Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Description: ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Search

Read the Text Version

รูปที่ ๕.๖ พระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏิมากรจำลอง ๑.๒ พระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏิมากรจำลอง อยุธยา พบในกรพุ ระปรางค์วดั ราชบูรณะ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ครงึ่ แรกของพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ ชว่ งเมืองลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) (ครง่ึ หลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15 ) ศิลา สงู ๑๓.๕ เซนติเมตร พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง ซึ่งอาจจะสร้างขึ้นที่อยุธยา เท่าท่ีพบแล้วมีแค่องค์เดียว พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ เจา้ สามพระยา อันได้แก่พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ศิลา ได้มาจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา พระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๕.๖) ซ่ึงจากพุทธลักษณะเห็นได้ว่าเป็นการจำลองพระพุทธมหามณีรัตน- ปฏมิ ากร ทีอ่ าจจะสลกั ขึ้นในช่วงครึ่งหลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครึ่งแรกครสิ ต์ศตวรรษที่ 15) ๑.๓ พระพุทธมหามณรี ัตนปฏมิ ากรจำลอง สมยั รัตนโกสินทร ์ การจำลองพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรในสมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มข้ึนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันสืบเนื่องมาจากที่พระองค์มีพระราชศรัทธาใน “พระพุทธสิหิงค์” ที่สมเด็จ พระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทได้มาจากเชียงใหม่ ซ่ึงปัจจุบันประดิษฐานท่ีพระท่ีน่ังพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ดูรูปท่ี ๕.๕) ทรงเลื่อมใสพระพุทธปฏิมาองค์น้ีมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้จำลองโดยหล่อขึ้นใหม่ กะไหล่ทอง ขนาดเท่าพระองค์ แล้วถวายพระนามว่า “พระพุทธสิหังค- ปฏิมากร” (รูปท่ี ๕.๗) และอัญเชิญไปเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ท่ีพระองค์ทรงสร้างข้ึนใหม่ (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๔๖) นอกจากนั้นแล้ว ยังโปรดเกล้าฯ ให้หล่อ ขยายขนาดให้ใหญ่ข้ึน เพอื่ ประดิษฐานในซมุ้ จระนำ ที่พระปฐมเจดีย์อีกด้วย (เรือ่ งเดยี วกัน, ๕๕) ในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ (ค.ศ. 1860) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธรูป ประจำพระชนมวาร คอื พระพุทธรปู ประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ อนั เปน็ พระพุทธรปู ประจำวนั พฤหัสบดี ซ่ึงเป็นวันพระบรมราชสมภพ พระพุทธรูปประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่ ๓.๔๗) จำลองจาก “พระพุทธสิหิงค์” ในพระที่น่ังพุทธไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ดูรูปที่ ๕.๕) แต่แตกต่างกันตรงที่พระเมาลีขององค์จำลองราบกว่าของ “พระพุทธสิหิงค์” ในพระทนี่ งั่ พทุ ธไธสวรรย์ และทรงจารึกไวท้ ่ฐี านพระพุทธปฏมิ าว่า รูปท่ี ๕.๗ พระพุทธสหิ งั คปฏมิ ากร พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิราบ ๑๗๗ สร้างปี พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) สัมฤทธ์ิ สงู ๖๖ เซนตเิ มตร วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร

รูปที่ ๕.๘ พระพุทธสหิ งิ คม์ งิ่ มงคลสริ นิ าถ หล่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ.๑๙๖๐) เงิน สูง ๙๑ เซนติเมตร หอพระพทุ ธสิหิงค์ อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดชลบรุ ี รปู ท่ี ๕.๙ พระพุทธธรรมฐิตศิ าสดา สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎพระจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม มีพระบรมราช- สรา้ งในโอกาสที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ์ โองการให้จำลองพระพุทธสิหิงค์ใหญ่ ทรงสถาปนาการไว้ในพระพุทธศาสนา ได้รบั การสถาปนาครบ ๕๐ ป ี หล่อวันศกุ ร์ แรม ๑๑ เดือน ๑๒ ปวี อกนักษัตรโทศก พทุ ธศาสนกาล ๒๔๐๓ พ.ศ. ๒๕๒๗ (ค.ศ. 1984) พรรษา (จุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ๒๕๐๗, ๑๐๒) สัมฤทธิ์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ทา่ พระจันทร ์ อน่งึ นอกจากพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวจะทรงพระราชสมภพในวนั พฤหสั บดีแลว้ ยัง กรุงเทพมหานคร ทรงบรมราชาภเิ ษก และเสด็จสวรรคตในวันพฤหัสบดีอกี ดว้ ย (สุรยิ วุฒิ ๒๕๓๕, ๓๓๙) ในรัชกาลปัจจุบันได้มีการจำลอง “พระพุทธสิหิงค์” จากต้นแบบองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่พระท่ีน่ัง พทุ ไธสวรรย์ พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร ข้ึนหลายครงั้ เชน่ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) ได้ จำลองด้วยโลหะเงิน ขนาดเท่าพระองค์จริง เพ่ือเป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดชลบุรี ถวายพระนามว่า “พระพทุ ธสหิ งิ คม์ ิ่งมงคลสิรนิ าถ” (รูปท่ี ๕.๘) ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ (ค.ศ. 1965) จงั หวดั ระยองได้จำลองขนึ้ เป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัด ถวายพระนามวา่ “พระพุทธองั คีรส ธรรมราชา สิหิงคปฏมิ าบรมโลกนาถ” (ทศพล ๒๕๔๕, ๒๖๒ – ๒๖๓) และในวาระทมี่ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ไดร้ ับการสถาปนาครบ ๕o ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ (ค.ศ.1984) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองหล่อ พระพุทธรูปประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถวายนามว่า “พระพุทธธรรมฐิติศาสดา” (รูปท่ี ๕.๙) ซึ่ง จำลองมาจาก “พระพุทธสิหิงค์” หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลองในพระท่ีน่ังพุทไธสวรรย์ นัน่ เอง ๑๗๘ พระพุทธปฏมิ า อตั ลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

พระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏมิ ากรจำลองท่สี ำคญั องคห์ นึง่ ในรัชกาลปัจจบุ ันไดแ้ ก่ พระพทุ ธรปู เซรามคิ เคลอื บสีเขียว ซง่ึ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงปัน้ (รูปท่ี ๕.๑๐) โดยมีแบบเปน็ พระพุทธรูป แก้วสีเขียว ท่ีมีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (กัลยาณิวัฒนา ๒๕๒๗, ๙๑) ซ่ึงพระพุทธลักษณะขององค์ต้นแบบน่าจะเป็นพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง พระพุทธรูป ๒๐ องคแ์ รกนั้น ทรงปน้ั ดว้ ยพระหตั ถ์จงึ มีขนาดไม่เทา่ กัน ตอ่ มามาทรงใช้แม่พิมพ์ จึงทำใหม้ ีขนาดเทา่ กัน มีหน้าตักกว้างประมาณ ๕ เซนติเมตร ยกเว้นองค์ที่มีขนาดหน้าตัก ๙ เซนติเมตรนั้น ทรงปั้นถวาย สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และพระบาท สมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั อีกท้งั ยงั พระราชทานแดส่ มเด็จพระเจา้ พน่ี างเธอ เจา้ ฟ้ากลั ยาณวิ ฒั นา กรมหลวง นราธิวาสราชนครินทร์ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม และพลตรี ชาติชาย ชุณหะวัน สำหรับของ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัยน้ันเป็นพระพุทธรูปสีขาว ซ่ึงมีเพียงองค์เดียว (เร่ืองเดียวกัน, ๘๙ – ๑๐๐) พระ พุทธรูปฝีพระหัตถ์เหล่านี้ ทรงปั้นระหว่างช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๓ – ๒๕๑๗ (ค.ศ. 1960 – 1974) ทุกองค์มี พระนามและหมายเลขกำกับ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลองฝีพระหัตถ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีความ เรียบง่ายและสงบน่ิง ท่ีสะท้อนให้เห็นพระราชศรัทธาท่ีทรงมีในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง โดยที่ พระองค์เองทรงศึกษาและปฏิบัติธรรม และมีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนนำเอาธรรมะไปปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันอีกด้วย เช่นทรงโปรดให้จัดรายการ “บริหารทางจิต” ของสถานีวิทยุ อ.ส. (ย่อมาจาก พระทีน่ ั่งอมั พรสถาน) พระราชวงั ดสุ ติ ทุกวันอาทิตย์ ตัง้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๑๑ (ค.ศ. 1968) เปน็ ต้นมา โดย อาราธนาสมเด็จพระญาณสังวร เม่ือครั้งดำรงสมณศักด์ิพระสาสนโสภณ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยท่ี พระองค์ทรงตรวจต้นฉบับและพระราชทานพระวินิจฉยั ทุกคร้งั ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหจ้ ดั พมิ พเ์ ร่อื ง “อปัสเสนธรรม ธรรมเหมอื นพนักองิ ” ของพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวโร เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส ท่ีพระองค์ทรงเห็นว่ามีประโยชน์ใน ทางฝึกอบรมจิต เพราะเป็นธรรมะท่ีควรศึกษาและปฏิบัติ ๔ ประการ เพ่ือดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ (ค.ศ. 1970) ทรงให้พระสาสนโสภณเรียบเรียงเร่ือง อวิชชา และเร่ืองสันโดษ และในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ (ค.ศ. 1976) ทรงให้จดั พิมพ์เผยแพร่ เรอื่ ง “พรหมวหิ าร ๔” ของสมเดจ็ พระญาณสงั วรมี พระดำรวิ ่า “พรหมวหิ าร ๔” อนั ไดแ้ ก่ เมตตา กรุณา มทุ ิตา และอเุ บกขา เปน็ คุณธรรมประจำในการ ดำเนนิ ชวี ิตของทกุ คน (สเุ ชาวน์ ๒๕๓๓, ๑๙ – ๓๔) ดังน้นั พระพุทธรูปฝพี ระหัตถจ์ ึง “เป็นประดษิ ฐกรรม ที่แสดงออกถึงความใฝ่พระราชหฤทัยในธรรมและพระราชศรัทธาอันมั่นคงยิ่งในบวรพุทธศาสนาอย่างดีย่ิง” (เรื่องเดยี วกัน, ๔๓) รปู ที่ ๕.๑๐ ก. พระพุทธรปู ฝีพระหัตถ ์ รปู ที่ ๕.๑๐ ข. ใต้ฐานพระพทุ ธรปู ฝพี ระหัตถ ์ สมเดจ็ พระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี สมเดจ็ พระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี (รูปท่ี ๕.๑๐ ก.) พ.ศ. ๒๕๑๓ (ค.ศ. 1970) หมายเลข ๑๐ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธริ าบ ๑๗๙ เซรามคิ หนา้ ตกั กวา้ ง ๖ เซนติเมตร สูง ๘.๕ เซนตเิ มตร สมบัตขิ อง ม.ร.ว. สุนดิ า กิตยิ ากร

นอกจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลองฝีพระหัตถ์แล้ว ในรัชกาลปัจจุบัน ยังมีการจำลอง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรในเคร่ืองทรงสำหรับฤดูร้อน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระราชศรัทธาถวาย และเพอ่ื ทีจ่ ะให้เป็นทแี่ พรห่ ลายจงึ จำลองด้วยแก้วสเี ขยี ว (รูปท่ี ๕.๑๑) และ สร้างข้นึ เปน็ จำนวนมาก ทงั้ ยังมีหลายขนาดใหผ้ ้มู ีจิตศรัทธาเลือกเชา่ ไปบูชาหรือถวายวดั เชน่ คุณภักดพิ ร สุจริตกุล และ ด.ช. สุรบถ หลีกภัย อทุ ิศถวายแด่พระธาตดุ อยสเุ ทพ อำเภอเมอื งฯ จังหวัดเชยี งใหม่ ส่วนพระพทุ ธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง วดั พระแกว้ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั เชียงราย (รปู ที่ ๕.๑๒) สร้างขึ้นโดย สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ร่วมกับคณะสงฆ์ใน ๑๖ จังหวัดภาคเหนือ ในโอกาสท่ีสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเจริญพระชนมายุครบ ๙๐ พรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. 1991) พระพุทธรูปองค์น้ีสลักจากหยกสีเขียวท่ีนำมาจากประเทศ แคนาดา สลกั โดยนายเหยน หวนหยุ้ ชา่ งจากประเทศจนี และได้ทำพิธีพุทธาภเิ ษกในพระอุโบสถวดั พระ ศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายพระนามว่า “พุทธรัตนากร นวุติวัสสานุสรณ์ มงคล” แปลวา่ “พระพทุ ธเจ้าผู้ทรงเป็นอากรแหง่ รัตนะ เปน็ อนสุ รณ์ ๙๐ พรรษา” และยงั ถวายพระนาม ย่อวา่ “พระหยกเชยี งราย” (ทศพล ๒๕๔๕, ๑๔๑) เคร่ืองทรงของพระหยกเชียงรายแตกต่างไปจากเครื่องทรงสำหรับฤดูร้อนของพระพุทธมหามณี- รัตนปฏิมากร ตรงท่ีดัดแปลงให้ดูคล้ายเครื่องทรงของกษัตริย์พม่าและล้านนา เช่นมงกุฎทรงล้านนา กนกข้างฉลองพระศอตวัดขึ้นเหนือพระอังสา พาหุรัด และทองพระกร ทองพระบาททรงกระจังขนาด ใหญ่ รวมถึงเชิงสนับเพลาสองช้ันปลายงอน ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมปัจจุบันท่ีสร้างอัตลักษณ์เชิง วัฒนธรรมให้กบั ล้านนาให้มีลกั ษณะเฉพาะของตนเองข้ึนมาใหม่ รูปที่ ๕.๑๑ พระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏิมากรจำลอง รูปที่ ๕.๑๒ พระพทุ ธรัตนกรนวตุ ิวสั สานสุ รณ์มงคล (พระหยกเชยี งราย) แกว้ สีเขยี ว พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. 1991) วัดพระธาตดุ อยสุเทพวรวหิ าร หยกสเี ขียว หนา้ ตกั กวา้ ง ๔๗.๙ เซนติเมตร อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดเชียงใหม่ สูง ๖๕.๙ เซนตเิ มตร วัดพระแกว้ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั เชียงราย ๑๘๐ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พทุ ธศิลป์ไทย

๒. พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ ๒.๑ พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ สมัยอาณาจักรกมั โพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ที่สร้างขึ้นท่ีกัมโพช ในคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ ในช่วงระยะดังกล่าว มีพุทธลักษณะที่ร่วมกัน คือ มีพระรัศมีเป็นกรวยเรียบ พระพักตร์เหลี่ยม พระวรกายล่ำสนั ครองจวี รห่มดอง ชายจีวรเป็นเหลีย่ มยาวจรดพระนาภี (รูปท่ี ๕.๑๓) พระพุทธปฏิมาทม่ี ลี กั ษณะดงั กลา่ ว มกั จะไดร้ ับการขนานนามว่า พระพุทธรปู สมัยอ่ทู อง หมวดที่ ๑ ตามที่หลวงบรบิ าลบุรภี ัณฑ์ และ เอ.บี. กริสโวลดไ์ ดจ้ ำแนกพระพทุ ธรูปสมัยอู่ทองออกเปน็ ๓ หมวดใหญ่ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ (ค.ศ. 1952) อันได้แก่ หมวดท่ี ๑ พระเกตมุ าลา [พระรัศม]ี ทำเปน็ รปู ฝาชี หรือบางคราวกเ็ ป็น ตอ่ มกลม พระพักตรเ์ หมอื นกับสมยั ทวารวดี... หมวดท่ี ๒ อิทธิพลขอมเป็นที่ประจักษ์ อยู่ท่ีพระพักตร์เป็นส่ีเหล่ียม... มไี รพระศกระหวา่ งเส้น พระเกศ และพระนลาต รัศมเี ปน็ รปู เปลว หมวดที่ ๓ พระพักตรเ์ ป็นรปู ไข่ หรือยาวกว่า [หมวดที่ ๑ และหมวดที่ ๒] เหมือนกับพระพักตร์พระพุทธรูปสุโขทัย มีไรพระศกระหว่างเส้นพระเกศ และ พระนลาตเหมอื นกัน รัศมีเป็นเปลว (บรบิ าลบรุ ีภณั ฑ์ และ เอ.บี. กริสโวลด์ ๒๔๙๕, ๔๐) พระพุทธปฏิมาในลักษณะน้ี พบในบริเวณภาคกลางตอนล่าง แม้เมื่อได้รับเอาคติของคณะมหา วิหาร จากลังกา หรือคณะสีหฬภิกขุ ราวปี พ.ศ. ๑๙๖๗ (ค.ศ. 1424) และฝ่ายอรัญวาสี ได้สร้าง พระพุทธปฏิมาตามแบบพระพุทธปฏิมาจากลังกา อย่างพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้ว มรกต แต่ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมีการสร้างพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิซ่ึง มิได้มีพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาลังการ แต่สืบทอดพุทธลักษณะจากพระพุทธปฏิมาที่ตกทอดมา จากสมัยมอญโบราณ (ดูรูปท่ี ๔.๑๓) โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคเหนือ และสืบทอดกันมาจนถึงสมยั รตั นโกสินทร ์ จากกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 16) จนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ (กลาง คริสต์ศตวรรษท่ี 19) ได้มีการสร้างพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ท่ีมิใช่พระพุทธมหา- มณีรตั นปฏิมากรจำลองเปน็ จำนวนมาก ทัง้ ท่เี ป็นพระประธานในพระอุโบสถ วิหาร และพระบชู าขนาดเลก็ จวบจนเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวเสด็จขึน้ ครองราชย์ และสถาปนาคณะธรรมยุติกนกิ าย ข้ึนมา สยามนิกายจึงกลายเป็นคณะมหานิกาย ท้ังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์อัครศาสนูปถัมภกของคณะธรรมยุติกนิกาย จึงโปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ งพระพทุ ธรปู สำคญั ขึ้นในรปู แบบของพระพทุ ธรูปประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ สืบต่อมา รปู ท่ี ๕.๑๓ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ พบในเจดีย์วัดมหาธาตุ จงั หวดั เพชรบรู ณ ์ กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14) ศลิ า หนา้ ตกั ๕.๕ เซนตเิ มตร สงู ๑๐.๕ เซนตเิ มตร พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ จังหวัดนา่ น พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธริ าบ ๑๘๑

๒.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ สมัยอยธุ ยา (๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) ในปี พ.ศ. ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1351) สมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ ๑ สถาปนาอาณาจกั รอยุธยา โดยรวมรฐั กัมโพช (ลพบุรี) เข้ากับรัฐสยาม (อยุธยา) พระพุทธรูปซ่ึงแต่เดิมเป็นแบบกัมโพช จึงนำมาสร้างขึ้นท่ี อยุธยาสืบตอ่ มา จนพัฒนาข้ึนเป็นรปู แบบของอยุธยาเอง พระพุทธปฏิมาศิลาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ที่วัดประดู่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัด สรุ าษฎร์ธานี (รปู ท่ี ๕.๑๔) แสดงให้เห็นการแต่งกายของชาวสยาม คอื สวมเส้ือทรงแบบผา่ หนา้ คอกลม อย่างท่ีชาวสยามสวมใส่ ดังภาพท่ีสลักไว้บนระเบียงคดของปราสาทนครวัด (รูปท่ี ๕.๑๕) แตกต่างกัน ตรงที่เส้ือทรงของพระพุทธรูปนั้นแขนยาว ส่วนของชาวสยามและชาวเขมรนั้นแขนส้ัน พระพุทธปฏิมา สวมเส้ือทรงปัจจุบันพบเพียงสององค์ อีกองค์หนึ่งเป็นสัมฤทธ์ิในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร (ทะเบียน LB352) ลักษณะของพระเศียรใกล้เคยี งกบั พระพุทธรปู สมัยอูท่ อง หมวดที่ ๓ คือพระพักตร์รูปไข่ มีไรพระศก ระหว่างเส้นพระเกศและพระนลาฏ รัศมีเป็นเปลว (บริบาลบุรีภัณฑ์ และ กริสโวลด์ ๒๔๙๕, ๔๐) รูปที่ ๕.๑๔ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธ ิ พบทว่ี ดั ประดู่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ครง่ึ แรกพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (ครึง่ หลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14) ศลิ า หนา้ ตกั ๑.๒๓ เมตร สงู ๑.๙๖ เมตร วดั ประดู่ อำเภอกาญจนดษิ ฐ์ จังหวัดสุราษฎรธ์ านี รูปท่ี ๕.๑๕ กองทัพสยามเดินสวนสนาม ระเบียงคดดา้ นทศิ ใตป้ ราสาทนครวดั ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 12) ปราสาทหนิ นครวัด ประเทศกมั พชู า ๑๘๒ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ุทธศลิ ป์ไทย

รปู ที่ ๕.๑๖ ก. พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธ ิ ครึง่ หลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (คร่ึงแรกครสิ ต์ศตวรรษท่ี 16) สัมฤทธ์ิ หนา้ ตกั ๓๒ เซนติเมตร สูง ๕๙ เซนติเมตร พระท่นี ง่ั อัมพรสถาน พระราชวังดุสิต รปู ท่ี ๕.๑๖ ข. รปู พระแมธ่ รณีบีบมวยผม (ด้านหลงั รปู ที่ ๕.๑๖ ก.) สัมฤทธิ์ หน้าตกั ๓๒ เซนตเิ มตร สงู ๕๙ เซนตเิ มตร พระทน่ี ่ังอมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ติ รปู ท่ี ๕.๑๗ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธิราบ (๒) ช่วงเมืองลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) ปางสมาธิเรอื นแกว้ ครึ่งแรกของพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ พระพุทธปฏิมาอยุธยาอีกพระองค์หน่ึง ประทับบนฐานหน้ากระดานทรงรูปไข่ (รูปที่ ๕.๑๖ ก.) (ครง่ึ หลงั คริสต์ศตวรรษที่ 16) มีรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมอยู่ทางด้านหลังของฐาน (รูปท่ี ๕.๑๖ ข.) ซึ่งจากลักษณะของการครอง สัมฤทธ์ิ หนา้ ตัก ๑๒ เซนติเมตร พระภูษา และการชักชายผ้า ซึ่งเปรียบเทียบได้กับพระภูษาของเทวนารีสัมฤทธ์ิ จากศาลพระอิศวรท่ี สูง ๒๕ เซนติเมตร กำแพงเพชร (พิรยิ ะ ๒๕๒๐, ๑๗๘ – ๑๗๙) นอกจากนัน้ แลว้ พระพกั ตร์ยังสอบเขา้ ทีพ่ ระหนอุ นั เป็นทนี่ ิยม พระทนี่ งั่ อัมพรสถาน พระราชวงั ดุสิต ในช่วงครึ่งหลังพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึง่ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16) พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิเรือนแก้ว (รูปท่ี ๕.๑๗) อาจจะสร้างข้ึนในช่วง ครง่ึ แรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ (ครึ่งหลังคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16) พระหตั ถ์ทรงรปู ไข่ พระขนงโคง้ บรรจบกนั กลางสนั พระนาสกิ พระเนตรเหลือบลงและชี้ข้ึนตรงปลาย เรอื นแก้วแบง่ เป็นสองตอน ตอนบนมีห้าหยกั ปลายเปน็ ตวั เหงา ตอนล่างเปน็ เศยี รนาค ฐานหนา้ กระดานหกเหลี่ยม พระพุทธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธริ าบ ๑๘๓

(๓) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) ในช่วงคร่ึงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (คร่ึงแรกคริสต์ศตวรรษท่ี 18) ราชอาณาจักรอยุธยานิยม สร้างพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ เช่น พระพุทธโสธร วัดโสธรวราราม อำเภอเมืองฯ จงั หวัดฉะเชิงเทรา (รูปที่ ๕.๑๘) เช่ือกนั วา่ พระพทุ ธโสธร หรอื หลวงพอ่ โสธรองคน์ ้ี แสดงอภนิ หิ ารลอย ตามนำ้ มา เม่ือประมาณปี พ.ศ. ๒๓๑๓ (ค.ศ. 1773) พรอ้ มกบั พระพุทธปฏมิ าอกี ๒ องค์ ไดแ้ ก่หลวงพ่อ บ้านแหลม วัดเพชรสมุทร อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสงคราม (ดูรูปที่ ๘.๘๗) และหลวงพ่อโต วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม (ดูรูปที่ ๕.๑๔๔) พอถึงหน้าวัดโสธรวราราม จึงอัญเชิญข้ึนมาประดิษฐาน ในพระอารามแห่งน้ี (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๒๖๓) พระพุทธโสธรมีพุทธลักษณะเทียบเคียงได้กับ พระประธานในพระอโุ บสถวัดไลย์ อำเภอท่าวงุ้ จงั หวัดลพบุรี (รูปท่ี ๕.๑๙) รูปท่ี ๕.๑๘ “พระพุทธโสธร” ครึง่ หลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (ครงึ่ แรกครสิ ต์ศตวรรษที่ 18) สมั ฤทธิ์ หน้าตักกวา้ ง ๑.๗๕ เมตร สูง ๑.๙๖ เมตร วัดโสธรวราราม อำเภอเมืองฯ จังหวดั ฉะเชงิ เทรา รปู ที่ ๕.๑๙ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ พระประธานวดั ไลย์ ครึ่งหลังพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (ครึ่งแรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18) สมั ฤทธิ์ หนา้ ตักกวา้ ง ๓.๙๐ เมตร สงู ๔.๘๐ เมตร วดั ไลย์ อำเภอทา่ วุ้ง จงั หวดั ลพบุร ี ๑๘๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ป์ไทย

พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิราบ ๑๘๕

ในพระระเบียงวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม มีพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ๒๒ องค์ ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ๑ องค์ และพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครื่องอีก ๑ องค์ ซ่ึงทั้ง ๒๔ องค์น้ีสันนิษฐานว่าได้มาจากพระวิหารราย ๒๖ หลัง ท่ีเรียงสลับกับพระสถูปรอบกำแพง วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา (ศิลปากร ๒๕๑๑, ๓๐) พระพุทธปฏิมาเหล่านี้มีพุทธลักษณะท่ีแปลก คือท่ีข้อพระกรทำคล้ายกับมีผ้าคาดเหนือข้อพระกรทั้งสอง ข้าง และทางเบ้ืองหลังด้านขวา ยังทำเป็นแผ่นทึบคล้ายกับครองจีวรห่มคลุม ท้ัง ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนว่า เปน็ พระพุทธปฏมิ าหม่ ดอง จึงเป็นไปไดว้ า่ แตเ่ ดิมอาจจะมเี คร่ืองทรงปัน้ ด้วยปูนและลงรักปดิ ทองประดบั กระจก นอกจากนั้นก็เปน็ ไปได้วา่ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิเหลา่ นี้คือพระอดตี พทุ ธะ (รูปที่ ๕.๒๐) ส่วนพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ก็น่าจะเป็นพระสมณโคดม ส่วน พระพทุ ธรปู ประทบั ขดั สมาธิราบ ปางสมาธิทรงเคร่อื ง (ดรู ปู ท่ี ๕.๔๖) น้ัน ไดแ้ ก่ พระศรอี ารยิ เมตไตรย หรือพระศรีอาริย์ พระอนาคตพุทธะ (Woodward 1997, 228) พระพุทธปฏิมาเหล่านี้น่าจะสร้างขึ้น พร้อมกันกบั พระวหิ ารราย ในชว่ งปี พ.ศ. ๒๒๘๔ – ๒๒๘๗ (ค.ศ. 1741 – 1744) (พริ ิยะ ๒๕๔๕, ๑๕๓) รปู ที่ ๕.๒๐ พระอดตี พุทธะ ได้จากวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยธุ ยา พ.ศ. ๒๒๘๔ – ๒๒๘๗ (ค.ศ. 1741 - 1744) สัมฤทธิ์ สูง ๑.๖๕ เมตร วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม กรุงเทพมหานคร ๑๘๖ พระพุทธปฏิมา อตั ลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

ในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑ / ค.ศ. 1732 – 1758) นิยม สรา้ งพระประธานของพระอโุ บสถ เปน็ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ เชน่ พระประธาน ของอุโบสถวัดเกาะแก้วสุทธาราม อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี (รูปที่ ๕.๒๑) ซึ่งน่าจะสร้างข้ึนพร้อม กับการเขียนจิตรกรรมฝาผนังในปี พ.ศ. ๒๒๗๗ (ค.ศ. 1734) อันได้แก่ปีท่ีสองในรัชกาลของสมเด็จ พระเจา้ บรมโกศ (น. ณ ปากนำ้ ๒๕๒๙, ๗) พระประธานวดั สระบวั ซงึ่ ประทบั เหนือชกุ ชที ี่ตกแตง่ ด้วย ผ้าทิพย์ กระจังใหญ่น้อย และประดับประดาด้วยกระจกหลากสี (รูปท่ี ๕.๒๒) พระประธานในพระ อุโบสถของวัดโพธาราม ซึ่งต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้บูรณ- ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ท้ังพระอาราม และถวายนามใหม่ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และทรงอัญเชิญ พระประธานองค์ดังกล่าวไปประดิษฐานไว้ในศาลาการเปรียญ (ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน เล่ม ๑, ๒๔๗๒, ๔) และพระสัมพุทธวัฒโนภาส พระประธานองค์เดิมของพระอุโบสถวัดสมอราย ที่ปัจจุบันคือ วดั ราชาธวิ าสวิหาร กรงุ เทพมหานคร (รปู ที่ ๕.๒๓) (ศิลปกรรมวัดราชาธิวาส ๒๕๔๖, ๑๐๕) เปน็ ต้น รูปที่ ๕.๒๑ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธริ าบ รูปที่ ๕.๒๒ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธิราบ รูปที่ ๕.๒๓ พระสมั พทุ ธวฒั โนภาส ปางสมาธิ ปางสมาธิ พระประธานวดั ราชาธวิ าสวหิ าร (สมอราย) พระประธานวดั เกาะแกว้ สุทธาราม พระประธานวัดสระบวั พทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ สร้างปี พ.ศ. ๒๒๗๗ (ค.ศ. 1373) จงั หวดั เพชรบุรี (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 17 – กลาง 18) สัมฤทธิ์ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ สมั ฤทธิ์ วดั เกาะแก้วสทุ ธาราม อำเภอเมืองฯ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18) วัดราชาธิวาสวหิ าร จงั หวดั เพชรบรุ ี สมั ฤทธ์ิ กรุงเทพมหานคร วัดสระบวั อำเภอเมืองฯ จงั หวัดเพชรบุรี พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ๑๘๗

๑๘๘ พระพุทธปฏิมา อตั ลักษณ์พทุ ธศิลป์ไทย

๒.๓ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ สมัยรัตนโกสินทร ์ ค่านิยมของการนำเอาพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ มาเป็นพระประธานของ พระอุโบสถ สืบทอดลงมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ (พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๒ / ค.ศ. 1782 – 1809) ทรงปฏิสงั ขรณ์วดั พระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม และทรงอัญเชญิ พระประธานของวัดศาลาสี่หน้า ธนบุรี (ปัจจุบันคือวัดคูหาสวรรค์) มาเป็นพระประธานของพระอุโบสถ (รปู ที่ ๕.๒๔) ถวายพระนามวา่ “พระพทุ ธเทวปฏิมากร” (ประชุมจารึกวดั พระเชตพุ น เล่ม ๑, ๒๔๗๒, ๓) นอกจากน้ันแล้วพระประธานของพระอุโบสถในพระอารามท่ีพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ เช่นวัดสระเกศ กโ็ ปรดเกลา้ ฯ ให้ป้นั ข้ึนใหม่หมุ้ องคเ์ ดมิ (รปู ท่ี ๕.๒๕) (พฒุ าจารย์ ๒๕๔๙, ๒๒) รปู ที่ ๕.๒๔ พระพุทธเทวปฏมิ ากร รปู ท่ี ๕.๒๕ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธ ิ พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ พระประธานวดั สระเกศ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) สร้างปี พ.ศ. ๒๓๒๕ (ค.ศ. 1782) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กว้าง ๒.๘๓ เมตร สัมฤทธิ์ วัดพระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม วดั สระเกศ กรงุ เทพมหานคร กรุงเทพมหานคร พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธิราบ ๑๘๙

รูปที่ ๕.๒๖ พระพุทธอนันตคณุ อดลุ ยบพิตร สรา้ งปี พ.ศ. ๒๓๖๔ (ค.ศ. 1821) สัมฤทธ์ิ หน้าตกั กว้าง ๓.๑๐ เมตร สงู ๔.๕๐ เมตร วดั ราชโอรสาราม กรงุ เทพมหานคร ในรัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย (พ.ศ. ๒๓๕๒ – ๒๓๖๗ / ค.ศ. 1809 – 1824) พระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงใหส้ ร้างพระประธาน พระอโุ บสถวดั จอมทอง (รปู ที่ ๕.๒๖) ท่ีพระองค์ทรงปฏิสังขรณ์ข้ึนใหม่ และพระบรมชนกนาถพระราชทานพระนามว่า “วัดราชโอรส” พระบาท สมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ถวายพระนามพระพทุ ธรูปองคน์ ีว้ า่ พระพุทธอนันตคณุ อดุลยบพิตร พร้อม กับประดิษฐานพระราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ตรงกลางผ้าทิพย์ของฐานชุกชี (วดั ราชโอรสารามราชวรวหิ าร ๒๕๔๙, ๒๖) ๑๙๐ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔ / ค.ศ. 1824 – 1851) เสด็จขึ้น ครองสิริราชสมบัติแล้วจึงทรงพระราชดำริสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาขึ้น เป็นพระพุทธรูป ประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ (ดรู ปู ท่ี ๓.๓๑) “ทรงสรา้ งมจี ำนวนเทา่ พระชนมพ์ รรษาในขณะนนั้ ” โดยที่ ทรงเททองหล่อพระพุทธรูปประจำพระชนม์พรรษาทุกๆ “ขึ้นค่ำหน่ึงเดือนห้า... ไม่เล่ือนข้ึนเลื่อนลง ไม่มี กำหนดฤกษ์ดีฤกษช์ ว่ั ” (จลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ๒๕๐๗, ๗๘ – ๗๙) เมื่อเสดจ็ สวรรคตแลว้ จงึ มีพระพุทธรปู ประจำพระชนมพรรษา ๖๕ องค์ ในจำนวนน้ี ๒๘ องค์มฉี ัตรกนั้ คือเท่ากับจำนวนปที ีเ่ ถลงิ ถวลั ยราชสมบัติ (สรุ ยิ วุฒิ ๒๕๓๕, ๑๗๐ – ๑๗๒) พระพุทธรูปแบบพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้แก่ พระพุทธรูป ประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ ครองจีวรห่มดอง จีวรลงยาเป็นลายดอก (รปู ที่ ๕.๒๗) ซึ่งการ ครองจีวรแบบห่มดองและเขียนสีลงยาเป็นลายดอกน้ัน สะท้อนให้เห็นค่านิยมของคณะสงฆ์ สยามนกิ ายทส่ี บื ทอดจากสมยั อยธุ ยาไดอ้ ย่างชัดเจน ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. 1830) ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือครั้งทรงพระผนวชเป็นพระวชิรญาณเถระ อยู่ท่ีวัดสมอราย (วัดราชาธิวาสวิหาร) ได้ทรงสถาปนาคณะธรรมยุติกนิกายข้ึน พร้อมกันน้ันก็ได้ทรงหล่อพระสัมพุทธพรรณี (ดูรูปท่ี ๓.๗๖) ให้เป็น พระประธานในพระวิหารวัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพฯ ซ่ึงบรรจุดวงพระชาตา พระสุพรรณบฏั เดิม และพระบรมสารีรกิ ธาตุ ซึง่ ได้เคยแสดงปาฏิหารยิ ์ไว้ดว้ ย รปู ท่ี ๕.๒๗ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ (ตน้ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19) สัมฤทธิ์ ลงยา สงู เฉพาะองค์ ๒๘.๕ เซนติเมตร หอพระสุลาลัยพมิ าน พระบรมมหาราชวงั พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธิราบ ๑๙๑

คร้ันเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั เสด็จขน้ึ ครองราชยแ์ ลว้ (พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑ / ค.ศ. 1851 – 1868) พระองค์ได้สถาปนาวัดโสมนัสวิหารขึ้น เพ่ืออุทิศพระราชกุศลพระราชทานสมเด็จ พระนางเจ้าโสมนสั วฒั นาวดี พระบรมราชเทวี ในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ (ค.ศ. 1853) พระประธานในพระอุโบสถ เปน็ พระพทุ ธรปู ทพี่ ระอริยมุนี (ทบั พทุ ธสิร)ิ หลอ่ ขน้ึ ทีว่ ัดสมอราย ก่อนท่ีจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโสมนสั วหิ าร ต่อมาพระพุทธรูปองค์น้ีจึงมีพระนามว่า “พระพุทธสิริ” (รูปท่ี ๕.๒๘) (ทศพล ๒๕๔๕, ๑๐๘ – ๑๐๙) และ เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาปนาวัดมกุฏกษัตริยารามขึ้นในช่วงปลายรัชกาลของ พระองค์ พระประธานในพระวิหารอนั ได้แก่ พระพุทธวชริ มงกฎุ (ดรู ูปท่ี ๓.๓) มพี ุทธลักษณะเชน่ เดียวกนั กบั พระพุทธสิริ ในช่วงปลายรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงหล่อพระพุทธอังคีรส (รูปท่ี ๕.๒๙) ข้ึนเพอื่ นำไปประดิษฐานไวท้ ี่พระปฐมเจดีย์ นครปฐม แตเ่ สดจ็ สวรรคตเสียกอ่ น จนเมอ่ื พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลของ พระองค์ในปี พ.ศ. ๒๔๑๒ (ค.ศ. 1869) จึงอัญเชิญพระพุทธอังคีรสมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ (ศลิ ปากร ๒๕๓๑, ๑๔) รูปที่ ๕.๒๘ พระพทุ ธสิร ิ สรา้ งปพี .ศ. ๒๓๙๙ (ค.ศ. 1856) สัมฤทธิ์ หน้าตักกวา้ ง ๖๒ เซนติเมตร พระอุโบสถวัดโสมนัสวหิ าร กรุงเทพมหานคร รปู ท่ี ๕.๒๙ พระพทุ ธองั คีรส สร้างปี พ.ศ. ๒๔๑๕ (ค.ศ. 1872) สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง หน้าตักกวา้ ง ๑.๑๒ เมตร วดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม กรงุ เทพมหานคร ๑๙๒ พระพุทธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พทุ ธศิลป์ไทย

เพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระบรมชนกาธิราช ซึ่งเคยจำพรรษาอยู่ท่ีวัดราชาธิวาส วิหาร เมอ่ื คร้ังยังเป็นวัดสมอราย พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัวจึงมีพระราชดำรวิ ่า พระสัมพุทธพรรณเี ปนพระซึง่ ทลู กระหม่อมทรงสรา้ งข้นึ ในวดั ราชาธวิ าส ประจุ พระสุพรรณบัตร และดวงพระชันษา เปนพระที่สมควรจะอยู่ในวัดนี้ แต่องค์ เดิมที่จะเชิญกลับออกมาไม่ได้เปนอันขาด จึงเห็นควรจะหล่อจำลองขึ้นใหม่ (พระราชหตั ถเลขา ๒๕๑๔, ๑๙๖ - ๑๙๗) จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ ประดษิ ฐวรการออกแบบปั้น (รูปท่ี ๕.๓๐) โดยถา่ ย แบบจากพระสัมพุทธพรรณีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ดูรูปที่ ๓.๗๖) และโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระศกพระสัมพุทธพรรณีจำลอง แต่พระองค์เสด็จสวรรคตก่อนท่ีจะ ประดิษฐานพระพุทธรปู ในพระอโุ บสถ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจงึ อญั เชญิ พระสมั พุทธพรรณี จำลองไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร ตามพระราชประสงค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ (ค.ศ. 1919) พร้อมกับบรรจุพระราชสรีรางคารสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนี พระพันปีหลวง ใต้พุทธ บลั ลงั ก์อีกด้วย รปู ท่ี ๕.๓๐ พระสัมพทุ ธพรรณีจำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. 1909) สัมฤทธิก์ ะไหลท่ อง หนา้ ตักกว้าง ๔๐ เซนตเิ มตร สงู ๕๔ เซนติเมตร วัดราชาธวิ าสวหิ าร กรงุ เทพมหานคร พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ๑๙๓

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓ / ค.ศ. 1868 – 1910) เจ้าพระยารัตนบดินทร์ (บุญรอด กัลยาณมิตร) สร้างพระวิหารใหม่ถวายหลวงพ่อโต วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ซ่ึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺ รํส)ี วัดระฆงั โฆสติ าราม ไดท้ รงสรา้ ง ไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เม่ือกระทุ้งรากพระวิหาร ความกระเทือนส่งให้ พระพุทธรูปพังลงมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระโตข้ึนใหม่ (รปู ท่ี ๕.๓๑) โดยครองจวี รและพาดสังฆาฏิตามแบบพระภกิ ษุในคณะธรรมยุติกนกิ าย เสรจ็ สมบรู ณใ์ นปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) (ศิลปากร ๒๕๒๕ ก, ๘๘ – ๘๙) รูปที่ ๕.๓๑ “หลวงพอ่ โต” สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) ก่ออิฐถือปนู หน้าตัก ๑๖.๑๔ เมตร วัดไชโยวรวหิ าร อำเภอไชโย จงั หวัดอา่ งทอง ๑๙๔ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย

เมื่อเสด็จข้ึนครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาข้ึนตามขัตติยราชประเพณี พระพุทธรปู ๓๐ องค์ ซ่ึงไม่มีฉัตรก้ัน ถกู สรา้ งขึ้นเป็นจำนวนเทา่ กับปีพระชนมพรรษาเมอ่ื ยงั มไิ ดเ้ สด็จข้นึ ครองราชย์ และเม่ือเสด็จขึ้นเสวยราชย์แล้วจึงสร้างเพิ่มข้ึนอีกเป็นประจำทุกๆ ปี โดยมีฉัตรกั้นเป็นองค์ ประกอบเพิ่มเติมขึ้นมา จนกระทั่งเสด็จสวรรคตในอีก ๑๕ ปีต่อมา พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ (ดูรูปท่ี ๓.๓๔) ครองจีวรห่มคลุมแบบพระภิกษุในธรรมยุติกนิกายเมื่อออกนอกพระอาราม กล่าวคือการนำผ้า สังฆาฏิคลี่ออกเป็นผืนแล้ววางซ้อนทับกับอุตราสงค์หรือจีวร จากน้ันจึงครองผ้าข้ึนห่มคลุมพร้อมกันท้ัง สองผืน ร้ิวผ้าทำเป็นริ้วตามธรรมชาติ แต่พระเศียร พระเมาลี เม็ดพระศก และพระรัศมีทำตามแบบ พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ประทับเหนือฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีผ้าทิพย์ทอดตรงด้านหน้าประดับด้วยวัชระ ในกรอบทรงพมุ่ ขา้ วบิณฑ ์ กระแสจากวัฒนธรรมตะวันตกท่ีเน้นความเป็นธรรมชาติ และความเหมือนจริง รวมทั้งฝีมือช่าง ชาวอิตาเลียน สง่ ผลให้พระประธานในพระวหิ าร หรอื ศาลาสมเดจ็ พระอัยยิกา วดั ราชาธิวาสวิหาร (รูปที่ ๕.๓๒) ท่พี ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๔๕๓ – ๒๔๖๘ / ค.ศ. 1910 – 1925) โปรด เกล้าฯ ให้สร้างเป็นอนุสรณ์ถวายแด่สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทร์มาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม ในรัชกาลท่ี ๔) พระราชอัยยิกา มีพุทธลักษณะท่ีแตกต่างไปจากพระพุทธรูปที่เคยมีมาแต่อดีต ทั้งนี้ เพราะว่าพระพุทธรูปมิได้เป็นพระปฏิมาจำลอง หรือรูปเลียนแบบอีกต่อไป แต่เป็นพระพุทธรูปซึ่งช่าง จนิ ตนาการข้ึนมาตามความต้องการของผวู้ า่ จ้าง ซึง่ ต้องการพระพุทธรูปแบบคนั ธารราษฎร์ ของอินเดีย แต่คงไว้ซ่ึงความเป็นมนุษย์ ครองจีวรห่มดองทาบชายด้านหลังแบบพระภิกษุคณะมหานิกาย (พระมหา สมณวนิ จิ ฉัย ๒๕๑๔, ๑๐๓) รปู ที่ ๕.๓๒ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ สรา้ งระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๕๓ – ๒๔๖๘ (ค.ศ. 1910 – 1925) ศาลาสมเด็จพระอยั ยิกา วดั ราชาธวิ าสวิหาร กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ๑๙๕

แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงมี “พระราชจริยาวัตรแบบผู้ดีอังกฤษ” (ประยุทธ ๒๕๑๕, ๓๓๗) เพราะไดท้ รงศึกษาเลา่ เรยี นอยู่ในประเทศน้นั นานถึง ๑๐ ปี แตก่ ็ทรงหว่ งใยใน อนาคตของศิลปะและงานช่างของไทย อนั เห็นไดจ้ ากทพ่ี ระองคท์ รงกอ่ ตั้งโรงเรียนเพาะชา่ งขนึ้ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ (ค.ศ. 1914) และเสด็จฯ ไปทรงเปิดงานการแสดงนิทรรศการฝีมือของนักเรียนเป็นประจำทุกปี จนส้ินรัชกาล (Vella 1978, 232 – 233) นอกจากน้นั แลว้ ยงั ทรงพระราชนิพนธย์ กย่องงานช่างไทย เปน็ กำลังใจให้แก่ชา่ งว่า อันชาตใิ ดไรช้ า่ งชำนาญศิลป ์ เหมอื นนารนิ ไรโ้ ฉมบรรโลมสง่า ใคร ๆ เห็นไมเ่ ปน็ ทจ่ี ำเริญตา เขาจะพากนั เย้ยให้อบั อาย... กรุงไทยศรีวไิ ลทันเพอ่ื นบ้าน จงึ มชี า่ งชำนาญวิเลขา ทัง้ ช่างป้ันช่างเขยี นเพียรวิชา อีกชา่ งสถาปนาถูกทำนอง... ควรไทยเราชว่ ยบำรุงวิชาชา่ ง เคร่อื งสำอางแบบไทยสโมสร ช่วยบำรงุ ช่างไทยให้ถาวร อยา่ ใหห้ ยอ่ นกว่าเขาเราจะอาย (มหาวชริ าวุธ ๒๔๖๘, ๕๖ – ๕๗) ดังนั้นเม่ือพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธนิรโรคันตราย (ดูรูปท่ี ๓.๙๘) จึงมีพุทธลักษณะ เป็นพระพทุ ธรปู แบบสโุ ขทัยประยุกต์ ซึ่งสอดคล้องกบั พระราโชบายชาตนิ ยิ มของพระองค ์ ในรัชกาลปัจจุบันได้มีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ข้ึนเป็นจำนวนมาก สำหรับพระพุทธรูป ประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ มีตัวอย่างคือพระพุทธธรรมกายมงคล ปยุรเกศานนท์สุพพิธาน วัดพุทธาธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา (รูปท่ี ๕.๓๓) ซึ่งคณะผู้จัดสร้างนำโดย สมเด็จพระมหา รชั มงั คลาจารย์ (ชว่ ง วรปุญโญ) เจา้ อาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษเี จรญิ กรุงเทพมหานคร นิยามปางสมาธิ ว่า “ปางพระธรรมกาย” พระพทุ ธรูปสมั ฤทธิอ์ งค์นี้ หลอ่ ขึ้นทเี่ มืองนานกิง สาธารณรัฐประชาชนจีนโดย บริษัท ไชน่า แอสโตรนอติค ไซเอินซ์ แอนด์ เทคโนโลยี คอปอเรชั่น (China Astronautic Science and Technology Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทท่ีเคยสร้างพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ท่ีเกาะลันเตา เมอื งฮ่องกงมาแล้ว และยังมเี ทคโนโลยที นั สมยั เพราะเป็นบริษัทสร้างจรวดสำหรับสง่ ดาวเทยี ม ดังนนั้ พระพุทธรูปองค์น้ีจึงมีความแข็งแรงมั่นคงสามารถรับแรงส่ันสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ถึง ๗ ริกเตอร์ (สมโภช ๒๕๔๓, ๒๙ – ๓๐) รปู ที่ ๕.๓๓ พระพทุ ธธรรมกายมงคล ปยุรเกศานนท์ สุพพิธาน สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๓๖ – ๒๕๓๗ (ค.ศ. 1993 - 1994) สัมฤทธ์ิ หนา้ ตกั กว้าง ๙.๙ เมตร สูง ๑๔.๓๙ เมตร วดั พุทธาธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ๑๙๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิราบ ๑๙๗

รปู ท่ี ๕.๓๔ พระสมณโคดมนาคปรก ๒.๔ พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ สมัยล้านนา กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14) สมั ฤทธิ์ (๑) ช่วงก่อตั้งอาณาจกั รลา้ นนา พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355) วดั พระธาตศุ รีจอมทอง อำเภอจอมทอง จงั หวัดเชียงใหม ่ ในช่วงระยะเวลาน้ี คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะส่งอิทธิพลให้กับอาณาจักรล้านนา สืบต่อเน่ืองมาจาก สมัยมอญหริภุญไชย พระพุทธปฏิมาท่ีสร้างขึ้นในสมัยน้ีมีพุทธลักษณะเดียวกันกับที่สร้างข้ึนในรัฐกัมโพช และรัฐสยาม เช่นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ครองจีวรห่มคลุม นาคปรก ท่ีวัด พระธาตศุ รจี อมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (รปู ที่ ๕.๓๔) ยกเว้นแต่นาคซ่งึ เปน็ ส่วนท่เี พิม่ ขน้ึ ทหี ลัง นอกจากพระพทุ ธปฏิมาแล้ว พระพมิ พท์ พ่ี บท่เี วียงทา่ กาน อำเภอสารภี จงั หวัดเชยี งใหม่ ยังเป็น พิมพ์เดียวกันกับที่พบในกรพุ ระปรางค์วดั ราชบูรณะ พระนครศรอี ยุธยา สพุ รรณบุรี และราชบุรี อีกดว้ ย (Krairiksh 1985, 10) (๒) ช่วงอาณาจักรล้านนา - ยุครุง่ เรอื ง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) พระพุทธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิท่ีสร้างข้ึนในล้านนานั้นมจี ำนวนน้อยมาก เมอ่ื เทยี บ กับจำนวนของพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย และจากรูปแบบแล้วเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ สรา้ งขน้ึ ในช่วงรัชสมยั พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ / ค.ศ. 1487 – 1495) ทงั้ นเ้ี พราะใน รัชสมยั ของพระองคม์ คี วามสัมพันธก์ ับเพื่อนบา้ นใกลเ้ คยี ง และเป็นยคุ สมัยที่มีการสรา้ งพระพุทธปฏมิ าที่ มีความหลากหลายมากกว่ารัชกาลอื่นๆ พระพุทธปฏิมาท่ีอาจจะสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราช ได้แก่พระพุทธปฏิมาในวิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปท่ี ๕.๓๕) ซ่ึงท้ังพุทธลักษณะและรูปแบบของฐานบัวหงาย เทียบเคียง ได้กับพระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระธาตุหริภุญไชย ลำพูน (ดูรูปท่ี ๕.๕๙) ซ่ึงมีจารึก เทยี บเทา่ ปี พ.ศ. ๒๐๓๒ (ค.ศ. 1489) (Griswold 1957, 82, Pl. XV) ส่วนพระพุทธปฏิมาท่ีมีชายจีวรพับทบกันยาวจรดพระนาภี (รูปท่ี ๕.๓๖) ซ่ึงน่าจะจำลองแบบมา จากพระพุทธปฏิมาทเ่ี มอื งสวรรคโลกเก่า (อทุ ยานประวตั ิศาสตร์ ศรสี ชั นาลยั ) (ดรู ปู ที่ ๕.๔๐) เช่นกัน รปู ที่ ๕.๓๕ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ รูปท่ี ๕.๓๖ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – ตน้ ๒๑ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – ต้น ๒๑ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15) (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) สัมฤทธิ์ สูง ๗๘ เซนตเิ มตร สมั ฤทธิ์ สงู ๕๑.๕ เซนติเมตร วดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม พระที่นงั่ อมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ิต กรุงเทพมหานคร ๑๙๘ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศิลปไ์ ทย

รูปที่ ๕.๓๗ พระแสง ๒.๕ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ สมยั ล้านชา้ ง ครงึ่ หลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (คร่ึงแรกคริสต์ศตวรรษีที่ 16) (๑) ชว่ งอาณาจกั รล้านชา้ ง พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กวา้ ง ๑.๒๓ เมตร วดั ศรเี ทพประดิษฐาราม อำเภอเมืองฯ เช่นเดียวกันกับกรณีของล้านนา พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ท่ีสร้างข้ึนใน จังหวดั นครพนม ดินแดนด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำโขง ต้ังแต่บริเวณจังหวัดเชียงราย จนถึงจังหวัดอุบลราชธานีใน ปัจจุบัน ซ่ึงก่อนสมัยรัตนโกสินทร์เคยเป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรล้านช้าง มีจำนวนน้อยกว่าพระพุทธ- ปฏมิ าประทับขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ยั มาก รปู ท่ี ๕.๓๘ พระพทุ ธรปู พระราชเชฏฐา พระพทุ ธปฏิมาทอ่ี าจจะสรา้ งข้ึนในช่วงครง่ึ หลังพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (คร่ึงแรกคริสต์ศตวรรษท่ี 16) จารกึ ปี พ.ศ. ๒๓๖๙ (ค.ศ. 1826) นา่ จะไดแ้ ก่ พระแสง วดั ศรเี ทพประดิษฐาราม อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครพนม (รูปท่ี ๕.๓๗) พระพุทธรปู สัมฤทธ์ิ สูง ๓๖.๕ เซนติเมตร องค์น้ีมีพุทธลักษณะของพระพุทธรูปล้านช้าง เช่น พระรัศมีเป็นเปลวสูง ประดับแก้ว หรืออัญมณี พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ อุบลราชธาน ี พระศกเป็นก้นหอยแบบหนามขนุน คล้ายกับพระพุทธรูปอยุธยา พระขนงโก่งยกขอบสูง พระนาสิกโด่ง ชายจีวรทำเป็นแถบยาวจรดพระนาภี พระพุทธรูปองค์นี้เทียบได้กับพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในรัชกาล พระเจา้ ไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. ๒๐๙๓ – ๒๑๑๕ / ค.ศ. 1550 – 1572) เชน่ พระเจา้ องคต์ ือ้ วัดศรชี มภอู งค์ตือ้ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย (ดูรูปที่ ๕.๑๑๐) ซ่ึงมีจารึกเทียบได้กับปี พ.ศ. ๒๑๐๕ (ค.ศ. 1562) (สงวน รอดบญุ ๒๕๔๕, ๘๕) (๒) ชว่ งประเทศราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๓๓๒ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1789 – 1893) ในสมัยสมเดจ็ พระราชเชษฐา หรอื เจา้ อนวุ งศ์ ปกครองรัฐเวยี งจนั ท์ (พ.ศ. ๒๓๔๕ - ๒๓๗๑ / ค.ศ. 1802 – 1828) ไดม้ กี ารฟ้นื ฟพู ทุ ธศาสนา ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากจำนวนของวัด และพระพุทธปฏมิ าทีส่ รา้ ง ข้นึ ในรัชกาลของพระองค์ (เร่อื งเดียวกัน, ๑๐๒ - ๑๐๔) ทสี่ ำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาที่พระองค์ให้หลอ่ ขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ (ค.ศ. 1826) (รูปที่ ๕.๓๘) (ศลิ ปากร ๒๕๓๒, ๒๑๑) ทแี่ สดงใหเ้ ห็นเอกลกั ษณ์ของ ฐานพระพุทธปฏิมาล้านช้าง ที่มุมของลวดบัวงอนขึ้น พระพุทธปฏิมาอีกองค์หนึ่งซ่ึงน่าจะสร้างขึ้นใน รชั กาลเดยี วกนั แสดงให้เหน็ อิทธพิ ลจาก พระพุทธรูปรัตนโกสนิ ทร์รว่ มสมัย (รูปที่ ๕.๓๙) รปู ท่ี ๕.๓๙ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ จากวัดพระเหลาเทพนิมติ ร อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ (ต้นคริสต์ศตวรรษที ่ี 19) สมั ฤทธิ์ สงู ๔๖.๕ เซนตเิ มตร พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธาน ี พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ๑๙๙

หมวด ข. ปางสมาธิ นาคปรก เมื่อครั้งลัทธิวัชรยานของกัมพูชาเฟ่ืองฟูในระหว่างต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ต้น ๑๙ (กลางคริสต์ ศตวรรษท่ี 10 - กลาง 13) น้นั พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก เป็นทนี่ ิยมแพร่ หลาย เพราะเป็นบคุ ลาธษิ ฐานของพระวัชรสตั ว์พทุ ธะ หรือพระปฐมพุทธเจ้า (ดูรูปที่ ๔.๑๘) โดยเฉพาะใน รัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๕๗? / ค.ศ. 1181 - 1214?) ซ่ึงแสดงภาพเป็น พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรกทรงเคร่ือง แต่เมื่อลัทธิวัชรยานของกัมพูชาส้ิน สลายลง พรอ้ มกบั อานุภาพของราชอาณาจักร การสรา้ งพระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ นาคปรกทรงเคร่อื ง จงึ สน้ิ สดุ ลง ๓. พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก ๓.๑ พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก สมยั อยุธยา ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก กลับมาฟ้ืนฟูอีกครั้งหน่ึงในอาณาจักร อยุธยา สมัยวงราชธานี แต่พระพุทธปฏิมาก็มิได้ทรงสวมอุณหิส หรือตกแต่งทรงเครื่องด้วยอาภรณ์ใดๆ เพราะเป็นพระสมณโคดมประทบั บนขนดของพระยานาคมจุ ลินท์ เชน่ พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิราบ นาคปรก ปูนปั้นในซุ้มคูหาด้านทิศเหนือของวิหารยอดสถูป วัดเจดีย์เจ็ดแถว อุทยานประวัติศาสตร์ ศรีสัชนาลัย (รูปที่ ๕.๔๐) พระพุทธปฏิมาองค์นี้ประทับเหนือขนดนาคเจ็ดช้ัน เรียวลดหลั่นกันจากตอน บนถึงตอนล่าง นาคมีเก้าเศยี ร เปน็ ที่นา่ เสยี ดายว่าเศียรพระพุทธปฏมิ าเดมิ ถูกโจรกรรมไป แตพ่ ระเศยี ร ใหม่ถอดพิมพ์จากแม่พิมพ์ของเศียรเดิมท่ีกรมศิลปากรถอดพิมพ์เก็บไว้ จึงเหมือนของเดิมทุกประการ กำหนดอายุเวลาจากสถาปัตยกรรมของวิหารหลังน้ีว่าน่าจะสร้างข้ึนในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลาง คริสต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) (พริ ยิ ะ ๒๕๔๕, ๖๓ – ๗๐) รปู ที่ ๕.๔๐ พระสมณโคดมนาคปรก พุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) ปูนปัน้ วดั เจดยี ์เจด็ แถว อุทยานประวัติศาสตร์ ศรสี ัชนาลัย จังหวดั สุโขทยั ๒๐๐ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย

๓.๒ พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก สมยั รัตนโกสนิ ทร ์ พระประธานในพระอุโบสถวัดศรีคุณเมือง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย (รูปที่ ๕.๔๑) เป็น พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิราบ นาคปรก ซึง่ จากพทุ ธลักษณะเห็นไดว้ า่ เปน็ การผสมผสานระหว่างรปู แบบของพระพทุ ธปฏิมาสมยั รตั นโกสนิ ทรก์ บั คา่ นิยมของทอ้ งถ่ิน เช่น ปลายนวิ้ พระหัตถ์ยกขึ้น เช่นเดยี ว กับการสร้างพระพุทธปฏิมานาคปรกที่นำเอาความเชื่อเร่ืองพญานาคในลุ่มแม่น้ำโขงเข้ามาเป็นองค์ ประกอบสำคญั ของพระพทุ ธปฏมิ า ส่วนพระพุทธปฏิมานาคปรกไม้ (รูปท่ี ๕.๔๒) ลงรกั ปดิ ทอง ประดบั กระจก อาจจะสร้างข้นึ ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อย่หู ัว รปู ท่ี ๕.๔๑ พระสมณโคดมนาคปรก รปู ที่ ๕.๔๒ พระสมณโคดมนาคปรก กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๔ พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ (ต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 19) (ตน้ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19) กอ่ อิฐถอื ปนู หนา้ ตกั กวา้ ง ๑.๒๗ เมตร ไมแ้ กะสลักลงรกั ปิดทอง วดั ศรีคุณเมอื ง สูง ๙ เซนติเมตร อำเภอเชียงคาน จังหวดั เลย พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธริ าบ ๒๐๑

หมวด ค. ปางสมาธิ ทรงเครอื่ ง ในช่วงที่ลัทธิวัชรยานของกัมพูชา เป็นศาสนาหลักของราชอาณาจักร คือรัชสมัยของพระเจ้า ชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ - ๑๗๕๗? / ค.ศ. 1181 - 1214?) ได้มีการสร้าง พระไภษัชยคุรุไวฑูรย ประภาขึน้ เป็นจำนวนมาก พระไภษชั ยครุ ไุ วฑรู ยประภา คอื พระพทุ ธเจ้าทล่ี ทั ธิมหายานสร้างขึน้ เพือ่ รักษา โรคภัยไข้เจ็บ (Birnbaum 1979) ประดิษฐาน เป็นพระประธานในอโรคยศาล ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น ท่ัวพระราชอาณาจักร ซ่ึงหลังจากพระองค์เสดจ็ ข้ึนครองราชย์ได้ห้าปี ทรงสร้างอโรคยศาลขึ้นถึง ๑๐๒ แห่ง (พิริยะ ๒๕๔๔, ๑๑๗ - ๑๒๐) พระไภษัชยคุรุ มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเคร่อื ง นาคปรก เหมือนกับพระวัชรสัตว์พุทธะ (ดรู ูปที่ ๔.๑๘) ทกุ ประการ ยกเวน้ แตท่ รง ครองจวี รห่มดอง ชายจีวรพบั ทบลงเหนือพระอังสาซ้าย และทรงถือหมอ้ น้ำมนต์ ทมี่ ีฝาหวั เม็ดทรงมณั ฑ์ ในพระหตั ถข์ วา ซง่ึ พระพุทธมหาธรรมราชา วดั ไตรภูมิ อำเภอเมืองฯ จงั หวัดเพชรบูรณ์ (รปู ที่ ๕.๔๓) มี พุทธลักษณะที่สอดคล้องกับพระไภษัชยคุรุ ทุกประการ ยกเว้นแต่ขนดและพังพานของพญานาคที่ได้ สญู หายไป การสร้างรูปพระไภษัชยคุรุ ส้ินสุดลงพร้อมกับการล่มสลายของลัทธิวัชรยานของกัมพูชาในช่วง ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13) นกิ ายเถรวาทคณะมหาวิหาร จากลงั กา ทเี่ ข้ามา แพร่หลายในช่วงกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (ต้นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 14) เน้นการสกั การบูชา พระสมณโคดม จึงไม่มกี ารสรา้ งพระพุทธะองค์อน่ื ๆ อีกต่อไป ยกเว้นพระศรีอารยิ เมตไตรย หรือพระศรอี ารยิ ์ ซงึ่ เปน็ พระอนาคตพุทธเจ้า ขณะน้ีพระองค์คือพระโพธิสัตว์ท่ีกำลังบำเพ็ญสมาธิประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต คมั ภรี จ์ ลุ วงศ์ ของลังกากล่าวถึงพระเจา้ ธาตเุ สน (พ.ศ. ๑๐๐๐ – ๑๐๑๖ / ค.ศ. 457 – 473) วา่ พระองค์ โปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างเคร่อื งประดับพระพุทธปฏิมา และเครื่องทรงอยา่ งพระราชาธบิ ดีถวายแด่องคพ์ ระ เมตไตรย ดังน้ันพระศรีอาริยเมตไตรย จึงสร้างเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพระจักรพรรดิราช ประทบั ขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ รปู ที่ ๕.๔๓ พระพทุ ธมหาธรรมราชา (พระไภษชั ยครุ ุไวฑรู ยประภา) กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 12 – ต้น 13) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กว้าง ๓๓ เซนตเิ มตร สูง ๕๖ เซนติเมตร วัดไตรภมู ิ อำเภอเมอื งฯ จังหวดั เพชรบรู ณ ์ ๓๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ุทธศิลป์ไทย

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิราบ ๒๐๓

๔. พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ ทรงเครอื่ ง ๔.๑ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ ทรงเครือ่ ง สมัยอยธุ ยา (๑) ชว่ งเมอื งลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) พระศรอี ารย์ ไดแ้ ก่ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ ครองจวี รหม่ ดอง ทรงเครอ่ื ง ท้ังน้ีเพราะปัจจุบันพระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญสมาธิอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต (Listopad 1995, 418) ซึ่งสอดคลอ้ งกบั ความปรารถนาของผ้ทู สี่ รา้ ง ดงั ท่ปี รากฏบ่อยครงั้ ในจารึก ทีข่ อไปเกิดใหม่ เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยอุบัติข้ึน ให้ได้สดับธรรมเทศนาของพระองค์ และบรรลุนิพพานพร้อมกับ พระองค์ พระพุทธปฏิมาสวมอุณหิส พระเมาลีทรงเจดีย์สูง ครองจีวรห่มดอง ทรงกรองศอ ทับทรวง พาหุรัด และทองพระกร (รูปท่ี ๕.๔๔) ประทับบนฐานหน้ากระดานทรงรูปไข่ รองรับด้วยฐานเขียง กำหนดอายุได้จากการเปรียบเทียบกับอุณหิส และอาภรณ์ของพระพุทธรูปยืนทรงเคร่ืองปางประทานอภัย พบในพระอุระและพระพาหาเบ้อื งซา้ ยของพระมงคลบพิตร (ณัฏฐภัทร ๒๕๔๙, ๖ – ๓๓) อยู่ในชว่ งกลาง พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (คร่ึงแรกของคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16) เชน่ กนั อน่ึงพระพทุ ธรูปในลกั ษณะเดยี วกันน้ยี ัง พบท่ีเมืองมโรกอู (Mrauk – U) เมืองหลวงของรัฐยะไข่ (Arakan) (Gutman 2001, 150 – 152) จึงเป็นไปได้ว่า พวกพม่าคงจะเอาไปเม่ือครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ (ค.ศ. 1569) และเม่ือพวกยะไขต่ ีกรงุ หงสาวดีไดใ้ นปี พ.ศ. ๒๑๓๘ (ค.ศ. 1595) จึงนำไปไวท้ ่ีราชธานีของตน รปู ท่ี ๕.๔๔ พระศรอี ารยิ เมตไตรย กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (คร่ึงแรกครสิ ต์ศตวรรษที่ 16) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตักกว้าง ๑๒ เซนตมิ เตร สูง ๒๘.๕ เซนติเมตร พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี ๒๐๔ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย

รูปท่ี ๕.๔๕ พระศรีอาริยเมตไตรย (๒) ชว่ งวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) (พบที่เมอื งเกา่ จังหวัดสโุ ขทัย) กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ – กลาง ๒๓ รูปพระศรีอาริยเมตไตรยที่อาจจะสร้างข้ึนในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – กลาง ๒๓ (คริสต์ (คริสตศ์ ตวรรษท่ี 17) ศตวรรษที่ 17) ได้แก่ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ไม่ครองจีวรแต่ฉลองพระองค์ สัมฤทธ์ิ หน้าตกั กวา้ ง ๑ เมตร อยา่ งพระมหากษตั รยิ ์ ทรงสวมศริ าภรณ์ กรองศอ ทับทรวง พาหุรดั ทองพระกร ทองพระบาท พบท่ี สงู ๑.๕๓ เมตร เมอื งเกา่ จังหวัดสุโขทัย (รูปท่ี ๕.๔๕) ถงึ แมว้ ่ารายละเอียดของศิราภรณ์ จะเทยี บเคียงไดก้ บั อุณหิสของ พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ รามคำแหง พระพุทธปฏมิ ายืน ทรงเครอ่ื งน้อย มีจารึกปี พ.ศ. ๒๐๘๔ (ค.ศ. 1541) (ดูรปู ท่ี ๘.๗๕) แต่ลวดลายของ จงั หวดั สโุ ขทัย ลูกฟักทีป่ ระดับกรองศอและรัดพระองค์ แสดงให้เหน็ อทิ ธพิ ลของศิลปะอสิ ลาม ซ่ึงน่าจะนำเขา้ มาในชว่ ง กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – กลาง ๒๓ (คริสต์ศตวรรษท่ี 17) (Listopad 1995, 420) พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ สวมอุณหสิ ไดม้ าจากพระวิหารราย รอบพระเจดีย์ ใหญ่สามองคใ์ นวัดพระศรสี รรเพชญ์ พระนครศรอี ยธุ ยา (รูปท่ี ๕.๔๖) น่าจะไดแ้ กพ่ ระศรีอาริยเมตไตรย พระพุทธรูปองค์นเ้ี ปน็ หนง่ึ ในจำนวน ๒๔ องค์ ท่ีแต่เดมิ ประดษิ ฐานในพระวหิ ารราย มปี างสมาธิ ๒๒ องค์ เปน็ พระอดีตพทุ ธะ (ดรู ูปที่ ๕.๒๐) ส่วนปางมารวิชยั องคเ์ ดียวนน้ั เป็นพระสมณโคดม พระพทุ ธรูปท้ัง ๒๔ องค์มีพทุ ธลักษณะคลา้ ยกัน เช่น พระพักตร์ยาวรี เป็นตน้ รปู ท่ี ๕.๔๖ พระศรอี ารยิ เมตไตรย ได้จากวัดพระศรสี รรเพชญ์ พ.ศ. ๒๒๘๔ – ๒๒๘๗ ( ค.ศ. 1741 – 1744) สัมฤทธ์ิ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ๒๐๕

๔.๒ พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ทรงเครื่อง สมยั รตั นโกสินทร ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ (ค.ศ. 1938) ในรชั สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั อานนั ทมหดิ ล เมอื่ คณะศิษยานุศิษย์ของพระโพธิวงศาจารย์ ซ่ึงต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักด์ิเป็นสมเด็จพระ พุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปถวาย โดยเลียนแบบมาจากพระพุทธ- มหาจักรพรรดิ พระประธานในพระอุโบสถวัดนางนอง กรุงเทพมหานคร (ดูรูปท่ี ๕.๑๙๕) โดยปรับ เปล่ียนปางจากมารวิชัย มาเป็นปางสมาธิ (รูปท่ี ๕.๔๗) ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าเหล่าศิษยานุศิษย์น่าจะได้รับ แรงบันดาลใจจากความวิจิตรอลังการของเคร่ืองทรงพระพุทธมหาจักรพรรดิ์ มากกว่ามีจิตศรัทธาท่ีจะ เกิดใหม่ พร้อมกับพระศรอี ารยิ เมตไตรย และบรรลุนพิ พานพร้อมกับพระองค์ ดงั เชน่ ในอดตี รูปท่ี ๕.๑๙๕ พระพทุ ธมหาจักรพรรด์ ิ รปู ที่ ๕.๔๗ พระพุทธมังคโล พ.ศ. ๒๓๗๕ - ๒๓๘๔ สร้าง พ.ศ. ๒๔๘๑ (ค.ศ. 1938) (ค.ศ. 1832 – 1841) สมั ฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑.๑๕ เมตร สมั ฤทธ์ิ หน้าตกั กว้าง ๑.๒๕ เมตร สงู ๑.๒๐ เมตร พระอโุ บสถวัดนางนอง พระวหิ ารวดั อนงคาราม กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานคร ๒๐๖ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิราบ ๒๐๗

หมวด ง. ปางมารวชิ ัย พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย มีจำนวนมากท่ีสุดในบรรดาพระพุทธปฏิมาที่ สร้างข้ึนในประเทศไทย และพุทธปฏิมาลักษณะน้ีก็เป็นที่รู้จักกันดี อันจะเห็นได้จากพระพุทธรูปสำคัญที่ พทุ ธศาสนกิ ชาวไทยศรทั ธา เชน่ พระพุทธชนิ ราช พระมงคลบพติ ร หลวงพ่อโตวดั พนัญเชิง เปน็ ตน้ ซึง่ มี เพียงบางองค์สามารถที่จะจำแนกเป็นหมวดหมู่ได้ตามพุทธลักษณะท่ีพ้องกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ปัจจุบันยังไม่สามารถท่ีจะจำแนกเป็นหมวดหมู่ตามพระนามของพระพุทธปฏิมาสำคัญท่ีเป็นต้นแบบได้ ยกเว้นแต่ในกรณีของพระพุทธกัมโพชปฏิมา ซึ่งเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีการจำลองแพร่หลาย ตั้งแต่สมัย กัมโพชจนถงึ ปัจจบุ ัน และพระพทุ ธชนิ ราช ซงึ่ เป็นพระพุทธปฏิมาท่ไี ด้รบั ความนยิ มมากที่สุดในปจั จุบัน ๕. พระพุทธกัมโพชปฏมิ า พระพทุ ธกมั โพชปฏิมา เปน็ พระพุทธปฏิมาทจ่ี ำลองมาจากพระพุทธรูปต้นแบบในรฐั กัมโพช และนำ ไปเผยแพร่หลังจากกัมโพชย้ายเมืองหลวงจากลพบุรีมาท่ีอยุธยา เม่ือพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานใี นปี พ.ศ. ๑๘๙๓ (ค.ศ. 1350) (ขจร ๒๕๒๓, ๑ – ๒, ๑๔) พระพุทธกมั โพชปฏมิ าใช่แต่จะเป็น ที่นิยมในภาคกลางเท่านั้น แต่ยังมีการจำลองแพร่หลายในล้านนา แต่ไม่เป็นท่ีนิยมในอาณาจักรสุโขทัย และล้านชา้ ง โดยจำลองสบื ทอดกันมาตลอด ๔๑๗ ปขี องอาณาจกั รอยุธยา และความนิยมกส็ ืบเน่ืองจน มาถึงสมัยรตั นโกสินทร ์ พระพุทธกมั โพชปฏิมา มพี ทุ ธลักษณะเด่น คือ พระพักตร์เหลยี่ ม มีไรพระศก พระเกศาเปน็ หนามขนุน พระเมาลีเต้ีย รัศมีเป็นเปลวสูง พระวรกายค่อนข้างเหล่ียม ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย พุทธลักษณะดังกล่าวสอดคล้องกับพระพุทธปฏิมาที่เซเดส์จำแนกไว้ในสมัยอู่ทอง กล่าวคือ มีรัศมีเป็น เปลว มีไรพระศก พระอรุ ะแบน ชายจวี รยาว พระหตั ถใ์ หญ่ เปน็ พระขดั สมาธิราบหมดทุกองค์ และยัง แบง่ ออกเป็นสองแบบ ชะนิดที่ ๑ มพี ระพักตร์ส้ันรูป ๔ เหลยี่ ม พระขนงตรง พระหนปุ า้ น (นักเล่น พระพุทธรูปเรียกกันว่า “คางคน”) เหมือนรูปขอมสมัยลพบุรี แต่พระรัสมี เปนเปลว... แบบนเี้ คยพบท่ีเมอื งลพบรุ ี เมืองชัยนาท เมอื งสรรคโ์ ดยมาก... ใน สมยั หลงั ๆ ก็ยังมชี ่างชอบแบบนีเ้ ปน็ คราว ๆ ยกตัวอยา่ งทีเ่ มอื งเชยี งใหม่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๐๒๖ พระเจ้าติโลกราช โปรดให้หล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่เหมือนพระ ละโว้ เดี๋ยวนี้ยงั ประดิษฐานอยู่ในวิหารวดั ศิริเกิด เมืองเชยี งใหม่ ราษฎรเรียกกนั ว่า “พระเจา้ แขง้ คม” (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑, ๓๙) ดังน้ันพระพุทธรูป “สมยั อูท่ อง ชะนดิ ท่ี ๑” ของยอรช์ เซเดส์ จงึ ได้แก่ พระพทุ ธรปู “สมยั อู่ทอง หมวดที่ ๒” ของหลวงบรบิ าลบุรภี ัณฑ์ พระพทุ ธรูปแบบละโวก้ ค็ ือ “พระพทุ ธกมั โพชปฏิมาจำลอง” เพราะ “กมั โพช” ใน ชินกาลมาลปี กรณ์ หมายถึง “ลพบุรี” (รัตนปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๘๘ (๒)) เพราะฉะนั้น พระพุทธรูปท่ีเซเดส์จำแนกไว้ใน หมวดอ่ทู อง “ชะนดิ ที่ ๑” และหลวงบริบาลบรุ ีภัณฑจ์ ำแนกไว้ใน “หมวดที่ ๒” จึงไดแ้ กพ่ ระพทุ ธกมั โพช- ปฏิมาจำลอง ๒๐๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ป์ไทย

๕.๑ พระพทุ ธกมั โพชปฏมิ าจำลอง สมัยกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) หลวงพอ่ พนญั เชงิ พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง เป็นพระพุทธรูปซึ่งเป็นท่ีนิยมแพร่หลายในราชอาณาจักรอยุธยา ตง้ั แตก่ อ่ นการสถาปนากรงุ ศรีอยุธยาขึน้ อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ (ค.ศ. 1350) อันเหน็ ได้จาก “หลวงพ่อโต” หรือ “หลวงพ่อพนัญเชิง” (รูปที่ ๕.๔๘) ซ่ึงพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ หลวงประเสริฐอกั ษรนติ ิ์ ใหข้ อ้ มลู ว่า จลุ ศักราช ๖๘๖ ชวดศก (พ.ศ. ๑๘๖๗ / ค.ศ. 1324) แรกสถาปนาพระพุทธเจา้ เจา้ แพนงเชิง (ประชมุ พงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖, ๑๓๐) หลวงพอ่ พนัญเชิง น่าจะเป็นพระพทุ ธรปู ทนี่ ายฌาคส์ เดอ คูทร์ (Jacques de Coutre) พอ่ ค้าชาว เฟลมมิช (Flemmish) หรือเบลเยียมในปัจจุบัน ผู้ได้ไปพำนักอยู่ท่ีกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๑๓๙ (ค.ศ. 1956) ในรชั สมยั สมเดจ็ พระนเรศวรไดบ้ นั ทึกไวว้ า่ นอกกำแพงพระนครข้าพเจ้าเห็นพระพทุ ธรปู ประทบั ขัดสมาธิบนฐาน สร้างดว้ ย ศิลาและอิฐทั้งองค์ โบกปูน ทาสี ปิดทอง เหนือพระเศียรมีฉัตรขนาดใหญ่ทำ ด้วยผ้าทอง พระพุทธรูปองค์น้ันสูงและใหญ่มาก จนสามารถเห็นได้จากระยะ ทางไกล ถึงเกือบ ๒๐ กิโลเมตร ท้ังๆ ที่สร้างบนพ้ืนท่ีราบด้วยความอยากรู้ อยากเห็นขา้ พเจา้ ไปวดั พระนขา (เล็บ) ของพระอังคุฐ (นิว้ หัวแม่มอื ) พระหัตถ์ขวา ไดค้ วามวา่ กว้างกว่าหา้ มือ และยาวประมาณกัน (de Coutre 1988, [n.p.]) ขอ้ มูลข้างตน้ แสดงใหเ้ ห็นวา่ เปน็ พระพทุ ธรปู ประทับขัดสมาธิ ปางมารวิชยั และในรชั สมยั สมเด็จ พระนเรศวรน้ันยงั ไมไ่ ดส้ รา้ งพระวหิ ารหลวงครอบองค์พระพทุ ธรปู พระพทุ ธรปู องค์นคี้ อื “พระพุทธเจา้ ทรงนางเชงิ ทรงนง่ั สมาธหิ น้าตกั ๑๐ ศอก อย่ใู นพระวิหารวัด พระนางเชงิ ” ซึ่งขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมจดั ใหเ้ ป็น ๑ ใน “พระมหาพุทธปฏมิ ากรท่มี ีพทุ ธานภุ าพเปน หลกั กรงุ ” ๘ องค์ (คำใหก้ ารขนุ หลวงวดั ประดูท่ รงธรรม ๒๕๓๔, ๒๕) พทุ ธานุภาพของ “หลวงพ่อพนญั เชิง” ยังเป็นท่ีประจักษ์ เม่ือคร้ังพระเจ้าสายน้ำผ้ึงทรงขอหลวงพ่อว่า “เดชะบุญญาภิสังขารของเราเรา จะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ด้วยกันเสร็จ ขอให้น้ำผ้ึงย้อยหยดลงมา” น้ำผ้ึงก็ไหลย้อยลงมา กล้ัวเรือพระท่ีนั่ง (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖, ๕๑) จนเม่ือใกล้จะเสียกรุงครั้งท่ีสองนั้น “เกิดลางร้ายต่างๆ คือ พระพุทธปฏิมากรใหญ่ที่วัดพนัญเชิงมีน้ำพระเนตรไหล” (คำให้การชาวกรุงเก่า ๒๔๕๗, ๑๖๓) พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธิราบ ๒๐๙

๒๑๐ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย

รูปที่ ๕.๔๘ พระพทุ ธไตรรัตนนายก “หลวงพอ่ พนัญเชงิ ” ในสมัยปจั จุบัน ผ้ใู ดมีทุกข์ร้อนเก่ียวกบั โรคภยั ไข้เจบ็ เกรงอุปทั วเหตุกจิ การค้าไมส่ ำเร็จ ไมส่ มหวัง แรกสรา้ งปี พ.ศ. ๑๘๖๘ (ค.ศ. 1325) ในหน้าที่ราชการ ก็ไปนมัสการหลวงพ่อเป็นท่ีพึ่ง หากไปด้วยตนเองไม่ได้ ให้จุดธูปเทียนอธิษฐานขอให้ จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อช่วยคุ้มครองปกป้องรักษา “ถ้าผู้นั้นต้ังจิตระลึกด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มักได้รับผลสมความ กอ่ อิฐถือปนู หน้าตักกว้าง ๑๔.๒๐ เมตร มุ่งหมาย” และเมื่อสำเร็จสมความประสงค์แล้ว ก็จะถวายสักการะแก้บนด้วยงิ้วหรือละคร (ประวัติวัด สูง ๑๙.๒๐ เมตร พนญั เชิง ๒๕๐๔, ๑๘) พระวหิ ารหลวงวดั พนัญเชงิ อำเภอพระนครศรอี ยธุ ยา จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เม่ือแรกสร้างน้ัน “หลวงพ่อพนัญเชิง” น่าจะมีพุทธลักษณะของพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง คล้ายกับพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองทองคำ พบในกรุพระปรางค์วัดมหาธาตุ (รูปท่ี ๕.๔๙) เช่นมี พระมสั สเุ ปน็ เสน้ บางเหนอื พระโอษฐ์ แต่จากการซอ่ มแซมตลอดชว่ ง ๔๑๗ ปี ของกรงุ ศรีอยธุ ยา รวมทง้ั การบูรณปฏิสังขรณ์คร้ังใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้องค์พระพุทธรูป และในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ (ค.ศ. 1928) เม่ือพระหนุพงั ทลายลงมา จึงทำใหพ้ ุทธลกั ษณะผดิ เพ้ยี นจากเดิม รปู ที่ ๕.๔๙ พระพุทธกมั โพชปฏมิ าจำลอง ได้จากกรุพระปรางคว์ ดั มหาธาตุ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14) ทองคำ สูง ๑๘ เซนติเมตร พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธริ าบ ๒๑๑

๕.๒ พระพุทธกัมโพชปฏิมา สมัยอยธุ ยา รูปท่ี ๕.๕๐ เศยี รพระประธานในวหิ ารทรงธรรม วัดธรรมมกิ ราช พระนครศรีอยธุ ยา ครึง่ แรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (๑) ช่วงเมอื งพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) (ครึ่งหลงั คริสตศ์ ตวรรษที่ 14) สัมฤทธิ์ กวา้ ง ๑.๔๐ เมตร สูง ๑.๘๐ เมตร พระพุทธกัมโพชปฏมิ าจำลองสององคถ์ ูกคน้ พบในกรุพระปรางคว์ ดั มหาธาตุ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ เจา้ สามพระยา (ดูรปู ท่ี ๕.๔๙) หาก พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับหลวงประเสริฐ เชื่อถือได้ พระพุทธปฏมิ า จังหวดั พระนครศรีอยุธยา สององคน์ ี้คงอญั เชิญบรรจุลงในกรเุ ม่ือปี พ.ศ. ๑๙๑๗ (ค.ศ. 1374) เม่อื “สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจา้ และพระมหาเถรธรรสากลั ญาณ แรกสถาปนาพระศรรี ตั นมหาธาต”ุ (ประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๑ ๒๕๐๖, ๑๓๑) และเป็นไปได้ว่า พระพุทธปฏิมาอาจจะสร้างขึ้นก่อนหน้านั้นเล็กน้อย โดยจำลองแบบพระพักตร์จาก พระพทุ ธปฏิมาศิลาทีข่ ุดพบได้ท่วี ัดพระศรรี ัตนมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จงั หวัด ลพบุรี โดยเฉพาะลกั ษณะของ พระเนตร พระมสั สุ และพระโอษฐ์ (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑, รูปท่ี ๒๙, ๓) แตกตา่ งกันตรงท่ีพระเมาลขี องเศียร พระพุทธปฏมิ าศิลาเปน็ กลบี บัวซอ้ นกนั สามชนั้ พระรัศมเี ป็นกรวยเรียบ แตพ่ ระเมาลีของพระพุทธปฏมิ า ทองคำทรงเต้ีย มีพระรศั มีเป็นเปลวสงู และมีไรพระศก ซงึ่ เป็นมหาบรุ ุษลักษณะประการท่ี ๓๒ “อุณฺหสิ สโี ส” ในมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ทีก่ ลา่ วไวใ้ น ลกั ขณสูตร ทีฆนกิ าย ปาฏกิ วัคค์ สตุ ตันตปิฎก ในพระไตรปฎิ ก ของเถรวาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นค่านิยมของนิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร จากลังกา จึงเป็นไปได้ว่า พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองที่พบในกรุวัดมหาธาตุนี้อาจจะสร้างขึ้นท่ีลพบุรี โดยจำลองจากพระ พทุ ธกมั โพชปฏิมา ซึง่ เปน็ พระพุทธปฏมิ าสำคัญของเมืองนั้น พระพุทธกัมโพชปฏิมาท่ีสร้างข้ึนในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครึ่ง หลังคริสต์ศตวรรษท่ี 14) ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติในส่วนของพระ พกั ตร์ เชน่ เศยี รจากวดั ธรรมมกิ ราช พระนครศรีอยธุ ยา (รูปที่ ๕.๕๐) มี ลักษณะคล้ายคนจริง โดยเฉพาะในส่วนของพระขนง พระนาสิก และ พระโอษฐ์ แตพ่ ระมสั สุหายไป พระเศียรนเ้ี ปน็ ของพระประธาน ในวิหารทรงธรรม ซ่ึงกษัตริย์สมัยอยุธยาจะเสด็จมาฟัง พระธรรมเทศนาในวันธรรมสวนะเป็นประจำ (ศิลปากร ๒๕๑๑, ๗๗) ถึงแม้วา่ พระอารามหลวงแห่งน้ีนา่ จะได้ รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในช่วงครึ่งหลังของ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ (ครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 18) (พิริยะ ๒๕๔๒, ๗๓) แต่พระประธานอาจจะเป็น พระพทุ ธปฏิมาทีม่ มี าแต่เดิม ๒๑๒ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย