Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Description: ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Search

Read the Text Version

พระพุทธปฏมิ าปางอื่น ๆ ๕๑๓

พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย

บทสรปุ หนังสอื ลักษณะไทย เลม่ ๑ พระพุทธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย แบง่ ออก เป็น ๒ ภาค ภาคที่ ๑ พทุ ธศาสนากบั พระมหากษัตริย์ และภาคที่ ๒ พระพุทธปฏิมาใน ประเทศไทยตามพระอริ ยิ าบถ ภาคท่ี ๑ พุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างสอง สถาบนั หลกั ของประเทศไทย นบั ตงั้ แตพ่ ระสมั มาสมั พุทธเจา้ ประสตู ขิ นึ้ ในวรรณะกษตั รยิ ์ ซงึ่ อคั คัญญสตู ร ทฆี นกิ าย ปาฏกิ วคั ค์ สตุ ตนั ตปิฎก นยิ ามวา่ คนที่งดงามมีศักดิ์ใหญ่แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพ่ือปกครองคน... คำว่า “มหา สมมต” (ผู้ท่ีมหาชนแต่งต้ัง) กษัตริย์ (ผู้เป็นใหญ่แห่งนา) ราชา (ผู้ทำความ อ่ิมใจ สุขใจแก่ผู้อ่ืน) จึงเกิดข้ึน กษัตริย์ก็เกิดข้ึนจากคนพวกนั้นไม่ใช่พวกอื่น จากคนเสมอกัน มิใช่คนไม่เสมอกัน เกิดข้ึนโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม (สชุ พี ๒๕๒๖, ๓๕๓ – ๓๕๔, เน้นตามต้นฉบบั ) ตลอดช่วง ๘๐ พรรษา พระพุทธเจ้าทรงมีความเช่ือมโยงกับพระราชาตลอดมา ไม่ว่าจะเป็น พุทธทำนายว่า “พระราชกุมารประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ถ้าครองเรือนจะได้เป็น พระเจ้าจกั รพรรด์ิ ถ้าเสด็จออกผนวชจะเปน็ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจา้ ” (เรอื่ งเดียวกนั , ๓๑๙) ซ่ึงเปน็ เหตใุ หพ้ ระพทุ ธองคท์ รงเทยี บเคยี งพระเจา้ จักรพรรดิ์กบั พระพุทธเจ้า (เรอื่ งเดยี วกนั , ๓๒๗) นอกจากน้ัน แล้ว พระพุทธองค์ก็ยังมีพระสาวกที่เป็นพระราชา เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้นมคธ และ พระเจา้ ปเสนทิ ราชาแหง่ แควน้ โกศล (อ.ป. ๒๕๐๘, ๓๒๓ – ๓๒๔) และเมอ่ื เสด็จดบั ขนั ธปรินพิ พานแล้ว พระเจ้ามัลลกษัตริย์ ผู้ปกครองกรุงกุสินารา ได้แจกพระบรมสารีริกธาตุไปยังพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ครอง กรงุ ราชคฤห์ เป็นต้น (สุชพี ๒๕๒๖, ๖๓๗) เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร พระเจ้าปเสนทิแห่ง แคว้นโกศลเสด็จไปเฝ้า แต่ไม่พบพระพุทธองค์ จึงกลับไปเฝ้าใหม่และทูลขออนุญาตสร้างพระพุทธรูปไว้ สักการะแทนพระองค์ เม่ือพระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วจึงโปรดให้ช่างแกะสลักพระพุทธรูปขึ้นจาก ไม้แก่นจันทน์ จึงเช่ือกันว่าพระพุทธรูปแก่นจันทน์เป็นพระพุทธรูปองค์แรก ต่อมาจึงมีการจำลอง พระพุทธรปู แก่นจันทนข์ นึ้ และเรียกพระพทุ ธรปู ท่เี ลียนแบบหรือจำลองนี้วา่ พระพทุ ธปฏมิ า ซงึ่ แปล ว่ารูปจำลอง ดังน้ันในบริบทของพุทธศิลป์ พระพุทธรูปจึงเป็นพระพุทธปฏิมา เพราะเป็นการจำลอง ความเหมือนและความศักดส์ิ ทิ ธ์ขิ ององค์พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าสบื ต่อกันมาจากองค์ดั้งเดิม พระพุทธรูปกับพระมหากษัตริย์มีความผูกพันกันจนแทบแยกออกจากกันมิได้ เช่น พระพุทธรูป ปางประทานอภัยที่มีจารึกคำว่า “พุทโธ” ประดิษฐานอยู่ในด้านหน่ึงของเหรียญทองคำซ่ึงมีพระบรมรูป ของพระเจา้ จักรพรรดิกนิษกะท่ี ๑ (พ.ศ. ๖๖๓ – ๖๘๘ / ค.ศ. 120 – 145) อย่อู ีกดา้ นหน่งึ (ดูรูปท่ี ๑.๑ ก., ข.) นอกจากน้ันแล้ว ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงสละราชสมบัติเสด็จออกผนวช แต่ผู้ท่ีนับถือ เลื่อมใสพระองค์เช่นพระภิกษุฉายาว่า พล ก็ยังสร้างฉัตร ซึ่งเป็นเครื่องสูงของพระราชาถวาย (ดูรูปท่ี ๑.๒ ก., ข.) ในปีที่ ๓ ของรัชสมยั พระเจ้าจกั รพรรดิกนษิ กะเช่นกนั บทสรปุ ๕๑๕

นอกจากพระพุทธรูปจะครองไตรจีวรเฉกเช่นพระภิกษุสงฆ์แล้ว พระพุทธรูปยังถูกสร้างให้มี พุทธลักษณะตามหลักมหาบุรุษลักษณะ (มหาปุริสลักขณะในภาษาบาลี) ๓๒ ประการ ซ่ึงการนิยาม มหาบุรุษลักษณะนนั้ เกดิ ขน้ึ พร้อมกันกบั การสร้างพระพุทธรปู คือในช่วงกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๖ – กลาง ๗ (คริสต์ศตวรรษท่ี 1) โดยท่ีมหาบุรุษลักษณะบางประการนั้นไม่สามารถท่ีจะนำมาสร้างเป็นรูปธรรมได้ แต่ช่างก็พยายามที่จะทำตามเท่าท่ีจะทำได้ เช่น พระเศียรมีอุษณีษะ (เมาลี) เส้นพระเกศาขมวด เวียนขวา พระนลาฏกว้าง ระหว่างพระขนงมีพระโลมาท่ีข้ึนและเวียนขวา (อุณาโลม) พระเนตรสีนิล เหมือนขอบตาโค พระหนุเหมือนคางราชสีห์ พระมงั สาอมู นนู ๗ แห่ง พระองั สาผ่ึงผาย พระฉวีสที อง พระวรกายตรง ท่อนบนเหมอื นราชสีห์ ซึ่งท้งั หมดน้ีสะทอ้ นใหเ้ หน็ ไดจ้ ากพทุ ธลักษณะของพระพทุ ธปฏิมา สว่ นพระอิรยิ าบถของพระพทุ ธปฏิมานัน้ มี ๔ พระอริ ยิ าบถ ประกอบดว้ ย ประทบั (นั่ง) ยนื ลลี า (เดนิ ) และไสยาสน์ (นอน) โดยพระอิรยิ าบถประทับ มีทงั้ แบบประทับขดั สมาธริ าบซึ่งเปน็ ทน่ี ยิ มสรา้ งกนั ในทางตอนใตข้ องอนิ เดียและศรลี งั กา แบบประทบั ขดั สมาธเิ พชรนิยมสร้างอยู่ทางตอนเหนอื ของอินเดีย และแบบประทับห้อยพระบาทซ่ึงเป็นท่ีนิยมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกของอินเดีย พระ อิริยาบถยืนมักนิยมสร้างแบบยืนเอียงพระวรกาย (ตริภังค์) มากกว่ายืนตรง (สมภังค์) พระอิริยาบถ ลีลาคือทรงพระดำเนิน โดยยกส้นพระบาทข้างใดข้างหนึ่งขึ้น พระอิริยาบถไสยาสน์ คือบรรทมตะแคง ขวา พระเศยี รรองรับด้วยพระหัตถ์ขวา นอกจากพระอิริยาบถท้ัง ๔ แล้ว พระพุทธรูปยังมีกิริยาของพระหัตถ์ที่เรียกว่า มุทรา หรือท่ี ไทยเราเรียกว่า ปาง เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกส่วนหน่ึง ปางแรกได้แก่ปางประทานอภัย คือยก พระหัตถ์ขวาข้ึนและหงายออก เป็นสัญลักษณ์ของการขจัดภยันตรายโดยมีนัยว่าเม่ือมีพระพุทธองค์เป็น สรณะแลว้ ก็จะค้มุ ครองมใิ ห้เกิดภยนั ตราย (ดูรูปที่ ๑.๑ ข., ๑.๒ ก.) ต่อมาได้มกี ารสรา้ งพระพทุ ธรปู ปาง ต่างๆ ซ่งึ ถือเปน็ สญั ลกั ษณข์ องเหตกุ ารณส์ ำคญั ทีเ่ กิดข้ึน ณ สงั เวชนียสถานทง้ั ๔ แห่ง เช่น ท่พี ทุ ธคยา เปน็ ปางมารวชิ ัย คอื ปางทพี่ ระหตั ถ์ขวาวางควำ่ บนพระชานุ น้วิ พระหตั ถ์ชี้ลงท่ฐี าน สัญลักษณแ์ ห่งการ ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่สารนาถ ซึ่งเป็นสถานท่ีซ่ึงพุทธองค์ทรงตรัสรู้และแสดงพระธรรม- เทศนาครั้งแรกเป็นปางปฐมเทศนา คือยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ จีบพระอังคุฐกับพระดัชนีเป็น วงกลม รองรับด้วยพระหัตถ์ซ้ายท่ีจีบเช่นกันแต่หงายลง และที่กุสินารา เป็นปางไสยาสน์ถือเป็น สัญลักษณ์ของการเสด็จสู่ปรินิพพาน ส่วนท่ีลุมพินี สถานที่ทรงประสูติแสดงภาพพระพุทธองค์ทรง ประสตู จิ ากพระปรัศวข์ วาของพระนางสริ มิ หามายา เปน็ สญั ลักษณข์ องลุมพนิ ี ต่อมาเมื่อมีการเพิ่มปูชนียสถานข้ึนอีก ๔ แห่ง จึงคิดปางข้ึนใหม่ให้สอดคล้องกับพุทธประวัติ ได้แก่ ปางอุ้มบาตร เป็นสัญลักษณ์ของปางป่าเลไลยก์ท่ีไพศาลี ปางโปรดช้างนาฬาคิรี ยืนย่ืนพระหัตถ์ ขวาในกิริยาลูบศีรษะช้างที่ราชคฤห์ ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ท่ีสังกัสสะ ยืนตริภังค์เคียงข้างด้วย พระอินทรถ์ อื ฉัตร และพระพรหมเชิญแสข้ นจามรี และปางยมกปาฏิหารยิ ท์ ่สี าวตั ถแี สดงปางปฐมเทศนา ด้วยพระพุทธรูปหลายองค์ (ดูรูปท่ี ๒.๑๗ ก., ข.) ดังน้ันความหลากหลายของปางจึงเกิดข้ึนในลัทธิ- ศราวกยานเพื่อสร้างภาพใหพ้ ทุ ธประวัติ ต่อมาเม่ือลัทธิมหายานเฟื่องฟูขึ้น จึงมีการสร้างพระตถาคตองค์อื่นๆ ท่ีมิใช่พระศากยมุนี ได้ ประดษิ ฐค์ ดิ ปางใหแ้ ตกต่างกนั ออกไป เชน่ พระพทุ ธรูปยนื หรอื ลีลา ปางประทานพร (พระหัตถข์ วาทอด ลงข้างพระวรกายและหงายออก) เป็นพระพุทธเจ้าทีปังกร (ดูรูปที่ ๒.๑๑ ก.) พระพุทธเจ้าองค์แรกใน พุทธวงศ์ พระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองแสดงธรรมในระดับพระอุระ เป็นพระอมิตาภพุทธะเม่ือ เสด็จลงจากสวรรค์สุขาวดี เพ่ือรับดวงวิญญาณของผู้มีจิตศรัทธาในพระองค์ไปสถิตไว้ในแดนสุขาวดี (ดรู ูปที่ ๒.๑๕ ข.) ๕๑๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

เมื่อลัทธวิ ัชรยานหรือตนั ตระยานเป็นทีแ่ พรห่ ลาย จึงสรา้ งพระปาญจสุคต หรอื พระชนิ พุทธะ ๕ พระองคข์ น้ึ ได้แก่ พระชินพทุ ธอโมฆสทิ ธิ เป็นพระพทุ ธรูปประทับขดั สมาธิเพชร ปางประทานอภยั เปน็ พระชินพุทธะประจำทิศเหนือ (ดูรูปที่ ๒.๘ ข.) พระชินพุทธอักโษภยะ ปางมารวิชัยประจำทิศตะวันออก (ดรู ปู ท่ี ๒.๙ ข.) พระชนิ พทุ ธอมติ าภะ ปางสมาธิประจำทิศตะวันตก (ดรู ูปท่ี ๒.๑๐ ข.) พระชินพทุ ธรตั น- สัมภวะ ปางประทานพรประจำทศิ ใต้ (ดรู ปู ที่ ๒.๑๑ ข.) พระชนิ พุทธไวโรจนะ ปางปฐมเทศนาประจำทศิ เบอ้ื งบน (ดูรปู ที่ ๒.๑๒ ข.) ต่อมาเมื่อลัทธิตันตระยานในกัมพูชาเจริญรุ่งเรืองขึ้น จึงคิดประดิษฐ์ปางใหม่เพ่ือตอบสนอง ความเชอ่ื และค่านิยมของท้องถนิ่ อนั ไดแ้ ก่ ประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ นาคปรก ทรงเคร่ือง เพือ่ เป็นบุคลาธิษฐานของพระวัชรสัตว์พุทธะ หรือพระมหาไวโรจนะ ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมของพระปาญจสุคต (ดูรูปที่ ๔.๑๘) โดยดัดแปลงรูปแบบจากพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก จาก รัฐอานธรประเทศ ทางทศิ ตะวันออกเฉยี งใตข้ องประเทศอินเดยี ซ่งึ ริเริม่ ปางสมาธิ นาคปรก ขึน้ ในช่วง กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๖ – กลาง ๗ (ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 1) สว่ นการถวายอาภรณ์ เชน่ อณุ หิส กรองศอ และทองพระกรแด่พระพุทธรูปน้ัน กัมพูชารับมาจากลัทธิวัชรยานหรือตันตระยานในรัฐพิหารท่ีแสดง ความแตกต่างระหว่างพระไวโรจนะ พระชินพุทธะประจำทิศเบ้อื งบน กับพระมหาไวโรจนะผู้เปน็ องค์รวมแห่ง พระปาญจสคุ ต ด้วยการสวมอุณหสิ ห้ายอด ซึง่ หมายถงึ พระชนิ พุทธะทัง้ ๕ พระองค์ (ดรู ปู ท่ี ๔.๒๑) เมื่อลัทธิตันตระยานในกัมพูชาส้ินสลายลง ลัทธิศราวกยาน นิกายเถรวาทจึงฟื้นฟูข้ึนใหม่ใน ดินแดนซึ่งเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ปางต่างๆ ซ่ึงใช้เป็นเคร่ืองหมายของพระตถาคตองค์ต่างๆ ใน ลัทธิมหายานและตันตระยานจึงถูกยกเลิกไป แต่กลับมาใช้ในความหมายดั้งเดิม คือเป็นสัญลักษณ์ของ สังเวชนียสถานและพุทธประวัติตอนต่างๆ ของพระสมณโคดม และเม่ือค่านิยมสัจธรรมจากตะวันตก เขา้ มาในชว่ งคร่งึ หลงั ของพทุ ธศตวรรษ ๒๔ (คร่ึงแรกครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 19) จงึ มกี ารประดษิ ฐป์ างตา่ งๆ ข้นึ มาถึง ๓๔ ปาง เพือ่ สรา้ งภาพใหก้ ับพุทธประวตั ิตอนต่าง ๆ ให้ดสู มจรงิ ย่ิงขน้ึ (ดูรูปที่ ๓.๙ (๑) – (๓๔)) สำหรับนิกายเถรวาทในประเทศน้ัน ได้รับอิทธิพลจากลัทธิตันตระยาน ซึ่งให้ความสำคัญกับ โหราศาสตร์ จงึ มกี ารนำเอาพระพทุ ธปฏมิ าปางต่างๆ มาเปน็ ตวั แทนดาวนพเคราะหป์ ระจำวันเกิด ดังนน้ั ปางซ่ึงเป็นท่ีนิยมแพร่หลายในประเทศไทยในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18) เป็นต้นมา จึงได้แก่ปางประจำดาวนพเคราะห์ อันได้แก่ ปางถวายเนตร วันอาทิตย์ (ดูรูปท่ี ๒.๑๘) ปางหา้ มสมุทร วนั จันทร์ (ดูรูปท่ี ๒.๑๙) ปางไสยาสน์ วนั องั คาร (ดรู ปู ที่ ๒.๒๐) ปางอ้มุ บาตร วนั พุธ (ดู รูปที่ ๒.๒๒) ปางสมาธิ วนั พฤหสั บดี (ดรู ปู ที่ ๒.๒๓) ปางรำพงึ วันศุกร์ (ดูรูปที่ ๒.๒๔) ปางนาคปรก วัน เสาร์ (ดรู ูปที่ ๒.๒๕) ปางปา่ เลไลยก์ พระราหู (ดรู ูปท่ี ๒.๒๖) ปางสมาธิ ประทับขัดสมาธิเพชร พระเกตุ (ดูรูปท่ี ๒.๒๗) ในบริบทของนิกายเถรวาทในประเทศไทย ยังมีพระพุทธปฏิมาซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้างเพื่อ งานพระราชพิธี ท่ีจะให้เกิดความเป็นสิริมงคลและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่แผ่นดินและพสกนิกร พระพุทธปฏมิ าดังกล่าวจงึ เป็นปางท่ีประดิษขน้ึ โดยเฉพาะ เชน่ พระคนั ธารราษฎร์ ซงึ่ เปน็ พระพทุ ธปฏิมา ปางขอฝนมีท้ังประทับขัดสมาธิราบ และยืน พระหัตถ์ขวาอยู่ในกิริยากวัก พระหัตถ์ซ้ายหงายข้ึนเพ่ือ รองรับน้ำฝน (ดูรูปท่ี ๒.๒๑) ใช้ในพระราชพิธีพรุณศาสตร์ นอกจากน้ันแล้วยังมีพระชัยวัฒน์ประจำ รชั กาล ซง่ึ เปน็ พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ปางมารวิชัย ถอื ตาลปัตรในพระหตั ถซ์ ้าย มฉี ัตร ๕ ชั้น หรอื เบญจปฎลเศวตฉัตรก้นั (ดูรปู ท่ี ๓.๑๙ – ๓.๒๖) สร้างข้นึ เพอื่ ค้มุ ครองภยนั ตราย นำชยั ชนะและ ความเจริญรุ่งเรืองมาสพู่ ระมหากษตั รยิ แ์ ละแผน่ ดินในรัชกาลของพระองค ์ ส่วนพระพุทธปฏิมาที่พระมหากษัตริย์และเจ้าผู้ครองนครสร้างขึ้น เพ่ือเป็นพระเกียรติยศและ ฉลองพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้แก่พระพุทธปฏิมาทรงเครื่องฉลองพระองค์ ซ่ึงเป็นพระ พุทธรูปยืน ปางห้ามสมุทรทรงเคร่ืองต้น (ดูรูปท่ี ๓.๖๒ – ๓.๗๐) พระพุทธปฏิมาดังกล่าวสามัญชนมิ สามารถท่ีจะสร้างได้ เพราะเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ เป็นการรวมพระพุทธเจ้ากับพระ บทสรุป ๕๑๗

จกั รพรรดิราชให้ปรากฏเป็นพระพทุ ธปฏิมาองค์เดียวกนั พระพุทธปฏิมายนื ปางห้ามสมุทรทรงเครื่องตน้ จึงแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของพุทธศิลป์ไทย ท่ีรวมพุทธศาสนาเข้ากับสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นอัน หน่ึงอันเดียวกัน ถึงแม้ว่าเม่ือสองสหัสวรรษก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามที่จะรวมสองสถาบันน้ีให้อยู่ ด้วยกัน ดังเช่นพระพุทธรูปปางประทานอภัยบนเหรียญของพระเจ้าจักรพรรดิกนิษกะท่ี ๑ (ดูรูปที่ ๑.๑ ก., ข.) แต่กอ็ ยู่คนละดา้ นของเหรยี ญ มใิ ชร่ วมกันเปน็ หนงึ่ เดียว นับแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ต่างมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ โดยการสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็น สายสมั พนั ธเ์ ช่อื มโยงพระมหากษัตริย์กบั พทุ ธศาสนาใหแ้ นบแนน่ ย่งิ ขึ้น เช่นพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ - เจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระนิรันตรายเรือนแก้ว (ดูรูปท่ี ๓.๙๖) เพื่อพระราชทานไปยังพระอารามในคณะ ธรรมยุติกนิกาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระชัยวัฒนมงคลวราภรณ์ ให้ผู้ที่ ได้รับพระราชทานยึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างพระนิรโรคันตราย (ดูรูปที่ ๓.๙๘) พระราชทานพระอารามหลวงฝ่ายมหานิกาย และพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประดิษฐานพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. บนผ้าทิพย์ ของพระพทุ ธรปู อันได้แก่ พระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. (ดูรูปท่ี ๓.๑๐๐) แต่ในรัชกาลปัจจุบันเท่าน้ัน ที่ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับพระพุทธรูปท่ีพระมหากษัตริย์ทรง สร้างขึ้น เช่น พระพุทธนวราชบพิตร (ดูรูปที่ ๓.๑๐๑) ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างข้นึ และทรงบรรจุพระกำลงั แผน่ ดนิ หรอื พระสมเด็จจิตรลดา พระพิมพ์ฝีพระหตั ถท์ ่ี ผสมผสานขึน้ จากมวลสารศกั ดิ์สทิ ธ์ทิ ้งั ทีเ่ ปน็ ส่วนพระองค์ และจากปูชนยี สถานและปชู นยี วัตถทุ ่ัวพระราช อาณาจักรไว้ท่ีฐานบัวหงาย เพื่อพระราชทานไปประดิษฐานที่ศาลากลางของทุกจังหวัด ให้ประชาชนได้ สกั การบชู าพระมหากษตั ริย์ ซ่ึงเปน็ องค์หนง่ึ องค์เดียวกบั พระพทุ ธเจา้ และราษฎรของพระองค ์ ภาคท่ี ๒ พระพุทธปฏิมาในประเทศไทยตามพระอิริยาบถ ตามแนวการศึกษาแบบประเพณี คอื ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระพุทธปฏิมา ซึ่งเปน็ รปู จำลองของพระพทุ ธรูปสำคัญแตล่ ะปางแยก ตามภมู ิภาคในแตล่ ะช่วงระยะเวลา โดยภาพรวมสามารถสรปุ ไดด้ ังต่อไปนี้ พระพุทธปฏิมาท่ีสร้างข้ึนในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน สามารถแบ่งได้เป็น ๓ ยุค กว้างๆ คอื - ก่อนพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 13) ได้แก่ สมยั อาณาจักรมอญโบราณ และ สมยั จักรวรรดิกมั พชู า - ตั้งแตพ่ ุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 - กลาง 19) คอื ช่วงที่ชาวไทย เขา้ มาปกครอง และพัฒนาศลิ ปวัฒนธรรมที่มมี าแตเ่ ดมิ ให้เป็นของตนเอง - หลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19) จนถงึ ปจั จุบัน อันเป็นช่วงระยะเวลาท่ี สงั คมไทยปรับเปลี่ยนตนเองให้สอดคลอ้ งกบั โลกทศั นแ์ ละอารยธรรมของชาวตะวนั ตก ๕๑๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

๑. พระพุทธปฏมิ ากอ่ นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13) ๑.๑ ลัทธิศราวกยาน พระพุทธปฏิมาปรากฏข้นึ ในประเทศไทยในช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 5) โดยนำมาจากรัฐอานธรประเทศ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย เป็นพระพุทธรูปยืน พระหัตถ์ขวาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายถือชายจีวร (ดูรูปที่ ๔.๑) หรือได้รับรูปแบบมาจากรัฐอานธร- ประเทศ เชน่ พระพุทธรูปประทบั ห้อยพระบาทแสดงธรรมดว้ ยพระหตั ถ์ขวา ถอื ชายจวี รในพระหตั ถซ์ ้าย (ดูรปู ท่ี ๔.๓) ซ่ึงพระพุทธปฏิมาทง้ั สองแบบนีน้ ่าจะสร้างข้นึ ภายใต้คตนิ กิ ายมหาสังฆิกะ ในลทั ธศิ ราวกยาน ซึ่งเป็นนิกายแรกท่ีแยกตนเองออกจากนิกายสถวีรวาทด้ังเดิม เม่ือกลางพุทธศตวรรษที่ ๒ (ปลาย ศตวรรษท่ี 4 กอ่ นครสิ ตก์ าล) ในช่วงศตวรรษเดียวกัน ปรากฏพระพุทธปฏิมายืน พระหัตถ์ขวาประทานพร พระหัตถ์ซ้ายถือ ชายจีวร (ดูรูปท่ี ๔.๖) ซึ่งเป็นปางท่ีนิยมที่สารนาถ รัฐพิหาร ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ อินเดีย ในสมยั ราชวงศ์คุปตะ (พ.ศ. ๘๖๓ – ๑๐๙๓ / ค.ศ. 320 – 550) ซ่ึงอาจจะสร้างข้นึ หรือจำลอง จากพระพุทธปฏิมาตามคตินกิ ายสมั มิตยี ะ ในลทั ธศิ ราวกยาน ในสมัยราชวงศ์คุปตะ ปางประทานพรนนั้ ใช้แสดงภาพพุทธประวตั ติ อนเสดจ็ ลงจากดาวดึงส์และตอนโปรดช้างนาฬาคิรี (ดูรปู ท่ี ๒.๑๗ ก., ข.) อีกด้วย นกิ ายเถรวาท ลทั ธิศราวกยาน ซง่ึ พระมหนิ เถระ พระโอรสของพระเจา้ อโศกนำไปประดษิ ฐานที่ ลังกา และสถาปนาคณะมหาวิหารขน้ึ เม่ือปลายพุทธศตวรรษที่ ๓ (ประมาณ ๓ ศตวรรษก่อนครสิ ตก์ าล) เจริญรุ่งเรืองขน้ึ บริเวณรอบอ่าวไทยในชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ – กลาง ๑๓ (คริสต์ศตวรรษที่ 6 – 7) และแพรห่ ลายในบริเวณล่มุ แม่นำ้ ชีในช่วงศตวรรษตอ่ มา นิกายนีส้ ร้างพระอดตี พุทธะและพระอนาคตพทุ ธะ ประทับห้อยพระบาท (ดูรูปท่ี ๔.๗ และ ๗.๑) พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธิราบ ปางมารวิชยั (ดรู ปู ท่ี ๔.๙) และพระพทุ ธรูปปางปรนิ ิพพาน ๑.๒ ลทั ธิมหายาน ลัทธิมหายานนำการถวายความจงรักภักดีต่อพระตถาคตและพระโพธิสัตว์เข้ามาในพุทธศาสนา โดยนิยมสร้างรูปพระอมติ าภพทุ ธะแทนพระศากยมุนี เป็นพระพทุ ธรูปประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ มี ศิรจักรรอบพระศยี ร แและประภามณฑลรอบพระวรกาย (ดูรูปท่ี ๔.๑๑) ตอ่ มาในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – กลาง ๑๔ (ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 7 – 8) นิกายสุขาวดี ใน ลัทธิมหายาน ซ่งึ นำเขา้ มาจากประเทศจนี นน้ั นิยมสรา้ งพระพุทธปฏิมายนื ปางแสดงธรรมดว้ ยสองพระหัตถ์ ซ่ึงเป็นพุทธลักษณะของพระอมิตาภพุทธะ โดยท่ีชาวมอญโบราณได้ดัดแปลงให้พระหัตถ์ท้ังสองข้างต้ัง ขึ้นในระดับเดยี วกนั (ดรู ูปท่ี ๔.๑๓) แทนแบบจนี ทพี่ ระหัตถข์ วาต้งั แต่พระหัตถซ์ า้ ยหงายลง (ดรู ปู ที่ ๔.๑๒) ดังน้นั กริ ยิ าของมอื (ปาง) จึงเป็นตัวบง่ บอกว่าพระพทุ ธปฏิมานนั้ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด นอกเหนอื จากเปน็ การแสดงถงึ ตอนตา่ งๆ ในพุทธประวตั ิ เชน่ พระพทุ ธปฏิมาแปดปางที่สรา้ งข้ึนในลทั ธิศราวกยาน ๑.๓ ลัทธวิ ัชรยาน หรือตนั ตระยาน ลัทธิวัชรยาน หรือตันตระยาน ซึ่งเกิดขึ้นท่ีมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลัณฑา รัฐพิหาร และเจริญ รงุ่ เรืองในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ – ๑๖ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 8 – กลาง 11) ใชพ้ ระพทุ ธรปู ปางต่างๆ ให้เป็นบุคลาธิษฐานของพระชินพุทธะทั้งห้าพระองค์ โดยสร้างเป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ท้ังหมด แตกต่างกันท่ีปาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นพระชินพุทธะพระองค์ใด เช่น ปางมารวิชัย เปน็ บคุ ลาธิษฐานของพระชินพทุ ธอกั โษภยะ ปางประทานอภัยของพระชนิ พุทธอโมฆสทิ ธิ ปางสมาธิของ บทสรปุ ๕๑๙

พระชินพทุ ธอมิตาภะ ปางประทานพรของพระชินพทุ ธรตั นสมั ภวะ และปางปฐมเทศนาของพระชนิ พุทธ- ไวโรจนะ (ดูรูปท่ี ๒.๘ – ๒.๑๒) ในกรณีของ โยโคตตระ ตันตระ พระชินพุทธอักโษภยะใช้แทนท่ีพระ ชินพุทธไวโรจนะ ดังในพระพุทธปฏิมาแปดปาง (ดูรูปที่ ๔.๑๔ ก., ข.) ส่วนพระศากยมุนีทำเป็นพระ พุทธรูปประทับขัดสมาธเิ พชร ปางมารวิชยั เชน่ เดียวกนั กับพระชินพุทธอักโษภยะ (ดูรปู ที่ ๔.๑๔ ก.) ๑.๔ ลทั ธติ ันตระยานสมยั จกั รวรรดิกัมพูชา พ.ศ. ๑๕๐๐ – ๑๘๐๐ (ค.ศ. 957 – 1257) อาณาจกั รกมั พูชาเข้ามาปกครองภาคกลางของประเทศไทยในช่วงต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ (กลาง คริสต์ศตวรรษท่ี 10) และแม้ว่ากษัตริย์กัมพูชาจะนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะ แต่ข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่หลายท่านก็นับถือพุทธศาสนาลัทธิตันตระยาน โดยเฉพาะต้ังแต่ต้นพุทธศตวรรษท่ี ๑๗ (กลาง คริสต์ศตวรรษท่ี 11) เป็นต้นมา ภายใต้อิทธิพลของคัมภีร์ กาลจักรตันตระ ได้มีการสร้างรูปพระวัชร- สตั ว์พุทธะหรอื พระอาทิพุทธะ อนั เป็นพระพุทธเจ้าองค์ท่หี ก ผู้เป็นองค์รวมของพระปาญจสุคต หรือพระ ชนิ พทุ ธะท้ังหา้ พระองค์ โดยนยิ มสร้างเปน็ พระพุทธรปู ทรงเครอ่ื งประทบั ขดั สมาธิราบ ปางสมาธิ เหนอื ขนดลำตวั ของพญานาคท่ีกำลังแผพ่ งั พานอยเู่ จด็ เศียร (ดูรปู ที่ ๔.๑๘) ในรชั สมัยพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๕๗? / ค.ศ. 1181 – 1214?) พุทธศาสนาได้ ถูกยกย่องให้เป็นศาสนาประจำราชอาณาจักร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างรูปพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา (ดูรูปท่ี ๕.๔๓) พระตถาคตผู้รักษาโรคของลัทธิมหายาน ให้เป็นพระประธานของอโรคยศาลที่พระองค์ ทรงสร้างข้ึนทั่วพระราชอาณาจักร เปน็ พระพุทธรปู ทรงเคร่ือง ประทบั ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ นาคปรก ถือหม้อน้ำมนต์ในพระหัตถ์ ในช่วงท่ีลัทธิตันตระยานแพร่หลายในอาณาจักรกัมพูชาน้ี แทบจะไม่มีการ สร้างรูปพระศากยมุนีเลย ยกเว้นแต่พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยที่ทับหลังมณฑปด้าน ทิศใตข้ องปราสาทพิมาย ๒. พระพทุ ธปฏมิ าตัง้ แต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔ (กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 13 - กลาง 19) ๒.๑ นิกายเถรวาท คณะกมั โพชสงฆ์ปักขะ เม่อื อาณาจักรกมั พูชาสน้ิ สลายลงพรอ้ มกบั ลทั ธติ นั ตระยานในชว่ งตน้ พุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลาง คริสต์ศตวรรษที่ 13) นิกายเถรวาท ในลทั ธิศราวกยาน ไดก้ ลับเขา้ มาเปน็ ทนี่ ิยมอกี ครงั้ หน่งึ ในรัฐกมั โพช ในภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย นิกายน้ีมีช่ือว่ากัมโพชสงฆ์ปักขะ หรือคณะสงฆ์กัมโพช โดยท่ี จารึกกัลยาณีทห่ี งสาวดี กลา่ วว่าเปน็ นิกายเดยี วกนั กบั นิกายอริยารหันตปกั ขะ หรือ อรยิ ะ ซง่ึ เป็นนกิ าย เถรวาทดงั้ เดิมของมอญ ที่พระโสณะและพระอุตตระเป็นผูน้ ำเขา้ มา นกิ ายนี้เป็นนกิ ายทใ่ี ชภ้ าษาบาลี แต่ รบั หลกั ธรรมจากลัทธิมหายานและลทั ธติ นั ตระยานเข้ามาผสมผสานด้วย พระพุทธปฏิมาที่สร้างข้ึนในนิกายน้ีจึงสะท้อนให้เห็นค่านิยมจากลัทธิเหล่านี้ พระปฏิมารูปพระ สมณโคดมสว่ นใหญ่เปน็ พระพุทธปฏิมา ประทบั ขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ (ดูรูปท่ี ๕.๑๓) ประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางมารวิชยั (ดรู ปู ท่ี ๕.๑๒๑ – ๕.๑๒๒) ประทับขัดสมาธริ าบ ปางมารวชิ ยั ถอื ตาลปตั ร (ดูรูปที่ ๕.๑๗๑ ก., ข.) ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย นาคปรก (ดูรูปท่ี ๕.๑๗๘ – ๕.๑๗๙) ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ทรงเครือ่ งพระจกั รพรรดริ าช (ดรู ูปท่ี ๕. ๑๘๑ – ๕.๑๘๓) ส่วนพระพุทธปฏิมายืนน้ัน มีปางห้ามญาติ (ดูรูปท่ี ๘.๑๙ – ๘.๒๑) ปางห้ามพระแก่นจันทน์ (ดรู ปู ที่ ๘.๔๘) ปางห้ามสมทุ ร (ดูรูปท่ี ๘.๕๓ – ๘.๕๔) และปางหา้ มสมทุ ร ทรงเครอื่ งพระจกั รพรรดริ าช (ดรู ปู ที่ ๘.๗๐ – ๘.๗๑) ๕๒๐ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

พระพุทธปฏิมาท่ีกล่าวถึงข้างต้น มีพุทธลักษณะท่ีร่วมกันคือ มีพระเมาลีทรงโอคว่ำ หรือทรง กรวยเรียบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธปฏิมาในหมวด “อู่ทอง แบบที่ ๑” และทรงอาภรณ์เคร่ือง ประดับทด่ี ดั แปลงมาจากศิลปะสมยั บายนของเขมร เม่ือคณะกัมโพชสงฆป์ กั ขะซ่ึงเปน็ คณะสงฆ์ฝ่ายนครวาสี หรือคามวาสี แพรห่ ลายไปท่อี าณาจกั ร ลา้ นนา จึงมกี ารจำลองพระพทุ ธปฏิมาแบบกมั โพชขึน้ ณ ทน่ี นั้ (ดรู ปู ที่ ๕.๑๓) เช่นเดยี วกบั ทีอ่ าณาจักร สโุ ขทยั (ดูรปู ที่ ๘.๒๒ – ๘.๒๓) ๒.๒ นกิ ายเถรวาท คณะมหาวหิ าร ฝ่ายคามวาส ี ปัจจุบันยังไม่พบเอกสารของไทยท่ีกล่าวว่านิกายเถรวาท คณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสี เข้ามามี บทบาทเมื่อใด แต่จารึกกัลยาณีให้ข้อมูลท่ีทำให้สันนิษฐานได้ว่า น่าจะรับเข้ามาหลังปี พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๒๕ (ค.ศ. 1181 – 1182) คอื เม่อื พระฉปัฏเถระสถาปนา “คณะสงฆส์ หี ฬ” ข้ึนทเี่ มอื งพุกาม ประเทศ พมา่ (Ray 2002, 114) ในคณะของพระฉปฏั เถระทก่ี ลับไปเมอื งพกุ ามหลงั จากไปอุปสมบทใหม่ ในคณะ มหาวหิ าร ของลงั กา หรือประเทศศรลี งั กาในปจั จบุ นั มีด้วยกัน ๔ รปู หน่งึ ในนั้นไดแ้ ก่พระตามลินทเถระ ซึ่งเป็นพระโอรสของ “พระราชาแห่งกัมโพช” (Taw Sein Ko 1892, 51) ต่อมาพระตามลินทเถระจึงตั้ง “คณะสงฆ์สีหฬ” ย่อยข้ึนตามฉายาของท่านเองที่เมืองพุกาม แต่จารึกกัลยาณีมิได้กล่าวว่าท่านได้นำเอา คณะของท่านไปเผยแพร่ท่ีมาตุภูมิ แต่หากจะพิจารณาว่าในฐานะท่ีท่านเป็นพระโอรสของกษัตริย์กัมโพช และทรงตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ จึงเป็นไปได้มากว่า สานุศิษย์ของท่านคงจะนำพระธรรมวินัยตามคติของ คณะสงฆส์ ีหฬของพระตามลินทเถระไปเผยแพรท่ ีก่ มั โพช พระพุทธปฏิมาท่ีสร้างขึ้นในคณะมหาวิหารของลังกา ได้รับการปรับเปล่ียนรูปแบบให้รับกับค่า นิยมใหม่ ซ่ึงเห็นได้จากพระรัศมีท่ีทำเป็นรูปเปลวเพลิง ตามอย่างพระพุทธปฏิมาของลังกา และเน่ือง ด้วยว่าพระพุทธปฏิมาส่วนใหญ่หมายถึงพระสมณโคดม การครองไตรจีวรจึงเหมือนเช่นพระภิกษุสงฆ์ และปราศจากอาภรณ์เครื่องประดับใดๆ ที่เห็นได้ชัดที่สุดได้แก่ พระพุทธปฏิมาที่สร้างข้ึนในอาณาจักร อยุธยา เป็นพระพุทธปฏิมาท่ีจำลองแบบมาจากพระพุทธรูปสำคัญของรัฐกัมโพช มีพระพักตร์เหล่ียม พระชงฆ์เป็นสันคม และมีไรพระศก ซ่ึงเป็นหนึ่งในมหาปุริสลักษณะของนิกายเถรวาทท่ีกล่าวถึงใน พระสุตตันตปิฎก ของนิกายเถรวาท ซ่ึงต่อมาถูกเรียกว่า “พระพุทธกัมโพชปฏิมา” (ดูรูปที่ ๕.๔๙ – ๕.๕๒) และเป็นทีน่ ยิ มแพร่หลาย อันเห็นไดจ้ ากการจำลองพระพทุ ธกัมโพชปฏมิ าที่ล้านนา (ดูรูปท่ี ๕.๕๘ – ๕.๕๙) และที่สุโขทัยอีกดว้ ย (ดูรปู ที่ ๕.๕๔) นอกเหนอื จากพระพุทธกมั โพชปฏมิ าแลว้ อยุธยายงั สร้างพระพทุ ธปฏมิ าในหมวด “อทู่ อง แบบท่ี ๓” ซงึ่ มพี ทุ ธลกั ษณะคล้ายกับพระพทุ ธกัมโพชปฏมิ าจำลอง ยกเว้นแต่มีพระพกั ตรร์ ปู ไข่ และพระชงฆ์ไม่เปน็ สนั คม (ดรู ูปท่ี ๕.๑๒๕ – ๕.๑๒๗) อย่างไรก็ดี คณะมหาวิหาร ฝ่ายคามวาสีที่อยุธยา น่าจะมีส่วนในการสร้างพระพุทธปฏิมายืน ปางห้ามญาติ ท่ีจำลองจากพระพุทธปฏิมาแบบเดียวกันที่สร้างข้ึนในสมัยกัมโพช โดยปรับเปลี่ยนพระ รัศมเี ป็นเปลวเพลงิ และยงั คงไว้ซึง่ ลวดลายท่รี ัดพระองคแ์ ละหนา้ นางของสบง (ดูรปู ที่ ๘.๒๔ – ๘.๒๖) ซ่งึ ตอ่ มากห็ ายไปในทส่ี ุด เช่นเดียวกันกับพระพุทธปฏิมาปางห้ามญาติ พระพุทธปฏิมาปางห้ามสมุทร ก็ดัดแปลงมาจาก พระพุทธปฏิมาในสมยั กมั โพช โดยปรบั เปล่ียนพระรศั มเี ป็นเปลวเพลงิ และตัดลวดลายท่ีรัดพระองค์และ หน้านางของสบงออก (ดูรปู ท่ี ๘.๕๙) บทสรปุ ๕๒๑

ส่วนพระพุทธปฏิมาท่ีสรา้ งข้นึ ในคณะมหาวหิ าร ฝ่ายคามวาสีในล้านนา เห็นไดจ้ ากพระพทุ ธปฏิมา ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ซ่ึงจัดไว้ในกลุ่มแรกที่สร้างขึ้นในล้านนา (ดูรูปที่ ๕.๘๓) นอกจากน้ัน แล้วพระประธานในพระอารามซึง่ เปน็ ศรีของเมืองต่างๆ ทีส่ ร้างขึน้ ในสมัยอาณาจักรลา้ นนารุ่งเรือง เชน่ พระเจ้าทองทิพย์ วัดสวนตาล อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน พระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน จังหวัด เชียงราย หลวงพ่อสมใจนึก วัดอโุ มงคม์ หาเถรจันท์ อำเภอเมอื งฯ จังหวัดเชียงใหม่ (ดูรูปที่ ๕.๘๔ – ๕.๘๖) และพระเจ้าตนหลวง วดั ศรโี คมคำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดพะเยา (ดูรปู ที่ ๕.๙๘) ก็น่าจะสรา้ งข้นึ ในฝา่ ย คามวาส ี พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช เช่นพระ หริภุญชัยโพธิสัตว์ และพระหริภุญชัยบรมโพธิสัตว์ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร (ดูรปู ที่ ๖.๓๗ – ๖.๓๘) ก็น่าจะสรา้ งข้ึนในคณะมหาวหิ าร ฝ่ายคามวาสี เชน่ กนั ๒.๓ นกิ ายเถรวาท คณะมหาวหิ าร ฝ่ายอรัญวาสี นกิ ายเถรวาท คณะมหาวหิ าร ฝ่ายอรญั วาสีจากกรุงโปโลนนารวุ ะ ประเทศศรีลังกา เริ่มเขา้ มามี บทบาทในดินแดนแถบประเทศไทยในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 14) ซ่ึงเป็น ช่วงระยะเวลาของการก่อต้ังอาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๔ / ค.ศ. 1951) และช่วงรุ่งเรืองของ อาณาจกั รสโุ ขทัย ภายใตก้ ารปกครองของพระเจ้าลไิ ท (พ.ศ. ๑๘๙๐ – ๑๙๑๑? / ค.ศ. 1347 – 1368?) และอาณาจกั รลา้ นนาภายใตพ้ ระเจา้ กอื นา (พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๑๙๒๘ / ค.ศ. 1355 – 1385) พระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในช่วงระยะเวลาที่คณะมหาวิหาร ฝ่ายอรัญวาสีเจริญรุ่งเรือง ได้แก่ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย ท่ีสร้างข้ึนในสมัยอาณาจักรสุโขทัย (ดูรูปท่ี ๕.๗๕ – ๕.๗๖) พระพุทธปฏิมาลลี า เป็นพระพุทธรปู ทีส่ รา้ งขน้ึ โดยไดร้ ับอิทธิพลจากนกิ ายเถรวาท คณะมหาวิหาร ฝ่ายอรญั วาสขี องลงั กา โดยเปน็ ทนี่ ยิ มในอาณาจกั รสโุ ขทยั (ดูรูปที่ ๙.๔ – ๙.๘) ล้านนา (ดูรปู ท่ี ๙.๑๐ – ๙.๑๒) และอยธุ ยา (ดรู ูปท่ี ๙.๑๕ – ๙.๑๖) และเมื่ออยธุ ยาปกครองสุโขทัยและเมอื งต่างๆ ซึง่ เคยเปน็ ส่วนหน่ึงของอาณาจักรสุโขทัย เช่น สวรรคโลก กำแพงเพชร และพิษณุโลกในฐานะเมืองลูกหลวงของ อยธุ ยา ต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) พระพุทธรูปลีลาท่สี รา้ งขนึ้ ในเมอื งเหล่านก้ี ็ ยงั คงสบื ทอดรปู แบบเดมิ ๆ ตลอดมา (ดูรูปท่ี ๙.๑๗ – ๙.๑๙) ถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมายืน ซ่ึงเป็นลักษณะพิเศษของพระพุทธปฏิมาล้านนาจะมีมาต้ังแต่สมัย มอญหรภิ ุญไชย แต่เมอื่ พระสมุ นเถระสร้างวัดพระยืนขน้ึ ท่ีลำพนู ในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ (ค.ศ. 1369) พระยนื จึงกลายเป็นส่วนหน่ึงของพระพุทธปฏิมาท่ีคณะบุปผาวาสี (คณะวัดสวนดอก) หรือฝ่ายอรัญวาสี อันมี พระสมุ นเถระเปน็ ผูก้ อ่ ตงั้ ก็ไดม้ ีการจำลองกนั สบื ตอ่ กันมา (ดูรปู ที่ ๘.๑ – ๘.๓) ๒.๔ นกิ ายเถรวาท คณะสีหฬภิกข ุ คณะสีหฬภกิ ขุ เกิดขนึ้ จากพระภกิ ษุฝ่ายอรญั วาสี จากวดั ปา่ แดง เชียงใหม่ ร่วมกับพระภิกษจุ าก กัมโพช (ลพบุรี) ที่เดินทางไปทำอุปสมบทใหม่บนแพผูกกลางแม่น้ำกัลยาณี ท่ีกรุงโคลัมโบ ประเทศ ศรีลังกา ในปี พ.ศ. ๑๙๖๗ (ค.ศ. 1424) และเดินทางกลับมาเผยแพร่พระธรรมวินัย ที่กรุงศรีอยุธยา สโุ ขทยั พิษณโุ ลก และเดินทางกลบั ถึงเชียงใหมใ่ นปี พ.ศ. ๑๙๗๓ (ค.ศ. 1430) เม่ือกลบั ถงึ วดั ป่าแดงที่ เชยี งใหม่แล้ว พระภกิ ษุกลุ่มนี้จงึ เรียกตนเองวา่ “คณะสหี ฬภกิ ขุ” ๕๒๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พทุ ธศิลป์ไทย

พระพทุ ธปฏมิ าทค่ี ณะสหี ฬภกิ ขุสรา้ งขน้ึ ไดแ้ ก่ พระพทุ ธสหิ งิ ค์ และพระพทุ ธมหามณีรัตนปฏมิ ากร (พระแก้วมรกต) ซง่ึ ทง้ั สององคน์ ส้ี รา้ งขนึ้ ทเ่ี ชยี งใหม่ และไม่เก่าไปกวา่ ปี พ.ศ. ๑๙๗๓ (ค.ศ. 1430) ซ่ึงก็ คือปที ่คี ณะสหี ฬภกิ ขเุ ดินทางกลับมาถึงเชยี งใหมน่ ัน่ เอง พระพุทธสิหงิ ค์ (ดูรูปที่ ๖.๑, ๖.๒) เปน็ พระพทุ ธรูปประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางมารวิชัย รศั มเี ปน็ ลูกแก้ว หรือดอกบัวตูม มีพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธปฏิมาท่ีสร้างขึ้นในรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ปาละ – เสนะ จึงเป็นไปได้ยากหากจะสร้างข้ึนในศรีลังกาตามที่กล่าวอ้างในตำนาน ประวัติของพระพุทธสิหงิ ค ์ ส่วนพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (ดูรูปท่ี ๓.๖) สลักจากหยกสีเขียว เป็นพระพุทธรูปประทับ ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ โดยจำลองมาจากพระพุทธรูปลังกาในสมัยโปโลนนารุวะ จึงเป็นไปไม่ได้ท่ีจะ สร้างขึ้นทีป่ าตลีบุตร (ปัตนะ) รฐั พหิ าร ประเทศอนิ เดยี ตามทกี่ ลา่ วอ้างในตำนานเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยว่าคณะสีหฬภิกขุ เป็นคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีท่ีมีความเคร่งครัด จึงมีผู้เล่ือมใสศรัทธา นับถือเป็นจำนวนมาก ทั้งในอาณาจักรล้านนาและอยุธยา อันเห็นได้จากจำนวนของพระพุทธสิหิงค์ จำลองท่ีสร้างขึ้น จนอาจจะกล่าวได้ว่า พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย รัศมีเป็น ลูกแก้วหรือดอกบัวตูม ที่ถูกจำแนกไว้ใน “ศิลปะเชียงแสนรุ่นเก่า” สำหรับพระพุทธปฏิมาล้านนา และท่ี ได้จำแนกไวใ้ นหมวด “พระขนมต้ม” ของพระพุทธรปู อยุธยาน้นั เปน็ พระพุทธสิหิงคจ์ ำลองทกุ องค์ สำหรับพระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏมิ ากร ก็มกี ารจำลองเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยเฉพาะในล้านนา ทง้ั น้ีเพราะวัสดทุ จี่ ำลองซงึ่ เป็นแกว้ ผลกึ หรือหยก ซึ่งหาได้ไมย่ ากในทอ้ งท่ี ดงั นน้ั พระพุทธปฏมิ าแกว้ ผลกึ ประทับขัดสมาธริ าบ ปางสมาธิ ซึ่งปจั จบุ นั ประดิษฐานในพระท่นี งั่ อมั พรสถาน พระราชวงั ดสุ ิต อนั ไดแ้ ก่ พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรด์ิพิมลมณีมัย และในหอพระสุลาลัยพิมาน พระบรมมหาราชวัง เช่น พระ นากสวาดิเรือนแก้ว พระแก้วองค์นอ้ ยนาคปรก และพระแก้วเชียงแสน (ดูรปู ที่ ๓.๘๐ – ๓.๘๒) จึงถอื เปน็ พระพทุ ธมหามณรี ัตนปฏมิ ากรจำลอง นอกจากแก้วผลึกแล้ว ยังมีพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง สัมฤทธ์ิ (ดูรูปที่ ๕.๓) และพระพุทธปฏิมาซ่ึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “พระพุทธสิหิงค์” ประดิษฐานในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (ดูรูปท่ี ๕.๕) ซึ่งพิจารณาจากพุทธลักษณะแล้วน่าจะเป็นพระ พทุ ธมหามณรี ัตนปฏิมากรจำลองอีกองค์หนง่ึ พระพุทธปฏิมายืนที่น่าจะสร้างขึ้นในคณะสีหฬภิกขุ ได้แก่พระพุทธปฏิมายืน อุ้มบาตร (ดูรูปที่ ๘.๘๓) ซ่ึงปรากฏขึ้นท่ีเชียงใหม่ในช่วงระยะเวลาที่คณะสีหฬภิกขุรุ่งเรืองสูงสุด คือในรัชสมัยพระเจ้า ติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ / ค.ศ. 1441 – 1487) และส่งอิทธิพลถึงอยุธยาในสมัยวงราชธานี (ดรู ปู ที่ ๘.๘๕ – ๘.๘๗) ซ่งึ กเ็ ปน็ ชว่ งระยะเวลาทีฝ่ า่ ยอรญั วาสีเป็นท่ีนิยมในอาณาจักรอยุธยา ส่วนพระพุทธปฏิมาปางประดิษฐานรอยพระพุทธบาท (ดูรูปท่ี ๘.๑๓ – ๘.๑๔) เป็นลักษณะ เฉพาะของพระพุทธปฏิมาล้านนา และปรากฏข้ึนในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช ซ่ึงน่าจะสร้างขึ้นในคณะ สีหฬภิกขุอีกเช่นกนั บทสรปุ ๕๒๓

๒.๕ คณะสยามนิกาย “สยามนิกาย” เป็นชื่อที่พระภิกษุลังกาเรียกนิกายเถรวาทในประเทศสยาม ช่วงรัชกาลสมเด็จ พระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ – ๒๓๐๑ / ค.ศ. 1733 – 1758) ซึง่ กค็ อื พทุ ธศาสนาในราชอาณาจักร อยุธยา ที่ประกอบด้วยสองฝ่ายหลัก คือ ฝ่ายคามวาสี ท่ีสืบทอดมาจากคณะสงฆ์กัมโพชสงฆ์ปักขะ ด้ังเดิม และฝา่ ยอรัญวาสี ซึ่งเข้ามาพรอ้ มกบั คณะมหาวิหารจากลงั กา อย่างไรกด็ ี นอกเหนอื จากพระสงฆ์ แล้ว ยังมีสถาบันหนึ่งที่มักจะไม่ได้รับการกล่าวถึง แต่กลับมีความสำคัญมากที่สุดคือ สถาบันพระ มหากษัตรยิ ์ ซง่ึ มหี นา้ ท่ีปกครองและอปุ ถมั ภ์สงฆท์ ั้งสองฝา่ ยน้ีอกี ตอ่ หนึ่ง ดงั นัน้ ท้งั สามกลุม่ น้ีจึงเป็นแรง บันดาลใจสำคัญในการสร้างพระพุทธปฏิมาในสมัยอยุธยา ตลอดจนถึงสามรัชกาลแรกของกรุง รตั นโกสนิ ทร์ อนึ่ง แม้ว่า “สยามนิกาย” จะมีนัยว่าเป็นนิกายหลักของราชอาณาจักรอยุธยา ท่ีชาวพื้นเมือง และชาวต่างชาติเรียกว่า “สยาม” แต่ตามความเป็นจริงแล้วอาณาจักรอื่นๆ ในภาคพ้ืนเอเชียอาคเนย์ เช่น มอญ พมา่ ล้านนา ลา้ นช้าง และกมั พชู า ต่างก็มีองคป์ ระกอบทั้งสามหนว่ ยน้เี ป็นปัจจยั หลกั ในการ สร้างพระพุทธปฏิมาเช่นกัน และต่างก็ให้ความสำคัญกับพระมหากษัตริย์ในฐานะที่ทรงเป็นพระ จักรพรรดิราชและพระธรรมมิกราช ในช่วงต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15) ซ่ึงใน กรณีของสมัยอาณาจักรอยุธยา ตั้งแต่ช่วงที่ปกครองด้วยระบบเมืองลูกหลวงเป็นต้นมา จะแตกต่างกัน บ้างก็ตรงการให้ความสำคัญกับแต่ละหน่วยของแต่ละอาณาจักร เช่น ล้านนาให้ความสำคัญกับคณะ สีหฬภิกขุ โดยการสร้างพระพุทธสิหิงค์จำลอง และพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง แต่อยุธยาให้ ความสำคญั กับสถาบนั พระมหากษัตริย์ เชน่ การสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ เปน็ ตน้ เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีเอกสารใดที่บ่งบอกถึงการจัดระบบคณะสงฆ์อยุธยาก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ ท่ีหลงเหลืออยู่ แต่ก็อาจจะอนุมานได้ว่าไม่น่าจะแตกต่างไปมากจากรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ฝ่าย คามวาสฝี ่ายซ้าย ซ่งึ มีเจา้ คณะเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช ประทบั อย่ทู ่ีวัดมหาธาตุ และสมเด็จพระวนั รัตน์ เจา้ คณะฝา่ ยคามวาสฝี า่ ยขวาอยทู่ ีว่ ัดป่าแก้ว จึงเปน็ คณะท่มี คี วามสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกบั พระมหากษตั รยิ ์มาก กว่าฝ่ายอรัญวาสีที่มีพระพุทธาจารย์ เป็นเจ้าคณะ ที่ดูแลพระสงฆ์ฝ่ายสมถวิปัสสนา ดังนั้นจึงอาจจะ กลา่ วไดว้ า่ พระพทุ ธปฏิมาสว่ นใหญท่ ี่สรา้ งขนึ้ ในสยามนกิ าย โดยเฉพาะพระพทุ ธปฏิมาท่ีพระมหากษัตรยิ ์ ทรงสร้างน้นั อยภู่ ายใต้ความรบั ผดิ ชอบของฝา่ ยคามวาสี (๑) คณะสยามนิกาย ฝ่ายคามวาสี พระพุทธปฏิมาท่ีเป็นเอกลักษณ์ของสยามนิกาย ฝ่ายคามวาสี ได้แก่ พระพุทธรูปทรงเคร่ือง พระจักรพรรดริ าช ซึ่งจากความแตกตา่ งของปางแยกออกไดเ้ ปน็ สามหมวด ไดแ้ ก่ รูปพระศรีอารยิ เมตไตรย รูปพระสมณโคดมโปรดพญาชมภบู ดี และพระพุทธรปู ทรงเครือ่ งฉลองพระองค์ของพระมหากษตั รยิ ์ พระศรีอาริยเมตไตรย หรือพระอนาคตพุทธะ สร้างเป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิทรงเครื่อง (ดูรูปที่ ๕.๔๔ – ๕.๔๖) ในฐานะท่ีพระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ประทับบำเพ็ญ สมาธิบนสวรรค์ช้ันดุสิต จนกว่าจะเสด็จลงมาจุติ เมื่อพุทธศาสนาได้ห้าพันปี สร้างข้ึนครั้งแรกใน อาณาจักรอยุธยาสมยั เมอื งลกู หลวง และสนิ้ สดุ ลงเม่ือเสียกรงุ คร้งั ท่ี ๒ พระสมณโคดมทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิราชเพื่อโปรดพญาชมพูบดี สร้างเป็นพระพุทธรูป ประทบั ขดั สมาธิราบ ปางมารวชิ ัย ทรงเครื่อง สรา้ งขึน้ ท่ลี า้ นนา (ดรู ูปท่ี ๕.๑๘๕ – ๕.๑๘๖) กอ่ นท่ีจะเปน็ ที่นิยมแพร่หลายที่อยุธยา โดยเฉพาะในสมัยวงราชธานี (ดูรูปที่ ๕.๑๘๙ – ๕.๑๙๔) และสืบทอดลงมา จนถงึ สมยั พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจ้าอยูห่ วั (ดูรปู ที่ ๕.๑๙๕) ๕๒๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย

พระพุทธรูปทรงเคร่ืองฉลองพระองค์ของพระมหากษัตริย์ เป็นพระพุทธรูปยืน ปางห้ามสมุทร เมื่อเริ่มสร้างข้ึนในสมัยเมืองลูกหลวงเป็นพระพุทธรูปครองจีวรห่มคลุม สวมอุณหิส กรองศอ ห้อยทับทรวง (ทรงเคร่ืองใหญ่) (ดูรูปท่ี ๘.๗๒ – ๘.๗๓) ต่อมาในสมัยวงราชธานี จึงสวมมงกุฎ เพ่ิมสังวาลไขว้ พาหรุ ัด ทองพระกร ทองพระบาท พระธำมรงค์ทกุ นว้ิ พระหตั ถ์ และทรงพระภูษาทบั จวี ร หอ้ ยสุวรรณกระถอบ (ดูรปู ท่ี ๘.๗๙) ในช่วงสามรัชกาลแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ พระพุทธรูปทรงเคร่ืองฉลองพระองค์ที่พระ มหากษัตริย์ และสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ ทรงสร้าง มีความวจิ ิตรอลังการกวา่ ทกุ ยุคสมยั นอกจากจะทรง เคร่ืองต้นของพระมหากษัตริย์อันประกอบด้วยพระมหามงกุฎที่ประดับด้วยกรรเจียกจรและดอกไม้เพชร สังวาลไขว้ที่ประดับด้วยทับทรวงและตาบทิศ พาหุรัดที่ประดับด้วยกนกเหน็บต้นพระพาหา ทองพระกร และพระธำมรงค์ในทุกน้ิวพระหัตถ์แล้ว ยังทรงพระภูษา คาดผ้าสำรด รัดพระองค์และป้ันเหน่ง ห้อย สุวรรณกระถอบท่ีประดับด้วยชายไหว ชายแครงซ้อนกันสามช้ัน ทรงทองพระบาท และฉลองพระบาท เชงิ งอน เครื่องต้นทง้ั หมดตกแตง่ ด้วยการลงยาราชาวดี และประดับดว้ ยอัญมณี (ดูรปู ที่ ๓.๖๒ – ๓.๖๗) สมกับท่ีได้ตง้ั พระทยั ไวว้ ่า จะใหเ้ ป็นพระเกยี รติยศสืบไปภายหน้าทกุ พระองค์ นอกจากพระพุทธรูปทรงเคร่ืองแล้ว คณะคามวาสียังสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ ข้ึน เพ่ือเป็น พระพุทธรูปประจำวันชาตา สำหรับบูชาพระเคราะห์ ซ่ึงเป็นการผนวกความเชื่อทางโหราศาสตร์กับ พุทธศาสนา อันเป็นลักษณะหนึ่งของสยามนิกาย ที่สืบทอดมาจากคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะหรือตันตริก เถรวาท โดยเร่ิมข้ึนในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (ต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 18) ท่ีกรุงศรีอยุธยา (ดูรูปที่ ๑๑.๑๔ – ๑๑.๑๕) และมาจัดให้เป็นระบบข้ึนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔ / ค.ศ. 1824 – 1851) อนั ไดแ้ ก่ ปางถวายเนตร วนั อาทติ ย์ ปางห้ามสมทุ ร วนั จันทร์ ปางไสยาสน์ วันอังคาร ปางอุ้มบาตร วันพุธ ประทับขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ วันพฤหัสบดี ปางรำพึง วันศกุ ร์ ปางนาคปรก วนั เสาร์ ปางป่าเลไลยก์ วนั พธุ กลางคนื ประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชยั บูชา พระเกตุ (ดูรปู ท่ี ๒.๑๘ – ๒.๒๗) ต่อมาในรัชกาลเดยี วกันนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชิโนรส ทรงคิดประดิษฐ์ ปางตา่ งๆ แสดงพระพทุ ธจรยิ วตั รตามพทุ ธประวัติ ๓๗ ปาง (ดูรูปที่ ๓.๙ (๑) – (๓๔), ๓.๑๐ – ๓.๑๒) ซงึ่ เป็นคร้งั แรกในประเทศไทยท่ไี ดม้ กี ารสร้างพระพทุ ธรปู โดยองิ เหตกุ ารณต์ า่ งๆ ในพทุ ธประวัติ นอกจากนั้นแลว้ ในรัชกาลเดียวกันยังสร้างพระพทุ ธรูปสมั ฤทธิแ์ บบตา่ งๆ ขนาดเลก็ เลา่ เร่อื งพทุ ธ ประวตั ิ โดยได้รับแรงบนั ดาลใจจากจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัยอีกด้วย (ดรู ูปที่ ๑๑.๘ – ๑๑.๑๐) (๒) คณะสยามนิกาย ฝา่ ยอรญั วาสี พระพทุ ธปฏิมาท่ีสรา้ งขนึ้ ในฝา่ ยอรญั วาสี ได้แก่ พระพทุ ธรปู สี่อริ ยิ าบถที่สรา้ งข้ึนในเขตอรัญญกิ เช่นที่ สโุ ขทยั (ดูรูปที่ ๑๑.๑ – ๑๑.๒) และทีก่ ำแพงเพชร (ดูรูปท่ี ๑๑.๓ – ๑๑.๔) ได้แก่ พระพทุ ธรปู ลีลา ยืน ประทับ และไสยาสน์ ซง่ึ สร้างขึน้ เพือ่ ชว่ ยในการบำเพ็ญกายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน บทสรุป ๕๒๕

๓. พระพทุ ธปฏมิ าหลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๕ (กลางคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19) คณะธรรมยตุ ิกนิกาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาคณะธรรมยุติกนิกายขึ้นเม่ือปี พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. 1830) ครั้งทรงดำรงพระสมณศักด์ิเป็นพระวชิรญาณมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดสมอราย (วัดราชา- ธิวาสวิหาร) โดยทรงเน้นการศึกษาพุทธศาสนาจากพระพุทธวจนะภาษาบาลี และทรงให้วัตรปฏิบัติของ สงฆต์ รงตามพระวินยั อยา่ งเครง่ ครดั รวมท้งั การครองจีวร ถือบาตร และออกเสียงภาษาบาลใี หถ้ ูกต้อง นอกจากน้ันแล้ว ธรรมยุติกนิกายยังถือว่าคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีเหตุมีผลทาง วิทยาศาสตร์ แต่ถูกบิดเบือนด้วยความเชื่อและวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่พอกพูนขึ้นมาในชั้นหลัง (Ishii 1986, 156) คณะธรรมยุติกนิกายจึง “สอนพุทธศาสนาแบบท่ีเน้นเหตุผล และความจริงเชิง ประสบการณ์ หรือความจริงเชิงประจักษ์มากข้ึน” (พระไพศาล ๒๕๔๖, ๑๑) คณะธรรมยุติกนิกายอุบัติขึ้นในช่วงท่ีภัยจากตะวันตกคุกคามอิสรภาพของสยาม ซ่ึงเป็นเหตุให้ ชนช้ันนำชาวสยามในยุคนั้นต้องปรับเปลี่ยนโลกทัศน์ของตนเองให้เข้ากับโลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ของ ชาวตะวันตก ซ่ึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล เพ่ือให้ทันกับชาวยุโรป และต้องสร้างอุดมการณ์ ชาตินิยมข้ึนมาเพ่ือสร้างความสามัคคีของคนในราชอาณาจักรให้เป็นคนชาติเดียวกัน โดยมีภาษาและ วัฒนธรรมร่วมกัน ตลอดจนให้มีความจงรักภักดีต่อชาติ ดังน้ันการสร้างชาติจึงเป็นพระราชภารกิจ สำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องทำการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน โดยรวมอำนาจสู่ส่วนกลาง การปฏิรูปการศึกษาทั่วราชอาณาจักร และการรวมคณะสงฆ์ให้เป็น “คณะสงฆ์แห่งชาติ” (เรอ่ื งเดียวกนั , ๓๒) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสืบสานอุดมการณ์ชาตินิยมของสมเด็จพระ บรมชนกาธิราชให้เป็นรูปธรรมท่ีมีความชัดเจน เช่น ทรงเปลี่ยนสัญลักษณ์ของชาติ จากธงช้างเผือกมา เป็นธงไตรรงค์ และพระราชนิพนธ์ความหมายของสไี วว้ า่ ขาว คอื บรสิ ุทธิ์ศรีสวัสดิ ์ หมายพระไตรรัตน ์ และธรรมะคุ้มจิตไทย แดง คอื โลหติ เราไซร้ ซง่ึ ยอมสละได้ เพอื่ รกั ษาชาติและศาสนา น้ำเงนิ คอื สโี สภา อันจอมประชา ธ โปรดเปน็ ของสว่ นองค ์ (สงวน อ้นั คง ๒๕๒๙, ๒๑๗) และทรงยกใหพ้ ุทธศาสนามีความสำคญั ขนึ้ มาในระดบั ท่ีเป็นสถาบันหลักของประเทศ (มงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ๒๔๖๓, ๖๒ – ๖๔) โดยที่คนไทยทุกคนต้อง อุทิศตัวเราทั้งหลายและอุทิศกำลังกายกำลังสติปัญญาไว้เพ่ือป้องกันรักษาชาติ, ศาสนา, พระมหากษตั ริย.์ สงิ่ ซึ่งเปนท่เี คารพรักใครท่ ง้ั ๓ คอื ความเปนไทยของ เราอย่าง ๑ ความม่ันคงของชาติเราอย่าง ๑ พระศาสนาของเราอย่าง ๑ (เรอ่ื งเดยี วกนั , ๑๕๐) เนื่องด้วยคณะธรรมยุติกนิกายสถาปนาขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์นับแต่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลงมา ได้ทรงผนวชในคณะน้ี และได้ประทับท่ีวัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างที่ทรงผนวชทุกพระองค์ รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชท่ีสังกัดคณะน้ีก็ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ หลายองค์ จึงทำให้คณะธรรมยุติกนิกาย มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นและลึกซึ้งกับสถาบัน พระมหากษัตรยิ ์ ๕๒๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศิลปไ์ ทย

ดังน้ันพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นในคณะธรรมยุติกนิกายจึงสะท้อนให้เห็นลักษณะเฉพาะของคณะ น้ีไม่ว่าจะเป็น ความถูกต้องตามคัมภีร์ภาษาบาลี ความเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติ ความจริงเชิงประจักษ์ ความเป็นชาตินิยม และความสัมพันธก์ ับพระมหากษัตรยิ ไ์ ดเ้ ปน็ อย่างด ี พระสัมพุทธพรรณี (ดูรูปท่ี ๓.๗๖) เป็นพระพุทธรูปองค์แรกที่สร้างข้ึนพร้อมกับการสถาปนา ธรรมยุติกนิกายในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. 1830) ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงผนวชเป็นพระวชิรญาณมหาเถระ โดยเลียนแบบมาจากพระพุทธปฏิมาของลังกาที่นิยมสร้างประทับ ขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ แต่แตกต่างกับพระพุทธปฏิมาของลังกาตรงท่ีไม่มีพระเมาลี ท้ังนี้เพราะ พระองค์ตรวจสอบในพระสูตรแล้ว ไม่ปรากฏว่ามี ดังน้ันเพื่อความถูกต้องตามพระคัมภีร์ภาษาบาลี พระพุทธรูปส่วนใหญท่ ่ีโปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างข้นึ จึงไม่มีพระเมาลี นอกจากไม่มีพระเมาลีแล้ว พระพุทธรูปที่สร้างข้ึนในรัชกาลของพระองค์ยังมีขนาดตาม “คืบพระสุคต” ซ่ึงได้แก่ความยาวของเมล็ดข้าวเปลือกต่อกัน อันเป็นผลงานจากการค้นคว้าในคัมภีร์ ภาษาบาลีและพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เร่ือง สุคตวิทตฺถิ พระพุทธรปู ที่มขี นาดตาม “คบื พระสคุ ต” ได้แก่ พระพุทธปรติ ร ในหอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง (ดูรูปที่ ๓.๗๗) พระประธานวัดมกุฏกษัตริยาราม (ดูรูปที่ ๓.๓) พระประธานวัดโสมนัสวิหาร วัดเทพ- ศริ นิ ทราวาส และวดั ราชบพธิ สถิตมหาสีมาราม (ดรู ูปท่ี ๕.๒๘, ๖.๔๑, ๕.๒๙) ความเคร่งครดั ในทางวตั รปฏบิ ตั ิ ส่งผลใหพ้ ระพุทธรูปทสี่ ร้างขึ้นในธรรมยตุ กิ นิกาย ครองไตรจวี ร ตามพระภิกษุในคณะน้ี เช่นการครองจีวรห่มคลุม (ดูรูปที่ ๘.๖๔, ๘.๖๕) และครองจีวรห่มดอง พาดสังฆาฏิ (ดูรปู ที่ ๓.๔๘, ๓.๕๔) รวมทัง้ การถือบาตรอยา่ งถูกตอ้ งอกี ด้วย (ดรู ปู ท่ี ๓.๔๙, ๓.๕๒) การให้ความสำคัญกับ “ความจริงเชิงประจักษ์” ของคณะธรรมยุติกนิกายสอดคล้องกับการ สร้างภาพตามแนวเหมือนจริงของชาวตะวันตก จึงทำให้พระพุทธรูปของคณะน้ีมีความเป็นคนมากกว่า พระพุทธปฏิมาที่สืบทอดกันมาในอดีต นอกจากน้ันแล้ว พระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรง “อยากเห็นพระเป็นคน” เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างพระพุทธรูป ตามแนวสัจนยิ มตะวนั ตก เช่น ผลงานของอลั ฟอนโซ ทอร์นาเรลลี (ดูรูปท่ี ๘.๑๐๐) และยังเป็นสาเหตุ สำคญั ทีท่ ำให้สังคมไทยยอมรับพระพุทธรูปท่เี หมอื นคนอีกดว้ ย นอกจากยอมรับแล้ว ช่างไทยยงั ใฝฝ่ นั ที่จะ “คิดแก้ไขหันเข้าหาความงาม ให้เห็นจริงอย่างสามัญมนุษย์” ดังมี พระพุทธไสยาสน์ท่ีพระเทพรจนา ปั้นและหล่อตามภาพร่างฝีพระหัตถ์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (ดูรูปที่ ๑๐.๑๓) อันถอื เป็นตัวอยา่ งทีค่ วรยกยอ่ ง ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระ ชัยวัฒนมงคลวราภรณ์ข้ึนในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ (ค.ศ. 1885) เพื่อพระราชทานพระราชโอรสท่ีจะเสด็จไป ศกึ ษาในตา่ งประเทศ และเพ่อื สกั การบชู าประจำพระองค์ แต่พระบรมราโชวาท ๓ ขอ้ ไดแ้ ก่ (๑) ทำนุ บำรงุ พระพทุ ธศาสนา (๒) รักษาราชอาณาจักร และ (๓) ซ่ือสัตย์ตอ่ พระมหากษตั รยิ ์ ที่ไดพ้ ระราชทาน พร้อมกันนั้น แสดงให้เห็นว่า พระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับอุดมการณ์ชาตินิยมแล้ว ซ่ึงท้ัง ๓ ข้อนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระราชหฤทัย และทรงปรับเปลี่ยนเป็น ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ ในเวลาต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างคณะธรรมยุติกนิกายและพระมหากษัตริย์ปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ (ค.ศ. 1963) เมอ่ื สมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสงั ฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ขณะดำรงสมณศักด์ิเป็นพระสาสนโสภณ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระ ปรมาภไิ ธย ภ.ป.ร. ไปประดษิ ฐานที่ผ้าทิพย์ของพระพุทธรปู แบบสโุ ขทัย ปางประทานพร (ดรู ปู ท่ี ๓.๙๙) ซึ่งพระธรรมจนิ ดาภรณ์ (ทองเจือ จินตฺ ากโร) วัดราชบพธิ สถิตมหาสีมารามเปน็ ผอู้ อกแบบ โดยมเี หตุผล วา่ ประเทศชาติอยู่ไดโ้ ดยอาศยั พระพทุ ธานุภาพและพระราชานภุ าพ ประกอบกันอย่อู ย่างแยกจากกันไม่ได้ บทสรุป ๕๒๗

ดังนั้นพระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. จึงเป็นปูชนียวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงการรวมกันของพระ พุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ ซ่ึงนอกจากจะเป็นคร้ังแรกท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้พระปรมาภิไธยกับพระพุทธรูปแล้ว ยังเป็นการสร้างพระพุทธรูป ประทบั ขดั สมาธิราบ ปางประทานพรขึน้ เปน็ ครงั้ แรกในประเทศไทยอีกด้วย พระพุทธปฏิมาท่ีเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างชาติ พุทธศาสนา และ มหากษัตรยิ ์ ไดแ้ ก่ พระพุทธนวราชบพิตร สรา้ งเปน็ พระพทุ ธรปู ประทบั ขดั สมาธิราบปางมารวิชัย แบบ สโุ ขทยั ประยกุ ต์ (ดูรปู ที่ ๓.๑๐๑) ซ่งึ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ (ค.ศ. 1966) และท่ฐี านบัวหงายบรรจพุ ระพมิ พ์พระสมเดจ็ จติ รลดา ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ทรงสรา้ งด้วยพระหัตถ์ โดยรวมผงศักดสิ์ ิทธ์ิสว่ นพระองค์ และสว่ นท่ไี ดม้ าจากปูชนยี สถาน และปูชนียวัตถุท่ัวพระราชอาณาจักรเข้าไว้ด้วยกัน พระพุทธนวราชบพิตรยังเป็นพระพุทธรูปท่ีพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชวินิจฉัยแก้แบบจนเป็นท่ีพอพระราชหฤทัย ก่อนท่ีจะนำไปหล่อ เพื่อพระราชทานไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักรด้วยพระองค์เอง พระพุทธนวราชบพิตรจึงถือ เปน็ พระพุทธรปู องคแ์ รกทสี่ ร้างขนึ้ เพ่อื ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชร่วมกบั กองบญั ชาการทหารสงู สุด ได้กราบบงั คมทูล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอพระราชทานพระราชานุญาตสร้างพระพุทธรูปเพ่ืออุทิศเป็น พระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระสุริโยทัย ผู้ทรงสละพระชนมชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย เนื่องในโอกาส เฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) พระพทุ ธรปู องค์นีเ้ ปน็ พระพุทธรูปยนื ทรงเครือ่ งฉลองพระองค์ ปางห้ามพระแก่นจนั ทน์ แต่พระหัตถ์ขวาประทานพร (ดรู ปู ท่ี ๓.๙๓) ซง่ึ ปางนี้ สร้างขึ้นครั้งสุดท้ายในสมัยกัมโพช พระพุทธรูปมีขนาดความสูงเท่าองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม- ราชินีนาถ จึงเป็นท้ังพระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ของสมเด็จพระสุริโยทัย และสมเด็จพระ นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในองค์เดียวกัน นอกจากนั้นแล้ว ยังเป็นพระพุทธรูปทรงเคร่ืองฉลอง พระองคท์ ีพ่ ระมหากษตั ริย์มิไดท้ รงสร้างเอง แต่กองบัญชาการทหารสูงสดุ เปน็ ผู้สรา้ งถวาย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. 1995) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชร่วมกับ กระทรวงมหาดไทยและประชาชน สร้างพระพุทธนิรโรคันตราย (ดูรูปที่ ๓.๙๕) ถวายพระบาทสมเด็จ พระเจา้ อยู่หวั เพอ่ื คมุ้ ครองพระองคใ์ ห้พ้นจากโรคาพาธท้งั ปวง เนือ่ งจากพระองค์ทรงพระประชวรก่อน หน้าน้ี และเม่ือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ (ค.ศ. 1999) รัฐบาลจึงสร้างพระพุทธรูปทรงเคร่ืองฉลองพระองค์ สูงเท่าพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว (ดูรูปที่ ๓.๔๑) ถวายในโอกาสมหามงคลเพ่ือเฉลิมพระเกียรติ ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าในรัชกาลปัจจุบัน พระพุทธรูปทรงเคร่ืองฉลองพระองค์ซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศิลป์ไทย มิได้สร้างข้ึนโดยพระ มหากษตั รยิ ์ แตส่ ร้างขนึ้ โดยประชาชนของพระองค์ เพ่ือแสดงถงึ ความรักและภักดีทเ่ี หลา่ พสกนิกรถวาย แด่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว ซึง่ ถือเป็นการเปล่ียนแปลงครั้งยง่ิ ใหญใ่ นประวตั ศิ าสตร์การสร้างสรรค์ งานพุทธศลิ ปข์ องไทย จากการศึกษาพระพุทธปฏิมา อาจจะสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับพระ- มหากษัตริย์ที่ได้ดำเนินควบคู่กันมากว่า ๒,๕๐๐ ปี มิได้ร่วงโรยหรือเส่ือมสลายลงในประเทศไทย ตามกาลเวลาเลย แต่ตรงกันข้ามกลับเจริญรุ่งเรืองและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากย่ิงข้ึน ความ สัมพันธ์น้ียังคงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างพระพุทธรูปในปัจจุบัน เป็นเสมือนพลังที่ผลักดันการสร้าง อัตลักษณ์แห่งความเป็นไทย สมดังท่ีนาวาอากาศเอก ทองสุก จทัชบุตร อดีตผู้อำนวยการกอง อนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศกึ ษาทหารอากาศ กองทพั อากาศ ได้ประพนั ธ์ไวว้ า่ วัดกับวงั ยงั อยคู่ ่สู ยาม ตราบนั้นความเป็นไทยก็ไม่สญู หากวัดร้างวงั ไรใ้ จอาดรู น้ำตาพูนเพียบถน่ิ แผ่นดินไทย (ทองสุก จทชั บตุ ร) ๕๒๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย

ตารางสรปุ พระพทุ ธปฏมิ าปางต่างๆ ตามยคุ สมัย บทสรุป ๕๒๙

บรรณานุกรม หนังสอื ภาษาไทย กรรณิกา ดำรงวงศ์. (๒๕๔๔). พระพุทธทักษิณม่ิงมงคล หลวงพ่อเขากง. จดหมายเหตุการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระ นราธวิ าส: วัดเขากง. บรมมหาราชวงั ในการฉลองพระนครครบ ๒๐๐ ปี ภาคท่ี ๑. (๒๕๒๕). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ยูไนเต็ดโปรดักชนั่ . กองบัญชาการทหารสงู สดุ . (๒๕๓๔). พระราชพิธสี มโภชพระเจดีย์ศรสี รุ โิ ยทัย จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พร้นิ ต้ิงกรพุ๊ . จดหมายเหตุเร่ืองทรงตั้งพระบรมวงษานุวงษ์. (๒๔๕๗). พระนคร: โรงพิมพ์ กรุงเทพฯ เดลิเมล์. กองโบราณคดี กรมศิลปากร. (๒๕๓๔). เวียงท่ากาน ๑ รายงานการขุดแตง่ และการบูรณะโบราณสถาน. กรุงเทพฯ: ฝ่ายแผนงาน จอมเกล้าเจ้าหยู่หัว, พระบาทสมเด็ดพระ. (๒๔๘๕). เทสนาพระราชประวัติ วิเทศสัมพนั ธ์ และหน่วยศลิ ปากรที่ ๔ ฝา่ ยควบคมุ ดแู ลรกั ษา พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าหย่หู วั และตำนานพระพุทธ- โบราณสถาน กองโบราณดคี กรมศลิ ปากร. บุสยรัตน. พระนคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธัมสาตรและ การเมือง. (เจ้าภาพพิมพ์แจกไนงานพระราชทานเพลิงพระสพ กัลยาณิวัฒนา, สมเดจ็ พระเจ้าพีน่ างเธอ เจา้ ฟา้ . (๒๕๒๗). เวลาเปน็ ของมีคา่ . พระเจ้าบรมวงสเทอ พระองคเ์ จ้าบสุ บนั บัวผนั ). กรงุ เทพฯ: ด่านสทุ ธาการพิมพ์. จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (๒๕๒๔). ตำนานพระแก้วมรกต การศาสนา, กรม. (๒๕๒๗). ประวตั ิวัดทัว่ ราชอาณาจักร. เล่ม ๓. กรุงเทพฯ: ตำนานพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี พระศรีศาสดา. โรงพมิ พก์ ารศาสนา. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงาน พระราชทานเพลิงศพ นายเดช ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม ____________. (๒๕๓๔). ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร. เล่ม ๑๐. กรุงเทพฯ: ณ ฌาปนสถานกรมตำรวจ วัดตรีทศเทพ). (พิมพ์ครั้งแรก โรงพิมพ์การศาสนา. พ.ศ. ๒๕๐๑). กำจร สุนพงษ์ศรี. (๒๕๒๔). ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก. กรุงเทพฯ: จันทบุรีนฤนาถ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (๒๕๑๕). ปทานุกรม บาลี คาร์เดีย เพรสบุ๊ค. ไทย อังกฤษ สันสกฤต. พระนคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวพร. (ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ิมพ์ในคราวอายุครบ ๕ รอบ ขจร สุขพานิช. (๒๕๒๓). ข้อมูลประวัติศาสตร์: สมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ: หมอ่ มหลวงบวั กิตยิ ากร ในพระวรวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ จันทบุรี- สมาคมสงั คมศาสตรแ์ หง่ ประเทศไทย. สุรนาถ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๒). (พิมพ์ ครงั้ แรก ๒๕๑๓). เขยี น ยิม้ ศิร.ิ (๒๕๑๒). พทุ ธานสุ รณ์. พระนคร: ศลิ ปาบรรณาคาร. ไขศรี ศรอี รุณ. (1996). พระพุทธรูปทีร่ ะเบียงรอบองค์พระปฐมเจดีย์. Patani: จาตุรงคมงคล วัดบวรนิเวศวิหาร. (๒๕๐๘). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏ- ราชวทิ ยาลัย. Prince of Songkla University. คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถานจังหวัดสุโขทัยและจังหวัด “จารึกแผน่ ทองแดง.” (๒๕๓๕). ศิลปากร ๓๕ (๖): ๑๐๓ - ๑๐๘. จารึกล้านนา ภาค ๑. (๒๕๓๔). ๒ เล่ม. กรุงเทพฯ: มลู นธิ ิเจมส์ เอช ดับเบล้ิ ยู กำแพงเพชร. (๒๕๑๒). รายงานการสำรวจและขดุ แต่งบูรณะ โบราณวัตถุสถานเมืองเก่าสุโขทัย พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๑๒. ทอมป์สัน. (ในวโรกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม- พระนคร: คณะกรรมการปรับปรุงบูรณะโบราณสถานจังหวัด บรมราชกมุ ารี พระชนมายคุ รบ ๓ รอบ). สโุ ขทยั และจงั หวัดกำแพงเพชร. จารกึ สมยั สโุ ขทยั . (๒๕๒๖). กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร. คณะสงฆ์วัดพระเชตุพน. (๒๕๔๔). ตำนานพระพุทธรูปสำคัญวัดพระเชตุพน. จิตร บัวบุศย์. (๒๕๐๓). สกุลศิลปพระพุทธรูปในประเทศไทย. พระนคร: กรุงเทพฯ: อมรินทร์พร้ินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. (คณะสงฆ์วัด โรงพมิ พอ์ ำพลพิทยา. พระเชตุพนจัดพิมพ์เป็นที่ระลึก สมโภชหิรัญบัฏ และฉลอง จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว, พระบาทสมเด็จพระ. (ร.ศ. ๑๒๖ / พ.ศ. ๒๔๕๐). ไกลบา้ น. อายุวัฒนมงคล ๘๕ ปี พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสา- ๔ เลม่ . [ม.ป.ท.]. นกุ โร ป.ธ. ๔) เจ้าอาวาสวดั พระเชตุพน ๒๖ - ๑๗ พฤษภาคม ____________. (๒๔๘๒). พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ๒๕๔๔). เจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทร- คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง. (๒๕๓๔). เทวี. พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์. (พิมพ์แจกเป็นท่ีระลึกใน กรุงเทพฯ: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนัก งานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าอับษรสมาน กิติยากร ณ เลขาธกิ ารนายกรัฐมนตรี. เมรุวดั ราชาธิวาส เม่อื วนั ที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒). คำให้การขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง. (๒๔๕๙). พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ- ____________. (๒๔๙๖). พระราชพิธีสิบสองเดือน. พระนคร: โรงพิมพ์ พิพรรฒธนากร. (นายพลตรี พระยาเทพาธิบดี พิมพ์แจกใน พระจันทร์. งานปลงศพ นายพันตรี หลวงพิทักษ์นฤเบศร์ (จร บุนนาค) ผบู้ ดิ า ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๕๙). คำให้การชาวกรงุ เกา่ . (๒๔๕๗). พระนคร: โรงพมิ พไ์ ทย ณ สพานยศเส. ๕๓๐ บรรณานุกรม

____________. (๒๕๐๗). พระราชกรัณยานุสร. พระนคร: คลังวิทยา. (พิมพ์ ____________. (๒๕๔๙). “การกำหนดอายุสมัยพระพุทธรูปที่พบในพระอุระ ครงั้ แรก ๒๔๖๓). และพระพาหาเบ้ืองซ้ายพระมงคลบพิตร จังหวัดพระนคร- ____________. (๒๕๐๘). พระราชหัตถเลขา คราวเสด็จมณฑลฝ่ายเหนือใน ศรอี ยุธยา.” ศิลปากร ๔๙ (๖) (พฤศจิกายน - ธนั วาคม): ๗ - ๓๓. รัชกาลที่ ๕. พิมพ์ครั้งท่ี ๓. พระนคร: โรงพิมพ์กรมสรรพ- ดำรงราชานภุ าพ, พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระ. (๒๔๖๔). ตำนานเรอ่ื งสถานท่ี สามิต. (งานฌาปนกิจศพ นายยืนยง วรโพธ์ิ และเด็กหญิง ตา่ งๆ ซึ่งพระบาทสมเดจ็ ฯ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงสร้าง. สภุ าวดี วรโพธ์ิ). พระนคร: โรงพมิ พ์โสภณพพิ รรฒธนากร. ____________. (๒๕๑๗). “พระราชปรารภ เรื่องพระพุทธชนิ ราช.” ใน ประชุม ____________. (๒๔๖๖). ตำนานคณะสงฆ.์ พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒ- พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ธนากร. (พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าเหมวดี โปรดให้ หนา้ ๑๘ - ๕๖. (พิมพเ์ ป็นอนุสรณใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ พิมพใ์ นงานศพ ขรัวยายแสง เมือ่ ปีกญุ พ.ศ. ๒๔๖๖). นายเทวาประสทิ ธิ์ พาทยโกศล วนั ท่ี ๑๙ มีนาคม พุทธศกั ราช ____________. (๒๔๖๘). นิราสนครวัด. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒ- ๒๕๑๗). ธนากร. เจฟฟรี่ ไฟนส์ โตน. (๒๕๓๖). จฬุ าลงกรณร์ าชสนั ตตวิ งศ์ พระบรมราชวงศแ์ ห่ง ____________. (๒๔๖๙). ตำนานพุทธเจดีย์สยาม. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ- ประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: อมรินทร์พริน้ ติง้ กร๊พุ . (พิมพค์ รั้งแรก พิพรรฒธนากร. ๒๕๓๒). ____________. (๒๔๘๗). นิทานโบราณคดี. พระนคร: โรงพมิ พ์ท่าพระจนั ทร์. ฉะอ้อน วฒั นสขุ ชัย. (๒๕๔๘). ประวตั พิ ระบาง. นครพนม: วัดไตรภมู ิ ตำบล ____________. (๒๔๙๔). ตำนานพระพุทธรูปสำคัญ. พระนคร: โรงพิมพ์ ท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม. (คุณแม่ฉะอ้อน ท่าพระจันทร์. วัฒนสุขชัย และลูกๆ หลานๆ จัดพิมพ์เน่ืองในงานบุญทอด ____________. (๒๕๐๓). เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป. กฐิน วันท่ี ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ณ วัดไตรภูมิ จังหวัด พระนคร: โรงพมิ พ์การศาสนา กรมการศาสนา. นครพนม). ต้วน ลี่ เซงิ , และ ประพฤทธ์ิ ศุกลรัตนเมธี. (๒๕๒๙). “เอกสารโบราณของจนี ชัยวุฒิ พิยะกูล. (๒๕๒๔). โบราณวิทยาเมืองพัทลุง. พัทลุง: ศูนย์วัฒนธรรม ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย.” รวมบทความประวัติศาสตร์ ๘ จงั หวดั พทั ลุง. (กุมภาพันธ์): ๑ - ๓๒. ชาตรี ประกิตนนทการ. (๒๕๔๗). การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม ตำนานพื้นเมอื งเชยี งใหม่ ฉบับเชยี งใหม่ ๗๐๐ ปี. (๒๕๓๘). เชียงใหม่: ศูนย์ สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม. กรุงเทพฯ: ศิลป- วฒั นธรรมจังหวดั เชยี งใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่. วัฒนธรรมฉบับพิเศษ. ตำนานมูลศาสนา. (๒๕๑๘). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพพ์ ระจนั ทร.์ (พระบาทสมเดจ็ ____________. (๒๕๔๙). “พระพุทธชินราชในประวัติศาสตร์การสร้างความ พระเจา้ อย่หู วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ิมพพ์ ระราชทาน เป็นไทย.” เมืองโบราณ ๓๒ (๓) (กรกฎาคม - กันยายน): ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ)์ . ๖๔ - ๘๖. ตำนานสิบห้าราชวงศ์. (๒๕๔๐). เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัย ชายเดยี ว, และ ไชยา พัฒนาสุวรรณ. (๒๕๔๑). พระกำลังแผน่ ดิน. กรุงเทพฯ: เชยี งใหม.่ อมรินทรพ์ ร้ินตง้ิ แอนด์พบั ลิชช่ิง. ตำราพระพุทธรูปปางต่างๆ ตามมติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ เชียงใหม่ปณั ณาสชาดก. (๒๕๔๑). กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวตั ิศาสตร์ ปรมานุชิตชิโนรส. (๒๕๓๔). กรุงเทพฯ: คณะวัดพระเชตุพน- กรมศิลปากร. วมิ ลมงั คลารามราชวรมหาวหิ าร. เช่ือม ศิรสิ นธิ. (๒๔๙๖). นครสุโขทัย. พระนคร: แพร่พทิ ยา. ตำราสร้างพระพุทธรูป. (๒๔๖๓). พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร. โชติ กัลยาณมิตร. (๒๕๒๐). ผลงาน ๖ ศตวรรษของช่างไทย. กรุงเทพฯ: (รองอำมาตย์ขุนสิทธิคดี (ปลั่ง คทวณิช) พิมพ์แจกในการ กรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิก ปลงศพ สนองคุณ หลวงเปรื่องคดีราษฎร์ (หริ่ง คทวณิช) สยามในพระบรมราชปู ถมั ภ.์ ผบู้ ิดา). ณัฏฐภัทร จันทวิช. (๒๕๓๘). ตาลปัตรพัดยศ ศิลปบนศาสนวัตถ.ุ กรุงเทพฯ: เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ . (๒๕๓๐). ประวตั ศิ าสตรอ์ ีสาน. พมิ พ์คร้ังท่ี ๒. กรงุ เทพฯ: ริเวอร์ บคุ๊ ส.์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิโครงการ ____________. (๒๕๔๕). กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กับงานศิลปกรรม ตำราสงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์. ตามแบบพระราชนิยม (ศิลปกรรมสกุลช่างวังหน้า สมัย ____________. (๒๕๔๐). ประวัติศาสตร์ลาว. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ: รตั นโกสินทร)์ . กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. มลู นิธิโครงการตำราสงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตร.์ บรรณานกุ รม ๕๓๑

ทศพล จงั พานิชย์กุล. (๒๕๔๕). พระพุทธรปู . กรุงเทพฯ: คอมม่า. ____________. (๒๕๑๐). พระพุทธรูปศิลาขาวสมัยทวารวดี. (พิมพ์คร้ังแรก ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. (๒๕๒๖). การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. ๒๕๐๗). พระนคร: กรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เป็นพุทธบูชาใน โอกาส ฯพณฯ จอมพลถนอม กิตตขิ จร นายกรัฐมนตรี ทำพิธี กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ เปิดป้ายพระนามพระพุทธรูปศิลาขาว และวางศิลาฤกษ์ ท้าวมหาชมพู ต้นตำนานพระพุทธรปู ทรงเครอ่ื ง. (๒๔๖๔). พระนคร: โรงพมิ พ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เม่ือวนั ท่ี ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๐). โสภณพิพรรฒธนาการ. ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. (๒๕๐๔). พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ ธญั ญ์พชิ า โรจนะ. (๒๕๕๐). “พระราชพิธถี อื นำ้ พระพิพัฒนส์ ตั ยากับสงั คมไทย จนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมอื ง พ.ศ. ๒๔๗๕.” ใน สรรพ- รัชกาลท่ี ๓. เล่ม ๒. พระนคร: องคก์ ารคา้ ของครุ ุสภา. สาระ ประวัติศาสตร์ - มนุษยศาสตร์, หน้า ๑๐๙ - ๑๑๕. ____________. (๒๕๓๙). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๑. บรรณาธิการโดย วินัย พงศ์ศรีเพียร. กรุงเทพฯ: สามลดา. (พพิ ิธนิพนธ์เชดิ ชูเกยี รติ ศาสตราจารยเ์ กียรตคิ ณุ ดร. แถมสุข กรงุ เทพฯ: อมรินทร์พร้นิ ต้งิ แอนด์พับลชิ ช่งิ . นมุ่ นนท์ เนื่องในโอกาสมีอายุครบ ๖ รอบใน พ.ศ. ๒๕๕๐). ____________. (๒๕๔๗). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๔ น. ณ ปากน้ำ. (๒๕๒๙ ก). วดั เกาะแกว้ สทุ ธาราม. กรงุ เทพฯ: เมืองโบราณ. ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค). พิมพ์ครั้งท่ี ๖. ____________. (๒๕๒๙ ข). วัดภูมินทร์และวัดหนองบัว. กรุงเทพฯ: เมือง กรุงเทพ: พิมพด์ .ี เทพย์ สารกิ บุตร,์ บาง เสมเสรมิ สขุ , และ อุระคินทร์ วริ ิยะบรู ณะ, รวบรวม โบราณ. และเรียบเรียง, (๒๕๒๑). ตำราพรหมชาติ ฉบับราษฎร์ ____________. (๒๕๔๖). วัดปรมยั ยิกาวาส. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. ประจำบ้าน ดดู ้วยตนเอง. กรงุ เทพฯ: ลกู ส. ธรรมภกั ดี. นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จฯ กรมพระยา. (๒๕๐๖). จดหมายระยะทางไป เทวาธิราช ป. มาลากุล. (๒๔๙๕). เครื่องราชูปโภคและพระราชฐาน. พระนคร: โรงพิมพ์อุดม. (พมิ พใ์ นงานพระเมรุ พลเอก สมเดจ็ พิษณุโลก. พระนคร: โรงพมิ พ์พระจันทร์. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ณ วัด ____________. (๒๕๑๒). หม่อมเจ้าหญิงพิไลยเลขา ดิศกุล พิมพ์เนื่องในวัน เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วันท่ี ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๕). ประสตู ิครบ ๖ รอบ ๘ สิงหาคม ๒๕๑๒. พระนคร: วัชรนิ ทร์ เทิม มีเต็ม. (๒๕๒๙). “จารึกฐานพระพุทธรูป วัดพญาภู และวัดช้างค้ำ การพมิ พ์. วรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดน่าน.” ศิลปากร ๓๐ (๓) นิโกลาส์ แชรแวส. (๒๕๐๖). ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่ง (กรกฎาคม): ๒๒ - ๒๙. ราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ____________. (๒๕๓๐). “จารกึ ฐานพระพุทธรูปพระเจ้ายธุ ิษฐริ ะ อกั ษรธรรม มหาราช). แปลโดย สันต์ โกมลบุตร. พระนคร: ก้าวหน้า. ล้านนา ภาษาบาลี - สนั สกฤต.” ศลิ ปากร ๓๑ (๔) (กันยายน - (พิมพ์จำหน่ายท่ีกรุงปารีส เม่ือวันท่ี ๑๘ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ตุลาคม): ๘๐ - ๘๒. 1688 / พ.ศ. ๒๒๓๑). เทมิ มีเตม็ , และ ประสาร บุญประคอง. (๒๕๒๔). “ศิลาจารกึ พระเจา้ อนิ แปง นิธิ เอียวศรีวงศ์. (๒๕๒๗). ปากไก่และใบเรือ รวมความเรียงว่าด้วย อบ./๑๔.” ศิลปากร ๒๔ (๖: ฉบับพิเศษ) (มกราคม): ๕๖ - วรรณกรรมและประวัติศาสต์ต้นรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: ๖๕. อมรินทร์การพิมพ.์ ____________. (๒๕๒๕). “ศิลาจารึกพระเจ้าตนหลวง.” ศิลปากร ๒๖ (๒) บรรจบ เทียมทดั . (๒๕๐๓). “วดั โลกยสธุ า.” ศลิ ปากร ๔ (๒): ๒๕ - ๒๗. (พฤษภาคม): ๙๙ - ๑๐๖. บรบิ าลบุรีภณั ฑ์, หลวง. (๒๕๓๑). เร่ืองโบราณคดี. กรงุ เทพฯ: อมรินทรพ์ รน้ิ ต้งิ ธงทอง จนั ทรางศ.ุ (๒๕๒๙). สมเดจ็ พระมหาธรี ราชเจา้ . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ กรพุ๊ . (ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหพ้ ิมพ์พระราชทานในงาน อกั ษรสมั พนั ธ์. พระราชทานเพลงิ ศพ หลวงบริบาลบรุ ภี ัณฑ์ (ป่วน อนิ ทวุ งศ)์ . ธนาคารกรงุ เทพ จำกดั . (๒๕๒๔). เอกสารแนะนำหนังสอื ชุด “ลักษณะไทย.” บริบาลบุรีภัณฑ,์ หลวง, และ เกษม บุญศรี. (๒๕๐๐). เรอ่ื งพระพุทธรูปปาง กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. ตา่ งๆ. พระนคร: โรงพมิ พ์พระจันทร.์ (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ธนารกั ษ์, กรม กระทรวงการคลัง. (๒๕๔๐). จดหมายเหตกุ ารสร้างเครอ่ื งทรง ให้พิมพ์ข้ึนพระราชทานในงานพระราชกุศลราชคฤหมงคล พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นต้ิง ข้ึนพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธ- แอนด์พบั ลิชช่งิ . ศกั ราช ๒๕๐๐). ธนิต อยูโ่ พธ.์ิ (๒๕๐๙). พรหมสีห่ น้า. พระนคร: กรมศิลปากร. (พมิ พ์ถวายพระ ภกิ ษแุ ละสามเณร ซง่ึ เขา้ ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในเทศกาลเขา้ พรรษา พ.ศ. ๒๕๐๙). ๕๓๒ บรรณานุกรม

บริบาลบุรีภัณฑ์, หลวง, และ เอ.บี. กริสโวลด์. (๒๔๙๕). ศิลปวัตถุใน ประชุมพงศาวดาร. เล่ม ๑. (๒๕๐๖). พระนคร: ครุ ุสภา. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. พระนคร: กรมศิลปากร. (เจ้าภาพ ประชมุ พงศาวดาร. เล่ม ๒. (๒๕๐๖). พระนคร: คุรสุ ภา. พิมพ์ในงานพระเมรุ พลเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม ประชมุ พงศาวดาร. เลม่ ๙. (๒๕๐๗). พระนคร: คุรสุ ภา. พระยาชัยนาทนเรนทร). ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๘ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ บันทึกการจัดสร้าง, บันจุ, และปลุกเสก พระสุรภีพุทธพิมพ์ (จำลอง). (เจิม). (๒๕๑๒). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา (๒๕๐๐). พระนคร: โรงพิมพ์อุตสาหกรรมการพิมพ.์ ศึกษาภณั ฑพ์ าณิชย.์ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๙ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ บำเพ็ญ ระวิน. (๒๕๓๕). อนาคตวงส์ เมตเตยยสูตต์ และเมตเตยยวงส์ (เจิม). (๒๕๑๒). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา สำนวนล้านนา. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ใน ศึกษาภัณฑพ์ าณิชย์. พระบรมราชูปถัมภ์. (พิมพ์เผยแพร่เน่ืองในวโรกาสฉลองมหา ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๓. (๒๕๐๘). พระนคร: คณะกรรมการจัดพิมพ์ มงคลพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ สมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ เอกสารทางประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม และโบราณคดี สำนกั พระบรมราชินนี าถ). นายกรฐั มนตรี. ประชุมศิลาจารึก ภาคท่ี ๔. (๒๕๑๓). พระนคร: คณะกรรมการจัดพิมพ์ ป. พิบูลสงคราม. (๒๔๙๘). ประวตั ศิ าสตร์สโุ ขทยั (ภาค ๑). พระนคร: ไทย เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนกั นายกรัฐมนตรี. บริการ. ประชุมศิลาจารึก ภาคท่ี ๕. (๒๕๑๕). พระนคร: คณะกรรมการจัดพิมพ์ เอกสารทางประวตั ศิ าสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี. ปฐมสมโพธิ. (๒๕๐๘). (สมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทว) ทรงเรียบเรียง). ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคท่ี ๒ จารึกกรุงทวารวดี เมืองละโว้ แลเมือง (พิมพ์เป็นที่ระลึกในงานประชุมเพลิงศพ หญิงภักดีพิพัฒนผล ประเทศราชข้ึนแก่กรุงศรีวิชัย. (๒๔๗๒). พระนคร: โรงพิมพ์ (ผะอบ ณ ถลาง) ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วดั โสมนัสวิหาร โสภณพิพรรฒธนากร. (สมเด็จกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘). โปรดให้พิมพ์ในงานฉลองพระชนมายุเสมอกับสมเด็จพระ ชนกชนน)ี . ปรมานุชิตชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. (๒๕๑๐). ภาพตำนาน ประชุมหมายรับสั่ง ภาคท่ี ๒ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์. (๒๕๒๕). กรุงเทพฯ: พระพุทธเจ้าปางต่างๆ. พระนคร: โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร. คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พันเอกจำนง สังขดุลย์ สำนกั นายกรัฐมนตร.ี ท.ช., ท.ม. ๒๘ สิงหาคม ๒๕๑๐). ประทุม ชุ่มเพง็ พันธ.์ุ (๒๕๑๕). นครศรธี รรมราช. พระนคร: โรงพมิ พ์ครุ ุสภา ลาดพรา้ ว. (พมิ พเ์ ป็นอนสุ รณใ์ นงานพระราชทานเพลิงศพ ขุน ประชากิจกรจักร์, พระยา (แช่ม บุนนาค). (๒๔๗๘). พงศาวดารโยนก. บวรรัตนารักษ์ ณ เมรุวัดจันทาราม ต. ท่าวัง อ. เมือง จ. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนาการ. (พิมพ์เป็นท่ีระลึก นครศรธี รรมราช ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๕). ในงานพระราชทานเพลงิ ศพมหาอำมาตยโ์ ท เจ้าพระยาสุธรรม- ประยุทธ ติกขวีโร, พระอธิการ. (๒๕๔๙). ประวัติวัดพระเจ้าทองทิพย์. มนตรี (ปล้มื สุจรติ กุล) ๒ มิถุนายน). เชยี งราย: วัดพระเจ้าทองทพิ ย์. ประยุทธ สิทธิพันธ.์ (๒๕๑๕). พระมหาธีรราชเจ้า. พระนคร: สยาม. ประชุม กาญจนรัตน์. (๒๕๑๒). หนังสือภาพพระพุทธรูป. ธนบุรี: โรงพิมพ์ ____________. (๒๕๒๐). ขุนนางสยาม. กรุงเทพฯ: สยาม. สตั ยการพิมพ์. ประวัติพระพุทธรูป ภ.ป.ร. วัดบวรนิเวศวิหาร. (๒๕๐๘). พระนคร: วัดบวร นิเวศวหิ าร. (เอกสารโรเนียว). ประชุมจารกึ ล้านนา เลม่ ๒ จารึกพระเจ้ากาวิละ. (๒๕๔๑). เชียงใหม่: คลงั ประวตั ิวดั พนัญเชิง. (๒๕๐๗). พิมพค์ รัง้ ที่ ๔. นครราชสมี า: โรงพมิ พ์เลิศศลิ ป์. ขอ้ มูลจารกึ ลา้ นนา สถาบนั วิจัยสังคม มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. ประวัติวดั สุทัศนเทพวราราม. (๒๕๑๖). พระนคร: วัดสทุ ัศนเทพวราราม. (จัด พมิ พใ์ นงานยกชอ่ ฟ้าพระวิหารพระศรศี ากยมุน)ี . ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน เล่ม ๑. (๒๔๗๒). พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ- ประสาร บุญประคอง. (๒๕๑๑). “คำอ่านจารึกบนฐานพระพุทธรูปในวัด พิพรรฒธนากร. (พิมพ์ในงานพระศพ พระวมิ าดาเธอ กรมพระ พระเชตพุ นฯ.” ศลิ ปากร ๑๒ (๔) (พฤศจกิ ายน): ๑๐๘. สทุ ธาสินีนาฎ ปยิ มหาราชปดวิ รัดา). ประเสริฐ ณ นคร. (๒๕๑๖). โคลงนริ าศหรภิ ุญชัย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓. พระนคร: โรงพิมพพ์ ระจันทร.์ ประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔ พุทธศักราช ๒๓๙๔ - พุทธศักราช ๒๔๐๔. (๒๕๔๑). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพ. (พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์ใน งานพระราชทานเพลิงศพ พลโท หม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว. ณ เมรหุ ลวงหน้าพลบั พลาอศิ ริยาภรณ์ วดั เทพศิรนิ ทราวาส กรุงเทพมหานคร วดั เสารท์ ี่ ๒๖ ธนั วาคม พทุ ธศักราช ๒๕๔๑). บรรณานุกรม ๕๓๓

____________. (๒๕๓๔). งานจารึกและประวัติศาสตร์ของศาสตราจารย์ พระอุบาลีคุณปู มาจารย์กบั ตำนานวัดไร่ขงิ . (๒๕๔๙). นครปฐม: วดั ไร่ขงิ . ดร. ประเสริฐ ณ นคร. นครปฐม: โรงพิมพศ์ นู ยส์ ง่ เสริมและ พิชญา สุ่มจินดา. (๒๕๔๔). “การกำหนดอายุเวลาของแผ่นชาดก รอย ฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน. พระพุทธบาท และจิตรกรรมในมณฑปวัดศรีชุม.” รายงาน ส่วนหน่ึงในการศึกษาวิชาทฤษฎีและวิธีการวิจัยทางประวัติ- ประเสริฐ ณ นคร, และ ปวงคำ ตุ้ยเขียว. (๒๕๓๗). ตำนานมูลศาสนา ศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ เชียงใหม่และเชียงตุง. กรุงเทพฯ: สมาคมประวัติศาสตร์ ใน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. เอกสารอัดสำเนา. พระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรม- ____________. (๒๕๔๘). “การกำหนดอายุเวลาและการจำลองพระพุทธ- ราชกมุ าร.ี ชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก.” วิทยา- นพิ นธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าประวตั ิศาสตร์ ปรชี า นุ่นสุข. (๒๕๔๑). ศิลปะศรีลงั กา. กรงุ เทพฯ: เมืองโบราณ. คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ปวเรศวริยาลงกรณ์, สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. (ร.ศ. ๑๑๖ / พ.ศ. ____________. (๒๕๔๙). “ธรรมยุติกนิกาย: การศึกษาความสัมพันธ์กับสมณ วงศ์ของลังกาผ่านพุทธศิลป์.” วารสารไทยคดีศึกษา: ย้อน ๒๔๔๐). “เร่ือง อภนิ หิ ารการประจักษ์.” วชิรญาณ ๓๖: ๓๕๔๔ - กำเนิดเกิดความหลากหลาย ๓ (๑) (ตุลาคม ๒๕๔๘ - มีนาคม ๓๕๗๗. ๒๕๔๙). ๑๖๑ - ๒๓๒. ผลงานเชิดชูเกียรติ จ.ส.อ. ทวี บูรณเขตต์ เพชรน้ำเอกของวงการช่างศิลป์. ____________. (๒๕๕๐). “พระพุทธรูปทรงเครื่องฉลองพระองค์ในพระบรม (๒๕๒๖). กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่ง มหาราชวัง: ความรู้ท่ีต้องเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งที่ต้อง ชาติ ร่วมกับวิทยาลัยครูพิบูลสงคราม พิษณุโลก และศูนย์ วิเคราะห์.” ใน ประวัตศิ าสตรศ์ ลิ ปะทีต่ อ้ งจารกึ : รวมบทความ วัฒนธรรมตา่ งๆ ในภาคเหนือตอนลา่ ง. วิชาการด้านประวัติศาสตร์ศิลปะเนื่องในโอกาสเกษียณอายุ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร. (๒๕๒๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์. ราชการ รศ.ดร. พริ ิยะ ไกรฤกษ์ - Festschrift for Piriya (คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และบันทึกเหตุการณ์ งาน Krairiksh’s 60th year, หน้า ๓๗ - ๑๕๕. บรรณาธิการโดย ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง วารุณี โอสถารมย.์ กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร์พริน้ ต้ิงแอนดพ์ ับลชิ ชิ่ง. ร่วมกับธนาคารทหารไทย จัดพิมพ์เน่ืองในการสมโภชกรุง พิทยลาภพฤฒิยากร, พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่น. (๒๕๒๕). เรื่องพระบาท รตั นโกสินทร์ ๒๐๐ ปี). สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงฟื้นฟูวัฒนธรรม. พระมหาสมณวินิจฉัย. (๒๕๑๔). พระนคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย. (พิมพ์ใน กรุงเทพฯ: สยามสมาคม ในพระบรมราชปู ถมั ภ์. งานมหาสมณานุสรณ์ครบ ๕๐ ปี แต่วันสิ้นพระชนม์แห่ง พนิ ยั ศักดิ์เสนยี ์. (๒๕๐๒). นามานกุ รมพระเคร่อื ง. พระนคร: ผดุงศึกษา. สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส). พิมลธรรม ราชบัณฑติ , พระ. (๒๕๓๓). ตำนานพระพทุ ธรูปปางต่างๆ. กรุงเทพฯ: พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด). (๒๕๐๔). โครงการมลู นธิ หิ อไตร. ๒ เลม่ . พระนคร: องคก์ ารค้าของครุ ุสภา ศกึ ษาภัณฑ์พาณิชย.์ พิริยะ ไกรฤกษ์. (๒๕๑๗) พุทธศาสนนิทานที่เจดีย์จุลปะโทน. แปลโดย ม.จ. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์) และจุลยุทธ- สภุ ทั รดิศ ดิศกุล. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร์. การวงศ์. (๒๕๓๕). กรุงเทพฯ: คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมล- ____________. (๒๕๒๐). แบบศลิ ปในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร. มังคลาราม. (พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในงานพระราชทาน ____________. (๒๕๒๓). ศิลปทักษิณก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๙. กรุงเทพฯ: เพลิงศพ พระวิสุทธาธิบดี (สง่า ปภสฺรมหาเถร ป.ธ. ๘) ณ กรมศลิ ปากร. (จดั พมิ พ์เนื่องในโอกาสวันเฉลมิ พระชนมพรรษา เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๓๐ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ๕ ธนั วาคม ๒๕๒๓). มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๓๕). ____________. (๒๕๒๘). ประวัติศาสตรศ์ ลิ ปในประเทศไทย ฉบบั คมู่ ือนกั ศึกษา. พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับท่ีเป็นสมบัติของบริติชมิวเซียมกรุง กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรก์ ารพิมพ.์ ลอนดอน. (๒๕๐๗). พระนคร: โรงพมิ พอ์ กั ษรสัมพนั ธ.์ ____________. (๒๕๒๙). “ศิลปะแหง่ แดนเนรมติ (ศลิ ปะสโุ ขทัย ระหวา่ ง พ.ศ. พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหัตถเลขา. (๒๕๑๖). ๒ เลม่ . พระนคร: คลงั ๑๗๕๐ - ๑๙๐๐).” เมอื งโบราณ ๑๒ (๑) (มกราคม - มนี าคม): วทิ ยา. (สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ๒๓ - ๔๙. ทรงนพิ นธ์ คำอธิบายประกอบ). ____________. (๒๕๓๖). “การปรับเปลี่ยนอายุเวลาของสถาปัตยกรรมสมัย พระราชหัตถเลขา - ลายพระหัตถ์. (๒๕๑๔). พระนคร: ธนาคารกรุงศรี- อยุธยา.” สยามอารยะ ๒ (๙) (มถิ ุนายน): ๒๙ - ๔๕. อยุธยา จำกัด. (พิมพ์ในงานมหาสมณานุสรณ์ครบ ๕๐ ปี แต่วันสิ้นพระชนม์แห่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชริ ญาณวโรรส). ๕๓๔ บรรณานกุ รม

____________. (๒๕๔๒). “การปรับเปลี่ยนยุคสมัยของพุทธศิลป์ในประเทศ มนัส โอภากลุ . (๒๕๑๒). พระเมืองสุพรรณ. สพุ รรณบุรี: มนสั การพิมพ.์ ไทย.” เมอื งโบราณ ๒๕ (๒) (เมษายน - มิถุนายน): ๑๐ - ๔๓. มรดกไทย โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย. (๒๕๔๒). ประวัติสมเด็จ ____________. (๒๕๔๔ ก). “ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะอยุธยา.” ใน อยธุ ยากบั เอเชยี . พระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี). กรุงเทพฯ: องค์การค้าของ เอกสารสรุปการสัมมนาวิชาการนานาชาติทางประวัติศาสตร์, ครุ สุ ภา. หน้า ๔๑ - ๙๒. มหานิมิตย์ ปณฺฑิตเสวี, พระ. (๒๕๔๗). ประวัติหลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ. หนองคาย: วัดศรีชมภูองค์ต้อื . ____________. (๒๕๔๔ ข). อารยธรรมไทย พ้ืนฐานทางประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ มหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๑๔). พระประวัติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม เล่ม ๑ ศิลปะก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พระยาวชิรญาณวโรรส. พระนคร: มงคลการพิมพ์. (พิมพ์ใน พรน้ิ ติ้งแอนดพ์ ับลิชช่งิ . งานมหาสมณานุสรณ์ครบ ๕๐ ปี แต่วันสิ้นพระชนม์แห่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วันที่ ๑ - ____________. (๒๕๔๕). ศิลปะสุโขทัยและอยุธยา ภาพลักษณ์ที่ต้องเปล่ียน ๗ สิงหาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๔). แปลง: รวมบทความทางวิชาการประวัติศาสตร์ศิลปะ ของ มหาวชริ าวุธมกุฏราชกุมาร, สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้า. (ร.ศ. ๑๒๖ / พริ ยิ ะ ไกรฤกษ.์ กรุงเทพฯ: อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ต้ิงแอนดพ์ บั ลิชช่ิง. พ.ศ. ๒๔๕๐). เร่ืองเที่ยวเมืองพระร่วง. พระนคร: โรงพิมพ์ บำรุงนกุ ลู กจิ . ____________. (๒๕๔๗). จารึกพ่อขุนรามคำแหง. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพฯ: มหาวชริ าวธุ พระมงกุฎเกล้าเจา้ แผ่นดินสยาม. (๒๔๖๘). บทเสภาเร่อื ง พญา- ศิลปวฒั นธรรมฉบับพิเศษ. ราชวังสัน กับ สามัคคีเสวก. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ- พิพรรฒธนากร. ____________. (๒๕๔๙). “พระพุทธชินราช: การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ มหาวชริ าวุธ, พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยูห่ ัว. [ม.ป.ป.]. พระรว่ ง. [ม.ป.ท.] ศิลปะ การศึกษาภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นโดยชนชั้นนำสยามสู่ มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. (๒๕๓๖). ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ สามัญชน.” รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ได้รับเงินอุดหนุน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิโครงการตำรา จากสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. เอกสาร สงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตร ์ อดั สำเนา. มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า. (๒๕๔๙). ศรีสวรินทิรานุสรณีย์: น้อม รำลึกถึงสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ ____________. (กำลังจัดพิมพ์). รากเหง้าแห่งศิลปะไทย. กรุงเทพฯ: ริเวอร์ พริน้ ติ้งแอนดพ์ บั ลชิ ช่ิง. บุค๊ ส์ ยอด เนตรสวุ รรณ. [ม.ป.ป.]. “นายรอบร”ู้ นกั เดนิ ทาง: ปราจนี บุรี สระแก้ว. กรงุ เทพฯ: สารคดี. พิเศษ เจียจันทรพ์ งษ์. (๒๕๔๒). “หลกั ฐานความสมั พันธ์ สโุ ขทยั - ลา้ นนา ชิ้น ยอช เซเดส์. (๒๔๗๑). โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร. สำคญั .” ศลิ ปวฒั นธรรม ๒๐ (๓) (มกราคม): ๑๑๖ - ๑๑๙. พระนคร: โรงพมิ พโ์ สภณพิพรรฒธนากร. ____________. (๒๔๗๒). ประชมุ ศิลาจารกึ สยาม ภาคท่ี ๒ จารกึ กรุงทวารวดี ____________. (๒๕๔๖). “หลวงพ่อนาก พระพุทธรูปพระเจ้ายุธิษฐิระ.” เมืองละโว้ แลเมืองประเทศราชข้ึนแก่กรุงศรีวิชัย. พระนคร: ศิลปากร ๔๖ (๑) (มกราคม - กมุ ภาพันธ)์ : ๑๐๔ - ๑๑๔. โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร. (สมเด็จกรมพระสวัสดิวัดน- วิศิษฎ โปรดให้พิมพ์ในงานฉลองพระชนมายุเสมอกับสมเด็จ พุฒาจารย์ (เก่ียว อุปเสโณ), สมเด็จพระ. (๒๕๔๙). ประวัติวัดสระเกศราช- พระชนกชนนี พระพทุ ธศก ๒๔๗๒). วรมหาวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ชวนพิมพ.์ ยอร์ช เซเดส์. (๒๕๐๗). ตำนานอกั ษรไทย ตำนานพระพมิ พ์ การขดุ คน้ ที่พงตกึ และความสำคัญต่อประวัติศาสตร์สมัยโบราณแห่งประเทศ เพลินพศิ กำราญ. (๒๕๓๓). พระพุทธปฏมิ า รชั กาลท่ี ๙ ทรงสร้าง. กรุงเทพฯ: ไทย ศิลปไทยสมัยสุโขทัยราชธานีรุ่นแรกของไทย. พระนคร: กรมศลิ ปากร กองวรรณดคแี ละประวตั ศิ าสตร.์ องค์การคา้ ของคุรสุ ภา. ____________. (๒๕๒๙). นครวัด. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย โพธิรงั ส,ี พระ. (๒๕๐๖). นิทานพระพทุ ธสิหิงค:์ ว่าดว้ ยตำนานพระพทุ ธสหิ ิงค.์ ธรรมศาสตร.์ แปลโดย แสง มนวิทูร. พระนคร: ศิวพร. (กรมศิลปากรจัด ยุพร แสงทักษิณ. (๒๕๓๙). เคร่ืองเบญจราชกกุธภัณฑ์ และเคร่ืองสูง. พิมพ์ในงานเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๐๖). กรงุ เทพฯ: องคก์ ารค้าของครุ ุสภา. ไพศาล วิสาโล, พระ. (๒๕๔๖). พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและ ทางออกจากวกิ ฤต. กรงุ เทพฯ: มูลนิธสิ ดศรี - สฤษด์วิ งศ์. ฟาเหียน, พระภิกษุ. (๒๔๘๗). จดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักร. แปลโดย พระยาสุรินทรลือชัย (จันท์ ตุงคสวัสดิ) จากต้นฉบับของ เจ็มส์ เลก็ จ.์ พระนคร: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. ภาพพุทธประวัติวดั ทองนพคณุ . (๒๕๒๖). กรงุ เทพฯ: มตชิ น. มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระ. (๒๔๖๓). เทศนาเสอื ปา่ . (พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์ เจ้าอาทรทิพยนิภา ทรงพระศรัทธาพิมพ์ข้ึนอุทิศส่วนกุศลแด่ พระเจา้ น้องนางเธอ พระองค์เจ้าสจุ ติ ราภรณี). บรรณานกุ รม ๕๓๕

โยนิโอะ อิชิอิ. (๒๕๒๒). “อาณาเขตของอยุธยาในกฎหมายตราสามดวง.” ____________. (๒๕๑๔). นำเทย่ี ววัดบวรนเิ วศวิหาร. พระนคร: โรงพมิ พ์มติ ร- วารสารธรรมศาสตร์ ๙ (๒) (ตุลาคม - ธันวาคม): ๑๔๘ - ๑๖๐. สยาม. (พิมพ์ในงานมหาสมณานุสรณ์ครบ ๕๐ ปี แต่วันสิ้น พระชนม์แห่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ- รตั นปัญญาเถระ. (๒๕๐๑). ชินกาลมาลปี กรณ์. พระนคร: กรมศิลปากร. วโรรส วันที่ ๑ - ๗ สงิ หาคม พุทธศกั ราช ๒๕๑๔). ราชบณั ฑติ สถาน. (๒๕๔๑). ศิลปกรรมไทย: พระพุทธปฏมิ า พระบรมมหาราช ____________. (๒๕๓๑). ทศบารมี ทศพธิ ราชธรรม. กรุงเทพฯ: วัดบวรนเิ วศ วงั วดั เรอื นไทยภาคกลาง. กรงุ เทพฯ: ห้างห้นุ สว่ นจำกัดอรณุ วิหาร. การพมิ พ.์ (พิมพค์ รั้งแรก ๒๕๓๖). ____________. (๒๕๔๖). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. (๒๕๓๘). ประมวลเอกสารสำคัญเนื่องในการ กรงุ เทพฯ: นานมีบ๊คุ ส์พับลเิ คช่นั ส์. สถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม. เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสภา. (๒๔๗๒). ตำนานเรือ่ งวัตถสุ ถานต่าง ๆ ซึ่งพระบาทสมเด็จ อมรินทร์พริ้นต้ิงแอนด์พับลิชช่ิง. (วัดเบญจมบพิตรดุสิต- พระน่งั เกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงสถาปนา. พระนคร: โรงพมิ พโ์ สภณ วนาราม พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล งานพระราชทานเพลิง พิพรรฒธนาการ. (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระ ศพสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต ป.ธ.๗) ณ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระศพ พระวิ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๕ มาดาเธอ กรมพระสทุ ธาสนิ นี าฎ ปยิ มหาราชปดวิ รดั า). มีนาคม ๒๕๓๘). ราชสกุลวงศ์พระนามเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้าในกรุงรัตนโกสินทร์. (๒๔๖๓). พระนคร: โรงพิมพไ์ ท. (สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟา้ กรมขนุ วัดพระทอง (พระผดุ ). (๒๕๔๗). ภเู ก็ต: วัดพระทอง. ศโุ ขไทยธรรมราชา ทรงพิมพใ์ นงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร. (๒๕๔๙). กรุงเทพฯ: วัดราชโอรสาราม สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนี พระพนั ปีหลวง). ราชวรวิหาร. เรอ่ื งกฎหมายตราสามดวง. (๒๕๒๑). กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร. วันวลิต. (๒๕๔๘). พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต พ.ศ. ๒๑๘๒. แปล เรื่องพระปฐมเจดีย์ กรมศิลปากรตรวจสอบชำระใหม่ และการบูรณะและ ปฏสิ ังขรณพ์ ระปฐมเจดีย.์ (๒๕๒๘). พมิ พ์คร้งั ที่ ๒. กรุงเทพฯ: จากภาษาฮอลันดาเป็นภาษาอังกฤษโดย เลยี วนาร์ด แอนดายา, ยูนิต้ี โพรเกรส. (โดยเสด็จพระราชกุศลในงานพระราชทาน และแปลเป็นภาษาไทยโดย วนาศรี สามนเสน. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๓. เพลิงศพ พระธรรมสิรชิ ัย (ชิต ชติ วปิ ลุ เถร) เจ้าอาวาสวดั พระ กรุงเทพฯ: ศิลปวฒั นธรรมฉบบั พเิ ศษ. ปฐมเจดีย์ อำเภอเมอื ง จังหวัดนครปฐม ๒๓ มนี าคม ๒๕๒๘). วิจิตรวาทการ, หลวง. (๒๔๙๖). “วัฒนธรรมสุโขทัย.” ใน นครสุโขทัย, หน้า ลลิตวิสตระ, คัมภีร์พระพุทธประวัติฝ่ายมหายาน. (๒๕๑๒). พระนคร: กรม ๑๒ - ๔๑. [ม.ป.ท.]. (พมิ พข์ ้นึ เพ่ือหาทุนสรา้ งอนุสาวรียพ์ ่อขนุ ศลิ ปากร. รามคำแหงมหาราช). โลกลีล้ ับ, กองบรรณาธิการ. (๒๕๔๙). “พระอธิการประยทุ ธ ตกิ ขวโี ร: ผเู้ ร่ง วินัย พงศ์ศรีเพียร. (๒๕๕๐). “อันเน่ืองมาแต่ สยาม”. ใน สรรพสาระ ความเพียร เพื่อความหลุดพ้น.” โลกล้ีลับ ๙๓ (๙๖๒) ประวัติศาสตร์ - มนุษยศาสตร์. เล่ม ๑, หน้า ๑ - ๑๔. (ตลุ าคม): ๑๒ - ๓๙. บรรณาธิการโดย วินัย พงศ์ศรีเพียร. กรุงเทพฯ: สามลดา. วชิรญาณวงศ์, สมเด็จพระ. (๒๔๙๓). ทศพิธราชธรรม สมเด็จพระวชริ ญาณ- (พพิ ธิ นพิ นธเ์ ชิดชเู กยี รติ ศาสตราจารย์เกยี รติคณุ ดร. แถมสขุ วงศ์ พระสังฆราช ถวายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นุ่มนนท์ เน่อื งในโอกาสมีอายุครบ ๖ รอบ ใน พ.ศ. ๒๕๕๐). รัชกาลที่ ๙. พระนคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. วิบูลย์ บูรณารมย์. [ม.ป.ป.]. วัดพระยืนพุทธบาทยุคล วัดพระนอนพุทธ- (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ ไสยาสน์ พระแทน่ ศิลาอาสน์ พระบรมธาตุ ตำบลทงุ่ ย้งั อำเภอ พิมพ์พระราชทานเนื่องในงานฉลองพระสุพรรณบัฎ สมเด็จ ลับแล จงั หวัดอุตรดิตถ์. อุตรดิตถ:์ โรงพิมพ์วิบลู ยก์ ารพมิ พ์. พระวชริ ญาณวงศ์ พระสงั ฆราช วัดบวรนเิ วศวิหาร ๒๑ - ๒๒ วิโรจน์ ชีวาสขุ ถาวร. (๒๕๔๕). “การศกึ ษารปู แบบสถาปัตยกรรมสโุ ขทยั กรณี พฤศจกิ ายน ๒๔๙๓). ศึกษาวัดมหาธาตุ ตำบลเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย.” วิทยา- วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร. (๒๕๔๓). พระพุทธรูป คู่บ้านคู่เมือง. กรุงเทพฯ: นพิ นธ์ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าประวตั ิศาสตร-์ ทพิ ากร. สถาปัตยกรรม ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย วัดจกั รวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร. (๒๕๔๐). กรงุ เทพฯ: ประยูรวงศ์พริ้นทต์ ง้ิ . มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. วัดบวรนิเวศวิหาร. (๒๕๐๔). ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร. พระนคร: โรงพิมพ์ ศรัณย์ ทองปาน. (๒๕๔๒). “ความสนุกในวัดเบญจมบพิตร เคร่ืองโต๊ะ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. มิวเซียม และสยามใหม่.” เมืองโบราณ ๒๕ (๔) (ตุลาคม - ธันวาคม): ๓๒ - ๔๐. ศรศี ักร วัลลิโภดม. (๒๕๓๗). พระเครอ่ื งในเมอื งสยาม. กรงุ เทพฯ: มตชิ น. ๕๓๖ บรรณานุกรม

ศกั ด์ิชัย สายสงิ ห์. (๒๕๓๒). “พระพทุ ธรูปแข้งคม ในศลิ ปะลา้ นนา.” ศลิ ปากร ____________. (๒๕๒๔). จารึกโบราณรุ่นแรกพบท่ีลพบุรีและใกล้เคียง. ๓๓ (๓) (กรกฎาคม - สิงหาคม): ๓๐ - ๓๕. กรุงเทพฯ: บพิธการพิมพ์. (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เน่ืองใน โอกาสเปิดห้องนิทรรศการเร่ือง จารึกพบที่จังหวัดลพบุรีและ ____________. (๒๕๔๕). “การวิเคราะห์ข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดี จังหวัดใกล้เคียง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระ ร่วมกับข้อมูลด้านศิลาจารึกและประวัติศาสตร์ศิลปะ สมัย นารายณม์ หาราช จงั หวัดลพบุรี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๒๔). สโุ ขทัย เพอื่ การวิจัยหาประเด็นใหม่ทางวิชาการ.” รายงานการ วิจัยที่ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัย จากสำนักงานคณะกรรมการ ____________. (๒๕๒๕ ก). ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่ม ๔ วัดสำคัญกรุง วิจยั แห่งชาติ. รัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เนื่องใน โอกาสสมโภชกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ พ.ศ. ๒๕๒๕). ศานติ ภกั ดีคำ. (๒๕๔๙). “จติ รกรรมฝาผนงั เรอื่ ง ทา้ วมหาชมพู พระอโุ บสถ วัดนางนองวรวิหาร.” เมืองโบราณ ๓๒ (๓) (กรกฎาคม - ____________. (๒๕๒๕ ข). จดหมายเหตุการสร้างพระพุทธรูปพระประธาน กันยายน): ๓๒ - ๖๓. พุทธมณฑล. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการอำนวยการจัดสร้าง พุทธมณฑล และกรมศิลปากร. (จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในพิธี ศิลาจารึกสุโขทัย หลักท่ี ๒ (จารึกวัดศรีชุม). (๒๕๒๗). กรุงเทพฯ: กอง สมโภชพระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล). หอสมดุ แห่งชาติ กรมศิลปากร. (จดั พมิ พ์เน่ืองในโอกาสฉลอง ๗๐๐ ปีลายสอื ไทย). ____________. (๒๕๓๐ ก). เมอื งนา่ น. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร. ____________. (๒๕๓๐ ข). คู่มือนิทรรศการพิเศษเฉลิมพระเกียรติ ๒๐๐ ปี ศิลป์ พีระศรี. (๒๕๐๖). บทความจากการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ของ ศาสตราจารย์ ศลิ ป พรี ะศร.ี พระนคร: กรมศลิ ปากร. (กรม พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ ศิลปากรจัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ พริ้นติ้งกรพุ๊ . ศลิ ป พรี ะศรี ณ เมรหุ นา้ พลบั พลาอิศริยาภรณ์ วดั เทพศริ ิน- ____________. (๒๕๓๐ ค). วัดชา้ งลอ้ ม. เอกสารหมายเลข ๑ / ๒๕๓๐ เรือ่ ง ทราวาส เม่อื วันท่ี ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๖). “การศึกษาวิจัยเร่ือง วัดช้างล้อมใน อุทยานประวัติศาสตร์ ศรีสัชนาลัย อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย.” กรุงเทพฯ: กรม ศลิ ปกรรมวดั ราชาธิวาส. (๒๕๔๖). กรุงเทพฯ: สมาคมนักเรียนเกา่ ราชาธิวาส. ศิลปากร. (จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี โรงเรียนวัดราชา ____________. (๒๕๓๑). ศิลปกรรมวัดราชบพิตรสถิตมหาสมี าราม. กรุงเทพฯ: ธิวาส). กรมศิลปากร. ____________. (๒๕๓๒). เมอื งอบุ ลราชธานี. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร. ศิลปากร, กรม. (๒๕๐๒). พระพุทธรูป และพระพิมพ์ ในกรุพระปรางค์วัดราช ____________. (๒๕๓๖ ก). พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการ บูรณะ จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา. พระนคร: กรมศลิ ปากร. พิพิธภัณฑ์ไทย. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗). (กรม ศิลปากรจดั พิมพ์เนอ่ื งในมหามงคล เฉลมิ พระเกียรติ ๑๐๐ ปี ____________. (๒๕๑๑). พระราชวัง และวัดโบราณในจังหวัดพระนคร- วันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ศรีอยธุ ยา. พระนคร: กรมศิลปากร. ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖). ____________. (๒๕๓๖ ข). ราชสกลุ วงศ์ ฉบบั แก้ไขเพ่มิ เตมิ . กรงุ เทพฯ: กรม ____________. (๒๕๑๒). ศิลปกรรมและช่างไทย จาก สาส์นสมเด็จ. พระ- ศลิ ปากร. นคร: กรมศิลปากร. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทาน ____________. (๒๕๔๑). จดหมายเหตงุ านพระบรมศพ สมเดจ็ พระศรีนคริน- เพลงิ ศพ นายอุ่ณห์ เศวตมาลย์ ณ เมรุวัดแก้วแจ่มฟ้า สพ่ี ระยา ทราบรมราชชนนี. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. วนั ที่ ๗ กนั ยายน พทุ ธศักราช ๒๕๑๒). ____________. (๒๕๔๓ ก). พระพุทธรปู สำคญั . กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. ____________. (๒๕๔๓ ข). พระราชพธิ ใี นรชั กาลพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร- ____________. (๒๕๒๑ ก). ประวัติวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร. กรุงเทพฯ: มหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร. กรมศลิ ปากร. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร. ____________. (๒๕๔๖). นามานุกรมขนบประเพณีไทย หมวดพระราชพิธี ____________. (๒๕๒๑ ข). ประวัตวิ ดั อรุณราชวราราม. กรงุ เทพฯ: คณะสงฆ์ และรัฐพิธี. กรุงเทพฯ: สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ วัดอรุณราชวราราม. (จัดพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ กรมศิลปากร. สมเด็จพุฒาจารย์ (วน ฐิติญาณมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัด อรุณราชวราราม ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพ- ศริ ินทราวาส วนั ท่ี ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑). ____________. (๒๕๒๒). ศิลาจารึกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย. กรงุ เทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์. บรรณานุกรม ๕๓๗

____________. (๒๕๔๘ ก). จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนว ____________. (๒๕๔๙). ศิลปะสุโขทัย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พร้ินต้ิงแอนด์ พระราชดำริ เลม่ ๑ เรอื่ งประวัตศิ าสตร์ศลิ ปกรรมพระพุทธ- พบั ลชิ ชิ่ง. รัตนสถาน. กรงุ เทพฯ: อมรินทร์พรนิ้ ตง้ิ แอนด์พบั ลชิ ชง่ิ . สมบัติ จำปาเงิน. (๒๕๒๐). ประวัติพระพุทธปฏิมาในเมืองไทย. กรุงเทพฯ: ____________. (๒๕๔๘ ข). จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนว โอเดยี นสโตร.์ พระราชดำริ เล่ม ๒ เรื่องจดหมายเหตุจิตรกรรมฝาผนัง พระพุทธรตั นสถาน รชั กาลท่ี ๙. กรงุ เทพฯ: อมรินทรพ์ ร้ินต้ิง สมพนั ธ์ ขนั ธะชวนะ. (๒๔๙๖). “ประชาธิปตัยในสมัยสโุ ขทยั .” ใน นครสโุ ขทยั , แอนดพ์ บั ลิชชงิ่ . หนา้ ๘๑ - ๘๕. [ม.ป.ท.]. (พิมพข์ ้ึนเพื่อหาทนุ สรา้ งอนุสาวรยี ์ พอ่ ขุนรามคำแหงมหาราช). ____________. (๒๕๔๘ ค). จิตรกรรมฝาผนังพระพุทธรัตนสถานตามแนว พระราชดำริ เล่ม ๓ เร่ืองกระบวนการสร้างสรรค์จิตรกรรม สมโภชพระพุทธธรรมกายมงคล ปยุรเกศานนท์สุพพิธาน. (๒๕๔๓). ยะลา: ฝาผนงั พระพทุ ธรัตนสถาน รชั กาลท่ี ๙. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร์ อาทรการพมิ พ์. พร้นิ ต้งิ แอนด์พับลิชชิง่ . สรสั วดี อ๋องสกลุ . (๒๕๓๙). ประวัตศิ าสตร์ล้านนา. พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ: ____________. (๒๕๔๘ ง). พระพุทธรูปปางตา่ งๆ. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร โครงการวิชาการ สำนกั พิมพ์อมรนิ ทร์. กระทรวงวฒั นธรรม. สันติ เลก็ สขุ ุม. (๒๕๔๐). ศิลปะสโุ ขทยั . กรุงเทพฯ: เมอื งโบราณ. ____________. (๒๕๕๐). คณุ ธรรม จริยธรรม ตามรอยพระโพธิสตั ว์. กรุงเทพฯ: ____________. (๒๕๔๔). ประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะไทย (ฉบบั ย่อ): การเรมิ่ ตน้ และ กรมศิลปากร กระทรวงวฒั นธรรม. (จัดพมิ พ์เฉลิมพระเกยี รติ พระบิดาแหง่ การอนรุ กั ษม์ รดกไทย ประกอบนิทรรศการพเิ ศษ การสบื เน่อื งงานช่างในศาสนา. กรุงเทพฯ: เมอื งโบราณ. เนอ่ื งในวันอนรุ กั ษม์ รดกไทย ๒ เมษายน ๒๕๕๐ ณ พระทนี่ ่ัง สารูป ฤทธ์ิชู. (๒๕๒๘). “สภาพการเมืองพัทลุง พ.ศ. ๒๓๑๕ - ๒๔๓๙.” ใน อิศราวินจิ ฉยั พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร มิถนุ ายน - สิงหาคม ๒๕๕๐). รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์และโบราณคดีพัทลุง, หน้า ๑๓๙ - ๑๕๔. ๒๒ - ๒๔ สงิ หาคม ๒๕๒๘. ศนู ย์มานษุ ยวิทยาสริ ินธร. (๒๕๔๒). ยอรช์ เซเดส์ กบั ตะวนั ออกศกึ ษา (รวม สาส์นสมเด็จ ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา บทความแปล). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพช์ วนพิมพ์. นริศรานวุ ัดตวิ งศ์ และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ. เล่ม ๔. (๒๕๑๕). กรุงเทพฯ: องค์การค้า ส. พลายน้อย. (๒๕๒๗). ความรู้เร่ืองตราต่างๆ เล่ม ๑ พระราชลัญจกร. ของครุ ุสภา. กรุงเทพฯ: บำรุงสาส์น. ____________. เล่ม ๕. (๒๕๑๓). พระนคร: องคก์ ารค้าของคุรุสภา. ____________. เล่ม ๑๐. (๒๕๐๔). พระนคร: องค์การค้าของคุรสุ ภา. ส. พลายน้อย, และ ภาวาส บุนนาค. (๒๕๒๒). ตำนานพระชัยวัฒน์ และ ____________. เลม่ ๑๑. (๒๕๐๔). พระนคร: องคก์ ารค้าของครุ สุ ภา. ธมั มานุวตั ต์ (ฉบับบันทกึ ย่อ). กรุงเทพฯ: บัณฑิตการพิมพ์. ____________. เล่ม ๑๔. (๒๕๐๔). พระนคร: องคก์ ารค้าของครุ ุสภา. ____________. เลม่ ๑๗. (๒๕๑๕). กรุงเทพฯ: องค์การค้าของครุ สุ ภา. ส. ศิวรกั ษ.์ (๒๕๓๒). ปาฐกถาเร่ืองแนวคดิ ทางปรชั ญาไทย. กรุงเทพฯ: คณะ ____________. เล่ม ๑๙. (๒๕๐๔). พระนคร: องคก์ ารคา้ ของคุรุสภา. กรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา. สำนักนายกรัฐมนตรี. (๒๕๑๐). ประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพ่ือกัลปนาสมัย อยธุ ยา ภาค ๑. พระนคร: คณะกรรมการจดั พมิ พ์เอกสารทาง สงวน โชติสุขรัตน์. (๒๕๑๕). ประชุมตำนานลานนาไทย. เล่ม ๒. พระนคร: ประวตั ศิ าสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี สำนักนายกรฐั มนตรี. โอเดียนสโตร.์ สำนักราชเลขาธิการ. (๒๕๑๕). ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ท่ีพระราชทานในโอกาสต่างๆ ต้ังแต่เดือนธันวาคม ๒๕๑๒ สงวน รอดบุญ. (๒๕๔๕). พุทธศิลปลาว. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรุงเทพฯ: สายธาร. จนถงึ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๓. พระนคร: โรงพมิ พ์บำรงุ นุกูลกจิ . สงวน อ้ันคง. (๒๕๒๙). ส่ิงแรกในเมืองไทย. เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: แพรพ่ ิทยา. (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พิมพ์ในงานพระราชทาน (พมิ พค์ รง้ั แรก ๒๕๐๒). เพลงิ ศพ มหาเสวกตรี พระยาราชมนตรี (สงา่ สงิ หลกะ) ณ เมรุ สนอง วัฒนวรางกูร. (2003). พระพุทธรูปและเทวรูปชิ้นเย่ียม. กรุงเทพฯ: วดั เทพศิรินทราวาส วนั พธุ ที่ ๒๙ มนี าคม พุทธศกั ราช ๒๕๑๕). โรงพมิ พ์กรุงเทพ. สมเกียรติ โลห่ เ์ พชรัตน์. (๒๕๓๙). พระพทุ ธรูปศลิ ปะสมยั อยุธยา. กรุงเทพฯ: ดา่ นสุทธาการพิมพ.์ ____________. (๒๕๔๐). พระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: วัตถุ- โบราณ. ____________. (๒๕๔๓). ประวัติศาสตร์การสร้างพระพุทธรูปล้านช้าง. กรงุ เทพฯ: สยาม อนิ เตอร์เนชั่นแนล บคุ๊ ส์. ๕๓๘ บรรณานุกรม

____________. (๒๕๑๙). เรื่องพระพุทธรูปปางต่างๆ. กรุงเทพฯ: สำนักราช- สุธวิ งศ์ พงศ์ไพบลู ย์. [ม.ป.ป.]. “รายงานการวจิ ัยพุทธศาสนาแถบลมุ่ ทะเลสาบ เลขาธิการ. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน สงขลาฝั่งตะวันออกสมัยกรุงศรีอยุธยา.” สงขลา: สถาบัน ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร ทกั ษณิ คดศี กึ ษา มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ สงขลา. (ก๊าด วัชโรทัย) ม.ว.ม., ป.ช., ท.จ.ว. ณ วัดเทพศิรินทราวาส วนั พฤหัสบดที ี่ ๑๐ มิถุนายน พทุ ธศักราช ๒๕๑๙). สเุ นตร ชตุ นิ ธรานนท.์ (๒๕๓๙). พม่ารบไทย: วา่ ดว้ ยการสงครามระหว่างไทย กบั พม่า. พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๓. กรงุ เทพฯ: มตชิ น. ____________. (๒๕๒๗). แนวพระราชดำริเก้ารัชกาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ คุรุสภา ลาดพร้าว. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์ สภุ ทั รดศิ ดิศกุล, ม.จ. (๒๕๐๐). “พทุ ธศิลปในประเทศไทย.” ใน ที่ระลกึ ในการ พระราชทาน ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายแพทย์ ม.ร.ว. ฉลอง ๒๕ ศตวรรษ แห่งพระพุทธศาสนา, หน้า ๓๗ - ๖๒. อุดมพร เกษมสันต์ ท.ช.,ท.ม. ณ สุสานหลวง วัดเทพศิริน- พระนคร: ศวิ พร ทราวาส วันเสาร์ท่ี ๒๓ มิถนุ ายน พุทธศักราช ๒๕๒๗). ____________. (๒๕๐๙). เทวรูปสัมฤทธ์ิสมัยสุโขทัย. พระนคร: คณะ ____________. (๒๕๒๘ ก). ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ โบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. กรงุ เทพ. (ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้พิมพพ์ ระราชทานใน งานฉลองชนมายุครบ ๖ รอบ สมเด็จพระญาณสังวร ____________. (๒๕๒๑). ศลิ ปสุโขทยั . กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช. เจา้ อาวาสวดั บวรนิเวศวิหาร วนั พฤหสั บดที ี่ ๓ ตลุ าคม พุทธ- ____________. (๒๕๒๕). สมุดภาพศิลปกรรมวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัด ศกั ราช ๒๕๒๘). เพชรบุรี. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์ ____________. (๒๕๒๘ ข). ศลิ ปกรรมวัดบวรนเิ วศวิหาร. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร์ เอกสารทางประวัตศิ าสตร์ สำนกั นายกรฐั มนตรี. การพิมพ์. (ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทาน ____________. (๒๕๓๘). ศิลปะในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งท่ี ๑๐. กรุงเทพฯ: ในงานฉลองชนมายุครบ ๖ รอบ สมเด็จพระญาณสังวร โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ เจ้าอาวาสวัดบวรนเิ วศวิหาร วนั พฤหัสบดที ่ี ๓ ตุลาคม พทุ ธ- สรุ ศกั ด์ิ ศรสี ำอาง. (๒๕๔๖). เรือ่ งของพอ่ และรวมบทความทางวิชาการล้านชา้ ง ศกั ราช ๒๕๒๘). ล้านนา. [ม.ป.ท.]. (จดั พิมพเ์ ปน็ อนุสรณ์เนอ่ื งในงานพระราชทาน เพลงิ ศพ นายประสม ศรีสำอาง ต.ช., ต.ม. ณ เมรุวดั พระศร-ี ____________. (๒๕๓๑). พระบรมราโชวาท และพระราชดำรัส. กรุงเทพฯ: มหาธาตุวรวหิ าร เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ๒๗ ตลุ าคม โรงพิมพก์ รุงเทพ. ๒๕๔๖). ____________. (๒๕๕๐). เรอ่ื งของแม่ และรวมบทความทางวชิ าการ ลา้ นนา สำเภากษัตริย์สุลัยมาน. (๒๕๔๕). แปลโดย ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. กรุงเทพฯ: ล้านช้าง. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์. (จัดพิมพ์เป็นที่ระลึก ศลิ ปวฒั นธรรมฉบับพิเศษ. (พมิ พค์ ร้งั แรก ๒๕๑๗). เน่อื งในโอกาสอายุครบ ๗ รอบ (๘๔ ปี) นางแสงทอง ศรีสำอาง (นันทรัตพนั ธ์)ุ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐). สุจิตต์ วงษ์เทศ. (๒๕๓๐). บางขุนเทียนส่วนหน่ึงของแผ่นดินไทยและกรุง สุรสวัสดิ์ ศขุ สวัสด,์ิ ม.ล. (๒๕๓๕). จากหลวงพระบางถงึ เวยี งจนั ทน.์ กรงุ เทพฯ: รัตนโกสินทร์. (พิมพ์เน่ืองในงานพระราชทานเพลิงศพ น.ท. เมอื งโบราณ. สุขมุ บุนปาน ร.น.). สุรสวัสด์ิ ศุขสวัสดิ์, ม.ล., และ ฮันส์ เพนธ์. (๒๕๕๐). พุทธศิลปะในนิกาย สหี ฬภิกขุ พ.ศ. ๑๙๐๐ - ๒๑๐๐. เชยี งใหม่: สถาบันวจิ ยั สังคม สชุ ีพ ปุญญานุภาพ. (๒๕๓๕). พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน. (พิมพ์รวม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. เลม่ เดียวจบ ครง้ั ท่ี ๑๔). กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . สรุ ิยวุฒิ สขุ สวัสด,์ิ ม.ร.ว. (๒๕๓๐). “กลุ่มพระพุทธรปู ส่อี ริ ยิ าบถในศิลปะสโุ ขทัย: ความหมายทางพระพุทธศาสนาบางประการ.” เมืองโบราณ สุเชาวน์ พลอยชมุ . (๒๕๓๓). สมเดจ็ พระศรนี ครินทราบรมราชชนนี. กรงุ เทพฯ: ๑๓ (๓) (กรกฎาคม - กันยายน): ๕๗ - ๖๒. ธนาคารออมสิน. ____________. (๒๕๓๕). พระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง. กรุงเทพฯ: สำนกั ราชเลขาธิการ. สุทธาสินีนาฎ, พระวิมาดาเธอฯ กรมพระ. (๒๔๗๒). จารึกเร่ืองสร้างวัด สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระนางเจ้า. (๒๕๒๖). ฟาแบร์เช่. นิเวศน์ธรรมประวัติ. พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ. (พระ กรุงเทพฯ: อักษรสมั พนั ธ์. วิมาดาเธอฯ กรมพระสุทธาสินีนาฎ โปรดให้พิมพ์เป็นมิตรพลี หวน พนิ ธพุ นั ธ.์ (๒๕๑๒). ลพบรุ ีทน่ี ่ารู้. ลพบรุ ี: หัตถโกศลการพิมพ.์ (พิมพค์ รั้ง ขึ้นปใี หม่ พ.ศ. ๒๔๗๒). แรก พ.ศ. ๒๕๑๑). ____________. (๒๕๑๔). พิษณุโลกของเรา. พิษณุโลก: วิทยาลัยวิชาการ สุธา ลนี ะวัต. (๒๕๕๐). “พระพุทธรูปท่ีนายอัลฟอนโซ ทอร์นาเรลลอี อกแบบ.” ศกึ ษา พษิ ณุโลก. ใน ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะท่ตี อ้ งจารกึ : รวมบทความวชิ าการด้าน ประวัติศาสตร์ศลิ ปะเน่อื งในโอกาสเกษยี ณอายรุ าชการ รศ.ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ - Festschrift for Piriya Krairiksh’s 60th Year, หน้า ๑๓๗ - ๑๕๕. บรรณาธกิ ารโดยวารณุ ี โอสถารมย.์ กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พรนิ้ ตง้ิ แอนด์พับลชิ ชิง่ . บรรณานุกรม ๕๓๙

____________. (๒๕๒๑). อุตรดิตถ์ของเรา. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัย แผน่ พบั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. อ.ป. (๒๕๐๘). พุทธประวัติจากพระโอษฐ์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ธรรมทาน. พระเหลาเทพนิมิต. (๒๕๔๙). เอกสารแผ่นพับ. อำนาจเจริญ: วัดพระเหลา- (พิมพค์ รงั้ แรก ๒๔๗๙). เทพนิมติ . อภินันท์ โปษยานนท์. (๒๕๓๕). จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกใน วัดพระพุทธไสยาสน์. (๒๕๔๙). เอกสารแผ่นพับ ข้อมูลโบราณวัตถุสถาน ราชสำนัก. ๒ เล่ม. กรุงเทพฯ: สำนักพระราชวัง. (จัดพิมพ์ เน่ืองในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๑๒ สงิ หาคม ภายในวัด. เพชรบุรี: วัดพระพุทธไสยาสน.์ ๒๕๓๕). หลวงพ่อปู่วัดโกรกกราก. [ม.ป.ป.]. เอกสารแผน่ พับ. สมทุ รสาคร: วดั โกรกกราก. ประวัติพระต้ิว - พระเทียม (พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม). [ม.ป.ป.]. อรวรรณ ทรพั ย์พลอย. (๒๕๓๙). “พระพุทธนิรโรคนั ตราย.” ศลิ ปากร ๓๙ (๓) (พฤษภาคม - มิถุนายน): ๗๗ - ๘๓. เอกสารแผ่นพบั . นครพนม: วดั โอกาส. อรยิ กว,ี พระ. (๒๕๐๔). ตำนานปางพระพุทธปฏิมาประจำวันชาตา. พระนคร: วดั จกั รวรรดิราชาวาส. ขอ้ มูลจากอินเตอรเ์ นต็ อาคม พฒั ยิ ะ, และ นิธิ เอียวศรวี งศ.์ (๒๕๔๕). ศรีรามเทพนคร: รวมความเรยี ง ว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น. บรรณาธิการโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์. กรงุ เทพฯ: มติชน. (พมิ พ์ครัง้ แรก ๒๕๒๗) ธรรมะไทย. (2550). [ออนไลน์]. “ทำเนียบวัดไทย: วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม อารมณ์ ศรีตัญญู. (๒๕๓๐). “การคน้ พบพระพทุ ธรปู ประจำจงั หวดั ๔ จงั หวัด.” ศลิ ปากร ๓๑ (๕) (พฤศจิกายน - ธันวาคม): ๖๙ - ๗๒. จ. นครราชสีมา.” จาก: <http://www.dhammathai.org/ อารักษ์ ต้ังวิจิตร. (๒๕๔๕). ประวัติการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อพระใส. watthai/northeast/watthepphitak.php>. [พฤษภาคม อดุ รธาน:ี ภาคอีสานการพมิ พ์ (๙๙๙). ๒๕๕๐]. อุรคินทร์ วิริยะบูรณะ. [ม.ป.ป.]. ๑๐๘ ยันต์ ฉบับพิสดาร. กรุงเทพฯ: สรพล โศภติ กุล. (2006). [ออนไลน์]. “หลวงพอ่ ดี พทุ ธโชติ วดั เทวสังฆาราม สำนกั งานลกู ส. ธรรมภักด.ี อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี.” จาก: <http://www. อูซานเยง. (๒๕๔๒). “ศกึ ตะเบงชเวตีแ้ ละศกึ บุเรงนอง.” ใน พม่าอา่ นไทย: ว่า kanchanaburi.com/kannews/02130.html>. [กรกฎาคม ด้วยประวตั ิศาสตรแ์ ละศลิ ปะไทยในทัศนะพมา่ , หนา้ ๓๕ - ๖๘. ๒๕๕๐]. บรรณาธิการผูร้ วบรวม สุเนตร ชตุ นิ ธรานนท์. กรุงเทพฯ: มตชิ น. เอ. บ.ี กรสิ โวลด์. (๒๕๐๗). “ศกั ราชศลิ ปะสโุ ขทัย - คำแนะนำเพอ่ื การค้นควา้ สมั ภาษณ ์ตอ่ ไป.” ใน คำบรรยายสัมนาโบราณคดสี มยั สโุ ขทยั พ.ศ. ๒๕๐๓, หน้า ๘๑ - ๑๐๕. (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เน่ืองในงานเสด็จ พระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง ภุชชงค์ จนั ทวิช. สัมภาษณ.์ ๒๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๐. จงั หวดั สโุ ขทัย วนั ท่ี ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗). ฮง นาวานุเคราะห์. (๒๔๗๐). สมุดรูปถ่าย พระพุทธรูปหล่อ. พระนคร: โรงพมิ พเ์ ดลเิ มล์. ฮันส์ เพนธ.์ (๒๕๑๙). คำจารกึ ทีฐ่ านพระพุทธรูปในนครเชยี งใหม.่ กรุงเทพฯ: สำนักนายกรฐั มนตร.ี ๕๐ ปี วดั ไทยพุทธคยา อนิ เดยี . (๒๕๕๐). กรุงเทพฯ: วัดไทยพุทธคยา. (จดั พิมพ์ เป็นอนุสรณ์งานฉลองมหามงคลพุทธารามมหาราชชยันตี วัดไทยพุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ๒๔ - ๓๐ มนี าคม ๒๕๕๐). ๕๔๐ บรรณานกุ รม

หนังสอื ภาษาตา่ งประเทศ Boribal Buribhand, Luang, and Griswold, A.B. (1951). “Sculpture of Peninsular Siam in the Ayuthya Agrawala, V.S. (1957). Sarnath. India: Department of Period.” The Journal of the Siam Society Archaeology. XXXVIII: Fig 17. Aiyappan, A., and Srinivasan, P.R. (1960). Story of Buddhism _________. (1969). Thai Images of The Buddha. Bangkok: with Special Reference to South India. Chennai: The Fine Arts Department. The Commissioner of Museums, Government Museum. Brinker, Helmut. (2002). Return of the Buddha. London: Royal Academy of Arts. Allison, Ann Hersey, and Allison, Jane Porter. (2007 / ๒๕๕๐). Bunce, Fredrick W. (1997). A Dictionary of Buddhist and “To Make Good Buddhas for the New Hindu Iconography: Illustrated. New Delhi: D.K. Printworld. Generation.” In ประวัติศาสตร์ศิลปะท่ีต้องจารึก: รวม บทความวิชาการด้านประวัติศาสตร์ศิลปะเน่ืองในโอกาส Bunnag, Tej. (1977). The Provincial Administration of Siam เกษียณอายุราชการ รศ.ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ - Festschrift 1892 - 1915. Bangkok: Duang Kamol Book House. for Piriya Krairiksh’s 60th year, pp. 348 - 385. Charoenwongsa, Pisit, and Bronson, Bennet. (1988). Prehistoric Studies: The Stone and Metal Ages in Thailand. บรรณาธิการโดย วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ Bangkok: The Thai Antiquity Working Group. พร้ินตงิ้ แอนด์พบั ลิชช่งิ . Chirapravati, Pattaratorn. (2008). “Illustrating the Lives of Bauer, Christian. (1991). “Notes on Mon Epigraphy.” The the Bodhisatta at Wat Si Chum.” In Past Lives of Journal of the Siam Society 79 (1): 31 - 83. The Buddha, pp. 13 - 40. Edited by Peter Skilling. Bangkok: River Books. Bereau, André. (1955). Les Sectes bouddhiques du petit véhicule. Paris: École française d’Extrême - Orient. Chou Ta - Kuan. (1992). The Customs of Cambodia. Bangkok: The Siam Society. Birnbaum, Raoul. (1979). The Healing Buddha. London: Hutchinson Publishing Group. Claeys, Par J.Y. (1931). “L’Archéologie du Siam.” Bulletin de l’École française d’Extrême - Orient XXXI: 361 - Bock, Carl. (1985). Temples and Elephants. Bangkok: White 448. Orchid Press. Clark, Kenneth. (1960). The Nude A Study of Ideal Art. Boeles, J.J. (1964). “The King of Śri Dvāratī and His London: John Murray. Regalia.” The Journal of The Siam Society LII (1) (April): 99 - 114. Coedès, George. (1925). “Documents sur l’histoire politique et religieuse du Laos occidental.” Bulletin de _________. (1967). “A Note on The Ancient City Called l’École française d’Extrême - Orient XXV: 1 - 204. Lavapura.” The Journal of the Siam Society LV (1) (January): 113 - 115. _________. (1928). Les Collections archéologiques du Musée National de Bangkok. Paris et Bruxelles: Les Boisselier, Jean. (1955). La Statuaire khmére et son évolution. Éditions G. Van Oest. Saigon: École française d’Extrême - Orient. _________. (1939). “Reginal le May: A Concise History of _________. (1963). La Statuaire du Champa. Paris: École Buddhist Art in Siam.” Journal of The Siam française d’Extrême - Orient. Society 31 (II): 192 - 201. _________. (1972). “Travaux de la mission archeologique Crosby, Kate. (2000). “Tantric Theravada: A Bibliographic française en Thailande.” Art Asiatiques XXV: 27 Essay on the Writing of Francois Bizot and - 58. Other Literature on the Yogavacara Tradition.” Contemporary Buddhism: An Interdisciplinary _________. (1975). The Heritage of Thai Sculpture. New York: Journal 1 (2) (November): 141 - 188. John Weatherhill. Boun Souk, Thao. (1971). L’Image du Buddha dans l’art Lao. Vientiane: L’Inprimerie Nationale. บรรณานกุ รม ๕๔๑

Damrong Rajanuphap, Prince. (1973). Monuments of the Gombrich, Richard. (2003). Theravāda Buddhism A Social Bhuddha in Siam. Translated by Sulak Sivaraksa History from Ancient Benares to Modern Colombo. and A.B. Griswold. Bangkok: The Siam Society. London: Routledge. (First published 1988). Davies, Philip. (1989). Monuments of India Volume Two Griswold, A.B. (1957). Dated Buddha Images of Northern Islamic, Rajput, European. London: Penguin Book. Siam. Ascona: Artibus Asiae. De Casparis, J.G. (1967). “The Date of The Grahi Buddha.” _________. (1967). Towards A History of Sukhodaya Art. The Journal of the Siam Society LV (1) (January): Bangkok: The National Museum, Bangkok. 31 - 40. _________. (1975). Wat Pra Yün Reconsidered. Bangkok: De Coutre, Jacques. (1988). Aziatische omzwervingen: Het The Siam Society under Royal Patronage. leven van Jaques de Coutre, een Brugs diamanthandelaar. 1591 - 1627. Edited by Johan Griswold, A.B., and a Nagara, Prasert. (1968). “A Declaration Verberckmoes, and Eddy Stols. Berchem - Anvers: of Independence and its Consequences; Epigraphic EPO. (Unpublished English translation manu- and Historical Studies, No.1.” The Journal of the script by Philippe Annez). Siam Society LVI (2) (July): 207 - 250. Dhani Nivat, H.H. Prince. (1969). “The City of Thawarawadi _________. (1970). “Devices and Expedients Văt Pā Mok, Sri Ayudhya.” In Collected Articles by H.H. Prince 1727 A.D.” In In Memoriam Phya Anuman Dhani Nivat, pp. 51 - 56. Bangkok: The Siam Rajadhon, pp. 147 - 220. Edited by Tej Bunnag Society Under Royal Patronage. (Reprinted From and Michael Smithies. Bangkok: The Siam The Journal of The Siam Society on the occasion Society. of his eighty - fourth birthday). _________. (1971). “An Inscription in Old Mòn from Wieng Di Crocco, Virginia McKeen. (2004). Footprints of The Buddhas Manó in Chieng Mai Province: Epigraphic and of This Era in Thailand. Bangkok: The Siam Historical Studies, No. 6.” Journal of the Siam Society. Society 59 (1) (January): 153 - 156. Dupont, Pierre. (1959). L’Archeologie mone de Dvaravati. Grube, Ernst J. (1966). The World of Islam. New York: Paris: École française d’Extrême - Orient. McGraw - Hill Book. Dutt, Nalinaksha. (1978). Buddhist Sects in India. Delhi: Gutman, Pamela. (2001). Burma’s Lost Kingdoms. Bangkok: Motilal Banarsidass. Orchid Press. Fahr - Becker, Gabriele. (1997). Art Nouveau. Köln: Könemann. Henderson and Hurvitz. (1956). The Buddha of Seiryōji. Farrington, Anthony. (2001). Early Missionaries in Bangkok. (Artibus Asiae 19 (1)). Ascona: Artibus Asiae. Bangkok: White Lotus Co., Ltd. Hiuen Tsiang. (1969). Si - Yu - Ki: Buddhist Records of the Flood, E. Thadeus. (1969). “Sukhothai - Mongol Relations: Western World. Translated by Samuel Beal. Delhi: Oriental Books Reprint Corporation. (First edition A Note on Relevant Chinese and Thai Sources.” 1884). The Journal of The Siam Society LVII (2): 203 - 259. Fournereau, Lucien. (1908). Le Siam ancien. Annales du Musée Huntington, Susan L. (1985). The Art of Ancient India: Guimet 31 (2). Buddhist, Hindu, Jain. New York: Weatherhill. Giteau, Madeleine. (1975). Iconographie du Cambodge post - angkorien. Paris: École française d’Extrême - Ishii, Yoneo. (1986). Sangha, State, and Society: Thai Buddhism Orient. in History. Translated by Peter Hawkes. Honolulu: Godakumbura, C.E. (1969). Murals at Tivanka Pilimage. The University of Hawaii Press. Ceylon: Archaeological Department Colombo. I - Tsing. (1966). A Record of The Buddhist Religion. Translated by J. Takakusu. Delhi: Munshiram Manoharlal. ๕๔๒ บรรณานกุ รม

Jayawickrama, N.A. (1968). The Sheaf of Garlands of the _________. (1993). “Jatakas, Universal Monarchs, and The Epochs of the Conqueror Being a Translation of Year 2000.” Artibus Asiae LIII (3/4): 412 - 448. Jinakālamālīpakara am of Ratanapañña Thera of Thailand. London: The Pali Text Society. _________. (2005). The Kingdom of Siam: The Art of Central Thailand, 1350 - 1800. San Francisco: The Asia Jacques, Claude. (1990). Angkor. Paris: Bordas S.A. Art Museum - Chong - Moon - Lee for Asian Art Jessup, Helen Ibbitson, and Zéphir, Thierry. (1997). Sculpture and Culture. of Angkor and Ancient Combodia. Washington: Middleton, Sheila E. Hoey. (2002). “The Third Buddha.” National Gallery of Art Washington. Journal of the Society for South Asian Studies 18: Keown, Damien. (2003). Dictionary of Buddhism. New York: 67 - 72. Oxford University. Knowles, Elizabeth. (2001). The Oxford Dictionary of Quotations. Mitra, Debala. (1971). Buddhist Monuments. Culcutta: Shri Oxford: Oxford University. (First published 1999). Mahendra Nath Dutt Shishu Sahitya Samsad. Krairiksh, Piriya. (1979). The Sacred Image Sculpture from Thailand. Köln: Museum für Ostasiatische Kunst Moore, Elizabeth H. (2007). Early Landscapes of Myanmar. der Stadt Köln. Bangkok: Bangkok Printing. _________. (1985). “New Evidence from Lan Na Concerning the Development of Early Thai Letters and Buddha Munsterberg, Hugo. (1967). Chinese Buddhist Bronzes. Images.” The Siam Society’s Newsletter 1 (3): 8 - 14. Tokyo: Charles E. Tuttle. _________. (1988 - 1989). “The Repoussé Buddha Images of The Mahā Thāt, Lamphūn.” Artibus Asiae XLIX Notton, M. Camille (Traduction). (1930). Annales du Siam (1/2): 169 - 184. Volume II: Chronique de La:p’un. Paris: Charles - _________. (1997). “A Reassessment of Thai Art of the Lavauzelle. Ayutthaya Period.” Oriental Art 8: 14 - 22. Kulke, Hermann. (1978). The Devarāja Cult. Data paper Pelliot, Paul. (1904). “Deux itineraires de Chine en Inde.” number 108. New York: Southeast Asia Program Bulletin de l’École française d’Extrême - Orient 4: Department of Asian Studies Cornell University. 130 - 413. Le May, Reginald. (1962). A Concise History of Buddhist Art in Siam. Tokyo: Charles E. Tuttle Company. Penth, Hans. (1976). “Carl Bocks Buddhafiguren aus Fāng.” (First edition 1938). Artibus Asiae 38 (2 - 3): 139 - 157. Listopad, John. (1995). The Art and Architecture of The Reign of Somdet Phra Narai. Unpublished Ph.D. _________. (1988 - 1989). “Inscriptions and Images on The dissertation University of Michigan, Ann Arbor. Phra Mahā Thāt in Lamphūn.” Artibus Asiae Mangrāi, Sao Sāimöng. (1981). The Pā aeng Chronicle and The XLIX (3/4): 351 - 370. Jengtung State Chronicle Translated. Michigan: University of Michigan. _________. (1994). Jinakālamālī Index. Chiangmai: Martin, Steven, et al. (2002). Myanmar (Burma). Australia: Silkworm Books. Lonely Planet. McGill, Forrest. (1977). The Art and Architecture of The Reign _________. (2000). A Brief History of Lan Na: Civilizations of King Prasatthong of Ayutthaya (1629 - 1656) of North Thailand. Second edition. Chiang Mai: Vol. 1. London: University Microfilms International. Silkworm Books, 2000. _________. (2003). Chronology of Religious Events. Unpublished article. _________. (2007 / ๒๕๕๐). “Lān Nā Images of Mahākac- cāyana.” In ประวตั ิศาสตรศ์ ลิ ปะที่ต้องจารึก: รวมบทความ วิชาการด้านประวัติศาสตร์ศิลปะเนื่องในโอกาสเกษียณอายุ ราชการ รศ.ดร. พิรยิ ะ ไกรฤกษ์ - Festschrift for Piriya Krairiksh’s 60th year, pp. 236 - 275. บรรณาธิการ โดย วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชง่ิ . บรรณานุกรม ๕๔๓

Quaritch Wales, H.G. (1931). Siamese State Ceremonies. _________. (1997). “The Advent of Theravāda Buddhism to London: Bernard Quaritch, Ltd. Mainland South - East Asia.” Journal of the International Association of Buddhist Studies 20 _________. (1973). Early Burma - Old Siam. London: (1): 93 - 107. Bernard Quaritch. _________. (2003 - 2004). “Traces of the Dharma.” Bulletin de Ramchandran, T.N. (1965). “The Nāgapa i am and Other l’École française d’Extrême - Orient 90 - 91: 273 - Buddhist Bronzes in The Madras Museum.” 287. Bulletin of The Madras Government Museum. New Series - General Section, VII (1). (First _________. (2006). “Jātaka and Paññāsa - Jātaka in South - edition 1954). East Asia.” The Journal of the Pāli Text Society XXVIII: 113 - 173. Rawski, Evelyn S., and Rawson, Jessica, eds. (2005). China: The Three Emperors, 1662 - 1795. London: Snellgrove, David L., ed. (1978). The Image of The Buddha. Royal Academy of Arts. London: Sirindia Publication and UNESCO. Ray, Niharranjan. (1936). Sanskrit Buddhism in Burma. Sotheby’s. (1985). Indian, Himalayan, South - East Asian Art Amsterdam: H.J. Paris. and Indian Miniatures. New York: Sotheby’s. _________. (2002). Theravada Buddhism in Burma. Bangkok: Soper, Alexander Coburn. (1959). Literary Evidence for Early The Orchid Press. (First published 1946). Buddhist Art in China. Ascona: Artibus Asiae. Ray, Niharranjan, et al. (1986). Eastern Indian Bronzes. New Stone, Elizabeth Rosen. (1994). The Buddhist Art of Delhi: Lalit Kalā Akademi. Nāgārjunako a. New Delhi: Narendra Prakash Jain for Motilal Banarsidass Publishers. Rowland, Benjamin. (1970). The Pelican History of Art. Middlesex: Harmondsworth, Penguin Book. Stratton, Carol. (2004). Buddhist Sculpture of Northern (First edition 1953). Thailand. Chiang Mai: Silkworm Books. Saisingha, Sakchai. (1999). Les Statues du Buddha de l’école du Suárez, Thomas. (1999). Early Mapping of Southeast Asia. Lân Nâ. Unpublished Ph.D. dissertation Singapore: Periplus Editions (HK). University of Paris IV - Sorbonne. Swearer, Donald K. (2004). Becoming The Buddha. Salmony, Alfred. (1972). Sculpture In Siam. New York: Princeton, NJ: Princeton University Press. Hacker Art Books. Swearer, K. and Premchit, Sommai. (1978). “The Relationship San The Aung. (1979). The Buddhist Art of Ancient Arakan. Between the Religious and Political Order in Rangoon: Department of Higher Education Northern Thailand (14th - 16th Centuries).” In Ministry of Education. Religion and Legitimation of Power In Thailand, Laos, and Burma, pp. 20 - 33. Edited by Bardwell Sarkar, H. and Nainar, S.P. (1972). Amaravati. New Delhi: L. Smith. Chambersburg: ANIMA Books. Archaeological Survey of India. Tambiah, S. J. (1977). World Conqueror and World Renouncer. Satow, Ernest. (1994). A Diplomat in Siam. Bangkok: Orchid Cambridge: Cambridge University. Press. Taw Sein Ko. (1892). The Kalyā ī Inscription King Dhammacetī Schroeder, Ulrich Von. (1992). The Golden Age of Sculpture Pegu, 1476 A.D. Rangoon. in Sri Lanka. Hong Kong: Visual Dharma Publication. Terentyev, Andrey. (2007). “Buddha Images - The Sandalwood Statue.” National Museum Volunteers Newsletter, Skilling, Peter. (1992). “The Rak ā Literature of the (August 15). Śrāvakayāna.” Journal of the Pali Text Society, XVI: 109 - 82. Terwiel, Barend Jan, ed. (2003). Engelbert Kaempfer in Siam. München: Iudicium. ๕๔๔ บรรณานุกรม

Thailand and Portugal. (1982). Lisbon: Calouste Gulbenkian Yamamoto, Tatsuro. (1977). “East Asian Historical Sources Foundation. for Dvāratī Studies.” In Proceedings Seventh IAHA Conference, Bangkok 22 - 26 August 1977, Thomas, Edward J. (1971). The History of Buddhist Thought. pp. 1137 - 1150. Bangkok: Chulalongkorn New York: Barnes & Noble. University. Vella, Walter F. (1978). Chaiyo! King Vajiravudh and the Zwalf, W. (1985). Buddhism: Art and Faith. London: British Development of Thai Nationalism. Honolulu: Museum Publication. The University of Hawaii Foundation. Vickery, Michael Theoddore. (1977 A). Cambodia After Angkor: The Chronicular Evidence for the Fourteenth to Sixteenth Centuries. Two volumes. Unpublished Ph.D. dissertation Yale University. _________. (1977 B). “A Lost Chronicle of Ayutthaya.” Journal of The Siam Society 65 (1) (January): 1 - 80. _________. (1978). “Review Article: A Guide through Some Recent Sukhothai Historiography.” Journal of The Siam Society 66 (2) (July): 182 - 246. _________. (1979). “A New tā nān about Ayudhya, The Rise of Ayudhya: A History of Siam in the Fourteenth and Fifteenth Centuries, by Charnvit Kasetsiri.” Journal of The Siam Society 67 (2) (July): 123 - 188. Von Schroeder, Ulrich. (1990). Buddhist Sculptures of Sri Lanka. Hong Kong: Visual Dharma Publications. Winichakul, Thongchai. (1994). Siam Mapped: A History of the Geo - Body of a Nation. Chiang Mai: Silkworm Books. Woodward, Jr., Hiram W. (1975). Studies in the Art of Central Siam, 950 - 1350 A.D. A Dissertation presented to the Faculty of the Graduate School of Yale University in candidacy for Ph.D. degree. _________. (1979). “The Bayon - Period Buddha Image in the Kimbell Art Museum.” Archives of Asian Art 32: 72 - 83. _________. (1997). The Sacred Sculpture of Thailand: The Alexander B. Griswold Collection. The Walters Art Gallery. Bangkok: River Books. _________. (2003). The Art and Architecture of Thailand. Leiden: Brill. Wyatt, David K. (1967). “The Thai ‘Ka a Ma iarapāla’ and Malacca.” The Journal of the Siam Society. LV (2) (July): 279 - 286. บรรณานกุ รม ๕๔๕

พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย

ภาคผนวก ก. อภิธานศัพท ์ ข. ภาพอ ธบิ าย๑ . ราชาศพั ทท์ เ่ี ก่ียวขอ้ งกับส่วนต่างๆ ของรา่ งกาย ๒. องค์ประกอบพระพุทธปฏิมา ๓. เครอื่ งทรงของพระพุทธรปู ทรงเคร่อื งฉลองพระองค ์ ๔. พระพุทธรปู แบบเชียงแสน ค . ร ายพระนา๕ม.พพรระะพมทุ หธราปู กอษทู่ ัตองร ยิ ไ์ ทย ง . แ(ส ผุโนขทท ่ีัย - อยุธยา - ธนบรุ ี - รัตนโกสินทร์ - ลา้ นนา) ๑. แผนทปี่ ระเทศอนิ เดีย ๒. แผนทเี่ อเชยี ตะวันออกเฉียงใต ้ ๓. แผนที่สมยั อยุธยา ชว่ งเมืองพระยามหานคร ๔. แผนที่สมัยอยธุ ยา ช่วงเมืองลูกหลวง จ . ศกั ราชสำค๕ัญ. แขผอนทงส่ีพมทุ ยั อธยศธุ ายสา นช่วางแวงลระาชพธุทานธี ศ ลิ ป์ ภาคผนวก ๕๔๗

ภาคผนวก ก. อภิธานศัพท ์ หมวด ก. กระจัง, ลาย ชอื่ ลายไทยแบบหน่ึง เขียนโดยอาศัยรูป สามเหล่ยี มด้านเท่าเป็นกรอบบงั คับ กกุธภัณฑ ์ เครอ่ื งหมายแสดงความเป็นพระราชาธบิ ดี ขอบด้านข้างมีรอยบากอย่างนอ้ ยขา้ งละ หนง่ึ รอย ตรงกลางมไี ส้ รปู กลีบบัวหรือ ซ่ึงในพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกสมัยรชั กาลท่ี ๗ ตาอ้อยขนาดยอ่ มๆ ซ้อนอีกช้นั หนงึ่ (พ.ศ. ๒๔๖๘) ประกอบด้วย ๑. พระมหาพชิ ยั มงกุฎ ๒. พระแสงขรรคช์ ยั ศร ี ๓. ธารพระกร ๔. วาลวีชนี (พัดกบั แส้จามรี) ๕. ฉลองพระบาท รวมเรยี กวา่ เบญจราชกกุธภณั ฑ์ ลายกระจัง ลายกระจังตาออ้ ย เคร่อื งเบญจราชกกธุ ภัณฑ์ กระจงั ตาอ้อย, ลาย ชื่อลายอยา่ งหนึง่ เปน็ แม่ลายใช้ประดบั ตามชั้น ขอบ หรือใช้เป็นองคป์ ระกอบ กกุสนั ธะ, พระ ดู อดีตพทุ ธะ ของลายขนาดใหญ ่ กนิษฐา น้วิ กอ้ ย กลด รม่ (ใช้เรยี กสำหรบั เจา้ นาย) ขนาดใหญ่ มดี ้ามยาว กโปล, กโบล แก้ม กะไหล ่ วธิ เี คลือบโลหะด้วยทองหรือเงิน โดยใชป้ รอท กร แขน ละลายเงนิ หรอื ทอง แล้วทาลงบนโลหะท่ี ต้องการเคลือบ จากนน้ั ใชค้ วามร้อนไล่ กรรณ ห,ู ใบหู ปรอทออก กรรเจียก ดอกไม้ทัด เครื่องทดั ห ู กปั ประ ข้อศอก กรรเจยี กจร, - จอน เครือ่ งประดับสำหรบั ทัดห,ู จอนหู กัมโพช อาณาจกั รในบรเิ วณภาคกลางตอนล่างของ ประเทศไทยในปจั จบุ นั มีศูนย์กลางอยู่ทีล่ ะโว ้ หรอื ลพบุรี จากปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๕ – ต้น ๑๙ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 10 – กลาง 13) เป็นประเทศราชของอาณาจกั รกัมพชู าแต่เป็น รัฐอิสระในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 13 – กลาง 14) กรรเจยี กจร กรองศอ สร้อยคอ, สรอ้ ยนวม กัมโพชสงฆป์ ักขะ, คณะ คณะสงฆก์ ัมโพช ปรากฏช่อื ในศลิ าจารกึ กลั ยาณี (ดูภาพอธบิ าย ๓. เครื่องทรงฯ) เป็นนกิ ายเถรวาททเี่ ก่าแก่ของมอญ ผสมผสาน คติธรรมและความเชอ่ื มาจากลทั ธิมหายานและ ๕๔๘ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย

ตันตระยานของกัมพูชา เป็นนกิ ายซงึ่ เป็นทน่ี ยิ ม กุดนั่ กา้ นแย่ง, ลาย ชือ่ ลายชนิดหน่ึง ซง่ึ มีรปู โครงเป็นตาข่าย แยง่ ดอกแยง่ กา้ นกัน แพรห่ ลายในแควน้ กัมโพช ในชว่ งพุทธศตวรรษ ท่ี ๑๙ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 – กลาง 14) กสั สปะ, พระ ดู อดีตพุทธะ กา้ นตอ่ ดอก, ลาย กณุ ฑล ลายกา้ นตอ่ ดอก เกยรู ลายกดุ นั่ กา้ นแยง่ ต่างหูขนาดใหญ่ ใชส้ อดใสใ่ นใบหูทเ่ี จาะเปน็ รู สร้อยออ่ น ทองต้นแขน และเพ่มิ ขนาดใหใ้ หญข่ ึน้ จนใบหูยานลงมาถงึ ไหล่ เกศ, เกศา (สมัยโบราณ) ถา้ เป็นตา่ งหูขนาดเล็ก เส้นผม เรียกต้มุ พระกรรณ เกตมุ าลา พระรศั มีท่เี ปลง่ ประกายเหนอื พระเศียรของ กณุ ฑล พระพุทธเจ้า เม่อื ทรงบำเพ็ญฌาน กดุ นั่ , ลาย ช่ือลายดอกไม้ ๔ กลบี ท่วี างเรยี งแถวกนั อย ู่ (ดภู าพอธิบาย ๒. องค์ประกอบพระพุทธปฏิมา) เป็นพืด, ถา้ แยกอยู่ห่าง ๆ เรียกวา่ ประจำยาม โกนาคมนะ, พระ ดู อดีตพทุ ธะ ลายกดุ ั่น ค้วิ หมวด ข. ลำตวั ของงู หรอื นาคทขี่ ดเป็นวง ขนง ชาวมอญ หรือชาวมอญ-เขมร ท่รี ับอารยธรรมเขมรจากกัมพูชา (ดู เขมร) ขนด ชาวขอมประกอบดว้ ยกลุ่มชน ๒ กลุ่มไดแ้ ก่ พวกทีต่ ง้ั ถนิ่ ฐานอยใู่ นจังหวัดสพุ รรณบุรีและ ขอม พระนครศรีอยุธยาในปัจจบุ ัน ซง่ึ ชนตา่ งชาต ิ เรยี กว่า ชาวสยาม (ดู สยาม) ส่วนพวกทอ่ี ยู ่ ในบรเิ วณจงั หวัดลพบรุ ีเรียกวา่ ชาวกัมโพช หรือชาวละโว้ ภาคผนวก ๕๔๙

ขาชนวน กา้ น หรอื แท่งโลหะท่ยี ืน่ ออกมาจากฐาน เขีย้ วตะขาบ มุมผา้ ตอนปลายของชายจวี รหรอื ชายสงั ฆาฏ ิ ทท่ี ำเป็นรปู มมุ แหลม ๒ แฉก พระพุทธรูปเปน็ ขาๆ เป็นเสมอื นฐานพระพทุ ธรปู เข้ียวตะขาบ อกี ชั้นหนงึ่ ซงึ่ ขาเหล่าน้กี ็คือท่อลำเลียงโลหะ หมวด ค. หมู่ หรอื กลมุ่ ซ่ึงแยกออกจากสว่ นใหญ่อีก หลอมละลายเข้าส่แู ม่พิมพใ์ นขั้นตอนของ ตอ่ หน่ึง เช่น คณะมหานกิ าย และคณะ ธรรมยุติกนกิ าย แยกออกจากนิกายเถรวาท การหลอ่ พระพทุ ธรูป (ดู ชนวน) คณะ เปน็ ตน้ การศกึ ษาพระธรรมวินัยควบคกู่ ับการปฏบิ ัต ิ วิปัสสนา, การปฏบิ ัติธรรม (๑) ชื่อพระพทุ ธรปู แบบหนึง่ พระหัตถ์ขวาทรง เขนย หมอน กริ ยิ ากวัก พระหตั ถ์ซา้ ยทรงกิริยารองรบั คันถธุระ สำหรับตงั้ ในพธิ ีขอฝนและแรกนาเปน็ ตน้ (๒) ชื่อแคว้นหนงึ่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ อนิ เดยี ปจั จบุ ันอยูใ่ นประเทศอัฟกานสิ ถาน เขมร เปน็ คำทชี่ าวกมั พชู าใชเ้ รยี กตนเอง คันธารราษฎร ์ ผู้อยู่ในหมู่บา้ น ใชเ้ รียกคณะสงฆ์ฝ่ายคันถธรุ ะ ท่ีปฏิบัติธรรมในหมู่บ้านหรือเมอื ง (ดู คนั ถธุระ, อรญั วาส)ี ฉลองพระองค์ของพระพุทธรปู ทรงเครือ่ ง แข้งสิงห์, ฐาน บ้างเรยี ก ฐานสงิ ห์ (ดู สงิ ห์) (ดภู าพอธิบาย ๓. เครอ่ื งทรงฯ) คามวาส ี ไรจุก ไรผม เคร่อื งทรง ฐานแข้งสิงห ์ เขียง, ฐาน ฐานรองรบั ที่มีรูปแบบเรียบ หมวด จ. ไม่มีลวดลายประดับ จไุ ร ฐานเขียง ๕๕๐ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย

หมวด ฉ. ผิว ชวิ หา ลน้ิ รองเท้า ชนิ พทุ ธะ, พระ พระพุทธเจา้ ๕ พระองค์ในลัทธิวชั รยาน ฉว ี เป็นสัญลกั ษณแ์ ห่งขนั ธท์ ง้ั หา้ อนั ประกอบข้นึ กรองศอ เป็นบุคคล โดยแตล่ ะพระองคจ์ ะประจำทศิ ฉลองพระบาท เครือ่ งสงู ชนิดหนึง่ มีรูปคล้ายรม่ ทซ่ี ้อนกันขน้ึ ไป ได้แก่ ทศิ เบ้อื งบน และทศิ ท้งั ส่ี และมมี ทุ รา ฉลองพระศอ เป็นชั้นๆ ชัน้ บนมขี นาดเล็กกวา่ ชนั้ ลา่ ง ลดหล่นั กนั ไปโดยลำดับ สำหรบั แขวน ปกั ตง้ั หรอื ประจำองค์ อันได้แก ่ ฉตั ร เชิญเขา้ กระบวนแหเ่ ป็นเกยี รติยศ พระไวโรจนะ (ผ้สู วา่ งไสว) แทนรปู ทรงแสดงปางหมนุ ธรรมจักร ขา หรอื หนา้ แขง้ บริเวณตัง้ แตห่ วั เขา่ ด้านหน้า ลงไปจรดขอ้ เทา้ ประทับในทิศเบ้อื งบน พระอักโษภยะ (ผ้ไู มห่ วั่นไหว) วาระของการเกิด วันเกดิ แทนวญิ ญาณ ทรงแสดงปางสัมผสั ธรณี หมวด ช. อายุ ประทับในทศิ ตะวนั ออก พระรัตนสมภพ (ผู้เกดิ จากรตั นะ) ทอ่ สำหรับเทโลหะลงในแม่พิมพเ์ วลาหล่อ มกั จะ แทนเวทนา ทรงแสดงปางประทานพร ชงฆ์ ตดั ทง้ิ เมอ่ื หลอ่ เสร็จแลว้ แตใ่ นกรณีของ พระพทุ ธรูปล้านนานิยมทิ้งไว้สำหรบั รองรับ ประทบั ในทศิ ใต้ ฐานพระ (ดู ขาชนวน) พระอมติ าภะ (ผมู้ ีแสงสวา่ งเปน็ นริ นั ดร) ชนมวาร แทนสญั ญา ทรงแสดงปางสมาธิ ประทับ ช่องบนผนังโบสถห์ รือวิหาร ทเ่ี จาะเป็นช่วง ๆ ชนมพรรษา ในแนวตง้ั สำหรับใหอ้ ากาศถ่ายเท ในทิศตะวนั ตก พระอโมฆสิทธิ (ผบู้ รรลุสง่ิ ท่ีไมใ่ ช่ความ ชนวน เขา่ วา่ งเปลา่ ) แทนสังขาร ทรงแสดงปาง ผ้าห้อยทบั หนา้ ขาท้ัง ๒ ขา้ ง (ดูภาพอธิบาย ๓. เครือ่ งทรงฯ) ในเคร่อื งทรงพระพุทธรูปจะ ประทานอภยั ประทับในทิศเหนือ ประดษิ ฐ์ชายแครงเป็นลายช่อกนก ชอ่ งลม ผ้าหอ้ ยหน้าอย่ใู นระหวา่ งชายแครง (ดูภาพอธบิ าย ๓. เคร่อื งทรงฯ) หมวด ซ. ชาน ุ ซุม้ คูหาทา้ ยวหิ ารหรือท้ายโบสถ์ ชายแครง ซุ้มจระนํา มักเป็นทป่ี ระดษิ ฐานพระพุทธรปู หรอื ซุม้ บันแถลง ไดแ้ ก่หน้าต่าง จำลองเหนอื ชั้นเชิงบาตร ชายไหว ซุ้มบัญชร ใชซ้ อ้ นลดหลน่ั กัน เปน็ สัญลักษณข์ อง อาคารทมี่ หี ลายช้ัน ซมุ้ บัญชร ภาคผนวก ๕๕๑

หมวด ด. หมวด ต. ตถาคต, พระ ดอกจนั , ลาย “ผู้ซ่งึ ไดม้ าหรือไปแลว้ อย่างน้นั (เชน่ เดียวกบั องคอ์ ื่นๆ)” เปน็ คำเรียกพระพุทธเจา้ ในฐานะ หลกั ธรรมหรือธรรมกาย อันเปน็ หนีง่ ในตรกี าย ของพระพุทธองค์ ตามปรัชญาของลัทธมิ หายาน ซ่ึงเชอื่ ว่าพระพทุ ธเจา้ มตี รีกาย อันประกอบดว้ ย (๑) ธรรมกาย คือ กายทเี่ ป็นหลกั ธรรมไม ่ สามารถมองเห็นได้ (๒) สมโภคกาย หรอื สมั โภคกาย ที่ปรากฏแกห่ มเู่ ทพและ พระโพธิสตั วแ์ ละ (๓) นริ มาณกาย ลายดอกจัน ทแี่ สดงออกโดยพระสมั มาสัมพุทธเจา้ นอกจากน้นั แลว้ พระองค์เปน็ เพยี งหนงึ่ ใน บรรดาพระพทุ ธเจา้ ท้ังหลาย ซงึ่ ปรากฏในโลก และทรงประกาศสจั ธรรมอยา่ งเดียวกนั ตลอดมา ดอกพุดตาน, ลาย โดยในความเข้าใจของคนไทยทว่ั ไปซงึ่ นับถือ พทุ ธศาสนานิกายเถรวาท พระตถาคต หมายถงึ พระสมณโคดม ผู้สถาปนาพุทธศาสนา ตรภิ ังค ์ หกั สามสว่ น คือการยนื แอ่นสะโพก ไหล่ และศีรษะไปคนละทาง ตนั ตระยาน, ลัทธ ิ “วิถีของคมั ภรี ์ตันตระ” ซึ่งจำแนกออกเปน็ ๔ หมวดไดแ้ ก่ กรยิ าตนั ตระ จรรยาตันตระ โยคะตนั ตระ อนุตระโยคะตันตระ เกดิ ข้ึน ภายในลัทธมิ หายาน ประมาณกลาง พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ (ต้นครสิ ต์ศตวรรษท่ี 7) ลายดอกพดุ ตาน โดยมุง่ ไปทกี่ ารบรรลโุ พธญิ าณของฆราวาส ผา่ นการอภเิ ษก ซึง่ หมายถึงการรับเขา้ มาเป็น สมาชิก โดยผทู้ เี่ ปน็ ครูประพรมนำ้ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ใิ ห ้ ดอกพิกลุ , ลาย กบั ศิษย์ อันเป็นพธิ เี ดียวกนั กบั ท่ีพราหมณ์ถวาย นำ้ ศกั ด์สิ ิทธใ์ิ ห้กับผู้ท่จี ะราชาภิเษกข้นึ เปน็ พระจักรพรรดิ โดยสมมติว่าเปน็ นำ้ แห่งวิชชา ซ่ึงจะทำให้ศษิ ยเ์ ปน็ จักรพรรดิทางวิญญาณ หรือเปน็ พทุ ธข้นึ มาได้ เม่ือไดร้ บั การอภเิ ษกแล้ว ครถู งึ จะสอนศษิ ย์ใหแ้ กไ้ ตรรหสั อันไดแ้ ก่ กาย วาจา และจติ ดว้ ยการทำเครอื่ งหมายต่างๆ ดว้ ยมือ ได้แก่ มทุ รา ท่องมนตร์ และคาถา (ธารนี) และทำสมาธโิ ดยมีมณฑล และยันต์ เปน็ เคร่อื งมือในการบำเพ็ญสมาธิ เพื่อให้ตนเอง ลายดอกพิกุล ดชั นี, ดรรชนี นว้ิ ช้ ี ดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่ ๒ จากสวรรค์ ๖ ชัน้ อนั ประกอบด้วย จาตุมหาราช ดาวดงึ ส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนมิ มติ วสวตั ดี (ดู ดุสติ ) ดาวดึงส์เปน็ สวรรค์แหง่ เทวดา ๓๓ พระองค์ อยูเ่ หนือยอดเขาพระสุเมรุ ซึ่งเปน็ ศนู ยก์ ลางของจักรวาล มีพระอินทร์เปน็ หัวหน้า ดุน ดันให้เปน็ รอยนนู บนแผน่ โลหะ ดุสติ สวรรค์ชนั้ ที่ ๔ จากสวรรค์ ๖ ชน้ั (ดู ดาวดงึ ส)์ สวรรค์อนั เป็นที่ประทบั ของพระโพธสิ ัตวเ์ มตไตรย ก่อนจะเสดจ็ มาจุตเิ ป็นพระพุทธเจา้ ๕๕๒ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลักษณ์พุทธศลิ ป์ไทย

เปน็ หนงึ่ เดยี วกบั พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ไตรปิฎก คมั ภีร์หลักของพทุ ธศาสนา เชือ่ ว่าพระธรรมคํา รวมทั้งใชว้ ธิ ีทางไสยศาสตรใ์ ห้ฆราวาสประสบ ความสำเร็จในสิง่ ท่ปี รารถนาดา้ นทางโลก สงั่ สอนของพระพุทธเจ้ามี ๓ ปิฎก หรือ (ดู วัชรยาน) ๓ หมวด คือ ตาลปตั ร พัดใบตาล มดี า้ มยาว สำหรบั พระใชใ้ น พิธีกรรม เช่นในเวลาใหศ้ ีล ต่อมาอนโุ ลม พระวินัย เรยี ก วนิ ยั ปฎิ ก เรยี กพดั ทที่ ำด้วยผ้าหรอื ไหมซึง่ มลี กั ษณะ คล้ายคลงึ เชน่ น้ันว่า ตาลปัตร พระสตู ร เรียก สุตตนั ตปิฎก ตาบขา้ ง เคร่อื งประดับรูปทรงขา้ มหลามตัด พระอภธิ รรม เรยี ก อภิธรรมปฎิ ก, ตรปี ฎิ ก ประดบั สายสงั วาลด้านข้าง (ดูภาพอธบิ าย ๓. เคร่อื งทรงฯ) หมวด ถ. ตาบทิศ ไตรจวี ร ถัน เตา้ นม เถรวาท, นิกาย นิกายท่ี ๑๕ จาก ๑๘ นกิ ายในลทั ธิศราวกยาน (ดู ศราวกยาน) เดมิ เรียกหีนยาน แตน่ ักวชิ าการปัจจุบันแยกแยะนกิ ายเถรวาท ออกจากนกิ ายท่พี ระพุทธเจ้าสถาปนาขนึ้ โดยเรียกนิกายดงั้ เดิมเป็นภาษาสนั สกฤตว่า “สถวรี วาท” สว่ นนกิ ายที่เกดิ ขน้ึ ใหม่เมื่อกลาง พทุ ธศตวรรษท่ี ๔ (ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี ๒ ตาบขา้ ง กอ่ นครสิ ต์กาล) แต่สืบทอดเจตนารมณข์ อง ดู ตาบขา้ ง นกิ ายดง้ั เดิมนั้นเรียกเป็นภาษาบาลวี ่า “เถรวาท” ผ้าสามผืนของพระภกิ ษุ คือ ความสับสนเกิดข้นึ จากการท่ที ัง้ ๒ คำ อนั ตรวาสก หรือ สบง คอื ผา้ นุ่งของสงฆ์ อตุ ราสงค์ หรอื จวี ร มคี วามหมายเดียวกนั คือ พระเถระผ้ใู หญ่ สงั ฆาฏิ หมายถงึ ผ้าคลุมกนั หนาวทพ่ี ระภกิ ษ ุ แต่นกิ ายเถรวาทเป็นท่แี พร่หลาย ในประเทศ ใชท้ าบบนจวี ร มักจะพบั ทบแล้วพาดบนไหล่ซ้าย ศรลี ังกา และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมอ่ื ครองอุตราสงค์ห่มดอง คอื เปิดไหล่ขวา ทกุ วันน้ี เปน็ นิกายท่เี กดิ จากจากการนำคติธรรม ของลัทธิมหายานผนวกเขา้ กบั นกิ ายสถวีรวาท (นกิ ายที่ ๑) ดั้งเดิม จนเกดิ เปน็ นิกายใหมข่ น้ึ ท ี่ (๑) อนั ตรวาสก หรอื สบง (๒) อุตราสงค์ หรอื จวี ร (๓) สังฆาฏิทาบบนจีวร สังฆาฏิพบั พาดบนไหล่ซ้าย ภาคผนวก ๕๕๓

มหาวหิ าร กรงุ อนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา หมวด ธ. ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ (กลางครสิ ตศตวรรษ ท่ี 6 – กลาง 7) ธรรมจักร สญั ลักษณข์ องพระธรรม รูปกงล้อของเกวยี น ตามความเข้าใจของคนไทยท่ัวไปน้ันยดึ มกั จะตง้ั บนเสามหี ัวเสารูปสเ่ี หลีย่ มจัตุรสั รองรับ ตามประวตั ิพทุ ธศาสนาทีเ่ ปน็ องค์ความรูเ้ กา่ ธรรมจักรเปน็ ท่นี ิยมในนิกายเถรวาท เช่นที่ม ี จารึกภาษาบาลที ีก่ งลอ้ แต่ธรรมจกั รขนาดเล็กม ี ซงึ่ ถอื ว่านิกายเถรวาทเปน็ นิกายที่พระพุทธเจา้ กวางหมอบอยเู่ คียงข้างเป็นทีน่ ิยมในลัทธมิ หายาน ทรงสถาปนาข้ึน (สถวรี วาท หรือนกิ ายที่ ๑) เชน่ ท่ีถำ้ อชัญฏา ประเทศอนิ เดยี และลทั ธิ และเปน็ นกิ ายท่ธี ำรงคติธรรมด้ังเดิม วัชรยาน ท่ีกรงุ ลาซา ประเทศทิเบต และสบื ทอด ขนบธรรมเนียมการใชภ้ าษาบาลี ไว้อยา่ งเครง่ ครัด ธรรมยุตกิ นกิ าย, คณะ คณะสงฆ์ท่ีพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ทรงสถาปนาขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. 1830) เมือ่ ครั้งทรงผนวช เน้นทก่ี ารปฏิบัตติ รงตาม พระวินยั โดยมแี บบธรรมเนียมและคำสอนท ี่ หมวด ท. แตกตา่ งจากคณะมหานกิ าย ซ่ึงเป็นพระสงฆ์ สว่ นใหญใ่ นสังคมไทย (ดู มหานกิ าย) เขีย้ ว ทาฐะ, ทาฒะ ฟนั ลายประดษิ ฐ์ทีใ่ ช้นกคาบกนก บ้างเรียก หมวด น. กนกนกคาบ ทนต์ นกคาบ, ลาย ทรงเครอื่ ง, ทรงเครอื่ งตน้ ฉลองพระองค์ทรงเคร่อื งตน้ ของพระเจ้า แผ่นดินในพระราชพธิ ี เช่นพระราชพิธ ี บรมราชาภเิ ษก (ดภู าพอธบิ าย ๓. เครื่องทรงฯ) กำไลแขน ทองพระกร กำไลขอ้ เทา้ ทองพระบาท เครอ่ื งประดบั หน้าอกรปู ขา้ วหลามตัด ทบั ทรวง ประดับตรงจุดไขวข้ องสายสงั วาล ลายนกคาบ (ดูภาพอธบิ าย ๓. เคร่อื งทรงฯ) นขา เล็บ นพศูล เทรดิ เคร่อื งประดับศีรษะคลา้ ยมงกุฎทรงเต้ยี มีกรอบหนา้ นครวาส ี ดู คามวาสี นพศูล, นภศูล เครื่องประดบั ยอดปรางค์ เปน็ รปู หอก ท่ีมกี ิง่ แตกออก ทบั ทรวง เทริด เปน็ ๔ ทิศ ๕๕๔ พระพุทธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย

นร, นระ คน, มนุษย ์ หมวด บ. หน้าผาก ลายชนิดหนึง่ มักประดับส่วนริมขอบ เชน่ นลาฏ ขอบโตะ๊ กรอบรปู ชายสบง เปน็ ต้น บ้ันพระองค์ บั้นเอว, ช่วงเอวท่คี อดลงไป ลายนอ่ งสิงห ์ ฐานทป่ี ระดับด้วยกลบี บวั ควำ่ ลง นอ่ งสิงห,์ ลาย บัวกลบี ยาวทรงตงั้ โลหะผสมแบบหนึ่ง โดยเอาทองคาํ เงนิ ฐานท่ปี ระดบั ด้วยกลบี บัวหงายขึ้น กบั ทองแดงผสมเข้าด้วยกนั บัวคว่ำ, ฐาน บวั สาย ลายบวั กลีบยาว นากทมี่ ีสเี ขม้ ออกแดง (ดู นาก) งูใหญ่มหี งอน บวั แวง สะดอื จมูก บวั แวง บวั จงกล คณะนักบวชในศาสนาลทั ธเิ ดียวกนั ที่แยกออกไป เทา้ เปน็ พวกๆ เช่น ฝ่ายลัทธิมหายานไดจ้ ำแนก ช่ือของแบบศิลปะเขมรในรชั สมัยของ ลัทธิศราวกยาน (หนี ยาน) ออกเปน็ ๑๘ นิกาย พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๕๗ / ซ่ึงในปัจจบุ ันประเทศไทยนับถอื นิกายเถรวาท บวั หงาย, บวั 1181 - 1214) เปน็ นิกายหลัก โดยแบง่ การปกครองคณะสงฆ ์ ตใี หเ้ ข้ารูป, เอาของบางๆ หมุ้ ขา้ งนอก, ออกเปน็ ๒ คณะ ไดแ้ ก่ คณะมหานกิ าย เอาของรองข้างใน และคณะธรรมยตุ ิกนกิ าย ตา บัวจงกล, ลาย ภาคผนวก ๕๕๕ นาก นากชมพนู ชุ นาค นาภี นาสิก ฐานบวั คว่ำ นกิ าย เนตร ฐานบัวหงาย บาท บายน บุ

บุคลาธษิ ฐาน การนำส่ิงทเี่ ป็นนามธรรมมาอธิบาย หมวด ป. โดยใชบ้ คุ คลเป็นสัญลักษณ์ทสี่ ่ือแทนสิง่ ที่เปน็ รูปธรรม เช่น เมอ่ื เปรยี บเทียบกิเลสเป็น พญามาร เปน็ ตน้ ในกรณลี ทั ธมิ หายานและ ตันตระยานจะใช้เทพเจา้ และพระโพธสิ ัตวต์ า่ งๆ ปฐมพุทธะ, พระ ดู อาทิพุทธะ เปน็ บคุ ลาธิษฐานเพ่ือเป็นเคร่อื งมือในการ ภาวนา และบำเพ็ญสมาธ ิ ปรศั ว์ สขี า้ ง ประคำ, ลาย ลายไขป่ ลา ลายประคำหรือลายไขป่ ลา ประจำยาม, ลาย ลายดอกสก่ี ลีบในรปู สี่เหลีย่ มจัตรุ ัส บุษบก บุษบก มณฑปขนาดย่อม โปรง่ ทงั้ ส่ีด้านใชเ้ ป็นท่ีประทบั สำหรับพระมหากษัตริยใ์ นพระราชพิธี หรอื เปน็ อาคารขนาดย่อมท่ปี ระดษิ ฐานปูชนยี วตั ถุ เชน่ พระพทุ ธรูป หรือสถปู ใบระกา เครื่องประดบั หลงั คา บรเิ วณหนา้ จว่ั เปน็ ปูนปน้ั หรือไมส้ ลักรปู ครบี ตดิ บนตัว นาคลำยอง ระหวา่ งช่อฟ้าถึงหางหงส์ ลายประจำยาม ประตมิ านิรมาณวิทยา การศึกษาลักษณะรูปภาพ (Iconography) การพสิ จู น์ การอธบิ าย การแยกประเภท และ การตคี วามสัญลกั ษณต์ า่ งๆ ทป่ี รากฏในภาพ บ้างเรยี กว่า ประติมานวทิ ยา ประทับ นง่ั ประภามณฑล, ประภาวล ี แสงทส่ี ว่างเรืองรองอยูร่ อบองค ์ ใบระกา พระพุทธเจา้ หรอื เทพ โบสถ ์ ดู อโุ บสถ ๕๕๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย

ปราสาท ที่อย่ขู องกษตั ริย์หรอื เทพ ปทั มาสน ์ ฐานบวั ท่รี องรับพระพุทธรูป เดิมในสถาปตั ยกรรมอนิ เดีย หมายถงึ อาคารทต่ี ั้งบนฐานสูง ปน้ั เหนง่ หัวเข็มขดั ตอ่ มาหมายรวมถึงอาคารหลายชั้น ในสถาปัตยกรรมไทยได้แกอ่ าคาร ปาละ – เสนะ ชอื่ แบบศิลปะอนิ เดยี ท่สี รา้ งขน้ึ ชว่ งท ่ี ท่มี ียอดสูงประกอบด้วยซุม้ บัญชร ราชวงศ์ปาละ และเสนะปกครองแคว้น หรอื บนั แถลง ซ้อนลดหล่ันกนั พิหาร เบงกอล และบริเวณประเทศ บงั กลาเทศในปัจจบุ ัน ช่วงประมาณ พ.ศ. ๑๒๙๓ – ๑๗๗๓ (ค.ศ. 750 - 1230) เป็นผา้ สมมตุ บิ นฐานพระพทุ ธรูป แทนชายผ้ารองนงั่ ของพระสงฆ์ หมวด ผ. และทิ้งชายผ้าลงหน้าอาสนะ มกั ประดับลวดลาย ผ้าทพิ ย์ ปราสาท ปฤษฎางค ์ หลงั ปลียอด ยอดเหนอื ชั้นบัวกลุ่มของสถูปและปราสาท ซง่ึ มีลกั ษณะคล้ายปลีกลว้ ย ผ้าทิพย์ ปัทม์, ฐาน ฐานท่ปี ระกอบด้วยหน้ากระดาน พวก, ขา้ ง ในท่ีนี้เป็นกลมุ่ สงฆ์ทแี่ ยกออก จากคณะ เช่น ลัทธศิ ราวกยาน นกิ ายเถรวาท บัวคว่ำ และบัวหงาย คณะมหาวหิ าร จะแยกออกเปน็ ๒ ฝา่ ย อันได้แก่ ฝ่ายอรัญวาสี และฝ่ายคามวาส ี ภาคผนวก ๕๕๗ ฐานปทั ม ์ หมวด ฝ. ฝ่าย

หมวด พ. สร้างเลียนแบบสบื ต่อมา ตามประเพณนี ิยม ของไทยจะจำลองจาก “พระพุทธรูป” ต้นแบบ ทมี่ ีความศักดสิ์ ิทธ์ิและมคี วามสำคัญในแต ่ บรบิ ทของทอ้ งถ่นิ และลัทธิความเช่อื พญาชมพบู ดี กษัตรยิ ์องคห์ นง่ึ ในยุคพทุ ธกาลทท่ี ะนงตน โดยจะจำลองหรือสรา้ งพระพทุ ธปฏมิ าใหม้ ี พทุ ธลกั ษณะใกลเ้ คยี งกับ “พระพทุ ธรูป” จึงได้ไปแสดงฤทธ์เิ พอื่ ประทษุ รา้ ยตอ่ ที่เปน็ องคต์ ้นแบบมากท่สี ดุ (ดู พระพทุ ธรปู ) พระเจา้ พิมพสิ าร แต่ด้วยอานุภาพของ พระปริต พระสตู รทร่ี วบรวมข้นึ จาก มุททกปาฐะ ขุททกนกิ าย สตุ ตันตปิฎก ใช้สวดเพอ่ื ปกป้อง พระพุทธเจ้าได้ปกป้องพระเจา้ พมิ พิสารไว้ได้ จากโรคันตรายและภัยพบิ ัติท้งั ปวง นิยมสวด พระปริตพรอ้ มกับทำน้ำพระพทุ ธมนต์ พระพุทธองคจ์ ึงออกอุบายแสดงองค์เปน็ เพือ่ พรมศรี ษะใหเ้ กิดสวสั ดมิ งคลและปกปอ้ ง จากภยั พิบัต ิ พระเจ้าราชาธริ าชโดยฉลองพระองค์เปน็ พลอยนพเกา้ พลอย ๙ อย่าง บา้ งเรยี ก นพรตั น์ หรือ พระจักรพรรดิราช และได้แสดงธรรมต่อ พลอยนพรตั น์ ประกอบด้วย เพชร ทบั ทมิ มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มกุ ดา เพทาย พญาชมพบู ดี จนพญาชมพูบดดี วงตาเหน็ ธรรม และไพฑูรย์ จึงออกผนวช และบรรลเุ ป็นพระอรหันตใ์ นท่ีสดุ พงั พาน คองูเมอ่ื แผอ่ อก หรือแมเ่ บ้ยี ตำนานเกย่ี วกับพญาชมพูบดีเป็นฐานคติสำคญั พุทธลกั ษณะ ลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปหรอื พระพทุ ธเจา้ ในการสร้างพระพทุ ธรูปทรงเครอ่ื ง พุ่มขา้ วบณิ ฑ,์ ลาย ช่อื ลายมาจากรูปทรงของขา้ วตอกปัน้ เป็นรูปคล้ายดอกบัวตูม ฉลองพระองค ์ พกั ตร์ พนัสบด ี ตามทฤษฎีของธนติ อยโู่ พธิ์ ได้แก่ สัตวท์ ี่เกดิ ขึ้น พาหรุ ัด โดยการผสมผสานกันของสัตว์พาหนะของ พาหา เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ไดแ้ ก่ โคนนทิ (พระศิวะ), พญาครฑุ (พระนารายณ)์ , และหงส์ (พระพรหม) มีลกั ษณะวา่ ปากเป็นครุฑ มเี ขาเหมอื นโค มปี กี เป็นหงส์ พระกริ่ง พระเคร่ืองทำด้วยโลหะ ข้างในทำกลวงแลว้ บรรจกุ อ้ นโลหะไวภ้ ายใน เมือ่ เขย่าจะมีเสยี งดังกรกุ กริก พระพทุ ธรปู รูปแทนองคพ์ ระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ หรือ ปฏมิ ากรรม รปู เคารพพระพุทธเจา้ ซึง่ เช่ือกนั ว่าเปน็ องค์แรกหรอื องคต์ ้นแบบ และยึดถือ วา่ พระพุทธรูปน้ีมพี ทุ ธลักษณะเหมือนกบั พระพทุ ธเจ้าขณะทดี่ ำรงพระชนมช์ พี โดยมาก แล้วพระพุทธรูปจะมีความสำคัญและความ ศักด์ิสิทธติ์ ามบริบทของท้องถิน่ และลัทธ ิ ความเช่อื โดยศาสนิกท่ศี รัทธาจะนยิ ม ลายพุ่มขา้ วบณิ ฑ์ จำลองพระพทุ ธรปู องคต์ ้นแบบโดยสร้างเป็น “พระพุทธปฏิมา” หรอื องค์จำลองเพอื่ บญุ กศุ ล ใบหนา้ และสบื ทอดพระศาสนา (ดู พระพทุ ธปฏมิ า) เคร่อื งประดับสวมรดั ต้นแขน หรอื กำไลต้นแขน พระพทุ ธปฏิมา รปู จำลองของพระพทุ ธรปู อนั เปน็ ปฏมิ ากรรม รูปเคารพพระพุทธเจ้าซึง่ เปน็ องคท์ ี่จำลองหรือ แขนท่อนบนต้ังแตห่ วั ไหลถ่ ึงขอ้ ศอก ๕๕๘ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศิลปไ์ ทย

โพธสิ ตั ว,์ พระ ในนิกายเถรวาท หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ ในชาติ มงกฎุ เคร่อื งสวมพระเศยี รพระมหากษัตรยิ ์ มยี อดสงู ก่อนๆ และเจา้ ชายสทิ ธัตถะกอ่ นทจ่ี ะตรัสร ู้ แต่ในลทั ธมิ หายาน หมายถึงผูท้ ่กี ำลังบำเพญ็ มงกุฎ บารมี ๑๐ ประการ เพื่อบรรลศุ ูนยตาหรอื มณฑล สุญตา ซึง่ ไม่ประสงคจ์ ะหลุดพน้ ด้วยเพราะ วง, เขต, บริเวณ ความกรณุ าท่ีตอ้ ง การช่วยเหลอื สรรพสตั ว ์ มหากจั จายนะ, พระ เดิมเป็นฉายาหรอื ชื่อทใี่ ชใ้ นการบวชของ ให้หลุดพ้นจากสงั สารวฏั พระภิกษุสงฆ์ชาวอนิ เดยี ใต้รูปหนึ่ง มชี วี ติ อย่ใู น ช่วงกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ – กลาง ๑๑ เพลา ขา, ตกั , ชว่ งขาตัง้ แต่เขา่ ถงึ โคนขา (ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 5) เปน็ ผู้แต่งไวยากรณ ์ ภาษาบาลเี ล่มแรก ต่อมากลายเปน็ ฉายา พระสาวกทีม่ ชี อื่ เสยี งทางเผยแพร่พุทธศาสนา หมวด ฟ. และมีรูปงาม เลา่ กันว่ามีสตรผี หู้ นงึ่ หลงรักท่าน ท่านจงึ อธิษฐานขอใหอ้ ว้ นเตี้ย และมีพระอทุ ร เครื่องประดบั ประเภทหอ้ ยโยง ประดับอยู ่ หรือพงุ พลยุ้ (ดู สงั กัจจายน)์ เฟ่ืองข้าง บริเวณชายโครงขา้ งลำตวั ห้อยจากทับทรวงถึง เปน็ คัมภีร์ในทางโหราศาสตรท์ วี่ ่าด้วย ตาบหลัง (ดภู าพอธบิ าย ๓. เครื่องทรงฯ) มหาทกั ษา การเสวยอายุของพระเคราะห์ท้ัง ๘ หรืออฐั เคราะห์ตามผงั ทกั ษา โดยตีความจำนวน กำลงั พระเคราะห์เป็นจำนวนปีทพี่ ระเคราะหน์ น้ั ๆ จะเขา้ มาครองหรอื เสวยอายุ อันเปน็ ช่วงเวลาท่ ี หมวด ภ. พระเคราะห์นนั้ จะมีอิทธพิ ลตอ่ ชวี ติ นน่ั เอง พุทธศาสนิกชนไทยได้นำมาปรับใช้เขา้ กับ คติการบูชาพระพุทธปฏิมาประจำวัน ไภษัชยครุ ไุ วฑูรยประภา, พระ พระพทุ ธเจ้าองค์หนง่ึ ของลัทธมิ หายาน คณะใหญ่ ไดแ้ กพ่ ระสงฆใ์ นคณะสยามนิกาย มีหนา้ ที่รกั ษาโรคภัยไข้เจบ็ มปี ระภามณฑลหรือ ทีส่ บื ทอดลงมาจากครง้ั สมัยอยธุ ยา แสงรอบพระวรกายสนี ำ้ เงิน หรือสแี กว้ ไพฑรู ย์ มหานกิ าย, คณะ ภาคผนวก ๕๕๙ หมวด ม. มกุฎ กรวยสวมพระเมาลี (จุกหรอื มวยผม) และใชค้ รอบพระเมาลี (อษุ ณษี ะ) ในพระพทุ ธรปู แบบบายนของ กัมพชู า (ดู บายน) มกุฎ

เป็นคณะใหญท่ ีม่ ีพระภิกษใุ ตส้ งั กัดมากท่สี ุด ๑ มุทรา กิรยิ าอาการของพระหตั ถ์, ปาง ใน ๒ คณะ ปจั จุบนั ซึง่ อีกคณะหนึง่ ได้แก่ คณะธรรมยุตกิ นกิ าย (ดู ธรรมยุตกิ นกิ าย) มลู สรรวาสติวาส, นกิ าย นิกายนีแ้ ยกออกจากนกิ ายสรรวาสตวิ าส ลัทธิศราวกยาน เมือ่ ประมาณกลางพทุ ธ มหายาน, ลทั ธิ ลทั ธทิ ย่ี ดึ คติความเชอื่ ในพระสูตรมหายาน เช่น ศตวรรษท่ี ๑๒ (ตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 7) ปรัชญาปารมติ าสูตร และ สัทธรรมปณุ ฑริกสูตร พระวินยั ของนิกายนีไ้ ด้สืบทอดไปเปน็ พระวนิ ยั เน้นทค่ี วามกรณุ าและปรัชญา อันเป็นการปฏบิ ัติ ของคณะสงฆ์ในทิเบต ตามบารมี ๑๐ ประการของพระโพธสิ ตั ว์ หรือการถวายภักติตอ่ พระองค์ ลัทธิมหายาน เมตไตรย, พระ เมตเฺ ตยฺย (บาลี) หรอื ไมเตรย (สันสกฤต) เชือ่ วา่ พระพุทธเจา้ ประกอบดว้ ยตรีกาย ได้แก่ พระอนาคตพุทธะ ปัจจุบนั เปน็ พระโพธิสัตว์ อันได้แก่ ธรรมกาย สมโภคกาย และนริ มาณกาย ประทบั ทำสมาธบิ นสวรรค์ช้ันดุสิต คอยท่จี ะ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้านั้นเป็นเพียงนิรมาณกาย เสดจ็ ลงมาจุติ และเปน็ พระพุทธเจา้ องค์ต่อไป ลัทธมิ หายานนั้นแบง่ ออกเปน็ ๒ นกิ ายหลัก คอื (ดู ศรีอริยเมตไตรย, ศรอี ารยิ ์) มาธยมิกะ ของท่านนาคารชนุ และ โยคาจารย์ ของท่านวสพุ นั ธุและทา่ นอสงั คะ เมาลี ผมจกุ มวยผมบนกระหมอ่ ม ไทยใช้เรียกแทน อุษณษี ะ (ดู อษุ ณษี ะ) มหาบรุ ุษลักษณะ มหาปุริสลักษณะ (บาลี) หมายถงึ ลักษณะของ มหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยญั ชนะ แม่ธรณ,ี พระ สตรซี ึ่งเป็นบคุ คลาธษิ ฐานหรอื สัญลักษณ์ของ (อวัยวะส่วนปลีกยอ่ ย) อกี ๘๐ ประการ แผ่นดิน พระพทุ ธเจ้าทรงเรียกให้เปน็ พยานวา่ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์ของลทั ธมิ หายาน พระองค์ได้ทรงสัง่ สมพระบารมีเพยี งพอทีจ่ ะ ตรัสรไู้ ด้ในชาตภิ พนี้ แม่พระธรณีจึงบีบมวยผม มหาสังฆิกะ, นิกาย นกิ ายในลัทธิศราวกยาน ซึง่ แยกตวั ออกจาก หลั่งนำ้ ทีพ่ ระพุทธองคท์ รงเคยหลง่ั เมอ่ื บำเพ็ญ นิกายสถวีรวาท โดยเชือ่ วา่ พระพทุ ธเจ้ามใิ ช่เป็น พระบารมใี นชาติกอ่ นๆ น้ำดังกล่าวได้ทว่ มทับ เพยี งผ้สู ถาปนาพุทธศาสนา แตเ่ ปน็ พทุ ธภาวะที ่ พญามารและเหลา่ ไพร่พลอนั เป็นบุคลาธษิ ฐาน ดำรงอยตู่ ลอดไป นกิ ายมหาสงั ฆิกะเป็นตน้ ของกเิ ลสใหห้ มดสิน้ (ดู บคุ ลาธษิ ฐาน) ความคดิ ของลัทธมิ หายาน มงั สา เนอ้ื มุขเดจ็ มัชฌมิ า นวิ้ กลาง มญั ชศุ ร,ี พระ พระมหาโพธิสตั ว์ของลัทธิมหายาน ทรงเปน็ บุคลาธิษฐานของปรัชญา (ดู บคุ ลาธิษฐาน) มัสส ุ หนวด มขุ เด็จ มุขโถงทย่ี นื่ ออกมาจากดา้ นหน้าของปราสาท สำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จออกมหาสมาคม ๕๖๐ พระพุทธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย

หมวด ย. ยอดเดินหน หมวด ร. ลายรกั ร้อย ลายรักรอ้ ยกลบี บวั ยอดน้ำเตา้ เข็มขัดเชือกเพ่อื รดั สบงหรือผ้านงุ่ ของภกิ ษุสงฆ์ ยอดเดินหน, มงกฎุ การแตกมมุ ใหญใ่ หเ้ ปน็ มุมยอ่ ย มกั แตกมมุ รกั ร้อย, ลาย เป็นเลขค่ี เช่น แยกเปน็ สามในแตล่ ะมุม สายเข็มขัดมกั ทำจากโลหะมีคา่ (ดูภาพอธบิ าย และเรยี กจำนวนย่อไมท้ ั้งส่มี ุม เป็นชอื่ จำนวนมุม ๓. เครอ่ื งทรงฯ) ย่อที่เกดิ ขนึ้ ท้ังหมดรวมกนั แสงสวา่ งหรอื เปลวแสงทเ่ี ปล่งออกมาเหนือ รกั รอ้ ยกลีบบัว, ลาย พระเมาลี หรือพระอุษณีษะ เม่อื พระพทุ ธเจ้า ทรงบำเพ็ญฌาน (ดูภาพอธบิ าย ๒. องค์ ประกอบพระพทุ ธปฏิมา) มอญ, ชาวมอญ ซ้มุ รอบองค์พระพทุ ธรูป ยอดน้ำเต้า, มงกุฎ รดั ประคด รัดพระองค์ ยอ่ มมุ ไมส้ ิบสอง รศั มี รามัญ เรือนแก้ว ยอ่ มุมไมส้ บิ สอง เรือนแกว้ ภาคผนวก ๕๖๑

เรอื นธาตุ ส่วนของอาคาร เชน่ สถูป หรอื ปรางค์ ท่บี รรจ ุ ไรพระศก ไรผม ในการสร้างพระพุทธรูปบางแบบจะทำ พระบรมสารีรกิ ธาตุ เปน็ กรอบนนู เหนือพระนลาฏ เรอื นธาต ุ การลงสดี ว้ ยการใส่สารเคมีลงในบริเวณที่เปน็ ร่องระหวา่ งลวดลายในเคร่อื งเงนิ แล้วใช้ เรอื นธาตุ ความรอ้ นอบใหน้ ้ํายาติดและให้พ้นื เปน็ สตี า่ งๆ การลงยาสีฟ้า (ดู ลงยา) หมวด ล. คตคิ วามเชอ่ื หรอื ความคดิ เหน็ ในศาสนาเดียวกนั แตม่ คี วามแตกต่างกัน เช่น ลัทธิศราวกยาน ลงยา ลทั ธิมหายาน และลทั ธติ นั ตระยาน เป็นต้น ลงยาราชาวดี ลวดบวั , ลาย ลายลวดบวั ลทั ธ ิ ลูกแกว้ อกไก่, ลาย ล ายลูกแกว้ อกไก่ ๕๖๒ พระพุทธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย