Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักธรรมชั้นตรี วิชา ธรรมะ

นักธรรมชั้นตรี วิชา ธรรมะ

Description: นักธรรมชั้นตรี วิชา ธรรมะ

Search

Read the Text Version

คํานาํ อธบิ ายธรรมวภิ าคปริเฉทท่ี ๑ ทพ่ี ระศรีวสิ ทุ ธิญาณ (อบุ ล นนฺทโก ป. ธ. ๙) วดั บวรนิเวศวิหาร บันทกึ ไวน ้ี นบั วา เปนประโยชน แกค รูท่ีจะสอนแนะนาํ และแกน กั เรียนจะไดเขาใจความหมายของ อรรถะแหง ธรรมนน้ั ๆ งายเขา มหามกุฎราชวิทยาลัย ขออนุโมทนาแต พระศรีวิสุทธญิ าณ (อุบล นนฺทโก ป. ธ. ๙) ทเ่ี สยี สละ ทาํ ใหการศึกษาธรรมะสะดวก รคู วามมงุ หมายในทางธรรม ไมตีความเอาความพอใจของตนเปน ใหญ ช่ือวา เปน ผูเ คารพในสกิ ขา เปน การสืบอายพุ ระพุทธศาสนา จงถงึ ความสุขความเจรญิ ย่ิง ๆ ข้ึนไป เทอญ. มหารามกุฏราชวทิ ยาลัย

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 1 อธบิ ายธรรมวิภาค ปรจิ เฉทท่ี ๑ ทกุ ะ คือหมวด ๒ _______ ธรรมมีอปุ การะมาก ๒ อยา ง ๑. สติ ความระลกึ ได ๒. สมั ปชญั ญะ ความรตู วั ท.ี่ ปาฏ.ิ ๑๑/๒๙๐ อง.ฺ ทุก. ๒๐/๑๑๙ อธบิ ายศัพท ๑. สติ แปลวาความระลกึ หรอื ความระลึกได สตมิ คี วามระลกึ เปน ลกั ษณะ มคี วามไมลืมเลือนเปนกิจ มีการควบคมุ เปน เครื่องปรากฏ.๑ หมายความวา ลกั ษณะเครอื่ งกาํ หนดของสตนิ ้นั กค็ ือความระลกึ หรือนึกคดิ ไดใ น ๓ กาล กลาวคือ ระลึกถงึ การที่เคยทํา คําทเ่ี คยพดู รปู ทเี่ คย เห็น เสยี งทเี่ คยฟง กลน่ิ ทีเ่ คยสดู รสทีเ่ คยลมิ้ โผฏฐัพพะท่เี คยถูกตอ ง ธรรมะคอื เร่ืองราวตาง ๆ ทเี่ คยเลาเรียนเขียนอา นในกาลกอ น นี้เรยี กวา ระลึกอดีตกาลได ๑ ระลกึ ถงึ การที่กาํ ลังทําหรอื กําลงั จะทาํ คาํ ทก่ี าํ ลงั พูด หรือกําลังจะพูด เรอ่ื งทกี่ ําลังคิด ไดแ กก ารตั้งสตกิ ําหนดระลึกนึกคิดใน ๑. คัมภรี วิสทุ ธิมรรค ๑/๒๐๗

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 2 เร่ืองกายเวทนาจิตและธรรม ตามแนวสติปฏ ฐาน น้ีเรยี กวา ระลึกปจ จุบัน- กาลได ๑ ระลกึ ถึงเรอื่ งอนั จะพึงเกดิ มใี นกาลขา งหนา เชน ความตายอัน จะมีแกตนและบุคคลอน่ื น้เี รยี กวา ระลกึ เร่ืองอนาคตกาลได ๑. กิจหรอื หนา ทข่ี องสตินั้น กค็ ือการไมล ืมเร่อื งอดีต ระลกึ ไดท กุ คร้งั ทต่ี องการ, ไมเลือ่ นลอยเผลอตวั ในเร่ืองปจ จบุ นั , ไมห วาดหว่ันฟงุ เฟอในเรื่องอนาคต. เครอ่ื งปรากฏของสตนิ ัน้ กค็ ือมกี ารปองกันรักษาซึง่ การทํา การพูด การคดิ ทง้ั ๓ กาลไวม ิใหหันเหไปในทางผดิ ตามกิเลส ระวังใหต ้ังอยู เฉพาะในทางถกู เทา น้นั ประดจุ นายสารถีผไู มป ระมาทคอยบังคับรถเรอื ใหแ ลนไปโดยปลอดภยั ฉะนั้น. ๒. สมั ปชญั ญะ แปลวาความรตู ัว สมั ปชญั ญะมีความไมฟ นเฟอน เปนลักษณะ มีความไตรตรองเปนกจิ มีความเลอื กเฟนเปน เครือ่ งปรากฏ๑. หมายความวา ลักษณะของสมั ปชญั ญะนี้ ไดแ กค วามรูท่วั รูชดั โดยถูก ตอง ไมใชหลง ๆ ลืม ๆ หลบั ๆ ตน่ื ๆ ฟน เฟอ นในขณะยืน เดิน นง่ั นอน กนิ ด่มื ทาํ พูด คดิ เปนตน รสู กึ ตัวดีอยู ตน่ื ตัวดีอยูวากาํ ลงั ยืน เดนิ เปนตน . กิจหรอื หนา ท่ขี องสมั ปชัญญะนั้น ไดแ กการพิจารณา ถึงคณุ โทษเปนตน ชิงขน้ึ หนา คอยกุมแจอยูทุกอิริยาบถ. เครอ่ื งปรากฏ ของสัมปชัญญะน้ี ไดแกการเลอื กเฟนไตรตรองประจาํ อยูทกุ อิรยิ าบถใน ปจจบุ นั ไมส งใจไปอ่ืน. อธบิ ายชอ่ื หมวดธรรม สติ/B> และ สัมปชัญญะ ทัง้ สองน้ี ช่ือวา มีอุปการะมาก เพราะ ๑. คมั ภีรวสิ ทุ ธมิ รรค ๑/๒๐๗

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 3 เปน อปุ การธรรมอุดหนุนใหส ําเร็จกิจในทางดกี ไ็ ด ทางช่วั ก็ได. แตใน ท่ีนีห้ มายเอาเฉพาะในทางด.ี ทา นกลาววา ท่ีชอื่ วามีอุปการะมาก เพราะเปน เคร่อื งนาํ มาซึง่ ประโยชนเ กอ้ื กลู ในกิจการทุกอยา ง เหมอื นความไมประมาท เปน อุปการะในการบาํ เพญ็ ศีลเปนตน๑. หมายความวา ธรรม ๒ ประการน้ี มี อยูแ กผูใด ผนู ้นั กระทาํ กิจใด ๆ จะบําเพ็ญศีล เจรญิ สมาธิ ปญ ญากต็ าม จะเลาเรยี นเขยี นอา นกต็ าม ประกอบการงานอยางใดอยางหนึ่งก็ตาม โดย ที่สุดแมจ ะลุกจะนัง่ จะยืนจะเดนิ โดยมีสตสิ ัมปชญั ญะเสมอ กจิ น้นั ๆ ยอ ม สําเร็จดวยดี ไมผิดพลาด ปราศจากภยนั ตรายทกุ ประการ ในที่ทกุ สถาน และในกาลทกุ เมื่อ เพราะฉะน้ัน ธรรม ๒ ประการน้ี จึงชอื่ วา มอี ปุ การะมาก ดงั น้ีแล. คําถามสอบความเขา ใจ ๑. สตมิ ีลกั ษณะอยางไร ? ๒. สมั ปชัญญะมลี ักษณะอยางไร ? ๓. สตกิ บั กบั ปชญั ญะมีหนา ที่ตา งกนั อยางไร ? ๔. อะไรเปน เครอื่ งปรากฏของสตแิ ละสมั ปชญั ญะ ? ๕. เพราะเหตใุ ด สตแิ ละสมั ปชัญญะ จึงชอื่ วา เปน ธรรมมอี ปุ การะ มาก ? ๑. อรรกถาสมุ ังคลวิลาสนี ี ๓/๓๒๖

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 4 ธรรมเปน โลกบาล คอื คุม ครองโลก ๒ อยา ง ๑. หริ ิ ความละอายแกใจ ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลัว องฺ. ทกุ . ๒๐/๖๕ ขุ. อติ ิ. ๒๕/๒๕๗ อธิบายศพั ท ๑. หริ ิ แปลวา ความละอายแกใ จ. ไดแกค วามละอายใจในการ ประพฤตชิ ่ัว. ทานวา หริ นิ น้ั มคี วามรงั เกยี จบาปมกี ายทุจริตเปน ตน เปน สกั ษณะ๑ หิรมิ ีความเคารพยาํ เกรงเปนลักษณะ๒ อธิบายวา บางคนเกดิ ความละอาย อันมีความเคารพเปนลกั ษณะโดยเหตุ ๔ อยา งคือ เคารพชาติตระกูลเปน สําคัญ ๑ เคารพครอู าจารยเปน สาํ คญั ๑ เคารพทรพั ยม รดกเปน สาํ คญั ๑ เคารพคนประพฤตดิ ีเปนสาํ คญั ๑ แลว ไมก ระทําความชว่ั . และหริ ิน้ี มีเหตุภายในเปนสมุฏฐาน อธิบายวา บางคนคาํ นึงถึงชาติ วยั กําลัง ความรูข องตนวา เปน อยางน้ี ๆ แลว ปลงใจวาไมควรทําบาป แลว ก็ไมทํา น้ชี อื่ วาเกิดความละอายเพราะเหตุภายใน. อนง่ึ หิริ มกี ารปรารภตนเปน ใหญ อธิบายวา บางคนทําตนใหเปนใหญ คาํ นึงวาการทําบาปไมค วรแก เราผมู ภี าวะอยา งน้ี ๆ แลว ไมย อมทําบาป. หริ นิ ้ที รงตวั อยูไ ดด วยอาการท่ี กระดากอายนน่ั เอง คือถา หมดยางอายเสยี แลว ก็เปน อันวา ไมมีหิร.ิ ทาน กลา วอปุ มาไวว า คนรักสวยรกั งาม เกลียดของสกปรก รูอยู ยอมละอาย ๑. อภธิ ัมมัตถวภิ าวนิ ี หนา ๑๐๔ ๒. อติ ิวุตตกวัณณนา ๒๐๕

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 5 ไมยอมแตะตองกอ นเหล็กแมเ ยน็ แตเ ปอนคูถฉันใด คนมหี ิริกไ็ มย อมแตะ ตอ งบาปอนั เปรียบดวยคูถฉนั นน้ั . ๒. โอตตัปปะ แปลวา ความเกรงกลวั ไดแ กความหวาดกลัว ผลชัว่ ไมกลา ทาํ เหตชุ ั่ว. ในอภิธมั มตั ถวิภาวนิ ีวา โอตตปั ปะน้ัน มี ความสะดุงแตบ าปเปน ลักษณะ ในอติ วิ ุตตกวณั ณนาวา โอตตปั ปะ มี ความเปน ผูกลวั โทษ และเหน็ แจงซึง่ ภยั เปนลกั ษณะ อธบิ ายวา บางคน เกดิ ความสะดงุ อนั มีความกลัวโทษเห็นภยั เปนลกั ษณะโดยเหตุ ๔ อยางคอื กลัวตนเองติเตยี นตนเองได ๑ กลัวผอู น่ื ตเิ ตยี น ๑ กลัวอาชญา ๑ กลัว ทุคติ ๑ แลว ไมทําความชั่ว. และโอตตัปปะ มีเหตุภายนอกเปนสมฏุ - ฐาน. อธบิ ายวา บางคนพจิ ารณาเห็นวา ถา เราทําชว่ั . ก็จักถูกตเิ ตยี นใน สังคม วิญูชนจกั ตําหนริ ังเกียจเรา เหมือนชาวเมืองเกลยี ดของโสโครก เราถกู ผมู ศี ลี ทอดท้งิ แลว จักทาํ อยา งไร ดงั นีแ้ ลวไมทาํ ความช่ัว เพราะ ความกลัวอันเกิดขึน้ จากเหตภุ ายนอก. อนึ่ง โอตตปั ปะน้มี ีการปรารภโลก เปนใหญ. อธิบายวา บางคนทําโลกใหเ ปนใหญ คอื ปรารภวาโลกน้ี กวางใญไ พศาล พวกมฤี ทธ์ิ ตาทิพย หทู พิ ย และรูจิตคนอ่ืนมอี ยู เขา คงรเู หน็ หากเราทําชว่ั แมใ นที่ไกลทลี่ บั อยา งไร เขาคงติเตยี นได ดงั น้ี แลวไมทําช่ัว. โอตตัปปะนี้ ทรงตวั อยูไดด ว ยความกลัวอบายคอื ความเส่อื ม กลาวคอื ถา ไมกลวั ความเส่ือมความพนิ าศฉบิ หายแลว ก็เปน อนั วา ไมมี โอตตัปปะ ทา นกลา วอุปมาไววา คนผรู ักชวี ติ รูอ ยู ยอ มเกรงกลวั ไมกลา จบั เหล็กทรี่ อ น หรืออสรพิษ หรอื สตั วรา ยฉันใด คนมโี อตตัปปะยอ ม ไมกลาแตะตองความชวั่ อันเปรียบดว ยของรา น หรอื อสรพษิ หรือสัตวราย ฉนั นนั้ .

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 6 อธิบายช่อื หมวดธรรม หริ ิ และ โอตตัปปะ ทั้งสองนี้ ช่อื วา เปนโลกบาล คมุ ครองโลก โดยอธิบายวา ธรรมเหลา น้ยี อ มคมุ ครอง คอื ปอ งกันรักษาโลกคือหมสู ัตว อนั ไดแ กส ัตวผ ูของอยใู นโลกทกุ จําพวก ใหด าํ รงอยูโ ดยสนั ตสิ ุขตามวิสัย ของสตั วโลก. กฎแหงกรรมมอี ยวู า กรรมดีเปนเหตแุ หงสุข กรรมชัว่ เปนเหตุแหงทุกข ผทู าํ กรรมอยางใด ยอมไดรบั ผลอยางน้ัน และผลนน้ั บางอยาง บางคราว กระทบกระเทือนไปถึงผอู ่ืนที่เกย่ี วของดวยไมมากก็ นอ ย ถึงเชน นน้ั กย็ งั มคี นจาํ นวนไมนอยท่ยี ินดพี อใจทาํ กรรมช่วั ในท่ี เปดเผยบา ง ลลี้ บั บา ง ทง้ั ๆ ทีไ่ มช อบความทุกข แตกจ็ ําตอ งไดรบั ทกุ ข ระทมขมขืน่ ดังทเ่ี ห็น ๆ กนั อยู การทเี่ ปนเชนนี้ กเ็ พราะผูทาํ กรรมชั่ว น้ัน ขาดหิรโิ อตตปั ปะน้ีเอง. เมอื่ ขาดธรรมะสองขอน้ีแลว จะทําช่ัวอยางใด ก็ได ในบาลกี ลา ววา สตั วโลกก็จะพงึ สมสกู ันเหมอื นสัตวด ริ จั ฉานโดยไมมี การเคารพยาํ เกรงวา ผนู ้ีเปน มารดา ปา นา พ่ี นอง ครอู าจารย เปนตน. ใครเลา จะหามปรามเขาได เมื่อสตั วโลกทาํ ชั่วแลว ใครเลา จะคุม ครอง โลกใหต ง้ั อยูในสันตสิ ุขได หลวงพอขลงั ๆ สงิ่ ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ หรือผมู ฤี ทธิ์ อาํ นาจ แมพ ระราชกําหนดกฎหมายก็คุม ไมอยู. แตถ า สตั วโลกมธี รรม สองประการน้ปี ระจําใจกันแลว แมไ มม ีหลวงพอขลัง ๆ จนกระท่ัง กฎหมายกไ็ มต องมี ธรรมสองประการนยี้ ังคุมอยไู ด. เพราะผูมีหริ โิ อต- ตปั ปะประจําใจ ยอมรงั เกียจเกลยี ดกลวั ตอความชั่ว ไมกลาทาํ ชวั่ ทุกอยา ง ทงั้ ในท่ลี ับและทแ่ี จง รจู กั เหนยี่ วรั้งยับยัง้ ปราบปรามจิตใจไมใ หประพฤติ ชว่ั เม่ือตางไมประพฤติช่ัว ความเบียดเบยี นกนั และกันก็จะไมม ี คนทั้งหลายก็จะอยเู ย็นเปนสขุ ไมม ที ุกขเดือดรอ น ตา งตั้งหนาทาํ มา

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 7 หากินดว ยความสุจรติ โลกกป็ ราศจากความวุนวาย ไดป ระสบสันตสิ ุข เพราะฉะนัน้ หิริและโอตตัปปะทั้งสองจึงช่ือวา เปนธรรมคมุ ครองโลก ดังนแี้ ล. อนึ่ง ธรรมสองประการนเี้ รียกวา สกุ กธรรม กม็ ี เพราะเปนธรรม ฝา ยกศุ ลอนั เปรียบดว ยสขี าวและเปนไปเพ่อื ความผองแผวแหง จิต. เรียกวา เทวธรรม กม็ ี เพราะเปนธรรมทท่ี ําบคุ คลใหเปนเทวดา หรอื ใหเ ปนผู รุงเรือง. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. อะไรเปน ลกั ษณะของหิริและโอตตปั ปะ ? มอี ธบิ ายอยา งไร ? ๒. หริ แิ ละโอตตปั ปะ มีอะไรเปน สมุฏฐาน ? จงอธบิ าย ? ๓. หิรแิ ละโอตตปั ปะ มีอะไรเปนใหญ ? ทรงตวั อยูไดอยา งไร ? ๔. จงยกอุปมาแหง หิริโอตตปั ปะมาดู ? ๕. ทางโลกมีองคก ารสาํ หรับรกั ษาสนั ตภิ าพของโลก ทางธรรม กม็ ีหิริโอตตปั ปะเปน ธรรมคุม ครองโลก ขอถามวา ธรรม ทัง้ สองน้ี คมุ ครองโลกไดอยางไร ? ดอกเอย ดอกกระดังงา รจนา กลีบแยม แซมเกษร หอมละมุน กรนุ ชอ อรชร สเี หลอื งออ น อบกลิ่น นายินดี. ไมล ะทิ้ง ธรรมะ พระชนิ สหี  เมอ่ื มนุษย มากหลาย ท้งั ชายหญงิ คอยอบรม บมนสิ ยั หทัยดี สมุ าลี มิหอมลน สุมน เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 8 ธรรมอันทําใหง าม ๒ อยาง ๑. ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงย่ี ม วิ. มหา. ๕/๓๓๕ อง.ฺ ทกุ . ๒๐/๑๑๘ อธบิ ายศัพท ขนั ติ แปลวา ความอดทน เปน ลักษณะของผูมมี ีนาํ้ ใจเขมแขง็ หนักแนน เปนสมบัตขิ องนกั รบ เหมือนชางท่ีออกสสู งครามจะตองเปน ชางที่อดทนตอภัยอันตรายจากขา ศกึ ความอดทนเปน คณุ สมบัตขิ อง นกั ปกครองดวย เปนมงคลเหตุแหงความเจรญิ ดวย. ขนั ติ เปน คําพูดงาย ๆ แตแฝงไวซ ง่ึ ความหมายอยา งลกึ ซงึ้ เพราะ มักจะไดฟงและใชพดู กนั อยูเสมอวา นา้ํ อด นา้ํ ทน อดได ทนได หรอื นํา้ ใจทรหดอดทน ความอดทนน้ี เปนหลักคาํ สอนสาํ คัญประการหนึง่ ซึ่งเห็นไดจากการท่พี ระพทุ ธเจาตรัสไวใ นเร่อื งวันสาํ คัญของศาสนา วัน นนั้ คอื วนั มาฆบชู า พระองคไ ดประทานพระโอวาท คอื โอวาทปาฏิโมกข เปนการแสดงหลักธรรมอันเปนหวั ใจของพระพุทธศาสนาในท่ีประชมุ สงฆ วา \" ความอดกลัน้ คอื ความทนทานเปน ตบะธรรมอยา งยอด \" ดังนี้ เปน ตน . ความอดทนในทนี่ ี้ หมายเอาความอดทนในฝายดอี ยา งเดียว ซึ่ง เปน ไปท้งั ฝายโลกและฝา ยธรรม วา โดยประเภทมี ๓ คอื :- ๑. อดทนตอความลาํ บากตรากตรํา เชน ทนหนาว ทนรอ น ทนตอ คาํ ส่ังสอน ทนในการศึกษาเลาเรียน และทนในการประกอบ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 9 การงานอาชีพ ดว ยความชื่อสตั ยส จุ รติ . ๒. อดทนตอทุกขเวทนา เชน เมอ่ื เวลาเกดิ อาพาธภายใน หรือกาย เปนบาดแผลเปน ตน ไมแ สดงอาการทุรนทุรายวนุ วายจนเกนิ กวาเหตไุ ป. ๓. อดทนตอความเจบ็ ใจ เชน ในคราวท่ีไดป ระสบอนิฏฐารมณ มีคําดาวา เสยี ดสี คําสาปแชงของผูอน่ื เปน ตน . ความอดทนนัน้ วา โดยลักษณะมี ๓ คือ :- ๑. ตีตกิ ขาขนั ติ อดทนดว ยการกลน้ั ไวได. ๒. ตปขนั ติ อดทนจนเปนตบะเดชะ. ๓. อธวิ าสนขนั ติ อดทนจนยงั คําพูดหยาบคายของผูอนื่ ใหก ลบั อยเู ปน เพ่ือนเปนมติ รกนั ได. ตตี กิ ขาขันติ อดทนดว ยการกลนั้ ไวไ ด น้ัน ขอ นี้ตอ งใชส ติ นึกอยเู สมอวา คนทีอ่ ยรู วมกันเปนหมูเ ปน คณะ ตองกระทบกระทง่ั กนั บาง เปนธรรมดา ถา ไดยนิ ไดฟ ง เสยี งท่ีไมเพราะหู กต็ อ งอดทน โดยนําเอา ความดีเขา ตอสเู พ่ือชนะความไมด ีน้ัน และไมก อ เหตุวิวาททุมเถียงกันขึ้น ไมต องทะเลาะววิ าทกนั เพราะคําพูด. ตปขนั ติ อดทนจนเปน ตบะเดชะ นน้ั ขอ น้ีมคี วามสําคัญมาก ย่งิ ขึ้นไปอกี คนทอ่ี ยนู ง่ิ ๆ เฉย ๆ คอยระวังคําพูดของตนอยูเสมอ โดย มากมักจะเปนคนมีตบะทุกคน คนทพ่ี ูดมากจูจ้ีขี้บน จนรําคาญ วา คนโนน บาง คนนี้บา ง มักจะเสยี ตบะ เพราะจะทําใหค นอืน่ ขาดความเคารพ เกรงกลวั สว นคนที่มีความระวังเครง ขรมึ ไมคอ ยจจู ก้ี ับใคร พูดบา งเปน คร้ังคราว มักจะมีคนเกรงกลัว มีตบะเดชะอยูในตวั และอดทนเผา ความชว่ั ในจิตใหหมดไป.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 10 อธวิ าสนขนั ติ ไดแ กการทนได ธารไดเ หมือนลกั ษณะของ แผน ดิน แมต นไม ภูเขา และอืน่ ๆ แผนดินกย็ ังทรงไวได อดทน จนเปล่ียนเรอ่ื งรายใหก ลายเปน เร่ืองดี คือยอมรบั ความลาํ บากกายลําบาก ใจ ยอมรบั ดว ยใบหนา ช่นื บาน เขาจะตําหนติ ิเตียน ดา วา หยาบคาย เสยี ดสีใหเ จ็บใจอยา งไรก็ทนได ไมแ สดงการโตต อบ ในทส่ี ดุ เร่อื งก็สงบ ไปเอง พระบรมศาสดาถกู พรรคพวกของนางมาคัณฑยิ าใสความปริภาษ พระองคดวยคําดา ตาง ๆ นานา กลา วหาวา พระองคเปน อูฐ เปนลา เปน ตนถึง ๗ วนั พระองคก ไ็ มหวั่นไหว พระอานนทกราบทูลใหเ สดจ็ หนีไปสูเมอื งอื่น พระองคก ลับตรสั ถามวา ถา ถกู คนในเมอื งน้ันดาอกี จะทาํ อยา งไร พระอานนททลู วา หนีไปเมอื งอนื่ อีก พระองคต รสั ซักวา ถา ถกู คนเมืองน้นั ดา อกี จะทาํ อยา งไร พระอานนทก็ทูลวา หนไี ปเมืองอ่นื ๆ ตอ ไป พระองคตรัสวา อยางน้นั ไมสมควร เรอ่ื งเกิดท่ีไหน ควรให ระงบั ไปในทน่ี ั้น. โสรัจจะ แปลวา ความเสงย่ี ม ไดแ กการรจู ักทาํ จิตใจใหแชม ชน่ื ผองใสเบกิ บาน มีกายวาจาสงบเสง่ียมเรียบรอ ย เพราะเมื่ออดทนไดแลว ก็ไมแ สดงกิรยิ ากาย วาจา ใหผ ดิ ปกติ คนทถี่ กู หมนิ่ ประมาทใหไดรบั ความเจ็บใจ ไมแ สดงการโตตอบ เพราะอดทนได แตย งั แสดงอาการ ผดิ ปกติ เชน หนาบดู บ้ึงเม่อื เกิดความโกรธขน้ึ หรอื ครวญครางเม่อื ทุกขเวทนาครอบงําเปนตน เพราะยังขาดธรรมะคือโสรัจจะ. แตส ําหรบั ผู มขี ันติ อดทนตอ ความเจ็บใจไดแ ลว ยงั รูจักทาํ ใจใหส งบแชม ชน่ื เบกิ บาน อีกดวย คอื มีการปกติเหมือนไมมีอะไรเกิดข้ึน เพราะมีธรรมะคือ โสรจั จะ ธรรมขอ นี้ยอ มเขา สนับสนุนขนั ติใหสูงเดน ขน้ึ .

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 11 อธบิ ายช่ือหมวดธรรม ขนั ติ และ โสรัจจะ ชอื่ วา ธรรมอันทําใหงาม คาํ วา ทาํ ใหงาม น้นั อธบิ ายวา ความงามมีอยู ๒ ประการ คืองามภายนอก ๑ งาม ภายใน ๑ ความสะสวยงดงามของรปู กายอนั ธรรมดาปรงุ แตง มาแตกาํ เนดิ และอาศัยการตกแตงดว ยเสื้อผา อาภรณต าง ๆ ชอื่ วา ความงามภายนอก อันความงามภายนอกนี้ ยอมเปน ท่ีนิยมกันทั่วไป ซึ่งไดในคาํ วา \"ไก งามเพราะขน คนงามเพราะแตง \" แตถงึ ดังน้นั กต็ าม บุคคลจะอาศัย แตความงามภายนอกอยา งเดียวนนั้ ไมพอ ตองอาศัยความงามภายในเขา สนับสนนุ ดวยจงึ จะเปน คนงามโดยสมบูรณ อาการทีใ่ จสงบ อดทนไวได แมใ นขณะท่ีมอี ารมณช วั่ รา ยมากระทบกระทัง่ ก็ไมแสดงออกใหปรากฏทาง กายและวาจา ชื่อวาความงามภายใน อันความงามภายในนนั้ เปนความ งามทนี่ ยิ มกันยิ่งนักในพระศาสนา เพราะผูทสี่ มบรู ณดวยขันตแิ ละโสรจั จะ ยอ มมใี จหนักแนน ไมแ สดงอาการสูง ๆ ตาํ่ ๆ แมจะประสบความดีใจ หรอื เสยี ใจกอ็ ดกลั้นได รักษากาย วาจา ใจ ใหสภุ าพเรยี บรอ ยเปน ปกติ สมภาวะของตน นาเคารพนบั ถือ พระบรมศาสดาไดต รัสแกเ หลา ภกิ ษุชาวเมืองโกสมั พี ผแู ตกความสามัคคกี ันวา... ขอ ที่เธอทงั้ หลาย ผบู วชแลว ในพระธรรมวนิ ยั ทเี่ รากลาวชอบแลว อยา งนี้ ควรเปนผู อดกล้นั และเปน ผสู งบเสงยี่ ม จะพงึ งามในพระธรรมวนิ ยั นี้แล ภิกษุ ท้งั หลาย...๑ ดงั น.้ี ๑. องฺ. ปจฺ ก. ๒๒/๒๘๓

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 12 อนึง่ การท่ีบคุ คลมารักษา ควบคมุ ใจใหอดทนตอ กิเลสและผสั สะ จนสงบระงับได ช่อื วาไดเ จริญสมาธิ เพราะฉะน้ัน ขนั ติและโสรัจจะ จงึ จดั เขาในไตรสิกขาขอ วา สมาธสิ กิ ขา หรอื จิตตสกิ ขา ไดดว ย. คําถามสอบความเขาใจ ๑. ขันติ แปลวา กระไร ? เปนลกั ษณะและคณุ สมบตั ิของบคุ คล เชน ไร ? ๒. ขันติ วาโดยประเภทมีเทาไร ? อะไรบาง ? ๓. ขนั ติ วาโดยลกั ษณะมีเทาไร ? อะไรบาง อธบิ ายพอเขาใจ ? ๔. อธวิ าสนขันติ อธิบายอยา งไร ? ขอตวั อยา งดว ย ? ๕. พระบรมศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกขในวนั มาฆบชู าน้นั ทรงยกธรรมะอะไรขึ้นแสดงกอ น และทรงแสดงวาอยางไร ๖. โสรจั จะ แปลวากระไร ? มีลักษณะอยา งไร อธบิ ายดวย ? ๗. ขนั ติ และโสรจั จะ ตา งกนั อยา งไร ? ควรเจรญิ ธรรมทัง้ ๒ นี้ ในขณะไหน จึงจัดวาธรรมอันทําใหง ามได ? ๘. คําพูดทว่ี า \" ผมู ขี นั ติ และโสรจั จะ ยอ มไมแสดงอาการขนึ้ ลง สูง ๆ ต่ํา ๆ ลมุ ๆ ดอน ๆ \" นัน้ ทานเห็นดว ยหรอื ไม ? เพราะเหตไุ ร ? ๙. ขันติ และโสรัจจะ สงเคราะหเ ขาในไตรสกิ ขาขอ ไหนไดบ า ง ? ๑๐. พระบรมศาสดาตรสั ประทานพระโอวาทแกเหลา ภิกษุชาวเมือง โกสมั พผี ูแตกความสามัคคกี ัน มีใจความวา อยางไร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 13 บคุ คลหาไดยาก ๒ อยา ง ๑. บพุ พการี บุคคลผูท าํ อปุ การะกอน ๑. กตัญูกตเวที บคุ คลผูรอู ุปการะทท่ี า นทาํ แลวและตอบแทน. องฺ. ทกุ . ๒๐/๑๐๙ อธบิ ายศัพท บุพพการี แปลวา บุคคลผทู าํ อปุ การะกอน ไดแกบ คุ คลผูมี อัธยาศัยเผ่ือแผ ประกอบดวยพรหมวหิ ารธรรมประจาํ อยใู นใจ ไมค ิด อยากไดแ ตฝ ายเดยี ว ต้ังใจทําอุปการคุณ จะมากหรือนอ ยกต็ าม โดย ไมหวงั ตอบแทนแตอ ยา งใด และไมเ กยี่ วกับบคุ คลผซู อ้ื ขาย ซึ่งจะตอ งมี สง่ิ ของแลกเปลี่ยนกนั . บพุ พการโี ดยทั่วไปทานกาํ หนดวา มี ๔ ประเภท คอื ๑. มารดาบดิ า ๒. ครู อาจารย อุปชฌาย ๓. พระมหากษัตรยิ  ๔. พระพุทธเจา . มารดาบิดา ไดช ือ่ วาเปนบุพพการขี องบตุ รธิดา เพราะเปน ผใู ห กาํ เนดิ ใหเ ลอื ดเนื้อชีวิตจติ ใจ ตลอดถงึ ใหอาหาร เครื่องนงุ หม เปนตน แกบตุ รธิดา และมหี นาท่ที ี่จะตองบํารงุ บุตรธดิ าใหเ ปนสขุ ตามหลัก ๕ ประการ คือ ๑. หามมใิ หทาํ ความชั่ว ๒. สอนใหต้ังอยูในความดี ๓. ใหศ ึกษาศิลปวทิ ยา ๔. หาคูค รองท่ีสมควรให ๕. มอบทรัพย สมบตั ิใหในสมัย.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 14 ครู อาจารย อุปช ฌาย ไดช อื่ วา เปนบุพพการขี องนักเรยี น ศิษยานศุ ิษย เพราะเปน ผมู หี นา ทีแ่ นะนําสัง่ สอนอบรมใหมีความรูความ สามารถ จนกระท่งั ต้งั ตนเปนพลเมืองดี ซ่งึ มีหลักท่จี ะตองปฏิบตั ิ ๕ ประการ คือ ๑. แนะนาํ ดี ๒. ใหเ รียนดี ๓. บอกศิลปใหส น้ิ เชิง ไมป ด บงั อําพราง ๔. ยกยองใหป รากฏในเพ่ือนฝงู ๕. ทําความปองกัน ในทิศทง้ั หลาย (คอื จะไปทิศไหนกไ็ มใ หอดอยาก) หนาทที่ ัง้ ๕ ประการ น้ี ครูอาจารยหรอื อุปช ฌาย ตองปฏบิ ัตใิ หบริบูรณ ถา ขาดไปแมเพียง บางขอบางประการ กช็ อ่ื วาบกพรองในหนา ทขี่ องบพุ พการี. พระมหากษตั ริย ไดช ื่อวา ทรงเปน บุพพการีของประชาราษฎร เพราะทรงมีหนา ทปี่ กครองไพรฟ าประชาราษฎรผูอาศยั อยูในประเทศใหม ี ความรม เย็นเปนสขุ โดยที่พระองคตองทรงปฏบิ ัตทิ ศพิธราชธรรม คือ ธรรมสําหรบั พระราชา ๑๐ ประการ คือ ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. บรจิ าค ๔. ความซื่อตรง ๕. ความออ นโยน ๖. คอยกาํ จดั คนช่ัว ๗. ความ ไมโกรธ ๘. การไมเ บียดเบยี น ๙. ความอดทน ๑๐. ความไมผดิ ใน ทุกกรณีย. พระพทุ ธเจา ไดช อื่ วาทรงเปนบุพพการีของพุทธบรษิ ัท เพราะ ทรงมีพระมหากรณุ าอันกวา งขวางโดยไมม ีขอบเขต ทรงประทานพระ- ธรรมเทศนาสง่ั สอนเวไนยชน ดว ยหลัก ๓ ประการ คอื ๑. ทรงหาม มิใหท ําบาปทัง้ ปวง ๒. ทรงสอนใหท ําบุญกุศลทกุ อยาง ๓. ทรงสอน ใหท ําจติ ใหผองใส. กตัญู แปลวา ผรู ูอปุ การคณุ ทผ่ี อู ่ืนทําแลวแกต น, กตเวที

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 15 แปลวา ผปู ระกาศคณุ นั้นใหปรากฏ ไดแกผ ตู อบแทนคุณ. รวมเปน กตัญูกตเวที แปลวา ผูรูอ ปุ การคณุ ทท่ี า นทําแลวและตอบแทน. หมายความวา ผูระลึกถงึ อยูเนือง ๆ ซึง่ อุปการคุณ ท่ที า นบุพพการีน้นั ๆ ไดก ระทําใหแกตน และเมือ่ ไดโ อกาสก็ตอบแทนคณุ ตามควรแกฐานะ ภาวะและกาลสมัย เหมือนบคุ คลทก่ี หู น้ที า นมา คร้ันไดเวลาก็ชาํ ระหนี้ ใหทา น คนเราทุกคนที่เกดิ มายอมชอื่ วาเปนลูกหน้ี เชนบุตรธดิ าเปน ลกู หน้มี ารดาบิดา, นักเรยี นศษิ ยเ ปนลกู หนีค้ รูอาจารย, ประชาราษฎร เปน ลูกหนพี้ ระมหากษัตริย, นักเรยี นศิษยเ ปน ลูกหนพ้ี ระพุทธเจา. เมอื่ เปนลกู หนโี้ ดยทเ่ี ปน หนบ้ี ญุ คณุ ทานอยเู ชน น้ี จงึ สมควรที่จะตองตอบแทน คุณทา น จงึ จะชอื่ วาเปน การเปลื้องหน้ไี ด ผทู ี่เปลื้องหนี้ดว ยการตอบแทน คณุ ทานไดแ ลว จงึ ชือ่ วา กตัญูกตเวที โดยทั่วไปทานกําหนดวามี ๔ ประเภท คอื ๑. บุตรธดิ า ๒. นกั เรยี นศิษยานศุ ิษย ๓. ประชาราษฏร ๔. พทุ ธบรษิ ัท. บตุ รธิดา เมอื่ ระลกึ ถึงคุณมารดาบดิ าแลว จงึ บํารงุ เลี้ยงดูและ ถนอมนํา้ ใจทา นมิใหเดือดรอ น ซึ่งมหี ลกั แหงการบาํ รงุ ๕ ประการ คอื ๑. ทานเล้ียงเรามาแลว เราตองเลย้ี งทานตอบ ๒. ชวยทํากจิ ของทาน ๓. ดาํ รงวงศสกลุ ไมใหเสอ่ื มเสยี ชอื่ เสียง ๔. ประพฤติตนใหเปนคน สมควรรบั มรดก ๕. เมอ่ื ทานลว งลบั ไปแลว ทําบุญอทุ ศิ ใหท า น. นกั เรยี นศิษยานุศษิ ย เมื่อระลกึ ถึงคณุ ของครอู าจารยแ ลว จงึ ควร ตอบแทนคุณของทานตามหลัก ๕ ประการ คอื ๑. แสดงความเคารพ นอบนอ มดว ยการลุกขน้ึ ยนื รบั ๒. คอยรับใชไ มด ดู ายในเมื่อทานมีธุรกจิ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 16 ๓. เชอื่ ฟงคําสัง่ สอนไมดอ้ื ดา น ๔. อปุ ฐากบํารุงทา นดว ยการอํานวย ความสุขสบายตามสมควร ๕. ตัง้ ใจเลาเรียนศลิ ปวิทยาโดยเคารพ. ประชาราษฏร เมื่อระลึกถึงพระคณุ ของพระมหากษัตรยิ แลว จงึ ควรตอบแทนพระองคทานดวยการต้ังใจประพฤติตนเปน พลเมืองดี ไม ฝาฝนพระราชบัญญัติทีท่ รงแตง ตั้งไว และมีความจงรกั ภักดีเคารพบชู า ดวยการปฏบิ ตั ิตามพระบรมราโชวาทท่พี ระราชทานซ่งึ มีประการตาง ๆ. พทุ ธบรษิ ทั เม่อื ระลึกถงึ พระคณุ ของพระพทุ ธเจาแลว จึงควร ตอบแทนดวยการปฏิบัตธิ รรมสมควรแกธรรม กลาวคอื ตงั้ ใจบูชาพระ พุทธเจาดว ยการงดเวน จากขอ ท่ที รงหาม ทําตามขอที่ทรงพระอนุญาต ทกุ ประการ. เม่ือบคุ คลมาระลึกถงึ หนบ้ี ญุ คณุ แลว ไดเปลอ้ื งหน้ดี วยการประพฤติ ปฏบิ ตั ิชอบตอบแทนคณุ โดยควรแกฐานะ และถกู ตอ งตามประเภทดงั กลา ว มา จงึ ไดช ื่อวา \"กตญั ูกตเวที\" โดยสมบรู ณ ผูเชนนย้ี อ มเปนท่ี นิยมชมชอบของคนทั่วไป เพราะรจู ักคณุ ความดีทผี่ อู น่ื ทาํ ไวแกต น แลว ตอบแทนตามสมควร และผูเชนนี้ยอมมีความสุขความเจรญิ ยิง่ ๆ ขึน้ ไมเ สื่อมเลย พงึ ดูตัวอยางสุวรรณสามโพธิสตั วยอดกตัู ต้ังใจเลีย้ งดู มารดาบิดาผูตาบอด แมถกู กบลิ ยกั ษยิงดวยลูกศรอาบยาพิษสลบไปแลว แตก ลบั ฟนคนื ชีพมาได ดวยเดชแหง ความกตัญูกตเวทแี ท ๆ. อน่ึง อุปติสส- ปรพิ าชก ไดฟง คําสอนจากพระอัสสชิเถระเพยี งนดิ หนอ ย ตง้ั ใจปฏบิ ตั ิ ตามก็ไดบ รรลุโสดาปต ตผิ ล ไดเปน พระอริยบคุ คลทางพระพุทธศาสนา ตอ มาไดบ วชเปนภิกษุแลว ปฏบิ ตั ติ ามพระธรรมทพ่ี ระพุทธเจาทรงสอน

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 17 จนไดบรรลถุ ึงพระอรหัตตผล นบั วา เจริญถงึ ข้นั สูงสดุ น้กี ็เปนผลของ กตญั ูกตเวทีเหมอื นกัน และเมอ่ื ทานทราบวา พระอัสสชเิ ถระผอู าจารยอยู ทิศใด กก็ ราบไหวแลวนอนผันศีรษะไปทางทิศนัน้ เสมอ ทง้ั น้กี ็เนอ่ื ง ดวยความกตัญูกตเวทีน่ันเอง. กตญั กู ตเวทติ า ความเปนผูรอู ปุ การะท่ผี ูอื่นกระทาํ แลวและ ตอบแทน เปนเคร่อื งหมายของคนดี. คนในโลกนี้มี ๒ จาํ พวก คอื สาธชุ น คนดี ๑ อสาธชุ น คนไมด ี ๑ ความกตัญกู ตเวทเี ปน เคร่อื ง หมายของคนดี สวนคนท่ขี าดคุณธรรมขอน้ี กแ็ สดงวาเปนคนไมดี, เปนคนอกตัญู ใคร ๆ ไมค วรคบ. โบราณทา นสอนกนั มาวา \" แม แผน ดนิ จะไรห ญา กอ็ ยา คบคา คนอกตญั ู \" มีพระพุทธภาษติ วา \" ถงึ จะใหแ ผนดนิ ทัง้ หมด (คอื ยกใหเปน ผูมีอํานาจยิง่ ใหญในแผนดิน ท้ังโลก) กไ็ มอ าจท่จี ะใหค นอกตญั ูยินดี มีความรูสึกบุญคณุ ได \" ทงั้ น้กี ็เพราะคนอกตญั ูนัน้ ไมร บู ญุ คุณของใคร ๆ แมจ ะใหทรพั ยสนิ เงินทองทม่ี ีอยใู นแผน ดินทั้งหมด เขากย็ ังไมร ูจักบญุ คณุ คอยแตจ ะ ประทุษรา ยผูมบี ุญคณุ แกต นเสยี อกี \" ในคราวตกทกุ ขยากกเ็ ขา หา ครัน้ สมปรารถนาแลว เบือนหนี บางทีกท็ าํ ลาย \" เลี้ยงคนอกตัญูกเ็ หมือน เลีย้ งอสรพษิ เหมอื นชาวนาชว ยเหลืองเู หาฉะนนั้ เพราะเหตุนี้ ทานจึง หา มมิใหคบคนอกตัญ.ู ไมผุ ๆ ทล่ี อยน้ํามา ทา นสอนวาใหเก็บขนึ้ ไว ทาํ ประโยชนไ ด สว นคนอกตญั ปู ลอยใหน า้ํ พดั พาไปเสียเถดิ อยา เกบ็ ไวเลย. กตัญูกตเวทิตาธรรมน้ี ในท่ีบางแหงเรียกวา \" สัปปรุ สิ ภูมิ \"๑ ๑. องฺ. ทกุ . ๒๐/๗๘

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 18 คอื เปน ภูมธิ รรมของสัตบรุ ษุ คอื คนดี, อนั คนดนี ัน้ จะประกอบกรณียใด ๆ ยอ มอาศัยธรรมขอนเี้ ปนหลักเสมอ ทา นเปรียบไวว า \"พื้นแผนดินเปนท่ี รับรอง เปน ที่อาศัยของสัตวและพฤกษาลดาชาต ฉนั ใด กตญั กู ต- เวทติ าธรรม กเ็ ปนพน้ื ฐานแหง จิตของสัตบุรษุ ฉนั นัน้ . \" อธิบายชอื่ หมวดธรรม บุพพการีและกตญั กู ตเวที บคุ คลทง้ั ๒ พวกนี้ ชื่อวา \" บุคคล หาไดยาก \" เพราะการทบ่ี ุคคลผมู ีหนาทที่ าํ อปุ การะกอ น ไดทาํ กจิ ตาม หนา ทกี่ ด็ ี แมไมม ีหนา ท่ีทาํ อุปการะกอ น แตกไ็ ดทําอุปการะกอนก็ดี ช่อื วา บคุ คลหาไดยาก เพราะคนโดยมากมนี ้าํ ใจตระหนถีเ่ หนย่ี ว คิดแต จะไดฝายเดียว ไมยอมเสยี สละ ไมคิดทําอุปการะแกผูอื่น. สวนบุคคล ผไู ดร ับอุปการะจากผอู ื่นจนไดมคี วามสขุ สบายแลว มคี วามสาํ นกึ ถึงบุญคุณ ของทานผูใ หอุปการะแลวตอบแทน ใหส มควรแกกนั นน้ั หาไดย าก เพราะ คนโดยมามกั ลืมตัว บางคนกเ็ พียงแตนกึ ถงึ บุญคุณได แตไ มย อม ตอบแทน เหมอื นคนกูหนท้ี ัง้ ๆ ทร่ี ดู ีอยวู าเปนหนีเ้ ขา แตไ มย อมใชหนี้ คอยหลบหนาเจาหนี้อยูเสมอไป คนทต่ี ง้ั ใจชาํ ระหน้บี ญุ คุณจึงหาไดยาก. จึงเปนอันวาบพุ พการแี ละกตญั กู ตเวทีบุคคล ทง้ั ๒ พวกนจ้ี ะไดปฏบิ ัติ หนาทีต่ อ กันใหส มบรู ณค วบคูก ันไปน้ัน หาไดยาก เพราะเปนการปฏิบตั ิ ท่ีทวนกระแสกิเลสของสัตวโลก ซึง่ มีความโลภ ความตระหนี่ ความ เห็นแกต วั ไมอยากแผเ ผ่ือเจือจานแกผอู นื่ ฉะนน้ั การสงเคราะหผ อู ื่น ดว ยความเมตตากรณุ าก็ดี การรจู กั คณุ แลว ตอบแทนดว ยหวังบูชาคณุ กด็ ี จึงเปนการยาก ดงั นแี้ ล.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 19 คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. บพุ พการบี ุคคล ตงั้ อยใู นคณุ ธรรมอะไรบา ง ? มีกีป่ ระเภท ? คอื ใคร ? ๒. กตญั ูกตเวทีบุคคล ไดแ กค นเชนไร ? มกี ี่ประเภท ? คอื ใคร ? ๓. ทางพระพุทธศาสนาทานกลาววา คนเราในโลกนี้ แบง เปน ๒ พวก คอื เจาหน้ี ๑ ลกู หน้ี ๑ อยากทราบวา ใครเปน เจา หน้ี และใครเปน ลูกหน้ี ? ๔. บคุ คลเชน ไรจดั เปนยอดกตัญู ? ขอดูตวั อยา ง. ๕. คนดกี ็ตาม คนไมด ีก็ตาม มีอะไรเปน เครื่องหมาย ? ๖. เพระเหตไุ ร ทา นจึงวาบพุ พการแี ละกตญั กู ตเวทีบุคคลหา ไดย าก ? ๗. \" แมแ ผนดนิ จะไรหญา ก็อยาคบคาคนอกตัญู \" คาํ นท้ี า น สอนไวเ พ่อื อะไร ? ________ ตน เอย ตน กลว ย มองดูสวย โสภา นา เล่อื มใส พอมลี ูก ลกู ฆา นาเสยี ใจ ตองตายไป เปอ ยจม ทับถมดิน. เหมอื นรา งกาย มนษุ ย แมส ดุ สวย จําตอ งมว ย ภนิ นพัง ไปทง้ั ส้ิน ควรรบี ทาํ กรรมดี คชู วี ิน ถงึ ชีพส้ิน ช่อื อยู คโู ลก เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 20 ติกะ คือหมวด ๓ รตนะ ๓ อยา ง พระพุทธเจา ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ ๑ ๑. ทา นผสู อนใหประชมุ ชนประพฤตชิ อบดว ยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัย ท่ีทา นเรยี กวาพระพุทธศาสนา ซงึ่ พระพุทธเจา . ๒. พระธรรมวินยั ทีเ่ ปนคาํ สั่งสอนของทาน ชือ่ พระธรรม. ๓. หมชู นท่ฟี ง คําสัง่ สอนของทานแลวปฏบิ ตั ิชอบตามพระธรรม วนิ ยั ชอื่ พระสงฆ. ขุ. ข.ุ ๒๕/๑ อธิบายศัพท ๑. พระพุทธเจา ศัพทบ าลีวา พุทธะ แปลโดยพยญั ชนะวา ผูรู ผตู น่ื ผเู บิกบาน หมายความวา ผูร ูเทาสงั ขารทง้ั ปวงดว ยตนเอง และใหผ ูอ น่ื รูเ ทา สงั ขารดว ย. เปน ผตู นื่ จากความหลบั คอื สัมโมหะ และ ทรงปลกุ ผอู ื่นใหตืน่ ดว ย, เปน ผูเบกิ บานพระหฤทยั ดจุ ดอกประทุมอัน คลบ่ี านเตม็ ที่ และทาํ ผูอ่ืนใหเบกิ บานใจดวย. อน่ึง พระพทุ ธเจา วา โดยโลกยิ โวหาร ไดแ กส ตั วพเิ ศษผูหนง่ึ มิใชเทวดา มาร พรหม อมนุษยใด ๆ เปนมนุษยน เ้ี อง แตเปน มนษุ ยอ ัศจรรย มปี ญญาฉลาดลวงสมณะ เทวดา มาร พรหม ทํา ตนเองใหบริสุทธจ์ิ ากอุปกิเลสบาปธรรมได แลว สอนผูอื่นใหไดความ บริสทุ ธไ์ิ ดด วย. วา โดยปรมตั ถโวหาร ไดแกว สิ ทุ ธิขนั ธ คอื กองรูป

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 21 กองเวทนา กองสญั ญา กองสงั ขาร กองวิญญาณ อนั บริสทุ ธจ์ิ าก อปุ กเิ ลสบาปธรรม. ๒. พระธรรม ศัพทบาลีวา ธมั มะ แปลโดยพยัญชนะวา สภาพผทู รงไว หมายความวา ทรงบคุ คลผปู ฏิบตั ิดีไว มใิ หตกในอบาย ทง้ั ๔ และในวฏั ฏทกุ ข. อนึง่ พระธรรม คือ ความดจี ริง อนั ไดแ กความไมโ ลภ ไมโกรธ ไมห ลง ทบ่ี ุคคลทาํ ใหมใี หเปนขนึ้ ดว ยอบุ ายทแี่ ทจรงิ ไมใ ช ความไมโลภ ไมโ กรธ ไมห ลง ที่มใี นเวลานอนหลับ. อีกอยา งหนึ่ง ไดแ กค วามเปน เองทไ่ี มมีโลภ - โกรธ - หลง เพราะไมม สี งั ขารเปน ท่ตี ัง้ . อกี อยา งหนึ่ง พระธรรม คอื คําสั่งสอนของพระพุทธเจาท้งั หมด หากจดั เปน สอง เรยี กวาพระธรรม ๑ พระวนิ ยั ๑ หรอื จดั เปน สาม เรยี กวา พระไตรปฎ ก อนั ไดแ กพระวนิ ยั ๓ พระสูตร ๑ พระ อภธิ รรม ๑ หรอื เรียกวา พระสทั ธรรม ๓ อนั ไดแกป รยิ ัติลทั ธรรม ๑ ปฏบิ ตั สิ ัทธรรม ๑ ปฏิเวธสัทธรรม ๑. ๓. พระสงฆ ศัพทบ าลวี า สงั ฆะ แปลโดยพยัญชนะวา หมู หมายถงึ หมูแหงสาวก คือผูฟง คําสั่งสอนของพระพทุ ธเจา แลวปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมวนิ ัย. พระสงฆมี ๒ ประเภท คอื ๑. สมมตสิ งฆ ๒. อรยิ สงฆ. สมมตสิ งฆ แปลวา สงฆโดยสมมติ หมายถึงภิกษุตง้ั แต ๔ รปู ขนึ้ ไป นงั่ ภายในสีมา (เขตชุมนมุ สงฆต ามหลกั พระวินัย) ไมล ะหัตถบาสกัน มอี ํานาจใหสําสังฆกรรมนนั้ ๆ มีอโุ บสถกรรมเปน ตน . อริยสงฆ แปลวา หมแู หงพระอรยิ เจา หมายถึงภกิ ษุผูเปนอริย- บุคคล ๔ จาํ พวกคือ พระโสดาบัน ๑ พระสกทาคามี ๑ พระอนาคามี ๑

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาที่ 22 พระอรหนั ต ๑. อธบิ ายชือ่ หมวดธรรม พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ช่อื วา รตนะ โดยอธิบาย วา เปน แกววเิ ศษ ท่คี วรยาํ เกรง มคี า มาก หาทเี่ ปรียบมิได จะช่งั เทยี บมิได เปนส่ิงทีห่ าไดยาก เปนเครือ่ งบริโภค คือสมบตั ขิ องคนด.ี ธรรมดาคนดี ของดี นิยมเรียกกนั วา รตนะ แปลวา แกว เชน พทุ ธรตนะ แกว คอื พระพทุ ธเจา ธมั มรตนะ แกวคอื พระธรรม สังฆรตนะ แกวคอื พระสงฆ ๓ อยา งน้รี วมเรียกวา พระรตั นตรยั แปล วาแกว ๓ อยา ง. แตละอยางกม็ ีคณุ คา อนั ยอดเยย่ี มในโลก ผูใดมีแกว ๓ อยางนไ้ี ว ผูน ั้นจัดวาเปนผดู ี มีความร่ํารวยทีส่ ดุ และมคี วามสุข สวสั ดีตลอดไป. สวนจักรแกว ชางแกว มาแกว แกว มณี นางแกว ขนุ คลงั แกว ขนุ พลแกว อนั เปน รตนะ ๗ ประการ ของพระเจาจกั รพรรดิ ก็จัดวา เปน ของดี สัตวด ี คนดี แตก็ยงั มีคณุ คา ดอ ยกวาพระรัตนตรัย. คณุ ของรตนะ ๓ อยาง พระพทุ ธเจา รูดีรชู อบดวยพระองคเ องกอนแลว สอนผอู น่ื ใหรู ตามดวย. พระธรรม ยอ มรกั ษาผูปฏบิ ัตไิ มใหตกไปในทชี่ ่ัว. พระสงฆ ปฏิบัติชอบตามคําสัง่ สอนของพระพุทธแลว สอน ผูอ นื่ ใหกระทําตามดว ย. พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา ฯ

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 23 อธบิ าย ความจรงิ คุณของรตนะ ๓ อยางนม้ี ีมาก ยากท่ีจะพรรณนาให สิน้ สุดได แตเ พอ่ื ความสะดวกแกผเู ร่ิมแรกเขา มาศึกษา ทา นจงึ ไดกลา ว เพียงยอ ๆ พอใหจบั ใจความได. ในลาํ ดบั นี้ จะอธบิ ายคณุ ของรตนะ ๓ อยางนีใ้ หก วางออกไปอกี หนอ ย เพื่อใหเขาใจพอสมควร. พระพทุ ธเจา มพี ระคุณมากท่ีสดุ ใคร ๆ ไมอ าจพรรณนาใหส น้ิ จบครบถวนได แตจ ะขอประมวลอธบิ ายโดยยอ เปน ๓ ประการ คือ ๑. พระปญ ญาคณุ ไดแ กพ ระปญ ญารูเ ทาทนั สังขารทง้ั ปวง อนั เปนตัวทกุ ขทค่ี วรกาํ หนดรู ๑ พระปญ ญารเู ทาทันเหตุเกดิ แหงสังขาร อนั เปนตวั สมทุ ัยท่คี วรละ ๑ พระปญ ญารูเทา ทันความดับแหง สังขาร อัน เปนตวั นิโรธทค่ี วรทําใหแจง ๑ พระปญญารูเ ทา ทันขอ ปฏิบตั ิใหถึงความ ดับแหง สงั ขาร อันเปนตัวมรรคท่คี วรใหเ กดิ ๑. ๒. พระบริสทุ ธิคุณ ไดแกค วามละกิเลสและวาสนาเสยี ได แม โลกธรรมอยา งใดอยางหน่ึงมาถงึ เฉพาะพระพกั ตร ก็ไมทรงยนิ ดยี นิ รา ย มีพระหฤทยั สดใสบรสิ ทุ ธส์ิ ม่าํ เสมอ. ๓. พระมหากรุณาคุณ ไดแกท รงมคี วามเอน็ ดูเมตตาปรานีตอ สัตวโลก ทรงเห็นสัตวโลกรอ นอยูดว ยเพลงิ กเิ ลส เพลงิ ทกุ ข วา ยเวียน อยใู นทะเลใหญคือสังสารวฏั . ทรงปรารถนาจะใหสตั วดับเพลิงกิเลสพัน จากทุกข จึงไดท รงชว ยเหลือสตั วโลกใหพ น ทุกข ต้ังแตค รง้ั ยังเปน พระ โพธิสตั ว เรอ่ื ยมาจนกระทั่งเสดจ็ ดบั ขันธปรนิ ิพพาน. พระธรรม มีคุณมาก แตเม่อื กลา วโดยยอกไ็ ดในหลกั วา

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 24 ๑. ธมฺโม กโุ ลกปตนา ตทธาริธารี พระธรรมเปน สภาพทรง บุคคลผปู ฏิบตั ธิ รรมไวใ หพ นจากการตกไปในโลกอันชัว่ ชาเลวทราม. ๒. ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ พระธรรมยอมสงผปู ฏิบัตใิ หถ ึงสุคติ. ๓. ธมฺโม หเว รกขฺ ติ ธมมฺ จารึ พระธรรมแล ยอ มรักษาผู ประพฤติธรรม. ๔. ธมโฺ ม สจุ ณิ โฺ ณ สขุ มาวหาติ พระธรรมท่บี คุ คลประพฤตดิ ี แลว ยอ มนาํ สุขมาให. ๕. ธมฺมจารี สขุ  เสติ ผูประพฤติธรรมยอ มอยูเปนสุข. พระสงฆ กม็ ีคุณมาก โดยยอ กค็ อื ทานปฏบิ ัติดี - ตรง - ถกู ตอง - สมควร ขจัดกิเลสของตนตามท่พี ระพทุ ธเจาทรงสั่งสอน และสอน ผูอ น่ื ดว ย. เปน กําลงั ในการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา นําคาํ สอนของพระ พทุ ธเจาสบื ตอกนั มา เปน นาบุญอันดีย่งิ ของชาวโลก. การทช่ี าวโลกได อยูเย็นเปน สุข ก็เพราะไดอาศยั พระสงฆ ปฏบิ ตั ติ ามทพ่ี ระสงฆสงั่ สอน ใหป ฏิบตั พิ ระธรรมพระวนิ ัย อันเปน คาํ ส่งั สอนของพระพทุ ธเจา พระ พุทธเจาดบั ขันธปรินิพพานนานแลว แตพ ระสงฆยงั ชว ยทรงจาํ หลกั ธรรมวนิ ยั สัง่ สอนสบื ตอกนั จนถึงบดั นี้ และพระสงฆยังชว ยทรงจาํ หลกั บทบาทสําคัญในการนําพระพทุ ธศาสนาใหเ จริญแพรห ลายเปน ประโยชน อันย่ิงใหญแ กช าวโลกตอ ไป. คําถามสอบความเขาใจ ๑. พระพทุ ธเจา มาจากศัพทบ าลีวาอะไร ? แปลโดยพยญั ชนะ วากระไร ?

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 25 ๒. ผูร ู ผตู ่ืน ผูเบิกบาน ๓ คํานี้ มีความหมายวา อยางไร ? ๓. พระพุทธเจา วา โดยโลกกิยโวหาร และวา โดยปรมตั ถโวหาร ไดแกอะไร ? ๔. พระธรรม มาจากศัพทบ าลีวาอะไร ? แปลโดยพยญั ชนะวา กระไร ? หมายความวาอยางไร ? ๕. พระธรรม คอื อะไร ? หากจดั เปน ๒ หรอื ๓ เรยี กวา อะไร ? ๖. พระสงฆ มาจากศัพทบ าลีวา อะไร ? แปลโดยพยญั ชนะวา กระไร ? หมายถงึ ใคร ? ๗. พระสงฆ มีก่ีประเภท ? คืออะไร ? ประเภทนั้น ๆ หมาย ถึงใคร ? ๘. พระพุทธเจาเปนตนที่ไดช อ่ื วารตนะ โดยอธิบายอยางไร ? ๙. พระรตั นตรยั แปลวาอยา งไร ? มอี ะไรบา ง ? จักรแกวดว ย ใชไ หม ? ๑๐. คณุ ของพระพุทธเจา โดยยอมี ๓ อยา ง คืออะไร ? อธบิ าย ๑๑. คณุ ของพระธรรม โดยยอ มีเทาไร ? อะไรบาง ? ๑๒. คุณของพระสงฆม ีอยางไรบาง ? ดอกเอย กลว ยไม อาจนับได หลายชนิด แผกผิดสี เชนชา งแดง มาดาม สวยงามดี ฟามุยมี เอือ้ งผ้ึง พศิ ตรึงตา. ครั้นนานวันมอี ัน จะพลนั รวง จากขั้วพวง เห่ียวแหง ใชแ กลง วา แมมนษุ ย เรานี้ มีนานา อนจิ จา จงรู รว งพรู เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 26 อาการที่พระพุทธเจาทรงส่ังสอน ๓ อยาง ๑. ทรงส่ังสอนเพอื่ ใหผ ฟู งรยู ่ิงเห็นจริงในธรรมทค่ี วรรคู วรเหน็ ๒. ทรงส่ังสอนมีเหตทุ ี่ผฟู งอาจตรองตามใหเ หน็ จรงิ ได. ๓. ทรงส่ังสอนเปนอศั จรรย คอื ผูปฏิบัตติ ามยอมไดป ระโยชน โดยสมควรแกค วามปฏบิ ตั ิ. นยั . อง.ฺ ติก. ๒๐/๓๕๖ อธิบายศพั ท ๑. ขอทว่ี า ทรงสง่ั สอนเพื่อใหผ ูฟ งรเู หน็ จรงิ นั้น มอี ธิบายวา ทรงสอนใหรจู กั ใหเ ขาใจชัดเจนย่งิ ๆ ขึน้ ไป ไมใ ชทรงสอนใหห ลงเชือ่ คลุมเครือ งมงาย หรือไมทรงสอนใหคนโง. ตอนที่วา ส่งิ ทีค่ วรรูควรเหน็ นน้ั มอี ธิบายวา ส่ิงตา ง ๆ ใน โลกนี้มีอยมู าก ส่งิ ที่ควรรคู วรเปน พระองคก ท็ รงสอนสงิ่ นั้น สิ่งใดไม ควรรไู มควรเหน็ พระองคไ มท รงสอนสิง่ นัน้ . กแ็ ล ส่ิงทค่ี วรรูควรเปน ไดแกข นั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อรยิ สัจ ๔ เมือ่ รูช ัดเห็นชัดขนั ธ ๕ เปนตน แลว ก็เปน ทางใหพน ทกุ ข ไดบรรลโุ ลกตุ ตรสุขในท่ีสดุ . แมค วามรศู ลิ ปวทิ ยาการตา ง ๆ ทเ่ี ปน ทาง ใหด ํารงชพี อยูเปน สุข ตามวิสัยของชาวโลกทย่ี ังติดโลกิยสุขในปจ จุบนั ก็ดี ความรูทจี่ ะไดรบั สุขในภายภาคหนา เชน สทั ธาสัมปทาเปนตน กวา จะ บรรลโุ ลกุตตรสุขก็ดี กช็ ่อื วา เปน สิ่งทค่ี วรรู ควรเห็น เพราะบคุ คล ควรทําความเขา ใจและปฏิบัติใหไ ด เพือ่ ความพนทุกขและประสบสุขตาย

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาที่ 27 คึ วรแกฐ านะ ภาวะ สติ ปญญา ของตน ๆ. สว นลกึ ทไี่ มควรรู ไมควรเปน เชนปญ หาเรอ่ื งโลกเท่ียง โลก ไมเที่ยง โลกมีท่สี ดุ ไมม ีท่สี ุด เปนตน เร่อื งทาํ นองน้ไี มใ ชท างท่จี ะให พน ทุกข ไมม ปี ระโยชนอ ะไร แมเหลา เส่อื มโทรมทางศลี ธรรม เชน สถานเริงรมย ระบําลามก ภาพยนตรลามก แหลงมว่ั สุมยาเสพติดใหโ ทษ บอนพนัน เปนตน กเ็ ปน ส่ิงไมค วรรู ไมค วรเปน คอื บคุ คลไมค วร ประพฤติตนใหห มกมุนอยูในสิง่ เหลา นี้ เพราะมแี ตจะพาใหฉ ิบหายวายวอด ไมเปนทางที่จะใหพน ทกุ ขไปได พระไมส อน. พระพุทธเจา เมอ่ื จะทรงแสดงธรรม กท็ รงพิจารณาอปุ นิสัยของผฟู ง เสียกอ น แลว จึงทรงสงั่ สอนเฉพาะเร่ืองทีค่ วรรูค วรเหน็ ใหพ อเหมาะแก อุปนสิ ยั ของผูฟงนัน้ ๆ จึงปรากฏวา ไดผ ลดี เหมือนนายแพทยตรวจดู สมฏุ ฐานของโรคกอ นแลวจงึ วางยา โรคจึงหาย ไดผลดีฉะนนั้ . ๒. ขอ ท่ีวา ทรงสง่ั สอนมเี หตุ น่นั มอี ธิบายวา ทรงแสดงธรรม พรอมทัง้ เหตุ หมายความวา มีเหตมุ ีผล ไมท รงแสดงธรรมไรเหตุ คือ ไมม ีเหตไุ มม ีผล เชน บางศาสนาสอนวา ทาํ อยา งน้ี ๆ ตายแลว ไปสวรรค ทําอยางนั้น ๆ ตายแลวไปนรก ทั้ง ๆ ท่ีผูแสดงและผูฟ ง ไมรูว า สวรรค นรก เปนอยา งไร อยทู ีไ่ หน ทางอันแทจ ริงเปนอยา งไร. แตพระ พุทธเจาทรงแสดงธรรมช้เี หตุชีผ้ ล ใหผ ฟู งเหน็ ไดโดยประจกั ษ แจม แจง เชน ทรงแสดงวา น้ีทุกข น้ีเหตใุ หเ กดิ ทกุ ข นคี้ วามดบั ทกุ ข นีข้ อปฏบิ ัติ ใหถงึ ความดับทุกข. ตณั หาเปน เหตุ ทุกขเปน ผล อริยมรรคมอี งค ๘ เปน เหตุ ความดับทกุ ขเปนผล. น้คี วามยากจน นี้เหตใุ หเกิดความยากจน น้คี วามรํ่ารวย น้ขี อ ปฏบิ ตั ใิ หเ กิดความร่าํ รวย. ความเกียจคราน ความไม

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 28 รจู กั ประมาณเปนเหตุ ความยากจนเปน ผล. ความขยนั ความรจู ักประมาณ เปน เหตุ ความร่ํารวยเปนผล. นีค้ วามสขุ กายสบายใจทบ่ี ุคคลไดร บั ใน ภายหนา น้ีเหตุใหไ ดความสุขกายสบายใจในภายหนา นี้ความทกุ ขก ายทุกข ใจทีบ่ ุคคลไดร บั ในภายหนา นีเ้ หตใุ หไ ดรับทกุ ขก าย - ใจในภายหนา. ศรัทธา ศลี จาคะ ปญญา เปนเหต,ุ ความสุขกาย - ใจในภายหนา เปน ผล. ความไรศ รทั ธา ไรศลี ไรจาคะ ไรป ญญา เปน เหต,ุ ความทุกขกาย - ใจ ในภายหนาเปนผล. ขอท่วี า ผฟู งอาจตรองตามใหเ หน็ จรงิ ได น้นั มอี ธิบายวา เมอ่ื พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมพรอ มทงั้ เหตุ คอื มเี หตุมผี ลบรบิ รู ณด งั กลาว แลว หากผูฟ งตั้งใจฟง ใชสตติ ริตรอง ใชปญ ญาสอดสอ งตามกระแส ธรรม กย็ อมเหน็ จริง คอื เขาใจตามธรรมนน้ั ๆ ได แตถา ไมต้งั ใจฟง ไมต รองตาม ก็ไมอ าจเห็นจรงิ คือไมเขาใจ นเ้ี ปน ความผดิ พลาดของ ผูฟงเอง มใิ ชความผดิ ของพระพุทธเจา . เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจา จงึ ทรงยึดหลักวา ทรงแสดงธรรมมีเหตุ ท่ผี ูฟง อาจตรองตามใหเห็นจรงิ ไดเสมอ ไมท รงแสดงธรรมโดยไรเหตุ. ๓. ขอที่วา ทรงสง่ั สอนเปน อศั จรรย นั้น มีอธิบายวา คําสอน ของพระพทุ ธเจาเปนธรรมท่แี ปลกประหลาด คอื มีปาฏิหาริย เพราะ สามารถนําบุคคลท่เี ปนขาศกึ ของพระองค หรือผมู ีไมเคารพนับถอื ใหก ลบั มาเคารพนบั ถือพระองคได เชน พระปญจวคั คยี  คลายความนับถือเพราะ เห็นพระองคคลายความเพียรเลกิ ทุกรกิริยา แตกลับเคารพนับถอื เพราะได ฟงคําตรสั เปนอศั จรรย, องคลุ มิ าลโจรไลตามฆาพระพทุ ธเจา เรียกให พระพทุ ธเจาหยดุ พระองคไ ดต รัสวา เราหยดุ แลว แตทานยงั ไมห ยุด

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ที่ 29 พระดํารสั เพียงเทา นี้ สามารถกลับใจองคุลมิ าลโจรใหทั้งดาบหมอบ กราบพระพุทธเจา เปนอัศจรรย. อีกอยา งหนง่ึ ทว่ี าทรงส่ังสอนเปนอศั จรรยน้ัน อธิบายวา พระธรรม คําสัง่ สอนของพระองคน้นั แปลกประหลาด เพราะสามารถอาํ นวยผลใหแ ก ผปู ฏบิ ัติไดกลับตนจากคนชว่ั เปน คนดี กลับจากความจนเปน คนมงั่ มี กลบั จากใจรายกลายเปนใจดี กลบั จากปถุ ชุ นเปนอริยชน จงึ เปนอนั วา ผปู ฏบิ ัตติ ามยอมไดประโยชนสมควรแกค วามปฏบิ ตั ิ และไดป ระโยชนใ น ปจจบุ นั ชาติ ไมต อ งรอไปถงึ ชาตหิ นา. อธิบายชอ่ื หมวดธรรม การสงั่ สอนทง้ั ๓ อยา งนี้ เรียกวา อาการ คอื วธิ กี าร ไดแ ก กฎเกณฑ ในการทรงสง่ั สอน พระพุทธเจาจะทรงสงั่ สอนใครที่ไหนกไ็ ด ทรงใชอาการ วธิ กี าร กฎเกณฑทํานองน้ี กลา วคอื ขัน้ แรกทรงมงุ ท่จี ะ ใหผ ูฟงรยู ่งิ เหน็ จริงในธรรมท่ีควรรคู วรเห็น เม่อื ทรงมงุ อยางน้ี ก็ไดทรง ใชว ิธีแสดงธรรมใหม ีเหตผุ ลอนั สมควน ใหพอเหมาะแกภ าวะเพศภูมิ และอุปนสิ ัยของผูฟง เม่อื ทรงแสดงอยู ทรงมงุ ทจ่ี ะใหผูฟงไดร บั ประโยชนทนั ที คือไดผลดีในขณะปฏิบตั ินน่ั เอง ไมตองชกั ชา . อาศัยอาการ วธิ กี าร ดังน้ี จึงปรากฏผลวา ในเวลาจบพระธรรม- เทศนาแตละครง้ั เรม่ิ แตป ฐมเทศนา ผูฟงธรรมไดบรรลมุ รรคผลนิพพาน เปนอันมาก หากไมถึงขั้นน้ัน ก็ไดค วามเชอื่ ความเล่อื มใส ยึดเอา พระรตั นตรยั เปน ที่พึ่งตลอดชีวติ เปน อยา งนีท้ ุกคร้งั ทท่ี รงแสดงธรรม.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 30 คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. อาการทีพ่ ระพุทธเจาทรงสั่งสอน ตอนทวี่ าทรงสง่ั สอนเพอื่ ให ผฟู ง รูยิง่ เห็นจริงนน้ั มีอธบิ ายวาอยางไร ? ๒. สง่ิ ทคี่ วรรคู วรเปน ไดแ กอ ะไร ? อะไรเปนสงิ่ ที่ไมควรรู ไมค วรเหน็ ? เพราะเหตุไร ? ๓. พระพทุ ธเจาทรงสง่ั สอนมีเหตุนัน้ ทรงสอนอยางไร ? ๔. เมอ่ื พระพุทธเจาทรงส่ังสอนดแี ลว ผูฟง ยอ มรเู ห็นจรงิ ไดเ สมอ ไปหรอื อยา งไร ? ๕. ขอ วาทรงสัง่ สอนเปนอัศจรรยน้นั มอี ธบิ ายวา อยางไร ? ๖. พระพทุ ธองคท รงสงั่ สอนดวยอาการอยางไร จึงปรากฏวา ได ผลดที กุ ครง้ั ? ๗. ผลดที ีเ่ กิดจากท่ีทรงสั่งสอนดวยอาการ ๓ อยางนน้ั คืออะไร ? ตนเอย ตน ขามหวาน นามขนาน มากมาย หลายวถิ ี วา \" ฉําฉา \" \" กามปู \" \" จามจรุ ี \" ดอกมีสี ชมพู เปน พงู าม. เหมอื นบคุ คล สนใจ ในธรรมหลาย แผข ยาย ในตน คนเกรงขาม ธรรมพทิ ักษ รกั ษา สงา งาม ยอมมีความ รม เย็น เปน สขุ เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 31 โอวาทของพระ พทุ ธเจา ๓ อยา ง ๑. เวน จากทุจรติ คอื ประพฤติชว่ั ดว ย กาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสุจรติ คือประพฤติชอบดวย กาย วาจา ใจ. ๓. ทาํ ใจของตนใหห มดจดจากเครอ่ื งเศรา หมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เปนตน. ท.ี มหา. ๑๐/๕๗ คาํ อธบิ ายศพั ท ๑. คาํ วา ทุจรติ แปลวา ประพฤติชั่ว หมายความวา ทําบาป คอื ทําความทุกข. ทําความชว่ั . หรอื ทาํ อกศุ ล คือทําความไมดี. พระพุทธเจาไดโ อวาท คือทรงตกั เตอื นสั่งใหเวนจากทุกจรติ หมาย ความวา ใหเ วนจากความประพฤตชิ วั่ ใหเ วนจากการทาํ บาป ใหเ วน จากการทาํ ความไมดี. ๒. สจุ ริต แปลวา ประพฤตชิ อบ หรือประพฤตดิ ี หมายความวา ทาํ บุญ คือทําความสขุ หรือทาํ กุศล คือทาํ ความด.ี พระพทุ ธเจาไดโ อวาท คือทรงตักเตอื น สอนใหประกอบสจุ รติ หมายความวา ใหก ระทําการประพฤตดิ ี ใหป ระกอบการบญุ กุศล โดย ใจความก็คือ ใหท าํ ความดีน่ันเอง. ๓. คาํ วา ทาํ ใจของตนใหหมดจดจากเคร่ืองเศราหมองใจ มี โลภ โกรธ หลง เปน ตน น้นั หมายความวา ตามธรรมดาใจ หรือ

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 32 จิตของคนเรานี้มักเศราหมองขนุ มัวดวยเครอ่ื งเศรา หมองตา ง ๆ เชน ความ โลก แมตั้งใจทําความดี แตมคี วามโลภเขาเจือปนดวย เมอ่ื ทาํ ความดี ไมไดต ามปรารถนา กเ็ กิดความโกรธ ความไมพอใจในตนเองบา ง โน ผูอ ืน่ บาง. การทม่ี ีความโลภ ความโกรธ เขา เจือปนในขณะทท่ี าํ ความดี ดังนี้ ก็เพราะมคี วามหลงงมงายเขาเจือปนอยใู นจิตใจเปนเช้ือเร้อื รังมากอน แลว . เพราะฉะน้นั พระพทุ ธเจาจึงโอวาท คือตกั เตือนสอนใหทาํ จิต ใจใหห มอจดจากเครือ่ งเศรา หมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เปน ตน . อธิบายชอ่ื หมวดธรรม การเวนจากทุจริต ๑ การประกอบสจุ รติ ๑ การทาํ จติ ใจใหหมด จดจากเครอื่ งเศราหมองใจ มโี ลภ โกรธ หลง เปน ตน ๑ ทั้ง ๓ อยา งนี้ ช่ือวาโอวาทของพระพทุ ธเจา เพราะเปนคําแนะนําตักเตอื นของ พระพทุ ธเจา ไดในศัพทบ าลีวา พทุ ธโอวาท, แตบางแหง เรยี กวา ทกุ พระองค ทรงสั่งสอนครบทัง้ ๓ อยางนี้เหมือนกนั หมด.. อน่ึง พระโอวาททงั้ ๓ น้ี พระพุทธเจาไดท รงถอื เปน หลักคาํ สอน แกภ กิ ษุในวนั อุโบสถทุกกง่ึ เดือน เรม่ิ ตั้งแตว นั เพญ็ เดอื น ๓ ภายหลัง ตรัสรู ๙ เดอื นเปนตน มา โดยมีชือ่ วา โอวาทปาตโิ มกข. และตอมาอาจารยทั้งหลายไดถือกันวา พระโอวาทท้ัง ๓ นี้เปน หัวใจพระพทุ ธศาสนา เพราะสว นสําคัญของพระพทุ ธศาสนาอยูท่พี ระ โอวาท ๓ อยา งนี้ สว นคาํ สั่งสอนอยา งอนื่ แมม จี ํานวนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ แตเ มื่อยอ ใหสั้นกค็ งเหลือเพยี ง ๓ อยา งน้ีเทานั้น.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนาท่ี 33 คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. คาํ วา ทจุ รติ บาป อกศุ ล ตางกนั หรอื เหมอื นกันอยางไร ? ๒. พระโอวาทของพระพุทธเจา ขอ วา เวน จากทจุ รติ หมาย ความอยางไร ? ๓. คําวา สุจรติ บุญ กศุ ล คืออะไร ? ๔. พระพทุ ธโอวาท ขอ ๒ วาอยางไร ? หมายความวากระไร ? ๕. พระพุทธศาสนา ขอ ๓ วา อยางไร ? หมายความวากระไร ? ๖. พระโอวาทของพระพุทธเจามีมาก แตเม่ือกลา วโดยสรุปแลว มีอะไรบาง ? ๗. โอวาทปาติโมกขมกี ขี่ อ ? ขอ ไหนเปนคาํ สั่ง คือหามมิใหท ํา ? ขอไหนเปน คําสอน คอื แนะนาํ ใหท ํา ? ๘. อะไรเปน หวั ใจของพระพุทธศาสนา ? ๙. พระพุทธโอวาท พระพทุ ธศาสนา โอวาทปาตโิ มกข หัวใจ พระพุทธศาสนา ตางกนั หรอื เหมอื นกันอยา งไร ? ๑๐. ผูนบั ถือพระพทุ ธศาสนา ปฏิบตั ิอยางไรจึงจะไดชอ่ื วา ทาํ ตามพระโอวาทของพทุ ธเจา ? โรคทางกาย ใหห มอ ชะลอให โรคจิตไซร พง่ึ หมอ ก็ไรผล จาํ ตอ งพงึ่ ธมั โมสถ ทศพล วางใจตน เปนกลาง วา งวา ง เอย. ศรี ฯ นคร.



แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 34 ทจุ ริต ๓ อยา ง ๑. ประพฤตชิ ว่ั ดว ยกาย เรียกกายทจุ รติ ๒. ประพฤติชั่วดวยวาจา เรียกวจีทจุ ริต ๓. ประพฤติช่วั ดว ยใจ เรียกมโนทุจรติ . กายทุจรติ ๓ อยาง ฆาสตั ว ๑ ลกั ฉอ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑. วจีทจุ รติ ๔ อยา ง พดู เท็จ พูดสอเสียด ๑ พดู คําหยาบ ๑ พดู เพอ เจอ ๑. มโนทุจรติ ๓ อยาง โลภอยากไดข องเขา ๑ พยายามปองรายเขา ๑ เห็นผิดจาก คลองธรรม ๑. ทจุ รติ ๓ อยา งน้ี เปน กจิ ไมควรทํา ควรจะละเสีย. องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓ อธิบายศพั ท การประพฤตชิ วั่ ดวยกาย หมายความวา ทําชว่ั ทางกาย มี ๓ อยา ง คอื :- ๑. ฆาสัตวม นษุ ยห รือสตั วดริ ัจฉาน รวมทง้ั การเบยี ดเบียนใหไ ด รับบาดเจบ็ พกิ ลพิการ หรอื ไดรับความลําบากตาง ๆ. ๒. ลักฉอ รวมทงั้ ฉก ชิง ปลน หรือกระทาํ ดวยอาการอยา งใด อยางหน่ึง ซงึ่ เปนการถอื เอาส่ิงของทเ่ี จาของมิไดย นิ ดีให.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 35 ๓. ประพฤติผดิ ในกาม หมายความวา การลว งเกนิ สมสูใ นคคู รอง ของผูอื่น หรอื ในบคุ คลที่เขาหวงหาม. การประพฤตชิ ว่ั ดว ยวาจา หมายความวา ทาํ ชว่ั ทางวาจา ซ่ึง ไดแกท างคําพูด พดู ชัว่ มี มี ๔ อยา ง คอื :- ๑. พดู เทจ็ คอื พดู ดว ยความจงใจ มงุ ที่จะใหผ ูฟ ง เขาใจผดิ จาก ความจรงิ แมก ารเขยี นหนังสือปดเขา หรือสนั่ ศรี ษะพยกั หนาใหเ จาเขาใจ ผดิ ก็จัดวาพดู เทจ็ เหมือนกัน เขาจะเชอ่ื หรอื ไมเช่อื ไมเ ปนประมาณ. ๒. พดู สอ เสียด คอื พดู ยุยงประสงคใหบ คุ คลแตกความสามคั คี เขาจะแตกความสามัคคกี ันหรือไมร กั ไมเปน ประมาณ หรอื ใหเขามา รกั ชอบตน เขาจะรักหรือไมรัก ไมเ ปนประมาณ. ๓. พดู คาํ หยาบ คอื พูดเสียดแทงประสงคใ หผ ูอนื่ เจบ็ ใจ ระคายหู ดวยอางวัตถุ ทไ่ี มเปนจริงมาพดู พดู ยกใหส งู กวา พน้ื เพเดมิ ของเขาเรยี กวา ประชด หรือพดู กดใหเปนคนเลวกวาพืน้ เพเดิมของเขาเรยี กวาดา แม การพูดอางเอาขอ ท่บี กพรองท่ีมจี รงิ ในตวั ของเขาขึ้นพดู ดว ยประสงคใ หเขา เจบ็ ใจกเ็ รียกวาดา เปน คาํ หยาบเหมือนกัน เขาจะรูสึกเจบ็ ใจหรอื ไมรสู ึก ไมเปน ประมาณ. ๔. พดู เพอเจอ คอื พดู จาเหลวไหล ไรสาระ พูดดวยความคะนอง วาจา พดู เลน ไมรจู ักกาลเทศะ พดู เลน สาํ นวน พดู ลอ เลยี น ไมไดจ งใจ ใหเ ขาเขาใจผดิ อะไร แตเปน การเสียเวลาที่ฟงคําเชน นน้ั ฟง แลว ไมไ ด ประโยชนอะไรเลย. การประพฤตชิ ว่ั ดว ยใจ หมายความวา ทาํ ชัว่ ทางใจ ซงึ่ ไดแ ก คิดชว่ั มี ๓ อยาง คือ :-

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธิบายธรรมวภิ าค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 36 ๑. โลภอยากไดของเขา คือคิดอยากมที ีจ่ ะเอาส่งิ ของของผอู ่นื มาเปน ของตน โดยวธิ ีทจุ รติ แมไ ดส ิ่งนี้มาแลว กย็ งั คดิ โลภอยากไดสิง่ อนื่ อกี ตอไป ยง่ิ ได ก็ยิ่งคิดโลภอยากไดอ ยูน่ันเอง. ๒. พยาบาทปองรายเขา คือคดิ จองลางจองผลาญเขา มุงที่จะให ทรพั ยส มบัติ เกียรติชอื่ เสยี ง รางกายชีวติ ของเขาพนิ าศไป. ๓. เหน็ ผิดจากคลองธรรม คือคดิ เหน็ ผดิ คลาดเคลอ่ื นจากความ เปนจริง ความเปนจริงทานเรยี กวาคลองธรรม ๆ มอี ยวู า บญุ - บาป มีอยู บิดามารดามีคุณ ทาํ เหตดุ ี ไดผลดี ทําเหตชุ ว่ั ไดผ ลชัว่ , คนจะ ไดดีหรอื ชวั่ เพราะการกระทํา, สังขารทัง้ ปวงไมเ ทยี่ ง, แตความเหน็ ผดิ ตรงกันขา ม คือคิดเหน็ วา บุญ - บาปไมม,ี บิดามารดาไมม ีคุณ, คนดี ความชัว่ ไมมีเหตุ, คนจะดีหรือชวั่ กด็ เี อว ชว่ั เอง ไมใ ชเ พราะการกระทาํ สงั ขารทงั้ ปวงเท่ยี ง เปน อยางไร กค็ งเปนอยางน้ันตลอดไป. ทจุ รติ ทงั้ ๓ อยางน้ี ลวนแตเปน กจิ ท่ีชัว่ รา ยเสียหายดวยกนั หาก จะพิจารณาใหละเอยี ดถีถ่ ว น ก็จะเห็นไดว า มโนทุจรติ เปน ความเสยี หาย รา ยแรงทสี่ ุด เพราะคนเราน้มี ใี จเปนสําคญั ทีส่ ุด เมอื่ ใจชั่วเพราะคิดเห็น ผิดจากทํานองคลองธรรมแลว การทาํ ทางกาย การพูดทางวาจา กย็ อ ม ชัว่ ตามไปดวย กอ ความเดอื ดรอนใจแกตนกอนแลว ทําผูอ ื่นใหเ ดอื ดรอ น ดว ยการทํา การพดู ภายหลัง. ฉะนนั้ ทจุ ริตทง้ั ๓ อยางนี้ เปน กิจไมค วรทํา ควรจะละเสยี .

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 37 สุจริต ๓ อยา ง ๑. ประพฤติชอบดว ยกาย เรยี กกายสุจรติ . ๒. ประพฤติชอบดวยวาจา เรียกวจสี ุจรติ . ๓. ประพฤตชิ อบดวยใจ เรยี กมโนสจุ รติ . กายสจุ ริต ๓ อยา ง เวนจากฆาสตั ว ๑ เวนจากลักฉอ ๑ เวนจากการประพฤติผิด ในกาม ๑. วจสี จุ รติ ๔ อยาง เวนจากพูดเทจ็ ๑ เวนจากพดู สอเสียด ๑ เวน จากพูดคําหยาบ ๑ เวน จากพดู เพอเจอ ๑. มโนสุจริต ๓ อยาง ไมโลภอยากไดของเขา ๑ ไมพยาบาทปองรา ยเขา ๑ เหน็ ชอบ ตามคลองธรรม ๑. สจุ รติ ๓ อยางน้ี เปน กจิ ควรทาํ ควรประพฤต.ิ องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓ อธิบายศัพท คาํ อธิบายศัพทท ั้งปวงในสุจรติ ๓ อยางนี้ นักเรียนพึงทราบโดย นยั อนั ตรงกนั ขา มกบั คําอธิบายในทุจริต ๓ อยาง. อธิบายชื่อหมวดธรรม คนเราจะเปนคนชวั่ หรอื เปนคนดี มใิ ชเพราะชาตติ ระกลู หรือทรพั ย

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 38 แตเ พราะประพฤติทจุ ริต หรอื สจุ ริตตางหาก กลาวคือถา ประพฤติทุจรติ ก็เปน คนชั่ว ถาประพฤติสจุ รติ กเ็ ปนคนด.ี อนั ความประพฤตนิ ้นั กค็ ือการกระทํา และการกระทาํ นน้ั มที างทาํ ได ๓ ทาง คอื ทางกาย ๑ ทางวาจา ๑ ทางใจ ๑ การทําชวั่ หรือ ประพฤติชวั่ ก็ทาํ ได ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทาน จึงเรียกช่ือวาทุจริต ๓ อยาง การทาํ ดหี รอื ประพฤติดีก็ทําได ๓ ทาง คอื ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทา นจงึ เรยี กช่อื วาสุจริต ๓ อยา ง. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. การประพฤตอิ ยา งไร เรียกวา การทจุ รติ ? ๒. การฆาสตั ว จดั เปน ทจุ รติ ถาฆาคนจัดเปนอะไร ? ๓. การลกั ฉอ มคี วามหมายรวมท้งั อะไร ? ๔. การประพฤตผิ ดิ ในกาม หมายความวา อยางไร ? ๕. อะไรเรียกวจีทุจริต ? มีกีอ่ ยา ง ? อะไรบา ง ? ๖. พูดเทจ็ กบั พดู ลอ เสยี ด ตา งกันอยา งไร ? ๗. พูดคาํ หยาบ กับพดู เพอ เจอ เหมือนกันหรอื ตา งกนั อยางไร ? ๘. การประพฤตชิ วั่ ดวยใจ หมายความวา อยา งไร ? มกี ่อี ยา ง ? ๙. ความโลภอยากไดของเขา คอื อะไร ? ๑๐. ความพยาบาทปองรา ยเขา คืออยางไร ? ๑๑. เหน็ ผิดจากคลองธรรม คอื อะไร ? คําวา คลองธรรม ไดแกอ ะไร ? ๑๒. ทจุ รติ ๓ อยาง ๆ ไหนมโี ทษรายแรงทีส่ ุด ? เพราะเหตไุ ร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 39 ๑๓. สจุ รติ กับทจุ รติ ตา งกันอยางไร ? ๑๔. คนเราจะชัว่ หรอื ดี เพราะอะไร ? ชวั่ เอง ดเี องใชไ หม ? ๑๕. ทจุ รติ และ สุจริต มมี ากอยาง เหตใุ ดทานจึงวามีฝายและ ๓ อยาง ? ๑๖. ความเห็นวาบญุ บาปไมมี มารดาบดิ าไมมคี ณุ จัดเขาในทจุ ริต ขอ ไหน ? และเรียกชอ่ื วา อยางไร ? ๑๗. เหตใุ ดทจุ ริตจงึ เปน กจิ ไมค วรทาํ สุจริตเปนกจิ ควรทาํ ? ๑๘. การเขียนหนงั สือบดิ เบือนความจรงิ ใหค นเขาใจผิด จดั เปน ทจุ ริตอะไร ในบรรดาทจุ รติ ๓ อยาง ? ตนเอย ตน ขีเ้ หลก็ มิใชเลก็ คราวออก ดอกชอใหญ ดอกงามดี สีเหลือง เรอื งอาํ ไพ ดอกยอดใบ ขมแรง ตม แกงกิน. เกดิ เปน คน เลก็ ใหญ ในอยา ขม ควรอบรม หวานจติ เปนนิจสิน อันขีเ้ หลก็ แมขม ใชตมกนิ คนขมสนิ้ คณุ คา หมดทา เอย. ศรี ฯ นคร.

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาท่ี 40 อกุศลมลู ๓ อยา ง รากเหงา ของอกุศล เรยี กอกุศลมูล มี ๓ อยา ง คือ โลภะ อยากได ๑ โทสะ คิดประทุษรา ยเขา ๑ โมหะ หลงไมรจู รงิ ๑ ๑ เม่อื อกศุ ลมูลเหลานี้ ๒} ก็ดี มีอยแู ลว ๓ อกุศลอน่ื ทย่ี ังไมเกิด ก็เกิดข้ึน ท่ีเกดิ ข้ึนแลว กเ็ จรญิ มากขึน้ เหตุนน้ั ควรละเสีย. ท.ี ปาฏ.ิ ๑๑/๒๙๑ ขุ. อติ ิ. ๒๕/๒๖๔ อธบิ ายศพั ท ๑. โลภะ แปลวา ความอยากได หมายถึงความละโมบโลภมาก อยากไดสิ่งของของผูอน่ื มาเปนของตนโดยทางทจุ รติ มีความหวิ จัดทาง จติ เปนลักษณะ ผูทถ่ี ูกโลภะครอบงาํ แมจะเปน คนม่งั มีอยูด กี นิ ดี สมบูรณดวยปจ จยั ๔ และเคร่อื งอํานวยความสุขทางกายทกุ ประการ แต ถุ าจติ ยังมโี ลภะอยู ก็ยังรสู กึ วา หิว ไมรจู ักอมิ่ ไมร ูจ กั พอ ไมรูจกั เตม็ ทานเปรยี บเหมอื นไฟไมรูจ ักพอดวยเชอ้ื มหาสมทุ รไมร ูจ ักเตม็ ดวยนาํ้ ฉนั ใด คนโลภ ไมรจู กั อ่ิม - พอ - เตม็ ดวยปจจัย ฉันนน้ั . คนท่มี คี วามอยาก ถาไมเ กนิ ขอบเขต จนถงึ ขึน้ แสวงหาในทางทุจรติ ก็ไมป รากฏวามีโทษ กลับเปนประโยชนในการตัง้ ตวั เขยิบฐานใหดีข้นึ โดยลําดบั . แตถา อยากกนิ ขอบเขต จนถงึ ขน้ั แสวงหาในทางทุจรติ

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนาที่ 41 ก็จดั เปน คนโลภ คนมดื มองไมรูอรรถ ไมเ หน็ ธรรม มกั จะเปน คน เหน็ แกต วั เปนนกั กอบโกย ขโมย ปลน ตู ฉอ โกง คาของเถ่อื น คอรปั ชัน่ เปนตน. ๒. โทสะ แปลวา ความคดิ ประทุษรา ยเขา หมายถึงความไมพ อ ใจ แลว โกรธอยางแรงในบุคคลหรอื ในสัตว เมอื่ ระงับความโกรธไมอยู ก็คดิ ประทษุ รายเขา เชน คิดดา เขา คิดตเี ขา คิดฆาเขา คิดลา งผลาญ สมบัติเขา เปนตน ความคดิ ดังนี้ รวมเรยี กวา โทสะ. คนถูกโทสะครอบงํา เรยี กกันวา คนเจาโทสะ เปนคนมืด มองไม รอู รรถ ไมเ ปนธรรม มกั จะกอกรรมทําเขญ็ อยางรนุ แรง เชน ดา สาปแชง ทุบตี ฆาแมผูมพี ระคุณ เชน มารดา บิดา ครู อาจารย พระสงฆอ งคเ จา พระอรยิ เจา ตลอดถึงคนและสตั วท ว่ั ไปไดอ ยา งทารณุ หากทาํ รายบุคคลไมได ก็ทําลายลางผลาญสมบตั ิ เชน เผาเรือนของเขา เปนตน . ๓. โมหะ แปลวา ความหลง ความโง ความงมงาย หมายถึงอวิชชา คอื รูอะไรไมแจมแจง แลวหลงงมงายอยใู นส่ิงน้ัน ๆ มเี รื่องอะไรพอจะ พิจารณาใหร ูจริง รูเ หตุ รูผล รูด ี รชู ั่วได แตไมพ ิจารณาใหรูจริง หรือพิจารณา แตไมสามารถรตู ามความเปน จริง น้ีเรยี กวาโมหะ. คนถูกโมหะครอบงํา เรียกกนั วา คนเจา โมหะ หรือคนหลง เปน คนมดื มองไมรอู รรถ ไมเหน็ ธรรม ยอมทาํ ผดิ ตาง ๆ ไดท ุกอยาง ตั้งแตผดิ เล็ก ๆ นอ ย ๆ ขึ้นไปจนถึงขนั้ อนันตริยกรรม เหมือนอยางท่ีคน เจาโลภและเจา โทสะกระทาํ แตเ มื่อแยกประเภทความผิดท่คี นหลงกระทํา ทีส่ อใหเห็นวา ทาํ ดวยอาํ นาจความโวเ ขลาเบาปญญา เชน ลบหลู

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ที่ 42 คณุ ทา น ตตี นเสมอทา น ริษยา โออ วด หัวดอ้ื เกียจคราน หเู บา มวั เมา เผอเรอ เปนตน. อธิบายชอ่ื หมวดธรรม โลภะ โทสะ โมหะ ท้ัง ๓ น้ี ชื่อวา อกศุ ลมูล แปลวา รากเหงา ของอกุศล. อกศุ ล แปลวา สวนทีไ่ มดี. อนั ความไมด ที ง้ั ปวง ยอ มเกดิ จากรากเหงา ที่ไมดี ๓ อยาง มอิ ยา งใดก็อยา งหน่งึ หรือ ๒ อยา ง หรือครบท้งั ๓ อยา ง เปรยี บเหมอื นวชั พชื คอื ผกั หญา ที่ไมด ีนานา ชนิด มีอุตพดิ เปนตน ยอ มเกดิ จากรากเหงา ชนิดที่ไมด นี นั่ เอง. เม่ืออกศุ ลมูล คือโลภะ มอี ยู อกุศลอนื่ เชน ความเหน็ แกต วั การขโมย เปน ตน ทยี่ งั ไมเ กิด ก็ยอมเกิดข้นึ ก็เกดิ ขน้ึ แลว ก็ย่งิ เจรญิ มากขนึ้ เหตนุ นั้ ควรละโลภะเสียดวยการบรจิ าคทาน เปนตน . เมอ่ื อกศุ ลมูล คือโทสะ มอี ยู อกุศลอืน่ เชน การดา การตี การฆา ทารณุ กรรม เปน ตน ท่ียงั ไมเกิด กย็ อมเกิดขน้ึ ที่เกดิ ข้นึ แลว กย็ ง่ิ เจรญิ มากข้ึน เหตุนน้ั ควรละเสียดวยการเจรญิ เมตตา เปนตน . เม่ืออกุศลมลู คือโมหะ มอี ยู อกุศลอื่น เชน การลบหลูคณุ ทา น ความเกียจคราน ความด้ือดาน เปน ตน ทยี่ งั ไมเกิด ก็ยอ มเกิดขึ้น ท่ีเกดิ แลว ก็ยิง่ เจริญมากข้ึน เหตุนน้ั ควรละเสยี ดวยการศกึ ษาใหเ กดิ ปญ ญา. คาํ ถามสอบความเขาใจ ๑. โลภะ แปลวาอยา งไร ? หมายถึงอะไร ? คนถกู โลภะครอบงํา จติ มคี วามรูส กึ อยา งไร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธิบายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนา ที่ 43 ๒. คนมคี วามอยาก กับคนมีความโลภ ตา งกันอยางไร ? ๓. โทสะ แปลวา อยา งไร ? หมายถึงอะไร ? ๔. คนถูกโทสะครอบงําจิต มกี ริ ยิ าอาการอยา งไร ? ๕. โมหะ แปลวาอยางไร ? หมายถึงอะไร ? ๖. คนถกู โมหะครอบงาํ จติ จัดเปน คนอยา งไร ? ๗. อะไรเรียกวา อกศุ ลมูล ? อกุศลมูล แปลวาอยางไร ? ๘. อกศุ ล แปลวา อยางไร ? เกิดจากอะไร ? ๙. คนทีเ่ ห็นแกตวั กด็ ี คนที่ขโมยของของเขากด็ ี มีอะไรเปนมลู เหตุ จะกําจดั มลู เหตนุ ั้นไดด ว ยอะไร ? ๑๐. คนท่เี ที่ยวดาเขาหรือทุบตีเขา เพราะมีอะไรเปน มลู เหตุ ? จะละเหตนุ น้ั ไดด ว ยอะไร ? ๑๑. คนเกยี จคราน ดานด้อื หู เบา มวั เมาเหลานี้ มีอะไรเปน ขอ มูล ? จะละขอ มูลนัน้ ไดดวยวธิ ีใด ? ๑๒. ความประพฤตเิ สียหายของบางคนบางพวกที่เปน ปญหาสังคม อยใู นเวลานีก้ ด็ ี ความประพฤติไมถ ูกไมค วรของบุคคลบางคน กด็ ี ถาวิจัยถงึ สาเหตุตามหลกั ธรรม ทา นเรียนธรรมมาแลว โปรดวจิ ยั ถึงสาเหตุขอน้ีมาดู ? ๑๓. อกศุ ลมลู คืออะไร ? มีเทาไร ? อะไรบา ง ? จะรไู ดอยา งไร วา มันเกดิ ข้ึน ? เม่อื เกดิ แลวควรทาํ อยางไร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทท่ี ๑ - หนาท่ี 44 กศุ ลมลู ๓ อยาง รากเหงา ของกศุ ล เรียกกุศลมลู มี ๓ อยา ง คือ อโลภะ ไมอยากได ๑ อโทสะ ไมค ดิ ประทุษราย ๑ อโมหะ ไมห ลง ๑ ๑ ถา กศุ ลมลู เหลานี้ ๒} กด็ ี มอี ยูแลว ๓ กศุ ลอืน่ ท่ียังไมเ กิด กเ็ กดิ ขนึ้ ทเี่ กิดแลว ก็เจรญิ มากขึ้น เหตุนน้ั ควรใหเกดิ มใี นสนั ดาน. ท.ี ปาฏิ. ๑๑/๒๙๒ อธบิ ายศพั ท ๑. อโลภะ แปลวา ความไมอ ยากได หมายถงึ ไมอ ยากไดในทาง ทจุ ริต แตยงั มีความอยากไดในทางสุจรติ เชน ทาํ นา ทําสวน คา ขาย เปน ตน แมพ ระพทุ ธเจาเองก็ยงั เสดจ็ บณิ ฑบาตเพ่ือไดอ าหาร และทรง แนะนาํ ใหภ ิกษแุ สวงหาปจจัย ๔ ในทางทีช่ อบ. ๒. อโทสะ แปลวา ความไมคิดประทษุ รา ย หมายความวา ไม ทําใหค วามโกรธเกิดขึน้ ในใจ เมอื่ จะตองปฏบิ ตั กิ ิจการงานไป ในคราวที่ ตองลงโทษผูอื่น กท็ าํ ตามคลองธรรมท่เี รียกวายุติธรรม ไมทาํ ดวยอาํ นาจ โทสะ เชน พอ แมเ ห็นลูกทาํ ผิดก็ตอ งลงโทษ แตล งโทษตามสมควร ชแี้ จงใหเขารจู ักผดิ รชู อบ แลว จึงลงโทษตามสมควร ไมใ ชโทสะ ไมลุอํานาจโทสะ.

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปริเฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 45 ๓. อโมหะ แปลวา ไมห ลง หมายความวา เมอ่ื มีเร่อื งราวมาประสบ จะตองปฏบิ ตั ิ กใ็ ชปญญาพิจารณาจบั เหตุจบั ผล เลือกดวู าควรทาํ อยางไร ควรจดั อยางไรแลวก็ทาํ ไป ไมทาํ ดวยอํานาจอคติ คอื ฉันทะ โทสะ ภยะ โมหะ. อธบิ ายชือ่ หมวดธรรม อโลภะ อโทสะ อโมหะ ทั้ง ๓ อยา งน้ี ชอื่ วา กศุ ลมลู แปลวา รากเหงาของกศุ ล. กศุ ลคอื ความด.ี ความดีทั้งปวง เกดิ จากราก เหงาที่ดี ๓ อยา ง มอิ ยา งใดกอ็ ยางหนง่ึ หรือ ๒ อยาง หรอื ท้ัง ๓ อยาง เปรียบเหมอื นสุคันธชาต คอื ของหอมนานาชนดิ เชน ดอกมะลิ พกิ ลุ กุหลาบ บัวหลวง เปนตน ยอ มเกดิ จากรากเหงาพชื พันธทุ ดี่ ีน่ันเอง. เม่อื กศุ ลมลู คอื อโลภะ มีอยแู ลว กุศลอนื่ เชน การบรจิ าคทาน เผ่ือแผเจอื จานเฉล่ียสขุ ใหแ กผูอื่น ดว ยใหกําลงั กายบา ง กําลังความคดิ บา ง กําลังทรัพยบาง ทย่ี ังไมเ กดิ กเ็ กดิ ขึ้น ทีเ่ กิดแลว ก็เจริญมากขน้ึ เหตุน้ัน ควรใหเกดิ มีขึ้นในสนั ดาน ดว ยการประกอบสัมมาอาชพี และ บริจาคทาน เปน ตน. เม่อื กุศลมูล คอื อโทสะ มอี ยูแลว กุศลอนื่ เชน การชว ยชวี ิตเขา การปลดเปลอ้ื งเขาใหพน จากความทุกขท รมาน ทยี่ ังไมเกิด ก็เกดิ ขนึ้ ทเี่ กดิ แลว ก็เจรญิ มากขน้ึ เหตุน้นั ควรใหเกดิ มีในสันดาน ดวยการเจรญิ เมตตา กรณุ า เปน ตน. เมอื่ กศุ ลมลู คอื อโมหะ มีอยแู ลว กศุ ลอนื่ เชน สติ สมั ปชัญญะ ธรรมวิจัย ความเพยี ร ความออนนอมถอ มตน ความมใี จคอหนักแนน

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวภิ าค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนาที่ 46 ความเทยี่ งธรรม เปนตน ท่ยี งั ไมเ กดิ กเ็ กดิ ขึน้ ทีเ่ กดิ แลว ก็เจริญมากขึ้น เหตนุ ้นั ควรใหเกิดมใี นสนั ดาน ดว ยการคบหาสมาคมกบั บัณฑติ แลว หม่นั ฟง หม่นั คดิ หมน่ั สอบสวนเร่ืองตา ง ๆ ทค่ี วรรู. คาํ ถามสอบความเขา ใจ ๑. อโลภะ แปลวา อยา งไร ? หมายถงึ อะไร ? ๒. คนทาํ นาทาํ สวนกด็ ี พระบณิ ฑบาตก็ดี เพอื่ ไดอาหารเลย้ี งชวี ติ โดยทางสุจรติ เชน น้จี ะจัดวาเปน ผูมโี ลภะ หรืออโลภะ ? ๓. อโทสะ แปลวาอยา งไร ? หมายความวา อยางไร ? ๔. ในคราวทม่ี ารดาบดิ าลงโทษแกบตุ รผูทาํ ผิด จะถือวา มารดา บดิ าทําดี หรอื ทําไมด ี ? เพราะเหตุไร ? ๕. อโมหะ แปลวา อยางไร ? หมายความวาอยา งไร ? ๖. คนที่ทาํ อะไรดวยอาํ นาจอคติ จดั วาเปน คนมโี มหะ หรอื อโมหะ ? ๗. อะไรช่ือวา กศุ ลมลู ? กศุ ลมลู แปลวาอะไร ? ๘. ความดเี กดิ จากอะไร ? ๙. กศุ ลอนื่ ทเ่ี กิดจากอโลภะ เชนอะไรบา ง ? ๑๐. กุศลอ่นื ท่ีเกิดจากอโทสะ เชน อะไรบา ง ? ๑๑. กุศลอื่นท่ีเกดิ จากอโมหะ เชน อะไรบา ง ? ๑๒. อโลภะ อโทสะ อโมหะ ควรใหเ กิดมีขนึ้ ในสันดาน ดว ย การกระทาํ อยางไร ?

แบบประกอบนกั ธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๑ - หนา ท่ี 47 สัปปุริสบญั ญัติ คอื ขอทท่ี านสัตบุรุษ ต้ังไว ๓ อยา ง ๑. ทาน สละสง่ิ ของของตนเพื่อเปน ประโยชนแ กผ อู ืน่ . ๒. ปพ พัชชา ถือบวช เปน อบุ ายเวนจากเบียดเบยี นกนั และกนั . ๓. มาตาปตอุ ุปฏ ฐาน ปฏิบัตมิ ารดาบดิ าของตนใหเปนสขุ . อง.ฺ ตกิ . ๒๐/๑๙๑ อธบิ ายศัพท ๑. ทาน ในที่นี้ แปลวา สละส่ิงของ ๆ ตนเพอ่ื ประโยชนแกผ ูอื่น. หมายความวา เจตนาอันคิดเผ่ือแผเหลยี วแลถงึ ผูอ่นื ไมด ดู าย มีทางจะ สงเคราะหผูอืน่ ไดโ ดยประการใด กท็ าํ โดยประการนั้น โดยฐานอนุเคราะห บา ง บชู าคุณบา ง ดว ยการเฉลี่ยพสั ดุส่งิ ของ ใหแ บบสัตบรุ ุษ เรียก สปั ปรุ สิ ทาน ๕ อยาง คอื :- ๑. ใหด วยศรทั ธา. ๒. ใหด วยความเคารพ. ๓. ใหต ามเวลาท่ีควรให. ๔. ใหดวยใจอนเุ คราะห. ๕. ใหโดยไมกระทบตนและผูอ่นื . ในหมชู นท่รี วมกันอยูเ ปนสขุ ไดก็ตอ งอาศัยทานโดยประการดังกลาว มานี้ ช้ีตวั อยาง เชน เดก็ ออน อาศัยทานท่พี อ แมหรือผูท่อี ยใู นฐานะ พอ แมใ หคือเลี้ยงมา พอ แมห รอื ผูท อี่ ยใู นฐานะพอแม ก็อาศยั ทานท่ลี ูกให

แบบประกอบนักธรรมตรี - อธบิ ายธรรมวิภาค ปรเิ ฉทที่ ๑ - หนา ท่ี 48 การเล้ยี งดใู นยามเจ็บไขห รือภายแก. ผปู กครองประเทศอาศยั ทานท่ีราษฎร เสยี ภาษี หรอื อากร หรอื เงนิ อะไรตาง ๆ ที่บัญญตั ขิ ้ึน แมราษฎรกอ็ าศยั ทานทผ่ี ปู กครองเฉลี่ยลงมาใหต ามความเหมาะสม. ในทางพระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจาและพระสงฆอ าศยั ทานของผูศ รัทธาถวาย ท่ีพุทธบริษัท กอ็ าศยั ทาน อนั ไดแ กค ําสงั่ สอน ที่เรียกวาธรรมทาน ท่ีพระพทุ ธเจา หรอื พระสงฆมอบให. ๒. ปพพัชชา แปลวา ถือบวช หมายความวา เวนจากการ เบยี ดเบียนซึ่งกนั และกัน. อบุ ายเวนจากการเบียดเบียนกันมี ๓ อยา ง คอื ๑. อหงิ สา ไมคิดเบียดเบยี นผอู ่ืน โดยเลง็ เหน็ วา เรารกั สุข เกลยี ดทุกขฉ นั ใด ผูอ น่ื กฉ็ นั นน้ั จึงงดเวนจากการคดิ เบยี ดเบียนเขา. ๒. สญั ญมะ ความสํารวมระวงั , เพราะจติ เปนธรรมชาตกลับ- กลอกเร็ว อาจจะคิดเบยี ดเบียนเขาก็มบี า ง เหน็ ผิดจากคลองธรรมไปบา ง จงึ ตองระวังไวอ ยา ใหคิดเชนนัน้ . ๓. ทมะ การปราบปราม, คอื หากจิตคิดเบียดเบียนเขา เปน ตน เกดิ ขน้ึ แลว ตอ งรับปราบปรามใหสงบ. น้ีแลเปน อบุ ายใหเ วนจากการ เบยี ดเบยี นกนั และกนั ได. อนั การถอื บวชดว ยอุบายดงั กลาวน้ี ยอ มปฏบิ ัติไดท้งั บรรพชติ ผถู อื เพศนักบวช ทงั้ คฤหัสถผูอยคู รองเรอื น ฉะนั้น การถอื บวชน้ีเปน การดี ชว ยใหห มชู นอยูรวมกันไดโ ดยผาสกุ สวัสด.ี ๓. มาตาปต อุ ปุ ฏฐาน แปลวา ปฏบิ ตั มิ ารดาบดิ าของตนใหเปน สุข หมายความวา คนเราทกุ คนมีมารดาบิดาเปนผูมพี ระคณุ อยา งสูงสุดและ มารดาบดิ าก็ชือ่ วาเปนพรหมของบุตร เพราะเปน ผใู หก าํ เนดิ และเพราะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook