รปู ที่ ๓.๓๓ ข. พระพทุ ธรปู ประจำพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว (รูปที่ ๓.๓๓ ก.) (ภาพจากหนงั สือ พระพุทธปฏมิ า ในพระบรมมหาราชวัง) พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธเิ พชร ๓๖๓
พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
๗ บทที่ พระพทุ ธปฏมิ าประทับหอ้ ยพระบาท หมวด ก. ปางพจิ ารณาชราธรรม ๑. พระพุทธปฏมิ าประทบั ห้อยพระบาท ปางพิจารณาชราธรรม ๑.๑ พระพุทธปฏมิ าประทบั หอ้ ยพระบาท ปางพิจารณาชราธรรม สมยั อาณาจักรมอญโบราณ (“ทวารวด”ี ) พ.ศ. ๙๕๐ – ๑๕๐๐ (ค.ศ. 407 - 957) พระพุทธปฏมิ าประทบั หอ้ ยพระบาท (ภทั ราสนะ) เป็นพระพุทธปฏิมารปู แบบหนึง่ ซึ่งปรากฏควบคู่ กันกับนิกายเถรวาทในประเทศไทยมาช้านานแล้ว ดังเช่น สมัยท่ีมอญโบราณต้ังถิ่นฐานอยู่ในภาคกลาง ของประเทศไทย (สมัยทวารวดี) สร้างรูปพระอดตี พุทธะสพี่ ระองคอ์ นั ได้แก่ พระกกุสนั ธะ พระโกนาคมนะ พระกสั สปะ และพระสมณโคดม ซ่ึงแต่เดมิ ประทบั หันพระปฤษฎางคเ์ ขา้ หากัน พระหตั ถข์ วาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายหงายข้ึนเหนือพระชานุ (ดูรูปท่ี ๔.๗) ประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระเมรุ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครปฐม (Dupont 1959, 64) และพระอนาคตพุทธศรีอาริยเมตไตรย เป็นองค์ท่ีห้า ซึ่งได้ไป จากวัดพระเมรุ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครปฐมเช่นกัน เพราะพนักบัลลังก์ยังคงปรากฏอยู่ที่วัดพระเมรุ นครปฐม (Claeys 1931, 396) แต่องคพ์ ระพทุ ธปฏิมาปจั จบุ ันอย่ใู นพระวหิ ารน้อย วัดหนา้ พระเมรรุ าชิการาม อำเภอพระนครศรีอยธุ ยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รปู ท่ี ๗.๑) พระพทุ ธปฏมิ าองคน์ ี้ พระหัตถ์ทง้ั สอง ข้างวางคว่ำเหนือพระชานุที่ประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ท้ังสองข้างท่ีวางคว่ำเหนือพระชานุนั้น เป็น ลักษณะเดียวกันกับพระพุทธปฏิมาของจาม สร้างขึ้นที่ดงเซือง (Doññg – du’o’ung) ในปี พ.ศ. ๑๔๑๘ (ค.ศ. 875) (Boisselier 1963, 98 – 99) พระพุทธปฏิมาท่ีคว่ำพระหัตถ์ทั้งสองข้างบนพระชานุทั้งสอง องค์น้ี น่าจะดัดแปลงมาจากรปู พระศรีอารยิ เมตไตรยของจีน ในสมัยราชวงศ์ถงั (พ.ศ. ๑๑๖๑ – ๑๔๕๐ / ค.ศ. 618 – 907) เชน่ พระพุทธปฏมิ าท่สี ลักในถำ้ หมายเลข ๑๑ ที่หลงเหมนิ (Lung Men) มณฑลเหอ หนาน (Honan) ในปี พ.ศ. ๑๒๑๖ (ค.ศ. 673) และมีจารึกบ่งบอกว่าเป็นพระศรีอาริเมตไตรย (Snellgrove 1978, 220) แตกตา่ งกนั ทพ่ี ระหัตถ์ขวาควำ่ เหนอื พระชานุ แตพ่ ระหัตถ์ซา้ ยหงายข้ึน เป็นที่ น่าสังเกตว่า พระพุทธปฏิมาประทับคว่ำพระหัตถ์ท้ังสองข้างเหนือพระชานุ ยังถือกันว่าเป็นพระศรีอาริ ยเมตไตรยอยู่จวบจนทุกวันน้ี แต่ปรากฏอยู่ในรูปแบบประทับขัดสมาธิราบและทรงเครื่องอย่างพระ มหาจกั รพรรดริ าช (ดรู ปู ท่ี ๕.๑๙๗) รปู ท่ี ๗.๑ พระศรีอารยิ เมตไตรย ครึง่ หลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ (ครึ่งแรกครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 8) ศิลา สงู ๔.๒ เมตร พระวิหารน้อย วดั หน้าพระเมรรุ าชกิ าราม อำเภอพระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา พระพทุ ธปฏิมาประทับหอ้ ยพระบาท ๓๖๕
๑.๒ พระพทุ ธปฏิมาประทบั หอ้ ยพระบาท ปางพจิ ารณาชราธรรม สมยั รตั นโกสินทร ์ จากต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 10) เม่ือลัทธิวัชรยานแบบกัมพูชาได้เข้ามา เผยแผ่ในดินแดนท่ีเป็นประเทศไทยปัจจุบัน ความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาทก็ส้ินสุดลง จนกระทั่งปรากฏขึ้นอีกคร้ังหนึ่งในอาณาจักรอยุธยาสมัยเมืองลูกหลวง เม่ือมีการสร้างพระพุทธปฏิมา ปางป่าเลไลยก์ และต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ทรงบูรณ- ปฏสิ ังขรณว์ ดั สุทศั นเทพวราราม ในชว่ งปี พ.ศ. ๒๓๗๗ – ๒๓๘๖ (ค.ศ. 1834 – 1843) จงึ มกี ารสรา้ ง พระพทุ ธปฏิมาประทบั หอ้ ยพระบาท พระหัตถท์ ั้งสองควำ่ อยู่เหนือพระชานุ เช่นทปี่ ระทับบนเตยี งจนี ศิลา ในศาลาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม (รูปท่ี ๗.๒) ซ่ึงน่าจะได้แก่ปางพิจารณาชราธรรมในอีกรูปแบบหน่ึง ดังน้ันพระพุทธปฏิมาองค์นี้ จึงมิใช่พระศรี- อารยิ เมตไตรย แต่เปน็ พระสมณโคดมในปางพิจารณาชราธรรม รปู ท่ี ๗.๒ พระสมณโคดม พจิ ารณาชราธรรม พ.ศ. ๒๓๗๗ – ๒๓๘๖ (ค.ศ. 1834 – 1843) สัมฤทธิ์ ศาลาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พระวหิ ารหลวง วดั สทุ ัศนเทพวราราม กรงุ เทพมหานคร ๓๖๖ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
หมวด ข. ทรงเคร่อื ง ๒. พระพุทธปฏิมาประทบั ห้อยพระบาท ทรงเคร่ือง พระพุทธปฏมิ าประทบั ห้อยพระบาท ทรงเคร่อื ง สมยั ลา้ นชา้ ง - ชว่ ง ๓ นครรัฐ (พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ / ค.ศ. 1703 – 1789) เท่าท่ีปรากฏในปัจจุบัน พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาคว่ำเหนือพระชานุขวา พระหัตถ์ซ้ายหงายเหนือพระชานุซ้าย ทรงเครื่องใหญ่ มีแค่พระองค์เดียวในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวีรวงศ์ วัดสุทธจินดา อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั นครราชสีมา (รูปท่ี ๗.๓) พระพทุ ธปฏิมาองคน์ พี้ ระพกั ตร์ คล้ายพระพุทธปฏิมาล้านช้าง ทรงครองจีวรห่มดอง อณุ หสิ ยอดชฎา กรรเจยี ก กรองศอ สังวาลคู่แต่ง ดว้ ยกระจงั ทับทรวง รัดพระองค์ พาหรุ ัด ทองพระกร และพระธำมรงค์ทกุ น้วิ พระหตั ถ์ น่าจะสร้างขน้ึ ในชว่ งปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18) และคงจะไดแ้ กพ่ ระศรีอาริยเมตไตรย รูปที่ ๗.๓ พระศรีอาริยเมตไตรย ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 18) ไม ้ พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ มหาวรี วงศ์ วัดสทุ ธจินดา อำเภอเมอื งฯ จังหวัดนครราชสมี า พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ๓๖๗
หมวด ค. ปางป่าเลไลยก ์ ๓. พระพทุ ธปฏมิ าประทับหอ้ ยพระบาท ปางปา่ เลไลยก ์ ๓.๑ พระพุทธปฏมิ าประทับห้อยพระบาท ปางปา่ เลไลยก์ สมยั อยธุ ยา (๑) ช่วงเมอื งลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) ไม่ปรากฏว่ามีการสร้างพระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท พระหัตถ์ขวาหงายเหนือพระชานุ พระหัตถ์ซ้ายคว่ำที่พระชานุ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “ปางป่าเลไลยก์” ในอาณาจักรล้านนา แต่เป็นท่ีนิยมใน ภาคกลาง และในรัฐมอญของประเทศพม่า เนื่องด้วยว่าพระพุทธปฏิมาที่สร้างข้ึนในประเทศไทยไม่มี จารึกกำกับไว้ที่ตัวองค์พระ หรือในกรณีที่มีกล่าวถึงในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นต้น แต่กลับไม่ ปรากฏพระพุทธปฏิมาหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เช่น ท่ีปรากฏในจารึกสุโขทัยของอินทรสรศักด์ิ ปี พ.ศ. ๑๙๖๐ (ค.ศ. 1417) ที่กล่าวถงึ “พระเจาอยอนตีน” (Griswold and Naฺ Nagara 1968, 235) ซึง่ น่าจะได้แก่ พระพทุ ธปฏมิ าประทับห้อยพระบาท มากกว่าพระพุทธปฏมิ าลีลาซงึ่ ในจารกึ เดยี วกนั เรยี กว่า “พรเจาจงกรม” ตามทม่ี ผี เู้ สนอไว้ (ศกั ด์ชิ ยั ๒๕๔๕, ๑๘๗ – ๑๙๑) จงึ สนั นษิ ฐานไดว้ า่ การสรา้ งพระพุทธปฏิมาปางน้ีอาจ จะเริ่มข้ึนอีกในช่วงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 14) นอกจากนั้นแล้วหลักฐานทาง จารึกของมอญในสมัยของพระนางตะละเจ้าทา้ ว (Shinsawbu) ทโ่ี ปรดให้สรา้ งวัดไจค์มะรอ (Kyaikmaraw Paya) จังหวัดเมาะลำแยงในรัฐมอญ ประเทศพมา่ ในปี พ.ศ. ๑๙๙๘ (ค.ศ. 1455) (Martin et al. 2002, 381) มีพระประธานเป็นพระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาทขนาดใหญ่ จึงเป็นไปได้ว่าพระพุทธปฏิมาปาง ป่าเลไลยก์ที่มีขนาดใหญ่เช่นหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี (รูปท่ี ๗.๔) อาจจะสร้างขึ้นในชว่ งระยะเวลาใกลเ้ คยี งกัน รูปท่ี ๗.๔ พระสมณโคดมปางปา่ เลไลยก์ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15) กอ่ อฐิ ถอื ปนู สงู ๒๓.๔๘ เมตร วดั ป่าเลไลย์ อำเภอเมืองฯ จงั หวัดสุพรรณบุรี ๓๖๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพทุ ธปฏมิ าประทับหอ้ ยพระบาท ๓๖๙
(๒) ชว่ งวงราชธาน ี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพุทธปฏิมาท่ีอาจจะสร้างขึ้นในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – กลาง ๒๓ (คริสต์ศตวรรษที่ 17) น่าจะไดแ้ ก่พระพทุ ธปฏิมาปางปา่ เลไลยก์ในพระทน่ี ั่งอมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ิต (รูปที่ ๗.๕) มชี า้ ง และลิงหมอบอยู่ที่ฐาน ซ่ึงมีพุทธลักษณะใกล้เคียงกันกับพระพุทธปฏิมาในคูหาด้านทิศตะวันตก ปรางค์ ประธานวัดพุทไธสวรรย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปท่ี ๗.๖) ซึ่งจากหลักฐานของชาวตะวันตกซ่ึง กล่าวถึงวัดนี้ได้แสดงให้เห็นว่า พระอารามแห่งน้ีสร้างข้ึนในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688) (พริ ยิ ะ ๒๕๔๕, ๑๒๑) และได้รบั การปฏสิ ังขรณใ์ นสมัยสมเด็จ พระเจา้ บรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑ / ค.ศ. 1732 – 1758) รูปที่ ๗.๕ พระสมณโคดมปางป่าเลไลยก ์ กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ – กลาง ๒๓ (ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 17) สมั ฤทธ์ิ สูง ๙๓.๕ เซนตเิ มตร พระทีน่ ง่ั อมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ติ กรงุ เทพมหานคร รปู ท่ี ๗.๖ พระสมณโคดม ปางป่าเลไลยก์ ตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 17) กอ่ อฐิ ถือปนู คูหาดา้ นทิศตะวันตกปรางคพ์ ระประธาน วดั พุทไธสวรรย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๓๗๐ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ป์ไทย
รูปที่ ๗.๗ พระสมณโคดมปางปา่ เลไลยก์ พ.ศ. ๒๓๓๖ (ค.ศ. 1793) สมั ฤทธิ์ สูง ๔.๓๕ เมตร พระวิหารด้านทิศเหนอื วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม กรงุ เทพมหานคร ๓.๒ พระพทุ ธปฏมิ าประทบั หอ้ ยพระบาท ปางป่าเลไลยก์ สมยั รัตนโกสนิ ทร์ เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม (วัด พระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม) โดย “ให้บรบิ ูรณง์ ามข้ึนกวา่ เก่า” ในปี พ.ศ. ๒๓๓๖ (ค.ศ. 1793) ทรงใหห้ ลอ่ พระพุทธรูปใหม่ สูงแปดศอก คืบห้าน้ิว ประดิษฐานไว้ในพระวิหารทิศเหนือ บรรจพุ ระบรมธาตุ ถวายพระนามว่า พระปา่ เลไลย มีช้างถวายคนทนี ้ำ มวี านร ถวายรวงผง้ึ (ประชุมจารกึ วัดพระเชตพุ น เล่ม ๑ ๒๔๗๒, ๔) พระพุทธปฏมิ าองค์น้จี งึ ปรากฏอยูจ่ นทุกวนั นี้ (รูปท่ี ๗.๗) พระพุทธปฏมิ าประทับห้อยพระบาท ๓๗๑
พระพทุ ธปฏิมาปางปา่ เลไลยก์ ยงั นิยมสรา้ งเปน็ พระประธานในอโุ บสถและวหิ ารสบื ตอ่ กันมา เชน่ ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1927) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังได้มีการสร้างพระ ประธานปางนี้ข้ึนท่วี ัดศาลาทอง อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดนครราชสมี า (รูปท่ี ๗.๘) เนื่องด้วยว่า พระพุทธปฏิมาปางป่าเลไลยก์ เป็นพระประจำวันชาตาของผู้ที่เกิดวันพุธเวลากลาง คืน โดยมีพระราหูเป็นดาวพระเคราะห์ประจำวัน ในปัจจุบันจึงนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาปางป่าเลไลยก์ เพื่อเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำวัน รปู ท่ี ๗.๘ พระสมณโคดมปางป่าเลไลยก์ พ.ศ. ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1927) ก่ออฐิ ถอื ปนู สงู ๕.๑๐ เมตร พระวหิ ารวัดศาลาทอง อำเภอเมืองฯ จงั หวัดนครราชสีมา ๓๗๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย
หมวด ง. ปางขอฝน ๔. พระพทุ ธปฏิมาประทบั ห้อยพระบาท ปางขอฝน พระพุทธปฏมิ าประทับห้อยพระบาท ปางขอฝน สมยั รัตนโกสินทร์ พระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท ปางขอฝน คือพระหัตถ์ขวากวักเรียกฝนโดยที่พระอังคุฐ และพระดรรชนีบรรจบกัน พระหัตถ์ซ้ายรองรับน้ำฝนที่พระเพลา สร้างขึ้นเป็นพระพุทธปฏิมาประจำ พระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว มที ง้ั หมด ๔๒ องค์ (ดูรูปที่ ๓.๓๕) โดย ๓๒ องค์ รูปที่ ๓.๓๕ พระพุทธรปู ประจำพระชนมพรรษา ไม่มฉี ตั รกนั้ คอื เท่ากบั จำนวนพระชนมพรรษาเม่ือยังมไิ ดเ้ สดจ็ ขึ้นเสวยราชสมบตั ิ มจี ารึกพระนามาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอย่หู วั ย่อ ปศ. (ประชาธปิ กศักดเิ ดชน)์ ทดี่ า้ นหลังพระแทน่ ทปี่ ระทับ สว่ นอีก ๑๐ องค์ มีฉตั รกน้ั คอื เท่าจำนวน พ.ศ. ๒๔๖๙ – ๒๔๗๗ (ค.ศ. 1926 - 1934) ปที ี่ครองราชย์ และมีจารกึ พระปรมาภิไธยยอ่ ป.ป.ร. (ประชาธปิ ก บรมราชาธริ าช) ท่ดี ้านหลังพระแทน่ สัมฤทธ์ิ กะไหลท่ อง สงู จากฐานถงึ พระรัศมี ๑๙.๕๐ เซนตเิ มตร ทกุ พระองค์ (สุริยวฒุ ิ ๒๕๓๕, ๔๕๒) หอพระสลุ าลัยพิมาน พระบรมมหาราชวงั (ภาพจากหนังสอื พระพุทธปฏมิ า พระพุทธปฏิมาประจำพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ประทับห้อยพระบาท ในพระบรมมหาราชวัง) ท้ังสองบนฐานบัวหงาย “ซ่ึงเขามีศัพท์เฉพาะเรียกว่า ภัทรอาสน์ หรือ ภัทราสนะ อย่างเราน่ังเก้าอ้ีกันทุก วันน้ี” (ธนิต ๒๕๑๐, ๑) พระหัตถ์ขวายกข้ึนระดับพระอุระ ปลายพระอังคุฐกับพระดรรชนีจรดกัน พระหัตถซ์ ้ายหงายอย่เู หนอื พระเพลาซ้าย คล้ายกบั พระพุทธปฏิมาศลิ าขาว “สมยั ทวารวดี” ๔ องค์ ซง่ึ แตเ่ ดมิ อยใู่ นวิหารวัดพระเมรุ จังหวดั นครปฐม (ดรู ปู ที่ ๔.๗) และ ๑ ใน ๔ องคน์ ี้ เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ ขุดพบท่ีวัดหน้าพระเมรุ และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังเป็นพระประธาน ในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ (เร่ืองเดียวกัน, ๓) จึงเป็นไปได้ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยูห่ ัวทรงสรา้ งพระพทุ ธปฏิมาประจำพระชนมพรรษาในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ (ค.ศ. 1925) นัน้ ทรงใช้รูปแบบ ปางขอฝน ซ่ึงเป็นปางของพระพุทธปฏิมาประจำพระชนมพรรษาของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และทรง นำมาดัดแปลงร่วมกับรูปแบบของพระพุทธปฏิมาศิลาขาว สมัยทวารวดี พระประธานในพระอุโบสถวัด พระปฐมเจดีย์องค์ดังกล่าว ซึ่งข้อสันนิษฐานนี้สอดคล้องกับค่านิยมร่วมสมัยท่ีสมเด็จฯ กรมพระยา ดำรงราชานภุ าพทรงพระนิพนธ์ใน ตำนานพุทธเจดยี ์สยาม ว่า การเลือกหาแลแก้ไขแบบแผนพระพทุ ธปฏมิ าที่สรา้ งใหม่ จึงหนั ไปนิยมพระพทุ ธ ปฏิมาแบบต่าง ๆ ช่างท่ีฝีมือดีก็คิดแก้ไขหันเข้าหาความงามให้เห็นจริงอย่าง สามญั มนษุ ย์ต่อมา (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๖๙, ๑๔๗) ดังนั้นพระพุทธปฏิมาปางขอฝน จึงสร้างเป็นพระพุทธปฏิมาประทับห้อยพระบาท เส้นพระเกศา เปน็ ธรรมชาติ เกล้าเปน็ พระเมาลี คล้ายพระพทุ ธปฏิมาอินเดียแบบคนั ธารราษฎร์ แตม่ ยี อดเป็นพระรัศมีเปลว รูปที่ ๔.๗ หนง่ึ ในพระอดตี พทุ ธะสี่พระองค์ ครองจีวรหม่ ดองแบบพระภกิ ษคุ ณะมหานกิ าย ริ้วเหมือนจรงิ ตามธรรมชาติของผา้ เดิมประดิษฐานอยใู่ นวหิ ารวัดพระเมร ุ จังหวัดนครปฐม ครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๓ (คร่งึ แรกคริสต์ศตวรรษท่ี 8) ศลิ าขาว สงู ๓.๗๐ เมตร พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร พระพทุ ธปฏมิ าประทับหอ้ ยพระบาท ๓๗๓
พระยืนทรงเคร่อื ง จกั รพรรดริ าช วัดพระธาตชุ า้ งค้ำ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั น่าน (รูปท่ี ๘.๑๐) พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
๘ บทที่ พระพุทธปฏิมายนื หมวด ก. พระพทุ ธปฏมิ ายืน พระหัตถ์ท้ังสองขา้ งทอดลงข้างพระอูรุ พระพุทธปฏิมายืน ได้แก่ยืนตรงพระบาทชิดกัน พระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดลงข้าง พระอูรุ (โคนขา) ปรากฏอยู่ใน ตำราพระพุทธปฏมิ าปางต่างๆ ตามมติของ สมเด็จพระ มหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (ตำราพระพุทธปฏิมาปางต่างๆ ๒๕๓๔, ๖๙) แต่มิได้ประทานอรรถาธิบายท่ีเกี่ยวกับเหตุการณ์ในพุทธประวัติประกอบ พระพุทธปฏิมายืน เป็นท่ีนิยมแพร่หลายในอาณาจักรล้านนาและล้านช้าง แต่ไม่ปรากฏว่าพระพุทธรูป ในหมวดน้ีเป็นที่นิยมในอาณาจักรอยุธยา เมื่อเปรียบเทียบกับพระพุทธปฏิมายืน ยก พระหัตถข์ วาประทานอภยั (ปางห้ามญาติ) (ดู หัวขอ้ ๕.๓ หนา้ ๓๘๘) ๑. พระพทุ ธปฏิมายืน ๑.๑ พระพุทธปฏิมายนื สมยั ล้านนา (๑) ช่วงอาณาจักรล้านนา - ยคุ รุ่งเรอื ง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) พระพุทธปฏิมายืนเป็นปูชนียวัตถุคู่กับอาณาจักรล้านนา อันเห็นได้จากการท่ีพระสุมนเถระทูล พระเจ้ากือนาให้สร้างพระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ท้ังสองข้างทอดลงข้างพระอูรุข้ึนอีกสามองค์ที่วัด พระยืน จงั หวัดลำพนู เพราะเดิมมอี ยูแ่ ค่องคเ์ ดียว คือองคท์ างทิศตะวนั ออก พระพุทธรูปเจ้าองค์ยืนน้ี เท่ามีตนเดียวฉะนี้ดูไม่สมควรนากูจักไปชวนพระยา แปลงแถมอกี ๓ องค์ ให้พอ ๔ องค์ จงึ จะควร และกูจกั ให้แปลงมหามณฑป เจดียส์ ำหรบั มงุ เจ้ากทู ง้ั ๔ ไว้ (ตำนานมลู ศาสนา ๒๕๑๘, ๒๐๖) พระพุทธปฏิมาท้ังสามองค์นี้เริ่มสร้างในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ (ค.ศ. 1369) และแล้วเสร็จหนึ่งปี สี่เดือนตอ่ มา (ประชมุ ศิลาจารกึ เลม่ ๓ ๒๕๐๘, ๑๓๙ – ๑๔๑) โคลงนิราศหริภุญชัย ซึง่ อาจจะเขยี นในปี พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517) กล่าวถงึ พระยนื ทงั้ สอ่ี งคน์ ว้ี ่า ๑๕๑ เถิงพระพุทธรูปอ้ัน ยนื ยง กวมกอ่ เปน็ ขงทงั ส่ีด้าน ทำบุญเบิกบญุ ปัง พบแม่ นะแม ่ ขูโนสพระเจา้ จา้ น ค่อยแกก้ รรรมเรยี ม พระพุทธปฏิมายืน ๓๗๕
๑๕๒ กกุสนธแ์ ซง่ สรา้ ง หน่ึงโกนา องค์หน่งึ พระกสั สปา เจื่องเจ้า โคดมจ่ิงเจยี นคลา วางศาสนาเอ ่ เชญิ เสวยรสเข้า ม่อนนอ้ มทลู ถวาย ๑๕๓ ส่อี งค์น้ีพ้นพว่ ง สงสาร นโิ รธรสนพิ พาน โมดมล้าง ยงั พระอาไรยนาน ลงโลก น้ีหนอ จักบอกบทข้อยค้าง แดห่ อื้ นานนิพพาน (ประเสรฐิ ๒๕๑๖, ๑๕๑ – ๑๕๓) จาก โคลงนริ าศหรภิ ญุ ชัย เหน็ ได้ว่า พระพทุ ธปฏิมายนื ทั้งสีอ่ งค์นไี้ ด้แก่ พระอดตี พุทธะสีอ่ งค์ เดิมยืนหันพระปฤษฎางค์เข้าหากัน ภายในมณฑปและหันพระพักตร์ผ่านโขง (ซุ้มประตูรูปวงโค้ง) ท้ังสี่ ดา้ น สันนิษฐานวา่ แตล่ ะองคส์ ูง ๘.๕๐ เมตร อนั ได้แก่ความสูงของพระอัฏฐารส (Griswold 1975, 53) แต่เป็นท่ีน่าเสยี ดายว่า เมอ่ื ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) เจา้ อนิ ทยงยศ เจ้าผู้ครองนครลำพนู ให้ ชา่ งก่อพระเจดยี ์วดั พระยืนองคป์ ัจจุบันข้ึนครอบปิดพระพทุ ธปฏิมาองคเ์ ดิมไว้ภายใน เพราะพระพุทธปฏมิ า สามองคท์ ี่พระสุมนเถระสรา้ งขึน้ ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ – ๑๙๑๓ (ค.ศ. 1369 – 1370) นั้นหักพงั ลงเหลอื แต่ พระชงฆ์และพระบาท มีเพียงพระยืนองค์เดิมด้านทิศตะวันออกเท่าน้ันท่ียังคงสภาพดีอยู่ คือยืนปล่อย พระหัตถท์ ง้ั สองข้าง (เรื่องเดยี วกนั , 75 - 77) จึงได้แตส่ นั นิษฐานว่า พระพทุ ธปฏมิ ายนื ลา้ นนา อย่างเชน่ รปู ท่ี ๘.๑ พระยืน องคท์ ี่วดั บ้านยางหลวง อำเภอแม่แจ่ม จงั หวดั เชียงใหม่ นา่ จะจำลองมาจากพระพุทธปฏิมาทวี่ ดั พระยืน สร้าง พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483) ปูนปัน้ พระอโุ บสถ วัดบา้ นยางหลวง อำเภอแม่แจม่ จงั หวดั เชยี งใหม ่ พระพุทธปฏิมายืนทอดพระหัตถ์ทั้งสองข้างพระอูรุท่ีวัดบ้านยางหลวง อำเภอแม่แจ่ม (รูปที่ ๘.๑) ประดิษฐานอยู่ในซุ้มด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทภายในวิหาร มีจารึกบนฐานบัวหงาย ให้ปีท่ีสร้างคือ พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483) (Stratton 2004, 219) ในพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ / ค.ศ. 1441 – 1487) ทรงจีวรห่มดอง แลเห็นท่อนบนของสบงท่ีบ้ันพระองค์ พระพาหายาว จนนว้ิ พระหตั ถ์จรดพระชานุ ซง่ึ เป็นลักษณะที่ ๑๘ ของมหาบรุ ษุ ลกั ษณะ อนั ได้แก่ “สฺถโิ ต’ นวนตปฺรลมฺพ พาหุ พระกายยืนตรงไม่คดค้อม พระพาหายาว” (ลลิตวิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๙) พระยืนสัมฤทธ์ิ วัด เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม (รปู ท่ี ๘.๒) มีลักษณะใกล้เคียงกับพระยนื วัดบ้านยางหลวง รวมทง้ั รูปแบบ ของจีวร ที่ตรงปลายทั้งสองข้างขมวดขึ้น และท่อนบนของสบงก็คล้ายกัน จึงอาจจะสร้างข้ึนในสมัย พระเจ้าตโิ ลกราชเชน่ กนั ส่วนพระพทุ ธปฏมิ ายนื ทอดพระหัตถ์ทัง้ สองขา้ งพระอรู ุสัมฤทธิ์ ทพี่ ระทน่ี ง่ั อมั พรสถาน พระราช- วงั ดุสติ (รปู ที่ ๘.๓) นา่ จะสร้างข้นึ ในรชั สมัยพญาแกว้ (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๙ / ค.ศ. 1495 – 1526) เพราะ ได้วิวัฒนาการขึ้นจากสององค์ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยชายจีวรมีความเรียบง่ายขึ้น และท่อนบนของสบง ไดห้ ายไป รูปที่ ๘.๒ พระยนื ต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) สัมฤทธ์ิ สงู รวมฐาน ๑.๑๙ เมตร วหิ ารสมเด็จ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรงุ เทพมหานคร ๓๗๖ พระพุทธปฏมิ า อตั ลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย
- ยคุ เส่ือม พ.ศ. ๒๐๖๘ – ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1525 – 1558) พระยืนทอดพระหัตถ์ท้ังสองข้างพระอูรุท่ีวัดพระธาตุช้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน (รูปที่ ๘.๔) ซ่ึงมีจารึกกลา่ วว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๐๗๐ (ค.ศ. 1527) (ศิลปากร ๒๕๓๐ ก, ๒๕๘ – ๒๕๙) ใน รัชสมัยพญาเกศมีรูปแบบท่ีแสดงความเป็นท้องถิ่น มีความแข็งกระด้าง และเน้นความเรียบง่ายมากข้ึน แต่รูปแบบของฐานยังคงเลียนแบบฐานของเชียงใหม่ คือฐานบัวหงายทรงกลม รองรับด้วยฐานเขียง แปดเหล่ยี ม (๒) ช่วงพม่าปกครอง พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1558 – 1774) หลังจากทพ่ี ม่าเข้ามาปกครองล้านนา เชียงใหม่เปลี่ยนไปเปน็ ฝา่ ยที่รบั อทิ ธพิ ลจากล้านช้าง อนั เหน็ ไดจ้ ากรปู แบบของพระยืน วดั พระเจ้าเมง็ ราย อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชยี งใหม่ (รูปที่ ๘.๕) ซ่ึงชายจวี รทง้ั สองขา้ งกระดกข้นึ เป็นตวั เหงา หรอื กนกตวั เดียว (ดูรูปท่ี ๘.๖) รปู ท่ี ๘.๓ พระยนื กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 15 – ตน้ 16) สมั ฤทธิ์ สงู ๖๘.๕ เซนตเิ มตร พระทีน่ งั่ อมั พรสถาน พระราชวังดสุ ิต กรงุ เทพมหานคร รูปที่ ๘.๔ พระยนื สร้างปี พ.ศ. ๒๐๗๐ (ค.ศ. 1527) สมั ฤทธิ์ สูงรวมฐาน ๙๖ เซนตเิ มตร วดั พระธาตุช้างคำ้ อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั น่าน รปู ที่ ๘.๕ พระยนื ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ (กลางต้นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18) ไม ้ วัดพระเจ้าเม็งราย อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชยี งใหม ่ พระพทุ ธปฏิมายืน ๓๗๗
รูปท่ี ๘.๖ พระยนื ๑.๒ พระพทุ ธปฏิมายนื สมัยลา้ นชา้ ง สร้างพ.ศ. ๒๒๙๘(ค.ศ. 1755) สัมฤทธิ์ สูง ๒.๒๐ เมตร พระระเบยี ง หอพระแก้วเวียงจันท ์ (๑) ชว่ ง ๓ นครรัฐ พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789) สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว พระพุทธปฏิมายืนอันเปน็ ที่นิยมในล้านชา้ ง ช่วง ๓ นครรัฐ ชายจวี รกระดกขึน้ เป็นตัวเหงา เชน่ พระพุทธปฏมิ ายนื ในระเบยี ง “หอพระแก้ว” นครเวียงจนั ท์ มจี ารึกปี พ.ศ. ๒๒๙๘ (ค.ศ. 1755) (รปู ที่ ๘.๖) (Boun Souk 1971, 18) (๒) ช่วงประเทศราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. ๒๓๓๒ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1789 – 1893) พระพุทธปฏิมายนื ลา้ นชา้ งมีเอกลักษณค์ ือชายจวี รทง้ั สองด้านโค้งขน้ึ เช่นองค์ของวดั เหลาเทพ นิมิตร อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ (รูปที่ ๘.๗) พระพุทธปฏิมาองค์นี้มีพระเมาลีใหญ่ รัศมีเป็น บัวขาบกลีบสูง ครองจีวรห่มคลุม มีรัดพระองค์แทนรัดประคด และชายพับของสบงตกแต่งด้วยลาย ดอกไม้สี่กลีบ ฐานเป็นฐานปัทม์ อกไก่ ทรงกลม แต่ที่เป็นลักษณะพิเศษของพระยืนองค์น้ี คือช่วง พระพาหาและพระกรยาวมาก จนนว้ิ พระหตั ถ์ท้ังสองขา้ งแตะทชี่ ายจีวรทีโ่ คง้ กระดกข้ึน รูปท่ี ๘.๗ พระยนื จากวดั พระเหลาเทพนมิ ิต อำเภอพนา จงั หวัดอำนาจเจรญิ กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ (ตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 19) ไม้ลงรกั ปดิ ทอง สูง ๙๑ เซนติเมตร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ อุบลราชธาน ี ๓๗๘ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลปไ์ ทย
๑.๓ พระพุทธปฏมิ ายนื สมัยอยธุ ยา ชว่ งวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมายืนพระบาทชิดกัน พระหัตถ์ท้ังสองข้างทอดลงข้างพระอูรุ จะไม่เป็นท่ี นยิ มทอี่ ยธุ ยา แต่กม็ ีการสร้างพระยืนในรูปแบบอืน่ กลา่ วคอื แบบท่คี รองจวี รห่มคลมุ พระองั สาทั้งสองข้าง ทอ่ นบนของสบง และหน้านาง ยกขอบ (บริบาลบุรีภัณฑ์ ๒๕๓๑, ๑๔๕) เชน่ พระอฏั ฐารส วัดมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย หรือแบบท่ีครองจีวรห่มคลุม ขอบสบงตอนบนและหน้านางยกขอบ พระพักตร์ของพระพุทธปฏิมาองค์นี้ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ สังเกตจากภาพถ่ายในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1927) (รูปท่ี ๘.๘ ก.) ตามทรรศนะของผู้เขยี นเหน็ ว่า สภาพความสมบรู ณ์ดังกลา่ ว ไมน่ า่ จะ เป็นไปได้ จากข้อจำกัดของวิทยาการทางการช่างแบบด้ังเดิมนั้น หากนับอายุเวลาย้อนหลังไป ๕๕๐ ปี กลบั ไปหาชว่ งอาณาจักรสุโขทัย กลา่ วคอื พระอัฏฐารสยนื องคน์ อี้ าจจะไมไ่ ดส้ ร้างในปี พ.ศ. ๑๙๑๙ (ค.ศ. 1376) ตามข้อสันนิษฐานของผู้ที่ศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรม วัดมหาธาตุ สุโขทัย (วิโรจน์ ๒๕๔๕, ๓๑๐) ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) กรมศลิ ปากรจงึ ได้รับการดดั แปลงให้เปน็ พระพุทธปฏมิ าแบบสโุ ขทยั โดยบญุ ธรรม พนู สวัสดิ์ (รปู ที่ ๘.๘ ข.) ใหร้ ับกบั ภาพลกั ษณ์สมัยสุโขทยั ของทางราชการ พระอฏั ฐารสยนื วัดมหาธาตุ สุโขทัยองค์น้ี น่าจะสร้างข้ึนหลังจากได้มีการสร้างวิหารทิศ ระเบียงคดชั้นนอก รอบองค์ พระมหาธาตุ เพราะวา่ มณฑปพระอัฏฐารสน้ัน ตั้งอยู่ท่มี ุมของวิหารทศิ เหนอื กับระเบยี งคด จงึ เป็นไปได้ ว่าอาจจะสร้างขนึ้ ในชว่ งกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 17) (พิชญา ๒๕๔๘, ๑๒๑) รูปที่ ๘.๘ ก. พระอฏั ฐารสยืน รูปที่ ๘.๘ ข. พระอัฏฐารสยนื ถา่ ยเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ (ค.ศ. 1927) ป้ันโดยบุญธรรม พูนสวัสด ์ิ กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) (ปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17) กอ่ อิฐถือปูน ก่ออิฐถือปนู วดั มหาธาตุ อทุ ยานประวัติศาสตร์สุโขทัย วัดมหาธาตุ อุทยานประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั พระพทุ ธปฏิมายนื ๓๗๙
หมวด ข. ทรงเครือ่ ง ๒. พระพทุ ธปฏมิ ายนื ทรงเครอื่ ง ๒.๑ พระพทุ ธปฏิมายืน ทรงเครอ่ื ง สมัยล้านนา ชว่ งประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899) พระพทุ ธปฏมิ ายนื ทรงเครอื่ งท่สี ร้างขึน้ ท่นี ่าน เชน่ ท่ีวัดบญุ ยนื อำเภอเวยี งสา จงั หวดั น่าน (รปู ท่ี ๘.๙) ทรงจีวรห่มดอง ทรงเคร่ืองอย่างพระมหาจักรพรรดิราช ทรงมงกุฎ กรองศอ สังวาล ทับทรวง พาหุรดั เกยรู ทองพระกร ทองพระบาท ธำมรงค์ และฉลองพระบาท พระภษู าซ้อนกนั สามช้นั ชายดา้ น ข้างตวัดขึ้น มีชายแครงห้อยทับซ้อนกันสามช้ัน ชายตวัดเป็นหางหงส์ ทรงยืนอยู่เหนือฐานบัวหงาย ลูกแก้ว แปดเหล่ียม รูปแบบของเคร่ืองทรงน่าจะดัดแปลงมาจากพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องสมัยต้น รัตนโกสินทร์ จึงสันนิษฐานว่าอาจจะสร้างข้ึนในสมัยของเจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน (พ.ศ. ๒๓๒๙ – ๒๓๕๓ / ค.ศ. 1786 – 1810) ผู้เขา้ มาสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก ขอเป็นขา้ ขอบขณั ฑสมี าของกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๔ (ค.ศ. 1791) และในปี พ.ศ. ๒๓๔๓ จึงให้ สรา้ งพระพทุ ธปฏิมาปูนปนั้ ในวหิ ารวัดบญุ ยนื อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน (ศลิ ปากร ๒๕๓๐ ก, ๘๗) ส่วนพระพทุ ธปฏมิ ายนื ทรงเครือ่ ง วดั พระธาตชุ ้างคำ้ อำเภอเมืองฯ จังหวดั นา่ น (รูปที่ ๘.๑๐) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน อาจจะสร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกัน พระพุทธปฏิมาในกลุ่มน้ียังเป็นต้น แบบให้กับพระยืนทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิราช ล้านช้าง เช่นในอุโบสถวัดวิชุล นครหลวงพระบาง (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๒๔๑) รปู ที่ ๘.๙ พระยนื ทรงเคร่อื ง พระจกั รพรรดิราช จากวดั บญุ ยนื อำเภอเวียงสา จังหวัดนา่ น กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 19) ไมล้ งรกั ปิดทอง สงู ๒.๓๒ เมตร พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ จงั หวดั นา่ น รปู ท่ี ๘.๑๐ พระยนื ทรงเคร่อื ง จักรพรรดริ าช กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๔ (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 19) ไมล้ งรกั ปดิ ทอง สูง ๒.๓๐ เมตร วดั พระธาตชุ ้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนา่ น ๓๘๐ พระพุทธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย
๒.๒ พระพุทธปฏมิ ายืน ทรงเคร่อื ง สมัยอยุธยา ชว่ งวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพุทธปฏมิ ายนื ทรงเคร่อื งแบบอยธุ ยา พบในภาคใต้ เชน่ ทว่ี ัดท่าสำเภาเหนอื ตำบลชยั บรุ ี อำเภอ เมืองฯ จังหวัดพัทลุง (รูปท่ี ๘.๑๑) ทรงครองจีวรห่มคลุม ทรงเทริดท่ีตกแต่งด้วยลายดอกจัน และ กระจงั ตาออ้ ย กรองศอ ทับทรวง สังวาล พาหุรัด เกยรู ทองพระกร ทองพระบาท และฉลองพระบาท สบงคาดด้วยรัดพระองค์ หน้านางแต่งด้วยลายก้านต่อดอกและลายดอกจัน จากลักษณะของเคร่ืองทรง และพระพักตร์ ที่พระขนงจรดกันเป็นเส้นคมท่ีสันพระนาสิก กำหนดอายุอยู่ในช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17) อันเป็นช่วงระยะเวลาท่ีพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ในบริเวณลุ่มทะเลสาบ สงขลา เหน็ ไดจ้ ากแผนทีเ่ มืองพัทลงุ ซ่ึงเขียนข้ึนในสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์ หลังปี พ.ศ. ๒๒๒๓ (ค.ศ. 1680) ซ่งึ แสดงตำแหน่งวัดทางฝัง่ ทะเลสาบดา้ นทิศตะวันออกถึง ๒๕๐ แหง่ (สุธวิ งศ์ [ม.ป.ป.], ๖๔ – ๖๕) และ ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๒๔๒ (ค.ศ.1699) สมเดจ็ พระเพทราชา ไดพ้ ระราชทานกลั ปนาวัด ๒๙๐ แห่ง ให้ขน้ึ กบั วดั เขียนบางแก้ว คณะปา่ แก้วดา้ นฝัง่ ตะวันตกของทะเลสาบสงขลา (สำนกั นายกรัฐมนตรี ๒๕๑๐, ๘) ส่วนพระพทุ ธปฏิมายืนทรงเครื่อง วดั พระพทุ ธ อำเภอรัษฎา จงั หวัดตรัง (รปู ที่ ๘.๑๒) ทรงเทรดิ คลา้ ยกบั พระยนื ที่พทั ลงุ แต่เครื่องทรงต่างกัน เชน่ ไม่มีกรองศอ ทรงสงั วาลไขว้ ตาบทศิ ทับทรวงซอ้ น สองช้ิน ทรงรัดพระองค์และปน้ั เหน่ง หน้านางของสบงแตง่ ด้วยลายรกั รอ้ ย จงึ อาจจะสร้างขึ้นในชว่ งปลาย พทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 18) รูปที่ ๘.๑๑ พระยืนทรงเครื่อง กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17) สมั ฤทธ์ิ สงู ๑.๘๘ เมตร วดั ทา่ สำเภาเหนอื อำเภอเมืองฯ จงั หวดั พัทลุง รูปท่ี ๘.๑๒ พระยนื ทรงเครือ่ ง ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 18) กอ่ อิฐถือปูน วดั พระพทุ ธ อำเภอรัษฎา จังหวดั ตรงั พระพทุ ธปฏมิ ายืน ๓๘๑
รปู ท่ี ๘.๑๓ พระสมณโคดมประดษิ ฐานรอยพระบาท หมวด ค. สร้างปี พ.ศ. ๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482) ปางประดษิ ฐานรอยพระบาท สมั ฤทธิ์ สูงรวมฐาน ๔๖เซนตเิ มตร พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร พระพทุ ธปฏิมาปางนี้เป็นทนี่ ยิ มในอาณาจักรล้านนา แตไ่ ม่ปรากฏในอาณาจกั รอยธุ ยา ๓. พระพุทธปฏมิ ายนื ปางประดษิ ฐานรอยพระบาท พระพทุ ธปฏิมายนื ปางประดษิ ฐานรอยพระบาท สมยั ล้านนา ชว่ งอาณาจักรลา้ นนา - ยุครงุ่ เรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) พระพทุ ธปฏมิ าสำคญั ของปางนีไ้ ด้แก่องคใ์ นพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร (รปู ท่ี ๘.๑๓) มี จารึกระบุปีสร้างราว พ.ศ. ๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482) ในสมัยพระเจ้าติโลกราช แสดงให้เห็นพระสมณโคดม กำลังประทับรอยพระบาทด้วยพระบาทขวา รอยพระบาทท่ีทรงกดอยู่น้ัน เป็นรอยท่ีสี่มีอีกสามรอยซ้อน ลดหล่นั กนั อันไดแ้ ก่รอยพระบาทของพระอดีตพุทธะกัสสปะ พระโกนาคมนะ และพระกกุสนั ธะอยดู่ ้าน ล่าง และมีขนาดใหญ่ท่ีสุด นอกจากนั้นแล้วพระยืนองค์น้ียังแสดงให้เห็นพระสรีระตามอย่าง มหาบุรุษ- ลักษณะ ๓๒ ประการ ไดอ้ กี หลายขอ้ เชน่ (๑๖) จติ านตฺ รำสะ พระอังสามเี นือ้ เต็ม... (๑๙) สึหปูรวฺ ารธฺ กายะ พระกาย ทอ่ นบนเหมือนทอ่ นบนของราชสหี ์... (๒๔) สวุ วิ รตฺ ิโตรุ ตน้ พระชงฆ์กลมงาม (๒๕) เอเณยมฺฤคราชชงฆะ พระชงฆเ์ หมือนแขง้ พระยาเนอ้ื ทราย (๒๖) ทรี ฆฺ างคฺ ุสิ นิว้ พระหัตถน์ ้ิวพระบาทยาว (๒๗) อายตปรฺษฺณิปาทะ พระปรัษณี (ซน่ เทา้ ) ยาว (๒๘) อตุ ฺสงฺคปาทะ พระบาทลาดขึน้ สงู (ลลิตวิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๙) อย่างไรก็ตาม พระพุทธปฏิมาปางประดิษฐานรอยพระบาทล้านนาส่วนใหญ่ มักจะไม่แตกต่าง จากพระยืนทั่วไป ยกเว้นแต่พระบาทซ้ายเหยียบหลังพระบาทขวา เช่นองค์ที่ยืนบนฐานบัวหงายรองรับ ด้วยฐานเขยี งทรงกลม (รูปที่ ๘.๑๔) รปู ที่ ๘.๑๔ พระสมณโคดมประดษิ ฐานรอยพระบาท กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15 – ต้น 16) สมั ฤทธ์ิ สูงรวมฐาน ๔๔ เซนติเมตร สมบตั เิ อกชน ๓๘๒ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศิลปไ์ ทย
หมวด ง. ปางประทานพร พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวายกขึ้นประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายทอดลงข้างพระอูรุ หงาย ฝ่าพระหัตถ์ออก เรียกว่า ปางประทานพร เป็นที่นิยมในสมัยอาณาจักรกัมโพช และสืบทอดลงมาถึง สมยั อยธุ ยา ๔. พระพุทธปฏิมายืน ปางประทานพร ๔.๑ พระพทุ ธปฏิมายนื ปางประทานพร สมยั อาณาจกั รกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายทอดลงท่ีพระอูรุ ที่สร้างข้ึนใน รฐั กัมโพช ภายใต้คณะกมั โพชสงฆ์ปกั ขะ ในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 13 – กลาง 14) มี ๒ แบบ แบบท่ี ๑ พระกรขวาพาดหน้าพระอุระ พระหัตถ์ขวาหงายออก แบบท่ี ๒ พระกรขวาย่นื ออกทางด้านหน้า พระหตั ถ์ประทานอภัย พระหตั ถซ์ ้ายหงายประทานพร ความแตกต่างของทั้งสองแบบนี้อยู่ที่วัสดุและเทคโนโลยีของการสร้างพระพุทธปฏิมา เช่น สลักจากศิลา ดุนบนแผ่นโลหะ หรือพระพิมพ์ จะเป็นแบบท่ี ๑ เพราะการแสดงประทานอภัยด้วยวัสดุ และเทคโนโลยขี า้ งต้น เปน็ เหตใุ ห้ต้องพาดพระกรขวาหนา้ พระอุระ และพระหัตถ์หงายออกท้งั นี้เป็นการ แก้ปัญหาของช่างอันเกิดจากข้อจำกัดทางด้านวัสดุ ส่วนที่สร้างด้วยสัมฤทธิ์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง พาดพระกรขวาผ่านพระอุระ เพราะสามารถท่ีจะยื่นพระกรออกมาทางด้านหน้าได้ ยกเว้นท่ีในกรณีที่ ผู้สร้างจำลองรูปแบบมาจากพระพุทธปฏิมาศิลา หรือพระพุทธปฏิมาดุน เช่น พระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิ จากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๑๕) ซ่ึงสืบทอดพุทธลักษณะของพระ พุทธปฏิมาเขมร เช่น พระพักตร์เหลี่ยม พระขนงเชื่อมกันเป็นเส้นตรง พระเกศาถัก พระเมาลีแบนรัด ด้วยพวงประคำ รัศมเี ป็นตอ่ มกลม ขอบสบงดา้ นบนคาดดว้ ยรัดพระองค์ ปั้นเหน่งรปู วงกลมมลี ายวงทั้ง ด้านหนา้ และด้านขา้ ง พระพุทธปฏิมาแบบน้ีน่าจะจำลองมาจากพระพทุ ธปฏิมาศลิ า แบบบายนของเขมร สรา้ งขึน้ ที่ละโว้ (ลพบุรี) (Woodward 2003, 218-219) รูปท่ี ๘.๑๕ พระสมณโคดมยนื ประทานพร ครึ่งแรกพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (คร่ึงหลงั คริสตศ์ ตวรรษท่ี 13) สมั ฤทธ์ิ สูง ๒๔.๕ เซนติเมตร พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เจา้ สามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา พระพุทธปฏมิ ายืน ๓๘๓
รูปที่ ๘.๑๖ พระสมณโคดมยืนประทานพร ส่วนพระพุทธปฏิมาหล่อ จะย่ืนพระกรขวาต้ังฉากกับบ้ันพระองค์ พระกรหงายประทานอภัย ครึ่งแรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายแนบพระชงฆ์ในกิริยาประทานพร เช่น องค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระ (ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 13) นารายณ์ จังหวดั ลพบุรี (รูปที่ ๘.๑๖) พระพุทธปฏิมาองค์นี้ พระเศยี รมพี ุทธลักษณะใกล้เคยี งกับศลิ ปะ สมั ฤทธิ์ สงู ๙๒ เซนตเิ มตร เขมรแบบบายน คือ พระขนงเปน็ สนั ตรง มีไรพระศก พระเมาลที รงกรวย พระรศั มเี ป็นลูกแก้ว ครอง พพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ จีวรห่มดอง ชายเป็นแถบใหญ่ ขอบสบงด้านบนคาดด้วยรัดพระองค์ ลายประจำยาม ปั้นเหน่งเป็น สมเดจ็ พระนารายณ์ จังหวดั ลพบุร ี ดอกจัน กำหนดอายุอยใู่ นช่วงตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13) หลังจากนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกา เข้ามาเป็นท่ีนิยม ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ต้นครสิ ต์ศตวรรษที่ 14) พระพุทธปฏิมามีความเรียบงา่ ยมากขึน้ คอื ไม่มีรัดพระองค์ และปัน้ เหน่งท่ี ขอบสบงด้านบน หรือลายท่ีหน้านางของสบง เช่น พระพุทธปฏิมาไม้ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งเดียวกัน (รูปที่ ๘.๑๗) ซงึ่ จดั จำแนกอยใู่ นแบบ “สมยั อู่ทอง หมวดที่ ๑” ๔.๒ พระพุทธปฏมิ ายนื ปางประทานพร สมยั อยุธยา ชว่ งเมอื งลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) พระพุทธปฏิมาศิลาไดจ้ ากกรุพระปรางคว์ ัดราชบรู ณะ พระนครศรอี ยุธยา (รูปท่ี ๘.๑๘) พระเศยี ร มีพุทธลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบที่ ๓” คือพระพักตร์รูปไข่ ไรพระศกโค้ง ลงกลางพระนลาฏ พระรัศมีเป็นเปลวสูง เนื่องจากเป็นพระพุทธปฏิมาศิลา พระหัตถ์ขวาจึงหงายไป ทางด้านซ้าย พระหัตถ์ซ้ายหงายออกข้างพระเพลา ในลักษณะเดียวกันกับพระพุทธปฏิมาไม้ ใน พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ สมเดจ็ พระนารายณ์ จงั หวดั ลพบุรี (ดรู ูปท่ี ๘.๑๗) กำหนดอายเุ วลาอย่ใู นชว่ ง เดียวกันกบั พระพทุ ธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบท่ี ๓” คอื กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – กลาง ๒๑ (คริสต-์ ศตวรรษท่ี 15) รูปท่ี ๘.๑๗ พระสมณโคดมยืนประทานพร รปู ที่ ๘.๑๘ พระสมณโคดมยนื พระหตั ถ์ขวาประทานอภัย ครง่ึ หลังพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ได้จากกรพุ ระปรางค์วัดราชบรู ณะ (ครึง่ แรกครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14) จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา ไม้ กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – กลาง ๒๑ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ (ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15) สมเดจ็ พระนารายณ ์ ศิลา สูง ๔๔ เซนติเมตร จังหวัดลพบรุ ี พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจา้ สามพระยา จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ๓๘๔ พระพุทธปฏิมา อตั ลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย
ปหามงวหด้ามจ.ญ าต ิ ๕. พระพทุ ธปฏิมายนื ปางหา้ มญาต ิ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ เป็นพระพุทธปฏิมาที่ดัดแปลงมาจากพระพุทธปฏิมาไม้แก่น จนั ทน์ แบบพระเจา้ อเุ ทน (ดูรปู ท่ี ๑.๓ – ๑.๖) ซง่ึ เป็นปางดงั้ เดิมของพระพทุ ธปฏมิ าทัง้ หมด พระพุทธ ปฏมิ าหมวดนี้เข้ามาเป็นทีน่ ิยมในประเทศไทย พร้อมกับคณะกัมโพชสงฆ์ปกั ขะ ในชว่ งปลายพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๘ (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 13) โดยเริ่มข้ึนทีร่ ฐั กัมโพช และสบื ทอดมาถงึ อาณาจักรอยธุ ยา จนอาจจะ กลา่ วไดว้ า่ เป็นแบบทน่ี ยิ มแพรห่ ลายมากท่สี ดุ แต่กลบั ไม่เปน็ ท่ีนิยมในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ และลา้ นนา ๕.๑ พระพุทธปฏมิ ายืน ปางห้ามญาติ สมยั อาณาจักรกัมโพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) แต่โดยทั่วไปแล้ว พระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิจะย่ืนพระกรขวาออกต้ังมุมกับบ้ันพระองค์ พระหัตถ์ ประทานอภัย พระพุทธปฏิมาท่ีสร้างข้ึนท่ีรัฐกัมโพช เดิมจัดไว้ในหมวดสมัยอู่ทอง หมวดท่ี ๑ มี พุทธลักษณะร่วมกันคือ พระรัศมีเป็นกรวยเรียบ พระหัตถ์ขวาหงายออก ลายพระหัตถ์เป็นรูปกงจักร พระหตั ถซ์ ้ายหันเขา้ พระชงฆ์ ครองจวี รคลุมพระองั สาทัง้ สองข้าง จีวรบางแนบพระวรกาย ชายผายออก ทง้ั สองด้าน ขอบสบงด้านบนคาดดว้ ยรดั พระองคแ์ ละป้นั เหนง่ หน้านางของสบงประดบั ด้วยลายรกั รอ้ ย เช่นพระพุทธปฏิมาในพระท่ีน่ังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปท่ี ๘.๑๙) พระพุทธปฏิมาองค์นี้มี ไรพระศก พระเกศาเป็นเส้นถกั มกี ระจงั ประดบั ท่ีพระเมาลี และมลี ูกแก้วอยู่เหนือพระนลาฏ ซ่งึ นา่ จะได้ รบั อทิ ธิพลมาจากพระพุทธปฏมิ าจนี สมัยราชวงศเ์ หลยี ว (Liao) (พ.ศ. ๑๔๕๐ – ๑๖๖๘ / ค.ศ. 907 – 1125) (Snellgrove 1978, Pls. 290 – 295) นอกจากนั้น พระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิองค์หนึ่งท่ีวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปท่ี ๘.๒๐) พระพุทธปฏิมาองค์น้ีเป็นพระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิท่ีมีขนาดใหญ่ที่สุดที่หลงเหลือมาจากสมัยอาณาจักร กัมโพช สงู รวมฐาน ๓.๒๐ เมตร พระเศียรเปน็ แบบเขมร มพี ระขนงเป็นสันนนู ยาวติดตอ่ กนั มีไรพระศก พระพักตรค์ ล้ายกบั พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวชิ ยั ในพพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ฮง ๒๔๗๐, ๓๑) และอุณหิสประดับด้วยกระจังตรงกลางและข้างพระกรรณ พระเมาลีเป็นกลีบบัว ซ้อนลดกันสองช้ันรองรับด้วยกระจัง ขอบด้านบนของสบงเว้าขึ้นท่ีพระนาภี คาดด้วยรัดพระองค์ ปัน้ เหน่งเปน็ ลายประจำยาม ทรงยนื อยเู่ หนอื ฐานสงิ หพ์ า่ ห ์ ต่อมาพระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย แบบ “สมัยอู่ทอง แบบที่ ๑” มีความ รปู ที่ ๘.๑๙ พระสมณโคดมยนื พระหตั ถ์ขวาประทานอภยั ครึง่ แรกพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครง่ึ หลังครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13) สัมฤทธ์ิ พระท่ีน่งั อมั พรสถาน พระราชวังดุสติ พระพุทธปฏิมายืน ๓๘๕
รปู ท่ี ๘.๒๐ พระสมณโคดมยืน พระหัตถข์ วาประทานอภยั ครึง่ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (คร่ึงหลงั ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 13) สมั ฤทธ์ิ สูง ๓.๒๐ เมตร พระระเบยี ง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร ๓๘๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศิลปไ์ ทย
เรยี บง่ายขนึ้ คอื พระเมาลเี ปน็ กรวยเรยี บ แต่ยังคงไว้ซึ่งลายรักรอ้ ยทีร่ ดั พระองคแ์ ละหนา้ นางของสบง เช่นพระพุทธปฏิมาสัมฤทธิ์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี พระปฏิมา พระองคน์ ีม้ ีเสน้ ตรงผา่ กลางท่พี ระหนุอีกด้วย (รูปที่ ๘.๒๑) ๕.๒ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มญาติ สมยั สุโขทยั ช่วงกอ่ ต้ังอาณาจักรสโุ ขทยั พ.ศ. ๑๘๐๐ – ๑๘๔๒ (ค.ศ. 1257 – 1299) เนื่องด้วยว่าพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิ พบที่วัดมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวัด สโุ ขทยั (รูปที่ ๘.๒๒) และพระพุทธปฏมิ าสัมฤทธ์ิ พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ สวรรควรนายก จงั หวดั สโุ ขทัย (รูปที่ ๘.๒๓) มีความเรียบง่ายคล้ายกับพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบท่ี ๑” ซึ่งสืบทอดรูปแบบมาจาก สมัยอาณาจักรกัมโพช จึงสันนิษฐานได้ว่า พระพุทธปฏิมาท้ัง ๒ องค์น้ี น่าจะสร้างขึ้นในคณะกัมโพช- สงฆป์ ักขะ ซง่ึ เปน็ คณะคามวาสี ในสมัยกอ่ ตั้งอาณาจักรสุโขทัย ๕.๓ พระพุทธปฏิมายืน ปางหา้ มญาติ สมัยอยธุ ยา รูปท่ี ๘.๒๑ พระสมณโคดมยนื พระหตั ถ์ขวาประทานอภัย ครงึ่ หลงั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (คร่งึ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 14) สัมฤทธ์ิ สูง ๘๕.๕ เซนติเมตร พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบรุ ี รูปท่ี ๘.๒๒ พระสมณโคดมยนื พระหตั ถข์ วาประทานอภยั รปู ที่ ๘.๒๓ พระสมณโคดมยนื พระหัตถ์ขวาประทานอภัย ได้จากวัดมหาธาตุ ได้จากวดั สวรรคาราม อำเภอเมืองฯ จงั หวดั สุโขทัย อำเภอเมอื งฯ จังหวัดสุโขทัย ครึ่งหลังพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ ครง่ึ หลังพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ครงึ่ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 14) (ครง่ึ แรกครสิ ต์ศตวรรษท่ี 14) สมั ฤทธ์ิ สงู ๕๑ เซนติเมตร สมั ฤทธิ์ สงู ๕๑ เซนตเิ มตร พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ รามคำแหง พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ สวรรควรนายก จงั หวัดสุโขทัย จังหวดั สโุ ขทยั พระพุทธปฏิมายืน ๓๘๗
(๑) ช่วงเมืองพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) เม่ือเปรียบเทียบกับพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดลงข้างพระอูรุแล้ว (ดู หมวด ก. หนา้ ๓๗๕) พระพุทธปฏิมายนื ยกพระหัตถข์ วาประทานอภยั (ปางห้ามญาต)ิ เป็นทน่ี ยิ มมาก ในอาณาจกั ร อยธุ ยา ตงั้ แต่กอ่ นสถาปนาในปี พ.ศ. ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1351) จนเสยี กรุงคร้ังที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1767) จนอาจจะกล่าวได้ว่า เอกลักษณ์ของพระพุทธปฏิมาอยุธยาคือ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ พระพุทธปฏิมา ในหมวดนี้มีหลายแบบ ซึ่งพัฒนาการเป็นควบคู่ไปกับพระพุทธปฏิมาอยุธยาหมวดอื่นๆ เช่น พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบปางมารวิชัย “แบบพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง” หรือ “แบบอู่ทอง แบบที่ ๒” และ “แบบอทู่ อง แบบท่ี ๓” เช่นเดยี วกนั กบั พระพทุ ธปฏมิ าในหมวด “พระพทุ ธกัมโพชปฏิมา” พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ปรากฏขึ้นภายใต้คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ และพัฒนาการให้รองรับค่านิยมของนิกายเถรวาท คณะ มหาวิหารจากลังกา เช่น พระพุทธปฏิมาดุนทองคำสององค์ องค์หน่ึงพบในกรุพระปรางค์ประธานวัด มหาธาตุ พระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๒๔) ซึ่งพระพักตร์แสดงอิทธิพลของพระพุทธปฏิมามอญโบราณ ตรงท่ีพระขนงเชื่อมต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรยาวรี อีกองค์หน่ึงพบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรอี ยธุ ยา (รปู ที่ ๘.๒๕) ซงึ่ พระพักตร์ใกลเ้ คียงกบั พระพทุ ธกัมโพชปฏมิ าจำลองทองคำ ได้จาก กรพุ ระปรางค์ประธานวดั มหาธาตุ (ดูรูปท่ี ๕.๔๙) ทงั้ สององคค์ รองจวี รหม่ คลมุ ดา้ นบนของขอบสบง และหน้านางตกแตง่ ดว้ ยลายรกั ร้อย อันเป็นเอกลักษณข์ องพระพุทธปฏิมากัมโพช แตร่ ศั มเี ปลวแสดงให้ เห็นค่านิยมของนิกายเถรวาท คณะมหาวิหารจากลังกา พระพุทธปฏิมาในกลุ่มน้ีอาจจะสร้างขึ้นในช่วง ตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 14) พระพุทธปฏิมาที่เทียบเคียงได้กับ “แบบพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง” ได้แก่พระพุทธปฏิมา รูปท่ี ๘.๒๔ รูปท่ี ๘.๒๕ รปู ที่ ๘.๒๔ พระสมณโคดมยนื พระหตั ถ์ขวาประทานอภัย ไดจ้ ากกรุพระปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ ๓๘๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา ต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14) ทองคำ สูง ๓๐.๗ เซนติเมตร พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร รปู ท่ี ๘.๒๕ พระสมณโคดมยนื พระหตั ถ์ขวาประทานอภยั ไดจ้ ากกรุพระปรางค์วดั ราชบรู ณะ จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 14) ทองคำ สงู ๔๒.๕ เซนตเิ มตร พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา
รปู ท่ี ๘.๒๖ พระสมณโคดมยนื พระหัตถข์ วาประทานอภยั ได้จากวดั ราชธานี อำเภอเมืองฯ จังหวดั สุโขทัย ครึง่ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครึง่ หลังครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14) สัมฤทธิ์ สงู ๒.๙๕ เมตร พระระเบียง วัดเบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม กรุงเทพมหานคร จากวัดราชธานี อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันอยู่ในพระระเบียง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปที่ ๘.๒๖) คือมีพระพักตร์เหลีย่ ม พระเมาลที รงโอควำ่ พระรศั มีเปน็ เปลวสูง เทยี บได้กับเศียรพระพุทธ ปฏิมา ได้จากวัดมหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ซ่ึงก็อยู่ในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตรดุสิต วนาราม เช่นกนั (ดรู ูปท่ี ๕.๕๑) พระพุทธปฏิมาองค์น้ีมีรดั พระองค์คาดทับ ชายพบั ตอนบนของสบง หน้า นางของสบงเป็นลายรักร้อย ปั้นเหน่งเป็นลายประจำยาม ซ่ึงเป็นลายเดียวกันกับลายปูนปั้นบนหน้า กระดานบวั เชงิ ของปรางค์ประธานวดั มหาธาตุ จังหวัดลพบุรี (Krairiksh 1997/8, 20) ซึง่ หากลายน้ีเปน็ รูปท่ี ๘.๒๗ พระสมณโคดมยืน ลายด้ังเดิม หรือซ่อมข้ึนใหม่ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ลอกเลียนลายเดิม ก็อาจจะกำหนดอายุ พระหัตถข์ วาประทานอภยั ของพระ พุทธปฏมิ าองค์นไ้ี ดใ้ นช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (ต้นครสิ ต์ศตวรรษที่ 14) สว่ นพระพุทธ ครึง่ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ปฏมิ าใน พระระเบียงวัดพระเชตพุ นวิมลมังคลาราม (รูปท่ี ๘.๒๗) พระเศยี รเทียบเคียงไดก้ บั พระพทุ ธ (คร่ึงหลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14) สัมฤทธิ์ สูง ๑.๘๖ เมตร กัมโพช-ปฏิมาจำลองในพระระเบียงของพระอารามเดียวกัน (ดูรูปท่ี ๕.๕๒) และไม่มีเคร่ืองประดับใดๆ พระระเบยี งวดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม จึงอาจจะสร้างข้ึนในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือคร่ึงแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (คร่ึงหลังคริสต์ กรุงเทพมหานคร ศตวรรษที่ 14) พระพุทธปฏิมายนื ๓๘๙
(๒) ชว่ งเมืองลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) - แบบสุโขทัย พระพุทธปฏิมาแบบสุโขทัยได้แก่ พระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สวรรควรนายก จังหวัดสุโขทัย (รูปท่ี ๘.๒๘) ซ่ึงพระเศียรเทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมาสุโขทัย กล่าวคือ พระพักตร์ เป็นรปู ไข่ พระขนงเป็นเสน้ โกง่ ไม่ต่อกนั ปลายพระนาสิกงมุ้ พระโอษฐเ์ ม้ม เม็ดพระศกเรียงกนั เป็นแนว ตรงจนถงึ พระรัศมี ชายจีวรทง้ั สองข้างขมวดเปน็ ปม อนั เปน็ ลกั ษณะเฉพาะของพระพุทธปฏมิ ายนื หม่ คลมุ ของแบบสมยั สุโขทัย กำหนดอายอุ ย่ใู นครึง่ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (คร่ึงหลังครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15) ส่วนพระพุทธปฏิมาจากวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตร- ดุสติ วนาราม (รูปท่ี ๘.๒๙) พระพกั ตร์รปู ไข่ พระขนงโก่ง ไมบ่ รรจบกนั ที่พระนาสิก พระเนตรเหลือบลง พระโอษฐ์เม้ม ชายจีวรด้านข้างท้ังสองด้านค่อนข้างตรง มีพุทธลักษณะใกล้เคียงกันมากกับพระ พุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาประทานอภัย พบในพระอุระ และพระพาหาเบ้ืองซ้ายของพระมงคลบพิตร พระนครศรีอยุธยา (ณัฏฐภัทร ๒๕๔๙, ๑๖) จึงน่าจะสร้างข้ึนในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (คร่ึง หลงั คริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) รูปที่ ๘.๒๘ พระสมณโคดมยนื พระหัตถข์ วาประทานอภัย ครงึ่ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึง่ หลังครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15) สัมฤทธ์ิ สงู ๑.๐๔ เมตร พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ สวรรควรนายก รปู ที่ ๘.๒๙ (หน้าขวา) พระสมณโคดมยืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย ได้จากวดั บางอ้อยชา้ ง จังหวัดนนทบุรี ครง่ึ แรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครง่ึ หลังคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธิ์ สูง ๒.๒๖ เมตร พระระเบียงวัดเบญจมบพติ รดุสติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร ๓๙๐ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พทุ ธศลิ ป์ไทย
พระพุทธปฏมิ ายนื ๓๙๑
(๓) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระศรสี รรเพชญ์ ถงึ แม้วา่ ยงั ไมม่ ีหลักฐานยืนยันหรอื ขอ้ สรุปทแ่ี น่ชัดวา่ พระศรสี รรเพชญ์ ซึ่งเปน็ พระประธาน ของวัดพระศรีสรรเพชญ์ในเขตพระราชฐาน พระนครศรีอยุธยา จะเป็นพระพุทธปฏิมายืนทอดพระหัตถ์ ท้ังสองข้างพระอูรุ หรือยืนยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย (ปางห้ามญาติ) หรือยกพระหัตถ์ซ้าย ประทานอภัย (ปางหา้ มพระแกน่ จันทน์) ตามท่ีเคยมีผวู้ เิ คราะห์กัน (Woodward 1997, 228) แตผ่ เู้ ขยี น สันนิษฐานว่า พระศรีสรรเพชญ์น่าจะเป็นพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัยหรือปาง ห้ามญาติ เพราะเป็นรูปแบบซึ่งเป็นที่แพร่หลายมากที่สุดในช่วงเวลาน้ัน และจากทฤษฎีของการจำลอง พระพุทธรูปที่จะจำลองเฉพาะพระพุทธรูปสำคัญ จึงทำให้สามารถต้ังข้อสันนิษฐานได้อีกว่า พระ พุทธปฏิมาปางห้ามญาติส่วนใหญ่ที่สร้างข้ึนในช่วงวงราชธานีน้ัน ก็น่าจะจำลองพุทธลักษณะมาจาก พระศรีสรรเพชญ์น่ันเอง ส่วนพระพุทธปฏิมายืนทอดพระหัตถ์ทั้งสองข้างพระอูรุนั้นแทบจะไม่ปรากฏใน เขตวงราชธานีเลย ยกเว้นในกรณีของพระพุทธปฏิมาปูนป้ันท่ีใช้เป็นส่วนตกแต่งคูหาของพระเจดีย์ราย เช่นที่ วัดเจดียเ์ จด็ แถว อทุ ยานประวตั ศิ าสตรศ์ รสี ัชนาลยั (สันติ ๒๕๔๐, ๗๔) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐฯ (พ.ศ. ๒๒๒๓ / ค.ศ. 1680) และ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) (พ.ศ. ๒๓๓๘ / ค.ศ. 1795) ให้ส่วนสัดของ พระศรีสรรเพชญ์ ที่ตรงกนั วา่ แตพ่ ระบาทถึงยอดพระรัศมนี ั้นสงู ได้ ๘ วา (16 เมตร) พระพกั ตรน์ ้นั ยาวได้ ๔ ศอก (2 เมตร) กวา้ งพระพกั ตรน์ ้นั ๓ ศอก (1.5 เมตร) และพระอุระน้ันกวา้ ง ๑๑ ศอก (5.5 เมตร) (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖, ๑๔๐; ประชุม พงศาวดาร เล่ม ๓๘ ๒๕๑๒, ๒๒) ซ่ึงจากการเทียบเคียงกับภาพร่างจากส่วนสัดท่ีได้ให้ไว้ในพระราชพงศาวดาร (รูปที่ ๘.๓๐) กับ พระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาประทานอภัยในพระระเบียงวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปท่ี ๘.๓๑) ปรากฏว่าพระพุทธปฏิมาองค์นี้มีส่วนสัดท่ีใกล้เคียงกับภาพร่างเค้าโครงของพระศรีสรรเพชญ์ นอกจาก น้ันแล้ว ยังได้มาจากวัดใหม่ประชุมพล อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซ่ึงสนับสนุน ข้อสันนิษฐานว่า พระศรีสรรเพชญ์นั้น สร้างข้ึนในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒ – ๒๑๙๘ / ค.ศ. 1629 – 1656) (พิริยะ ๒๕๔๕, ๑๕๓ – ๑๕๘) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก พระราช พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจมิ ) ท่กี ล่าวว่า ในปีสร้างพระนครหลวงนั้น (พ.ศ. ๒๑๗๔ / ค.ศ. 1631) ก็สถาปนาวัด พระศรีสรรเพช็ ญ์เสร็จและทำการฉลอง (ประชมุ พงศาวดาร เล่ม ๓๙ ๒๕๑๒, ๑๑๓) จึงเป็นได้ว่า พระพุทธปฏิมาทพี่ ระระเบียงวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามองค์น้ีเป็นพระศรีสรรเพชญ์ จำลอง โดยจำลองลดขนาด ๑ ใน ๘ ของพระศรสี รรเพชญ์ ๓๙๒ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย
รปู ที่ ๘.๓๐ ภาพรา่ งพระศรีสรรเพชญ พระประธานวดั พระศรสี รรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา จากสดั สว่ นทไ่ี ดจ้ าก พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพนั จันทนมุ าศ (เจมิ ) สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๗๔ (1631) รปู ที่ ๘.๓๑ พระศรสี รรเพชญจำลอง ได้จากวัดใหมป่ ระชมุ พล อำเภอพระนครหลวง จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 17) สมั ฤทธ์ิ สงู ๒.๓๐ เมตร พระระเบียงวดั เบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม กรุงเทพมหานคร พระพทุ ธปฏมิ ายนื ๓๙๓
พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
“พระศรสี รรเพชญ์” จัดเป็น ๑ ใน ๗ พระพทุ ธปฏมิ าสำคญั ของกรงุ ศรอี ยธุ ยา (คำใหก้ ารชาว รปู ที่ ๘.๓๔ พระสมณโคดมยนื กรุงเก่า ๒๔๕๗, ๑๙๐) และใต้พระนาม “พระพุทธศรีสรรเพชรดาญาณ ยืนสูง ๘ วา หุ้มทองคำท้ัง พระหตั ถ์ขวาประทานอภยั พระองค์ อยู่ในพระมหาวหิ ารวดั พระศรสี รรเพชร” เป็น ๑ ใน “พระมหาพทุ ธปฏิมากรทม่ี พี ระพทุ ธานุภาพ ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ เป็นหลักกรุง ๘ องค์” ในบัญชีรายพระนามของขุนหลวง วัดประดู่ทรงธรรม (คำให้การขุนหลวงวัด (กลางหลังคริสต์ศตวรรษที่ 18) ประดู่ทรงธรรม ๒๕๓๔, ๒๔) จึงน่าจะเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธปฏิมาท่ีสร้างข้ึนในเมืองช้ันเอก เช่น สัมฤทธ์ิ สูง ๗๔ เซนตเิ มตร พิษณุโลก อันเห็นได้จากพุทธลักษณะของ พระอัฏฐารส ศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ที่พระบาทสมเด็จ วัดเขาออ้ พระน่ังเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงอัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง อำเภอเมืองฯ จงั หวัดพิษณุโลก (รปู ที่ ๘.๓๒) มา อำเภอควนขนนุ จังหวัดพัทลงุ ประดิษฐานในพระวหิ ารวัดสระเกศ กรงุ เทพมหานคร (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๙๔, ๔ – ๕) ซง่ึ รูปแบบของ ชายจวี รท่ผี ายออกทางด้านข้าง และชายสบงด้านล่าง ใกลเ้ คียงมากกบั พระศรสี รรเพชญจ์ ำลอง เดมิ อยู่ ที่วัดใหม่ประชุมพล อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งอาจจะสร้างข้ึนในระยะเวลาใกล้ เคยี งกัน รวมท้งั พระอัฏฐารส ในพระวหิ ารด้านทิศตะวันออก วัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวดั พษิ ณุโลก (รูปท่ี ๘.๓๓) ก็สันนิษฐานวา่ น่าจะเปน็ พระศรสี รรเพชญ์จำลองเช่นกัน (พชิ ญา ๒๕๔๘, ๑๖๘) ส่วนพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ท่ีพบในภาคใต้ที่สำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาท่ีวัดเขาอ้อ อำเภอควนขนนุ จังหวัดพทั ลุง (รูปที่ ๘.๓๔) เป็นตัวอย่างของพระพุทธปฏมิ ายนื พระหัตถ์ขวาประทานอภัย ที่สร้างข้ึนในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ โดยเห็นได้จากพระเมาลีขนาดใหญ่ พระรัศมีเป็นเปลวสูง ขอบจีวรด้านข้างผายออกตอนปลายและห้อยลงเป็นมุมแหลม นอกจากนั้นแล้ว ในรัชกาลน้ียังได้มีการ บูรณปฏิสังขรณ์วัดเขาอ้อ เป็นพระอารามขนาดใหญ่ รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศยังพระราชทาน พระพุทธปฏมิ าให้กบั วัดเขาอ้ออกี ดว้ ย (ชยั วุฒิ ๒๕๒๔, ๔๓) รปู ท่ี ๘.๓๓ พระอัฏฐารส กรมศิลปากรซอ่ ม ปูนปนั้ วดั พระศรีรตั นมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จงั หวัดพษิ ณโุ ลก รปู ท่ี ๘.๓๒ พระอฏั ฐารส ศรสี ุคตทศพลญาณบพติ ร ได้จากวดั วหิ ารทอง อำเภอเมืองฯ จังหวดั พษิ ณโุ ลก ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 17) สมั ฤทธิ์ สงู ๑๐.๖๐ เมตร วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏิมายนื ๓๙๕
๓๙๖ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
๕.๔ พระพุทธปฏิมายนื ปางหา้ มญาติ สมัยรตั นโกสนิ ทร ์ พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ท่ีสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ มีจำนวนน้อยมากท่ีสำคัญได้แก่ พระประธานในพระอุโบสถวดั เครอื วัลยว์ รวหิ าร (รูปท่ี ๘.๓๕) ซ่งึ เจ้าพระยาอภัยภธู ร (น้อย บุณยรัตพนั ธุ์) ผู้เป็นบิดาของเจ้าจอมเครือวัลย์ในพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ข้ึนใหม่ และ ทรงรบั ไวใ้ นพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทง้ั พระราชทานชอื่ ว่า “วัดเครอื วัลย์” (ราชบณั ฑติ สภา ๒๔๗๒, ๒๙) พระพุทธปฏิมาองค์นีแ้ ตกต่างจากแบบอยุธยา คอื พระวรกายเป็นท่อนตรง ชายจวี รด้านหลัง ตัง้ มุมกบั ชายจีวรด้านหน้าและยาวลงมาถึงขอบสบง ซึ่งลักษณะดังกล่าวยังพบในพระพุทธปฏิมา พบที่วัด สุนทราวาส อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (รูปที่ ๘.๓๖) ซ่ึงพระอารามแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระ นั่งเกลา้ เจา้ อยู่หวั ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองคส์ มทบทุนสร้างพระอุโบสถอกี ดว้ ย จงึ เป็นไป ไดว้ า่ พระพทุ ธปฏิมาองคน์ ี้ จะสร้างขึ้นในรัชกาลนเ้ี ชน่ กนั (การศาสนา เล่ม ๓, ๒๕๒๗, ๘๔๑) รูปที่ ๘.๓๕ พระสมณโคดมยนื พระหตั ถ์ขวาประทานอภัย รปู ที่ ๘.๓๖ พระสมณโคดมยืนพระหตั ถข์ วาประทานอภยั พ.ศ. ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔ ได้จากวดั สนุ ทราวาส อำเภอควนขนุน จังหวัดพทั ลงุ (ค.ศ. 1824 – 1851) พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔ สัมฤทธิ์ (ค.ศ. 1824 – 1851) พระอุโบสถวดั เครอื วัลย์ สัมฤทธิ์ สงู ๒๑ เซนติเมตร กรุงเทพมหานคร พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ สงขลา พระพุทธปฏมิ ายนื ๓๙๗
รูปที่ ๘.๓๗ ก. เศียรพระร่วงโรจนฤทธ์ิ พระร่วงโรจนฤทธิ์ ขุดได้จากวัดเขาใหญ่ สวรรคโลก จังหวัดสโุ ขทัย ปีพ.ศ. ๒๔๕๑ จากทมี่ ไิ ด้สร้างพระพทุ ธปฏิมายนื ปางหา้ มญาติ มาหลายรัชกาลแล้ว ทำให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ (ค.ศ. 1908) กรมหลวงนเรศรวรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า- กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ เจ้าอยู่หัว ตามท่ีมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์หล่อพระพุทธปฏิมายืน ซ่ึงได้อัญเชิญช้ิน (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 17) สว่ นของพระเศียร (รปู ที่ ๘.๓๗ ก.) พระหัตถข์ า้ งหน่งึ และพระบาท “ซงึ่ สนั นษิ ฐานได้แน่ว่าเป็นพทุ ธรูป ยืนห้ามญาติ” (เรอื่ งพระปฐมเจดีย์ ๒๕๒๘, ๒๓๓) มาแตเ่ มืองสวรรคโลก ว่าเปน็ การยากลำบากมาก และการปฏิสังขรณ์หรือหล่อพระยืนใหญ่เช่นน้ี ช่างยังไม่เคยกระทำเพราะ พระยืนแตโ่ บราณมาก็ยอ่ มมอี ยนู่ ้อยองค์ และการหลอ่ พระใหญ่ไม่ได้หลอ่ กันมา เสยี นานแลว้ มีแต่พระพุทธชนิ ราชพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเจ้าหลวงทรงจำลอง ข้นึ คร้ัง ๑ ก็เป็นพระนัง่ ไม่สูจ้ ะยากและลำบากเหมอื นพระยืนสูงใหญ่เช่นคร้ังนี้ (เร่อื งเดยี วกนั , ๒๓๑) และเม่อื หล่อแลว้ เสรจ็ จงึ อญั เชญิ ไปประดษิ ฐานท่ีพระปฐมเจดียใ์ นปี พ.ศ. ๒๔๕๗ (ค.ศ. 1914) และ ได้รับพระราชทานพระนามว่า “พระร่วงโรจนฤทธ์ิ ศรีอินทราทิตย์ธรรมโมภาส มหาวชิราวุธราชปูชนิยบพิตร” (รปู ที่ ๘.๓๗ ข) พระร่วงโรจนฤทธ์ิฯ พระองค์น้ีจึงมีส่วนในการสร้างความเจริญรุ่งเรือง ให้กับชาติไทยในอดีต โดยผ่านการสรา้ งภาพลกั ษณใ์ หก้ บั อาณาจักรสุโขทยั พระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย อันเป็นท่ีรู้จักกันในนามของ “ปางห้ามญาติ” หรือ “ห้ามพยาธิ” จึงกลับมาเป็นที่แพร่หลายอีกครั้งหน่ึงในปัจจุบันเพราะทำหน้าท่ีเป็นพระพุทธปฏิมา ประจำวันจันทร์ แต่เป็นท่ีน่าสังเกตว่าพระพุทธปฏิมาสำหรับบูชาพระเคราะห์ กำหนดตามนพเคราะห์ สำหรับบูชาตามหลักคัมภีร์มหาทักษา (ดูบทที่ ๒ หัวข้อ ๔.๑ หน้า ๓๖) ตาม ตำราพระพุทธปฏิมาปาง ต่างๆ ตามมตสิ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรสนน้ั วันจันทร์เป็น “พระหา้ มสมทุ ร” คือ ยนื ยกพระหัตถท์ ง้ั สองข้างประทานอภยั (ตำราพระพทุ ธปฏมิ าปางตา่ ง ๆ ๒๕๓๔, ๒๙, ๕๖) ซง่ึ ตำรานี้ยงั คงใช้มาจนปี พ.ศ. ๒๕๐๔ (ค.ศ.1961) เชน่ ใน ตำนานปางพระพุทธปฏมิ าประจำวนั ชาตา (อรยิ กวี ๒๕๐๔ , ๕-๑๐) ก็ยงั คงเปน็ พระห้ามสมุทรประจำวันจนั ทร์ ต่อมาพระพมิ ลธรรมยืนยนั วา่ สำหรับพระพุทธรูปท่ีถือเป็นพระประจำวันจันทร์นั้น ต้องเป็นพระปางห้ามญาติ หรือจะเรยี กวา่ ห้ามพยาธิ์ ก็ตามเถิด เปน็ พระยกพระหัตถ์ขวาขน้ึ ห้ามขา้ งเดียว (พิมลธรรม ๒๕๓๓, ๙๔) ส่วนปางห้ามสมุทร ซ่ึงยกพระหัตถ์ท้ังสองข้างข้ึนประทานอภัยน้ัน “เรียกเต็มว่า ปางห้ามพระ ญาติแยง่ นำ้ ในสมทุ ร” (เรอ่ื งเดยี วกัน, ๘๗) รปู ท่ี ๘.๓๗ ข. พระร่วงโรจนฤทธิ์ สร้างปี พ.ศ. ๒๔๕๖ (ค.ศ. 1913) สัมฤทธิ์ สูง ๖.๘๐ เมตร พระวิหารดา้ นทศิ เหนอื พระปฐมเจดีย์ จงั หวดั นครปฐม (รูปท่ี ๘.๓๗ ก.) ๓๙๘ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศลิ ป์ไทย
พระพุทธปฏิมายนื ๓๕
๕.๕ พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางหา้ มญาติ สมยั ลา้ นนา ชว่ งประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899) พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ขวาประทานอภัย หรือปางห้ามญาติ มีแค่ตัวอย่างเดียว ได้แก่ พระอัฏฐารสในพระวิหารวัดเจดีย์หลวง อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่ ๘.๓๘) พระเศียรของ พระพุทธปฏมิ าองค์นี้ คลา้ ยกับเศยี รพระพุทธสหิ งิ คจ์ ำลองในพพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ เชยี งใหม่ (ดูรูปท่ี ๖.๙) ครองจีวรห่มดองแบบพระพุทธปฏิมายืนล้านนา (ดูรูปที่ ๘.๒) จึงเป็นไปได้ว่าพระพุทธปฏิมาองค์นี้ เดมิ อาจจะสร้างขน้ึ ในปีจลุ ศักราช ๗๗๓ (พ.ศ. ๑๙๕๔ / ค.ศ. 1410) ตามทก่ี ลา่ วอ้างใน ตำนานวดั เจดยี ์หลวง ในเมืองนพบรุ ีนครเชียงใหมว่ า่ “นางราชเทวกี ห็ อื้ หลอ่ องคพ์ ระเจา้ ยืนองค์ ๑ สงู ได้ ๑๘ ศอก กับรปู อัครสาวก ๒ องค์ไวใ้ นวหิ าร” (สงวน โชติสุขรตั น์ เลม่ ๒ ๒๕๑๕, ๑๔๖) ซง่ึ ในบริบทของพระพทุ ธปฏิมาลา้ นนาแลว้ พระพุทธปฏิมาองค์น้ีน่าจะได้แก่ พระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ทั้งสองข้างทอดลงข้างพระอูรุ (โคนขา) มากกว่าจะเป็นพระพุทธปฏิมายืนปางห้ามญาติ ดังท่ีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ทั้งน้ีเพราะพระหัตถ์ขวาท่ี แสดงปางประทานอภยั นั้นมีลักษณะคล้ายมอื คน คอื นิ้วพระหัตถย์ าวไม่เท่ากัน แตกต่างจากพระหตั ถซ์ ้าย ท่ีทอดลงข้างพระอูรุ นอกจากน้ันแล้ว พระพุทธปฏิมายืนปางห้ามญาติก็มีแค่องค์เดียว จึงเป็นไปได้ว่า พระพุทธปฏิมาองค์นี้ น่าจะได้รับการปรับเปล่ียนพุทธลักษณะหลังจากที่พระเจ้ากาวิละ (พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๙ / ค.ศ. 1782 – 1816) ได้เขา้ มาสวามิภกั ดิ์ตอ่ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกแลว้ เพ่ือ ให้สอดคล้องกบั คา่ นิยมของชาวใตท้ นี่ ยิ มสร้างพระพุทธปฏมิ าปางหา้ มญาต ิ รปู ท่ี ๘.๓๘ พระอัฏฐารส ปรับเปลยี่ นปางปี พ.ศ. ๒๓๒๕ – ๒๓๕๙ (ค.ศ. 1782 - 1816) สมั ฤทธิ์ สูง ๙ เมตร พระวิหารวดั เจดียห์ ลวง อำเภอเมืองฯ จงั หวัดเชยี งใหม่ ๔๐๐ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย
หมวด ฉ. ปางห้ามญาติ ทรงเคร่อื ง ๖. พระพทุ ธปฏมิ ายืน ปางห้ามญาติ ทรงเคร่อื ง พระพทุ ธปฏิมายืน ยกพระหตั ถข์ วาประทานอภัย ทรงเคร่ือง เปน็ การแสดงออกของพทุ ธศาสนา นิกายเถรวาท คณะสยามนิกายอย่างแท้จริง เพราะไม่เคยมีเลยในลังกา จึงไม่ใช่ส่วนหน่ึงของ นิกาย เถรวาท คณะมหาวหิ าร แต่เปน็ การสืบทอดจากคณะกมั โพชสงฆ์ปกั ขะ พระพทุ ธปฏิมาหมวดนหี้ ายไปใน ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 14) เม่ือ “ศาสนาสิงหล” เข้ามาแทนที่ แต่จาก ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16) เป็นต้นมา ความเช่ือด้ังเดิมของคณะ กัมโพชสงฆ์ปักขะหวนกลับมาเป็นกระแสหลัก จึงเกิดการสร้างพระพุทธปฏิมายืนยกพระหัตถ์ขวา ประทานอภยั ทรงเคร่อื งข้ึนมาอีกครัง้ หน่ึง พระพุทธปฏิมายนื ปางหา้ มญาติ ทรงเครื่อง สมยั อยุธยา (๑) ช่วงเมืองลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) ตามองค์ความรู้ท่ีมีแต่เดิมมาน้ัน ได้เช่ือมโยงการสร้างพระพุทธปฏิมา ปางห้ามญาติ ทรงเคร่ือง กับการรื้อฟ้ืนลัทธิเทวราชของเขมร ดังท่ีหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ บรรยายทางวิทยุโทรทัศน์ “เร่ืองพระทรงเครอ่ื ง” วา่ คร้ันถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งคุ้นเคยกับวัฒนธรรมขอมอยู่แล้วก็ได้เอา ขนบธรรมเนียมของขอมมาใช้มากขึ้น ตอนน้ีเองท่ีลัทธิเทวราชของขอมซ่ึงเป็น ของในลัทธิมหายานเข้ามามีอิทธิพลในประชาชนชาวไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนา ลัทธิหินยานจนเป็นเหตุให้ขนานนามกษัตริย์ของตนอย่างพวกมหายาน เช่น ขนานนามพระเจ้าแผ่นดินบางองค์ว่า หน่อพุทธางกูร (แปลว่าหน่อเน้ือของ พระพุทธเจ้า) และวา่ พระศรีสรรเพชญเ์ ป็นตน้ ซึ่งเปน็ พระนามของพระพทุ ธเจา้ และคำอ้างถึงพระเจ้าแผ่นดนิ กใ็ ช้วา่ พระพุทธเจา้ อยู่หัว หรอื อา้ งถงึ พระเจา้ แผ่นดิน ท่ีสวรรคตแล้วว่าพระพุทธเจ้าหลวง และคำรับว่าพระพุทธเจ้าข้า และคำแทน ตัวเม่ือพูดกับพระเจ้าแผ่นดินว่าข้าพระพุทธเจ้า เหล่านี้ล้วนมีมูลเหตุมาจากลัทธิ เทวราชของเขมรทง้ั นน้ั และยงั ใชอ้ ยู่จนบัดน้ี (บริบาลบุรภี ณั ฑ์ ๒๕๓๑, ๒๔๖) ความจริงท่ีปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การยกย่องพระมหากษัตริย์ ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า และในทาง ตรงกันข้ามก็สร้างภาพพระพุทธเจ้าเป็นพระมหาจักรพรรดิราช ซ่ึงเป็นท่ีประจักษ์ในช่วงกลางพุทธ- ศตวรรรษท่ี ๒๑ (ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16) นั้น มลู เหตุแทจ้ รงิ มิไดม้ าจากลทั ธเิ ทวราชของเขมรเพยี งอย่าง เดียว แต่ส่วนสำคัญน้ันมาจากของสยามนิกายเอง ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนท่ีสุดในเร่ือง มหาชมพูปติสูตร จาก ลักขณสูตร ทีฆนกิ าย พระสตุ ตันตปฎิ ก ท่ีกลา่ ววา่ ทัง้ พระพุทธเจ้าและพระมหาจกั รพรรดิราช ตา่ ง กม็ มี หาปรุ สิ ลกั ขณะ หรือมหาบรุ ุษลักษณะ ๓๒ ประการเชน่ เดยี วกนั “ถ้าอยคู่ รองเรือนจะไดเ้ ป็นพระเจา้ จักรพรรด์ิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” (สุชีพ ๒๕๓๕, ๓๖๑) นอกจากน้ันแล้ว เอกปุคคลปาสิ อังคุตตรนิกาย ยังกล่าวว่าท้ังสองพระองค์เป็นอัจฉริยมนุษย์ ประสูติเพื่อประโยชน์สุข ของสว่ นรวม (เรอื่ งเดยี วกนั , ๔๙๓) คู่ควรกบั การสรา้ งสถูปถวาย พระพุทธปฏมิ ายนื ๔๐๑
๔๐๒ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
รูปที่ ๘.๓๙ ก. พระร่วง ความคิดเกี่ยวกับจักรพรรดิราช ท่ีแพร่หลายในช่วงระยะเวลานี้ น่าจะเป็นเหตุหน่ึงท่ีนำมาสู่ ครึ่งแรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ (ค.ศ. 1569) เพราะทั้งพระมหาธรรมราชาช้างเผือก (ครงึ่ หลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15) (พระเจ้าบเุ รงนอง) และสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ ต่างก็แยง่ ชิงกันเพื่อเป็น พระมหาจักรพรรดิราชา ซ่ึง สัมฤทธิ์ สงู ๒.๗๕ เมตร มไี ด้เพียงพระองคเ์ ดยี ว (สุเนตร ๒๕๓๙, ๙๗ – ๑๓๑) อโุ บสถวดั ท่าไชยศิริ อำเภอบา้ นลาด จงั หวดั เพชรบรุ ี จากบนั ทกึ ของ ฌาคส์ เดอ คูทร์ (Jacques de Coutre) ซง่ึ อยทู่ ่กี รุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๑๓๙ (ค.ศ. 1596) ในรชั สมัยสมเดจ็ พระนเรศวรซ่ึงกลา่ วว่า ข้าราชการท่านหน่ึงได้พาข้าพเจ้าไปในวิหารแห่งหนึ่งมีขนาดใหญ่มาก คล้ายกับ โบสถ์ของเรา เต็มไปด้วยพระพุทธรูปทองคำและเงินหลายองค์ทรงสวมพระ อุณหิสทพี่ ระเศยี ร (De Coutre 1988, [n.p.]) หลกั ฐานของ เดอ คทู ร์ สอดคล้องกบั รูปแบบของพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหตั ถ์ขวาประทานอภัย ทรงสวมเพยี งอุณหสิ (เรยี กว่าแบบทรงเครือ่ งนอ้ ย) (รูปท่ี ๘.๓๙ ก.) และแบบที่ ทรงสวมอุณหิส กรองศอ ทับทรวง พาหรุ ัด และทองพระกร (เรยี กว่าแบบทรงเคร่อื งใหญ่) (รูปที่ ๘.๔๐) พระพุทธปฏมิ าทั้งสอง กล่มุ นพ้ี บอยู่ดว้ ยกนั ในพระอุระ และพระพาหาเบื้องซ้ายของพระมงคลบพติ ร (ณฏั ฐภทั ร ๒๕๔๙, ๑๖ - ๑๗, ๒๑ - ๒๓) ซ่ึงนา่ จะสรา้ งขึ้นในช่วงกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16) พระพุทธปฏิมาท่ีจัดอยู่ในกลุ่มที่เก่าสุดของพระพุทธปฏิมาทรงเคร่ืองน้อยอยุธยา เท่าที่ปรากฏ ได้แก่ พระประธานพระอุโบสถ วัดท่าไชยศิริ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี (ดูรูปท่ี ๘.๓๙ ก.) ทรง ครองจวี รห่มคลมุ พระองั สา ขอบจีวรด้านขา้ งทอดขนานกับพระเพลาและพระชงฆ์ ขอบสบงดา้ นบนคาด ด้วยรัดประคด หน้านางสบงมีกรอบเป็นเส้นคู่ อุณหิสแต่งด้วยลายประคำและประจำยาม ขอบบนเป็น กลบี บัว คลา้ ยกบั อุณหิสของเศยี รพระโพธิสัตว์ สัมฤทธ์ิ (รูปท่ี ๘.๓๙ ข.) ๑ ในจำนวนพระโพธสิ ัตว์ ๕๕๐ ชาติ ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๒๐๐๑ (ค.ศ. 1458) (McGill 1993, 412 – 448) นอกจากนั้นแลว้ มงกุฎทต่ี กแต่ง ด้วยกระจัง ยอดเป็นลูกแก้ว ยังปรากฏบนเศียรพระโพธิสัตว์ท่ีหล่อข้ึน พร้อมกนั อกี ดว้ ย (เรื่องเดยี วกนั , Fig. 4) พระพุทธปฏิมาองค์ น้ีจึงอาจจะสร้างขึ้นในช่วงคร่ึงแรกของพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครงึ่ หลัง ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15) รูปที่ ๘.๓๙ ข. เศยี รพระโพธสิ ตั ว์ จากวัดพระศรสี รรเพชญ์ พระนครศรีอยธุ ยา ๑ ใน ๕๕๐ ชาติ ที่สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ โปรดใหส้ รา้ งข้ึนใน ปี พ.ศ. ๒๐๐๑ (ค.ศ. 1458) สัมฤทธ์ิ สูง ๑๔ เซนตเิ มตร พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร พระพทุ ธปฏมิ ายืน ๔๐๓
รูปท่ี ๘.๔๐ พระสมณโคดมยนื พระหัตถข์ วาประทานอภยั ทรงเครือ่ งใหญ่ ได้จากจงั หวัดเพชรบรุ ี กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ต้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16) สมั ฤทธิ์ สงู ๑.๙๖ เมตร พระระเบียง วดั เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร ๔๐๔ พพรระะพพทุ ุทธธปปฏฏิมิมาาออตั ตั ลลักกั ษษณณ์พพ์ ุททุ ธธศศลิ ลิ ปปไ์ ์ไททยย
พระพทุ ธปฏิมาทอี่ าจจะสรา้ งข้ึนในช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ตน้ คริสตศ์ ตวรรษที่ 16) น่าจะไดแ้ ก่ พระพทุ ธปฏมิ าไดจ้ ากเพชรบรุ ี ในพระระเบยี ง วัดเบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม (ดรู ูปท่ี ๘.๔๐) มีพระเมาลี ซ้อนกันสามชั้น ทรงอุณหิสและกรองศอที่ตกแต่งด้วยลายประจำยาม และลายกลีบบัว ห้อยทับทรวง สวมพาหุรัดและทองพระกร ขอบสบง ด้านบนคาดด้วยรัดพระองค์ ตกแต่งด้วยลายประจำยาม และ สวุ รรณกระถอบ หน้านางลายรักรอ้ ยกลบี บวั ใกลเ้ คยี งกับลายเขมร กล่มุ ทก่ี ำหนดอายอุ ย่ใู นช่วงคร่ึงแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (ครึ่งหลงั คริสต์ศตวรรษท่ี 16 – กลาง 17) มักจะเป็นพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องใหญ่ ซึ่งมีลักษณะที่พ้องกันคือ พระขนงเป็นเส้นคมพบกัน กึ่งกลางพระนาสกิ สนั พระนาสกิ เปน็ เส้นเช่นกนั พระเนตรเหลอื บลง พระเมาลีทรงกรวยสงู เป็นชัน้ ซ้อน ลดหล่ันกนั อุณหสิ ทำเปน็ ครีบเหนอื พระกรรณ กรองศอตกแต่งดว้ ยลายกา้ นขด และกระจังตาอ้อย สวม พระกุณฑล ห้อยทับทรวง สวมพาหุรัด และทองพระกร เช่นองค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๘.๔๑) ทรงยืนบนฐานบัวหงายเหนือฐานหน้ากระดานแปดเหล่ียม และใน วิหารสมเดจ็ ฯ วดั เบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม (รูปท่ี ๘.๔๒) ทรงยืนบนฐานบวั แวง มพี วยเป็นทางน้ำไหล สำหรับเวลาสรงน้ำ เหนอื ฐานหนา้ กระดานส่เี หลี่ยม รปู ที่ ๘.๔๑ พระสมณโคดมยืน พระหัตถ์ขวาประทานอภยั รูปท่ี ๘.๔๒ พระสมณโคดมยืน พระหัตถ์ขวาประทานอภยั ทรงเคร่ืองใหญ่ ครึ่งแรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ ทรงเคร่ืองใหญ่ คร่งึ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ (ครึ่งหลังครสิ ต์ศตวรรษที่ 16) (คร่ึงหลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16) สัมฤทธ์ิ สูง ๑๕๐ เมตร สัมฤทธิ์ สูงรวมฐาน ๙๔ เซนตเิ มตร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม วิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา กรุงเทพมหานคร พระพทุ ธปฏิมายนื ๔๐๕
(๒) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพทุ ธปฏมิ าในหอศาสตราคม พระบรมมหาราชวงั (รูปที่ ๘.๔๓ ก.) พระเมาลหี กั หายไปและ พระเศียรหักที่พระศอ แต่ทรงอณุ หสิ ทต่ี กแตง่ ด้วยอัญมณหี ลากหลาย ทรงคาดรัดพระองค์ ปัน้ เหน่งเป็น ลายดอกดาวกระจาย ทรงยนื บนฐานบวั แวง มพี วย เหนือฐานหน้ากระดาน แปดเหลี่ยม พระพุทธปฏิมา องคน์ น้ี ่าจะเป็นพระพทุ ธปฏิมาสำคัญ เพราะถงึ แม้วา่ พระเศยี รหกั ทพี่ ระศอ (รปู ท่ี ๘.๔๓ ข.) กย็ ังนำมา เกบ็ รักษาไวใ้ นพระบรมมหาราชวงั เพราะตามประเพณีแล้วจะไม่เกบ็ พระพุทธปฏมิ าทช่ี ำรุดไว้แม้แตใ่ นบา้ น รปู ท่ี ๘.๔๓ ก. พระสมณโคดมยนื พระหตั ถ์ขวาประทานอภัย ทรงเคร่อื งใหญ่ กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17) สมั ฤทธิ์ สูงรวมฐาน ๑.๒๗ เมตร หอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง รูปที่ ๘.๔๓ ข. พระสมณโคดมยืน พระหตั ถข์ วาประทานอภัย ทรงเครอื่ งใหญ่ (รปู ที่ ๘.๔๓ ก.) ๔๐๖ พระพุทธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ุทธศลิ ป์ไทย
ตัวอย่างของพระพทุ ธปฏมิ าทรงเคร่ืองใหญ่ สร้างในช่วงคร่งึ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ครึ่งหลงั คริสต์ศตวรรษท่ี 17) ได้แก่ พระพุทธปฏิมาปูนป้ัน ในวิหารทับเกษตร ท่ีล้อมฐานองค์พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช (รูปท่ี ๘.๔๔) พระพุทธปฏิมาเหล่านี้ ยืนอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ทั้งลักษณะของพระ พุทธปฏิมา และเรือนแก้ว เทียบเคียงได้กับ พระประธานในพระอุโบสถวัดรวก (ปัจจุบันวัดเสาธงทอง) อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี ซ่ึงเป็นพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ทรงเครื่องใหญ่ ประดิษฐานอยู่ ภายในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเดิมน่าจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ได้รับการซ่อมแซมข้ึนใหม่หลัง จากพระอุโบสถถูกไฟไหม้ในปี พ.ศ.๒๔๗๐ (ค.ศ. 1927) (หวน ๒๕๑๒, ๙๐) พระพุทธปฏิมาทรงเคร่ือง ใหญใ่ นพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ น่าน (รปู ที่ ๘.๔๕) ทรงอุณหิสยอดชฎา กุณฑล กรองศอ หอ้ ยทับทรวง สวมพาหุรัด และทองพระกร ใกล้เคียงกับพระพุทธปฏิมาในวิหารทับเกษตร ซ่ึงอาจจะสร้างข้ึนในช่วง ระยะเวลาใกลเ้ คียงกนั ส่วนพระพุทธปฏิมาทรงเครื่องใหญ่ที่สร้างขึ้นในช่วงคร่ึงหลังพุทธศตรวรรษที่ ๒๓ (คร่ึงแรก ครสิ ต์ศตวรรษที่ 18) ทรงสวมมงกฎุ ยอดน้ำเตา้ กรองศอ ทบั ทรวง และคลอ้ งสายสงั วาลไขว้ ทรงสวม พาหุรดั ทองพระกร และพระธำมรงคใ์ นทุกนิ้วพระหัตถ์ (รูปท่ี ๘.๔๖) รปู ท่ี ๘.๔๕ พระสมณโคดมยืน พระหตั ถข์ วาประทานอภัย ทรงเครอื่ งใหญ่ รปู ที่ ๘.๔๔ พระสมณโคดมยนื ครง่ึ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๓ พระหัตถ์ขวาประทานอภยั (ครง่ึ หลงั คริสต์ศตวรรษท่ี 17) ทรงเครื่องใหญ่ ในเรือนแก้ว สัมฤทธ์ิ สูง ๕๓ เซนติเมตร คร่ึงแรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ นา่ น (ครึง่ หลังครสิ ต์ศตวรรษที่ 17) ปนู ปนั้ ลงรักปดิ ทอง วิหารทับเกษตร วัดมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวดั นครศรีธรรมราช รูปท่ี ๘.๔๖ พระสมณโคดมยืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย ทรงเครอื่ งใหญ ่ ครึง่ หลังพทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษท่ี 18) สัมฤทธิ์ สงู ๕๐ เซนตเิ มตร พระพุทธปฏิมายนื ๔๐๗
รปู ที่ ๘.๔๗ พระพทุ ธรูปยืน หยกมพวดระหช.ตั ถ์ซา้ ยประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร พระหตั ถ์ซา้ ยประทานอภยั พระหตั ถ์ขวาประทานพร เสย้ี วที่สองพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (เสี้ยวสดุ ทา้ ยคริสตศ์ ตวรรษที่ 13) ๗. พระพทุ ธปฏมิ ายนื ยกพระหัตถซ์ ้ายประทานอภัย สมั ฤทธิ์ พระหตั ถ์ขวาประทานพร พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร พระพทุ ธปฏิมายนื ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหตั ถข์ วาประทานพร สมยั อาณาจักรกมั โพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) พระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร พบเพียงไม่ก่ีองค์ เช่น องค์ท่ีอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร (รูปท่ี ๘.๔๗) จากพุทธลักษณะ อันได้แก่ พระเกศาเป็นเส้นถัก พระเมาลีเป็นฐานเต้ีย มีกระจังประดับท้ังสี่ด้าน รัศมีเป็นกรวยเรียบ เทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมายืนพระหัตถ์ขวาประทานอภัย แบบกัมโพช ในพระท่ีนังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (ดูรูปท่ี ๘.๑๙) ทรงครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับเป็นริ้ว คล้ายกับพระพุทธปฏิมา นาคปรก พบที่วัดหัวเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจารึกสร้างปี พ.ศ. ๑๘๒๒ หรือ ๑๘๓๔ (ค.ศ. 1279 หรือ 1291) (ดูรปู ท่ี ๕.๑๗๘) ขอบสบงตอนบนคาดด้วยรดั พระองค์ หนา้ นางมลี วดลาย แสดง ให้เห็นว่าพระพุทธปฏิมาองค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ ในช่วงกลางของพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครงึ่ หลังคริสตศ์ ตวรรษท่ี 13) อีกองค์หน่ึงพระรัศมีรูปโอคว่ำ มีใบโพธ์ิประดับอยู่ด้านหน้า ครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพับทบ เป็นริ้ว ขอบสบงด้านบนและหน้านางมีเส้นขนานเป็นกรอบ (Boriband Buribhand and Griswold 1951, Fig. 17) จากลักษณะของพระรัศมีรูปโอคว่ำและรูปแบบของจีวร ซึ่งเทียบเคียงได้กับพระพุทธ ปฏิมาแบบ “สมัยอู่ทอง แบบท่ี ๑” กำหนดอายุอยู่ในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครึ่งแรกคริสต์ ศตวรรษท่ี 14) รูปท่ี ๕.๑๗๘ พระสมณโคดมนาคปรก พบทีว่ ัดหวั เวยี ง อำเภอไชยา จังหวดั สรุ าษฎร์ธาน ี สร้างปี พ.ศ. ๑๘๒๒ หรือ ๑๘๓๔ (ค.ศ. 1279 หรอื 1291) สมั ฤทธิ์ สงู ๑.๖๐ เมตร พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ๔๐๘ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลกั ษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย
หมวด ซ. ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพร ทรงเคร่ือง ๘. พระพุทธปฏิมายนื พระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถข์ วาประทานพร ทรงเครือ่ ง พระพทุ ธปฏมิ ายนื พระหตั ถซ์ ้ายประทานอภัย พระหตั ถข์ วาประทานพร ทรงเคร่ือง สมัยรัตนโกสินทร์ พระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย พระหัตถ์ขวาประทานพรทรงเคร่ือง สร้างขึ้น เพียงองค์เดียวในโอกาสท่ีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) พระพุทธรูปองค์น้ี สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินตากโร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธ- สถิตมหาสีมาราม เปน็ ผปู้ ระทานแบบโดยดดั แปลงจากพระพทุ ธรปู ทรงเครื่อง สมยั อยุธยาตอนกลาง ซ่ึง ทรงอณุ หิส กุณฑล กรองศอ หอ้ ยทับทรวง ทรงพาหุรดั ทองพระกร ทองพระบาท ขอบบน และหน้านาง ของสบงประดับลายรักร้อยกลีบบัว ยืนอยู่บนฐานบัวแวงทรงกลมรองรับด้วยฐานสิงห์และฐานเขียง ยอ่ มุมไม้สบิ สอง นอกจากจะสร้างพระพุทธปฏมิ าองค์ใหญ่ขนาดเทา่ พระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนิ ีนาถ และนำไปประดิษฐานในพระเจดีย์พระศรีสุริโยทัยแล้ว (ดูรูปที่ ๓.๙๓) ยังสร้างพระพุทธปฏิมาเน้ือโลหะ ปดิ ทอง และรมดำ อีกอย่างละ ๓,๙๙๙ องค์ และเหรยี ญรูปไข่ เน้อื โลหะต่าง ๆ กัน อกี ๒๑๐,๓๙๖ องค์ (กองบญั ชาการทหารสูงสุด ๒๕๓๔, ๗๔) เพ่ือใหป้ ระชาชนผ้สู นใจ เชา่ ไปสกั การบูชา โดยนำรายได้ไปก่อต้งั กองทุนมูลนิธิสมเด็จพระสุริโยทัย เพ่ือนำดอกผลของกองทุนไปใช้ในการทำนุบำรุงรักษาพระเจดีย์ ศรีสรุ โิ ยทยั รปู ท่ี ๓.๙๓ พระพุทธสรุ ิโยทยั สริ กิ ิติทฆี ายมุ งคล ปนั้ โดย วิชยั สิทธิรตั น์ พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. 1991) สมั ฤทธิ์ สงู จากพระบาทถึงพระเกตุ ๑.๖๓ เมตร พระเจดยี ์ศรีสรุ ิโยทัย อำเภอพระนครศรอี ยธุ ยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพุทธปฏมิ ายืน ๔๐๙
หมวด ฌ. ปางห้ามพระแก่นจนั ทน์ ๙. พระพุทธปฏมิ ายนื ปางห้ามพระแกน่ จนั ทน์ “ห้ามพระแก่นจันทน์” เป็นชื่อเรียกปางของพระพุทธปฏิมายืน ยกพระหัตถ์ซ้ายประทานอภัย ห้อยพระหัตถ์ขวาขนานกับพระเพลา ดังท่ีกล่าวถึงใน โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ วัดป่าโมก จังหวัด อ่างทอง ในสมัยอยุธยาตอนปลาย พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเม่ือครั้งดำรงพระราช- อสิ ริยยศเป็นสมเด็จพระอนชุ าธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๒๗๐ (ค.ศ. 1727) ความว่า ขอพรพระพุทธหา้ ม แกน่ จนั ทร ์ ห้ามส่ิงสรรพอาธรรม์ ผอ่ งแผว้ (Griswold and Naฺ Nagara 1970, 195) พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ เป็นแบบท่ีสร้างข้ึนในช่วงท่ีคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ เจริญรุ่งเรืองอยู่ในรัฐกัมโพช และเป็นท่ีแพร่หลายในกรุงศรีอยุธยาตลอดจนรัตนโกสินทร์ แต่มีจำนวน นอ้ ยกวา่ แบบยืนยกพระหตั ถข์ วาประทานอภัยมาก ๙.๑ พระพทุ ธปฏมิ ายนื ปางหา้ มพระแกน่ จนั ทน์ สมยั อาณาจกั รกมั โพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมายืนปางห้ามพระแกน่ จนั ทน์ (รปู ที่ ๘.๔๘) จะเปน็ ๑ ใน ๗ องค์ ที่แตเ่ ดมิ ประดิษฐานในพระระเบียงวัดพระบรมธาตไุ ชยา อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสลกั จากศิลาทราย สีแดงท่ีได้จากเขานางฮี ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๖ กิโลเมตร (Boribal Buribhand and Girswold 1951, 15 - 17) โดยท่ี ๕ องค์ แสดงปางห้ามพระแกน่ จนั ทน์ และอีก ๒ องค์ แสดงปางห้ามญาติ ก็ตามที แต่จากพุทธลกั ษณะแล้วน่าจะไดร้ ับรปู แบบมาจากรัฐกมั โพช ทอี่ ยูต่ อนบนของอ่าวไทย อนั เหน็ ได้จากพระ เมาลเี ตยี้ พระรศั มีเกล้ียงรูปโอควำ่ มีใบโพธิ์ประดับหนา้ พระรัศมี ครองจีวรห่มดอง ขอบสบงด้านบนเวา้ ข้ึนตรงกลางรับกับปั้นเหน่งรูปประจำยาม ขอบสบง และหน้านางมีเส้นขนานเป็นกรอบ ชายจีวรพับทบ ซ้อนกันเป็นรูปแบบของท้องถ่ิน (ดูรูปท่ี ๕.๑๗๘) กำหนดอายุอยู่ในช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ครง่ึ แรกครสิ ต์ศตวรรษท่ี 14) รปู ที่ ๘.๔๘ พระสมณโคดมยืนพระหตั ์ซา้ ยประทานอภยั จากวัดพระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี ครึ่งหลงั พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (ครึ่งแรกครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14) ศลิ าทรายแดง ลงรักปิดทอง สูง ๑.๖๕ เมตร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา จงั หวดั สรุ าษฎร์ธานี พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
๙.๒ พระพทุ ธปฏิมายืน ปางหา้ มพระแกน่ จนั ทน์ สมยั อยุธยา ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามพระแก่นจันทน์ องค์สำคัญท่ีสร้างข้ึนในกรุงศรีอยุธยาน่าจะได้แก่ พระโลกนาถศาสดาจารย์ ในพระวิหารทศิ ตะวนั ออกมขุ หลงั วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (รปู ที่ ๘.๔๙) ดังท่ศี ิลาจารึกครั้งพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก ในพระวหิ ารพระโลกนาถ บนั ทึกไว้ว่า พระพุทธรูปยืนสูงย่ีสิบศอก ทรงพระนามว่าพระโลกนาถสาศดาจารย์ ปรักหัก พงั เชญิ มาแต่วดั พระศรสี รรเพชญ์กรงุ เกา่ ปฎิสงั ขรณเ์ สร็จแล้วเชญิ ประดษิ ฐาน ใน พระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง บรรจุพระบรมธาตุด้วย (ประชุมจารึกวัด พระเชตพุ น เล่ม ๑ ๒๔๗๒, ๓-๔) พระพุทธปฏิมาสูง ๒๐ ศอก (๑๐) เมตร ท่ีได้รับการกล่าวถึงในบันทึกสมัยอยุธยาได้แก่ พระติโลกนารถ ซ่ึงหนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า กล่าวว่า เม่ือสมเด็จพระนเรศวรทรงมีชัยชนะแก่ พระมหาอปุ ราชแลว้ (พ.ศ. ๒๑๓๕ / ค.ศ. 1592) จึงขยายพระนครให้กวา้ งข้ึน แล้ว จึงใหส้ ร้างพระพทุ ธปฎมิ ากร สูง ๒๐ ศอก พระองค์ ๑ สำเร็จแล้วก็ทรงบรจิ าค พระราชทรัพย์บำเพ็ญ พระราชกุศลฉลองพระพุทธปฎิมากรนั้นเป็นอันมาก ถวายพระนามว่าตโิ ลกนารถ (คำใหก้ ารชาวกรงุ เก่า ๒๔๕๗ , ๙๑) ถึงแม้ว่าพระพักตร์และพระหัตถ์ของพระโลกนาถศาสดาจารย์ จะได้รับการ “ปฎิสังขรณ์” ซึ่ง หมายถึงการแก้ไขให้ “ถูกต้องด้วยพระอรรถคถาบาลี” เช่น นิ้วพระหัตถ์ยาวเท่ากัน เมื่อครั้งพระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงอัญเชิญมาประดิษฐานในพระวิหารด้านทิศตะวันออกมุขหลัง วัดพระเชตุพนฯ แต่ลักษณะของชายจีวรด้านหน้าที่พาดเฉียงข้ามพระเพลาไปที่บั้นพระองค์ด้านซ้ายใต้ พระกัปประ (ข้อศอก) แสดงให้เห็นความพยายามท่ีจะเลียนแบบลักษณะธรรมชาติของชายจีวรที่ถูกรั้ง เม่อื ยกพระกรขนึ้ สะทอ้ นให้เห็นอิทธิพลจากทฤษฎีเหมือนจริงของศิลปะตะวันตก ซงึ่ เริม่ เขา้ มาแพรห่ ลาย ต้ังแต่ช่วงครึ่งหลังพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (คร่ึงแรกคริสต์ศตวรรษที่ 16) เป็นต้นมา จึงเป็นไปได้ว่า พระโลกนาถศาสดาจารย์เป็นองค์เดียวกันกับพระติโลกนารถ ท่ีสมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างขึ้นในช่วง กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ (ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 16) โดยเฉพาะท่ีท้งั สององค์สูง ๒๐ ศอกเทา่ กัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวถวายพระนามใหม่วา่ “พระพุทธโลกนาถราชมหาสมมตวิ งค์ องศอ์ นันตญาณสพั พัญญู สยมั ภูพทุ ธบพิตร” พระพทุ ธปฏมิ ายนื ๔๑๑
๓๔ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 640
Pages: