คนทอ่ี ยนู ง่ิ ๆ เฉย ๆ คอยระวังคําพูดของตนอยูเสมอ โดย มากมักจะเปนคนมีตบะทุกคน คนทพ่ี ูดมากจูจ้ีขี้บน จนรําคาญ วา คนโนน บาง คนนี้บา ง มักจะเสยี ตบะ เพราะจะทําใหค นอืน่ ขาดความเคารพ เกรงกลวั สว นคนที่มีความระวังเครง ขรมึ ไมคอ ยจจู ก้ี ับใคร พูดบา งเปน คร้ังคราว มักจะมีคนเกรงกลัว มีตบะเดชะอยูในตวั และอดทนเผา ความชว่ั ในจิตใหหมดไป.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 10 อธวิ าสนขนั ติ ไดแ กการทนได ธารไดเ หมือนลกั ษณะของ แผน ดิน แมต นไม ภูเขา และอืน่ ๆ แผนดินกย็ ังทรงไวได อดทน จนเปล่ียนเรอ่ื งรายใหก ลายเปน เร่ืองดี คือยอมรบั ความลาํ บากกายลําบาก ใจ ยอมรบั ดว ยใบหนา ช่นื บาน เขาจะตําหนติ ิเตียน ดา วา หยาบคาย เสยี ดสีใหเ จ็บใจอยา งไรก็ทนได ไมแ สดงการโตต อบ ในทส่ี ดุ เร่อื งก็สงบ ไปเอง พระบรมศาสดาถกู พรรคพวกของนางมาคัณฑยิ าใสความปริภาษ พระองคดวยคําดา ตาง ๆ นานา กลา วหาวา พระองคเปน อูฐ เปนลา เปน ตนถึง ๗ วนั พระองคก ไ็ มหวั่นไหว พระอานนทกราบทูลใหเ สดจ็ หนีไปสูเมอื งอื่น พระองคก ลับตรสั ถามวา ถา ถกู คนในเมอื งน้ันดาอกี จะทาํ อยา งไร พระอานนททลู วา หนีไปเมอื งอนื่ อีก พระองคต รสั ซักวา ถา ถกู คนเมืองน้นั ดา อกี จะทาํ อยา งไร พระอานนทก็ทูลวา หนไี ปเมืองอ่นื ๆ ตอ ไป พระองคตรัสวา อยางน้นั ไมสมควร เรอ่ื งเกิดท่ีไหน ควรให ระงบั ไปในทน่ี ั้น. โสรัจจะ แปลวา ความเสงย่ี ม ไดแ กการรจู ักทาํ จิตใจใหแชม ชน่ื ผองใสเบกิ บาน มีกายวาจาสงบเสง่ียมเรียบรอ ย เพราะเมื่ออดทนไดแลว ก็ไมแ สดงกิรยิ ากาย วาจา ใหผ ดิ ปกติ คนทถี่ กู หมนิ่ ประมาทใหไดรบั ความเจ็บใจ ไมแ สดงการโตตอบ เพราะอดทนได แตย งั แสดงอาการ ผดิ ปกติ เชน หนาบดู บ้ึงเม่อื เกิดความโกรธขน้ึ หรอื ครวญครางเม่อื ทุกขเวทนาครอบงําเปนตน เพราะยังขาดธรรมะคือโสรัจจะ. แตส ําหรบั ผู มขี ันติ อดทนตอ ความเจ็บใจไดแ ลว ยงั รูจักทาํ ใจใหส งบแชม ชน่ื เบกิ บาน อีกดวย คอื มีการปกติเหมือนไมมีอะไรเกิดข้ึน เพราะมีธรรมะคือ โสรจั จะ ธรรมขอ นี้ยอ มเขา สนับสนุนขนั ติใหสูงเดน ขน้ึ .
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 11 อธบิ ายช่ือหมวดธรรม ขนั ติ และ โสรัจจะ ชอื่ วา ธรรมอันทําใหงาม คาํ วา ทาํ ใหงาม น้นั อธบิ ายวา ความงามมีอยู ๒ ประการ คืองามภายนอก ๑ งาม ภายใน ๑ ความสะสวยงดงามของรปู กายอนั ธรรมดาปรงุ แตง มาแตกาํ เนดิ และอาศัยการตกแตงดว ยเสื้อผา อาภรณต าง ๆ ชอื่ วา ความงามภายนอก อันความงามภายนอกนี้ ยอมเปน ท่ีนิยมกันทั่วไป ซึ่งไดในคาํ วา \"ไก งามเพราะขน คนงามเพราะแตง \" แตถงึ ดังน้นั กต็ าม บุคคลจะอาศัย แตความงามภายนอกอยา งเดียวนนั้ ไมพอ ตองอาศัยความงามภายในเขา สนับสนนุ ดวยจงึ จะเปน คนงามโดยสมบูรณ อาการทีใ่ จสงบ อดทนไวได แมใ นขณะท่ีมอี ารมณช วั่ รา ยมากระทบกระทัง่ ก็ไมแสดงออกใหปรากฏทาง กายและวาจา ชื่อวาความงามภายใน อันความงามภายในนนั้ เปนความ งามทนี่ ยิ มกันยิ่งนักในพระศาสนา เพราะผูทสี่ มบรู ณดวยขันตแิ ละโสรจั จะ ยอ มมใี จหนักแนน ไมแ สดงอาการสูง ๆ ตาํ่ ๆ แมจะประสบความดีใจ หรอื เสยี ใจกอ็ ดกลั้นได รักษากาย วาจา ใจ ใหสภุ าพเรยี บรอ ยเปน ปกติ สมภาวะของตน นาเคารพนบั ถือ พระบรมศาสดาไดต รัสแกเ หลา ภกิ ษุชาวเมืองโกสมั พี ผแู ตกความสามัคคกี ันวา... ขอ ที่เธอทงั้ หลาย ผบู วชแลว ในพระธรรมวนิ ยั ทเี่ รากลาวชอบแลว อยา งนี้ ควรเปนผู อดกล้นั และเปน ผสู งบเสงยี่ ม จะพงึ งามในพระธรรมวนิ ยั นี้แล ภิกษุ ท้งั หลาย...๑ ดงั น.้ี ๑. องฺ. ปจฺ ก. ๒๒/๒๘๓
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 12 อนึง่ การท่ีบคุ คลมารักษา ควบคมุ ใจใหอดทนตอ กิเลสและผสั สะ จนสงบระงับได ช่อื วาไดเ จริญสมาธิ เพราะฉะน้ัน ขนั ติและโสรัจจะ จงึ จดั เขาในไตรสิกขาขอ วา สมาธสิ กิ ขา หรอื จิตตสกิ ขา ไดดว ย. คําถามสอบความเขาใจ ๑. ขันติ แปลวา กระไร ? เปนลกั ษณะและคณุ สมบตั ิของบคุ คล เชน ไร ? ๒. ขันติ วาโดยประเภทมีเทาไร ? อะไรบาง ? ๓. ขนั ติ วาโดยลกั ษณะมีเทาไร ? อะไรบาง อธบิ ายพอเขาใจ ? ๔. อธวิ าสนขันติ อธิบายอยา งไร ? ขอตวั อยา งดว ย ? ๕. พระบรมศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกขในวนั มาฆบชู าน้นั ทรงยกธรรมะอะไรขึ้นแสดงกอ น และทรงแสดงวาอยางไร ๖. โสรจั จะ แปลวากระไร ? มีลักษณะอยา งไร อธบิ ายดวย ? ๗. ขนั ติ และโสรจั จะ ตา งกนั อยา งไร ? ควรเจรญิ ธรรมทัง้ ๒ นี้ ในขณะไหน จึงจัดวาธรรมอันทําใหง ามได ? ๘. คําพูดทว่ี า \" ผมู ขี นั ติ และโสรจั จะ ยอ มไมแสดงอาการขนึ้ ลง สูง ๆ ต่ํา ๆ ลมุ ๆ ดอน ๆ \" นัน้ ทานเห็นดว ยหรอื ไม ? เพราะเหตไุ ร ? ๙. ขันติ และโสรัจจะ สงเคราะหเ ขาในไตรสกิ ขาขอ ไหนไดบ า ง ? ๑๐. พระบรมศาสดาตรสั ประทานพระโอวาทแกเหลา ภิกษุชาวเมือง โกสมั พผี ูแตกความสามัคคกี ัน มีใจความวา อยางไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 13 บคุ คลหาไดยาก ๒ อยา ง ๑. บพุ พการี บุคคลผูท าํ อปุ การะกอน ๑. กตัญูกตเวที บคุ คลผูรอู ุปการะทท่ี า นทาํ แลวและตอบแทน. องฺ. ทกุ . ๒๐/๑๐๙ อธบิ ายศัพท บุพพการี แปลวา บุคคลผทู าํ อปุ การะกอน ไดแกบ คุ คลผูมี อัธยาศัยเผ่ือแผ ประกอบดวยพรหมวหิ ารธรรมประจาํ อยใู นใจ ไมค ิด อยากไดแ ตฝ ายเดยี ว ต้ังใจทําอุปการคุณ จะมากหรือนอ ยกต็ าม โดย ไมหวงั ตอบแทนแตอ ยา งใด และไมเ กยี่ วกับบคุ คลผซู อ้ื ขาย ซึ่งจะตอ งมี สง่ิ ของแลกเปลี่ยนกนั . บพุ พการโี ดยทั่วไปทานกาํ หนดวา มี ๔ ประเภท คอื ๑. มารดาบดิ า ๒. ครู อาจารย อุปชฌาย ๓. พระมหากษัตรยิ ๔. พระพุทธเจา . มารดาบิดา ไดช ือ่ วาเปนบุพพการขี องบตุ รธิดา เพราะเปน ผใู ห กาํ เนดิ ใหเ ลอื ดเนื้อชีวิตจติ ใจ ตลอดถงึ ใหอาหาร เครื่องนงุ หม เปนตน แกบตุ รธิดา และมหี นาท่ที ี่จะตองบํารงุ บุตรธดิ าใหเ ปนสขุ ตามหลัก ๕ ประการ คือ ๑. หามมใิ หทาํ ความชั่ว ๒. สอนใหต้ังอยูในความดี ๓. ใหศ ึกษาศิลปวทิ ยา ๔. หาคูค รองท่ีสมควรให ๕. มอบทรัพย สมบตั ิใหในสมัย.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 14 ครู อาจารย อุปช ฌาย ไดช อื่ วา เปนบุพพการขี องนักเรยี น ศิษยานศุ ิษย เพราะเปน ผมู หี นา ทีแ่ นะนําสัง่ สอนอบรมใหมีความรูความ สามารถ จนกระท่งั ต้งั ตนเปนพลเมืองดี ซ่งึ มีหลักท่จี ะตองปฏิบตั ิ ๕ ประการ คือ ๑. แนะนาํ ดี ๒. ใหเ รียนดี ๓. บอกศิลปใหส น้ิ เชิง ไมป ด บงั อําพราง ๔. ยกยองใหป รากฏในเพ่ือนฝงู ๕. ทําความปองกัน ในทิศทง้ั หลาย (คอื จะไปทิศไหนกไ็ มใ หอดอยาก) หนาทที่ ัง้ ๕ ประการ น้ี ครูอาจารยหรอื อุปช ฌาย ตองปฏบิ ัตใิ หบริบูรณ ถา ขาดไปแมเพียง บางขอบางประการ กช็ อ่ื วาบกพรองในหนา ทขี่ องบพุ พการี. พระมหากษตั ริย ไดช ื่อวา ทรงเปน บุพพการีของประชาราษฎร เพราะทรงมีหนา ทปี่ กครองไพรฟ าประชาราษฎรผูอาศยั อยูในประเทศใหม ี ความรม เย็นเปนสขุ โดยที่พระองคตองทรงปฏบิ ัตทิ ศพิธราชธรรม คือ ธรรมสําหรบั พระราชา ๑๐ ประการ คือ ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. บรจิ าค ๔. ความซื่อตรง ๕. ความออ นโยน ๖. คอยกาํ จดั คนช่ัว ๗. ความ ไมโกรธ ๘. การไมเ บียดเบยี น ๙. ความอดทน ๑๐. ความไมผดิ ใน ทุกกรณีย. พระพทุ ธเจา ไดช อื่ วาทรงเปนบุพพการีของพุทธบรษิ ัท เพราะ ทรงมีพระมหากรณุ าอันกวา งขวางโดยไมม ีขอบเขต ทรงประทานพระ- ธรรมเทศนาสง่ั สอนเวไนยชน ดว ยหลัก ๓ ประการ คอื ๑. ทรงหาม มิใหท ําบาปทัง้ ปวง ๒. ทรงสอนใหท ําบุญกุศลทกุ อยาง ๓. ทรงสอน ใหท ําจติ ใหผองใส. กตัญู แปลวา ผรู ูอปุ การคณุ ทผ่ี อู ่ืนทําแลวแกต น, กตเวที
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 15 แปลวา ผปู ระกาศคณุ นั้นใหปรากฏ ไดแกผ ตู อบแทนคุณ. รวมเปน กตัญูกตเวที แปลวา ผูรูอ ปุ การคณุ ทท่ี า นทําแลวและตอบแทน. หมายความวา ผูระลึกถงึ อยูเนือง ๆ ซึง่ อุปการคุณ ท่ที า นบุพพการีน้นั ๆ ไดก ระทําใหแกตน และเมือ่ ไดโ อกาสก็ตอบแทนคณุ ตามควรแกฐานะ ภาวะและกาลสมัย เหมือนบคุ คลทก่ี หู น้ที า นมา คร้ันไดเวลาก็ชาํ ระหนี้ ใหทา น คนเราทุกคนที่เกดิ มายอมชอื่ วาเปนลูกหน้ี เชนบุตรธดิ าเปน ลกู หน้มี ารดาบิดา, นักเรยี นศษิ ยเ ปนลกู หนีค้ รูอาจารย, ประชาราษฎร เปน ลูกหนพี้ ระมหากษัตริย, นักเรยี นศิษยเ ปน ลูกหนพ้ี ระพุทธเจา. เมอื่ เปนลกู หนโี้ ดยทเ่ี ปน หนบ้ี ญุ คณุ ทานอยเู ชน น้ี จงึ สมควรที่จะตองตอบแทน คุณทา น จงึ จะชอื่ วาเปน การเปลื้องหน้ไี ด ผทู ี่เปลื้องหนี้ดว ยการตอบแทน คณุ ทานไดแ ลว จงึ ชือ่ วา กตัญูกตเวที โดยทั่วไปทานกําหนดวามี ๔ ประเภท คอื ๑. บุตรธดิ า ๒. นกั เรยี นศิษยานศุ ิษย ๓. ประชาราษฏร ๔. พทุ ธบรษิ ัท. บตุ รธิดา เมอื่ ระลกึ ถึงคุณมารดาบดิ าแลว จงึ บํารงุ เลี้ยงดูและ ถนอมนํา้ ใจทา นมิใหเดือดรอ น ซึ่งมหี ลกั แหงการบาํ รงุ ๕ ประการ คอื ๑. ทานเล้ียงเรามาแลว เราตองเลย้ี งทานตอบ ๒. ชวยทํากจิ ของทาน ๓. ดาํ รงวงศสกลุ ไมใหเสอ่ื มเสยี ชอื่ เสียง ๔. ประพฤติตนใหเปนคน สมควรรบั มรดก ๕. เมอ่ื ทานลว งลบั ไปแลว ทําบุญอทุ ศิ ใหท า น. นกั เรยี นศิษยานุศษิ ย เมื่อระลกึ ถึงคณุ ของครอู าจารยแ ลว จงึ ควร ตอบแทนคุณของทานตามหลัก ๕ ประการ คอื ๑. แสดงความเคารพ นอบนอ มดว ยการลุกขน้ึ ยนื รบั ๒. คอยรับใชไ มด ดู ายในเมื่อทานมีธุรกจิ
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 16 ๓. เชอื่ ฟงคําสัง่ สอนไมดอ้ื ดา น ๔. อปุ ฐากบํารุงทา นดว ยการอํานวย ความสุขสบายตามสมควร ๕. ตัง้ ใจเลาเรียนศลิ ปวิทยาโดยเคารพ. ประชาราษฏร เมื่อระลึกถึงพระคณุ ของพระมหากษัตรยิ แลว จงึ ควรตอบแทนพระองคทานดวยการต้ังใจประพฤติตนเปน พลเมืองดี ไม ฝาฝนพระราชบัญญัติทีท่ รงแตง ตั้งไว และมีความจงรกั ภักดีเคารพบชู า ดวยการปฏบิ ตั ิตามพระบรมราโชวาทท่พี ระราชทานซ่งึ มีประการตาง ๆ. พทุ ธบรษิ ทั เม่อื ระลึกถงึ พระคณุ ของพระพทุ ธเจาแลว จึงควร ตอบแทนดวยการปฏิบัตธิ รรมสมควรแกธรรม กลาวคอื ตงั้ ใจบูชาพระ พุทธเจาดว ยการงดเวน จากขอ ท่ที รงหาม ทําตามขอที่ทรงพระอนุญาต ทกุ ประการ. เม่ือบคุ คลมาระลึกถงึ หนบ้ี ญุ คณุ แลว ไดเปลอ้ื งหน้ดี วยการประพฤติ ปฏบิ ตั ิชอบตอบแทนคณุ โดยควรแกฐานะ และถกู ตอ งตามประเภทดงั กลา ว มา จงึ ไดช ื่อวา \"กตญั ูกตเวที\" โดยสมบรู ณ ผูเชนนย้ี อ มเปนท่ี นิยมชมชอบของคนทั่วไป เพราะรจู ักคณุ ความดีทผี่ อู น่ื ทาํ ไวแกต น แลว ตอบแทนตามสมควร และผูเชนนี้ยอมมีความสุขความเจรญิ ยิง่ ๆ ขึน้ ไมเ สื่อมเลย พงึ ดูตัวอยางสุวรรณสามโพธิสตั วยอดกตัู ต้ังใจเลีย้ งดู มารดาบิดาผูตาบอด แมถกู กบลิ ยกั ษยิงดวยลูกศรอาบยาพิษสลบไปแลว แตก ลบั ฟนคนื ชีพมาได ดวยเดชแหง ความกตัญูกตเวทแี ท ๆ. อน่ึง อุปติสส- ปรพิ าชก ไดฟง คําสอนจากพระอัสสชิเถระเพยี งนดิ หนอ ย ตง้ั ใจปฏบิ ตั ิ ตามก็ไดบ รรลุโสดาปต ตผิ ล ไดเปน พระอริยบคุ คลทางพระพุทธศาสนา ตอ มาไดบ วชเปนภิกษุแลว ปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมทพ่ี ระพุทธเจาทรงสอน
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 17 จนไดบรรลถุ ึงพระอรหัตตผล นบั วา เจริญถงึ ข้นั สูงสดุ น้กี ็เปนผลของ กตญั ูกตเวทีเหมอื นกัน และเมอ่ื ทานทราบวา พระอัสสชเิ ถระผอู าจารยอยู ทิศใด กก็ ราบไหวแลวนอนผันศีรษะไปทางทิศนัน้ เสมอ ทง้ั น้กี ็เนอ่ื ง ดวยความกตัญูกตเวทีน่ันเอง. กตญั กู ตเวทติ า ความเปนผูรอู ปุ การะท่ผี ูอื่นกระทาํ แลวและ ตอบแทน เปนเคร่อื งหมายของคนดี. คนในโลกนี้มี ๒ จาํ พวก คอื สาธชุ น คนดี ๑ อสาธชุ น คนไมด ี ๑ ความกตัญกู ตเวทเี ปน เคร่อื ง หมายของคนดี สวนคนท่ขี าดคุณธรรมขอน้ี กแ็ สดงวาเปนคนไมดี, เปนคนอกตัญู ใคร ๆ ไมค วรคบ. โบราณทา นสอนกนั มาวา \" แม แผน ดนิ จะไรห ญา กอ็ ยา คบคา คนอกตญั ู \" มีพระพุทธภาษติ วา \" ถงึ จะใหแ ผนดนิ ทัง้ หมด (คอื ยกใหเปน ผูมีอํานาจยิง่ ใหญในแผนดิน ท้ังโลก) กไ็ มอ าจท่จี ะใหค นอกตญั ูยินดี มีความรูสึกบุญคณุ ได \" ทงั้ น้กี ็เพราะคนอกตญั ูนัน้ ไมร บู ญุ คุณของใคร ๆ แมจ ะใหทรพั ยสนิ เงินทองทม่ี ีอยใู นแผน ดินทั้งหมด เขากย็ ังไมร ูจักบญุ คณุ คอยแตจ ะ ประทุษรา ยผูมบี ุญคณุ แกต นเสยี อกี \" ในคราวตกทกุ ขยากกเ็ ขา หา ครัน้ สมปรารถนาแลว เบือนหนี บางทีกท็ าํ ลาย \" เลี้ยงคนอกตัญูกเ็ หมือน เลีย้ งอสรพษิ เหมอื นชาวนาชว ยเหลืองเู หาฉะนนั้ เพราะเหตุนี้ ทานจึง หา มมิใหคบคนอกตัญ.ู ไมผุ ๆ ทล่ี อยน้ํามา ทา นสอนวาใหเก็บขนึ้ ไว ทาํ ประโยชนไ ด สว นคนอกตญั ปู ลอยใหน า้ํ พดั พาไปเสียเถดิ อยา เกบ็ ไวเลย. กตัญูกตเวทิตาธรรมน้ี ในท่ีบางแหงเรียกวา \" สัปปรุ สิ ภูมิ \"๑ ๑. องฺ. ทกุ . ๒๐/๗๘
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 18 คอื เปน ภูมธิ รรมของสัตบรุ ษุ คอื คนดี, อนั คนดนี ัน้ จะประกอบกรณียใด ๆ ยอ มอาศัยธรรมขอนเี้ ปนหลักเสมอ ทา นเปรียบไวว า \"พื้นแผนดินเปนท่ี รับรอง เปน ที่อาศัยของสัตวและพฤกษาลดาชาต ฉนั ใด กตญั กู ต- เวทติ าธรรม กเ็ ปนพน้ื ฐานแหง จิตของสัตบุรษุ ฉนั นัน้ . \" อธิบายชอื่ หมวดธรรม บุพพการีและกตญั กู ตเวที บคุ คลทง้ั ๒ พวกนี้ ชื่อวา \" บุคคล หาไดยาก \" เพราะการทบ่ี ุคคลผมู ีหนาทที่ าํ อปุ การะกอ น ไดทาํ กจิ ตาม หนา ทกี่ ด็ ี แมไมม ีหนา ท่ีทาํ อุปการะกอ น แตกไ็ ดทําอุปการะกอนก็ดี ช่อื วา บคุ คลหาไดยาก เพราะคนโดยมากมนี ้าํ ใจตระหนถีเ่ หนย่ี ว คิดแต จะไดฝายเดียว ไมยอมเสยี สละ ไมคิดทําอุปการะแกผูอื่น. สวนบุคคล ผไู ดร ับอุปการะจากผอู ื่นจนไดมคี วามสขุ สบายแลว มคี วามสาํ นกึ ถึงบุญคุณ ของทานผูใ หอุปการะแลวตอบแทน ใหส มควรแกกนั นน้ั หาไดย าก เพราะ คนโดยมามกั ลืมตัว บางคนกเ็ พียงแตนกึ ถงึ บุญคุณได แตไ มย อม ตอบแทน เหมอื นคนกูหนท้ี ัง้ ๆ ทร่ี ดู ีอยวู าเปนหนีเ้ ขา แตไ มย อมใชหนี้ คอยหลบหนาเจาหนี้อยูเสมอไป คนทต่ี ง้ั ใจชาํ ระหน้บี ญุ คุณจึงหาไดยาก. จึงเปนอันวาบพุ พการแี ละกตญั กู ตเวทีบุคคล ทง้ั ๒ พวกนจ้ี ะไดปฏบิ ัติ หนาทีต่ อ กันใหส มบรู ณค วบคูก ันไปน้ัน หาไดยาก เพราะเปนการปฏิบตั ิ ท่ีทวนกระแสกิเลสของสัตวโลก ซึง่ มีความโลภ ความตระหนี่ ความ เห็นแกต วั ไมอยากแผเ ผ่ือเจือจานแกผอู นื่ ฉะนน้ั การสงเคราะหผ อู ื่น ดว ยความเมตตากรณุ าก็ดี การรจู กั คณุ แลว ตอบแทนดว ยหวังบูชาคณุ กด็ ี จึงเปนการยาก ดงั นแี้ ล.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 19 คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. บพุ พการบี ุคคล ตงั้ อยใู นคณุ ธรรมอะไรบา ง ? มีกีป่ ระเภท ? คอื ใคร ? ๒. กตญั ูกตเวทีบุคคล ไดแ กค นเชนไร ? มกี ี่ประเภท ? คอื ใคร ? ๓. ทางพระพุทธศาสนาทานกลาววา คนเราในโลกนี้ แบง เปน ๒ พวก คอื เจาหน้ี ๑ ลกู หน้ี ๑ อยากทราบวา ใครเปน เจา หน้ี และใครเปน ลูกหน้ี ? ๔. บคุ คลเชน ไรจดั เปนยอดกตัญู ? ขอดูตวั อยา ง. ๕. คนดกี ็ตาม คนไมด ีก็ตาม มีอะไรเปน เครื่องหมาย ? ๖. เพระเหตไุ ร ทา นจึงวาบพุ พการแี ละกตญั กู ตเวทีบุคคลหา ไดย าก ? ๗. \" แมแ ผนดนิ จะไรหญา ก็อยาคบคาคนอกตัญู \" คาํ นท้ี า น สอนไวเ พ่อื อะไร ? ________ ตน เอย ตน กลว ย มองดูสวย โสภา นา เล่อื มใส พอมลี ูก ลกู ฆา นาเสยี ใจ ตองตายไป เปอ ยจม ทับถมดิน. เหมอื นรา งกาย มนษุ ย แมส ดุ สวย จําตอ งมว ย ภนิ นพัง ไปทง้ั ส้ิน ควรรบี ทาํ กรรมดี คชู วี ิน ถงึ ชีพส้ิน ช่อื อยู คโู ลก เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 20 ติกะ คือหมวด ๓ รตนะ ๓ อยา ง พระพุทธเจา ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ ๑ ๑. ทา นผสู อนใหประชมุ ชนประพฤตชิ อบดว ยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัย ท่ีทา นเรยี กวาพระพุทธศาสนา ซงึ่ พระพุทธเจา . ๒. พระธรรมวินยั ทีเ่ ปนคาํ สั่งสอนของทาน ชือ่ พระธรรม. ๓. หมชู นท่ฟี ง คําสัง่ สอนของทานแลวปฏบิ ตั ิชอบตามพระธรรม วนิ ยั ชอื่ พระสงฆ. ขุ. ข.ุ ๒๕/๑ อธิบายศัพท ๑. พระพุทธเจา ศัพทบ าลีวา พุทธะ แปลโดยพยญั ชนะวา ผูรู ผตู น่ื ผเู บิกบาน หมายความวา ผูร ูเทาสงั ขารทง้ั ปวงดว ยตนเอง และใหผ ูอ น่ื รูเ ทา สงั ขารดว ย. เปน ผตู นื่ จากความหลบั คอื สัมโมหะ และ ทรงปลกุ ผอู ื่นใหตืน่ ดว ย, เปน ผูเบกิ บานพระหฤทยั ดจุ ดอกประทุมอัน คลบ่ี านเตม็ ที่ และทาํ ผูอ่ืนใหเบกิ บานใจดวย. อน่ึง พระพทุ ธเจา วา โดยโลกยิ โวหาร ไดแ กส ตั วพเิ ศษผูหนง่ึ มิใชเทวดา มาร พรหม อมนุษยใด ๆ เปนมนุษยน เ้ี อง แตเปน มนษุ ยอ ัศจรรย มปี ญญาฉลาดลวงสมณะ เทวดา มาร พรหม ทํา ตนเองใหบริสุทธจ์ิ ากอุปกิเลสบาปธรรมได แลว สอนผูอื่นใหไดความ บริสทุ ธไ์ิ ดด วย. วา โดยปรมตั ถโวหาร ไดแกว สิ ทุ ธิขนั ธ คอื กองรูป
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 21 กองเวทนา กองสญั ญา กองสงั ขาร กองวิญญาณ อนั บริสทุ ธจ์ิ าก อปุ กเิ ลสบาปธรรม. ๒. พระธรรม ศัพทบาลีวา ธมั มะ แปลโดยพยัญชนะวา สภาพผทู รงไว หมายความวา ทรงบคุ คลผปู ฏิบตั ิดีไว มใิ หตกในอบาย ทง้ั ๔ และในวฏั ฏทกุ ข. อนึง่ พระธรรม คือ ความดจี ริง อนั ไดแ กความไมโ ลภ ไมโกรธ ไมห ลง ทบ่ี ุคคลทาํ ใหมใี หเปนขนึ้ ดว ยอบุ ายทแี่ ทจรงิ ไมใ ช ความไมโลภ ไมโ กรธ ไมห ลง ที่มใี นเวลานอนหลับ. อีกอยา งหนึ่ง ไดแ กค วามเปน เองทไ่ี มมีโลภ - โกรธ - หลง เพราะไมม สี งั ขารเปน ท่ตี ัง้ . อกี อยา งหนึ่ง พระธรรม คอื คําสั่งสอนของพระพุทธเจาท้งั หมด หากจดั เปน สอง เรยี กวาพระธรรม ๑ พระวนิ ยั ๑ หรอื จดั เปน สาม เรยี กวา พระไตรปฎ ก อนั ไดแ กพระวนิ ยั ๓ พระสูตร ๑ พระ อภธิ รรม ๑ หรอื เรียกวา พระสทั ธรรม ๓ อนั ไดแกป รยิ ัติลทั ธรรม ๑ ปฏบิ ตั สิ ัทธรรม ๑ ปฏิเวธสัทธรรม ๑. ๓. พระสงฆ ศัพทบ าลวี า สงั ฆะ แปลโดยพยัญชนะวา หมู หมายถงึ หมูแหงสาวก คือผูฟง คําสั่งสอนของพระพทุ ธเจา แลวปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมวนิ ัย. พระสงฆมี ๒ ประเภท คอื ๑. สมมตสิ งฆ ๒. อรยิ สงฆ. สมมตสิ งฆ แปลวา สงฆโดยสมมติ หมายถึงภิกษุตง้ั แต ๔ รปู ขนึ้ ไป นงั่ ภายในสีมา (เขตชุมนมุ สงฆต ามหลกั พระวินัย) ไมล ะหัตถบาสกัน มอี ํานาจใหสําสังฆกรรมนนั้ ๆ มีอโุ บสถกรรมเปน ตน . อริยสงฆ แปลวา หมแู หงพระอรยิ เจา หมายถึงภกิ ษุผูเปนอริย- บุคคล ๔ จาํ พวกคือ พระโสดาบัน ๑ พระสกทาคามี ๑ พระอนาคามี ๑
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 22 พระอรหนั ต ๑. อธบิ ายชือ่ หมวดธรรม พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ช่อื วา รตนะ โดยอธิบาย วา เปน แกววเิ ศษ ท่คี วรยาํ เกรง มคี า มาก หาทเี่ ปรียบมิได จะช่งั เทยี บมิได เปนส่ิงทีห่ าไดยาก เปนเครือ่ งบริโภค คือสมบตั ขิ องคนด.ี ธรรมดาคนดี ของดี นิยมเรียกกนั วา รตนะ แปลวา แกว เชน พทุ ธรตนะ แกว คอื พระพทุ ธเจา ธมั มรตนะ แกวคอื พระธรรม สังฆรตนะ แกวคอื พระสงฆ ๓ อยา งน้รี วมเรียกวา พระรตั นตรยั แปล วาแกว ๓ อยา ง. แตละอยางกม็ ีคณุ คา อนั ยอดเยย่ี มในโลก ผูใดมีแกว ๓ อยางนไ้ี ว ผูน ั้นจัดวาเปนผดู ี มีความร่ํารวยทีส่ ดุ และมคี วามสุข สวสั ดีตลอดไป. สวนจักรแกว ชางแกว มาแกว แกว มณี นางแกว ขนุ คลงั แกว ขนุ พลแกว อนั เปน รตนะ ๗ ประการ ของพระเจาจกั รพรรดิ ก็จัดวา เปน ของดี สัตวด ี คนดี แตก็ยงั มีคณุ คา ดอ ยกวาพระรัตนตรัย. คณุ ของรตนะ ๓ อยาง พระพทุ ธเจา รูดีรชู อบดวยพระองคเ องกอนแลว สอนผอู น่ื ใหรู ตามดวย. พระธรรม ยอ มรกั ษาผูปฏบิ ัตไิ มใหตกไปในทชี่ ่ัว. พระสงฆ ปฏิบัติชอบตามคําสัง่ สอนของพระพุทธแลว สอน ผูอ นื่ ใหกระทําตามดว ย. พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา ฯ
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 23 อธบิ าย ความจรงิ คุณของรตนะ ๓ อยางนม้ี ีมาก ยากท่ีจะพรรณนาให สิน้ สุดได แตเ พอ่ื ความสะดวกแกผเู ร่ิมแรกเขา มาศึกษา ทา นจงึ ไดกลา ว เพียงยอ ๆ พอใหจบั ใจความได. ในลาํ ดบั นี้ จะอธบิ ายคณุ ของรตนะ ๓ อยางนีใ้ หก วางออกไปอกี หนอ ย เพื่อใหเขาใจพอสมควร. พระพทุ ธเจา มพี ระคุณมากท่ีสดุ ใคร ๆ ไมอ าจพรรณนาใหส น้ิ จบครบถวนได แตจ ะขอประมวลอธบิ ายโดยยอ เปน ๓ ประการ คือ ๑. พระปญ ญาคณุ ไดแ กพ ระปญ ญารูเ ทาทนั สังขารทง้ั ปวง อนั เปนตัวทกุ ขทค่ี วรกาํ หนดรู ๑ พระปญ ญารเู ทาทันเหตุเกดิ แหงสังขาร อนั เปนตวั สมทุ ัยท่คี วรละ ๑ พระปญ ญารูเทา ทันความดับแหง สังขาร อัน เปนตวั นิโรธทค่ี วรทําใหแจง ๑ พระปญญารูเ ทา ทันขอ ปฏิบตั ิใหถึงความ ดับแหง สงั ขาร อันเปนตัวมรรคท่คี วรใหเ กดิ ๑. ๒. พระบริสทุ ธิคุณ ไดแกค วามละกิเลสและวาสนาเสยี ได แม โลกธรรมอยา งใดอยางหน่ึงมาถงึ เฉพาะพระพกั ตร ก็ไมทรงยนิ ดยี นิ รา ย มีพระหฤทยั สดใสบรสิ ทุ ธส์ิ ม่าํ เสมอ. ๓. พระมหากรุณาคุณ ไดแกท รงมคี วามเอน็ ดูเมตตาปรานีตอ สัตวโลก ทรงเห็นสัตวโลกรอ นอยูดว ยเพลงิ กเิ ลส เพลงิ ทกุ ข วา ยเวียน อยใู นทะเลใหญคือสังสารวฏั . ทรงปรารถนาจะใหสตั วดับเพลิงกิเลสพัน จากทุกข จึงไดท รงชว ยเหลือสตั วโลกใหพ น ทุกข ต้ังแตค รง้ั ยังเปน พระ โพธิสตั ว เรอ่ื ยมาจนกระทั่งเสดจ็ ดบั ขันธปรนิ ิพพาน. พระธรรม มีคุณมาก แตเม่อื กลา วโดยยอกไ็ ดในหลกั วา
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 24 ๑. ธมฺโม กโุ ลกปตนา ตทธาริธารี พระธรรมเปน สภาพทรง บุคคลผปู ฏิบตั ธิ รรมไวใ หพ นจากการตกไปในโลกอันชัว่ ชาเลวทราม. ๒. ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ พระธรรมยอมสงผปู ฏิบัตใิ หถ ึงสุคติ. ๓. ธมฺโม หเว รกขฺ ติ ธมมฺ จารึ พระธรรมแล ยอ มรักษาผู ประพฤติธรรม. ๔. ธมโฺ ม สจุ ณิ โฺ ณ สขุ มาวหาติ พระธรรมท่บี คุ คลประพฤตดิ ี แลว ยอ มนาํ สุขมาให. ๕. ธมฺมจารี สขุ เสติ ผูประพฤติธรรมยอ มอยูเปนสุข. พระสงฆ กม็ ีคุณมาก โดยยอ กค็ อื ทานปฏบิ ัติดี - ตรง - ถกู ตอง - สมควร ขจัดกิเลสของตนตามท่พี ระพทุ ธเจาทรงสั่งสอน และสอน ผูอ น่ื ดว ย. เปน กําลงั ในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา นําคาํ สอนของพระ พทุ ธเจาสบื ตอกนั มา เปน นาบุญอันดีย่งิ ของชาวโลก. การทช่ี าวโลกได อยูเย็นเปน สุข ก็เพราะไดอาศยั พระสงฆ ปฏบิ ตั ติ ามทพ่ี ระสงฆสงั่ สอน ใหป ฏิบตั พิ ระธรรมพระวนิ ัย อันเปน คาํ ส่งั สอนของพระพทุ ธเจา พระ พุทธเจาดบั ขันธปรินิพพานนานแลว แตพ ระสงฆยงั ชว ยทรงจาํ หลกั ธรรมวนิ ยั สัง่ สอนสบื ตอกนั จนถึงบดั นี้ และพระสงฆยังชว ยทรงจาํ หลกั บทบาทสําคัญในการนําพระพทุ ธศาสนาใหเ จริญแพรห ลายเปน ประโยชน อันย่ิงใหญแ กช าวโลกตอ ไป. คําถามสอบความเขาใจ ๑. พระพทุ ธเจา มาจากศัพทบ าลีวาอะไร ? แปลโดยพยญั ชนะ วากระไร ?
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 25 ๒. ผูร ู ผตู ่ืน ผูเบิกบาน ๓ คํานี้ มีความหมายวา อยางไร ? ๓. พระพุทธเจา วา โดยโลกกิยโวหาร และวา โดยปรมตั ถโวหาร ไดแกอะไร ? ๔. พระธรรม มาจากศัพทบ าลีวาอะไร ? แปลโดยพยญั ชนะวา กระไร ? หมายความวาอยางไร ? ๕. พระธรรม คอื อะไร ? หากจดั เปน ๒ หรอื ๓ เรยี กวา อะไร ? ๖. พระสงฆ มาจากศัพทบ าลีวา อะไร ? แปลโดยพยญั ชนะวา กระไร ? หมายถงึ ใคร ? ๗. พระสงฆ มีก่ีประเภท ? คืออะไร ? ประเภทนั้น ๆ หมาย ถึงใคร ? ๘. พระพุทธเจาเปนตนที่ไดช อ่ื วารตนะ โดยอธิบายอยางไร ? ๙. พระรตั นตรยั แปลวาอยา งไร ? มอี ะไรบา ง ? จักรแกวดว ย ใชไ หม ? ๑๐. คณุ ของพระพุทธเจา โดยยอมี ๓ อยา ง คืออะไร ? อธบิ าย ๑๑. คณุ ของพระธรรม โดยยอ มีเทาไร ? อะไรบาง ? ๑๒. คุณของพระสงฆม ีอยางไรบาง ? ดอกเอย กลว ยไม อาจนับได หลายชนิด แผกผิดสี เชนชา งแดง มาดาม สวยงามดี ฟามุยมี เอือ้ งผ้ึง พศิ ตรึงตา. ครั้นนานวันมอี ัน จะพลนั รวง จากขั้วพวง เห่ียวแหง ใชแ กลง วา แมมนษุ ย เรานี้ มีนานา อนจิ จา จงรู รว งพรู เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 26 อาการที่พระพุทธเจาทรงส่ังสอน ๓ อยาง ๑. ทรงส่ังสอนเพอื่ ใหผ ฟู งรยู ่ิงเห็นจริงในธรรมทค่ี วรรคู วรเหน็ ๒. ทรงส่ังสอนมีเหตทุ ี่ผฟู งอาจตรองตามใหเ หน็ จรงิ ได. ๓. ทรงส่ังสอนเปนอศั จรรย คอื ผูปฏิบัตติ ามยอมไดป ระโยชน โดยสมควรแกค วามปฏบิ ตั ิ. นยั . อง.ฺ ติก. ๒๐/๓๕๖ อธิบายศพั ท ๑. ขอทว่ี า ทรงสง่ั สอนเพื่อใหผ ูฟ งรเู หน็ จรงิ นั้น มอี ธิบายวา ทรงสอนใหรจู กั ใหเ ขาใจชัดเจนย่งิ ๆ ขึน้ ไป ไมใ ชทรงสอนใหห ลงเชือ่ คลุมเครือ งมงาย หรือไมทรงสอนใหคนโง. ตอนที่วา ส่งิ ทีค่ วรรูควรเหน็ นน้ั มอี ธิบายวา ส่ิงตา ง ๆ ใน โลกนี้มีอยมู าก ส่งิ ที่ควรรคู วรเปน พระองคก ท็ รงสอนสงิ่ นั้น สิ่งใดไม ควรรไู มควรเหน็ พระองคไ มท รงสอนสิง่ นัน้ . กแ็ ล ส่ิงทค่ี วรรูควรเปน ไดแกข นั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อรยิ สัจ ๔ เมือ่ รูช ัดเห็นชัดขนั ธ ๕ เปนตน แลว ก็เปน ทางใหพน ทกุ ข ไดบรรลโุ ลกตุ ตรสุขในท่ีสดุ . แมค วามรศู ลิ ปวทิ ยาการตา ง ๆ ทเ่ี ปน ทาง ใหด ํารงชพี อยูเปน สุข ตามวิสัยของชาวโลกทย่ี ังติดโลกิยสุขในปจ จุบนั ก็ดี ความรูทจี่ ะไดรบั สุขในภายภาคหนา เชน สทั ธาสัมปทาเปนตน กวา จะ บรรลโุ ลกุตตรสุขก็ดี กช็ ่อื วา เปน สิ่งทค่ี วรรู ควรเห็น เพราะบคุ คล ควรทําความเขา ใจและปฏิบัติใหไ ด เพือ่ ความพนทุกขและประสบสุขตาย
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 27 คึ วรแกฐ านะ ภาวะ สติ ปญญา ของตน ๆ. สว นลกึ ทไี่ มควรรู ไมควรเปน เชนปญ หาเรอ่ื งโลกเท่ียง โลก ไมเที่ยง โลกมีท่สี ดุ ไมม ีท่สี ุด เปนตน เร่อื งทาํ นองน้ไี มใ ชท างท่จี ะให พน ทุกข ไมม ปี ระโยชนอ ะไร แมเหลา เส่อื มโทรมทางศลี ธรรม เชน สถานเริงรมย ระบําลามก ภาพยนตรลามก แหลงมว่ั สุมยาเสพติดใหโ ทษ บอนพนัน เปนตน กเ็ ปน ส่ิงไมค วรรู ไมค วรเปน คอื บคุ คลไมค วร ประพฤติตนใหห มกมุนอยูในสิง่ เหลา นี้ เพราะมแี ตจะพาใหฉ ิบหายวายวอด ไมเปนทางที่จะใหพน ทกุ ขไปได พระไมส อน. พระพุทธเจา เมอ่ื จะทรงแสดงธรรม กท็ รงพิจารณาอปุ นิสัยของผฟู ง เสียกอ น แลว จึงทรงสงั่ สอนเฉพาะเร่ืองทีค่ วรรูค วรเหน็ ใหพ อเหมาะแก อุปนสิ ยั ของผูฟงนัน้ ๆ จึงปรากฏวา ไดผ ลดี เหมือนนายแพทยตรวจดู สมฏุ ฐานของโรคกอ นแลวจงึ วางยา โรคจึงหาย ไดผลดีฉะนนั้ . ๒. ขอ ท่ีวา ทรงสง่ั สอนมเี หตุ น่นั มอี ธิบายวา ทรงแสดงธรรม พรอมทัง้ เหตุ หมายความวา มีเหตมุ ีผล ไมท รงแสดงธรรมไรเหตุ คือ ไมม ีเหตไุ มม ีผล เชน บางศาสนาสอนวา ทาํ อยา งน้ี ๆ ตายแลว ไปสวรรค ทําอยางนั้น ๆ ตายแลวไปนรก ทั้ง ๆ ท่ีผูแสดงและผูฟ ง ไมรูว า สวรรค นรก เปนอยา งไร อยทู ีไ่ หน ทางอันแทจ ริงเปนอยา งไร. แตพระ พุทธเจาทรงแสดงธรรมช้เี หตุชีผ้ ล ใหผ ฟู งเหน็ ไดโดยประจกั ษ แจม แจง เชน ทรงแสดงวา น้ีทุกข น้ีเหตใุ หเ กดิ ทกุ ข นคี้ วามดบั ทกุ ข นีข้ อปฏบิ ัติ ใหถงึ ความดับทุกข. ตณั หาเปน เหตุ ทุกขเปน ผล อริยมรรคมอี งค ๘ เปน เหตุ ความดับทกุ ขเปนผล. น้คี วามยากจน นี้เหตใุ หเกิดความยากจน น้คี วามรํ่ารวย น้ขี อ ปฏบิ ตั ใิ หเ กิดความร่าํ รวย. ความเกียจคราน ความไม
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 28 รจู กั ประมาณเปนเหตุ ความยากจนเปน ผล. ความขยนั ความรจู ักประมาณ เปน เหตุ ความร่ํารวยเปนผล. นีค้ วามสขุ กายสบายใจทบ่ี ุคคลไดร บั ใน ภายหนา น้ีเหตุใหไ ดความสุขกายสบายใจในภายหนา นี้ความทกุ ขก ายทุกข ใจทีบ่ ุคคลไดร บั ในภายหนา นีเ้ หตใุ หไ ดรับทกุ ขก าย - ใจในภายหนา. ศรัทธา ศลี จาคะ ปญญา เปนเหต,ุ ความสุขกาย - ใจในภายหนา เปน ผล. ความไรศ รทั ธา ไรศลี ไรจาคะ ไรป ญญา เปน เหต,ุ ความทุกขกาย - ใจ ในภายหนาเปนผล. ขอท่วี า ผฟู งอาจตรองตามใหเ หน็ จรงิ ได น้นั มอี ธิบายวา เมอ่ื พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมพรอ มทงั้ เหตุ คอื มเี หตุมผี ลบรบิ รู ณด งั กลาว แลว หากผูฟ งตั้งใจฟง ใชสตติ ริตรอง ใชปญ ญาสอดสอ งตามกระแส ธรรม กย็ อมเหน็ จริง คอื เขาใจตามธรรมนน้ั ๆ ได แตถา ไมต้งั ใจฟง ไมต รองตาม ก็ไมอ าจเห็นจรงิ คือไมเขาใจ นเ้ี ปน ความผดิ พลาดของ ผูฟงเอง มใิ ชความผดิ ของพระพุทธเจา . เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจา จงึ ทรงยึดหลักวา ทรงแสดงธรรมมีเหตุ ท่ผี ูฟง อาจตรองตามใหเห็นจรงิ ไดเสมอ ไมท รงแสดงธรรมโดยไรเหตุ. ๓. ขอที่วา ทรงสง่ั สอนเปน อศั จรรย นั้น มีอธิบายวา คําสอน ของพระพทุ ธเจาเปนธรรมท่แี ปลกประหลาด คอื มีปาฏิหาริย เพราะ สามารถนําบุคคลท่เี ปนขาศกึ ของพระองค หรือผมู ีไมเคารพนับถอื ใหก ลบั มาเคารพนบั ถือพระองคได เชน พระปญจวคั คยี คลายความนับถือเพราะ เห็นพระองคคลายความเพียรเลกิ ทุกรกิริยา แตกลับเคารพนับถอื เพราะได ฟงคําตรสั เปนอศั จรรย, องคลุ มิ าลโจรไลตามฆาพระพทุ ธเจา เรียกให พระพทุ ธเจาหยดุ พระองคไ ดต รัสวา เราหยดุ แลว แตทานยงั ไมห ยุด
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 29 พระดํารสั เพียงเทา นี้ สามารถกลับใจองคุลมิ าลโจรใหทั้งดาบหมอบ กราบพระพุทธเจา เปนอัศจรรย. อีกอยา งหนง่ึ ทว่ี าทรงส่ังสอนเปนอศั จรรยน้ัน อธิบายวา พระธรรม คําสัง่ สอนของพระองคน้นั แปลกประหลาด เพราะสามารถอาํ นวยผลใหแ ก ผปู ฏบิ ัติไดกลับตนจากคนชว่ั เปน คนดี กลับจากความจนเปน คนมงั่ มี กลบั จากใจรายกลายเปนใจดี กลบั จากปถุ ชุ นเปนอริยชน จงึ เปนอนั วา ผปู ฏบิ ัตติ ามยอมไดประโยชนสมควรแกค วามปฏบิ ตั ิ และไดป ระโยชนใ น ปจจบุ นั ชาติ ไมต อ งรอไปถงึ ชาตหิ นา. อธิบายชอ่ื หมวดธรรม การสงั่ สอนทง้ั ๓ อยา งนี้ เรียกวา อาการ คอื วธิ กี าร ไดแ ก กฎเกณฑ ในการทรงสง่ั สอน พระพุทธเจาจะทรงสงั่ สอนใครที่ไหนกไ็ ด ทรงใชอาการ วธิ กี าร กฎเกณฑทํานองน้ี กลา วคอื ขัน้ แรกทรงมงุ ท่จี ะ ใหผ ูฟงรยู ่งิ เหน็ จริงในธรรมท่ีควรรคู วรเห็น เม่อื ทรงมงุ อยางน้ี ก็ไดทรง ใชว ิธีแสดงธรรมใหม ีเหตผุ ลอนั สมควน ใหพอเหมาะแกภ าวะเพศภูมิ และอุปนสิ ัยของผูฟง เม่อื ทรงแสดงอยู ทรงมงุ ทจ่ี ะใหผูฟงไดร บั ประโยชนทนั ที คือไดผลดีในขณะปฏิบตั ินน่ั เอง ไมตองชกั ชา . อาศัยอาการ วธิ กี าร ดังน้ี จึงปรากฏผลวา ในเวลาจบพระธรรม- เทศนาแตละครง้ั เรม่ิ แตป ฐมเทศนา ผูฟงธรรมไดบรรลมุ รรคผลนิพพาน เปนอันมาก หากไมถึงขั้นน้ัน ก็ไดค วามเชอื่ ความเล่อื มใส ยึดเอา พระรตั นตรยั เปน ที่พึ่งตลอดชีวติ เปน อยา งนีท้ ุกคร้งั ทท่ี รงแสดงธรรม.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 30 คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. อาการทีพ่ ระพุทธเจาทรงสั่งสอน ตอนทวี่ าทรงสง่ั สอนเพอื่ ให ผฟู ง รูยิง่ เห็นจริงนน้ั มีอธบิ ายวาอยางไร ? ๒. สง่ิ ทคี่ วรรคู วรเปน ไดแ กอ ะไร ? อะไรเปนสงิ่ ที่ไมควรรู ไมค วรเหน็ ? เพราะเหตุไร ? ๓. พระพทุ ธเจาทรงสง่ั สอนมีเหตุนัน้ ทรงสอนอยางไร ? ๔. เมอ่ื พระพุทธเจาทรงส่ังสอนดแี ลว ผูฟง ยอ มรเู ห็นจรงิ ไดเ สมอ ไปหรอื อยา งไร ? ๕. ขอ วาทรงสัง่ สอนเปนอัศจรรยน้นั มอี ธบิ ายวา อยางไร ? ๖. พระพทุ ธองคท รงสงั่ สอนดวยอาการอยางไร จึงปรากฏวา ได ผลดที กุ ครง้ั ? ๗. ผลดที ีเ่ กิดจากท่ีทรงสั่งสอนดวยอาการ ๓ อยางนน้ั คืออะไร ? ตนเอย ตน ขามหวาน นามขนาน มากมาย หลายวถิ ี วา \" ฉําฉา \" \" กามปู \" \" จามจรุ ี \" ดอกมีสี ชมพู เปน พงู าม. เหมอื นบคุ คล สนใจ ในธรรมหลาย แผข ยาย ในตน คนเกรงขาม ธรรมพทิ ักษ รกั ษา สงา งาม ยอมมีความ รม เย็น เปน สขุ เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 31 โอวาทของพระ พทุ ธเจา ๓ อยา ง ๑. เวน จากทุจรติ คอื ประพฤติชว่ั ดว ย กาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสุจรติ คือประพฤติชอบดวย กาย วาจา ใจ. ๓. ทาํ ใจของตนใหห มดจดจากเครอ่ื งเศรา หมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เปนตน. ท.ี มหา. ๑๐/๕๗ คาํ อธบิ ายศพั ท ๑. คาํ วา ทุจรติ แปลวา ประพฤติชั่ว หมายความวา ทําบาป คอื ทําความทุกข. ทําความชว่ั . หรอื ทาํ อกศุ ล คือทําความไมดี. พระพุทธเจาไดโ อวาท คือทรงตกั เตอื นสั่งใหเวนจากทุกจรติ หมาย ความวา ใหเ วนจากความประพฤตชิ วั่ ใหเ วนจากการทาํ บาป ใหเ วน จากการทาํ ความไมดี. ๒. สจุ ริต แปลวา ประพฤตชิ อบ หรือประพฤตดิ ี หมายความวา ทาํ บุญ คือทําความสขุ หรือทาํ กุศล คือทาํ ความด.ี พระพทุ ธเจาไดโ อวาท คือทรงตักเตอื น สอนใหประกอบสจุ รติ หมายความวา ใหก ระทําการประพฤตดิ ี ใหป ระกอบการบญุ กุศล โดย ใจความก็คือ ใหท าํ ความดีน่ันเอง. ๓. คาํ วา ทาํ ใจของตนใหหมดจดจากเคร่ืองเศราหมองใจ มี โลภ โกรธ หลง เปน ตน น้นั หมายความวา ตามธรรมดาใจ หรือ
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 32 จิตของคนเรานี้มักเศราหมองขนุ มัวดวยเครอ่ื งเศรา หมองตา ง ๆ เชน ความ โลก แมตั้งใจทําความดี แตมคี วามโลภเขาเจือปนดวย เมอ่ื ทาํ ความดี ไมไดต ามปรารถนา กเ็ กิดความโกรธ ความไมพอใจในตนเองบา ง โน ผูอ ืน่ บาง. การทม่ี ีความโลภ ความโกรธ เขา เจือปนในขณะทท่ี าํ ความดี ดังนี้ ก็เพราะมคี วามหลงงมงายเขาเจือปนอยใู นจิตใจเปนเช้ือเร้อื รังมากอน แลว . เพราะฉะน้นั พระพทุ ธเจาจึงโอวาท คือตกั เตือนสอนใหทาํ จิต ใจใหห มอจดจากเครือ่ งเศรา หมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เปน ตน . อธิบายชอ่ื หมวดธรรม การเวนจากทุจริต ๑ การประกอบสจุ รติ ๑ การทาํ จติ ใจใหหมด จดจากเครอื่ งเศราหมองใจ มโี ลภ โกรธ หลง เปน ตน ๑ ทั้ง ๓ อยา งนี้ ช่ือวาโอวาทของพระพทุ ธเจา เพราะเปนคําแนะนําตักเตอื นของ พระพทุ ธเจา ไดในศัพทบ าลีวา พทุ ธโอวาท, แตบางแหง เรยี กวา ทกุ พระองค ทรงสั่งสอนครบทัง้ ๓ อยางนี้เหมือนกนั หมด.. อน่ึง พระโอวาททงั้ ๓ น้ี พระพุทธเจาไดท รงถอื เปน หลักคาํ สอน แกภ กิ ษุในวนั อุโบสถทุกกง่ึ เดือน เรม่ิ ตั้งแตว นั เพญ็ เดอื น ๓ ภายหลัง ตรัสรู ๙ เดอื นเปนตน มา โดยมีชือ่ วา โอวาทปาตโิ มกข. และตอมาอาจารยทั้งหลายไดถือกันวา พระโอวาทท้ัง ๓ นี้เปน หัวใจพระพทุ ธศาสนา เพราะสว นสําคัญของพระพทุ ธศาสนาอยูท่พี ระ โอวาท ๓ อยา งนี้ สว นคาํ สั่งสอนอยา งอนื่ แมม จี ํานวนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ แตเ มื่อยอ ใหสั้นกค็ งเหลือเพยี ง ๓ อยา งน้ีเทานั้น.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 33 คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. คาํ วา ทจุ รติ บาป อกศุ ล ตางกนั หรอื เหมอื นกันอยางไร ? ๒. พระโอวาทของพระพุทธเจา ขอ วา เวน จากทจุ รติ หมาย ความอยางไร ? ๓. คําวา สุจรติ บุญ กศุ ล คืออะไร ? ๔. พระพทุ ธโอวาท ขอ ๒ วาอยางไร ? หมายความวากระไร ? ๕. พระพุทธศาสนา ขอ ๓ วา อยางไร ? หมายความวากระไร ? ๖. พระโอวาทของพระพุทธเจามีมาก แตเม่ือกลา วโดยสรุปแลว มีอะไรบาง ? ๗. โอวาทปาติโมกขมกี ขี่ อ ? ขอ ไหนเปนคาํ สั่ง คือหามมิใหท ํา ? ขอไหนเปน คําสอน คอื แนะนาํ ใหท ํา ? ๘. อะไรเปน หวั ใจของพระพุทธศาสนา ? ๙. พระพุทธโอวาท พระพทุ ธศาสนา โอวาทปาตโิ มกข หัวใจ พระพุทธศาสนา ตางกนั หรอื เหมอื นกันอยา งไร ? ๑๐. ผูนบั ถือพระพทุ ธศาสนา ปฏิบตั ิอยางไรจึงจะไดชอ่ื วา ทาํ ตามพระโอวาทของพทุ ธเจา ? โรคทางกาย ใหห มอ ชะลอให โรคจิตไซร พง่ึ หมอ ก็ไรผล จาํ ตอ งพงึ่ ธมั โมสถ ทศพล วางใจตน เปนกลาง วา งวา ง เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 34 ทจุ ริต ๓ อยา ง ๑. ประพฤตชิ ว่ั ดว ยกาย เรียกกายทจุ รติ ๒. ประพฤติชั่วดวยวาจา เรียกวจีทจุ ริต ๓. ประพฤติช่วั ดว ยใจ เรียกมโนทุจรติ . กายทุจรติ ๓ อยาง ฆาสตั ว ๑ ลกั ฉอ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑. วจีทจุ รติ ๔ อยา ง พดู เท็จ พูดสอเสียด ๑ พดู คําหยาบ ๑ พดู เพอ เจอ ๑. มโนทุจรติ ๓ อยาง โลภอยากไดข องเขา ๑ พยายามปองรายเขา ๑ เห็นผิดจาก คลองธรรม ๑. ทจุ รติ ๓ อยา งน้ี เปน กจิ ไมควรทํา ควรจะละเสีย. องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓ อธิบายศพั ท การประพฤตชิ วั่ ดวยกาย หมายความวา ทําชว่ั ทางกาย มี ๓ อยา ง คอื :- ๑. ฆาสัตวม นษุ ยห รือสตั วดริ ัจฉาน รวมทง้ั การเบยี ดเบียนใหไ ด รับบาดเจบ็ พกิ ลพิการ หรอื ไดรับความลําบากตาง ๆ. ๒. ลักฉอ รวมทงั้ ฉก ชิง ปลน หรือกระทาํ ดวยอาการอยา งใด อยางหน่ึง ซงึ่ เปนการถอื เอาส่ิงของทเ่ี จาของมิไดย นิ ดีให.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 35 ๓. ประพฤติผดิ ในกาม หมายความวา การลว งเกนิ สมสูใ นคคู รอง ของผูอื่น หรอื ในบคุ คลที่เขาหวงหาม. การประพฤตชิ ว่ั ดว ยวาจา หมายความวา ทาํ ชว่ั ทางวาจา ซ่ึง ไดแกท างคําพูด พดู ชัว่ มี มี ๔ อยา ง คอื :- ๑. พดู เทจ็ คอื พดู ดว ยความจงใจ มงุ ที่จะใหผ ูฟ ง เขาใจผดิ จาก ความจรงิ แมก ารเขยี นหนังสือปดเขา หรือสนั่ ศรี ษะพยกั หนาใหเ จาเขาใจ ผดิ ก็จัดวาพดู เทจ็ เหมือนกัน เขาจะเชอ่ื หรอื ไมเช่อื ไมเ ปนประมาณ. ๒. พดู สอ เสียด คอื พดู ยุยงประสงคใหบ คุ คลแตกความสามคั คี เขาจะแตกความสามัคคกี ันหรือไมร กั ไมเปน ประมาณ หรอื ใหเขามา รกั ชอบตน เขาจะรักหรือไมรัก ไมเ ปนประมาณ. ๓. พดู คาํ หยาบ คอื พูดเสียดแทงประสงคใ หผ ูอนื่ เจบ็ ใจ ระคายหู ดวยอางวัตถุ ทไ่ี มเปนจริงมาพดู พดู ยกใหส งู กวา พน้ื เพเดมิ ของเขาเรยี กวา ประชด หรือพดู กดใหเปนคนเลวกวาพืน้ เพเดิมของเขาเรยี กวาดา แม การพูดอางเอาขอ ท่บี กพรองท่ีมจี รงิ ในตวั ของเขาขึ้นพดู ดว ยประสงคใ หเขา เจบ็ ใจกเ็ รียกวาดา เปน คาํ หยาบเหมือนกัน เขาจะรูสึกเจบ็ ใจหรอื ไมรสู ึก ไมเปน ประมาณ. ๔. พดู เพอเจอ คอื พดู จาเหลวไหล ไรสาระ พูดดวยความคะนอง วาจา พดู เลน ไมรจู ักกาลเทศะ พดู เลน สาํ นวน พดู ลอ เลยี น ไมไดจ งใจ ใหเ ขาเขาใจผดิ อะไร แตเปน การเสียเวลาที่ฟงคําเชน นน้ั ฟง แลว ไมไ ด ประโยชนอะไรเลย. การประพฤตชิ ว่ั ดว ยใจ หมายความวา ทาํ ชัว่ ทางใจ ซงึ่ ไดแ ก คิดชว่ั มี ๓ อยาง คือ :-
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 36 ๑. โลภอยากไดของเขา คือคิดอยากมที ีจ่ ะเอาส่งิ ของของผอู ่นื มาเปน ของตน โดยวธิ ีทจุ รติ แมไ ดส ิ่งนี้มาแลว กย็ งั คดิ โลภอยากไดสิง่ อนื่ อกี ตอไป ยง่ิ ได ก็ยิ่งคิดโลภอยากไดอ ยูน่ันเอง. ๒. พยาบาทปองรายเขา คือคดิ จองลางจองผลาญเขา มุงที่จะให ทรพั ยส มบัติ เกียรติชอื่ เสยี ง รางกายชีวติ ของเขาพนิ าศไป. ๓. เหน็ ผิดจากคลองธรรม คือคดิ เหน็ ผดิ คลาดเคลอ่ื นจากความ เปนจริง ความเปนจริงทานเรยี กวาคลองธรรม ๆ มอี ยวู า บญุ - บาป มีอยู บิดามารดามีคุณ ทาํ เหตดุ ี ไดผลดี ทําเหตชุ ว่ั ไดผ ลชัว่ , คนจะ ไดดีหรอื ชวั่ เพราะการกระทํา, สังขารทัง้ ปวงไมเ ทยี่ ง, แตความเหน็ ผดิ ตรงกันขา ม คือคิดเหน็ วา บุญ - บาปไมม,ี บิดามารดาไมม ีคุณ, คนดี ความชัว่ ไมมีเหตุ, คนจะดีหรือชวั่ กด็ เี อว ชว่ั เอง ไมใ ชเ พราะการกระทาํ สงั ขารทงั้ ปวงเท่ยี ง เปน อยางไร กค็ งเปนอยางน้ันตลอดไป. ทจุ รติ ทงั้ ๓ อยางน้ี ลวนแตเปน กจิ ท่ีชัว่ รา ยเสียหายดวยกนั หาก จะพิจารณาใหละเอยี ดถีถ่ ว น ก็จะเห็นไดว า มโนทุจรติ เปน ความเสยี หาย รา ยแรงทสี่ ุด เพราะคนเราน้มี ใี จเปนสําคญั ทีส่ ุด เมอื่ ใจชั่วเพราะคิดเห็น ผิดจากทํานองคลองธรรมแลว การทาํ ทางกาย การพูดทางวาจา กย็ อ ม ชัว่ ตามไปดวย กอ ความเดอื ดรอนใจแกตนกอนแลว ทําผูอ ื่นใหเ ดอื ดรอ น ดว ยการทํา การพดู ภายหลัง. ฉะนนั้ ทจุ ริตทง้ั ๓ อยางนี้ เปน กิจไมค วรทํา ควรจะละเสยี .
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 37 สุจริต ๓ อยา ง ๑. ประพฤติชอบดว ยกาย เรยี กกายสุจรติ . ๒. ประพฤติชอบดวยวาจา เรียกวจสี ุจรติ . ๓. ประพฤตชิ อบดวยใจ เรยี กมโนสจุ รติ . กายสจุ ริต ๓ อยา ง เวนจากฆาสตั ว ๑ เวนจากลักฉอ ๑ เวนจากการประพฤติผิด ในกาม ๑. วจสี จุ รติ ๔ อยาง เวนจากพูดเทจ็ ๑ เวนจากพดู สอเสียด ๑ เวน จากพูดคําหยาบ ๑ เวน จากพดู เพอเจอ ๑. มโนสุจริต ๓ อยาง ไมโลภอยากไดของเขา ๑ ไมพยาบาทปองรา ยเขา ๑ เหน็ ชอบ ตามคลองธรรม ๑. สจุ รติ ๓ อยางน้ี เปน กจิ ควรทาํ ควรประพฤต.ิ องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓ อธิบายศัพท คาํ อธิบายศัพทท ั้งปวงในสุจรติ ๓ อยางนี้ นักเรียนพึงทราบโดย นยั อนั ตรงกนั ขา มกบั คําอธิบายในทุจริต ๓ อยาง. อธิบายชื่อหมวดธรรม คนเราจะเปนคนชวั่ หรอื เปนคนดี มใิ ชเพราะชาตติ ระกลู หรือทรพั ย
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 38 แตเ พราะประพฤติทจุ ริต หรอื สจุ ริตตางหาก กลาวคือถา ประพฤติทุจรติ ก็เปน คนชั่ว ถาประพฤติสจุ รติ กเ็ ปนคนด.ี อนั ความประพฤตนิ ้นั กค็ ือการกระทํา และการกระทาํ นน้ั มที างทาํ ได ๓ ทาง คอื ทางกาย ๑ ทางวาจา ๑ ทางใจ ๑ การทําชวั่ หรือ ประพฤติชวั่ ก็ทาํ ได ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทาน จึงเรียกช่ือวาทุจริต ๓ อยาง การทาํ ดหี รอื ประพฤติดีก็ทําได ๓ ทาง คอื ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทา นจงึ เรยี กช่อื วาสุจริต ๓ อยา ง. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. การประพฤตอิ ยา งไร เรียกวา การทจุ รติ ? ๒. การฆาสตั ว จดั เปน ทจุ รติ ถาฆาคนจัดเปนอะไร ? ๓. การลกั ฉอ มคี วามหมายรวมท้งั อะไร ? ๔. การประพฤตผิ ดิ ในกาม หมายความวา อยางไร ? ๕. อะไรเรียกวจีทุจริต ? มีกีอ่ ยา ง ? อะไรบา ง ? ๖. พูดเทจ็ กบั พดู ลอ เสยี ด ตา งกันอยา งไร ? ๗. พูดคาํ หยาบ กับพดู เพอ เจอ เหมือนกันหรอื ตา งกนั อยางไร ? ๘. การประพฤตชิ วั่ ดวยใจ หมายความวา อยา งไร ? มกี ่อี ยา ง ? ๙. ความโลภอยากไดของเขา คอื อะไร ? ๑๐. ความพยาบาทปองรา ยเขา คืออยางไร ? ๑๑. เหน็ ผิดจากคลองธรรม คอื อะไร ? คําวา คลองธรรม ไดแกอ ะไร ? ๑๒. ทจุ รติ ๓ อยาง ๆ ไหนมโี ทษรายแรงทีส่ ุด ? เพราะเหตไุ ร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 39 ๑๓. สจุ รติ กับทจุ รติ ตา งกันอยางไร ? ๑๔. คนเราจะชัว่ หรอื ดี เพราะอะไร ? ชวั่ เอง ดเี องใชไ หม ? ๑๕. ทจุ รติ และ สุจริต มมี ากอยาง เหตใุ ดทานจึงวามีฝายและ ๓ อยาง ? ๑๖. ความเห็นวาบญุ บาปไมมี มารดาบดิ าไมมคี ณุ จัดเขาในทจุ ริต ขอ ไหน ? และเรียกชอ่ื วา อยางไร ? ๑๗. เหตใุ ดทจุ ริตจงึ เปน กจิ ไมค วรทาํ สุจริตเปนกจิ ควรทาํ ? ๑๘. การเขียนหนงั สือบดิ เบือนความจรงิ ใหค นเขาใจผิด จดั เปน ทจุ ริตอะไร ในบรรดาทจุ รติ ๓ อยาง ? ตนเอย ตน ขีเ้ หลก็ มิใชเลก็ คราวออก ดอกชอใหญ ดอกงามดี สีเหลือง เรอื งอาํ ไพ ดอกยอดใบ ขมแรง ตม แกงกิน. เกดิ เปน คน เลก็ ใหญ ในอยา ขม ควรอบรม หวานจติ เปนนิจสิน อันขีเ้ หลก็ แมขม ใชตมกนิ คนขมสนิ้ คณุ คา หมดทา เอย. ศรี ฯ นคร.
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 40 อกุศลมลู ๓ อยา ง รากเหงา ของอกุศล เรยี กอกุศลมูล มี ๓ อยา ง คือ โลภะ อยากได ๑ โทสะ คิดประทุษรา ยเขา ๑ โมหะ หลงไมรจู รงิ ๑ ๑ เม่อื อกศุ ลมูลเหลานี้ ๒} ก็ดี มีอยแู ลว ๓ อกุศลอน่ื ทย่ี ังไมเกิด ก็เกิดข้ึน ท่ีเกดิ ข้ึนแลว กเ็ จรญิ มากขึน้ เหตุนน้ั ควรละเสีย. ท.ี ปาฏ.ิ ๑๑/๒๙๑ ขุ. อติ ิ. ๒๕/๒๖๔ อธบิ ายศพั ท ๑. โลภะ แปลวา ความอยากได หมายถึงความละโมบโลภมาก อยากไดสิ่งของของผูอน่ื มาเปนของตนโดยทางทจุ รติ มีความหวิ จัดทาง จติ เปนลักษณะ ผูทถ่ี ูกโลภะครอบงาํ แมจะเปน คนม่งั มีอยูด กี นิ ดี สมบูรณดวยปจ จยั ๔ และเคร่อื งอํานวยความสุขทางกายทกุ ประการ แต ถุ าจติ ยังมโี ลภะอยู ก็ยังรสู กึ วา หิว ไมรจู ักอมิ่ ไมร ูจ กั พอ ไมรูจกั เตม็ ทานเปรยี บเหมอื นไฟไมรูจ ักพอดวยเชอ้ื มหาสมทุ รไมร ูจ ักเตม็ ดวยนาํ้ ฉนั ใด คนโลภ ไมรจู กั อ่ิม - พอ - เตม็ ดวยปจจัย ฉันนน้ั . คนท่มี คี วามอยาก ถาไมเ กนิ ขอบเขต จนถงึ ขึน้ แสวงหาในทางทุจรติ ก็ไมป รากฏวามีโทษ กลับเปนประโยชนในการตัง้ ตวั เขยิบฐานใหดีข้นึ โดยลําดบั . แตถา อยากกนิ ขอบเขต จนถงึ ขน้ั แสวงหาในทางทุจรติ
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 41 ก็จดั เปน คนโลภ คนมดื มองไมรูอรรถ ไมเ หน็ ธรรม มกั จะเปน คน เหน็ แกต วั เปนนกั กอบโกย ขโมย ปลน ตู ฉอ โกง คาของเถ่อื น คอรปั ชัน่ เปนตน. ๒. โทสะ แปลวา ความคดิ ประทุษรา ยเขา หมายถึงความไมพ อ ใจ แลว โกรธอยางแรงในบุคคลหรอื ในสัตว เมอื่ ระงับความโกรธไมอยู ก็คดิ ประทษุ รายเขา เชน คิดดา เขา คิดตเี ขา คิดฆาเขา คิดลา งผลาญ สมบัติเขา เปนตน ความคดิ ดังนี้ รวมเรยี กวา โทสะ. คนถูกโทสะครอบงํา เรยี กกันวา คนเจาโทสะ เปนคนมืด มองไม รอู รรถ ไมเ ปนธรรม มกั จะกอกรรมทําเขญ็ อยางรนุ แรง เชน ดา สาปแชง ทุบตี ฆาแมผูมพี ระคุณ เชน มารดา บิดา ครู อาจารย พระสงฆอ งคเ จา พระอรยิ เจา ตลอดถึงคนและสตั วท ว่ั ไปไดอ ยา งทารณุ หากทาํ รายบุคคลไมได ก็ทําลายลางผลาญสมบตั ิ เชน เผาเรือนของเขา เปนตน . ๓. โมหะ แปลวา ความหลง ความโง ความงมงาย หมายถึงอวิชชา คอื รูอะไรไมแจมแจง แลวหลงงมงายอยใู นส่ิงน้ัน ๆ มเี รื่องอะไรพอจะ พิจารณาใหร ูจริง รูเ หตุ รูผล รูด ี รชู ั่วได แตไมพ ิจารณาใหรูจริง หรือพิจารณา แตไมสามารถรตู ามความเปน จริง น้ีเรยี กวาโมหะ. คนถูกโมหะครอบงํา เรียกกนั วา คนเจา โมหะ หรือคนหลง เปน คนมดื มองไมรอู รรถ ไมเหน็ ธรรม ยอมทาํ ผดิ ตาง ๆ ไดท ุกอยาง ตั้งแตผดิ เล็ก ๆ นอ ย ๆ ขึ้นไปจนถึงขนั้ อนันตริยกรรม เหมือนอยางท่ีคน เจาโลภและเจา โทสะกระทาํ แตเ มื่อแยกประเภทความผิดท่คี นหลงกระทํา ทีส่ อใหเห็นวา ทาํ ดวยอาํ นาจความโวเ ขลาเบาปญญา เชน ลบหลู
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 42 คณุ ทา น ตตี นเสมอทา น ริษยา โออ วด หัวดอ้ื เกียจคราน หเู บา มวั เมา เผอเรอ เปนตน. อธิบายชอ่ื หมวดธรรม โลภะ โทสะ โมหะ ท้ัง ๓ น้ี ชื่อวา อกศุ ลมูล แปลวา รากเหงา ของอกุศล. อกศุ ล แปลวา สวนทีไ่ มดี. อนั ความไมด ที ง้ั ปวง ยอ มเกดิ จากรากเหงา ที่ไมดี ๓ อยาง มอิ ยา งใดก็อยา งหน่งึ หรือ ๒ อยา ง หรือครบท้งั ๓ อยา ง เปรยี บเหมอื นวชั พชื คอื ผกั หญา ที่ไมด ีนานา ชนิด มีอุตพดิ เปนตน ยอ มเกดิ จากรากเหงา ชนิดที่ไมด นี นั่ เอง. เม่ืออกศุ ลมูล คือโลภะ มอี ยู อกุศลอนื่ เชน ความเหน็ แกต วั การขโมย เปน ตน ทยี่ งั ไมเ กิด ก็ยอมเกิดข้นึ ก็เกดิ ขน้ึ แลว ก็ย่งิ เจรญิ มากขนึ้ เหตนุ นั้ ควรละโลภะเสียดวยการบรจิ าคทาน เปนตน . เมอ่ื อกศุ ลมูล คือโทสะ มอี ยู อกุศลอืน่ เชน การดา การตี การฆา ทารณุ กรรม เปน ตน ท่ียงั ไมเกิด กย็ อมเกิดขน้ึ ที่เกดิ ข้นึ แลว กย็ ง่ิ เจรญิ มากข้ึน เหตุนน้ั ควรละเสียดวยการเจรญิ เมตตา เปนตน . เม่ืออกุศลมลู คือโมหะ มอี ยู อกุศลอื่น เชน การลบหลูคณุ ทา น ความเกียจคราน ความด้ือดาน เปน ตน ทยี่ งั ไมเกิด ก็ยอ มเกิดขึ้น ท่ีเกดิ แลว ก็ยิง่ เจริญมากข้ึน เหตุนน้ั ควรละเสยี ดวยการศกึ ษาใหเ กดิ ปญ ญา. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. โลภะ แปลวาอยา งไร ? หมายถึงอะไร ? คนถกู โลภะครอบงํา จติ มคี วามรูส กึ อยา งไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 43 ๒. คนมคี วามอยาก กับคนมีความโลภ ตา งกันอยางไร ? ๓. โทสะ แปลวา อยา งไร ? หมายถึงอะไร ? ๔. คนถูกโทสะครอบงําจิต มกี ริ ยิ าอาการอยา งไร ? ๕. โมหะ แปลวาอยางไร ? หมายถึงอะไร ? ๖. คนถกู โมหะครอบงาํ จติ จัดเปน คนอยา งไร ? ๗. อะไรเรียกวา อกศุ ลมูล ? อกุศลมูล แปลวาอยางไร ? ๘. อกศุ ล แปลวา อยางไร ? เกิดจากอะไร ? ๙. คนทีเ่ ห็นแกตวั กด็ ี คนที่ขโมยของของเขากด็ ี มีอะไรเปนมลู เหตุ จะกําจดั มลู เหตนุ ั้นไดด ว ยอะไร ? ๑๐. คนท่เี ที่ยวดาเขาหรือทุบตีเขา เพราะมีอะไรเปน มลู เหตุ ? จะละเหตนุ น้ั ไดด ว ยอะไร ? ๑๑. คนเกยี จคราน ดานด้อื หู เบา มวั เมาเหลานี้ มีอะไรเปน ขอ มูล ? จะละขอ มูลนัน้ ไดดวยวธิ ีใด ? ๑๒. ความประพฤตเิ สียหายของบางคนบางพวกที่เปน ปญหาสังคม อยใู นเวลานีก้ ด็ ี ความประพฤติไมถ ูกไมค วรของบุคคลบางคน กด็ ี ถาวิจัยถงึ สาเหตุตามหลกั ธรรม ทา นเรียนธรรมมาแลว โปรดวจิ ยั ถึงสาเหตุขอน้ีมาดู ? ๑๓. อกศุ ลมลู คืออะไร ? มีเทาไร ? อะไรบา ง ? จะรไู ดอยา งไร วา มันเกดิ ข้ึน ? เม่อื เกดิ แลวควรทาํ อยางไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 44 กศุ ลมลู ๓ อยาง รากเหงา ของกศุ ล เรียกกุศลมลู มี ๓ อยา ง คือ อโลภะ ไมอยากได ๑ อโทสะ ไมค ดิ ประทุษราย ๑ อโมหะ ไมห ลง ๑ ๑ ถา กศุ ลมลู เหลานี้ ๒} กด็ ี มอี ยูแลว ๓ กศุ ลอืน่ ท่ียังไมเ กิด กเ็ กดิ ขนึ้ ทเี่ กิดแลว ก็เจรญิ มากขึ้น เหตุนน้ั ควรใหเกดิ มใี นสนั ดาน. ท.ี ปาฏิ. ๑๑/๒๙๒ อธบิ ายศพั ท ๑. อโลภะ แปลวา ความไมอ ยากได หมายถงึ ไมอ ยากไดในทาง ทจุ ริต แตยงั มีความอยากไดในทางสุจรติ เชน ทาํ นา ทําสวน คา ขาย เปน ตน แมพ ระพทุ ธเจาเองก็ยงั เสดจ็ บณิ ฑบาตเพ่ือไดอ าหาร และทรง แนะนาํ ใหภ ิกษแุ สวงหาปจจัย ๔ ในทางทีช่ อบ. ๒. อโทสะ แปลวา ความไมคิดประทษุ รา ย หมายความวา ไม ทําใหค วามโกรธเกิดขึน้ ในใจ เมอื่ จะตองปฏบิ ตั กิ ิจการงานไป ในคราวที่ ตองลงโทษผูอื่น กท็ าํ ตามคลองธรรมท่เี รียกวายุติธรรม ไมทาํ ดวยอาํ นาจ โทสะ เชน พอ แมเ ห็นลูกทาํ ผิดก็ตอ งลงโทษ แตล งโทษตามสมควร ชแี้ จงใหเขารจู ักผดิ รชู อบ แลว จึงลงโทษตามสมควร ไมใ ชโทสะ ไมลุอํานาจโทสะ.
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 45 ๓. อโมหะ แปลวา ไมห ลง หมายความวา เมอ่ื มีเร่อื งราวมาประสบ จะตองปฏบิ ตั ิ กใ็ ชปญญาพิจารณาจบั เหตุจบั ผล เลือกดวู าควรทาํ อยางไร ควรจดั อยางไรแลวก็ทาํ ไป ไมทาํ ดวยอํานาจอคติ คอื ฉันทะ โทสะ ภยะ โมหะ. อธบิ ายชือ่ หมวดธรรม อโลภะ อโทสะ อโมหะ ทั้ง ๓ อยา งน้ี ชอื่ วา กศุ ลมลู แปลวา รากเหงาของกศุ ล. กศุ ลคอื ความด.ี ความดีทั้งปวง เกดิ จากราก เหงาที่ดี ๓ อยา ง มอิ ยา งใดกอ็ ยางหนง่ึ หรือ ๒ อยาง หรอื ท้ัง ๓ อยาง เปรียบเหมอื นสุคันธชาต คอื ของหอมนานาชนดิ เชน ดอกมะลิ พกิ ลุ กุหลาบ บัวหลวง เปนตน ยอ มเกดิ จากรากเหงาพชื พันธทุ ดี่ ีน่ันเอง. เม่อื กศุ ลมลู คอื อโลภะ มีอยแู ลว กุศลอนื่ เชน การบรจิ าคทาน เผ่ือแผเจอื จานเฉล่ียสขุ ใหแ กผูอื่น ดว ยใหกําลงั กายบา ง กําลังความคดิ บา ง กําลังทรัพยบาง ทย่ี ังไมเ กดิ กเ็ กดิ ขึ้น ทีเ่ กิดแลว ก็เจริญมากขน้ึ เหตุน้ัน ควรใหเกดิ มีขึ้นในสนั ดาน ดว ยการประกอบสัมมาอาชพี และ บริจาคทาน เปน ตน. เม่อื กุศลมูล คอื อโทสะ มอี ยูแลว กุศลอนื่ เชน การชว ยชวี ิตเขา การปลดเปลอ้ื งเขาใหพน จากความทุกขท รมาน ทยี่ ังไมเกิด ก็เกดิ ขนึ้ ทเี่ กดิ แลว ก็เจรญิ มากขน้ึ เหตุน้นั ควรใหเกดิ มีในสันดาน ดวยการเจรญิ เมตตา กรณุ า เปน ตน. เมอื่ กศุ ลมลู คอื อโมหะ มีอยแู ลว กศุ ลอนื่ เชน สติ สมั ปชัญญะ ธรรมวิจัย ความเพยี ร ความออนนอมถอ มตน ความมใี จคอหนักแนน
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 46 ความเทยี่ งธรรม เปนตน ท่ยี งั ไมเ กดิ กเ็ กดิ ขึน้ ทีเ่ กดิ แลว ก็เจริญมากขึ้น เหตนุ ้นั ควรใหเกิดมใี นสนั ดาน ดว ยการคบหาสมาคมกบั บัณฑติ แลว หม่นั ฟง หม่นั คดิ หมน่ั สอบสวนเร่ืองตา ง ๆ ทค่ี วรรู. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. อโลภะ แปลวา อยา งไร ? หมายถงึ อะไร ? ๒. คนทาํ นาทาํ สวนกด็ ี พระบณิ ฑบาตก็ดี เพอื่ ไดอาหารเลย้ี งชวี ติ โดยทางสุจรติ เชน น้จี ะจัดวาเปน ผูมโี ลภะ หรืออโลภะ ? ๓. อโทสะ แปลวาอยา งไร ? หมายความวา อยางไร ? ๔. ในคราวทม่ี ารดาบดิ าลงโทษแกบตุ รผูทาํ ผิด จะถือวา มารดา บดิ าทําดี หรอื ทําไมด ี ? เพราะเหตุไร ? ๕. อโมหะ แปลวา อยางไร ? หมายความวาอยา งไร ? ๖. คนที่ทาํ อะไรดวยอาํ นาจอคติ จดั วาเปน คนมโี มหะ หรอื อโมหะ ? ๗. อะไรช่ือวา กศุ ลมลู ? กศุ ลมลู แปลวาอะไร ? ๘. ความดเี กดิ จากอะไร ? ๙. กศุ ลอนื่ ทเ่ี กิดจากอโลภะ เชนอะไรบา ง ? ๑๐. กุศลอ่นื ท่ีเกิดจากอโทสะ เชน อะไรบา ง ? ๑๑. กุศลอื่นท่ีเกดิ จากอโมหะ เชน อะไรบา ง ? ๑๒. อโลภะ อโทสะ อโมหะ ควรใหเ กิดมีขนึ้ ในสันดาน ดว ย การกระทาํ อยางไร ?
แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 47 สัปปุริสบญั ญัติ คอื ขอทท่ี านสัตบุรุษ ต้ังไว ๓ อยา ง ๑. ทาน สละสง่ิ ของของตนเพื่อเปน ประโยชนแ กผ อู ืน่ . ๒. ปพ พัชชา ถือบวช เปน อบุ ายเวนจากเบียดเบยี นกนั และกนั . ๓. มาตาปตอุ ุปฏ ฐาน ปฏิบัตมิ ารดาบดิ าของตนใหเปนสขุ . อง.ฺ ตกิ . ๒๐/๑๙๑ อธบิ ายศัพท ๑. ทาน ในที่นี้ แปลวา สละส่ิงของ ๆ ตนเพอ่ื ประโยชนแกผ ูอื่น. หมายความวา เจตนาอันคิดเผ่ือแผเหลยี วแลถงึ ผูอ่นื ไมด ดู าย มีทางจะ สงเคราะหผูอืน่ ไดโ ดยประการใด กท็ าํ โดยประการนั้น โดยฐานอนุเคราะห บา ง บชู าคุณบา ง ดว ยการเฉลี่ยพสั ดุส่งิ ของ ใหแ บบสัตบรุ ุษ เรียก สปั ปรุ สิ ทาน ๕ อยาง คอื :- ๑. ใหด วยศรทั ธา. ๒. ใหด วยความเคารพ. ๓. ใหต ามเวลาท่ีควรให. ๔. ใหดวยใจอนเุ คราะห. ๕. ใหโดยไมกระทบตนและผูอ่นื . ในหมชู นท่รี วมกันอยูเ ปนสขุ ไดก็ตอ งอาศัยทานโดยประการดังกลาว มานี้ ช้ีตวั อยาง เชน เดก็ ออน อาศัยทานท่พี อ แมหรือผูท่อี ยใู นฐานะ พอ แมใ หคือเลี้ยงมา พอ แมห รอื ผูท อี่ ยใู นฐานะพอแม ก็อาศยั ทานท่ลี ูกให
แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 48 การเล้ยี งดใู นยามเจ็บไขห รือภายแก. ผปู กครองประเทศอาศยั ทานท่ีราษฎร เสยี ภาษี หรอื อากร หรอื เงนิ อะไรตาง ๆ ที่บัญญตั ขิ ้ึน แมราษฎรกอ็ าศยั ทานทผ่ี ปู กครองเฉลี่ยลงมาใหต ามความเหมาะสม. ในทางพระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจาและพระสงฆอ าศยั ทานของผูศ รัทธาถวาย ท่ีพุทธบริษัท กอ็ าศยั ทาน อนั ไดแ กค ําสงั่ สอน ที่เรียกวาธรรมทาน ท่ีพระพทุ ธเจา หรอื พระสงฆมอบให. ๒. ปพพัชชา แปลวา ถือบวช หมายความวา เวนจากการ เบยี ดเบียนซึ่งกนั และกัน. อบุ ายเวนจากการเบียดเบียนกันมี ๓ อยา ง คอื ๑. อหงิ สา ไมคิดเบียดเบยี นผอู ่ืน โดยเลง็ เหน็ วา เรารกั สุข เกลยี ดทุกขฉ นั ใด ผูอ น่ื กฉ็ นั นน้ั จึงงดเวนจากการคดิ เบยี ดเบียนเขา. ๒. สญั ญมะ ความสํารวมระวงั , เพราะจติ เปนธรรมชาตกลับ- กลอกเร็ว อาจจะคิดเบยี ดเบียนเขาก็มบี า ง เหน็ ผิดจากคลองธรรมไปบา ง จงึ ตองระวังไวอ ยา ใหคิดเชนนัน้ . ๓. ทมะ การปราบปราม, คอื หากจิตคิดเบียดเบียนเขา เปน ตน เกดิ ขน้ึ แลว ตอ งรับปราบปรามใหสงบ. น้ีแลเปน อบุ ายใหเ วนจากการ เบยี ดเบยี นกนั และกนั ได. อนั การถอื บวชดว ยอุบายดงั กลาวน้ี ยอ มปฏบิ ัติไดท้งั บรรพชติ ผถู อื เพศนักบวช ทงั้ คฤหัสถผูอยคู รองเรอื น ฉะนั้น การถอื บวชน้ีเปน การดี ชว ยใหห มชู นอยูรวมกันไดโ ดยผาสกุ สวัสด.ี ๓. มาตาปต อุ ปุ ฏฐาน แปลวา ปฏบิ ตั มิ ารดาบดิ าของตนใหเปน สุข หมายความวา คนเราทกุ คนมีมารดาบิดาเปนผูมพี ระคณุ อยา งสูงสุดและ มารดาบดิ าก็ชือ่ วาเปนพรหมของบุตร เพราะเปน ผใู หก าํ เนดิ และเพราะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354