1
แผนบรหิ ารการสอนประจำวิชา รหัสวชิ า 8016102 รายวิชา การพยาบาลพ้ืนฐาน 3 (2-2-5) Fundamental Nursing เวลาเรียน ภาคทฤษฎี 30 ช่ัวโมง/ภาคเรยี น ภาคทดลอง 30 ช่วั โมง/ภาคเรยี น คำอธบิ ายรายวิชา แนวคิด หลักการและเทคนิคการพยาบาลพื้นฐานที่คํานึงถึงการปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์ รวมในการดูแลบุคคลทุกวัยของชีวิตที่มีภาวะสุขภาพปกติและเบี่ยงเบนบนพื้นฐานทฤษฎีการดูแลโดย คํานึงถึงสิทธผิ ู้รบั บรกิ าร ความปลอดภัยของผรู้ ับบริการ กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ The basic concepts, principles, and techniques of basic nursing - in relationship to holistic nursing care for individual of all ages; including both healthy people and people with illnesses. It is based on nursing theories and humanized nursing care concern, along with patient’s rights, patient’ s safety and professional ethics. วัตถุประสงคท์ ่วั ไป 1. อธิบายหลักการของการพยาบาลพื้นฐานแก่บุคคลทุกช่วงวัยให้มีภาวะสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากความเจ็บป่วย คำนึงถึงการพยาบาลแบบองค์รวม รวมทั้งอธิบายวิธีการป้องกันและ ควบคุมการแพรก่ ระจายเชอ้ื ได้ 2. สามารถสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ทันสมัย วิเคราะห์และเลือกใช้ หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ในการวางแผนการพยาบาลได้เหมาะสม 3. ประยุกต์ใช้กระบวนการพยาบาลในการวางแผนการพยาบาลและให้การพยาบาลแก่ บคุ คลท่เี จบ็ ป่วยดว้ ยโรคไมซ่ บั ซอ้ นได้ 4. สามารถอธิบายหลกั การของการพยาบาลพื้นฐานและปฏิบัตกิ ารพยาบาลในสถานการณ์ จำลองแก่บุคคลกรณีปัญหาที่ต้องการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล การประเมินสัญญาณชีพ การรับใหม่ 2
การวางแผนจำหนา่ ย การช่วยเหลือเคลอื่ นไหวร่างกาย การบริหารยา สารน้ำ เลือด ส่วนประกอบของ เลือด การเก็บสิ่งส่งตรวจ ปัญหาการมีบาดแผล ปัญหาความบกพร่องในการรับประทานอาหาร การ ขับถ่ายบกพร่อง การพรอ่ งออกซิเจน การขับเสมหะ รวมทัง้ การพยาบาลผปู้ ่วยระยะสุดท้ายได้ 5. ปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยในสถานการณ์จำลองเสมอื นจริงดว้ ยความเอ้ืออาทร เคารพใน คณุ ค่าและศกั ด์ศิ รีความเปน็ มษุ ย์ 6. เลอื กใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการนำเสนอกรณศี กึ ษาได้อยา่ งเหมาะสมกับสถานการณ์ วัตถปุ ระสงค์การปรับปรงุ รายวชิ า ผลการประเมินการจดั การเรียนการสอนในปีการศึกษาทผี่ า่ นมาพบว่า 1. ผลการประเมินการจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษาที่ผ่านมาเท่ากับ 4.53 คะแนน ระดับมากทสี่ ดุ 2. ผลสมั ภาษณน์ กั ศกึ ษาเกีย่ วกบั การจดั การเรียนการสอนในปีการศึกษาท่ีผ่านมา พบวา่ 2.1 การดูแลนกั ศึกษายังไม่ทว่ั ถึงเน่ืองจากจำนวนอาจารยส์ อนภาคทดลองมนี ้อย หากมี ภารกิจอ่ืนอาจารยจ์ ะมาสอนภาคทดลองช้ากว่ากำหนด 2.2 หากมีจำนวนนักศึกษามาก อุปกรณ์การเรียนการสอนจะไม่เพียงพอกับจำนวน นักศกึ ษา ควรจดั ให้มีวัสดุ อปุ กรณม์ ากขึน้ 2.3 การสอนในห้องปฏิบัติการและการคุมสอบ OSCE ของอาจารย์แต่ละท่านไม่ เหมอื นกัน การสอบ OSCE เป็นวธิ ีการทีด่ แี ต่ควรจัดใหเ้ ปน็ ระบบ 3. การพฒั นา/ปรับปรงุ รายวชิ า ดงั น้ี 3.1 เพ่ิมจำนวนอาจารยผ์ ูส้ อนภาคทดลองเปน็ 6 คน จดั ตารางการเรียนแยกเปน็ 2 หอ้ ง อย่างชัดเจน จำนวนอาจารย์ต่อนักศึกษาเท่ากับ 6 – 7 คน เพื่อให้สามารถสอนสาธิตและสาธิต ยอ้ นกลับได้ท่ัวถงึ ทกุ คน 3.2 ประชุมปรึกษาอาจารย์ร่วมสอนเพื่อร่วมกันพัฒนาคู่มือการสอนภาคทดลองและ คู่มอื การสอบ OSCE เพ่อื ให้สามารถจดั การเรยี นการสอนภาคทดลองไดต้ รงกัน 3.3 มอบหมายให้นักศึกษาดูสื่อวิดีทัศน์การพยาบาลพื้นฐานใน YouTube channel: Nursing Practice หรือ https://nurse.pbru.ac.th/th ก่อนการเข้าฝึกปฏิบตั ิภาคทดลอง 3.4 จัดทำชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Tool kit) ในหัตการที่จำเป็นและมีนักศึกษาสอบ ผ่านได้น้อยในปีการศึกษาที่ผ่านมาจำนวน 2 ชุดการเรียนรู้ คือ injection toolkit และ Dressing toolkit เพ่ือใหน้ ักศึกษานำไปฝกึ ปฏบิ ตั จิ นมีความชำนาญ 3.5 จัดทำโมเดลช่วยสอนการให้สารน้ำ (intravenous fluid care) เพื่อให้นักศึกษาได้ เรยี นรทู้ ุกคร้งั ทมี่ าห้องปฏิบตั ิการ 3
3.6 จัดทำสื่อวิดีทัศน์ประกอบการสอนไว้ใน Google classroom และมีคำถามท้ายบท จำนวนบทละ 10 ข้อเพอื่ ใหน้ ักศึกษาได้ทบทวนด้วยตนเอง วิธสี อนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. บรรยายแบบมสี ่วนร่วม 2. อภิปรายกลมุ่ 3. มอบหมายงานกรณศี ึกษา 4. การสะทอ้ นคิดเชิงคุณธรรม จรยิ ธรรม 5. สอนสาธิตและการสาธิตยอ้ นกลับ 6. ฝกึ ปฏิบตั ิในสถานการณจ์ ำลองเสมือนจริง สือ่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรูป Power Point Presentation, Quizizz.com 3. สอื่ วดิ ีทศั น์ประกอบการสอนใน YouTube channel: nursing practice 4. กรณศี กึ ษาในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง 5. วัสดุ อุปกรณ์ ห่นุ ในหอ้ งปฏบิ ตั ิการและห้องปฏิบตั กิ ารเสมือนจรงิ จำนวนชวั่ โมงทใ่ี ช้ต่อภาคการศึกษา 1. บรรยาย 30 ชวั่ โมง 2. การฝึกปฏิบัตภิ าคทดลอง 30 ชั่วโมง 3. สอนเสรมิ ผ้สู อนจะดำเนินการสอนเสรมิ ภายหลงั การสอบแตล่ ะครัง้ ในกรณีที่นักศึกษาได้ คะแนนต่ำกว่ารอ้ ยละ 60 4. การศึกษาดว้ ยตนเองไมน่ ้อยกว่า 5 ชั่วโมง ตอ่ สัปดาห์ จำนวนชั่วโมงตอ่ สปั ดาหท์ ่ีอาจารยใ์ หค้ ำปรกึ ษาและแนะนำทางวิชาการแกน่ กั ศกึ ษา เป็นรายบุคคล 1. อาจารย์ผู้รบั ผิดชอบวิชาแจง้ เวลาให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาในการปฐมนเิ ทศรายวิชาและ ประกาศไว้ใน Google classroom เพื่อให้นักศึกษาจองวันเวลาที่ต้องการปรึกษาล่วงหน้า ทั้งน้ี นกั ศึกษาจะต้องประสานงานกบั อาจารยผ์ สู้ อนก่อน 4
2. นักศึกษาสามารถเรียนรู้ทางออนไลน์และปรึกษาอาจารย์ผู้รับผิดชอบวิชาได้ที่ช่องทาง ต่าง ๆ ดังนี้ ชือ่ หอ้ งทำงาน เบอร์โทร online อาจารยจ์ ติ รรดา พงศธราธกิ หอ้ ง 208 0818459515 [email protected] FB : Nursing Skills by Jitrada เนื้อหาวิชา 4 ชว่ั โมง บทท่ี 1 แนวคิดและหลกั การพยาบาลพ้ืนฐาน 1.1 ภาวะสขุ ภาพ ความเจบ็ ปว่ ยและการพยาบาล 1.2 การพยาบาล บทบาทของพยาบาลและทมี สุขภาพ 1.3 สทิ ธผิ ปู้ ว่ ยและจรรยาบรรณวิชาชีพ 1.4 หลกั การพยาบาลแบบองค์รวม 1.5 หลักการพยาบาลบนพ้ืนฐานความปลอดภัยของผู้ปว่ ย 1.6 บทสรปุ 1.7 คำถามท้ายบท 1.8 เอกสารอ้างอิง บทที่ 2 การพยาบาลพนื้ ฐานในการป้องกนั และควบคุมการแพร่กระจายเชอ้ื 4 ช่วั โมง 2.1 ความหมายของการตดิ เช้อื 2.2 วงจรการติดเช้ือกลไกและการตดิ เช้ือของร่างกายมนษุ ย์ 2.3 มาตรฐานในการควบคุมการติดเชอื้ และป้องกันการแพร่กระจายเชือ้ 2.4 การพยาบาลเพ่ือควบคมุ การติดเชอ้ื และป้องกนั การแพร่กระจายเชื้อ 2.5 บทสรุป 2.6 คำถามทา้ ยบท 2.7 ใบงานกรณีศกึ ษา 2.8 แบบประเมินทักษะปฏิบัติการปอ้ งกันและควบคุมการแพร่กระจายเช้อื 2.9 เอกสารอา้ งอิง 5
บทท่ี 3 หลักการพยาบาลพื้นฐานในการรับใหม่ การจำหนา่ ยและการสง่ ต่อผปู้ ่วย 4 ชว่ั โมง 3.1 การพยาบาลเพื่อการรับใหม่ในโรงพยาบาล 3.2 การพยาบาลเพ่ือการจำหนา่ ยผปู้ ่วย 3.3 การพยาบาลเพ่ือการสง่ ต่อผ้ปู ่วย 3.4 บทสรุป 3.5 คำถามทา้ ยบท 3.6 กรณีศึกษา 3.7 เอกสารอ้างอิง บทที่ 4 หลักการและเทคนิคพยาบาลพืน้ ฐานในการวัดและประเมนิ สัญญาณชีพ 4 ชว่ั โมง 4.1 ความสำคัญของการวัดและประเมนิ สญั ญาณชีพ 4.2 หลักการวัดและประเมินสญั ญาณชีพ 4.3 การบันทกึ สญั ญาณชพี ในรายงานผ้ปู ว่ ย 4.4 บทสรปุ 4.5 คำถามท้ายบท 4.6 แบบประเมนิ ทกั ษะปฏิบตั ิการวดั สญั ญาณชีพ 4.7 เอกสารอา้ งองิ บทท่ี 5 หลักการและเทคนคิ การพยาบาลพืน้ ฐานในการดูแลสุขวทิ ยาสว่ นบุคคล 8 ชัว่ โมง และสง่ิ แวดล้อม 5.1 ชนดิ ของการดแู ลสขุ วทิ ยาส่วนบคุ คลและส่ิงแวดล้อม 5.2 หลักการดูแลสขุ วทิ ยาส่วนบุคคลและส่ิงแวดลอ้ ม 5.3 การดแู ลสขุ วทิ ยาส่วนบุคคล 5.4 การทำความสะอาดเตียงและสง่ิ แวดลอ้ มข้างเตียงผ้ปู ว่ ย 5.5 บทสรุป 5.6 คำถามทา้ ยบท 5.7 กรณศี ึกษา 5.8 แบบประเมนิ ทกั ษะปฏิบัติการดแู ลสุขวิทยาส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อม 5.8 เอกสารอ้างองิ 6
บทที่ 6 หลักการและเทคนคิ การพยาบาลพ้ืนฐาน ในการช่วยเคลื่อนไหวรา่ งกาย 4 ชั่วโมง และการฟื้นฟูสภาพ 6.1 องคป์ ระกอบของการเคลื่อนไหว 6.2 การพยาบาลผูป้ ว่ ยที่ต้องไดร้ ับการจัดท่า 6.3 การพยาบาลผู้ปว่ ยทีต่ ้องไดร้ ับการเคลื่อนย้าย 6.4 การพยาบาลเพื่อฟนื้ ฟูสภาพและป้องกนั ภาวะแทรกซ้อน 6.5 บทสรุป 6.6 คำถามทา้ ยบท 6.7 แบบประเมนิ ทกั ษะปฏบิ ตั ิการจดั ท่าและเคล่อื นยา้ ยผูป้ ว่ ย 6.8 เอกสารอา้ งอิง บทท่ี 7 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพ้นื ฐานในการบริหารยา 8 ช่วั โมง 7.1 ความรูเ้ บือ้ งตน้ เกีย่ วกบั ยา 7.2 หลักการบริหารยา 7.3 การปอ้ งกนั ความคลาดเคลื่อนทางยา 7.4 การบริหารยาทางปาก 7.5 การบริหารยาทางผิวหนังและเยือ่ บุ 7.6 การบรหิ ารยาฉีด 7.7 การบริหารยาพน่ 7.8 บทสรปุ 7.9 คำถามทา้ ยบท 7.10 แบบประเมินทักษะปฏิบตั ิการบริหารยา 7.11 เอกสารอา้ งองิ บทท่ี 8 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพน้ื ฐานในการให้สารนำ้ เลอื ดและ 4 ชั่วโมง ส่วนประกอบของเลือดทางหลอดเลือดดำ 8.1 หลักการและวิธกี ารใหส้ ารน้ำทางหลอดเลือดดำ 8.2 การป้องกนั ภาวะแทรกซ้อนจากการใหส้ ารนำ้ ทางหลอดเลือดดำ 8.3 หลกั การและวธิ ีการให้เลอื ดและสว่ นประกอบของเลอื ด 8.4 การพยาบาลและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการไดร้ บั เลือดและ ส่วนประกอบของเลือดทางหลอดเลือดดำ 7
8.5 บทสรปุ 8.6 คำถามทา้ ยบท 8.7 แบบประเมินทักษะปฏิบัติการให้สารนำ้ ทางหลอดเลือดดำ 8.8 เอกสารอ้างองิ บทท่ี 9 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพน้ื ฐานในการทำแผล 4 ชว่ั โมง 9.1 ประเภทของแผล 9.2 กระบวนการหายของแผล 9.3 หลกั การและวิธกี ารทำแผล 9.4 บทสรุป 9.5 คำถามทา้ ยบท 9.6 แบบประเมนิ ทักษะปฏิบตั ิการทำแผล 9.7 เอกสารอา้ งองิ บทท่ี 10 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพนื้ ฐานในการให้อาหารทางสายยาง 4 ชว่ั โมง 10.1 ความผดิ ปกตขิ องการรบั ประทานอาหารท่พี บบ่อย 10.2 การพยาบาลผปู้ ว่ ยที่มีความผดิ ปกติของการรบั ประทานอาหาร 10.3 หลักการและวธิ ีการการใสส่ ายยางให้อาหารทางจมูก 10.4 หลักการและวิธกี ารให้อาหารทางสายยาง 10.5 การป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการคาสายยางให้อาหารและการให้ อาหารทางสายยางให้อาหาร 10.6 บทสรุป 10.7 คำถามท้ายบท 10.8แบบประเมนิ ทกั ษะปฏบิ ัติการใหอ้ าหารทางสายยาง 10.9 เอกสารอ้างอิง 8
บทที่ 11 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพน้ื ฐานในการสวนอจุ จาระและการ 4 ช่วั โมง สวนปัสสาวะ 4 ชั่วโมง 4 ช่วั โมง 11.1 ความผดิ ปกตขิ องการขับถ่ายอจุ จาระ 11.2 หลกั การและวธิ ีการสวนอุจจาระ 11.3 ความผิดปกติของการขับถา่ ยปสั สาวะ 11.4 หลกั การและวิธกี ารสวนปัสสาวะ 11.5 หลกั การและเทคนิคการการบันทกึ ปริมาณนำ้ เข้า-ออก 11.6 บทสรปุ 11.7 คำถามทา้ ยบท 11.8 แบบประเมินทักษะปฏิบัตกิ ารสวนปัสสาวะ 11.9 เอกสารอ้างอิง บทที่ 12 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพืน้ ฐานในการบำบัดด้วยออกซเิ จน 12.1 ความรูเ้ บ้อื งต้นเกยี่ วกับภาวะพรอ่ งออกซิเจน 12.2 หลักการและเทคนคิ การบำบัดออกซิเจน 12.3 การพยาบาลผู้ปว่ ยที่ได้รับการบำบดั ดว้ ยออกซเิ จน 12.4 บทสรุป 12.5 คำถามท้ายบท 12.6 แบบประเมนิ ทักษะปฏบิ ตั กิ ารให้ออกซิเจน 12.7 เอกสารอ้างอิง บทที่ 13 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพนื้ ฐานในการดดู เสมหะ 13.1 ความรู้เบอื้ งตน้ เกี่ยวกับภาวะเสมหะคัง่ คา้ ง 13.2 การพยาบาลผปู้ ว่ ยท่ีต้องได้รับการดูดเสมหะ 13.3 หลกั การและวิธกี ารดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอ 13.4 บทสรปุ 13.5 คำถามทา้ ยบท 13.6 แบบประเมนิ ทักษะปฏิบตั กิ ารดูดเสมหะ 13.7 เอกสารอ้างอิง 9
บทท่ี 14 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพน้ื ฐานในการเก็บสิ่งสง่ ตรวจ 2 ชวั่ โมง 14.1 หลกั การเก็บส่ิงส่งตรวจ 14.2 วธิ กี ารเก็บสงิ่ สง่ ตรวจ 14.3 บทสรปุ 14.4 คำถามท้ายบท 14.5 เอกสารอ้างอิง บทที่ 15 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพื้นฐานในการพยาบาลผ้ปู ่วยระยะ 2 ชว่ั โมง สุดทา้ ยของชีวติ 60 ชว่ั โมง 15.1 ความรู้เบื้องตน้ เกยี่ วกับผ้ปู ่วยระยะสุดท้าย 15.2 หลกั การพยาบาลแบบประคับประคองและการดูแลระยะสดุ ทา้ ยของ ชวี ิต 15.3 หลักการพยาบาลและวธิ ีปฎิบัติเมือ่ ผู้ปว่ ยทถ่ี ึงแก่กรรม 15.4 บทสรปุ 15.5 คำถามทา้ ยบท 15.6 เอกสารอ้างอิง รวม การวัดและการประเมินผล 1. การวัดผล ตารางที่ 1.1 แผนการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ภาคทฤษฎี งานกิจกรรม/ แบบประเมิน ผลลพั ธ์การเรยี นรู้ % LO3 LO4 LO6 LO1 LO2 -- LO5 - 1.25 - สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมินพฤติกรรม 1.25 - -- - - 1.25 การเรยี น ภาคทฤษฎี 30 3 2 - 37.5 - 24 รายงานการสะทอ้ น แบบประเมินรายงานการ 1.25 - - 36 คิดดา้ นคณุ ธรรม สะท้อนคิดดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม จรยิ ธรรม รายงานกรณีศึกษา แบบประเมนิ กรณีศกึ ษา 2.5 - สอบกลางภาค ข้อสอบปรนัย - 24 - - - สอบปลายภาค ข้อสอบปรนัย - 36 - - - 10
งานกจิ กรรม/ แบบประเมนิ ผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ % LO1 LO2 LO3 LO4 LO5 LO6 60 30 3 2 - 100 รวม 5 ตารางที่ 1.2 แผนการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ภาคทดลอง งานกจิ กรรม/ แบบประเมิน LO1 LO2 ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ LO5 % 2.5 - LO3 LO4 - LO6 สังเกตพฤตกิ รรม แบบสังเกตพฤตกิ รรม -- - 2.5 ด้านคณุ ธรรม ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม - 60 - จริยธรรมและ และจรรยาบรรณวชิ าชีพ 15 - - 75 จรรยาบรรณวชิ าชพี 2.5 - 2 สอบ objective ขอ้ สอบ OSCE 5 60 15 3 2 - 22.5 structured clinical ปฏิบตั ิการพยาบาลตาม 30 3 - 100 examination แผนการพในสถานการณ์ สอบ OSCE รวบ จำลอง ยอดตามโจทย์ใน สถานการณจ์ ำลอง รวม 2. การประเมินผล คา่ ระดบั คะแนน ชว่ งคะแนน 4.00 80-100 ตารางท่ี 1.3 เกณฑก์ ารประเมนิ ผลการเรยี น 3.50 75-79 3.00 70-74 ระดบั ความหมายของผลการเรยี น 2.50 65-69 A ยอดเยี่ยม (Excellent) 2.00 60-64 B+ ดีมาก (Very Good) 1.50 55-59 B ดี (Good) 1.00 50-54 C+ ดพี อใช้ (Fairly Good) 0.00 0-49 C พอใช้ (Average) D+ ออ่ น (Poor) D อ่อนมาก (Very Poor) E ตก (Fail) 11
การประเมนิ และปรับปรงุ การดำเนนิ การของรายวชิ า 1. กลยุทธก์ ารประเมินประสิทธผิ ลของรายวชิ าโดยนกั ศกึ ษา 1.1 ประเมินการสอนของอาจารย์ผูส้ อนรายบุคคลผ่านระบบการประเมินของมหาวิทยาลัย 1.2 การประเมนิ ผลการจัดการเรียนการสอนรายวิชา 1.3 ผู้เรียนประเมินตนเองในแต่ละคาบเกี่ยวกับการบรรลุผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ตามที่ รายวชิ ากำหนด 1.4 การสนทนากลุ่มย่อยระหว่างผู้สอนและสัมภาษณ์ผู้เรียนในประเด็นต่างๆ เช่น ประสิทธิผลของวิธีการ เรียนการสอน ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ทรัพยากร และสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ เป็นตน้ 2. กลยุทธ์การประเมินการสอน 2.1 พิจารณาจากผลการผลการสอบกลางภาค การสอบปลายภาค การสอบ OSCE การสอบ รวบยอดตามโจทยส์ ถานการณ์ของนกั ศกึ ษาประกอบกบั ผลการประเมินการสอนจากนักศึกษา 2.2 พิจารณาผลการประเมินอาจารย์ผู้สอนโดยอาจารย์ผู้ร่วมสอน อาจารย์ผู้รับผิดชอบ หลกั สตู รและผู้บงั คบั บญั ชา 2.3 การทวนสอบผลการเรยี นร้โู ดยคณะกรรมการทวนสอบเพ่ือประเมินผลการเรียนการสอน 3. การปรบั ปรุงการสอน 3.1 สัมมนาการจัดการเรียนการสอน ปรับปรุงการสอนโดยใช้ผลการประเมินประสิทธิภาพ การสอนรายวิชา 3.2 นำผลการสัมมนาการจัดการเรียนการสอนมาปรับปรุงคู่มือ หนังสือหรือตำราการ พยาบาลพนื้ ฐานและการพัฒนาสอ่ื การเรียนการสอน 4. การทวนสอบมาตรฐานผลสมั ฤทธขิ์ องนกั ศึกษาในรายวิชา 4.1 ทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิข์ องนักศึกษาโดยระบบคณะกรรมการบริหารหลักสูตร 4.2 การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรบั ปรุงประสิทธิผลของรายวชิ า 4.3 ปรับปรุงระบบการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลจากผลการประเมินของ นักศึกษา ผลการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์รายวชิ าและผลจากการสัมมนาอาจารยผ์ ูส้ อน 12
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 1 แนวคดิ และหลักการพยาบาลพื้นฐาน หัวข้อเนอ้ื หาประจำบท 1. ภาวะสขุ ภาพ ความเจ็บป่วยและการพยาบาล 2. บทบาทพยาบาลและทมี สขุ ภาพ 3. สทิ ธิผ้ปู ่วยและจรรยาบรรณวชิ าชีพ 4. หลกั การพยาบาลแบบองคร์ วม 5. หลักการพยาบาลบนพ้ืนฐานความปลอดภัยของผปู้ ่วย จำนวนชวั่ โมงทส่ี อน: ภาคทฤษฎี 2 ช่วั โมง ภาคทดลอง 2 ชว่ั โมง วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. อธิบายความหมายของภาวะสขุ ภาพและความเจ็บปว่ ยได้ 2. อภปิ รายการพยาบาลตามบทบาทอิสระและบทบาทในทีมสหสาขาวชิ าชพี ได้ 3. บอกการสะท้อนคิดถึงความสำคัญของการพยาบาลแบบองค์รวมบนพื้นฐานความ ปลอดภัยของผูป้ ่วยได้เหมาะสม 4. ปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์จำลองโดยใช้หลักการพยาบาลแบบองค์รวมบน พน้ื ฐานความปลอดภยั ของผู้ปว่ ยไดถ้ ูกต้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ 5. ดูแลผู้ป่วยเสมือนในสถานการณ์จำลองเสมือนจริงด้วยความเอื้ออาทร เคารพในคุณค่า และศกั ด์ิศรคี วามเป็นมนุษย์ วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 บรรยายแบบมีส่วนร่วม 1.2 อภปิ รายกลุ่ม 1.3 มอบหมายงานกรณีศกึ ษา 1.4 ฝึกปฏิบัตใิ นสถานการณ์จำลองเสมอื นจรงิ 13
2. กจิ กรรมการเรียนการสอน 2.1 ขั้นนำ ถามผู้เรียนถึงบทบาทของพยาบาลในทีมสุขภาพตามประสบการณ์ของผู้เรียน และกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นรว่ มแสดงความคิดเหน็ 2.2 ขัน้ สอน 1) บรรยายประกอบ Power Point Presentation เรื่อง การเจ็บป่วยแบบเรื้อรังและ แบบเฉียบพลัน บทบาทและความรับผิดชอบของพยาบาล บทบาทอิสระและบทบาทในทีมสหสาขา วิชาชพี 2) กระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมอภิปรายและระบุตัวอย่างบทบาทอิสระและบทบาทของ พยาบาลในทีมสหสาขาวชิ าชพี 3) บรรยาย ประกอบ Power Point Presentation เรื่อง หลักการพยาบาลแบบองค์ รวม การพยาบาลบนพืน้ ฐานความปลอดภัยของผ้ปู ่วย 4) ใช้สื่อวิดีทัศน์เพื่อให้ผู้เรียนสะท้อนคิดด้านคุณธรรม จริยธรรมและการพัฒนาตนเอง สมุ่ ผ้เู รียนนำเสนอผลการสะท้อนคดิ หนา้ ช้นั เรยี น 5) มอบหมายงานกรณีศึกษา วิเคราะห์กรณีศกึ ษา วางแผนการพยาบาลและปฏิบัติการ ดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์จำลองเสมือนจริงด้วยหลักการพยาบาลแบบองค์รวมบนพื้นฐานความ ปลอดภัยของผ้ปู ่วย 2.3 ข้นั สรุป กระตนุ้ ให้ผ้เู รียนร่วมกันสรปุ แนวคิดและหลักการพยาบาลพน้ื ฐาน หลังจากน้ัน ให้ผู้เรยี นเล่นเกมดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอรเ์ พอ่ื ตอบคำถามท้ายบท สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเรจ็ รูป Power Point Presentation, Quizizz.com 3. สื่อวดิ ที ศั น์ประกอบการสอน เรื่อง 5 นาทีมีพลงั : หัวใจพยาบาล ใน YouTube: https://www.youtube.com/watch?v=T8hHKKRtTsg 4. ใบงานกรณศี ึกษา 5. วสั ดุ อปุ กรณ์ หนุ่ ในห้องปฏิบตั กิ ารและหอ้ งปฏบิ ตั ิการจำลองเสมือนจริง 14
การวัดผลและประเมนิ ผล 1. การสังเกตการมสี ่วนร่วมในอภิปราย การตอบคำถาม พฤติกรรมการปฏิบตั ิการพยาบาล ด้วยความเอื้ออาทร ผ่านแบบสังเกตพฤติกรรมการเรียน ด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ วชิ าชีพพยาบาล (ภาคผนวก ก.) 2. การประเมินสะท้อนคิดด้านคุณธรรม จริยธรรมและการพัฒนาตนเอง ผ่านแบบประเมนิ การสะท้อนคิด (ภาคผนวก ข.) 3. รายงานกรณีศกึ ษาและการนำเสนองาน ผา่ นแบบประเมินกรณศี ึกษา (ภาคผนวก ค.) 4. การเล่นเกมตอบคำถามท้ายบท ผลคะแนนการเล่นเกมตอบคำถามท้ายบท ถูกต้องร้อย ละ 80 ข้นึ ไป 15
บทที่ 1 แนวคดิ และหลกั การพยาบาลพน้ื ฐาน การพยาบาลเปน็ การดูแลชว่ ยเหลือบุคคลให้มภี าวะสุขภาพท่ดี ี ปลอดภยั จากความเจ็บป่วย ความเข้าใจเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและบทบาทของพยาบาล ตลอดจนเข้าใจถึงความสำคัญของสิทธิ ผู้ป่วย และจรรยาบรรณวิชาชพี เพ่อื ช่วยใหเ้ กิดความปลอดภยั สงู สุดแกผ่ ู้ปว่ ยตอ่ ไป 1.1 ภาวะสขุ ภาพและความเจ็บปว่ ย ความหมายของสุขภาพได้มีผู้ให้ความหมายไว้เป็นจำนวนมาก ในบทนี้จะขอยกตัวอย่าง ความหมายของคำวา่ “สขุ ภาพ” ไว้พอสงั เขปดงั น้ี องค์การอนามัยโลก ให้ความหมายของสุขภาพไว้ว่า “ สุขภาพ หมายถึง ภาวะแห่งความ สมบรู ณ์ของร่างกาย จติ ใจ การอยูใ่ นสังคมอย่างปกติสุข” (World Health Organization, 1974 อ้าง ใน สปุ ราณี เสนาดสิ ยั , 2558 ) พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 กล่าวว่า “ สุขภาพ หมายถึง ภาวะของ มนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญาและทางสังคมเชื่อมโยงการเป็นองค์รวมอย่างสมดุล” (ราชกิจจานุเบกษา, 2550 อ้างใน สุปราณี เสนาดสิ ัย, 2558) สุปราณี เสนาดิสัย กล่าวว่า “สุขภาพองค์รวม การมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย ง่าย ถ้าเจ็บป่วยก็ได้รับการดูแลอยา่ งดีไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร มีจิตใจรื่นเริง ผ่องใส สบาย สะอาด สงบ ไม่ทุกข์ ไม่ทรุ นทรุ าย วนุ่ วาย มีชีวติ ความเปน็ ความเปน็ อยใู่ นสังคมเปน็ อย่างดี อยู่ในครอบครัวที่ อบอนุ่ และมีชมุ ชนทเี่ ขม้ แข็ง ” (สุปาณี เสนาดสิ ัย และ วรรณภา ประไพพานิช, 2564) ดังนั้นจึงสรุปว่า สุขภาพ หมายถึง การที่บุคคลมีร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง มีจิตใจท่ี เข้มแข็ง สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดีในครอบครัว ในสังคม แต่เมื่อมีการเจ็บป่วยก็ได้รับจากดูแล เป็นอย่างดจี นคงไว้ซง่ึ ความสมบูรณ์แข็งแรงดังเดมิ ความเจ็บป่วย หมายถึง การมีความเบี่ยงเบนของภาวะสุขภาพทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ครอบครัว สังคม ทำให้บุคคลไม่มีความสุข ไม่สามารถดูแลตนเองได้ ไม่สามารถดำรงไว้ซึ่งภาวะ สุขภาพที่ดีได้ ความเจ็บป่วยเป็นภาวะส่วนบุคคลที่ผู้อื่นไม่สามารถบอกแทนได้ ความเจ็บป่วยไม่ได้ หมายความถงึ การเปน็ โรค เนื่องจากความหมายของโรค หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหน้าทขี่ องร่างกาย 16
เป็นผลให้ความสามารถและการทำงานของอวัยวะต่างๆ ลดลง หรือการเกิดโรคส่งผลให้ช่วงชีวิตของ บุคคลมีระยะเวลาสั้นลง จึงกล่าวได้ว่า โรคทำให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้นกับบุคคล (สุปราณี เสนาดิสัย, 2558) 1.1.1 ประเภทของความเจบ็ ป่วย การเจ็บป่วยสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท ดังน้ี 1) ความเจ็บป่วยเฉียบพลัน (Acute illness) เป็นภาวะที่มีอาการเจ็บป่วยเกิดข้ึน ภายในระยะเวลาอันสัน้ อาการจะเกิดขึ้นทันทีทันใดและหายไปอยา่ งรวดเร็ว (สุปาณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานิช, 2564) ซึ่งมีทั้งการเจ็บป่วยแบบที่ไม่รุนแรง เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย หรืออาจ เป็นชนิด รุนแรงต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือการผ่าตัด เมื่อได้รับการรักษาจนหายจาก ความเจบ็ ป่วยแลว้ บุคคลจะกลบั เข้าสูภ่ าวะปกติได้ 2) ความเจ็บป่วยเรื้อรัง (Chronic illness) เป็นภาวะที่การเจ็บป่วยเกิดขึ้นเป็น ระยะเวลายาวนานตั้งแต่ 6 เดอื นขนึ้ ไป ความเจบ็ ปว่ ยเรื้อรงั มักเกิดข้ึนช้า ๆ มชี ว่ งท่ีโรครนุ แรง กำเริบ ช่วงที่อาการทุเลาลงหรือหายไป สลับไปมา การพยาบาลที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะเจ็บป่วย เรือ้ รัง ควรเปน็ การปรบั การดำเนนิ ชีวติ ใหส้ อดคล้องกบั สภาวะ ความเจ็บป่วย 1.1.2 ระยะของความเจบ็ ปว่ ย ระยะที่ 1 ระยะที่มีอาการเกดิ ขึน้ บุคคลเรม่ิ รับรู้ถงึ ความผดิ ปกตทิ เ่ี กิดขึ้นในร่างกาย อาการ นนั้ อาจชดั เจนหรอื ไมก่ ็ได้ หากอาการยังคงดำเนนิ ต่อไปเรอ่ื ยๆ หรอื ค่อยๆ แย่ลงกจ็ ะเข้าส่รู ะยะต่อไป ระยะท่ี 2 ระยะยอมรับในบทบาทการเปน็ ผู้ป่วย ระยะน้ีผปู้ ว่ ยคดิ ว่าตนเองป่วยและแสวงหา ข้อมูลเพื่อยืนยันวา่ เคยมี ใครมีอาการเช่นเดียวกับตนเองบ้าง บุคคลอาจเลือกวิธีการดูแลสขุ ภาพตาม ความเชอื่ ของตน เชน่ ใช้ยาสมุนไพร ซอ้ื ยามา รบั ประทานหรอื ไปพบแพทย์ ระยะที่ 3 การยอมรับในบทบาทการพึ่งพาคนอื่น ระยะนี้บุคคลจะยอมรับการวินิจฉัยโรค และให้ความรว่ มมือในการรักษา บุคคลตอ้ งการความช่วยเหลือและกำลงั ใจ ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการ รักษาในโรงพยาบาลหรือหากผูป้ ่วยหรือครอบครัวสามารถจัดการการเจ็บปว่ ยได้ ผู้ป่วยนั้นกจ็ ะได้รบั การดแู ลที่บ้าน ระยะที่ 4 ระยะการฟื้นตัวและกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้การพึ่งพาบุคคลอื่นจะหายไป สามารถรับผดิ ชอบตนเองได้ บุคคลทไี่ ดร้ ับการดูแล การให้สขุ ศึกษาที่ดจี ะสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ 17
แต่หากเป็นการเจ็บป่วยแบบเรื้อรัง ระยะการฟื้นหายจะถูกแทนที่ด้วยการปรับตัวที่เหมาะสมกับ ข้อจำกัดทางสขุ ภาพ 1.1.3 ผลกระทบของความเจ็บปว่ ย 1) ผลกระทบต่อตัวผู้ป่วย ผู้ป่วยจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม อารมณ์ การเปลยี่ นแปลงทางด้านภาพลักษณท์ ่ีมผี ลต่อวิถีชีวิตโดยผปู้ ่วยอาจมีการแสดงอารมณห์ รือพฤติกรรม ที่แตกต่างไปจากเดิม ทั้งนี้การแสดงออกของบุคคลอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะของความ เจ็บป่วย ความรุนแรงของการเจ็บป่วยและธรรมชาติของการเจบ็ ป่วยโดยเฉพาะการเจ็บป่วยท่ีมีความ รนุ แรงอาจจะทำใหผ้ ้ปู ว่ ยมอี ารมณใ์ นขณะเจ็บปว่ ยซึ่งประกอบไปด้วย (1) ความวิตกกงั วล (anxiety) เปน็ ความรสู้ กึ ที่ไม่แน่นอนเก่ียวกับความเจ็บป่วยที่มา คุกคามหรือค่าใช้จ่ายในการรักษาหรือการต้องออกจากงานซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกอาจแตกต่างกัน ไป (2) ความกลัว (fear) อาจกลัวร่างกายไม่กลับมาเป็นปกติ กลัวความตาย บางครั้ง อาจเปน็ ความตกใจซ่ึงเป็นการตอบสนองดว้ ยอารมณ์ที่รุนแรงท่ีมักเกิดในผู้ปว่ ยที่ได้รับการวินิจฉัยโรค ทร่ี นุ แรง (3) มีพฤติกรรมถดถอย (regression) ตอ้ งการความสนใจ ความเอาใจใส่มากข้ึนเมื่อ ไม่ไดร้ บั ความสนใจอาจแสดงอาการหงุดหงดิ พาลหาเรือ่ งได้ ซ่งึ อาจแสดงออกในหลายลักษณะ ได้แก่ - ปฏิเสธ (denial) เป็นการปฏิเสธความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น การไม่ยอมรับความ จรงิ ซ่ึงการไม่ยอมรับความจริงในระยะส้ันอาจเปน็ การจดั การความเจ็บป่วยได้แต่หากเกิดขึ้นในระยะ ยาวอาจสง่ ผลเสียได้ - โกรธ (angry) ผู้ป่วยอาจแสดงความโกรธผู้อื่น เช่น บุคคลในครอบครัว บุคลากรทางการแพทย์ เกบ็ ตวั (withdrawal) การปฏิเสธทีจ่ ะมีปฏิสมั พันธ์กับบุคคลอน่ื ซง่ึ การเก็บตัว น้อี าจเปน็ อาการแสดงเรม่ิ ต้นของภาวะซมึ เศรา้ ได้ - จู้จ้ี จกุ จิกมากเกินกว่าปกติทั้งทไ่ี ม่เคยเปน็ มากอ่ น - คดิ กบั ความเจ็บปว่ ยของตนเองตลอดเวลา ต้องการให้ผอู้ ่นื พูดเกย่ี วกับเรื่องของ ตนเอง ไมค่ อ่ ยฟงั เร่ืองความ เจบ็ ป่วยของผู้อนื่ - ความสนใจส่ิงแวดล้อมรอบขา้ งลดลง สนใจเรอื่ งของตนเองมากข้ึน บางคนอาจ สนใจทำเรื่องท่ตี นไมเ่ คยสนใจทำมาก่อน 18
- เจตคติเปลี่ยนแปลงไปจากคนที่เคยทำอะไรด้วยตนเองได้กลายเป็นคนท่ี ต้องการการเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลอาจแสดงออกโดยการเรียกพยาบาลบ่อย กว่าปกติ เรยี กรอ้ งความสนใจจากญาติมากข้นึ 2) ผลกระทบต่อครอบครัว การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อครอบครัวของผู้ป่วย เนื่องมาจากการเป็นสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเมื่อเกิดความเจ็บป่วยบทบาทในครอบครัวอาจมี การเปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีหน้าที่ในการหารายได้หลกั ของครอบครัว ทั้งน้ีผลกระทบที่เกิดข้ึนกับครอบครัวมีความเก่ียวเนื่องกับการเจ็บป่วยที่มคี วามรุนแรงหรือระยะเวลา ในการเจบ็ ปว่ ยท่ยี าวนาน 1.2 การพยาบาล บทบาทของพยาบาลและทมี สขุ ภาพ 1.2.1 ขอบเขตการพยาบาล ขอบเขตการพยาบาลตามประกาศของสภาการพยาบาลเรื่องนโยบายกำลังคนด้าน สุขภาพซึ่งประกาศในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 กล่าวว่า “การพยาบาลเป็นการปฏิบัติเกี่ยวกับชีวิต และสุขภาพของมนุษย์ทุกช่วงวัยทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว กลุ่มคนและชุมชนในทุกภาวะสุขภาพ โดยบูรณาการความรูจ้ ากศาสตร์ทางการพยาบาล ศาสตร์ทางการแพทย์ ศาสตร์ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง หลักฐาน เชิงประจักษ์ จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ ศิลปะการพยาบาล กฏหมายและประสบการณ์บน พื้นฐานของสัมพันธภาพที่เอื้ออาทรในการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันความเจ็บป่วยและการ บาดเจ็บ การฟื้นฟูสภาพ การดูแลรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยและผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนผู้ที่อยู่ ในวาระสุดท้ายของชวี ติ การพยาบาลยงั รวมถงึ การให้ความรแู้ ก่ผปู้ ่วยและประชาชน การใหค้ ำปรึกษา การเสริมสร้างเพื่อให้ผู้ป่วย ครอบครัวและชุมชนสามารถดูแลตนเองและพึ่งพากันรวมทั้งสามารถ ปรับตัวอยู่กับภาวะความเจ็บป่วยและข้อจำกัดได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การ ปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วย/ ผู้ใช้บริการ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย การวิจัย การแปล ผลการวิจัยและความรู้สู่การปฏิบัติ การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริการพยาบาลและระบบ สุขภาพ ประสานและร่วมมือกับทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อให้เกิดคุณภาพบริการที่ดีที่สุดและการมีส่วน รว่ มในการกำหนดนโยบายสุขภาพเพ่ือให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพทมี่ ีคณุ ภาพ” (สภาการ พยาบาล, 2561) ซึง่ สามารถแบง่ ลักษณะการปฏบิ ัติการพยาบาลได้ 2 ลกั ษณะ คอื 19
1) การปฏิบัติการพยาบาลโดยอิสระ (Independent nursing) พยาบาลสามารถใช้ ความรู้ ความสามารถ ศาสตรท์ างการพยาบาลและให้การพยาบาลผ้ใู ช้บริการได้อยา่ งอิสระโดยไม่ต้อง มีคำสั่งการรักษาจึงเป็นบทบาทอิสระของพยาบาล (Independent role) เช่น การพลิกตะแคงตัว ผู้ป่วยทีไ่ ม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ การเช็ดตัวลดไข้ การสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย การ บันทึกอาการผู้ป่วยและการติดตามประเมินสัญญาณชีพเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ให้คำปรึกษาสุขภาพ รว่ มวางแผนการดแู ลตนเองของผปู้ ่วย 2) การปฏิบัติการพยาบาลไม่อิสระ (Dependent nursing) พยาบาลต้องปฏิบัติการ พยาบาลร่วมกับวิชาชีพอื่นหรือแพทย์ผู้รักษาเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับการดูแลรักษาอย่ างถูกต้องและ ปลอดภัย เช่น การให้ยาและการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ จึงเป็นบทบาทไม่อิสระของพยาบาล (Independent role) เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การเตรียมผ่าตัด การเตรียมผู้ป่วยเพ่ือ การตรวจพิเศษต่างๆ พยาบาลจะต้องปฏิบัติการพยาบาลโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ รู้เหตุ รู้ผล ของการกระทำผสมผสานกบั ศลิ ปะแหง่ วิชาชีพตามขอบเขตของวิชาชีพการพยาบาล 1.2.2 หนา้ ท่ีและความรับผิดชอบของพยาบาล พยาบาลมีความรับผิดชอบและบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของงานที่ ปฏิบัติในสถานพยาบาลแต่โดยภาพรวมแล้วพยาบาลมีบทบาทหน้าที่หลัก (สุปาณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานชิ , 2564) ดงั ต่อไปน้ี 1) การบรรเทาอาการหรอื การพยาบาลแบบประคับประคอง (alleviative or palliative role) เป็นการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยบรรเทาหรือปราศจากความทุกข์ทรมาน ทั้งด้าน รา่ งกายและจติ ใจ ให้ผู้ปว่ ยมีความสุขสบาย สามารถดำรงชวี ิตประจำวันได้ตามปกติหรอื ใกลเ้ คียงปกติ ซึ่งเป็นบทบาทอิสระของพยาบาลที่สามารถให้การพยาบาลได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งการรักษาของแพทย์ เช่น การดูแลความสุขสบาย ความสะอาดร่างกาย การป้องกันแผลกดทับ การจัด ท่าที่สุขสบาย การ ดูแลสิง่ แวดล้อม การดูแลดา้ นจิตใจ อารมณ์ 2) การสร้างเ สริ มส ุ ขภ า พแ ล ะ กา ร ฟื ้น ฟ ูสภ า พ ( health promotion and rehabilitation) เป็นการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน เช่น การให้ ความรู้ การเป็นที่ปรึกษาเพื่อให้ประชาชนสุขภาพที่ดี การพักผ่อนที่เหมาะสม การออกกำลังกาย รวมถงึ การให้คำแนะนำการปฏิบตั ติ ัวเพ่อื การฟืน้ ฟภู ายหลังการผา่ ตัดเพื่อชว่ ยให้ ผปู้ ว่ ยมีการฟ้ืนตวั ทดี่ ี 20
3) การป้องกันโรค (preventive role) เป็นการปฏิบัติการพยาบาล การให้สุขศึกษาท่ี มุ่งเน้นการป้องกนั การเกดิ โรคในประชาชนที่มีสุขภาพดีหรือกลุ่มท่มี ีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตา่ ง ๆ 4) การรักษาพยาบาล (curative role) เป็นการปฏิบัติการพยาบาลตามแผนการรักษา ของแพทย์ ซึ่งเป็นบทบาทไม่อิสระ พยาบาลต้องดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตาม แผนการรกั ษาของแพทย์ 1.2.3 บทบาทของพยาบาล การปฏิบตั กิ ารพยาบาลเพ่ือให้เกิดความสอดคล้องกับความต้องการของผ้ปู ่วย ผู้ท่ีมีสุขภาพ ดี ครอบครัว ชมุ ชน พยาบาลตอ้ งสวมบทบาทต่าง ๆ ดังนี้ 1) ผู้ให้การดูแล (care provider) เป็นการดูแลช่วยเหลือให้เกิดความสุขสบาย การ ช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันรวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่รวมกับทีมสุขภาพอื่น ๆ ตามแผนการรักษา (สปุ าณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานชิ , 2564) 2) ผู้ติดต่อสื่อสาร (communicator) เป็นผู้ทำความเข้าใจและแลกเปลี่ยนข้อมูลของ ผูป้ ว่ ยกับครอบครวั 3) ผู้สอน (teacher) เปน็ ผู้ใหค้ วามรูท้ ีถ่ กู ตอ้ งให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ การเตรียมความรู้ผู้ป่วยและญาตโิ ดยการให้ความรู้แลพการฝึกทักษะท่ีจำเป็น (สปุ าณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานชิ , 2564) จนสามารถดูแลตนเองได้ตามศักยภาพ 4) ผู้ให้คำปรึกษา (counselor) พยาบาลมีบทบาทในการให้คำปรึกษากับผู้ป่วยแต่ละ รายที่มปี ญั หาสขุ ภาพทแี่ ตกตา่ งกัน (สปุ าณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานิช, 2564) 5) ผู้พิทักษ์สิทธิผู้ป่วย (advocator) การปกป้องและพิทักษ์สิทธิของผู้ป่วยนั้นเป็นสิ่งที่ สำคัญในระบบสุขภาพเนื่องจากผู้ให้บริการทางสุขภาพมีความรู้มากกว่าผู้ป่วยเมื่อให้การรักษาที่ มุ่งเน้นผลลัพธ์ของการรักษาอาจมีการละเลยความต้องการของผู้ป่วยได้โดยเฉพาะในสังคมวัฒนธรรม ที่มีความเกรงใจผู้ให้การรักษาจนไม่กล้าสอบถามใด ๆ พยาบาลในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยต้องให้การ พยาบาลด้วยความเคารพในสิทธิผู้ป่วย รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยตระหนักในสิทธิของตนเองในการรักษา หรือชว่ ยปกปอ้ งผู้ปว่ ยไม่ให้ถูกผู้อ่นื ละเมิดได้ 6) ผู้จัดการ (manager) เป็นการทำหน้าที่บริหารจัดการในกระบวนการรักษาพยาบาล ประสานงานกับทีมสุขภาพ ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ปลอดภัย ภายในระยะเวลาทเี่ หมาะสม ประหยัด ค่าใช้จ่าย 21
7) ผู้วิจัย (researcher) เป็บบทบาทที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวิชาชีพ (สุปาณี เสนาดิสัย และ วรรณภา ประไพพานิช, 2564) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้การพยาบาล ผู้ป่วย พยาบาลจำเป็นต้องนำความรู้ใหม่ ๆ หลักฐานเชิงประจักษ์มาพัฒนาการพยาบาล บทบาท ผู้วิจัยนี้หมายความถึง การทำวิจัยและการนำผลการวิจัยมาใช้ในการพัฒนาการปฏิบัติการพยาบาล ด้วย 8) บทบาทพิเศษเพิ่มเติม (Extended career roles) เช่น เป็นพยาบาลเวชปฏิบัติ พยาบาลเฉพาะทางหรือผู้เชี่ยวชาญในคลินิกของสาขาต่างๆ เช่น สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่และ ผู้สูงอายุ หัวใจและหลอดเลือด มารดาและทารก จิตเวช อาจารย์พยาบาล นักวิจัยทางการพยาบาล พยาบาลวิสญั ญีซ่ึงนบั ว่าเป็นผทู้ ี่มเี อกสิทธแิ ละมีความอสิ ระในบทบาทของตนเองที่ค่อนข้างสงู 1.2.4 ทีมสขุ ภาพ การดูแลสุขภาพประชาชนจำเป็นต้องอาศัยความรู้ที่มาจากหลายสาขาวิชาชีพ โดยทำงาน ร่วมกันในลักษณะของ ทีมสหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary team) เพื่อให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ดูแลผู้รับบริการให้ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยทีมสหสาขาวิชาชีพที่พบได้บ่อยประกอบไป ดว้ ย 1) แพทย์ รับผิดชอบประเมินความผิดปกติของร่างกาย จิตใจ วินิจฉัยโรคและให้การ รกั ษาด้วยวิธีการตา่ ง ๆ เช่น รกั ษาดว้ ยยา การผา่ ตัด 2) พยาบาล มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยให้สุขสบาย ปลอดภัยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ฟ้ืนฟสู มรรถภาพร่างกาย สง่ เสริมสุขภาพ ปอ้ งกนั โรค 3) เภสัชกร เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องฤทธิ์ของยา ผลของยาที่เกิดกับผู้ป่วย มีหน้าที่ในการ จดั หา เตรียมยา จา่ ยยาใหผ้ ู้ป่วย ประเมนิ ประวัติการแพ้ยา ผลขา้ งเคยี งของยา ใหค้ ำปรึกษาเรื่องการ ใช้ยาแก่บคุ ลากรทมี สุขภาพ 4) นักกายภาพบำบัด ประเมินและให้การบำบัดทางกายภาพ พัฒนาความแข็งแรงของ กลา้ มเนื้อที่ช่วยในการเคล่ือนไหวรา่ งกาย 5) นักกิจกรรมบำบัด ทำหน้าที่ประเมินและค้นหาปัญหาในการทำกิจกรรม การดำเนิน ชวี ิตของผปู้ ว่ ย 6) นักเวชศาสตร์สื่อความหมาย เป็นนักแก้ไขการได้ยิน แก้ไขการพูด ช่วยเหลือฟื้นฟู ประสทิ ธภิ าพในการได้ยินและการพูด 22
7) นักสังคมสงเคราะห์ ทำหน้าที่ประเมิน วิเคราะห์ แก้ไขปัญหาด้านค่ารักษาพยาบาล สนบั สนนุ ช่วยเหลือใหผ้ ปู้ ่วยสามารถกลับไปใชช้ ีวติ ในสงั คมได้ 8) โภชนากร เป็นผู้ทำหน้าที่คำนวณพลังงาน สารอาหารและคิดสูตรอาหารเพื่อ ใหบ้ รกิ ารแก่ผปู้ ว่ ยท่มี ีขอ้ จำกัดเรือ่ งภาวะโรคตา่ ง ๆ 9) นกั เทคนิคการแพทย์ เปน็ ผ้ทู ำหนา้ ที่วเิ คราะหผ์ ลเลือด ปสั สาวะ อจุ จาระและสารคัด หลั่งต่าง ๆ วเิ คราะห์หาสารพิษหรอื สารปนเป้ือนตา่ ง ๆ 10) นักรังสีเทคนิค เป็นผู้ถ่ายภาพทางรังสี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการใช้รังสีในการ รกั ษา 1.3 สทิ ธิผ้ปู ่วยและจรรยาบรรณวชิ าชีพพยาบาล 1.3.1 สทิ ธขิ องผปู้ ่วย (human rights) สิทธิมนุษยชนมีหลักสำคัญที่ยอมรับในระดับสากลนั้น คือ บุคคลมีสิทธิที่จะตัดสินใจใน กิจการ ต่างๆ ส่วนตัวด้วยตนเอง ซึ่งแสดงถึงความเป็นอิสระของมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ป่วยถือว่าเป็น บุคคลที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ ตลอดจนการได้รับรู้ข้อมูลต่างๆ เ พื่อ สมควรประกอบการ ตัดสินใจของตนเอง ฉะนั้นผู้ป่วยจึงเป็นบุคคลสำคัญที่จะต้องได้รับการพิทักษ์ สิทธิ ในหลายๆประเทศได้นำสิทธิของผู้ป่วยมาบัญญัติเป็นกฎหมาย สำหรับประเทศไทยมิได้ระบุไว้ เป็นกฎหมายโดยตรงแต่มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 28 ว่า บคุ คลยอ่ มอา้ งศักด์ิศรีความเปน็ มนุษยห์ รือใช้เสรภี าพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมดิ สิทธเิ สรีภาพของบุคคล อนื่ ๆ ดังนัน้ สภาวิชาชีพและหน่วยงานทีม่ ีความเกย่ี วขอ้ งกบั ผปู้ ่วย ไดแ้ ก่ แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข ทันตแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัดจึง ได้ร่วมกันออกคำประกาศสิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วยฉบับล่าสุด เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2558 (สภาการพยาบาล, 2558) ไว้ดังน้ี 1) ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะได้รับการรักษาพยาบาลและการดูแลด้านสุขภาพ ตามมาตรฐานวิชาชีพจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ใน รฐั ธรรมนญู 2) ผู้ป่วยที่ขอรับการรักษาพยาบาลมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริงและเพียงพอ เกี่ยวกับการเจ็บป่วย การตรวจ การรักษา ผลดีและผลเสียจากการตรวจ การรักษาจากผู้ประกอบ 23
วิชาชีพด้านสุขภาพด้วยภาษาที่ผู้ป่วยสามารถเข้าใจได้ง่ายเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการ ยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่ในกรณีฉุกเฉินอันจำเป็น เร่งดว่ นและเป็นอนั ตรายตอ่ ชวี ิต 3) ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณีโดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอ ความช่วยเหลอื หรือไม่ 4) ผู้ปว่ ยมสี ทิ ธไิ ดร้ บั ทราบชือ่ สกลุ และวิชาชีพของผู้ใหก้ ารรกั ษาพยาบาลแก่ตน 5) ผู้ป่วยมีสิทธิขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่นที่มิได้เป็นผู้ให้การ รักษาพยาบาลแก่ตนและมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพหรือเปลี่ยน สถานพยาบาลได้ ท้ังน้เี ป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสทิ ธกิ ารรกั ษาของผู้ป่วยท่ีมอี ยู่ 6) ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับการปกปิดข้อมูลของตนเอง เว้นแต่ผู้ป่วยจะให้ความยินยอมหรือ เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ประกอบวชิ าชีพด้านสุขภาพเพื่อประโยชนโ์ ดยตรงของผู้ป่วยหรือตาม กฎหมาย 7) ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือถอนตัวจาก การเป็นผู้เขา้ รว่ มหรือผ้ถู ูกทดลองในการทำวจิ ยั ของผปู้ ระกอบวชิ าชีพดา้ นสขุ ภาพ 8) ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏใน เวชระเบียนเมื่อร้องขอตามขั้นตอนของสถานพยาบาลนั้น ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิด สิทธหิ รือข้อมูลข่าวสารส่วนบคุ คลของผอู้ น่ื 9) บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรมอาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกิน สิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพรอ่ งทางกายหรือจติ ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิดว้ ยตนเองได้ นอกเหนือจากจากคำประกาศสิทธิผู้ป่วยแล้ว ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องเข้าใจในข้อพึง ปฏิบัตขิ องผู้ป่วย รายละเอียดดงั นี้ (สภาการพยาบาล, 2558) 1) สอบถามเพื่อทำความเข้าใจข้อมูลและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นก่อนลงนามให้ความ ยนิ ยอมหรือไม่ยินยอมรับการตรวจวนิ จิ ฉยั หรอื การรักษาพยาบาล 2) ให้ข้อมลู ดา้ นสุขภาพและข้อเท็จจริงต่างๆ ทางการแพทย์ที่เป็นจริงและครบถ้วนแก่ผู้ ประกอบวชิ าชีพด้านสขุ ภาพในกระบวนการรักษาพยาบาล 24
3) ให้ความร่วมมือและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ให้แจ้งผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ทราบ 4) ใหค้ วามรว่ มมอื และปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บข้อบงั คับของสถานพยาบาล 5) ปฏิบัติต่อผปู้ ระกอบวิชาชีพ ผปู้ ว่ ยรายอ่นื รวมท้ังผู้ท่ีมาเย่ียมเยียนด้วยความสุภาพให้ เกียรติและไมก่ ระทำส่งิ ที่รบกวนผู้อ่ืน 6) แจ้งสิทธิการรักษาพยาบาลพร้อมหลักฐานที่ตนมีให้เจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลท่ี เก่ยี วขอ้ งทราบ 7) ผปู้ ว่ ยพึงรับทราบข้อเท็จจรงิ ทางการแพทยด์ งั ต่อไปน้ี (1) ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่ได้ปฏิบัตหิ น้าทีต่ ามมาตรฐานและจรยิ ธรรมย่อม ได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนดและมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากการถูกกล่าวหาโดยไม่ เป็นธรรม (2) การแพทย์ในที่นี้หมายถึง การแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งได้รับการพิสูจน์ทาง วทิ ยาศาสตร์ โดยองค์ความรใู้ นขณะนั้นวา่ มปี ระโยชน์มากกวา่ โทษสำหรบั ผ้ปู ่วย (3) การแพทย์ไม่สามารถให้การวินิจฉัย ป้องกันหรือรักษาให้หายได้ทุกโรคหรือทุก สภาวะ (4) การรักษาพยาบาลทุกชนิดมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลอันไม่พึงประสงค์ได้ นอกจากนี้เหตุสุดวิสัยอาจเกิดขึ้นได้แม้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพจะใช้ความระมัดระวังอย่าง เพยี งพอตามภาวะวสิ ยั และพฤตกิ ารณ์ในการรักษาพยาบาลน้นั ๆ แล้ว (5) การตรวจเพื่อการคัดกรอง วินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคอาจให้ผลท่ี คลาดเคลื่อนได้ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีที่ใช้และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ตาม มาตรฐานการปฏิบตั ิงาน (6) ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพมีสิทธิใช้ดุลพินิจในการเลือกกระบวนการ รักษาพยาบาลตามหลักวิชาการทางการแพทย์ ตามความสามารถและข้อจำกัดตามภาวะวิสัยและ พฤติการณ์ท่ีมีอยู่ รวมทง้ั การปรึกษาหรือสง่ ต่อโดยคำนงึ ถึงสิทธแิ ละประโยชนโ์ ดยรวมของผ้ปู ่วย 25
(7) เพื่อประโยชนต์ ่อตัวผู้ปว่ ย ผู้ประกอบวิชาชีพดา้ นสขุ ภาพอาจใหค้ ำแนะนำหรือส่ง ต่อผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาตามความเหมาะสม ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องไม่อยู่ในสภาวะฉุกเฉินอันจำเป็น เรง่ ด่วนและเป็นอันตรายตอ่ ชีวิต (8) การปกปิดข้อมูลด้านสุขภาพและข้อเท็จจริงตา่ งๆ ทางการแพทย์ของผู้ป่วยต่อผู้ ประกอบวชิ าชีพด้านสุขภาพอาจส่งผลเสยี ตอ่ กระบวนการรักษาพยาบาล (9) ห้องฉุกเฉินของสถานพยาบาล ใช้สำหรับผู้ปว่ ยฉุกเฉินอันจ เป็นเร่งด่วนและเปน็ อันตรายตอ่ ชีวติ จากคำประกาศสิทธิและข้อพงึ ปฏบิ ัตขิ องผู้ป่วย ผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ต้องทำความเข้าใจ วเิ คราะห์บทบาทของของตนโดยอสิ ระในวิชาชีพ รวมทั้งการประกาศหรือแจ้งให้ผู้ปว่ ยได้รับทราบโดย ท่วั กันเพือ่ ใหเ้ กิดการพทิ กั ษ์สทิ ธผิ ู้ปว่ ยอยา่ งแทจ้ รงิ 1.3.2 จรรยาบรรณวชิ าชีพพยาบาล จรรยาบรรณวิชาชีพพยาบาลเป็นการประมวลหลักความประพฤติให้บุคคลในวิชาชีพยึดถือ ปฏิบัติ ซึ่งสมาคมพยาบาลแห่งสหรัฐอเมริกา (The America Nurses Association A.N.A.) ได้ กำหนดสาระสำคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพไว้ ซึ่งสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยได้กำหนด จรรยาบรรณแห่งวิชาชพี ประกอบด้วยหลักจรรยาบรรณวิชาชพ 9 ข้อ (รัตนา ทองแจ่ม และ พระครู ภาวนาโพธิคณุ , 2563) ดงั น้ี 1) พยาบาลรับผิดชอบต่อประชาชนผู้ต้องการการพยาบาลและบริการสุขภาพทั้งต่อ ปจั เจกบคุ คล ครอบครัว ชุมชนและระดับประเทศในการเสริมสร้างสุขภาพ การปอ้ งกันความเจ็บป่วย การฟื้นฟูสุขภาพและการบรรเทาความทกุ ขท์ รมาน 2) พยาบาลประกอบวิชาชีพด้วยความเมตตากรุณา เคารพในคุณค่าของชีวิต ความมี สุขภาพดีและความผาสุกของเพื่อนมนุษย์ ช่วยให้ประชาชนดำรงสุขภาพไว้ในระดับดีทีส่ ดุ ตลอดวงจร ของชวี ิตนบั แตป่ ฏสิ นธิ ท้ังในภาวะสุขภาพปกติ ภาวะเจ็บปว่ ย ชราภาพจนถึงระยะสุดทา้ ยของชวี ติ 3) พยาบาลมีปฏิสัมพันธ์ทางวิชาชีพกับผู้ใช้บริการ ผู้ร่วมงานและประชาชนด้วยความ เคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของบุคคลทั้งในความเป็นมนุษย์ สิทธิในชีวิตและสิทธิเสรีภาพ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การพูด การแสดงความคิดเห็น การมีความรู้ การตัดสินใจ ค่านิยม ความ 26
แตกต่างทางวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนาตลอดจนสิทธิในความเป็นเจ้าของและความเป็น สว่ นตัวของบคุ คล 4) พยาบาลยดึ หลักความยุตธิ รรมและความเสมอภาคในสังคมมนุษยร์ ว่ มดำเนินการเพื่อ ช่วยใหป้ ระชาชนที่ต้องการบริการสุขภาพได้รับความช่วยเหลอื ดูแลอย่างทัว่ ถึงและดูแลให้ผู้ใช้บริการ ได้รับการช่วยเหลือท่ีเหมาะสมกับความต้องการอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยความเคารพใน คุณค่าของชีวิต ศักดิ์ศรีและสิทธิในการมีความสุขของบุคคลอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่จำกัดด้วยชั้น วรรณะ เช้อื ชาติ ศาสนา เศรษฐานะ เพศ วยั กติ ติศัพทช์ ่ือเสียง สถานภาพในสงั คมและโรคทีเ่ ปน็ 5) พยาบาลประกอบวชิ าชีพโดยมุง่ ความเปน็ เลศิ ปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลโดยมคี วามรูใ้ นการ กระทำและสามารถอธิบายเหตุผลได้ในทุกกรณี พัฒนาความรู้และประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง รักษา สมรรถภาพในการทำงาน ประเมนิ ผลและประกอบวชิ าชีพทุกดา้ นด้วยมาตรฐานสงู สดุ เท่าที่จะเป็นไป ได้ 6) พยาบาลพึงป้องกันอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ใช้บริการโดยการร่วมมือ ประสานงานอย่างต่อเนื่องกับผู้ร่วมงานและผู้เกี่ยวข้องกับทุกฝ่ายทุกระดับเพื่อปฏิบัติให้เกิดผลตาม นโยบายและแผนพัฒนาสขุ ภาพและคุณภาพชีวิตต่อประชาชน พึงปฏิบัตหิ น้าที่ รับมอบหมายงานและ มอบหมายงานอย่างรอบคอบและกระทำการอันควรเพื่อป้องกันอันตรายซึ่งเห็นว่าจะเกิดกับ ผู้ใช้บริการแต่ละคน ครอบครัวกลุ่มหรือชุมชนโดยการกระทำของผู้ร่วมงานหรือสภาพแวดล้อมของ การทำงานหรือในการใช้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีขน้ั สูง 7) พยาบาลรับผิดชอบในการปฏิบัติให้สังคมเกิดความเชื่อถือไว้วางใจต่อพยาบาลและ ต่อวิชาชีพการพยาบาล มีคุณธรรมและจริยธรรมในการดำรงชีวิต ประกอบวิชาชพี ด้วยความมั่นคงใน จรรยาบรรณและเคารพต่อกฎหมาย ให้บริการที่มีคุณภาพเป็นวิสัย เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน ร่วมมือพัฒนาวิชาชีพให้เจริญก้าวหน้าในสังคมอย่างเป็นเอกภาพ ตลอดจนมีมนุษยสัมพันธ์อันดีและ ร่วมมือกับผู้อื่นในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมทั้งในและนอกวงการสุขภาพ ในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศและระหว่างประเทศ 8) พยาบาลพึงร่วมในการทำความเจริญก้าวหน้าให้แก่วิชาชีพการพยาบาลร่วมกับผู้นำ ทางการปฏิบัติการพยาบาล ทางการศึกษา ทางการวิจัยหรือทางการบริหารโดยร่วมในการนำทิศทาง นโยบายและแผนเพื่อพัฒนาวิชาชีพ พัฒนาความรู้ทั้งในขั้นเทคนิคการพยาบาล ทฤษฎีขั้นพื้นฐาน และศาสตรท์ างการพยาบาลข้นั ลกึ ซงึ้ เฉพาะด้านตลอดจนการรวบรวมและเผยแพร่ความรู้ขา่ วสารของ 27
วิชาชีพ ทั้งนี้พยาบาลพึงมีบทบาททั้งในระดับรายบุคคลและร่วมมือในระดับสถาบัน องค์กรวิชาชีพ ระดบั ประเทศและระหว่างประเทศ 9) พยาบาลพึงรับผิดชอบต่อตนเองเช่นเดียวกับรับผิดชอบต่อผู้อืน่ เคารพตนเอง รักษา ความสมดุลมั่นคงของบุคลิกภาพ เคารพในคุณค่าของงาน และทำงานด้วยมาตรฐานสูง ทั้งในการ ดำรงชีวิตส่วนตัวและในการประกอบวิชาชีพในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเสียสละหรือประนีประนอม พยาบาลพึงยอมรับในระดับที่สามารถรักษาไว้ซึ่งความเคารพตนเอง ความสมดุลในบุคลิกภาพและ ความมนั่ คงปลอดภัยในชวี ิตของตนเช่นเดียวกับของผรู้ ว่ มงาน ผ้ใู ช้บรกิ ารและสงั คม 1.3.2.1 จรรยาบรรณวิชาชีพการพยาบาลตอ่ ประชาชน 1) ประกอบวิชาชพี ด้วยประกอบด้วยความมสี ติ ตระหนกั ในคณุ คา่ และศักด์ิศรีของความ เปน็ มนษุ ย์ 2) ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความเสมอภาคตามสิทธิมนุษยชนโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนาและสถานภาพของบคุ คล 3) ละเวน้ การปฏิบตั ิทมี่ ีอคติและการใช้อำนานหนา้ ทเี่ พ่ือผลประโยชนส์ ว่ นตน 4) พึงเกบ็ รักษาเรือ่ งสว่ นตวั ของผู้รบั บริการไว้เปน็ ความลบั เวน้ แตด่ ้วยความยนิ ยอมของ ผูน้ ้ันหรือเม่ือตอ้ งปฏบิ ัติตามกฎหมาย 5) พึงปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการวินิจฉัยและการแก้ไข ปญั หาสขุ ภาพอนามยั อย่างเหมาะสมแกส่ ภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน 6) พงึ ปอ้ งกันภยนั ตรายอนั จะมผี ลตอ่ สุขภาพอนามยั ของประชาชน 1.3.2.2 จรรยาบรรณวิชาชพี การพยาบาลต่อสังคมและประเทศชาติ พยาบาลมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ จึงพึงมีจรรยาบรรณวิชาชีพ ตอ่ สงั คมและประเทศชาติดว้ ย ดังนี้ 1) พึงประกอบกจิ แหง่ วชิ าชีพให้สอดคล้องกบั นโยบายอันยังประโยชนแ์ ก่สาธารณชน 2) พึงรับผิดชอบร่วมกับประชาชนในการเริ่มสนับสนุนกิจกรรมที่ก่อให้เกิดสันติสุขและ ยกระดบั คุณภาพชีวิต 3) พงึ อนุรกั ษแ์ ละสง่ เสรมิ ศลิ ปวัฒนธรรมประจำชาติ 4) พึงประกอบวิชาชพี โดยมุ่งส่งเสริมความม่นั คงของชาติ ศาสนาและสถาบันกษตั ริย์ 28
1.3.2.3 จรรยาบรรณวชิ าชพี การพยาบาลตอ่ วชิ าชพี 1) พึงตระหนักและถือปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบตามหลักการแห่งวิชาชีพการ พยาบาล 2) พัฒนาความรู้และวิธปี ฏิบตั ใิ หไ้ ดม้ าตรฐานแห่งวิชาชพี 3) พงึ ศรทั ธาสนับสนุนและให้ความร่วมมอื ในกจิ กรรมแห่งวิชาชีพ 4) พึงสร้างและธำรงไว้ซ่งึ สิทธิอันชอบธรรมในการประกอบวชิ าชีพการพยาบาล 5) พงึ เผยแพร่ชื่อเสียงและคุณค่าแห่งวิชาชีพให้เป็นท่ีปรากฏแก่สงั คม 1.3.2.4 จรรยาบรรณวชิ าชีพการพยาบาลต่อผรู้ ่วมวิชาชพี และผูป้ ระกอบวิชาชีพอ่นื 1) ใหเ้ กียรติ เคารพให้สิทธิและหน้าท่ขี องผ้รู ่วมวชิ าชีพและผู้อ่ืน 2) เห็นคณุ คา่ และยกยอ่ งผ้มู คี วามรู้ ความสามารถในศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ 3) พึงรักษาไวซ้ ่งึ ความสมั พนั ธอ์ นั ดี กบั ผู้ร่วมงานท้ังภายในและภายนอกวิชาชีพ 4) ยอมรับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และชักนำให้ประพฤติปฏิบัติหน้าที่ในทางท่ี ถูกที่ควร 5) พึงอำนวยความสะดวก ให้ความร่วมมือแก่ผู้ร่วมงานในการปฏิบัติภารกิจอันชอบ ธรรม 6) ละเว้นการส่งเสริมหรือปกป้องผู้ประพฤติผิดเพื่อผลประโยชน์แห่งตนหรือผู้กระทำ การนน้ั ๆ 1.3.2.5 จรรยาบรรณวชิ าชพี การพยาบาลต่อตนเอง 1) ประพฤติตนและประกอบกจิ แห่งวชิ าชีพ โดยถูกตอ้ งตามกฎหมาย 2) ยึดมน่ั ในคณุ ธรรมและจริยธรรมแหง่ วชิ าชีพ 3) ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งในด้านการประกอบกิจแห่งวิชาชีพและ สว่ นตัว 4) ใฝ่รู้พฒั นาแนวคิดให้กวา้ งและยอมรบั การเปลีย่ นแปลง 5) ประกอบกจิ แห่งวชิ าชีพดว้ ยความเต็มใจและเต็มกำลงั ความสามารถ 6) ปฏิบัติหนา้ ทดี่ ว้ ยความมสี ติ รอบรู้ เช่อื มั่นและมวี จิ ารณญาณอนั รอบคอบ 29
1.4 หลักการพยาบาลแบบองคร์ วม การพยาบาลแบบองค์รวม (Holistic care) หมายถึง การพยาบาลที่คำนึงถึงความสมดุล ของร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณของบุคคล ครอบครัว ชุมชน ซึ่งมีความสอดคล้องกลมกลืน กนั ดังแสดงในรปู ภาพท่ี 1-1 รูปภาพท่ี 1-1 แสดงลกั ษณะการพยาบาลแบบองคร์ วม 1.4.1 หลักการพยาบาลแบบองคร์ วม หลักการพยาบาลแบบองค์รวมตามที่ ยุทธชัย ไชยสิทธ์ ได้กล่าวไว้ประกอบ 8 หลักการ (ยุทธชยั ไชยสทิ ธ,์ 2556) ดงั น้ี 1) ตระหนักถึงความเปน็ องคร์ วมของบุคคล 2) สร้างสภาพแวดลอ้ มตอ่ การมีปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งพยาบาลกบั ผ้รู ับบรกิ าร 3) ผรู้ ับบรกิ ารมสี ่วนร่วมในการดูแลสขุ ภาพตนเอง 4) สร้างสัมพนั ธภาพเชิงบำบัดกบั ผู้รับบริการ 5) การใหข้ อ้ มลู และความรแู้ กผ่ รู้ บั บริการ 6) การสรา้ งเสริมพลังอำนาจใหก้ ับผู้รบั บรกิ ารและครอบครวั 7) สนับสนนุ กระบวนการฟ้นื หายของผูป้ ว่ ยหรอื ผู้รบั บริการดว้ ยความเออ้ื อาทร 8) การส่งเสรมิ และสนบั สนนุ ใช้วิถพี น้ื บา้ นทีเ่ ป็นประโยชนใ์ นการส่งเสริมสุขภาพ 30
1.4.2 การประยุกต์ใช้การพยาบาลแบบองค์รวม หลักการพยาบาลแบบองค์รวมสามารถนำมาประยุกตใ์ ช้ในการพยาบาล ดงั น้ี 1) การพยาบาลดา้ นรา่ งกาย เปน็ การดแู ลความสขุ สบายของผ้ปู ่วยดา้ นรา่ งกาย การดูแล ความเจ็บปว่ ยตามระบบต่าง ๆ ของรา่ งกาย เช่น ปญั หาการหายใจ การรบั ประทานอาหาร ความปวด (อมรรตั น์ แสงใสแกว้ และพัชนี สมกำลงั , 2561) 2) การพยาบาลทางด้านจิตใจ การดูแลปัญหาที่เกิดจากความกลัว ความวิตกกังวล ความเครียด สภาวะทางอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดกับผู้ป่วย (อมรรัตน์ แสงใสแก้ว และพัชนี สมกำลัง, 2561) 3) การพยาบาลด้านสังคม การดูแลปัญหาทางด้านสังคมซึ่งเป็นผลกระทบจากความ เจ็บป่วย การสูญเสียบทบาทในครอบครัว ความเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบต่ออาชีพ การขาดรายได้ (อมรรตั น์ แสงใสแกว้ และพชั นี สมกำลงั , 2561) 4) การพยาบาลด้านจิตวิญญาณ การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการตระหนักในคุณค่าของ ตนเอง การเจ็บป่วยมาสามารถลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมการมีศรัทธาต่อสิ่งที่ ตนเองเคารพนบั ถือ การมีสง่ิ ยึดเหนีย่ วจิตใจ (อมรรตั น์ แสงใสแกว้ และพัชนี สมกำลัง, 2561) 1.5 หลกั การพยาบาลบนพน้ื ฐานความปลอดภัยของผปู้ ่วย การพยาบาลเพื่อให้เกดิ ความปลอดภยั ในผู้ป่วย (Patient Safety Goal: PSGs) ใชเ้ คร่อื งมือ ที่สำคัญคือการบริหารความเสี่ยงทางคลินิก (clinical risk management) เป็นมาตรฐานที่ทุก โรงพยาบาลต้องให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่จะเกิดกับผู้ปว่ ย ญาติ รวมท้ังผู้ ให้บริการด้านสุขภาพ (Personal Safety Goals) ตามหลักการขององค์การอนามัยโลก (world health organization: WHO) ท่ีได้กำหนดเป้าหมายความปลอดภัยในการดแู ลผ้ปู ว่ ย เพอ่ื ให้บุคลากร ทางสุขภาพเห็นความสำคัญและร่วมปฏิบัติให้ตรงกัน “Patient Safety Goals and Personnel safety Goals หรอื 2P safety Goals” ซ่ึงเปน็ ตัวยอ่ ทีเ่ รยี กวา่ “SIMPLE” รายละเอยี ดดงั น้ี (สถาบนั รับรองคุณภาพสถานพยาบาล, 2561) 1.5.1 Safe surgery: S คือ ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดอย่างปลอดภัย ซึ่งประกอบด้วยความ ปลอดย่อย 3 ขอ้ ดงั น้ี 31
1) Safe Surgery and Invasive Procedure เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและ ประเมนิ ความพร้อมในการผ่าตัด ป้องกนั การผ่าตดั ผิดคน ผดิ ขา้ ง การตดิ เชือ้ ท่ีแผลผ่าตัด การป้องกัน การเกดิ Venous Thromboembolism รวมทง้ั การส่งเสรมิ การฟ้ืนตวั ภายหลงั การผ่าตัด 2) Safe Anesthesia ความปลอดภัยในการให้ยาระงับความรู้สึกแก่ผู้ป่วย ครอบคลุม ตั้งแต่การประเมินผู้ป่วย ณ. หอผู้ป่วยก่อนการให้ยาระงับความรู้สึก ระหว่างให้ยาระงับความรู้สึก และการดแู ลผ้ปู ่วยภายหลังใหย้ าระงบั ความรู้สึกที่ Post Anesthesia Care Unit (PACU) 3) Safe Operating Room ห้องผ่าตัดมีความปลอดภัย เครื่องมือที่เกี่ยวข้องปลอดเช้อื ตามหลักการมาตรฐาน 1.5.2 Infection Prevention and Control: I คือ การคว ามคุมการติดเช ื้อ ใ น โรงพยาบาล ประกอบด้วยเปา้ หมายยอ่ ย ดงั นี้ 1) Hand Hygiene การล้างมืออย่างถูกต้อง 7 ขั้นตอนและถูกต้องตามโอกาส 5 moment 2) Prevention of healthcare – Associated Infection ได้แก่ การป้องกันการติด เชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากการคาสายสวนปัสสาวะ (Catheter- Associated Urinary tract infection: CAUTI) การป้องกันภาวะปอดอักเสบจากเครื่องช่วยหายใจ (Ventilator- Associated Pneumonia: VAP) การป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือดจากการใส่สายสวนหลอดเลือด (Peripheral and Central Line – Associated Blood stream Infection: CLABSI) 3) Isolation Precaution การแยกผู้ป่ว ยที่ ถูกต้องตามหลักการ Standard Transmission Based Precaution. 4) Prevention and Control Spread of Multidrug Resistant Organisms (MDRO) เป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล ซึ่งมักเป็นการดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลาย ชนดิ ตอ้ งการปฏิบตั ิการตามหลักการ Contact Precaution อย่างเคร่งครัด 1.5.3 Medication & Blood safety: M คือ ความปลอดภัยของผู้ป่วยในการได้รับยา และเลอื ด ประกอบดว้ ยเปา้ หมายย่อย ดังนี้ 1) Safe from Adverse drug Events เป็นการบริหารยาท่ีถูกต้องตามหลักการในกลุ่ม ยา High alert drug การป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และความปลอดภัยในการใช้ ยาทีอ่ าจมีปฏิกริ ยิ าตอ่ กนั (fatal drug interaction) 32
2) Safe from medication Error เป็นความปลอดภัยจากความคลาดเคลื่อนทางยา ตั้งแต่กระบวนการสั่งจ่ายยา การตรวจสอบยา การบริหารยาสู่ตัวผู้ป่วยตามช่องทางต่าง ๆ อย่าง ถกู ต้อง รวมทงั้ การปอ้ งกันความคลาดเคลื่อนทางยาที่มีสะกดคลา้ ยกันหรือออกเสียงคลา้ ยกัน 3) Medication Reconciliation เป็นกระบวนการเพื่อให้ได้ข้อมูลรายการยาที่ผู้ป่วยใช้ อยู่ทัง้ หมดเพ่อื ให้เกดิ การสง่ ต่อผปู้ ่วยอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 4) Rational Drug Use (RDU) การใช้ยาอย่างสมเหตุผลตามข้อบ่งชี้ มีประโยชน์จาก การใชย้ ามากกวา่ ความเสี่ยงทเี่ กิดจากยา รวมทัง้ การสรา้ งความตระหนักรู้การใช้ยาอยา่ งสมเหตุผลใน บคุ ลากรสาธารณสขุ และประชาชน 5) Blood Transfusion ลดความเสยี่ งและเพมิ่ ความปลอดภัยแก่ผปู้ ว่ ยในการรักษาด้วย เลือดและสว่ นประกอบของเลือด 1.5.4 Patient Care process: P เป็นกระบว นการเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ประกอบดว้ ยเปา้ หมายย่อย ดังน้ี 1) Patient Identification การบ่งชี้ตัวผู้ป่วยอย่างถูกต้อง โดยต้องระบุอย่างน้อย 2 ชนดิ เช่น ชื่อผู้ป่วยและ Hospital number 2) Communication การสื่อสารและการประสานอย่างมีประสิทธิภาพโดยหลักการ ISBAR คำนึงถึงการรักษาความลับของผู้ป่วย การสื่อสารอย่างชัดเจน ทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน การ สื่อสารทางโทรศพั ทอ์ ยา่ งมีประสิทธิภาพ หลกี เลีย่ งการใชต้ วั ยอ่ ทไ่ี มเ่ ป็นสากล 3) Reduction of Diagnosis Errors การทำงานของสหสาขาวชิ าชีพเพือ่ ให้ผูป้ ว่ ยได้รบั การตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงการรายงานผลค่าวิกฤตของผลการตรวจทาง ห้องปฏิบตั ิการ 4) Preventing common complications การดูแลผู้ป่วยและการให้บริการที่มีความ เสี่ยงสูงอย่างทันท่วงที ปลอดภัย เหมาะสม ตามมาตรฐานวิชาชีพและการป้องกันการเกิดแผลกดทบั การพลัดตกหกล้ม 5) Pain Management การบรหิ ารความปวดอย่างเหมาะสมตามคะแนนความปวดของ ผู้ป่วย ความปลอดภัยในการบริหารยาแก้ปวดกลุ่ม Opioids รวมทั้งการบริหารยาแก้ปวดในผู้ป่วย มะเรง็ และผปู้ ่วยระยะสดุ ทา้ ย 33
6) Refer and Transfer Safety กระบวนการการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตระหว่าง สถานพยาบาลและภายในโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่ต้องรับ ผู้ปว่ ยตอ่ 1.5.5 Line, Tube, Catheter and Laboratory: L ประกอบด้วย 2 เป้าหมายย่อย ดงั นี้ 1) การดแู ลผปู้ ่วยท่มี สี ายสวนหรืออปุ กรณ์ต่างๆ ที่ใชก้ ับผูป้ ว่ ยอย่างมีมาตรฐาน 2) การรายงานผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบัตกิ ารอย่างถูกตอ้ ง เปน็ มาตรฐาน 1.5.6 Emergency Response: E คอื การปฏบิ ัตติ ามแนวทางในการดูแลผูป้ ว่ ยทมี่ ีอาการ ทรุดลงหรอื การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ภาวะวกิ ฤตปิ ระกอบดว้ ยเป้าหมายย่อย ดงั น้ี 1) Response to the Deteriorating Patient การระบุผู้ป่วยที่มีอาการทรุดลงหรือมี อาการแย่ลงไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพและมีแนวทางการดูแลอย่างเหมาะสม 2) Medication Emergency การบริหารยาในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือภาวะวิกฤตของ ผู้ป่วย ได้แก่ Sepsis, Acute Coronary Syndrome, Acute ischemic stroke รวมทั้งการช่วยฟ้ืน คืนชพี อย่างถกู ตอ้ งตามหลักการ มีประสทิ ธภิ าพ 3) Maternal and Neonatal Morbidity ความปลอดภัยของผู้คลอด กระบวนการ ปลอดภัยจากการตกเลอื ด ต้ังแตก่ ารประเมินผปู้ ว่ ยจนกระท่ังการคลอด รวมท้ังการป้องกนั ภาวะพร่อง ออกซเิ จนของทารกแรกเกิด 4) ER safety การคัดแยกผปู้ ว่ ยอย่างมปี ระสิทธภิ าพ การอธบิ ายปญั หาสุขภาพแก่ผู้ป่วย อย่างถูกต้อง ทันท่วงที การป้องกันการวินิจฉัยโรคผิดพลาดรวมทั้งการสื่อสารในทีม การทำงานเป็น ทมี อยา่ งเหมาะสม 1.6 บทสรปุ พยาบาลจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในระบบสุขภาพเนื่องจากมีบุคคลากรจำนวนมากที่ทำ หนา้ ทีอ่ ย่แู ละทำหนา้ ที่หลักท้ังในและนอกสถาบนั สุขภาพ พยาบาลจงึ มีโอกาสแสดงความเป็นวิชาชีพ ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะนอกสถาบันบริการเช่น ในชุมชน พยาบาล สามารถปฏิบัติบทบาทอิสระในการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลครอบครัวและ สังคมได้ด้วยความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ สามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเฉพาะหน้าและวางแผนการ 34
ดูแลตอ่ เน่ืองได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพซ่งึ ประกอบดว้ ยการพยาบาลเปน็ องค์รวมด้วยความเอื้ออาทรและ และจิตวิญาณของความเป็นมนุษย์เป็นผูม้ ีธรรมะประจำใจคำนงึ ถึงสิทธแิ ละจรรยาบรรณวิชาชีพ 1.7 คำถามทา้ ยบท ขอ้ 1 บคุ คลในข้อใดตรงตามคำนิยามของ “ภาวะสุขภาพดี (well being)” 1. หญิงวยั ทำงานรสู้ กึ เครียดกบั รูปร่างตนเอง พยายามงดอาหาร ด่ืมแตก่ าแฟดำ 2. หญิงวยั รนุ่ รูส้ ึกหดหูต่ อนเยน็ ทกุ วันจงึ พยายามนอนตอนเยน็ จะไดล้ มื อาการหดหู่ 3. ผ้สู ูงอายุเปน็ โรคความดันโลหติ สงู รำไทเ้ ก๊กทกุ เยน็ เพราะอ่านหนังสือพบวา่ ช่วย ลดความดันได้ 4. ชายไทยตรวจเลือดพบไขมนั ในเลือดสูง ทำงานได้ ใช้ชวี ิตปกติ ต้ังใจว่าปีหน้าจะ ไปตรวจเลอื ดใหม่ ข้อ 2 ขอ้ ใดเปน็ สิทธิผปู้ ว่ ย ตามประกาศสิทธิและข้อพึงปฏบิ ัติของผปู้ ว่ ย 1. ขอความเห็นจากผูป้ ระกอบวชิ าชีพอ่ืนเพมิ่ เตมิ 2. ขอทราบประวตั ิการรกั ษาของคนในครอบครัว 3. แจ้งขอ้ มูลเฉพาะท่ผี ู้ปว่ ยต้องการเปิดเผยเท่าน้ัน 4. บันทึกภาพถา่ ยขณะผปู้ ระกอบวิชาชีพให้การดูแล ขอ้ 3 ข้อใดเป็นการสวมบทบาทของพยาบาลผพู้ ทิ ักษ์สทิ ธิ (Advocator) 1. เก็บรายงานของผปู้ ่วยไวใ้ นคอมพิวเตอร์ทเี่ ขา้ ถึงได้ยาก 2. ชว่ ยเหลือกิจวัตรประจำวนั ในผู้ป่วยทชี่ ่วยเหลอื ตวั เองไม่ได้ 3. อธิบายเหตุผลของการไดร้ ับข้อมลู ก่อนเซน็ ยนิ ยอมรบั การรักษา 4. สอบถามสิทธิการรักษาของผู้ปว่ ยกอ่ นการเบิกยาหรือวสั ดุทางการแพทย์ตา่ ง ๆ ขอ้ 4 ข้อใดเป็นการแสดง บทบาทผู้วจิ ัย (researcher) 1. เขา้ ร่วมฟงั การนำเสนอผลงานวิจัย 2. เปน็ คณะกรรมการพิจารณาจรยิ ธรรมวิจยั 3. เปน็ กล่มุ ตวั อยา่ งในการวจิ ัยทางการพยาบาล 4. นำผลการวิจัยไปใช้ในการวางแผนการพยาบาล 35
ข้อ 5 การปฏิบัติในข้อใดแสดงถึงการให้ความเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยข์ อง ผู้ปว่ ย 1. ให้ข้อมูลผปู้ ว่ ยดว้ ยภาษาท่ีเขา้ ใจง่าย 2. ยิ้มแยม้ แจม่ ใส ทกั ทายผ้ปู ว่ ยทุกครั้ง 3. นำผลการวจิ ยั ทางการพยาบาลมาใช้ในการดูแลผูป้ ว่ ย 4. แจ้งผูป้ ว่ ยก่อนทำหตั ถการทกุ คร้งั ถึงแม้ผู้ป่วยจะไมร่ สู้ กึ ตวั ข้อ 6 กิจกรรมการพยาบาลแบบองคร์ วมในผ้ปู ่วยเด็กเล็กที่ร้องไห้ขณะทำแผลถลอกที่เข่า จาก การหกล้ม ขอ้ ใดเหมาะสม 1. หยดุ ทำแผลชว่ั คราวเพ่ือฉีดยาแก้ปวด 2. พยาบาลพดู คยุ ปลอบโยน ให้กำลังใจ 3. เบยี่ งเบนความสนใจโดยใหผ้ ้ปู ่วยเลน่ ของเล่น 4. ใหม้ ารดาของเดก็ อุ้มและปลอบโยนขณะทำแผล ขอ้ 7 พยาบาลสอบถามผู้ป่วยว่า “ผูป้ ่วยมานอนโรงพยาบาลมใี ครชว่ ยดูแลลูกไหมคะ” บง่ บอก ถึงความตระหนักถึงปัญหาดา้ นใดของผปู้ ว่ ย 1. จิตใจ 2. อารมณ์ 3. สงั คม 4. จติ วิญญาณ ข้อ 8 ขอ้ ใดคอื ตัวยอ่ ของหลกั การความปลอดภยั ของผู้ป่วย (Patient safety) 1. SINGLE 2. SIMPLE 3. SUCCESS 4. SUPPORT 36
ขอ้ 9 ข้อใดเปน็ ประเด็นความปลอดภยั ดา้ น “Safe surgery” 1. ผู้ปว่ ยขอ้ เข่าเสือ่ ม ระหว่างรอผา่ ตดั เดนิ ลำบาก 2. ผปู้ ่วยกลวั วา่ จะไมไ่ ด้ผ่าตดั เปลย่ี นขอ้ เขา่ เทียมตามแผน 3. ผูป้ ว่ ยหลังผา่ ตัดเปลีย่ นข้อเขา่ เทียม บ่นปวดแผลผ่าตัดมาก 4. ผู้ปว่ ยหลังผา่ ตัดเปล่ียนข้อเขา่ เทียม ยงั ลงนำ้ หนกั ทข่ี าขา้ งผา่ ตัดไมไ่ ด้ ขอ้ 10 ข้อความใดเป็นการระบุตัวผูป้ ่วยอย่างถกู ตอ้ ง 1. “ผูป้ ว่ ยช่อื อะไรคะ่ ” 2. “ผ้ปู ่วยช่ือ-นามสกลุ อะไรคะ่ ” 3. “ผปู้ ่วยชอ่ื คุณ………ใช่ไหมค่ะ” 4. “ผปู้ ่วยชอ่ื คณุ …….นามสกุล…….ใช่ไหมคะ่ ” 1.8 เอกสารอ้างองิ รัตนา ทองแจ่ม และ พระครูภาวนาโพธิคุณ. (2563). จริยธรรมในการปฏิบัติการพยาบาล. วารสาร บณั ฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแกน่ , 7(1), 29-44 ยุทธชัย ไชยสิทธ์. (2556). การประยุกต์ใช้แบบแผนสุขภาพในการพยาบาลผู้ติดเชื้อเอชไอวีแบบองค์ รวมตามหลักฐานเชงิ ประจักษ์. วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, 31(2), 100-110 สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล. (2561). เป้าหมายและความปลอดภัยของผู้ป่วยของประเทศ ไทย พ.ศ. 2561. นนทบุรี: เฟมัส แอนด์ ซคั เซสฟลู . สภาการพยาบาล. (2558). คำประกาศสิทธิผู้ป่วยและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย. สืบค้นจาก https://www.tnmc.or.th สภาการพยาบาล. (2561). ประกาศสภาการพยาบาล เรื่อง นโยบายสภาการพยาบาลเกี่ยวกับ กำลังคนในทมี การพยาบาล. สืบคน้ จาก https://www.tnmc.or.th สุปราณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช. (2564). การพยาบาลพื้นฐาน ปรับปรุงครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บรษิ ัทจุดทอง จำกัด. 37
อมรรตั น์ แสงใสแก้ว และพัชนี สมกำลงั . (2561). การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคดิ การพยาบาลแบบองค์รวมใน ผู้ป่วยหลังผ่าตัดกระดูกสันหลังระดับเอว. วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม. ฉบับการประชุม วิชาการครบรอบ 25 ปี. 203 – 208. Potter PA, Perry AG, Stockert, PA, Hall AM. (2013). Fundamentals of nursing. 8thed St. Louis: Elsevier Mosby; 2013. 38
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 2 การพยาบาลพน้ื ฐาน ในการป้องกันและควบคมุ การแพร่กระจายเชอื้ หัวขอ้ เนอื้ หาประจำบท 1. ความหมายของการตดิ เชื้อ 2. วงจรการติดเชื้อกลไกและการติดเชือ้ ของร่างกายมนุษย์ 3. มาตรฐานในการควบคุมการตดิ เชอ้ื และปอ้ งกันการแพร่กระจายเชอ้ื 4. การพยาบาลเพอ่ื ควบคมุ การติดเชื้อและป้องกนั การแพร่กระจายเชอ้ื จำนวนช่ัวโมงทสี่ อน: ภาคทฤษฎี 2 ช่ัวโมง ภาคทดลอง 2 ช่วั โมง วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. บอกถึงความสำคัญของการปอ้ งกนั และควบคมุ การแพร่กระจายเช้ือได้ 2. อธิบายวงจรของการติดเชื้อและจำแนกการแพร่กระจายเชื้อตามช่องทางต่าง ๆ ของ เชอื้ จุลนิ ทรียแ์ ตล่ ะชนดิ ได้ 3. อธิบายความหมายและหลักปฏิบัติการพยาบาลในการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อตาม หลักสากลได้ 4. ปฏบิ ัติการพยาบาลในการควบคุมการแพรก่ ระจายเชอ้ื ตามหลักสากลไดถ้ ูกตอ้ ง 5. มีส่วนร่วมในการดูแลความสะอาด การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในห้องปฏิบัติการ และหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารเสมอื นจรงิ อย่างสม่ำเสมอ วิธสี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. วิธสี อน 1.1 บรรยายแบบมสี ่วนรว่ ม 1.2 อภปิ รายกลุ่ม 1.3 มอบหมายงานกรณศี กึ ษา 1.4 สอนสาธิตและสาธิตยอ้ นกลับ 1.5 ฝึกปฏิบตั ิในสถานการณ์จำลองเสมือนจรงิ 39
2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 ขั้นนำ ถามถึงความสำคัญของการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อพร้อมยกตัวอย่างภาพ การติดเชื้อท่สี ายสวนหลอดเลอื ดดำ กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นร่วมแสดงความคิดเห็น 2.2 ขั้นสอน 1) บรรยายเรื่อง ความหมายของการติดเชื้อ วงจรการติดเชื้อ มาตรฐานในการควบคุม การติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ หลักปฏิบัติการพยาบาลในการควบคุมการแพร่กระจาย เชื้อตามหลักสากล กระตุ้นผู้เรียนร่วมอภิปรายและยกตัวอย่างในแต่ละหัวข้อและสุ่มผู้เรียนตอบ คำถาม 2) ยกตัวอย่างกรณีศึกษาและมอบหมายงานกลุ่มย่อย ให้วิเคราะห์กรณีศึกษาและวาง แผนการพยาบาลเพื่อควบคุมการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อตามช่องทางของการพร่ กระจายเชอ้ื (mode of transmission) นำเสนองานและร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ 3) ฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง เรื่อง การล้างมือ การใส่ถุงมือปลอดเชื้อ การเปดิ หบี หอ่ ปลอดเชื้อ การใส่อปุ กรณป์ อ้ งกนั รา่ งกายสว่ นบคุ คล 2.3 ขั้นสรุป ผู้สอนสรุปหลักการสำคัญของการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ให้ผู้เรียนเล่น เกมสด์ ว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอรเ์ พ่อื ตอบคำถามท้ายบท สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรูป Power Point Presentation, Quizizz.com 3. ส่ือวิดที ศั น์ประกอบการสอนใน YouTube channel: nursing practice 4. ใบงานกรณีศกึ ษา 5. วสั ดุ อุปกรณ์ หุ่น ในห้องปฏบิ ตั กิ ารและห้องปฏบิ ัติการเสมือนจริง การวัดผลและประเมนิ ผล 1. การสังเกตการมีส่วนร่วมในอภิปราย การตอบคำถามผ่านแบบสังเกตพฤติกรรมการ เรียน 2. ความถกู ต้องของใบงานกรณีศึกษาและการนำเสนองาน ผ่านแบบประเมนิ กรณีศกึ ษา 3. ผลคะแนนการเลน่ เกมส์ตอบคำถามท้ายบท ผา่ นมากกว่ารอ้ ยละ 80 4. ประเมินทกั ษะปฎบิ ัติการล้างมือ การใสถ่ งุ มอื ปลอดเช้ือ การเปดิ หีบหอ่ ปลอดเช้ือ การใส่ อปุ กรณ์ป้องกนั รา่ งกายสว่ นบุคคล ผา่ นแบบประเมนิ ทกั ษะปฏิบตั ิ 40
บทที่ 2 การพยาบาลพ้ืนฐาน ในการปอ้ งกันและควบคมุ การแพรก่ ระจายเชือ้ การติดเชื้อเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในทุกประเทศทั่วโลก โดยสาเหตุของการติดเช้ือ เกิดจากเชื้อโรคที่อยู่ทั่วไปทั้งในร่างกายมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การควบคุมและป้องกันการ แพร่กระจายเชื้อ จึงเป็นบทบาทสำคัญของพยาบาลในการให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยที่เข้ามารับการ รักษาในโรงพยาบาล ซึ่งมีความต้านทานต่อโรคต่างๆ ต่ำลง และมีโอกาสรับเชื้อโรคเพิ่มขึ้นจากการ รักษาที่ไม่ถูกเทคนิค หรือไม่มีการควบคุมการติดเชื้อที่ดีพอ ดังนั้นพยาบาลจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับ วิธีการปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และวิธีการทำลายเชื้อโรควิธีต่างๆ ทั้งในสถาบันและชุมชน เพื่อที่จะได้ให้คำแนะนำแก่ผู้รับบริการได้ถูกต้องท่ีจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่บุคคล อนื่ ๆ 2.1 ความหมายของการติดเชอ้ื (Infection) การตดิ เชือ้ (Infection) หมายถึง การทีร่ ่างกายได้รบั เชื้อก่อโรคเขา้ ไป เช้ือนั้นมีการแบ่งตัว เจริญเติบโตในร่างกาย จนทำให้ร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ การติดเชื้อจนทำให้เกิดโรค หรือเรียกว่า โรคติดเชื้อ เป็นปัญหาที่มีความสำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะการติดเชื้อในผู้ที่มี รา่ งกายออ่ นแออยูแ่ ล้ว เช่น เด็กเลก็ ผู้สงู อายุ ผู้ปว่ ย การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล (Health-care Associated Infection(HAI) /nosocromial infection) หมายถงึ การติดเช้ือที่ผู้ป่วยได้รบั เช้ือขณะรบั การตรวจ/รกั ษาในสถานพยาบาล ไมร่ วมถึง การติดเชื้อที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อมาก่อนและเข้าโรงพยาบาลในระยะฟักตัวของโรคและ การติดเชื้อของ บคุ ลากรทางการแพทย์ อนั เนือ่ งมาจากการปฏบิ ตั ิงาน และ แพทย์ผใู้ ห้การรกั ษาวนิ ิจฉยั วา่ เป็นการติด เชื้อในโรงพยาบาล (ยงค์ รงค์รุ่งเรือง และ จริยา แสงสัจจา, 2556) การติดเชื้อในโรงพยาบาล ส่งผล ใหผ้ ปู้ ว่ ยมีอาการเจ็บปว่ ยท่ีรุนแรงมากข้นึ ตอ้ งใชย้ าปฏชิ ีวนะมากข้ึน ซง่ึ เป็นสาเหตขุ องการเกิดเช้ือดื้อ ยาในโรงพยาบาล ส่งผลต่อการสูญเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น การนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยนานขึ้น อาจ สง่ ผลต่อความพกิ ารและอาจทำใหถ้ ึงชีวิตได้ นอกจากน้ีหากการควบคมุ การแพร่กระจายเช้ือไม่ถูกต้อง 41
อาจมีการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้ป่วยรายอื่น ญาติผู้ป่วย บุคลากรและอาจมีการแพร่กระจายไปสู่ ชุมชนได้ คำศพั ท์ ความหมาย คำศพั ท์ ความหมาย Aerobic ตอ้ งใชอ้ อกซิเจน exogenous เกิดขึน้ จากภายนอก anaerobic ไมต่ ้องใชอ้ อกซเิ จน endogenous เกดิ ขึ้นจากภายใน Agent เชอ้ื ก่อโรค Infection การติดเชอื้ Pathogens สง่ิ ก่อโรค Health care Associated การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล Inflection virus เชอ้ื ไวรัส Nosocromial infection การตดิ เชื้อในโรงพยาบาล Bacterial เช้อื แบคทเี รยี disinfection การฆ่าเชอ้ื parasite ปรสติ Asepsis ทำใหป้ ลอดเชือ้ fungi เชอื้ รา sterilization ทำให้ปลอดเชือ้ Host เจ้าบา้ น contamination การปนเป้ือน Colonization การเพ่มิ จำนวน Reservoir แหล่งของเชื้อโรค ตารางที่ 2-1 แสดงคำศัพทส์ ำคัญท่ีเก่ยี วข้องป้องกันและควบคมุ การแพร่กระจายเชื้อ 2.2 วงจรการตดิ เชอื้ กลไกและการติดเช้อื ของรา่ งกายมนษุ ย์ 2.2.1 วงจรการติดเช้อื (chain of infection) วงจรของขบวนการติดเช้ือ การตดิ เชอื้ ทเี่ กิดขึน้ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างที่เก่ียวข้อง ดังมีวงจรกระบวนการตดิ เช้อื 6 ประการ 1) เชื้อก่อโรค (infectious agent) โดยเชื้อก่อโรคนี้มีหลายชนิด ได้แก่ เชื้อไวรสั เช้ือ แบคทีเรีย เชื้อรา และปรสิต ซึ่งความรุนแรงในการก่อโรคขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจริญเติบโต ของเชื้อโรค (virulence) ความสามารถในการเข้าสู่ร่างกาย(invasive) และความสามารถในการก่อ โรค (pathogenicity) เชื้อกอ่ โรคส่วนใหญ่เป็นเชือ้ แบคทเี รยี 2) แหล่งของเชื้อโรค (Reservoir) คือ แหล่งที่เชื้อโรคอาศัยอยู่แล้วมีการเจริญเติบโต แบ่งตัว ขยายพันธุ์ได้ เช่น เชื้อราที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม อาหาร เชื้อไข้เลือดออก (dengue virus) ท่ี อาศัยอยู่ในยงุ ลาย เปน็ ต้น โดยส่งิ มชี วี ติ ท่ีเปน็ แหล่งท่อี ยู่อาศยั ของเช้อื โรค โดยทีส่ ่ิงมชี ีวิตนนั้ ไมเ่ กดิ โรค หรือไมแ่ สดงอาการ เรยี กว่า พาหะ (carrier) โดยเชื้อท่ีกอ่ โรคในคนแบ่งเปน็ 2 แหล่ง คอื 42
(1) เชื้อที่มาจากร่างกายของผู้ป่วยเอง (endogenous pathogen) โดยปกติใน ร่างกายคนจะมเี ช้อื โรคอาศยั อยู่ เรียกวา่ เช้ือประจำถ่นิ (normal flora) โดยเชอ้ื เหลา่ นจี้ ะอาศัยอยู่ใน ลักษณะพึ่งพากัน มีส่วนในการป้องกันการเกิดโรคในร่างกายส่วนนั้น หรือมีส่วนช่วยให้ระบบของ รา่ งกายทำงานได้มีประสิทธภิ าพมากขึ้น เช่น เชอื้ แบคทีเรยี ชนิด E. coli ทอี่ าศัยอยู่ในลำไส้เล็กมีส่วน ช่วยในการสรา้ งสารยับยง้ั การทำงานของแบคทีเรียหรือเช้ือราชนิดอื่น ๆ ซึ่งช่วยป้องกันเชื้อโรคให้กับ ลำไส้ได้ แต่หากร่างกายอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อเหล่านี้จะสามารถก่อโรคได้ หรือเมื่อเชื้อเหลา่ น้ีไปอยู่ในอวัยวะอน่ื ก็จะก่อโรคไดเ้ ชน่ กนั (2) เชื้อที่มาจากภายนอกร่างกาย (exogenous pathogen) คือ เชื้อโรคที่มีอยู่ใน สง่ิ แวดล้อมรอบตวั ในสตั วท์ เ่ี ปน็ พาหะตา่ ง ๆ รวมถงึ เชอื้ โรคท่อี ยู่ในร่างกายของบคุ คลอนื่ 3) ทางออกของเชื้อโรคจากแหล่งแพร่เชื้อโรค (portal of exit) คือ ทางที่เชื้อโรค ออกแหล่งที่อยู่อาศัยซึ่งเชื้อโรคแตล่ ะชนดิ จะมาทางออกที่แตกต่างกนั เช่น ระบบทางเดินหายใจ เช้ือ โรคออกมาทางน้ำมูก น้ำลาย การไอ การจาม ระบบทางเดินอาหาร โดยเชื้อโรคออกมากับปัสสาวะ อุจจาระ ระบบเลือด โดยการเกิดโรคมาจากการสัมผัสเลือด นอกจากนี้ยังเกิดในระบบการไหลเวียน เลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่สามารถถ่ายทอดไปยังทารกในครรภ์ได้ ระบบอวัยวะสืบพันธ์ ซึ่งเป็นการ แพรก่ ระจายเชอื้ จากการมีเพศสมั พันธ์ 4) สิ่งนำเชื้อหรือวิธีการแพร่กระจายเชื้อ (mode of transmission) เชื้อโรค สามารถแพรก่ ระจายแหล่งเก็บกกั เชอ้ื ไปส่ผู รู้ ับเช้อื โดยมวี ธิ ีการแพร่กระจาย 3 ทางหลักดงั น้ี (1) การแพรก่ ระจายจากการสมั ผัสเชอ้ื (contact transmission) อาจเป็นการสัมผสั โดยตรง เช่น การสัมผัสเลือด สารคัดหลังโดยตรง การสัมผัสเชื้อที่อยูบ่ รเิ วณข้างเตียง หรือการสัมผสั โดยอ้อม เชน่ การสัมผสั ผู้ทตี่ ิดเชื้อแล้วไปสัมผสั บุคคลอน่ื อีกโดยไม่ไดล้ า้ งมือ การใช้ของร่วมกันกับผู้ที่ ติดเช้ือ การเล่นของเลน่ ร่วมกบั ผูท้ ี่ติดเชอ้ื (2) การแพร่กระจายทางละออง (droplet transmission) เป็นการสัมผัสเชื้อใน รปู แบบของละอองน้ำ ขนาดใหญม่ ากกว่า 5 ไมครอน ทลี่ อ่ งลอยอยู่ในอากาศไดร้ ะยะเวลาหนงึ่ ไม่ไกล เกินกว่า 3 ฟุต จากแหล่งของเชื้อโรค เช่น การไอ จาม รดกัน การทำหัตถการต่าง ๆ เช่น การดูด เสมหะ เน่อื งจากการแพร่กระจายเชื้อทางละอองน้ี จะอย่ใู นอากาศได้ไม่นานกจ็ ะตกสู่พ้นื หรือเกาะติด กับสิง่ ของตา่ ง ๆ ซึ่งจะแพรก่ ระจายได้หากมีการสมั ผสั เช้ือ (contact transmission) (3) การแพร่กระจายเช้ือทางอากาศ (airborne transmission) เปน็ การแพรก่ ระจาย เชื้อผ่านละอองน้ำมูก น้ำลาย สปอร์ของเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มีอนุภาคเล็กมากกว่า 5 ไมครอน เช่น เชื้อ โรค SARS, ไข้หวัดนก ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปได้ไกลและล่องลอยอยู่ในอากาศได้นานกว่าเชื้อที่ แพรก่ ระจายทางละอองน้ำ 43
5) ทางเข้าของเชื้อที่ทำให้เกิดโรค (Portal of entry) เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกาย ได้ตามทางระบบต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง บาดแผล ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้การใสส่ ายสวนต่าง ๆ เข้าไปในร่างกายผูป้ ่วยจะเป็นทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายมาก ขึน้ เช่น การให้สารนำ้ ทางหลอดเลือดดำ ผู้ปว่ ยคาสายสวนปัสสาวะ 6) ความไวของแตล่ ะบคุ คลในการรับการติดเช้ือ (Susceptible host) เม่ือได้รับเชื้อ เขา้ สู่รา่ งกายแล้วการท่ีเชื้อจะก่อโรคขึ้นอยู่กับความไวในการรับเช้ือของผู้ปว่ ย โดยปกติร่างกายคนจะ มีระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยทำลายเชื้อได้ แต่หากผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำได้รับเช้ือโรคจะทำให้มีความไวใน การเกิดโรคได้ นอกจากนี้ผทู้ ี่มคี วามไวในการรบั เช้อื เช่น เด็กเล็ก ผูส้ ูงอายุ เปน็ ต้น รูปภาพที่ 2-1 แสดง วงจรการติดเชื้อ (chain of infection) ทีม่ า: http://www.ottawapublichealth 2.2.2 กลไกการป้องกันการติดเชื้อของรา่ งกาย (Body defense mechanism) ร่างกายจะมีกลไกป้องกันการติดเชื้อโดยธรรมชาติอยู่แลว้ แต่ถ้าอวัยวะหรือกลไกเสียไปหรือ ถกู ทำลายจะทำใหม้ โี อกาสเส่ียงต่อการตดิ เช้ือได้งา่ ย และจะรนุ แรงขึ้นจนเสียชวี ติ ได้ กลไกการป้องกัน การตดิ เชอื้ ดังนี้ 1) ผวิ หนังทำหน้าทป่ี ้องกนั และลดเชอื้ จลุ ชีพท่ตี ิดอยกู่ บั ผวิ หนังช้ันนอกให้หลุดไป 2) ปากทำหน้าท่ีป้องกันเช้อื จลุ ินทรีย์ กำจัดเช้ือโรคด้วยการบว้ นทิ้งทางน้ำลาย 44
3) ระบบทางเดินหายใจทำหน้าท่ีจับสิ่งแปลกปลอมเล็กๆ แล้วพัดโบกให้ออกไป ทำให้ เกิดการไอ จาม ออกไป 4) ระบบทางเดนิ ปสั สาวะทำหนา้ ทขี่ ับเชื้อจุลนิ ทรีย์ในกระเพาะปสั สาวะและท่อปัสสาวะ ออกทางการปัสสาวะ 5) ระบบทางเดนิ อาหารทำหนา้ ทสี่ รา้ งกรดซง่ึ สามารถทำลายเชื้อจลุ นิ ทรียไ์ ด้และป้องกัน การค่งั ของแบคทีเรีย 2.2.3 ปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชอ้ื (Infection factor) 1) ความเครียด (stress) ความเครียดจะทำให้ภูมิต้านทานลดลง (สุปราณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2564) เนื่องจากเมื่อเกิดความเครียดขึ้น สมองจะหล่ังสารสื่อประสาทที่ ส่งผลต่อระดับคอร์ติโซนในเลือดสูงขึ้น มีผลทำให้ภูมิต้านทางต่อการอักเสบลดลง (ณัฐสุรางค์ บุญ จนั ทร์ และ อรุณรตั น์ เทพนา, 2559) สง่ ผลให้เชอ้ื โรคสามารถก่อเช้อื ที่รุนแรงได้ 2) ภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition) เนื่องจากสารอาหารมีส่วนในการทำงานของ ระบบภมู คิ มุ้ กันโดยเฉพาะโปรตนี ซ่งึ เปน็ สว่ นประกอบของภมู ิคุ้มกนั 3) ความอ่อนเพลีย การพักผ่อนไม่เพียงพอหรือการทำงานหนักเกินไปซึ่งทำให้ระบบ ภูมคิ ุ้มกันทำงานได้ไมเ่ ตม็ ที่ (สปุ ราณี เสนาดสิ ัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2564) 4) ความร้อนหรือความเย็นที่มากเกินไปเนื่องจากร่างกายต้องทำหน้าที่ในการปรับตัว เพื่อให้ร่างกายสามารถคงอยู่ได้ จึงลดการทำหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกันลง (สุปราณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2564) 5) โรคประจำตัวเก่ียวกบั ระบบภูมิค้มุ กัน เช่น โรคภูมแิ พ้ โรคเร้ือรงั (สุปราณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2564) โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือผู้ที่มีการ เจบ็ ป่วยเรอื้ รงั ทกุ ชนิดทม่ี ีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน 6) เพศ เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการติดเชื้อที่แตกต่างกันจากการมีโครงสร้างร่างกายท่ี แตกต่างกัน (สุปราณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2564) เช่น ในเพศหญิงจะมีการติดเชือ้ ในระบบทางเดนิ ปสั สาวะได้มากกว่าเพศชายเนื่องจากท่อปสั สาวะทีส่ ้นั มากกว่าเพศชาย 8) ผลข้างเคียงของการรักษา การรักษาโรคที่มผี ลทำให้ภูมิคุม้ กันทำหน้าที่ได้ลดลง เช่น การรักษาด้วยเคมีบำบัด (สุปราณี เสนาดสิ ยั และวรรณภา ประไพพานิช, 2564) 9) อาชีพ การประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการสมั ผัสกบั เชื้อโรค (สุปราณี เสนาดิสัย และวรรณภา ประไพพานิช, 2564) เช่น ผู้ที่ทำงานในเหมืองแร่ มีความเสี่ยงต่อการได้รับแร่ใยหินซงึ่ สง่ ผลกระทบต่อการเกดิ โรคปอดได้ 45
10) การรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ เช่น การใส่สายสวนต่าง ๆ เพื่อการรักษา อาจเป็นหนทาง นำเชื้อเขา้ สู่ร่างกายได้ (ณฐั สุรางค์ บญุ จนั ทร์ และ อรณุ รัตน์ เทพนา, 2559) 2.3 มาตรฐานในการควบคมุ การตดิ เชื้อและปอ้ งกนั การแพรก่ ระจายเช้ือ การป้องกันการติดเช้อื และแพร่กระจายเช้อื คอื การตดั วงจรของการติดเชอ้ื และลดปัจจัยท่ีมี ผลตอ่ การติดเชื้อ โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้ 2.3.1 ภาวะปลอดเชื้อ (Asepsis) ภาวะปลอดเชอื้ (Asepsis) หมายถึง การปฏิบัตเิ พอื่ ลดความเส่ยี งต่อการตดิ เช้ือท่ีจะเกิดกับ เครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการตัดวงจรของการติดเชื้อ (ณัฐสุรางค์ บุญ จันทร์ และ อรุณรัตน์ เทพนา, 2559) การลดแหล่งของเช้ือโรคและการแพร่กระจายเช้ือ แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ ดังนี้ 1) medical asepsis หรือ clean technique หมายถึง การปฏิบัติเพื่อลดจำนวนเชื้อ โรคหรือป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคด้วยการทำให้เครื่องมือเครื่องใช้ สิ่งแวดล้อมสะอาดซ่ึง เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ (สุมาลี โพธิ์ทอง, เดือนทิพย์ เขษมโอภาส และ อังศุมา อภิชาโต, 2563) กิจกรรมการพยาบาลประกอบไปด้วย การล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย การทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้ที่ผ่านการใช้งาน การเปลี่ยนผ้าปูที่นอน การทำความสะอาด ผู้ปว่ ย การทำความสะอาดสิง่ แวดล้อมข้างเตยี งและภายในหอผ้ปู ว่ ย 2) เทคนิคการปลอดเชื้อ (surgical asepsis หรือ sterile technique) หมายถึง การ ปฏิบัติเพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้ปลอดเชื้อและคงภาวะปลอดเชื้อ หลีกเลี่ยงการปนเปื้อน (contamination) ใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลภายใต้ส่ิงแวดลอ้ มทีป่ ลอดเชื้อ ได้แก่ ห้องผ่าตดั ห้อง คลอดและกิจกรรมการพยาบาลที่ต้องใช้เทคนิคปลอดเชื้อ (sterile technique) เช่น การฉีดยา การ สวนปัสสาวะ การดดู เสมหะ 2.3.2 เทคนิคการทำลายเชื้อและการทำให้ปลอดเชอื้ (disinfection and sterilization technique) 1) การล้าง (cleansing) เปน็ การกำจดั สิ่งสกปรกออกจากวัสดุอุปกรณด์ ว้ ยการล้าง การ แปรง การเช็ด โดยใช้สบู่ ผงซักฟอกหรือสารเคมีสำหรับล้างเป็นขั้นตอนแรกของการทำความสะอาด อุปกรณ์ซึ่งต้องล้างให้สะอาดมากที่สุดที่สามารถมองเห็นได้ การล้างใช้กับวัสดุอุปกรณ์ประเภท เครื่องมือเครื่องใช้ธรรมดา (non-critical items) เป็นเครื่องมือที่สัมผัสผิวหนังที่ปกติได้ เช่น แก้วยา โต๊ะข้างเตยี ง ราวกั้นเตียง เครื่องวัดความดันโลหิต กระบอกปัสสาวะ หม้อนอน ผ้าต่างๆ การล้างมี 2 ประเภท ได้แก่ 46
(1) การล้างด้วยมือ โดยก่อนล้างด้วยมือต้องแช่อุปกรณ์ด้วยน้ำยาฆ่าเช้ือ (disinfectant) ผู้ปฏิบัติต้องใช้ถุงหนาชนิดหนาและเครื่องป้องกันร่างกายเพื่อป้องกันการสัมผัสเช้ือ โดยตรง (2) การล้างด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ โดยโรงพยาบาลอาจจะติดเครื่องไว้ที่หน่วยจ่าย กลาง (central supply unit) จะมกี ารล้างและจัดอปุ กรณเ์ ข้าไปในเคร่ือง 2) การทำลายเชื้อ (disinfection) เป็นการทำลายเชื้อจุลินทรีย์จนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่ไม่สามารถกำจัดสปอร์ได้หมดซึ่งสปอร์อาจมีการแบ่งตัวจนสามารถก่อโรคได้ในอนาคต การเลือก วิธีทำลายเชื้อขึ้นอยู่กับประเภทของวัสดุ อุปกรณ์นั้น ๆ การทำลายเชื้อใช้ในวัสดุอุปกรณ์ประเภทก่ึง สำคัญ (semi-critical items) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สัมผัสเยื่อบุร่างกายหรือบาดแผล (อัจฉรา พุ่มดวง, 2559) ซ่ึงเยอื่ บุเหลา่ นร้ี ่างกายสามารถปอ้ งกนั การก่อโรคจากสปอรไ์ ด้ การทำลายเช้ือสามารถทำได้ทั้ง วธิ ที างกายภาพและการใชส้ ารเคมี ดงั น้ี (1) การต้ม เป็นวิธีการทำลายเชื้อที่ดี ง่าย ประหยัด ซึ่งการต้มจะต้องใส่น้ำให้ ท่วมอุปกรณ์ที่ต้องการต้ม ต้มในน้ำเดอื ด 100 o C นานอย่างน้อย 20 นาที จึงจะสามารถฆ่าเชื้อไวรัส เชือ้ รา แบคทเี รียได้ อปุ กรณท์ ่นี ิยมใชว้ ธิ ีต้ม ได้แก่ อปุ กรณท์ ีท่ ำดว้ ยโลหะ เครือ่ งแกว้ (2) การใช้สารเคมี สารเคมีที่ใชใ้ นการทำความสะอาดอปุ กรณ์มี 2 ประเภท ดังน้ี - น้ำยาระงับเชื้อ (antiseptic) หมายถึง สารเคมีที่ใช้ยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส ได้แต่ไม่สามารถกำจัดสปอร์ของแบคทีเรียได้ ใช้ทำลายเช้ือ อุปกรณ์ท่อี ยู่ภายนอกร่างกาย ไมเ่ ป็นอนั ตรายต่อผิวหนงั ได้แก่ 70 % alcohol, 2% chlorhexidine in 70 % alcohol, Hibiscrub ( 4% chlorhexidine gluconate in surfactant solution) น ้ ำ ย า ระงบั เชอ้ื เหลา่ นส้ี ่วนใหญใ่ ช้ในการทำความสะอาดผวิ หนังก่อนทำหตั ถการหรอื ใชใ้ นการลา้ งมอื - น้ำยาฆ่าเชื้อ (disinfection) หมายถึง สารเคมีที่ใช้ทำลายเชื้อแบคทเี รียหรอื เชื้อราแต่ไม่สามารถทำลายเชื้อไวรัสและสปอร์ของแบคทีเรียได้และเป็นอันตรายต่อผิวหนังจึงใช้ใน การทำลายเช้ือในอปุ กรณ์เครื่องใช้และพนื้ ที่ผวิ ผนงั ต่าง ๆ เชน่ อปุ กรณ์ช่วยหายใจ เทอร์โมมิเตอร์วัด ไข้ ใช้เวลาในการแชน่ าน 30 นาที โดยนำ้ ยาทำลายเชือ้ ระดับสูง ได้แก่ 2% glutaraldehyde, 0.5 % hypochlorite ใช้สำหรับแช่เครื่องมือที่ไม่ใช่โลหะเนื่องจากมีฤทธิ์เป็นกรดซึ่งทำให้โลหะกร่อนได้ สำหรบั นำ้ ยาทำลายเชอ้ื ขนาดตำ่ ได้แก่ 2-5 % Lysol solution 47
3) การทำให้ปลอดเชื้อ (Sterilization) หมายถึง การกำจัดเชื้อจุลินทรีย์อย่างสมบูรณ์ จนถึงระดับสปอร์ การทำให้ปลอดเชื้อมีทั้งวิธีทางกายภาพและการใช้สารเคมี โดยวิธีที่นิยมใช้ เช่น การอบไอน้ำภายใต้แรงดัน การใช้ก๊าซเอธิลีนออกไซด์ โดยวัสดุอุปกรณ์ที่ตอ้ งทำให้ปราศจากเชื้อเป็น เครื่องมือที่ต้องสอดเข้าไปในร่างกายซึ่งมีสภาวะปลอดเชื้อ อุปกรณ์เหล่านี้อยู่ในประเภทสำคัญ (critical item) (อจั ฉรา พุ่มดวง, 2559) โดยวิธีการทำให้ปราศจากเชือ้ ท่ีใชใ้ นโรงพยาบาลมี 2 วธิ หี ลัก ดังนี้ (1) วิธีการทางกายภาพ ไดแ้ ก่ - การใช้รังสี (radiation) เป็นการใช้รังสีอัลตร้าไวโอเลตสามารถฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย ไวรัสบางชนิดได้แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสเอดส์ ได้ นิยมใช้ในการลด จำนวนเช้ือโรคในอากาศ เชน่ หอ้ งผา่ ตดั หอ้ งปฏบิ ัติการทำหัตถการท่ีสำคัญ ใชเ้ วลาในการทำลายเช้ือ 6- 8 ชวั่ โมง - การใช้ความรอ้ นแห้ง (dry or hot air sterilization) สามารถทำลายเชื้อได้ ทอ่ี ณุ หภมู ิ 165 -170 องศาเซลเซียส ใช้ระยะเวลาอยา่ งน้อย 3 ช่ัวโมง ใช้สำหรบั ส่งิ ของมีคมเพราะไม่ ทำใหเ้ สียคม เคร่ืองแกว้ และใช้ปอ้ งกนั สนมิ ในเครื่องมือที่ไม่ได้ทำมาจากสแตนเลส ไม่เหมาะกับผ้าและ ยาง - การอบไอน้ำภายใต้ความดัน (steam under pressure) เป็นวิธีการที่มี ประสิทธิภาพที่สุด ประหยัด เหมาะกับเครื่องมือที่เป็นผิวเรียบ แข็ง ทนความร้อนและความชื้อสูงได้ เช่น เครื่องมือผ่าตัด เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยสแตนเลส ปากคีบปลอดเชื้อ ชุดทำแผล ชุดสวน ปัสสาวะ เครอ่ื งอบไอนำ้ ท่นี ยิ มใช้ในทางการแพทย์ เช่น Autoclave เปน็ หม้ออดั ความอันไอน้ำแรงสูง ใช้อุณหภูมิ 121 – 123 องศาเซลเซียส ภายใต้ความดัน 15 -17 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ระยะเวลานาน 15 -45 นาที วิธกี ารทำใหป้ ลอดเช้ือโดยการนำห่อชุดอุปกรณเ์ ข้าเคร่ืองอบไอน้ำชนดิ autoclave ต้อง จดบันทึกรายละเอียดของอุปกรณ์ วันที่เข้าเครื่องอบ วันหมดอายุและใช้กระดาษกาวที่เรียกว่า “autoclave tape” ติดกับห่อชุดอุปกรณ์ เมื่อนำเข้าเครื่องแล้วกระดาษกาวนีจ้ ะเปลีย่ นเป็นลายเส้น สีดำ แปลว่า อุปกรณน์ น้ั ผา่ นกระบวนการทำใหป้ ลอดเชือ้ แล้ว (2) วิธีการทางเคมี ใชส้ ำหรับอุปกรณ์ทไ่ี มส่ ามารถใช้วธิ ีทางกายภาพได้ ดังนี้ - การใช้แก๊สเอธิลีนออกไซด์ (ethylene oxide gas) เป็นแก๊สที่มี ประสิทธิภาพสูงใช้สำหรับอุปกรณ์ที่เป็นพลาสติกโพลีเอธิลีน กล้องส่องตรวจภายในร่างกาย ซึ่ง 48
ภายหลังอบแก๊สแล้วตอ้ งเก็บไว้ที่อุณหภมู ิห้อง 5 วัน หรอื ไว้ในอณุ หภูมิ 120 o C นาน 8 ช่ัวโมงเพื่อให้ กา๊ ซระเหยออกไปก่อนจึงจะใช้ได้ เพราะกา๊ ซนี้เป็นพิษและก่อมะเร็งได้ อปุ กรณ์ที่ผ่านการทำให้ปลอด เช้อื จะขน้ึ แถบสปี ลอดเช้ือ - การใช้ 2 % glutaraldehyde ใช้แช่เครื่องมือนาน 3 – 10 ชั่วโมง เพื่อทำ ให้ปราศจากเช้ือ ใช้ในเครอื่ งมือทีม่ เี ลนส์ เครื่องมือทางทนั ตกรรม เครือ่ งชว่ ยหายใจ เครื่องมอื ที่มคี ม - การใช้ peracetic acid มคี ุณสมบัติกัดกรอ่ นเมือ่ อยู่ในนำ้ อนุ่ ใชแ้ ชป่ ระมาณ 35 -40 นาที ที่อุณหภูมิ 50 -55 องศาเซลเซียส ใช้ในการทำให้ปราศจากเชื้ออุปกรณ์ท่อส่งระบบน้ำ ทำไตเทียม และส่องกล้องตรวจภายในต่าง ๆ 2.4 การพยาบาลเพ่อื ควบคุมการติดเชื้อและป้องกนั การแพรก่ ระจายเช้อื หลักปฎิบัติการพยาบาลเพื่อควบคุมการติดเชื้อและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อคำนึงถึง วงจรการติดเช้ือเป็นสำคัญโดยเฉพาะช่องทางการแพร่กระจายเชื้อและการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย หลักการสำคัญคือ การตัดวงจรระหว่างผู้แพร่เชื้อและผู้รับเชื้อ โดยพยาบาลต้องมีความรู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.4.1 หลักปฏิบัติสำคัญในการลดจำนวนเชื้อหรือป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ (medical asepsis) 1) คำนึงถึงว่าเชื้อโรคมีอยู่ทุกแห่ง ยกเว้นเครื่องมือเครื่องใช้ปลอดเชื้อ (ณัฐสุรางค์ บญุ จันทร์ และ อรณุ รตั น์ เทพนา, 2559) 2) การล้างมือบ่อยๆ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเช้ือและการแพร่กระจาย เช้ือ (ณฐั สรุ างค์ บุญจนั ทร์ และ อรณุ รตั น์ เทพนา, 2559) 3) เลือด สารน้ำ สารคดั หลง่ั เนือ้ เยอ่ื ที่ออกจากร่างกายให้ตระหนักวา่ เปน็ แหล่งของเชื้อ โรคสามารถแพร่กระจายเชอ้ื ไปสผู่ ู้อน่ื ได้ 4) ใชเ้ ครือ่ งป้องกนั รา่ งกายส่วนบุคคล (personal protective equipment: PPE) เช่น ถงุ มือ เส้อื คลมุ ผา้ ปดิ ปากและจมูก และอน่ื ๆ เมื่อมโี อกาสเสีย่ งตอ่ การติดเชอ้ื 5) เครื่องมอื เครือ่ งใชท้ ีใ่ ช้แล้วหรือสกปรกต้องไม่ใช้สัมผัสกับเสอ้ื ผา้ ที่พยาบาลสวมใส่ 6) ไม่วางเครื่องมือ เสื้อผ้าหรือสิ่งของที่ใช้แล้วไว้บนพื้นเพราะทำให้พื้นสกปรกและเพ่ิม โอกาสในการแพรก่ ระจายเชอื้ (ณฐั สุรางค์ บุญจนั ทร์ และ อรุณรัตน์ เทพนา, 2559) 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 527
Pages: