Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ กวีวัจน์วรรณนา วรรคทองในวรรณคดีไทย พร้อมประวัติและคำอธิบาย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

✍️ กวีวัจน์วรรณนา วรรคทองในวรรณคดีไทย พร้อมประวัติและคำอธิบาย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

Description: ✍️ กวีวัจน์วรรณนา วรรคทองในวรรณคดีไทย พร้อมประวัติและคำอธิบาย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

Search

Read the Text Version

ความรู้คู่เปรียบด้วย ก�ำลัง กายแฮ โคลงสุภาษติ พระราชนิพนธใ์ นรัชกาลท่ี ๕ �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 293 293 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 294 8/8/2557 BE 3:10 PM

๔๕ ประเพณีตีงใู หห้ ลังหกั มันก็มกั ท�ำร้ายเมอื่ ภายหลงั จระเข้ใหญไ่ ปถงึ น้�ำมีกำ� ลัง เหมือนเสอื ขงั เข้าถึงดงก็คงรา้ ย �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 295 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ท่ีมาของวรรคทอง พระอภยั มณี ผแู้ ต่ง สนุ ทรภู่ ปี/สมยั ทแ่ี ต่ง เรมิ่ แตง่ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั จนถงึ ปลายรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประเภทของวรรณคดี เรอื่ งพระอภยั มณจี ดั เปน็ นทิ านคำ� กลอน คอื วรรณคดนี ทิ านทแ่ี ตง่ ดว้ ยกลอนเพลงหรอื กลอนเพลงยาวตลอดทงั้ เรอ่ื ง รปู แบบคำ� ประพนั ธ์ กลอนเพลง วัตถปุ ระสงค์/โอกาสในการแตง่ สุนทรภู่เริ่มแต่งเร่ืองพระอภัยมณีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เพอ่ื เลยี้ งชวี ติ ขณะตอ้ งโทษจำ� คกุ ราว พ.ศ. ๒๓๖๔ จนเมอ่ื พน้ โทษกลบั เขา้ รบั ราชการกไ็ ดแ้ ตง่ ตอ่ อกี แลว้ หยดุ ไป ตอ่ มาเมอื่ สนุ ทรภอู่ อกบวช ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่ หวั จงึ ไดแ้ ตง่ ตอ่ ตามรบั สง่ั ของพระองคเ์ จา้ ลกั ขณานคุ ณุ แลว้ ไดห้ ยดุ ไป อกี ครง้ั กอ่ นจะแตง่ ตอ่ ไปอกี ตามรบั สงั่ ของกรมหมน่ื อปั สรสดุ าเทพใน ชว่ งปลายรชั กาลท่ี๓โดยแตง่ ตอ่ จนถงึ ตอนพระอภยั มณอี อกบวช(เลม่ ท่ี ๔๙) ตอนตอ่ จากนนั้ เขา้ ใจวา่ เปน็ สำ� นวนของกวอี น่ื พระอภยั มณีเป็นบทประพันธเ์ รอ่ื งยาวทสี่ ดุ ของสนุ ทรภู่ นับเป็น ตอนได้ ๖๔ ตอน พระอภยั มณเี ปน็ นทิ านคำ� กลอนทส่ี นกุ สนาน เตม็ ไปดว้ ยจนิ ตนาการและความแปลกใหม่ สำ� นวนกลอนไพเราะ จงึ ได้ รบั ยกยอ่ งจากวรรณคดสี โมสรเมอื่ พ.ศ. ๒๔๕๙ ใหเ้ ปน็ ยอดของนทิ าน คำ� กลอน 296 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 296

ประเพณีตีงูให้หลังหัก พระอภัยมณี เน้อื หาของบทประพนั ธ ์ พระอภยั มณี เปน็ เรอ่ื งราวของพระอภยั มณี โอรสทา้ วสทุ ศั นแ์ ละ นางปทมุ เกสรแหง่ กรงุ รตั นา เรอื่ งเรมิ่ ตน้ เมอ่ื พระอภยั มณแี ละอนชุ า คอื ศรสี วุ รรณออกเดนิ ทางไปศกึ ษาเลา่ เรยี นวชิ า พระอภยั มณเี รยี นวชิ า เปา่ ปจ่ี นเชย่ี วชาญ สามารถเปา่ ปส่ี ะกดคนและสตั วไ์ ด้ สว่ นศรสี วุ รรณ เรยี นวชิ ากระบกี่ ระบอง เมอ่ื ทา้ วสทุ ศั นท์ ราบวา่ โอรสทง้ั สองไมไ่ ดเ้ รยี น วชิ าสำ� หรบั กษตั รยิ ก์ ก็ รวิ้ และขบั ไลอ่ อกจากเมอื ง พระอภยั มณแี ละศร-ี สวุ รรณเดนิ ทางพเนจรไปจนไดพ้ บกบั พราหมณว์ เิ ชยี ร โมรา และสานน พราหมณข์ อใหพ้ ระอภยั มณเี ปา่ ปใ่ี หฟ้ งั เสยี งปอ่ี นั ไพเราะสะกดใหท้ กุ คนหลบั ใหล นางผเี สอื้ สมทุ รไดย้ นิ เสยี งปจ่ี งึ ตดิ ตามเสยี งมาจนพบพระ อภยั มณแี ละเกดิ หลงรกั จงึ อมุ้ พระอภยั มณไี ปทถี่ ำ�้ ของตน นางแปลง กายเป็นมนุษย์และขอให้พระอภัยมณีเป็นสามี เม่ือศรีสุวรรณและ พราหมณท์ งั้ สามฟน้ื คนื สตกิ แ็ ลน่ เรอื ออกตดิ ตามหาพระอภยั มณไี ป จนถงึ เมอื งรมจกั ร ศรสี วุ รรณไดพ้ บรกั และอภเิ ษกกบั นางเกษราธดิ า เจา้ เมอื ง รมจกั ร และมธี ดิ าดว้ ยกนั ชอื่ อรณุ รศั มี พระอภยั มณมี โี อรสกบั นางผเี สอื้ สมทุ รชอื่ สนิ สมทุ ร ซงึ่ เปน็ เดก็ มี กำ� ลงั มาก วนั หนง่ึ สนิ สมทุ รลอบออกไปเทยี่ วเลน่ แลว้ ไลจ่ บั พอ่ เงอื กมา ได้ พอ่ เงอื กจงึ ชว่ ยออกอบุ ายพาพระอภยั มณแี ละสนิ สมทุ รหนี ฝา่ ย นางยกั ษต์ ามมาทนั จงึ จบั พอ่ เงอื กแมเ่ งอื กกนิ สว่ นพระอภยั มณกี บั นางเงอื กและสนิ สมทุ รเดนิ ทางตอ่ ไปจนถงึ เกาะแกว้ พสิ ดาร ทงั้ สาม ไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากพระฤๅษจี นรอดพน้ จากนางผเี สอ้ื มาได้ ตอ่ มาพระอภยั มณไี ดน้ างเงอื กเปน็ ชายา ฝา่ ยเมอื งผลกึ มกี ษตั รยิ ช์ อื่ ทา้ วสลิ ราชซง่ึ มมี เหสชี อื่ นางมณฑา ทงั้ สองมธี ดิ าชอ่ื สวุ รรณมาลี วนั หนงึ่ นางสวุ รรณมาลอี อกไปทอ่ งทะเลกบั พระบดิ า เรอื ของนางถกู คลน่ื ลมซดั ไปถงึ เกาะแกว้ พสิ ดาร พระอภยั - มณหี ลงรกั นางสวุ รรณมาลตี งั้ แตแ่ รกเหน็ สว่ นสนิ สมทุ รกถ็ กู ชะตากบั นางจงึ ขอเปน็ บตุ รบญุ ธรรม พระฤๅษชี ว่ ยชท้ี างกลบั เมอื งใหท้ า้ วสลิ ราช พระอภยั มณขี อโดยสารเรอื ไปดว้ ยและฝากนางเงอื กซง่ึ กำ� ลงั ตงั้ ครรภ์ �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 297 297 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ไวก้ บั พระฤๅษี นางผเี สอื้ สมทุ รตามเรอื ของทา้ วสลิ ราชมาและทำ� ใหเ้ รอื ลม่ ทา้ วสลิ ราชสนิ้ พระชนม์ พระอภยั มณพี ลดั จากนางสวุ รรณมาลแี ละ สนิ สมทุ รไปยงั เกาะอกี แหง่ หนงึ่ นางผเี สอื้ สมทุ รไดต้ ดิ ตามไปพระอภยั - มณจี งึ เปา่ ปส่ี งั หารนางผเี สอื้ จนสน้ิ ชวี ติ สว่ นนางสวุ รรณมาลกี บั สนิ - สมทุ รไดข้ ออาศยั ไปกบั เรอื โจรสลดั โจรสลดั อยากไดน้ างสวุ รรณมาลี เปน็ ภรรยาทำ� ใหข้ ดั แยง้ กบั สนิ สมทุ ร สนิ สมทุ รรบชนะหวั หนา้ ไดข้ นึ้ เปน็ นายโจรแลว้ ลอ่ งเรอื เขา้ ไปถงึ กรงุ รมจกั ร ไดพ้ บกบั ศรสี วุ รรณและทราบ วา่ เปน็ อาหลานกนั ศรสี วุ รรณพาสนิ สมทุ รและอรณุ รศั มอี อกเรอื ตาม หาพระอภยั มณี ทงั้ หมดไดพ้ บกบั อศุ เรนคหู่ มน้ั ของสวุ รรณมาลซี งึ่ ได้ ชว่ ยพระอภยั มณไี ว้ สนิ สมทุ รไมย่ อมคนื นางสวุ รรณมาลใี หอ้ ศุ เรน จงึ เกดิ รบพงุ่ กนั และขบั ไลอ่ ศุ เรนไปได้ เมอ่ื กลบั ถงึ เมอื งผลกึ พระอภยั - มณไี ดข้ น้ึ ครองเมอื งและตอ่ มาไดน้ างสวุ รรณมาลเี ปน็ มเหสี มธี ดิ าแฝด ชอื่ สรอ้ ยสวุ รรณกบั จนั ทรส์ ดุ า สว่ นศรสี วุ รรณทลู ลากลบั เมอื งรตั นา โดยพาสนิ สมทุ รและอรณุ รศั มกี ลบั ไปดว้ ย ฝา่ ยนางเงอื กซงึ่ อาศยั อยู่ กบั พระฤๅษที เี่ กาะแกว้ พสิ ดารไดใ้ หก้ ำ� เนดิ โอรสของพระอภยั มณคี อื สดุ สาคร สดุ สาครออกตามหาพระบดิ าไปถงึ เมอื งการเวกและไดเ้ ปน็ โอรสบญุ ธรรมของเจา้ เมอื ง อุศเรนยกทัพมาโจมตีเมืองผลึกแต่แพ้พระอภัยมณีและตายใน สงคราม เจา้ ลงั กาซงึ่ เปน็ พระบดิ าของอศุ เรนตรอมใจตายตามโอรส ทำ� ใหน้ างละเวงวณั ฬาขนษิ ฐาของอศุ เรนตอ้ งขน้ึ ครองเมอื งลงั กาแทน โดยมสี งั ฆราชบาทหลวงเปน็ ทป่ี รกึ ษา นางละเวงแคน้ ใจ คดิ ทำ� ศกึ กบั เมอื งผลกึ อกี ครง้ั จงึ ใหช้ า่ งวาดรปู ตนเองพรอ้ มลงมนตรเ์ สนห่ ส์ ง่ ไปตาม เมอื งตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหช้ ว่ ยนางรบตามคำ� แนะนำ� ของสงั ฆราชบาทหลวง พระอภยั มณเี หน็ รปู นางละเวงกถ็ กู มนตรเ์ สนห่ จ์ นไมเ่ ปน็ อนั ทำ� ศกึ นาง สุวรรณมาลีจึงขอให้ศรีสุวรรณกับสินสมุทรมาช่วย ในขณะเดียวกัน สุดสาครท่ีอยู่เมืองการเวกมานานก็คิดออกตามหาพระอภัยมณี มี เสาวคนธแ์ ละหสั ไชยซง่ึ เปน็ ธดิ าและโอรสเจา้ เมอื งการเวกตามมาดว้ ย เมอื่ ถงึ เมอื งผลกึ กเ็ ขา้ ชว่ ยแกเ้ สนห่ ใ์ หพ้ ระอภยั มณไี ดส้ ำ� เรจ็ และชว่ ยรบ กองทพั ขา้ ศกึ จนแตกพา่ ยไป 298 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 298

ประเพณีตีงูให้หลังหัก พระอภัยมณี พระอภยั มณตี ดั สนิ ใจยกทพั ไปทำ� ศกึ ทกี่ รงุ ลงั กาเพอื่ ตดั ตน้ ตอแหง่ สงคราม ไมว่ า่ นางละเวงสง่ ทพั ใดไปรบกแ็ พส้ น้ิ จงึ ใชว้ ธิ ที ำ� เสนห่ ใ์ หเ้ หลา่ กษตั รยิ ห์ ลงใหล ในทสี่ ดุ ทงั้ พระอภยั มณี ศรสี วุ รรณ สนิ สมทุ ร และ สดุ สาครกถ็ กู เสนห่ ข์ องสตรเี มอื งลงั กาจนหมด นางสวุ รรณมาลจี งึ ตอ้ ง ยกทพั มาชว่ ยทำ� ศกึ แทนแตไ่ มป่ ระสบผล ทงั้ สองฝา่ ยรบกนั อยา่ งยดื เยอื้ ในทสี่ ดุ พระฤๅษมี าชว่ ยแกเ้ สนห่ แ์ ละเทศนาไกลเ่ กลยี่ จนทง้ั หมด ละความพยาบาทยอมคนื ดกี นั พระอภยั มณแี ละนางสวุ รรณมาลพี รอ้ ม ดว้ ยเหลา่ กษตั รยิ ท์ งั้ หลายเดนิ ทางกลบั เมอื ง แตน่ างละเวงไปดว้ ยไมไ่ ด้ เพราะตอ้ งอยปู่ กครองบา้ นเมอื งตอ่ ไป ต่อมาสินสมุทรได้ครองคู่กับอรุณรัศมี สุดสาครได้ครองคู่กับ เสาวคนธ์ หสั ไชยไดค้ รองคกู่ บั สรอ้ ยสวุ รรณและจนั ทรส์ ดุ า เมอื่ ทา้ ว สทุ ศั นก์ บั นางปทมุ เกสรสน้ิ พระชนม์ พระอภยั มณี ศรสี วุ รรณ และสนิ - สมทุ รเดนิ ทางไปปลงพระศพทก่ี รงุ รตั นา มงั คลา โอรสนางละเวงซง่ึ ครองกรงุ ลงั กา ยกทพั มารบกบั เมอื งผลกึ อกี พระอภยั มณเี ปา่ ปส่ี ะกด ทพั จนสงครามยตุ ิ เมอ่ื การศกึ และความวนุ่ วายตา่ ง ๆ สงบลง พระ อภยั มณเี กดิ ความรสู้ กึ สงั เวชและเบอ่ื หนา่ ยความขดั แยง้ ระหวา่ งมเหสี จงึ ออกบวชเปน็ ฤๅษี นางละเวงตดั สนิ ใจเปลย่ี นศาสนาและออกบวช ตามพรอ้ มกบั นางสวุ รรณมาลี ทง้ั สามไปบำ� เพญ็ เพยี รอยทู่ เ่ี ขาสงิ คตุ ร์ วรรคทองบทนปี้ รากฏในตอนทพี่ ระอภยั มณตี เี รอื อศุ เรนไดแ้ ตไ่ ม่ สงั หารอศุ เรน กลบั ชว่ ยชวี ติ ไวโ้ ดยหวงั จะสมานไมตรี นางวาลซี ง่ึ เปน็ สนมและท่ีปรึกษาการศึกของพระอภัยมณี พิจารณาเห็นว่าไม่ควร ปล่อยศัตรูเช่นอศุ เรนไป เพราะจะย้อนกลบั มาเปน็ ภยั ไดอ้ ีกในภาย หนา้ จงึ ตง้ั ใจจะกลา่ ววาจาเยาะเยย้ ใหอ้ ศุ เรนแคน้ ใจและกระอกั เลอื ด ตายในทสี่ ดุ ความหมายของวรรคทอง วรรคทองบทนเ้ี ปน็ คำ� พดู ของนางวาลที กี่ ลา่ วถงึ อศุ เรนวา่ อศุ เรน เปน็ ศตั รทู มี่ กี ำ� ลงั กลา้ แขง็ หากปลอ่ ยไปกอ็ าจยอ้ นกลบั มาเปน็ ภยั ได้ เชน่ เดยี วกบั การตงี ทู ม่ี พี ษิ รา้ ย หากตเี พยี งใหห้ ลงั หกั แตไ่ มถ่ งึ ตาย งกู ็ 299 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 299 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา อาจจะกลบั มาทำ� รา้ ยในภายหลงั หรอื มเิ ชน่ นนั้ กเ็ ปรยี บอศุ เรนไดก้ บั จระเขแ้ ละเสอื การปลอ่ ยจระเขใ้ หญก่ ลบั ลงนำ้� หรอื การปลอ่ ยเสอื ท่ี ถกู จบั ขงั ไวก้ ลบั เขา้ ปา่ สตั วเ์ หลา่ นกี้ จ็ ะคนื กำ� ลงั และความดรุ า้ ยทอ่ี าจ เปน็ ภยั ได้ ดงั นน้ั เมอ่ื มโี อกาสกค็ วรกำ� จดั สงิ่ ทเ่ี ปน็ อนั ตรายเหลา่ นเี้ สยี ตง้ั แตต่ น้ เพอื่ มใิ หย้ อ้ นกลบั มาทำ� รา้ ยไดอ้ กี ความดเี ดน่ วรรคทองทยี่ กมานมี้ คี วามโดดเดน่ ในการแสดงความเปน็ คนเดด็ ขาดและมสี ตปิ ญั ญาแยบคายของนางวาลใี นการกำ� จดั ศตั รเู ชน่ อศุ เรน โดยนำ� สำ� นวนมาเปรยี บเทยี บ ไดแ้ ก่ “ตงี ใู หห้ ลงั หกั ” ซงึ่ หมายถงึ กระทาํ การสิ่งใดแก่ศัตรูโดยไม่เด็ดขาดจริงจังย่อมจะได้รับผลร้ายในภาย หลงั “ปลอ่ ยจระเขล้ งนำ�้ ” และ “ปลอ่ ยเสอื เขา้ ปา่ ” ซงึ่ หมายถงึ ปลอ่ ย ศตั รไู ปทำ� ใหอ้ าจกลบั มาทาํ รา้ ยภายหลงั อกี การเปรยี บเทยี บอศุ เรนกบั สตั วร์ า้ ยทง้ั สามคอื งู จระเข้ และเสอื ซง่ึ ปรากฏในสำ� นวนทน่ี างอา้ งถงึ แสดงใหเ้ หน็ ความรา้ ยกาจของอศุ เรนทพ่ี ระอภยั มณมี องขา้ มไป แตน่ าง วาลตี ระหนกั เหน็ อยา่ งถอ่ งแท้ จงึ ไมค่ ดิ ปลอ่ ยศตั รอู ยา่ งอศุ เรนไป และ ตอ้ งจดั การโดยวธิ เี ดด็ ขาด ถอ้ ยคำ� อนั คมคายและสามารถนำ� มาใชเ้ ปน็ คตสิ อนใจ ทำ� ใหก้ ลอน บทนเี้ ปน็ วรรคทองทม่ี ผี นู้ ำ� มาอา้ งถงึ เพอื่ ใชเ้ ตอื นใจกนั อยเู่ สมอมา 300 8/8/2557 BE 3:10 PM �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 300

ประเพณีตีงูให้หลังหัก พระอภยั มณี �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 301 301 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 302 8/8/2557 BE 3:10 PM

๔๖ อนั ชนกชนนนี ้รี ักเจา้ เทยี มเทา่ ชีวาก็ว่าได ้ ใชจ่ ะแสร้งสลัดซดั เสียไกล เพราะเป็นความจ�ำใจของบดิ า �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 303 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ที่มาของวรรคทอง บทละครในเรอ่ื ง อเิ หนา ผู้แต่ง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ป/ี สมยั ที่แตง่ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ประเภทของวรรณคดี เรอื่ งอเิ หนาเปน็ วรรณคดปี ระเภทบทละครใน คอื วรรณคดที แ่ี ตง่ ขนึ้ เพอ่ื ใชแ้ สดงละครในราชสำ� นกั อนั เปน็ ละครของพระมหากษตั รยิ ์ ถอื เปน็ เครอ่ื งประดบั พระเกยี รตยิ ศอยา่ งหนง่ึ จดุ มงุ่ หมายของละคร ในมงุ่ แสดงความงดงามและศลิ ปะชน้ั สงู อนั ประณตี บรรจงทงั้ ในดา้ น การรำ� เพลงรอ้ ง เพลงปพ่ี าทย์ และถอ้ ยคำ� ในบทละคร รูปแบบคำ� ประพันธ์ กลอนบทละคร วตั ถปุ ระสงค์/โอกาสในการแตง่ วรรณคดเี รอื่ งอเิ หนามที มี่ าจาก “นทิ านปนั หย”ี ซง่ึ เปน็ นทิ านวรี บรุ ษุ ของชวา วรรณคดเี รอื่ งนแี้ พรเ่ ขา้ มาในไทยตง้ั แตส่ มยั อยธุ ยาและมหี ลกั ฐานวา่ มกี ารนำ� มาแตง่ เปน็ บทละครในในรชั สมยั พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ตอ่ มาในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั พระองค์ ได้ทรงน�ำบทละครในเรื่องอิเหนาพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาทรงปรับปรุงขัดเกลาเพ่ือให้เป็นฉบับท่ี งดงามสมบรู ณพ์ รอ้ ม ทงั้ ในดา้ นวรรณคดแี ละการแสดงละครใน วธิ ี การพระราชนพิ นธบ์ ทละครในเรอ่ื งนม้ี ลี กั ษณะเปน็ การ “ประชมุ กว”ี คอื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงเลอื กสรรเจา้ นายและ ขา้ ราชการทมี่ ฝี มี อื ในการประพนั ธใ์ หเ้ ปน็ กวที ที่ รงปรกึ ษา เชน่ กรมหมนื่ เจษฎาบดนิ ทร์เจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษมนตรีสนุ ทรภู่กรมหมนื่ สรุ นิ ทร- รกั ษ์ บางตอนทไี่ มท่ รงพระราชนพิ นธด์ ว้ ยพระองคเ์ อง กพ็ ระราชทาน 304 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 304

อันชนกชนนีน้ีรักเจ้า อิเหนา ใหก้ วเี หลา่ นนั้ รบั ไปแตง่ ตอนใดทท่ี รงพระราชนพิ นธแ์ ลว้ หรอื กวอี น่ื แตง่ แลว้ นำ� มาถวาย กจ็ ะทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหน้ ำ� มาอา่ นในท่ี ประชมุ กวหี นา้ พระทนี่ ง่ั เพอ่ื ปรบั ปรงุ แกไ้ ข หลงั จากนนั้ พระองคจ์ ะทรง นำ� บททปี่ รบั ปรงุ แลว้ พระราชทานแกเ่ จา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษมนตรเี พอื่ ไปทรงซอ้ มกระบวนรำ� โดยมคี รลู ะครอกี ๒ คนเปน็ ทป่ี รกึ ษาคอื นาย ทองอยู่ และนายรงุ่ บางกรณอี าจกราบบงั คมทลู ขอใหพ้ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงแกไ้ ขบทกม็ ีและเมอ่ื กระบวนรำ� ยตุ แิ ลว้ ก็ จะทรงซอ้ มใหน้ ายทองอยแู่ ละนายรงุ่ ไปหดั ละครหลวง แลว้ แสดงถวาย พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทอดพระเนตร เพอ่ื ทรงแกไ้ ข กระบวนรำ� อกี ชน้ั หนง่ึ จงึ เปน็ อนั ยตุ ิ ความประณตี พถิ พี ถิ นั ในการทรงพระราชนพิ นธบ์ ทละครในเรอ่ื ง อเิ หนาและการนำ� บทไปฝกึ ซอ้ มกระบวนรำ� จนงดงามดงั กลา่ วนี้ ทำ� ให้ พระราชนพิ นธบ์ ทละครเรอ่ื งนมี้ คี วามดเี ดน่ อา่ นกไ็ พเราะ รำ� กง็ ดงาม จนไดร้ บั การยกยอ่ งจากวรรณคดสี โมสรใหเ้ ปน็ ยอดของบทละครรำ� เมอื่ พ.ศ. ๒๔๕๙ เนอื้ หาของบทประพันธ์ เรอ่ื งอเิ หนาเปน็ เรอื่ งราวความรกั และการผจญภยั ของเจา้ ชายแหง่ กรงุ กเุ รปนั เรม่ิ เรอ่ื งกลา่ วถงึ กษตั รยิ ว์ งศอ์ สญั แดหวา ๔ เมอื งซง่ึ เปน็ พนี่ อ้ งกนั คอื กเุ รปนั ดาหา กาหลงั และสงิ หดั สา่ หรี อเิ หนาเปน็ โอรส ของทา้ วกเุ รปนั สว่ นบษุ บาเปน็ ธดิ าของทา้ วดาหา ทง้ั สองหมนั้ หมาย กันต้ังแต่ยังเด็กตามจารีตของวงศ์เทวัญที่จะต้องแต่งงานกันแต่ใน วงศเ์ ทา่ นน้ั ตอ่ มาอเิ หนาไปหลงรกั จนิ ตะหรา เจา้ หญงิ แหง่ เมอื งหมนั - หยา จงึ ประกาศถอนหมน้ั บษุ บา ทา้ วดาหากรว้ิ จงึ ประกาศวา่ จะยก บษุ บาใหใ้ ครกต็ ามทมี่ าขอ ระตจู รกาผมู้ รี ปู รา่ งหนา้ ตาอปั ลกั ษณเ์ ปน็ คนแรกทไ่ี ดม้ าสขู่ อบษุ บา ทา้ วดาหาจงึ จำ� ใจยกให้ โดยใหห้ มนั้ หมาย กนั ไวก้ อ่ น ตอ่ มาไมน่ านระตกู ะหมงั กหุ นงิ กส็ ง่ ทตู มาสขู่ อบษุ บาใหแ้ ก่ วหิ ยาสะกำ� ผเู้ ปน็ โอรส แตท่ า้ วดาหาปฏเิ สธเนอื่ งจากไดย้ กบษุ บาให้ จรกาไปแลว้ ระตกู ะหมงั กหุ นงิ จงึ ยกทพั มาทำ� ศกึ ชงิ บษุ บา อเิ หนาจำ� 305 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 305 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ตอ้ งยกทพั มาชว่ ยรบ หลงั รบชนะ อเิ หนาเดนิ ทางเขา้ เมอื งดาหาและ ไดพ้ บกบั บษุ บา จงึ เกดิ หลงรกั บษุ บาและคดิ อบุ ายลกั พาบษุ บาไปไวท้ ่ี ถำ้� ทองจนไดน้ างเปน็ ชายา องคป์ ะตาระกาหลาผเู้ ปน็ เทพบรรพบรุ ษุ ของวงศเ์ ทวญั กรวิ้ อเิ หนา ทก่ี ระทำ� การตา่ ง ๆ ตามอำ� เภอใจ จงึ ลงโทษโดยบนั ดาลใหล้ มหอบ พรากบษุ บาไปจากอเิ หนา อเิ หนาจงึ ออกเดนิ ทางผจญภยั ตามหาบษุ บา โดยปลอมตวั เปน็ ชาวปา่ ชอื่ ปนั หยี สว่ นบษุ บากเ็ ดนิ ทางตามหาอเิ หนา เช่นกันโดยปลอมตัวเป็นชายช่ืออุณากรรณ ปันหยีกับอุณากรรณมี โอกาสไดพ้ บกนั ทเ่ี มอื งกาหลงั แตต่ า่ งจำ� กนั ไมไ่ ด้ ตอ่ มาอณุ ากรรณ กลวั ปนั หยจี ะจบั ไดว้ า่ ตนเปน็ หญงิ จงึ หนอี อกจากเมอื งกาหลงั ไปบวช เปน็ ชี (แอหนงั ) ใชช้ อ่ื วา่ ตหิ ลาอรสา เมอ่ื ปนั หยไี ดพ้ บกบั แอหนงั กร็ สู้ กึ สงสยั วา่ นางคอื บษุ บาตอ่ มาประสนั ตาเชดิ หนงั เลน่ เรอ่ื งราวชวี ติ รกั ของ อเิ หนากบั บษุ บาใหแ้ อหนงั ดู แอหนงั รอ้ งไหด้ ว้ ยความสะเทอื นใจเมอ่ื ได้ ชมการเลน่ หนงั นนั้ ปนั หยจี งึ รคู้ วามจรงิ วา่ แอหนงั คอื บษุ บา และเปดิ เผยวา่ ตนคอื อเิ หนา เมอ่ื กษตั รยิ ท์ ง้ั ๔ เมอื งไดท้ ราบขา่ ววา่ อเิ หนาและ บุษบาได้พบกันแล้วก็ต่างยินดีและจัดงานวิวาห์ให้อิเหนากับบุษบา พรอ้ มทงั้ ชายาอน่ื ๆ รวม ๑๐ นาง โดยแตง่ ตง้ั บษุ บาเปน็ ประไหมสหุ รี ฝา่ ยซา้ ย และจนิ ตะหราเปน็ ประไหมสหุ รฝี า่ ยขวา หลงั จากนน้ั อเิ หนา ขน้ึ ครองเมอื งกเุ รปนั เปน็ กษตั รยิ ท์ ย่ี งิ่ ใหญส่ บื ตอ่ จากพระราชบดิ า วรรคทองขา้ งตน้ อยใู่ นเนอ้ื เรอ่ื งตอนระตปู นั จะรากนั และระตปู กั มา- หงนั ซงึ่ เปน็ นอ้ งชายของระตบู ศุ สหิ นาถวายโอรสธดิ าคอื สงั คามาระตา มาหยารศั มี และสการะวาตแี ดอ่ เิ หนาเปน็ บรรณาการ หลงั จากทร่ี ะตู บศุ สหิ นารบแพอ้ เิ หนา ขณะนนั้ อเิ หนากำ� ลงั อยใู่ นระหวา่ งเดนิ ทางไป หาจนิ ตะหราทเี่ มอื งหมนั หยา แตบ่ รวิ ารของอเิ หนาเกดิ ทะเลาะววิ าท กบั คนของระตบู ศุ สหิ นาจนนำ� ไปสกู่ ารทำ� ศกึ ความหมายของวรรคทอง วรรคทองนเี้ ปน็ คำ� พดู ของระตูปนั จะรากนั และระตปู กั มาหงนั ซึง่ กลา่ วแกโ่ อรสธดิ ากอ่ นลาจากกนั ระตทู งั้ สองกลา่ ววา่ พอ่ แมร่ กั ลกู 306 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 306

อันชนกชนนีน้ีรักเจ้า อิเหนา เทา่ ชวี ติ ทส่ี ง่ ลกู ใหไ้ ปอยหู่ า่ งไกลนม้ี ไิ ดท้ ำ� ดว้ ยความจงใจหรอื เตม็ ใจ เลย แตจ่ ำ� ใจตอ้ งทำ� เพราะความจำ� เปน็ ความดีเดน่ วรรคทองบทน้ีมีความโดดเดน่ ดา้ นการแสดงอารมณร์ ักและโศก เศรา้ อาลยั อนั ลกึ ซงึ้ ทพ่ี อ่ มตี อ่ ลกู กอ่ นทจี่ ะลาจากกนั โดยใชน้ ำ้� เสยี ง ปลอมประโลมทนี่ มุ่ นวล แมบ้ ทรำ� พนั นม้ี เี พยี งบทเดยี ว แตก่ วสี ามารถ ใชถ้ อ้ ยคำ� และความเปรยี บทเ่ี รยี บงา่ ย กระชบั แตส่ อื่ อารมณไ์ ดอ้ ยา่ ง ชดั เจนและกนิ ใจบทประพนั ธ์ ๒ วรรคแรก กวพี รรณนาวา่ “อนั ชนก ชนนนี ร้ี กั เจา้ เทยี มเทา่ ชวี ากว็ า่ ได”้ สอื่ ความหมายถงึ ความรกั อนั ยง่ิ ใหญข่ องพอ่ แมไ่ ดอ้ ยา่ งหนกั แนน่ วา่ ความรกั ของพอ่ แมท่ ม่ี ใี หล้ กู นน้ั มากเทา่ ความรกั ชวี ติ ตนเอง การตอ้ งยกลกู ซงึ่ มคี า่ เทา่ กบั ชวี ติ ของตน ใหผ้ อู้ นื่ ไป จงึ ทำ� ใหพ้ อ่ แมร่ สู้ กึ โศกเศรา้ เจบ็ ปวดราวกบั ชวี ติ ของตนถกู พรากไป ใน ๒ วรรคหลงั กวพี รรณนาความรสู้ กึ อาลยั อาวรณข์ องผเู้ ปน็ พอ่ และเหตผุ ลทแี่ ทจ้ รงิ ทพ่ี อ่ จำ� ตอ้ งยกลกู ใหเ้ ปน็ บรรณาการแกอ่ เิ หนา ไดอ้ ยา่ งกระทบใจ กวกี ลา่ ววา่ “ใชจ่ ะแสรง้ สลดั ซดั เสยี ไกล เพราะเปน็ ความจำ� ใจของบดิ า” สอื่ ความหมายไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ สง่ิ ทพ่ี อ่ กระทำ� ไป นนั้ มไิ ด้ “แสรง้ ” หรอื จงใจทำ� แตท่ ำ� เพราะความจำ� ใจ การเลอื กใชค้ ำ� วา่ “สลดั ซดั เสยี ไกล” ซง่ึ เปน็ คำ� ทมี่ คี วามหมายรนุ แรงสอ่ื ถงึ การตดั ขาดทง้ิ ขวา้ งอยา่ งไมไ่ ยดแี ละไมค่ วรจะเปน็ สง่ิ ทพี่ อ่ กระทำ� ตอ่ ลกู น้ี ยงิ่ เปน็ การ ตอกยำ�้ ความรสู้ กึ โศกเศรา้ เจบ็ ปวดของผเู้ ปน็ พอ่ ทจ่ี ำ� ตอ้ งกระทำ� สงิ่ ท่ี รนุ แรงตอ่ ลกู ไดอ้ ยา่ งสะเทอื นอารมณ์ นอกจากความโดดเดน่ ดา้ นการใชถ้ อ้ ยคำ� และความเปรยี บทสี่ รา้ ง ความสะเทอื นอารมณด์ งั กลา่ วแลว้ บทประพนั ธน์ ยี้ งั มกี ารเลน่ เสยี ง สัมผัสในอย่างไพเราะร่ืนหูท�ำให้จดจ�ำได้ง่าย เช่น เล่นเสียงสัมผัส พยญั ชนะคำ� วา่ “ชนก-ชนน-ี น”้ี และ “(ช)ี วา-วา่ ” ซงึ่ มกี ารเลน่ เสยี ง สมั ผสั สระและเสยี งสงู ตำ�่ ของวรรณยกุ ตร์ ว่ มดว้ ย วรรคทองบทน้ีนับเป็นบท “สัลลาปังคพิสัย” ท่ีมีความโดดเด่น ท้ังด้านความไพเราะร่ืนหู และการแสดงให้เห็นมิติทางอารมณ์อัน 307 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 307 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา ลกึ ซง้ึ ของผเู้ ปน็ พอ่ ซงึ่ กำ� ลงั จะเสยี ลกู ไป ทง้ั ความรกั ความเมตตาทมี่ ตี อ่ ลกู ความเจบ็ ปวดใจทจี่ ำ� ตอ้ งยกลกู ผเู้ ปน็ ดงั ชวี ติ ใหไ้ ปเปน็ บรรณาการ ของผู้อื่น และความโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ท่ีก�ำลังจะต้องพรากจาก ลกู ไป วรรคทองบทนจี้ งึ จบั ใจและสรา้ งรสอนั สะเทอื นอารมณแ์ กผ่ ู้ อา่ นตลอดมา 308 8/8/2557 BE 3:10 PM �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 308

อันชนกชนนีน้ีรักเจ้า อิเหนา �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 309 309 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 310 8/8/2557 BE 3:10 PM

๔๗ เคยหมอบใกลไ้ ด้กลน่ิ สคุ นธ์ตลบ ละอองอบรสรื่นชน่ื นาสา ส้นิ แผ่นดินสิ้นรสสคุ นธา วาสนาเรากส็ นิ้ เหมอื นกล่ินสคุ นธ์ �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 311 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา ท่มี าของวรรคทอง นริ าศภเู ขาทอง ผแู้ ต่ง สนุ ทรภู่ ปี/สมยั ท่ีแต่ง ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประเภทของวรรณคดี นริ าศภเู ขาทองเปน็ วรรณคดนี ริ าศ วรรณคดนี ริ าศเปน็ วรรณคดที ี่ พรรณนาการพลดั พรากจากนางผเู้ ปน็ ทรี่ กั จงึ มกั เปน็ เรอื่ งทก่ี วมี งุ่ แสดง การครำ่� ครวญอาลยั รกั และอาจผสานกบั การบนั ทกึ การเดนิ ทาง โดย กวมี กั สอดแทรกประสบการณแ์ ละทศั นะทม่ี ตี อ่ สงิ่ ทพี่ บเหน็ ในระหวา่ ง การเดนิ ทางดว้ ย รปู แบบคำ� ประพนั ธ์ กลอนเพลง วัตถุประสงค/์ โอกาสในการแต่ง สุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทองขณะอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสมัย รชั กาลท่ี ๓ และไดเ้ ดนิ ทางทางเรอื จากวดั ราชบรุ ณะ (วดั เลยี บ) ทจี่ ำ� พรรษาอยไู่ ปนมสั การเจดยี ภ์ เู ขาทองทพ่ี ระนครศรอี ยธุ ยา สนั นษิ ฐาน วา่ แตง่ ใน พ.ศ. ๒๓๗๑ เนอื้ หาของบทประพันธ์ นิราศภูเขาทองกล่าวถึงการเดินทางของสุนทรภู่พร้อมบุตรชาย ชื่อพัด ไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่พระนครศรีอยุธยา สุนทร ภู่พรรณนาสถานท่ีต่าง ๆ ที่เดินทางผ่านและส่ิงท่ีได้พบเห็นระหว่าง ทางควบคู่ไปกับการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกของตน ทั้งร�ำพึง รำ� พนั ความทกุ ขโ์ ศกจากชะตาชวี ติ ทพี่ ลกิ ผนั ทง้ั พรรณนาความจงรกั 312 8/8/2557 BE 3:10 PM �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 312

เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ นริ าศภเู ขาทอง ภกั ดแี ละสำ� นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ เลศิ หลา้ นภาลยั ทง้ั ครำ�่ ครวญอาลยั อาวรณถ์ งึ นางผเู้ ปน็ ทรี่ กั ทสี่ มมติ ขน้ึ และสอนคตขิ อ้ คดิ ทคี่ มคายซงึ่ กลน่ั กรองมาจากประสบการณช์ วี ติ ของตนเอง นิราศภูเขาทองกล่าวถึงความพลิกผันของชะตาชีวิตสุนทรภู่จาก สุขที่สุดเป็นทุกข์ท่ีสุดอันแสดงให้เห็นสัจธรรมส�ำคัญเร่ืองความเป็น อนจิ จงั ของชวี ติ วรรคทองบทนเี้ ปน็ ตอนทสี่ นุ ทรภเู่ ดนิ ทางโดยเรอื ผา่ นหนา้ พระบรม- มหาราชวงั และครำ�่ ครวญถงึ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ผมู้ พี ระมหากรณุ าธคิ ณุ แกส่ นุ ทรภอู่ ยา่ งสงู สดุ กวกี ลา่ ววา่ เมอื่ พระองค์ สวรรคตไปตนกร็ สู้ กึ เหมอื นศรี ษะขาด ไมม่ ที พี่ ง่ึ พงิ เมอื่ ไดอ้ อกบวชครงั้ น้ี จงึ ตง้ั ใจจะอทุ ศิ ผลบญุ ถวายเปน็ พระราชกศุ ล ครนั้ เรอื ผา่ นหนา้ พระ ตำ� หนกั แพ ทา่ ราชวรดฐิ สนุ ทรภถู่ งึ กบั หลงั่ นำ้� ตาเมอ่ื หวนคำ� นงึ ถงึ อดตี ท่ี ตนไดร้ บั ราชการสนองพระมหากรณุ าธคิ ณุ อยา่ งใกลช้ ดิ สนุ ทรภกู่ บั จมน่ื ไวยวรนารถ (เผอื ก) หวั หมน่ื มหาดเลก็ เคยหมอบกราบเฝา้ รบั เสดจ็ และ ไดต้ ามเสดจ็ ลงเรอื พระทนี่ งั่ คราวเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ทางชลมารคไปทอด พระกฐนิ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงพระเมตตาโปรดฯ ใหส้ นุ ทรภถู่ วายงานขณะทรงพระราชนพิ นธก์ าพยก์ ลอนไปตลอดเสน้ ทาง เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ สนุ ทรภไู่ ดท้ ำ� งานดว้ ยความตงั้ ใจอยา่ งยงิ่ ไมเ่ คยทำ� สงิ่ ใดใหข้ ดั เคอื งพระราชหฤทยั เลย ความหมายของวรรคทอง วรรคทองนเ้ี ปน็ บทตดั พอ้ โชคชะตาของกวเี มอื่ หวนระลกึ ถงึ อดตี ที่ เคยรงุ่ เรอื งของตน กวรี ำ� พนั วา่ เคยไดห้ มอบเฝา้ รบั ใชใ้ กลช้ ดิ เบอ้ื งพระ ยคุ ลบาทพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ไดก้ ลน่ิ พระสคุ นธ์ หอมอบอวล แตเ่ มอ่ื สน้ิ แผน่ ดนิ นนั้ แลว้ กลน่ิ สคุ นธจ์ ากพระวรกายก็ สน้ิ ไป เชน่ เดยี วกบั วาสนาของกวที ห่ี มดสน้ิ ไปดว้ ย �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 313 313 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ความดเี ดน่ ของวรรคทอง วรรคทองนแ้ี มจ้ ะเปน็ บทสน้ั ๆ แตก่ ส็ ามารถสอ่ื ถงึ ประวตั ชิ วี ติ และ โชคชะตาอนั พลกิ ผนั ของสนุ ทรภไู่ ดอ้ ยา่ งชดั เจน สนุ ทรภแู่ ตง่ บทนเ้ี มอื่ นง่ั เรอื ผา่ นพระตำ� หนกั แพ ทา่ ราชวรดฐิ ซง่ึ เปน็ ทที่ ต่ี นไดเ้ คยหมอบเฝา้ ถวายงานพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั อยา่ งใกลช้ ดิ จงึ เกดิ ความรู้สึกสะเทือนใจเม่ือนึกถึงชีวิตของตนที่เคยเจริญด้วยลาภยศ และวาสนาในสมยั รชั กาลกอ่ น ไดร้ บั พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปน็ ขนุ สนุ ทรโวหารกรมพระอาลกั ษณ์ แตเ่ มอ่ื ผลดั แผน่ ดนิ กม็ อี นั ตอ้ งหมด สน้ิ วาสนาทง้ั หลายทเ่ี คยมี พระมหากรณุ าธคิ ณุ ทเี่ คยไดร้ บั กห็ มดสน้ิ ไป ตอ้ งมชี วี ติ ทยี่ ากลำ� บาก กลวธิ ที างวรรณศลิ ปท์ เี่ ดน่ ในบทประพนั ธต์ อนนี้ คอื กวใี ช้ “กลน่ิ สคุ นธ”์ ซง่ึ ในทนี่ เ้ี ปน็ นามนยั (ภาพพจนร์ ปู แบบหนงึ่ ซงึ่ ใชค้ ำ� หรอื วลแี ทน สง่ิ ใดสงิ่ หนง่ึ ทม่ี ลี กั ษณะเดน่ หรอื มสี มั พนั ธภาพใกลช้ ดิ กบั สง่ิ ทแ่ี ทนนนั้ อาจแทนสงิ่ ทเี่ ปน็ รปู ธรรมหรอื นามธรรมกไ็ ด)้ หมายถงึ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั และยงั สอ่ื ถงึ ความใกลช้ ดิ ของสนุ ทรภขู่ ณะ เขา้ เฝา้ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั การไดป้ ฏบิ ตั ริ าชกจิ ถวายอย่างใกล้ชิดนับเป็นช่วงชีวิตท่ีรุ่งเรืองที่สุดของสุนทรภู่ ดังนั้น การ “สน้ิ กลนิ่ สคุ นธ”์ จงึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความสะเทอื นใจแกส่ นุ ทรภอู่ ยา่ ง ลกึ ซง้ึ เพราะไมเ่ พยี งเปน็ การสญู เสยี พระมหากษตั รยิ ซ์ งึ่ เปน็ ทเ่ี ทดิ ทนู บชู าและเปน็ ทพี่ ง่ึ สงู สดุ ของสนุ ทรภเู่ ทา่ นนั้ แตย่ งั เปน็ การสน้ิ สดุ ความ รงุ่ เรอื งและโชควาสนาในชวี ติ ของสนุ ทรภอู่ กี ดว้ ย ในบาทแรก กวกี ลา่ วถงึ “กลนิ่ สคุ นธ”์ ทรี่ นิ รน่ื จากพระวรกาย เปน็ ทชี่ นื่ ใจแกผ่ ทู้ หี่ มอบเฝา้ อยา่ งใกลช้ ดิ ทำ� ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ จนิ ตภาพของกลนิ่ หอมและเขา้ ใจความรสู้ กึ อม่ิ เอมใจของกวที ไ่ี ดร้ บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ และความไวว้ างพระราชหฤทยั แตใ่ นบาททส่ี อง กวกี ลบั สรา้ งความรสู้ กึ ทต่ี ดั กนั อยา่ งรนุ แรงดว้ ยการกลา่ ววา่ เมอื่ สน้ิ แผน่ ดนิ คอื เมอื่ พระบาท สมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั สวรรคต กลนิ่ สคุ นธท์ เ่ี คยหอมรนื่ ก็ ระเหยหายไปอยา่ งฉบั พลนั เชน่ เดยี วกบั โชคลาภวาสนาทเี่ คยไดร้ บั ก็ พลอยมลายหายสน้ิ ตามไปดว้ ย หรอื อกี นยั หนงึ่ ตคี วามไดว้ า่ วาสนา 314 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 314

เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ นริ าศภเู ขาทอง ของสุนทรภู่เปรียบได้กับกล่ินสุคนธ์ที่มลายหายไปภายในเวลาอัน รวดเรว็ คอื มชี ว่ งเวลาสน้ั มาก กวไี ดเ้ นน้ ยำ้� ใหเ้ หน็ ความรสู้ กึ สญู เสยี จน หมดสน้ิ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ดว้ ยการซำ�้ คำ� วา่ “สนิ้ ” ถงึ ๓ ครง้ั คอื “สน้ิ แผน่ ดนิ สน้ิ รสสคุ นธา วาสนาเรากส็ นิ้ เหมอื นกลนิ่ สคุ นธ”์ การนำ� “กลนิ่ สคุ นธ”์ ซง่ึ สรา้ งความสขุ ความชน่ื ใจ แตเ่ ปน็ ของทไี่ ม่ ถาวรยงั่ ยนื คงอยไู่ ดไ้ มน่ านมาสอ่ื ถงึ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั และเปรยี บเทยี บกบั วาสนาอนั รงุ่ โรจนใ์ นอดตี ของตน จงึ เปน็ กลวธิ ที แ่ี ยบคายทท่ี ำ� ใหเ้ ขา้ ใจความเปน็ ไปในชวี ติ ของกวแี ละสมั ผสั ได้ ถงึ อารมณค์ วามรสู้ กึ เศรา้ โหยหาอาลยั และนอ้ ยเนอื้ ตำ�่ ใจในชะตาชวี ติ ของสนุ ทรภไู่ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 315 315 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 316 8/8/2557 BE 3:10 PM

๔๘ สายหยุดหยุดกล่ินฟุ้ง ยามสาย สายบหยุดเสนห่ ์หาย หา่ งเศรา้ ก่ีคนื กว่ี ันวาย วางเทวศ ราแม ่ ถวิลทุกขวบค�ำ่ เช้า หยุดไดฉ้ นั ใด �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 317 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ทมี่ าของวรรคทอง ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย ผูแ้ ต่ง สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรสทรงพระนพิ นธ์ โดยมพี ระองคเ์ จา้ กปติ ถาขตั ตยิ กมุ าร พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั เปน็ ผชู้ ว่ ยในการนพิ นธ์ ป/ี สมยั ทีแ่ ต่ง ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๔-๒๓๗๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ นง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประเภทของวรรณคดี ลลิ ติ ตะเลงพา่ ยจดั เปน็ วรรณคดยี อพระเกยี รติ คอื วรรณคดที มี่ งุ่ สรรเสริญพระเกียรติพระมหากษัตริย์ซ่ึงได้แก่ สมเด็จพระนเรศวร มหาราช รปู แบบค�ำประพันธ์ ลลิ ติ ตะเลงพา่ ยแตง่ เปน็ ลลิ ติ สภุ าพ ประกอบดว้ ยรา่ ยสภุ าพและ โคลงสภุ าพทมี่ ที ง้ั โคลงสอง โคลงสาม และโคลงส่ี มสี มั ผสั ระหวา่ งรา่ ย กบั โคลงหรอื ระหวา่ งโคลงกบั รา่ ยทเี่ รยี กวา่ “เขา้ ลลิ ติ ” วัตถปุ ระสงค์/โอกาสในการแตง่ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรสทรงพระนพิ นธ์ ลิลิตตะเลงพ่ายเพ่ือเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วรี กษตั รยิ ผ์ กู้ อบกเู้ อกราชของชาตไิ ทย ดงั ทท่ี รงระบไุ วใ้ นรา่ ยตอนตน้ เรอื่ งวา่ ...บรรหารเหตแุ ผภ่ ู ชพู ระยศเจา้ หลา้ อยคู่ งุ ฟา้ คงุ ดนิ เฉกเพลงพณิ ไพเราะ ... เฉลมิ พระเกยี รตผิ า่ นเผา้ เจา้ จกั รพรรดแิ ผน่ สยาม สมญานาม นฤเบศ นเรศวรนรนิ ทร.์ .. นอกจากนใี้ นโคลงตอนทา้ ยเรอื่ ง สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรม- พระปรมานชุ ติ ชโิ นรสยงั ทรงระบไุ วด้ ว้ ยวา่ พระองคท์ รงพระนพิ นธล์ ลิ ติ 318 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 318

สายหยุดหยุดกล่ินฟุ้ง ยามสาย ลิลติ ตะเลงพ่าย ตะเลงพา่ ย เนอื่ งในโอกาสทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรง ปฏสิ งั ขรณว์ ดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ดงั ความวา่ บรรจงเสาวเลขแลว้ หลายคงุ ขวบฤๅ ปางปน่ิ ธเรศอำ� รงุ โลกเลย้ี ง ทำ� นกุ เชตพุ น เผดมิ ตกึ เตม็ เอย อาวาสอาจเพง่ เพย้ี ง แผน่ ฟา้ มาเสมอ เน้อื หาของบทประพนั ธ์ เน้ือความส่วนใหญ่ของลิลิตตะเลงพ่ายกล่าวถึงเหตุการณ์ใน ประวัติศาสตร์ไทยที่กวีน�ำมาจากพระราชพงศาวดาร โดยเริ่มต้ังแต่ สมเดจ็ พระนเรศวรเสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั ใิ น พ.ศ. ๒๑๓๓ ในครงั้ นนั้ พระเจา้ หงสาวดนี นั ทบเุ รงไดม้ พี ระบรมราชโองการใหพ้ ระโอรส คอื พระมหาอปุ ราชายกทพั มาตไี ทย เพราะทรงเหน็ วา่ เปน็ โอกาสอนั ดที จ่ี ะเอาชนะไทยไดง้ า่ ยเนอ่ื งจากไทยกำ� ลงั ผลดั แผน่ ดนิ อาจมกี าร แยง่ ชงิ ราชสมบตั จิ นเกดิ ความระสำ�่ ระสาย พระมหาอปุ ราชามทิ รงเตม็ พระทยั ทจ่ี ะยกทพั มาดว้ ยทรงตระหนกั ในพระปรชี าสามารถทางการ รบของสมเด็จพระนเรศวร อีกท้ังโหรหลวงยังท�ำนายว่าพระองค์มี เคราะหร์ า้ ยจนอาจถงึ แกส่ น้ิ พระชนม์ แตเ่ นอ่ื งจากมอิ าจขดั พระบรม- ราชโองการของพระเจา้ หงสาวดไี ด้ พระมหาอปุ ราชาจงึ เสดจ็ ยกทพั มาและได้ทรงกระท�ำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรจนพระมหา อปุ ราชาพา่ ยแพส้ น้ิ พระชนมช์ พี เมอ่ื เสรจ็ ศกึ แลว้ สมเดจ็ พระนเรศวรทรง พจิ ารณาโทษแมท่ พั นาย กองทตี่ ามเสดจ็ ไมท่ นั ทำ� ใหพ้ ระองคแ์ ละพระ อนุชาต้องทรงสู้ศึกท่ามกลางกองทัพพม่าโดยมีเพียงควาญช้างและ กลางชา้ งตามเสดจ็ ไปเทา่ นนั้ สมเดจ็ พระวนั รตั แหง่ วดั ปา่ แกว้ ไดก้ ราบ บงั คมทลู ขอพระราชทานอภยั โทษแกเ่ หลา่ แมท่ พั นายกอง สมเดจ็ พระ นเรศวรจงึ ไดพ้ ระราชทานอภยั โทษใหต้ ามทก่ี ราบทลู ขอ และมพี ระบรม ราชโองการใหแ้ มท่ พั นายกองเหลา่ นน้ั แกต้ วั โดยการยกทพั ไปตเี มอื ง ทวาย มะรดิ และตะนาวศรี หลงั จากนน้ั เนอ้ื ความกลา่ วถงึ เหตกุ ารณ์ ท่ีเมืองเชียงใหม่ส่งสารมาขอเป็นไมตรีกับฝ่ายไทย และจบด้วยการ 319 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 319 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM สรรเสรญิ พระเกยี รตขิ องพระนเรศวรทที่ รงเปน็ กษตั รยิ ท์ เี่ พยี บพรอ้ ม ด้วยทศพิธราชธรรม ท�ำให้กรุงศรีอยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองและ ประชาชนอยกู่ นั อยา่ งเปน็ สขุ วรรคทองบททย่ี กมาขา้ งตน้ นี้ เปน็ บทนริ าศทแ่ี ทรกอยใู่ นชว่ งการ เดนิ ทพั ของพระมหาอปุ ราชาการไดพ้ บเหน็ ธรรมชาตติ า่ ง ๆ ในระหวา่ ง การเดนิ ทางทำ� ใหพ้ ระมหาอปุ ราชาหวนคดิ ถงึ เหลา่ นางสนมทพ่ี ระองค์ ทรงจากมา พระองคจ์ งึ ทรงรำ� พนั โดยใชธ้ รรมชาตเิ ปน็ สอื่ ในการครวญ ถงึ นางผเู้ ปน็ ทรี่ กั ความหมายของวรรคทอง พระมหาอปุ ราชากลา่ วรำ� พนั วา่ แมด้ อกสายหยดุ จะหยดุ สง่ กลนิ่ หอมในยามสาย แตค่ วามเสนห่ าทพ่ี ระองคม์ ตี อ่ นางผเู้ ปน็ ทร่ี กั นนั้ ไม่ ไดห้ ยดุ ตามไปดว้ ย เพราะมอิ าจหยดุ รกั นางได้ พระองคจ์ งึ โศกเศรา้ ยงิ่ ยามทตี่ อ้ งจากนาง อกี กค่ี นื กว่ี นั พระองคจ์ งึ จะไดพ้ บกบั นางอกี และ ความเศรา้ ในใจจะไดส้ นิ้ สดุ ลง ความคดิ ถงึ ทพี่ ระองคม์ ตี อ่ นางอยทู่ กุ วนั ตงั้ แตเ่ ชา้ จรดคำ�่ นช้ี า่ งยากเหลอื เกนิ ทจ่ี ะหยดุ ยงั้ ได้ ความดีเด่น โคลงบทนเี้ ปน็ บทครวญทน่ี ำ� ชอื่ ดอกไมม้ าเปน็ สอื่ ในการพรรณนา ความรกั ไดอ้ ยา่ งมวี รรณศลิ ปแ์ ยบคายยงิ่ กวนี ำ� เอาคำ� วา่ “สาย” และ “หยุด” ในชื่อของดอกสายหยุดมาสร้างความหมายท่ีเชื่อมโยงกับ ความรกั ความคดิ ถงึ ในหลายมติ ิ ในมติ แิ รกกวเี ปรยี บเทยี บความรกั กบั ดอกสายหยดุ วา่ แมด้ อกสายหยดุ จะหยดุ สง่ กลน่ิ หอมในยามสาย แต่ ความรกั ความคดิ ถงึ ทพ่ี ระมหาอปุ ราชามตี อ่ นางผเู้ ปน็ ทร่ี กั นนั้ มไิ ดห้ ยดุ ไปตามเวลาเหมอื นกลนิ่ หอมของดอกไม้ ในมติ ทิ สี่ อง กวสี รา้ งความ หมายทเ่ี ชอื่ มโยงตอ่ เนอ่ื งกบั ความหมายแรกวา่ เพราะความรกั ทพ่ี ระ มหาอปุ ราชามตี อ่ นางนน้ั มอิ าจหยดุ ได้ ความเศรา้ จากการจากนางจงึ มอิ าจหยดุ ไดเ้ ชน่ กนั การทจ่ี ะหยดุ ความเศรา้ นจ้ี งึ มเี พยี งการไดก้ ลบั ไปพบกบั นาง การครวญวา่ “กค่ี นื กว่ี นั วาย วางเทวศ ราแม”่ จงึ มไิ ดม้ ี ความหมายวา่ อกี เมอื่ ใดความเศรา้ นจ้ี ะหมดไป แตม่ นี ยั เชอื่ มโยงวา่ 320 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 320

สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง ยามสาย ลลิ ิตตะเลงพ่าย อกี เมอื่ ใดหนอพระองคจ์ ะไดก้ ลบั ไปพบกบั นาง เพอ่ื วา่ ความเศรา้ จาก การพลดั พรากนจ้ี ะไดย้ ตุ ลิ ง ในมติ ทิ ส่ี าม กวสี รา้ งความเชอ่ื มโยงของ ความหมายตอ่ เนอื่ งไปอกี วา่ เนอ่ื งจากพระมหาอปุ ราชาทรงตระหนกั ดวี า่ การกลบั ไปหานางในขณะนยี้ อ่ มเปน็ ไปไมไ่ ด้ ดว้ ยพระองคม์ รี าช- กิจในการสงคราม การยุติความเศร้าในสถานการณ์เช่นนี้จึงมีเพียง วธิ เี ดยี วคอื หยดุ คดิ ถงึ นาง แตว่ ธิ นี ก้ี ด็ เู ปน็ วธิ ที เ่ี ปน็ ไปไมไ่ ดอ้ กี เชน่ กนั เพราะความคดิ คำ� นงึ ทพี่ ระองคม์ ตี อ่ นางนน้ั มอี ยตู่ ลอดเวลาตงั้ แตเ่ ชา้ ถงึ คำ่� การรำ� พงึ วา่ “ถวลิ ทกุ ขวบคำ่� เชา้ หยดุ ไดฉ้ นั ใด” จงึ ชว่ ยเนน้ ยำ�้ ความสน้ิ หวงั ของพระมหาอปุ ราชาทจี่ ะ “หยดุ ” ความทกุ ขร์ ะทมอนั เกดิ จากการพลดั พรากจากนาง กวไี ดถ้ า่ ยทอดความหมายทง้ั ๓ มติ นิ ด้ี ว้ ยการเรยี บเรยี งถอ้ ยคำ� ท่ีดูเหมือนเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้วเป็นการสรรค�ำที่เปี่ยมไปด้วย วรรณศลิ ปแ์ ละความประณตี บรรจง การใชค้ ำ� ทสี่ อ่ื นยั ถงึ เวลาในทกุ บาท ไดแ้ ก่ “สาย” “คนื ” “วนั ” “ขวบ” “คำ�่ ” “เชา้ ” และการใชค้ ำ� ท่ี สอ่ื นยั ถงึ การ “หยดุ ” ในทกุ บาท ไดแ้ ก่ “หยดุ ” “หาย” “วาย” “วาง” นอกจากจะเปน็ การสรา้ งความไพเราะดว้ ยการซำ้� เสยี งและการสรา้ ง เสยี งสมั ผสั กบั คำ� อน่ื ๆ ในบทแลว้ ยงั เปน็ การสรา้ งเอกภาพและความ เชอ่ื มโยงทางความหมายระหวา่ ง “สาย” และ”หยดุ ” อยา่ งแยบคาย เพราะกวีมิเพียงแต่จะแสดงอานุภาพของความรักที่มิได้เสื่อมคลาย ไปตามกาลเวลาเทา่ นนั้ แตก่ วยี งั พรรณนาใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจอยา่ งชดั เจน ถงึ ความรสู้ กึ ทกุ ขร์ ะทมของผทู้ ตี่ กอยใู่ นบว่ งของความรกั ความคดิ ถงึ ทมี่ อิ าจหาทางออกได้ ความไพเราะทางเสยี ง ความหมายทล่ี กึ ซงึ้ กนิ ใจ และความซาบซงึ้ สะเทอื นอารมณด์ งั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาน้ี จงึ ทำ� ใหโ้ คลงบทนเ้ี ปน็ วรรคทองท่ี ตราตรงึ อยใู่ นความ ทรงจำ� ของผอู้ า่ นมาตราบจนทกุ วนั นี้ �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 321 321 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 322 8/8/2557 BE 3:10 PM

๔๙ เร่อื ยเรอ่ื ยมารอนรอน ทิพากรจะตกตำ�่ สนธยาจะใกล้ค�ำ่ ค�ำนงึ หนา้ เจ้าตราตร ู เร่อื ยเรื่อยมาเรยี งเรียง นกบนิ เฉยี งไปท้งั หม ู่ ตวั เดียวมาพลัดค่ ู เหมอื นพอ่ี ยผู่ ูเ้ ดียวดาย �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 323 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ที่มาของวรรคทอง กาพยเ์ หเ่ รอื พระนพิ นธเ์ จา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร ผ้แู ตง่ เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร ป/ี สมยั ทแ่ี ตง่ รชั สมยั สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย ประเภทของวรรณคดี กาพยเ์ หเ่ รอื เปน็ วรรณคดปี ระเภทกาพยเ์ ห่ แตง่ ขน้ึ เพอ่ื ใชป้ ระกอบ การเหเ่ รอื ทง้ั การเหเ่ รอื เนอ่ื งในพระราชพธิ แี ละการเหเ่ รอื สำ� หรบั เทยี่ ว เลน่ โดยเหเ่ ปน็ ทำ� นองตา่ ง ๆ เพอื่ ใหจ้ งั หวะและสญั ญาณแกฝ่ พี าย หรอื เหเ่ พอ่ื ระบายอารมณค์ วามรสู้ กึ สว่ นตวั มเี นอื้ หาวา่ ดว้ ยการบรรยาย หรอื พรรณนาสง่ิ ตา่ ง ๆ กาพยเ์ หเ่ รอื พระนพิ นธเ์ จา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศรนี้เปน็ กาพยเ์ หท่ เี่ กา่ แกท่ ส่ี ดุ ทม่ี ี ตน้ ฉบบั ตกทอดมาจนปจั จบุ นั รปู แบบคำ� ประพันธ์ กาพยเ์ ห่ วัตถุประสงค/์ โอกาสในการแตง่ กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรน้ี ใช้เห่เรือในการ ตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปนมัสการและสมโภช พระพุทธบาทสระบุรี เป็นบทเห่ที่เดิมทรงพระนิพนธ์เพื่อใช้เห่เรือ เล่นส่วนพระองค์ในคราวเสด็จพระราชด�ำเนินทางชลมารคจากกรุง ศรอี ยธุ ยาถงึ ทา่ เจา้ สนกุ เพอื่ ไปนมสั การพระพทุ ธบาทเชน่ กนั เนอื้ หา สว่ นใหญเ่ ปน็ การพรรณนาความรสู้ กึ ทง้ั ความรกั และความโหยหาอาลยั ถงึ สตรผี เู้ ปน็ ทรี่ กั ตอ่ มาพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรง พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหน้ ำ� กาพยเ์ หเ่ รอื ของเจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศรมาใช้ เปน็ บทเหเ่ รอื หลวงในการเหเ่ รอื พระทนี่ ง่ั 324 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 324

เร่ือยเรื่อยมารอนรอน กาพยเ์ ห่เรือ พระนพิ นธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร เน้ือหาของบทประพันธ์ กาพยเ์ หเ่ รอื พระนพิ นธเ์ จา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศรประกอบดว้ ยบทเห่ ๒ ชดุ ชดุ แรกแบง่ เนอื้ หา ออกเปน็ ๔ ตอน ไดแ้ ก่ เหช่ มกระบวนเรอื พระทน่ี ง่ั เหช่ มปลา เหช่ มไม้ เหช่ มนก ชดุ ท่ี ๒ แบง่ เนอ้ื หาออกเปน็ ๓ ตอน ไดแ้ ก่ เหเ่ รอ่ื งกากี เหส่ งั วาส และเหค่ รวญ วรรคทองทยี่ กมานค้ี ดั มาจากเนอื้ หาในตอนเหช่ มนก ซง่ึ กลา่ วถงึ นกนานาพนั ธข์ุ ณะบนิ กลบั รงั ในยามเยน็ การไดเ้ หน็ นกอยกู่ นั เปน็ คู่ ๆ ทำ� ใหก้ วรี สู้ กึ โศกเศรา้ เพราะคดิ ถงึ นางผเู้ ปน็ ทรี่ กั ทตี่ นตอ้ งจากมา ความหมายของวรรคทอง ในเวลาใกล้ค�่ำ ขณะดวงอาทิตย์ค่อย ๆ อ่อนแสงลงทีละ น้อย และก�ำลังจะลับขอบฟ้า กวีก็เฝ้าคิดถึงแต่ใบหน้าอันงดงาม ของนางผู้เป็นที่รัก เมื่อมองเห็นฝูงนกท่ีบินเฉียงเรียงกันไปเป็น หมู่ มีเพียงตัวเดียวที่ไร้คู่ จึงท�ำให้กวีรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่ง ขึ้น เพราะรู้สึกว่านกนั้นไม่ต่างกับตนที่ต้องพลัดพรากจากคู่รัก ความดเี ด่น วรรคทองบทนี้มีความดีเด่นที่การเชื่อมโยงบรรยากาศในช่วง พลบคำ่� ซึ่งพระอาทิตย์ก�ำลังลบั ขอบฟ้าเข้ากบั ความรูส้ กึ อา้ งวา้ งของ กวี เพราะบรรยากาศในยามเยน็ นน้ั เปน็ ชว่ งเวลาสนิ้ สดุ ของวนั ซงึ่ คน ทวั่ ไปมกั ปรารถนาจะไดใ้ ชเ้ วลาอยรู่ ว่ มกบั ผเู้ ปน็ ทรี่ กั การทกี่ วไี มม่ นี าง อยดู่ ว้ ยจงึ ทำ� ใหก้ วรี สู้ กึ อา้ งวา้ งวา้ เหว่ เมอ่ื กวเี หน็ ภาพฝงู นกบนิ กลบั รงั ทำ� ใหเ้ กดิ ความโหยหาทจี่ ะไดก้ ลบั ไปหานางมากขน้ึ ยงิ่ เมอ่ื ไดเ้ หน็ นก ไรค้ ทู่ บี่ นิ ตามลำ� พงั กย็ ง่ิ ยำ้� เตอื นใหก้ วนี กึ ถงึ ความเปลา่ เปลย่ี วของตน กวสี ามารถสอื่ จนิ ตภาพขา้ งตน้ ใหเ้ หน็ ชดั เจนผา่ นการสรรคำ� ทมี่ กี าร สอดรอ้ ยกนั ระหวา่ งเสยี ง ความหมาย และอารมณ์ คำ� วา่ “เรอื่ ยเรอ่ื ย” “รอนรอน”“เรยี งเรยี ง” ไมเ่ พยี งใหค้ วามไพเราะทางดา้ นเสยี ง แตย่ งั ชว่ ย สรา้ งความหนกั แนน่ ของความหมายและอารมณเ์ ปลยี่ วเหงาวา้ เหวใ่ ห้ �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 325 325 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา แจม่ ชดั มากยง่ิ ขนึ้ คำ� วา่ “เรอื่ ยเรอ่ื ย”สอื่ ความเคลอ่ื นไหวอยา่ งตอ่ เนอื่ ง และชา้ ๆ ของทงั้ ดวงอาทติ ยท์ ค่ี อ่ ย ๆ ลบั ขอบฟา้ และฝงู นกทพ่ี ากนั บนิ กลบั รงั ในยามคำ่� หลงั จากหากนิ มาตลอดทง้ั วนั คำ� วา่ “รอนรอน” สอื่ ถงึ แสงของดวงอาทติ ยท์ ค่ี อ่ ย ๆ ชะลอความรอ้ นแรงลงเชน่ เดยี วกบั ใจ ของกวที กี่ ำ� ลงั จะขาดรอน ๆ คำ� วา่ “เรยี งเรยี ง” ทำ� ใหเ้ หน็ ภาพของฝงู นก ทบ่ี นิ เรยี งกนั ไปอยา่ งพรงั่ พรอ้ มเปน็ หมเู่ พอื่ กลบั รงั ซงึ่ เปน็ ภาพทต่ี ดั กนั อยา่ งรนุ แรงกบั ภาพนกทไี่ รค้ แู่ ละบนิ มาตามลำ� พงั องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ทปี่ ระสานกลมกลนื กนั อยา่ งลงตวั ทำ� ใหบ้ ท ประพันธ์บทน้ีเป็นวรรคทองที่กระทบใจผู้อ่านผู้ฟัง จนมีผู้น�ำไปใส่ ทำ� นองเปน็ บทเพลงซง่ึ ไดร้ บั ความนยิ ม จงึ ทำ� ใหว้ รรคทองบทนเ้ี ปน็ ท่ี รจู้ กั กนั อยา่ งแพรห่ ลายมาจนปจั จบุ นั 326 8/8/2557 BE 3:10 PM �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 326

เร่ือยเร่ือยมารอนรอน กาพย์เห่เรือ พระนิพนธเ์ จ้าฟ้าธรรมธเิ บศร �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 327 327 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 328 8/8/2557 BE 3:10 PM

๕๐ ดูน้�ำวงิ่ กล้งิ เชีย่ วเปน็ เกลียวกลอก กลบั กระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวยี น บา้ งพลงุ่ พลงุ่ วงุ้ วงเหมอื นกงเกวยี น ดเู ปลยี่ นเปลยี่ นควา้ งควา้ งเปน็ หวา่ งวน ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจว้ ง ครรไลลว่ งเลยทางมากลางหน โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล ใจยังวนหวังสวาทไมค่ ลาดคลา �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 329 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา ที่มาของวรรคทอง นิราศภูเขาทอง ผู้แต่ง สุนทรภู่ ปี/สมัยที่แต่ง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเภทของวรรณคดี นิราศภูเขาทองเป็นวรรณคดีนิราศ วรรณคดีนิราศเป็นวรรณคดี ที่พรรณนาการพลัดพรากจากนางผู้เป็นท่ีรัก จึงมักเป็นเรื่องท่ีกวี มุ่งแสดงการคร่�ำครวญอาลัยรัก และอาจผสานกับการบันทึกการ เดินทาง โดยกวีมักสอดแทรกประสบการณ์และทัศนะที่มีต่อสิ่งที่ พบเห็นในระหว่างการเดินทางด้วย รูปแบบค�ำประพันธ์ กลอนเพลง วัตถุประสงค์/โอกาสในการแต่ง สุนทรภู่แต่งนิราศภูเขาทองขณะอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสมัย รัชกาลที่ ๓ และได้เดินทางทางเรือจากวัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) ท่ีจ�ำพรรษาอยู่ไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองท่ีพระนครศรีอยุธยา สันนิษฐานว่าแต่งใน พ.ศ. ๒๓๗๑ เน้ือหาของบทประพันธ์ นิราศภูเขาทองกล่าวถึงการเดินทางของสุนทรภู่พร้อมบุตรชาย ชื่อ พัด ไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองท่ีพระนครศรีอยุธยา สุนทร- ภู่พรรณนาสถานที่ต่าง ๆ ท่ีเดินทางผ่านและส่ิงที่ได้พบเห็นระหว่าง ทางควบคู่ไปกับการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกของตน ท้ังร�ำพึง ร�ำพันความทุกข์โศกจากชะตาชีวิตที่พลิกผัน ท้ังพรรณนาความ 330 8/8/2557 BE 3:10 PM �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 330

ดูน้�ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก นิราศภูเขาทอง จงรักภักดีและส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท้ังคร่�ำครวญอาลัยอาวรณ์ถึงนางผู้เป็น ที่รักท่ีสมมติขึ้น และสอนคติข้อคิดที่คมคายซ่ึงกล่ันกรองมาจาก ประสบการณ์ชีวิตของตนเอง นิราศภูเขาทองกล่าวถึงความพลิกผันของชะตาชีวิตสุนทรภู่จาก สุขที่สุดเป็นทุกข์ท่ีสุดอันแสดงให้เห็นสัจธรรมส�ำคัญเรื่องความเป็น อนิจจังของชีวิต วรรคทองบทนเี้ ปน็ ตอนทสี่ นุ ทรภนู่ ง่ั เรอื มาถงึ หนา้ วดั เขมาภริ ตา- ราม ทำ� ใหน้ กึ ถงึ เมอ่ื ครง้ั ทไี่ ดต้ ามเสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ - หล้านภาลัยมาที่วัดน้ีในพิธีผูกพัทธสีมาสร้างพระอุโบสถ และได้ ร่วมอยใู่ นการเฉลมิ ฉลองเปน็ ทสี่ นกุ สนานชื่นบานใจ ซง่ึ อดตี น้นั ไมม่ ี วันหวนกลับมาอีก เพราะสุนทรภู่ตกอับส้ินวาสนาเสียแล้ว ระหว่าง ท่ีย้อนนึกถึงอดีต เรือก็พลัดเข้าไปในกระแสน�้ำวน ความหมายของวรรคทอง วรรคทองนี้เป็นการพรรณนาภาพขณะเรือของกวีเข้าไปอยู่ใน กระแสน้�ำวน โดยเชื่อมโยงกับการร�ำพันถึงความรักว่า สายน้�ำวน ไหลเช่ียวรุนแรงย่ิงนักจนทั้งคนที่พายอยู่หัวเรือและท้ายเรือต้อง เร่งพายอย่างสุดแรง จนในที่สุดก็หลุดออกจากน้�ำวนและเดินทาง ต่อไปได้ แต่แม้ว่าเรือจะหลุดพ้นน้�ำเช่ียวมาได้แล้ว ทว่าใจของกวี ยังตกอยู่ท่ามกลางวังวนของความรักความปรารถนาอันเกร้ียว กราดบ้าคล่ัง ความดีเด่น วรรคทองบทนี้โดดเด่นด้านการสร้างจินตภาพให้ผู้อ่านเห็น ภาพของสายน�้ำท่ีไหลเชี่ยวกรากและเป็นกระแสน�้ำวนในบาง ช่วงได้อย่างกระจ่างชัด และบรรยายให้เห็นว่าคนพายเรือต้องใช้ ความสามารถและความพยายามเพียงใดท่ีจะน�ำเรือให้พ้นออก �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 331 331 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา จากกระแสน�้ำวนมาได้ ไม่เช่นน้ันเรือจะล่มลง และทุกคนในเรือ ก็จะเป็นอันตราย จากน้ันกวีได้เปรียบเทียบเชื่อมโยงความรุนแรง ป่วนปั่นของกระแสน�้ำวนและความพยายามของคนพายเรือที่จะ ต่อสู้กับกระแสน้�ำวน กับจิตใจท่ีวนเวียนอยู่ในอารมณ์แห่งความ รักความปรารถนา ซึ่งแม้จะใช้ความพยายามแข็งขืนเท่าใดก็มิอาจ พ้นจากใจท่ีเวียนวนน้ันได้ กวีสร้างจินตภาพด้วยการสรรค�ำอย่างประณีตและน�ำมาร้อย เรียงได้อย่างลงตัว ดังในบาทแรกที่ว่า “น�้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียว กลอก กลับกระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน” ซึ่งแต่ละค�ำล้วนมีความ หมายแสดงการเคลื่อนไหวท่ีปั่นป่วนรุนแรงของสายน้�ำ เม่ือน�ำค�ำ มาเรียงร้อยกันก็ท�ำให้เกิดเสียงสัมผัสพยัญชนะและเสียงสัมผัส สระแพรวพราว มีจังหวะท่ีฟังดูกระแทกกระท้ัน นอกจากนี้ยังมี การใช้ค�ำเลียนเสียงของน�้ำที่ซัดกระฉอกไปมาคือ “ฉาดฉัด” ท�ำให้ ผู้อ่านเห็นภาพและได้ยินเสียงของสายน�้ำท่ีเชี่ยวกรากอย่างชัดเจน นอกจากภาพของกระแสน้�ำที่เชี่ยวกราก กวียังใช้ค�ำและความ เปรียบที่ท�ำให้เห็นภาพของน�้ำท่ีไหลเวียนวงเป็นวนจนเกิดเป็นเว้ิง และเป็นช่องว่าง ส่ือความรู้สึกหวาดหวั่นต่อภัยอันตรายของผู้ท่ี อยู่ในเรือท่ามกลางกระแสน้�ำวน ดังปรากฏในบาทท่ีสอง ได้แก่ การ ใช้ค�ำว่า “วุ้งวง” “หว่างวน” ซ่ึงบรรยายลักษณะของเรือที่ยังอยู่ใต้ อ�ำนาจของกระแสน้�ำวน การใช้ค�ำซ้�ำ “พลุ่งพลุ่ง” “เปลี่ยนเปล่ียน” “คว้างคว้าง” ท�ำให้เกิดเสียงและจังหวะที่สร้างจินตภาพ และการใช้ ความเปรียบว่าน้�ำวน “เหมือนกงเกวียน” ให้ภาพน้�ำท่ีไหลวนเป็นวง อย่างต่อเน่ืองไม่หยุดหย่อน เหล่าน้ีล้วนท�ำให้ผู้อ่านจินตนาการเห็น ภาพของกระแสน้�ำวนท่ีน่าหวั่นกลัวอย่างสมจริง และท�ำให้ เข้าใจ ความพยายามของคนพายเรือท้ังสองท่ีช่วยกัน “กรายแจวกระชาก จ้วง” เพื่อน�ำเรือให้หลุดออกมาอย่างปลอดภัยได้ในท่ีสุด 332 8/8/2557 BE 3:10 PM �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 332

ดูน�้ำว่ิงกลิ้งเช่ียวเป็นเกลียวกลอก นิราศภูเขาทอง การสร้างจินตภาพของกระแสน้�ำวนท่ีไหลเช่ียวกรากน่า หวาดหว่ัน และความพยายามอย่างย่ิงยวดของคนพายเรือ น�ำไป สู่โวหารเปรียบเทียบที่คมคาย นั่นคือการเปรียบเทียบว่า ถึงแม้ กระแสน้�ำวนจะปั่นป่วนรุนแรงมากเพียงใด แต่ด้วยประสบการณ์ และความร่วมมือกันอย่างแข็งขันของคนพายเรือ ท�ำให้เรือสามารถ รอดพ้นอันตรายมาได้ แต่ใจที่เวียนวนอยู่ในความปรารถนาเร่ืองรัก ใคร่อาลัยนั้น แม้จะใช้ความพยายามเท่าใดก็มิอาจถอนใจให้หลุด ได้ ถ้อยค�ำท่ีร�ำพันนี้แสดงให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกในใจของกวีที่ ปั่นปวนคลุ้มคลั่งด้วยความคิดถึง ความคลุ้มคลั่งด่ังกล่าวรุนแรง ยิ่งกว่ากระแสน�้ำวนเสียอีก ถ้อยค�ำและความเปรียบท่ีกวีใช้ไม่ว่าจะเป็นกระแสน�้ำวน ภาพ ของน�้ำที่ไหลเป็นวงเหมือนกงเกวียน หรือการพายเรือฝ่ากระแสน้�ำ อาจมีนัยสื่อถึงธรรมะในพุทธศาสนาด้วย “กระแสน้�ำ” “น้�ำวน” และ “กงเกวียน” ตามขนบวรรณคดีพุทธศาสนามักสื่อถึงวัฏสงสาร ท่ีเคล่ือนไปด้วยแรงของกิเลสและท�ำให้สรรพสัตว์ท้ังหลายหลง เวียนว่ายอยู่ ในขณะเดียวกัน “การพายเรือ” ก็ส่ือถึงการต่อสู้กับ จติ ใจตนเองเพื่อให้ข้ามพน้ วฏั สงสารน้ี การพรรณนาในวรรคทองบท น้ีจึงส่ือความสะเทือนอารมณ์ของกวีท่ีตระหนักชัดในสัจธรรมเหล่า นี้อย่างลึกซึ้ง แต่ก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถปฏิบัติได้ จึงได้บรรยายว่า เรือสามารถรอดพ้นจากกระแสน้�ำวนมาได้อย่างปลอดภัย แต่ใจ ของกวีน้ันกลับยังเวียนวนอยู่ในอ�ำนาจกิเลสคือความรักอย่างไม่ อาจเอาชนะได้ วรรคทองบทน้ีจึงแสดงให้เห็นความสามารถของกวีท่ีพรรณนา ภาพของสายน�้ำได้อย่างกระจ่างชัดสมจริงและทรงพลัง ท�ำให้เห็น อานุภาพของความรักที่สร้างความปั่นป่วนใจและความลุ่มหลงให้ แก่จิตใจมนุษย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ท้ังยังแฝงนัยทางธรรมะ อย่างลึกซึ้งแยบคาย �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 333 333 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 334 8/8/2557 BE 3:10 PM

๕๑ ใครรานใครรุกดา้ ว แดนไทย ไทยรบจนสดุ ใจ ขาดด้ิน เสียเน้อื เลือดหลัง่ ไหล ยอมสละ สิ้นแล เสียชพี ไป่เสยี ส้ิน ช่ือกอ้ งเกียรติงาม หากสยามยงั อยยู่ ้งั ยนื ยง เรากเ็ หมอื นอย่คู ง ชีพดว้ ย หากสยามพินาศลง ไทยอยู่ ไดฤ้ ๅ เราก็เหมอื นมอดม้วย หมดสิน้ สกุลไทย �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 335 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ที่มาของวรรคทอง โคลงสยามานสุ สติ ผูแ้ ตง่ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ป/ี สมยั ท่ีแต่ง พ.ศ. ๒๔๖๑ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประเภทของวรรณคดี โคลงบทนเี้ ปน็ วรรณคดคี ำ� สอน คอื วรรณคดที ม่ี เี นอื้ หามงุ่ แสดงคติ ปรชั ญาในการดำ� เนนิ ชวี ติ จรยิ ธรรม หรอื ขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องคนใน สงั คมกวอี าจนำ� คำ� สอนมาจากคา่ นยิ มความเชอื่ หลกั ธรรมทางศาสนา หรอื ประสบการณช์ วี ติ โคลงสยามานสุ สตเิ ปน็ วรรณคดคี ำ� สอนทม่ี งุ่ ปลกู ฝงั ความรกั ชาติ รปู แบบค�ำประพนั ธ์ โคลงสสี่ ภุ าพ วัตถปุ ระสงค์/โอกาสในการแตง่ เมอื่ วนั ท่ี ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๑ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั งานเลย้ี งสง่ ทหารอาสา ๑,๕๐๐ นาย ทจ่ี ะ เดนิ ทางไปรว่ มรบในสงครามโลกครงั้ ที่ ๑ ทท่ี วปี ยโุ รป ณ สนามขา้ ง พระทน่ี งั่ อนนั ตสมาคม ในโอกาสนน้ั สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถ ไดก้ ราบบงั คมทลู ขอพระราชทาน ค�ำขวัญส�ำหรับเป็นเคร่ืองเตือนสติและเป็นท่ียึดเหนี่ยวทางใจให้แก่ ทหารเหลา่ นนั้ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงพระ ราชนิพนธ์โคลงสยามานุสสติพระราชทานในวันถัดมา โดยทรงได้ รับแรงบันดาลพระราชหฤทัยจากค�ำขวัญปลุกใจของอังกฤษในช่วง สงครามโลกครงั้ ที่ ๑ วา่ “What stands if freedom fall ? Who dies if England live ?” คำ� ขวญั นเี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของกวนี พิ นธช์ อ่ื For 336 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 336

ใครรานใครรุกด้าว แดนไทย สยามานุสสติ all we have and are ของรดั ยารด์ คปิ ลงิ (Rudyard Kipling) ซงึ่ แตง่ ขนึ้ เมอื่ ค.ศ. ๑๙๑๔ โคลงสยามานสุ สตปิ ระกอบดว้ ยโคลงทง้ั หมด ๔ บท โคลงบททเี่ ปน็ วรรคทองไดแ้ กโ่ คลงบทที่ ๓ และ ๔ โคลงบทที่ ๑ และ ๒ มเี นอื้ ความวา่ รกั ราช จงจติ นอ้ ม ภกั ดี ทา่ นนา รกั ชาติ กอบกรณยี ์ แนว่ ไว้ รกั ศาสน์ กอบบญุ ตร ี สจุ รติ ถว้ นเทอญ รกั ศกั ดิ์ จงจติ ให ้ โลกซรอ้ งสรรเสรญิ ยามเดนิ ยนื นง่ั นอ้ ม กะมล รำ� ลกึ ถงึ เทศตน อยยู่ งั้ เปนรฏั ฐะมณฑล ไทยอยู่ สราญฮา ควรถนอมแนน่ ตง้ั อยเู่ พยี้ งอวสาน ความหมายของวรรคทอง วรรคทองทงั้ สองบทกลา่ ววา่ หากมผี ใู้ ดมารกุ รานผนื แผน่ ดนิ ไทย ชาวไทยจะตอ่ สอู้ ยา่ งสดุ กำ� ลงั ยอมสละเลอื ดเนอ้ื และชวี ติ จนหมดสนิ้ เพราะแมช้ วี ติ จะสนิ้ ไป แตช่ อ่ื เสยี งเกยี รตยิ ศอนั ดงี ามทไี่ ดป้ กปอ้ งชาติ จะไมส่ น้ิ ไปกบั ชวี ติ ดว้ ย หากประเทศสยามดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื ชาว ไทยกจ็ ะยงั มชี วี ติ อยไู่ ด้ แตห่ ากประเทศสยามถกู ทำ� ลายลงจนยอ่ ยยบั ชาวไทยจะมชี วี ติ อยไู่ ดอ้ ยา่ งไร มแี ตจ่ ะสนิ้ ชวี ติ ไปดว้ ยกนั ทงั้ หมดจนไม่ เหลอื เผา่ พงศข์ องชาวไทยอกี ความดเี ดน่ ความดเี ดน่ ของวรรคทองบทนอี้ ยทู่ ก่ี ารปลกุ ใจและสรา้ งสำ� นกึ รกั ชาตโิ ดยชใี้ หเ้ หน็ ความสำ� คญั ของชาตใิ นฐานะองคร์ วมของรา่ งกายซง่ึ มอี วยั วะสำ� คญั ตา่ ง ๆ ประกอบกนั ขนึ้ เปน็ ชวี ติ คนในชาตกิ ค็ อื อวยั วะ สำ� คญั สว่ นหนงึ่ ถา้ สนิ้ ชาตคิ อื รา่ งกายสญู สนิ้ ไป คนในชาตซิ ง่ึ เปน็ อวยั วะ ส�ำคัญของร่างกายก็ย่อมพินาศตามไปด้วย ดังน้ันพระบาทสมเด็จ 337 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 337 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงพระราชนพิ นธไ์ วใ้ นวรรคทองบทแรก วา่ หากมผี มู้ ารกุ ราน “ดา้ วแดนไทย” ซง่ึ อาจตคี วามไดว้ า่ หมายถงึ ผนื แผน่ ดนิ ของคนไทย หรอื ผนื แผน่ ดนิ อนั เปน็ “ไท” ชาวไทยกจ็ ะ “รบจน สดุ ใจ ขาดดนิ้ ” คอื ตอ่ สอู้ ยา่ งสดุ แรงหรอื สดุ กำ� ลงั จนแมต้ วั จะตายก็ ไมห่ วน่ั เกรง เพราะการตอ่ สนู้ ค้ี อื การปกปอ้ งทงั้ ชาตแิ ละตนเองซง่ึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของชาติ และปกปอ้ งอสิ ระเสรขี องประเทศดว้ ย ดงั นน้ั หาก ชาวไทยทกุ คนโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ทหารไทยจะตอ้ ง “เสยี เนอ้ื เลอื ดหลง่ั ไหล” กเ็ ปน็ สง่ิ ทค่ี วร “ยอมสละสน้ิ ” เพราะการ “เสยี ชพี ” นนั้ สงิ่ ทมี่ ไิ ด้ “สนิ้ ” ตามชพี ไปแตจ่ ะคงอยตู่ ลอดไปกค็ อื “ชอ่ื กอ้ งเกยี รตงิ าม” อนั เกดิ จากความเสยี สละอนั ยงิ่ ใหญน่ ี้ จะเหน็ ไดว้ า่ กวที รงเลน่ คำ� วา่ “เสยี ” และ “สน้ิ ” ไดอ้ ยา่ งแยบคาย การใชค้ ำ� วา่ “เสยี ” และ“สน้ิ ”ยงั มนี ยั สำ� คญั เชอื่ มโยงกบั คำ� วา่ “อย”ู่ ในบทถดั มา กลา่ วคอื นอกจากเกยี รตยิ ศศกั ดศิ์ รขี องความเปน็ คนไทย ทจี่ ะดำ� รงอยแู่ ลว้ การสละเลอื ดเนอื้ หรอื ชวี ติ จนหมดสน้ิ ยงั ชว่ ยรกั ษา ประเทศให้ “อยยู่ งั้ ยนื ยง” ชาตไิ ทยและชาวไทยกจ็ ะดำ� รงอยตู่ อ่ ไปได้ อยา่ งมน่ั คงดว้ ย ถงึ แมว้ า่ รา่ งกายอาจสญู สน้ิ ไป แตช่ อื่ เสยี งเกยี รตยิ ศ กจ็ ะยงั คงอยู่ แตถ่ า้ หากประเทศถกู ทำ� ลายจนยอ่ ยยบั ชาตไิ ทย ชาว ไทย หรอื ความเปน็ ไทอนั หมายถงึ เอกราชและอสิ ระเสรี กจ็ ะ “อย”ู่ ไมไ่ ดเ้ ชน่ กนั ไมว่ า่ จะเปน็ การคงชวี ติ อยู่ หรอื การอยอู่ ยา่ งทกุ ขท์ รมาน เหมือนขาดชีวิตวิญญาณ เพราะเป็นการอยู่อย่างเป็นทาสของผู้อ่ืน การ “มอดมว้ ย” ของชาตไิ ทยชาวไทย หรอื ความเปน็ ไทน้ี จงึ สง่ ผล ให้ “สกลุ ไทย” ตอ้ งหมดสน้ิ ลง คำ� วา่ “สกลุ ไทย” นมี้ ไิ ดห้ มายถงึ เผา่ พงศว์ งศว์ านของคนไทยเทา่ นนั้ แตย่ งั หมายถงึ ชอื่ เสยี งเกยี รตยิ ศและ อารยธรรมความเจรญิ ทง้ั หลายของชาวไทยทม่ี อิ าจเจรญิ งอกงามและ ดำ� รงอยตู่ อ่ ไปไดห้ ากความเปน็ ชาตพิ นิ าศไปดว้ ยเหตนุ ้ีพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงตง้ั ชอื่ โคลงบทนวี้ า่ “สยามานสุ สต”ิ อนั หมายถงึ การระลกึ ถงึ ประเทศสยามอยทู่ กุ ขณะจติ เพอื่ เปน็ การเตอื น ใหค้ นไทยระลกึ อยเู่ สมอวา่ การดำ� รงอยขู่ องชาตแิ ละการดำ� รงอยขู่ อง เราทกุ คนเปน็ สง่ิ ทแี่ ยกจากกนั ไมไ่ ด้ 338 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 338

ใครรานใครรุกด้าว แดนไทย สยามานุสสติ เนอ้ื หาอนั เปน็ การปลกุ ใจใหร้ กั ชาตดิ งั กลา่ วมานี้ นำ� เสนอผา่ นการ ใชภ้ าษาทไี่ พเราะงดงามและทรงพลงั กวที รงซำ้� คำ� สำ� คญั เพอ่ื ยำ�้ เนน้ ความหมาย คอื คำ� วา่ “เสยี ” “สนิ้ ” และ “อย”ู่ ดงั ทอี่ ธบิ ายขา้ งตน้ นอกจากนนั้ ยงั ทรงเลน่ สมั ผสั พยญั ชนะอยา่ งแพรวพราว เชน่ ราน-รกุ , ดา้ ว-แดน, จน-ใจ, หลงั่ -ไหล, เสยี -สละ-สนิ้ , ชพี -ชอ่ื , กอ้ ง-เกยี รต,ิ ยงั -อย-ู่ ยง้ั -ยนื -ยง, เหมอื น-มอด-มว้ ย-หมด และทรงเสรมิ ความ ไพเราะดว้ ยการใชป้ ระโยคคขู่ นาน “หากสยาม...เรากเ็ หมอื น...” เพอื่ สอื่ ความหมายเปรยี บเทยี บทก่ี นิ ใจ ไดแ้ ก่ หากสยามยงั อยยู่ ง้ั ยนื ยง เรากเ็ หมอื นอยคู่ ง ชพี ดว้ ย หากสยามพนิ าศลง ไทยอยู่ ไดฤ้ ๅ เรากเ็ หมอื นมอดมว้ ย หมดสน้ิ สกลุ ไทย ความหมายอนั ลกึ ซงึ้ หนกั แนน่ และเสยี งอนั ไพเราะของถอ้ ยคำ� ที่ ประกอบกนั ขน้ึ เปน็ โคลงทงั้ ๒ บท ทำ� ใหบ้ ทประพนั ธน์ กี้ ระทบใจผอู้ า่ น และอยใู่ นความทรงจำ� ของคนไทยจำ� นวนมาก ใน พ.ศ. ๒๔๘๒ ผสู้ รา้ ง ภาพยนตรเ์ รอ่ื ง คา่ ยบางระจนั ไดอ้ ญั เชญิ โคลงพระราชนพิ นธ์ ๒ บท ทา้ ยมาประกอบทำ� นองของนารถ ถาวรบตุ ร เพอื่ เปน็ เพลงประกอบ ภาพยนตร์ โดยสลบั เอาบทท่ี ๔ มากอ่ นบทที่ ๓ เพลงสยามานสุ สติ จงึ เปน็ เพลงปลกุ ใจทเี่ ปน็ ทรี่ จู้ กั มากทส่ี ดุ เพลงหนงึ่ ของไทยนบั แตเ่ วลา นนั้ เปน็ ตน้ มา �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 339 339 8/8/2557 BE 3:10 PM

�������������� 5 of 5_140809_CC.indd 340 8/8/2557 BE 3:10 PM

๕๒ เพอ่ื นกิน สนิ้ ทรัพย์แล้ว แหนงหน ี หาง่าย หลายหมื่นมี มากได ้ เพอื่ นตาย ถ่ายแทนช-ี วาอาตม ์ หายาก ฝากผไี ข ้ ยากแทจ้ ักหา �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 341 8/8/2557 BE 3:10 PM

กวีวัจน์วรรณนา 8/8/2557 BE 3:10 PM ท่ีมาของวรรคทอง ประชมุ โคลงโลกนติ ิ ผู้แตง่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร ปี/สมยั ท่แี ตง่ พ.ศ. ๒๓๗๔-๒๓๗๘ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่ หวั ประเภทของวรรณคดี โคลงบทนเี้ ปน็ วรรณคดคี ำ� สอน คอื วรรณคดที มี่ เี นอ้ื หามงุ่ แสดงคติ ปรชั ญาในการดำ� เนนิ ชวี ติ จรยิ ธรรม หรอื ขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องคนใน สงั คมกวอี าจนำ� คำ� สอนมาจากคา่ นยิ มความเชอื่ หลกั ธรรมทางศาสนา หรอื ประสบการณช์ วี ติ รูปแบบค�ำประพนั ธ์ โคลงสส่ี ภุ าพ วัตถุประสงค/์ โอกาสในการแต่ง ใน พ.ศ. ๒๓๗๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระ กรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหบ้ รู ณปฏสิ งั ขรณว์ ดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ท้ังยังมีพระราชประสงค์ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้ของไทยอันมี มาแต่โบราณมาจารึกลงบนแผ่นศิลา เพ่ือสืบทอดภูมิปัญญาไทย และเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและศึกษาได้โดย งา่ ยและเทา่ เทยี มกนั ในการนที้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร (ขณะด�ำรงพระยศ เป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนเดชอดิศร) รวบรวมและช�ำระ โคลงโลกนิติส�ำนวนเก่า แล้วน�ำมาจารึกบนแผ่นศิลาประดับไว้ บริเวณศาลาทิศของพระมณฑป เพ่ือเป็นโอวาทสอนใจประชาชน ดงั โคลงบทแรกทว่ี า่ 342 �������������� 5 of 5_140809_CC.indd 342