๑ภาค พทุ ธศาสนา กับพระมหากษัตริย์ หนา้ ๑๕ บทที่ ๑ กำเนดิ พระพุทธรูปและพระพุทธปฏมิ า ๒๓ บทท่ี ๒ พระพุทธลกั ษณะ พระอริ ิยาบถ และปาง ๔๕ บทท่ี ๓ พระมหากษตั ริยก์ บั พระพุทธปฏมิ า กำเนิดพระพุทธรูปและพระพทุ ธปฏิมา ๑๓
พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
๑ บทท่ี กำเนิดพระพทุ ธรปู และพระพุทธปฏิมา น่าจะเป็นไปได้ว่าประเทศไทยมีพระพุทธรูปมากกว่าประเทศอ่ืนๆ ในโลก มีทั้งขนาดจิ๋วถึงขนาดใหญ่โต และสร้างจากวัสดุต่างๆ เช่น ศิลา ปูน ดินเผา แก้วผลึกหรือหยก ไม้ งาช้าง สัมฤทธ์ิ เป็นต้น โดยธรรมเนียมการสร้างพระพุทธรูปเริ่มต้ังแต่เมื่อคนไทยเข้ามา อาศัยอยู่ในประเทศไทย วัสดุที่นิยมกันมากท่ีสุดคือ สัมฤทธ์ิ ซึ่งได้แก่ส่วนผสมของทองแดง ดีบุก และโลหะอ่ืนๆ ซึ่งบางคร้ังก็ มีเงนิ และทองคำเป็นสว่ นผสมอยู่ดว้ ย... มากกว่า ๑,๓๐๐ ปีมาแล้วท่ีศิลปินมุ่งสร้างพระพุทธรูป จวบจนทุก วนั นี้ (พ.ศ. ๒๕๐๑) ประเทศไทยมพี ระพุทธรูปมากเกินกวา่ ประชากร ของประเทศเสียอีก (Boribal Buribhand and Griswold 1969, 3) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยเช่อื ว่าการสร้างพระพทุ ธรูปนัน้ ส่งผลในทางกุศลบญุ อย่างมาก ด้วย อานิสงสแ์ หง่ การสรา้ งพระพุทธรปู ไมว่ ่าเลก็ หรอื ใหญ่ด้วยวัตถุใดก็ตาม ผสู้ ร้างจะเปน็ ผมู้ ที รงงาม รูปงาม มฤี ทธ์เิ ดชมาก มยี ศมศี กั ด์ิ มคี วามสุข ไมม่ ีโรค อายุยืน ไมม่ ีเวรไมม่ ีภัย เกิดในตระกลู กษตั รยิ ์ หรือตระกลู พราหมณ์ มที รพั ย์มาก มีทาสชายหญงิ บรวิ ารห้อมล้อมทุกเมื่อ และจะบรรลนุ ิพพาน (เชียงใหม่ปัณณาส- ชาดก ๒๕๔๑, ๕๑๗ – ๕๑๘) นอกจากการสร้างพระพทุ ธรปู แลว้ การซ่อมพระพุทธรูปให้คงอยูใ่ นสภาพที่ สมบูรณ์ ก็จะนำมาซึ่งชัยชนะเหนือศัตรู มีทรัพย์มีสินไม่มีวันส้ินสุด ดังเช่น พระเจ้าวัฎฎังคุลี ผู้รบชนะ เหล่าพระราชาหน่ึงร้อยเอ็ดพระองค์ผู้มารุกรานด้วย “ทรงยกพระองคุลีของพระองค์ขึ้นน้ิวหน่ึง ทรงชี้ พระราชาเหล่านั้นไปรอบๆ ขณะนั้นเทียว พระราชาทั้งปวงพร้อมทั้งเสนามีช้างเป็นต้น หนีไป” (เร่ือง เดยี วกัน, ๕๑๐ – ๕๑๕) ทงั้ น้ีดว้ ยอานสิ งสท์ ่พี ระเจา้ วัฎฎงั คลุ ไี ดไ้ ปซ่อมพระองคลุ ีของพระพุทธรูปทข่ี าดไป ให้สมบูรณ์ ชาดกเร่อื งเดยี วกนั นี้ยงั ให้สาเหตขุ องการสร้างพระพุทธรูปวา่ เม่ือคร้ังพระเจ้าปเสนทิ กษัตริย์แห่ง แคว้นโกศล เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าท่ีพระเชตวันมหาวิหาร แต่พระพุทธองค์มิได้ประทับอยู่ ณ ท่ีน้ัน พระเจา้ ปเสนทิเกิดความสลดพระทัย จงึ ตรัสวา่ “โลกนี้เว้นจากพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าแลว้ ช่อื ว่าว่างเปล่า ไม่มีทพี่ ำนกั ไม่มีที่พึง่ พิง” ต่อมาในวันรงุ่ ขึน้ พระเจา้ ปเสนทไิ ปเฝา้ พระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จกลับมาแล้ว และทลู วา่ เม่ือพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่เสด็จไปท่ีอ่ืน ข้าพระองค์เมื่อไม่เห็นพระรูป พระองค์ย่อมเป็นผู้ไม่มีที่พึ่ง มีทุกข์ ก็เม่ือพระองค์ปรินิพพานแล้ว... สัตว์โลกนี้ จะพึงมีความสุขแต่ที่ไหนหามิได้... เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงอนุญาตเพื่อทำ พระรูปอันประเสริฐของพระองค์ เพ่ือประโยชน์แก่การบูชา สักการะของนระ และเทวดาแก่ข้าพระองคน์ นั่ เทยี ว (เรือ่ งเดยี วกนั , ๕๐๗) กำเนดิ พระพทุ ธรูปและพระพทุ ธปฏิมา ๑๕
เมอ่ื ได้ทรงสดับพระดำรสั ของพระราชาแลว้ พระองค์จึงตรสั วา่ บุคคลใดบุคคลหนึ่งถึงพร้อมด้วยศรัทธา ทำรูปของเราเล็กก็ตาม ใหญ่ก็ตาม ด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง มีดินเหนียวเป็นต้น ตามกำลังฯ... ย่อมเสวยสุขอัน ไพบูลย์ ไดเ้ ปน็ ผูช้ อื่ วา่ มเี ดชานุภาพมาก (เรื่องเดียวกนั , หนา้ เดียวกนั ) เม่ือพระเจ้าปเสนทิได้ทรงรับอนุญาตแล้ว จึงโปรดให้ช่างสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้แก่นจันทน์ และประดิษฐานพระพุทธรูปน้ันไว้บนอาสนะภายในมณฑป แล้วทรงนิมนต์พระพุทธเจ้าให้ไปทอด พระเนตรรูปของพระองค์ เมื่อพระพุทธรูปท่ีทำด้วยไม้แก่นจันทน์ เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่มณฑป จึง “ทรงยกพระบาทข้างหนึ่งจากอาสนะที่พระองค์ประทับนั่ง แสดงอาการต้อนรับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ เสดจ็ มาทน่ี ั้น” พระพุทธเจ้าจงึ รบั สั่งวา่ อาวุโส พระองค์จงทรงหยดุ เถดิ เราจกั นพิ พานโดยกาลของเราเทียว และพระองค์ จะพึงดำรงอย่ใู นศาสนาของเราโดยกาลนาน ตลอดหา้ พันปีในอนาคตกาล... วันนั้นเทียว เราขอมอบพระศาสนาของเราแก่พระองค์ ขอพระองค์ จงทรง ดำรงอยู่ในศาสนาของเรา เพ่ือประโยชน์เก้ือกูลแก่สัตว์โลกท้ังปวง (เร่ือง เดียวกนั , ๕๑๓) ถึงแม้ว่าต้นฉบับของ เชียงใหม่ปัณณาสชาดก จะมาจากประเทศพม่า (Skilling 2006, 155– 158) แตห่ นงั สอื ปฎิ กมาลา ของล้านนา ซึง่ เขยี นขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ (ค.ศ. 1824) ปรากฏว่ามีเนื้อหาใกล้ เคยี งกนั (เรอื่ งเดยี วกนั , 158) แสดงใหเ้ ห็นว่า ความร้เู ก่ียวกับ วฎั ฎังคุลิราชชาดก ซ่งึ เป็นที่มาของคตทิ ี่ เกี่ยวกับอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูปอันเป็นที่แพร่หลายในล้านนา ดังเห็นได้จากการที่ชาดกเรื่องน้ีได้ รับการกล่าวถึงใน ตำนานพ้ืนเมืองเชียงใหม่ ว่า มหากัสปเถระได้เทศน์เรื่องพระเจ้าวัฎฎังคุลีต่อน้ิว พระพทุ ธรปู ถวายพญาเมง็ ราย (ตำนานพ้ืนเมอื งเชยี งใหม่ ๒๕๓๘, ๒๗) ดงั นน้ั เรื่องของพระเจ้าวัฎฎังคลุ ี และพระเจ้าปเสนทิสร้างพระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์ รวมท้ังคติท่ีเกี่ยวกับอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป น่าจะอยู่ในการรับรู้ของผู้คนในประเทศไทยมาแล้ว ตั้งแต่พญาสววาธิสิทธิกษัตริย์มอญโบราณที่ปกครอง นครหริภุญไชย แรกรับพุทธศาสนานิกายเถรวาทมา เม่ือประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ (ต้นคริสต์ ศตวรรษท่ี 13) (Coedèès 1925, 189) ท้ังน้ีเพราะว่า เรื่องพระเจ้าปเสนทิสร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์ ปรากฏในหนังสือภาษาบาลีเร่ือง โกสล พิมพ์ วัณณนา แต่งขึ้นที่ลังกาในช่วงระยะเวลาเดียวกัน (Swearer 2004, 15) อยา่ งไรกต็ าม ตำนานการสรา้ งพระพทุ ธรปู แกน่ จนั ทน์นัน้ มมี านานกอ่ นหน้าน้ันหลายศตวรรษแลว้ ดงั กรณีพระภกิ ษจุ ีนนามว่า ฟาเหียน ผทู้ ่เี ดนิ ทางไปนครสาวตั ถี แคว้นโกศล ระหวา่ งปี พ.ศ. ๙๔๒ – ๙๕๗ (ค.ศ. 399 – 414) เล่าวา่ เมื่อพระเจา้ ปเสนทิเสด็จไปเฝา้ พระพทุ ธเจ้านน้ั พระพุทธองคเ์ สด็จขน้ึ ไปโปรด พระพุทธมารดาบนสวรรค์เป็นเวลา ๙๐ วัน พระองคจ์ ึงให้สรา้ งพระพุทธปฏิมาแกะสลกั ด้วยไมจ้ ันทน์ขนึ้ มาแทนพระพุทธองค์ ต่อมาเมอื่ พระพุทธเจา้ เสดจ็ กลับ พระพุทธรูปกเ็ สด็จเข้าไปเฝ้า พระพทุ ธองคต์ รสั ว่า ให้กลับไปยังที่นั่งเดิม, ภายหลังเม่ือเราบัลลุปรินิพพานแล้ว, จะเป็นตัวอย่างแก่ บริษัท ๔ ซึ่งเป็นศิษย์ของเรา, ดังน้ันแล้ว พระปฏิมาก็เลื่อนกลับไปสู่ท่ีน่ังเดิม, พระปฏิมาองค์น้ันเป็นพระพุทธปฏิมาองค์แรกของพระพุทธปฏิมาทั้งหมด และ ซ่งึ บคุ คลสบื ตอ่ มาไดถ้ อื เอาเปน็ ตัวอย่าง. (ฟาเหยี น ๒๔๘๗, ๑๐๑ – ๑๐๒) ในคัมภีร์ช่ือ เอโกตตราคม แปลจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนเมื่อปี พ.ศ. ๙๒๗ – ๙๒๘ (ค.ศ. 384 – 385) กล่าวว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น พระเจา้ ปเสนทิ พรอ้ มด้วยพระเจ้าอุเทน แหง่ นครโกสัมพเี สด็จไปเฝ้า ในเรือ่ งนีเ้ ป็นพระเจา้ อเุ ทนต่างหากที่ ทรงเป็นผู้สลดพระทัยเมื่อไม่ได้เฝ้าพระพุทธองค์ และทรงรับส่ังว่า หากมิได้เฝ้าพระพุทธองค์จะต้อง ๑๖ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ป์ไทย
รูปที่ ๑.๑ ก. เหรียญพระเจ้าจักรพรรดิกนิษกะที่ ๑ ส้ินพระชนมแ์ น่ พระเจา้ อุเทนจงึ เปน็ ผู้สรา้ งพระพทุ ธรปู แกน่ จันทน์ อนั เปน็ เหตใุ ห้พระเจา้ ปเสนทติ ้องสร้าง พ.ศ. ๖๖๓ - ๖๘๘ (ค.ศ. 120 - 145) พระพุทธรูปทองคำที่มีขนาดเดียวกันกับพระพุทธรูปแก่นจันทน์ “พระพุทธรูปท้ังสององค์นี้จึงเป็น พบท่ีสถปู อหนี พอช พระพุทธรูปของพระตถาคตสององค์แรกท่ีสร้างข้ึนในชมพูทวีป” เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ ใกลเ้ มอื งจลาลาบาท พระองค์ตรัสแก่พระเจ้าอุเทนว่า อานิสงส์แห่งการสร้างพระพุทธรูปน้ีจะส่งให้พระองค์มีสุขภาพท่ี ประเทศอัฟกานิสถาน ทองคำ แข็งแรงและเม่อื ประสูติใหม่จะเป็นโลกบาล (Soper 1959, 259) เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ เซนตเิ มตร บริตชิ มวิ เซียม กรุงลอนดอน สำหรับคัมภีร์ที่เก่าแก่ท่ีสุดที่กล่าวว่าพระเจ้าอุเทนทรงสร้างพระพุทธรูปแก่นจันทน์ น่าจะได้แก่ รปู ท่ี ๑.๑ ข. เหรียญพระพุทธรปู มคี ำจารกึ “พุทโธ” คัมภรี จ์ นี เกย่ี วกบั การสร้างพระพุทธรปู สมยั ราชวงศ์ฮัน่ ตะวันตก (พ.ศ. ๕๖๘ – ๗๖๓ / ค.ศ. 25 – 220) ซง่ึ มี ประดิษฐานอยู่อกี ด้านหน่งึ ลกั ษณะใกลเ้ คยี งกับเรอ่ื ง โกสล พมิ พ์ วณั ณนา ของลงั กา แตกต่างกันตรงท่ีพระเจ้าอุเทนแห่งนครโกสมั พี ของเหรียญรปู มใิ ช่พระเจา้ ปเสนทิ เป็นผเู้ ฝ้าพระพทุ ธเจ้า เมอ่ื พระพุทธองค์เสดจ็ ไปทีโ่ กสัมพี (Swearer 2004, 21 – 22) พระเจ้าจกั รพรรดิกนิษกะที่ ๑ (รูปท่ี ๑.๑ ก.) นอกจากน้ัน พระภกิ ษจุ นี เสวียนจ้งั (พระถังซำจ๋ัง) ผทู้ ่เี ดนิ ทางไปแสวงบญุ ทีอ่ ินเดีย ได้บนั ทึก เรอื่ งจดหมายเหตกุ ารเดินทางสู่ดินแดนตะวนั ตก แลว้ เสร็จในปี พ.ศ. ๑๑๘๙ (ค.ศ. 646) ท่านได้กลา่ วถงึ พระพุทธรูปจำหลักด้วยไม้จันทน์ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารสูงประมาณ ๖๐ ฟุตว่าเป็นพระพุทธรูปท่ี พระเจ้าอุเทนทรงสร้างไว้ แม้ว่าจะมีพระราชาจากหลายแคว้นประสงค์ที่จะอัญเชิญไปยังแว่นแคว้นของ พระองค์ แต่ไม่สามารถทจี่ ะขยับเขยื้อนองคพ์ ระพทุ ธรปู ได้ จึงต้องนำรูปจำลองไปสักการะแทน ท้งั นต้ี ่าง ก็เชื่อกันว่า พระพุทธรูปแก่นจันทน์เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะเหมือนพระพุทธองค์ทุกประการ และ เป็นตน้ แบบของพระพุทธรปู ในลกั ษณะนี้ (Hiuen Tsiang 1969, 235) พระพุทธรูปแก่นจันทน์แบบพระเจ้าอุเทนจำลอง จึงเป็นหมวดพระพุทธรูปที่เก่าแก่ท่ีสุด โดยมี หลักฐานยนื ยนั คือ เหรยี ญทองคำของพระเจ้าจกั รพรรดิกนิษกะท่ี ๑ (พ.ศ. ๖๖๓ – ๖๘๘ / ค.ศ. 120 – 145) ของราชวงศก์ ษุ าณะ ประเทศอนิ เดยี ซ่งึ ด้านหน่ึงเป็นพระบรมรปู ของพระเจา้ กนิษกะ (รปู ท่ี ๑.๑ ก.) อกี ด้านหน่ึงเป็นพระพุทธรูปยืน ปางประทานอภัย มีจารึกภาษาแบคเตรียน เขียนว่า “BODDO” (พุทโธ) อยทู่ างดา้ นขวาข้างประภามณฑล (รปู ท่ี ๑.๑ ข.) (Zwalf 1985, 92 – 93) ปางประทานอภยั จึงเปน็ ปาง ด้ังเดิมของพระพุทธรูป และมีความหมายว่า ภัยอันตรายจะไม่บังเกิดกับผู้ที่มีพุทธะเป็นสรณะ นอก จากนัน้ แล้ว พระพุทธรปู องค์นยี้ ังมีพระเมาลที รงสูง ซง่ึ สอดคล้องกับมหาบุรุษลักษณะประการท่ี ๑ จาก มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ซ่ึงให้ไว้ในคัมภีร์ ลลิตวิสตระ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เรียบเรียงจากคัมภีร์ของ นิกายสรรวาสติวาส ในช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๖ – กลาง ๗ (ครสิ ต์ศตวรรษที่ 1) คือชว่ งระยะเวลา เดียวกันกบั เหรยี ญทองคำของพระเจ้ากนษิ กะ โดยคมั ภรี ์ ลลติ วสิ ตระ กล่าวถงึ ลักษณะประการที่ ๑ ของ มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ว่า ๑) อุษฺณีษศีรฺษะ มีพระเศียรเหมือนโพกผ้า หรือเหมือนสวมมกุฎ (เมาลี) คือ พระเศียรสูง ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธประกอบด้วยมหาบุรุษ ลักษณะนีเ้ ปน็ ขอ้ ต้น (ลลติ วิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๘) พระพทุ ธรูปองค์นี้ยังครองจีวรหม่ คลุม ทรงถือลูกบวบของชายจวี รไวใ้ นพระหตั ถ์ซา้ ย ซึ่งเปน็ รปู แบบทไี่ ด้ รบั อทิ ธิพลมาจากรูปแบบการหม่ ผา้ พัลลอิ ุม (Pallium) ของจกั รพรรดิโรมันในประติมากรรมท่สี ร้างขน้ึ ใน รัชสมัยของจักรพรรดิ์ออกัสตุส (Augustus) (พ.ศ. ๕๒๑ – ๕๕๗ / ก่อนคริสต์กาล 23 – ค.ศ. 14) (Rowland 1970, 127) กำเนิดพระพุทธรูปและพระพุทธปฏมิ า ๑๗
รปู ท่ี ๑.๒ ก. พระพทุ ธรูป พระภิกษพุ ลสรา้ งในปีที่ ๓ ส่วนพระพุทธรูปท่ีมีจารึกว่า “พระภิกษุพล” สร้างถวายในปีที่ ๓ ของรัชกาลพระเจ้ากนิษกะ ของรชั กาลพระเจา้ จกั รพรรดิกนษิ กะท่ี ๑ (พ.ศ. ๖๖๖ / ค.ศ. 123) (Huntington 1985, 150 – 151) พบที่สารนาถ รัฐอตุ ตรประเทศ (รปู ที่ ๑.๒ ก.) (พ.ศ. ๖๖๖ / ค.ศ. 123) เปน็ พระพทุ ธรูปยนื แบบสกุลช่างมถุรา ซ่งึ จากพทุ ธลกั ษณะ ปาง และครองจีวรหม่ ดอง มิได้เปน็ พระพทุ ธ ศลิ าทรายสแี ดง สMงู u๒s.e๘u๙mเมSตa-rรn a-th ปฏมิ าไม้แกน่ จนั ทน์จำลอง หากแต่จำลองมาจากพระพทุ ธรปู ตน้ แบบองคอ์ ืน่ พระหัตถ์ขวาหักหายไป แต่ Archaeological หากคงอยู่น่าจะแสดงปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายกำอยู่ที่พระโสณี ทรงครองจีวรห่มดอง จีวรด้าน ซา้ ยยกพาดทีพ่ ระกร จีวรเป็นรวิ้ บางมองเห็นขอบสบงด้านบนซ่ึงคาดด้วยรัดประคด และจบี หน้านางของ รปู ที่ ๑.๒ ข. ฉัตรของพระพุทธรูปทพ่ี ระภิกษพุ ลสร้าง สบงระหว่างพระชงฆ์มีสิงห์นั่ง ซึ่งหมายถึง สิงห์แห่งราชวงศ์ศากยะ หรือพระศากยสิงห์ ซ่ึงเป็น ศิลาทรายสแี ดง สMงู u๓s.e๕u๐mเมSตa-รrn a-th พระนามท่ีเรียกพระพุทธเจ้าอีกพระนามหน่ึง พระพุทธรูปองค์นี้ยังมีฉัตรกั้น ซึ่งด้านในของฉัตรสลักเป็น Archaeological รูปกลีบบัวที่ประกอบด้วยลายมงคลต่างๆ (รปู ที่ ๑.๒ ข.) อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าของพระภิกษุเสวียนจั้ง ท่านได้เห็นพระพุทธปฏิมาไม้แก่นจันทน์ สามองค์ ซงึ่ เป็นท่นี ิยมเคารพบูชาอย่างแพร่หลาย องคห์ นง่ึ ในวิหารทโ่ี กสมั พี ซ่งึ พระเจา้ อเุ ทนเป็นผู้สรา้ ง จำลองเพ่ือเผยแผ่พระศาสนา องค์ที่สองอยู่ในเชตวันมหาวิหารที่สาวัตถี อันเป็นองค์ท่ีพระเจ้าปเสนทิ ทรงสร้าง และองค์ท่ีสามอยู่ที่หันโม แคว้นโคฐาน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นองค์ด้ังเดิมที่แท้จริง (Soper 1959, 262) สันนิษฐานว่าพระพุทธปฏิมาเหล่านี้น่าจะมีพุทธลักษณะคล้ายกันหมด คือเป็นพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ขวาหงายออกในท่าประทานอภยั พระหัตถซ์ า้ ยทรงถอื ชายจีวร ครองจวี รคลุมพระองั สาท้ังสอง ข้าง สบงจบี เป็นร้ิวท้ังซ้ายขวา ดังเชน่ พระพุทธปฏมิ าสัมฤทธท์ิ พี่ บท่ี ธเนสร์ เขระ (Dhanesar Khera) ใน จังหวัดบนั ทะ (Banda) รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) (Middleton 2002, 67 – 72) ตอ่ มาจงึ ได้มกี ารขายทอดตลาดประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๓ (ค.ศ. 1920) และปรากฏว่าได้ ไปเป็นสมบัติส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงพระองค์ท่านได้พระราชทานให้กับ พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ (ค.ศ. 1928) (รูปที่ ๑.๓) (ศิลปากร ๒๕๓๖ ก, ๑๐๑) จงึ เป็นหน่งึ ในไมถ่ ึง ๒๐ องคข์ องพระพทุ ธปฏิมาสัมฤทธจ์ิ ากสมัยราชวงศค์ ปุ ตะ (พ.ศ. ๘๖๓ – ๑๐๙๓ / ค.ศ. 320 – 550) ทห่ี ลงเหลอื อยูใ่ นปจั จุบัน พระพุทธปฏิมาจาก ธเนสร์ เขระ องค์น้ีมีพุทธลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มพระพุทธปฏิมาศิลาท่ี สลกั ข้นึ ที่มถุรา (รปู ที่ ๑.๔) ซ่ึงน่าจะเป็นพระพทุ ธปฏมิ าแก่นจนั ทน์จำลองเช่นกัน นอกจากน้ันแล้ว ความ สำคัญของพระเจ้าแก่นจันทน์ท่ีพระเจ้าอุเทนทรงสร้างขึ้นที่โกสัมพีสะท้อนให้เห็นว่า นครโกสัมพีมีบทบาท สำคัญในการเผยแพร่ความคิดน้ีภายใต้อิทธิพลของมถุรา (Soper 1959, 263) อันเป็นศูนย์กลางของ นิกายสรรวาสติวาส ตอ่ มาในชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ – กลาง ๑๒ (ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 6) นกิ ายนี้เปน็ ที่รู้จักกันในนามของ “มูลสรรวาสติวาส” และกลุ่มพระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ของจีนท่ีหล่อข้ึนในช่วงปลาย พุทธศตวรรษท่ี ๑๐ ถึงต้น ๑๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 5) ซ่ึงเช่ือกันว่าเป็นแบบท่ีพระเจ้าอุเทนโปรดให้ สร้างขนึ้ (รปู ที่ ๑.๕) และจำลองมาจากพระพุทธปฏิมาแกน่ จนั ทน์ (Munsterberg 1967, 31) ถงึ แมว้ ่า พระพุทธปฏิมาองค์ท่ีมีจารึกว่าสร้างข้ึนในปี พ.ศ. ๑๐๒๐ (ค.ศ. 477) จะจารว่าเป็นพระไมเตรยะ แต่พทุ ธลักษณะกย็ งั เปน็ พระศากยมุนอี ยู่ดี (Snellgrove 1978, 209) ๑๘ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
รปู ที่ ๑.๓ พระพุทธปฏมิ าแกน่ จนั ทน์จำลอง อินเดียสมยั ราชวงศค์ ุปตะ พบท่ี ธเนสร์ เขระ รฐั อุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 5) สัมฤทธิ์ สงู ๑๐.๕ เซนตเิ มตร พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร รูปที่ ๑.๕ พระพทุ ธปฏมิ าแบบพระเจ้าอเุ ทน รปู ที่ ๑.๔ พระพุทธปฏิมาแกน่ จนั ทนจ์ ำลอง อนิ เดีย สร้างปี พ.ศ. ๑๐๒๐ (ค.ศ. 477) สมัยราชวงศค์ ุปตะ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ สัมฤทธิ์ กะไหลท่ อง สงู ๑.๔ เมตร (ต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 5) Metropolitan Museum of Art, New York สัมฤทธ์ิ สูง ๒.๖๕ เมตร Indian Museum, Kolkata ๑๙ กำเนิดพระพุทธรูปและพระพทุ ธปฏมิ า
พระพุทธปฏมิ าแกน่ จันทน์ซ่ึงพระเจ้าอุเทนทรงสร้างน้นั ใชแ่ ต่จะมีความสำคัญในประเทศอินเดีย และประเทศจีนเท่าน้ัน หากยังเป็นที่เคารพบูชาแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย และมีประวัติศาสตร์ท่ี ยาวนานอีกเช่นกัน (Henderson and Hurvitz 1956, 5 - 55) อนงึ่ องคข์ องจีนเคยประดิษฐานอยู่ทีก่ รงุ ปักก่ิงในวัด จัน ตัน ซู (Chan T’an Ssŭ) ท่ีจักรพรรดิกังไสสร้างถวาย จนกระท่ังปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ.1900) จึงได้นำไปซ่อนไว้ท่ีวัดอีเกตุย (Egetui) ในเมืองอูลาน–อูเด (Ulan–Ude) ในสาธารณรัฐ ปกครองตนเองบูเรียตียา (Buryatiya) ในประเทศรัสเซยี จนถงึ ทุกวนั นี้ (Terentyev 2007, [n.p.n.]) พระพุทธปฏิมาที่อาจจะจำลองมาจากพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าอุเทนที่สร้างข้ึนใน ประเทศไทยพบนอ้ ยมาก ตัวอย่างได้แก่ พระพุทธรปู สัมฤทธยิ์ ืน พระหตั ถข์ วาประทานอภยั พระหตั ถซ์ ้าย ถือชายจีวร ครองจีวรคลุมพระอังสาทั้งสองข้าง (รูปที่ ๑.๖) ซึ่งพุทธลักษณะดังกล่าวสอดคล้องกับ พระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าอุเทนทุกประการ เพียงแต่รูปแบบของพระพุทธปฏิมาองค์น้ีได้ ววิ ัฒนาการไปตามยคุ สมัยและคา่ นิยมของท้องถิ่น ทีเ่ นน้ ความสมดลุ ของจวี รที่แนบตามพระวรกาย และ พระเมาลีเปน็ ทรงกรวย เปน็ ตน้ พระพทุ ธรูปองค์นีน้ า่ จะสรา้ งขนึ้ ในชว่ งกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ปลาย คริสต์ศตวรรษท่ี 13) เม่ือคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะเป็นท่ีแพร่หลายในแคว้นกัมโพช และมีศูนย์กลางอยู่ที่ ละโว้หรือลพบุรีในปัจจุบัน (พิริยะ, กำลังจัดพิมพ์) เนื่องด้วยว่านิกายกัมโพชสงฆ์ปักขะนี้ ได้รับเอาคติ ธรรมและความเชื่อจากมหายาน วัชรยาน และเถรวาทมาผสมกับขนบทางบาลี ก็เป็นไปได้ว่าพระ พุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าอุเทนอันเป็นท่ีนิยมในลัทธิมหายาน จะนำมาสร้าง ขนึ้ ในประเทศไทย ส่วนพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ท่ีพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสร้างที่สาวัตถีน้ัน พระรัตนปัญญาเถระ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งแต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี ที่นครเชียงใหม่ แล้วเสร็จใน ปี พ.ศ. ๒o๗๑ (ค.ศ. 1528) ความว่า พระพทุ ธปฏมิ าแกน่ จนั ทน์นน้ั สร้างขนึ้ ๗ ปีก่อนท่ีพระพุทธเจ้าจะ เสด็จปรินพิ พาน นอกจากนั้นแลว้ ยงั กล่าววา่ กษัตรยิ เ์ มืองสวุ รรณภมู ิ ซง่ึ น่าจะไดแ้ ก่ รามัญญเทศ หรือ พม่าตอนใต้ (Jayawickrama 1968, 3) ไดอ้ ัญเชิญพระพทุ ธปฏมิ าแกน่ จนั ทนม์ าบชู าในดินแดนของพระองค์ ต่อมาพระพุทธปฏมิ าแกน่ จันทนย์ งั ไดถ้ กู อัญเชญิ ไปบชู าอกี หลายเมอื งในล้านนา เช่น พะเยาและเชยี งใหม่ ก่อนที่จะนำมาประดิษฐานในอุโบสถวัดเจ็ดยอดที่นครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒o๖๘ (ค.ศ. 1525) (รัตนปญั ญาเถระ ๒๕o๑, ๑๔๕ - ๑๔๗) พระรตั นปญั ญาเถระมไิ ดใ้ หร้ ายละเอียดว่า พระพุทธปฏมิ าแกน่ จนั ทน์องคน์ ีเ้ ป็นพระพทุ ธปฏมิ า ประทับหรือพระพุทธปฏิมายืน แต่ ตำนานพระแก่นจันทน์ กล่าวว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่สลักขึ้นจาก ไม้แก่นจันทน์แดง โดยให้สัดส่วนของพระพุทธปฏิมาซ่ึงคาดคะเนได้ว่าน่าจะเป็นพระพุทธปฏิมาแบบ ประทับ (สงวน รอดบญุ ๒๕๔๕, ๗๑) เช่น แท่นสงู ๖ องคลุ ี (๑๒ เซนตเิ มตร) พระองคส์ งู ๒๒ องคุลี (๔๔ เซนติเมตร) หนา้ ตักกวา้ ง ๒๒ องคุลี (๔๔ เซนติเมตร) พระอังสากว้าง ๒๓ องคลุ ี (๔๗ เซนตเิ มตร) (Penth 1994, 169) แต่ พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากจิ กรจกั ร์ (แชม่ บุนนาค) กลบั ระบุว่า “เปน็ พระพุทธรูปยืน มีแท่นสูง ๖ นิว้ พระองค์สงู ๒๒ นิว้ วัดรอบพระองค์ได้ ๒๓ นว้ิ กึ่ง” (ประชากิจกรจักร์ ๒๔๗๘, ๓๕๑) เป็นไปได้ว่ามีการสับสนระหว่างพระพุทธปฏิมาแก่นจันทน์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล กับ พระพุทธปฏิมาแก่นจนั ทนท์ ่พี ระเจ้าแสนพู กษตั รยิ ล์ า้ นนาทรงสร้างขึ้นทีเ่ วียงแสนน้อย ใกล้สบกก ซงึ่ เป็น พระพทุ ธปฏมิ ายืน (รตั นปญั ญาเถระ ๒๕o๑, ๙๖) อย่างไรกต็ าม ไม่ปรากฏว่าพระพทุ ธปฏิมาแกน่ จนั ทนท์ ี่ กล่าวถึงขา้ งต้นทงั้ สององค์นมี้ พี ุทธลักษณะเปน็ อยา่ งไรและปัจจุบันอยู่ทใี่ ด ดังน้ัน พระพุทธปฏิมา ซ่ึงหมายถึงรูปเปรียบหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า พระพุทธปฏิมา จงึ เปน็ รปู จำลองของพระพทุ ธรปู และก็เป็นรูปจำลองของพระพุทธปฏิมาที่จำลองสบื ตอ่ ๆ กนั มา ดงั เห็นได้จากการท่ีพระพุทธปฏิมาจำนวนมากมีพุทธลักษณะที่คล้ายกัน โดยมูลเหตุท่ีทำให้คล้ายกันนั้น มไิ ด้มาจากการสร้างพระพุทธรปู ในแต่ละยคุ สมยั แต่ทว่ามาจากความตอ้ งการของพุทธศาสนกิ ชนทจ่ี ะ จำลองพุทธลักษณะของพระพุทธรูปท่ีมีความศักดิ์สิทธิ์ และมุ่งสืบทอดพุทธลักษณะของพระพุทธรูป ซ่งึ เปน็ ตน้ แบบไวใ้ ห้ไดม้ ากท่สี ุด ดงั เช่นการจำลองพระพทุ ธรูปแกน่ จนั ทนท์ ่ีไดก้ ล่าวมาแล้วข้างตน้ ๒๐ พระพุทธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
รปู ที่ ๑.๖ พระพทุ ธปฏมิ าแบบพระเจา้ อเุ ทน ๒๑ ไม่ทราบทมี่ า ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 13) สัมฤทธิ์ สูง ๒๘ เซนตเิ มตร สมบตั ิสว่ นบคุ คล กำเนดิ พระพทุ ธรูปและพระพุทธปฏิมา
แผ่นศลิ าภาพพระพุทธเจา้ ๘ ปาง (รปู ท่ี ๒.๑๗ ก.) Archaeological Museum, Sa-rna-th พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
๒ บทท่ี พระพทุ ธลักษณะ พระอิริยาบถ และปาง ๑. พระพุทธลักษณะ มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ คมั ภีร์ ลลิตวสิ ตระ พระพุทธประวตั ิภาษาสันสกฤตซ่งึ เรียบเรียงจากคัมภรี ข์ อง นิกายสรรวาสติวาส (Keown 2003, 153) แปลเป็นภาษาจีนเม่ือประมาณกลางพุทธ ศตวรรษที่ ๖ – กลาง ๗ (คริสต์ศตวรรษที่ 1) ได้ใหร้ ายละเอียดเก่ยี วกับมหาปรุ สิ ลักษณะ หรือมหาบรุ ษุ ลักษณะ ซงึ่ หมายถึงลักษณะของมหาบรุ ษุ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ (อวัยวะส่วนปลีกย่อย) อีก ๘๐ ประการ ท่ีแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้านั้นแตกต่างจาก บุคคลท่ัวไป แมแ้ ต่พระจักรพรรดิราช เชน่ ใด มหาบรุ ุษลักษณะ ๓๒ ประการ ได้แก่ (๑) อุษณฺ ษี ศรี ษฺ ะ พระเศียรรูปเหมอื นโพกผา้ หรือเหมอื นสวมมกฎุ (เมาล)ี คือพระเศยี รสงู (๒) ภนิ นฺ าญฺชนมยูรกลาปาภนิ ีลวลลฺ ิตปฺรทกฺษณิ าวรตฺ เกศะ พระเกศาแยกเสน้ กนั สเี ขยี วเขม้ เหมอื นสยี าปา้ ยขอบตาหรือสีดอกอญั ชนั หรอื สีโคนหางนกยงู ขมวดเวียนขวา (๓) สมวิปุลลลาฏะ พระนลาฏ (หนา้ ผาก) กว้างเรยี บ (๔) อูรณฺ าภรฺ โุ วมเธยฺ ชาตาหมิ รชตปรฺ กาศา ขนอ่อนเกิดทห่ี วา่ งคว้ิ (อณุ าโลม) สีขาวเหมอื นนำ้ คา้ งหรือเงินยวง (๕) โคเปกฺษมเนตระ พระเนตรมีขอบเหมอื นขอบตาวัว (๖) อภนิ ลี เนตรฺ ะ พระเนตรสเี ขียวเข้ม (๗) สมจตฺวารศึ ทฺทนฺตะ มพี ระทนต์ (ฟนั ) ๔๐ ซี่ เท่าๆ กนั (๘) อวริ ลทนฺตะ ซี่พระทนต์ชิดกนั (๙) ศุกฺลทนฺตะ พระทนต์ขาวสะอาด (๑๐) พรฺ หมฺ สวฺ ร มีเสยี งไพเราะเหมือนเสียงแหง่ พรหม (๑๑) รสรสาครฺ วานฺ ปลายพระชวิ หารรู้ สไว (๑๒) ปฺรภูตตนุชิหฺวะ พระชวิ หาแผอ่ อกได้มาก (๑๓) สหี หนุ พระหนุ (คาง) เหมือนคางราชสีห์ (๑๔) สสุ วํ ฤฺ ตฺตสกฺ นฺธะ มพี ระวรกายสำรวมอินทรียเ์ ป็นอยา่ งด ี (๑๕) สปโฺ ตตสฺ ทะ มีพระมงั สา (กลา้ มเน้ือ) อมู นนู ๗ แห่ง (๑๖) จิตานตฺ รำสะ พระอังสา (ไหปลารา้ ) มเี น้ือเตม็ (๑๗) สกู ฺษม สวุ รณฺ รณฺ จฺฉวิ พระฉวี (ผิว) ละเอียดมีสเี หมือนสีทอง (๑๘) สฺถโิ ต’ นวนตปรฺ ลมฺพพาหุ พระวรกายยนื ตรงไม่คดคอ้ ม พระพาหา (แขน) ยาว (๑๙) สหึ ปูรฺวารธฺ กายะ พระวรกายทอ่ นบนเหมือนท่อนบนของราชสีห์ (๒๐) นยฺ โครธปรมิ ณฺฑโล มปี ริมณฑลเหมอื นปรมิ ณฑลของต้นไทร (๒๑) เอไกกโรมา มพี ระโลมา (ขน) ขมุ ละเสน้ พระพทุ ธลักษณะ พระอริยาบถ และปาง ๒๓
(๒๒) อรุ ธฺ ฺวาครฺ าภปิ ฺรทกษฺ ณิ าวรฺตโรมา พระโลมาเวียนขวา ปลายพระโลมาชข้ี ึน้ บน (๒๓) โกโศปคตพสฺตคิ ุหฺยะ พระคุยหะ (เครื่องเพศ) ซอ่ นอยูใ่ นฝกั (๒๔) สวุ วิ รฺตโิ ตรุ ต้นพระชงฆ์ (ขาทอ่ นบน) กลมงาม (๒๕) เอเณยมฺฤคราชชงฺฆะ พระชงฆ์ (ขาท่อนลา่ ง) เหมือนแข้งพระยาเนือ้ ทราย (๒๖) ทีรฆฺ างคฺ ลุ ิ นวิ้ พระหตั ถ์ นิ้วพระบาทยาว (๒๗) อายตปารษฺ ณฺ ปิ าทะ พระปรัษณี (ส้นเทา้ ) ยาว (๒๘) อุตฺสงฺคปาทะ พระบาทลาดขึ้นสงู (๒๙) มฤฺ ทตุ รณุ หสตฺ ปาทะ พระหตั ถ์ พระบาทนุ่มสด (๓๐) ชาลางคฺ ุลหี สฺตปาทะ น้วิ พระหตั ถ์ น้ิวพระบาท และพระหตั ถ์พระบาทมีรูป ลายตาขา่ ย (๓๑) ทีรฆฺ างคฺ ุลริ ธะกฺรมตลโยรฺ จเกฺรชาเต จเิ ตรฺ สหสรฺ าเร สเนมิเก สนาภเิ ก พระบาททั้ง ๒ ลาดตำ่ ลงโดยลำดบั น้ิวพระบาทยาว เกิดมีลายกงจกั ร อันวิจติ ร (สขี าวมปี ระกายเหมือนเปลวไฟ) มซี ี่ ๑,๐๐๐ พร้อมดว้ ยกงและดมุ (๓๒) สปุ รฺ ติษฐฺ ิตสมปาโท ฝ่าพระบาทแนบสนิทกับพ้ืนเปน็ อยา่ งดี (ลลติ วิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๘ -๕๙๙) อนพุ ยัญชนะ (อวยั วะส่วนปลกี ย่อย) ๘๐ ประการ ได้แก ่ (๑) ตงุ ฺคนขะ เลบ็ นูน (๒) ตามฺรนขะ เลบ็ แดง (๓) สนิคธฺ นขะ เล็บอ่อนเป็นเงางาม (๔) วฤฺ ตตฺ างฺคลุ ิ นวิ้ พระหตั ถแ์ ละนวิ้ พระบาทกลม (๕) อนปุ รู วฺ จิตฺรางฺคลุ ิ น้ิวพระหัตถ์และนวิ้ พระบาทงามเรียว (๖) คฒู ศิระ พระเศยี รราบเรยี บ (๗) คูฒคลุ ฺผะ พระโคปกะ (ตาตุม่ ) ราบเรยี บ (๘) ฆนสนฺธิ ขอ้ ตอ่ มน่ั คงแขง็ แรง (๙) อวษิ มปาทะ ฝา่ พระบาทเสมอกัน (๑๐) อายตปารษฺ ณฺ ิศะ สน้ พระบาทยาว (๑๑) สนิคฺธปาณิเลขะ ลายพระหตั ถ์ละเอยี ดงาม (๑๒) ตลุ ยปาณเิ ลขะ ลายพระหตั ถ์เหมือนกัน (ทั้งสองข้าง) (๑๓) คมั ภีรปาณเิ ลขะ ลายพระหตั ถล์ ึก (๑๔) อชหิ มฺ ปณิเลขะ ลายพระหัตถไ์ มห่ กั คด (๑๕) อนุปูรวฺ ปาณเิ ลขะ ลายพระหัตถเ์ รียวตามลำดับ (๑๖) พิมโฺ พษฐฺ ะ รมิ พระโอษฐ์แดงดงั่ ผลตำลงึ สกุ (๑๗) โนจจฺ าวจศพฺทะ พระสรุ เสียงไมด่ งั (๑๘) มฺฤทตุ รุณตามรฺ ชิหวะ พระชวิ หาออ่ นและแดงสด (๑๙) คชครชติ าภิสฺตนติ เมฆสวรฺ มธรุ มญชฺ ุโฆษะ มีพระสุรเสยี งกอ้ งเหมือน ช้างรอ้ ง และเมฆกระห่มึ แตห่ วาน และออ่ นโยนไพเราะ (๒๐) ปริปรู ฺณวยฺ ญชนะ ตรสั ไดช้ ัดเจนถูกตอ้ งเตม็ ตามพยัญชนะ (๒๑) ปฺรลมฺพพาหุ พระพาหา (แขน) ยาว (๒๒) ศจุ คิ าตฺรวสตฺ สุ ํปนนฺ ะ สมบรู ณด์ ว้ ยพระวรกายวสั ดุอันสะอาดบรสิ ุทธ์ิ (๒๓) มฺฤทคุ าตรฺ ะ พระวรกายนม่ิ (๒๔) วิศาลคาตรฺ ะ พระวรกายกวา้ ง (๒๕) อทนี คาตฺร พระวรกายไม่ซูบซีดแลดเู ปน็ สง่าบ่งว่าเป็นผมู้ บี ุญ (๒๖) อนปุ ูรโวนฺนตคาตฺร พระวรกายสงู เรยี วขึ้นเปน็ ลำดบั (๒๗) สุสมาหิตคาตรฺ ะ พระวรกายตั้งขึ้นม่นั คงเป็นอย่างด ี ๒๔ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
(๒๘) สุวภิ กฺตคาตรฺ ะ พระวรกายไดส้ ่วนสัดดี (๒๙) ปฺฤถวุ ปิ ุลสุปริปูรณฺ ชานมุ ณฺฑละ พระชานมุ ณฑล (ตกั ) หนา กว้าง เต็ม เปน็ อันดี (๓๐) วฤฺ ตฺตคาตฺระ พระวรกายกลม (๓๑) สปุ ริมฤฺ ษฺฏคาตฺระ พระวรกายเกล้ียงเกลาดี (๓๒) อชหิ มฺ วฺฤษภคาตฺระ พระวรกายเหมอื นโคเพศผู้ (๓๓) อนปุ รู ฺวคาตฺระ พระวรกายเรียวไปเปน็ ลำดับ (๓๔) คมฺภีรนาภิ พระนาภีลึก (๓๕) อชิหมฺ นาภิ พระนาภีไมบ่ ดิ เบ้ียว (๓๖) อนุปรู ฺวนาภิ พระนาภมี กี ลบี เปน็ ชั้น ๆ ลกึ ลงไปโดยลำดับ (๓๗) ศุจฺยาจาระ พระจริยาวตั รเป็นระเบียบและพระมารยาทงดงาม (๓๘) ฤษภวตฺสมนตฺ ปฺราสาทกิ ะ พระจรยิ าวตั รงามเหมือนโคเพศผู้ (๓๙) ปรมสุวศิ ุทธฺ วติ ิมริ าโลกสมนตฺ ปรฺ ภะ พระวรกายบรสิ ุทธิ์ผุดผอ่ งเหมอื น ดวงอาทิตย์ฉายแสงในทมี่ ดื (๔๐) นาควลิ มฺพิตคติ ทรงพระดำเนนิ แช่มช้อยเหมอื นช้างเดนิ (๔๑) สหึ วกิ รฺ านฺตคติ ทรงยา่ งกรายองอาจเหมือนสิงห์ (๔๒) ฤษภวิกฺรานฺตคติ ทรงยา่ งกรายองอาจเหมอื นโคเพศผู้ (๔๓) หํสวิกฺรานตฺ คติ ทรงย่างกรายละมนุ ละมอ่ มเหมอื นหงสย์ า่ งกา้ ว (๔๔) อภิปรฺ ทกษฺ ณิ าวรฺตคติ ทรงพระดำเนินมีมรรยาทแสดงทา่ เคารพอยา่ งดยี งิ่ (๔๕) วฤฺ ตฺตกกุ ฺษิ พระอุทร (ทอ้ ง) กลม (๔๖) มฺฤษฺฏกกุ ฺษิ พระอทุ รเกล้ียงเกลา (๔๗) อชหิ มฺ กกุ ฺษิ พระอทุ รไมค่ ดค้อม (๔๘) จาโปทระ พระอทุ รนนู โค้งเหมือนคันธน ู (๔๙) วยฺ ปคตฉนทฺ โทษะนีลกาลกาทุษฺฏศรีระ พระวรกายปราศจากเครื่อง ทำให้รัก และเครือ่ งทำใหช้ ัง (คอื ปราศจากเครอ่ื งประทนิ โฉมเสรมิ สวย และส่ิงเปรอะเป้อื น) และปราศจากเครื่องประทษุ ร้ายผิว คือ ปานและไฝ (๕๐) วฤฺ ตตฺ ทํษฏฺ ระ พระทาฐะ (เขีย้ ว) ซ่ีกลม (๕๑) ตกี ฺษณทํษฏฺ ฺระ พระทาฐะคม (๕๒) อนุปูรวฺ ทํษฺฏระ พระทาฐะเรียวเป็นลำดบั (๕๓) ตงุ คนาสะ พระนาสกิ (จมกู ) โด่ง (๕๔) ศุจนิ ยนะ พระเนตรแจ่มใสสะอาด (๕๕) วมิ ลนยนะ พระเนตรไม่ขนุ่ มัว (๕๖) ปฺรหสิตนยนะ พระเนตรยิ้มแยม้ รา่ เริง (๕๗) อายตนยนะ พระเนตรยาว (๕๘) วิศาลยนะ พระเนตรกวา้ ง (๕๙) นีลกุวลยทลสทฤฺ ศนยนะ พระเนตรเหมือนกลีบบัวเขยี ว (๖๐) สหติ ภรฺ ู พระขนง (ค้ิว) ดก (๖๑) จิตฺรภฺรู พระขนงงาม (๖๒) อสติ ภรฺ ู พระขนงดำ (๖๓) สํคตภรฺ ู พระขนงตอ่ กัน (๖๔) อนปุ รู วภฺรู พระขนงเรียวเป็นลำดับ (๖๕) ปนี คณฺฑะ พระกโปล (แกม้ ) เตม็ (๖๖) อวษิ มคณฑฺ ะ พระกโปลเทา่ กนั ทัง้ สองข้าง (๖๗) วฺยปคตคณฑฺ โทษะ พระกโปลปราศจากโทษ (คือไม่เป็นรว้ิ รอยสิวฝา้ ) (๖๘) อนุปหตกฺรุษฏฺ ะ ไม่แสดงพระพกั ตรเ์ หย้ี มเกรียม พระพุทธลกั ษณะ พระอริยาบถ และปาง ๒๕
(๖๙) สุวิทเิ ตนทฺ รฺ ิยะ ประสาทอนิ ทรีย์รบั รไู้ ว (๗๐) สุปรปิ รู ฺเณนทฺ รฺ ยิ ะ อนิ ทรยี ์ครบบรบิ ูรณ์ (คอื มี ตา หู จมกู ลน้ิ กาย หรือผวิ หนัง ใจ บรบิ รู ณด์ ี) (๗๑) สคํ ตมขุ ลลาฏะ พระนลาฏ (หน้าผาก) รับกบั พระพกั ตร ์ (๗๒) ปริปรู ฺโณตฺตมางคฺ พระเศยี รอูมเตม็ (๗๓) อสิตเกศะ พระเกศาดำ (๗๔) สหิตเกศะ พระเกศาดก (สสุ ํคตเกศะ มีพระเกศารวมกนั เป็นเกลียว) (๗๕) สุรภเิ กศะ พระเกศาหอม (๗๖) อปรษุ เกศะ พระเกศาไมห่ ยาบ (๗๗) อนากุลเกศะ พระเกศาไม่ยุ่ง (๗๘) อนุปรู วฺ เกศ พระเกศาเรยี งเส้นเปน็ ลำดบั (๗๙) สุกุญฺจติ เกศะ พระเกศางอหงกิ เปน็ อนั ดี (๘๐) ศฺรีวตสฺ สฺวสตฺ กิ นนฺทยฺ าวรตฺ วรธฺ มานสํสถฺ านเกศะ พระเกศาเจรญิ งาม ขมวดเวยี นขวาเหมือนรปู สวสั ติกะซ่ึงเปน็ ศรวี ัตสะ (เครอ่ื งหมายกากบาท ปลายหกั มุมเวียนขวา) (เรอ่ื งเดยี วกนั , ๖๐๐ – ๖๐๒) ถึงแม้คัมภีร์ ลลิตวิสตระ จะเขียนขึ้นหลังจากได้มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นแล้วเม่ือช่วงกลางพุทธ ศตวรรษที่ ๖ (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 1) อันเห็นได้จากการกล่าวถึง “รูปจำลองตถาคต” (เร่ืองเดียวกัน, ๙๖๕, ๙๖๘) แต่พระคัมภีร์น้ีก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างพระพุทธรูปในสมัยต่อมา โดยเฉพาะใน แวดวงของนิกายมูลสรรวาสตวิ าส และลทั ธมิ หายาน สว่ นพระไตรปิฎกของนิกายเถรวาท กย็ ังมีการกล่าวถึงลกั ษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ เชน่ กัน ใน ลกั ขณสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ สุตตนั ตปฎิ ก แตกตา่ งกับของมหายานตรงท่ี พระจักรพรรดิราชทรง มีมหาบุรษุ ลักษณะ ๓๒ ประการ เชน่ เดียวกนั กบั พระพทุ ธเจ้า ได้แก ่ (๑) สุปติฏฐติ ปาโท ฝ่าพระบาทเสมอดงั พืน้ ฉลองพระบาททองแหง่ พระราชามหากษตั ริย์ ไม่แหว่งเว้าสูงปลายเท้าหนกั สน้ กระโย่ง กลางเทา้ ดังสามัญมนษุ ย์ (๒) เหฏฺฐา โข ปนสฺสปาทตเลสุ จกกฺ านิ ชาตานิ สหสสฺ ารานิ สเนมกิ านิ สนาภิกานิ สพพฺ าการปริปูรานิ ในฝา่ พระบาทมีจกั รทงั้ หลายบังเกดิ ขนึ้ มซี กี่ ำไดล้ ะพัน มกี งมีดมุ บรบิ ูรณด์ ว้ ยอาการทัง้ ปวง (๓) อายตปณหฺ ิ มพี ระส้นอันยาว (๔) ทีฆงฺคุลิ มพี ระองคลุ ีนิ้วพระหัตถ์ น้วิ พระบาทยาวงาม น้วิ พระหัตถ ์ ทง้ั ๔ และน้วิ พระบาททงั้ ๕ มปี ระมาณเสมอกนั ไมเ่ หล่อื มยาว ไม่เหลอื่ มสัน้ ดังสามญั มนษุ ย์ (๕) มุทตุ ลุนหตถฺ ปาโท ฝา่ พระหัตถ์และฝา่ พระบาทอ่อนเสมออย่เู ป็นนิตย์ (๖) ชาลหตฺถปาโท พระหัตถ์และพระบาทมีลายประหน่งึ รา่ งข่าย (๗) อสุ สฺ งฺขปาโท พระบาทมีสงั ขะ คือขอ้ พระบาทลอยอยู่ ณ เบื้องบน ขอ้ พระบาทไมเ่ น่อื งพวั พันกับหลงั พระบาทดังของสามัญชน (๘) เอณิชงโฺ ฆ มีพระชงฆร์ เี รียวดงั แข้งแหง่ เนื้อทราย (๙) ฐติ โก ว อโนนมนโฺ ต สถติ ประดิษฐานยืนอยมู่ ิได้น้อมลง ฝา่ พระหัตถ ์ ทง้ั ๒ ลูบถงึ มณฑลพระชานุท้งั ๒ (๑๐) โกโสหติ วตฺถคยุ โฺ ห มีอังคาพยพซง่ึ จะพึงซ่อนใหล้ บั ดว้ ยผา้ ตัง้ ลงแลว้ ในฝกั (๑๑) สุวณฺณวณโฺ ณ พระฉวี (ผิว) คลา้ ยควรเปรียบด้วยทองคำ (๑๒) สขุ ุมจฉฺ วิ มพี ระฉวีอนั ละเอียด ๒๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ป์ไทย
(๑๓) เอเกกโลโม พระโลมชาตขิ มุ ละเส้นๆ เสมอไปทกุ ขมุ ขน (๑๔) อุทธฺ คคฺ โลโม พระโลมชาติลว้ นมปี ลายข้นึ เบ้อื งบนทุกเส้น สีเขยี วประหนงึ่ สดี อกอัญชญั ขดเป็นกณุ ฑลทกั ขณิ าวัฏเวียนขวา (๑๕) พรฺ หฺมุชคุ ตฺโต พระวรกายตรงดังกายพรหม (๑๖) สตตฺ สุ ฺสโท พระมังสะในท่ี ๗ สถาน คือหลงั พระหตั ถท์ ้ัง ๒ หลงั พระบาท ทั้ง ๒ จะงอยพระองั สาทั้ง ๒ และพระศอฟบู ริบูรณเ์ ตม็ ด้วยดี (๑๗) สีหปพุ พฺ ฑฒฺ กาโย ส่วนพระวรกายเบอ้ื งหนา้ ดงั กง่ึ กายเบือ้ งหนา้ แหง่ ราชสหี ์ (๑๘) ปีตนตฺ รํโส ระหวา่ งแหง่ พระปฤษฎางค์ (แผน่ หลัง) อนั เต็มไม่เปน็ รอ่ ง ดังทางไถดงั มใี นกายแห่งสามัญชน (๑๙) นโิ ครธปริมณฑโล ปริมณฑล (วงรอบ) ดงั ไมน้ โิ ครธพฤกษ์ พระวรกาย (ความสูง) กับวา (ช่วงระยะกางแขน) ของพระองคเ์ ท่ากนั (๒๐) สมวฏฎฺ กขฺ นโฺ ธ มีลำพระศอกลมเสมอ (๒๑) รสคคฺ สคคฺ ี เอ็น ๗๐๐ ที่ สำหรบั นำไปซงึ่ รสอาหารมาสวมรวมประชุม ณ พระศอ (๒๒) สหี หนุ พระหนุ (คาง) ดั่งคางราชสหี ์บริบูรณด์ ปี ระหนึ่งวงพระจนั ทร ์ ในวัน ๑๒ คำ่ (๒๓) จตฺตาฬีสทนโฺ ต พระทนต์ (ฟัน) ครบ ๔๐ ทศั (ซ่ี) (๒๔) สมทนโฺ ต พระทนตเ์ สมอ ไม่ลักล่ัน ยาวส้ันดงั สามัญมนุษย์ (๒๕) อวริ ฬทนโฺ ต พระทนต์ไม่หา่ ง ชิดสนิทเป็นอนั ดี (๒๖) สสุ กุ กฺ ทาโฐ พระทาฐะ คอื พระเข้ยี วอันขาวงาม (๒๗) ปหตุ ชิวโฺ ห พระชิวหา (ล้ิน) อนั พอ คือ อ่อนและกว้างใหญ่ อาจแผ่ปก พระนลาฏมิดและจะหอ่ ให้เล็กสอดในช่องพระนาสกิ และช่องพระโสตได้ (๒๘) พฺรหฺมสสฺ โร กรวิกภาณี พระสุรเสียงกอ้ งกงั วานดงั เสยี งพรหม เม่ือจะตรัสมสี ำเนยี งดังนกการวิก (๒๙) อภนิ ีลเนตฺโต พระเนตรเขยี วสนิทในท่คี วรจะเขียว (๓๐) โคปมุโข ดวงพระเนตรดงั ตาแห่งโค (๓๑) อุณฺณา ภมุกนตฺ เร ชาตา พระอุณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างแหง่ พระขนง (๓๒) อณุ หิสสีโส พระมหาบรุ ษุ บรมโพธิสตั ว์เจา้ มีพระเศียรไดม้ ีรูปทรงงดงาม ดจุ ประดบั ดว้ ยอุณหิสกรอบพระพักตร์ (ปฐมสมโพธิ ๒๕๐๘, ๑๘ – ๒๑) มหาปรุ สิ ลกั ษณะ หรอื มหาบุรษุ ลกั ษณะ ๓๒ ประการ ทก่ี ล่าวถึงใน ลกั ขณสูตร น้นั มีความสำคัญ ต่อพระพุทธปฏิมาไทยเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อชาวไทยรับนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกาเข้ามา เม่ือกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ต้นครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14) กไ็ ด้ปรับเปลีย่ นมหาบรุ ษุ ลักษณะบางประการที่มี มาแต่อดตี ใหส้ อดคล้องกับมหาปรุ ิสลกั ขณะของบาลี จนกลายเปน็ อัตลักษณ์ของพระพุทธปฏิมาไทย พระพทุ ธลกั ษณะ พระอรยิ าบถ และปาง ๒๗
รูปท่ี ๒.๑ พระอิรยิ าบถประทบั ขัดสมาธริ าบ ๒. พระอริ ิยาบถ รูปท่ี ๒.๒ พระอิรยิ าบถประทับขดั สมาธเิ พชร พระอริ ยิ าบถของพระพทุ ธปฏมิ าที่สรา้ งขนึ้ ในประเทศไทยกอ่ นทีจ่ ะรบั เอานกิ ายเถรวาท คณะมหาวหิ าร มาจากลังกานน้ั สรา้ งข้ึนตามแบบพระพุทธปฏิมาของอินเดยี ซ่ึงมี ๓ พระอริ ยิ าบถหลกั คือ ประทับ (นั่ง) ยนื และไสยาสน์ (นอน) และเมื่อรบั นกิ ายเถรวาท คณะมหาวิหารแลว้ จึงเพิ่มพระอิริยาบถลลี า (เดิน) ขึ้น รวมท้งั สิ้นเปน็ ๔ พระอิริยาบถ เฉพาะพระอิริยาบถประทับนั้น มี ๓ แบบหลัก ไดแ้ ก่ ประทับขดั สมาธริ าบ ประทบั ขดั สมาธิเพชร และ ประทับหอ้ ยพระบาท - ประทับขัดสมาธิราบ (วีราสนะ) ได้แก่ประทับบนพื้นไขว้พระชงฆ์ขวาซ้อนเหนือ พระชงฆ์ซ้าย (รูปท่ี ๒.๑) เป็นพระอิริยาบถของพระพุทธปฏิมาอินเดีย ภาคใต้ ทีส่ รา้ งขนึ้ ในรฐั อานธรประเทศ และพระพทุ ธปฏิมาลังกา - ประทับขัดสมาธิเพชร (วัชราสนะ) ได้แก่ประทับบนพื้นไขว้พระชงฆ์หงายฝ่า พระบาทขึน้ ท้งั สองขา้ ง (รปู ท่ี ๒.๒) เป็นพระอริ ยิ าบถของพระพุทธปฏิมาที่ สร้างข้ึนทางภาคเหนือของประเทศอนิ เดยี - ประทับห้อยพระบาท (ภัทราสนะ) ได้แก่ประทับบนบัลลังก์ห้อยพระบาท (รูปที่ ๒.๓) เป็นพระอริ ยิ าบถของพระพทุ ธปฏิมาในรัฐอานธรประเทศ (ดูรปู ที่ ๔.๔ ก.,ข.) และในถ้ำอชัญฏา รฐั มหาราษฎร์ ประเทศอินเดยี พระอิริยาบทยืนมี ๒ แบบ ได้แก่ ยืนตรง และยืนเอียงพระวรกาย ยืนตรง (สมภังค์) คือ การยืนท่ีพระบาททั้งสองข้างรับน้ำหนักของพระวรกายเท่ากัน (รูปที่ ๒.๔) และการยืนเอียงพระวรกาย (ตริภังค์) คือ การยืนที่พระบาททั้งสองข้างรับน้ำหนักของพระวรกายไม่เท่ากัน โดยทิ้งน้ำหนักลงท่ี พระบาทข้างใดขา้ งหนึ่ง ซ่ึงจะทำใหพ้ ระเศียร พระองั สา (ไหล)่ และพระโสณี (สะโพก) เอยี งทำมุมซึ่ง กนั และกันเพื่อใหเ้ กิดความสมดลุ (รปู ที่ ๒.๕) รูปที่ ๒.๓ พระอริ ยิ าบถประทับหอ้ ยพระบาท รปู ที่ ๒.๔ พระอิรยิ าบถยนื รปู ท่ี ๒.๕ พระอิรยิ าบถยนื เอยี งพระวรกาย (ตริภังค์) ๒๘ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย
รูปที่ ๒.๗ พระอริ ิยาบถไสยาสน์ รปู ที่ ๒.๖ พระอิริยาบถลีลา พระอิริยาบถลีลา หรือทรงพระดำเนิน (เดิน) คือ ฝ่าพระบาทข้างหนึ่งเหยียบราบลงบนพ้ืน อีก รปู ท่ี ๒.๘ ก. ปางประทานอภยั คนั ธารราษฎร์ ขา้ งหน่ึงยกสน้ พระบาทขนึ้ น้วิ พระบาทจรดพ้ืน (รูปท่ี ๒.๖) พระอิริยาบถไสยาสน์ คือ บรรทมตะแคงขวา พระหัตถ์ขวารองรับพระเศียร พระหัตถ์ซ้ายวาง ทอดตามพระปรัศว์ (สขี ้าง) ดา้ นซา้ ย (รปู ท่ี ๒.๗) ๓. ปาง และที่มาของปาง พระอริ ิยาบถทั้ง ๔ ทกี่ ลา่ วถงึ ข้างต้นนี้ มีพระกิรยิ าของพระกรและพระหตั ถ์เป็นองค์ประกอบ ซ่งึ เรยี กว่า ปาง หรือ มุทรา ปางแรกที่ปรากฏขึน้ พรอ้ มกบั พระพทุ ธรูปในประเทศอินเดียได้แก่ ปางประทาน อภัย ในสมัยราชวงศ์ปารเทียน ในรัฐคันธารราษฎร์ ประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถานในปัจจุบัน ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๖ (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 1) ต่อมาในช่วงท่ีราชวงศ์กุษาณ ปกครองรัฐ คันธารราษฎร์ และรัฐมถุราทางภาคเหนือของอินเดีย ประมาณกลางพุทธศตวรรษท่ี ๗ – กลาง ๘ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 – ปลาย 2) จึงสร้างปางสมาธิ ปางมารวิชัย ปางปฐมเทศนา และปาง ปรินิพพาน ในช่วงเวลาเดียวกันราชวงศ์สาตวาหน ปกครองรัฐอานธรประเทศทางภาคใต้ นิยมสร้าง พระพทุ ธปฏิมา ปางสมาธิ นาคปรก ในชว่ งสมัยราชวงศค์ ุปตะ ปกครองภาคกลางชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๙ – ปลาย ๑๑ (ต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 4 – กลาง 6) จึงเพมิ่ ปางประทานพร ปางแสดงธรรม และปางอมุ้ บาตร ส่วนลังกาประดิษฐ์ปางรำพึงขึ้นสมัยโปโลนนารุวะ ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ปลาย ๑๘ (ต้นคริสตศ์ ตวรรษท่ี 11 – กลาง 13) ปางประทานอภัย (อภยั มทุ รา) คำว่า อภัย หมายถึงการไม่มีภัยอันตรายใดๆ ปางประทานอภัย ได้แก่ ยกพระกรขวา พระหตั ถ์ขวาหงายออกและตัง้ ขนึ้ เป็นพระกิริยาของพระหัตถ์ทมี่ คี วามเก่าแก่ทส่ี ุด มคี วามหมายวา่ เมอ่ื มีพระองค์เป็นสรณะแล้ว ภยันตรายใด ๆ จะไม่เกิดข้ึนกับผู้ท่ีเคารพบูชาพระพุทธปฏิมา มีทั้งท่ีอยู่ใน ลักษณะของพระอริ ิยาบถลีลา และยนื (รปู ท่ี ๒.๘ ก.) ซงึ่ เปน็ ปางของพระพทุ ธปฏิมาแกน่ จนั ทนจ์ ำลอง (ดูรูปท่ี ๑.๓ – ๑.๖) แบบประทับขัดสมาธิเพชรท่ีสร้างขึ้นท่ีรัฐคันธารราษฎร์ และมถุรา (Huntington 1985, 120, 123) และแบบประทับขัดสมาธิราบท่ีรัฐอานธรประเทศ (เร่ืองเดียวกัน, 181) ในช่วงกลาง พุทธศตวรรษที่ ๖ – กลาง ๗ (คริสต์ศตวรรษที่ 1) และปรากฏขึ้นในมณฑลเสฉวน ประเทศจีนใน ศตวรรษตอ่ มา (Brinker 2002, 28) พระพทุ ธลกั ษณะ พระอรยิ าบถ และปาง ๒๙
รปู ที่ ๒.๘ ข. ปางประทานอภยั เม่ือลัทธวิ ชั รยาน หรือตันตระยานรงุ่ เรืองขึ้นที่นาลณั ฑา ในสมัยราชวงศป์ าละ-เสนะ ทางภาค พระชนิ พุทธอโมฆสิทธิ ตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ – กลาง ๑๗ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 8 – 11) ไดม้ กี าร บโุ รพุทโธ สร้างพระชินพุทธะขึ้น ๕ พระองค์ เพ่ือเป็นบุคลาธิษฐานของขันธ์ท้ัง ๕ และเป็นพระตถาคตประจำทิศ โดยถวายปางให้เป็นสัญลักษณ์ของแต่ละพระองค์ เช่น พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางประทานอภัยน้ัน มีความสำคัญและมีความหมายตามความเช่ือของลัทธิว่าเป็นรูปจำลองของพระ อโมฆสทิ ธิ (รูปท่ี ๒.๘ ข.) พระชนิ พทุ ธะประจำทศิ เหนือ ปางมารวชิ ยั (ภูมิสปรศมุทรา) พระหัตถ์ขวาคว่ำบนพระชานุข้างขวา น้ิวพระหัตถ์ชี้ลงที่ฐาน พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบน พระเพลา (รูปท่ี ๒.๙ ก.) เม่ือพระพุทธองค์ทรงมีชัยชนะเหนือพระยามารแล้ว ทรงช้ีอ้างพระธรณีเป็น พยาน จึงเป็นที่มาของปางอ้างพระธรณีเป็นพยาน ซ่ึงเป็นช่ือของปางน้ีในภาษาสันสกฤต แต่ไทยนิยม เรียกว่า ปางมารวิชัย ปางนี้เป็นที่นิยมในภาคเหนือของอินเดีย โดยสร้างอยู่ในพระอิริยาบถแบบประทับ ขัดสมาธเิ พชร โดยเฉพาะท่ีพทุ ธคยาในรฐั พิหาร สถานที่ซ่งึ พระพทุ ธองค์ทรงตรสั รู้ และไดก้ ลายเปน็ ปาง ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของพุทธคยา ส่วนที่สร้างขึ้นที่ภาคใต้ของอินเดียและลังกานั้น อยู่ในพระอิริยาบถ แบบประทับขัดสมาธิราบ ซ่ึงมีเพียงไม่กี่องค์ (Aiyappan and Srinivasan 1960, Pl. XXV) สว่ นไทยนัน้ ก็นิยมสร้างปางน้ีในพระอิริยาบถแบบประทับขัดสมาธิราบ ยกเว้นแต่ส่วนท่ีได้รับอิทธิพลจากพระ พทุ ธปฏิมาท่สี รา้ งข้ึนที่พุทธคยา ภายใต้ลัทธิวัชรยาน พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชรปางมารวิชัย ถือว่าเป็นรูปจำลอง ของพระอักโษภยะ (รูปที่ ๒.๙ ข.) พระชินพทุ ธะประจำทศิ ตะวันออก รูปท่ี ๒.๙ ก. ปางมารวชิ ัย คันธารราษฎร์ รปู ที่ ๒.๙ ข. ปางมารวชิ ัย พระชนิ พทุ ธอกั โษภยะ ๓๐ พระพุทธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย บุโรพุทโธ
รปู ที่ ๒.๑๐ ก. ปางสมาธิ คนั ธาราษฎร์ ปางสมาธิ (ธยานมุทรา) พระหัตถ์ท้ังสองข้างหงายขึ้นวางซ้อนกันบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาซ้อนบนพระหัตถ์ซ้าย (รปู ที่ ๒.๑๐ ก.) ประทับขัดสมาธิเพชร ทางภาคเหนอื ของประเทศอนิ เดยี และประทับขดั สมาธริ าบทางภาค ใต้ของอินเดีย ลังกา และไทย เป็นสัญลักษณ์ของการทำสมาธิ เม่ือพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงทำสมาธิ ก่อนตรัสรู้ โดยทรงบรรลุญาณ ๓ ประการ ตามลำดับ คือ ระลึกชาติได้ รู้เรื่องเกิดและตายท้ังของ พระองค์เองและของผอู้ น่ื ได้ และรู้แจง้ ในสัจธรรมทง้ั ๔ คอื ทุกข์ สมุทยั นโิ รธ มรรค และทรงตรสั รู้ เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ (ไขศรี 1996, ๗๖) ในรัฐอานธรประเทศ ทางตอนใต้ของอินเดียและลังกา นิยมสร้างรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับขัดสมาธิราบบนขนดลำตัวของพระยานาคท่ีกำลังแผ่พังพานอยู่เหนือพระเศียร ซ่ึงอาจจะหมายถึง มุจลนิ ทนาคราช ทกี่ ำลังแผ่พังพานเพอ่ื ป้องกนั พายฝุ นให้กับพระพทุ ธองค์ ในระหว่างทท่ี รงทำสมาธิเสวย วมิ ตุ ตสิ ุข ในสัปดาหท์ ี่ ๖ หลงั จากทรงตรัสร้แู ลว้ ภายใต้ลัทธิวัชรยาน พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ เป็นรูปจำลองของพระ อมิตาภพุทธะ (รูปที่ ๒.๑๐ ข.) พระชนิ พทุ ธะประจำทศิ ตะวันตก ปางประทานพร (วรมทุ รา) พระกรขวาทอดลงขา้ งพระปรัศว์ หงายฝ่าพระหตั ถอ์ อกไปทางด้านหน้า (รปู ที่ ๒.๑๑ ก.) เป็น ปางท่นี ยิ มในสมยั ราชวงศ์คุปตะ และมกั จะพบอย่ภู ายในศาสนสถานทสี่ ลักเป็นถำ้ ในรฐั มหาราษฎร์ นยิ ม สร้างปางประทานพรทัง้ ในพระอริ ิยาบถแบบยนื ตรง (สมภงั ค)์ หรอื ยืนเอยี งพระวรกาย (ตริภงั ค)์ แต่ที่สร้างขึ้นภายใต้ลัทธิวัชรยาน จะปรากฏเป็นพระอิริยาบถแบบประทับขัดสมาธิเพชร เป็น รปู จำลองของพระรัตนสัมภวะ (รูปที่ ๒.๑๑ ข.) พระชนิ พุทธะประจำทิศใต ้ รูปท่ี ๒.๑๐ ข. ปางสมาธิ พระชนิ พทุ ธอมติ าภะ บโุ รพทุ โธ รูปที่ ๒.๑๑ ก. ปางประทานพร คปุ ตะ รปู ที่ ๒.๑๑ ข. ปางประทานพร กานเหริ ถำ้ หมายเลข ๓ พระชินพุทธรัตนสัมภวะ บุโรพทุ โธ พระพทุ ธลกั ษณะ พระอริยาบถ และปาง ๓๑
รปู ที่ ๒.๑๒ ก. ปางปฐมเทศนา คุปตะ ปางปฐมเทศนา (ธรรมจักรมทุ รา) อชณั ฏา ถ้ำหมายเลข ๑๗ ยกพระหตั ถ์ทง้ั สองขา้ งเสมอพระอรุ ะ พระหตั ถ์ขวาตงั้ ขึน้ หงายออก จบี พระองั คฐุ (น้วิ หวั แมม่ ือ) รปู ท่ี ๒.๑๒ ข. ปางปฐมเทศนา กบั พระดัชนี (น้วิ ช้)ี เป็นรปู วงกลม ส่วนพระหตั ถ์ซ้าย มีทั้งแบบทจี่ บี พระองั คุฐกบั พระดชั นีแล้วหงายลง พระชินพทุ ธไวโรจนะ อยู่ใต้พระหัตถ์ขวา หรือแบบที่ตั้งพระหัตถ์ข้ึนจีบพระอังคุฐกับพระดัชนี แล้วคว่ำพระหัตถ์แนบกับพระ บุโรพทุ โธ อุระเบ้ืองซ้าย (รูปท่ี ๒.๑๒ ก.) เป็นสัญลักษณ์ของการหมุนพระธรรมจักร เพ่ือแสดงปฐมเทศนา พระพุทธปฏมิ าปางนีเ้ ป็นทีน่ ยิ มสร้างที่สารนาถใกลก้ รงุ พาราณสี รัฐพิหาร อันเป็นทต่ี งั้ ของสวนมฤคทายวนั สถานท่ีซ่ึงพระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ดังน้ัน ปางปฐมเทศนาจึงปรากฏในพระอิริยาบถแบบ ประทบั ขัดสมาธิเพชร หรอื ประทับหอ้ ยพระบาทบนบลั ลังก์ อันเปน็ รปู แบบท่ีนยิ มในอนิ เดยี ตอนเหนอื ในลัทธิวัชรยาน พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา เป็นรูปจำลองของ พระไวโรจนะ (รูปท่ี ๒.๑๒ ข.) พระชนิ พุทธะประจำทิศเบ้ืองบน ปางอมุ้ บาตร พระหัตถท์ ง้ั สองข้างประคองบาตร มีทัง้ ทีอ่ ยูใ่ นพระอิรยิ าบถแบบประทับ หรอื แบบยืน ซ่งึ เปน็ ทนี่ ยิ มในราชวงศ์ปาละ – เสนะ (รปู ที่ ๒.๑๓) ปางไสยาสน์ หรือปางปรินพิ พาน บรรทมตะแคงขวา พระหัตถ์ขวารองรบั พระเศยี ร พระหตั ถ์ซ้ายทอดตามพระปรศั ว์ซา้ ย ซ่ึงใน รูปแบบของพทุ ธศิลป์อินเดียหมายถึงปางเสด็จดบั ขันธปรินิพพาน เช่นทถี่ ้ำอชญั ฏาหมายเลขท่ี ๒๖ (รูปที่ ๒.๑๔) (ดรู ปู ท่ี ๒.๑๗ ก., ข.) แตใ่ นสมัยอยธุ ยา ปางไสยาสน์หมายถงึ การบรรทม (ดบู ทที่ ๑๐) และตอ่ มา ในสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีพระวินิจฉัยว่าเป็นปาง ปรินิพานตามเรื่องราวในพุทธประวัติ ดังน้ันในปัจจุบัน จึงอาจหมายความได้ว่าเป็นทั้งไสยาสน์และ ปรนิ พิ พานได้ (บรบิ าลบุรีภณั ฑ์ และ เกษม ๒๕๐๐, ๑๐๓) รปู ท่ี ๒.๑๓ ปางอมุ้ บาตร ปาละ - เสนะ พุทธคยา รูปท่ี ๒.๑๔ ปางปรนิ พิ าน คปุ ตะ อชญั ฏา ถำ้ หมายเลข ๒๖ ๓๒ พระพุทธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย
รปู ท่ี ๒.๑๕ ก. ปางแสดงธรรม ลังกาสมัยอนุราธปุระ รปู ที่ ๒.๑๕ ข. ปางแสดงธรรมด้วยสองพระหตั ถ์ พระอมิตาภพุทธะ รูปที่ ๒.๑๖ ปางรำพงึ ลงั กาสมยั โปโลนนารุวะ ปางแสดงธรรม (วิตรรกมุทรา) กัลวิหาร โปโลนนารวุ ะ พระหัตถ์ขวายกข้ึนเสมอพระอุระ จีบพระอังคุฐกับพระดัชนีเข้าด้วยกัน (รูปที่ ๒.๑๕ ก.) อัน เป็นสญั ลักษณ์ของคาถาอรยิ สัจ “เย ธมมฺ าฯ” ซ่ึงถอื วา่ เป็นหวั ใจของพทุ ธศาสนา ความวา่ เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต (อาห) เตสํ จ โย นโิ รโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณติ. แปลได้ความดังตอ่ ไปนี้ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่าน้นั และความดับของธรรมเหลา่ นั้น พระมหาสมณะมวี าทะอย่างน้ี (ยอร์ช เซเดส์ ๒๕๐๗, ๓๙ – ๔๐) ปางแสดงธรรมเป็นท่ีนิยมในรัฐอานธรประเทศ และที่ลังกาสมัยอนุราธปุระ ในช่วงกลางพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๓ (ต้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 6 – กลาง 8) เม่ือลัทธิมหายานนิกายสุขาวดีเป็นท่ีแพร่หลายข้ึนในประเทศจีน ซ่ึงส่งอิทธิพลมายังประเทศ ไทย จึงนิยมสร้างพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างแสดงธรรม (รูปท่ี ๒.๑๕ ข.) อันเป็นลักษณะ เฉพาะของพระอมติ าภพทุ ธะ ปางรำพึง พระกรทัง้ สองข้างไขวก้ ันหน้าพระอุระ พระหตั ถข์ วาแตะพระพาหา (ต้นแขน) ซา้ ย พระหตั ถ์ ซ้ายแตะพระพาหาขวา อยูใ่ นพระอริ ยิ าบถยืน ปางนี้เกิดขึน้ ทลี่ งั กา เม่อื ครั้งกรงุ โปโลนนารวุ ะเปน็ ราชธานี อันมีตวั อยา่ งคือ พระพุทธรปู ปางรำพึงศิลาสลกั ขนาดใหญ่ (รูปท่ี ๒.๑๖) ทีว่ ดั อุตตราราม หรือคลั วิหาร ในปัจจุบัน ซ่ึงพระเจ้าปรากรมพาหุท่ี ๑ ทรงสร้างข้ึน (พ.ศ. ๑๖๙๖ – ๑๗๒๙ / ค.ศ. 1153 – 1186) (ปรชี า ๒๕๔๑, ๑๖๒ – ๑๖๓) พระพทุ ธลกั ษณะ พระอริยาบถ และปาง ๓๓
และจากแผน่ ศลิ าภาพพระพทุ ธเจ้า ๘ ปาง พบท่สี ารนาถ (รูปท่ี ๒.๑๗ ก., ข.) สลักข้ึนประมาณ กลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 5) แสดงใหเ้ ห็นอยา่ งชดั เจนวา่ พระพทุ ธรูปปางตา่ งๆ ของอนิ เดยี นนั้ ใชเ้ ปน็ สัญลักษณแ์ ทนตอนตา่ งๆ ในพุทธประวัติ (Agrawala 1957, 25) อนั ไดแ้ ก่ ปางประสูติ พระนางสิริมหามายาทรงยืนใต้ต้นสาละ พระหัตถ์ขวาเหน่ียวกิ่งไม้สาละ พระกุมารสิทธัตถะ ทรงยืนกอ่ นทจี่ ะเสดจ็ พระราชดำเนนิ ๗ กา้ ว ปางตรสั รู้ พระพุทธองค์ประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาคว่ำที่พระเพลา ช้ีนิ้วพระหัตถ์ลงท่ีแผ่นดิน ทรงอ้างพระธรณีเป็นพยาน ปางปฐมเทศนา ประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถท์ ง้ั สองข้างยกเสมอพระอุระ จบี พระองั คุฐเขา้ กบั พระดชั นเี ป็น วงกลม พระหัตถ์ซ้ายอยู่ในพระกิริยาเดียวกันแต่หงายรองรับพระหัตถ์ขวา ท่ีฐานมีภาพธรรมจักรกับ กวางหมอบ อนั เป็นสัญลกั ษณ์ของการแสดงปฐมเทศนาที่มฤคทายวนั ปางป่าเลไลยก์ ประทับขัดสมาธเิ พชร พระหตั ถ์ทง้ั สองข้างวางบนพระเพลา ทรงประคองบาตร ทรงรับนำ้ ผ้ึง จากพระยาวานร ระหว่างท่ีพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในป่าที่ขนานนามตามชื่อช้าง “ปาลิไลยก์” เน่ืองจากเกดิ สามัคคีเภทในหมภู่ กิ ษุแหง่ นครโกสมั พี ปางโปรดชา้ งนาฬาคิรี ทรงยืนเอียงพระโสณี มีช้างหมอบอยู่ด้านข้าง อันเป็นตอนท่ีพระเทวทัตได้ส่ังคนให้หาช้าง ตกมัน ไปปล่อยกลางถนนท่ีพระพุทธองค์ทรงเสด็จออกบิณฑบาตเป็นประจำ เพ่ือหวังให้ช้างประทุษร้าย พระพุทธองค์ แต่เมื่อช้างตกมันท่ีว่ิงอาละวาดไปตามท้องถนน เม่ือว่ิงมาถึงพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ ทรงแผ่เมตตาบารมี จนพญาช้างสงบลง ทรดุ กายยกงวงขน้ึ ถวายอภวิ าท พระพุทธองค์ทรงยกพระหตั ถ์ ขวาขึน้ ลูบตระพองศีรษะพญาชา้ ง นับเปน็ ความลม้ เหลวของพระเทวทัต อกี ครง้ั ปางเสดจ็ ลงจากดาวดึงส์ ทรงพระราชดำเนิน หรือยืนเอียงพระโสณี มีพระอินทร์กางกลดถวาย โดยเสด็จลงจาก ดาวดึงสล์ งมาในวันออกพรรษา หลังจากทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปโปรดพุทธมารดาท่ีสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส ์ ปางมหาปาฏหิ ารยิ ์ ประทบั ขดั สมาธิเพชร ปางปฐมเทศนาบนดอกบัว และแปลงพระองค์เป็นหลายพระองค ์ ปางปรินิพพาน ทรงบรรทมตะแคงขวา พระหัตถ์ขวารองรับพระเศียร พระหัตถ์ซ้ายวางทอดตามพระปรัศว์ (สขี า้ ง) ด้านซา้ ย มีภาพพระสาวกร่ำไห้เป็นองค์ประกอบ รปู ท่ี ๒.๑๗ ข. ภาพลายเสน้ พระพทุ ธเจ้า ๘ ปาง (รปุ ที่ ๒.๑๗ ก.) ๓๔ พระพุทธปฏมิ า อตั ลกั ษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย
รูปท่ี ๒.๑๗ ก. แผน่ ศลิ าภาพพระพุทธเจา้ ๘ ปาง กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 5) Archaeological Museum, Sa-rna-th พระพุทธลักษณะ พระอรยิ าบถ และปาง ๓๕
๔. ปางซึ่งเปน็ ทน่ี ยิ มในประเทศไทย ๔.๑ พระพทุ ธปฏิมาประจำวัน การบูชาพระพุทธปฏิมาประจำวันเป็นการผสมผสานพุทธศาสนาเข้ากับโหราศาสตร์ตามคัมภีร์ มหาทกั ษา ซึง่ เชอ่ื ว่าจำนวนของกำลังพระเคราะหข์ องดาวพระเคราะหท์ ้งั ๘ หรืออฐั เคราะห์ เปน็ จำนวน ปีท่ีพระเคราะหน์ ัน้ ๆ จะเข้ามาครองหรือเสวยอายุ ซ่งึ กค็ อื ชว่ งเวลาทพ่ี ระเคราะหน์ น้ั จะมีอทิ ธิพลต่อชีวติ น่ันเอง ซ่ึงจะไล่เรียงลำดับเวียนขวาหรือหมุนตามเข็มนาฬิกาตามผังทักษา โดยเร่ิมนับไล่ต้ังแต่วันเกิด ของเจ้าชะตาไปตามลำดับอายทุ ่ีเพิม่ ขน้ึ อนั ไดแ้ ก่ พระอาทิตย์ (๑) เสวยอายุ ๖ ป ี พระจนั ทร์ (๒) เสวยอายุ ๑๕ ป ี พระองั คาร (๓) เสวยอาย ุ ๘ ป ี พระพุธ (๔) เสวยอาย ุ ๑๗ ปี พระเสาร์ (๗) เสวยอายุ ๑๐ ปี พระพฤหัสบดี (๕) เสวยอายุ ๑๙ ป ี พระราหู (๘) เสวยอายุ ๑๒ ปี พระศุกร์ (๖) เสวยอายุ ๒๑ ปี ๑ ๒ ๓ อาทติ ย ์ จนั ทร์ อังคาร ๖ ป ี ๑๕ ปี ๘ ปี ๔ ๖ พุธ (กลางวัน) ศกุ ร์ ๑๐๘ ป ี ๑๗ ปี ๒๑ ป ี ๘ ๕ ๗ ราหู พฤหัสบดี เสาร ์ (พธุ กลางคนื ) ๑๙ ปี ๑๐ ปี ๑๒ ป ี ยกตวั อยา่ งเช่น ผูท้ ี่เกดิ วันพธุ ชว่ งกลางวันในช่วงอายุแรกเกดิ จนถึง ๑๗ ปี จะเป็นช่วงทพี่ ระพุธ เขา้ เสวยอายุ หรอื ดาวพธุ มอี ทิ ธิพลต่อชวี ติ ในชว่ งนน้ั และเชือ่ กันว่าควรจะบูชาพระพุทธปฏิมาปางอมุ้ บาตร ซงึ่ เป็นพระพทุ ธปฏิมาประจำวันพธุ และอีก ๑๐ ปตี อ่ มา นั่นคอื ตัง้ แต่อายุ ๑๗ ปี กับอีก ๑ วัน จนถึง อายุครบ ๒๗ ปี จะเป็นช่วงที่พระเสาร์เสวยอายุ และเช่ือกันว่าควรจะบูชาพระพุทธปฏิมาปางนาคปรก อันเป็นพระพุทธปฏมิ าประจำวนั เสาร์ และในชว่ งอีก ๑๙ ปถี ัดมา กจ็ ะเขา้ สูช่ ว่ งทพี่ ระพฤหสั เขา้ เสวยอายุ ซ่ึงต่อจากน้ันก็จะเป็นช่วงของพระราหูเสวยอายุต่ออีก ๑๒ ปี และพระศุกร์อีก ๒๑ ปีไล่เรียงเวียนไป จนกวา่ จะส้ินอายขุ ัย สว่ นพระเกตนุ นั้ เสวยอยู่ตลอดไป จงึ มีพระเคราะห์รวมทัง้ สิ้น ๙ องค์ หรอื นพเคราะห์ และ จำนวนปีท่ีเสวยอายุของพระเคราะห์ท้ังหมดเมื่อนำมารวมกันแล้วจะได้เท่ากับ ๑๐๘ พอดี ซ่ึงถือว่าเป็น เลขอนั เป็นสริ มิ งคล (เทพย์, บาง และอรุ ะคินทร์, ๒๕๒๑, ๙๗ - ๑๒๘) ๓๖ พระพุทธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 640
Pages: