พระพุทธปฏิมาท่ีเช่ือกันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมา จากวดั พระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยาอกี องค์หน่งึ ไดแ้ กพ่ ระพทุ ธปฏมิ ายืนปางหา้ มพระแก่นจนั ทน์ ในพระวหิ ารยอด วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (รปู ท่ี ๘.๕๐) (สุริยวฒุ ิ ๒๕๓๕, ๖๒) พระพทุ ธปฏิมาองคน์ ้ี พระเมาลีและพระรัศมีได้อันตรธานไป พระขนงเป็นเส้นคมโค้งบรรจบกันเหนือสันพระนาสิก พระเนตร เหลอื บต่ำ ใบพระกรรณกางและโคง้ เขา้ หาพระศอ ครองจวี รหม่ คลุม ชายจวี รดา้ นหลงั ย่ืนออกมาเป็นมมุ แหลม พุทธลักษณะโดยรวมคล้ายกับพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย ที่วัดเขาอ้อ อำเภอควนขนุน จังหวดั พทั ลุง (ดูรูปที่ ๘.๓๔) ซงึ่ กำหนดอายอุ ยใู่ นชว่ งรัชสมยั สมเดจ็ พระเจ้าบรมโกศ รูปที่ ๘.๕๐ พระพุทธรปู ยนื พระหัตถ์ซ้ายประทานอภยั ครงึ่ หลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (ครง่ึ แรกครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18) สัมฤทธิ์ องคพ์ ระสงู ๑.๔๗ เมตร พระวหิ ารยอด วัดพระศรีรตั นศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั (ภาพจากสำนักราชเลขาธกิ าร) รูปท่ี ๘.๔๙ พระพุทธโลกนาถราชมหาสมมุติวงศ์ องคอ์ นนั ตญาณสัพพญั ญู สยัมภพู ุทธบพติ ร อญั เชญิ มาจากวัดพระศรสี รรเพชญ ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 16) สมั ฤทธิ์ สูง ๑๐ เมตร พระวหิ ารทิศตะวันออก มขุ หลัง วดั พระเชตุพนวิมลมงั คลาราม กรงุ เทพมหานคร พระพทุ ธปฏิมายืน ๔๑๓
๙.๓ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มพระแก่นจนั ทน์ สมัยรตั นโกสินทร ์ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ท่ีสร้างข้ึนในสมัยรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นเป็น พระพุทธปฏิมาประจำวันอังคาร แทนพระพุทธปฏิมาไสยาสน์ อันสืบเนื่องจากพระราชดำริของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ที่ทรงเห็นว่า พระพุทธปฏมิ า ปางไสยาสนซ์ ง่ึ เป็นพระพทุ ธปฏมิ าประจำ วันอังคารน้ัน ไม่สมควรที่จะเป็นพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารของพระองค์ เพราะว่าเมื่ออัญเชิญ ไปประดิษฐานในพระราชพิธีพร้อมกับพระพุทธปฏิมาองค์อ่ืนๆ แล้ว ดูไม่งดงาม จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธปฏิมา ปางห้ามพระแก่นจันทน์ คือพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้าย ประทานอภยั เป็นพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวาร แทนพระพุทธไสยาสน์ (สุริยวฒุ ิ ๒๕๓๕, ๓๖๒) พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีพระเมาลี ทรงครองจีวรห่มดอง พาดสังฆาฏิยาวถึงพระชงฆ์ ตามแบบพระภิกษุคณะธรรมยุติกนิกาย จีวรทำเป็น ร้ิวตามธรรมชาติ (ดูรูปที่ ๓.๔๘) ซึ่งพระพุทธลักษณะดังกล่าวยังเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธปฏิมา ปางห้ามพระแกน่ จันทน์ ซงึ่ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สรา้ งอทุ ิศสว่ นพระกุศลพระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้า จนั ทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธกิ ษตั รยี ์ (ศิลปากร ๒๕๒๕ ก, ๒๒) สมเด็จพระโสทรกนิษฐภคนิ ี รูปที่ ๓.๔๘ พระพทุ ธรปู ประจำพระชนมวาร ของพระองค์ ประดษิ ฐานหนา้ พระประธาน พระอโุ บสถวดั เทพศริ นิ ทราวาส (ดรู ูปที่ ๓.๗๐) แตแ่ ตกตา่ ง พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1868 - 1910) จากพระพุทธปฏมิ าประจำพระชนมวารตรงทม่ี พี ระเมาล ี ทองคำ สูงรวมฐาน ๓๔.๖๐ เซนตเิ มตร เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวาร หอพระบรมอัฐิ พระท่ีนง่ั จักรมี หาปราสาท พระบรมมหาราชวงั พระราชทานสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี พระองค์ทรงดำเนินตามรอยสมเด็จพระ (ภาพจากหนังสอื พระพุทธปฏมิ า บรมชนกนาถโดยใช้พระพุทธปฏิมาปางห้ามพระแก่นจันทน์ เป็นพระพุทธปฏิมาประจำวันอังคาร ในพระบรมมหาราชวัง) แทนพระพุทธไสยาสน์ พระพทุ ธปฏิมาประจำพระชนมวารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (ดูรูปท่ี ๓.๕๓) มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระ ปกเกลา้ เจา้ อยู่หัว (ดรู ปู ที่ ๓.๓๕) คอื พระเกศาเกลา้ เป็นพระเมาลี ตามอย่างพระพทุ ธปฏมิ าอินเดยี แบบ คันธารราษฎร์ ครองจีวรห่มดองแบบพระภิกษุคณะมหานิกาย จีวรและสบงทำเป็นริ้วตามธรรมชาติ พระพุทธปฏิมาองคน์ หี้ ล่อขน้ึ พร้อมกนั กับพระพุทธปฏมิ าประจำพระชนมพรรษา และประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล (ดูรูปท่ี ๓.๒๕) ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ (ค.ศ. 1926) (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๔๕๗) ภายใต้การควบคุมดูแลของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา นรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ รปู ที่ ๓.๗๐ พระพทุ ธรปู ฉลองพระองค์ รูปท่ี ๓.๕๓ พระพทุ ธรูปประจำพระชนมวาร สมเดจ็ พระเทพศิรินทราบรมราชนิ ี สมเดจ็ พระนางเจา้ รำไพพรรณี สร้างปี พ.ศ. ๒๔๓๘ – ๒๔๔๓ พระบรมราชนิ ี (ค.ศ. 1895 - 1900) หล่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ (ค.ศ. 1926) สัมฤทธ์ิ กะไหลท่ อง สูง ๑.๗๓ เมตร สมั ฤทธ์ิ กะไหล่ทอง พระอโุ บสถ วัดเทพศิรนิ ทราวาส องคพ์ ระสงู ๒๕.๑๕ เซนติเมตร กรุงเทพมหานคร หอพระบรมอัฐิ พระท่ีน่งั จกั รีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวงั ๔๑๔ พระพุทธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พทุ ธศลิ ป์ไทย (ภาพจากหนงั สือ พระพทุ ธปฏมิ า ในพระบรมมหาราชวัง)
หมวด ญ. ปางห้ามพระแกน่ จันทน์ ทรงเคร่อื ง ๑๐. พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางหา้ มพระแกน่ จันทน์ ทรงเครอ่ื ง พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มพระแก่นจันทน์ ทรงเคร่ือง สมัยอยุธยา ชว่ งเมอื งพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ทรงเครื่อง มีเพียงไม่ก่ีองค์ องค์ที่เก่าที่สุดของ พระพทุ ธปฏมิ ากลมุ่ นี้เป็นพระพทุ ธปฏิมาไม้ พระกรซ้ายหักหายไปท่ีพระกัปประ พระเมาลีทรงสูง พระรศั มี เป็นบัวตูม ทรงอุณหิส กรองศอ แต่งด้วยลายประจำยาม ขอบเป็นกลีบบัว ขอบบนของสบงคาดรัด ประคด ป้ันเหน่งเป็นลายประจำยาม หน้านางของสบงเป็นลายรักร้อย ทรงพาหุรัดและทองพระกร (รูปที่ ๘.๕๑) ลวดลายของอาภรณ์คล้ายกับพระพุทธปฏิมาเขมรสมัยหลังเมืองพระนครท่ีกำหนดอายุอยู่ ในช่วงกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (ตน้ ครสิ ต์ศตวรรษที่ 15) (Giteau 1975, 68) เม่ือมีการสร้างพระพุทธปฏิมายืนประทานอภัย ทรงเครื่อง ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณ กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16) ปรากฏว่าพระพุทธปฏิมาท่ีสร้างขึ้นส่วนใหญ่จะ ยกพระหตั ถ์แสดงปางประทานอภยั ด้วยพระหตั ถ์ขวา รูปท่ี ๘.๕๑ พระพทุ ธรูปยนื พระหัตถซ์ ้ายประทานอภัย ทรงเคร่อื ง กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (ต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 15) ไม้ สูง ๑.๑๒ เมตร พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เจา้ สามพระยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา พระพทุ ธปฏิมายืน ๔๑๕
หมวด ฎ. ปางหา้ มสมทุ ร ๑๑. พระพุทธปฏิมายนื ปางหา้ มสมุทร พระพทุ ธปฏิมายนื ยกพระหัตถท์ ัง้ สองขา้ งประทานอภัย ปัจจบุ ันเรยี กว่า “พระพุทธปฏิมาปางห้ามสมทุ ร” ซึ่งปางน้ีได้รับการกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมโกศใน โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ วดั ป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ว่า ขอพรพระพทุ ธห้าม สมุทไทย หา้ มชลาไลยไหล ขาดค้าง (Griswold and Naฺ Nagara 1970, 195) พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธปฏิมาหมวดใหญ่ ที่มีการสร้างแพร่หลายเร่ิม ต้งั แต่สมยั อาณาจกั รกมั โพช จนถงึ รตั นโกสินทรแ์ ละเปน็ ทีน่ ยิ มในอาณาจักรลา้ นนาและลา้ นช้าง ๑๑.๑ พระพุทธปฏมิ ายืน ปางห้ามสมทุ ร สมยั อาณาจกั รกมั โพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) รูปที่ ๘.๕๒ พระสมณโคดมยนื ยกพระหัตถ ์ ท้ังสองขา้ งประทานอภยั ไดจ้ ากโคปรุ ะชัน้ ๓ ดา้ นทิศตะวนั ออก พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ครองจีวรห่มคลุม เกิดข้ึนพร้อมกับคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ ปราสาทพระขรรค์ เมอื งพระนคร ประเทศกมั พชู า โดยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระพุทธปฏิมาเขมร เช่นพระพุทธปฏิมาศิลาที่นายคอมมาย (Commaille) ครงึ่ แรกพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (ครงึ่ หลังครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13) ภัณฑารักษ์ชาวฝร่ังเศสคนแรกที่ดูแลโบราณสถานที่เมืองพระนคร (Angkor) พบในโคปุระช้ันท่ี ๓ ด้าน ศลิ า สูง ๑.๗๘ เมตร Musée national des Arts Asiatiques ทิศตะวันออกของปราสาทพระขรรค์ เมอื งพระนคร ซึง่ เป็นที่ร้จู กั ในกลมุ่ นักวิชาการว่า กลมุ่ “พระพุทธรปู Guimet, Paris แบบคอมมาย (Commaille)” (รปู ที่ ๘.๕๒) (Jessup and Zééphir 1997, 337) พระพุทธปฏิมาในกลุ่มนี้ เป็นพระพุทธปฏิมาทสี่ รา้ งข้ึนในนกิ ายเถรวาท หลังจากท่ีลัทธวิ ชั รยานในกัมพชู าล่มสลายลง พระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (รูปที่ ๘.๕๓) แสดงให้เห็นการปรับ เปลี่ยน “พระพุทธปฏิมาแบบคอมมาย” ให้รับกับค่านิยมของรัฐกัมโพช เช่น พระรัศมีเป็นลูกแก้ว มี ไรพระศกเป็นแถบ ชายจีวรและชายสบงด้านล่างงอนขึ้นที่หน้านาง แต่ยังคงไว้ซ่ึงขอบสบงด้านบนท่ียัง คาดด้วยรัดประคด ส่วนพระพุทธปฏิมาพบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา (รูปท่ี ๘.๕๔) เม็ดพระศกเรียงกันตามแนวนอน พระเมาลีเต้ียรองรับพระรัศมีลูกแก้ว ทรงกรองศอ และรัดประคด ทับขอบสบงด้านบน ป้ันเหน่งเป็นดอกจัน หน้านางของสบงมีขอบเป็นลายน่องสิงห์ พระพุทธปฏิมาท้ัง สามพระองค์น้ีน่าจะสร้างขน้ึ ในช่วงครึ่งแรกของพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (คร่ึงหลังคริสตศ์ ตวรรษที่ 13) รปู ท่ี ๘.๕๔ พระสมณโคดมยืนยกพระหตั ถ์ รปู ท่ี ๘.๕๓ พระสมณโคดมยืนยกพระหัตถ ์ ทัง้ สองข้างประทานอภัย ท้งั สองข้างประทานอภยั ได้จากกรุพระปรางคว์ ดั ราชบูรณะ ครงึ่ แรกพุทธศตวรรษที่ ๑๙ จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา (ครึง่ หลงั คริสตศ์ ตวรรษท่ี 13) ครง่ึ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ สัมฤทธ์ิ (คร่งึ หลงั คริสต์ศตวรรษที่ 13) วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม สัมฤทธิ์ กรุงเทพมหานคร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔๑๖ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ุทธศิลป์ไทย
พระพุทธปฏิมายนื ๔๑๗
รูปที่ ๘.๕๕ พระสมณโคดมยืน ๑๑.๒ พระพุทธปฏมิ ายืน ปางห้ามสมทุ ร สมัยสโุ ขทัย ยกพระหัตถ์ทั้งสองขา้ งประทานอภยั สรา้ งปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) สัมฤทธ์ิ สงู ๒ เมตร ชว่ งเมืองประเทศราชของอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463) พระวหิ ารวัดพระธาตชุ ้างคำ้ อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั น่าน พระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประทานอภัย ในพระวิหารวัดพระธาตุช้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน (รปู ท่ี ๘.๕๕) มจี ารึกทีฐ่ านกล่าวว่า “สมเด็จเจ้าพระยาสารผาสมุ เสวยราชยใ์ น นนั ทปุระ สถาบกสมเด็จพระเปน็ เจา้ ” ในปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) (เทิม ๒๕๒๙, ๒๘ – ๒๙) พระ พทุ ธปฏมิ าองคน์ เี้ ป็น ๑ ใน ๕ องค์ ทีพ่ ญาสารผาสมุ เจ้าเมอื งน่านทรงสร้างข้ึนในปีเดยี วกนั ถึงแม้ว่าจะหล่อขึ้นในเครือข่ายอาณาจักรสุโขทัย แต่พุทธลักษณะดัดแปลงมาจากพระ พุทธปฏิมาของกัมโพช (ดูรูปที่ ๘.๕๓) ขอบสบงด้านบนคาดด้วยรัดประคด และหน้านางเป็นแถบเรียบ แต่ส่วนพระวรกาย และความอ่อนช้อยของนิ้วพระหัตถ์ รวมท้ังพระรัศมีรูปเปลวแสดงให้เห็นอิทธิพล จากพระพุทธปฏิมาสุโขทยั ๑๑.๓ พระพุทธปฏมิ ายืน ปางห้ามสมทุ ร สมัยลา้ นนา สมยั อาณาจักรล้านนา - ยุครุ่งเรอื ง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) ส่วนพระพุทธปฏิมาในวิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปท่ี ๘.๕๖) จำลองแบบ จากพระพุทธปฏมิ าของพญาสารผาสุม แต่มคี วามแขง็ กระด้างมากขึน้ ส่วนพระพักตรแ์ ละพระรัศมคี ลา้ ย กับพระพทุ ธปฏิมาลา้ นนาสมัยพญาแก้ว ประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16) รปู ที่ ๘.๕๖ พระสมณโคดมยืน รปู ท่ี ๘.๕๗ พระสมณโคดมยืน ปางหา้ มสมทุ ร ยกพระหตั ถท์ ้งั สองข้างประทานอภัย พบในพระอรุ ะและพระพาหาเบื้องซา้ ย กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ต้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16) คร่งึ หลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครงึ่ แรกคริสตศ์ ตวรรษที่ 14) สัมฤทธิ์ สงู รวมฐาน ๙๑ เซนติเมตร สมั ฤทธิ์ ปิดทอง สงู ๔๗ เซนตเิ มตร วิหารสมเดจ็ ฯ วัดเบญจมบพิตรดสุ ติ วนาราม พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เจา้ สามพระยา กรุงเทพมหานคร จังหวดั พระนครศรีอยุธยา ๔๑๘ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณ์พทุ ธศลิ ป์ไทย
รปู ที่ ๘.๕๘ พระสมณโคดมยืน ปางหา้ มสมทุ ร ๑๑.๔ พระพุทธปฏิมายืน ปางหา้ มสมุทร สมัยอยุธยา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 17) ไม้ สงู ๑.๒๘ เมตร (๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ กำแพงเพชร จงั หวดั กำแพงเพชร พระพทุ ธปฏิมายืนยกพระหตั ถส์ องข้างประทานอภัย เปน็ ที่นิยมทอ่ี าณาจกั รอยธุ ยา โดยสืบทอด พทุ ธลักษณะจาก “พระพุทธปฏมิ าแบบคอมมาย” คือ ขอบสบงด้านบนและหน้านางไม่มีลวดลายประดบั ใดๆ แต่ดัดแปลงพระรัศมีจากลูกแก้วเป็นเปลวเพลิง ซ่ึงเป็นที่นิยมในพระพุทธปฏิมาที่สร้างข้ึนในนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกา เช่นพระพุทธปฏิมาท่ีพบในพระอุระและพระพาหาเบ้ืองซ้ายพระมงคลบพิตร จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา (รปู ท่ี ๘.๕๗) ซ่งึ นา่ จะสร้างขึ้นหลังพระบางเจ้า (ดูรูปที่ ๘.๖๖) (๒) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) หลังจากพระพุทธสิหิงค์เข้ามาเป็นที่แพร่หลาย การทำพระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมจึงเป็นท่ีนิยม ข้ึนมา เช่นพระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร (รูปที่ ๘.๕๘) ซ่ึงอาจจะสร้างข้ึนใน ชว่ งปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 17) พระพทุ ธปฏมิ ายืน ยกพระหัตถ์ท้ังสองขา้ งประทานอภัยในพระวิหารยอด วัดพระศรีรตั นศาสดาราม (รูปท่ี ๘.๕๙) สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากวัด พระศรีสรรเพชญ์ ในพระราชวังหลวง พระนครศรีอยุธยา มาประดิษฐานในหอพระนาก “เดิมเป็นท่ีไว้ พระพุทธปฏิมาต่างๆ หลายสิบองค์ หุ้มทองบ้าง หุ้มเงินบ้าง หุ้มนากบ้าง” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาประดิษฐานในพระวิหารยอด เม่ือทรงปฏิสังขรณ์วัดพระ ศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ (ค.ศ. 1882) (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๓๘๔ – ๓๘๕) พระพุทธปฏิมาองค์นี้มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ ในพระวิหาร เดียวกัน (ดูรูปที่ ๘.๕๐) ยกเว้นพระพักตร์ ซึ่งยาวรีคล้ายกับพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปาง สมาธิ ๒๒ องค์ จากวัดพระศรสี รรเพชญ์ พระนครศรอี ยธุ ยา (ดรู ปู ที่ ๕.๒๐) จงึ อาจจะสรา้ งขน้ึ ในช่วง ระยะเวลาเดียวกัน อนึ่ง พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร เป็นท่ีนิยมในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เช่น เมื่อพระองค์ทรงส่งคณะธรรมทูต นำโดยพระอุบาลี และพระอริยมุนีไปประดิษฐานคณะสยามนิกายใน ลังกาในปี พ.ศ. ๒๒๙๕ (ค.ศ. 1752) เกิดพายุข้ึนในมหาสมุทร จึง “เชิญพระปฏิมากรห้ามสมุทรมา ประดษิ ฐานที่ศีศะเรือสำเภา” และ “ดว้ ยอำนาจพระพุทธปฏมิ ากรห้ามสมทุ ร แลอำนาจพระพทุ ธมนต์ แล ศลี าธิคุณแหง่ พระผเู้ ปน็ เจ้าเหลา่ น้นั ” (คำให้การขนุ หลวงหาวดั ฉบบั หลวง ๒๔๕๙, ๘๐ – ๘๑) คล่ืนลม ท้งั ปวงจงึ สงบลง ทุกชวี ิตจึงรอดพน้ จากภยนั ตราย รปู ท่ี ๘.๕๙ พระสมณโคดมยนื ปางหา้ มสมทุ ร พ.ศ. ๒๒๘๔ - ๒๒๘๗ (ค.ศ. 1741 - 1744) เงนิ พระวหิ ารยอด วดั พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง พระพทุ ธปฏมิ ายนื ๔๑๙
รูปท่ี ๘.๖๐ พระสมณโคดมปางห้ามสมทุ ร ๑๑.๕ พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางห้ามสมุทร สมยั รัตนโกสนิ ทร ์ พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔ (ค.ศ. 1824 - 1851) งาชา้ ง ต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ท้ัง พระอุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั สองข้างประทานอภยั จึงมีพระนามวา่ “พระพทุ ธรปู ปางห้ามสมทุ ร” พระพทุ ธปฏมิ าปางห้ามสมุทรทอี่ าจ จะสร้างข้ึนในรัชกาลน้ีน่าจะได้แก่ พระพุทธปฏิมางาช้างสลัก ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั (รูปที่ ๘.๖๐) ซง่ึ มพี ทุ ธลกั ษณะคลา้ ยกับพระพทุ ธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ จากวดั สนุ ทราวาส อำเภอควนขนุน จังหวดั พทั ลุง (ดูรูปท่ี ๘.๓๖) คอื พระวรกายเปน็ ท่อนตรง ชายจีวรดา้ นข้าง ผายออกเล็กน้อย ตอนปลายของชายห้อยลงทำเป็นมุมแหลม หน้านางและขอบด้านบนของสบง กลมกลนื ไปกับพระวรกาย พุทธลักษณะข้างต้นยังเป็นของพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว (ดูรูปที่ ๓.๔๖) ซ่ึงทรงพระราชสมภพในวันจันทร์ จึงเป็นพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร ถึง แม้ว่าพระพุทธปฏิมาองค์ปัจจุบันจะสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตาม แตก่ ็จำลองมาจากองค์เดมิ เพราะพระองค์มพี ระราชดำริวา่ “ซ่งึ มีอยูเ่ ก่านน้ั งอ่ นแง่นไมม่ นั่ คง เจ้าพนกั งาน เชิญไปมาก็ยับเยินไป จึงได้สร้างถวายอีกองค์หน่ึง” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๐๗, ๑๐๒ – ๑๐๓) พระพุทธปฏมิ าองค์นี้ครองจวี รห่มคลมุ ชายจวี ร ดา้ นหน้าและดา้ นหลงั เว้าโค้งเป็นมุมแหลม ขอบดา้ นบน และหนา้ นางของสบงตีกรอบเปน็ เส้น พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (รูปที่ ๘.๖๑) ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาศักดพิ ลเสพ โปรดใหห้ ล่อขนึ้ แตเ่ สด็จทวิ งคตเสยี กอ่ นในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ (ค.ศ. 1832) พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จ (ณัฏฐภัทร ๒๕๔๕, ๒๑๗) พระพทุ ธปฏิมาองคน์ ้ีพุทธลกั ษณะคล้ายกับพระอัฏฐารส ปางหา้ มสมทุ รสูง ๓ เมตร ๒ องค์ ใน มุขดา้ นตะวันออก และดา้ นตะวนั ตกของพระอุโบสถวัดบวรนเิ วศวิหาร (รปู ท่ี ๘.๖๒) ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั โปรดเกล้าฯ ใหส้ มโภชในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ (ค.ศ. 1844) (วัดบวรนเิ วศวิหาร ๒๕๐๔, ๑๑) คือครองจีวรหม่ ดอง ชายพับเปน็ แผน่ ยาวจรดพระนาภี จวี รแนบไปกับสบง หนา้ นางและขอบดา้ นบน ของสบงตกี รอบเปน็ เส้น รปู ท่ี ๘.๖๒ พระอฏั ฐารส ปางหา้ มสมทุ ร รูปท่ี ๘.๖๑ พระสมณโคดมปางหา้ มสมทุ ร พ.ศ. ๒๓๘๗ (ค.ศ. 1844) พ.ศ. ๒๓๗๕ (ค.ศ. 1832) สัมฤทธ์ิ สัมฤทธ ์ิ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรงุ เทพมหานคร พระอโุ บสถวัดบวรสถานสทุ ธาวาส กรงุ เทพมหานคร ๔๒๐ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธปฏิมายนื ๔๒๑
รูปที่ ๘.๖๓ พระสมณโคดมปางหา้ มสมุทร สืบเนื่องจากพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โปรดพระพุทธปฏิมาครองจีวร ต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ ลายดอก พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามสมุทรครองจีวรห่มดองลายดอกพิกุล มีชายผ้าทอดยาวจรดพระนาภี (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 19) ขอบสบงตอนบนและหนา้ นางลายกุดน่ั ดังเช่นพระพทุ ธปฏมิ าในพระวหิ ารยอด วดั พระศรีรตั นศาสดาราม สัมฤทธิ์ กะไหลท่ อง (รูปท่ี ๘.๖๓) เป็นแบบท่ีนิยมอย่างมากในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และ องคพ์ ระสูง ๗๒.๕๐ เซนติเมตร ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าพระองค์เองจะไม่โปรดพระพุทธปฏิมาครองจีวร พระวหิ ารยอด วัดพระศรรี ตั นศาสดาราม ลายดอกกต็ าม ในพระบรมมหาราชวงั (ภาพจากหนงั สือ พระพทุ ธปฏมิ า ในพระบรมมหาราชวัง) พระพุทธปฏมิ าปางห้ามสมุทรองคส์ ำคัญ ทส่ี รา้ งข้นึ ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ - เจ้าอยู่หัวได้แก่ “พระพุทธปัญญาอัคคะ” (รูปที่ ๘.๖๔) พระพุทธปฏิมาฉลองพระองค์ สมเด็จพระ มหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซ่ึงเป็นพระราชูปัฏฐยาจารย์ของพระองค์ สร้างเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๒๘ (ค.ศ. 1885) เจ็ดปีก่อนที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์จะ สิ้นพระชนม์ (วัดบวรนิเวศวิหาร ๒๕๐๔, ๗๘) พระพุทธปฏิมาองค์นี้มีพระเมาลีแบน นิ้วพระหัตถ์ยาว เสมอกนั ครองจวี รหม่ แหวก จีวรพาดพระกรขวาและทิง้ ชายลงทางดา้ นขวา จีวรทำเป็นรว้ิ ตามธรรมชาติ เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหล่อพระพุทธปฏิมาฉลองพระองค์พระราชทานแด่พระ ราชูปัฏฐยาจารย์ของพระองค์ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ (ค.ศ. 1930) (วัดบวรนิเวศวิหาร ๒๕๑๔, ๕๙) ถวาย พระนามว่า “พระพุทธมนุสนาค” (รูปท่ี ๘.๖๕) ตามพระนามเดิมของพระองค์เจ้า “มนุษยนาคมาณพ” พระพทุ ธมนสุ นาคถกู สรา้ งข้ึนตามพระราชนยิ มของยคุ นนั้ คอื พทุ ธลักษณะมีความเป็นมนษุ ย์มากกว่าเปน็ พระพทุ ธปฏิมา ยกเว้นแตพ่ ระเศียรแบบประเพณี ทรงครองจีวรหม่ แหวก พาดพระกรซา้ ย จีวรและสบง ทำเป็นริ้วธรรมชาต ิ พระพทุ ธปฏิมาฉลองพระองคท์ ่สี รา้ งอุทศิ พระกุศลถวายแดส่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ท้ังสองพระ องค์นี้ สร้างเป็นพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร ซึ่งมิได้สร้างข้ึนเพ่ือให้ตรงกับวันประสูติ เพราะท้ัง สองพระองคท์ รงประสูติในวันพฤหัสบดี (วดั บวรนิเวศวิหาร ๒๕๐๔, ๓๒; มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย ๒๕๑๔, ๑) แตพ่ ระพุทธปฏิมาปางห้ามสมทุ ร เป็นพระพทุ ธปฏิมาประจำวันจันทร์ จงึ สนั นิษฐานได้ว่า พระพทุ ธปฏมิ า ฉลองพระองค์นั้น สร้างเป็นพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร และเม่ือผู้ท่ีส้ินพระชนม์เป็นพระภิกษุ พระพุทธปฏิมาทั้งสององค์จึงทรงครองไตรจีวรเฉกเช่นพระสงฆ์ท่ัวไป หาได้ทรงเครื่องดังเช่นพระ พุทธปฏิมาฉลองพระองค์อนื่ ไม ่ ๔๒๒ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย
รปู ที่ ๘.๖๔ พระพุทธปญั ญาอคั คะ รปู ที่ ๘.๖๕ พระพทุ ธมนุสนาค พระพทุ ธรูปฉลองพระองค ์ พระพทุ ธรปู ฉลองพระองค ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สร้างปี พ.ศ. ๒๔๒๘ (ค.ศ. 1885) สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๗๓ (ค.ศ. 1930) สัมฤทธ์ ิ สัมฤทธ์ ิ พระวหิ ารเกง๋ วัดบวรนิเวศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร พระวิหารเกง๋ วดั บวรนเิ วศวหิ าร กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏิมายืน ๔๒๓
๑๒. พระบางเจา้ พระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างประทานอภัย ปางห้ามสมุทร เป็นพระพุทธปฏิมาท่ี นยิ มแพร่หลายในลา้ นช้าง เพราะทุกองคเ์ ปน็ พระปฏิมาจำลองของ “พระบางเจ้า” พระพทุ ธปฏิมาค่บู า้ น คู่เมืองของลาว ประวัติของพระองค์นั้นปรากฏควบคู่ไปกับประวัติศาสตร์ของประเทศ กล่าวคือ เมื่อ พญาฟา้ งุ้มแหลง่ หล้าธรณี (พ.ศ. ๑๘๙๖ – ๑๙๑๕ / ค.ศ. 1353 – 1372) รวบรวมดนิ แดนท้ังสองฝ่งั โขง ให้เป็นผืนแผ่นดินเดียวกันแล้ว ทรงทูลขอพระเจ้ากรุงกัมพูชา พระสสุระของพระองค์ ให้ทรงส่ง พระเถระและพระไตรปิฎก เพื่อประดษิ ฐานนิกายเถรวาท คณะมหาวหิ ารจากลังกา ในอาณาจกั รของพระองค์ พระเจ้ากรุงกัมพูชาจึงส่งคณะธรรมทูต พร้อมกับพระพุทธรูปพระบางเจ้ามาในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ (ค.ศ. 1359) เมอื่ ถึงเมอื งเวยี งคำ (60 กโิ ลเมตร เหนอื เมืองเวียงจนั ท์) พระบางเจ้าไมย่ อมเสด็จต่อไปยงั เมือง เชยี งดง – เชยี งทอง (นครหลวงพระบาง) จึงตอ้ งประดษิ ฐานไว้ท่นี น่ั (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๖๔) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๑๑ (ค.ศ. 1468) พญาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้วอัญเชิญพระบางเจ้าไปเมือง เชียงดง – เชียงทอง ทางน้ำโขง เรืออับปางลง พระบางเจ้าจมน้ำหายไป แต่ “แสดงปาฏิหาริย์เสด็จ กลับคืนไปประดิษฐานท่ีเมืองเวยี งคำตามเดมิ ” (เรอ่ื งเดยี วกัน, ๗๐) ในปี พ.ศ. ๒๐๔๕ (ค.ศ. 1503) พญาวิชุลราช ได้อัญเชิญพระบางเจ้าไปประดิษฐานไว้ท่ีเมือง เชียงดง – เชียงทอง ซึ่งนับแต่น้ันมา จึงเปล่ียนชื่อมาเป็นนครหลวงพระบาง และเมื่อทรงสร้างวัดวิชุล- มหาวิหารแล้วเสรจ็ ในสองปีต่อมา จงึ อาราธนาพระบางเจา้ ไปประดิษฐาน ณ พระอารามแหง่ น้ี เมื่อประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 18) อาณาจักรล้านช้างแบ่งแยก ออกเปน็ สามนคร อันได้แก่ หลวงพระบาง (ภาคเหนือ) เวียงจนั ท์ (ภาคกลาง) และจำปาสกั (ภาคใต)้ พระเจ้าไชยองค์เว้ หรือพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชท่ี ๒ เจ้ามหาชีวิต ผู้ครองนครเวียงจันท์จึงอัญเชิญ พระบางเจ้ามาประดษิ ฐานไวท้ ี่วัดป่าสกั หลวง นครเวียงจันท์ ในปี พ.ศ. ๒๒๔๘ (ค.ศ. 1705) ครั้นเม่ือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกอบกู้เอกราชจากพม่าได้แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ์ศึกฯ พรอ้ มกับเจา้ พระยาสุรสีห์ ผนู้ ้อง ยกทพั ไปตนี ครเวียงจนั ทใ์ นปี พ.ศ. ๒๓๒๑ (ค.ศ. 1778) และเมื่อตีได้แล้วจึงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและพระบางเจ้ามายังกรุงธนบุรี (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๘๒, ๑๐) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ (ค.ศ. 1782) เม่ือปราบดาภิเษกแล้ว พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ “เสด็จขา้ มฟากฝ่ังมหรณพ เฉลิมภพกรงุ ทวารวดี พระโองการให้ฐาปนา ที่ทอ้ งสนามใน เปน็ พระอุโบสถหอไตรยเ์ สร็จ เชญิ พระแก้วมรกฎมาประดิษฐาน” แต่ “พระบางประทาน คืนไปเวียงจัน” (เรือ่ งเดียวกัน, ๑๘, ๒๐) ทง้ั นเี้ พราะวา่ “ผีซ่ึงรกั ษาพระแกว้ มรกต กับผีซึ่งรักษาพระบาง เป็นอริกัน พระพุทธปฏิมา ๒ พระองค์น้ันอยู่ด้วยกันในท่ีใด มักมีเหตุภัยอันตราย” นอกจากน้ันแล้ว พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกทรงพระราชดำรวิ า่ “พระบางก็ไมใ่ ชพ่ ระพทุ ธปฏมิ าซึง่ มีลักษณะ งาม เป็นแตพ่ วกชาวศรีสัตนาคนหตุ นบั ถอื กัน” (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๙๔, ๖๕ – ๖๖) ๔๒๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ป์ไทย
พระบางเจ้ากลบั ไปประดิษฐานที่นครเวยี งจันท์จนถงึ ปี พ.ศ. ๒๓๗๐ (ค.ศ. 1827) เม่ือเจ้าพระยา ราชสุภาวดี (สงิ ห์ สิงหเสนี) (ประยทุ ธ ๒๕๒๐, ๓๑๗) อัญเชญิ กลับมากรุงเทพฯ อีกคร้งั หนง่ึ พระบาท สมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยหู่ วั มีพระราชปุจฉาวา่ พระบางเปน็ พระพทุ ธรูปเชญิ ลงมาแตเ่ มืองเวยี งจนั ท์ ครัน้ จะเชญิ เขา้ ประดษิ ฐาน ไวใ้ นพระอโุ บสถวดั พระศรีรัตนศาสดารามเล่า พระพุทธลักษณวลิ าสก์ มิไดง้ าม บรบิ ูรณเ์ หมือนด้วยพระพทุ ธรูปฉลองพระองค์ จะเชิญไวด้ ว้ ยกนั กจ็ ะไม่จำเริญ พระเนตรเฉลิมพระราชศรทั ธา ครน้ั จะเชญิ ไปประดิษฐานไวใ้ นพระอารามแห่งใดแห่ง หน่ึงก็เกรงโจรผู้ร้าย ด้วยสรรพเครื่องสักการบูชาประดับพระองค์ล้วนแล้ว ด้วย แก้วแลทอง ท้ังสิง่ ของเครือ่ งสกั การบูชาอืน่ ๆ ก็มีมาก (สงวน รอดบญุ ๒๕๔๕, ๒๐๖) จึงพระราชทานพระบางเจ้าให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี เชิญไปประดิษฐานในพระวิหารวัดจักรวรรดิ- ราชาวาส (วัดจกั รวรรดิราชาวาสวรมหาวหิ าร ๒๕๔๐, ๓๑๘) คร้นั ถึงปมี ะเมยี พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) เกดิ ดาวหาง ฝนแล้ง และความไข้ เน่ืองกันถึง ๓ ปี เสียงคนทั้งหลายโทษว่า เพราะพระบางกลับลงมาอยู่ใน กรงุ เทพฯ (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๖๘) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบางเจ้ากลับไปนครหลวง พระบาง และในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ (ค.ศ. 1888) จงึ นำไปประดิษฐาน ณ วัดใหม่สวุ รรณะพุมมาราม (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๑๐๑) ปัจจบุ ันพระบางเจา้ ประดิษฐานอยู่ในพระราชวังหลวงของอดตี เจ้ามหาชีวติ นครหลวงพระบาง พทุ ธลกั ษณะของพระบางเจา้ (รปู ที่ ๘.๖๖) เปน็ พระพทุ ธปฏิมาเขมรแบบหลงั เมืองพระนคร ใน กลุ่ม “พระพุทธปฏิมาแบบคอมมาย” ร่วมสมัยกับพระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิของวัดพระเชตุพนวิมล มงั คลารามราชวรมหาวิหาร (ดรู ูปที่ ๘.๕๓) ซง่ึ มลี กั ษณะคล้ายกนั คือพระรศั มีเปน็ ลกู แกว้ เหนอื พระเมาลี ทรงสูง และน่าจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (คร่ึงหลังคริสต์ศตวรรษท่ี 13) อย่างไรก็ตามนกั วชิ าการบางท่านเสนอว่า พระบางเจ้านา่ จะสร้างขึ้นตามรปู แบบของพระพทุ ธปฏมิ าแบบ กมั โพช “อีกทงั้ พระนามยังพอ้ งกบั ช่อื เมอื งนครสวรรคเ์ ก่า (พระบาง) อันอาจมีสว่ นเก่ยี วข้องกับทีม่ าของ พระพทุ ธปฏิมาองค์น”้ี (สุรศกั ดิ์ ๒๕๕๐, ๑๐๗) ซ่งึ มีความเป็นไปได้ เพราะวา่ พระพุทธปฏมิ าทจ่ี ำลองมา จากพระพุทธปฏมิ า “แบบคอมมาย” นนั้ สรา้ งข้ึนเป็นจำนวนมากในภาคกลางของประเทศไทย รูปที่ ๘.๖๖ พระบางเจา้ คร่งึ แรกของพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (คร่งึ หลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13 ) สมั ฤทธิ์ พระราชวังของอดีตเจ้ามหาชีวติ หลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พระพุทธปฏิมายนื ๔๒๕
๑๒.๑ พระบางเจา้ จำลอง สมัยล้านช้าง ช่วง ๓ นครรฐั พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789) ใช่แต่การจำลองพระบางเจ้าจะเลียนแบบตามพุทธลักษณะขององค์ที่เป็นต้นแบบ แต่ยังมีการ จำลองท่ีไม่คำนึงถึงความเหมือนอีกด้วย เช่นพระบางเจ้าจำลองในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ จังหวัดนครราชสีมา (รูปที่ ๘.๖๗) ซ่ึงมีพระรัศมีเป็นเปลวสูง ชายจีวรด้านล่างเว้าโค้ง แทนแหลมตรง ส่วนฐานเหลยี่ มบัวหงายสองช้นั รองรับด้วยฐานหน้ากระดาน มมุ ทั้งสี่ด้านงอนข้นึ อันเป็นแบบของสกุล ชา่ งเวยี งจันท์ ในช่วงหลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ (ครงึ่ แรกคริสต์ศตวรรษที่ 18) ส่วนพระบางเจ้าจำลอง วัดไตรภูมิ อำเภอท่าอเุ ทน จงั หวดั นครพนม (รปู ที่ ๘.๖๘) นั้น มีจารกึ ระบุว่า สร้างขน้ึ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ (ค.ศ. 1765) ได้จากถ้ำเหิบ ประเทศลาว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ (ค.ศ. 1907) (ฉะอ้อน ๒๕๔๘, ๓ – ๗) มคี วามสงู ถึง ๒ เมตร รัศมีเปลวสงู พระพกั ตร์แบบพทุ ธรูปสกลุ ชา่ ง เวียงจันท์ รัดประคดและหน้านางของสบงตกแต่งด้วยลายเครือเถาและหินสี ฐานรองรับด้วยช้างท่ีมี ควาญถือง้าวน่งั อยบู่ นคอช้างท้ังแปดเชอื ก และมีห่วงสหี่ ว่ งท่หี นา้ กระดานของฐานสำหรับสอดคานหาม พระบางเจ้าจำลองท่ีกล่าวถึงข้างต้นน้ี แสดงให้เห็นว่าผู้สร้างพระปฏิมา หรือ รูปจำลอง มิได้ ติดอยู่กับพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาท่ีเป็นต้นแบบ แต่สร้างขึ้นตามความศรัทธาและค่านิยมของ ท้องถ่นิ รูปที่ ๘.๖๗ พระบางเจา้ จำลอง คร่งึ หลงั พุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ครง่ึ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18) สมั ฤทธิ์ สงู ๙๒ เซนติเมตร พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ ์ จังหวดั นครราชสีมา รูปที่ ๘.๖๘ พระบางเจ้าจำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๓๐๘ (ค.ศ. 1765) สมั ฤทธ์ิ องคพ์ ระสูง ๒ เมตร พระวหิ ารวดั ไตรภมู ิ อำเภอท่าอุเทน จงั หวดั นครพนม ๔๒๖ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณ์พทุ ธศลิ ปไ์ ทย
๑๒.๒ พระบางเจ้าจำลอง สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ในรัชกาลปัจจุบันยังมีการจำลองพระบางเจ้า พระพุทธรูปคู่บ้าน คู่เมืองของลาว เช่นองค์ท่ีจำลองข้ึนในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ (ค.ศ. 2000) (รูปที่ ๘.๖๙) จากพระบางเจ้าของวัดพระเหลาเทพนิมิตร อำเภอพนา จังหวัด อำนาจเจริญ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งองค์หลังนั้นจำลองข้ึนในปี พ.ศ. ๒๓๖๔ (ค.ศ. 1821) (ศิลปากร ๒๕๓๒, ๑๗๐ – ๑๗๑) คือ เมื่อคร้ังพระบางเจ้ากลับไป ประดิษฐานที่นครเวยี งจันท์ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๗๐ (ค.ศ. 1782 – 1827) เป็นท่ีน่าสังเกตวา่ พระบางเจ้าทจ่ี ำลองขนึ้ ใหม่นน้ั พระวรกายแบนกวา่ องค์ตน้ แบบ ซึง่ มพี ระสรีระท่สี มบูรณ์คลา้ ยคนจรงิ เช่น “พระพุทธปฏิมาแบบ คอมมาย” (ดูรูปท่ี ๘.๕๒) รูปท่ี ๘.๖๙ พระบางเจ้าจำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๔๓ (ค.ศ. 2000) สมั ฤทธิ์ สงู ๑.๑๙ เมตร พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ อุบลราชธานี พระพทุ ธปฏมิ ายนื ๓๕
หมวด ฏ. ปางหา้ มสมทุ ร ทรงเคร่อื ง ๑๓. พระพุทธปฏมิ ายนื ปางหา้ มสมทุ ร ทรงเคร่ือง ๑๓.๑ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร ทรงเคร่อื ง สมยั อาณาจกั รกมั โพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ท้ังสองข้างประทานอภัย ทรงเครื่อง แรกสร้างข้ึนในคณะ กัมโพชสงฆ์ปักขะ และอาจจะหมายถึงพระสมณโคดมในเครื่องทรงของพระจักพรรดิราช (ดูรูปท่ี ๔.๒๐) ต่อมาเมอื่ นกิ ายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกาเป็นทีแ่ พรห่ ลายข้นึ เคร่อื งทรง จึงลดน้อยลงและหายไป ในทส่ี ุด พระพทุ ธปฏิมาทส่ี รา้ งข้นึ ทีร่ ัฐกมั โพช เชน่ ท่ไี ด้จากวัดมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบรู ณ์ (รูปท่ี ๘.๗๐) แสดงให้เห็นการผสมผสานกันระหว่างเครื่องทรงจากเมืองพระนคร เช่น อุณหิส กุณฑล กรองศอ พาหุรัด ทองพระกร ทองพระบาท กับค่านิยมท้องถิ่น ดังเช่นขอบสบงด้านบนที่เว้าลงใต้ พระนาภี คาดดว้ ยรดั ประคด และหน้านางท่ปี ราศจากลวดลาย ส่วนองค์ท่ีได้จากจังหวัดสิงห์บุรี (รูปท่ี ๘.๗๑) ไม่สวมอุณหิส พระเกศาเป็นเส้นถัก พระรัศมี เป็นกรวยเรียบ มีกระจังที่หน้าพระนลาฏ และเหนือพระกรรณ ทรงกุณฑล กรองศอ ทองพระกร ขอบสบงด้านบนคาดด้วยรัดพระองค์ ป้ันเหน่งลายประจำยาม ชายจีวรและชายหน้านางของสบงงอน รับกัน คล้ายกับของพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามสมุทร “แบบคอมมาย” ของวัดพระเชตุพนวิมล- มังคลาราม (ดูรูปท่ี ๘.๕๓) พระพุทธปฏิมาในกลุ่มน้ีน่าจะสร้างข้ึนในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครง่ึ หลงั ครสิ ต์ ศตวรรษท่ี 13) รูปที่ ๘.๗๐ พระสมณโคดมยืน รูปที่ ๘.๗๑ พระสมณโคดมยืน ยกพระหตั ถท์ งั้ สองข้างประทานอภัย ทรงเครือ่ ง ยกพระหตั ถ์ท้งั สองข้างประทานอภยั ทรงเคร่ือง ขดุ ได้จากพระเจดียห์ ลงั พระอโุ บสถวดั มหาธาตุ อำเภอเมอื งฯ จังหวดั เพชรบรู ณ ์ พบทจ่ี ังหวัดสิงห์บุรี คร่ึงแรกพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ ครง่ึ แรกพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครง่ึ หลงั ครสิ ต์ศตวรรษที่ 13) (ครงึ่ หลงั ครสิ ต์ศตวรรษที่ 13) สัมฤทธิ์ สงู ๒๕ เซนติเมตร สัมฤทธิ์ สูง ๓๔.๖ เซนติเมตร พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เชยี งใหม ่ สมบัติเอกชน ๔๒๘ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณ์พุทธศลิ ป์ไทย
พระพุทธปฏิมายนื ๓๕
รปู ที่ ๘.๗๒ พระสมณโคดมยืน ๑๓.๒ พระพุทธปฏิมายนื ปางสมุทรหา้ ม ทรงเคร่อื ง สมยั อยุธยา ยกพระหตั ถท์ ง้ั สองขา้ งประทานอภยั ทรงเคร่อื งใหญ่ กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (๑) ชว่ งเมอื งลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) (ปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15 – ต้น 16) สมั ฤทธ์ิ องค์พระสูง ๑.๐๘ เมตร พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามสมุทร ทรงเครื่อง น่าจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นท่ีระลึกแทนพระองค์ พระ วิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพติ รดสุ ิตวนาราม มหากษตั รยิ ์ พระมเหสี พระราชโอรส และพระราชธิดา เชน่ พระรูปพระบรมดิลก พระราชธดิ าในสมเดจ็ กรุงเทพมหานคร พระมหาจกั รพรรดิ์ ท่พี ระเจ้าหงสาวดฟี นั ด้วยพระแสงงา้ วตกจากช้างทรงสน้ิ พระชนม์ เมอื่ ครัง้ พระองค์ รปู ท่ี ๘.๗๓ พระสมณโคดมยืน ทรงปลอมเป็นบุรุษออกศึกแทนพระราชบิดาท่ีทรงพระประชวรไม่สามารถที่จะทำยุทธหัตถีได้ เมื่อ ยกพระหตั ถ์ทั้งสองขา้ งประทานอภัย พระราชทานเพลิงศพแล้ว จงึ ก่อพระเจดยี บ์ รรจพุ ระอฐั ิ และ ทรงเครอื่ งใหญ่ กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 15 – ตน้ 16) พระมหาจักรวรรดิ์พระมหาเทวี ทรงพระเสน่หาอาไลยในพระราชธิดา ดังพระชนม์ สัมฤทธ์ิ สงู ๕๗.๕ เซนติเมตร ชีพของพระองค์ จึงรับสั่งให้ช่างหล่อพระรูปพระบรมดิลกด้วยทองคำหนัก พระทีน่ ง่ั อมั พรสถาน พระราชวังดสุ ิต ๒๗๐ บาท ประดับดว้ ยเพช็ ร์ พลอย นลิ ทบั ทิม มรกฎตา่ งๆ ควรคา่ ถึง ๕๐๐๐ คร้ันเสร็จแล้วให้เชิญพระรูปพระบรมดิลกนั้นเข้าไปไว้ข้างที่พระบรรธม ต่อมา ในรัชกาลหลังจึงให้เชิญพระรูปพระบรมดิลกไปไว้ ณ หอพระ เป็นท่ีสักการบูชา ปรากฏ อยจู่ นทกุ วนั น้ี พระบรมดิลกสิน้ พระชนม์ เมอื่ จลุ ศกั ราช ๙๒๑ ปี (พ.ศ. ๒๑๐๒ / ค.ศ. 1559) (คำให้การชาวกรงุ เก่า ๒๔๕๗, ๗๗ - ๗๘) นอกจากน้ันแล้ว ชาวพระนครศรีอยุธยาท่ีโดนจับไปเป็นเชลยศึกเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งท่ี ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1767) ยังกลา่ วถึงพระเอกาทศรถวา่ ได้โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระรปู สมเดจ็ พระนเรศวร ไว้ในโรงแสงขวา (คำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง ๒๔๕๙, ๑๘) สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อครง้ั เปน็ เจ้าพระยาศรีสุรยิ วงษ์ “ทำรปู ภรรยาเกา่ ทัง้ สองคนท่ีตายไปแล้วนน้ั ทำรปู ไว้ทว่ี ดั ราชหุลาราม แล้วจาฤกช่อื ไว้ทฐี่ านน้ัน” (เรอ่ื งเดยี วกนั , ๒๗) ในบริบทของวฒั นธรรมไทย พระรูปท่กี ลา่ วถึงข้างตน้ นี้ มิได้เป็นภาพเหมอื นเฉกเชน่ ภาพเหมือน ของชาวตะวันตก แตเ่ ป็นพระพุทธปฏมิ ายืน ปางห้ามสมทุ ร ทรงเคร่อื งทถี่ วายพระนามตามพระนามของ พระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงอุทิศพระราชกุศลถวาย ท้ังนี้ พระบรมรูปท่ีสร้างขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์- ศิลปะไทย ได้แก่ พระบรมรูป ๔ รัชกาลที่ประดิษฐานในปราสาทพระเทพบิดร ที่พระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวโปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ. 1871) จากหลักฐานที่พบพระพุทธปฏิมาในพระอุระและพระพาหาเบ้ืองซ้ายพระมงคลบพิตร จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ปรากฏว่าพระพุทธปฏิมายืนปางห้ามสมุทร ทรงเครื่องน้อย คือทรงสวมแต่ พระอณุ หสิ และทรงเคร่ืองใหญ่ คอื สวมอณุ หิส กรองศอ พาหรุ ัดทองพระกร และห้อยทับทรวงน้ัน ถูก สร้างขน้ึ ในระยะเวลาเดียวกันทง้ั สองแบบ (ณัฏฐภทั ร ๒๕๔๙, ๑๖ – ๒๓) พระพุทธปฏิมาทีอ่ าจจะสร้าง ข้ึนในช่วงกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 – ตน้ 16) คือก่อนทจ่ี ะบรรจลุ งในพระอุระ และพระพาหาของพระมงคลบพิตรนนั้ มีลักษณะทรี่ ว่ มกันคอื อณุ หิสทำเป็นครบี เหนอื พระกรรณทัง้ สอง ข้าง มงกุฎเป็นพระเมาลีเกล้าซ้อนลดหล่ันกันสามชั้น พระรัศมีเป็นปลียอด นอกจากนั้นแล้วยังมียอด ขนาดเล็กท้ังส่ีด้านล้อมมงกุฎ ทำให้ดูคล้ายกับมงกุฎห้ายอด เช่นพระพุทธปฏิมาในวิหารสมเด็จฯ วัด เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘.๗๒) ส่วนพระพุทธปฏิมาในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รปู ที่ ๘.๗๓) ไมม่ ยี อดเลก็ สีย่ อด อยา่ งไรกต็ าม พระพุทธปฏิมาในหมวดนีท้ ุกองคท์ รงครองจีวรหม่ คลมุ ขอบด้านบนของสบงและหนา้ นางไม่มีลวดลายตกแต่งใด ๆ จวี รด้านข้างผายออกเลก็ น้อยทางตอนล่าง ๔๓๐ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย
พระพุทธปฏิมาท่ีสร้างข้ึนในช่วงปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16) ครีบที่ อุณหิสหายไป เช่น พระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองน้อยในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จังหวัด สุโขทัย (รูปที่ ๘.๗๔) และพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องน้อยมีจารึกปี พ.ศ. ๒๐๘๔ (ค.ศ. 1541) ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (รูปที่ ๘.๗๕) พระพุทธปฏิมาองค์นี้สวมอุณหิส แต่ยังคงไว้ซึ่งเม็ด พระศก พระเมาลแี ละพระรัศมีทรงเปลวสูง รปู ท่ี ๘.๗๔ พระสมณโคดมยืน ยกพระหัตถท์ ง้ั สองขา้ ง รปู ที่ ๘.๗๕ พระสมณโคดมยนื ยกพระหตั ถท์ ้งั สองข้าง ประทานอภัย ทรงเครือ่ งน้อย ประทานอภัย ทรงเคร่ืองนอ้ ย ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ สร้างปี พ.ศ. ๒๐๘๔ (ค.ศ. 1541) (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 16) สัมฤทธิ์ สงู ๑.๘๗ เมตร สมั ฤทธ์ิ สูง ๘๓ เซนติเมตร พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จังหวัดสุโขทยั พระพุทธปฏิมายืน ๔๓๑
(๒) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) ในรชั สมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 - 1688) งานศิลปกรรม จากเปอรเ์ ซยี เข้ามามีอิทธพิ ลต่อการสร้างสรรคง์ านศิลปะในประเทศไทย ทัง้ นีพ้ ระมหากษตั ริยพ์ ระองค์ นน้ั “ทรงใฝ่พระทยั ในศิลปะวิชาการต่างๆ ... รวมท้งั ขนบธรรมเนียมประเพณดี ว้ ย พระองค์ถึงกับทรงหา รปู ภาพทแ่ี สดงถงึ ขนบธรรมเนียมของประเทศอ่ืนๆ ไว้ศกึ ษา” (สำเภากษตั ริย์สุลยั มาน ๒๕๔๕, ๕๑ – ๕๒) นอกจากน้ันแล้ว “ในเขตพระราชฐานของพระเจ้ากรุงสยามนัน้ ... มีเรอื นหลายหลงั สร้างโดยพวกอิหรา่ น” (เร่ืองเดียวกัน, ๗๕) ดังนั้นจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทับทรวงของพระพุทธปฏิมา ทรงเคร่ืองใหญ่ใน พระอโุ บสถวดั ตกึ อำเภอพระนครศรอี ยุธยา (รปู ที่ ๘.๗๖ ก.) จะมลี วดลายที่ดัดแปลงมาจากลายในศิลปะ เปอร์เซีย (รูปที่ ๘.๗๖ ข.) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมาองค์น้ีอาจจะสร้างขึ้นในร่วมสมัยของนายสรศักดิ์ กต็ าม (Listopad 1995, 415) อน่ึง อบิ นิ มุหัมมดั อบิ รอฮมี อาลักษณข์ องคณะราชทตู เปอร์เซียท่เี ขา้ มา ถวายพระราชสาสน์ในปี พ.ศ. ๒๒๒๙ (ค.ศ. 1686) ยังบนั ทึกไวด้ ้วยวา่ สมเดจ็ พระนารายณ์ “เม่ือทรงตน่ื จากบรรทมแล้วกท็ รงสรงและเปล่ียนพระภษู า แลว้ กเ็ สดจ็ ไปกราบพระพทุ ธปฏิมาท่ีวัด รวมทั้งรปู ปน้ั ของ พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม” (สำเภากษัตริย์สุลัยมาน ๒๕๔๕, ๗๕) รูปปั้น ของพระบรมวงศานุวงศ์ดังกล่าวหมายถึงพระพุทธปฏิมาฉลองพระองค์น่ันเอง ข้อมูลดังกล่าวได้รับการ สนับสนุนจากการวิเคราะห์พระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองฉลองพระองค์ในพระบรมมหาราชวังของพิชญา สุ่มจินดา ท่ีได้ข้อสรุปว่า พระพุทธปฏิมาฉลองพระองค์ “ส่วนใหญ่มักสร้างข้ึนในขณะท่ีเจ้านายพระองค์ นั้นยังมีพระชนม์อยู่ เพื่อเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติของผู้สร้าง เพราะต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองรวมท้ัง ฝีมอื ชา่ งท่ีประณตี เป็นอนั มาก ในการสร้างพระพุทธปฏมิ าแต่ละองค์” (พชิ ญา ๒๕๕๐, ๑๑๗) รปู ที่ ๘.๗๖ ก. พระสมณโคดมยนื ยกพระหตั ถ์ทงั้ สองขา้ งประทานอภัย ทรงเครอื่ ง กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ (ปลายคริสตศ์ ตวรรษที่ 17 – ต้น 18) สัมฤทธ์ิ พระอุโบสถวดั ตึก อำเภอพระนครศรอี ยธุ ยา จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา รปู ท่ี ๘.๗๖ ข. ทบั ทรวงของพระพทุ ธรูป (รปู ท่ี ๘.๗๖ ก.) ๔๓๒ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย
รูปที่ ๘.๗๗ เศยี รพระสมณโคดม - แบบกำแพงเพชร ยนื ยกพระหัตถ์ทัง้ สองข้างประทานอภยั ทรงเคร่ืองใหญ่ เศียรพระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองใหญ่ สวมอุณหสิ ท่มี ีลวดลายคล้ายกับอณุ หิสของพระพุทธปฏิมา กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ ปางห้ามสมทุ รทรงเคร่อื งน้อยในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ดูรูปที่ ๘.๗๕) เวน้ แตล่ ายประจำยาม (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16 – ตน้ 17) ตรงกลางไม่มีกรอบ พระพักตร์ของพระพุทธปฏิมาองค์นี้แสดงเอกลักษณ์ของพระพุทธปฏิมาแบบ สมั ฤทธิ์ กำแพงเพชร (ดรู ูปที่ ๕.๑๔๕ - ๕.๑๔๖) คอื พระขนงเปน็ เส้นคมโคง้ จรดกนั กลางสนั พระนาสกิ (รปู ท่ี ๘.๗๗) สมบตั ขิ องเอกชน - แบบนครศรีธรรมราช พระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองใหญ่ท่ีสร้างนอกเขตวงราชธานีที่สำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาวัด หนา้ พระลาน อำเภอเมืองฯ จงั หวดั นครศรีธรรมราช (รปู ท่ี ๘.๗๘) มีจารึกวา่ สรา้ งเม่อื ปี พ.ศ. ๒๒๔๐ (ค.ศ. 1697) ในสมัยสมเด็จพระเพทราชา (ประทุม ๒๕๑๕, ๗๒) ทรงสวมมงกุฎยอดน้ำเต้า กุณฑล กรองศอ พาหุรัด ทองพระกร ขอบสบงตอนบนเว้ารับกับพระนาภี คาดด้วยรัดพระองค์ หน้านาง แกะเป็นลาย พระขนงเป็นเส้นโค้งบรรจบกันที่พระนลาฏเหนือสันพระนาสิก พระเนตรเหลือบต่ำ พระโอษฐ์รูปกระจบั ส่วนพระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองใหญ่ วัดโพธาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (รูปท่ี ๘.๗๙) น่าจะสร้างข้ึนท่ีกรุงศรีอยุธยา เพราะเครื่องทรงเป็นรูปแบบที่สร้างขึ้นในวงราชธานีช่วงรัชกาล สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ทรงมงกุฎยอด น้ำเต้า กรรเจียกแต่งด้วยกระจัง ทรงกุณฑล กรองศอ ห้อย ทบั ทรวง สังวาลย์ไขว้ ขอบเป็นกระจัง ทรงพาหุรดั ทองพระกร ทองพระบาท สวมพระธำมรงค์ในทุก นิ้วพระหัตถ์ ทรงพระภูษาลายดอกทับสบง คาดด้วยรัดพระองค์และห้อยสุวรรณกระถอบที่ด้านหน้า ปลายขอบจวี รด้านข้างหอ้ ยลงเป็นมมุ แหลม ดา้ นในตกแต่งดว้ ยลายกระจงั ตาอ้อย เป็นท่ีน่าเสียดายว่าพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องฉลองพระองค์ของพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า และของพระบรมวงศานุวงศ์สมัยอยุธยาได้อันตรธานไปพร้อมกับการเสียกรุงคร้ังท่ี ๒ จึงไม่สามารถที่ จะคาดคะเนความวิจิตรตระการตาของพระพุทธปฏิมาเหล่าน้ีได้ แต่ก็เชื่อได้ว่าคงจะมีความอลังการ ไม่น้อยไปกวา่ พระพุทธปฏิมาทรงเครือ่ งฉลองพระองคข์ องสมัยรตั นโกสินทร ์ รูปท่ี ๘.๗๘ พระสมณโคดมยนื รปู ท่ี ๘.๗๙ พระสมณโคดมยนื ยกพระหตั ถ์ท้ังสองขา้ งประทานอภัย ยกพระหตั ถท์ ั้งสองข้างประทานอภัย ทรงเครื่องใหญ่ ทรงเครอื่ งใหญ่ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๒๔๐ (ค.ศ. 1697) ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ สมั ฤทธิ์ สูง ๒.๗๕ เมตร (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18) วดั หนา้ พระลาน สัมฤทธิ์ องค์พระสงู ๑.๓๓ เมตร อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั นครศรธี รรมราช วัดโพธาราม อำเภอไชยา จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี พระพทุ ธปฏมิ ายนื ๔๓๓
๑๓.๓ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มสมทุ ร ทรงเครื่อง สมยั รตั นโกสินทร์ พระพุทธปฏิมาทรงเครื่อง ที่สร้างในเมืองชั้นเอกที่สำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาของเจ้าพระยา นครศรีธรรมราช (พฒั น)์ (รูปท่ี ๘.๘๐) ซึ่งนา่ จะสรา้ งขึ้นเมือ่ คร้ังพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ แต่งต้ัง ให้เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ (ค.ศ. 1784) (ประชุม พงศาวดาร เล่ม ๒, ๒๕๐๖, ๒๒๑ – ๒๒๗) ดังน้ันพระพุทธปฏิมาองค์น้ีจึงเลียนแบบตามพระ พุทธเพชรรัตน์ (ดูรูปที่ ๓.๖๓ ก.) และพระพุทธเนาวรัตน์ (ดูรูปที่ ๓.๖๔ ก.) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระ พทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างขนึ้ “อย่างใหม”่ คอื ห่มดอง เพ่อื ทจ่ี ะทรงเครอื่ งต้นใหแ้ นบเนียน ส่วนพระพุทธปฏมิ าที่วดั วงั ตำบลลำปำ อำเภอเมืองฯ จังหวดั พทั ลุง (รปู ที่ ๘.๘๑) ทรงครองจีวร ห่มคลุม “มปี กี แลครบี พระกรอยา่ งโบราณ” พระพุทธปฏิมาองค์น้เี ดมิ ประดิษฐาน อยหู่ น้าพระประธานใน พระอุโบสถ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ พระพุทธปฏิมาทรงเครื่องของพระยาพทั ลงุ (ทับ) ซง่ึ พระบาทสมเด็จ พระน่งั เกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงแตง่ ต้ังขนึ้ เป็นพระยาพัทลุง ในปี พ.ศ. ๒๓๙๓ (ค.ศ. 1850) ในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ (ค.ศ. 1857) ท่านขออุปสมบทท่ีวัดวัง แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ไป อุปสมบทท่ีวัดพระศรีรัตนศาสดารามในคณะธรรมยุติกนิกายแทน โดยพระราชทานเหตุผลว่าเพ่ือเป็น เกยี รตแิ ก่วงศต์ ระกูล (สารูป ๒๕๒๘, ๑๔๗) นอกจากน้นั แล้ว พระยาพัทลุง (ทับ) ยังเปน็ ผู้ทำการบรู ณ- ปฏสิ งั ขรณว์ ดั วังในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ (ค.ศ. 1860) อีกดว้ ย (ชัยวุฒิ ๒๕๒๔, ๑๔๓) จึงเป็นไปไดว้ า่ พระพุทธปฏมิ า ทรงเครอ่ื ง ของพระยาพัทลุง (ทับ) นน้ี า่ จะสรา้ งขึน้ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๓๙๓ – ๒๔๐๐ (ค.ศ. 1850 - 1857) รปู ที่ ๘.๘๐ พระพทุ ธรปู ทรงเครื่อง รปู ท่ี ๘.๘๑ พระพุทธรูปทรงเคร่ืองของพระยาพัทลงุ (ทบั ) ของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พฒั น์) สรา้ งปี พ.ศ. ๒๓๙๓ – ๒๔๐๐ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๓๒๗ (ค.ศ. 1784) (ค.ศ. 1850 - 1857) สมั ฤทธิ์ ลงยา สมั ฤทธิ์ องคพ์ ระสูง ๑.๗๗ เมตร วดั พระบรมธาตุ วดั วงั อำเภอเมืองฯ จงั หวดั นครศรีธรรมราช ตำบลลำปาํ อำเภอเมืองฯ จังหวัดพทั ลงุ ๔๓๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย
ถึงแม้ว่าจะมีการสร้างพระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองใหญ่บ้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบรมวงศานุวงศ์และ ข้าราชการ เช่นองค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (รูปท่ี ๘.๘๒) ที่มีการประดิษฐ์ดอกไม้ไหว ประดับเพ่มิ เตมิ บนพระมหามงกุฎ สรา้ งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ (ค.ศ. 1868) แตก่ ารสร้างพระพทุ ธปฏิมาเช่นนี้ กม็ ีเป็นจำนวนน้อย และเมอื่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งพระบรมรปู ๔ รัชกาลตามแนวทางศิลปะรูปเหมือนของชาวตะวันตกเม่ือแรกเสวยราชย์ ตามพระราชประสงค์ของ สมเด็จพระบรมชนกนาถ ตามท่ีสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กราบทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพวา่ เป็นพระราชดำริของทูลกระหม่อม (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) โดยพระราชประสงค์จะทรงสร้างข้ึนไว้สักการบูชาในฐานเป็นพระเทพบิดรแห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ เดิมทีทรงพระราชดำริจะตั้งในวิหารยอด รวมกับพระเทพ บิดรกรุงศรีอยุธยา แต่ภายหลังทรงพระราชดำริว่าคับแคบนัก จึงทรงสร้าง พระพุทธปรางคปราสาทขึ้น โดยพระราชประสงค์จะตั้งพระบรมรูป แต่ พระพุทธปรางค์ยังไม่แล้วก็มิได้สร้างพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้า หลวง จึงทรงสรา้ งตอ่ ตามพระราชดำริ (ศิลปากร ๒๕๑๒, ๔๑) รูปท่ี ๘.๘๒ พระสมณโคดมยนื ปางหา้ มสมุทร ไดจ้ ากวดั วิเศษการ ธนบรุ ี สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๑๑ (ค.ศ. 1865) สัมฤทธ์ิ สูง ๒.๔๘ เมตร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร พระพุทธปฏมิ ายืน ๔๓๕
สว่ นทีจ่ ะสรา้ งพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองคข์ องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว น้นั สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ทรงเล่าวา่ เมื่อรัชกาลที่ ๕ เคยมีการปรึกษาถึงเร่ืองสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ทูลกระหม่อม แต่เห็นกันเป็นยุติว่าในรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงสร้างพระบรมรูป ฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆ ขึ้นสักการบูชาเช่นเดียวกับ เคยสร้างเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์มาแต่ก่อนแล้ว แต่นั้นเรื่องสร้าง พระฉลองพระองคก์ เ็ ปน็ อันเลิก (สาสน์ สมเดจ็ เลม่ ๑๔ ๒๕๐๔, ๑๘๑) อน่ึง จากเนื้อหาข้างต้นเห็นได้ว่า พระบรมรูปเหมือน ๔ รัชกาล ที่ประดิษฐานในปราสาทพระ เทพบิดร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวังน้ัน (ดูรูปที่ ๓.๗๑ ก - ง) เป็นการสับเปล่ียน พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามสมุทรทรงเคร่ือง กับภาพเหมือนจริงตามแนวศิลปะตะวันตก มิได้สร้างข้ึน แทนเทวรูปในศาสนาพราหมณล์ ทั ธเิ ทวราช ดังทค่ี วอริช เวลส์ สนั นิษฐาน (Quaritch Wales 1931, 170) ตามทฤษฎีลัทธิเทวราชของยอร์ช เซเดส์ ที่กล่าวว่าเทวรูปของเขมรเป็นภาพเหมือนของกษัตริย์และ พระราชวงศานวุ งศ์ ซ่งึ เมอ่ื สวรรคตและส้นิ พระชนม์ไปแลว้ จะไปเปน็ องคห์ นึ่งองค์เดยี วกบั เทพหรอื เทวนารี ที่พระองค์ทรงเล่อื มใสศรัทธา (ยอรช์ เซเดส์ ๒๕๒๙, ๓๕ – ๕๑) แต่ปัจจุบันนเ้ี ชื่อกันวา่ ลัทธิเทวราชท่ีเซเดส์ เสนอนน้ั เปน็ การตคี วามคำว่า “เทวราช” ท่คี ลาดเคลื่อน เพราะว่า “เทวราช” หมายถงึ “พระราชาของ เหลา่ เทพ ซงึ่ ได้แก่พระศิวะ” มิใช่ “พระราชาผู้ทรงเปน็ เทพ” (Kulke 1978, 13 – 14) อย่างไรกต็ าม ก็ยงั มีผู้ท่ีเช่อื ถอื ทฤษฎขี องยอร์ช เซเดส์ อยู่มาก ประเพณีการสร้างพระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองฉลองพระองค์ถูกนำกลับมาอีกคร้ังหนึ่ง เม่ือพระบาท สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ. 1999) รฐั บาลโดยมีนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตหล่อพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร มหามงคลเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษา ๖ รอบ (ดูรูปที่ ๓.๔๑) เป็นพระพุทธปฏิมาทรงเครื่อง ห่มคลมุ ทรงพระมหามงกุฎกะไหล่ทอง ประดบั อัญมณี ขนาดสูงเทา่ กับพระองค์ เพื่อถวายแด่พระบาท สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว (ศลิ ปากร ๒๕๔๓ ข, ๙๑) เนื่องในโอกาสมหามงคลน ี้ รปู ท่ี ๓.๔๑ พระพทุ ธรปู ปางหา้ มสมทุ ร มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ. 1999) ทองเหลือง กะไหลท่ อง สงู ๑.๗๒ เมตร หอพระมณเฑียรธรรม วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั (ภาพจากหนงั สอื พระพทุ ธปฏมิ า ในพระบรมมหาราชวงั ) ๔๓๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย
รปู ท่ี ๘.๘๓ พระสมณโคดมยืน อมุ้ บาตร หมวด ฐ. สร้างปี พ.ศ. ๒๐๐๘(ค.ศ. 1465) ปางอมุ้ บาตร สัมฤทธิ์ สงู ๑.๗๓ เมตร วหิ ารวดั เชียงมั่น อำเภอเมืองฯ จงั หวัดเชยี งใหม ่ ๑๔. พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางอุม้ บาตร พระพุทธปฏิมายืนปางอุ้มบาตรปรากฏข้ึนครั้งแรกในนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกา เป็นท่ีนิยมในล้านนา อยุธยา และเป็นท่ีแพร่หลายในสมัยรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันใช้เป็นพระพุทธปฏิมา ประจำวนั ของผู้ท่ีเกดิ ในวันพธุ กลางวนั ๑๔.๑ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร สมัยลา้ นนา (๑) ชว่ งอาณาจักรล้านนา - ยคุ รงุ่ เรอื ง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) พระพุทธปฏิมาที่มีจารึกที่เก่าสุดของบรรดาพระพุทธปฏิมาล้านนาท้ังหมดท่ีพบในปัจจุบัน ได้แก่ พระพทุ ธปฏิมายนื ปางอุ้มบาตร วัดเชียงมั่น อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั เชยี งใหม่ (รปู ที่ ๘.๘๓) มีจารึกระบุ จุลศักราช ๘๒๗ (พ.ศ. ๒๐๐๘ / ค.ศ. 1465) (ฮนั ส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๕๕ – ๕๖) คอื ในสมัยของพระเจา้ ตโิ ลกราช เป็นพระพุทธปฏิมาห่มคลุม สองพระหัตถป์ ระคองบาตรในระดบั พระเพลา พระรัศมแี ละบาตร เดมิ น้นั ไดอ้ นั ตรธานหายไป ชายจีวรทงั้ สองด้านทำเป็นชายผา้ พร้ิวรับกับชายพร้วิ ของสบงดา้ นล่าง (๒) ชว่ งประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๗ (ค.ศ. 1774 - 1899) พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางอุ้มบาตร วัดพระเจา้ สะเลยี มหวาน อำเภอบา้ นโฮ่ง จงั หวดั ลำพูน (รปู ที่ ๘.๘๔) สลักจากไม้สะเลียม (สะเดา) ซึง่ น่าจะจำลองแบบมาจากพระพุทธปฏิมาของพิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เชียงแสน มีจารกึ ปี พ.ศ. ๒๑๒๑ (ค.ศ. 1578) (Stratton 2004, 208) กล่าวคือ ขอบจีวรด้านขา้ ง ห้อยขนานกับพระเพลาและพระชงฆ์ ชายผายออก ส่วนชายจีวรด้านล่างสั้นกว่าชายสบงเล็กน้อย แต่ องค์ของวดั สะเลยี มหวานนา่ จะสลักข้นึ ในช่วงคร่ึงหลงั พุทธศตวรรษที่ ๒๔ (ครง่ึ แรกครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19) รปู ท่ี ๘.๘๔ พระสมณโคดมยืน อมุ้ บาตร ครงึ่ หลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๔ (ครง่ึ แรกคริสต์ศตวรรษที่ 19) ไมส้ ะเดา พระวิหาร วัดพระเจ้าสะเลยี มหวาน อำเภอบ้านโฮง่ จังหวัดลำพูน พระพุทธปฏิมายนื ๔๓๗
รปู ท่ี ๘.๘๕ พระสมณโคดมยนื อ้มุ บาตร ๑๔.๒ พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางอมุ้ บาตร สมัยอยธุ ยา กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16 – ตน้ 17) สัมฤทธ์ิ ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา พระพุทธปฏมิ ายนื ปางอุ้มบาตรในพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ จันทรเกษม จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปท่ี ๘.๘๕) ทรงครองจีวรในลักษณะเดียวกันกับพระโลกนาถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ดูรูปท่ี ๘.๔๙) คือชายจีวรด้านหน้ายกร้งั ข้ึนไปทบี่ น้ั พระองค์ดา้ นซา้ ยใต้พระกัปประ ซงึ่ เปน็ ไปตามธรรมชาตขิ อง พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย แต่เม่ือเป็นพระพุทธปฏิมาที่พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกขึ้น ประคองบาตร ริ้วจีวรดังกล่าวจึงดูไม่สมเหตุสมผลและแสดงให้เห็นว่าช่างผู้สร้างพระพุทธปฏิมานั้น อาจจำลองแบบมาจากพระพทุ ธปฏมิ ายนื ยกพระหัตถซ์ ้ายประทานอภัย ปางห้ามญาต ิ ในทางตรงกนั ข้ามพระพทุ ธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร วดั เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม (รปู ที่ ๘. ๘๖) จำลองแบบมาจากพระพุทธปฏมิ ายืน ปางหา้ มญาติ เพราะริว้ ของจวี รด้านหน้าพาดพระชงฆแ์ ละพระเพลา ไปสูใ่ ตพ้ ระกัปประด้านขวา ซ่ึงทัง้ สองตวั อย่างนีน้ า่ จะแสดงให้เห็นว่า อาจจะมีการสร้างพระพทุ ธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตรขน้ึ ในชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16 – ตน้ 17) และนา่ จะได้รบั แรงบันดาลใจจากลา้ นนา พระพทุ ธปฏิมายืน ปางอุม้ บาตร เป็นที่นิยมท่อี าณาจักรอยุธยาในชว่ งปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 18) อันเหน็ ได้จากหลวงพ่อวัดบา้ นแหลม วัดเพชรสมทุ ร อำเภอเมืองฯ จังหวดั สมุทรสงคราม (รูปที่ ๘.๘๗) ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทรในพระวิหารยอด วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ดูรูปที่ ๘.๖๓) เช่น พระเมาลีใหญ่ พระรัศมีเป็นเปลวสูง ขอบจีวรด้านข้าง ผายออกทางด้านล่างและห้อยลงทม่ี ุม อนึง่ หลวงพอ่ บ้านแหลมเป็นพระพุทธปฏิมา ๑ ใน ๓ องค์ ซึ่งเป็นพีน่ ้องกัน พ่ีใหญ่คอื หลวงพอ่ บ้านแหลม รองลงมาคือหลวงพอ่ โสธร วัดโสธรวราราม อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดฉะเชิงเทรา องค์น้องสุด ทอ้ งคือหลวงพ่อโต วดั บางพลีใหญใ่ น อำเภอบางพลี จังหวัดสมทุ รปราการ (ดรู ูปที่ ๕.๑๔๔) ท้ัง ๓ องค์ แสดงอภินิหารโดยการลอยตามน้ำมา แต่ในท่ีสุดก็ข้ึนฝั่งตามสถานท่ีข้างต้น ในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ (ค.ศ. 1873) เกิดอหิวาตกโรคระบาด เจ้าอาวาสวัดบ้านแหลมฝันว่า หลวงพ่อบ้านแหลมได้ประทานคาถา บทหน่ึง โดยให้ไปดูที่พระหัตถ์ของหลวงพ่อ ปรากฏว่ามีคาถาอยู่ที่พระหัตถ์ทั้งซ้ายและขวา และเม่ือจด คาถานน้ั ไปทำนำ้ มนต์ให้ชาวบา้ นดม่ื ผทู้ ่ปี ่วยจงึ หายจากโรค กติ ติศัพท์ความศกั ด์สิ ิทธ์ขิ องหลวงพ่อจึงเป็น ทีเ่ ลอื่ งลือตงั้ แตน่ นั้ มา (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๓๖๘ – ๓๗๐) รูปท่ี ๘.๘๖ พระสมณโคดมยนื อมุ้ บาตร กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ (ปลายคริสตศ์ ตวรรษที่ 16 – ตน้ 17) สัมฤทธ์ิ องค์พระสงู ๑.๓๐ เมตร วิหารสมเด็จฯ วดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม กรุงเทพมหานคร ๔๓๘ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
รูปท่ี ๘.๘๗ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 18) สมั ฤทธ์ิ สงู ๑.๖๗ เมตร วดั เพชรสมทุ ร อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั สุมทรสงคราม พระพุทธปฏิมายนื ๔๓๙
รูปที่ ๘.๘๘ พระสมณโคดมยืน อุ้มบาตร ๑๔.๓ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางอุ้มบาตร สมัยรตั นโกสินทร ์ ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19) สมั ฤทธิ์ สูง ๑.๕๖ เมตร พระพุทธปฏมิ ายืน ปางอุ้มบาตร เป็นท่นี ยิ มในสมยั รตั นโกสนิ ทร์เพราะถือกันวา่ เปน็ พระพทุ ธปฏิมา พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ ประจำวันพธุ เช่นพระพุทธปฏิมาในพพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ นครศรีธรรมราช (รปู ที่ ๘.๘๘) ซง่ึ แสดงให้ นครศรีธรรมราช เห็นความเรียบง่ายของพระพุทธปฏิมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว เฉกเช่นพระ พทุ ธปฏมิ ายนื ปางห้ามญาติ จากวัดสุนทราวาส อำเภอควนขนนุ จังหวัดพัทลงุ (ดรู ปู ที่ ๘.๓๖) ความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาปางอุ้มบาตร อนั เป็นพระพุทธปฏมิ าประจำวนั พุธนน้ั เหน็ ได้จาก ทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวทรงพระราชนิพนธ์ไวว้ า่ พระพุทธปฏิมาพระชนมพรรษา [ประจำ] วัน... เป็นธรรมเนียมมีขึ้นในแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวเมอื่ ปลายๆ ลงมาแล้ว ทา่ นทรงสร้างพระ พทุ ธปฏมิ าด้วยทองคำยนื อมุ้ บาตรสององค์ หนกั องค์ละ ๑ ชั่ง ๕ ตำลงึ ฐาน เงินก้าไหล่ทอง บาตรน้ันใช้ศิลาทองเมืองจีน มีฝาทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี ทรงพระอุทิศส่วนพระกุศลถวายฉลองพระคุณแด่สมเด็จพระอัยกาธิราช คือ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก ซ่งึ ประสูติวันพธุ แรม ๕ ค่ำ เดอื น ๔ ปีมะโรงอัฐศก ศักราช ๑๐๙๘... อีกพระองค์หนึ่ง... ทรงพระราชอุทิศส่วน พระราชกศุ ลถวายฉลองพระเดชพระคุณแดส่ มเดจ็ พระบรมชนกนาถ คือพระบาท สมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย ซงึ่ ประสูตใิ นวันพธุ ขน้ึ ๔ ค่ำ เดือน ๗ ค่ำปกี ุน นพศก ศกั ราช ๑๑๒๙ (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ๒๕๐๗, ๙๘ – ๑๐๐) พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ดูรูปท่ี ๓.๔๒) และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพุทธลักษณะคล้ายกันทุกประการ แม้กระท่ังบาตรลงยา ลายกุดั่นก้านแย่ง ก็เหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ตรงท่ีบาตรของพระพุทธปฏิมาองค์หลัง ไม่มีใบค่ัน ระหว่างกลบี ดอกกดุ ัน่ พระพุทธปฏิมาทั้งสององค์น้ี น่าจะจำลองจากพระพทุ ธปฏิมาประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ปรับเปลี่ยนพระหัตถ์จากปางห้ามสมุทรเป็นปางอุ้มบาตร (ดูรูป ท่ี ๓.๔๔) กล่าวคือ มพี ระเมาลขี นาดใหญ่ทรงโอคว่ำ พระรศั มีเปลว ครองจีวรห่มคลมุ ขอบจีวรด้านข้าง หอ้ ยขนานกบั พระเพลาและพระชงฆ์ ชายจีวรด้านลา่ งโค้งหยกั เป็นมมุ แหลม ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881) พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้าง พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (สุริยวุฒิ ๒๕๓๕, ๓๙๐) (ดรู ปู ท่ี ๓.๔๙) เม่ือคร้ังดำรงพระอสิ ริยยศเป็น สมเด็จพระนางเจา้ สว่างวฒั นา พระบรมราชเทวี พระอัครมเหสี ในฐานะท่ีทรงเป็นพระชนนีของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้า มหาวชิรณุ หศิ สยามมกุฎราชกุมาร (มูลนธิ ิสมเดจ็ พระพันวสั สาอัยยิกาเจา้ ๒๕๔๙, ๒๐) พระพทุ ธปฏมิ าองค์ น้ีมีพระเมาลีเตี้ย รองรับพระรัศมีเปลวลงยา ทรงครองจีวรห่มแหวกแบบพระภิกษุคณะมหานิกาย จีวร ทำเป็นรว้ิ ตามธรรมชาต ิ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารของ พระองคใ์ นปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หรือ ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1926 หรอื 1927) (สรุ ยิ วุฒิ ๒๕๓๕, ๔๕๔) พระองคท์ รง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเทพรจนาปั้นพระพุทธปฏิมายืนอุ้มบาตรถวาย (ดูรูปท่ี ๓.๕๒) พระเศียร เลียนแบบพระพุทธปฏิมาอินเดียแบบคันธาระ หรือคันธารราษฎร์ คือพระเกศาเกล้าพระเมาลี แต่มี พระรัศมีเป็นเปลว ครองจีวรห่มคลุมพาดลูกบวบแบบคณะธรรมยุติกนิกาย จีวรและสบงทำเป็นร้ิวตาม ธรรมชาต ิ ๔๔๐ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขนุ พรหม ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นปีที่ไดท้ ำการสร้างพระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางอุ้มบาตรท่ีวดั อนิ ทรวหิ าร บางขนุ พรหม กรุงเทพมหานคร (รูปท่ี ๘.๘๙) จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ พระพุทธปฏิมาก่ออิฐถือปูนองค์น้ี สมเด็จพระ พุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ทรงสร้างข้ึนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๐ (ค.ศ. 1867) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เม่ือสมเด็จพระพุฒาจารย์มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ (ค.ศ. 1872) การ ก่อสร้างแล้วเสร็จเพียงแค่คร่ึงองค์ (มรดกไทย ๒๕๔๒, ๙๑) เจ้าอาวาสวัดอนิ ทรวหิ ารองค์ตอ่ ๆ มา จึง ดำเนินการจนเสร็จสมบูรณ์ในอีก ๖๐ ปีต่อมา มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธปฏิมายืนครองจีวรห่มแหวก ตามแบบคณะมหานิกาย ถึงแม้ว่าหลวงพ่อโตวัดอินทรวิหาร จะมีพระนามว่า “พระศรีอาริยเมตไตรย์” แต่คนก็ยังเรียกท่านว่า “หลวงพ่อโต” ตามพระนามของผู้สร้างน่ันเอง อน่ึง สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่าน ชอบสร้างพระพุทธปฏิมาขนาดใหญ่ เพ่ือให้เกิดศรัทธาแก่ผู้พบเห็น จนมีวลีกล่าวถึงประวัติของท่านโดย พาดพงิ พระพทุ ธปฏิมาทที่ ่านสรา้ งข้นึ ไว้ตามสถานทีต่ า่ งๆ วา่ “ทา่ นนอนท่อี ยธุ ยา (วดั สะตอื ) มานงั่ ทีไ่ ชโย (ดูรปู ที่ ๕.๓๑) มาโตท่ีวดั อนิ ทร์ จำศลี ทว่ี ัดระฆงั ” (เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกนั ) รปู ที่ ๘.๘๙ หลวงพ่อโต สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๑๐ – ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1867 – 1927) กอ่ อิฐถอื ปนู สงู ๓๒ เมตร วดั อินทรวหิ าร กรงุ เทพมหานคร พระพทุ ธปฏมิ ายืน ๔๔๑
พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางอุ้มบาตรทพ่ี ิริยะ ไกรฤกษ์ ปนั้ ขนึ้ เมื่อบวชเป็นพระภิกษอุ ยู่ทวี่ ัดบวรนเิ วศ- วหิ าร ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ (ค.ศ. 1967) เพือ่ เปน็ พระพทุ ธปฏิมาประจำวนั ของบดิ า คอื นายพพิ รรธน์ ไกรฤกษ์ เม่ือท่านมีอายุครบ ๕ รอบ (รูปท่ี ๘.๙๐) พระพุทธปฏิมาองค์น้ี ได้รับแรงบันดาลใจพระเศียรจาก พระพุทธปฏิมาอินเดียแบบคันธารราษฎร์ท่ีสร้างข้ึนในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษ ที่ 5) แต่องคพ์ ระพทุ ธปฏิมานัน้ ป้ันเป็นภาพเหมอื น โดยได้รบั ความอนุเคราะห์จากพระภกิ ษุวดั บวรนเิ วศ- วิหาร ครองจวี รหม่ คลมุ มว้ นลูกบวบมายนื เป็นแบบให้ และได้รับความเหน็ ชอบจากสมเดจ็ พระญาณสงั วร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ท่ีมีพระดำรัสว่าพระพุทธปฏิมาน้ันจะสร้างข้ึนเป็นแบบใหม่ก็ได้ ไม่ต้องเลียนแบบของ เดิม พร้อมกนั น้กี ย็ ังได้ประทานการปลกุ เสกพระพุทธปฏมิ าใหด้ ว้ ย รูปที่ ๘.๙๐ พระพุทธรปู ประจำวัน พิพรรธน์ ไกรฤกษ์ พริ ิยะ ไกรฤกษ์ ปั้นหนุ่ พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ. 1974) สมั ฤทธ์ิ องค์พระสูง ๓๑ เซนตเิ มตร สมบัตเิ อกชน ๔๔๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ุทธศลิ ป์ไทย
หมวด ฑ. ปางรำพึง ๑๕. พระพทุ ธปฏิมายนื ปางรำพึง พระพุทธปฏิมายนื ยกพระหตั ถ์ขวาทบั พระหัตถ์ซ้ายหน้าพระอุระเรียกว่า “ปางรำพึง” ดังที่กล่าว ถึงใน โคลงชะลอพระพทุ ธไสยาสน์ วัดปา่ โมก จงั หวัดอา่ งทอง ซง่ึ สมเด็จพระเจา้ บรมโกศทรงพระราช- นพิ นธข์ ้ึน เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๐ (ค.ศ. 1727) วา่ ขอพรพระพทุ ธปฏมิ าเรอ้ื ง รำพงึ ตฤกไตรในวาวดึงษ์ ถ่องถว้ น (Griswold and Naฺ Nagara 1970, 195) เม่ือพระพุทธปฏิมาปางรำพึงถูกกำหนดให้เป็นพระพุทธปฏิมาสำหรับผู้ที่เกิดในวันศุกร์ การสร้าง พระพทุ ธปฏมิ าปางนจ้ี ึงเป็นที่นยิ มแพร่หลายข้นึ ในสมยั รัตนโกสินทร ์ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางรำพึง สมยั รัตนโกสินทร์ พระพุทธปฏิมาปางรำพึงท่ีกำหนดอายุได้ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ – ต้น ๒๕ (กลาง รูปท่ี ๘.๙๑ พระสมณโคดมยนื ปางรำพึง คริสต์ศตวรรษที่ 19) ได้แก่องค์ในพระวิหารหลวงพ่อดุสิต วัดสระเกศ (รูปท่ี ๘.๙๑) ทรงครองจีวร ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ – ต้น ๒๕ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19) หม่ ดอง ชายเปน็ แถบยาวจรดพระนาภี จวี รเป็นลายดอก พทุ ธลักษณะคล้ายพระพุทธปฏิมาปางหา้ มสมุทร สัมฤทธ์ิ พระวหิ ารวัดสระเกศ ในพระวิหารยอด วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ดูรูปที่ ๘.๖๓) กรงุ เทพมหานคร หลังจากที่สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟา้ มหาวชิรุณหศิ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคต เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ (ค.ศ. 1894) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงสถาปนาสมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ข้ึนเปน็ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามมกุฎราช กุมาร (ธงทอง ๒๕๒๙, ๑๗) และในปีต่อมา จงึ สถาปนาพระชนนขี องสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้า มหาวชิราวธุ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ขน้ึ เป็นสมเด็จพระนางเจา้ เสาวภาผ่องศรี พระอรรคราชเทวี (เจฟฟรี่ ไฟน์สโตน ๒๕๓๒, ๗๗) และอาจจะสร้างพระพทุ ธรปู ประจำพระชนมวารสมเดจ็ ฯ พระอรรคราชเทวี ซง่ึ ต่อมาดำรงพระอิสสริยยศเป็นสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ (ดูรูปท่ี ๓.๕๐) พระราชทานในปี นั้นด้วย ซึ่งแตกตา่ งจากพระพุทธรูปที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งขึน้ ก่อนหนา้ น้ัน พระพุทธรปู องค์ น้ีมเี ม็ดพระศกเป็นก้นหอยขนาดใหญ่ พระเมาลีสูงใหญ่ พระรัศมีคล้ายกลบี บัวรูปสามเหลย่ี ม ครองจีวร ห่มแหวกมีริว้ เปน็ ธรรมชาต ิ รูปที่ ๓.๕๐ พระพทุ ธรปู ประจำพระชนมวาร สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๓๘? (ค.ศ. 1875?) สัมฤทธ์ิ กะไหล่ทอง องค์พระสูง ๒๑.๓๕ เซนติเมตร หอพระบรมอัฐิ พระท่ีน่ังจกั รีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง (ภาพจากหนงั สือพระพทุ ธปฏิมา ในพระบรมมหาราชวงั ) พระพทุ ธปฏิมายนื ๔๔๓
รปู ที่ ๘.๙๒ พระพุทธวโลกนญานบพติ รสิริกิต-์ิ ธรรมโสตถมิ งคล แก้ว หนองบัว ป้นั และหลอ่ พ.ศ. ๒๕๒๐ (ค.ศ. 1977) พระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวิหาร กรงุ เทพมหานคร (ภาพจากหนังสอื พระพุทธปฏมิ า ในพระบรมมหาราชวงั ) ๔๔๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย
ในช่วงรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ ให้ ภาวาส บุนนาค รองราชเลขาธิการ “แสวงหาพระพุทธปฏิมาโบราณปางรำพึงที่มีพุทธลักษณะสวยงาม เม่ือได้ ทอดพระเนตรแล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้นายแก้ว หนองบัว บ้านช่างหล่อ เป็นประติมากรป้ันหุ่นและหล่อ” (เพลินพิศ ๒๕๓๓, ๓๔) เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร คือประจำวันศุกร์วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว และสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ เสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปทรง เททองหล่อพระพุทธรูป ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ (ค.ศ. 1977) แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ ประดิษฐานบนชุกชี พระพุทธชินสีห์ ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ถวายพระนามพระพุทธรูปว่า “พระพุทธวโลกนญานบพิตรสิริกิต์ิธรรมโสตถิมงคล” (รูปท่ี ๘.๙๒) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมาองค์น้ีจะมี แม่แบบเป็น “พระพุทธรูปโบราณปางรำพึง” แต่ช่างได้ปรับเปล่ียนให้พระพักตร์ พระกร และพระหัตถ์ มีลักษณะคล้ายมนุษย์สามัญ มากกว่าพระพุทธปฏิมา นอกจากนั้นแล้วจีวรก็มีความอ่อนพร้ิวมากกว่า จวี รของพระพทุ ธปฏมิ าตน้ แบบ พระพทุ ธปฏมิ ายืน ๔๔๕
รปู ที่ ๘.๙๓ ซุ้มครง่ึ ซกี ประดิษฐาน หมวด ฒ. พระสมณโคดมลลี าและพระสมณโคดม ปางถวายเนตร ยืนประสานพระหัตถห์ นา้ พระเพลา เขียนช่วง พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ (ค.ศ. 1656 - 1688) จิตรกรรมในอุโมงคพ์ ระมณฑปวัดศรชี มุ ๑๖. พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางถวายเนตร จังหวดั สุโขทัย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงบัญญัตินามพระพุทธปฏิมายืน พระหตั ถข์ วาทับพระหัตถซ์ า้ ยประสานกนั ทีห่ นา้ พระเพลาวา่ “ปางถวายเนตร” เป็นปางและตอนเดยี วกัน กับท่ีกล่าวถึงใน โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก จังหวัดอ่างทอง พระราชนิพนธ์ในสมเด็จ พระเจา้ บรมโกศ ในปี พ.ศ. ๒๒๗๐ (ค.ศ. 1727) วา่ ขอพรพุทธเนตรนา้ ว นำถวาย เจด็ สถารสการ เสมอหมาย มุง่ ไว้ (Griswold and Naฺ Nagara 1970, 196) พระพุทธปฏิมาปางถวายเนตร เป็นที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะใช้เป็นพระพุทธปฏิมา ประจำวันอาทิตย์ แต่ก่อนหน้าที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสจะทรงบัญญัติ “ปางถวายเนตร” ข้ึนมานั้น พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายหน้าพระเพลาก็เป็นที่ แพร่หลายทีอ่ ยุธยา ซงึ่ สง่ อทิ ธพิ ลต่อล้านนาด้วย ๑๖.๑ พระพทุ ธปฏิมายนื ปางถวายเนตร สมัยอยธุ ยา ชว่ งวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายที่พระเพลา น่าจะเป็นท่ีนิยมแพร่หลายขึ้น ในสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 - 1688) ท้ังนีเ้ พราะข้อมลู เทา่ ทมี่ ีอยใู่ น ปัจจบุ ันช้ใี หเ้ หน็ ว่า ไม่น่าจะเก่าไปกว่ารชั กาลนั้น พระพุทธปฏิมาปางถวายเนตร ปรากฏควบคู่กันกับพระพุทธปฏิมาลีลาเช่นจิตรกรรมฝาผนัง ภายในอุโมงค์วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย ท่ีแสดงให้เห็นพระพุทธปฏิมายืนกลุ่มน้ี กับพระพุทธปฏิมาลีลาท่ี ประดิษฐานอยู่ด้านละองคภ์ ายในซุ้มครงึ่ ซกี ของภาพวิหารหลายยอด (รปู ที่ ๘.๙๓) ซงึ่ ซมุ้ ลักษณะนน้ี ิยม ตกแตง่ ปรางคก์ ลีบมะเฟือง เชน่ ปรางคห์ มายเลข ๖ ข. และ ๓๒ ค. ในวัดมหาธาตุลพบรุ ี สรา้ งในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ (พิรยิ ะ ๒๕๔๔ ก, ๗๘) นอกจากน้ันแลว้ พระพุทธปฏิมายนื กลมุ่ น้ีและพระพทุ ธปฏิมา ลีลา ยงั ปรากฏอยอู่ งคล์ ะดา้ นของปรางคก์ ลีบมะเฟืองท่ีวดั มหาธาตุ อำเภอสรรคบรุ ี จังหวดั ชยั นาท (รูปท่ี ๘.๙๔ ก. และ ๘.๙๔ ข.) พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้ายท่ีพระเพลา ยังใช้ตกแต่ง เจดีย์วัดพระแก้ว อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท (รูปท่ี ๘.๙๕) ซึ่งสร้างในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ เชน่ กนั (เรอ่ื งเดยี วกนั , ๘๑) รวมไปถึงเจดีย์ในวัดพระรูป อำเภอเมอื งฯ สุพรรณบุรี ทส่ี ร้างในช่วงระยะ เวลาเดียวกันนน้ั (รูปที่ ๘.๙๖) ยังแสดงให้เหน็ พระพุทธปฏิมายนื ปางถวายเนตร สลบั กบั พระพุทธปฏมิ า ลีลาทเี่ รือนธาตอุ กี ดว้ ย ๔๔๖ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลกั ษณ์พทุ ธศิลป์ไทย
รปู ท่ี ๘.๙๔ ก. พระสมณโคดมยืนประสานพระหตั ถ์หนา้ พระเพลา รูปที่ ๘.๙๔ ข. พระสมณโคดม ลีลา สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ (ค.ศ. 1656 - 1688) (ค.ศ. 1656 - 1688) ปนู ปนั้ ปูนปน้ั พระปรางค์กลีบมะเฟอื ง พระปรางค์กลีบมะเฟือง วัดมหาธาตุ วดั มหาธาตุ อำเภอสรรคบรุ ี จงั หวัดชัยนาท (รปู ท่ี ๘.๙๔ ก) รูปที่ ๘.๙๕ พระสมณโคดมยนื ประสานพระหตั ถ์ท่ีพระเพลา รปู ที่ ๘.๙๖ พระสมณโคดมลีลา สร้างปี พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ และพระสมณโคดมยืน (ค.ศ. 1656 - 1688) ประสานพระหัตถท์ พี่ ระเพลา ปูนปั้น สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ (ค.ศ. 1656 - 1688) พระเจดยี ์วัดพระแกว้ ปนู ปน้ั อำเภอสรรคบุรี จงั หวดั ชัยนาท วัดพระรูป อำเภอเมืองฯ จงั หวดั สุพรรณบุรี พระพุทธปฏมิ ายืน ๔๔๗
พระยืนศิลา ปางถวายเนตรได้จากลพบุรี ประดิษฐานที่มุมพระระเบียงด้านทิศเหนือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘.๙๗) มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาปูนป้ันวัดพระแก้ว อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาทแตกต่างกันตรงที่ไม่มีพระเมาลีและพระรัศมีเท่านั้น จึงอาจจะเป็นรูป พระสาวกก็เปน็ ได้ ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบว่า เหตุใดพระพุทธปฏิมายืนปางถวายเนตร จึงเป็นท่ีนิยมควบคู่กับ พระพทุ ธปฏิมาลลี าในรชั สมยั ของสมเด็จพระนารายณ ์ รปู ที่ ๘.๙๗ พระสาวกยืนประสานพระหตั ถ์ที่พระเพลา จากจังหวดั ลพบุรี สร้างปี พ.ศ ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ (ค.ศ. 1656 – 1688) ศลิ า สงู ๒.๐๓ เมตร มุมพระระเบียงทศิ เหนือ วดั เบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม กรุงเทพมหานคร ๔๔๘ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย
๑๖.๒ พระพทุ ธปฏิมายนื ปางถวายเนตร สมยั ลา้ นนา ช่วงประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมายืน ปางถวายเนตร จะมีจำนวนน้อยมากเม่ือเทียบกับที่สร้างขึ้นที่ อยุธยา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่านิยมสร้างประดับพระสถูป คู่กับพระพุทธปฏิมาลีลา ตัวอย่างที่สำคัญของ ล้านนาไดแ้ ก่ พระพทุ ธปฏมิ าดนุ ยนื ๕ องค์ และลีลา ๓ องค์ ทป่ี ระดิษฐาน อยรู่ ะหว่างลายดอกประจำยาม ทศิ รอบองคร์ ะฆงั ของพระธาตหุ ริภญุ ไชย จังหวัดลำพูน พระพทุ ธปฏิมายนื ๓ องค์ มจี ารึกวา่ องคท์ ่หี นง่ึ ผู้สร้างไม่ออกนาม แต่สันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นกษัตริย์ เพราะปรารถนาท่ีจะเป็น “...ะญาจกัพดัดีราช” (รูปท่ี ๘.๙๘) องค์ท่ีสองพระมหาเถระรูปหนึ่งให้ช่างช่ือ “งาแดง” เป็นคนสร้าง และองค์ท่ีสามพระ สูเมธังกรเป็นผู้สร้าง ส่วนพระพุทธปฏิมาลีลานั้นมีจารึกว่าผู้สร้างเป็น “เจามหาเทวีอนนเปนแมแกเจา พระญาทงงสองพีนอง” นอกจากนั้นแล้ว จารึกยังนิยามปางของพระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาซ้อนทับ พระหตั ถ์ซ้ายประสานกนั ท่หี น้าพระเพลาวา่ “เทสนาแก่คนแลเทพดา” (Penth 1988 – 1989, 352 – 354) พระพุทธปฏิมาดุนท่ีบุรอบองค์ระฆังน้ี เม่ือแรกสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๑๘๗๑ (ค.ศ. 1328) เม่ือพญาแสนภูบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุในปีนั้น โดยเปรียบเทียบรูปแบบศิลปะของพระพุทธ ปฏมิ าบดุ นุ กับรปู ชาดกเขยี นลายสลักเบาในมณฑปวัดศรีชมุ จงั หวัดสุโขทัย ซงึ่ อกั ขรวิธีของจารึกบนรูป ชาดกมีลักษณะคล้ายกันกับจารึกของพระพุทธปฏิมาบุดุนเหล่านี้อีก จึงกล่าวว่าน่าจะสร้างข้ึนในช่วง ระยะเวลาใกลเ้ คียงกนั (Krairiksh, 1988 - 1989, 182 - 183) ต่อมามีผเู้ สนอว่า “เจา้ มหาเทว”ี ที่กลา่ ว ถึงในจารึกพระพุทธปฏิมาลีลา น่าจะได้แก่พระนางจิตราเทวี ผู้มีพระโอรสสองพระองค์ องค์หน่ึงคือ พระเจ้ากือนา และอีกองค์หน่ึงคือท้าวมหาพรหม และทรงสร้างพระพุทธปฏิมาลีลาข้ึนในปี พ.ศ. ๑๙๓๑ (ค.ศ. 1388) (Saisingha 1999, 105 - 106) ล่าสุดมผี ูส้ นั นิษฐานว่า พระเจา้ ติโลกราชทรงสร้างพระพทุ ธ ปฏิมาบุดุน ทั้ง ๘ องค์น้ี เม่ือทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์คร้ังใหญ่ในปี พ.ศ. ๑๙๙๐ - ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1447 - 1448) (Stratton 2004, 152) รูปท่ี ๘.๙๘ พระสมณโคดม ยนื ประสานพระหตั ถ์หน้าพระเพลา (เทศนาในจารกึ ) สร้างปี พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๙ (ค.ศ. 1782 – 1816) ทองจังโก สงู ๒.๐๕ เมตร องคร์ ะฆัง พระธาตุเจดยี ์ วดั พระธาตหุ ริภุญไชย อำเภอเมอื งฯ จังหวัดลำพูน พระพุทธปฏิมายนื ๔๔๙
ปัจจุบันน้ีอายุเวลาของรูปชาดกเขียนลายสลักเบาในมณฑปวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย ที่เคยใช้ เทียบเคียงในการกำหนดอายุเวลาของพระพทุ ธปฏิมาบุดนุ คอื ชว่ งปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ - ตน้ ๒๐ (ราว ค.ศ. 1351 - 1375) (Chirapravati, 2008, 38) นั้นได้เปล่ียนไป คือน่าจะสร้างขึ้นพร้อมกับ พระพุทธบาทเขียนลายสลักเบาบนเพดานอุโมงค์วัดศรีชุม ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 - 1688) (Di Crocco 2004, 106 - 113) และแม้กระท่งั สองปีกอ่ น เสียกรุงศรอี ยุธยาครง้ั ที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1767) ก็เคยมีผเู้ สนอมาแล้ว (พิชญา ๒๕๔๔, ๓๘) ดงั นน้ั การกำหนดอายุเวลาของพระพทุ ธปฏมิ าบดุ นุ ทงั้ ๘ องค์ จึงต้องมกี ารพจิ ารณากนั ใหม ่ เนอ่ื งดว้ ยวา่ พระพุทธปฏมิ ายืนประสานพระหัตถ์หน้าพระเพลา ท่จี ารกึ เรียกวา่ ปาง “เทสนาแก่ คนแลเทพดา” นั้นพบเพียงไมก่ อ่ี งค์ในล้านนา (Stratton 2004, 210 - 211) แตพ่ บเปน็ จำนวนมากควบคู่ ไปกับพระพุทธปฏิมาลีลาท่ีอยุธยา จึงน่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากฝ่ายหลังมากกว่า ซึ่งจากการ วิเคราะห์อายุเวลาของพระพุทธปฏิมายืนปางถวายเนตร ที่สร้างข้ึนพร้อมกับพระพุทธปฏิมาลีลาน้ัน ปรากฏว่าเริม่ ขน้ึ ในรัชสมยั ของสมเด็จพระนารายณ์ ดังนั้นหากพระพทุ ธปฏิมาบดุ นุ ท้ัง ๘ องคท์ อี่ งค์ระฆงั ของพระธาตุหริภุญไชย ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธปฏิมาอยุธยาแล้ว ก็น่าจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาท่ี อยุธยามีบทบาทและอทิ ธพิ ลในด้านศิลปวฒั นธรรมเหนือล้านนา นอกจากนั้นแล้ว การที่รูปแบบทางศิลปกรรมของพระพุทธปฏิมาท้ัง ๘ องค์เทียบเคียงได้กับ ภาพชาดกเขียนลายสลักเบาในอุโมงค์วัดศรีชุม สุโขทัย ซ่ึงอาจจะสร้างขึ้นใน รัชสมัยของสมเด็จพระ นารายณ์ ทั้งน้ีเพราะโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของอุโมงค์ที่มีเพดาน เป็นขั้นเหลี่ยมรับกับเหลี่ยมของ บันไดน้ัน เป็นแบบเดียวกับบันไดขึ้นหอคอยในพระราชวังพลหิสาร์ (Bala Hisar) ท่ีโกลโคนทะ (Golconda) รฐั อานธรประเทศ ประเทศอนิ เดยี สรา้ งในช่วงครงึ่ แรกของพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ (ครึง่ หลัง ครสิ ต์ศตวรรษที่ 16) (Davies 1989, 465 - 466) ซง่ึ เปน็ ไปได้ว่า ช่างชาวเปอรเ์ ซยี ทีเ่ ข้ามารบั ราชการใน สมยั สมเด็จพระนารายณ์ นอกเหนือไปจากทหาร ๒๐๐ คน ทจี่ ้างมาน้ัน (สำเภากษตั ริย์สลุ ยั มาน ๒๕๔๕, ๕๒) มาจากโกลโคนทะ ซึ่งเป็นเมืองในประเทศอินเดีย ท่ีสมเด็จพระนารายณ์ส่งช้างไปขาย อีกทั้งลวดลาย เครือเถาสลับกับดอกไม้ในภาพชาดกเรื่อง “โภชาชานิยชาดก” (ประชุมศิลาจารึก เล่ม ๕ ๒๕๑๕, ๔๙) ยังเป็นลายเครือเถาสลับกับดอกไม้แบบเดียวกันในศิลปะโมกุลจากอินเดีย (Sotheby’s 1985, 517) อีกด้วย อิทธิพลจากศิลปะอิสลามจึงเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าภาพเขียนลายสลักเบาวัดศรีชุม น่าจะสร้างข้ึน ในรัชกาลน้ี หลกั ฐานขา้ งตน้ แสดงใหเ้ ห็นว่า พระพทุ ธปฏมิ าบุดุนรอบองคร์ ะฆังของพระธาตุหริภุญไชยน่าจะ สร้างขึ้นเมื่อล้านนาได้เข้ามาสวามิภักด์ิต่อกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว คือในสมัยของพระเจ้ากาวิละ (พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๙ / ค.ศ. 1782 – 1816) ในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ (ค.ศ. 1786) พระองค์และพระอนชุ าสร้างฉัตร รว้ั เหลก็ และร้วั ทองเหลืองล้อมพระธาตุหริภุญไชย (ตำนานสบิ หา้ ราชวงศ์ ๒๕๔๐, ๑๓๕) แต่มิไดร้ ะบวุ า่ ทรงบรู ณะปฏิสังขรณ์องคร์ ะฆงั ของ พระธาตเุ จดียใ์ นคราวนน้ั อยา่ งไรก็ตาม พระราชชนนี คือพระนาง จันทรราชเทวี ทรงมีพระโอรสท่ีมียศเป็น “เจาพระญา” สองพระองค์ องค์แรกคือพระเจ้ากาวิละ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังให้เป็นพระยามงคลวชิรปราการกำแพงแก้ว เจา้ เมอื งเชียงใหม่ องค์ทส่ี อง เจ้าคำสม เป็นพระยาละครลำปาง (เรอ่ื งเดียวกัน, ๑๓๐) ๔๕๐ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย
๑๖.๓ พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางถวายเนตร สมยั รตั นโกสนิ ทร์ หลังจากท่ีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิโนรส ได้ทรงบัญญัติพระพุทธปฏิมาปาง ต่าง ๆ ข้ึนมาแล้ว พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ประสานกันหน้าพระเพลาจึงเรียกว่าปาง “ถวายพระเนตร บชู าพระมหาโพธ์”ิ อันเป็นสัตมหาสถานแหง่ ที่ ๒ ในจำนวนทง้ั หมด ๗ แหง่ กล่าวคอื หลงั จากที่พระพุทธองค์ ทรงตรสั รู้แล้ว เสด็จไปประทับตามสถานท่ีตา่ ง ๆ แห่งละสปั ดาห์ อนั ได้แก ่ สปั ดาห์ท่ี ๑ ประทบั เสวยวิมตุ สิ ุขใต้ต้นพระศรมี หาโพธ ์ิ สัปดาหท์ ่ี ๒ เสดจ็ ไปทางทิศตะวันออกเฉยี งเหนอื ของตน้ ศรีมหาโพธ์ิ ทรงยนื ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธ์ิ โดยไม่กระพรบิ พระเนตร สถานที่พระองคท์ รงยืนนั้นเรียกว่า อนิมมสิ เจดีย์ สปั ดาหท์ ี่ ๓ เสด็จไปจงกรมทางทิศเหนอื ของต้นพระศรมี หาโพธ์ิ เรยี กสถานท่ีนน้ั ว่า รตั นจงกรมเจดยี ์ สปั ดาหท์ ่ี ๔ เสดจ็ ไปทางทศิ ตะวันตกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงเนรมติ เรือนแกว้ และทรงพจิ ารณาพระไตรปฎิ กใน เรือนแก้ว เรียกที่แห่งนน้ั วา่ รัตนฆรเจดยี ์ สัปดาห์ท่ี ๕ เสด็จไปทางทิศตะวนั ออกของต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ประทับใต้ต้นไทร และทรงขับไลธ่ ดิ าพญามาร ๓ ตน สัปดาหท์ ่ี ๖ ทรงเสดจ็ ไปทางทศิ ตะวันตกของตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ ประทับใต้ตน้ จิก มีพายฝุ นตลอดสปั ดาห์ พญานาคมุจลนิ ท์ จงึ แผพ่ ังพานปกป้องพระพุทธองค ์ สัปดาหท์ ี่ ๗ ทรงเสด็จไปทางทิศใต้ของต้นจกิ ประทบั ใตต้ ้นเกด พระอนิ ทรเ์ อาผลสมอมาถวาย ท้าวจตโุ ลกบาลถวายบาตร พ่อค้าสองพ่นี ้องเอาขา้ วตกู ้อนขา้ วตูผงมาถวาย (ไขศรี 1996, 121 – 122) พระพุทธปฏิมาปางถวายเนตรเป็นพระพุทธปฏิมาสำหรับบูชาดาวพระเคราะห์ประจำวันอาทิตย์ (ตำราพระพุทธปฏิมาปางต่างๆ ๒๕๓๔, ๓๘ - ๓๙) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั ไดม้ กี ารสร้างพระพทุ ธปฏมิ า ปางถวายเนตร ข้ึนเป็นจำนวนมาก เช่นพระพุทธปฏิมาแก้วผลึกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (รูปที่ ๘.๙๙) ซึ่งน่าจะเป็นพระพุทธปฏิมาประจำประชนมวารของพระบรมวงศานุวงศ์ เพราะมีฉัตร ๕ ชั้นประดับอยู่ อันแสดงถึงพระอิสริยยศ พระพุทธปฏิมาองค์นี้มีลักษณะท่ีเรียบง่าย เฉกเช่นพระพุทธปฏิมาอ่ืนๆ ในรัชกาลนี้ และยังคล้ายกันมากกับพระพุทธปฏิมาแก้วสีต่างๆ ปางถวายเนตร ที่ประดิษฐานในหอพระ รูปท่ี ๘.๙๙ พระสมณโคดมยืน ถวายเนตร สลุ าลัยพมิ าน พระบรมมหาราชวงั ซ่งึ สรา้ งข้นึ ในรชั กาลเดียวกัน (สรุ ยิ วฒุ ิ ๒๕๓๕, ๕๔๐ - ๕๔๓) ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19) แกว้ ผลึก องคพ์ ระสงู ๕๗ เซนตเิ มตร พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั พระพุทธปฏมิ ายนื ๔๕๑
รูปที่ ๓.๔๓ พระพทุ ธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงสร้างพระพุทธปฏมิ าปางถวายเนตรข้นึ ๒ องค์ เพ่อื สมเดจ็ พระอมรินทราบรมราชนิ ี เป็นพระพทุ ธรปู ประจำพระชนมวารสมเดจ็ พระอมรนิ ทรามาตยพ์ ระบรมราชมไหยกิ า (ดรู ูปที่ ๓.๔๓) และ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๑๑ สมเดจ็ พระศรสี รุ ิเยนทรามาตย์บรมราชชนนี (ดรู ปู ท่ี ๓.๔๕) ซงึ่ ท้ังสองพระองคท์ รงประสตู ิในวันอาทิตย์ (ค.ศ. 1867 - 1868) เหมือนกัน (จุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ๒๕๐๗, ๑๐๐ - ๑๐๑) พระพทุ ธปฏิมาทั้งสององคน์ ีม้ ีความแตกตา่ ง ทองคำ ฐานเงินกะไหล่ทอง จากพระพุทธปฏิมาองค์อื่น ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง คือพุทธลักษณะ องค์พระสูง ๒๒.๓๐ เซนติเมตร เลียนแบบพระพุทธปฏมิ าท่ีสรา้ งขน้ึ ในรัชกาลกอ่ น คือพระเมาลีทรงสงู ครองจวี รห่มดองแบบประเพณีนยิ ม หอพระสลุ าลยั พมิ าน พระบรมมหาราชวงั ชายจีวรยาวพับทบจรดพระนาภี ซ่ึงในการท่ีมิได้ทรงสร้างข้ึนในแบบพระราชนิยมนั้นน่าจะเป็นการแสดง (ภาพจากหนงั สอื พระพทุ ธปฏิมา คารวะตอ่ ขัตตยิ ราชประเพณี ในพระบรมมหาราชวัง) พระพุทธปฏิมาปางถวายเนตรท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ข้ึนนั้นมีพระราชประสงค์จะให้เป็นอนิมิสเจดีย์ คือสถานท่ีที่พระพุทธองค์ทรงยืนทอดพระเนตร ต้นพระศรมี หาโพธ์ิ ในสัปดาหท์ ี่ ๒ หลังจากทท่ี รงตรสั รู้ ดงั ทม่ี พี ระราชหตั ถเลขาถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วา่ หม่อมฉันจะสร้างพระพุทธปฏิมาถวายเนตร ในท่ีใกล้ต้นโพธ์ิวัดเบญจมบพิตร สมมตว่าเปนอนิมมิสเจดีย์ ในใต้รากฐานพระจะฝังอิฐแลอังคารชายอุรุพงศ์ เพราะฉน้ันคำจาฤกได้กะไว้เปนสองตอน ตอนบนว่า พระพุทธเจ้าถวายเนตร ณ อนิมมิสเจดีย์ พระองค์น้ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง สถาปนาเมื่อพระพุทธศักราช ๒๔๕๒ ทรงพระราชอุทิศเฉพาะต่อ ฯ ตอนล่าง พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภชพระราชปิโยรส ประสูตรวันท่ี ๑๕ ตุลาคม รัตนโกสนิ ทรศก ๑๑๒ ส้นิ พระชนมว์ นั ท่ี ๒๐ กันยายน รตั นโกสนิ ทรศก ๑๒๘ มขี ้อความทจ่ี าฤกน้ันเพยี งเท่าน้ี (พระราชหัตถเลขา ๒๕๑๔, ๑๓๔) ตอ่ มาทรงระบายความอัดอ้ันพระทยั ในสถานภาพของงานชา่ งไทยวา่ การช่างในเมืองไทยฝืดเคืองเต็มที ทำบุญหม่อมฉันไม่ได้หวังสวรรค์ หวงั ความปล้ืมใจ หวงั จะเหน็ การเจรญิ ดำเนินไป มาตอ้ งทำการพกโมโหโทโษอยู่ ครงึ่ คอ่ น ดูไมน่ ับว่าเปนบุญเลยท้อใจไปเสียแล้ว กรมนเรศร์บอกวันน้ี ว่ารบั ส่ังเรียกหนุ่ พระถวายเนตรไปทอดพระเนตร โปรดแลติเตียนบ้างบางอย่าง เร่ืองคิดป้ันพระพุทธปฏิมาน้ี คงจะได้ทรงทราบ เมอ่ื คร้งั รังสติ เข้ามาบ้าง เปนเรื่องทีต่ งึ ตงั อยู่ในใจหม่อมฉนั กบั รงั สิตมานาน แต่ หาคนปั้นไม่ไดด้ ังใจ อยากเหน็ พระเปนคน อยากให้เห็นหนา้ เปนคนฉลาดอดทน มีความคิดมาก ไม่ใช่ทำหน้าบึ้ง ไม่ใช่นั่งยิ้มกร่ิม ไม่ใช่น่ังหลับเผลอไผล ให้เต็ม อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ หน้าตาพระพุทธเจ้าของหม่อมฉันเปนเช่นนี้ เห็นรู้จัก ปรากฏแก่ใจ เว้นแต่หากมือทำไม่เปน ไม่สามารถท่ีจะทำได้ด้วยมือตนเอง ไม่ สามารถที่แนะนำให้ช่างแก้ไขให้ถึงใจได้ จึงหมดฝีมือกันอยู่เพียงเท่านี้เอง แต่ ตาคนนี้ (ชา่ งป้ันอิตะเลียน ช่ือ ทอรนาเรลลี (Tornarelli)) เปนผูท้ ่ีเข้าใจดีกวา่ ช่างทั้งปวง ทเี่ คยเขา้ ใจถ้อยคำหม่อมฉนั แต่ถา้ เอามหาปุรสิ ลกั ขณะเขา้ ยันแลว้ เปนไม่ถูกทงั้ นัน้ เพราะทูลตามตรงไดว้ ่าไมเ่ ชอ่ื (เรอื่ งเดยี วกัน, ๑๔๓ – ๑๔๔) รูปท่ี ๓.๔๕ พระพทุ ธรปู ประจำพระชนมวาร สมเด็จพระศรีสรุ ิเยนทราบรมราชนิ ี สร้างปี พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๑๑ (ค.ศ. 1867 - 1868) ทองคำ ฐานเงินกะไหลท่ อง องค์พระสงู ๒๒.๑๐ เซนตเิ มตร หอพระสลุ าลยั พิมาน พระบรมมหาราชวัง (ภาพจากหนงั สือ พระพุทธปฏิมา ในพระบรมมหาราชวงั ) ๔๕๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย
สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส มีลายพระหัตถก์ ราบบงั คมทูลว่า อาตมาภาพพอใจเหมือนกันที่จะได้เห็นพระพุทธปฏิมา เปนรูปคนมีคุณสมบัติ เช่นน้ัน แต่เหน็ ยังเปนพ้นวสิ ัยของช่างไทยจะทำได้ฯ พระพุทธปฏิมาหน้าเบ้ยี วๆ บูดๆ หรือหน้าเจี๋ยมเจ้ียม หรือหน้าเฉยเมยเห็นเข้ารำคาญใจ แต่ไม่รู้จะทำ อยา่ งไรได้ ไมส่ มเปนวัตถฉุ ลองพระองคข์ องพระพุทธเจ้าเลยฯ มหาปุรสิ ลกั ขณะ เปน็ อาการที่ผิดธรรมดา นา่ จะแตง่ ออกจากรูปพระเปนเจ้า (เรอ่ื งเดยี วกัน, ๑๔๔) พระราชหัตถเลขาและลายพระหัตถ์ท่ีอ้างถึงข้างต้นมีความสำคัญมากท่ีจะทำให้ชนรุ่นหลังได้ เข้าใจความเปล่ียนแปลงทางพุทธศิลป์ของไทยที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าเหตุใดขนบธรรมเนียมประเพณีที่เชื่อถือกันมาร่วมสองสหัสวรรษ ที่ว่าพระพุทธรูปเป็นพระพุทธปฏิมา หรอื รปู จำลองของพระพทุ ธรปู องคต์ ้นแบบ ได้เปลีย่ นไปเป็นภาพเหมือนของคนในอุดมคต ิ แม้ว่าพระพุทธปฏิมาปางถวายเนตรท่ีอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลี (Alfonso Tornarelli) ปั้นถวาย (รูปท่ี ๘.๑๐๐) จะครองจีวรห่มดอง พาดลกู บวบที่ข้อพระกรซา้ ยตามอย่างพระภกิ ษคุ ณะธรรมยตุ กิ นิกาย และปั้นให้ดูคล้ายธรรมชาติก็ตาม แต่พระเศียรก็จำลองจากพระพุทธปฏิมาแบบคันธารราษฎร์ ที่พระองค์ทรงโปรดปรานเปน็ พเิ ศษ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากร ดำเนินการปน้ั และหล่อพระพุทธปฏมิ ายืนปางถวายเนตร ครองจีวรหม่ ดอง มว้ นลูกบวบพาดพระกรซา้ ย สังฆาฏพิ าดพระอังสายาวถงึ พระเพลา พระพกั ตร์ พระวรกายและจวี รเลยี นแบบธรรมชาติ เม็ดพระศก พระเมาลีและพระรัศมีเปลวเป็นแบบประเพณี (ดูรูปท่ี ๓.๕๔) ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลถวายสมเด็จ พระบรมเชษฐาธิราช เป็นพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันท- มหิดล โดยมีพิมาน มูลประมุข เป็นประติมากร และเสด็จพระราชดำเนินเททอง ณ พระที่นั่งอัมพร สถาน พระราชวงั ดุสิต เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) (เพลินพศิ ๒๕๓๓, ๔) ปจั จุบนั ประดษิ ฐานอยู่ ณ หอพระบรมอัฐิ พระท่ีนง่ั จกั รมี หาปราสาท พระบรมมหาราชวงั รปู ท่ี ๘.๑๐๐ พระสมณโคดมยืน ถวายเนตร Alfonso Tornarelli ปน้ั หลอ่ พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) สัมฤทธิ์ สูง ๕๙ เซนตเิ มตร พระทน่ี ัง่ อมั พรสถาน พระราชวังดุสติ กรงุ เทพมหานคร รูปที่ ๓.๕๔ พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร- มหาอนนั ทมหดิ ล พมิ าน มลู ประมขุ ป้นั หุ่น พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) สมั ฤทธ์ิ กะไหล่ทอง องค์พระสูง ๒๒.๘๐ เซนติเมตร หอพระบรมอัฐิ พระทน่ี ่งั จกั รีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง (ภาพจากหนังสอื พระพทุ ธปฏมิ า ในพระบรมมหาราชวัง) พระพุทธปฏิมายืน ๔๕๓
หมวด ด. ปางเปดิ โลก ๑๗. พระพุทธปฏมิ ายนื ปางเปิดโลก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงบัญญัติ พระพุทธรูปยืนห้อยพระกรลง ขา้ งพระวรกาย กางปลายพระหัตถ์ออกทางด้านขา้ งว่าเปน็ “ปางเปดิ โลก” อันเป็นเรอ่ื งราวในพุทธประวัติ หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาและจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครบ ๓ เดือน พระพทุ ธเจา้ กจ็ ะเสด็จลงมายังโลก โดยขณะทีก่ ำลังจะเสดจ็ ลงมา พระพทุ ธองคท์ รงทำโลกววิ รณปาฏหิ าริย์ คอื ทรงเปิดโลกทง้ั ๓ อนั ได้แก่ เทวโลก ยมโลก และมนุษยโลก ใหม้ องเห็นถงึ กันหมดดว้ ยพุทธานุภาพ เหล่าเทวดาในสวรรค์มองเห็นมนุษย์และสัตว์นรก มนุษย์มองเห็นเทวดาและสัตว์นรก สัตว์นรกมองเห็น มนษุ ย์และเทวดา แลว้ จงึ เสด็จลงจากสวรรคช์ ั้นดาวดึงส์สสู่ งั กสั สนคร ในวนั แรม ๑ ค่ำ เดอื น ๑๑ อย่างไรก็ดี เน่ืองจากพระพุทธปฏิมาปางน้ีมิได้เป็นพระพุทธปฏิมาสำหรับบูชาดาวพระเคราะห์ ประจำวนั เกดิ จงึ ไม่เปน็ ท่ีนยิ มในการสร้างมากนกั ตัวอย่างของพระพุทธปฏิมาปางเปิดโลกได้แก่ พระพุทธปฏิมาที่มุขด้านทิศตะวันออกของศาลา การเปรยี ญ วดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม (รปู ที่ ๘.๑๐๑) ซึ่งจากพุทธลักษณะและการปน้ั จวี รและสบงท่ี มีความเรียบงา่ ย น่าจะสร้างขึน้ ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยหู่ วั รูปท่ี ๘.๑๐๑ พระสมณโคดมยนื กางพระหตั ถท์ งั้ สอง เปดิ โลก พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔ (ค.ศ. 1824 - 1851) สมั ฤทธ์ิ ศาลาการเปรียญ วัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร ๔๕๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พทุ ธศิลป์ไทย
รปู ท่ี ๘.๑๐๒ พระสมณโคดมยนื ขอฝน หมวด ต. Alfonso Tornarelli ปัน้ ปางขอฝน พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) สัมฤทธิ์ สงู ๗๓ เซนตเิ มตร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร ๑๘. พระพุทธปฏมิ ายืน ปางขอฝน รูปท่ี ๓.๖๐ พระสมณโคดมยืน ขอฝน พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ (ค.ศ. 1851 - 1868) พระพุทธรูปยืน พระหัตถ์ขวายกในกิริยากวัก พระหัตถ์ซ้ายหงายรองรับน้ำฝนตรงบั้นพระองค์ สมั ฤทธิ์ องคพ์ ระสูง ๔๑.๘๐ เซนติเมตร หอพระสลุ าลัยพมิ าน พระบรมมหาราชวัง เป็นพระปางคันธารราษฎร์ หรือปางขอฝน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ กรุงเทพมหานคร คิดคน้ ข้ึนตามเน้ือหาในพทุ ธประวตั ิ กลา่ วคอื เมื่อพระพทุ ธองคป์ ระทบั ทีก่ รุงสาวตั ถี ฝนแล้งจนสระบวั ท่ี พระองค์ทรงใชแ้ หง้ จงึ เสดจ็ ไปยนื กวักพระหัตถ์ขวาเรียกฝน พระหตั ถซ์ ้ายรองรับนำ้ ฝนที่ขอบสระ อนึ่ง เรื่องขอฝนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้อ้างอิงน้ันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน กับที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงพระนิพนธ์ใน ตำนานพระปางต่าง ๆ ที่กล่าวว่า เม่ือพุทธศาสนาได้ล่วงไปแล้วสองร้อยกว่าปี มีกษัตริย์คันธารราฐ พระองค์หนึ่งได้ทรงฟัง เรอื่ งพระพทุ ธเจ้าทรงบนั ดาลใหฝ้ นตก กท็ รงเลอ่ื มใสใหส้ ร้างพระพทุ ธปฏมิ ากรทรงผ้าอุทกสากฎ ทรงนุ่งด้วยชายขา้ งหนงึ่ ทรงห่มด้วยชายข้างหน่ึง มีพระอาการทรงยืน พระหัตถ์ขวากวักเรียกฝน พระหตั ถ์ซา้ ยหงายรองนำ้ ฝน (ปรมานุชิตชโิ นรส ๒๕๑๐, ๕) พระพุทธปฏิมายืนปางขอฝนท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึน นั้น (ดูรปู ท่ี ๓.๖๐) เปน็ พระพทุ ธปฏมิ าแบบพระราชนิยม คอื ไม่มพี ระเมาลี ครองผา้ อาบคลมุ พระองั สา ซ้ายเปน็ ร้ิวตามธรรมชาติ ทรงยืนบนดอกบวั ฐานทำเปน็ บันไดลงไปทส่ี ระบวั ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลี ช่างชาวอิตาเลียน ที่ปั้นพระพุทธปฏิมาปางถวายเนตร ปั้นพระพุทธปฏิมายืนปางขอฝน (รูปท่ี ๘.๑๐๒) เป็นพระพุทธปฏิมาที่เลียนแบบศิลปะอินเดียแบบคันธารราษฎร์เฉพาะพระเศียร แต่ พระวรกายและจีวรเป็นแบบธรรมชาติ ยืนบนดอกบัว ซึ่งอยู่บนข้ันบันไดท่ีมีราวจับอยู่ทางด้านข้าง พระพุทธปฏิมาองค์น้ี สมเดจ็ ฯ เจ้าฟา้ กรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ทรงวจิ ารณ์ไว้ว่า พระคันธารราษฎร์ องค์ที่เปนฝรั่งน้ัน กรมพระนเรศรับสั่งพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเจ้าหลวง จัดให้นายโตนาเรลี ชา่ งอิตาเลียนในกรมศิลปากรป้นั ท่ีเปน็ เช่นนั้นก็ด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดพระฝีมือกรีกที่เด็จพ่อเอา มาแตอ่ ินเดีย พระกรกี นนั้ อาว์ก็ชอบเหมอื นกัน แต่ไม่ชอบพระทนี่ ายโตนาเรลปี ั้น เหตุใดจึ่งเปนเช่นนั้น เหตุด้วยกลับกันไป ทางช่างกรีกเขาทำเอางามเปนที่ต้ัง เอาเหมือนคนเข้าประกอบ ซึ่งมาโดนทางเดียวกันเข้ากับท่ีอาว์พยายามจะทำ คือเอารูปทรงงามของรูปภาพตัวท้าวตัวพญาของไทยเปนท่ีตั้ง เอาสิ่งท่ีเหมือน คนเขา้ ประกอบ สว่ นทีน่ ายโตนาเรลีทำน้ัน เอาเหมือนคนเปนทตี่ ัง้ อาวไ์ มช่ อบท่ี เห็นวา่ เหมือนตาขอทานอะไรคนหนง่ึ จะอธษิ ฐานวา่ เปนพระเจ้าหาไดไ้ ม่ ชอบกล หนักหนา... ฐานพระองค์นั้นท่ีเปนกะไดก็ด้วยกรมพระนเรศวรออกความคิด ให้ ตาฝรั่งน้ันทำโดยหลักว่าพระเจ้าเสด็จยืนท่ีหัวกะไดสระน้ำในเมืองสาวัตถี ซ่ึง สระนั้นน้ำแห้ง ตรัสเรียกผ้าชุบสรงมาทรงแล้วตรัสเรียกฝน เทวดาจึงบันดาน ให้ฝนตกลงมาตามพระประสงค์จนเต็มสระ ตาฝร่ังแกไม่เข้าใจว่ากะไดสระควร จะเป็นอย่างไร แกก็ทำเปนกะไดฝร่งั มีพนักขา้ งเดยี วอยา่ งกะไดที่ลงจากรกั แร้ ตึกฝรั่ง (นรศิ รานวุ ดั ติวงศ์ ๒๕๑๒, ๗๓ – ๗๔, อา้ งใน สธุ า ๒๕๕๐, ๑๖๖ – ๑๖๗) พระพทุ ธปฏมิ ายนื ๔๕๕
การทำบันไดลงสระน้ำมีพนักข้างเดียวแบบลงจากตึกฝร่ัง จึงไม่ถูกต้องตามกาลเทศะ ซึ่งเป็น ข้อผิดพลาดที่ทำให้ทอร์นาเรลลีคะแนนตกในสายพระเนตรของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ท่ที รงประเมินความเปน็ เลิศของชา่ งไวว้ า่ ชา่ งที่ควรจะนบั วา่ เป็นช่างดี จะตอ้ งประกอบดว้ ยองคคณุ สองประการ คือต้อง ประกอบด้วยฝีมือดีอย่างหน่ึง ประกอบด้วยความคิดดีรู้ที่ควรมิควรอีกอย่าง หนึ่ง ประการหลังน้ันแหละสำคัญมาก ถ้ามีแต่ฝีมือดีก็เป็นได้แต่ลูกมือเสมอไป ต้องมีความคิดด้วย จึงจะได้เลื่อนข้ึนเป็นนายช่างได้ (สาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๑ ๒๕๐๔, ๔) ยังมีพระพุทธปฏิมายืนปางขอฝนอีกองค์หน่ึงท่ีสร้างข้ึนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า- เจ้าอยู่หัว เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีพระพักตร์เป็นไทย เกล้าพระเกศาเป็นพระเมาลี แบบคันธารราษฎร์ ครองผ้าอาบน้ำที่ดูเปียกชุ่ม เห็นขมวดสบงที่พระนาภี ทรงยืนบนเกสรดอกบัว เหนือฐานสิงห์ย่อมุม (รูปท่ี ๘.๑๐๓) ซ่ึงจากลักษณะของการป้ันร้ิวผ้าเปียกแนบพระวรกาย น่าจะเป็นฝีมือของช่างชาว ตะวันตกมากกวา่ ช่างไทย รปู ท่ี ๘.๑๐๓ พระสมณโคดมยนื ขอฝน พ.ศ. ๒๔๕๓? (ค.ศ. 1910?) สมั ฤทธ์ิ พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ๔๕๖ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ุทธศลิ ป์ไทย
รูปท่ี ๘.๑๐๔ ข. ฐานพระสมณโคดมยืน ขอฝน (รูปที่ ๘.๑๐๔ ก.) (ภาพจากสำนกั ราชเลขาธกิ าร) รปู ที่ ๘.๑๐๔ ก. พระสมณโคดมยืน ขอฝน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการสร้างพระพุทธปฏิมาปางขอฝนขึ้นอีก พ.ศ. ๒๔๖๘ - ๒๔๗๕ (ค.ศ. 1925 - 1932) องค์หน่ึง โดยพระพักตร์และพระวรกายคล้ายคนจริง แต่พระเกศาเป็นเม็ดพระศก พระรัศมีเป็นบัวตูม สัมฤทธ์ิ กะไหล่ทอง องคพ์ ระสงู ๔๕.๗๕ เซนติเมตร ครองผ้าอาบน้ำทเี่ ปียกชมุ่ แนบพระวรกาย ทำเปน็ ริ้วตามธรรมชาติ (รูปที่ ๘.๑๐๔ ก.) ทรงยนื อยบู่ นเกสร หอพระคันธารราษฎร์ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ดอกบวั ทผ่ี ุดขน้ึ เหนอื น้ำทีอ่ ดุ มสมบรู ณ์ด้วยสัตวน์ ้ำ (รูปท่ี ๘.๑๐๔ ข.) ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร (ภาพจากสำนักราชเลขาธกิ าร) จากตัวอย่างของพระพุทธปฏิมายืน ปางขอฝนท่ีกล่าวถึงข้างต้น เห็นได้ว่าพัฒนาการของ พระพุทธปฏิมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ได้เพิ่มความสมจริงให้ กับพระพุทธปฏิมา จนถึงขั้นว่ามีการสร้างฉากช่วย เช่นฝูงปลาเวียนว่ายอยู่ในน้ำ ให้แลดูเป็นธรรมชาติ มากข้นึ และเม่ือพระพุทธปฏมิ ามิไดเ้ ป็นรูปจำลองของพระพทุ ธรูปตน้ แบบอกี ต่อไป ชา่ งจึงมคี วามอสิ ระ ท่ีจะประดิษฐค์ ดิ รปู แบบตา่ งๆ ใหด้ เู หมือนจรงิ ตามจนิ ตนาการของตนเอง อนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกท่ีจะใช้พระพุทธปฏิมาปาง คันธารราษฎร์ หรอื ปางขอฝน เปน็ พระพทุ ธปฏิมาประจำพระชนมพรรษาของพระองคแ์ ล้ว (ดรู ูปท่ี ๓.๓๓ ก., ข.) จึงถือเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำวันชาตาอีกทางเลือกหน่ึงของผู้ที่เกิดในวันอังคาร นอกเหนือ จากพระพุทธรูปปางไสยาสน์ (ศลิ ปากร ๒๕๔๘, ๖๗) พระพทุ ธปฏมิ ายนื ๔๕๗
พระสมณโคดม ลลี า (รูปที่ ๙.๒๗ ก.) ย้ายมาจากวัดมหาธาตุยวุ ราชรังสฤษดิ์ พระระเบียงวัดเบญจมบพิตรดุสติ วนาราม กรุงเทพมหานคร พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
๙ บทที่ พระพุทธปฏมิ าลีลา รปู ท่ี ๙.๑ ลายเส้นพระพทุ ธรูป แบบท่ี ๑ พระพุทธปฏิมาในพระอิริยาบถก้าวเดินมีสองแบบ โดยทั้งสองแบบน้ันเรียกว่า ยกพระหตั ถ์ซา้ ย แสดงธรรม ยกส้นพระบาทขวา “ปางลลี า” อันได้แก ่ ห้อยพระหัตถ์ขวา แบบท่ี ๑ ยกส้นพระบาทขวา ห้อยพระหัตถข์ วา ยกพระหตั ถซ์ ้ายประทานอภัย หรอื แสดงธรรม ในระดับพระอุระ (รูปที่ ๙.๑) โดยอ้างพุทธประวัติตอนพระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยบันไดทพ่ี ระอนิ ทร์ทรงเนรมติ ขึน้ (ไขศรี 1996, ๘๗) แบบท่ี ๒ ยกสน้ พระบาทซ้าย หอ้ ยพระหัตถ์ซา้ ย ยกพระหตั ถข์ วาประทานอภยั หรอื แสดงธรรม (รูปที่ ๙.๒) ส่วนแบบนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงบัญญัติว่า เป็นปางที่ ๑๗ พระลีลา และทรงพระนิพนธ์ว่า เมื่อพระพุทธองค์ประทับท่ีเมืองราชคฤห์ “พระกาฬุทายีทูลเชิญ เสด็จเมืองกบิลพัสด์ุ พระองค์ทรงรับแล้วเสด็จพุทธดำเนินโดยปรกติไม่เป็นการรีบด่วน” (ปรมานุชิต ชิโนรส ๒๕๑๐, ๓) พระพุทธปฏิมาลีลาเป็นมรดกช้ินสำคัญที่นิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร จากลังกา มอบให้กับ พทุ ธศลิ ปไ์ ทย เพราะว่าเปน็ พระพทุ ธปฏิมาทีป่ ระดษิ ฐ์คิดขึน้ ในชว่ งศตวรรษทีฝ่ า่ ยอรัญวาสขี องคณะมหาวิหาร ที่ศรีลังกา มีอิทธิพลต่อพุทธศาสนาในประเทศไทย คือระหว่างกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๐ (ต้น คริสต์ศตวรรษที่ 14 – ต้น 15) อันเห็นได้จากรูปแบบของพระพุทธปฏิมาปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ใน จิตรกรรมฝาผนงั ของวิหารตวิ ังกะ (Tivanka) กรงุ โปโลนนะรวุ ะ ซึ่งเขยี นข้นึ ในชว่ งตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 13) ทีแ่ สดงภาพพระพทุ ธองคค์ รองจวี รห่มดองในท่าก้าวเดิน ยกส้นพระบาทขวา และยกพระหตั ถข์ วาแสดงธรรม (Godakumbura 1969, 38) ซ่งึ น่าจะเปน็ แรงบนั ดาลใจให้ช่างไทยสรา้ ง พระพุทธปฏิมาลีลาขึ้นในลักษณะท่ีใกล้เคียงกัน จะแตกต่างกันก็ตรงท่ีพระพุทธปฏิมาลีลาของไทยนั้น มไิ ดย้ กส้นพระบาทและพระหัตถใ์ นด้านเดยี วกนั แตก่ ลบั สลบั ส้นพระบาทกบั พระหัตถ์ เมื่อแรกสร้างขึ้นในประเทศไทยนั้นพระพุทธปฏิมาในอิริยาบถก้าวเดินน่าจะเรียกว่า “พระเจ้า จงกรม” ตามทก่ี ล่าวถงึ ในศลิ าจารึกสโุ ขทัยของนายอนิ ทรสรศักด์ิ ปี พ.ศ. ๑๙๖๐ (ค.ศ. 1418) (Griswold and Nฺa Nagara 1968, 235) ซึ่งสอดคลอ้ งกบั เป้าหมายของฝ่ายอรัญวาสีที่เนน้ การเจรญิ วิปสั สนากรรม ฐาน (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๖๖, ๙) เมื่อได้ประดิษฐ์คิดปางลีลาขึ้นมาแล้ว ปรากฏว่าปางนี้เป็นที่นิยมแพร่หลาย โดยเฉพาะที่ อาณาจกั รสุโขทยั ลา้ นนา และอยธุ ยา รปู ที่ ๙.๒ ลายเส้นพระพทุ ธรูป แบบท่ี ๒ ยกพระหตั ถ์ขวา ยกสน้ พระบาทซ้าย ห้อยพระหัตถ์ซา้ ย พระพทุ ธปฏมิ าลีลา ๔๕๙
๑. พระพทุ ธปฏิมาลลี า สมัยสุโขทัย ชว่ งเมืองประเทศราชของอยธุ ยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463) ถึงแม้ว่ายังไม่มีการค้นพบพระพุทธปฏิมาลีลาสัมฤทธ์ิสมัยสุโขทัยที่มีจารึก แต่พระพุทธปฏิมา เขียนลายสลักเบาด้านหลังของแผ่นศิลาจารึกนายอินทรสรศักดิ์ ซึ่งมีจารึกเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๖๐ (ค.ศ. 1418) (Griswold and Naฺ Nagara 1968, 230 – 242) แสดงภาพพระพุทธปฏิมาลีลายกพระหัตถข์ วา และส้นพระบาทซ้าย ทรงครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับทบยาวจรดพระนาภี ขอบบนของสบงเว้าโค้ง เป็นเส้นคู่รับกับพระนาภี ขอบจีวรด้านข้างท้ิงลงข้างพระชงฆ์ท้ังสองด้าน ชายจีวรและชายสบงด้านล่าง ตดั เป็นเสน้ เฉยี งตามข้อพระบาทท่ียกขึ้น และขมวดเขา้ ตอนปลาย (รปู ท่ี ๙.๓ ก, ข) พทุ ธลกั ษณะทวั่ ไป คล้ายกบั พระพทุ ธปฏมิ าลลี าท่ีสมเดจ็ เจ้าพระญาสารผาสมุ ทรงสรา้ งทนี่ า่ นในปี พ.ศ. ๑๙๖๙ (ค.ศ. 1926) (ดรู ปู ท่ี ๙.๖) (เรือ่ งเดยี วกนั , 235) พระพุทธปฏิมาลีลาท่ีมีพุทธลักษณะคล้ายกับภาพเขียนลายสลักเบาด้านหลังของจารึก นายอินทรสรศักด์ิ และพระพุทธปฏิมาลีลาของสมเด็จเจ้าพระญาสารผาสุม ได้แก่พระพุทธปฏิมาลีลา ของเอกชน (รูปท่ี ๙.๔) ทรงยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย และยกส้นพระบาทซ้าย ครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับยาวจรดพระนาภี ขอบสบงด้านบนเว้าเป็นเส้นคู่หน้าพระนาภี ชายจีวรและชายสบงด้านล่าง ทำเป็นเสน้ ขนานเฉยี งตามขอ้ พระบาททยี่ กขนึ้ ปลายจีวรขมวดเข้า พระพทุ ธปฏมิ าองค์น้นี า่ จะสร้างขึน้ ใน ช่วงปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15) พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภาณพุ นั ธย์ คุ ล ทรงเลา่ ประทานวา่ พระพทุ ธปฏมิ าองคน์ ี้แสดงอทิ ธปิ าฏิหารยิ ใ์ นชว่ งสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ ในลกั ษณะเดยี วกนั กับพระสรุ ภีพุทธพิมพ์ วัดปรินายก คือเมอ่ื มีการโจมตีทางอากาศ พระองค์ทอดพระเนตร เห็นเงาพระพุทธปฏมิ าลอยอยเู่ หนอื วัง เพื่อค้มุ ครองพระองค์ รูปที่ ๙.๓ ก. พระสมณโคดม จงกรม รปู ท่ี ๙.๓ ข. ลายเสน้ พระสมณโคดม จงกรม ได้จากวัดสรศกั ด์ิ เมอื งเกา่ ไดจ้ ากวัดสรศกั ด์ิ เมอื งเก่า จังหวดั สโุ ขทัย จังหวดั สุโขทัย สร้างปี พ.ศ. ๑๙๖๐ (ค.ศ. 1418) (รปู ท่ี ๙.๓ ก.) ศลิ า เขียนลายสลกั เบา พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ รามคำแหง จังหวดั สโุ ขทัย ๔๖๐ พระพุทธปฏิมา อตั ลักษณ์พุทธศลิ ป์ไทย
รปู ท่ี ๙.๔ พระสมณโคดม ลลี า ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธิ์ สูง ๕๓ เซนติเมตร สมบตั ิเอกชน พระพุทธปฏิมาลีลา ๒๗
พระพุทธปฏิมาลีลาที่สำคัญท่ีสร้างขึ้นในอาณาจักรสุโขทัยได้แก่ พระพุทธปฏิมาลีลา ๔ องค์ ที่สมเด็จเจ้าพระญาสารผาสุม เจ้าเมืองน่าน ทรงสร้างข้ึนในปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) (ศิลปากร ๒๕๓๐ ก, ๒๔๗ – ๒๕๓) พระพทุ ธปฏมิ าเหล่าน้นี า่ จะสร้างข้นึ เปน็ คู่ เชน่ คใู่ นพระวิหารวดั พญาภู อำเภอ เมอื งฯ จงั หวดั นา่ น องคห์ นึ่งยกส้นพระบาทขวา และยกพระหัตถซ์ า้ ยประทานอภยั (รูปที่ ๙.๕) อีกองค์ หน่ึงยกส้นพระบาทซ้ายในท่าก้าวเดิน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย (รูปที่ ๙.๖) ส่วนอีกคู่หนึ่งอยู่ในวัด พระธาตุช้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน องค์ที่ยกส้นพระบาทขวา ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย ประดิษฐานในพระวิหารหลวง (รูปที่ ๙.๗) อีกองค์หน่ึงยกส้นพระบาทซ้าย พระหัตถ์ขวาประทานอภัย ประดิษฐานในหอพระพุทธปฏิมาลีลา (รูปท่ี ๙.๘) พระพุทธปฏิมาทุกพระองค์ มีพระอังสากว้างใหญ่ พระอุระนูน บน้ั พระองค์คอด พระกรและพระชงฆ์เรยี วลงทางข้อพระกรและข้อพระบาท ทรงครองจวี ร ห่มดอง ชายจีวรพับทบยาวจรดพระนาภี ชายเป็นเข้ียวตะขาบ ขอบสบงด้านบนเว้าโค้งใต้พระนาภีเป็น เส้นคู่ ยกเว้นองค์ยกพระหัตถ์ซ้ายของวดั พญาภู (ดรู ูปที่ ๙.๕) ชายจวี รใต้พระกัปประดา้ นทย่ี กพระกรขน้ึ ท้ิงลงเป็นเส้นตรง ตั้งฉากกับชายจีวรด้านล่าง ซึ่งเป็นเส้นเฉียงตามข้อพระบาทท่ียกขึ้นเช่นกัน ยกเว้น องค์ยกพระหัตถ์ขวาของวัดพระธาตุช้างค้ำ (ดูรูปที่ ๙.๘) ซึ่งไม่มีชายจีวรใต้พระกัปประ ส่วนขอบจีวร ข้างที่ยกส้นพระบาทนน้ั สะบดั พร้วิ อย่หู ลังพระชงฆ์ พระพุทธปฏิมาลีลาที่สมเด็จเจ้าพระญาสารผาสุม ทรงสร้างข้ึนน่าจะส่งอิทธิพลให้กับพระพุทธปฏิมา วัดนาปัง อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดน่าน (รูปที่ ๙.๙) ซ่ึงมพี ุทธลกั ษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาลีลาองคซ์ ึง่ ยก พระหัตถ์ขวาของวัดพญาภู (ดูรูปท่ี ๙.๖) แต่มีขอบสบงด้านบนชั้นเดียวคล้ายกับองค์ยกพระหัตถ์ซ้าย ของวัดเดียวกัน (ดูรูปที่ ๙.๓) ส่วนชายจีวรด้านล่างน้ันมิได้เป็นเส้นตรง แต่ทำเป็นชายผ้าพล้ิว จึงน่าจะ สร้างขนึ้ ภายหลงั ประมาณต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) รปู ที่ ๙.๕ พระสมณโคดม ลีลา สร้างปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) สมั ฤทธิ์ สงู ๒ เมตร อโุ บสถวัดพญาภู อำเภอเมืองฯ จังหวดั น่าน รูปท่ี ๙.๖ พระสมณโคดม ลลี า สรา้ งปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) สมั ฤทธิ์ สงู ๑.๙๓ เมตร อุโบสถวดั พญาภู อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั นา่ น รปู ท่ี ๙.๗ พระสมณโคดม ลีลา สรา้ งปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) สัมฤทธิ์ สูง ๑.๙๖ เมตร พระวหิ ารหลวง วัดพระธาตุชา้ งค้ำ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั นา่ น รปู ท่ี ๙.๘ พระสมณโคดม ลีลา สร้างปี พ.ศ. ๑๙๗๐ (ค.ศ. 1426) สมั ฤทธ์ิ สูง ๑.๘๔ เมตร หอพระพุทธรปู ลลี า วดั พระธาตชุ ้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวดั น่าน รูปที่ ๙.๙ พระสมณโคดม ลลี า ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) สัมฤทธ์ิ สูง ๑.๑๔ เมตร วหิ ารวดั นาปัง อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดนา่ น ๔๖๒ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 640
Pages: