เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 1 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แผนการสอนวิชาบาลีไวยากรณ เลม ๒ หนว ยที่ ๑ เร่ือง อาขยาต เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคญั ศัพทที่แสดงลักษณะอาการของนามนาม เชน ยืน เดิน น่ัง นอน เปนตน เรียกวา “อาขยาต” ในอาขยาตน้ันตองประกอบ วิภัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ วาจก ปจจัย จดุ ประสงค ๑. เพือ่ ใหนักเรียนรแู ละเขา ใจถงึ กริ ิยาอาขยาต และนำไปใชไดอยางถกู ตอ ง ๒. เพ่ือใหนักเรียนรูและเขาใจเคร่ืองปรุงอาขยาต นำธาตุไปแจกดวย วิภตั ติไดอ ยา งถกู ตอ ง เนอ้ื หา ๑. อาขยาต ๒. สวนประกอบท่ีสำคัญของอาขยาต กิจกรรม ๑. ประเมนิ ผลกอ นเรียน ๒. ใหน กั เรียนทอ งวภิ ตั ติ ๓. ครูนำเขา สูบ ทเรยี นและอธบิ ายเน้ือหา ๔. บตั รคำ 1
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 2 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๕. ครสู รุปเนอื้ หาทั้งหมด ๖. ประเมินผลหลงั เรียน ๗. ใบงาน ๘. กิจกรรมเสนอแนะ - ใหน กั เรยี นคนควา ศพั ทอาขยาตในหนงั สอื บาลี โดยจัดเปนกลมุ ส่อื การสอน ๑. ตำราที่ใชประกอบการเรยี น-การสอน ๑.๑ หนังสอื พระไตรปฎก ๑.๒ หนังสือพจนานกุ รม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบุญ สำนักเรยี นวดั ปากน้ำ ๑.๓ หนังสือพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนงั สอื พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ๑.๕ หนงั สอื บาลไี วยากรณ นพิ นธ โดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนังสือปาลทิ เทศ ของ สำนกั เรียนวัดปากน้ำ ๑.๗ คมั ภีรอภธิ านปั ปทีปก า ๑.๘ หนังสือพจนานกุ รมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อุปกรณที่ควรมีประจำหองเรยี น ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรือ กระดานไวทบอรด ๒.๒ เครื่องฉายขา มศีรษะ (Over-head) ๒.๓ คอมพวิ เตอร - โปรเจคเตอร ๓. บตั รคำ ๔. ใบงาน 2
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 3 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò วธิ วี ัดผล-ประเมินผล ๑. สอบถามความเขา ใจ ๒. สังเกตพฤตกิ รรมการมีสวนรว มในกจิ กรรม ๓. สังเกตความกา วหนา ดานพฤตกิ รรมการเรียนรขู องผูเ รยี น ๔. ตรวจใบงาน ๕. ตรวจแบบประเมนิ ผลกอ นเรยี น-หลงั เรยี น 3
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 4 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) อาขยาต นักเรียนไดศึกษาความรูทางดานบาลีไวยากรณ ในสวนของนามตนและนาม ปลาย ก็ถือไดวามีความเขาใจพื้นฐานทางดานไวยากรณมาในระดับหน่ึง ในสวนของ หนังสือเลมนี้ จะกลาวถึงกิริยาซึ่งเปนองคประกอบสำคัญอยางหน่ึงของประโยคใน ภาษาบาลี บทกิริยาดังกลาวจะแสดงลักษณะอาการของนามนามอันทำหนาที่เปน ประธานในประโยค ซ่งึ นกั ปราชญบญั ญัติเรียกวา “อาขยาต” ๑. ความหมายของอาขยาต คำวา “อาขยาต” ไดมนี ักวชิ าการหลายแขนงใหค วามหมายไวต า งๆ กนั ออกไป ดังตอไปน้ี อาขยฺ าต (นปุง.) ช่ือปกรณบาลีไวยากรณปกรณหน่ึง. กิริยํ อาขฺยาตีติ อาขยฺ าตํ (ปทํ สททฺ ชาต)ํ . กริ ยิ ํ อาจกิ ขฺ ตตี ิ อาขยฺ าต.ํ รปู ฯ ๒๔๐. อาขยฺ าตตี ิ อาขยฺ าต.ํ อภฯิ . อา บทหนา ขยฺ า ธาตใุ นความกลา ว ต ปจ. ซอ น กฺ เปน อาขฺยาต บาง. (พจนานกุ รม มคธ-ไทย โดย พนั ตรี ป. หลงสมบญุ สำนกั เรยี น วดั ปากนำ้ จดั พมิ พ ๒๕๔๐ หนา ๘๔) อาขยาต (-ขะหยาด) ว. กลาวแลว. น. ชื่อตำราไวยากรณบาลีและ สันสกฤตวาดวยกริ ยิ า. (ป., ส.). (พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หนา ๙๑๔) ในหนังสือคูมือเลมน้ีจะใหความหมายของคำวา “อาขยาต” เชนเดียวกับ นักวิชาการทานอื่น ๆ คือ “ศัพทกลาวกิริยา คือ การกระทำของนามนาม เพื่อใหรูวา นามนามนั้นเปน อยา งไร เปน ตน วา ยืน เดิน นั่ง นอน ทำ กนิ ดืม่ พดู คดิ ” ดังภาษาไทยวา คนไปบาน คำวา “ไป” เปนกิริยา แสดงใหรูวา “คนไป” ตน ไมล ม คำวา “ลม ” เปน กริ ยิ าแสดงใหร วู า “ตน ไมล ม ” ดงั นเี้ ปน ตน จงึ จดั เปน กริ ยิ า 4
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 5 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ตวั อยา ง กิรยิ าอาขยาต ประธาน มคธ กริ ยิ า ประธาน ไทย คำขยาย คำขยาย อาขยาต กิริยา กิรยิ า ชโน กิริยา ติฏ ติ ชน ในสำนกั นโร สนฺติเก คน ยนื อยู ปรุ โิ ส คจฺฉติ บุรษุ ไปอยู สูบา น โคโณ คามํ โค ทำอยู กมฺมนฺตํ กโรติ กินอยู ซึ่งการงาน ตณิ านิ ขาทติ ซึง่ หญา ท. แตศัพทท่ีกลาวกิริยาหาไดช่ืออาขยาตเสมอไปไม เพราะยังมีศัพทที่แสดง กิริยาอีกแผนกหนึ่ง คือ กิริยากิตก การที่เราจะสังเกตใหทราบแนชัดได ตองอาศัย สังเกตดูเครื่องปรุงของศัพทน้ันๆ เพราะกิริยาศัพทท้ังหมด ยอมมีมูลเดิมมาจากธาตุ คอื ศพั ทอ นั เปน มลู รากเปน สำคญั เสมอกนั เมอ่ื จะใหเ ปน กริ ยิ าฝา ยใด กใ็ ชเ ครอ่ื งประกอบ ของฝายนั้นปรับปรุงเขา เครื่องปรุงเปนเหตุใหสังเกตรูไดวาเปนกิริยาแผนกไหน ตลอดถึงพวกนามศัพทก็ยังตองมีเครื่องปรุงประจำแผนกของตนๆ คือ ลิงค วจนะ วภิ ตั ติ เพอื่ เปน เคร่ืองหมายใหทราบไดวา เปน ศพั ทจำพวกนามศัพท ฉะน้ัน ศัพทที่จะไดช่ือวาอาขยาต ก็ตองประกอบพรอมดวยเครื่องปรุง สำหรับอาขยาต อันทานจัดไวเปนสวนๆ สำหรับทำหนาที่ของตนๆ ซึ่งจะขาดเสีย แมแตอยางใดอยางหนึ่งไมได ถาขาดเสีย ก็เทากับวาศัพทนั้นมีความเปนอาขยาตยัง ไมส มบูรณ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 5
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 6 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) วิเคราะหอาขยาต อาขยาต มาจาก อา บทหนา ขยฺ า ธาตใุ นความกลา ว ต ปจ จยั มวี เิ คราะหว า “(กิรยิ )ํ อาขยฺ าตีติ อาขฺยาตํ (สทฺทชาตํ)” (ยํ สทฺทชาตํ กริ ยิ ํ อาขฺยาติ อติ ิ ตํ สททฺ ชาตํ อาขยฺ าต)ํ แปลวา “ยํ สทฺทชาตํ - อ.สัททชาตใด อาขฺยาติ - ยอมกลาว กิริยํ - ซ่ึง กริ ิยา อติ ิ - เพราะเหตนุ ้นั ตํ สทฺทชาตํ - อ.สัททชาตนนั้ อาขยฺ าตํ - ช่อื วา อาขยาต อาขยาต แปลวา ศัพทกลาวกิรยิ า” ความสำคัญของอาขยาต เม่ือผศู ึกษาไดเรียนรูถึงนามศพั ท คือ คน สัตว ที่ ส่ิงของ พรอ มดวยลักษณะ และคำแทนชื่ออันเปนสวนวาดวยนามแลว ยังตองเรียนรูถึงความเคลื่อนไหวหรือ ความคงท่ีอันเปนเครื่องแสดงการกระทำของนาม ซึ่งไดแกกิริยาอีก เพราะเพียงแต นามศัพทห าเปน เครอ่ื งใหรถู ึงความเปน ไปของภาษามคธไดเพยี งพอไม มิฉะนนั้ กจ็ ะรู แตเพียงชื่อ ซึ่งหาใหสำเร็จประโยชนอยางแทจริงในการเขาใจภาษามคธไดพอแก ความประสงคไ ม ลำพงั นามศัพทเ ปน แตเ พยี งแสดงชอื่ ลักษณะ หรอื คำแทนชอ่ื เทา นั้น ถาไมมี กิริยาเปนเคร่ืองประกอบอีกตอหน่ึงแลว จะทราบไมไดเลยวา นามศัพททำอะไรบาง ฉะนนั้ อาขยาต จึงมีความสำคัญดงั น้ี ๑. เปนสว นแสดงออกถึงอากปั กิรยิ าของนามนาม ๒. เปนสวนสำคัญของกิริยา คอื ใชเปนกิรยิ าคุมพากย ๓. มีเครื่องปรุงเปนสวนเฉพาะ เม่ือประกอบแลวยอมเปนเครื่องหมาย สองเน้ือความใหช ัดเจนย่ิงข้นึ ๒. เครือ่ งปรุงของอาขยาต ศัพทกิริยาท่ีเปนแตเพียงกลาวออกมาเลยๆ โดยยังมิไดมีเครื่องปรุงอยางใด อยางหน่ึงเขาประกอบ ก็คงยังรูไมไดเลยวาเปนกิริยาแผนกไหน ฉะน้ัน ศัพทกิริยาที่ 6
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 7 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò จะไดน ามวา อาขยาตกเ็ ชน กนั กอ นทจ่ี ะสำเรจ็ รปู เปน อาขยาตได กต็ อ งอาศยั เครอ่ื งปรงุ สวนตางๆ ของอาขยาต ทำหนาที่รวมกันปรับปรุงประกอบใหเปนรูปขึ้น เหมือนเรือน ท่ีจะสำเร็จเปนรูปเรือนขึ้นได ตองอาศัยทัพพสัมภาระตางๆ ซ่ึงเปนเครื่องสำหรับทำ เรือน อันบุคคลนำมาผสมประกอบกนั ฉะน้ัน กริ ิยาอาขยาต จึงประกอบดวยเครอื่ งปรงุ ๘ ประการ คือ ๑. วภิ ตั ติ ๒. กาล ๓. บท ๔. วจนะ ๕. บุรษุ ๖. ธาตุ ๗. วาจก ๘. ปจ จยั เคร่ืองปรุงทั้ง ๘ น้ี แตละอยาง ๆ ยอมมีหนาท่ีท่ีจะตองทำตามสวน ไม สบั สนปนคละกัน สว นไหนมีหนาทอ่ี ยางไร จะไดกลา วในหนวยตอไป ๓. สว นประกอบทส่ี ำคญั ของอาขยาต ในเคร่อื งปรุงท้ัง ๘ นี้ บางอยา งก็มคี วามสำคญั มาก คอื ใหส ำเร็จกจิ ในหนา ท่ี ของตนไดโ ดยอสิ ระลำพังตน มิตองอาศยั เคร่อื งปรุงอยางอ่ืนประกอบ เครอื่ งปรงุ เหลา น้ี เฉพาะท่ีสำคัญมีอยู ๓ คือ วิภัตติ ธาตุ ปจจัย เครื่องปรุงทั้ง ๓ น้ี เปน หลกั เปน หวั หนา ของสว นอน่ื ๆ เพราะเปน ทอี่ าศยั ปรากฏของสว นตา งๆ บางอยางก็มคี วามสำคัญ นอย คือตองอาศัยเคร่ืองปรุงอยางอ่ืนเปนเคร่ืองปรากฏ รับหนาที่รองลงไปตามลำดับ ชนั้ เครอ่ื งปรุงเหลา นไี้ ดแก กาล บท วจนะ บรุ ษุ วาจก ทั้ง ๕ น้ี เวนวาจกอยา งเดียว อาศยั วิภัตตเิ ปน เคร่อื งปรากฏ จึงทำหนา ทข่ี องตนได จัดวามวี ภิ ัตติเปนแดนเกดิ ถาไม มีวิภัตตกิ ท็ ำหนา ทีไ่ มได เม่ือกลาวถึงวิภัตติ ก็เปนเหตุใหเก่ียวโยงถึงดวยธาตุ ที่สำคัญก็เพราะวา ธาตุเปนรากเหงาของศัพทกิริยาทั้งหมด อาขยาตทั้งหมดตองอาศัยธาตุเปนรากเหงา จึงนับวาเปนเหตุอันสำคัญยิ่ง ซ่ึงไดเกิดผลเปนอาขยาต เพราะถาขาดธาตุ เครื่อง ประกอบอน่ื ๆ กห็ าประโยชนอะไรมไิ ด โดยเหตทุ ่ไี มม ตี ัวตั้งสำหรบั จะปรุง ปจจัยเปนเครื่องอาศัยปรากฏของวาจก เมื่อปจจัยปรากฏ ก็เปนเครื่องชี้ให ทราบวาจกได จึงนบั เปน เครื่องปรุงที่สำคญั ยิ่งสวนหนงึ่ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 7
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 8 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò แบบประเมนิ ผลตนเองกอ นเรยี น หนวยที่ ๑ จดุ ประสงค เพื่อประเมนิ ความรเู ดิมของนักเรียนเก่ียวกบั เรื่องอาขยาต คำสงั่ ใหนักเรียนอานคำถามแลววงกลมรอบขอคำตอบท่ีถูกตองท่ีสุด เพียงขอเดียว ๑. คำวา “อาขยาต” มีวเิ คราะหวาอยา งไร ? ก. อาขฺยาติ ตนฺติ อาขยฺ าตํ ข. กริ ยิ ํ อาขฺยาติ เตนาติ อาขฺยาตํ ค. กิริยํ อาขฺยาติ เอตถฺ าติ อาขยฺ าตํ ง. กริ ิยํ อาขยฺ าตีติ อาขฺยาตํ ๒. คำวา “อาขยาต” หมายถงึ อะไร ? ก. ศพั ทกลาวนาม ข. ศัพทกลาวจำนวน ค. ศัพทก ลาวกริ ิยา ง. ศพั ทกลา วคณุ นาม ๓. ขอใดระบุความสำคญั ของอาขยาตไดถกู ตอง ? ก. ทำใหเ น้ือความสละสลวย ข. เปน อุปการะในการแปล ค. ใชเ ปน กริ ยิ าคมุ พากย ง. ใชเปน กิริยาในระหวา ง ๔. ในประโยควา “ภกิ ขฺ ุ คามํ ปณฑฺ าย ปวิสต.ิ ” ศัพทใ ดเปน อาขยาต ? ก. ภกิ ขฺ ุ ข. คามํ ค. ปณฺฑาย ง. ปวิสติ ๕. คำใดเปนลักษณะของอาขยาต ? ก. บุรุษ ข. ทาน ค. ฟง ง. ดรุ า ย ๖. เครอ่ื งปรงุ อาขยาตมที ัง้ หมดกี่อยาง ? ก. ๖ อยาง ข. ๗ อยาง ค. ๘ อยา ง ง. ๙ อยา ง เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 8
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 9 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๗. ขอความวา “ประชาชนมีจิตเลอ่ื มใสเดินไปวัด” คำใดบงถงึ กริ ยิ า ? ก. ประชาชน ข. มจี ิตเล่อื มใส ค. เดนิ ไป ง. วดั ๘. ขอใดทบี่ งถงึ กริ ยิ าของนามไมครบ ? ก. ยืน เดนิ นัง่ ข. ทำ พูด คดิ ค. ฟง ถาม เขียน ง. นอน ดกึ เชา ตรู ๙. เครอื่ งปรงุ อาขยาตที่จะขาดไมไ ดเ ลย คอื อะไรบาง ? ก. วภิ ัตติ วาจก ปจ จยั ข. กาล ธาตุ ปจ จยั ค. บท วจนะ บุรษุ ง. วิภตั ติ ธาตุ ปจ จัย ๑๐. วิภตั ติอาขยาตบอกใหร ูอะไรบา ง ? ก. กาล บท วาจก ปจ จัย ข. กาล บท วจนะ บรุ ุษ ค. บท วจนะ บุรุษ ธาตุ ง. กาล ธาตุ วาจก ปจจยั เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 9
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 10 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมนิ ผลตนเองหลังเรียน หนวยที่ ๑ จดุ ประสงค เพอื่ ประเมนิ ผลความกา วหนาของนักเรยี นเกยี่ วกบั เร่อื งอาขยาต คำสง่ั ใหนักเรียนอานคำถามแลววงกลมรอบขอคำตอบที่ถูกตองท่ีสุด เพียงขอเดียว ๑. คำวา “อาขยาต” หมายถงึ อะไร ? ก. ศพั ทก ลาวนาม ข. ศพั ทกลา วจำนวน ค. ศัพทก ลาวกิริยา ง. ศัพทก ลา วคุณนาม ๒. คำวา “อาขยาต” มีวิเคราะหวาอยา งไร ? ก. อาขยฺ าติ ตนตฺ ิ อาขฺยาตํ ข. กิริยํ อาขยฺ าติ เตนาติ อาขยฺ าตํ ค. กิรยิ ํ อาขฺยาติ เอตฺถาติ อาขฺยาตํ ง. กริ ิยํ อาขฺยาตตี ิ อาขยฺ าตํ ๓. คำใดเปนลักษณะของอาขยาต ? ก. บุรษุ ข. ทาน ค. ฟง ง. ดุราย ๔. ในประโยควา “ภกิ ฺขุ คามํ ปณฺฑาย ปวสิ ติ.” ศพั ทใดเปน อาขยาต ? ก. ภิกขฺ ุ ข. คามํ ค. ปณฺฑาย ง. ปวิสติ ๕. ขอ ใดระบคุ วามสำคญั ของอาขยาตไดถกู ตอง ? ก. ทำใหเ นอ้ื ความสละสลวย ข. เปน อปุ การะในการแปล ค. ใชเ ปน กิริยาคมุ พากย ง. ใชเ ปนกริ ิยาในระหวา ง ๖. เคร่ืองปรุงอาขยาตมที ง้ั หมดก่อี ยา ง ? ก. ๖ อยา ง ข. ๗ อยา ง ค. ๘ อยาง ง. ๙ อยาง เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 10
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 11 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ๗. วิภัตติอาขยาตบอกใหร อู ะไรบาง ? ก. กาล บท วาจก ปจ จยั ข. กาล บท วจนะ บรุ ุษ ค. บท วจนะ บรุ ุษ ธาตุ ง. กาล ธาตุ วาจก ปจ จยั ๘. ขอ ความวา “ประชาชนมจี ิตเลอ่ื มใสเดินไปวัด” คำใดบงถึงกริ ยิ า ? ก. ประชาชน ข. มีจติ เลอ่ื มใส ค. เดนิ ไป ง. วดั ๙. ขอใดทบ่ี งถงึ กิริยาของนามไมค รบ ? ก. ยืน เดิน นัง่ ข. ทำ พดู คิด ค. ฟง ถาม เขยี น ง. นอน ดกึ เชาตรู ๑๐. เครอื่ งปรงุ อาขยาตท่ีจะขาดไมไดเลย คอื อะไรบาง ? ก. วิภตั ติ วาจก ปจ จยั ข. กาล ธาตุ ปจ จัย ค. บท วจนะ บุรษุ ง. วภิ ัตติ ธาตุ ปจ จัย เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 11
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 12 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เฉลยแบบประเมนิ ผลตนเอง หนวยที่ ๑ ขอ กอนเรียน หลังเรยี น ๑. ง ค ๒. ค ง ๓. ค ค ๔. ง ง ๕. ค ค ๖. ค ค ๗. ค ข ๘. ง ค ๙. ง ง ๑๐. ข ง เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 12
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 13 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แผนการสอนวิชาบาลีไวยากรณ หนว ยที่ ๒ เรอ่ื ง วิภตั ติ เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคญั วภิ ตั ตหิ มวด วตฺตมานา ปฺจมี สตตฺ มี ปโรกขฺ า หยิ ตฺตนี อชฺชตตฺ นี ภวสิ สฺ นตฺ ิ กาลาติปตตฺ ิ และการลงอาคมในวภิ ตั ติอาขยาต จุดประสงค ๑. เพื่อใหน ักเรยี นนำธาตไุ ปแจกดวยวภิ ัตตไิ ดอยา งถูกตอง ๒. เพ่ือใหนกั เรียนรแู ละเขา ใจการเปลี่ยนแปลงของวภิ ตั ตแิ ตล ะหมวด ๓. เพ่ือใหนักเรียนรูและเขาใจวิธีการลงอาคมในวิภัตติหมวดที่เก่ียวของ ไดถกู ตอง เน้อื หา ๑. วิภัตติหมวด วตฺตมานา ปฺจมี สตฺตมี ปโรกฺขา หิยตฺตนี อชฺชตฺตนี ภวิสฺสนตฺ ิ และ กาลาตปิ ตตฺ ิ ๒. อาคม กิจกรรม ๑. ประเมนิ ผลกอ นเรยี น ๒. ใหนักเรียนทองวิภตั ติ ๓. ครนู ำเขาสบู ทเรยี นและอธบิ ายเน้อื หา ๔. บัตรคำ 13
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 14 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๕. ครูสรปุ เน้ือหาทง้ั หมด ๖. ประเมนิ ผลหลังเรียน ๗. ใบงาน - ใหนักเรียนแจกธาตุดวยวิภัตติหมวด วตฺตมานา ปฺจมี สตฺตมี ปโรกฺขา หยิ ตฺตนี อชชฺ ตฺตนี ภวิสสฺ นตฺ ิ กาลาตปิ ตฺติ ๘. กจิ กรรมเสนอแนะ - ใหน กั เรียนทอ งแบบใหไ ด - ใหน กั เรียนหัดแยกธาตุอาขยาต สื่อการสอน ๑. ตำราทีใ่ ชป ระกอบการเรยี น-การสอน ๑.๑ หนังสอื พระไตรปฎก ๑.๒ หนงั สอื พจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบุญ สำนกั เรยี นวดั ปากนำ้ ๑.๓ หนงั สือพจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๔ หนงั สือพจนานุกรมพทุ ธศาสน ฉบับประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ๑.๕ หนงั สือบาลีไวยากรณ นิพนธ โดย สมเด็จพระมหาสมณเจาฯ ๑.๖ หนังสอื ปาลทิ เทศ ของสำนกั เรียนวดั ปากนำ้ ๑.๗ คัมภรี อภิธานปั ปทีปกา ๑.๘ หนงั สอื พจนานกุ รมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อปุ กรณทค่ี วรมีประจำหองเรยี น ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรอื กระดานไวทบ อรด ๒.๒ เครอ่ื งฉายขา มศีรษะ (Over-head) ๒.๓ คอมพวิ เตอร – โปรเจคเตอร ๓. บัตรคำ 14
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 15 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ๔. ใบงาน วธิ ีวดั ผล-ประเมินผล ๑. สอบถามความเขา ใจ ๒. สงั เกตพฤตกิ รรมการมีสวนรว มในกจิ กรรม ๓. สงั เกตความกาวหนา ดา นพฤติกรรมการเรยี นรขู องผเู รียน ๔. ตรวจใบงาน ๕. ตรวจแบบประเมินผลกอนเรียน-หลงั เรยี น 15
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 16 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๑. ความหมายของวภิ ัตติ วภิ ติ ติ คือ การแจก หรือ จำแนก หมายความวา แจกมูลศัพทอ อกไปเปน สว น ๆ มี ๒ อยา ง คือ วภิ ตั ตินาม และวิภัตตอิ าขยาต วิภัตตินาม ทำหนาท่ีแจกนามศัพท เพ่ือเปนเคร่ืองหมายใหรู ลิงค วจนะ การนั ต และสำเนยี งอายตนิบาต คือคำเชื่อมนามศัพท ออกสำเนียงคำแปลตามหมวด ของวิภัตติ เชน คำวา ปรุ ิโส เปน นามนาม บอกใหร วู าเปน ปงุ ลิงค เอกวจนะ อ การันต ปฐมาวภิ ตั ติ มสี ำเนยี งอายตนบิ าตวา “อ.บุรษุ ” เปนตน วิภัตติอาขยาต ทำหนาท่ีแจกมูลศัพทฝายกิริยาออกเปนสวน ๆ เพ่ือเปน เครอื่ งหมายใหร ู กาล บท วจนะ และบรุ ษุ ซง่ึ แลว แตว ภิ ตั ตจิ ะระบถุ งึ เชน คำวา คจฉฺ ติ บอกใหรวู า เปน ปจจุบนั กาล แปลวา “ไปอย,ู ยอ มไป, จะไป” เปน ปรสั สบท เอกวจนะ ประถมบุรุษ เปนตน ๒. การแบง หมวดวภิ ัตติ วภิ ตั ตอิ าขยาตน้ี มีทง้ั หมด ๙๖ ตัว (หมวดละ ๑๒ ตัว) โดยแบง ออกเปน ๘ หมวด คอื ๑. วตตฺ มานา ๒. ปจฺ มี ๓. สตฺตมี ๔. ปโรกฺขา ๕. หิยตฺตนี ๖. อชฺชตฺตนี ๗. ภวสิ สฺ นตฺ ิ ๘. กาลาตปิ ตตฺ ิ ๓. ความหมายของช่ือวิภตั ติ การต้งั ชอื่ ของวภิ ัตตทิ ้งั ๘ หมวด ตงั้ แต วตตฺ มานา – กาลาติปตตฺ ิ ไว กเ็ พอ่ื จะใหท ราบถึงกาลวา วภิ ตั ตหิ มวดไหนบอกถึงอดตี กาล ปจจบุ ันกาล หรอื อนาคตกาล วตตฺ มานา กลาวถึงส่งิ ท่เี กิดขึ้นจำเพาะหนาในขณะนนั้ ปจฺ มี และสตตฺ มี กลา วถงึ กาลทแ่ี ฝงอยใู นระหวา ง หรอื เรยี กวา อนตุ กาล เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 16
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 17 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ปโรกฺขา กลา วถึงสิง่ ท่ลี ว งไปแลว อยางไมม กี ำหนด หยิ ตฺตนี กลา วถงึ สิง่ ที่ลว งไปแลว เมอ่ื วานน้ี อชฺชตฺตนี กลา วถึงส่งิ ทล่ี ว งไปแลวในวนั น้ี ภวสิ ฺสนฺติ กลา วถึงส่งิ ทย่ี งั ไมเกิดขน้ึ กาลาติปตฺติ กลาวถึงส่ิงท่ีลวงไปแลว นำมาพูดขึ้นใหม แตไมตรงกับความ เปนจริง ๔. วธิ ีสังเกตวภิ ัตติ การจะกำหนดรวู ภิ ตั ตทิ จ่ี ำแนกกริ ยิ าศพั ทต า ง ๆ ไว มวี ธิ สี งั เกตดงั ตอ ไปน้ี ๑. ดทู า ยปจ จยั ปจ จยั บางตวั ลงแลว ปรากฏเหน็ ชดั เจน จงึ เหน็ วภิ ตั ตอิ ยทู ท่ี าย ธาตุ เชน กนี าติ (กี + นา + ติ) ๒. ดทู า ยธาตุ ปจ จยั บางตวั ลงแลว ไมป รากฏรปู ใหเ หน็ จงึ เหน็ วภิ ตั ตอิ ยทู ท่ี าย ธาตุ เชน มรติ (มรฺ + อ + ต)ิ ๓. ดูทายอาคม วิภัตติอาขยาตบางหมวดลงอาคมท่ีทายธาตุและปจจัย จึง เห็นวิภัตติอยทู ่ที ายอาคม เชน อคมาสิ (อ + คมฺ + อ + ส + อ)ี เปน ตน ๕. วิภัตติ และการเปลยี่ นแปลง ๑. วตตฺ มานา ปรสสฺ ปทํ อตฺตโนปทํ ปุรสิ . เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ ป. ติ. อนฺติ. เต. อนเฺ ต. ม. ส.ิ ถ. เส. วฺเห. อุ. ม.ิ ม. เอ. มฺเห. เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 17
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 18 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ติ เม่ือประกอบกับ อสฺ ธาตุ ซ่ึงเปนไปในความมี, ความเปน แปลง เปน ตฺถิ เชน อตถฺ ิ แปลวา มอี ยู (อสฺ + อ + ต)ิ , นตถฺ ิ แปลวา ยอ มไมม ี (น + อสฺ + อ + ติ) กิรยิ า ๒ ตัวน้ีใชกับตวั ประธานท้งั ทเ่ี ปนเอกวจนะ และพหวุ จนะ อนตฺ ิ แปลงเปน เร ไดบ า ง เชน วจุ จฺ เร แปลวา อนั เขากลา วอยู (วจฺ + ย + อนตฺ )ิ ถ เมือ่ ประกอบกบั อสฺ ธาตแุ ปลงเปน ตถฺ เชน อตถฺ แปลวา ยอ มเปน มิ ม ทง้ั หมวดวตฺตมานา และหมวดปจฺ มี มดี ังนี้ - ถาสระท่ีสุดธาตุเปน อ ตองทีฆะเปน อา เชน ลภามิ แปลวา ยอมได (ลภฺ + อ + ม)ิ , ลภาม แปลวา ยอ มได (ลภฺ + อ + ม) - เม่ือประกอบกับ อสฺ ธาตุ แปลง มิ เปน มฺหิ เชน อมฺหิ แปลวา ยอ มเปน (อสฺ + อ + ม)ิ , แปลง ม เปน มหฺ เชน อมหฺ แปลวา ยอ มเปน (อสฺ + อ+ ม) - เมอื่ ประกอบหลงั ทา ธาตุ มอี ำนาจใหแ ปลง อา ท่ี ทา เปน น คิ คหติ แลวแปลงนิคคหิตเปน มฺ อีกครั้งหนึ่ง เชน ทมฺมิ แปลวา ยอมให (ทา + อ + ม)ิ , ทมมฺ แปลวา ยอ มให (ทา + อ + ม) เต ใชแทน ติ บาง เชน ชายเต แปลวา ยอ มเกดิ (ชนฺ = ชา + ย + เต) อนเฺ ต ใชแทน อนฺติ บาง เชน ปุจฺฉนเฺ ต แปลวา ยอ มถาม (ปจุ ฺฉ + อ + อนเฺ ต) เอ ใชแทน มิ บาง เชน อิจเฺ ฉ แปลวา ยอมปรารถนา (อิจฺฉ + อ + เอ) ๒. ปจฺ มี ปรสสฺ ปทํ อตตฺ โนปทํ ปุรสิ . เอก. พหุ. เอก. พหุ. ตํ. อนตฺ .ํ ป. ต.ุ อนฺตุ. สฺส.ุ วโฺ ห. ม. หิ. ถ. เอ. อามฺหเส. อ.ุ มิ. ม. เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 18
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 19 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ตุ เมอื่ ประกอบกบั อสฺ ธาตุ แปลงเปน ตถฺ ุ เชน อตถฺ ุ แปลวา จงมี (อสฺ + อ + ต)ุ หิ เมอื่ ลงแลว ลบเสยี บา งกไ็ ด เชน คจฉฺ แปลวา จงไป (คมฺ = คจฉฺ + อ + ห)ิ แตถ าคง หิ ไว ตอ งทฆี ะ อ เปน อา เชน คจฺฉาหิ มิ ม มนี ยั เหมอื นในหมวด วตฺตมานา ตํ ใชแ ทน ตุ บาง เชน ชยตํ แปลวา จงชนะ (ชิ + อ +ตํ) สฺสุ ใชแ ทน หิ บา ง เชน กรสสฺ ุ แปลวา จงทำ (กรฺ + อ + สฺส)ุ ๓. สตฺตมี ปรสฺสปทํ อตฺตโนปทํ ปุริส. เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ ป. เอยยฺ . เอยฺยุ. เอถ. เอร.ํ ม. เอยยฺ าสิ. เอยยฺ าถ. เอโถ. เอยฺยวฺโห. อุ. เอยฺยามิ. เอยยฺ าม. เอยยฺ ํ. เอยฺยามเฺ ห. เอยยฺ ลบ ยยฺ เสยี เหลอื ไวแ ต เอ บา ง เชน ภเช แปลวาพงึ คบ (ภชฺ+อ+เอยฺย) แปลงเปน อา บาง เชน กยิรา แปลวา พงึ ทำ (กรฺ + ยริ +เอยฺย) เอยฺยุํ แปลงเปน อิยา บา ง เชน สยิ า แปลวา พงึ เปน (อสฺ + อ + เอยฺย) แปลงกบั อสฺ ธาตุ เปน อสฺส บา ง แปลวา พึงเปน (อสสฺ + อ + เอยฺย) เอยฺยาสิ แปลงกับ อสฺ ธาตุ เปน อสสฺ ุ แปลวา พึงเปน (อสฺ + อ + เอยยฺ ุ) เอยฺยาถ ประกอบกับ อสฺ ธาตุ ลบตนธาตแุ ลว แปลงเปน อิยุ เชน สยิ ุ แปลวา เอยฺยามิ เอยยฺ าม พึงเปน (อสฺ + อ + เอยยฺ ุ) แปลงกบั อสฺ ธาตุ เปน อสสฺ แปลวา พงึ เปน (อสฺ + อ + เอยฺยาส)ิ แปลงกบั อสฺ ธาตุ เปน อสสฺ ถ แปลวา พึงเปน (อสฺ + อ + เอยยฺ าถ) แปลงกบั อสฺ ธาตุ เปน อสสฺ ํ แปลวา พงึ เปน (อสฺ + อ + เอยฺยาม)ิ แปลงเปน เอมุ เชน ชาเนมุ แปลวา พึงรู (า = ชา + นา + เอยยฺ าม) แปลงกบั อสฺ ธาตุ เปน อสสฺ าม แปลวา พึงรู (อสฺ + อ + เอยยฺ าม) เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 19
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 20 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เอถ ใชแทน เอยยฺ บาง เชน ลเภถ แปลวา พงึ ได (ลภฺ + อ + เอถ) เอยฺยํ ใชแทน เอยฺยามิ บาง เชน ปพฺพเชยฺย แปลวา พึงบวช (ป + วชฺ + อ + เอยฺยํ) ๔. ปโรกขฺ า ปรสฺสปทํ อตฺตโนปทํ ปุริส. เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ ป. อ. อ.ุ ตถฺ . เร. ม. เอ. ตถฺ . ตฺโถ. วฺโห. อ.ุ อํ. มฺห. อึ. มฺเห. ในหมวดนไ้ี มม กี ารเปล่ยี นแปลงอะไรเลย และมใี ชอ ยูแต อ กบั อุ เทาน้ัน คือ อาห อาหุ อาห (เอก.) แปลวา กลา วแลว (พรฺ ู = อาห + อ + อ) อาหุ (พหุ.) แปลวา กลา วแลว (พรฺ ู = อาห + อ + อ)ุ ๕. หยิ ตตฺ นี ปรสสฺ ปทํ อตตฺ โนปทํ ปุริส. เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ ป. อา อู ตถฺ . ตฺถ.ุ ม. โอ. ตถฺ . เส. วหฺ ํ. อุ. อํ. มฺห. อ.ึ มฺหเส. ในหมวดน้ลี ง อ อาคม หนาธาตุได แปลวา “ได. ..แลว ” อา โดยมากรสั สะเปน อ เชน อโวจ แปลวา ไดก ลา วแลว (อ + วจุ ฺ + อ + อา) โอ มัธยมบุรุษ ไมนิยมใช มักใช อา ปฐมบุรุษแทน เชน อวจ ในประโยควา ตวฺ ํ มยา สิตการณํ ปฏุ โ ฯเปฯ อวจ ฯ นอกนนั้ ไมมีการเปล่ียนแปลงอะไร เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 20
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 21 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò ๖. อชชฺ ตฺตนี ปรสฺสปทํ อตฺตโนปทํ ปุริส. เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ ป. อี. อุ. อา. อู. ม. โอ. ตถฺ . เส. วฺห.ํ อ.ุ อ.ึ มฺหา. อํ. มเฺ ห. ในหมวดน้ีลง อ อาคม หนาธาตุ อิ อาคม ทายธาตุ และ ส อาคม ทา ยธาตไุ ด อี มักรัสสะเปน อิ เชน อกริ แปลวา ไดทำแลว (อ + กรฺ + อ + อี) ลง ส อาคม เชน อกาสิ แปลวา ไดทำแลว (อ + กรฺ + อ + ส + อ)ี แปลงเปน จฉฺ ิ เชน อกโฺ กจฉฺ ิ แปลวา ไดด าแลว (อ + กสุ ฺ + อ + อ)ี แปลงเปน ตถฺ เชน ปฺ ายติ ถฺ แปลวา ปรากฏแลว (ป + า + ย + อิ + อ)ี อุ คงรปู บาง เชน อกาสุ แปลวา ไดท ำแลว (อ + กรฺ + อ + ส + อุ) แปลงเปน อํสุ บา ง เชน อกํสุ แปลวา ไดท ำแลว (อ + กรฺ + อ + อ)ุ แปลงเปน อสึ ุ บา ง เชน อกรสึ ุ แปลวา ไดทำแลว (อ + กรฺ + อ + อุ) ลง ส อาคม เชน อาโรเจสุ แปลวา บอกแจง แลว (อา + รจุ ฺ + เณ + ส + อ)ุ โอ มัธยมบุรุษ ไมนิยมใช มักใช อี ปฐมบุรุษแทน เชน อกาสิ ในประโยควา ตฺวํ เอวมกาสิ ฯ อึ แปลงเปน ตถฺ ํ เชน อลตถฺ ํ แปลวา ไดไดแลว (อ + ลภฺ + อ + อ)ึ ๗. ภวสิ ฺสนฺติ ปรสสฺ ปทํ อตฺตโนปทํ ปรุ ิส. เอก. พห.ุ เอก. พห.ุ ป. สสฺ ติ. สฺสนฺต.ิ สสฺ เต. สฺสนฺเต. ม. สฺสสิ. สสฺ ถ. สฺสเส. สฺสวฺเห. อ.ุ สฺสามิ. สสฺ าม. สฺสํ. สสฺ ามเฺ ห. เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 21
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 22 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ในหมวดนใ้ี หลง อิ อาคม หลังธาตุทุกตวั สฺสํ ใชแทน สฺสามิ บาง สสฺ ติ สฺสนฺต,ิ สสฺ สิ สฺสถ, สสฺ ามิ สสฺ าม ลบ สสฺ คงไวแ แต ต,ิ อนตฺ ,ิ ส,ิ ถ, -าม,ิ -าม ไดก บั ธาตบุ างตวั แลว ใหแ ปลง ท่ีสุดธาตุเปนอยางอื่น หรือแปลง สฺส กับ ท่ีสุดธาตุเปนอยางอื่น เชน กาหติ กาหนฺต,ิ กาหสิ กาหถ, กาหามิ กาหาม แปลวา จักกระทำ (แปลง กรฺ ธาตุ เปน กาห) โหหติ ิ โหหนิ ตฺ ,ิ โหหสิ ิ โหหถิ แปลวา จกั เปน (แปลง หุ ธาตุ เปน โหห)ิ วกขฺ ามิ วกขฺ าม แปลวา จกั กลา ว (แปลง วจฺ ธาตุ เปน วกขฺ ) วจฉฺ ามิ วจฉฺ าม แปลวา จกั อยู (แปลง วสฺ ธาตุ เปน วจฉฺ ) ลจฉฺ ามิ แปลวา จกั ได (แปลง ลภฺ ธาตุ เปน ลจฉฺ ) ๘. กาลาติปตฺติ ปรสสฺ ปทํ อตตฺ โนปทํ ปุริส. เอก. พห.ุ เอก. พหุ. ป. สฺสา. สสฺ สํ .ุ สฺสถ. สฺสสึ ุ. ม. สฺเส. สสฺ ถ. สสฺ เส. สสฺ วฺเห. อุ. สสฺ .ํ สสฺ ามหฺ า. สฺสํ. สฺสามฺหเส. ในหมวดนใี้ หลง อิ อาคม ทา ยธาตุทุกตวั และลง อ อาคม หนาธาตุได สสฺ า รัสสะ อา เปน อ เชน อสกขฺ ิสสฺ แปลวา จักไดอ าจแลว (อ + สกฺก + อ + อิ + สสฺ า) อภวสิ สฺ แปลวา จักไดเ ปนแลว (อ + ภู + อ + อิ + สฺสา) เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 22
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 23 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò อาคมในอาขยาต อาคม หมายถึง การลงอักษรตัวใหมเพ่ิมเขามา ในอาขยาตมีวิธีการลง อาคม โดยใชลงขางหนาธาตุบาง ลงระหวางธาตุบาง ลงขางหลังธาตุบาง อาคมบาง ตัวลงไดเฉพาะกับธาตุบางตัวบาง บางตัวลงไดเฉพาะกับวิภัตติบางหมวด และเมื่อลง แลวสวนใหญความหมายของธาตุยังคงเดิม แตอาคมบางตัวเม่ือลงแลวมีคำแปลใน ตวั เองดว ย ประเภทของอาคม อาคมท่ีใชใ นวิภัตติอาขยาตมี ๕ ตวั คือ อ, อ,ิ ส, ห และ อํ แตละตวั มีวิธใี ช ดังนี้ อ อาคม ใชล งขา งหนา ธาตุ ในเมอื่ กริ ยิ านน้ั ประกอบดว ยวภิ ตั ติ ๓ หมวด คอื หิยตั ตนี เชน อททฺ ส – ไดเ หน็ แลว (อ + ทิสฺ + อ + อา) อชั ชตั ตนี เชน อทสํ ุ – ไดใหแ ลว (อ + ทา + อ +อุ) กาลาติปตติ เชน อลภสิ สฺ – จักไดไดแ ลว (อ + ลภฺ + อ + อิ + สฺสา) อิ อาคม ใชลงหลังธาตุและปจจัย ในเม่ือกิริยาน้ันประกอบดวยวิภัตติ ๓ หมวด คือ อชั ชัตตนี เชน วสมิ หฺ า – อยแู ลว (วสฺ + อ + อิ + มฺหา) ภวสิ สันติ เชน สณุ สิ ฺสาม – จกั ฟง (สุ + ณา + อิ + สฺสาม) กาลาติปตติ เชน ลภสิ ฺสา – จกั ไดแ ลว (ลภฺ + อ + อิ + สฺสา) อนง่ึ ในหมวดอชั ชัตตนี และกาลาตปิ ต ติ บางคราวกล็ งทง้ั อ และ อิ อาคม พรอมกนั ตวั อยา งเชน อชั ชัตตนี = อกริตฺถ – ไดก ระทำแลว (อ + กรฺ + อ + อิ + ตถฺ ) กาลาตปิ ต ติ = อสกฺขสิ สฺ – จกั ไดอ าจแลว (อ + สกฺก + อ + อิ + สฺสา) ส อาคม ใชลงหลังธาตุ ในเมื่อกิริยาน้ันประกอบดวยวิภัตติหมวดอัชชัตตนี เทานั้น เชน ปตฏิ าสิ – ยนื เฉพาะแลว (ปฏิ + า + อ + ส + อ)ี 23
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 24 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) วเทสิ – กลาวแลว (วทฺ + เอ + ส + อ)ี บางคราวก็ลงท้งั อ และ ส อาคม พรอ มกนั เชน อเหสุ – ไดเปนแลว (อ + หุ + อ + ส + อ)ุ อคมาสิ – ไดไ ปแลว (อ + คมฺ + อ + ส + อี) ห อาคม ใชลงไดเฉพาะา ธาตุ เชน ปติฏ หิ – ยนื อยแู ลว (ปฏิ + า + อ + ห + อ)ี อปุ ฏ เหยฺย – พึงบำรุง (อุป + า + อ + ห + เอยฺย) แมใ นกติ กก็ยงั คงติดไปดว ย เชน อปุ ฏหน,ํ ปตฏิ หนฺโต เปนตน อํ อาคม ใชล งเฉพาะตน ธาตหุ มวด รุธฺ ธาตเุ ทา นัน้ แลวแปลงเปน พยัญชนะ ที่สดุ วรรค เชน รุนเฺ ธติ – ยอมก้นั (รุธฺ + เอ + ติ) 24
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 25 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมินผลตนเองกอ นเรยี น หนว ยที่ ๒ วตั ถุประสงค เพื่อประเมินความรูเดิมของนักเรียน เก่ียวกับวิภัตติ (วตฺตมานา คำส่งั ปฺจมี สตฺตมี ปโรกขฺ า หยิ ตฺตนี อชฺชตตฺ นี ภวสิ สฺ นฺติ กาลาติปตตฺ ิ) และอาคม ใหนักเรียนทำเคร่ืองหมายถูก ( ) หนาขอท่ีถูกตอง และ ทำเครอ่ื งหมายผิด ( ) หนาขอที่ผดิ ( ) ๑. ตโฺ ถ วโห เปน วิภัตตอิ ยูใ นหมวด หยิ ตตฺ นี ฝา ยอัตตโนบท ( ) ๒. อา หิยตฺตนี ปรสั สบท มักรสั สะเปน อ ( ) ๓. โอ หยิ ตฺตนแี ละอชชฺ ตฺตนี มีใชอ ยูทัว่ ไป ( ) ๔. อุ แปลงเปน อสึ ุ ได ( ) ๕. สฺสา กาลาตปิ ตตฺ ิ ปรสั สบท หา มรสั สะเปน อ ( ) ๖. กรฺ ธาตุ แปลงเปน กาห ได ในเมอื่ ประกอบกบั วิภตั ติหมวดภวสิ สฺ นตฺ ิ ( ) ๗. อึ มฺหา เปนวภิ ตั ติอยใู นหมวดหิยตฺตนี ฝา ยปรัสสบท ( ) ๘. สฺสสิ สสฺ ถ เปนวภิ ัตติอยูในหมวดกาลาตปิ ตฺติ ฝา ยอตั ตโนบท ( ) ๙. ปโรกฺขา มที ใี่ ชอยู ๒ วภิ ตั ตเิ ทาน้นั คือ อ อุ ปฐมบรุ ุษ ปรสั สบท ( ) ๑๐. อ อาคม เมอ่ื ลงในวภิ ัตติหมวดกาลาติปตฺติ แปลวา “จักได….แลว” ( ) ๑๑. อ อาคม ลงหนา ธาตุในวภิ ัตติหมวดหยิ ตตฺ นี อชฺชตตฺ นี และกาลาติปตฺติ ( ) ๑๒. อิ อาคม ลงทีห่ นา ธาตุ ในวภิ ตั ตหิ มวด หิยตตฺ นี ( ) ๑๓. ส อาคม ลงทา ยธาตแุ ละปจจยั ในวภิ ตั ติหมวดภวิสสฺ นฺตแิ ละกาลาตปิ ตฺติ ( ) ๑๔. ห อาคม ลงทา ยธาตทุ กุ ตวั ในวภิ ัตตหิ มวด อชชฺ ตตฺ นี ( ) ๑๕. อํ (นคิ คหติ ) อาคม ลงที่ตน ธาตุ ในหมวด รธุ ฺ ธาตุ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 25
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 26 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò แบบประเมินผลตนเองหลังเรยี น หนว ยท่ี ๒ วตั ถปุ ระสงค เพ่อื ประเมินผลความกาวหนาของนกั เรียน เกีย่ วกับวิภัตติ (วตฺตมานา คำสัง่ ปจฺ มี สตตฺ มี ปโรกขฺ า หยิ ตตฺ นี อชชฺ ตตฺ นี ภวสิ สฺ นตฺ ิ กาลาตปิ ตตฺ )ิ และอาคม ใหนักเรียนทำเคร่ืองหมายถูก ( ) หนาขอที่ถูกตอง และ ทำเครือ่ งหมายผดิ ( ) หนาขอ ที่ผดิ ( ) ๑. ตโฺ ถ วโห เปน วภิ ัตติอยใู นหมวดอชชฺ ตตฺ นี ฝา ยปรสั สบท ( ) ๒. อี อชชฺ ตฺตนี ปรัสสบท มักรัสสะเปน อิ ( ) ๓. โอ หยิ ตฺตนีและอชฺชตฺตนี มที ี่ใชน อ ย มักใชปฐมบุรุษแทนโดยมาก ( ) ๔. อุ แปลงเปน อึ ได ( ) ๕. สสฺ า กาลาตปิ ตตฺ ิ ปรสั สบท รสั สะเปน อ ได ( ) ๖. กรฺ ธาตุ แปลงเปน กาห ไดในเมือ่ ประกอบกับวิภัตตหิ มวดกาลาตปิ ตฺติ ( ) ๗. อึ มหฺ า เปน วิภัตตอิ ยูในหมวดอชชฺ ตตฺ นี ฝายปรัสสบท ( ) ๘. สสฺ สิ สสฺ ถ เปนวิภัตติอยูใ นหมวดภวสิ สฺ นฺติ ฝายปรัสสบท ( ) ๙. ปโรกฺขา มที ใี่ ชอ ยู ๒ วภิ ตั ติเทานน้ั คือ อํ มฺห อุตตมบุรุษ ปรสั สบท ( ) ๑๐. อ อาคม เม่ือลงในวภิ ัตติหมวดกาลาติปตตฺ ิ แปลวา “ได… .แลว” ( ) ๑๑. อ อาคม ลงหนาธาตุ ในวิภตั ตหิ มวด ปโรกฺขา ( ) ๑๒. อิ อาคม ลงทายธาตุและปจจัยในวิภัตติหมวดอชฺชตฺตนี ภวิสฺสนฺติ และกาลาตปิ ตฺติ ( ) ๑๓. ส อาคม ลงทา ยธาตแุ ละปจ จัย ในวภิ ตั ติหมวด อชชฺ ตฺตนี ( ) ๑๔. ห อาคม ลงทาย า ธาตุ ในวิภตั ติทัว่ ไป ( ) ๑๕. อํ (นคิ คหิต) อาคม ลงทต่ี นธาตุ ในหมวด ทิวฺ ธาตุ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 26
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 27 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เฉลยแบบประเมินผล หนวยที่ ๒ ขอ กอนเรียน หลงั เรียน ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔. ๑๕. เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 27
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 28 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) แผนการสอนวชิ าบาลีไวยากรณ หนว ยที่ ๓ เรือ่ ง กาล บท วจนะ บรุ ุษ เวลาทำการสอน ๓ คาบ สาระสำคญั ระยะเวลาของเหตุการณหรือเรื่องราวท่ีเกิดในปจจุบัน อดีต หรืออนาคต เรียกวา “กาล” กาลโดยยอมี ๓ โดยพิสดารมี ๘ บท ในอาขยาตมี ๒ คอื ปรสั สบท ๑ อตั ตโนบท ๑ วจนะ ในอาขยาตมี ๒ คือ เอกวจนะ ๑ พหวุ จนะ ๑ บุรษุ ในอาขยาตมี ๓ คอื ประถมบุรุษ ๑ มัธยมบรุ ุษ ๑ อุตตมบุรษุ ๑ จดุ ประสงค ๑. นักเรียนรูและเขาใจเรื่องกาลในอาขยาต และแบงวิภัตติลงในกาล ไดถ กู ตอง ๒. นกั เรียนรแู ละเขา ใจเร่อื งบทในอาขยาต ๓. นกั เรียนรูและเขาใจเรอ่ื งวจนะในอาขยาต ๔. นักเรียนรแู ละเขาใจเร่อื งบรุ ุษในอาขยาต เนื้อหา ๑. กาล ๒. บท ๓. วจนะ ๔. บรุ ษุ 28
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 29 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò กจิ กรรม ๑. ประเมินผลกอ นเรียน ๒. ใหน ักเรยี นทองกาล บท วจนะ และบรุ ุษ ๓. ครนู ำเขาสูบทเรียน และอธิบายเน้อื หา ๔. บตั รคำ ๕. ครูสรปุ เนือ้ หาท้งั หมด ๖. ประเมินผลหลังเรียน ๗. ใบงาน - ใหนักเรียนบอกกาล บท วจนะ และบุรุษ ของกิริยาอาขยาต เปน การบาน - ใหนักเรียนประกอบกิริยาอาขยาต ตามกาล บท วจนะ และ บรุ ษุ ท่กี ำหนดใหเปน การบา น - ใหนักเรียนขึ้นประธานใหกับกิริยาอาขยาตท่ีกำหนดใหเปน การบาน ๘. กิจกรรมเสนอแนะ ครูสอนควรใหนักเรียน - ทองแมแ บบได - ใหน กั เรยี นหดั แยกธาตอุ าขยาต พรอ มบอก กาล บท วจนะ บรุ ษุ และข้นึ ประธาน (สัง่ เปนการบานดว ย) สอ่ื การสอน ๑. ตำราท่ีใชประกอบการเรยี น-การสอน ๑.๑ หนงั สอื พระไตรปฎก ๑.๒ หนังสือพจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบุญ สำนกั เรยี นวัดปากนำ้ ๑.๓ หนังสือพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ 29
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 30 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๑.๔ หนงั สือพจนานุกรมพุทธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท โดย พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ๑.๕ หนงั สอื คมู อื บาลไี วยากรณน พิ นธโ ดย สมเดจ็ พระมหาสมณเจา ฯ ๑.๖ หนงั สอื ปาลิทเทศ ของสำนกั เรยี นวดั ปากนำ้ ๑.๗ คัมภรี อภิธานัปปทปี ก า ๑.๘ หนงั สอื พจนานกุ รมธาตุ ภาษาบาลี ๒. อุปกรณท คี่ วรมีประจำหองเรียน ๒.๑ กระดานดำ-แปรงลบกระดาน-ชอลก หรือ กระดานไวทบอรด ๒.๒ เคร่ืองฉายขา มศรี ษะ (Over-head) ๒.๓ คอมพวิ เตอร – โปรเจคเตอร ๓. บัตรคำ ๔. ใบงาน วธิ ีวัดผล-ประเมนิ ผล ๑. สอบถามความเขาใจ ๒. สังเกตพฤตกิ รรมการมสี วนรวมในกิจกรรม ๓. สงั เกตความกา วหนา ดา นพฤตกิ รรมการเรยี นรูของผเู รยี น ๔. ตรวจใบงาน ๕. ตรวจแบบประเมินผลกอนเรยี น-หลังเรียน 30
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 31 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๑. กาล เหตุการณหรือเรื่องราวที่ปรากฏอยูตามส่ือตางๆ ในสมัยปจจุบัน เชน วิทยุ โทรทัศน หนังสอื พมิ พ เปน ตน หรอื เหตุการณท ีเ่ กิดขนึ้ แลว ในอดีต ซง่ึ ไดถกู บันทกึ ไว ในส่ิงตางๆ เชน หลักศิลาจารึก พงศาวดาร จดหมายเหตุ ตำราเรียน เอกสารทาง วิชาการ งานวิจัยตางๆ รวมทั้งเหตุการณที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เชน การพยากรณ อากาศ หรือการคาดคะเนภาวะเศรษฐกิจ เปนตน ลวนบงบอกถึงระยะเวลาหรือกาล เวลาของเหตุการณนั้นๆ วากำลังเกิดข้ึน เกิดข้ึนผานไปแลว หรือจะเกิดข้ึนในอนาคต การเกิดขึ้นของเหตุการณในชวงระยะเวลาตางๆ ดังกลาว นักปราชญทางดานภาษา บาลีบญั ญตั เิ รยี กวา “กาล” ๑.๑ ความหมายของกาล คำวา “กาล” น้ัน ไดมีนักวิชาการหลายแขนงใหความหมายไวแตกตางกัน ออกไป ดังตอไปนี้ คือ กาล กาฬ (ว.ิ ) ดำ. กาล (ปุ.) สภาพผูบั่นทอน คือ ยังชีวิตของสัตวใหส้ินไป วิ. สตฺตานํ อายุ กลยติ เขเปตีติ กาโล. กลฺ เขเป, โณ. สภาพผูทำชีวิต ของสัตวใหนอยลง ๆ ทุกวัน ๆ วิ. สตฺตานํ ชีวิตํ ทิวเส ทิวเส อปปฺ อปปฺ กโรตตี ิ กาโล. กรฺ กรเณ, โณ, รสฺส ลตฺตํ. อายุ, ยุค, กาล, สมัย, คร้ัง, คราว, หน, เวลา, การนับ, การคำนวณ. วิ. กลฺยเต อายุปฺปมาณาทโย อเนนาติ กาโล. กลฺ สํขยาเณ, โณ. การทำ ว.ิ กรณํ กาโร, โสเอว กาโล. อภฯิ . รปู ฯ วิ กรณํ กาโล. แปลง ร เปน ล. ส. กาล. กาล (ปุ.) ความตาย วิ. กลยติ เตสํ เตสํ สตฺตานํ ชีวิตํ เขเปติ สมุจฺ เฉทนวเสน นาเสตีติ กาโล. กลฺ เขเป, โณ. อถวา, อตฺตภาวสฺส อนฺตํ กโรตตี ิ กาโล. กรฺ กรเณ, โณ. ส. กาล. (พจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบุญ สำนักเรียน วัดปากน้ำ จดั พมิ พ ๒๕๔๐ หนา ๑๘๗) 31
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 32 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) กาล ๑, กาล-[กาน, กาละ-] น. เวลา, คราว, ครัง้ , หน. (ป., ส.). กาลกิรยิ า น. ความตาย. (ป.). กาลเทศะ น. เวลาและสถานท่;ี ความควรไมควร. (ส.). กาลโยค (โหร) น. การกำหนด วัน ยาม ฤกษ ราศี ดถิ ี ของแตล ะป เปน ธงชัย อธิบดี อบุ าทว โลกวนิ าศ. กาลสมุตถาน น. กองโรคท่ีเกิดข้ึนเพราะธาตุไมเปนตามปกติ. (แพทย) . กาล ๒ [กาน] (โบ) น. คำประพันธ. (พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ หนา ๙๑) กาล เวลา กาละ เวลา, คราว, คร้ัง, หน (พจนานกุ รมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท โดย พระธรรมปฎ ก ป.อ. ปยุตฺโต หนา ๑๕) ในหนังสือคูมือเลมนี้จะใหความหมายของคำวา “กาล” เชนเดียวกันกับ นักวิชาการทานอื่น ๆ คือ หมายความวา “เวลา” ตามพยัญชนะแปลวา “สภาพ ซ่ึงบ่ันทอนคือทำอายุของสัตวใหหมดสิ้นไป” ไดแก การกระทำใหลดนอยถอยลง ทกุ วัน ๆ กาลน้ีเปนของจำเปนสวนหนึ่งของกิริยาอาขยาต ถาขาดเสียแลว ยอมทำให ขัดของตอการที่จะทราบกำหนดระยะเวลาของการกระทำท่ีเกิดข้ึนวา การกระทำนั้น เกดิ ขึ้นในเวลาไหน เมื่อไร กำลังเกิดขน้ึ เปน ไปอยู ลวงแลว หรอื ยงั ไมมาถึง กาลยอมเปนเคร่ืองกำจัดระยะความเปนไปแหงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ใหทราบ ไดแนชัดมีประโยชนที่จะแบงความเกิดขึ้นของเรื่องราวใหเปนตอนๆ ไมสับสนปน คละกนั เพ่อื จะไดท ราบเวลาอนั แนน อนของเร่อื งราวท่เี กิดขน้ึ น้ันๆ ๑.๒ ประเภทของกาล กาลแบงออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑. กาลโดยยอ ๒. กาลโดยพสิ ดาร 32
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 33 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò กาลโดยยอ มี ๓ คอื : กาลท่ีเกดิ ขน้ึ จำเพาะหนา : กาลที่เปนไปลวงแลว ๑. ปจจุบนั กาล : กาลทยี่ งั ไมม าถึง ๒. อดตี กาล ๓. อนาคตกาล กาลโดยพิสดาร มี ๘ คอื ปจจุบันกาล แบงออกเปน ๓ คอื :- ๑. ปจ จบุ นั แท ๒. ปจ จบุ นั ใกลอดตี ๓. ปจ จบุ ันใกลอนาคต อดตี กาล แบงออกเปน ๓ คือ :- ๑. ลว งแลวไมมกี ำหนด ๒. ลว งแลว วานน้ี ๓. ลว งแลว วันน้ี อนาคตกาล แบง ออกเปน ๒ คอื :- ๑. อนาคตของปจจุบนั ๒. อนาคตของอดีต ๑.๓ วธิ สี ังเกตกาล กาลที่กลาวมาแลวท้ังโดยยอและพิสดารน้ี ในเวลาพูดหรือเขียนหนังสือ ตอง หมายรดู วยวิภตั ติ ๘ หมวด ดงั น้ี ๑. วตั ตมานา บอกปจ จบุ ันกาล - ปจ จบุ นั แท แปลวา อยู หมายถงึ เรอื่ งราวหรอื การกระทำนนั้ ๆ กำลังเปน ไปอยู ยงั ไมเปลยี่ นแปลงเปนอยา งอื่น อทุ าหรณ เชน ภกิ ฺขุ ธมมฺ ํ เทเสติ ฯ ภิกษุ แสดงอยู ซงึ่ ธรรม ฯ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 33
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 34 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) - ปจ จบุ นั ใกลอ ดตี แปลวา ยอ ม หมายถงึ เรอื่ งราวหรอื การกระทำ นน้ั ๆ เพงิ่ จะแลว เสรจ็ ไปใหมๆ ใกลจ ะลว งไปแลว อทุ าหรณ เชน กโุ ต นุ ตวฺ ํ อาคจฺฉสิ ฯ ทาน ยอมมา แตทไ่ี หน หนอ ฯ - ปจ จบุ นั ใกลอ นาคต แปลวา จะ หมายถงึ เรอ่ื งราวหรอื การกระทำ นนั้ ๆ ดำเนินใกลเขา มาจวนจะถึง แตยังไมถงึ แททีเดียวอุทาหรณ เชน กึ กโรมิ ฯ (ขา) จะทำ ซึ่งอะไร ฯ ๒. ปญ จมี บอกความบงั คับ, ความหวัง และความออนวอน - บอกความบงั คบั แปลวา จง หมายถงึ การสงั่ การบญั ชา หรอื บงการใหท ำสงิ่ ใดสิ่งหนึง่ อทุ าหรณ เชน เอวํ วเทหิ ฯ (เจา) จงวา อยางนี้ ฯ - บอกความหวัง แปลวา เถิด หมายถึง ความต้ังใจหรือ ความตองการอยากจะใหเปนเชนนนั้ อทุ าหรณ เชน สพเฺ พ สตฺตา อเวรา โหนตฺ ุ ฯ สัตว ท. ท้งั ปวง เปน ผมู ีเวรหามิไดเถดิ ฯ - บอกความออนวอน แปลวา ขอ - จง หมายถึง การขอรอง หรอื วงิ วอนใหท ำส่ิงใดสง่ิ หน่งึ อุทาหรณ เชน ปพฺพาเชถ มํ ภนฺเต ฯ ขา แตทา นผูเจรญิ ขอ (ทา น ท.) จงยงั ขา พเจาใหบวช ฯ ๓. สตั ตมี บอกความยอมตาม, ความกำหนด และความรำพงึ - บอกความยอมตาม แปลวา ควร หมายถึง การเอออวยตาม หรอื ชี้ทางใหด ำเนิน อุทาหรณ เชน 34
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 35 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ภเชถ ปรุ ิสุตตฺ เม ฯ (ชน) ควรคบ ซง่ึ บรุ ุษสูงสุด ท. ฯ - บอกความกำหนด แปลวา พึง หมายถึง การคาดคะเน คือ คาดหวังวา ถาเปนอยา งน้ัน พึงทำอยางนี้ อุทาหรณ เชน ปุ ฺ เฺ จ ปุริโส กยริ า ฯ ถาวา บรุ ษุ พงึ ทำ ซ่งึ บญุ ไซร ฯ - บอกความรำพึง แปลวา พึง หมายถึง ความดำริตริตรอง นึกคิดในใจของตนเอง อทุ าหรณ เชน ยนนฺ นู าหํ ปพพฺ ชฺเชยฺยํ ฯ ไฉนหนอ (เรา) พึงบวช ฯ ๔. ปโรกขา บอกอดตี กาลไมม กี ำหนด แปลวา แลว หมายถงึ เรอ่ื งราว หรอื การกระทำนนั้ ๆ ลว งไปแลว โดยหากำหนดมไิ ดว า ไดล ว งไปแลว หรอื ทำเสรจ็ แลวเมอื่ ไร อุทาหรณ เชน เตนาห ภควา ฯ ดว ยเหตนุ ้ัน พระผมู ีพระภาค ตรสั แลว (อยา งน้)ี ฯ ๕. หิยัตตนี บอกอดีตกาลต้ังแตวานนี้ แปลวา แลว ถามี อ อยูหนา แปลวา ได – แลว หมายถึง เร่ืองราวหรือการกระทำน้ัน ๆ ลวงไป หรอื ทำเสรจ็ แลว ต้ังแตว านนี้ อุทาหรณ เชน ขโณ โว มา อปุ จฺจคา ฯ ขณะ อยา ไดเ ขาไปลวงแลว ซ่ึงทาน ท. ฯ ๖. อัชชัตตนี บอกอดีตกาลตั้งแตวันน้ี แปลวา แลว ถามี อ อยูหนา แปลวา ได – แลว หมายถึง เร่ืองราวหรือการกระทำนั้น ๆ ลวงไป หรอื ทำเสรจ็ แลวต้งั แตวนั น้ี อทุ าหรณ เชน 35
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 36 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) เถโร คามํ ปณ ฑฺ าย ปาวิสิ ฯ พระเถระ ไดเขา ไปแลว สบู าน เพือ่ ปณฑะ ฯ ๗. ภวิสสันติ บอกอนาคตกาลแหงปจจุบัน แปลวา จัก หมายถึง เร่ืองราวหรือการกระทำน้ัน ๆ อยูขางหนา แตก็จักมาถึงกลายเปน ปจจบุ นั อทุ าหรณ เชน ธมฺมํ สุณิสสฺ าม ฯ (ขา ) จักฟง ซ่ึงธรรม ฯ ๘. กาลาติปตติ บอกอนาคตกาลแหงอดีต แปลวา จัก – แลว ถามี อ อยูหนา แปลวา จักได – แลว หมายถึง กลาวถึงส่ิงลวงไปแลว นำมาสมมตขิ ึ้นใหม แตไมต รงกับความเปน จรงิ อทุ าหรณ เชน โส เจ ยานํ ลภิสฺสา, อคจฺฉสิ สฺ า ฯ ถา วา เขา จกั ไดแ ลว ซึง่ ยานไซร, (เขา) จักไดไปแลว ฯ ขอ สงั เกต วภิ ัตติ เฉพาะหมวดปญ จมีและสัตตมี ไมไ ดบงชดั วา เปน กาลอะไร แตท า นให สงเคราะหเ ขา ในปจจบุ ันกาลใกลอนาคต จงึ จัดเปนปจจบุ ันกาล วิภัตติหมวดสัตตมี มีคำแปลวา “พึง” อยู ๒ อยาง คือ บอกความกำหนด แปลวา พงึ , บอกความรำพงึ กแ็ ปลวา พงึ การจะรไู ดวา “พงึ ” บอกความกำหนด หรือ บอกความรำพึงนนั้ มีขอสงั เกตดังน้ี - ถาในประโยคใด มนี บิ าตบอกปรกิ ปั เชน เจ, สเจ, ยทิ (หากวา , ถาวา , ผิวา) กำกับอยดู ว ย ในประโยคน้ันบอกความกำหนด - ถาในประโยคใดไมมีนิบาตบอกปริกัปอยูดวย ในประโยคน้ันบอกความ รำพึง 36
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 37 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๒. บท ๒.๑ ความหมายของบท ไดม นี กั วชิ าการหลายแขนงใหค วามหมายของคำวา “บท” ไวแ ตกตา งกนั ออกไป ดังน้ี คอื ปท (นปุ.) ปทะ ชื่อของพระนิพพาน, พระนิพพาน. วิ. อริเยหิ ปฏปิ ชชฺ ติ พฺพตฺตา คนตฺ พฺพตตฺ า ปทํ. ปท (นปุ.) มูล, เหตุ, มูลเคา, ตนเง่ือน. วิ. ปชฺชติ ผลเมเตนาติ ปทํ. ปทฺ คตยิ ํ, อ. ปท (นปุ.) ภาค, สวน, สวนเปนเคร่ืองถึง, ธรรมชาติเปนเคร่ืองถึง, เครื่องปองกัน, เคร่ืองรักษา, ความตานทาน, ขอ, ทอน, ตอน, รอย, เทา, ทาง, หนทาง, ฐานะ, สถานะ, คำ, ศพั ท, วัตถุ, พสั ด,ุ สิง่ , สงิ่ ของ, โอกาส, ขอความ. ปทฺ คติย,ํ อ. ปท (ปุ.) เทา, รอยเทา , ทาง, หน (ทาง), หนทาง. ว.ิ ปชชฺ เต เอเตนาตปิ โท. ปทฺ คตยิ ,ํ อ. หมากรกุ อ.ุ อฏ ปท หมากรกุ แถวละ ๘ ตา. ส. ปท. (พจนานุกรม มคธ-ไทย โดย พันตรี ป. หลงสมบุญ สำนักเรียน วัดปากน้ำ จดั พิมพ ๒๕๔๐ หนา ๔๔๓) บท, บท- [บด, บดทะ-] น. ขอความเรื่องหนึ่ง ๆ หรือตอนหนึ่ง ๆ เชน บทท่ี ๑ บทท่ี ๒; กำหนดคำประพันธท่ีลงความตอนหนึ่ง ๆ เชน โคลง ๔ สุภาพ ๔ บาท เปน ๑ บท; คำที่ตัวละครพูด เชน บอกบท; คำประพันธที่เขียนข้ึนสำหรับเลนละคร มีทั้งบทรองและบทเจรจา เชน บอกบท เขยี นบท; คราว, ตอน, ในคำเชน บทจะทำกท็ ำกนั ใหญ บทจะไปก็ไปเฉย ๆ บทจะตายก็ตายงายเหลือเกิน; (แบบ) เทา, รอยเทา , เชน จตุบท, ในบทกลอนใชประสมกับคำอ่นื ๆ หมายความวา เทา คอื บทบงกช บทบงสุ บทมาลย บทรชั บทศรี บทเรศ, (ดคู ำแปล ทค่ี ำนน้ั ๆ). (ป. ปท). ฯลฯ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ) 37
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 38 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ๒.๒ ประเภทของบท ในวภิ ตั ติท้งั ๘ หมวดนน้ั แบง เปน ๒ บท คือ ๑. ปรสั สบท : บทเพอื่ ผอู ืน่ ๒. อัตตโนบท : บทเพอ่ื ตน ปรสั สบท หมายความวา ศัพทกริ ิยาท่ีประกอบดว ยวิภัตติในบทนี้ เปนกิรยิ า ของประธาน ท่สี ง ผลของการกระทำไปตกแกผ อู ืน่ คือ ผอู ื่นเปนผรู ับผลของการกระทำ ทีต่ ัวประธานกระทำขึน้ นน้ั อทุ าหรณ เชน ก. ประโยคกตั ตวุ าจก (ชโน) กาเยน กมมฺ กโรติ ฯ (ชน) ยอมทำ ซึง่ การงาน ดว ยกาย ฯ ขอ ความนี้ ชโน (ชน) เปน ประธานและเปน ผทู ำในกริ ยิ า คอื กโรติ (ยอ มทำ) กมมฺ (ซ่งึ การงาน) เปน กรรม คือ ถูกชนทำ ผลของการทำของชนน้ัน ไปตกอยแู กก าร งาน คือชนเปนผูทำการงาน หาตกอยแู กชนซึง่ เปน ผทู ำไม ฉะน้ัน ความทำของชนนัน้ จึงตกอยแู กก ารงานซึ่งเปนผอู ่ืนจากตน ข. ประโยคเหตุกตั ตวุ าจก สามิโก สูท โอทน ปาจาเปติ ฯ นาย ยงั พอ ครัว ใหหงุ อยู ซ่งึ ขาวสกุ ฯ ขอความน้ี สามิโก (นาย) เปนผูทำใน ปาจาเปติ (ใหหุง) ปาจาเปติ สงผล ไปยัง โอทน (ขาวสุก) เปนอันถือเอาความวา นายใหพอครัวหุงขาวสุกไดรับผลของ ปาจาเปติ คอื ถกู หงุ สวน สามิโก เปนแตผ กู อใหเ กิดผล ไมใชผถู ูกหุงโดยตรง ฉะนั้น ปรัสสบท โดยมากทานจึงบัญญัติไวเพื่อเปนเคร่ืองหมายใหรูกิริยาที่ เปน กัตตุวาจาก และ เหตกุ ัตตุวาจก 38
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 39 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò อัตตโนบท หมายความวา ศัพทกิริยาที่ประกอบดวยวิภัตติในบทนี้ เปน กริ ยิ าของประธานทส่ี ง ผลของการกระทำใหต กแกต นโดยตรง คอื ตนเองซง่ึ เปน ประธาน เปนผูรับผลของการกระทำดวยตนเอง อทุ าหรณ เชน ก. ประโยคกมั มวาจก สูเทน โอทโน ปจิยเต ฯ ขา วสุก อนั พอ ครัว หุงอยู ฯ ขอความน้ี โอทโน (ขาวสุก) เปนตัวประธาน ไดรับผลของ ปจิยเต (หุงอยู) โดยตรง สว น สูเทน เปน ผูท ำใหเ กิดผลคือหุง ผูถูกหุง คอื โอทโน จงึ ไดร บั ผลคอื ถูกหุง ดว ยตนเอง ข. ประโยคเหตุกมั มวาจก สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปย เต ฯ ขาวสุก อันนายยงั พอครวั ใหหงุ อยู ฯ ขอ ความน้กี ็เชน เดยี วกนั โอทโน ซึ่งเปนตัวประธานไดรับผลคอื ถูกหุงดว ยตนเอง สว นภาววาจกไมต องกลา วถงึ เพราะเปน ธาตไุ มมกี รรม ๒.๓ ประโยชนของบท บทมีประโยชน คือ เปนเคร่ืองหมายบอกใหรูวาจก ดังท่ีกำหนดไวในสวนท่ี เปนไปโดยมาก ดงั นี้ :- กิริยาศัพทใด ประกอบดวยวิภัตติฝายปรัสสบท กิริยาศัพทนั้นเปนได ๒ วาจก คือ กตั ตุวาจก และเหตกุ ัตตวุ าจก กิริยาศัพทใด ประกอบดวยวิภัตติฝายอัตตโนบท กิริยาศัพทน้ันเปนได ๓ วาจก คือ กมั มวาจก ภาววาจก และเหตุกัมมวาจก 39
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 40 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) อนง่ึ หลกั เกณฑขางตนนี้ ถือเอาสว นทเี่ ปนไปโดยมาก แตจะนิยมแนนอนลง ไปทีเดียวไมได ถาจะใหแนนอนตองอาศัยปจจัยดวย ทั้งน้ี เพราะในบางกรณีไดมีขอ ยกเวนอยบู า ง ดงั น้ี - ในประโยคกัตตวุ าจก ใชว ภิ ัตตฝิ า ยอัตตโนบทก็มี เชน ปยโต ชายเต ภย ฯ ความกลวั ยอมเกิด จากของท่รี กั ฯ - ประโยคกัมมวาจก ใชวภิ ตั ติฝา ยปรัสสบทก็มี เชน สทโิ ส เม น วิชฺชติ ฯ คนเชน กับดวยเรา (อันใคร ๆ) ยอมหาไมไ ด ฯ ๓. วจนะ ๓.๑ ความหมายของวจนะ วจนะ แปลวา คำพูด, คำอันบุคคลกลาว หรือคำพูดอันเปนเครื่องแสดงให ทราบถึงจำนวนคน สงิ่ ของ วามีจำนวนมากนอ ยเพียงใด แตในท่ีน้ี วจนะอาขยาต หมายถึง คำพูดท่ีใชประกอบกิริยา เพื่อเปน เครอ่ื งแสดงใหรจู ำนวนของประธาน ๓.๒ ประเภทของวจนะ วจนะ แบง ออกเปน ๒ ประเภท คอื ๑. เอกวจนะ คำพดู ถึงของสิง่ เดยี ว ๒. พหวุ จนะ คำพดู ถึงของหลายสง่ิ วจนะทงั้ ๒ นี้ ตองหมายรดู วยวภิ ัตตทิ ง้ั ส้ิน ๓.๓ ความแตกตา งระหวางวจนะนามและวจนะอาขยาต วจนะนาม ใชสำหรับประกอบนาม เพ่ือเปน เคร่ืองแสดงหรือบอกจำนวนของ นามใหร วู า มากหรือนอ ย 40
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 41 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò วจนะอาขยาต ใชสำหรับประกอบกิริยา เพื่อเปนเคร่ืองแสดงใหรูวา กิริยา บทนี้ เปนกิรยิ าของบทประธานที่มจี ำนวนมากหรอื นอ ย ๓.๔ วธิ ีใชวจนะ วจนะอาขยาตน้ี มีหลกั การใช ดังนี้ :- ถาศัพทนามที่ทำหนาท่ีเปนบทประธานในประโยคเปนเอกวจนะ กิริยาศัพท ก็ตอ งประกอบดว ยวภิ ตั ตเิ ปนเอกวจนะตาม ใหม ีวจนะเปนอนั เดียวกนั เชน ภิกขฺ ุ ธมฺม เทเสติ ฯ ภิกษุ แสดงอยู ซึง่ ธรรม ฯ ถาศัพทนามที่ทำหนาที่เปนประธานในประโยคเปนพหุวจนะ กิริยาศัพทก็ ตองประกอบดว ยวิภตั ตเิ ปน พหุวจนะตาม ใหม วี จนะเปน อันเดียวกนั เชน ภกิ ขฺ ู นครํ ภกิ ฺขาย ปวิสนฺติ ฯ ภิกษุ ท. ยอมเขาไป สพู ระนคร เพ่อื ภกิ ษา ฯ ขอ สังเกต ถา ศพั ทน ามทที่ ำหนา ทเ่ี ปน บทประธานในประโยค เปน เอกวจนะหลาย ๆ บท ตง้ั แต ๒ บทขนึ้ ไป และมี จ ศพั ท ทแี่ ปลวา “ดว ย, และ” ควบอยู ตอ งประกอบกริ ิยาให เปนพหุวจนะเสมอ เพราะ จ ศพั ท เปน ศพั ททแ่ี สดงจำนวนรวม เชน เทสนาวสาเน อุปาสโก จ สา จ อติ ถฺ ี โสตาปตฺติผเล ปติฏหึสุ ฯ ในกาลเปนท่ีจบลงแหงเทศนา อุบาสกดวย หญิงนั้นดวย ดำรงอยูแลว ในโสดาปตตผิ ล ฯ นี้หมายความรวมท้ัง ๒ คน คือ อุบาสกและหญิงนั้น จึงตองใชกิริยาเปน พหวุ จนะ 41
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 42 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) สว นศพั ทน ามทท่ี ำหนา ทเ่ี ปน บทประธานในประโยค เปน เอกวจนะหลาย ๆ บท ตง้ั แต ๒ บทข้นึ ไป และมี วา ศัพท ท่ีแปลวา หรือ ควบอยดู ว ย คงประกอบกิรยิ าศัพท เปน เอกวจนะ เชน ภิกฺขุ ปเนว อทุ ฺทิสสฺ ราชา วา ราชโภคฺโว วา พรฺ าหมฺ โณ วา คหปตโิ ก วา ทูเตน จีวรเจตาปน ปหิเณยฺย ฯ พระราชา หรอื ราชอมาตย พราหมณ หรือ คฤหบดี พึงสง ซ่งึ ทรัพยสำหรับ จา ยจีวรไป ดวยทตู เจาะจง ภิกษุ ฯ นี้มิไดหมายความรวม แตหมายคนใดคนหนึ่ง ในคนท่ีกลาวถึงเหลาน้ัน จึงตอ งใชก ริ ยิ าเปนเอกวจนะ กิรยิ าศพั ทท่ตี ายตัว มกี ริ ยิ าศพั ทบ างตวั ทค่ี งรปู ตายตวั เปน เอกวจนะอยเู สมอ ไมม เี ปลย่ี นแปลง ถึง แมตัวประธานนั้นจะเปนพหุวจนะก็ตาม กิริยาศัพทนี้ไดแก อตฺถิ (มีอยู) และ นตฺถิ (ยอมไมม)ี ซง่ึ เปน พวก อสฺ ธาตปุ ระกอบดว ย ติ วิภตั ติ เอกวจนะ แปลง ติ เปน ตถฺ ิ จึงสำเร็จรูปเปน อตฺถิ สวน นตฺถิ น้ัน ตางกันแตเพียงเพ่ิม น ศัพทเขามาเพื่อเปน คำปฏิเสธเทาน้ัน ๒ กิริยาศัพทนี้ ใชไดสำหรับตัวประธาน ท้ังท่ีเปน เอกวจนะ และ พหวุ จนะ ท่ใี ชเ ปน พหวุ จนะ เชน เย สตตฺ า สฺ โิ น อตถฺ ิ ฯ สัตวทัง้ หลายเหลาใด เปน ผมู สี ัญญามอี ยู ฯ ปุตตฺ ามตถฺ ิ ฯ (ตัดบทเปน ปตุ ตฺ า - เม - อตฺถ)ิ บตุ รทงั้ หลาย ของเรา มอี ยู ฯ สงฺขารา สสสฺ ตา นตฺถิ ฯ สังขารทง้ั หลาย เปน สภาพเท่ยี ง ยอ มไมมี ฯ 42
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 43 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๔. บรุ ษุ ๔.๑ ความหมายของบรุ ษุ บุรุษ หมายถึง ผูชาย, เพศชาย คูกับสตรี ใชในลักษณะท่ีสุภาพ, คำบอก ผูพูด เรียกวา บุรุษที่ ๑, คำบอกผูท่ีพูดดวย เรียกวา บุรุษท่ี ๒, คำบอกผูที่พูดถึง เรยี กวา บุรษุ ท่ี ๓ (ความหมายของบรุ ษุ ในภาษาไทย) ปรุ ิสะ หมายถงึ บุรุษผชู าย สรปุ บรุ ษุ ในท่นี ีห้ มายถงึ เครื่องหมายสำหรบั แบงฝายบุคคลในวงสนทนา ๔.๒ ประเภทของบรุ ษุ ในวภิ ตั ตอิ าขยาต ทา นจัดบรุ ษุ ไวเปน ๓ คอื ๑. ปฐมบรุ ุษ หมายถึง บุคคลท่ีเราพดู ถึง ภาษาบาลีใช ต ศพั ท (เขา) และ นามนามทัว่ ไป ๒. มธั ยมบรุ ุษ หมายถึง บุคคลผูพดู กับเรา หรือผทู ่ีเราพูดดวย ภาษาบาลี ใช ตมุ ฺห ศพั ท (ทาน) ๓. อตุ ตมบรุ ษุ หมายถงึ ผพู ดู คอื ตวั เราเอง ภาษาบาลใี ช อมหฺ ศพั ท (เรา) (นีเ้ ปนความหมายของบุรุษในภาษาบาล)ี ๔.๓ ความแตกตางระหวา งบุรษุ นามกับบรุ ษุ อาขยาต บุรุษในนาม ใชเปนคำแทนชื่อของคน สัตว ท่ี สิ่งของ ซึ่งออกชื่อมาแลว ขางตน เพ่ือมิใหซ้ำซาก ซ่ึงมิไดจำกัดวิภัตติ โดยจะเปนวิภัตติใดวิภัตติหน่ึงก็ได ในวิภตั ตนิ ามทัง้ ๗ ดังตวั อยาง เชน เสฏ ตสฺสา คพภฺ ปรหิ ารํ อทาสิ ฯ เศรษฐี ไดใ หแ ลว ซึง่ เครือ่ งบริหารครรภ แกภรรยา นั้น ฯ ตสฺส เต อลาภา ฯ มิใชล าภท้งั หลาย ของทาน นนั้ ฯ อาจริโย หิ เอตสสฺ วฑุ ฒฺ ึ อาสสึ ติ ฯ เพราะวา อาจารย ยอมหวัง ซึ่งความเจริญ แกศ ษิ ย น่นั ฯ 43
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 44 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) สวนบุรุษในอาขยาต จำกัดใหใชไดเฉพาะแตที่เปนตัวประธานของ กิริยา คือเปนปฐมาวิภัตติเทาน้ัน วิภัตติอ่ืนหาใชไดไม นอกจากกิริยาบางตัวซึ่งเปน พวกภาววาจก ไมมีตวั ประธาน มแี ตต ัวกัตตาซ่ึงใชเ ปน ตติยาวภิ ตั ติเทา นัน้ ดังตัวอยาง เชน ประโยคกัตตวุ าจก :- ตฺวํ คจฺฉสิ ฯ อ.ทาน ยอ มไป ฯ ประโยคกมั มวาจก :- อิทํ กมมฺ ํ มยา กรยิ เต ฯ อ.กรรม น้ี อนั เรา ทำอยู ฯ ประโยคเหตุกัตตุวาจก :- อหํ มหนฺตํ สกกฺ ารํ กาเรสึ ฯ อ.เรา ยงั บุคคล ใหกระทำแลว ซ่ึงสักการะ อนั ใหญ ฯ ประโยคเหตุกมั มวาจก :- มยา สิสฺเสน สิปปฺ สิกขฺ าปยเต ฯ อ.ศลิ ปะ อันเรา ยังศิษย ใหศึกษาอยู ฯ ๔.๔ วธิ ใี ชบ ุรษุ กิริยาศัพทท่ีประกอบดวยวิภัตติกับตัวประธาน นอกจากจะตองมีวจนะเสมอ กนั แลว ยังตองมีบุรุษตรงกันดวย คอื ถา นามนาม หรือปรุ ิสสพั พนามใด เปนประธาน ตองใชกิริยาประกอบวิภัตติใหถูกตองตามนามนาม หรือปุริสสัพพนามนั้น จะตางบุรุษ กันไมไ ด ตัวอยาง เชน ชโน ยาติ - ชนไป โส ยาติ - เขาไป 44
เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) ¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 45 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò ตฺวํ ยาสิ - เจาไป อหํ ยามิ - ขา ไป ๔.๕ วธิ ีสงั เกตบรุ ุษ อน่ึง ในเวลาพูดหรือเขียนหนังสือ แมจะไมออกช่ือปุริสสัพพนาม ใชแต วิภัตติกิริยาใหถูกตองตามบุรุษที่ตนประสงคจะออกชื่อก็เปนอันเขาใจกันไดเหมือนกัน เหมอื นคำวา เอหิ (เจา ) จงมา ถึงจะไมอ อกชอื่ ตฺวํ ก็รูไ ด เพราะ หิ วภิ ัตติ เปน ปญจมี เอกวจนะ มัธยมบุรุษ เมื่อเปนเชนนี้ก็สองความใหเห็นวาเปนกิริยาของ ตฺวํ ซ่ึงเปน มัธยมบุรุษ เอกวจนะ แมคำวา ปุ ฺ กริสสฺ าม (ขา ท.) จกั ทำ ซึง่ บุญ ถึงจะไมอ อกชอ่ื มยํ กร็ ูไ ด โดยนยั ดงั กลา วแลว นัน้ วจนะแสดงความเคารพ ในการพูดหรือเขียนหนังสือท่ีแสดงความเคารพตอผูที่สูงกวาตน ซ่ึงเปน ผพู ดู ดว ย คือ ผนู อยพูดกับผใู หญ ปกตมิ กั นยิ มใชมัธยมบุรุษ พหุวจนะ ถึงแมว าผูพ ดู ดว ยจะเปนคนเดยี วกต็ าม ดังตวั อยา งประโยคบาลตี อไปนี้ ภิกษทุ ลู พระราชา ตํ ตมุ ฺหากํ วิชติ า นหี รถ ฯ ขอพระองค ท. จงนำเขาออกจากแวนแควน ของพระองค ท. ฯ พระราชาตรสั กับภกิ ษุ กเถถ ภนฺเต ฯ ทานผเู จรญิ ขอทา น ท. จงบอกเถดิ ฯ สว นวจนะของบรุ ษุ คอื ปฐมบรุ ษุ และอตุ ตมบรุ ษุ ไมม ที นี่ ยิ มใช ถา คนเดยี วก็ คงเปน เอกวจนะ ถา สองคนขึ้นไปก็คงเปนพหวุ จนะ ตามเดิม 45
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 46 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò แบบประเมนิ ผลตนเองกอ นเรยี น หนวยที่ ๓ วตั ถปุ ระสงค เพอื่ ประเมนิ ความรเู ดมิ ของนกั เรยี นเกย่ี วกบั เรอ่ื ง กาล บท วจนะ บรุ ษุ คำสัง่ ใหนักเรียนอานคำถาม แลววงกลมลอมรอบขอคำตอบท่ีถูกท่ีสุด เพียงขอเดยี ว ๑. ในอาขยาตแบงกาลโดยยอไวเทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ ๒. คำวา “กาล” หมายถงึ อะไร ? ก. เวลา ข. สถานท่ี ค. ตาย ง. คำประพนั ธ ๓. ในอาขยาตแบง กาลโดยพิสดารไวเ ทา ไร ? ก. ๓ ข. ๖ ค. ๘ ง. ๙ ๔. วิภตั ติหมวดวัตตมานา บอกกาลอะไร ? ก. ปจ จบุ นั ข. อดตี ลวงแลววันน้ี ค. อนาคตของปจจบุ ัน ง. อนาคตของอดีต ๕. วภิ ัตตอิ าขยาตหมวดใด ไมบอกอดตี กาล ? ก. ปโรกขา ข. หยิ ตั ตนี ค. อชั ชัตตนี ง. กาลาติปตติ ๖. วภิ ตั ติหมวดภวสิ สนั ติ มีคำแปลประจำหมวดวาอะไร ? ก. จะ ข. แลว ค. จกั ง. จัก…แลว ๗. คำวา “ควร” เปน คำแปลของวิภตั ตอิ าขยาตหมวดใด ? ก. วัตตมานา ข. สัตตมี ค. อชั ชตั ตนี ง. ภวสิ สนั ติ เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 46
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 47 ÇÔªÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅ‹Á ò ๘. คำวา “จง, เถิด, ขอ…จง” จัดเปนกาลอะไร ? ก. ปจ จุบันใกลอนาคต ข. อดตี ลวงแลว วนั น้ี ค. อนาคตแหงปจจุบัน ง. อนาคตแหงอดตี ๙. วภิ ตั ตอิ าขยาตหมวดกาลาตปิ ต ติ ถามี อ อาคม อยูห นา แปลวาอะไร ? ก. ขอ…จง ข. ได… แลว ค. จัก…แลว ง. จกั ได…แลว ๑๐. วิภัตติอาขยาตหมวดสัตตมีบอกความกำหนด แปลวา “พึง” มีขอสังเกต อยางไร ? ก. ไมมนี บิ าตกำกับไว ข. มีนบิ าตคอื เจ, ยท,ิ สเจ อยูด ว ย ค. มีนบิ าตคอื อปเฺ ปว นาม อยดู วย ง. มีนบิ าตคือ ยนนฺ ูน อยดู ว ย ๑๑. วภิ ัตตฝิ า ยปรัสสบท เปน เคร่ืองหมายใหรูว าจกอะไร ? ก. กัตตุวาจก ข. กัมมวาจก ค. ภาววาจก ง. เหตกุ ัมมวาจก ๑๒. มิ ปญจมีวิภัตติ ข้นึ ประธานวา อะไร ? ก. ตฺวํ ข. ตมุ เฺ ห ค. อหํ ง. มยํ ๑๓. อุ อัชชตั ตนวี ภิ ัตติ ข้ึนประธานวา อะไร ? ก. โส ข. เต ค. ตวฺ ํ ง. ตมุ เฺ ห ๑๔. บรุ ษุ ในอาขยาต แบงเปน เทา ไร ? ก. ๒ ข. ๓ ค. ๔ ง. ๕ ๑๕. สสฺ สิ ภวิสสนั ตวิ ิภตั ติ เปน บรุ ษุ และวจนะอะไร ? ก. ประถมบรุ ุษ เอกวจนะ ข. มัธยมบุรษุ เอกวจนะ ค. มธั ยมบุรษุ พหวุ จนะ ง. อุตตมบรุ ษุ เอกวจนะ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 47
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 48 ÇÔªÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅÁ‹ ò แบบประเมินผลตนเองหลงั เรียน หนว ยที่ ๓ จดุ ประสงค เพื่อประเมินผลความกาวหนาของนักเรียนเก่ียวกับเร่ือง กาล บท คำสงั่ วจนะ บรุ ษุ ใหนักเรียนอานคำถาม แลววงกลมลอมรอบขอคำตอบท่ีถูกที่สุด เพยี งขอ เดยี ว ๑. ในอาขยาตแบงกาลโดยยอไวเทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ ๒. คำวา “กาล” หมายถึงอะไร ? ก. ตาย ข. คำประพนั ธ ค. เวลา ง. สถานที่ ๓. ในอาขยาตแบงกาลโดยพสิ ดารไวเทา ไร ? ก. ๒ ข. ๔ ค. ๖ ง. ๘ ๔. วิภตั ตหิ มวดวัตตมานา บอกกาลอะไร ? ก. อนาคตของปจจุบัน ข. อนาคตของอดีต ค. อดตี ลว งแลววันน้ี ง. ปจจบุ ัน ๕. วิภตั ติอาขยาตหมวดใด ไมบอกอดีตกาล ? ก. สัตตมี ข. ปโรกขา ค. หยิ ตั ตนี ง. อัชชตั ตนี ๖. วิภัตตหิ มวดภวิสสันติ มคี ำแปลประจำหมวดวา อะไร ? ก. จกั ข. แลว ค. จกั …แลว ง. จะ ๗. คำวา “ควร” เปนคำแปลของวิภัตตอิ าขยาตหมวดใด ? ก. สตั ตมี ข. อชั ชตั ตนี ค. ภวสิ สนั ติ ง. ปญจมี เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 48
¡ÒÃàÃÕ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 49 ÇªÔ ÒºÒÅäÕ ÇÂҡó àÅÁ‹ ò ๘. คำวา “จง, เถดิ , ขอ…จง” จัดเปนกาลอะไร ? ก. อดีตลว งแลววันนี้ ข. ปจจุบนั ใกลอนาคต ค. อนาคตแหง อดตี ง. อนาคตแหงปจจุบัน ๙. วภิ ตั ตอิ าขยาตหมวดกาลาติปต ติ ถามี อ อาคม อยูหนา แปลวา อะไร ? ก. ได…แลว ข. จักได…แลว ค. ขอ…จง ง. จัก…แลว ๑๐. วิภัตติอาขยาตหมวดสัตตมีบอกความกำหนด แปลวา “พึง” มีขอสังเกต อยา งไร ? ก. ไมมนี ิบาตกำกับไว ข. มนี ิบาตคือ อปฺเปว นาม อยดู วย ค. มีนบิ าตคอื เจ, ยทิ, สเจ อยูด ว ย ง. มีนิบาตคอื ยนนฺ นู อยดู ว ย ๑๑. วิภตั ติฝา ยปรสั สบท เปนเครอ่ื งหมายใหรวู าจกอะไร ? ก. เหตุกัมมวาจก ข. ภาววาจก ค. กมั มวาจก ง. กัตตวุ าจก ๑๒. มิ ปญ จมวี ิภัตติ ข้ึนประธานวา อะไร ? ก. อหํ ข. มยํ ค. ตวฺ ํ ง. ตุมเฺ ห ๑๓. อุ อชั ชตั ตนวี ภิ ตั ติ ขึ้นประธานวาอะไร ? ก. โส ข. ตฺวํ ค. เต ง. ตมุ ฺเห ๑๔. บรุ ษุ ในอาขยาต แบงเปน เทา ไร ? ก. ๓ ข. ๔ ค. ๕ ง. ๖ ๑๕. สสฺ สิ ภวิสสันติวิภตั ติ เปน บรุ ษุ และวจนะอะไร ? ก. ประถมบรุ ษุ เอกวจนะ ข. มัธยมบรุ ุษ พหวุ จนะ ค. อตุ ตมบุรุษ เอกวจนะ ง. มัธยมบุรษุ เอกวจนะ เน้อื ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 49
¡ÒÃàÃÂÕ ¹ - ¡ÒÃÊ͹ 50 ÇªÔ ÒºÒÅÕäÇÂҡó àÅ‹Á ò เฉลยแบบประเมินผล หนวยที่ ๓ ขอ กอนเรียน หลงั เรยี น ๑. ก ก ๒. ก ค ๓. ค ง ๔. ก ง ๕. ง ก ๖. ค ก ๗. ข ก ๘. ก ข ๙. ง ข ๑๐. ข ค ๑๑. ก ง ๑๒. ค ก ๑๓. ข ค ๑๔. ข ก ๑๕. ข ง เนือ้ ใน ไวยากรณ (àÅÁ‹ 2) 50
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356