Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Description: ✍️ ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย

Search

Read the Text Version

รูปที่ ๕.๒๐๒ พระพทุ ธสรุ นิ ทรมงคล สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๒๐ (ค.ศ. 1977) คอนกรตี เสรมิ เหลก็ หนา้ ตกั กว้าง ๑๕ เมตร สงู ๓๐ เมตร วัดพนมศลิ าราม อำเภอเมืองฯ จังหวดั สรุ นิ ทร์ รูปท่ี ๕.๒๐๑ พระพุทธสกลสีมามงคล แรงบันดาลใจให้มีการสร้างพระพทุ ธรปู ปางประทานพรขนาดใหญ่ขน้ึ ในภาคตา่ งๆ เช่น ในภาคเหนอื ได้แก่ สร้างปี พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) หลวงพ่อพทุ ธเกตมุ งคล วดั เทวปราสาท อำเภอตะพานหิน จงั หวดั พิจติ ร (รูปท่ี ๕.๑๙๙) ซง่ึ เป็นพระพทุ ธรปู คอนกรตี เสรมิ เหลก็ ท่ีมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ (ค.ศ. 1970) ส่วนในภาคกลาง ได้แก่ พระ หน้าตกั กว้าง ๒๗.๒๕ เมตร พทุ ธสวุ รรณมงคลมหามุณี (หลวงพ่อใหญ่) ณ วัดพกิ ลุ ทอง อำเภอทับชา้ ง จังหวัดสงิ ห์บรุ ี (รปู ท่ี ๕.๒๐๐ ก.) สงู ๔๕ เมตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ (ค.ศ. 1974) เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรขนาดใหญ่ ซึ่งพระดรรชนีของ วดั เทพพทิ ักษป์ ุณณาราม พระหัตถข์ วามกี ารดดั แปลงทำใหก้ ระดกขน้ึ อยา่ งเห็นได้ชดั (รปู ท่ี ๕.๒๐๐ ข.) พระพทุ ธรูปทงั้ สององค์น้ี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสมี า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ถวายพระนาม และที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ พระพุทธ- สกลสีมามงคล (หลวงพ่อขาว) วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา (รูปที่ ๕.๒๐๑) สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1969) ประดิษฐานเหนือพนื้ ดิน ๑๑๒ เมตร หรอื ๕๖ วา ซ่ึงหมายถึง พระพทุ ธคณุ ๕๖ ประการ สว่ นองค์พระพทุ ธรูปสูง ๔๕ เมตร หมายถงึ ทรงทำพทุ ธกจิ อยู่ ๔๕ พรรษา (ธรรมะไทย 2550, ออนไลน์) และพระพทุ ธสุรนิ ทรมงคล วัดพนมศลิ าราม อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั สรุ ินทร์ (รูปที่ ๕.๒๐๒) สร้างปี พ.ศ. ๒๕๒๐ (ค.ศ. 1977) ถึงแม้ว่าทางราชการจะเรียกพระพุทธรูปประทับ ขัดสมาธิราบ ปางประทานพรท่ีสร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบันว่า “แบบพุทธศิลป์แห่งสมัยรัตนโกสินทร์” กต็ าม แต่ชาวบ้านกย็ ังเรียกวา่ “แบบสโุ ขทยั ” อย่ดู ี พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิราบ ๓๑๓

พระพุทธสหิ ิงค์จำลอง (รูปท่ี ๖.๘ ข.) วหิ ารลายคำ วัดพระสิงห์ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั เชยี งใหม ่ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย

๖ บทท่ี พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธเิ พชร หมวด ก. ปางมารวิชยั จากจำนวนของพระพุทธปฏมิ าทีส่ รา้ งข้ึนในประเทศไทยทัง้ หมดนน้ั พระพทุ ธปฏมิ า ประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย จัดได้ว่ามีจำนวนมากท่ีสุดรองลงมาจากพระพุทธปฏิมา ประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย และในบรรดาพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชยั ทม่ี ีความสำคญั ท่ีสดุ คอื พระพุทธสิหงิ ค์ ทสี่ รา้ งขนึ้ ระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๗๓ (ค.ศ. 1430) เมื่อนิกายสหี ฬภกิ ขุได้เขา้ มาเผยแผ่ทเ่ี ชยี งใหม่ จนถงึ ชว่ งเสียกรุงศรีอยุธยา คร้ังที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1767) ถือได้วา่ เปน็ พระพุทธสิหิงคจ์ ำลองทกุ พระองค์ ๑. พระพุทธสิหิงค์ หากจะกลา่ วถงึ พระพุทธรปู ทม่ี ีชอ่ื เสียงและมีผู้เคารพศรทั ธามากท่สี ดุ ในประเทศไทย พระพทุ ธสหิ ิงค์ ก็คงจะอยู่ในลำดับต้นๆ ของกลุ่มพระพุทธรูปที่สำคัญท่ีสุดของไทย ซ่ึงตลอดระยะเวลาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจุบัน เร่อื งราวของพระพุทธสหิ ิงค์ไดป้ รากฏอยหู่ น้าประวัตศิ าสตร์ไทยเรอื่ ยมา นบั ได้วา่ เป็นพระพทุ ธรปู คบู่ ้านคเู่ มอื งของชาติไทยองคห์ นงึ่ ในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ ซ่ึงรจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ ภิกษุในคณะอรัญวาสี ฝ่ายวัด ปา่ แดง หรอื “สหี ฬภกิ ขุ” ได้กลา่ วถึงพระพทุ ธปฏมิ าที่มีพุทธลักษณะเหมือนพระพุทธเจา้ องคห์ น่ึง ได้แก่ พระสหี ฬปฏิมา หรอื พระพทุ ธสิหิงค์ ซ่ึงจากจำนวนของพระพุทธสหิ ิงคจ์ ำลองทีม่ ีอยู่ในประเทศไทย อาจ จะกลา่ วได้วา่ เป็นหมวดพระพทุ ธปฏมิ าทีม่ กี ารจำลองกันอยา่ งแพรห่ ลายมากทีส่ ดุ หมวดหน่ึง พระพุทธสิหิงค์มิได้เป็นรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าที่จำลองข้ึนเมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพ อยู่ แต่เป็นรูปท่ีถ่ายแบบมาจากหุ่นข้ีผ้ึง ซ่ึงพระยานาคราชเนรมิตข้ึน เพื่อตอบสนองข้อสงสัยของ พระเจา้ สหี ล วา่ ยงั มผี ู้ใดเคยเหน็ พระพทุ ธเจ้าเมอื่ เสดจ็ มาลงั กาถึงสามครั้งบ้าง ทันใดน้ัน ด้วยอานุภาพของพระขีณาสพ (อรหันต์) ราชาแห่งนาค ได้แปลงรูป มาเปน็ คน แล้วเนรมติ ตนเป็นรปู พระพุทธ... พระราชาตรัสสงั่ ให้หาชา่ งปฏมิ ากร รมชั้นอาจารย์มา แล้วโปรดเอาขี้ผึ้งปั้นถ่ายแบบพระพุทธมีอาการดั่งที่นาคราช เนรมิต และให้ทำแม่พิมพ์ถ่ายแบบพระพุทธน้ันด้วย แล้วให้เททองซึ่งผสมด้วย ดีบุก ทองคำ และเงิน อันหลอมละลายคว้างลงในแม่พิมพ์นั้น พระพุทธปฏิมา น้ันเมื่อขัดและชักเงาเสร็จแล้วงามเปล่งปล่ังเหมือนองค์พระพุทธยังทรงพระชนม์ อยู่ (รตั นปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๐๐) พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิเพชร ๓๑๕

ปัจจุบันได้พบพระพุทธปฏิมาท่ีมีจารึกระบุว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์จำลองแล้วส่ีองค์ องค์ที่มีอายุ เวลาเก่าแกท่ ี่สุด คือ พ.ศ. ๒๐๑๓ (ค.ศ. 1470) อยทู่ ่วี ดั พระเจา้ เม็งราย อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดเชียงใหม่ (ฮนั ส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๕๗ – ๕๙) (รปู ที่ ๖.๑) องคห์ นึง่ อยใู่ นศาลาบณั ณรศภาค วดั เบญจมบพิตรดสุ ิต- วนาราม มจี ารกึ พ.ศ. ๒๐๕๑ (ค.ศ. 1508) (Griswold 1957, Pl. XXIX) (รูปที่ ๖.๒) ซง่ึ คงจะเปน็ ๑ ใน บรรดาพระพุทธรูปท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสาะ แสวงหามาประดิษฐานในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตาม “พระราชดำหริว่าพระพุทธรูปท่ีจะตั้งในวัด น้ันจะหาพระหล่อของโบราณแบบต่างๆ มาตั้ง ทำนองหย่างเมื่อพระบาทสมเด็ดพระพุทธยอดฟ้า- จลุ าโลก ซงสา้ งวดั พระเชตพุ นฯ” (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๘๗, ๔) และเมอื่ มิไดข้ นาดท่ีจะต้ังในพระระเบยี ง พระอุโบสถจึงอัญเชิญมาประดิษฐานในศาลาบัณณรศภาค อีกองค์หนึ่งพบที่อำเภอฝาง จังหวัด เชยี งใหม่ มจี ารึกปี พ.ศ. ๒๑๑๒ (ค.ศ. 1569) (Penth 1976, 154 – 157) และองคท์ มี่ ีอายุน้อยทส่ี ุด สรา้ งขึ้นเมอ่ื พ.ศ. ๒๒๓๒ (ค.ศ. 1689) อยทู่ ี่วดั โคกขาม อำเภอเมอื งฯ จังหวดั สมทุ รสาคร (รปู ที่ ๖.๓) พระพุทธสิหิงค์ทมี่ จี ารึกระบวุ ่าเป็นพระสิหงิ คจ์ ำลองท้ังหมดนมี้ ีพทุ ธลักษณะรว่ มกัน คือ มีลักษณะพระรัศมีเป็นรูปดอกบัวตูมหรือลูกแก้ว ขมวดพระเกศาใหญ่ พระ พักตร์กลม อมย้มิ พระหนุ (คาง) เป็นปม พระองค์อวบอ้วน พระอุระนนู ชาย จีวรเหนือพระอังสาซ้ายส้ัน ปลายเป็นลายเขี้ยวตะขาบ ชอบทำปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร แลเห็นฝ่าพระบาทท้ังสองข้าง ฐานมีกลีบบัวคว่ำบัวหงายและ เกสรบัวประกอบหลอ่ ดว้ ยสมั ฤทธิ์ (สภุ ทั รดิศ ๒๕๓๘, ๒๒) รปู ที่ ๖.๑ พระพุทธสิหิงค ์ สร้างปี พ.ศ. ๒๐๑๓ (ค.ศ. 1470) สมั ฤทธิ์ สูง ๑.๓๔ เมตร วัดพระเจา้ เม็งราย อำเภอเมืองฯ จังหวดั เชียงใหม่ รูปท่ี ๖.๒ พระพุทธสิหงิ ค ์ สร้างปี พ.ศ. ๒๐๕๑? (ค.ศ. 1508?) สัมฤทธ์ิ สูง ๙๐ เซนตเิ มตร วหิ ารสมเดจ็ ฯ วัดเบญจมบพติ รดุสติ วนาราม กรุงเทพมหานคร ๓๑๖ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลกั ษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย

รูปท่ี ๖.๓ พระพุทธสหิ ิงค์ สร้างปี พ.ศ. ๒๒๓๒ (ค.ศ. 1689) สมั ฤทธิ์ หนา้ ตกั กว้าง ๖๖ เซนตเิ มตร สงู ๘๓ เซนติเมตร วัดโคกขาม อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดสมุทรสาคร พุทธลักษณะท่ีกล่าวถึงข้างต้นน้ัน เป็นลักษณะของพระพุทธรูปท่ีนิยามว่า เป็น “เชียงแสน ชั้น แรก” หรือ “ศิลปะเชียงแสนรุ่นเก่า” ตามทฤษฎีของการจำแนกยุคสมัยของศิลปะในประเทศไทย ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ดำรงราชานภุ าพ ๒๔๖๙, ๑๐๐) และยอร์ช เซเดส์ (ยอช เซเดส์ ๒๔๗๑, ๓๗ – ๓๘) ซง่ึ แยกพระพุทธรปู ออกเปน็ หมวดหมู่ตามพทุ ธลกั ษณะ และขนานนามหมวดหมตู่ ามช่อื อาณาจักรในประวัติศาสตร์ แต่ในบริบทของพุทธศิลป์แล้ว พระพุทธรูปเป็นพระปฏิมา หรือรูปจำลอง ของพระพุทธเจา้ ไม่ขึ้นกบั การเมอื งหรอื การปกครองของฆราวาส เชน่ เดียวกันกับการผกู พัทธสมี าให้เปน็ เขตอสิ ระแยกออกจากราชอาณาจักร ดงั นัน้ พระพุทธปฏมิ าทัง้ หมดท่ถี ูกนิยามวา่ เปน็ “ศลิ ปะเชียงแสน รุ่นเก่า” หรือ “เชียงแสนช้ันแรก” จึงได้แก่พระพุทธสิหิงค์จำลอง ซึ่งความจริงข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ เม่ือ พระพุทธปฏิมาในแบบ “เชียงแสนรุ่นเกา่ ” ปรากฏขึ้นทีน่ ครศรีธรรมราช ดงั ทีเ่ ซเดสต์ ั้งข้อสังเกตไว้ว่า มีข้อประหลาดซ่ึงเก่ียวกับตำนานพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนข้อหน่ึง คือ ในบรรดาพระพุทธรูปของไทยที่พบในประเทศสยาม พระพุทธรูปเมืองนคร- ศรีธรรมราชอันเปนเมืองท่ีอยู่ห่างไกลจากเมืองเชียงแสนที่สุด มีลักษณะคล้าย กับพระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นเก่ามากกว่าพระพุทธรูปที่ได้พบในเมืองอ่ืนๆ พระพุทธรูปเมืองนครศรีธรรมราชเปนพระน่ังขัดสมาธิเพ็ชร์ มีพระอุระนูน ชายจีวรสั้น เส้นพระเกศใหญ่ไม่มีไรพระศก พระรัสมีเปนดอกบัวตูมเหมือนกับ พระพทุ ธรูปเชียงแสนหมดทุกอย่าง (เรื่องเดยี วกนั , ๓๗) ความที่ว่าพระพุทธรูปในแบบเชียงแสนรุ่นเก่า พบที่เมืองนครศรีธรรมราช มีความคล้ายกันกับ พระพุทธรูป “เชียงแสนรุ่นเก่า” มากก็เพราะทั้งสองกลุ่มเป็นพระพุทธสิหิงค์จำลองเช่นกัน ดังที่พระ พทุ ธสิหงิ คจ์ ำลองของวดั โคกขาม อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมทุ รสาคร (ดูรูปท่ี ๖.๓) เป็นตวั บง่ บอก เร่ืองราวของพระพุทธสิหิงค์ที่ปรากฏในหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ แสดงให้เห็นว่า พระ พุทธปฏิมาพระองค์นี้ได้เป็นที่สักการบูชาตั้งแต่เมืองนครศรีธรรมราชในภาคใต้ ถึงเชียงแสน เชียงราย และเชียงใหม่ ในภาคเหนือ ส่วนในภาคกลางก็ได้ไปประดิษฐานที่อยุธยา ชัยนาท กำแพงเพชร และ สโุ ขทัย (รตั นปัญญาเถระ ๒๕๐๑, ๑๐๐ – ๑๐๕) จึงไมเ่ ปน็ ท่ีนา่ แปลกใจวา่ ไดพ้ บพระพุทธสิหงิ ค์จำลองท่ี ประดษิ ฐานอย่ตู ามเมอื งสำคญั เหลา่ นี ้ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิเพชร ๓๑๗

๑.๑ พระพทุ ธสิหงิ ค์จำลอง สมัยลา้ นนา (๑) ช่วงอาณาจักรลา้ นนา - ยุครงุ่ เรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) เป็นทีน่ า่ สังเกตว่า แม้พระสีหฬปฏมิ า หรอื พระพทุ ธสหิ ิงค์ ซ่ึงเปน็ พระพทุ ธปฏิมาท่สี ำคัญทส่ี ดุ ของ คณะอรัญวาสี ฝ่ายวดั ป่าแดง ท่ไี ด้ไปอปุ สมบทใหมท่ ่ลี งั กา และกลบั มาในปี พ.ศ. ๑๙๗๓ (ค.ศ. 1430) ซึง่ เป็นที่รู้จักกันในนามสีหฬภิกขุ ของล้านนา แต่พระพุทธปฏิมาองค์น้ีก็มิได้จำลองมาจากพระพุทธปฏิมา ของลงั กา เพราะพระพุทธปฏิมาลังกานยิ มทำเป็นพระปฏิมาประทบั ขดั สมาธริ าบ ปางสมาธิ ซ่งึ แตกต่าง จากพระพุทธสิหิงค์ ท่ีเป็นพระปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ซึ่งสืบทอดมาจากพระ พุทธปฏิมาของอินเดียภาคเหนือ เช่นพระพุทธปฏิมาซึ่งเป็นพระประธานของวิหารมหาโพธ์ิท่ีพุทธคยา ทีส่ รา้ งขนึ้ ในสมัยราชวงศป์ าละ – เสนะ (Huntington 1985, 396) จึงเป็นพระพทุ ธปฏมิ าที่จำลองมาจาก พระพทุ ธรูปสำคญั ซึ่งเปน็ ที่เคารพบชู าสบื ทอดกนั มาแล้วจากอดีต หากแต่ปรบั เปล่ยี นในส่วนปลีกย่อยให้ เข้ากบั คา่ นยิ มของท้องถิน่ พระพุทธสิหิงค์จำลองเป็นพระปฏิมาซึ่งพระรัตนปัญญาเถระ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ และเป็นท่ี แพร่หลายท่ีสดุ ในยุครุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนาในช่วงปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ - กลาง ๒๑ (กลาง ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 14 – ตน้ 16) ดังเหน็ ไดจ้ ากการวิเคราะห์จำนวนของพระพุทธปฏิมาทม่ี ีจารกึ ปรากฏที่ ฐานองค์พระ ซ่ึงอยู่ในหมวดพระพุทธสิหิงค์จำลอง จากการศึกษาข้อมูลท่ีได้จากจารึกพระพุทธสิหิงค์ ทั้งหมดในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ (ค.ศ. 1957) พบว่า ร้อยละ 53 สร้างขึน้ ในสมยั พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔ – ๒๐๓๐ / ค.ศ. 1441 – 1487) รอ้ ยละ 33 สร้างขนึ้ ในสมัยพระเจ้ายอดเชียงราย (พ.ศ. ๒๐๓๐ – ๒๐๓๘ / ค.ศ. 1487 – 1495) ร้อยละ 13 สร้างขนึ้ ในสมยั พญาแก้ว (พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๙ / ค.ศ. 1495 - 1526) ร้อยละ 0 ในสมยั พญาเกตุ (พ.ศ. ๒๐๖๙ – ๒๐๘๑ / ค.ศ. 1526 – 1538) (Griswold 1957, 56) พระพุทธสิหิงค์จำลองท่ีสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราช มีความหลากหลายท้ังทางด้าน พุทธลักษณะและแบบของฐาน เช่น ประทับบนเกสรของฐานบัวคว่ำบัวหงาย รองรับด้วยฐานเขียง (รูปที่ ๖.๔) ตลอดจนส่วนใหญ่จะมีพุทธลักษณะร่วมกัน คือ พระเมาลีเป็นกรวยสูง รัศมีเป็นดอกบัวตูม พระอุระแอ่นออก บ้ันพระองค์คอด ซึ่งสอดคล้องกับประการที่ ๑๙ ของมหาบุรุษลักษณะ อันได้แก่ “(๑๙) สึหปูรฺวารฺธกายะ พระกายท่อนบนเหมือนท่อนบนของราชสีห์” (ลลิตวิสตระ ๒๕๑๒, ๕๙๙) พระพุทธปฏิมาองค์น้ีมีจารึกว่า “เถรรัตตปัญญา” สร้างข้ึนในปี พ.ศ. ๒๐๒๔ (ค.ศ. 1481) เพ่ือ ประดิษฐานในวัดบุปผาราม ถนนทา่ แพ อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั เชยี งใหม่ เป็นไปไดว้ า่ พระ “เถรรัตตปญั ญา” เป็นรปู เดียวกนั กบั พระรัตนปัญญาเถระทรี่ จนา ชินกาลมาลปี กรณ์ ในอีก ๓๖ ปี ตอ่ มา (สุรสวสั ด์ิ และ ฮนั ส์ เพนธ์ ๒๕๕๐, ๕๐) พระพุทธสิหิงค์จำลองของวัดพระธาตุช้างค้ำ อำเภอเมืองฯ จังหวัดน่าน (รูปที่ ๖.๕) มี พุทธลักษณะใกล้เคียงกับพระพุทธสิหิงค์จำลองของเชียงใหม่ที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าติโลกราช ยกเว้นแต่ฐาน ซ่ึงเป็นฐานเขียงเต้ียอันเป็นท่ีนิยมใช้กับพระพุทธปฏิมาสุโขทัย เพราะในช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. ๑๙๙๒ (ค.ศ. 1449) น่านเป็นพันธมติ รกบั อาณาจักรสโุ ขทัย ๓๑๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พทุ ธศิลป์ไทย

รปู ท่ี ๖.๔ พระพุทธสิหิงคจ์ ำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๒๓ (ค.ศ. 1480) สมั ฤทธิ์ สงู ๔๗.๕ เซนติเมตร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรงุ เทพมหานคร รูปท่ี ๖.๕ พระพุทธสิหงิ คจ์ ำลอง ปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ – ต้น ๒๑ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธิ์ หน้าตกั กวา้ ง ๗๔ เซนตเิ มตร สูง ๑.๑ เมตร วัดพระธาตุช้างคำ้ อำเภอเมอื งฯ จังหวดั นา่ น พระพทุ ธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธเิ พชร ๓๑๙

ส่วนพระพุทธสิหิงค์จำลองในสมัยพระเจ้ายอดเชียงราย คงดำรงไว้ซ่ึงพุทธลักษณะจากรัชกาลท่ี แล้ว แต่พระพักตร์จะเหลี่ยมกวา่ นอกจากนั้นแลว้ ฐานยังเป็นฐานเขียงชัน้ เดยี ว (รูปท่ี ๖.๖) ในสมัยพญาแก้วนิยมทำฐานพระพุทธปฏิมาเป็นฐานบัวหงายรองรับด้วยฐานเขียงหกเหลี่ยม ฉลุลายลูกฟัก ตงั้ อยู่บนชนวนอีกตอ่ หนง่ึ (รูปที่ ๖.๗) พระพทุ ธสิหงิ คจ์ ำลองท่ีสรา้ งข้นึ ในลา้ นนา นิยมจารคาถาเปน็ ภาษาบาลที ี่ฐานว่า บฐมสํ กลกขณเมกบทํ ทุติยาทบิ ทสสนิทสสนเตา สมนีทุนมิ าสมทู สนทิ ู วิภเชกมเตาบฐเมนวินา บทอันหน่ึงเปน็ ปฐม เป็นลกั ษณะแหง่ ตน นักปราชญผ์ ปู้ ระกอบด้วยปัญญา เวน้ ไว้ซึ่งบทอันเป็นปฐมแล้วพึงจำแนก (อรรถแห่งจตุราริยสัจ) โดยลำดับ (แห่ง อกั ษร ๑๒ ตัวนี)้ คือ ส.ม.นิ. ท.ุ น.ิ ม. ส.ม.ท. ส.นิ.ท. เพราะแสดงซึ่งบทมีบททส่ี อง เป็นอาทิ (ฮนั ส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๕๕ – ๕๖) แม้ว่าคาถาดังกล่าวจะรู้จักกันในช่ือของ “คาถาพระพุทธสิหิงค์” แต่ความหมายของคาถาบทนี้คือ หัวใจของพุทธศาสนา คือ อริยสจั ส่ี อันได้แก่ ทกุ ข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซงึ่ คาถาบทนีจ้ ะใช้คำยอ่ “ทุ – ส – นิ – ม” มาเขียนเปน็ คำฉันท์ (สรุ สวัสดิ์ และ ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๕๐, ๖๔ – ๖๕) ดังน้ันจึงมไิ ด้ปรากฏอยทู่ ่ี เฉพาะฐานพระพุทธสหิ งิ คจ์ ำลองเท่านนั้ แต่ปรากฏอยู่ที่ฐานพระพุทธปฏิมาปางอ้มุ บาตร และพระพทุ ธปฏิมา ประทับขดั สมาธริ าบ ปางมารวิชยั อกี ด้วย (ฮนั ส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, รูปท่ี ๑, ๕, ๖) รปู ท่ี ๖.๖ พระพุทธสิหิงคจ์ ำลอง รูปท่ี ๖.๗ พระพุทธสหิ ิงคจ์ ำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๓๔ (ค.ศ. 1491) กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ สัมฤทธ์ิ สูง ๗๓ เซนติเมตร (ปลายคริสตศ์ ตวรรษที่ 15 – ต้น 16) สัมฤทธิ์ สงู ๔๑ เซนติเมตร วัดเบญจมบพติ รดสุ ิตวนาราม วดั เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรงุ เทพมหานคร กรงุ เทพมหานคร ๓๒๐ พระพุทธปฏมิ า อตั ลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

พระพุทธสิหิงค์จำลององค์ซึ่งเคยประดิษฐานในปราสาท (คูหา) ของวิหารลายคำ ที่วัดพระสิงห์ นครเชียงใหม่ น่าจะได้แก่องค์ท่ีอยู่บนฐานชุกชีด้านซ้ายมือขององค์ประธาน (รูปท่ี ๖.๘ ก.) ซ่ึงจาก คำบอกเล่าของนายเออร์เนสต์ ซาเทา (Ernest Satow) ทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศสยาม ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๒๘ – ๒๔๓๑ (ค.ศ. 1885 – 1888) วา่ เห็นประดษิ ฐานอย่ใู นคหู าของปราสาทซึง่ เชอื่ ม กับวิหารลายคำดา้ นทิศตะวันตก (Satow 1994, 147) จงึ น่าจะเป็นพระพุทธสหิ ิงคจ์ ำลองทีเ่ คยไดร้ บั การ ยกย่องว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์ของนครเชียงใหม่ (รูปที่ ๖.๘ ข.) เพราะเป็นองค์ที่ประดิษฐานอยู่ในคูหา ของปราสาท โดยมที างเขา้ ไปบชู าผา่ นประตเู หลก็ แต่ในปัจจุบนั ได้มีการสร้างฐานชกุ ชีข้นึ บริเวณหน้าชอ่ ง ทางนั้นแล้ว แต่เดิมวิหารลายคำเคยเป็นท่ีรวบรวมพระพุทธสิหิงค์จำลองไว้ด้วยกัน รวมทั้งองค์ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ด้วย (รูปท่ี ๖.๙) อน่ึง พระพุทธสิหิงค์จำลองซึ่งเป็นองค์ประธานใน วิหารลายคำปจั จุบันนน้ั เคยถูกโจรกรรมตดั เศยี รไปในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ (ค.ศ. 1923) (Griswold 1957, 39) รูปที่ ๖.๘ ข. พระพุทธสหิ ิงค์จำลอง รปู ท่ี ๖.๘ ก. พระพทุ ธสิหิงค์จำลอง (พระประธาน) ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – ต้น ๒๑ ครงึ่ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15) สมั ฤทธ์ิ (ครึ่งหลังครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15) วิหารลายคำ วดั พระสงิ ห์ สัมฤทธิ์ หนา้ ตกั กวา้ ง ๑ เมตร อำเภอเมืองฯ จงั หวดั เชยี งใหม ่ วิหารลายคำ วัดพระสงิ ห์ อำเภอเมอื งฯ จังหวดั เชียงใหม่ พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธเิ พชร ๓๑

รปู ที่ ๖.๙ พระพุทธสหิ ิงค์จำลอง รูปที่ ๖.๑๐ พระพุทธนรสีห์ ไดจ้ ากวหิ ารลายคำ วดั พระสิงห์ ไดจ้ ากพระวิหารหลวง วัดพระสิงห์ อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดเชยี งใหม ่ กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ คร่ึงแรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครงึ่ หลังคริสต์ศตวรรษท่ี 15) (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 – ตน้ 16) สัมฤทธ์ิ สูง ๑.๑๔ เมตร สัมฤทธิ์ สงู ๙๓ เซนตเิ มตร พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ เชียงใหม่ พระทนี่ ง่ั อมั พรสถาน พระราชวงั ดุสติ ๓๒๒ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณพ์ ุทธศลิ ป์ไทย

พระพุทธนรสหี ์ พระพุทธสิหิงค์จำลองที่สำคัญอีกองค์หนึ่งคือ องค์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายพระนามว่าพระพุทธนรสีห์ สืบเนื่องจากเม่ือคร้ังสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรง ตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จไปตรวจราชการท่ีเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ (ค.ศ. 1898) ไดเ้ สดจ็ ไปทีว่ ัดพระสิงห์ ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปขดั สมาธิเพชรแบบเชยี งแสนองค์หน่งึ ตัง้ ไว้บนฐานชุกชีในวิหารหลวง ลักษณะงามและได้ขนาดตามท่ีพระองค์ปรารถนา จึงขอเจ้าเมืองเชียงใหม่ อัญเชิญมาบูชาไว้ในท้องพระโรงของวังที่ประทับในกรุงเทพฯ ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปที่วัง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปองค์น้ีก็ตรัสว่า “พระองค์นี้งาม แปลกจรงิ ๆ” (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๘๗, ๕) และจึงโปรดเกล้าฯ ให้แห่อญั เชิญพระพทุ ธรปู ไปทพ่ี ลับพลา ในพระราชวงั ดุสิต แลว้ ถวายพระนามวา่ “พระพุทธนรสีห์” (รปู ท่ี ๖.๑๐) เม่อื สรา้ งพระอุโบสถชว่ั คราวท่ี วัดเบญจมบพติ รแลว้ เสรจ็ ในปตี อ่ มา จึงอญั เชิญพระพทุ ธนรสีห์ไปเปน็ พระประธาน “ทรงพระราชดำรวิ า่ พระพุทธนรสหี ์ เป็นพระพทุ ธรปู อนั มพี ระพุทธลักษณะงามยิ่งนัก จะหาเสมอเหมอื นได้โดยยาก” (ดำรง- ราชานภุ าพ ๒๔๙๔, ๒๘) ตอ่ มาเม่อื สรา้ งพระอุโบสถถาวรวัดเบญจมบพิตรแลว้ เสร็จ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ อัญเชิญพระพุทธชินราชจำลองมาเป็นพระประธาน ส่วนพระพุทธนรสีห์นั้น โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไป ประดิษฐานบนช้ันที่ ๓ ของพระที่น่ังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต อันเป็นท่ีประทับส่วนพระองค์และ ประดษิ ฐานสบื มาจวบจนทุกวนั นี้ (ดหู วั ขอ้ ๑.๕, หน้า ๓๓๔) เช่นเดียวกัน พุทธลักษณะอันงดงามของพระพุทธสิหิงค์จำลองอีกองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “หลวงพอ่ ดำ” (รูปที่ ๖.๑๑) ซ่งึ มีผู้นำมาถวายสมเดจ็ พระสังฆราช (แพ ตสิ ฺสเทวมหาเถระ) ตง้ั แตค่ รัง้ ท่ี ยังดำรงสมณศักด์ิเป็นพระพรหมมุนีน้ัน (พ.ศ. ๒๔๕๕ – ๒๔๖๖ / ค.ศ. 1912 – 1923) น่าจะเป็น แรงบันดาลพระทยั ใหท้ รงยกยอ่ งหลวงพอ่ ดำ เปน็ พระพทุ ธรปู บชู าประจำพระองค์ รูปที่ ๖.๑๑ “หลวงพอ่ ดำ” คร่ึงหลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ (คร่งึ แรกครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15) สมั ฤทธิ์ หน้าตกั กวา้ ง ๒๐ เซนตเิ มตร สูง ๒๘ เซนติเมตร วดั สุทศั นเทพวราราม กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิเพชร ๓๕

(๒) ชว่ งพมา่ ปกครอง พ.ศ. ๒๑๐๑ – ๒๓๑๗ (ค.ศ. 1558 – 1774) แมว้ า่ พระพุทธปฏิมาท่ีสังรามจา่ บ้าน แมท่ พั พมา่ ทพี่ ระเจ้าบุเรงนองแต่งต้งั ให้ปกครองล้านนา เป็น ผ้สู ร้างในปี พ.ศ. ๒๑๐๘ (ค.ศ. 1565) โดย “เก็บรวบรวมพระพทุ ธรูปทีเ่ คยอยูก่ ระจัดกระจายและชำรุด แตกหักมารวม (หลอมและหลอ่ ใหม)่ เพอ่ื มิให้มีความเสียหายต่อไปอีก และเพ่อื (หลอ่ ) ให้เป็นพระพุทธรปู (ทีส่ มบรู ณ์) ดงั เดิม” (ฮันส์ เพนธ์ ๒๕๑๙, ๑๐๑) โดยพระพุทธรูปองคด์ ังกลา่ วมพี ระนามว่า “พระพุทธรปู เมอื งรายเจา้ ” ตามจารกึ ท่ีฐานขององคพ์ ระ (รปู ที่ ๖.๑๒) เพอื่ ถวายพระเกยี รตแิ ด่พระเจา้ มงั ราย ผสู้ ร้าง เมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ (ค.ศ. 1296) และเพ่ือมิให้พระวิญญาณของพระเจ้ามังรายกริ้วตนและ ทพั พมา่ ทมี่ าตเี มอื งเชียงใหม่ พรอ้ มกนั นั้น ผู้ที่บูชาพระพุทธรปู องคน์ กี้ ถ็ ือได้วา่ บชู าพระเจ้ามงั รายในเวลา เดียวกันด้วย (เรื่องเดียวกัน, ๑๐๑ – ๑๐๒) แตโ่ ดยท่ัวไปแลว้ พทุ ธลกั ษณะของ “พระพทุ ธรปู เมืองรายเจ้า” ก็คือพระพุทธสิหิงค์จำลองน่ันเอง ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าพม่าท่ีเข้ามาปกครองล้านนามีเจตนาท่ีจะสืบทอด จารีตประเพณแี ละศิลปะอันงดงามของล้านนา รปู ท่ี ๖.๑๒ พระพทุ ธรูปเมืองรายเจา้ สร้างปี พ.ศ. ๒๑๐๘ (ค.ศ. 1565) สมั ฤทธิ์ สูง ๒.๔๑ เมตร วดั ชยั พระเกียรติ อำเภอเมอื งฯ จังหวัดเชยี งใหม่ ๓๒๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศลิ ป์ไทย

๑.๒ พระพทุ ธสิหงิ คจ์ ำลอง สมยั ลา้ นชา้ ง ชว่ งอาณาจักรล้านช้าง พ.ศ. ๑๙๓๖ – ๒๒๔๖ (ค.ศ. 1393 – 1703) เมือ่ เทียบกับพระพุทธปฏิมาในหมวดอนื่ ๆ แล้ว พระพทุ ธสหิ ิงคจ์ ำลองแบบล้านชา้ งมีจำนวนนอ้ ยมาก และส่วนใหญ่สร้างข้ึนในช่วงระยะเวลาท่ีศิลปะล้านนาเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปะล้านช้าง คือ ช่วง คร่งึ หลงั พุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ครงึ่ แรกคริสต์ศตวรรษท่ี 16) (สมเกียรติ ๒๕๔๓, ๑๒๒, ๑๒๖, ๑๔๗, ๑๔๘) อย่างกรณีพระแจ้ง หรือพระอรุณ (รูปท่ี ๖.๑๓) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญจากนครเวียงจันท์มาประดิษฐานไว้ในพระวิหารวัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร “ด้วย ทรงพระราชดำรวิ ่า พระนามพ้องกบั วัดนัน้ ” (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๗๑) เปน็ พระพทุ ธสิหงิ ค์จำลอง แบบล้านช้าง ท่ีใช้กรรมวิธีการหล่อองค์พระกับจีวรด้วยเนื้อทองสีต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นฝีมือของ ช่างหลวง ทีอ่ าจจะหลอ่ ขน้ึ ในชว่ งสมัยพระเจา้ ไชยเชษฐาธริ าช (พ.ศ. ๒๐๙๓ - ๒๑๑๕ / ค.ศ. 1550 - 1572) รูปท่ี ๖.๑๓ พระแจง้ หรือ พระอรุณ ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ – ต้น ๒๒ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๖) สัมฤทธ์ิ หน้าตัก ๕๐ เซนตเิ มตร พระวหิ ารวัดอรณุ ราชวราราม กรุงเทพมหานคร พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ๓๒๕

๑.๓ พระพทุ ธสิหงิ ค์จำลอง สมยั สโุ ขทัย ช่วงเมืองประเทศราชของอยธุ ยา พ.ศ. ๑๙๒๑ – ๒๐๐๖ (ค.ศ. 1378 – 1463) พระพุทธสิหิงค์จำลองของอาณาจกั รสุโขทัยท่ีถือได้ว่าเป็นตัวอยา่ งของพระปฏิมาหมวดพระพทุ ธสิหิงค์ ได้แก่ องค์ที่รู้จักกันในนาม “พระพุทธรูปแม่ศรีมหาตา” ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระตำหนักวาสุกรี วดั พระเชตุพนวมิ ลมังคลาราม กรงุ เทพมหานคร (รูปที่ ๖.๑๔) เพราะท่ีฐานมจี ารกึ อกั ษรไทยสโุ ขทัยว่า พระเจ้าแม่ศรีมหาตา ขอปรารถนาเป็นผู้ชายช่ัวหน้า จงข้าได้เป็นศิษย์ตนพระ ศรีอาริย์โพธิสัตว์เจ้า แต่ทานข้าท้ังผองแห่ง พระองค์เจ้าอยู่หัวท้ังสอง กับแม่ พระพิลก แลแม่ศรี ให้เป็นข้าถือจังหันพระเจ้า สิ้นเบี้ย ๔๔๕๐๐ (จารึกสมัย สุโขทยั ๒๕๒๖, ๑๙๘) สันนิษฐานว่า ผู้สร้างพระพุทธปฏิมาพระเจ้าแม่ศรีมหาตา ปรารถนาจะเกิดเป็นผู้ชายในชาติภพ ต่อไปและขอได้เป็นศิษย์ของพระศรีอาริยเมตไตรย หรือพระอนาคตพุทธะ ผู้น้ีน่าจะเป็นพระชนนีของพระ มหาธรรมราชาท่ี ๔ ผ้คู รองเมืองสุโขทยั (พ.ศ. ๑๙๖๒ – ๑๙๘๑ / ค.ศ. 1419 – 1438) โดย “ศรีมหาตา” อาจมาจากคำว่า ศรีธรรมราชมาดา และคำวา่ “พระองคเ์ จ้าอยูห่ วั ท้ังสอง” อาจจะหมายถึง พระมหา- ธรรมราชาที่ ๔ กับพระเจา้ สามฝ่ังแกน ผู้ครองล้านนา (พ.ศ. ๑๙๔๕ – ๑๙๘๔ / ค.ศ. 1402 – 1441) ซ่ึง เปน็ พระราชบิดาของพระพิลก ซึง่ ก็คือ พระเจ้าตโิ ลกราชก่อนขน้ึ เสวยราชสมบตั ินัน่ เอง และแมพ่ ระพิลก ก็คือพระมเหสีของพระเจ้าสามฝ่ังแกน (พิเศษ ๒๕๔๒, ๑๑๖ – ๑๑๙) ซึ่งหากข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้อง พระพทุ ธสหิ ิงค์จำลององคน์ ้ีกน็ ่าจะหล่อข้ึนในชว่ งปี พ.ศ. ๑๙๖๗ – ๑๙๘๑ (ค.ศ. 1424 – 1438) เมอ่ื พระ มหาธรรมราชาท่ี ๔ ครองเมืองพิษณุโลก ซ่ึงก็สอดคล้องกับรูปแบบของตัวอักษร ซึ่งกำหนดอายุอยู่ใน ชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14 – กลาง 15) รปู ท่ี ๖.๑๔ “พระพทุ ธรูปแม่ศรมี หาตา” ประมาณ พ.ศ. ๑๙๖๗ - ๑๙๘๑ (ค.ศ. 1424 - 1438) วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม กรงุ เทพมหานคร ๓๒๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ๓๕

๑.๔ พระพุทธสหิ ิงค์จำลอง สมัยอยธุ ยา (๑) ช่วงเมืองลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) เนื่องด้วยว่าพระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธปฏิมาสำคัญของฝ่ายอรัญวาสี คณะสีหฬภิกขุซึ่งนำเข้า มาเผยแพรท่ อ่ี ยธุ ยาในสมัยสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๙๖๗ – ๑๙๙๑ / ค.ศ. 1424 – 1448) ก่อน ทีจ่ ะนำไปเผยแพรท่ ี่เชยี งใหม่ในปี พ.ศ. ๑๙๗๑ (ค.ศ. 1428) พระสีหฬปฏิมา หรอื พระพุทธสหิ ิงค์ จงึ เป็น พระพุทธปฏิมาสำคัญของกรุงศรีอยุธยาต้ังแต่นั้นมา และเป็นท่ีบูชาแพร่หลายในช่วงกลางพุทธศตวรรษ ท่ี ๒๐ – กลาง ๒๑ (คริสต์ศตวรรษท่ี 15) เช่น พระพุทธสหิ งิ ค์จำลอง (รปู ที่ ๖.๑๕) พบในพระอรุ ะ และ พระพาหาเบ้อื งซา้ ยของพระมงคลบพติ ร (ดรู ูปท่ี ๕.๑๒๙) ทีพ่ ระนครศรอี ยุธยา (ณฏั ฐภัทร ๒๕๔๙, ๒๙ – ๓๑) พระมงคลบพิตรองคน์ ี้ เดิมเป็นพระประธานของวัดชเี ชียงซ่ึงสมเดจ็ พระชัยราชาทรงสร้าง (วนั วลติ ๒๕๔๘, ๘๑) ในปี พ.ศ. ๒๐๘๑ (ค.ศ. 1538) (ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑ ๒๕๐๖, ๑๔๒) พระพทุ ธสิหิงค์ จำลองท่ีพบในพระอุระและพระพาหาของพระมงคลบพิตร จึงน่าจะสร้างข้ึนก่อนปีนั้น และยังเป็น พระพุทธรูปสำคญั ของอยุธยาจวบจนเสยี กรงุ ครั้งท่ี ๒ พระพทุ ธสหิ งิ ค์จำลองของอยุธยามีพทุ ธลกั ษณะเด่น คอื พระเมาลที รงกรวยต่ำ รศั มเี ปน็ ดอกบวั ตูม พระเพลากว้าง พระวรกายสั้น จึงดูว่ากล้ามพระมังสาเป็นมัด ซ่ึงเป็นเหตุให้ผู้สะสมพระพุทธรูป ขนานนามพระพุทธสิหิงค์จำลองของอยุธยาว่า “พระขนมต้ม” ตัวอย่างของ “พระขนมต้ม” ท่ีสมบูรณ์ แบบน่าจะได้แก่พระพุทธสิหิงค์จำลองของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดลพบุรี (รปู ที่ ๖.๑๖) ซงึ่ นอกจากกลา้ มพระมังสาจะดูเป็นมัด สมกบั ท่ีขนานนามไวแ้ ล้ว ชายจีวรยงั คลอ่ี อกเปน็ จบี เหนือพระองั สาซา้ ย ซ่ึงเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของ “พระขนมตม้ ” อีกดว้ ย รปู ที่ ๖.๑๕ พระพทุ ธสิหิงค์จำลอง รูปที่ ๖.๑๖ พระพุทธสิหงิ คจ์ ำลอง พบในพระอรุ ะและพระพาหาเบ้ืองซ้ายของ กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – กลาง ๒๒ (คริสต์ศตวรรษที่ 16 ) พระมงคลบพิตร จังหวดั พระนครศรีอยุธยา สัมฤทธิ์ สงู ๓๖ เซนตเิ มตร กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ หนา้ ตักกวา้ ง ๓๐ เซนตเิ มตร (ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 16) พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ สมเด็จพระนารายณ ์ สมั ฤทธ์ิ สูง ๑๙.๗ เซนติเมตร จังหวัดลพบุรี พิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ จนั ทรเกษม จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ๓๒๘ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ุทธศลิ ปไ์ ทย

- แบบนครศรธี รรมราช พระพุทธสิหิงค์ของนครศรีธรรมราช หัวเมืองชั้นเอก (รูปที่ ๖.๑๗) ก็จัดอยู่ในหมวดเดียวกันกับ “พระขนมตม้ ” ท่อี าจจะสรา้ งขน้ึ ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ – กลาง ๒๒ (คริสตศ์ ตวรรษท่ี 16) เชน่ องค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ลพบุรี (ดูรูปที่ ๖.๑๖) โดยมีชายจีวรคล่ีทับ พระอังสาซ้ายเช่นกัน และน่าจะไดร้ บั ตน้ แบบมาจากพระพุทธสหิ ิงค์จำลองของอยธุ ยาอกี ดว้ ย รปู ที่ ๖.๑๗ พระพทุ ธสหิ ิงคจ์ ำลอง กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ – กลาง ๒๒ (คริสต์ศตวรรษท่ี 16 ) สัมฤทธิ์ สูง ๔๓ เซนติเมตร หอพระพุทธสิหงิ ค์ จังหวดั นครศรีธรรมราช พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธเิ พชร ๓๒๙

- แบบสโุ ขทัย สืบเน่ืองมาจากเมื่อครั้งอาณาจักรอยุธยาได้รวบรวมเมืองสำคัญในภาคกลางตอนเหนือไว้ท้ังหมด ภายใต้การปกครองท่ีมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางคริสต์ ศตวรรษที่ 15) หวั เมอื งสำคญั ในรัชสมัยของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ อย่างเชน่ เมอื งพษิ ณโุ ลก เมือง สวรรคโลก และเมืองกำแพงเพชร จึงมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง พระพุทธสิหิงค์ซ่ึงสร้างข้ึนในช่วงระยะ เวลานี้ ยงั คงรักษาพุทธลกั ษณะของทอ้ งถน่ิ ไว้ กอ่ นท่ีอยุธยาจะเข้ามาครองครอง ในกรณีของพระพุทธสิหิงค์จำลองที่สร้างขึ้นภายใต้การปกครองของอยุธยา แต่ยังจำลอง พุทธลักษณะของพระพุทธสิหิงค์แบบสุโขทัย ซ่ึงมีพุทธลักษณะร่วมกันคือ พระเมาลีทรงกรวยเต้ีย รัศมี เป็นลูกแก้ว พระเพลากว้าง รองรับด้วยฐานเขียง ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์จำลอง ขุดได้ที่วัดสระศรี อำเภอเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย (รูปท่ี ๖.๑๘) และ “หลวงพ่อเพชร” ของวัดท่าถนน อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุตรดิตถ์ (รูปที่ ๖.๑๙) ซ่ึงมจี ารกึ ไวท้ ่ีฐานพระพทุ ธรปู วา่ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ. 1900) และหลวง นฤบาล (จพุ ันยา) อญั เชญิ กลับไปไว้วดั ทา่ ถนนในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) (หวน ๒๕๒๑, ๗๑) อยา่ งไร กด็ ี ข้อมลู ท่ีจารกึ มิไดก้ ลา่ วไวค้ อื เจา้ อาวาสวัดท่าถนน ผเู้ ป็นเจ้าของพระพทุ ธรปู มีความเสยี ใจอย่างมาก ที่ทางราชการเอาพระพุทธรูปของท่านไป จึงปฏิญาณตนว่าจะไม่ขออยู่วัด จะเท่ียวธุดงค์ตามป่าช้า ของวัดต่างๆ จนมรณภาพ (ศรณั ย์ ๒๕๔๒, ๓๓) พระพุทธรูปทกี่ ลา่ วถึงข้างต้นทัง้ สององค์นอ้ี าจจะสรา้ ง ขึ้นในชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (ต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 16) รปู ที่ ๖.๑๘ พระพทุ ธสหิ ิงคจ์ ำลอง กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (ตน้ คริสต์ศตวรรษที่ 16) สมั ฤทธ์ิ พบทีว่ ดั สระศรี อำเภอเมืองเกา่ จังหวดั สุโขทัย พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ รามคำแหง จงั หวดั สุโขทัย รูปที่ ๖.๑๙ “หลวงพอ่ เพชร” กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ (ตน้ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 16) สมั ฤทธ์ิ หน้าตักกวา้ ง ๖๕ เซนตเิ มตร สงู จากฐาน ๘๒ เซนติเมตร วดั ท่าถนน อำเภอเมืองฯ จงั หวัดอตุ รดิตถ์ ๓๓๐ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย

(๒) ชว่ งวงราชธานี พ.ศ. ๒๑๓๓ – ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1590 – 1767) พระพุทธสิหิงค์จำลอง สมัยอยุธยา ท่ีสร้างข้ึนในช่วงวงราชธานี คือสมัยที่สมเด็จพระนเรศวรได้ ทรงจดั อนั ดบั หวั เมอื ง ใหแ้ บ่งออกเปน็ หัวเมืองช้ันเอก โท ตรี และจตั วา โดยมศี นู ยก์ ลางการบรหิ ารอย่ทู ่ี กรงุ ศรอี ยธุ ยา ซ่งึ บริเวณศูนย์กลางอันมเี นอื้ ทีก่ ว้างขวางนี้เรยี กว่า “เขตวงราชธาน”ี จวบจนเสยี กรุงคร้งั ท่ี ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ (ค.ศ. 1767) ในสมัยของสมเดจ็ พระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๖ – ๒๓๐๑ / ค.ศ. 1733 – 1758) น่าจะมพี ระพุทธ สิหิงค์จำลองท่ีพระนครศรีอยุธยาอย่างน้อยสององค์ องค์หน่ึงประทับขัดสมาธิเพชร หน้าตักกว้าง ๔ ศอก หล่อด้วยนากชมพูนชุ อย่ใู นพระมหาวหิ ารยอดปราสาทในวดั พระศรสี รรเพชญ์ ซง่ึ จัดไวเ้ ปน็ ๑ ใน “พระมหาพุทธปฏมิ ากร ทม่ี พี ระพุทธานภุ าพเปน็ หลักกรุง ๘ องค”์ (คำใหก้ ารขนุ หลวงวดั ประด่ทู รงธรรม ๒๕๓๔, ๒๕) อีกองคห์ น่ึงคณะทูตานทุ ตู ลังกาเม่ือเขา้ มาขอพระสงฆ์สยามไปประดษิ ฐานนกิ ายสยามวงศ์ ในลังกาในปี พ.ศ. ๒๒๙๓ (ค.ศ. 1750) เหน็ ประดิษฐานอยูใ่ นมณฑป ของวัดบรมพุทธารามวหิ าร (ดำรง- ราชานุภาพ ๒๕๐๓, ๒๕๑) พระพุทธสิหิงค์จำลองท่ีกล่าวถึงในเอกสารท้ังสององค์นี้น่าจะมีพุทธลักษณะใกล้เคียงกันกับพระ พุทธสหิ งิ ค์จำลองของอยุธยาองคอ์ ่ืน ๆ ที่ไดร้ ับการขนานพระนามว่า “พระขนมตม้ ” เช่น พระพุทธสิหิงค์ จำลองของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชนาทมุนี (รูปท่ี ๖.๒๐) เห็นได้ว่าน้ิวพระหัตถ์ซ้าย ซึ่งวางบน พระเพลากระดกขึ้น ส่วนน้ิวพระบาทท้ังสองข้างลอยข้ึนมาเหนือพระเพลา ซึ่งน่าจะเป็นแบบฉบับให้กับ “พระขนมตม้ ” อยุธยา เช่น พระพุทธสิหงิ คจ์ ำลอง วัดโคกขาม อำเภอเมืองฯ จงั หวัดสมทุ รสาคร (ดูรูปท่ี ๖.๓) ซ่ึงมีจารึกปี พ.ศ. ๒๒๓๒ ( ค.ศ. 1689 ) คือปที ี่ ๒ ของรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ( พ.ศ. ๒๒๓๑ – ๒๒๔๖ / ค.ศ. 1688 – 1703 ) พระพุทธสิหงิ คจ์ ำลองทอี่ าจจะสรา้ งขน้ึ ในสมยั สมเด็จพระนารายณ์ ( พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ / ค.ศ. 1656 – 1688 ) น่าจะได้แก่องค์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัด สพุ รรณบรุ ี (รูปที่ ๖.๒๑) รูปที่ ๖.๒๐ พระพทุ ธสหิ ิงคจ์ ำลอง รูปที่ ๖.๒๑ พระพทุ ธสิหงิ ค์จำลอง พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ ครงึ่ แรกพุทธศตวรรษที่ ๒๒ (ครงึ่ แรกคริสตศ์ ตวรรษท่ี 17) (คร่งึ หลังครสิ ต์ศตวรรษที่ 17) สมั ฤทธิ์ สงู ๙๒ เซนติเมตร สมั ฤทธ์ิ สูง ๖๙ เซนตเิ มตร พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ ไชนาทมุนี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จงั หวัดชยั นาท จงั หวัดสุพรรณบุรี พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธเิ พชร ๓๓๑

เช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาองค์อื่น ๆ ของอยุธยาท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น พระพุทธสิหิงค์องค์นี้มี แก้วฝังไว้ในพระเนตร ซึ่งสืบเน่ืองมาจากความเชื่อของชาวอยุธยาว่า เม่ือพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่ ท่ีเมืองปาตลีบุตรน้ันเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วยอานุภาพของแก้วมณีท่ีฝังอยู่ในพระเนตร แต่เม่ือมีคน ควักแก้วมณีที่ฝังอยู่ในพระเนตรไป พระพุทธสิหิงค์จึงเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ (คำให้การชาวกรุงเก่า ๒๔๕๗, ๑๑๘ – ๑๑๙) ดังน้ันพระพุทธสิหิงค์ของอยุธยาจึงมีแก้วฝังในพระเนตร เพื่อให้สอดคล้องกับ ความเช่อื ดงั กลา่ ว ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) พระพุทธสิหิงค์จำลองมี พระเศียรเลียนแบบพระพุทธรูปอยุธยา แต่พระวรกายยังสืบทอดพุทธลักษณะของ “พระขนมต้ม” เช่น “หลวงพ่อเพชร” วัดท่าหลวง อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิจิตร (รูปที่ ๖.๒๒) ส่วนพระพุทธสิหิงค์จำลองใน พระที่น่ังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปท่ี ๖.๒๓) น่าจะสร้างข้ึนในช่วงเวลาเดียวกันและแสดงให้เห็น กระแสนิยมของพุทธศิลป์อยุธยาในลักษณะของพระเศียรและฐานแข้งสิงห์รองรับกลีบบัวจงกล ถงึ แมว้ า่ พระวรกายจะคงไว้ซ่ึงพุทธลกั ษณะของ “พระขนมตม้ ” ก็ตาม รปู ที่ ๖.๒๒ “หลวงพอ่ เพชร” พทุ ธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 17 – กลาง 18) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตกั กวา้ ง ๑.๓๗ เมตร สงู ๑.๕๖ เมตร วดั ท่าหลวง อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั พิจติ ร ๓๓๒ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

- แบบนครศรีธรรมราช กระแสนิยมจากอยุธยายังเห็นได้จากพระพุทธสิหิงค์จำลองที่สร้างข้ึนท่ีนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. ๒๒๓๗ (ค.ศ.1694) (Woodward 1997, 248) ประทับบนฐานสงิ ห์ ปูดว้ ยผา้ ทิพย์ (รปู ท่ี ๖.๒๔) แต่ พทุ ธลกั ษณะของพระเศยี รก็แสดงให้เห็นค่านิยมของท้องถิน่ ได้อยา่ งชดั เจน รูปท่ี ๖.๒๓ พระพทุ ธสหิ ิงคจ์ ำลอง พุทธศตวรรษที่ ๒๓ (กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 – กลาง 18) สัมฤทธ์ิ สงู เฉพาะองค์ ๑๐.๘ เซนติเมตร พระทีน่ ัง่ อมั พรสถาน พระราชวังดุสติ รปู ท่ี ๖.๒๔ พระพุทธสหิ งิ ค์จำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๒๓๗ (ค.ศ. 1694) สัมฤทธิ์ สูง ๓๕ เซนตเิ มตร สมบตั ิของเอกชน พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิเพชร ๓๓๓

๑.๕ พระพุทธสหิ งิ คจ์ ำลอง สมัยรตั นโกสินทร์ ดังท่ีได้กล่าวถึงพระพุทธนรสีห์ไว้บ้างแล้ว (ดูหัวข้อ ๑.๑ หน้า ๓๒๓) เมื่อพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงสร้างพระอโุ บสถ วดั เบญจมบพิตรดสุ ิตวนารามแลว้ ทรงหล่อพระพุทธชินราช จำลองมาประดษิ ฐานเป็นพระประธานของพระอโุ บสถ จงึ ทรงอัญเชิญพระพทุ ธนรสหี ์ (ดรู ปู ที่ ๖.๑๐) ท่ี ได้มาจากวิหารหลวงวัดพระสิงห์ ซึ่งเคยเป็นพระประธานของพระอโุ บสถชั่วคราว วดั เบญจมบพิตรดุสิต- วนาราม ไปประดิษฐานไว้บนชั้นสามของพระท่ีน่ังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต แล้วทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้จำลองพระพุทธนรสีห์ข้ึนใหม่ (รูปที่ ๖.๒๕) เพ่ือจะนำไปประดิษฐานในศาลาการเปรียญ ในรชั สมัยของพระองค์นน้ั มณฑลพายัพเปน็ แหล่งของช่างเชียงแสน มีพระพุทธรปู โบราณงามๆ มากกว่า ท่ีอ่ืน ทผี่ สู้ ะสมพระพุทธรปู มกั จะไปแสวงหา คนหาพระพุทธรูปมักเท่ียวเสาะหาทางน้ัน นับถือกันว่าต่อเป็นพระพุทธรูปนั่ง ขัดสมาธ์ิเพชรจึงจะดี ถ้าหาได้พระขัดสมาธ์ิเพชรหย่างย่อมขนาดหน้าตักไน ระหวา่ ง ๖ น้วิ จน ๑๐ นิ้วดว้ ยย่งิ ดขี ้ึน (ดำรงราชานุภาพ ๒๔๘๗, ๑) ดงั นนั้ ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั (พ.ศ. ๒๔๑๑ – ๒๔๕๓ / ค.ศ. 1868 – 1910) ความงามและขนาดของพระพุทธปฏิมา ซึ่งสอดคล้องต้องกับความต้องการของผู้เก็บสะสม จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการแสวงหาพระพุทธรูป อีกท้ังการจำลองก็มุ่งท่ีจะจำลองรูปลักษณะ ของงานช่างท่ีมีความแปลกและงามเป็นพิเศษ อันจะเห็นได้ว่า นับจากช่วงกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 19) เป็นต้นมา แรงบันดาลใจในการสรา้ งพระพทุ ธรูปกค็ อื ความแปลกและงาม โดยสอดคล้องกับพระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่โปรดเกล้าฯ ให้จัดการ แสดงพระพุทธรูปบูชาขึ้นในงานสมโภชพระพุทธชินราชในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) และในปีต่อๆ มาเปน็ ประจำในงานประจำปีวดั เบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหบ้ อกบญุ ขอแรงผทู้ ีม่ พี ระพุทธรูป ตามทีต่ นเหน็ ว่า มลี กั ษณแปลกแลงามดนี นั้ เชญิ พระพทุ ธรูปมาต้ังทว่ี ดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม จะมีขนาดเล็กใหญ่เท่าไร ก็ตามแต่จะเชิญมาตั้งไม่มีกำหนดห้าม แต่ให้เปน พระหล่อ จะขัดเน้ือโลหะที่หล่อฤาไม่ได้ขัดก็ตาม ที่สุดจะปิดทองท่ีเห็นสมควร จะมาต้ังก็ให้มาต้ังได้ เพราะพระราชประสงค์ที่จะทรงนมัสการพระพุทธรูปมี ลักษณพเิ ศษต่างๆ ย่งิ ขึ้นไป (วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เลม่ ๒ ๒๕๓๘, ๑๕๐) ซ่ึงสะท้อนให้เห็นความเปล่ียนแปลงทางความคิดทั้งในด้านการสร้างพระพุทธรูป และค่านิยม ความเช่ือ ความศรัทธาของพทุ ธศาสนกิ ชนในสยามประเทศไดเ้ ปน็ อยา่ งดี อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนที่เชื่อในความศักดิ์สิทธ์ิและอภินิหารของพระพุทธรูปอยู่ ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไวว้ ่า มีคนชอบพดู กันวา่ พระพทุ ธนรสีห์เปนพระมอี ภินหิ าร ใหเ้ กิดสวัสดิมงคล อา้ งวา่ ตัวฉันผู้เชิญลงมา ไม่ช้าก็ได้เลื่อนยสจากกรมหม่ืนขึ้นเป็นกรมหลวง (เร่ือง เดียวกัน, ๖) ๓๓๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลปไ์ ทย รูปท่ี ๖.๒๕ พระพุทธนรสีหจ์ ำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ค.ศ. 1901) สมั ฤทธ์ิ วัดเบญจมบพติ รดสุ ิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ๓๕

รปู ท่ี ๖.๒๖ พระพุทธนรสหี จ์ ำลอง จ.ป.ร. ภ.ป.ร. สร้างปี พ.ศ. ๒๕๔๙ (ค.ศ. 2006) สมั ฤทธ์ิ หน้าตัก ๑ เมตร วดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร ๓๓๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

ในรชั กาลปจั จบุ ันไดม้ กี ารจำลองพระพุทธนรสีห์ข้ึนในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ในโอกาสที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ฉลองครบ ๑๐๐ ปีของการกอ่ ต้ัง จึงไดม้ กี ารจำลองพระพทุ ธนรสีหข์ ้นึ และจารกึ พระปรมาภไิ ธย จ.ป.ร. ภ.ป.ร. ไว้ท่ีฐาน (รูปท่ี ๖.๒๖) ถวายพระนามว่า “พระพุทธนรสีห์จำลอง จ.ป.ร. ภ.ป.ร.” ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ในวหิ ารสมเดจ็ ฯ วัดเบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม หลงั จากช่วงกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ (ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19) ชนชนั้ นำชาวสยามจำลองพระ พุทธสิหิงค์ โดยเชื่อว่าเป็นการจำลองพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมาสมัยเชียงแสน อันมีเหตุผลท่ี ความงามของพระพุทธปฏิมาองค์น้ัน ดังเช่นในกรณีที่ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถระ) ได้หลวงพอ่ ดำ (ดูรปู ท่ี ๖.๑๑) มาบชู า แล้วจึงจำลองหลวงพ่อดำข้นึ มาเปน็ พระชยั ศริ ิวฒั น์ (รูปที่ ๖.๒๗) พระพุทธปฏิมาสำหรับบูชาประจำพระองคอ์ กี องค์หนง่ึ พระพุทธสิหิงค์ของนครศรีธรรมราช น่าจะเป็นต้นแบบให้กับพระพุทธสิหิงค์จำลองซึ่งสร้างข้ึนใน รัชกาลปัจจบุ ัน เชน่ องค์ท่สี มเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอย่หู วั โปรดเกลา้ ฯ ให้จำลองขึ้นเพ่ือประดิษฐานในศาลาสวสั ดวิ ตั น์ วัดราชาธิวาสวหิ าร กรงุ เทพมหานคร ซ่งึ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ฯ ไปทรงเททองเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ (ค.ศ. 1971) (รูปที่ ๖.๒๘) รูปท่ี ๖.๒๗ พระชัยศริ ิวฒั น ์ กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ (ต้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20) เงนิ หน้าตกั กว้าง ๑๗.๕ เซนตเิ มตร วัดสุทัศนเทพวรราม กรงุ เทพมหานคร รูปที่ ๖.๒๘ พระพุทธสหิ ิงค์จำลอง สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๑๔ (ค.ศ. 1971) สัมฤทธ์ิ วัดราชาธวิ าสวิหาร กรงุ เทพมหานคร พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ๓๓๗

รูปที่ ๖.๒๙ พระพุทธสหิ งิ ค์จำลอง ในปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์จำลอง เป็นท่ีรู้จักในพระนามพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนชั้นแรก หรือ พ.ศ. ๒๕๓๖ (ค.ศ. 1993) พระพทุ ธรูปแบบ “สิงห์ ๑” ซึง่ มีนยั ว่าเป็นพระพทุ ธรปู แบบล้านนา จงึ ได้มีการจำลองขน้ึ เปน็ จำนวนมาก สัมฤทธิ์ ในจงั หวดั เชยี งใหม่ เช่น พระประธานวัดลา้ นนาญาณสังวราราม อำเภอจอมทอง จังหวดั เชียงใหม่ (รปู ท่ี วดั ลา้ นนาญาณสังวราราม ๖.๒๙) ซ่ึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์ อำเภอจอมทอง จงั หวดั เชียงใหม่ พระอุโบสถ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ (ค.ศ. 1989) และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ (ค.ศ. 1993) พระพุทธนพสี พี ิงครตั น์ วดั พระธาตุดอยคำ อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดเชียงใหม่ (รูปท่ี ๖.๓๐) สร้าง ขนึ้ โดยศรทั ธาของเจ้ากลุ วงศ์ ณ เชยี งใหม่ และออกแบบโดยชยั พนั ธ์ ประภาสวัต สร้างและสมโภชในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. 1991) ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ (ค.ศ. 2004) ได้มกี ารสรา้ งพระพทุ ธรูปแบบ “ลา้ นนา” หรือ “เชียงแสนช้ันแรก” นี้ขึ้น โดยถวายพระนามต่าง ๆ กัน เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา สมเด็จพระ บรมราชินีนาถ อาทิ พระพทุ ธนวลา้ นต้อื ที่บา้ นสบรวก อำเภอเชยี งแสน จังหวัดเชียงราย (รูปท่ี ๖.๓๑) ซึ่งถึงแม้ว่าพระพุทธปฏิมาท่ีสร้างขึ้นท้ังหมดน้ีจะมีพระนาม และขนาดที่ต่างกัน แต่ทุกพระองค์มี พทุ ธลักษณะเดยี วกนั นัน่ คือ พุทธลกั ษณะของพระพุทธสิหิงคจ์ ำลอง ๓๓๘ พระพทุ ธปฏิมา อัตลกั ษณ์พทุ ธศลิ ป์ไทย

รูปท่ี ๖.๓๐ พระพทุ ธนพสี พี ิงครัตน ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ (ค.ศ. 1991) กอ่ อฐิ ถอื ปนู หนา้ ตักกว้าง ๑๒ เมตร สงู ๑๗ เมตร วดั พระธาตุดอยคำ อำเภอเมืองฯ จงั หวดั เชยี งใหม่ รูปท่ี ๖.๓๑ พระพทุ ธนวล้านตอ้ื พ.ศ. ๒๕๔๗ (ค.ศ. 1991) สมั ฤทธ์ิ หนา้ ตักกว้าง ๑๐ เมตร สงู ๑๕ เมตร สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวดั เชียงราย พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิเพชร ๓๓๙

๒. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย สมัยรัตนโกสินทร ์ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ที่ไม่มีพุทธลักษณะของพระพุทธสิหิงค์จำลอง ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่นำมาจากประเทศพม่า หรือที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาล พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ / ค.ศ. 1851 - 1868) ลงมาจนถงึ ปัจจบุ ัน พระพทุ ธเทววิลาส ในพระอุโบสถวดั เทพธดิ าราม กรุงเทพมหานคร (รูปที่ ๖.๓๒) เป็นพระพทุ ธรูป ประทบั ขดั สมาธเิ พชร ปางมารวิชยั สลกั ศิลา ที่พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจา้ อยู่หวั ทรงอญั เชิญมาจาก พระบรมมหาราชวัง มาเป็นพระประธานพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๘๒ (ค.ศ. 1839) พระพุทธรูปองค์น้ีเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปแบบพม่าหลายองค์ท่ีประดิษฐานอยู่ในพระบรมมหาราชวัง (สรุ ยิ วฒุ ิ ๒๕๓๕, ๔๗๐ – ๔๗๓) ซึ่งน่าจะสลกั ข้ึนในสมยั ราชวงศ์คองบอง ประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19) เม่ือกรุงอมรปุระเป็นราชธานี นครแห่งน้ีเป็นศูนย์กลางการสลักหินอ่อน สขี าวของพมา่ จวบจนทุกวันน ี้ รปู ที่ ๖.๓๒ พระพุทธเทววิลาส พมา่ สลักที่อมรปุระ กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๔ (ต้นคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19) หนิ ออ่ น หนา้ ตกั กว้าง ๒๘ เซนติเมตร สงู ๔๐ เซนติเมตร พระอโุ บสถวัดเทพธดิ าราม กรุงเทพมหานคร ๓๔๐ พระพทุ ธปฏมิ า อตั ลกั ษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย

รปู ที่ ๖.๓๓ พระสมณโคดมประทบั ขัดสมาธิเพชร พระพุทธรูปท่ีสร้างขึ้นในพระบรมมหาราชวังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปางมารวชิ ัย เช่น พระพุทธรูปในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ด้านหลังเป็นต้นพระศรีมหาโพธ์ิที่ตกแต่งด้วย ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ – ตน้ ๒๕ พลอยหลากสี (รูปท่ี ๖.๓๓) แสดงให้เห็นพระราชนิยมของพระองค์อย่างชัดเจน เช่นไม่มีพระเมาลี (กลางครสิ ตว์ รรษท่ี 19) ทรงครองจีวรและพาดสังฆาฏิท่ีพระอังสาตามแบบฉบับของพระภิกษุสงฆ์ในคณะธรรมยุติกนิกาย วัสดผุ สม ระบายสี ประทับเหนือกลีบบัวคว่ำบัวหงายรองรับด้วยฟ่อนหญ้าคา นอกจากน้ันแล้ว การป้ันองค์พระพุทธรูปและ สงู รวมฐาน ๓๐ เซนติเมตร ระบายสีไตรจวี รใหด้ เู ป็นธรรมชาติ ซง่ึ ไดร้ บั อิทธพิ ลจากคา่ นยิ มของชาวตะวันตกท่ีเนน้ ความเหมอื นจรงิ พระอโุ บสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพรหมมุนี (แพ ติสฺสเทวมหาเถระ) เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ซ่ึงต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้เลื่อน สมณศักด์ิเป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็ได้สร้างพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ให้แก่เหล่า สานศุ ิษย์ โดยพระองคเ์ ป็นผู้เลอื กรูปแบบพระพุทธรปู เพอ่ื เปน็ พระชัยประจำตัวของแตล่ ะคน เชน่ พระ พุทธปรฺมาสโย พระชัยประจำตัวพระยาประเสริฐศุภกิจ (เพิ่ม ไกรฤกษ์) (รูปท่ี ๖.๓๔ ก.) และทรงเน้น เร่ืองการลงยันต์ดวงชะตา และดวงฤกษ์หลอ่ พระ (รปู ท่ี ๖.๓๔ ข.) (Krairiksh 1979, 220 – 223) ตาม ตำราของพระองค์ท่าน ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้บ่งบอกให้เห็นว่า คณะมหานิกายดำเนินตามจารีตประเพณี ของลัทธิตันตระ แต่ใช้อักขระภาษาบาลีเป็นหลัก อันเป็นเหตุให้นักวิชาการปัจจุบันเรียกนิกายเถรวาทใน ประเทศไทยว่า “ตันตริกเถรวาท” (Crosby 2000, 141 – 142) พระพุทธรูปองค์นี้ พระเทพรจนา (สิน ปฏิมาประกร) เจา้ กรมช่างปน้ั ในกระทรวงวงั เป็นผปู้ ้ันหนุ่ ขผี้ ึง้ โดยใช้เวลา ๑๔ วัน และหลวงสุวรรณกิจ (เวศ ศิลปกิ ุล) เป็นผทู้ ำกะไหล่ทอง ทำการเททองหลอ่ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ (ค.ศ. 1917) พรอ้ มกนั น้ัน ยงั ได้ หล่อพระปรฺมาสโยองค์น้อยอีก ๓๐ องค์ สำหรับห้อยติดตัว และทำพิธีพุทธาภิเษก ปลุกเสกในปีต่อมา พร้อมกับพระชัยประจำตัวลูกศิษย์อีก ๓ คนด้วย พระชัยประจำตัวที่ให้แก่ลูกศิษย์เป็นพระพุทธรูปแบบ สุโขทัย มีชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี ซึ่งแตกต่างกับพระชัยประจำพระองค์ของท่านเอง ซ่ึงเป็นพระ พทุ ธสหิ งิ คจ์ ำลอง (ดูรปู ท่ี ๖.๒๗) รปู ท่ี ๖.๓๔ ก. พระพุทธปรฺมาสโย สร้างปี พ.ศ. ๒๔๖๐ (ค.ศ. 1917) นวโลหะ หนา้ ตักกว้าง ๑๐ เซนตเิ มตร สูง ๑๙ เซนตเิ มตร สมบัติของเอกชน รูปท่ี ๖.๓๔ ข. ยันตช์ ะตา ประจำตวั ของ พระยาประเสรฐิ ศภุ กิจ (เพ่ิม ไกรฤกษ)์ ดา้ นหลังพระพทุ ธปรฺมาสโย พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิเพชร ๓๔๑

หมวด ข. ปางมารวิชัย ถือตาลปตั ร ๓. พระชัยวัฒน์ (พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธเิ พชร ปางมารวิชัย ถือตาลปตั ร) พระชยั วัฒน์ สมยั รตั นโกสนิ ทร ์ พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธิเพชร ปางมารวิชัย พระหัตถ์ซา้ ยถอื ตาลปัตร เรม่ิ สร้างข้ึนในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ โดยถือวา่ เปน็ พระชยั ทกุ พระองค์ เพราะเจตนาในการสรา้ งนน้ั คือการนำมาซ่ึงชยั ชนะ เช่น เมื่อออกศึกสงคราม ก็อัญเชิญพระชัยนำทัพไป จึงเป็นท่ีมาของพระชัยหลังช้างของพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ดูรูปที่ ๓.๑๘) ต่อมาเม่ือได้มีการสร้างพระชัยประจำรัชกาลขึ้น จึงมีการเพิ่ม คำวา่ “วฒั น์” ข้นึ กลายเปน็ “พระชัยวัฒน”์ (ดูรูปท่ี ๓.๑๙ – ๓.๒๖) พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลมีขนาดเล็ก เพราะว่ายกไปในงานพระราชพิธีต่างๆ ได้สะดวก ใน ปจั จุบนั จะอญั เชิญไปประดษิ ฐานพร้อมกันในพระราชพิธฉี ัตรมงคล งานบำเพญ็ พระราชกุศลถวายรชั กาล ใด ก็จะอัญเชิญพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลนั้นเป็นประธาน เช่น พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลปัจจุบันก็จะ อัญเชญิ ไปในพระราชพิธเี ฉลิมพระชนมพรรษา เป็นตน้ พทุ ธลักษณะของพระชยั วฒั น์ประจำรชั กาลทง้ั ๘ องค์ แสดงใหเ้ หน็ พัฒนาการของพระพุทธปฏิมา บูชาสมัยรัตนโกสินทร์ซ่ึงสะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมได้อย่าง ชัดเจน พระชัยวัฒน์ประจำ ๓ รัชกาลแรกสืบทอดรูปแบบพระพุทธปฏิมาสมัยอยุธยา โดยดัดแปลง พระพักตร์ และนิ้วพระหัตถ์ รวมทั้งมีการลงยาพระรัศมี และจีวรตามพระราชนิยมให้รับกับค่านิยมร่วม สมัย (ดูรูปท่ี ๓.๑๙ – ๓.๒๑) แตเ่ มอื่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ข้นึ ครองราชย์ พรอ้ ม กับอุ้มชูคณะธรรมยุติกนิกายที่พระองค์สถาปนาข้ึน จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบพระพุทธปฏิมาให้มีพุทธลักษณะ ทีส่ อดคล้องกบั หลักฐานจากพระไตรปฎิ กทพี่ ระองคไ์ ดท้ รงตรวจสอบมาแล้ว เชน่ ไมพ่ บว่ามกี ารกลา่ วถงึ พระเมาลี นอกจากน้ันแล้วการครองจีวรก็เลียนแบบพระภิกษุในคณะธรรมยุติกนิกายเช่นกัน (ดูรูปที่ ๖.๓๓) ส่วนการปนั้ พระพุทธปฏิมาใหด้ เู ป็นธรรมชาตินั้น เปน็ ผลพวงของวฒั นธรรมตะวันตกที่เน้นความมี เหตุผลและความเหมือนจริง พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลต่อมาแสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชบายท่ีจะดำเนินรอยตามพระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ ทุกประการ (ดูรูปท่ี ๓.๒๓) พระชัยวฒั นข์ อง ๒ รชั กาลต่อมาแสดงใหเ้ ห็นว่าพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั มพี ระราชนยิ มแบบตะวันตก แต่ในระยะเวลาเดยี วกนั กม็ ีพระราชสำนกึ ในหนา้ ที่และความรบั ผดิ ชอบของ พระมหากษัตรยิ ์สยาม โดยที่พระพักตร์เป็นพระพุทธรปู ไทยแต่พระวรกายเปน็ ประตมิ ากรรมแบบตะวนั ตก (ดูรูปท่ี ๓.๒๔ – ๓.๒๕) ส่วนพระเกศาแบบคันธาระของพระชัยวัฒน์ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ ปกเกลา้ เจ้าอย่หู วั (ดูรูปที่ ๓.๒๕) น่าจะไดร้ ับมาจากพระราชนิยมของพระบรมชนกนาถ ทโี่ ปรดพระพุทธ รปู แบบคนั ธารราษฎร์ (ดรู ปู ที่ ๘.๑๐๐) แตค่ รองจีวรแบบมหานิกาย ต่อมาในรชั กาลปัจจุบนั พระชยั วฒั น์ ประจำรัชกาลเป็นพระพุทธรูปแบบสุโขทัยประยุกต์ (ดูรูปที่ ๓.๒๖) ซ่ึงอาจจะสะท้อนให้เห็นกระแสของ ความเปน็ ชาตินยิ มท่เี ข้มข้นในรชั กาลปัจจบุ ัน ๓๔๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศลิ ป์ไทย

หมวด ค. ปางมารวิชัย ทรงเคร่ือง พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงเครื่อง เป็นหมวดท่ีมีจำนวนน้อยมากเม่ือ เปรียบเทียบกับพระพุทธปฏิมาในหมวดประทับขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัยทรงเครื่อง พระพุทธปฏิมาใน หมวดนีม้ ี ๒ แบบ แบบท่ี ๑ ทรงครองจีวรหม่ ดอง สวมอณุ หิสห้ายอด แบบท่ี ๒ ทรงเปลือยพระอุระ และทรงเคร่อื งแบบพระมหากษัตรยิ ์ ซง่ึ ทงั้ สองแบบนนั้ พบเฉพาะท่ีสร้างข้ึนทภ่ี าคกลางในสมยั อาณาจกั ร กัมโพช และทภ่ี าคเหนอื ในสมัยอาณาจกั รลา้ นนา ๔. พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ๔.๑ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางมารวิชัย ทรงเครอ่ื ง สมยั อาณาจกั รกมั โพช พ.ศ. ๑๘๒๕ – ๑๘๙๔ (ค.ศ. 1282 – 1351) พระพุทธปฏิมาแบบท่ี ๑ ทรงครองจีวรห่มดอง สวมอุณหิสห้ายอด มีแถบผ้าผูกไขว้กันเป็นเงื่อน กระตุกเหนือพระกรรณทั้งสองข้าง ทรงกรองศอ และพาหุรัด เช่น องค์ในพระท่ีน่ังอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (รูปท่ี ๖.๓๕) ซ่ึงน่าจะได้รับอิทธิพลโดยตรงจากพระพุทธปฏิมาอินเดียที่สร้างขึ้นใน ราชวงศ์ปาละ – เสนะ ทป่ี กครองรฐั พิหารและเบงกอล อยา่ งพระพุทธปฏมิ าที่สรา้ งข้ึนในรชั สมัยของ พระเจ้าวคิ รหปาละที่ ๓ (พ.ศ. ๑๕๘๔ – ๑๖๑๐ / ค.ศ. 1041 – 1067) (Ray 1986, Fig. 248) (รปู ท่ี ๖.๓๖) โดยองค์ที่สร้างข้ึนในประเทศไทยได้ดัดแปลงอุณหิสห้ายอดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระชินพุทธะห้า พระองค์ในลทั ธวิ ชั รยาน และฐานหน้ากระดานเพิ่มมมุ เป็นฐานปัทม์สามหยกั ใหส้ อดคลอ้ งกบั ค่านยิ มของ ทอ้ งถนิ่ ซึ่ง ณ ทนี่ ี้จะได้แก่รฐั กมั โพช ซ่ึงมศี นู ยก์ ลางอยูท่ ่ีลพบุรี ในภาคกลางตอนล่างของประเทศไทย รูปท่ี ๖.๓๕ พระศากยมุนีประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัย ทรงอุณหสิ หา้ ยอด ครึ่งหลังพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ (ครึ่งแรกครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13) สัมฤทธ์ิ สงู ๑๒ เซนตเิ มตร พระทนี่ ง่ั อัมพรสถาน พระราชวงั ดุสิต รูปท่ี ๖.๓๖ พระศากยมนุ ปี ระทับขัดสมาธเิ พชร ปางมารวิชยั ทรงอุณหิสห้ายอด พบทีก่ รุ กิหาร รฐั พิหาร ประเทศอนิ เดีย ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ต้น ๑๗ (กลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 11) สัมฤทธิ์ สูง ๒๑ เซนติเมตร Patna Museum, Bihar พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธเิ พชร ๓๔๓

๔.๒ พระพุทธปฏิมาประทับขดั สมาธิเพชร ปางมารวชิ ยั ทรงเครือ่ ง สมยั อาณาจกั รลา้ นนา ชว่ งอาณาจกั รลา้ นนา - ยุครงุ่ เรือง พ.ศ. ๑๘๙๘ – ๒๐๖๘ (ค.ศ. 1355 – 1525) พระพทุ ธปฏิมาแบบที่ ๑ อีกองค์หน่งึ ทรงครองจีวรห่มดอง ชายจีวรพาดอยเู่ หนอื พระถนั ทรงสวม อุณหสิ ห้ายอด มแี ถบผา้ ไขวก้ นั เป็นเงื่อนกระตกุ ทง้ิ ชายเหนอื พระกรรณทงั้ สองข้าง ทรงกณุ ฑล กรองศอ และพาหุรดั เป็นพระหริภุญชัยโพธิสตั ว์ เดมิ ประดษิ ฐานอยทู่ ว่ี ดั พระธาตหุ ริภญุ ชยั จงั หวดั ลำพูน (ดำรง- ราชานุภาพ ๒๔๙๔, ๔๙) ปัจจบุ ันประดิษฐานอยทู่ ีว่ ดั เบญจมบพติ รดสุ ติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร (รูปที่ ๖.๓๗) พระพุทธปฏิมาองค์นี้มีพุทธลักษณะที่ถอดแบบมาจากพระพุทธปฏิมาอินเดีย เช่น อุณหิสวางอยู่ เหนือเม็ดพระศกแถวแรก พระเนตรเหลือบลงแต่ปลายตวัดข้ึนไปท่ีปลายพระขนง นอกจากน้ันแล้วชาย แถบผ้าเหนือพระกรรณ ก็ยังลอกแบบมาจากของอินเดียเช่นกัน เมื่อพิจารณาพุทธลักษณะทั้งหมด โดยรวมและฝีมอื การหล่อชัน้ ครู แสดงใหเ้ ห็นว่านา่ จะสรา้ งข้ึนในรชั สมัยของพระเจา้ ติโลกราช จึงเปน็ ไป ไดว้ ่าพระพุทธรปู องคน์ ้ีอาจจะสร้างข้ึนในช่วงตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ (กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15) สว่ นพระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางมารวชิ ัย ทรงเครอ่ื ง ซึง่ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ - เจ้าอยหู่ ัวมพี ระราชหัตถเลขาถงึ สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรสวา่ “พระทรงเครื่อง ลำพูน ที่ต้ังอยู่ในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรเป็นพระที่มีองค์เดียวไม่มีสองงามเลิศล้น” (พระราช หัตถเลขา ๒๕๑๔, ๑๙๖) (รปู ที่ ๖.๓๘) พระพทุ ธปฏิมาองค์น้ี นา่ จะจำลองมาจากองค์ทีก่ ล่าวถึงเบื้องตน้ เพราะเพิ่มไรพระศกข้ึนใต้เม็ดพระศกแถวแรก นอกจากน้ันแล้ว ยังครองจีวรทับสร้อยพระศอซ้าย ส่วน พาหุรัด เกยูร และทองพระกรดา้ นซ้ายสวมทบั บนจวี รอกี ตอ่ หน่ึง พระพทุ ธรปู องคน์ ้จี ึงอาจจะสร้างขึน้ ใน รัชสมัยของพญาแกว้ ในชว่ งกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ (ปลายครสิ ต์ศตวรรษที่ 15 – ตน้ 16) รูปที่ ๖.๓๗ พระหรภิ ุญชยั โพธิสตั ว์ รูปที่ ๖.๓๘ พระหรภิ ุญชัยบรมโพธ์สิ ตั ว์ จากวัดพระธาตหุ รภิ ุญชยั จงั หวดั ลำพนู กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ (ปลายคริสตศ์ ตวรรษท่ี 15 - ต้น 16) (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 15) สัมฤทธิ์ หนา้ ตักกว้าง ๖๖ เซนตเิ มตร สมั ฤทธิ์ สงู ๘๒ เซนตเิ มตร สงู ๑.๑๖ เมตร ศาลาบัณณรศภาค วดั เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม ระเบยี งพระอโุ บสถวดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม กรงุ เทพมหานคร กรุงเทพมหานคร ๓๔๔ พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พทุ ธศลิ ป์ไทย

พระพุทธปฏมิ าประทบั ขัดสมาธิเพชร ๓๔๕

เป็นไปได้ว่าพระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัยทรงเครื่อง ที่ได้จากวัดพระธาตุ หริภญุ ชยั ลำพนู ทก่ี ำหนดอายุอยูใ่ นชว่ งตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ – กลาง ๒๑ (กลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 15 – ต้น 16) สรา้ งข้ึนในคณะสงฆท์ ไ่ี ดศ้ ึกษาคมั ภีรล์ ทั ธติ ันตระยาน โดยเฉพาะ กาลจกั รตนั ตระ ทเี่ นน้ การทำ วิปัสสนากรรมฐานท่ีเช่ือมจุดสำคัญภายในตนเองกับระบบของจักรวาล รวมท้ังศึกษาระบบปฏิทิน และ โหราศาสตร์ (Keown 2003, 134) พรอ้ มกับเคารพบูชาพระอาทพิ ุทธะ หรอื พระปฐมพทุ ธะ ทั้งนเี้ พราะ จากการบอกเล่าของภิกษุชาวอินเดียฉายาว่าพุทธคุปตะ ผู้เป็นอาจารย์ของพระภิกษุตารนาถ ชาวทิเบต (พ.ศ. ๒๑๑๘ – ๒๑๗๗ / ค.ศ. 1575 – 1634) กล่าวว่า ท่านได้ไปพำนักอยู่เป็นเวลานาน เพ่ือสดับฟังเทศนาจากพระสูตร และ กฎระเบียบของมนตร์ลับ เท่าที่จะสามารถทำได้จากบัณฑิต ธรรมากษโฆษ วัดมหาธาตุ ที่หริภุญชัย และจากฆราวาส บัณฑิตปารเหตนันทโฆษท่ีพะโค พระครเู หลา่ นีเ้ ป็นสานุศษิ ย์ของมหาสทิ ธศานติปาท (Ray 1936, 85 – 86) ในบริบทของนิกายเถรวาทในประเทศไทย หลักฐานข้างต้นมิได้แสดงให้เห็นว่าลัทธิตันตระยาน เป็นศาสนาหลักของวัดพระธาตุหริภุญชัยในช่วงระยะเวลานั้น เพียงแต่ให้ข้อมูลว่า มีพระภิกษุฉายาว่า ธรรมากษโฆษ ซึ่งน่าจะเป็นภิกษุฝ่ายคามวาสี หรือนครวาสี เพราะจำวัดอยู่ท่ีวัดมหาธาตุ เป็นผู้มีความ รอบรใู้ นลทั ธิตนั ตระยาน และไดศ้ ึกษาเล่าเรยี นคมั ภรี ต์ นั ตระจากพระอาจารย์ในระดบั มหาสิทธ คือผทู้ ี่ได้ ศึกษาเวทมนต์และคาถา จนมีอำนาจวิเศษ ซ่ึงสอดคล้องกับความเชื่อของฝ่ายนครวาสี อันสืบทอดมา จากคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะซ่ึงมีทุนเดิมจากลัทธิวัชรยานอยู่แล้ว จึงไม่เป็นท่ีน่าแปลกใจว่า ทายาทของ คณะนคี้ อื คณะมหานกิ ายในปัจจุบัน ทีใ่ หค้ วามสำคัญตอ่ มนตร์ ยันตร์ (อุรคนิ ทร์ [ม.ป.ป.]) ระบบปฏิทนิ และโหราศาสตร์ จนนักวิชาการชาวต่างประเทศรุ่นใหม่ขนานนามนิกายเถรวาทในประเทศไทยว่า “ตนั ตรกิ เถรวาท” หลกั ฐานทก่ี ลา่ วถึงข้างตน้ ยังทำให้สันนิษฐานได้ว่า พระพทุ ธปฏมิ าประทับขัดสมาธเิ พชร ปางมารวิชยั ทรงเคร่อื ง นา่ จะสรา้ งข้นึ ภายใต้ฝา่ ยคามวาสี และอาจจะเป็นพระสมณโคดมในฐานะท่ีพระองค์ทรงเป็น พระปฐมพทุ ธเจ้ากเ็ ป็นได ้ พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ปางมารวชิ ยั ทรงเครอ่ื ง แบบที่ ๒ คอื แบบท่ไี มส่ วมไตรจีวร แต่ทรงฉลองพระองคอ์ ย่างกษตั ริย์ เชน่ องคใ์ นพพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เชยี งใหม่ (รปู ที่ ๖.๓๙) ทรง มงกุฎยอดสูงทรงบัวตูม สวมสังวาลไขว้ ทับทรวงเป็นทับทิม ทรงพาหุรัด เกยูร ทองพระกร ประทับ เหนือฐานบัวหงายรองรับด้วยฐานเขียงสองช้ัน และขาชนวน จากพุทธลักษณะและรูปแบบของฐานดัง กล่าว สันนิษฐานได้ว่าน่าจะสร้างข้ึนในสมัยพญาแก้ว ประมาณกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ (ปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 15 – ต้น 16) รูปที่ ๖.๓๙ พระสมณโคดม ปางโปรดพญาชมพูบดี กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ (ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15 – ต้น 16) สมั ฤทธิ์ สูง ๕๖ เซนติเมตร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่ ๓๔๖ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ๓๕

พระพุทธปฏมิ าในแบบท่ี ๒ อาจจะเปน็ พระสมณโคดมโปรดพญาชมพูบดี กลา่ วคือ เมอ่ื พระพุทธองค์ ทรงเนรมิตพระองค์เป็นพระจักรพรรดิราชทรงเคร่ืองอย่างพระมหากษัตริย์ ทรงพระธรรมเทศนาโปรด พญาชมพูบดี จนทรงเล่ือมใสและขอบรรพชา ตามท่ีกล่าวถึงในชมพูบดีสูตรซ่ึงเป็นเรื่องพุทธประวัติที่ แตง่ ข้ึนในประเทศไทย โดยสอนให้ผทู้ ม่ี ีบุญวาสนาเกิดมาร่ำรวยและนึกว่าตนเองเป็นใหญ่ เที่ยวรังแกผอู้ ื่น ได้สำนึกตัววา่ การออกบวชและสำเรจ็ เปน็ พระอรหันตน์ นั้ เปน็ สดุ ยอดของความปรารถนา โดยมีตัวอยา่ ง คอื พระเจ้าชมพูบดี พระนามของพระองคแ์ ปลว่าผู้เปน็ ใหญ่ในชมพทู วีป ทรงมีฤทธ์ิเดชมาก วันหน่งึ เหาะ ไปยังปราสาทของพระเจ้าพิมพิสาร ไม่พอพระทัยท่ีมีคู่แข่งจึงถีบยอดปราสาท แต่ด้วยอานุภาพของ พระพุทธองค์ซ่ึงคุ้มครองพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นสาวก จึงทำให้พระบาทของพระเจ้าชมพูบดีแตกมี พระโลหติ ไหล และเม่ือทรงฟันยอดปราสาทด้วยพระขรรค์แล้ว พระขรรคก์ บ็ ่นิ จึงส่ังให้วษิ ศร ศรวิเศษ ไปร้อยพระกรรณพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารหลบหนีไปท่ีเวฬุวนาราม ที่พระพุทธเจ้าประทับ พระพทุ ธเจ้าจึงเนรมติ จักรข้นึ มาขับไลว่ ษิ ศรกลับไป และเมื่อพระเจ้าชมพูบดสี ง่ นาคไปจับพระเจา้ พมิ พสิ าร พระพุทธเจ้าก็ส่งครุฑไล่ขับนาคกลับไปเช่นกัน พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่าพระเจ้าชมพูบดีน้ันมีปัญญา สามารถจะบรรลุมรรคผลได้ จึงตรัสให้พระอินทร์แปลงเป็นราชทูต ไปเรียกพระเจ้าชมพูบดีให้มาเฝ้า พระอินทร์ทรงตรัสกับพระเจ้าชมพูบดีว่า เมื่อพระองค์ยังไม่ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังพระเจ้า ราชาธิราช พระอินทร์จะทรงพาไปเฝา้ เอง พระเจ้าชมพบู ดีได้ฟังเข้าก็ทรงพิโรธจึงขวา้ งวิษศรไปที่ราชทตู พระอินทร์ก็เนรมิตจักรข้ึนมาต่อสู้ ศรหนีไปเข้าแล่ง และจักรก็ลากพระเจ้าชมพูบดีจนตกจากพระแท่น จึงหมดฤทธิ์ยอมไปเข้าเฝ้าพระเจ้าราชาธิราช พระองค์ทรงเนรมิตเวฬุวนารามให้เป็นมหานครล้อมด้วย กำแพงเจ็ดช้ัน มีความสมบูรณ์พูนสุข แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนิรมิตพระองค์เองเป็นพระเจ้าราชาธิราช ทรงฉลองพระองค์ของพระเจ้าจักรพรรดิราช เม่ือพระเจ้าชมพูบดีเข้าเฝ้าทรงแสดงฤทธ์ิเดชต่าง ๆ จน พระเจ้าชมพูบดีสู้ไม่ได้ จึงยอมจำนน พระเจ้าราชาธิราชจึงแสดงพระองค์เป็นพระพุทธเจ้า แล้วเทศนา ธรรมโปรดพระเจ้าชมพบู ดี ซ่งึ เกิดความเล่อื มใส เสด็จออกผนวช และสำเรจ็ เป็นพระอรหนั ต ์ หลักฐานของพม่าเช่ือกันว่า ปางนี้เกิดข้ึนท่ีเชียงใหม่ก่อนที่จะนำไปแพร่หลายที่อื่น (San Tha Aung 1979, 66) ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั พระวินิจฉัยของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพที่ทรงสนั นษิ ฐาน ว่า หนังสอื มหาชมพปู ติสตู ร ซ่งึ อย่ใู นหมวดสตุ ตสังคหะ คือหนังสอื ซ่งึ สงเคราะหร์ วมอยู่ใน พระสุตตันต- ปิฎก น้ัน แท้จริงแล้วมไิ ด้รวมอยู่ในพระไตรปิฎกคมั ภีรใ์ ด “ผูช้ ำนาญภาษาบาฬไี ดต้ รวจสำนวน เห็นว่าเป็น หนังสือแต่งในแถวประเทศของเราน้ี ภายหลังหนังสือจามเทวีวงศ์ และรัตนพิมพ์วงศ์” (ท้าวมหาชมพู ๒๔๖๔, ๔) จึงเป็นไปได้ว่า มหาชมพูปติสูตร เป็นวรรณกรรมภาษาบาลีอีกเร่ืองหนึ่งที่แต่งขึ้นโดยพระ ภิกษชุ าวไทย ซง่ึ นา่ จะเปน็ พระภิกษุฝ่ายอรญั วาสี ในรัชสมยั พญาแก้ว ๓๔๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย

หมวด ง. ปางสมาธ ิ ชว่ งก่อนรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ / ค.ศ. 1851 -1868) พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ มีจำนวนนอ้ ยมาก แตห่ ลังจากนน้ั มจี ำนวนเพิม่ ขน้ึ เล็กนอ้ ย ๕. พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธเิ พชร ปางสมาธ ิ ๕.๑ พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธเิ พชร ปางสมาธิ สมัยอยธุ ยา ช่วงเมอื งลกู หลวง พ.ศ. ๑๙๙๑ – ๒๑๓๓ (ค.ศ. 1448 – 1590) พระพุทธปฏิมาที่สร้างข้ึนก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๕ (กลางคริสต์ศตวรรษท่ี 19) ท่ีสำคัญได้แก่ พระพุทธปฏิมาของพระเจ้ายุธิษฐิระ โอรสของพระมหาธรรมราชาท่ี ๔ กษัตริย์สุโขทัย ซึ่งจารึกที่ฐาน พระพุทธรูปให้ความว่าเป็น พระราชาผู้ครองเมือง “อภินว” โปรดให้สร้างข้ึนในปี พ.ศ. ๒๐๑๙ (ค.ศ. 1476) ซึ่งน่าจะได้แก่เมืองพะเยา ซึ่งพญายุธิษฐิระเป็นผู้สร้างขึ้นใหม่ (พิเศษ ๒๕๔๖, ๑๑๓) พระเจ้ายุ ธิษฐิระพระองค์นี้สันนิษฐานว่าเป็นพระราชบุตรเล้ียงของสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ แห่งอาณาจักร อยุธยา (เทิม ๒๕๓๐, ๘๐ – ๘๑) ต่อมาเกิดขัดพระทัยกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ จึงยกเมือง พิษณุโลกให้กบั พระเจา้ ติโลกราช กษตั ริยล์ ้านนา หลงั จากสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถตีเมอื งพิษณโุ ลกได้ แลว้ พระเจ้าติโลกราชจงึ แตง่ ต้งั พระยายธุ ษิ ฐริ ะให้ไปครองเมืองพะเยา พระพุทธรูปของพระเจ้ายุธิษฐิระ (รูปท่ี ๖.๔๐) มีพุทธลักษณะพิเศษท่ีไม่เหมือนพระพุทธปฏิมาที่ สรา้ งขนึ้ ท่ีอยธุ ยาหรอื ทีล่ ้านนา คอื มพี ระพักตรเ์ สยี้ ม พระเมาลเี ล็ก พระรศั มีเป็นบวั ตูม พระวรกายโปรง่ บาง ประทับขัดสมาธิเพชรเช่นเดียวกับพระพุทธปฏิมาในหมวดพระพุทธสิหิงค์ แต่พระหัตถ์อยู่ในปาง สมาธิ และชายจีวรยาวจรดพระนาภี คล้ายพระพุทธปฏิมาในหมวดพระรัตนปฏิมา ประทับเหนือฐานบัว หงายรองรบั ดว้ ยฐานหน้ากระดานยอ่ มมุ ไมส้ ิบสอง และฐานเขยี งต้ังบนขาชนวน รูปที่ ๖.๔๐ พระพทุ ธรปู ของพญายธุ ิษฐิระ จากเจดีย์วดั ป่าแดงหลวงดอนชัยบุนนาค ตำบลทา่ วงั ทอง (ดงเจน) อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดพะเยา สรา้ งปี พ.ศ. ๒๐๑๙ (ค.ศ. 1476) สัมฤทธ์ิ พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิเพชร ๓๔๙

รูปที่ ๖.๔๑ พระประธานวัดเทพศิรนิ ทราวาส ๕.๒ พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางสมาธิ สมัยรัตนโกสนิ ทร ์ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) สัมฤทธ์ิ หนา้ ตักกว้าง ๑.๑๒ เมตร สงู ๑.๕๐ เมตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของสมเด็จพระบรม- พระอุโบสถวดั เทพศิรนิ ทราวาส ชนกนาถโดยทรงนำเอาพุทธลักษณะของพระพุทธรูปท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ กรุงเทพมหานคร ใหส้ ร้างข้ึน เช่น พระนริ ันตราย (องค์ครอบ) (ดูรปู ท่ี ๓.๘๘ ข., ๓.๘๙ ข.) เปน็ พุทธลกั ษณะของพระพุทธรปู สำคัญในรัชกาลของพระองค์ เช่น พระพุทธนฤมลธรรโมภาส พระประธานวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ อำเภอบางปะอิน จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา (ดูรูปที่ ๓.๔) ซง่ึ โปรดเกลา้ ฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ประดิษฐวรการเป็นผู้ปั้นหล่อข้ึนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๐ (ค.ศ. 1877) (สุทธาสินีนาฎ ๒๔๗๒, ๑๑) และ พระประธานพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส (รูปที่ ๖.๔๑) ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้หล่อและอัญเชิญมา ประดิษฐานในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย

พระพุทธรปู ประทบั ขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ ท่ีสร้างขนึ้ ในรชั กาลน้ียงั มี พระพทุ ธรปู ประจำจังหวดั ๔ จงั หวดั หล่อข้ึนโดยพระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าคณะมณฑลกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ. 1900) โดยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวได้ถวายพระนามพระพทุ ธรูปทงั้ ๔ องค์ ดงั น ้ี พระปทมุ ราช ประจำจังหวดั ปทุมธาน ี พระนนทนารถ ประจำจังหวัดนนทบุร ี พระนครศาสดา ประจำจังหวัดนครเขือ่ นขนั ธ์ (ปัจจุบนั อำเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ) พระสมุทรมหามุนินท ์ ประจำจงั หวดั สมุทรปราการ พระพุทธรูปทั้ง ๔ องค์น้ีมีขนาดเท่ากันหมด และถอดแบบมาจากพระประธานวัดปรมัยยิกาวาส (ดูรูปท่ี ๕.๑๖๑) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าประดิษฐวรการเป็นผู้ป้ันพอกพระพุทธรูปองค์เดิม แตกต่างกันตรงที่ พระพุทธรูปประจำจังหวัด ประทับขัดสมาธเิ พชรแทนขดั สมาธริ าบ และเป็นปางสมาธิแทนปางมารวิชยั มีพระเมาลที รงโอคว่ำ เช่น พระนนทนารถ ซงึ่ ถวายพระนามใหมว่ า่ “พระนนทมุนนิ ท”์ ตามทีจ่ ารกึ ไวท้ ฐี่ านพระพุทธรปู (รปู ท่ี ๖.๔๒) แตเ่ ปน็ ทน่ี ่าเสียดายวา่ พระพทุ ธรูปประจำจงั หวัดทง้ั ๔ องค์นี้ ปจั จุบนั พระสมทุ รมหามุนินท์ พระประจำ จงั หวัดสมทุ รปราการได้หายสาบสูญไปแลว้ (อารมณ์ ๒๕๓๐, ๖๙ – ๗๒) รปู ที่ ๖.๔๒ พระนนทมนุ ินท์ สร้างปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ค.ศ. 1900) สัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๗๕ เซนตเิ มตร พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ วัดปรมัยยกิ าวาส อำเภอปากเกรด็ จงั หวดั นนทบุร ี พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ๓๕๑

รูปที่ ๓.๙๐ พระพุทธรูปของแกรนด์ดยกุ เฮส ถึงแม้ว่าพระพุทธรูปของแกรนด์ดยุก เฮส (ดูรูปที่ ๓.๙๐) จะมิได้สร้างข้ึนในประเทศไทย และมี สรา้ งโดย กสุ . บราดซเท็ตเทอร์ พุทธลักษณะท่แี ปลกไปจากพระพุทธรูปของไทย คือ ไม่ครองจวี ร แตโ่ พกผา้ ทีพ่ ระเศียร พระหัตถแ์ สดง (Guss. Bradstetter) ปางสมาธแิ บบจีนและญี่ปุ่น (Bunce 1997, 133 – 134) แต่ท้งั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1907) และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตา่ งกท็ รงยอมรบั วา่ เปน็ พระพทุ ธรูป ความวา่ สัมฤทธิ์ สงู ๔๑ เซนตเิ มตร เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปคร้ังแรกปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) พระท่ีน่งั ราชกรัณยสภา ได้ทรงคนุ้ เคยกับ แกรนด์ดยกุ เอิรนสท์ ลดุ วิก (Ernst Ludwig) เจา้ ผู้ครองนครเฮส (Hess) และเปน็ ที่ พระบรมมหาราชวงั ชอบพระราชอัธยาศัยกัน และเมื่อเสด็จประพาสยุโรปคร้ังท่ีสอง อีกสิบปีต่อมา แกรนด์ ดยุก เฮส จึง (ภาพจากหนังสอื พระพุทธปฏิมา จำลองพระพุทธรูป ซึ่งสร้างขึ้นโดยนายกุส. บราดซเท็ตเทอร์ (Guss. Bradstetter) ที่เมืองมิวนิค ในพระบรมมหาราชวัง) (อภินนั ท์ เลม่ ๒ ๒๕๓๕, ๑๒๖) มาถวายระหวา่ งทป่ี ระทับอย่ทู ี่เมืองซนั เรโม (San Remo) ประเทศอติ าลี พระองคม์ พี ระราชหัตถเลขาถงึ สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟา้ นภิ านภดล เก่ียวกับพระพทุ ธรูปองค์น้วี ่า อนึ่งพ่อลืมเล่าถึงเรื่องพระ ที่แกรนด์ดุ๊กออฟเฮสสร้างไว้ท่ีวุฟกาเตน เมือง ดามสตาดนั้น รังสิตได้ไปวานตาโปรเฟสเซอ ผู้ท่ีทำตัวอย่างพระนั้นเอง ถ่าย อย่างลดสว่ นขนาดยอ่ มลงรูปหน่งึ ได้มาท่นี ่ีแล้ว พวกฝรั่งบ่าวต่นื เต้นกันว่าหนัก เต็มท่ี ถึงครึ่งตัน จะต้ังโต๊ะไหนมันกลัวหักเสียหมด ทำฝีมือดีมาก หน้าตา กล้ำเน้ือเปนคนหมด เว้นไว้แต่ถ้าจะดูเปนพระแล้วไม่แลเห็นว่าเปนพระ เพราะ เปลือยกายไม่มีผ้าห่ม กลับไปมีผ้าโพก อาการกิริยาท่ีน่ังสมาธ์ิเพช แต่เท้าท้ัง สองข้างชัน ไม่ราบลงไปกับตักเหมือนกับพระเราๆ ... มือเอานิ้วชี้งอข้างหลัง น้ิวชนกัน นิ้วแม่มือปลายน้ิวชนกัน เปนพวกพระเชียงรุ้ง ไซเบียเรีย พวกท่ีถือ หม้อน้ำมนต์ฤาบาตร กรมสมมตออกวาจาว่าถ้าดูเปนพระแล้วออกฉุน ๆ ถ้าดู เปนรูปตุ๊กตาแล้วงาม กรมดำรงต้องการ จะเอาไปเข้าแถวพระระเบียงวัด เบญจมบพิตร แต่คร้ันเมื่อเห็นแล้ว เห็นว่าเข้ากันไม่ได้ ไม่เปนพระอย่างไทย เขาร้องว่าขาดผ้าพาด ถ้าจะไปถ่ายตัวอย่างที่บางกอก กดพิมพ์แล้วใช้ได้ ต้อง ทำขนาดเดียวกัน แต่ที่จะขยายให้ใหญ่ข้ึนนั้น เปนพ้นวิไสยท่านเจ้ามา ฤาพระ ประสิทธิจะทำได้ ต้องการความรู้อยู่ในนั้นมาก พ่อได้สั่งให้ส่งเข้าไปต้ังห้อง บรอนซ์ (จลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ร.ศ. ๑๒๖, (๑.) ๓๕๑ – ๓๕๒) และเม่ือเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วยังมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสวา่ มีพระราชดำรทิ จ่ี ะจำลองพระนิรนั ตราย ส่งไปพระราชทาน แกรนดด์ ยุก เฮส สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มลี ายพระหตั ถเ์ กยี่ วกบั พระพทุ ธรปู ของ แกรนดด์ ยุก เฮส วา่ แกรนด์ดยุกเฮส สร้างพระพุทธรูปนั้น ด้วยอุตสาหะใหญ่มาก แลคงทำได้ด้วย ยากกวา่ ทำในนห้ี ลายสว่ น เกินกว่าจะทำเลน่ นบั วา่ ทำด้วยอำนาจความพอใจแท้ แลช่างนกึ ใหอ้ ย่างออกน่าเอ็นดฯู ข้อทม่ี ีพา้ โพกกนั โสนน้ัน จะเปนอยา่ งพระพม่า มีผ้าคลุมหรือกุให้ฯ แต่ถ้าแกรนด์ดุกทราบว่า พระอยู่ป่าคลุมสีสะได้ จะพอ พระทัยเปนแน่ฯ แต่ถ้าเปนคนรู้จักคุ้นเคยกัน แทบจะต้องขอโทษเพราะเหตุ ดูแคลนฯ ตามความสนทนากับพระองค์รังสิตเห็นแกรนด์ดยุกเปนคนตรงฯ แปลกที่เป็นฝรั่งแต่นิยมธรรมของตะวันออก ไม่มีคำอะไรจะกล่าวให้สมกับว่า เม่ือชาติหลังเคยเปนชาวตวันออกฯ (พระราชหตั ถเลขา ๒๕๑๔, ๖๘ – ๖๙) พระราชหัตถ์เลขาที่อ้างถึงข้างต้น แสดงให้เห็นว่าทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มพี ระราชวสิ ยั ทกี่ ว้างไกล พรอ้ มทจี่ ะเปดิ รับรปู แบบใหม่ ๆ พรอ้ มกบั ทรง หาเหตผุ ลท่จี ะเขา้ มาสนับสนนุ พระพทุ ธรูปของแกรนด์ดยุก เฮส ว่า ชอบธรรมในพระพุทธศาสนา ๓๕๒ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปไ์ ทย

อนึ่ง แกรนด์ดยุก เฮส พระองค์น้ีทรงเป็นพระราชโอรสของเจ้าหญิงอลิซ (Alice) พระราชธิดา องค์โปรดของสมเด็จพระนางเจ้าวกิ ตอเรีย พระบรมราชนิ ีนาถของสหราชอาณาจกั ร ทรงเปน็ เจา้ ผคู้ รอง นครรัฐแห่งหน่ึงในเยอรมนี ที่ทรงมีความคิดเห็นทันสมัย แตกต่างจากเจ้านายองค์อื่น ๆ ดังท่ีเคยได้ รบั สั่งไวว้ า่ เม่ือฉันไปงานเฉลิมพระชนม์พรรษาสมเด็จพระเจ้าไกเซอร์ที่กรุงเบอร์ลิน ฉันมัก จะเห็นว่า เจ้าผู้ครองนครหลายพระองค์ ทรงมีทัศนคติท่ีล้าหลังมาก จนทำให้ ฉันรู้สึกว่า เม่ือเปรียบเทียบกับองค์อ่ืน ๆ แล้ว ความคิดเห็นของฉันเป็นแบบ สังคมนยิ มอยา่ งแท้จริง (Fahr – Becker 1997, 236) นอกจากน้นั แล้ว คำจารกึ ท่ีพระองคโ์ ปรดให้สลักขน้ึ ท่ี หออภิเษกสมรสในกรุงดามสตาด (Darmstadt) ยังแสดงให้เห็นพระอุปนิสัยของพระองค์เองท่ีสอดคล้องกับพระราชอัธยาศัยของพระบาทสมเด็จพระ จลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั เช่นกนั คือ เคารพจารตี ประเพณี และกล้าทจี่ ะริเร่ิมส่งิ ใหม่ๆ ซ่อื สัตย์ตอ่ ตนเอง และจริงใจ ตอ่ คนรกั (เร่ืองเดียวกนั , หนา้ เดียวกนั ) เม่ือครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระอนุชาธิราช เจา้ ฟา้ จกั รพงษภ์ วู นาถ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถ ซ่ึงเสดจ็ ไปทรงศึกษาวชิ าการทหารอยใู่ นราชสำนกั พระเจ้าซาร์นิโคลาสท่ี ๒ ที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ให้หาหยกสีเขียวเพื่อสลักเป็น พระพุทธรูป สมเด็จพระอนุชาธิราชจึงโปรดให้ห้างคาร์ล ฟาแบร์เช่ (Carl Fabergéé ) เป็นผู้จัดทำถวาย แต่เม่ือใกล้จะสำเร็จเกิดชำรุด จึงต้องหาหยกมาสลักข้ึนใหม่ ตามพระพุทธรูปต้นแบบท่ีได้ส่งไปจาก กรงุ เทพฯ จนแลว้ เสรจ็ เปน็ พระแกว้ มรกตนอ้ ย (ดรู ปู ที่ ๓.๙๗ ก.) ส่วนองค์ท่ีชำรุดนั้น หา้ งฟาแบรเ์ ชไ่ ด้ ดัดแปลงเป็นพระพทุ ธรปู ประทบั ขดั สมาธิเพชร ปางสมาธิ โดยจำลองแบบมาจากพระพุทธรูปซ่งึ เป็นพระ ราชนิยมในสองรัชกาลก่อนหน้า คือ มีพุทธลักษณะเหมือนคนสามัญ และไม่มีพระเมาลี ประทับบนฐาน บวั คว่ำบวั หงาย และมเี ครือ่ งหมาย ของห้าง และปีทสี่ ร้างสลกั ไว้ใต้ฐานพระพทุ ธรปู อกี ด้วย (รูปท่ี ๖.๔๓) ปัจจุบนั พระพุทธรปู องคน์ ้ีประดษิ ฐานอย่ใู นพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาตพิ ระนคร รูปท่ี ๖.๔๓ พระพทุ ธรปู ฟารแ์ บร์เช ่ รปู ที่ ๓.๙๗ ก. พระพทุ ธมณรี ัตนปฏิมากร สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๕๗ (ค.ศ. 1914) (พระแก้วมรกตองคน์ ้อย) หยกรัสเซยี สเี ขียว สลักปี พ.ศ. ๒๔๕๗ (ค.ศ. 1914) หนา้ ตักกว้าง ๑๑ เซนตเิ มตร หยกสเี ขยี ว สูงรวมฐาน ๑๙.๓ เซนติเมตร หนา้ ตักกว้าง ๒๕ เซนติเมตร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สูง ๓๗ เซนติเมตร หอพระสลุ าลยั พิมาน พระบรมมหาราชวงั กรงุ เทพมหานคร พระพทุ ธปฏิมาประทับขดั สมาธเิ พชร ๓๕๓

อนงึ่ หา้ งฟาแบร์เช่ ซึ่งเปน็ หา้ งประจำราชสำนักของพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ และเปน็ ทรี่ จู้ กั กนั ดี ในราชสำนักสยาม เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทอดพระเนตรร้านของ ฟาแบรเ์ ชใ่ นกรงุ มอสโคว์ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินประพาสทวีปยุโรปคร้ังแรกใน พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) นอกจากน้ันแล้ว นายนิโคลาส ฟาแบร์เช่ บุตรของคาร์ล ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทก่ี รุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. 1909) พร้อมกบั ขายงานศิลปะรวม ท้งั สน้ิ ๘ รายการอกี ดว้ ย (สริ กิ ิติ์ พระบรมราชนิ ีนาถ ๒๕๒๖, ๖๐) พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบันมีตัวอย่างคือ พระพุทธ- กิติสิริชัย พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ บ้านกรูด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (รูปที่ ๖.๔๔) สร้างข้ึนในโอกาสท่ีสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเจรญิ พระชนมพรรษาครบ ๕ รอบปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) เป็นพระพุทธท่ไี วพ้ ระเกศายาวเกลา้ ขึ้นเป็นพระจฑุ ามาศ ครองจวี รห่มคลุม มีสังฆาฏพิ าดท่ี พระอังสาซ้าย มตี ราสัญลกั ษณ์งานพระราชพธิ มี หามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๕ รอบสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ อยู่ตรงกลางผ้าทิพย์ สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) ได้ประทาน พระบรมสารรี ิกธาตุเพื่อบรรจุภายในองค์พระพุทธรูป และถวายพระนามพระพุทธรปู รูปที่ ๖.๔๔ พระพุทธกติ สิ ริ ชิ ยั สร้างปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) คอนกรตี เสรมิ เหล็ก หน้าตกั กว้าง ๑๐ เมตร สงู รวมฐาน ๑๘.๖๐ เมตร พระมหาธาตเุ จดยี ภ์ ักดปี ระกาศ อำเภอบางสะพาน จังหวดั ประจวบคีรขี ันธ ์ ๓๕๔ พระพทุ ธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศลิ ปไ์ ทย

รปู ท่ี ๓.๗๓ พระพทุ ธนาคชนิ ะ หมวด จ. สร้างปี พ.ศ. ๒๔๔๗ (ค.ศ. 1904) ปางสมาธิ นาคปรก สัมฤทธ์ิ หน้าตกั กวา้ ง ๑๒.๗ เซนตเิ มตร วดั บวรนิเวศวิหาร กรงุ เทพมหานคร ๖. พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร ปางสมาธิ นาคปรก พระพุทธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิเพชร ปางสมาธิ นาคปรก สมัยรตั นโกสินทร ์ พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธเิ พชร ปางสมาธิ นาคปรก ไม่เคยมีมากอ่ นรชั สมัยพระบาทสมเด็จ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะว่าพระพุทธรูปนาคปรก เมอ่ื แรกสรา้ งขนึ้ ท่อี มั ราวดี และนาคารชนุ โกณฑะ ในรฐั อานธรประเทศ ทางภาคตะวันออกเฉยี งใต้ของอินเดยี น้ัน เป็นพระพุทธรูปประทบั ขัดสมาธิราบ และ เม่ือนำเข้ามาเป็นที่แพร่หลายในประเทศกัมพูชาก็ยังคงเป็นการประทับขัดสมาธิราบเช่นกัน ส่วนพระพุทธรูป ประทับขัดสมาธิเพชร ซ่ึงเป็นที่นิยมในรัฐพิหารทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียไม่เคยมีประวัติ ของการสรา้ งพระพุทธรูปนาคปรก ดังน้ันพระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิเพชร นาคปรก จงึ ไม่ปรากฏวา่ มกี ารสร้างมากอ่ นในประเทศไทย เม่ือครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงขณะนั้นทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงผนวชเป็นพระภิกษุที่วัด บวรนเิ วศวหิ าร ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ (ค.ศ. 1904) โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระพทุ ธนาคชินะข้ึน (ดูรูปที่ ๓.๗๓) (สำนักราชเลขาธิการ ๒๕๒๘ ข, ๑๔๓) พระพุทธปฏิมานาคปรกที่สร้างขึ้นคร้ังนี้เลียนแบบจากพระ พุทธรปู ประทับขดั สมาธริ าบนาคปรก ซงึ่ เป็นทีน่ ยิ มในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยู่หัว (พ.ศ. ๒๓๖๗ – ๒๓๙๔ / ค.ศ. 1824 – 1851) ทท่ี รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างพระพุทธรปู ๓๗ ปางข้ึน ซึ่งมีพระพุทธรูปนาคปรกรวมอยู่ด้วย (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๙๖, ๒๓๖) (ดูรูปที่ ๓.๙ (๓)) โดยท่ี พระพุทธรูปนาคปรกที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากท่ีเคยสร้างข้ึนในอดีต คือ แทนที่จะประทับเหนือขนดนาค กลับเป็นนาคขนดพันรอบองค์พระถึงระดับพระอุระ และแผ่พังพาน เหนือพระเศียร ซึ่งลักษณะของนาคและการแผ่พังพานน้ันเลียนแบบจากศิลปะเขมรสมัยบายน สาเหตุท่ี ทรงสรา้ งพระพุทธรูปนาคปรกกเ็ พราะวา่ ทรงพระราชสมภพในวันเสาร์ ตอ่ มาเม่อื เสดจ็ ขนึ้ ครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) แลว้ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้า- เจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมวารขึ้น (ดูรูปท่ี ๓.๕๑) ซ่ึง ได้แก่พระพุทธรูปนาคปรก อันเป็นพระพุทธรูปประจำวันเสาร์ พระเศียรของพระพุทธรูปเป็นแบบ พระราชนิยมของพระบรมอัยกาธิราชและสมเด็จพระบรมชนกนาถ คือปราศจากพระเมาลี พระรัศมี เปลวลงยา ครองจีวรห่มดอง พาดสังฆาฏิตามอย่างพระภิกษุคณะธรรมยุติกนิกาย จีวรเป็นร้ิวตาม ธรรมชาติ ประทบั ขัดสมาธเิ พชรบนปัทมาสน์ ขนดนาคเจด็ ชัน้ ประดบั อญั มณลี อ้ มเป็นวงรอบพระพทุ ธองค์ นาคเจด็ เศียรลงยาแบบรตั นโกสนิ ทร์ แผ่พงั พานใตต้ ้นจิก รูปท่ี ๓.๕๑ พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว สร้างปี พ.ศ. ๒๔๕๓ (ค.ศ. 1910) ทองคำลงยาประดบั อัญมณี สูงถึงยอดตน้ จกิ ๒๐.๘๐ เซนติเมตร พระท่นี ัง่ จกั รีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวงั (ภาพจากหนงั สือ พระพุทธปฏิมา ในพระบรมมหาราชวัง) พระพทุ ธปฏิมาประทบั ขดั สมาธิเพชร ๓๕๕

หมวด ฉ. ปางประทานอภัย ๗. พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธิเพชร ปางประทานอภัย พระพุทธปฏมิ าประทบั ขดั สมาธิเพชร ปางประทานอภัย สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาหงายในปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหงายข้ึน มีแค่ตัวอย่างเดียว อันได้แก่หลวงพ่ออภัยวงศ์ พระประธานในพระอุโบสถวัดแก้วพิจิตร อำเภอเมืองฯ จังหวัดปราจีนบุรี (รูปท่ี ๖.๔๕) พระพุทธรูปองค์นี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงออกแบบ ประทานเจา้ พระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภยั วงศ์) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921) (ยอด [ม.ป.ป.], ๗๑) เป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ยกพระหัตถ์ท้ังสองข้างระดับบั้นพระองค์ พระหัตถ์ขวา หงายออกในปางประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายหงายขึ้นและวางที่พระชานุ ครองจีวรห่มดองเป็นริ้วแบบ เหมือนจรงิ การทีพ่ ระพุทธรูปองค์นีแ้ สดงปางประทานอภยั ก็น่าจะให้สอดคล้องกบั สกุลของผ้สู ร้าง คือ อภยั วงศ์ และเนื่องด้วยว่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้ออกแบบ จึงไม่มีพระพุทธรูปในลักษณะ ดังกลา่ วกอ่ นหน้าน้ ี รปู ที่ ๖.๔๕ หลวงพ่ออภัยวงศ์ สรา้ งปี พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921) สมั ฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๑.๗ เมตร วดั แก้วพิจติ ร อำเภอเมอื งฯ จังหวัดปราจนี บุรี ๓๔ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลักษณ์พทุ ธศิลปไ์ ทย

รปู ท่ี ๖.๔๖ พระศากยมนุ ี ปางปฐมเทศนา หมวด ช. ครง่ึ แรกพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ ปางปฐมเทศนา (ครึ่งหลงั ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 5) สลักศลิ า ถ้ำอชญั ฏา หมายเลข ๑ รฐั มหาราษฎร ประเทศอนิ เดีย ๘. พระพทุ ธปฏิมาประทับขัดสมาธเิ พชร ปางปฐมเทศนา พระพุทธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา สมัยรัตนโกสนิ ทร์ พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางปฐมเทศนา ไม่ปรากฏว่ามีการสร้างข้ึนก่อนรัชกาลปัจจุบัน องค์แรกน่าจะได้แก่ พระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (ดูรูปท่ี ๓.๑๗) ดงั ท่กี ลา่ วอ้างไวใ้ นจารกึ ทีฐ่ านของพระพุทธรปู ว่า อ.ป.ร. รัชกาลท่ี ๔๒ พ.ศ. ๒๔๗๗ ถงึ พ.ศ. ๒๔๘๙ พระพุทธปฏิมาปางปฐมเทศนา มีกริยาการประทับสมาธิเพชรน้ี ทรง สถาปนาไว้ในพระบวรพทุ ธศาสนา อุทศิ ส่วนพระราชกศุ ลสนองพระเดชพระคณุ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สยามินทราธิราช ซ่ึงได้ทรง ราชย์สืบมหาจักรีบรมราชวงศ์ ธำรงสยามรัฐราชอาณาจักร วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ และเสด็จสวรรคตวนั ที่ ๙ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ (เพลินพิศ ๒๕๓๓, ๓) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรม ศิลปากรดำเนินการปั้นหุ่นและหล่อพิมพ์ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทรง เททองหลอ่ พระพุทธรูปเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๙ (ค.ศ. 1956) เปน็ พระพทุ ธรูปปาง ปฐมเทศนา พระหัตถ์แสดงท่าหมุนธรรมจักร หรือ ธรรมจักรมุทรา คือ ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างหน้าพระอุระ พระหัตถ์ขวาหงายออก พระอังคุฐ และพระดรรชนีทำท่าจีบเป็นวงกลม ส่วนพระอังคุฐและพระดรรชนีของ พระหตั ถซ์ า้ ยนัน้ ทำทา่ จบี เปน็ วงเช่นเดยี วกัน แต่คว่ำพระหตั ถ์เขา้ หาพระอุระ เบื้องซ้าย เปน็ พทุ ธลักษณะทใ่ี กล้เคยี งกับพระพุทธปฏิมาอินเดียท่ีสรา้ งขนึ้ ใน ราชวงศ์วากาฏก ซ่ึงเป็นพันธมิตรของราชวงศ์คุปตะ ที่ถ้ำอชัญฏา (รูปที่ ๖.๔๖) แตกต่างกันตรงท่ีไม่ทรงถือชายจีวรในพระหัตถ์ซ้ายเช่นของอินเดีย พระพุทธปฏิมาประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์แสดงปางหมุนธรรมจักรนั้น ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธปฏิมาที่สร้างข้ึนภายใต้ลัทธิมหายานที่ใช้พระนามว่า พระศากยมนุ ี และวัชรยาน ซง่ึ เปน็ พุทธลกั ษณะเฉพาะของพระไวโรจนะ จึง เป็นเหตทุ ำให้ไม่มีการสร้างข้นึ ในประเทศไทยกอ่ นรชั กาลปัจจุบัน พระพุทธปฏิมาประทบั ขัดสมาธเิ พชร ๓๕๗

นอกจากปางปฐมเทศนาท่ีแสดงด้วยท่าหมุนธรรมจักรแล้ว พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบน้ิวพระหัตถ์เป็นรูปวงกลมเป็นกิริยาแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบน พระเพลา ไทยเรียกว่า ปางปฐมเทศนา (ไขศรี 1996, ๘๐) ซึ่งแตกต่างจากสากลนิยมท่ีเรียกปางใน ลกั ษณะขา้ งตน้ ว่า ปางแสดงธรรม หรือ วติ รรกมทุ รา (Bunce 1997, 340 – 341) พระพทุ ธรูปองคแ์ รกท่สี รา้ งขน้ึ ในพทุ ธลกั ษณะดงั กลา่ วนา่ จะไดแ้ กพ่ ระพุทธทักษิณม่งิ มงคล วดั เขากง อำเภอเมอื งฯ จงั หวดั นราธวิ าส (รูปท่ี ๖.๔๗) สรา้ งด้วยคอนกรีตเสรมิ เหลก็ เรม่ิ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ (ค.ศ. 1966) แล้วเสร็จสามปีต่อมา โดยมีแม่แบบมาจากพระพุทธรูปส่วนตัวของพลเอกประภาส จารุเสถียร ประธานกรรมการดำเนนิ การก่อสร้าง ซงึ่ เป็นพระพทุ ธรูปใน “สกุลศลิ ปโจฬะรุน่ หลงั ” (แบบนครศรธี รรมราช) ทั้งนเ้ี พราะคณะกรรมการฯ มมี ติวา่ ให้มีพทุ ธลักษณะของศลิ ปะอินเดียใต้ พระพทุ ธรูปลักษณะน้ี หรือสกุลนี้ พบมาก ท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกกันว่า... พระพุทธรูป “แบบนครศรีธรรมราช” เรียกกันอย่างสามัญว่า พระพุทธรูป “แบบขนมต้ม” มีพุทธลักษณะพิเศษจาก ความบันดาลใจของศิลปินที่เน้นหนักให้พระวรกายล่ำสันทุกส่วนผิดกับแบบอ่ืน สังฆาฏิจัดกลีบแผ่กว้างเต็มพระอังสาเบ้ืองซ้ายและชายจีวรใต้พระเพลาทำ เปน็ รวิ้ ให้ความรู้สึกทางการตกแตง่ สวยงามกวา่ แบบอน่ื อย่างชดั เจน (กรรณกิ า ๒๕๔๔, ๒๔) โดยมจี ิตร บวั บุศย์ กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เปน็ ผ้อู อกแบบและควบคมุ การก่อสร้าง พระพุทธทกั ษิณมิ่งมงคล จงึ สร้างขน้ึ ตามทฤษฎีสกลุ ศิลปไทยพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๔ – ๑๙ “สกลุ ศิลป ไทย – โจฬะ” ซึง่ จติ ร บัวบศุ ย์ได้เสนอไว้ในหนงั สอื สกลุ ศลิ ปพระพุทธรูปในประเทศไทย (จิตร ๒๕๐๓, ๑๐๑) ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางแสดงธรรมก่อนที่จิตร บัวบุศย์จะ ออกแบบข้ึนมา อนึ่ง การที่ จิตร บัวบุศย์ ได้จำแนกพระพุทธรูปในประเทศไทย ตามสกุลช่างของ พระพุทธรูปอินเดีย เป็น “สกลุ ศลิ ปไทย – คุปตะ” “สกุลศิลปไทย – ปาละวะ” “สกุลศลิ ปไทย – ปาละ – เสนา” และ “สกุลศลิ ปไทย – โจฬะ” น่าจะมาจากความคิดท่วี ่า การท่ีเขียนหนังสือข้ึนตามความนึกคิด และการค้นคว้าจากพยานหลักฐานของ ตนเอง ย่อมจะไดผ้ ลส่วนรวมมากกว่าที่จะเขียนตามตำราหนงั สอื เก่า ๆ ทีเ่ ขียน ข้ึนไว้แล้วเสียทุกอย่างทุกตอนไป ซ่ึงยังแต่จะทำให้วิชาการนั้น ๆ ไม่ก้าวหน้า แล้ว ยังจะแสดงถึงการคิดเห็นท่ีไม่อิสระกว้างขวางของผู้เขียนด้วย (เรื่อง เดียวกนั , ฎ) รูปที่ ๖.๔๗ พระพุทธทกั ษิณม่งิ มงคล สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๐๙ – ๒๕๑๒ (ค.ศ. 1966 – 1969) คอนกรีตเสรมิ เหลก็ หน้าตักกวา้ ง ๑๗ เมตร สูงรวมฐาน ๒๘.๓๐ เมตร วดั เขากง อำเภอเมืองฯ จังหวัดนราธวิ าส ๓๕๘ พระพทุ ธปฏมิ า อัตลกั ษณ์พุทธศิลปไ์ ทย

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ๓๕๙

รปู ที่ ๖.๔๘ พระพทุ ธบรมศาสดา หลังจากท่ีมีการสร้างพระพุทธทักษิณม่ิงมงคล ให้เป็นตัวอย่างของพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร นวมินทรมหาจักรีราชานสุ รณ์ ปางปฐมเทศนาแล้ว จึงมีการสร้างพระพุทธรูปในพุทธลักษณะเช่นน้ีอีกหลายองค์ เช่น พระพุทธรูปที่ สฐั พิ รรษาสถาพรพพิ ัฒน ์ ประดิษฐานภายในพระมหาธาตุนภเมทนีดล ดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ (รูปท่ี สร้างปี พ.ศ. ๒๕๓๐ (ค.ศ. 1987) ๖.๔๘) พระพทุ ธรูปองค์นี้ แหลมสงิ ห์ ดิษฐพนั ธ์ เป็นผู้ปนั้ แบบ ตามมตขิ องพลอากาศโท วรนาถ อภิจารี หนิ แกรนติ หนา้ ตกั กวา้ ง ๑.๒๐ เมตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ และไขศรี ตันศิริ สถาปนิกผู้ออกแบบพระมหาธาตุ ท้ังน้ีเพราะกองทัพ สูง ๑.๗๔ เมตร อากาศ เป็นผู้ก่อสร้างพระมหาสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อเป็นอนุสรณ์เน่ืองในโอกาสท่ี พระมหาธาตุนภเมทนดี ล ดอยอินทนนท์ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ เมอื่ วันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (ค.ศ. อำเภอจอมทอง จังหวดั เชยี งใหม่ 1987) และในวาระท่ีกองทัพอากาศมีอายุครบ ๖ รอบ โดยว่าจ้างให้ช่างสลักหินในอำเภอมุนติลาน จงั หวัดจ๊อกจาการต์ า ประเทศอินโดนีเซีย เป็นผู้แกะสลกั จากหนิ แกรนติ เพ่ือนำไปประดษิ ฐานอยู่บนยอด ดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นจุดที่สูงสุดในราชอาณาจักร (๒,๑๔๖ เมตร จากระดับทะเลปานกลาง) พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายพระนามพระพุทธรูปว่า “พระพุทธบรมศาสดานวมินทรมหาจักรีราชานุสรณ์ สัฐิพรรษาสถาพรพิพัฒน์” แปลว่า “พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมศาสดา สร้างเป็นอนุสรณ์ท่ีพระบาท สมเด็จพระเจา้ อยู่หัวรัชกาลที่ ๙ แห่งพระมหาจักรบี รมราชวงศ์ พระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา” (ศลิ ปากร ๒๕๔๓ ก, ๑๘๓ – ๑๘๔) เน่อื งดว้ ยวา่ อโี ยมาน อาลิม มุสตาฟา (Inyoman Alim Mustapha) ช่างสลกั เปน็ ชาวอินโดนีเซียและสลักจากหินแกรนิต จากจังหวัดจ๊อกจาการ์ตา พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีพุทธลักษณะ คลา้ ยกับพระพทุ ธรปู ทพ่ี ระมหาสถูปบโุ รพุทโธ แตกตา่ งกันตรงท่ีพระพทุ ธรูปปางน้ีไม่มีในอินโดนเี ซีย อาจจะเป็นเพราะว่าพระพุทธรปู ประทบั ขัดสมาธเิ พชร ปางปฐมเทศนาทไ่ี ดส้ ร้างมาแล้ว มพี ุทธลกั ษณะ ท่ีแปลกไปจากพระพุทธรูปแบบไทยประเพณีจึงมีการดัดแปลงพระพุทธรูปหมวดน้ีให้เข้ากับค่านิยมท้องถิ่น เช่น พระพทุ ธปฏมิ ากร ธรี อทุ ันปุญญศุภา สัมมาสมั พุทธเจ้า วดั ดอยสะเก็ด อำเภอดอยสะเกด็ จงั หวัด เชียงใหม่ (รูปท่ี ๖.๔๙) พระพุทธรูปองค์นี้มีพระเศียรแบบล้านนาประยุกต์ แต่ครองจีวรห่มดองจีบ เป็นริ้วชายห้อยมาทางด้านหน้าตามแบบพระภิกษุมหานิกาย (พระมหาสมณวินิจฉัย ๒๕๑๔, ๑๐๓) ตรา สัญลกั ษณง์ านพระราชพิธมี หามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ ีนาถ บนผา้ ทิพยท์ ่ีหน้าฐาน แสดงให้เห็นว่า สรา้ งขึน้ ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) รปู ที่ ๖.๔๙ พระพุทธมหาปฏมิ ากร ธีรอุทันปุญญศุภา สมั มาสัมพทุ ธเจ้า สรา้ งปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ค.ศ. 1992) คอนกรีตเสริมเหลก็ สูง ๑๔ เมตร วดั พระธาตุดอยสะเก็ด อำเภอดอยสะเกด็ จังหวดั เชียงใหม่ ๓๖๐ พระพุทธปฏิมา อัตลกั ษณพ์ ุทธศิลป์ไทย

พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ๓๖๑

หมวด ซ. ปางขอฝน ๙. พระพทุ ธปฏมิ าประทับขดั สมาธิเพชร ปางขอฝน รูปที่ ๓.๓๓ ก. พระพุทธรปู ประจำพระชนมพรรษา พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้า เจา้ อย่หู ัว สร้างปพี .ศ. ๒๔๑๓ พระพุทธปฏมิ าประทับขัดสมาธเิ พชร ปางขอฝน สมัยรตั นโกสนิ ทร์ (ค.ศ. 1870) สมั ฤทธก์ิ ะไหลท่ อง หนา้ ตักกวา้ ง ๗.๑๐ เซนติเมตร สูงรวมฐาน ๑๔.๖๐ เซนติเมตร พระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชร ปางขอฝน มีแค่ ๕๘ องค์ (ดูรูปที่ ๓.๓๓ ก., ข.) คือเท่ากับ หอพระสุลาลยั พมิ าน จำนวนพระชนมพรรษาพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ๑๕ องค์เมอื่ ก่อนจะเสด็จขึน้ เสวยราชย์ พระบรมมหาราชวัง ไม่มีฉัตรกนั้ และอกี ๔๓ องคม์ ีฉตั รกัน้ ซ่ึงเท่าจำนวนปีนบั ต้งั แต่เสวยราชสมบตั ิจนเสดจ็ สวรรคต (ภาพจากหนังสอื พระพทุ ธปฏมิ า ในพระบรมมหาราชวงั ) พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แตกต่างจาก พระพุทธรูปปางขอฝนหรือพระคันธารราษฎร์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างข้ึน (ดูรูปที่ ๓.๓๓ ข.) ที่ประทับขัดสมาธิเพชร มิใช่สมาธิราบ พระอังคุฐและพระดรรชนีบรรจบกัน ท้ัง สองพระหัตถ์ และมีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรูปที่สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงสร้างขึ้น คือไม่มี พระเมาลี ครองจวี รหม่ ดอง จีวรเป็นร้ิวแบบธรรมชาติ พาดสังฆาฏิแบบพระภิกษุคณะธรรมยุติกนกิ าย ส่วนที่เรียกพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะข้างต้นว่าพระคันธารราษฎร์นั้น พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า เม่ือพระเจ้าแผ่นดินท่ีปกครองคันธารราษฎร์ (ประเทศ ปากีสถานในปัจจบุ นั ) ได้ทรงฟังเรื่องพระพุทธเจ้าทรงบันดาลให้ฝนตกนั้น ก็ทรงเล่ือมใส ให้สร้าง พระพุทธปฏิมากรมีอาการอย่างจะสรงน้ำทำปริศนาเรียกฝนเช่นนั้น ครั้นเมื่อปี ใดฝนแล้งก็ให้เชิญพระพุทธปฏิมากรน้ันออกต้ังบูชาขอฝน ฝนก็ตกลงได้ดัง ประสงค์ ภายหลังมามีผู้ท่ีนับถือพระพุทธศาสนาสร้างพระพุทธรูปมีอาการเช่น น้ัน ตอ่ ๆ มากเ็ รียกสมญาวา่ พระพุทธคันธารราษฎร์ (เรอ่ื งเดียวกนั , ๔๒๐) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา ขึ้น จึงทรงเลือกพระคันธารราษฎร์เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา เพราะว่าในปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ (ค.ศ. 1852 – 1853) ฝนแลง้ ตลอดปี และในปฉี ลกู ่อนทีพ่ ระองค์จะประสตู ิกย็ ังแลง้ อยู่ แตเ่ ม่ือพระองค์ประสูติ ฝนตกมากในพระบรมมหาราชวังท่วมเกือบถึงเข่า จึงตกลงใช้พระคันธารราษฎร์เป็นพระพุทธรูปประจำ พระชนมพรรษา (ดูรปู ที่ ๓.๓๓ ก., ข.) ทรงอธิบายพทุ ธลกั ษณะวา่ “มีดวงพระพกั ตรเ์ ป็นพระอยา่ งใหม่ในแผ่นดิน ปัจจุบันนี้ พาดสังฆาฏิกวา้ ง ไม่มียอดพระเมาฬี มีรศั มีแหลม เหมือนอยา่ งใหม่ ๆ” (เร่อื งเดยี วกนั , ๕๖๒ – ๕๖๓) เม่ือพระองค์มีพระราชดำริว่าจะสร้างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาในปี พ.ศ. ๒๔๑๓ (ค.ศ. 1870) นั้น สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรีสรุ ิยวงศ์ (ชว่ ง บุนนาค) ไมเ่ หน็ ด้วย ท่านว่าจะมานั่งใส่คะแนนอายุด้วยพระพุทธรูปเปลืองเงินเปลืองทองเปล่าๆ แตก่ ่อนทา่ น (พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ) ทรงพระชรา ท่านจงึ ทำ ต่อพระชนมพรรษา ท่ียังเด็กยังหนุ่มอยู่จะต้องทำทำไม เมื่ออธิบายกันไปใน เรอื่ งท่จี ะต้องถือนำ้ เป็นต้น จึงได้ตกลงเป็นอันไดห้ ลอ่ (เร่ืองเดยี วกนั , ๖๗๗) พระพุทธรปู ประจำพระชนมพรรษาองคน์ ้ี มคี วามศกั ด์สิ ทิ ธิด์ งั ที่ได้รบั สัง่ วา่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ท่านโปรดพระพุทธรูปองคน์ ้มี าก จึงขอพระราชทานไปหล่อ ข้ึนอกี องค์หน่งึ และทรงไปตง้ั ในพธิ ขี อฝนปรากฏวา่ “ขลังดวี ิเศษ” (เรอื่ งเดยี วกัน, หน้าเดียวกนั ) ๓๖๒ พระพทุ ธปฏิมา อตั ลักษณพ์ ทุ ธศิลป์ไทย