สว่ นพระพทุ ธกัมโพชปฏิมาพทุ ธลักษณะเหมือนทส่ี รา้ งข้นึ ในสมยั กัมโพชแตม่ ีความลำ่ สนั ขึ้น พระชงฆ์ เปน็ สนั คม (รูปท่ี ๕.๕๑) ตอ่ มาในช่วงครง่ึ แรกของพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครงึ่ หลงั ครสิ ต์ศตวรรษที่ 14) จงึ แยม้ พระโอษฐเ์ ลก็ นอ้ ย (รปู ที่ ๕.๕๒) รูปที่ ๕.๕๒ พระพุทธกมั โพชปฏิมากรจำลอง ครง่ึ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ครง่ึ หลงั คริสตศ์ ตวรรษท่ี 14) สมั ฤทธิ์ สูง ๑.๙๗ เซนตเิ มตร วัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร รูปที่ ๕.๕๑ พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลอง ไดจ้ ากวดั มหาธาตุ อำเภอสรรคบุรี จังหวดั ชัยนาท ครงึ่ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (คร่ึงหลงั คริสตศ์ ตวรรษท่ี 14) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตักกวา้ ง ๑.๒๐ เมตร สูง ๑.๕๐ เมตร พระระเบียงพระอโุ บสถ วดั เบญจมบพิตรดุสติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ๒๑๓
รูปท่ี ๕.๕๓ พระพุทธกมั โพชปฏมิ าจำลอง (๒) ช่วงเมอื งลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) ขดุ ได้ในเจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ในช่วงปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – ตน้ ๒๒ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16) นิยมสร้างพระพทุ ธปฏิมา ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ปลาย ๒๑ ท่ีมีพระเพลาแคบ เช่นองค์ที่ขุดได้ในเจดีย์พระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปที่ ๕.๕๓) (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 15 – กลาง 16) ความคมของพระชงฆ์หายไป และฐานเป็นฐานหน้ากระดานที่เว้าเข้าตรงกลาง เช่นองค์ท่ีขุดได้ในกรุลึก สัมฤทธ์ิ สูง ๔๔ เซนติเมตร สุดใต้ฐานพระมหาธาตเุ จดยี ์ (ยอดทรงพุ่มขา้ วบณิ ฑ์) วดั มหาธาตุ อำเภอเมอื งเก่า จงั หวดั สโุ ขทยั (รปู ท่ี พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร ๕.๕๔) ที่ฐานมีจารึกอักษรไทยภาษาไทยว่า “ตนนิกํพระเจาแมเอินไวในบรพารามนิ” (ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔ ๒๕๑๓, ๒๖๗ – ๒๖๘) จึงเปน็ ไปได้วา่ “บรพาราม” ในจารกึ หลกั น้ไี ดแ้ ก่ พระมหาธาตสุ ุโขทัยใน ปัจจุบัน และหากเป็นเช่นน้ันจริง พระมหาธาตุเจดีย์ อาจจะสร้างขึ้นในสมัยที่สุโขทัยเป็นเมืองลูกหลวง ของอยุธยา (๓) สมยั วงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองท่ีสร้างข้ึนในช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ – กลาง ๒๓ (คริสต์ ศตวรรษท่ี 16 – 17) มักจะมพี ระเพลากว้าง ดงั เชน่ พระอดีตพุทธะ ๗ พระองค์ ในพระอุโบสถวดั ชุมพล- นิกายาราม อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (รูปท่ี ๕.๕๕) ซ่ึงสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงสถาปนาข้ึนเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๗๓ (ค.ศ. 1630) (ศิลปากร ๒๕๒๕ ก, ๘๖ – ๘๗) รูปที่ ๕.๕๔ พระพุทธกัมโพชปฏิมากรจำลอง รูปที่ ๕.๕๕ พระอดตี พุทธะ ๗ พระองค์ ขุดได้ในกรพุ ระมหาธาตุ พระประธานวัดชมุ พลนกิ ายาราม วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย อำเภอบางปะอิน จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – ปลาย ๒๑ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๗๓ (ค.ศ. 1630) (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 – กลาง 16) สมั ฤทธิ์ พระอโุ บสถวัดชมุ พลนิกายาราม สัมฤทธิ์ สงู ๘๓ เซนติเมตร พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ สวรรควรนายก อำเภอบางปะอนิ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา จังหวดั สุโขทัย ๒๑๔ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย
๕.๓ พระพทุ ธกมั โพชปฏิมา สมัยรัตนโกสินทร ์ เมื่อเจ้าอาวาสวัดชุมพรรังสรรค์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดชุมพร สร้างพระประธานสำหรับพระ อุโบสถข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ (ค.ศ. 1890) ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั พระองค์ โปรดท่ีจะจำลองพระพุทธปฏิมาท่ีมีลักษณะคล้ายพระกัมโพชปฏิมาจำลอง (รูปท่ี ๕.๕๖) ถึงแม้ว่าพระ เศียรของพระพุทธปฏิมาองค์น้ีจะมิได้เลียนแบบจากพระพุทธกัมโพชปฏิมาจำลองจากพระพุทธรูปอยุธยา ชว่ งปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 18) ก็ตาม แต่พระวรกายที่ยดื ตรงต้ังฉากกับพระเพลา และพระรัศมีเปลวสูง แสดงให้เห็นพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาในหมวดพระพุทธกัมโพชปฏิมา ไดอ้ ยา่ งชดั เจน อนึ่ง พระประธานวัดชุมพรรังสรรค์องค์นี้ ยังมีพระนามว่า “พระรอดสงคราม” เพราะว่าในช่วง สงครามโลกครั้งท่ี ๒ ภัยจากการท้ิงระเบิดทำให้พระอุโบสถโดนระเบิด แต่ด้วยพุทธานุภาพขององค์ พระพทุ ธปฏมิ ากร ซง่ึ ประดษิ ฐานอยู่ภายในพระอุโบสถจึงรอดพ้นจากภยั ทางอากาศ ส่วนพระพุทธปฏิมา ที่วัดบ้านปาง อำเภอล้ี จังหวัดลำพูน (รูปที่ ๕.๕๗) ซ่ึงสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ (ค.ศ. 1994) นั้น ผู้สร้างจงใจที่จะจำลองพระพุทธรูปสมัยอู่ทอง ตามท่ีได้รับทราบมาจากตำรา วชิ าประวตั ิศาสตรศ์ ลิ ปอ์ ย่างเคร่งครัด การจำลองพระพุทธรูปสมยั อู่ทอง หรือพระพุทธกมั โพชปฏิมาขนึ้ ท่ี อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน แสดงให้เหน็ ว่า ใช่แต่พระเจ้าตโิ ลกราชเม่ือ ๕๑๑ ปกี ่อนหนา้ น้ที โ่ี ปรดให้จำลอง พระพทุ ธรปู “แบบลวปุระ” (ดรู ปู ที่ ๕.๕๙) ข้นึ แตช่ าวอำเภอลี้ในปจั จุบันกย็ ังเลอ่ื มใสศรัทธาในพุทธลักษณะ ของพระพทุ ธกมั โพชปฏมิ าจวบจนทุกวนั น ้ี รูปที่ ๕.๕๖ พระพทุ ธปฏมิ ากร สร้างปี พ.ศ. ๒๔๓๓ สัมฤทธิ์ หนา้ ตกั กว้าง ๑.๒๕ เมตร สงู ๑.๘๔ เมตร วัดชุมพรรงั สรรค์ อำเภอเมือง จงั หวัดชุมพร รูปท่ี ๕.๕๗ พระพทุ ธรปู แบบอู่ทอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๓๗ (ค.ศ. 1994) ก่ออฐิ ถือปูน วดั บา้ นปาง อำเภอล้ี จงั หวัดลำพนู พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ๒๑๕
๒๑๖ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
๕.๔ พระพุทธกัมโพชปฏิมา สมัยล้านนา ช่วงอาณาจกั รลา้ นนา - ยุคร่งุ เรอื ง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) ชนิ กาลมาลปี กรณ์ กลา่ วถงึ พระพทุ ธกมั โพชปฏิมา วา่ ในปี พ.ศ. ๒๐๒๖ (ค.ศ. 1483) พระเจา้ ติโลกราช โปรดให้หล่อพระพุทธรูปสมั ฤทธ์อิ งคใ์ หญ่ พระพุทธรปู องค์น้ีเชอ่ื กันวา่ น่าจะได้แก่ “พระพุทธรปู แบบสมัย อู่ทอง เรยี กกนั วา่ พระเจ้าแขง้ คม” (รัตนปญั ญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๔๘ (๒)) ให้มีลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแบบลวปุระ หล่อที่วัดป่าตาลมหาวิหาร... คร้ัน หล่อเสร็จแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประมาณ ๕๐๐ องค์ กับพระพุทธรปู แกว้ ทอง และเงนิ จากหอพระธาตุสว่ นพระองค์ มา บรรจุไว้ในพระเศียรพระพุทธรูปสมั ฤทธอ์ิ งค์ใหญ่ (เร่ืองเดียวกนั , ๑๑๙) ในปี พ.ศ. ๒๓๔๒ (ค.ศ. 1799) พระเจ้ากาวิละโปรดใหย้ า้ ยพระพุทธรูปองค์น้ี (รูปท่ี ๕.๕๘) จากวดั ปา่ ตาล ซึ่งไดก้ ลายเป็นวดั รา้ งไปประดิษฐานไวท้ ว่ี ดั ศรเี กิด กลางนครเชยี งใหม่ (ประชุมจารกึ ลา้ นนา เลม่ ๒ ๒๕๔๑, ๑๗๓) พระพุทธกมั โพชปฏมิ าจำลองเป็นท่นี ยิ มในล้านนา ดังเหน็ ไดจ้ ากองค์ที่มจี ารกึ วา่ ชา่ งหล่อบ้านสบลี เปน็ ผู้สร้าง ในปี พ.ศ. ๒๐๒๒ (ค.ศ. 1479) ในสมยั พญาติโลกราช (รปู ท่ี ๕.๕๙) (ศกั ดชิ์ ัย ๒๕๓๒, ๓๒) และอีกองค์หน่ึงท่ีพญาแก้วโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานในปราสาทหอคำในอุโบสถวัดมหาโพธาราม (วัดเจด็ ยอด) ในปี พ.ศ. ๒๐๖๖ (ค.ศ. 1523) (รัตนปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๔๘) รูปที่ ๕.๕๘ พระพทุ ธกมั โพชปฏมิ าจำลอง รูปท่ี ๕.๕๙ พระพุทธกมั โพชปฏมิ าจำลอง สร้างปี พ.ศ. ๒๐๒๒ (ค.ศ. 1479) สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๓๒ (ค.ศ. 1489) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กวา้ ง ๒.๓๙ เมตร สมั ฤทธิ์ สูง ๑.๓๐ เมตร สงู ๒.๘๕ เมตร พิพิธภัณฑ์วดั พระธาตหุ รภิ ญุ ไชย วัดศรีเกดิ อำเภอเมืองฯ จงั หวัดเชียงใหม่ อำเภอเมอื งฯ จังหวดั ลำพูน พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ๒๑๗
๒๑๘ พระพุทธปฏิมา อตั ลักษณ์พทุ ธศิลป์ไทย
รูปที่ ๕.๖๐ พระพทุ ธชนิ ราช ๖. พระพทุ ธชนิ ราช ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 ) สัมฤทธ์ิ หน้าตกั กวา้ ง ๒.๘๕ เมตร พระพุทธชินราช มีจุดเริ่มต้นในประวัติศาสตร์ท่ีแตกต่างจากพระพุทธปฏิมาสำคัญองค์อื่น ๆ เช่น สงู ๓.๕๐ เมตร พระพุทธมหามณีรตั นปฏมิ ากร พระพทุ ธสิหิงค์ และพระบางเจ้า ซึง่ แตล่ ะองค์มพี ระประวัติที่เขยี นข้ึนใน วดั พระศรีรตั นมหาธาตุ ช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – ๒๑ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 14 – กลาง 16) แตป่ ระวตั ขิ องพระพทุ ธชินราช อำเภอเมืองฯ จังหวดั พิษณโุ ลก เริม่ ปรากฏขึ้นในช่วงตน้ พุทธศตวรรษที่ ๒๕ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 19) สืบเน่อื งมาจากพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั (พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๔๑๑ / ค.ศ. 1851 – 1868) เม่ือครัง้ ยังทรงผนวชอยู่ และ เสดจ็ ประพาสพิษณุโลกในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ (ค.ศ. 1833) ทรงมีความเลอื่ มใสในความงามของพระพุทธชินราช ที่ประดษิ ฐานในวิหารทศิ ตะวนั ตก วัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ พษิ ณุโลก และในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) กไ็ ดท้ รงพระราชนพิ นธ์ ตำนานพระชินราช พระชนิ ศรี พระศรศี าสดา ซึง่ เน้อื หาแบง่ ไดเ้ ป็น ๒ ตอน ตอน แรกกล่าวถึงประวัติการหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา โดยพระเจ้าศรีธรรม- ไตรปฎิ ก ผู้ปกครองเมืองเชียงแสน ซึ่งเปน็ ผ้สู รา้ งเมืองพษิ ณุโลก โดยท่ีพระองคไ์ ดท้ รงส่งพระราชสาสน์ ไปยงั พระเจ้ากรงุ สยาม ณ เมืองศรสี ัชนาลัยสวรรคโลก ขอช่างพราหมณม์ าชว่ ยป้นั ห่นุ พระพุทธรปู เพราะเวลานนั้ มคี นเล่าลอื สรรเสรญิ ชา่ งเมอื งศรีสชั นาลัยสวรรคโลกมาก ว่าทำ พระพุทธรูปได้งามๆ ดีๆ... ถ้าจะทำพระพุทธรูปข้ึนแต่โดยลำพังฝีมือลาว ชาวเมืองเชียงแสน กลัวเกลือกจะไม่งามดีสู้พระพุทธรูปเมืองเชียงแสนได้ (จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ๒๕๒๔, ๘๘) ประวัติการสร้างพระพุทธรูปท้ัง ๓ องค์นี้ทรงเรียบเรียงข้ึนใหม่จาก พงศาวดารเหนือ และทรง เพิ่มเติมเรื่องการหล่อ “พระเหลือ” ซ่ึงไม่มีใน พงศาวดารเหนือ ท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า- นภาลัย เมือ่ ครั้งยงั เปน็ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล มีรับสงั่ ใหพ้ ระวิเชยี รปรีชา (นอ้ ย) เปน็ ผู้รวบรวม พงศาวดารฉบับน้ีขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๐ นอกจากน้ัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรง คำนวณวันเวลาท่ีระบุไว้ในตำนานเล่มน้ันว่า พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาหล่อในปี พ.ศ. ๑๔๙๘ (ค.ศ. 955) และพระพทุ ธชินราชหล่อขึน้ ในปี ๑๕๐๐ (ค.ศ. 957) “หย่อนอย่เู จด็ วนั ” (เรือ่ งเดยี วกนั , ๙๐) ส่วนตอนหลังทรงกล่าวโดยละเอียดถึงการเสด็จพระราชดำเนินของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัย อยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ ซ่ึงทรงได้ข้อมูลมาจาก พระสยามราชพงศาวดาร สันนิษฐานว่าน่าจะได้แก่ พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พระราชพงศาวดาร กรุงสยาม ๒๕๐๗) ซึ่งชำระข้นึ ใหม่โดยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั และพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ ทมี่ ีเหตุการณ์เกีย่ วกับพระพุทธชินราชสรุปได้ดงั ตอ่ ไปน ี้ - พ.ศ. ๑๙๒๗ (ค.ศ. 1384) สมเดจ็ พระราเมศวร เสดจ็ ขนึ้ ไปตเี มอื งเชียงใหม่ และเสดจ็ กกลับทาง พษิ ณุโลก ทรงเปลอ้ื งเคร่ืองต้นถวายเปน็ สักการะพระพทุ ธชินราช พระพทุ ธชินสหี ์ - พ.ศ. ๒๑๐๗ (ค.ศ. 1564) เม่อื สมเด็จพระนเรศวร เสดจ็ กลับจากไปตเี มอื งหงสาวดี จงึ เปล้ือง เคร่ืองทรงออกบชู าพระพทุ ธชนิ ราช พระพทุ ธชินสหี ์ - พ.ศ. ๒๑๓๔ (ค.ศ. 1591) สมเดจ็ พระเอกาทศรฐ โปรดใหเ้ อาทองนพคุณเคร่อื งต้นมาแผ่เปน็ ทองประพาศรี (ทองคำเปลว) แลว้ เสดจ็ ไปปดิ องคพ์ ระพุทธชินราช พระพุทธชนิ สหี ์ ดว้ ยพระหตั ถ์ - พ.ศ. ๒๒๐๓ (ค.ศ. 1660) สมเดจ็ พระนารายณ์ เสด็จกลับจากตเี มืองเชียงใหม่ แวะนมัสการ พระพทุ ธชินราช พระพุทธชินสหี ์ อีก ๒ ปตี อ่ มาจงึ เสดจ็ ไปนมสั การอกี คร้ังหน่งึ - พ.ศ. ๒๒๔๓ (ค.ศ. 1700) สมเด็จพระสรรเพชญท์ ี่ ๘ หรือสมเดจ็ พระเจา้ เสอื เสด็จไปนมสั การ พระพทุ ธชินราช เม่อื ครง้ั เสด็จไปสรา้ งวดั โพธิ์ประทบั ช้าง ทีพ่ จิ ิตร - พ.ศ. ๒๒๘๒ (ค.ศ. 1739) สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ โปรดให้สรา้ งบานประตูมกุ คู่หน่ึง ถวายพระพุทธชินราช พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธริ าบ ๒๑๙
๒๒๐ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
รปู ท่ี ๕.๖๑ พระพุทธชนิ สหี ์ - พ.ศ. ๒๓๑๓ (ค.ศ. 1770) สมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบรุ ี เมื่อเสดจ็ ไปปราบเจ้าพระฝางท่สี วางคบุรี ตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ เม่ือถึงพิษณุโลก เสดจ็ ไปนมสั การพระพทุ ธชินราช พระพุทธชนิ สหี ์ และพระศรศี าสดา (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 17 ) และทรงเปลือ้ งพระภูษาบชู าพระพุทธชินราช สมั ฤทธิ์ หน้าตักกวา้ ง ๒.๕๘ เซนตเิ มตร พระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวิหาร สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก และสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ - กรุงเทพมหานคร มหาสุรสิงหนาท เม่ือครั้งรับราชการในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่างก็เสด็จไปนมัสการพระ พทุ ธชินราช พระพุทธชินสหี ์ และพระศรศี าสดา ด้วยกนั ทุกพระองค ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์แรกที่ เสด็จไปนมัสการพระพุทธชินราช เม่ือคร้ังทรงดำรงพระสมณศักดิ์เป็นพระวชิรญาณมหาเถระในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ (ค.ศ. 1833) (ปวเรศวริยาลงกรณ์ ร.ศ. ๑๑๖, ๓๕๕๔) และเมือ่ ครัง้ ข้นึ ครองราชยสมบัติแล้ว กเ็ สด็จพระราชดำเนนิ ไปสมโภชพระพุทธชนิ ราชอีกคร้ังหน่ึงในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) (ทพิ ากรวงศ์ ๒๕๔๗, ๓๐๐) ในครั้งน้ันได้ทรงพาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะท่ีทรงผนวชเป็น สามเณรไปด้วย (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๕๑๗, ๔๒) จึงเท่ากับการสร้างค่านิยมในความงามขององค์ พระพุทธชินราชพระราชทานแก่พระราชโอรสด้วย ดังที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ช่ืนชมพระพุทธชินราช และพระพทุ ธชนิ สีหว์ ่า พระพุทธชินราช (รูปท่ี ๕.๖๐) พระพุทธชินศรี (รูปที่ ๕.๖๑) สองพระองค์น้ัน งามแหลมแกต่ ามากกวา่ พระพทุ ธรูปใหญน่ ้อยบรรดามีในแผ่นดนิ สยาม ทัง้ ปักษ์ใต้ ฝ่ายเหนอื และตลอดการนานมาถงึ ๙๐๐ ปี มผี ู้เลยี นแบบปน้ั เอาอยา่ งไปมากกห็ ลาย ตำบล จะมพี ระพทุ ธรปู ท่ีคนเปนอนั มากดเู ห็นวา่ เป็นดเี ปน็ งามกวา่ พระพทุ ธชินราช และพระพทุ ธชินศรสี ององค์นี้ไปก็ไมม่ ี (จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ๒๕๒๔, ๙๖) ดังน้ันองค์ความรู้เกี่ยวกับการหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา รวมท้ัง รายพระนามของพระมหากษัตริย์ทั้งในสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี ท่ีเสด็จไปนมัสการพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์นี้ จึงมีต้นตอที่พระราชนิพนธ์ตำนานพระชินราช พระชินศรี และพระศรีศาสดา ในพระบาท สมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ต่อมาสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพได้ทรงแก้ไขอายุเวลาของการหล่อพระพุทธรูปท้ัง ๓ องค์น้ีเป็นสมัยพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย) โดยประทานเหตุผลว่า “พระเจ้าแผ่นดินซ่ึงปรากฏ พระเกยี รตใิ นเร่ืองพระไตรปฎิ กนน้ั มแี ต่พระองคเ์ ดียว คือพระมหาธรรมราชาลไิ ทย... พระมหาธรรมราชา น้ีเองที่พงศาวดารเหนือเรียกว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก” และทรงกำหนดอายุเวลาของพระพุทธรูป ๓ องคน์ ขี้ น้ึ ใหม่ คอื “เมอ่ื ราว พ.ศ. ๑๙๐๐” (ค.ศ. 1357) (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๖๐) ดว้ ยเหตุผลข้างต้น พระพุทธชนิ ราช พระพทุ ธชนิ สหี ์ และพระศรีศาสดา จงึ ไดร้ ับการนิยามให้เปน็ พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย และเป็นตัวอย่างของพระพุทธรูปแบบพระพุทธชินราช ซ่ึงเป็นตัวอย่าง ๑ ใน ๕ แบบ ของพระพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัย ซ่ึงหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ และอเล็กซานเดอร์ บี. กริสโวลด์ (Alexander B. Griswold) ได้จำแนกไว้ในหนังสือ ศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๕ (ค.ศ. 1952) (บรบิ าลบรุ ภี ัณฑ์ และ เอ. บ.ี กริสโวลด์ ๒๔๙๕, ๓๒ – ๓๕) อย่างไรก็ดี ตามข้อสันนิษฐานในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ เรอื่ ง “การกำหนดอาายุเวลาและการจำลองพระพทุ ธชินราช วัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ จังหวดั พษิ ณโุ ลก” ของพชิ ญา สุ่มจินดา (พชิ ญา ๒๕๔๘) ซ่งึ ปัจจุบนั เปน็ อาจารย์ ประจำคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ชี้ให้เห็นวิธีการอันเป็นที่มาขององค์ความรู้นั้น ไม่สอดคล้องกับระเบียบวิธีวิจัยทางวิชาประวัติศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ปัจจุบัน โดยเฉพาะ การกำหนดอายุเวลาโดยการใช้หลักฐานประเภทตำนานไปเช่ือมโยงกับหลักฐานทางจารึก และนำเอาไป พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ๒๒๑
กำหนดอายุเวลาของศิลปะโบราณวัตถุอีกต่อหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วการศึกษาพระพุทธรูปเชิงงานศิลปะ แบบตะวันตก ก็ไม่สอดคล้องกับสถานภาพของพระพุทธรูปซ่ึงเป็นรูปจำลอง หรือพระพุทธปฏิมาที่มี การเลยี นแบบกนั ขา้ มภูมภิ าคและกาลเวลา พิชญาได้กำหนดอายุเวลาของพระพุทธชินราชขึ้นใหม่จากพุทธลักษณะขององค์พระพุทธรูป จาก รปู แบบของเรอื นแกว้ โดยเทียบเคียงกบั ลวดลายบนซุ้มเรอื นแกว้ ที่วดั พระบรมธาตุ จังหวดั นครศรีธรรมราช อายุเวลาของลวดลายดังกล่าวอาจกำหนดได้ในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย และจากสถาปัตยกรรมของ พระวิหาร อันเป็นท่ปี ระดิษฐานพระพุทธชินราช รวมท้งั อายุเวลาของสง่ิ ก่อสรา้ งในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก โดยได้กล่าวถึง การสร้างพระวิหารหลวงทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระอัฏฐารส (พระศรสี รรเพชญจำลอง) ว่าสร้างข้นึ กอ่ นเปน็ ลำดับแรก จากน้นั จึงสรา้ งองค์ปรางค์พระมหาธาตุ แลว้ จงึ ตามดว้ ยวหิ ารทศิ ท้งั ๓ ข้นึ เพื่อประดิษฐาน พระพทุ ธชินราช พระพทุ ธชนิ ศรี และพระศรีศาสดา ในลำดับ ต่อมา (แผนผงั ท่ี ๑) ซ่ึงวธิ กี ารสรา้ งพระวหิ ารหลวงเปน็ ประธานหลกั เสยี ก่อน แลว้ จึงวางผังอาคารองค์ ประกอบอน่ื เพิม่ ขึ้นเชน่ น้ี ดงั ท่ีปรากฏกรณีวัดมหาธาตุ สโุ ขทัย หรือท่อี นื่ ๆ ในชว่ งระยะเวลาเดียวกัน คอื ในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688) แผนผังท่ี ๑ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมืองฯ จังหวดั พษิ ณุโลก เน่ืองจากพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธปฏิมาองค์สำคัญซึ่งไม่ปรากฎหลักฐานเก่ียวกับการสร้างที่ จารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นอกเสียจากหลักฐานประเภทตำนานใน พงศาวดารเหนือ ท่ีกล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นผู้สร้าง ซ่ึงภายหลังต่อมา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมา เช่ือมโยงกับบุคคลในประวัติศาสตร์ คือพระยาลิไทย ในปี พ.ศ. ๑๙๐๐ องค์ความรู้ที่รับทราบกันมาจน ปัจจุบันจึงเข้าใจว่า พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สร้างข้ึนในสมัยพระยาลิไทย หรือสมัยสุโขทัย น่ันเอง นอกจากใช้วิธีวิจัยทางประวัติศาสตร์ศิลปะแล้ว พิชญายังชี้ให้เห็นว่าหากพระพุทธชินราชมีความ สำคัญในทางประวัติศาสตร์มากถึงเพียงนี้แล้ว ก็น่าจะมีพระพุทธชินราชจำลองมากมายท่ีสร้างข้ึนใน อดตี กาล แตก่ ลับปรากฏว่าเพ่ิงเร่ิมมีการจำลองในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั เท่านั้นเอง (พิชญา ๒๕๔๘) ๒๒๒ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย
รูปที่ ๕.๖๒ พระศรีศาสดา ๖.๑ พระพทุ ธชินราช สมยั อยธุ ยา พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ (ค.ศ. 1656 – 1688) สมั ฤทธ์ิ หน้าตกั กวา้ ง ๓ เมตร ชว่ งวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) วิหารพระศรีศาสดา วดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร การค้นคว้าของพิชญา สุ่มจินดา แสดงให้เห็นว่า พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระ ศรีศาสดา (รปู ท่ี ๕.๖๒) น่าจะหลอ่ ขน้ึ ในสมยั อยุธยา (พชิ ญา ๒๕๔๘, ๑๓๙ – ๑๔๙) เพราะวา่ พระพุทธชนิ ราช (ดูรูปที่ ๕.๖๐) เปน็ หน่งึ ในพระพทุ ธปฏิมาสามองค์ท่สี รา้ งขึน้ เพอื่ ประดิษฐานในวหิ ารทิศ ล้อมองคป์ รางค์ วัดพระศรรี ัตนมหาธาตุ พษิ ณุโลก (ดแู ผนผังท่ี ๑) โดยทีม่ ีวหิ ารด้านทศิ ตะวนั ออกประดิษฐานพระอัฏฐารส คอื พระพุทธรูปยนื ประทานอภัยด้วยพระหตั ถข์ วา (ดรู ปู ท่ี ๘.๓๓) วหิ ารด้านทศิ ตะวนั ออก หรอื วิหารหลวงน้ี อาจจะสรา้ งขนึ้ ในปลายรชั สมัยสมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.๒๑๗๒ – ๒๑๙๙ / ค.ศ. 1629 – 1656) โดยจำลองพระศรีสรรเพชญและพระวิหารของพระองค์ที่กรุงศรีอยุธยา (เรื่องเดียวกัน, ๑๔๐ – ๑๔๒) หลังจากน้ันจึงสร้างปรางค์ประธานและระเบียงคดล้อมรอบ ต่อมาจึงสร้างวิหารทิศเพ่ือประดิษฐาน พระพุทธชินราช ในวิหารด้านทิศตะวันตก พระพุทธชนิ สหี ์ (ดรู ูปท่ี ๕.๖๑) ในวิหารด้านทิศเหนือ และพระ ศรีศาสดา (ดูรปู ท่ี ๕.๖๒) ในวหิ ารดา้ นทศิ ใต้ แทรกเขา้ ไปกลางระเบียงคดของแต่ละดา้ นในรัชสมยั ของ สมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688) พระพุทธปฏิมาทั้งสามองค์นี้มี พุทธลักษณะทีพ่ อ้ งกนั คือมนี ิว้ พระหตั ถ์ทย่ี าวเท่ากนั นอกจากพระพุทธปฏิมาสามองค์ท่ีกล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีพระพุทธปฏิมาอีกสององค์ที่วัด ราชบรู ณะ อำเภอเมอื งฯ จังหวดั พิษณโุ ลก องคห์ นงึ่ เป็นพระประธานในพระอุโบสถ (รูปท่ี ๕.๖๓) และ อีกองค์หน่ึงเป็นพระประธานในพระวิหาร ซ่ึงท้ังสององค์นี้มีน้ิวพระหัตถ์ยาวเท่ากัน และมีพุทธลักษณะ ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปสามองค์ข้างต้นทุกประการ แม้กระท่ังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือทอดพระเนตรเห็นยังมีพระราชหัตถเลขาถึง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงษ์วโรประการ ลงวันท่ี ๑๗ ตุลาคม รตั นโกสนิ ทรศก ๑๒๐ วา่ “พระประธานเลา่ กต็ งั้ ใจจะเอาอย่างพระชนิ ราชด้วยกัน ทง้ั นนั้ ” (จลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ๒๕๐๘, ๒๘ - ๒๙) รปู ที่ ๕.๖๓ พระสมณโคดม พุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 17 – กลาง 18) สัมฤทธ์ิ พระอุโบสถวดั ราชบูรณะ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั พษิ ณุโลก พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธริ าบ ๒๒๓
๖.๒ พระพุทธชนิ ราชจำลอง สมยั รัตนโกสนิ ทร ์ รปู ท่ี ๕.๖๗ พระพทุ ธชินราชจำลอง สร้างปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) ในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ (ค.ศ. 1857) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้พระวรวงศเ์ ธอ สัมฤทธ์ิ หน้าตักกว้าง ๒.๘๕ เมตร พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ หล่อพระพุทธชินสีห์องค์น้อยขึ้น (รูปที่ ๕.๖๔) หกปีต่อมา จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลอ่ พระศรีศาสดาองค์น้อยขนึ้ อีกองค์หนง่ึ (รปู ที่ ๕.๖๕) และหลังจากท่ีพระองคเ์ สด็จพระราชดำเนิน สงู ๓.๕๐ เมตร ไปนมัสการพระพทุ ธชินราชท่ีพิษณโุ ลก ในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) ซ่งึ เปน็ ปีเดยี วกนั ท่ที รงพระราชนพิ นธ์ พระอุโบสถวดั เบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม ตำนานพระชินราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธชินราชองค์น้อยขึ้นอีกเป็นองค์ที่ ๓ (รูปที่ ๕.๖๖) พระพุทธรูปท้ังสามองค์นี้ถูกนำมาประดิษฐานด้วยกันท่ีวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นวัด กรงุ เทพมหานคร ประจำรชั กาลของพระองค์ สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๐๘ (ค.ศ. 1865) และเปน็ ครง้ั แรกท่มี ีการจำลอง พระพุทธปฏิมาทัง้ สามองค์นี้ (เรอื่ งเดยี วกนั , 159 – 162) ต่อมาเม่ือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามข้ึนใน ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1899) มีพระราชดำรวิ ่า ได้พยายามหาพระพุทธรูปซึ่งจะเป็นพระประธานท้ังในกรุงแลหัวเมือง ตลอด กระท่ังถึงเมืองเชียงใหม่... ก็ไม่เปนที่พอใจ จึงคิดเห็นว่าจะหาพระพุทธรูปองค์ ใดให้งามเสมอพระพุทธชนิ ราชนั้นไมม่ ีแลว้ (จุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ๒๕๑๗, ๔๒) ครั้นจะเชิญพระพุทธชินราชลงมา ก็จะไม่เป็นที่พอใจของชาวพิษณุโลก จึงโปรดเกล้าฯ ให้จำลอง ขึ้นใหม่ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองถึงเมืองพิษณุโลก โดยมีหลวงประสิทธิปฏิมา “ซ่ึงเป็น เทอื กเถาเหล่ากอชา่ งปนั้ ชา่ งหล่อพระพทุ ธรูปมา ๓ ช่วั คน” เปน็ ผ้ถู ่ายอยา่ งและปั้นห่นุ และเมอ่ื ประดษิ ฐาน พระพุทธชินราชจำลอง (รูปท่ี ๕.๖๗) ในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) โปรดเกล้าฯ เลื่อนยศหลวงประสิทธิปฏิมา ผู้ “มีความสามารถอาจจะสร้าง พระพุทธชนิ ราช ให้งามดีไดถ้ งึ เพยี งน”ี้ เปน็ พระประสทิ ธปิ ฏมิ า จางวางชา่ งหล่อ (เรอ่ื งเดียวกนั , ๔๔ – ๕๒) รูปท่ี ๕.๖๔ พระพุทธชินสหี ์จำลอง รูปที่ ๕.๖๕ พระศรีศาสดาจำลอง รปู ที่ ๕.๖๖ พระพทุ ธชนิ ราชจำลอง สร้างปี พ.ศ. ๒๔๐๐ (ค.ศ. 1857) สร้างปี พ.ศ. ๒๔๐๖ (ค.ศ. 1863) สร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) สมั ฤทธิ์ สัมฤทธิ์ สมั ฤทธิ์ พระอโุ บสถวัดราชประดิษฐสถติ มหาสมี าราม พระอุโบสถวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พระอุโบสถวดั ราชประดษิ ฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานคร กรงุ เทพมหานคร ๒๒๔ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิราบ ๒๒๕
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ (ค.ศ. 1907) เม่ือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวคร้ังยังดำรง พระราชอสิ ริยยศ เปน็ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกฏุ ราชกุมาร ไดเ้ สด็จประพาสเมืองพษิ ณุโลก และเสด็จฯ ไปนมสั การพระพุทธชินราช ทรงพระราชนพิ นธไ์ ด้วา่ ตัง้ แตข่ ้าพเจา้ เหน็ พระพุทธรปู มานกั แล้ว ไมไ่ ด้เคยรสู้ ึกว่าดูปลมื้ ใจจำเรญิ ตาเทา่ พระพุทธชินราชเลย ท่ีตั้งอยู่น้ันก็เหมาะนักหนา... ยิ่งพิศไปยิ่งรู้สึกยินดีว่าไม่ เชิญลงมาเสียจากที่นั้น ถ้าพระพุทธชินราชยังคงอยู่ที่พิศณุโลกตราบใด เมือง พิศณุโลกจะเปนเมืองท่ีควรไปเท่ียวอยู่ตราบน้ัน ถึงในเมืองพิศณุโลกจะไม่มีชิ้น อะไรเหลืออยู่อีกเลย ขอให้มีแต่พระพุทธชินราชเหลืออยู่แล้ว ยังคงจะอวดได้ อย่เู สมอวา่ มีของควรดคู วรชมอยา่ งยงิ่ อยา่ งหนึง่ ในเมืองเหนือ ฤาจะว่าในเมือง ไทยทงั้ หมดก็ได้ (มหาวชริ าวุธมกฏุ ราชกุมาร ร.ศ. ๑๒๖, ๒๓๘ – ๒๓๙) แม้แต่ชาวต่างประเทศท่ีสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพาไปชม “พากันออกปากว่ายัง ไม่เคยเห็นของโบราณที่แห่งอ่ืนในเมืองไทยจับใจ Impressive เหมือนพระชินราช” ส่วนพระองค์ท่านเองนั้น เมื่อทอดพระเนตรคร้งั แรก “ขนลุก” เพราะความรู้สึกจับใจ (สาสน์ สมเดจ็ เลม่ ๑๐ ๒๕๐๔, ๘๖ – ๘๗) ต่อมา เม่ือสมเดจ็ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพทรงนิพนธ์ ตำนานพทุ ธเจดีย์สยาม ขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ (ค.ศ. 1926) ทรงจำแนกพระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ ข้ึนเป็นแบบหน่ึงของพระพุทธปฏิมา สมยั สุโขทยั ที่พระมหาธรรมราชาลิไทสร้างข้นึ คิดสร้างพระพุทธรูป เพื่อจะให้วิเศษสุดท่ีจะทำได้ จึงเกิดแบบพระพุทธรูปสมัย สุโขทยั เชน่ พระพุทธชินราชและพระพทุ ธชนิ สหี ์ อันดวงพกั ตร์เปน็ ทำนองผลมตมู คลา้ ยแบบอนิ เดยี แตง่ ามย่งิ นัก และแก้พุทธลกั ษณะท่ีแห่งอื่น เช่นทำปลายน้ิว พระหัตถ์ยาวเสมอกันทั้งสี่นิ้วเป็นต้น แบบพระพุทธรูปอย่างที่ทำกันแพร่หลาย ขึ้นไปจนข้างเหนือและลงมาข้างใต้ แต่ท่ีทำได้งามเหมือนองค์พระพุทธรูปท่ีเป็นต้น ตำรามีนอ้ ย (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๖๙, ๑๑๐ – ๑๑๑) พระพุทธชินราชจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของศิลปะสมัยสุโขทัย ที่มีความงามอย่างหาท่ี เปรียบมิได้ เป็นพระพุทธปฏิมาท่ีมีความงามท่ีสุดในประเทศไทยก็ว่าได้ และเม่ือทางด้านประวัติศาสตร์ ก็ได้รับความเช่ือมโยงกับพระมหากษัตริย์ท่ีโดดเด่นของกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จงึ ทำให้พระพทุ ธชินราชกลายเป็นองค์ประกอบทีส่ ำคัญของประวัติศาสตรช์ าติไปแลว้ การจำลองพระพุทธชินราช เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (ดูรูปท่ี ๕.๖๗) มีผลต่อการสร้างค่านิยมในปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่นเมื่อ เจา้ อาวาสวัดสตั ตนารถปริวตั ร อำเภอเมอื งฯ จังหวัดราชบุรี ไดส้ รา้ งพระอุโบสถขึน้ ใหม่ มขี นาดใหญก่ วา่ ของเดิม จึงแสวงหา พระประธานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เม่ือได้พบพระพุทธรูปที่ต้องการจากวัดร้างแห่งหน่ึง ซึง่ เปน็ ศลิ าแลงแลว้ จงึ “ตกแต่งเสยี ใหม่ใหม้ ลี ักษณะคลา้ ยพระพทุ ธชินราช” (น. ณ ปากนำ้ ๒๕๔๖, ๑๓๔) (รปู ที่ ๕.๖๘) จงึ เหน็ ไดว้ ่าคา่ นยิ มในพระพุทธชินราช เริม่ แสดงออกให้เปน็ ที่ประจักษใ์ นชว่ งปลายรชั กาลน ี้ ๒๒๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
รปู ที่ ๕.๖๘ พระประธานวัดสตั ตนารถปรวิ ตั ร แตง่ ใหม่เลียนแบบพระพุทธชนิ ราช ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. 1909) ศลิ าแลง หน้าตกั กว้าง ๒ เมตร สูง ๓.๒๕ เมตร พระอุโบสถวดั สตั ตนารถปรวิ ตั ร อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั ราชบุร ี พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ๒๒๗
รูปท่ี ๕.๖๙ ก. พระอจนะ วัดศรชี มุ พระพุทธชินราช เป็นท่ีนิยมในรัชกาลปัจจุบัน สืบเนื่องมาจากการที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อุทยานประวตั ศิ าสตร์สโุ ขทยั นายกรัฐมนตรีในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๙๑ – ๒๕๐๐ (ค.ศ. 1948 – 1957) ร้ือฟื้นพระบรมราโชบายของ ถา่ ยปี พ.ศ. ๒๔๓๔ (ค.ศ. 1891) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ีทรงสร้างความเป็นน้ำหน่ึงใจเดียวให้แก่ประเทศชาติด้วยการ จาก Fournereau, สร้างพระร่วงกษตั รยิ ส์ โุ ขทัยขึ้นมา ใหท้ รงเป็นศนู ยร์ วมความเป็นไทย ซ่งึ ประกอบด้วย ชาติ พทุ ธศาสนา Le Siam ancien (1908) และพระมหากษัตรย์ (มหาวชริ าวธุ [ม.ป.ป.], ๑๑๗) โดยใช้ พอ่ ขนุ รามคำแหงแทนพระร่วงเป็นสัญลักษณ์ ของความเป็นไทย โดยใหป้ ระชาชนคิดว่าตนเองเป็น “บดิ า” ของชาติ แทน “ผนู้ ำ” ท่ีเคยใช้มาแล้วเมือ่ เป็นนายกรฐั มนตรใี นปี พ.ศ. ๒๔๘๑ – ๒๔๘๗ (ค.ศ. 1938 – 1944) โดยให้กระทรวงวัฒนธรรม ซ่ึงตัง้ ข้นึ และนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ีเองในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ (ค.ศ. 1947) มีหน้าที่ พัฒนาทางด้านวัฒนธรรมและจริยธรรมให้เกิดความกตัญญูกตเวทีต่อบิดา มารดา ความรักชาติ ความ ม่ันคงของชาติ และการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ (ทักษ์ ๒๕๒๖, ๑๒๓ – ๑๒๕) อย่างไรก็ตาม หลวง วิจิตรวาทการ อธิบดีกรมโฆษณาการได้นำเอาความรุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัยภายใต้ “ผู้นำ” คือ พ่อขุนรามคำแหง มาแสดงเป็นตัวอย่างของ “วัฒนธรรมสุโขทัย” ในปาฐกถาเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๒ (ค.ศ. 1939) ในชว่ งรฐั บาลแรกของจอมพล ป. พิบูลสงครามก่อนหน้าน้ีแล้ว (วิจิตรวาทการ ๒๔๙๖, ๑๒ – ๔๑) การบูรณปฏิสังขรณ์เมืองเก่าสุโขทัย เร่ิมจากมติคณะรัฐมนตรีท่ีรับข้อเสนอของ จอมพล ป. พิบลู สงคราม ใหบ้ ูรณะเมอื งเกา่ สุโขทัยเป็นเมืองประวัตศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรม รวมทง้ั ใหส้ ร้างอนุสาวรีย์ พอ่ ขุนรามคำแหงมหาราชด้วย โดยเริม่ ข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) มีพธิ อี ญั เชิญดวงพระวญิ ญาณ พ่อขุนรามคำแหงเข้าผอบ แล้วแห่จากเนินปราสาทกลางเมืองเก่าสุโขทัยไปประดิษฐานไว้ที่ศาลแม่ย่า หน้าศาลากลางจังหวัดสุโขทัย ในโอกาสเดียวกันน้ีผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ยังได้จัดทำหนังสือเรื่อง นครสุโขทัย (เช่ือม ๒๔๙๖) โดยรวบรวมบทประพันธ์เก่ียวกับสุโขทัยข้ึนเช่น “ประชาธิปตัย ในสมัย สุโขทยั ” ซึง่ สมพันธ์ ขันธะชวนะ เป็นผู้แตง่ ความตอนหน่ึงวา่ ถ้าความเป็นไทยของคนไทยจะเลือกเอาระยะเวลาตอนไหนก็ได้ของการเป็นมา ทางประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าก็อยากจะเลือกความเป็นไทยคร้ังพ่อขุนรามคำแหง เพราะเป็นเรื่องน่าภูมิใจอย่างสูง เรามีประมุขของชาติท่ีปรีชาสามารถได้ให้ส่ิง ทปี่ ระชาธิปไตยตอ้ งการแก่ประชาชนได้อย่างมหาศาล (สมพันธ์ ๒๔๙๖, ๘๔) นอกจากนั้นแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ (ค.ศ. 1955) จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังได้จัดพมิ พ์หนังสอื ประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย ภาค ๑ “เพือ่ เผยแผค่ วามร้ปู ระวตั ิศาสตร์ของชาตไิ ทย ในสมยั ท่ีเคยมีความเจรญิ รงุ่ เรอื ง มรี อ่ งรอยและเกียรตปิ ระวตั ิอนั ควรชนื่ ชม และเป็นคติแกค่ นรุ่นหลงั ” (ป. พิบลู สงคราม ๒๔๙๘, คำนำ) การปรับปรุงขุดแต่งและบูรณะเมืองสุโขทัยเก่า ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) ใช้เงินของกอง สลากกนิ แบง่ รัฐบาลมาดำเนนิ การโดยเรม่ิ ที่องค์พระมหาธาตุ วัดมหาธาตุ และวดั ศรชี มุ ซึ่งในมณฑปรูป สี่เหล่ียมจตุรสั กวา้ ง ๓๒ เมตร สูง ๑๕ เมตร มีพระพทุ ธปฏมิ าปูนปน้ั ปางมารวชิ ยั หนา้ ตกั กวา้ ง ๑๑.๓๐ เมตร (รปู ท่ี ๕.๖๙ ก.) ซ่งึ ชำรดุ เสยี หายเป็นประธาน พระพทุ ธถูกเจาะตรงเข่าและตรงกลางพระนาภแี ละพระเศียร แลเห็นรอยพอก ในพระเศียรพระพุทธรูปเป็นชั้นๆ พระเศียรช้ันในเกศเป็นรูปบัวตูม (คณะ กรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถานฯ ๒๕๑๒, ๕๕) ๒๒๘ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ป์ไทย
รปู ที่ ๕.๖๙ ข. พระอจนะ วัดศรีชุม แตเ่ มื่อ ๕๒ ปีก่อนหนา้ นนั้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ดั ติวงศ์ เสดจ็ ไปวดั ศรีชุมและทรง อุทยานประวตั ิศาสตร์สโุ ขทยั บนั ทึกไวว้ า่ ปนั้ โดย บุญธรรม พูนสวสั ดิ ์ พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) กอ่ อิฐถอื ปนู หน้าตกั กวา้ ง ๑๑.๓๐ เมตร ในมณฑปนั้นมีพระกอ่ ใหญห่ นา้ ตกั สัก ๕ วาไดอ้ งคห์ นงึ่ แต่ไม่งามเลย พระภักตร์ สูง ๑๕ เมตร แตกพังออกมา เห็นพระเนตรเก่าซ่ึงป้ันไว้ช้ันในไม่ได้ที่ สูงบ้างต่ำบ้างสักห้าชั้น มณฑปวัดศรีชมุ (นรศิ รานวุ ัดติวงศ์ ๒๕๐๖, ๙๘) อุทยานประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทัย ข้อมูลจากเอกสารข้างต้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่า พระพุทธปฏิมาองค์น้ี ซ่ึง ยอร์ช เซเดส์ ถวาย พระนามวา่ “อจนะ” แปลวา่ “ผู้ไมห่ ว่นั ไหว” เพราะพระองคก์ ำลังทรงแสดงปางมารวชิ ยั หรอื “ท่ไี มอ่ าจ เคลื่อนทไี่ ด้” เพราะ “ขนาดของวสั ดทุ ่ใี ช้สรา้ ง” (ยอร์ช เซเดส์ ๒๕๐๗, ๑๕๗ – ๑๕๘) อาจจะเป็นพระ พทุ ธสิหิงคจ์ ำลองกเ็ ปน็ ได้ เพราะ “เกศเปน็ รปู บัวตูม” แตเ่ มื่อกรมศลิ ปากรได้วา่ จ้างให้ บุญธรรม พนู สวสั ดิ์ “เรียกกันว่าปลัดบุญธรรม เพราะบวชอยู่นานจนได้เป็นพระปลัด มีฝีมือในการซ่อมพระดังที่แลเห็นใน ปัจจุบันนี้” (คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถาน ๒๕๑๒, ๕๕) มาซ่อมพระพุทธปฏิมา ผลที่ได้คือ พระพุทธรปู แบบสุโขทยั (รูปท่ี ๕.๖๙ ข.) ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั ความเชือ่ ทีว่ า่ พระอจนะองค์นไี้ ด้รับการกลา่ วถึงใน ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงท่ีว่า “เบ้ืองตีนนอน (คือทิศเหนือ) เมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดปสาน มพี ระอจนะ” (สภุ ัทรดศิ ๒๕๒๑, รูปที่ ๓๑) ศิลาจารึกหลักที่ ๑ หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ซ่ึงมีข้อเสนอทางวิชาการใหม่ที่สันนิษฐานว่า น่าจะจารข้ึนในช่วงปี พ.ศ. ๒๓๙๔ – ๒๓๙๘ (ค.ศ. 1851 – 1855) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พิริยะ ๒๕๔๗, ๒๕๔) โดยที่พระองค์ทรงสร้างศิลาจารึกหลักนี้ข้ึนมาเพื่อเป็น กุศโลบายสำคัญในการปรับเปลี่ยนขนบประเพณีโบราณของไทยให้คนรุ่นเก่าท่ีต่อด้านและคัดค้านความ เปลี่ยนแปลงท่ีพระองค์มีพระราชดำริที่จะปรับเปล่ียนระบอบการปกครอง กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของสยาม ให้รบั กับคา่ นิยมของนานาอารยประเทศ โดยทรงชีใ้ ห้เห็นว่า พระองค์มไิ ด้ทรง “ดัดจริตผิดโบราณ” หากแต่เป็นการรื้อฟ้ืนพระราโชบายของพ่อขุนรามคำแหง ดังนั้น “พระราชนิพนธ์ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงเป็นกุศโลบายที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ในการ สรา้ งชาติและเอกลักษณไ์ ทยท่เี ราชาวไทยภมู ิใจจนทุกวนั น”้ี (เร่อื งเดียวกัน, ๒๗๕) ด้วยกุศโลบายน้ีทำให้ ฝร่ังเห็นว่า สยามเป็นประเทศท่ี “ซิวิไลยส์” แล้วจึงไม่ต้องเอามาเป็นเมืองข้ึน และมีส่วนช่วยให้สยาม ดำรงรักษาเอกราช อสิ รภาพ และอธปิ ไตย อีกด้วย ถอื เป็นเอกสารหลกั ทส่ี ร้างภาพลักษณแ์ ละอุดมการณ์ใหก้ ับอาณาจกั รสโุ ขทัย จนอาจจะกลา่ วไดว้ ่า เปน็ ทีม่ าของความรบั รเู้ กย่ี วกบั ความเปน็ ไทย และชาตไิ ทยในอุดมคติ ดงั ท่ี ส. ศวิ รักษ์ ได้กล่าวไวว้ า่ รากฐานแห่งการคิดนึกอย่างลึกซ้ึงของไทย ปรากฏชัดอยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย มิไยที่นักปราชญ์รู้พล้ังบางคนจะกล่าว หาว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปลอมแปลงข้ึนในรัชกาลท่ี ๓ กต็ าม ขา้ พเจา้ ถอื วา่ นั่นเปน็ เสียงของจิ้งจกตกุ๊ แกหรือของสุนขั ทีเ่ ห่าหอน อันไม่ ควรคำนึงถึง เพราะจารึกหลักนี้เป็นประดุจทองชมพูนุทอันบริสุทธ์ิที่แสดง ความเป็นพุทธและความเป็นไทย โดยมีความเช่ือในเรื่องผีและประยุกต์วิทยา อย่างไสยศาสตร์ เปน็ องค์ประกอบ นบั เปน็ การประกาศแนวทางการเมอื ง การ เศรษฐกจิ และวฒั นธรรม อันโยงไปถงึ ระบบนิเวศวทิ ยา ซึง่ เนน้ เสรภี าพ เสมอภาพ และภราดรภาพ (ส. ศิวรกั ษ์ ๒๕๓๒, ๒๖) พระพุทธชินราช ซ่ึงเช่ือกันว่าเป็นพระพุทธปฏิมาสมัยสุโขทัย อันจะสังเกตได้จากการจัดจำแนกให้ พระพุทธชินราชเป็นหมวดหนึ่งในกลุ่มพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย จึงมีนัยของความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ไทยในอดีต เป็นสัญลักษณ์ของลัทธิชาตินิยมและความม่ันคงของชาติ ซ่ึงเห็นได้ชัดเจนที่สุดจาก กระบวนการสร้างพระพทุ ธชินราชจำลอง ทเ่ี รม่ิ มากขน้ึ ในชว่ งรชั กาลปจั จุบัน พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ๒๒๙
รูปท่ี ๕.๗๐ พระประธานวัดราชบุรณะ เมอ่ื สงครามโลกคร้งั ที่ ๒ ส้นิ สดุ ลง วัดราชบุรณะ กรงุ เทพมหานคร ไดร้ ับความเสยี หายจากแรง สร้างปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) สมั ฤทธ์ิ พระอุโบสถวดั ราชบุรณะ กรงุ เทพมหานคร ระเบดิ พระอุโบสถและพระวหิ ารถกู ทำลาย การบูรณะปฏสิ ังขรณ์เริ่มข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกช่อฟ้าพระอุโบสถหลังใหม่ ซ่ึงออกแบบ โดยหลวงวิศาลศลิ ปกรรม (เชือ้ ปัทมจินดา) และทรงเททองหล่อพระประธานในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) (ศิลปากร ๒๕๒๕ ก, ๒๖๑) พระประธานเป็นพระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวชิ ัย ซึง่ ถา่ ยแบบ มาจากพระพทุ ธชินราช ส่วนเรือนแกว้ นั้นเป็นผลงานของ ฟู อนนั ตวงศ์ (รูปท่ี ๕.๗๐) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๓ (ค.ศ. 1960) เป็นช่วงของรฐั บาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ (พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๖ / ค.ศ. 1958 – 1963) ซึ่ง สืบสาน “ลัทธิพ่อขุนรามคำแหง” จากจอมพล ป. พิบูลสงคราม และร้ือฟื้นพระบรมราโชบายชาตินิยม ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ วั ว่าด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ เพอ่ื สรา้ งความ มั่นคงให้กับรัฐบาล พระพุทธชินราชซ่ึงเป็นทั้งสัญลักษณ์ของพุทธศาสนาและความเป็นไทยที่งดงาม ตลอดจนเป็นศูนย์รวมพระราชศรัทธาของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์สำคัญทุกพระองค์ต้ังแต่สมัย อยุธยา ธนบุรี และรตั นโกสินทร์ จึงกลายเปน็ สิ่งศักด์สิ ทิ ธิท์ ่ีรวมชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริยเ์ ข้าไว้ ด้วยกัน (พริ ิยะ ๒๕๔๙, ๙๕ – ๑๑๑) พระพุทธชินราชจงึ เป็นพระพุทธปฏมิ าสำคญั ของยุค “พุทธศาสนา แบบชาตนิ ิยม” (ไพศาล ๒๕๔๖, ๑๐๘ – ๑๑๓) ที่เตบิ โตขน้ึ ในชว่ งระยะเวลานน้ั และเป็นทแี่ พรห่ ลายใน ทศวรรษตอ่ มา คอื ช่วงรัฐบาลของจอมพลถนอม กติ ตขิ จร (พ.ศ. ๒๕๐๖ – ๒๕๑๖ / ค.ศ. 1963 – 1973) ๒๓๐ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ป์ไทย
รปู ที่ ๕.๗๑ พระพุทธธรรมมศิ รชมพูทปี นิวัตสิ โุ ขทยั ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ (ค.ศ. 1967) จอมพลถนอม กิตติขจร และครอบครัว มีจิตศรัทธา สร้าง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๑๐ (ค.ศ. 1967) พระพุทธชินราชจำลอง (รูปที่ ๕.๗๑) มีขนาดย่อมกว่าองค์ท่ีพิษณุโลกเล็กน้อย เพ่ือถวายเป็นพระ สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตักกว้าง ๒.๕๑ เมตร ประธานวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ประกอบพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิต- สูง ๓.๕๘ เมตร วนาราม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายพระนามว่า “พระพุทธธรรมมิศรชมพูทีปนิวัติสุโขทัย” วดั ไทยพุทธคยา พุทธคยา รฐั พหิ าร อน่งึ พระอุโบสถวดั ไทยพทุ ธคยา ซึง่ เริม่ ก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๐๑ (ค.ศ. 1958) ก็จำลองแบบมาจากพระ ประเทศอินเดยี อุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามเช่นกัน โดยมีจุดประสงค์ท่ีจะ “เชิดชูความงดงามของศิลปกรรม ไทยให้ปรากฏในต่างแดน” (๕๐ ปีวัดไทยพุทธคยา ๒๕๕๐, ๑๑๔ – ๑๑๕) พระพุทธชินราชจำลองที่สร้างขึ้นในยุค “พุทธศาสนาแบบชาตินิยม” ท่ีสำคัญได้แก่ พระพุทธ- ชินราชจำลอง รนุ่ ภ.ป.ร. (รปู ที่ ๕.๗๒) ซึง่ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั พระราชทานพระบรมราชานญุ าต ให้นำพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. มาไว้ที่หน้าฐาน และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเททองหล่อ ณ วัดสุทัศน- เทพวราราม ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ (ค.ศ. 1973) พระพุทธรูปรนุ่ น้ีเปน็ ฝมี ือของ จ่าสิบเอกทวี บรู ณเขตต์ ช่าง ฝีมือดีของพิษณุโลก ผู้เช่ียวชาญการป้ันหุ่นพระพุทธชินราชจำลอง ซ่ึงมีผลงานเป็นท่ีประจักษ์ทั้งใน ประเทศ (รปู ท่ี ๕.๗๓) และต่างประเทศ พระพุทธชินราชรนุ่ ภ.ป.ร. สรา้ งขึ้นด้วยความรว่ มมือระหวา่ ง กองทพั ภาคที่ ๓ และวดั พระศรรี ัตนมหาธาตุ พิษณโุ ลก โดยรายได้จากการเช่าบชู าพระพทุ ธรปู ใชใ้ นการ ก่อตั้งมูลนิธิเย็นศิระภิบาล เพื่อช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่บาดเจ็บ และเสียชีวิตจากการ ปราบปราบผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผลงานเชิดชูเกียรติฯ ๒๕๒๖, ๙) กล่าวได้ว่าพระพุทธชินราช จำลองเปน็ พระพุทธปฏิมาที่นยิ มสร้างกันมากท่สี ุดในรัชกาลปัจจุบัน ในรัชกาลปจั จุบนั เทคโนโลยขี องการสรา้ งพระพทุ ธรปู ดว้ ยคอนกรีตเสริมเหล็กทำให้สามารถสร้าง พระพุทธรูปท่ีมีขนาดใหญ่แลเห็นได้แต่ไกลข้ึนเป็นจำนวนมาก และแพร่หลายไปท่ัวทุกภาคของพระราช- อาณาจักร เช่น ในภาคเหนือนิยมการสร้างพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน หรือล้านนาแบบ “สิงห์ ๑” ซึ่ง ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์จำลอง (ดูรูปท่ี ๖.๓๐, ๖.๓๑) ภาคกลางนิยมสร้างพระพุทธชินราชจำลองใน เรือนแก้ว เช่นที่วัดเขาถ้ำทะลุ อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี (รูปที่ ๕.๗๔) และตามวัดไทยในประเทศ ตา่ งๆ เพราะชาวไทยถือว่าพระพุทธชินราช “มีบทบาทในเชิงสญั ลกั ษณแ์ ห่ง “ความเปน็ ไทย” ในความหมาย ท่เี ปน็ ภาพตัวแทนแหง่ ความเจรญิ ทางศิลปวัฒนธรรมของชาติไทยในสายตาชาวโลก” (ชาตรี ๒๕๔๙, ๘๓) รปู ท่ี ๕.๗๒ พระพทุ ธชินราชจำลอง รนุ่ ภ.ป.ร. รูปท่ี ๕.๗๓ พระพทุ ธชินราชจำลอง รปู ที่ ๕.๗๔ พระพทุ ธชนิ ราชจำลอง ป้นั โดย จา่ สิบเอกทวี บรู ณเขตต์ ปน้ั โดย จ่าสบิ เอกทวี บูรณเขตต ์ คอนกรตี เสริมเหลก็ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ. 1974) พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) วดั เขาถำ้ ทะลุ อำเภอปากทอ่ สัมฤทธิ์ หนา้ ตักกว้าง ๑๘ เซนตเิ มตร สมั ฤทธ์ิ พระอโุ บสถวัดกำแพงแลง จังหวดั ราชบุรี วัดพระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม อำเภอเมืองฯ จังหวดั เพชรบรุ ี กรุงเทพมหานคร พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ๒๓๑
๒๓๒ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
รปู ท่ี ๕.๗๕ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวชิ ยั ๗. พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธริ าบ ปางมารวิชยั คร่งึ แรกพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (คร่งึ หลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14) สมั ฤทธ์ิ สูง ๑ เมตร ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย มีจำนวนมากกว่า พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร พระพทุ ธปฏิมารูปแบบอนื่ ๆ ในประเทศไทย ซึ่งนอกเหนือจากพระพทุ ธชนิ ราชแล้ว พระพุทธรูปในรปู แบบ น้ีกย็ งั คงไดร้ บั ความนิยมในการสร้างมาจนถงึ ปัจจุบนั ๗.๑ พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย (๑) ช่วงอาณาจกั รสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๔๒ – ๑๙๒๑ (ค.ศ. 1299 – 1378) ลักษณะเฉพาะของพระพทุ ธปฏิมาสุโขทัย ได้แก่ “พระรัศมเี ป็นเปลว ขมวดพระเกศาเลก็ พระพักตร์ รูปไข่ พระโขนงโก่ง พระนาสิกงมุ้ พระโอษฐอ์ มย้มิ เล็กน้อย พระองั สาใหญ่ บน้ั พระองค์เล็ก ครองจวี ร หม่ เฉยี ง ชายจวี รยาวลงมาถึงพระนาภี ปลายเป็นลายเขย้ี วตะขาบ ชอบทำปางมารวชิ ยั ประทับขัดสมาธริ าบ ฐานเป็นหน้ากระดานเกลย้ี ง” (สภุ ัทรดิศ ๒๕๓๘, ๒๖) ซงึ่ น่าจะปรากฏขึ้นในชว่ งครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ครึ่งหลงั คริสต์ศตวรรษที่ 14) เพราะเปน็ องค์ประกอบท่สี ำคญั ของ นกิ ายเถรวาท คณะมหาวหิ าร หรือคณะสีหฬภิกขุ ซ่ึงรับเข้ามาในช่วงระยะเวลาน้ัน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกันกับทพ่ี ระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบที่ ๒” หรอื แบบพระพุทธกัมโพชปฏมิ า และพระพุทธปฏิมา “แบบอ่ทู อง แบบที่ ๓” ซึ่ง เป็นแบบเฉพาะของพระพทุ ธปฏมิ าอยุธยาทพี่ ัฒนาการขนึ้ ใน นิกายเถรวาท คณะมหาวหิ าร เชน่ กนั เป็นท่ีน่าเสียดายอย่างย่ิงว่า พระพุทธปฏิมาบางองค์ท่ีมีจารึก มิได้ระบุปีสร้าง เช่น พระพุทธปฏิมาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร (รูปท่ี ๕.๗๕) ซ่ึงการ ป้ันพระพักตร์นั้น มีลักษณะที่คล้ายคนจริง เช่น พระขนงนูนขึ้นเล็กน้อย มิได้เป็นเส้นโค้งที่ บรรจบกันที่สันพระนาสิก เป็นต้น ซ่ึงยังพบในองค์ที่เอกชนเป็นผู้ครอบครองอีกด้วย (รูปท่ี ๕.๗๖) พระพุทธปฏิมาในกลุ่มน้ี อาจจะเป็นกลุ่มแรกของพระพุทธปฏิมาสุโขทัย เพราะลักษณะของพระขนงที่เหมือนจริงน้ัน เทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมา “แบบ อทู่ อง แบบที่ ๑” อาจจะกำหนดอายุเวลาได้ในช่วงครึ่งแรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครง่ึ หลงั คริสตศ์ ตวรรษที่ 14) รปู ที่ ๕.๗๖ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย คร่งึ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครง่ึ หลงั คริสต์ศตวรรษที่ 14) สัมฤทธ์ิ สงู ๔๙ เซนติเมตร สมบตั ิของเอกชน พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ๒๓๓
รูปท่ี ๕.๗๗ พระพุทธรปู ของทิตไส (๒) ชว่ งเมอื งประเทศราชของอยธุ ยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463) สรา้ งปี พ.ศ. ๑๙๖๕ (ค.ศ. 1422) สัมฤทธิ์ พระพุทธปฏิมาท่ีมีจารึกระบุปีสร้างหลายองค์ สร้างขึ้นในช่วงคร่ึงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (คร่ึง วดั พระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม แรกครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15) พระพทุ ธปฏมิ าทีส่ ำคญั ได้แก่ สององค์ที่มจี ารกึ สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธ- กรุงเทพมหานคร ยอดฟ้าจฬุ าโลก ระบวุ า่ “สงั ฆโลก” คอื ได้มาจากเมอื งสวรรคโลกเกา่ (อุทยานประวัติศาสตรศ์ รสี ชั นาลยั ในปัจจุบนั ) องคห์ นงึ่ สรา้ งโดย ทิตไส (รปู ที่ ๕.๗๗) และอกี องค์หนึ่งสร้างโดย ผ้าขาวทอง สร้างขึน้ ในปี เดียวกนั คือ พ.ศ. ๑๙๖๕ (ค.ศ. 1422) (ประสาร ๒๕๑๑, ๑๐๘ – ๑๑๑) พระพุทธปฏิมาอีกองค์หนึ่งทม่ี ี จารึก ได้แก่ พระพุทธปฏิมากรพระประธานในพระอุโบสถ วดั หนัง กรุงเทพมหานคร (รปู ที่ ๕.๗๘) มีจารึก วา่ สรา้ งขึน้ ในปี พ.ศ. ๑๙๖๖ (ค.ศ. 1423) (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๑๙๒) อีกองค์หนึง่ อยใู่ นวิหารวัดหงสร์ ตั นาราม กรงุ เทพมหานคร (รปู ที่ ๕.๗๙) มีจารึกว่าสรา้ งขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๖๓ หรอื ๑๙๖๖ (ค.ศ. 1420 หรอื ค.ศ. 1423) (เอ.บี. กริสโวลด์ ๒๕๐๗, ๙๒) พระพุทธปฏิมาองค์สุดท้ายน้ีมี พระขนงโก่ง เช่ือมกับสันพระนาสิกทั้ง สองดา้ น พระหนุสอบเข้า พระพุทธปฏิมาสำคัญท่ีมีพุทธลักษณะท่ีเทียบเคียงได้กับพระพุทธปฏิมาของวัดหงส์รัตนาราม ซ่ึง อาจจะสร้างข้ึนในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกันน่าจะได้แก่ พระสุรภีพุทธพิมพ์ พระประธานวัดปรินายก (รูปที่ ๕.๘๐) หลวงพอ่ รว่ ง วดั มหรรณพาราม (รูปท่ี ๕.๘๑) และพระสุโขทยั ไตรมติ ร วดั ไตรมติ รวิทยาราม (รูปท่ี ๕.๘๒) ซึ่งทัง้ สามองคน์ ้ถี ูกอญั เชิญมาประดษิ ฐานไวท้ ก่ี รุงเทพมหานคร อนงึ่ พระสรุ ภีพทุ ธพมิ พน์ ้นั ในด้านอทิ ธิปาฏหิ ารยิ ก์ ็ทรงไว้ซ่งึ ความศกั ดิ์สทิ ธ์ิ อนั เป็นท่ีประจักษ์ของ ชาวบ้านเชิงสะพานผ่านฟ้า ทั้งนี้เพราะเม่ือคราวสงครามโลกครั้งท่ี ๒ บ้านเรือนย่านน้ันถูกโจมตีทาง อากาศ ชาวบ้านจึงอพยพไปพงึ่ พระบารมขี องหลวงพ่อในพระอโุ บสถ และมีเรอ่ื งเลา่ กนั ว่าเวลาเคร่ืองบนิ มาทิ้งระเบิดน้ัน ต่างก็ได้เห็นรูปเสมือนหลวงพ่อลอยอยู่เหนือพระอุโบสถ ทรงแผ่อภินิหารคุ้มครอง ป้องกันภัย จนทุกคนปลอดภัยจากการท้ิงระเบิด นอกจากน้ันแล้ว ผู้ใดเข้าไปขอพรให้หลวงพ่อประสิทธิ ประสาทความสำเร็จใด ๆ ทต่ี นมงุ่ หวงั กไ็ ด้ผลสมความปรารถนาทกุ คน (บนั ทกึ การจดั สรา้ ง, บนั จ,ุ และ ปลุกเสก ๒๕๐๐, ๒ – ๓) รปู ท่ี ๕.๗๘ พระพุทธปฏิมากร สรา้ งปี พ.ศ. ๑๙๖๖ (ค.ศ. 1423) สมั ฤทธ์ิ หน้าตกั กว้าง ๑.๔๑ เมตร สูง ๑.๙๖ เมตร วัดหนัง กรงุ เทพมหานคร รูปที่ ๕.๗๙ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชยั สรา้ งปี พ.ศ. ๑๙๖๓ หรือ ๑๙๖๖ (ค.ศ. 1420 หรือ 1423) สัมฤทธิ์ หนา้ ตักกว้าง ๗๑ เซนตเิ มตร สงู ๙๘ เซนติเมตร วัดหงส์รตั นาราม กรงุ เทพมหานคร ๒๓๔ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณ์พทุ ธศลิ ป์ไทย
รปู ท่ี ๕.๘๒ พระสุโขทัยไตรมติ ร (“หลวงพ่อทองคำ”) ครงึ่ หลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (คร่งึ แรกคริสต์ศตวรรษที่ 15) สัมฤทธิ์ หน้าตกั กวา้ ง ๓.๑๐ เมตร สูง ๓.๙๓ เมตร วัดไตรมติ รวทิ ยาราม กรุงเทพมหานคร รูปท่ี ๕.๘๐ พระสุรภพี ทุ ธพิมพ์ ครงึ่ หลงั พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (คร่ึงแรกครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กว้าง ๑.๗๗ เมตร วดั ปรนิ ายก กรุงเทพมหานคร รปู ท่ี ๕.๘๑ “หลวงพอ่ ร่วง” ครง่ึ หลังพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (ครง่ึ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธิ์ หนา้ ตักกว้าง ๒.๕๘ เมตร สูง ๓.๘๙ เมตร วดั มหรรณพาราม กรงุ เทพมหานคร พระพุทธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธริ าบ ๒๓๕
รปู ที่ ๕.๘๓ พระสมฌโคดมประทบั ขัดสมาธิราบ ๗.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย สมยั ล้านนา ปางมารวิชยั ครึ่งหลังพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (คร่งึ แรกคริสตศ์ ตวรรษที่ 14) (๑) ช่วงก่อต้ังอาณาจักรล้านนา พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๙๘ (ค.ศ. 1296 – 1355) สมั ฤทธิ์ หนา้ ตกั กวา้ ง ๗๘ เซนตเิ มตร พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ หริภุญไชย เช่นเดียวกนั กับภาคกลาง พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย เปน็ ทแี่ พร่หลายมาก จังหวดั ลำพูน กวา่ แบบอนื่ ๆ แต่เป็นที่นา่ เสยี ดายว่าในวัฒนธรรมล้านนาท่ีนิยมการจารจารึกไว้ที่ฐานพระพุทธปฏมิ า ยงั ไม่พบพระพุทธปฏิมาแบบน้ีท่ีมีจารึกเก่าไปกว่ารัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ / ค.ศ. 1441 – 1487) ท่ีกำหนดอายุเวลาให้เก่าไปกว่ารัชกาลน้ี จึงมาจากการคาดคะเนท้ังสิ้น พระพุทธ- ปฏมิ าทีอ่ าจจะสร้างข้ึนกอ่ นการประดษิ ฐานคณะสหี ฬภิกขุ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๙๗๓ (ค.ศ. 1430) ในลา้ นนานา่ จะได้แก่พระพุทธปฏิมาสัมฤทธ์ิ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จังหวัดลำพูน (รูปท่ี ๕.๘๓) ซ่ึง เป็นที่ยอมรับกันท่ัวไปว่า เป็นพระพุทธปฏิมารุ่นแรกของล้านนา แตกต่างกันท่ีการกำหนดอายุเวลา จาก กลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ (ต้นครสิ ต์ศตวรรษที่ 13) (Saisingha 1999, 80) ถึงคร่งึ หลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษท่ี 15) (Stratton 2004, 249) ซ่ึงจากการวิเคราะห์พุทธลักษณะของ พระพุทธปฏิมาองค์น้ี โดยเฉพาะพระพักตร์ท่ีใกล้เคียงกับธรรมชาติ น่าจะสร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลัง พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (คร่งึ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 14) (๒) ชว่ งอาณาจกั รล้านนา - ยุครงุ่ เรอื ง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) ถึงแม้จะไม่ทราบว่า พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยที่สร้างขึ้นที่ล้านนาซึ่งมี พุทธลักษณะท่ีมีความหลากหลายในส่วนปลีกย่อยเป็นอย่างมาก ว่าในแต่ละหมวดหมู่เป็นพระปฏิมา จำลองของพระปฏมิ าสำคญั องคใ์ ดบ้าง แต่กท็ ราบจากจารกึ ตำนาน และคำบอกเล่าว่า พระปฏิมาท่คี น นบั ถือบูชาสืบทอดกันมาหลายศตวรรษมีพระนามว่าอะไร เชน่ พระเจ้าทองทพิ ย์ วัดสวนตาล อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน พระเจ้าล้านทอง วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พระเจ้าเก้าต้ือ วดั สวนดอก อำเภอเมอื งฯ จังหวดั เชยี งใหม่ และพระเจ้าตนหลวง วดั ศรโี คมคำ อำเภอเมืองฯ จังหวดั พะเยา ซงึ่ พระพุทธปฏิมาท่กี ล่าวถงึ ข้างตน้ น้ี สร้างข้นึ ในยุครุง่ เรืองของอาณาจักรล้านนา พระเจ้าทองทิพย์ (รูปท่ี ๕.๘๔) น้ัน ตำนานหนึ่งกล่าวว่าพระเจ้าติโลกราชโปรดให้หล่อข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๑๙๙๓ (ค.ศ. 1450) เม่ือทรงตเี มอื งนา่ นได้ (ศลิ ปากร ๒๕๓๐ ก, ๗๙) แต่ พงศาวดารเมืองนา่ นวา่ พญาคำยอดฟา้ โปรดใหส้ รา้ งเม่อื พ.ศ. ๒๐๖๕ (ค.ศ. 1522) (ประชุมพงศาวดาร เลม่ ๙ ๒๕๐๗, ๓๑๕) อย่างไรก็ตามเม่ือเปรียบเทียบพระวรกายท่ีอวบ พระพักตร์อ่ิมเอิบ พระนาสิกใหญ่ของพระปฏิมา ที่มี จารึกว่าสร้างข้ึนในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช (ดูรูปที่ ๖.๔) บ่งชี้ว่าพระเจ้าทองทิพย์นั้นน่าจะสร้างข้ึนใน รัชกาลนั้น พระเจ้าล้านทอง (รูปท่ี ๕.๘๕) วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซ่ึงเจ้า เมืองเชียงแสนสร้างขนึ้ ในปี พ.ศ. ๒๐๓๒ (ค.ศ. 1489) (ศลิ ปากร ๒๕๔๓ ก, ๖๕) เปน็ พระพุทธปฏมิ าทม่ี ี ลักษณะคลา้ ยกบั พระเจ้าทองทิพย์ แตฝ่ มี ือการป้นั พระหตั ถ์ซงึ่ ดนู ุม่ นวล มคี วามโดดเดน่ เปน็ พิเศษ ๒๓๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศิลป์ไทย
รูปที่ ๕.๘๔ พระเจา้ ทองทิพย์ ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – ต้น ๒๑ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธิ์ หน้าตกั กว้าง ๒.๔๐ เมตร สูง ๒.๕๖ เมตร วดั สวนตาล อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดน่าน รปู ที่ ๕.๘๕ พระเจ้าลา้ นทอง สร้างปี พ.ศ. ๒๐๓๒ (ค.ศ. 1489) สัมฤทธิ์ หน้าตักกวา้ ง ๒.๑๐ เมตร สูง ๓ เมตร วดั พระเจา้ ล้านทอง อำเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชียงราย พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธิราบ ๒๓๗
ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชนี้ มีการสร้างพระพุทธปฏิมาที่มีความหลากหลายทางรูปแบบเป็น จำนวนมาก เช่น หลวงพ่อสมใจนึก พระประธานในอุโบสถ วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่ ๕.๘๖) ซึ่งน่าจะจำลองแบบมาจากพระพุทธปฏิมารุ่นแรกของล้านนา (ดูรูปที่ ๕.๘๓) แตกต่างกันตรงที่ มีพระวรกายที่ยืดขึ้น ทำให้ดูสูงโปร่ง น้ิวพระหัตถ์คล้ายคนจริง นอกจากน้ัน แล้วแถบผ้าท่ีพาดพระกรซ้ายขององค์ต้นแบบ กลับกลืนไปกับขอบจีวร แสดงให้เห็นว่าผู้ปั้นไม่เข้าใจการ ครองจีวรของเดิม หลวงพ่อสมใจนึก อาจจะสร้างข้ึนในช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าติโลกราช ประมาณ กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 15) เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาในวิหารสมเด็จฯ วดั เบญจมบพิตรดุสติ วนาราม กรุงเทพมหานคร (รปู ท่ี ๕.๘๗) ซงึ่ มพี ทุ ธลกั ษณะคล้ายกับพระพุทธสิหงิ ค์ จำลอง สรา้ งขึน้ ในปี พ.ศ. ๒๐๒๓ (ค.ศ. 1481) (ดูรูปท่ี ๖.๔) แตกต่างกนั ตรงประทบั ขัดสมาธิราบ และมี พระพักตร์ที่เอิบอิ่มกว่า ชายจีวรยาวจรดพระนาภี และฐานเขียงแปดเหลี่ยม ส่วนพระพุทธปฏิมา วดั พระเจา้ เมง็ ราย มจี ารึกปี พ.ศ. ๒๐๒๔ (ค.ศ. 1482) (รปู ที่ ๕.๘๘) และวัดเจดียห์ ลวง พ.ศ. ๒๐๒๕ (ค.ศ. 1482 – 1483) (รูปท่ี ๕.๘๙) (ฮนั ส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๖๓ – ๖๕) พระพุทธปฏมิ าทง้ั สององคน์ มี้ ีพระ พักตรร์ ปู วงรี สอบเข้าที่พระหนุ มไี รพระศก ซง่ึ ใกลเ้ คยี งกับพระพทุ ธปฏมิ าอยธุ ยา “แบบอูท่ อง แบบท่ี ๓” (ดูรูปที่ ๕.๑๒๕) ส่วนพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ (รูปที่ ๕.๙๐) มีพทุ ธลักษณะใกลเ้ คียงกบั พระรตั นปฏิมา (ดรู ูปท่ี ๓.๖ ก) แตกต่างกนั ท่ีพระหัตถ์ แสดงปางมารวิชัย ซงึ่ น่าจะสรา้ งขน้ึ ในรัชกาลน้ีเชน่ กนั รูปที่ ๕.๘๖ หลวงพ่อสมใจนึก กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 15) สัมฤทธิ์ หนา้ ตักกว้าง ๑.๙๐ เมตร สงู ๒.๒๐ เมตร อุโบสถวดั อุโมงค์มหาเถรจนั ทร ์ อำเภอเมืองฯ จังหวดั เชียงใหม่ ๒๓๘ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย
รูปท่ี ๕.๘๗ พระสมณโคดมสมาธริ าบ ปางมารวิชัย รปู ที่ ๕.๘๘ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ สร้างปี พ.ศ. ๒๐๒๔ (ค.ศ. 1482) (ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธิ์ สูง ๙๐ เซนตเิ มตร สัมฤทธ์ิ หน้าตักกวา้ ง ๖๔ เซนติเมตร วัดพระเจ้าเมง็ ราย สูงรวมฐาน ๑.๐๖ เมตร อำเภอเมืองฯ จงั หวัดเชียงใหม ่ วดั เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร รูปท่ี ๕.๘๙ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย รปู ที่ ๕.๙๐ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๒๕ ปางมารวชิ ยั (ค.ศ. 1482 – 1483) ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ สัมฤทธิ์ สูง ๑.๑๑ เมตร (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 15) วัดเจดีย์หลวง สมั ฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑๗.๕ เซนติเมตร อำเภอเมืองฯ จงั หวัดเชียงใหม่ สูง ๒๒.๕ เซนตเิ มตร พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธริ าบ ๒๓๙
พระพทุ ธปฏมิ าในสมัยพญาแกว้ (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘ / ค.ศ. 1495 – 1525) ส่วนใหญ่มพี ุทธลักษณะ ท่ีพ้องกัน เช่น พระวรกายตรงและแบน ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี พระเมาลีเต้ีย กลืนเข้ากับขมวด พระเกศา รศั มีเปน็ เปลว ดงั เชน่ พระพทุ ธปฏมิ าวดั ช่างแตม้ มจี ารึกปี พ.ศ. ๒๐๓๘ (ค.ศ. 1495 – 1496) (เรือ่ งเดียวกนั , ๗๗) (รปู ท่ี ๕.๙๑) พระพทุ ธปฏิมาในพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มจี ารึกปี พ.ศ. ๒๐๔๓ (ค.ศ. 1500) (Griswold 1957, 84) (รูปที่ ๕.๙๒) และพระพุทธปฏิมาในวัดพระธาตุหริภุญไชย อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน (รูปที่ ๕.๙๓) ซึ่งพระพุทธปฏิมาทั้งสามองค์น้ี มีฐานบัวหงายรองรับด้วย ฐานเขยี ง ฉลลุ ายลูกฟกั ตั้งอย่บู นชนวนเททอง ซ่ึงเปน็ แบบทนี่ ิยมในรัชกาลนี้ ส่วนพระเจ้าเก้าตื้อ (รูปที่ ๕.๙๔) น้ัน ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวว่า พญาแก้วโปรดให้สร้างข้ึนที่ วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) ในปี พ.ศ. ๒๐๔๘ (ค.ศ. 1505) ใช้ทองแดงหนักหนึ่งโกฏิ หรือ ๑๒,๐๐๐ กโิ ลกรมั มีทีต่ อ่ ถึงแปดแหง่ แลว้ ใช้เวลาสร้าง ๕ เดือน (รตั นปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๒๑) พระปฏมิ าองค์ นีม้ ีนิ้วพระหัตถ์ทย่ี าวเทา่ กนั อีกดว้ ย รูปท่ี ๕.๙๑ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวชิ ัย สร้างปี พ.ศ. ๒๐๓๘ (ค.ศ. 1495 – 1496) สัมฤทธ์ิ สูง ๑.๑๒ เมตร วดั ช่างแตม้ อำเภอเมืองฯ จังหวดั เชียงใหม่ รปู ท่ี ๕.๙๒ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชยั รูปที่ ๕.๙๓ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ยั พ.ศ. ๒๐๔๓ (ค.ศ. 1500) กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15 – ตน้ 16) สัมฤทธ์ิ หนา้ ตักกว้าง ๔๐ เซนตเิ มตร ๒๔๐ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย สูง ๘๓ เซนติเมตร วัดพระธาตหุ รภิ ญุ ไชย อำเภอเมืองฯ จงั หวดั ลำพนู
รูปท่ี ๕.๙๔ พระเจ้าเกา้ ตือ้ สร้างปี พ.ศ. ๒๐๔๘ (ค.ศ. 1505) สัมฤทธ์ิ หน้าตกั กว้าง ๒.๙๕ เมตร วดั สวนดอก อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดเชียงใหม่ พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ๒๔๑
รูปท่ี ๕.๙๕ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ พระพุทธปฏมิ าวัดชัยพระเกยี รติ มีจารกึ ปี พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517 – 1518) (ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๘๙) ปางมารวชิ ยั (รปู ที่ ๕.๙๕) แสดงใหเ้ ห็นพุทธลักษณะทีน่ า่ จะไดอ้ ทิ ธิพลจากพุทธปฏิมาสุโขทัย สร้างปี พ.ศ. ๒๐๖๐ (ค.ศ. 1517 - 1518) สมั ฤทธ์ิ สูง ๑.๑๒ เมตร วดั ชยั พระเกียรติ พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในช่วงสองทศวรรษสุดท้ายของรัชสมัยพญาแก้ว มักจะมีฐานท่ีอลังการ อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั เชยี งใหม่ เช่น องคท์ มี่ จี ารึกปี พ.ศ. ๒๐๕๓ (ค.ศ. 1510) มีฐานทรงโค้งคลา้ ยท้องสำเภา (รปู ที่ ๕.๙๖) และองค์ที่ สรา้ งขนึ้ ในปี พ.ศ. ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1525) มีฐานเขยี งสลกั ลายดอกพุดตาน (รูปที่ ๕.๙๗) นอกจากจะมีนว้ิ พระหัตถ์ที่ยาวเท่ากันแล้ว พระพุทธปฏิมาองค์สุดท้ายน้ี ยังมีพระพักตร์เสี้ยม เช่นเดียวกันกับพระเจ้า ตนหลวง วัดศรีโคมคำ อำเภอเมอื งฯ จังหวัดพะเยา (รูปที่ ๕.๙๘) มจี ารกึ วา่ สร้างขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๐๖๗ (ค.ศ. 1524) และกล่าวถึงการให้สัดส่วนของพระพุทธปฏิมาองค์น้ี เช่น พระเมาลีวัดรอบได้ ๒๐ กำ สูง ๓ ศอก (๑.๕๐ เมตร) พระเศยี รกลมใหญ่ เม็ดพระศกมี ๑.๕๐๐ เม็ด เค้าพระพกั ตร์ยาว ๒ วา กว้าง ๒ วา (๔ เมตร) พระขนงยาว ๓ ศอก พระเนตรยาว ๓ ศอก พระนาสกิ ยาว ๓ ศอก พระโอษฐย์ าว ๒ ศอก พระกรรณยาว ๑ วา (๒ เมตร) (เทิม และประสาร ๒๕๒๕, ๑๐๒ – ๑๐๕) - ยคุ เสอ่ื ม พ.ศ. ๒๐๖๘ – ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1525 – 1558) พระพทุ ธปฏมิ าซง่ึ มพี ระพักตรเ์ สย้ี ม นา่ จะเปน็ ที่นิยมในรัชกาลพญาเกศ (พ.ศ. ๒๐๖๙ – ๒๐๘๑ / ค.ศ. 1526 – 1538) เพราะว่าพระพุทธปฏิมาท่ีมีจารึกในรัชกาลน้ี มีลักษณะเช่นน้ีแทบทุกพระองค์ (Griswold 1957, No. 68 – 72) ถงึ แม้ว่าพระพุทธปฏมิ าในพระอโุ บสถวัดพระศรีรตั นศาสดาราม (รูปที่ ๕.๙๙) จะไม่มีจารึก แต่พุทธลักษณะก็สอดคล้องกับพระพุทธปฏิมาที่มีจารึกทุกประการ รวมท้ังน้ิว พระหัตถ์ทีเ่ รยี วยาวอกี ด้วย พระพทุ ธปฏิมาท่ีสร้างข้ึนในช่วงปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ – ต้น ๒๒ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16) ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธปฏิมาบูชา มีพระพักตร์เสี้ยม (รูปท่ี ๕.๑๐๐) ประทับเหนือฐานเขียงชั้นเดียวหรือ ฐานสองช้ันท่ีมีความเรียบง่าย หรือตกแต่งด้วยลายลูกประคำ (รูปที่ ๕.๑๐๑) ซึ่งอาจจะสะท้อนให้เป็น เศรษฐกิจท่ีตกต่ำในชว่ งระยะเวลาน้ี รปู ที่ ๕.๙๖ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธิราบ รปู ที่ ๕.๙๗ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางมารวิชยั ปางมารวิชยั สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๕๓ (ค.ศ. 1510) สร้างปี พ.ศ. ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1525) สมั ฤทธิ์ สูง ๗๑ เซนติเมตร สมั ฤทธ์ิ สูง ๑.๐๒ เมตร พระที่นง่ั อมั พรสถาน พระราชวังดสุ ติ วหิ ารสมเด็จฯ วดั เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรงุ เทพมหานคร กรงุ เทพมหานคร ๒๔๒ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย
รูปท่ี ๕.๙๘ พระเจ้าตนหลวง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๖๗ (ค.ศ. 1524) กอ่ อิฐถือปูน หนา้ ตกั กวา้ ง ๑๔ เมตร สูง ๑๖ เมตร วัดศรโี คมคำ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั พระเยา รูปท่ี ๕.๙๙ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ รูปท่ี ๕.๑๐๐ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธิราบ รปู ท่ี ๕.๑๐๑ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ปางมารวชิ ัย ปางมารวิชยั ครึง่ หลงั พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ – ตน้ ๒๒ ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ – ต้น ๒๒ (คร่ึงแรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16) (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 16) (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 16) สมั ฤทธิ์ สัมฤทธ์ิ หน้าตกั กว้าง ๗.๒ เซนตเิ มตร สมั ฤทธิ์ หน้าตักว้าง ๑๖.๕ เซนตเิ มตร พระอุโบสถวดั พระศรีรัตนศาสดาราม สงู ๑๔.๕ เซนตเิ มตร สูงรวมฐาน ๓๖ เซนตเิ มตร ในพระบรมมหาราชวงั สมบัติของเอกชน สมบัติของเอกชน พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิราบ ๒๔๓
รปู ที่ ๕.๑๐๒ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธริ าบ (๓) ช่วงพมา่ ปกครอง พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1558 – 1774) ปางมารวชิ ัย สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๓๒ (ค.ศ. 1589) หลงั จากพระเจ้าบุเรงนองโจมตนี ครเชียงใหมไ่ ด้ในปี พ.ศ. ๒๑๐๑ (ค.ศ. 1558) ทำใหพ้ ม่าปกครอง สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กว้าง ๕๘ เซนตเิ มตร ลา้ นนาไปอกี ๒๑๖ ปี จนถงึ พ.ศ. ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1774) สงู ๑.๓๕ เมตร วัดพระธาตุชา้ งค้ำ ในช่วงระยะเวลากว่าสองศตวรรษที่พม่าปกครองล้านนาน้ัน พม่าให้ล้านนาเป็นมณฑลหน่ึงของ อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั น่าน ราชอาณาจักรพมา่ โดยยึดถอื จารีตประเพณีเดมิ ของทอ้ งถน่ิ ในการปกครอง (สรัสวดี ๒๕๓๙, ๒๒๓ – ๒๕๓) ซ่ึงส่งผลให้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาดำเนินต่อไปโดยมิได้รับการแทรกแซงจากพม่า อันเห็นได้จากรูปแบบ ของพระพุทธปฏมิ าทม่ี ไิ ดร้ บั อิทธิพลจากศลิ ปะพม่าแม้แต่น้อย พระพทุ ธปฏมิ าทมี่ ีจารึกสรา้ งขนึ้ ในชว่ งระยะเวลาน้ี เชน่ พระพทุ ธรูปของวัดช้างคำ้ อำเภอเมอื งฯ จังหวัดน่าน (รูปท่ี ๕.๑๐๒) สร้างข้ึนในปี พ.ศ. ๒๑๓๒ (ค.ศ. 1589) (ศิลปากร ๒๕๓๐ ก, ๑๒๑) และ วัดปราสาท อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่ ๕.๑๐๓) สร้างข้ึนในปี พ.ศ. ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1590) (ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๑๐๓) มพี ุทธลักษณะทีใ่ กลเ้ คียงกันคือรศั มเี ปน็ เปลวสูง พระพกั ตรเ์ สี้ยม พระขนง โกง่ โค้งบรรจบกันเปน็ เส้นคมกลางสันพระนาสกิ ปลายพระนาสิกงมุ้ พระโอษฐ์คลา้ ยกระจับ นิ้วพระหัตถ์ ยาวเรียวมีขนาดเท่ากัน ซึ่งลักษณะดังกล่าวพบในพระพุทธปฏิมาอยุธยาหมวดกำแพงเพชร (ดูรูปที่ ๕.๑๐๒) และพระพุทธรูปล้านช้าง เช่นพระเจ้าองค์ตื้อ (ดูรูปที่ ๕.๑๑๐) ส่วนพระพุทธรูปของวัดชัย- พระเกียรติ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ (รูปที่ ๕.๑๐๔) ซ่ึงสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๓๔ (ค.ศ. 1591) แตกต่างจากพระพทุ ธปฏิมาทีส่ ร้างขึ้นในศตวรรษก่อนหน้าตรงลกั ษณะทีก่ ลา่ วถงึ ข้างตน้ แตฐ่ านบวั หงาย รองรับด้วยฐานเขียงหกเหล่ียมยังเหมือนเดมิ ในปี พ.ศ. ๒๒๔๔ (ค.ศ. 1701) พม่าแบ่งเขตการปกครองล้านนาออกเป็น เชยี งใหม่ กบั เชียงแสน ซ่ึงต่างก็ข้ึนกับกษัตริย์ท่ีกรุงอังวะโดยตรง จึงทำให้เชียงแสนเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อันเห็นได้จาก การหล่อพระพุทธปฏิมาพระเจ้าล้านทอง วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย (Stratton 2004, 237) ขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๒๖๙ (ค.ศ. 1726) โดยพญาหลวงเจา้ มังคละสแพก ซง่ึ ปกครอง เชยี งรายและเชียงแสน พระพทุ ธรปู องค์นมี้ ีน้ำหนัก ๓ แสน ๕ หมื่นทอง (๔๒๐ กิโลกรัม) (จารึกลา้ นนา ภาค ๑ เลม่ ๑ ๒๕๓๔, ๒๐ – ๒๑) รปู ท่ี ๕.๑๐๓ พระสมณโคดม รปู ที่ ๕.๑๐๔ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวิชัย ปางมารวิชัย สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๓๔ (ค.ศ. 1591) สรา้ งปี พ.ศ. ๒๑๓๓ สมั ฤทธิ์ สงู ๑ เมตร (ค.ศ. 1590) วดั ชยั พระเกยี รติ สมั ฤทธิ์ สงู ๑.๑๔ เมตร อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดเชียงใหม่ วัดปราสาท อำเภอเมอื งฯ จังหวัดเชียงใหม่ ๒๔๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศลิ ป์ไทย
(๔) ชว่ งประเทศราชของสยาม พ.ศ. ๒๓๑๗ – ๒๔๔๒ (ค.ศ. 1774 – 1899) เมื่อชาวล้านนาเข้าสวามิภักด์ิต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ และ ออกจากเชยี งแสนในอกี สามสิบปตี ่อมา คอื ชว่ งทล่ี า้ นนาเป็นประเทศราชของกรุงสยาม พระพทุ ธรปู ล้านนา ยังคงดำรงเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น พระพุทธรูปท่ีท้าวอินธนูสร้างถวายพระธาตุลำปางหลวง เมือง ลำปางในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ (ค.ศ. 1853 – 1854) (รปู ที่ ๕.๑๐๕) สบื ทอดพทุ ธลักษณะแบบล้านนา แตฐ่ าน บัวหงายนั้นรองรับด้วยฐานหน้ากระดานแบบภาคกลาง และพระประธานวัดหนองบัว อำเภอท่าวังผา จังหวัดนา่ น (รูปท่ี ๕.๑๐๖) ซ่ึงอาจจะสรา้ งข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๐๕ (ค.ศ. 1862) ตามประวัตจิ ากคำบอกเลา่ (น. ณ ปากนำ้ ๒๕๒๙, ๒๓) แสดงให้เห็นอทิ ธพิ ลของพุทธลักษณะแบบลา้ นช้างได้ชัดเจน ซึ่งพระพุทธปฏมิ า ทั้งสององคน์ ี้สรา้ งขึน้ ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ถึงแม้ว่าเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าเมืองน่าน จะเร่ิมบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและพระวิหาร วัดภูมินทร์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่านในปี พ.ศ. ๒๔๑๐ (ค.ศ. 1867) แต่ใช้เวลาในการซ่อมถึงแปดปี (เรื่องเดียวกัน, ๙) จึงเสร็จส้ินลงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์พระประธาน วดั ภูมินทร์ (รูปท่ี ๕.๑๐๗) จงึ สะท้อนใหเ้ หน็ รปู แบบและคา่ นยิ มจากกรุงรัตนโกสนิ ทร์ ตั้งแตข่ มวดพระศก เป็นหนามทุเรียน ถึงฐานหนา้ กระดานลูกแกว้ อกไก่ทตี่ กแตง่ ดว้ ยลายแบบภาคกลาง รปู ท่ี ๕.๑๐๕ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย สรา้ งปี พ.ศ. ๒๓๙๖ (ค.ศ. 1853) สัมฤทธ์ิ วัดพระธาตลุ ำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง รปู ที่ ๕.๑๐๖ พระประธานวัดหนองบวั รูปท่ี ๕.๑๐๗ พระอดีตพุทธะส่พี ระองค์ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๐๕ (ค.ศ. 1862) บูรณปฎิสงั ขรณ์ ปี พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๑๘ ก่ออิฐถือปูน (ค.ศ. 1867 - 1875) วดั หนองบัว กอ่ อิฐถือปนู หนา้ ตักกวา้ ง ๒.๗๐ เมตร อำเภอท่าวงั ผา จงั หวดั นา่ น วดั ภมู ินทร์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดนา่ น พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธริ าบ ๒๔๕
รูปท่ี ๕.๑๐๘ พระแซกคำ ๗.๓ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชยั สมยั ล้านช้าง ครง่ึ หลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครึง่ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16) สมั ฤทธิ์ หนา้ ตักกวา้ ง ๔๖ เซนตเิ มตร (๑) ช่วงอาณาจกั รล้านชา้ ง พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703) พระอโุ บสถวดั คฤหบดี กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยที่เชื่อว่าเป็นพระพุทธปฏิมาคู่บ้านคู่เมืองของ อาณาจักรล้านช้าง ซ่งึ มีความศักดส์ิ ิทธ์แิ ละมคี วามงามเปน็ เลิศ ประดิษฐานอย่ใู นประเทศไทยหลายองค์ (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๑๗๖ – ๑๘๐) ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสร้างข้ึนในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. ๒๐๙๓ – ๒๑๑๕ / ค.ศ. 1550 – 1572) พระพุทธปฏิมาท่ีน่าจะสร้างขึ้นก่อนสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้แก่ พระแซกคำ วัดคฤหบดี กรุงเทพมหานคร (รูปท่ี ๕.๑๐๘) ซึ่งมีพระพักตร์กลม พระวรกายส้ัน พระมังสาเป็นมัด คล้ายกับ พระพทุ ธปฏิมาสโุ ขทัยที่ไดร้ บั อิทธพิ ลจากพระขนมตม้ ของอยธุ ยา (ดูรปู ท่ี ๕.๑๓๔) จงึ เปน็ ไปไดว้ า่ อาจจะ สร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน คือคร่ึงหลังพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึ่งแรกคริสต์ศตวรรษที่ 16) ซง่ึ สอดคล้องกับตำนานทกี่ ล่าวว่าในสมยั พระเจ้าโพธสิ าลธรรมกิ ราช (พ.ศ. ๒๐๖๓ – ๒๐๙๓ / ค.ศ. 1520 – 1550) พระแซกคำแสดงปาฏิหาริย์ เสด็จมาทางอากาศ พระเจ้าโพธิสาลจึงโปรดให้สร้างปราสาทเป็นที่ ประดิษฐานในนครหลวงพระบาง และเมือ่ พระเจ้าไชยเชษฐาธริ าชอัญเชญิ พระรตั นปฏมิ า หรอื พระพทุ ธ- มหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต จากเมืองเชียงใหม่ก็นำไปประดิษฐานในปราสาทเดียวกัน คร้ันเม่ือย้ายราชธานีไปท่ีนครเวียนจันท์ในปี พ.ศ. ๒๑๐๓ (ค.ศ. 1560) ก็อัญเชิญพระแซกคำไปไว้ที่นั่น พร้อมกับพระรัตนปฏิมาและพระบาง (ศิลปากร ๒๕๔๓ ก, ๗๗) ต่อมาเมื่อเจา้ พระยาบดินทรเดชา (สงิ ห์ สิงหเสนี) ขึ้นไปปราบสมเด็จพระราชเชษฐา (เจ้าอนุวงศ์) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ (ค.ศ. 1826) จึงอัญเชิญ พระแซกคำมาถวายพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงพระองค์พระราชทานแก่พระยาราชมนตรี (ภ)ู่ ให้เปน็ พระประธานวดั คฤหบดที ี่ทา่ นเปน็ ผู้สรา้ ง พระเจ้าองค์หลวง วัดผดุงสุข อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย (รูปท่ี ๕.๑๐๙) เป็นพระ พุทธปฏิมาก่ออิฐถือปูน ศิลาจารึกวัดผดุงสุขกล่าวว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช โปรดให้สร้างข้ึนในปี พ.ศ. ๒๐๙๔ (ค.ศ. 1551) (การศาสนา เล่ม ๑๐ ๒๕๓๔, ๓๔๖) คอื ๙ ปกี อ่ นท่ีพระองคจ์ ะสถาปนานคร เวยี งจันท์ข้นึ เปน็ ราชธานขี องกรุงศรีสัตนาคนหตุ พระพุทธปฏิมาท่ีมีจารึกระบุปีสร้าง พ.ศ. ๒๑๐๕ (ค.ศ. 1562) ได้แก่ พระเจ้าองค์ตื้อ (หนึ่งต้ือ ประมาณ ๑๒,๐๐๐ กิโลกรัม) วัดศรีชมภูองค์ต้ือ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย (รูปที่ ๕.๑๑๐) (มหานิมิตย์ ๒๕๔๗, ๙) พระเจ้าองค์ตื้อมีพระพักตร์เสี้ยม พระขนงโก่งเป็นสันคม พระเนตรเหลือบลง พระโอษฐ์กว้าง ทิ้งพระหัตถ์เป็นธรรมชาติ รัศมีเป็นรูปเปลวสูง พระพุทธปฏิมาองค์นี้อาจจะจำลองมา จากพระเจา้ องค์ตอื้ ทีน่ ครเวยี งจันท์ ซง่ึ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชโปรดใหส้ รา้ งข้ึนในปเี ดียวกันกบั ทเ่ี สดจ็ มา ครองนครเวียงจนั ท์ (สุรสวสั ด์ิ ๒๕๓๕, ๗๙) พระเจ้าองค์ตื้อเป็นพระพุทธรูปสำคัญและศักด์ิสิทธิ์ของจังหวัดหนองคาย มีเรื่องเล่ากันว่า เมอ่ื พวกฮอ่ ข้ามโขงมาที่วัด เพือ่ ที่จะทำลายขวัญของชาวบา้ น โดยจ้วงขวานฟนั ลงทพี่ ระชานุ ไดย้ นิ เสียง ร้องจากพระโอษฐ์ และพระโลหิตไหลออกจากบาดแผล พวกฮอ่ เหน็ เปน็ อัศจรรยจ์ ึงยกทพั กลับ แต่ถึงแก่ ความตายหมดทกุ คน นอกจากน้นั แล้ว ผู้ทจ่ี ะออกศึกสงครามมาบนบานขอใหพ้ ระองค์ทรงค้มุ ครอง กจ็ ะ ปลอดภัยมีชัยกลับมา และถ้าปรารถนาอยากจะได้บุตรธิดา และมีความเจริญรุ่งเรืองในอาชีพสุจริต ก็สามารถขอให้พระเจ้าองค์ต้ือบันดาลให้สมความปรารถนานั้น รวมท้ังผู้ที่ป่วยไข้ต้ังจิตอธิษฐานโรคน้ันก็ จะหายได้ (มหานิมิตย์ ๒๕๔๗, ๒๖ – ๒๗) รูปท่ี ๕. ๑๐๙ พระเจา้ องค์หลวง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๙๔ (ค.ศ. 1551) ก่ออฐิ ถือปูน หนา้ ตักกว้าง ๓ เมตร สูง ๓.๕๐ เมตร วดั ผดงุ สขุ อำเภอโพนพิสัย จังหวดั หนองคาย ๒๔๖ พระพุทธปฏมิ า อตั ลกั ษณ์พทุ ธศลิ ปไ์ ทย
รูปที่ ๕.๑๑๐ พระเจ้าองค์ตือ้ สร้างปี พ.ศ. ๒๑๐๕ (ค.ศ. 1562) สมั ฤทธ์ิ หน้าตักกวา้ ง ๓.๒๙ เมตร สงู ๔ เมตร วัดศรชี มภอู งคต์ อื้ อำเภอท่าบอ่ จังหวัดหนองคาย พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธิราบ ๒๔๗
พระเสริม พระอุโบสถวัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร (รูปท่ี ๕.๑๑๑) มีลักษณะคล้ายกับ พระเจ้าองคต์ อื้ แต่นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกนั พระพทุ ธรูปองค์นีอ้ ญั เชิญมาจากเวยี งจนั ท์ในปี พ.ศ. ๒๓๗๐ (ค.ศ. 1827) คร้ังเม่ือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้า- มหาศักดิพลเสพย์เสด็จขึ้นไปตีนครเวียงจันท์ แล้วอัญเชิญมาไว้ท่ีวัดโพธ์ิชัย เมืองหนองคาย ซ่ึงต้ังขึ้น แทนเวียงจนั ท์ พระบาทสมเด็จพระปน่ิ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงอญั เชิญมาไวท้ ก่ี รุงเทพฯ ประดษิ ฐานไว้บนพระ แท่นเศวตฉัตรในท้องพระโรง ก่อนท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงอัญเชิญไปเป็นพระ ประธานในพระอโุ บสถวัดปทุมวนาราม (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๙๔, ๖๘ – ๖๙) พระแสน (เมืองมหาชัย) ในพระวหิ ารวัดปทมุ วนาราม (รปู ที่ ๕.๑๑๒) และพระใส (รูปที่ ๕.๑๑๓) ซ่ึงเดิมอยู่กับพระเสริมในวัดโพธ์ิชัย จังหวัดหนองคาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด เกลา้ ฯ ให้เชิญมาไว้ในพระวิหารวดั ปทุมวนารามในปเี ดยี วกันคอื พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) (เร่อื งเดยี วกัน, ๗๐) พระพุทธปฏมิ าทง้ั สององคน์ ม้ี ีพทุ ธลกั ษณะพอ้ งกนั แตกต่างกนั ตรงทีพ่ ระแสน (เมอื งมหาชยั ) มนี ้ิว พระหัตถย์ าวเสมอกนั และฐานพระเทยี บเคยี งได้กับฐานพระพทุ ธลา้ นนารว่ มสมยั รปู ท่ี ๕.๑๑๑ พระเสรมิ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ตน้ ๒๒ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กวา้ ง ๑.๒ เมตร พระอโุ บสถวัดปทมุ วนาราม กรุงเทพมหานคร รปู ที่ ๕.๑๑๒ พระแสน (เมืองมหาชัย) รูปที่ ๕.๑๑๓ พระใส ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – ตน้ ๒๒ ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ – ต้น ๒๒ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 16) (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 16) สัมฤทธิ์ หน้าตักกวา้ ง ๕๗ เซนติเมตร สมั ฤทธิ์ หน้าตักกวา้ ง ๕๒ เซนติเมตร สงู ๘๙ เซนตเิ มตร พระอุโบสถวดั ปทมุ วนาราม พระวหิ ารวดั ปทุมวนาราม กรงุ เทพมหานคร กรุงเทพมหานคร ๒๔๘ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย
ส่วนพระใส วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมืองฯ จังหวัดหนองคาย (รูปที่ ๕.๑๑๔) มีพุทธลักษณะแบบ พระพุทธปฏิมาสกุลช่างเวยี งจันท์มากกวา่ องคท์ ี่กล่าวถึงข้างต้น นอกจากน้ันแล้ว ฐานท่มี ีลวดบวั ตอนบน และตอนลา่ งอ่อนโคง้ ก็เป็นลักษณะเฉพาะของสกลุ ช่างน้ีเชน่ กัน (Boun Souk 1971, 33) จงึ นา่ จะสร้าง ข้ึนในรชั สมัยของพระเจา้ สุริยวงสาธรรมกิ ราช (พ.ศ. ๒๑๗๖ – ๒๒๓๓ / ค.ศ. 1633 – 1690) มากกวา่ สมยั พระเจ้าไชยเชษฐาธริ าช หลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดหนองคายอีกองค์หน่ึง เล่ากันว่า เม่ือ พระเจ้าสุริยวงสาธรรมิกราช จะเสด็จขึ้นเสวยราชย์ในนครศรีสัตนาคนหุตน้ัน ทรงอธิษฐานว่า หากการ ปกครองของพระองค์จะมีความสงบสุขปราศจากศัตรูภัยแล้ว ขอให้หลวงพ่อแสดงเหตุอัศจรรย์ให้ ประจักษ์ในวันท่ีเสด็จขึ้นเสวยราชย์ด้วย โดยในวันดังกล่าวเกิดพายุฝน แต่มิได้เป็นอันตรายแก่คนและ สตั ว์ จงึ เปน็ นิมิตหมายซ่ึงปรากฏว่าพระองคไ์ ด้ทรงปกครองบา้ นเมืองใหอ้ ยเู่ ยน็ เป็นสุขตลอดรัชสมยั ของ พระองค์ และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานี อัญเชิญพระใสจาก วัดประดิษฐ์ธรรมคุณ อำเภอเมืองฯ จังหวัดหนองคาย มาประดิษฐานท่ีกรุงเทพฯ แต่พอถึงวัดโพธ์ิชัย เกวียนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทน แต่ก็เคลื่อนที่ไม่ได้อีกเช่นกัน จึงตัดสินใจท่ีจะ อัญเชิญพระใสประดิษฐานไว้ในวัดโพธ์ิชัย หลังจากตั้งจิตอธิษฐานดังนั้นแล้ว ก็สามารถหามองค์พระข้ึน โดยใช้คนเพยี งไม่ก่คี น (อารกั ษ์ ๒๕๔๕, ๙ – ๑๑) รปู ท่ี ๕.๑๑๔ พระใส ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ – ตน้ ๒๓ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 17) สัมฤทธิ์ หนา้ ตักกวา้ ง ๖๖ เซนตเิ มตร วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมืองฯ จงั หวดั หนองคาย พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ๒๔๙
รปู ที่ ๕.๑๑๕ ก. พระเศียรพระแสน (เมอื งเชยี งแตง) ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ต้น ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17) สัมฤทธิ์ หน้าตกั กวา้ ง ๖๕ เซนตเิ มตร พระอโุ บสถวดั หงสร์ ัตนาราม กรงุ เทพมหานคร รปู ที่ ๕.๑๑๕ ข. พระแสน (เมอื งเชียงแตง) ประดิษฐานดา้ นหนา้ พระประธาน พระอุโบสถวดั หงส์รัตนาราม กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏิมาแบบสกุลช่างเวียงจันท์ที่สำคัญอีกองค์หนึ่งได้แก่พระแสน (เมืองเชียงแตง) วดั หงสร์ ตั นาราม พระพุทธปฏมิ าองค์น้ี พระเศียรแสดงใหเ้ ห็นพุทธลักษณะของพระพุทธรปู ลาวได้อย่าง ชัดเจน (รปู ท่ี ๕.๑๑๕ ก.) เชน่ พระรัศมีเป็นเปลวประดับดว้ ยแก้วและเพชรพลอย พระศกเปน็ หนามขนุน มีไรพระศก พระขนงโก่งยกขอบสงู พระนาสิกโด่งปลายงุ้ม พระโอษฐย์ ้มิ พระกรรณประดษิ ฐ์ขมวดม้วน พระศอทำเปน็ ปล้อง (สงวน รอดบุญ ๒๕๔๕, ๑๗๑ – ๑๗๓) และอาจจะสรา้ งข้ึนโดยพระครโู พนเสม็ดท่ี เมอื งเชียงแตง ปัจจบุ ันคอื สตรงึ แตรง ตำบลหางโขง แขวงจำปาศักด์ิ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๒๓๓ – ๒๒๕๒ (ค.ศ. 1690 – 1709) ตามที่กลา่ วถึงในประวัตขิ องพระพทุ ธปฏมิ าองคน์ ้ี (เติม ๒๕๓๐, ๓๙ - ๔๐) พระ พุทธปฏิมาองค์นี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากเมืองเชียงแตง ในปี พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) เพื่อประดิษฐานหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดหงส์รัตนาราม (รูปที่ ๕.๑๑๕ ข.) ซึ่งสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระราชชนนี ทรงปฏิสังขรณ์วัดนี้ ประชาชนมักจะนำ ข้าวเหนยี ว ปลาร้า และไขต่ ้มมาถวายเป็นการแก้บนอยู่เสมอ (วรนนั ทน์ ๒๕๔๓, ๑๔๒) ๒๕๐ พระพุทธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
รปู ที่ ๕.๑๑๖ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ รปู ท่ี ๕.๑๑๗ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย ปางมารวชิ ยั ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ – ตน้ ๒๓ ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ตน้ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17) (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 17) สมั ฤทธิ์ หน้าตกั กวา้ ง ๓๖ เซนติเมตร สัมฤทธิ์ หนา้ ตกั กว้าง ๔๘.๕ เซนตมิ เตร สูง ๗๗ เซนติเมตร สูง ๑.๒๙ เมตร วัดเมธังกราวาส วิหารสมเดจ็ ฯ วดั เบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม อำเภอเมืองฯ จงั หวัดแพร่ กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏิมาท่ีอาจจะสร้างขึ้นในรัชกาลของพระเจ้าสุริยวงสาธรรมิกราช ซ่ึงครองราชย์ ยาวนานถึง ๕๗ ปี ได้แก่ พระพุทธปฏิมาวัดเมธังกราวาส อำเภอเมืองฯ จังหวัดแพร่ (รูปที่ ๕.๑๑๖) ประทับเหนือเกษรบัวรองรับด้วยฐานบัวคว่ำบัวหงายปลายงอน หน้ากระดานแต่งด้วยลูกแก้วอกไก่เหนือ ฐานเขียงหกเหลี่ยม ส่วนพระพุทธปฏิมาในวิหารสมเด็จฯ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (รูปท่ี ๕.๑๑๗) นั้น ประทับเหนือฐานบัวหงาย รองรับด้วยฐานหน้ากระดานหกเหลี่ยมฉลุลูกฟัก ซ้อนกันสองช้ันต้ังบน ชนวนอกี ต่อหน่งึ ซง่ึ น่าจะเปน็ ต้นแบบใหก้ บั ฐานพระพทุ ธรปู ประทับขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ัยในระเบยี ง หอพระแก้ว นครเวยี งจนั ท์ ซง่ึ มลี ักษณะใกลเ้ คียงกนั (สมเกียรติ ๒๕๔๓, ๑๘๘) สว่ นพระพทุ ธปฏมิ าวัด ไชยาติการาม อำเภอพนา จงั หวดั อำนาจเจรญิ (รูปที่ ๕.๑๑๘) ซึ่งประทับบนกลบี บัวบาน รองรับดว้ ยฐาน บัวควำ่ บัวหงายปลายงอน เหนอื ฐานเขยี งยกสงู อาจจะสร้างขึ้นในชว่ งปลายของรัชกาลนีเ้ ช่นกนั รูปที่ ๕.๑๑๘ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ัย กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๓ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 17) สมั ฤทธิ์ สูง ๕๕ เซนตเิ มตร วดั ไชยาติการาม อำเภอพนา จงั หวดั อำนาจเจรญิ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ๒๕๑
(๒) ช่วง ๓ นครรัฐ พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๓๓๒ (ค.ศ. 1703 – 1789) ในชว่ งปี พ.ศ. ๒๒๕๔ – ๒๒๖๓ (ค.ศ. 1711 – 1720) ชาวเวียงจนั ท์ท่อี พยพมาพร้อมกับพระครู โพนเสม็ด จากเขตเมอื งจำปาศกั ดิ์ ไดม้ าต้งั บ้านเรอื นอยู่ในทอ้ งทซ่ี ง่ึ ปจั จุบันได้แก่ บา้ นพระเหลา อำเภอ พนา จังหวัดอำนาจเจรญิ (ศลิ ปากร ๒๕๓๒, ๑๒๔) ในปี พ.ศ. ๒๒๖๓ (ค.ศ. 1720) พระครูธิ จึงไดส้ รา้ ง “พระเหลา” (รูปท่ี ๕.๑๑๙) ซ่ึงเป็นชื่อท่ีชาวบ้านเรียก “เพราะงดงามคล้ายเหลาด้วยมือจริงๆ” (พระเหลาเทพนิมิต ๒๕๔๙, เอกสารแผ่นพับ) พระเหลาเทพนิมิตจึงเป็นตัวอย่างของพระพุทธรูปใน สกุลช่างเวียงจันท์อีกองค์หน่ึง ความศักด์ิสิทธิ์ของพระเหลาเห็นได้จากปรากฏการณ์ในคืนวันโกนและ วันพระ ๗, ๘ และ ๑๔, ๑๕ ค่ำ ที่มีผู้เห็นแสงสีเขียวแกมขาวลอยออกมาจากอุโบสถเป็นประจำ (เร่ืองเดียวกัน, หนา้ เดียวกัน) รปู ที่ ๕.๑๑๙ พระเหลาเทพนมิ ติ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๒๖๓ (ค.ศ. 1720) ก่ออฐิ ถอื ปนู หนา้ ตกั กวา้ ง ๒.๘๕ เซนติมเตร สูง ๒.๗๐ เมตร วดั พระเหลาเทพนิมิต อำเภอพนา จงั หวัดอำนาจเจรญิ ๒๕๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
(๓) ช่วงประเทศราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. ๒๓๓๒ – ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1789 – 1893) ในปี พ.ศ. ๒๓๑๓ – ๒๓๑๙ (ค.ศ. 1770 – 1776) ชาวลาวกลุ่มหนง่ึ ได้อพยพจากเมอื งหนองบัวลุ่มภู คือท้องท่ีจังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน ไปต้ังถิ่นฐานในเขตจังหวัดอุบลราชธานี และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๓๕ (ค.ศ. 1792) จึงได้ตั้งเมืองอุบลราชธานีศรวี นาลัยขน้ึ โดยมีพระปทมุ วรราชสรุ ิยวงศ์ เป็นเจ้าเมือง คนแรก (ศิลปากร ๒๕๓๒, ๑๒๔) เมอื่ ทา่ นถงึ อนิจกรรมแลว้ น้องชายของท่าน พระพรหมวรราชสรุ ิยวงศ์ จึงครองเมอื งสืบต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ (ค.ศ. 1807) มหาราชครูศรสี ทั ธรรมวงศาชักชวนศษิ ย์ของท่าน สร้างพระพุทธปฏิมาองค์หนึ่ง ก่ออิฐถือปูน และถวายพระนามแก่พระพุทธปฏิมาว่า “พระเจ้าอินแปง” (เทิม และประสาร ๒๕๒๔, ๕๖ – ๖๕) (รูปที่ ๕.๑๒๐) เช่นเดียวกับพระเหลา พระเจ้าอินแปงเป็น พระพุทธปฏิมาในสกุลช่างเวียงจันท์รุ่นหลัง เห็นได้จากพระขนงท่ีโก่งยกขอบแยกออกจากกันเหมือนค้ิว คนธรรมดา และนิว้ พระหตั ถ์ทีย่ าวเสมอกัน รูปท่ี ๕.๑๒๐ พระเจา้ อินแปง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๓๕๐ (ค.ศ. 1807) ก่ออฐิ ถอื ปนู หนา้ ตักกวา้ ง ๓ เมตร วดั มหาวนาราม อำเภอเมืองฯ จงั หวัดอบุ ลราชธานี พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ๒๕๓
๗.๔ พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธริ าบ ปางมารวชิ ยั สมยั กมั โพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ที่สร้างขึ้นในรัฐกัมโพชหรือภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย ในช่วงครึ่งแรกพุทธ- ศตวรรษที่ ๑๙ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษท่ี 13) ภายใต้คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ มีรูปแบบท่ีเรียกว่า “แบบอทู่ อง แบบที่ ๑” คอื พระพักตร์เหมอื นพระพทุ ธรปู สมัยทวารวดี หรอื เขมร และมีพระรัศมีเป็นรูปฝาชี ตัวอย่างของพระพุทธปฏิมาในหมวดนี้ได้แก่ พระพุทธปฏิมาพบที่ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี (รูปท่ี ๕.๑๒๑) ซ่ึงยังธำรงรักษารูปแบบเขมรไว้ เช่น พระพักตร์เหลี่ยม มีไรพระศก พระเกศาถักเป็นเส้น สวมกรองศอทับชายจีวรท่ีพับทบเป็นแถบใหญ่ ท่อนบนของสบงทำเป็นขอบนูน และพระพุทธรูปในพระท่ีน่ังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปที่ ๕.๑๒๒) ซึ่งมีพระพักตร์เหล่ียมคล้าย พระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ มไี รพระศกเปน็ แถบเรยี บ พระเศียรค่อนขา้ งแบน เมด็ พระศกใหญ่ พระเมาลีเป็น เส้นขีดรับกับพระรัศมีทรงกรวยเรียบ ครองจีวรห่มดอง ชายเป็นแถบใหญ่ ประทับเหนือฐานบัวคว่ำ บวั หงาย เว้าเข้าตรงกลางรับกบั พระชงฆ ์ รปู ท่ี ๕.๑๒๑ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชัย รปู ท่ี ๕.๑๒๒ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวิชยั พบทีต่ ำบลพิหารแดง คร่งึ แรกพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ อำเภอเมืองฯ จังหวดั สุพรรณบุรี (คร่งึ หลงั คริสต์ศตวรรษท่ี 13) คร่ึงแรกพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ สัมฤทธ์ิ สงู ๑๘ เซนตเิ มตร (ครึง่ หลงั ครสิ ต์ศตวรรษที่ 13) พระทีน่ ั่งอัมพรสถาน พระราชวังดสุ ิต สัมฤทธ์ิ หนา้ ตักกว้าง ๑๗ เซนตเิ มตร สมบตั ขิ องเอกชน ๒๕๔ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย
๗.๕ พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยอยธุ ยา (๑) เมอื งพระยามหานคร พ.ศ. ๑๘๙๔ – ๑๙๙๑ (ค.ศ. 1351 – 1448) เศียรพระพุทธปฏิมาศิลาทรายขาว ได้จากวัดนครโกษา อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี (รูปท่ี ๕.๑๒๓) น่าจะเก่าท่ีสุดในบรรดา พระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบท่ี ๓” ท้ังนี้เพราะมีพระเมาลีแบน และพระรัศมีทรงกรวยเตี้ย นอกจากนั้นแล้วยังมีเส้นตรงที่ผ่าเหนือพระโอษฐ์ผ่านกลางพระโอษฐ์ และ กลางพระหนุ เช่นเดียวกันกับพระพักตร์ของพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ขวาประทานอภัย ใน “แบบ อู่ทอง แบบที่ ๑” (ดูรูปที่ ๘.๒๑) ซง่ึ กำหนดอายุอยู่ในช่วงครง่ึ แรกพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (ครง่ึ หลงั ครสิ ต์ ศตวรรษท่ี 14) เศยี รสมั ฤทธขิ์ นาดใหญ่ พระพักตร์รูปไข่ พระขนงโค้งจรดกันเหนือสนั พระนาสกิ พระเนตรเหลือบ ลง พระโอษฐม์ ีเส้นลอ้ ม และมพี ระมัสสุเป็นเสน้ บาง (รูปที่ ๕.๑๒๔) นา่ จะเปน็ เศียรของพระพุทธปฏิมา สำคัญ และเก่าที่สุดองค์หนึ่งในหมวดนี้ กำหนดอายุได้ในช่วงคร่ึงแรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครึ่งหลัง ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 14) เชน่ กัน รูปท่ี ๕.๑๒๓ เศยี รพระสมณโคดม ไดจ้ ากวดั นครโกษา อำเภอเมอื งฯ จังหวัดลพบุร ี ครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (คร่งึ หลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14) ศิลาทรายขาว สงู ๕๐ เซนตเิ มตร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รูปที่ ๕.๑๒๔ เศยี รพระสมณโคดม คร่งึ แรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (ครึง่ หลงั ครสิ ต์ศตวรรษที่ 14) สัมฤทธ์ิ สูง ๑.๑๒ เมตร พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธิราบ ๒๕๕
(๒) ช่วงเมอื งลูกหลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) พระพทุ ธปฏมิ าทสี่ รา้ งขึน้ ในช่วงปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – กลาง ๒๒ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 15 – กลาง 16) น่าจะไดแ้ กก่ ลมุ่ ทพ่ี บในกรุวดั พระศรสี รรเพชญ์ (รูปที่ ๕.๑๒๕) และกล่มุ ทพี่ บในกรวุ ัดราชบูรณะ เช่นพระพุทธปฏมิ าทองคำ (รูปท่ี ๕.๑๒๖) โดยมีรัศมเี ป็นเปลวสงู ชะลดู และลวดบัวชน้ั ล่างของฐานหนา้ กระดานงอนข้ึนเล็กน้อย (ศิลปากร ๒๕๐๒, รูปท่ี ๓๗ – ๓๘) แต่น้อยกว่าฐานของพระพุทธรูปล้านช้าง พระพุทธปฏิมาที่อาจจะสร้างข้ึนในช่วงระยะเวลาเดียวกัน น่าจะได้แก่พระพุทธปฏิมาท่ีได้จากวัดส่ีจีน (ปัจจุบันคือวัดจตุรมิตรประดิษฐาราม) เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๕.๑๒๗) ซ่ึงประทับ เหนือฐานบัวคว่ำบัวหงาย ในพระระเบียงของพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบท่ี ๓” น้ีเป็นที่แพร่หลายในอาณาจักรอยุธยา อันเห็นได้จากพระพุทธรูปท่ีพบท่ีเกาะถ้ำ จงั หวดั สงขลา (รปู ท่ี ๕.๑๒๘) รูปท่ี ๕.๑๒๕ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธ ิ ได้จากกรุวดั พระศรสี รรเพชญ์ จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – กลาง ๒๒ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15 – กลาง 16 ) สมั ฤทธิ์ สูง ๔๘.๕ เซนติเมตร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ จงั หวดั น่าน รูปที่ ๕.๑๒๖ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ รปู ท่ี ๕.๑๒๗ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวชิ ยั ปางมารวิชัย ได้จากกรพุ ระปรางค ์ ไดจ้ ากวดั จตุรมติ รประดษิ ฐาราม วัดราชบรู ณะ จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา เขตบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ – กลาง ๒๒ กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – กลาง ๒๑ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15 – กลาง 16) (ครสิ ต์ศตวรรษที่ 15) ทองคำ สงู ๑๖.๖ เซนตเิ มตร สัมฤทธ์ิ หน้าตกั กว้าง ๗๖ เซนติเมตรสงู ๑.๓๐ เมตร พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจา้ สามพระยา พระระเบียงพระอโุ บสถวัดเบญจมบพติ รดุสิตวนาราม จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา กรงุ เทพมหานคร ๒๕๖ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย
รปู ท่ี ๕.๑๒๘ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ ปางมารวชิ ยั พบทเ่ี กาะถำ้ จังหวัดสงขลา กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ – กลาง ๒๑ (ครสิ ต์ศตวรรษที่ 15) สมั ฤทธ์ิ สูง ๖๔.๒ เซนติเมตร พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ วัดมัชฌิมาวาส จงั หวัดสงขลา พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ๒๕๗
รูปที่ ๕.๑๒๙ พระมงคลบพิตร พระมงคลบพิตร ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั พระมงคลบพิตร (รูปที่ ๕.๑๒๙) เป็นพระพุทธปฏิมาสำคัญของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งน่าจะเป็นองค์ สร้างปี พ.ศ. ๒๐๘๑ (ค.ศ. 1538) เดยี วกบั “พระพุทธสยมภวู ญาณโมฬี นงั่ สมาธหิ น้าตกั ๑๖ ศอก หล่อดว้ ยทองเหลอื งอย่ใู นพระมหาวิหาร วิหารพระมงคลบพิตร ยอดมณฑปในวัดสุมงคลบพิตร” (คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ๒๕๓๔, ๒๕) เพราะประดิษฐาน วดั มงคลบพติ ร อยใู่ นวัดสุมงคลบพติ ร (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั สมเด็จพระพนรัตน์ ๒๕๓๕, ๒๕๗) ซงึ่ ตอ่ อำเภอพระนครศรีอยธุ ยา มาเรียกช่ือวัดย่อลงเป็น วัดมงคลบพิตร (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา (จาด) เลม่ ๒ ๒๕๐๔, ๔๙๔) และถวายพระนามพระพทุ ธปฏมิ าตามชอื่ วดั ว่า “พระมงคลบพิตร” เม่ือคร้งั ยงั มพี ระนามวา่ “พระพทุ ธสยมภูวญาณโมฬี” น้ัน ขนุ หลวงวัดประด่ทู รงธรรม จัดใหเ้ ป็น ๑ ใน “พระมหา- พทุ ธปฏมิ ากรทมี่ พี ระพุทธานุภาพเปน็ หลกั กรุง ๘ องค์” ซึง่ ถึงแม้วา่ พระเพลาปจั จุบนั วัดได้ ๙.๕๕ เมตร ไมใ่ ช่ ๘ เมตร (๑๖ ศอก) แตก่ ม็ ขี นาดท่ีใหญพ่ อ ๆ กัน พระมงคลบพิตรมีพระพักตร์เป็นรูปไข่ รัศมีรองรับด้วยกลีบบัวหงาย พระขนงเป็นเส้นคมโค้ง บรรจบกันเหนือสันพระนาสิก พระเนตรเหลือบลง หลังพระเนตรนูน พระโอษฐ์ย่ืน และพระหนุหลุบ ลักษณะดังกล่าวยังปรากฏในเศียรท่ีได้จากศาลาการเปรียญวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา ปจั จบุ นั อยู่ในพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร (รปู ท่ี ๕.๑๓๐) และพระพทุ ธรปู ประทบั เหนือกองทัพมาร มีพระแมธ่ รณีบีบมวยผมอยู่เหนือศีรษะพญามาร (รูปท่ี ๕.๑๓๑) ทม่ี ีพระพกั ตร์ในลกั ษณะเดียวกันอีกดว้ ย ซึ่งคงจะสร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (กลางคริสต์ ศตวรรษที่ 16) รปู ท่ี ๕.๑๓๐ เศยี รพระสมณโคดม ไดจ้ ากศาลาการเปรยี ญ วัดพระศรสี รรเพชญ ์ จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16) สัมฤทธ์ิ สงู ๑.๖๗ เมตร พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ๒๕๘ พระพุทธปฏมิ า อตั ลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย
รปู ที่ ๕.๑๓๑ พระสมณโคดมประทบั เหนือ กองทพั มาร ปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 ) สัมฤทธิ์ ลงรักปิดทอง สงู ๓๔ เซนตเิ มตร พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย เป็นปางท่ีนิยมมากท่ีสุดในอาณาจักรอยุธยา โดยเฉพาะพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบท่ี ๓” ซ่ึงเป็นหมวดใหญ่ท่ีสุดของพระพุทธปฏิมาอยุธยา มี พทุ ธลกั ษณะท่ีพ้องกนั คอื พระพักตร์เปน็ รปู ไข่ มีไรพระศก รัศมีเปน็ เปลวสูง ชายสงั ฆาฏิยาว ปลายตดั ตรง ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชยั รองรบั ด้วยฐานหน้ากระดานทเ่ี วา้ เข้าตรงกลาง อันเหน็ ได้จาก เมอ่ื ได้ มีการเปิดกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ พระนครศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ. 1957) พบพระพุทธ- ปฏมิ าสมั ฤทธ์ิ ที่จำแนกไวใ้ นแบบอู่ทองมากทีส่ ดุ ถงึ ๓๘๙ องค์ ซึง่ แยกเปน็ แบบ อู่ทองแบบท่ี ๑ ได้ ๗ องค์ อทู่ องแบบท่ี ๒ ได้ ๒๖ องค์ และอทู่ องแบบท่ี ๓ ได้ ๓๕๖ องค์ (ศลิ ปากร ๒๕๐๒, ๑๖) ซึ่งแสดงให้ เห็นว่า เมื่อได้มีการบรรจุพระพุทธปฏิมาลงในกรุของพระปรางค์น้ัน พระพุทธปฏิมาอันเป็นท่ีนิยมแพร่ หลายในชว่ งระยะเวลานน้ั ไดแ้ ก่ พระพทุ ธปฏิมา “แบบอ่ทู อง แบบท่ี ๓” แต่อายเุ วลาของพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบที่ ๓” ไม่ได้ข้ึนอยู่กับอายุเวลาของการปิดกรุ เพราะว่าได้มีการจำลองพระพุทธปฏิมา “แบบอู่ทอง แบบท่ี ๓” ก่อนปี พ.ศ. ๒๐๘๑ (ค.ศ. 1538) แล้ว ก่อนที่จะนำมาบรรจุใน พระอุระและ พระพาหาเบอ้ื งซ้ายพระมงคลบพิตร (ณัฏฐภัทร ๒๕๔๙, ๑๕) ในปีนัน้ อนง่ึ พระปรางค์วัดราชบูรณะไมป่ รากฏอยู่ในแผนทซ่ี ง่ึ ชาวตะวนั ตกตพี ิมพใ์ นปี พ.ศ. ๒๒๒๙ และ ๒๒๓๐ (ค.ศ. 1686 และ 1687) (พิรยิ ะ ๒๕๓๖, ๔๒) แตอ่ ยู่ในแผนท่กี รุงศรอี ยุธยา ซึง่ หมอแกมเฟอร์ เขยี นข้นึ ดว้ ยดนิ สอเมอ่ื ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๒๓๓ (ค.ศ. 1690) ในชว่ งท่เี ขาพำนักอยู่ ณ ท่ีนนั้ (Terwiel 2003, 45) ดังน้ัน พระปรางค์วัดราชบรู ณะ จงึ นา่ จะสรา้ งขึน้ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๒๓๐ – ๒๒๓๓ (ค.ศ. 1687 – 1690) คือช่วงปีสดุ ทา้ ยของสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688) และสองปีแรกของสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. ๒๒๓๑ – ๒๒๔๖ / ค.ศ. 1688 – 1703) พระพุทธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิราบ ๒๕๙
- แบบสโุ ขทยั พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นหลังจากอยุธยาได้ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ สามารถแบ่งเป็น กลมุ่ ย่อย ตามพทุ ธลกั ษณะทส่ี ืบทอดมาจากเมอื่ คร้ังยงั เปน็ เมืองอสิ ระ ไดแ้ ก่ สโุ ขทัย กำแพงเพชร สวรรคโลก และพิษณโุ ลก พระพุทธปฏิมาแบบสุโขทัย ท่ีเรียกว่า “หมวดวัดตะกวน” แสดงให้เห็นอิทธิพลของพระ พุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางมารวิชยั แบบอยุธยา “แบบอทู่ อง แบบที่ ๓” เช่นพระพกั ตร์ รูปไข่ พระอรุ ะผาย พระอังสาและพระเพลาแคบ (รปู ท่ี ๕.๑๓๒) นอกจากนัน้ แล้ว พระขนงยังโค้ง มาบรรจบกันกลางสันพระนาสิกท่ีพระนลาฏอีกด้วย (รูปที่ ๕.๑๓๓) กำหนดอายุเวลาอยู่ในช่วง ครึ่งแรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครง่ึ หลงั คริสต์ศตวรรษที่ 15) นอกจากนั้นแลว้ พระพทุ ธปฏิมาแบบสโุ ขทัย ยงั รับอทิ ธพิ ลจากพระพุทธสหิ งิ ค์จำลองของ อยุธยา หรือ “พระขนมตม้ ” มพี ระวรกายสน้ั พระมังสาเป็นมัด พระเพลาแคบ ฐานมักจะสั้นกวา่ พระเพลาอีกด้วย เช่นพระพุทธรูปวัดพระเนตร อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน (รูปที่ ๕.๑๓๔) และ บางองคย์ ังมพี ระขนงโก่งเป็นเสน้ นูนโคง้ บรรจบกันที่สันพระนาสกิ (รปู ที่ ๕.๑๓๕) เชน่ เดียวกันกับ พระพุทธปฏิมาแบบกำแพงเพชร พระพุทธรูปแบบสุโขทัยทั้งสององค์นี้ อาจจะสร้างข้ึนในช่วง ครงึ่ หลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครง่ึ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 16) รปู ท่ี ๕.๑๓๒ พระสมณโคดมประทับขดั สมาธิราบ ปางมารวิชัย ครง่ึ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครง่ึ หลงั คริสต์ศตวรรษที่ 15) สัมฤทธิ์ วัดตะกวน จังหวดั สโุ ขทยั รูปท่ี ๕.๑๓๔ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวชิ ยั คร่งึ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ครึง่ หลงั ครสิ ต์ศตวรรษที่ 15) สัมฤทธิ์ สูงจากฐาน ๕๙ เซนติเมตร วัดพระเนตร อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั นา่ น รูปท่ี ๕.๑๓๓ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธริ าบ รูปท่ี ๕.๑๓๕ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางมารวิชัย ปางมารวชิ ยั ครึ่งแรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ ครึ่งแรกพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครงึ่ หลังครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15) (ครงึ่ หลังคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธ์ิ วัดตะกวน จงั หวัดสุโขทัย สัมฤทธิ์ สูง ๔๗.๓ เซนติเมตร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ กำแพงเพชร ๒๖๐ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย
- แบบกำแพงเพชร พระพุทธรูปแบบกำแพงเพชรแสดงให้เห็นวิวัฒนาการของรูปแบบจากธรรมชาติไปสู่ความ เหนอื จริง ที่เน้นความชดั เจนของลายเสน้ มากกว่าความคลมุ เครอื ของปรมิ าตร ดงั เช่นพระพุทธรูป ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวัดสุโขทัย (รูปท่ี ๕.๑๓๖) ซ่ึงเน้นที่ความสมดุลของ เส้นเว้าเส้นโค้งรวมไปถึงฐาน ท่ีเห็นได้อย่างชัดเจนจากเศียรในพิพิธภัณฑ์เดียวกัน (รูปท่ี ๕.๑๓๗) ท่ีพระขนงเป็นสันคมโค้งจรดกันกลางสันพระนาสิก และช่วงล่างของพระกรรณตวัดออก หางพระเนตรตวัดขึ้นรับกับปลายพระโอษฐ์ท้ังสองข้าง พระพุทธรูปที่มีลักษณะดังกล่าวอาจจะ สร้างข้นึ ในช่วงกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ – กลาง ๒๒ (คริสต์ศตวรรษที่ 16) รปู ที่ ๕.๑๓๖ พระสมณโคดมประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวชิ ยั กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ - กลาง ๒๒ (คริสต์ศตวรรษท่ี 16) สมั ฤทธิ์ สูง ๒๐.๕ เซนตเิ มตร พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จงั หวดั สุโขทยั รูปที่ ๕.๑๓๗ เศียรพระสมณโคดม กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ - กลาง ๒๒ (ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 16) สมั ฤทธิ์ พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง จังหวดั สโุ ขทยั พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิราบ ๒๖๑
รูปท่ี ๕.๑๓๘ พระสมณโคดมในเรือนแกว้ (๓) ช่วงวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 17) พระพทุ ธปฏมิ า “แบบอู่ทอง แบบท่ี ๓” ยงั เป็นทีน่ ยิ มในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ไม้ สูง ๑๕๕ เซนตเิ มตร ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688) อันเห็นได้จากพระพุทธปฏิมาไม้ในเรือนแก้ว (รูปที่ ๕.๑๓๘) โดยมี สมบัติของเอกชน องค์ประกอบที่เป็นชาวต่างชาติ เช่น แขกและฝร่ังเล่นดนตรี รวมท้ังค่านิยมจากตะวันตก เช่น พระพรหมสวมรองพระบาทเป็นต้น นอกจากน้ันแล้วองค์ประกอบอ่ืน ๆ ของภาพ เช่น ลักษณะของ เรือนแก้วยงั เปน็ ที่นยิ มในรชั กาลนีเ้ ชน่ กนั (พชิ ญา ๒๕๔๘, ๙๖ – ๙๘) พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยเรือนแก้ว (รูปท่ี ๕.๑๓๙ ก.) เป็นท่ีนิยมมากใน ช่วงคร่ึงแรกพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 17 - กลาง 18) เช่นองค์ที่ด้านหลังเป็น จิตรกรรมลายรดน้ำรูปพระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยเช่นกัน (รูปที่ ๕.๑๓๙ ข.) เรอื นแกว้ ของพระพทุ ธปฏิมาองคน์ ี้ แบง่ เปน็ สองตอน เหงาของตอนบนเป็นหางกินนรพนมมอื ตอนลา่ ง เป็นพญานาคหันหน้าออก องค์พระพุทธปฏิมาประทับบนฐานหน้ากระดานซ้อนกันสองช้ัน ชั้นล่างเป็น หนา้ กระดานอกไก่ พระพุทธปฏิมาที่ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของหมวดพระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย อยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 17 – กลาง 18) น่าจะได้แก่ พระประธานในพระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม อำเภอเมืองฯ จังหวัดเพชรบุรี (รูปท่ี ๕.๑๔๐) และ พระพุทธปฏิมาท่ีได้จากกรุพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๕.๑๔๑) ทั้ง สองพระองคป์ ระทับเหนอื ฐานสิงห์รองรับดว้ ยกลบี บวั จงกล และตกแต่งลวดบัวด้วยกระจังตาอ้อย อน่งึ พระพุทธปฏิมาประทับบนฐานสิงห์เป็นท่ีนิยมมากในช่วงระยะเวลาน้ี ทั้งท่ีมีผ้าทิพย์ปูทางด้านหน้า (สมเกยี รติ ๒๕๓๙, ๓๕๒ – ๓๕๖, ๓๕๙ – ๓๖๕) และทีไ่ ม่มผี า้ ทพิ ย์ (เรือ่ งเดียวกนั , ๓๕๐, ๓๖๖, ๓๖๙) รูปท่ี ๕.๑๓๙ ก. พระสมณโคดมประทับขดั สมาธริ าบ รูปที่ ๕.๑๓๙ ข. ด้านหลังของรปู ที่ ๕.๑๓๙ ก. รูปท่ี ๕.๑๔๑ พระสมณโคดมประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวชิ ยั เรอื นแกว้ ปางมารวชิ ยั ได้จากกรุพระอุโบสถ พุทธศตวรรษท่ี ๒๓ วัดบวรสถานสทุ ธาวาส กรุงเทพมหานคร พทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 - กลาง 18) สัมฤทธิ์ สงู ๔๗ เซนตเิ มตร สัมฤทธิ์ สงู จากฐาน ๔๕ เซนติเมตร สมบตั ิของเอกชน พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ จงั หวดั น่าน ๒๖๒ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 640
Pages: