ท่าสปุ ตฏิ ฐิตะ เช่อื กนั วา่ เป็นสถานทท่ี ีพ่ ระมหาบรุ ษุ ได้อธษิ ฐานลอยถาด ทองค�ำ ริมฝัง่ แม่น้ำ�เนรญั ชราฝั่งตะวนั ออก ปัจจุบนั ต้งั อยู่ฝ่ังตรงข้าม กับมหาเจดียพ์ ทุ ธคยา มีเทวาลัยซง่ึ ชาวบา้ นยังคงนบั ถือ มกี ารน�ำ เครือ่ งบชู ามากราบไหว้อยเู่ นือง ๆ ณ บริเวณใกลก้ นั น้นั มีบอ่ น�ำ้ โบราณอยบู่ ่อหนง่ึ มตี ้นโพธิ์ ใหญใ่ หร้ ม่ เงา และมีรูปปัน้ ของโสตถยิ พราหมณ์ ผูถ้ วายหญา้ คาแก่ พระพุทธองค์ซ่งึ ในกาลต่อมาใชป้ เู ปน็ อาสนะประทบั ตรัสรู้
ทา่ สปุ ตฐิ ฏิตะ ภเู ขาดงคสริ ิ สามารถมองเห็นได้จากริมฝง่ั แมน่ �ำ้ เนรัญชรา เปน็ สถาน ทเ่ี ชือ่ กันว่า พระมหาบุรุษได้อาศยั บรเิ วณน้ีบ�ำ เพ็ญทุกกรกิริยา โดยการทรมานพระองค์อย่างแสนสาหัสตามแบบอัตตกิลมถานุ โยค ทรงอดอาหารจนพระสรีระซูบซีดเศรา้ หมอง เหลือแต่หนงั หุ้ม กระดกู เพอ่ื เสาะแสวงหาโมกขธรรมเป็นระยะเวลาถึง ๖ ปี โดยมี ปญั จวัคคยี ค์ อยเฝา้ รับใชด้ ูแล แตท่ ส่ี ุดแลว้ กท็ รงเลิกบ�ำ เพญ็ เพราะ ทรงพจิ ารณาเห็นดว้ ยพระองค์เองวา่ เป็นทางสดุ โต่ง ไม่ใชท่ างทจ่ี ะ บรรลธุ รรมได้ เม่อื ข้นึ ไปดา้ นบนจะมโี พรงตนื้ ๆ ยาวประมาณ ๔ เมตรเศษ กวา้ งประมาณ ๓ เมตร และสูงประมาณ ๓ เมตรเทา่ นั้น ภายในมรี ปู ปั้นพระมหาบรุ ุษปางบำ�เพญ็ ทุกกรกริ ยิ า ๑ องค์ 101
ภเู ขาดงคสริ ิ สันเขาทุกกรกิรยิ าบรรพต ถำ้�ทพ่ี ระโพธสิ ัตว์อาศยั บ�ำ เพ็ญทกุ กรกริ ยิ า
พระโพธิสัตว์ปางบำ�เพ็ญทุกกรกริ ิยา วัดชาวพทุ ธนานาชาติ ในบริเวณมณฑลพทุ ธคยา มีชาวพทุ ธจากนานาประเทศ มาสรา้ งวดั ตามสถาปัตยกรรมแหง่ ชาตขิ องตนจำ�นวนมาก เชน่ ฝา่ ย เถรวาท มวี ัดไทยพุทธคยา วดั ศรลี ังกา วดั สงฆ์อนิ เดยี วัดพมา่ วดั โพธ์ิคำ� วดั สงฆบ์ งั คลาเทศ ฝา่ ยมหายาน มวี ดั จีน และวดั ญี่ปนุ่ ซง่ึ มพี ระพทุ ธรูปองคไ์ ดบุสึจำ�ลองสร้างด้วยหนิ ทรายแดง สงู ๖๐ ฟุต งดงามมาก วดั ทิเบต วดั ภูฏาน วัดเกาหลี และวัดเวียดนาม 103
ปฐมเทศนา
พาราณสี “พาราณสี” เปน็ เมอื งที่ต้ังอยู่ทางทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนือของ เมืองคยา ตัวเมืองอยู่ดา้ นฝ่ังตะวนั ตกของแม่น้ำ�คงคา เชือ่ กันว่า เก่าแกโ่ บราณนานกวา่ ๔,๐๐๐ ปี คำ�วา่ “พาราณสี” เปน็ ชอื่ เมอื ง ท่อี มตะ ยงั ไมเ่ คยเปล่ียนเปน็ อย่างอืน่ เลย เคยเป็นเมืองหลวง ของแคว้นกาสีมาตงั้ แต่ก่อนพุทธกาล มีพระราชาผคู้ รองนครนาม ว่า พระเจ้าพรหมทตั หรอื พระเจ้ากาสิราช ปัจจบุ ันคือ เมอื งบานา รสั ในเขตอำ�เภอบานารสั รฐั อตุ ตรประเทศ เคยเจรญิ รงุ่ เรืองมาแต่ กอ่ นพทุ ธกาล มีความช�ำ นาญเชิงการพาณิชย์และอตุ สาหกรรม มี สนิ คา้ สง่ ออกลือชื่อ คือ ผา้ ไหมกาสี เคร่ืองส�ำ อางกาสวี เิ ลปนะ และ เครือ่ งประดบั ดว้ ยชา่ งฝมี ือประณีต มกี ารติดตอ่ โดยตรงกับเมืองสา วตั ถี เมอื งเวสาลี เมืองราชคฤห์ และเมอื งสำ�คัญอ่ืน ๆ อีกมาก ความเก่าแกโ่ บราณของเมืองพาราณสี มีปรากฏในชาดกมา เกินกว่า ๔,๐๐๐ ปี ชอื่ เมอื งจงึ ถูกกลา่ วไวใ้ นตา่ งยคุ สมยั มากมาย เช่น สุตโสมชาดก เรียก สทุ ัสสนโสณ ทัณฑชาดก เรยี ก พรหม วัฑฒนะ ยุวนั ชัยชาดก เรียก รามนคร และอีกหลายชาดก เรยี ก เมอื งพาราณสวี ่า กาสีนครก็มี กาสกี ุระก็มี ตามตำ�นานทางพทุ ธศาสนากล่าววา่ พระพุทธเจา้ ก่อนจะ ทรงบรรลุพระโพธิญาณ เคยเสวยชาติเป็นพระโพธสิ ัตว์ มีพระ เตมยี ์ พระสวุ รรณสาม เป็นต้น และบำ�เพญ็ บารมีในยคุ สมัย พระเจ้าพรหมทตั เปน็ ผคู้ รองเมือง ในชาดก ๕๐๐ ชาติ มีประวตั ิ
ท่ีเกดิ ข้นึ ณ เมืองพาราณสเี กินกวา่ ครึง่ จึงกลา่ วไดว้ า่ พาราณสี เสมือนว่า เปน็ โรงเรยี นเตรียมของเหล่าโพธสิ ัตว์ทจี่ ะก้าวลว่ งสู่ โพธญิ าณหรอื การตรัสรู้ในเบ้ืองหน้า พระพุทธศาสนาเคยรงุ่ เรืองในพาราณสมี านาน เม่ือพระ เจ้าพลาทิยคปุ ต์ สถาปนาเมืองพาราณสใี หเ้ ปน็ ราชธานี ไดท้ รง ยกยอ่ งศาสนาพราหมณ์ขึ้นเปน็ ศาสนาประจำ�รฐั สรา้ งเทวาลยั ท่ัว เมอื งพาราณสี แมแ้ ต่กษัตรยิ ท์ ผ่ี ลัดกันขน้ึ ครอง กน็ ับถือศาสนา พราหมณ์แทบท้งั หมด โดยเฉพาะเม่อื สังกราจารย์ (ศตวรรษที่ ๘) ไดป้ รบั ปรุงหรอื ปฏริ ปู ศาสนาพราหมณ์เสียใหม่ น�ำ เอาค�ำ สอนอ่ืนมา ผสมผสานเข้า พร้อมท้ังยกใหพ้ ระพุทธเจา้ เป็นอวตารปางหน่ึงของ พระวิษณุ ศาสนาพุทธก็ถูกกลืนหายไปในศาสนาของสงั กราจารย์ซ่งึ เรยี กว่า ศาสนาฮนิ ดใู นปัจจบุ นั ปัจจบุ นั เมืองพาราณสี เปน็ ทชี่ ุมนมุ ทางศาสนา ศนู ยก์ ลาง การแสวงบุญของศาสนิกหลายศาสนา ท่ีก�ำ หนดด้วยศรทั ธาให้ พาราณสีเปน็ บุญสถาน เมอื งทใี่ ชป้ ระกอบพธิ กี รรมการบวงสรวง กราบไหวบ้ ชู า โดยเฉพาะพราหมณ์ ผูเ้ ปน็ บัณฑติ ทางศาสนาฮนิ ดู มีเทวาลยั โบราณจ�ำ นวนหลายพนั แหง่ เปน็ ที่ตัง้ ศวิ ลึงค์มากทสี่ ดุ ในโลก มแี มน่ �ำ้ คงคาอนั ศกั ด์ิสิทธิใ์ หใ้ ช้อาบช�ำ ระบาป มที ่านำ�้ ให้ ลอยบาปได้ ทา่ นำ้�บางท่าแบ่งใหเ้ ป็นสวรรค์ ทา่ น�ำ้ บางทา่ แบง่ ให้เป็น ป่าช้า ผูท้ ี่ตายแลว้ กม็ ีสทิ ธิ์ในการใช้สอยไดเ้ สมอกนั เช่น ทา่ มณิ กรรณกิ าร์ฆาตเมรหุ ลวงของชาวฮนิ ดู เปน็ ลานส่งรา่ งไรว้ ิญญาณ ของศพที่ถูกนำ�มาเผา เลา่ กนั ว่า ๔,๐๐๐ ปีกว่ามาแลว้ ไฟทใี่ ชใ้ น การเผาศพไม่เคยดับ
แม่นำ�้ คงคา และเมืองหลวงเกา่ พาราณสี พธิ อี าบนำ�้ ล้างบาป ณ แม่น�้ำ คงคาอันศกั ด์สิ ิทธข์ิ องชาวฮนิ ดู
ทา่ มณิกรรณิการ์ฆาต อาทติ ยอ์ ุทัย ริมฝง่ั แม่น้ำ�คงคา
สารนาถ “สารนาถ”ในสมัยพุทธกาล เรยี กกนั วา่ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน เป็นเขตราชอุทยานทพี่ ระเจา้ กาสิราชประกาศใหเ้ ป็น เขตอภยั ทานแกฝ่ ูงสัตวต์ ่าง ๆ เชน่ กวางและละมงั่ เปน็ ต้น เป็น สถานทส่ี งบและเป็นทช่ี มุ นุมของเหลา่ นกั พรต ฤาษที ่ีมาบ�ำ เพญ็ ตบะ และโยคะเพือ่ เข้าถงึ พรหมัน (ตามความเชอ่ื ในคัมภีรอ์ ปุ นิษทั ของ พราหมณ)์ ค�ำ ว่า “สารนาถ” มาจากค�ำ ว่า “สารงั คนาถ” แปลวา่ ปา่ ซง่ึ เปน็ ทีพ่ ึง่ ของกวาง เน่อื งมาจากอดตี ชาติของพระพุทธองค์คร้งั เปน็ พระโพธสิ ัตวไ์ ดเ้ ปน็ ท่ีพึ่งของกวาง สารนาถตงั้ อย่ใู นบริเวณ ๙ กโิ ลเมตรเศษ ทางเหนอื ของ เมืองพาราณสี รฐั อุตตรประเทศ ประเทศอินเดียในปัจจุบนั หรือ แควน้ มคธชมพทู วีปในสมยั พทุ ธกาล จดั เปน็ พุทธสังเวชนียสถาน ๑ ใน ๔ แหง่ ของชาวพทุ ธ หลังจากพระพทุ ธเจ้าตรสั ร้ไู ด้ ๒ เดอื น ได้เสดจ็ เดินทาง จากพทุ ธคยาสู่ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั มีระยะทางตามคมั ภีร์ว่า ๑๘ โยชน์ ใช้เวลาเดินทาง ๑๑ วัน ไดพ้ บปัญจวคั คีย์ ณ ท่ีซึ่งปจั จุบนั คือ บริเวณเจาคนั ฑสี ถปู ปญั จวคั คีย์เหน็ พระพทุ ธเจ้าเสด็จมาแต่ ไกลก็ตกลงกนั ว่าจะไมต่ อ้ นรับ แต่พอเสด็จมาถงึ กล็ ืมกตกิ ากนั หมด ตา่ งคนต่างตอ้ นรบั พระพทุ ธองค์จึงตรสั กบั ปัญจวัคคียว์ ่า “ทา่ นทง้ั หลาย บดั นีเ้ ราได้บรรลุอมฤตธรรมแล้ว จะแสดงให้ทา่ นทง้ั หลาย ฟงั เมื่อตัง้ ใจปฏิบัติตามทเ่ี ราสอนกจ็ กั ถึงทสี่ ดุ แหง่ พรหมจรรย์ได”้ เมือ่ ทรงเหน็ วา่ ปัญจวัคคยี ไ์ มเ่ ชอ่ื ถือ จงึ ตรสั วา่ “ตลอด ๖ ปมี านี้
พวกท่านเคยไดย้ ินคำ�ว่า “ตรัสรู”้ บา้ งหรอื ไม”่ ท�ำ ให้ปัญจวัคคยี ์ หันมาสนใจเชอ่ื ถอื และขอให้ทรงแสดงธรรมโปรดพวกตน เม่ือไดส้ ถานทอ่ี ันสมควร คอื บริเวณธมั เมกขสถูปในปจั จบุ ัน พระพุทธเจ้าจึงทรงเร่ิมแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โดยทรงแนะน�ำ สงิ่ ท่ีควรท�ำ วา่ “ทีส่ ดุ ๒ อยา่ ง อันบรรพชติ ไม่ควร เสพ คอื กามสขุ ลั ลกิ านุโยค การเสวยสุขในกามคุณ และอัตตกิลม ถานุโยค การบ�ำ เพญ็ ตนใหล้ �ำ บาก” ทรงแสดงอรยิ สัจส่ี คอื ทุกข์ สมุทัย นโิ รธ และมรรค อนั รู้ดว้ ยญาณ ๓ คือ สจั ญาณ รู้ตามความเป็นจริงว่า นที้ กุ ข์ สมทุ ัย นโิ รธ และมรรค กจิ ญาณ รกู้ ิจอนั ควรท�ำ วา่ ทุกขค์ วรกำ�หนดรู้ สมทุ ยั ควรละ นโิ รธควรท�ำ ใหแ้ จง้ และมรรคควรทำ�ให้เจริญ และ กตญาณ ร้วู า่ ทุกขก์ �ำ หนดรไู้ ดแ้ ลว้ สมุทยั ละไดแ้ ล้ว นโิ รธทำ�ให้แจ้ง แลว้ และมรรคทำ�ให้เจรญิ แลว้ รวมเป็นธรรมจกั ร ๑๒ รอบ ทา่ นโกณฑญั ญพราหมณ์ ได้ดวงตาเหน็ ธรรมวา่ “ทกุ สิ่ง ทุกอย่างท่ีมคี วามเกิดข้นึ เป็นธรรมดา สิง่ เหลา่ น้นั ทงั้ ปวงมคี วาม ดับไปเปน็ ธรรมดา” แลว้ ไดร้ บั การอุปสมบทเป็นภกิ ษดุ ้วยเอหภิ ิกขุ อุปสมั ปทา เป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา ท�ำ ให้พระ รัตนตรัยครบบรบิ รู ณ์ คือมี พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ การ บรรลธุ รรมขัน้ โสดาปัตติผลของทา่ นอัญญาโกณฑญั ญะนั้น ตรงกบั วนั เพญ็ เดือนอาสาฬหะ (ขึ้น ๑๕ คำ่� เดอื น ๘) ชาวพุทธท่วั โลกจึง ก�ำ หนดเปน็ วนั อาสาฬหบชู า คอื วันบชู าพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม เทศนากัณฑ์แรกและพระอริยสงฆ์องค์แรกของพระพุทธศาสนาสืบ มาจนถงึ ปจั จุบัน ทา่ นวัปปะ ทา่ นภัททิยะ ทา่ นมหานามะ
แสดงปฐมเทศนาธมั มจกั กัปปวัตตนสูตร โปรดปญั จวคั คีย์ โปรดยสะกลุ บตุ ร
และทา่ นอสั สชิ ได้ดวงตาเห็นธรรมข้นั โสดาปัตตผิ ล ในวนั ตอ่ ๆ มา และได้รบั การอปุ สมบทเป็นภกิ ษุดว้ ยเอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทาเช่นกัน จากน้ันพระพุทธองค์ทรงแสดงอนัตตลกั ขณสูตร ใจความ วา่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา ตามกฎ แห่งสามญั ลักษณะ โปรดภิกษปุ ัญจวัคคียใ์ หบ้ รรลอุ รหตั ตผล ใน บริเวณทหี่ ่างออกมาเลก็ นอ้ ย ปจั จบุ นั เรยี กว่า “ธรรมราชกิ สถูป” ยสกลุ บตุ ร ยสกลุ บตุ รเปน็ บุตรของเศรษฐใี นกรงุ พาราณสี เกดิ ความ เบอ่ื หนา่ ยในฆราวาสวสิ ยั เขา้ ไปเฝ้าพระพุทธองคท์ ่ปี า่ อิสปิ ตน มฤคทายวนั พระผูม้ พี ระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถา คอื ทาน กถา (พรรณนาทาน) สีลกถา (พรรณนาศลี ) สคั คกถา (พรรณนา สวรรค์) กามาทีนวกถา (พรรณนาโทษของกาม) เนกขมั มานสิ ังส กถา (พรรณนาอานสิ งสแ์ หง่ การออกจากกาม) แลว้ ทรงแสดง อรยิ สจั สี่ คือ ทุกข์ เหตใุ หเ้ กิดทุกข์ ความดบั ทุกข์ และทางแหง่ ความดับทุกข์ อนั ได้แก่ อรยิ มรรคมีองค์ ๘ ยสกุลบตุ รได้บรรลุ ธรรมเป็นพระโสดาบนั ณ ที่นนั้ เศรษฐผี ูบ้ ิดาออกตามหายสะ ไดพ้ บพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ได้ ฟังอนปุ ุพพกิ ถาและอรยิ สัจส่ี เศรษฐไี ดบ้ รรลโุ สดาบัน กราบทลู ขอ เปน็ อุบาสก ผู้มอบชีวติ ถึงพระรัตนตรยั เปน็ สรณะ นับเป็นอุบาสกท่ี กลา่ วอ้างพระรัตนตรัยเปน็ คนแรกในโลก ขณะทีพ่ ระพุทธองค์ทรง แสดงธรรมแกบ่ ิดา ยสกลุ บตุ รพจิ ารณาเหน็ ธรรมตามท่ีตนได้รแู้ จ้ง
ไดบ้ รรลอุ รหตั ตผล วันรงุ่ ข้ึนมารดาและอดตี ภรรยาของพระยสะ ไดฟ้ ังอนุปุพพิกถาและอริยสจั ส่ีไดบ้ รรลุโสดาปัตตผิ ล เปน็ อบุ าสกิ า ค่แู รกในโลกผถู้ งึ พระรตั นตรัยเป็นท่พี ่งึ ตลอดชีวิต จากน้ัน พระยสะไดพ้ าสหายคฤหสั ถ์จำ�นวน ๕๔ คน เข้า เฝา้ พระพุทธองค์ ไดฟ้ งั ธรรมและไดบ้ รรลุอรหตั ตผลทงั้ หมด กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ประทานเอหิภิกขุ อุปสัมปทา เวลานน้ั จึงมพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ขึ้นแลว้ ในโลก ๖๑ รปู เมื่อออกพรรษา พระพทุ ธเจ้าไดส้ ่งพระอรหนั ตสาวก ๖๐ รปู ไปประกาศพระศาสนา ซง่ึ นบั เป็นพระธรรมทตู ชุดแรก โดยรบั ส่ังว่า “จรถ ภิกขฺ เว จาริกํ พหุชนหิตาย พหชุ นสุขาย โลกานกุ มฺปาย อตถฺ าย หิตาย สขุ าย เทวมนสุ สฺ านํ (วิ.มหาว.ิ ๔/๓๒) ภิกษทุ ั้ง หลาย พวกเธอจงจาริกไปเพือ่ ประโยชน์สขุ แกช่ นจำ�นวนมาก เพอ่ื อนุเคราะห์ชาวโลก เพ่อื ประโยชนเ์ ก้ือกลู และเพอ่ื ความสขุ แก่เทวดา และมนุษย์ อย่าไปทางเดียวกัน ๒ รปู จงแสดงธรรมทงี่ ามใน เบ้ืองตน้ ในท่ามกลาง และในท่ีสุด จงประกาศพรหมจรรยใ์ หค้ รบ บริบูรณ์โดยสิ้นเชงิ เถดิ ...” ในสมยั ต่อมา พ.ศ. ๒๙๕ พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสดจ็ มา ทป่ี ่าอิสิปตนมฤคทายวนั ไดเ้ ห็นสารนาถเปน็ สงั ฆารามท่ใี หญโ่ ต มากแหง่ หน่งึ และพระองคโ์ ปรดใหส้ รา้ งสถูปเจดียบ์ รรจพุ ระบรม สารีริกธาตุและศิลาจารึกไว้ให้เป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญ รุ่งเรอื งในยคุ นนั้ จนถงึ ยคุ ราชวงศค์ ุปตะ ทา่ นหลวงจนี ฟาเหยี น เดนิ ทางมาจากประเทศจนี ได้บนั ทึกในจดหมายเหตวุ ่า บริเวณ
สารนาถมีพระสงฆอ์ ยู่ประจ�ำ ประมาณ ๑,๕๐๐ รปู มีสถูปสงู ประมาณ ๑๐๐ เมตร มศี ลิ าจารกึ ของพระเจา้ อโศกมหาราชและถาวรวัตถุ มากมาย ต่อมาป่าอิสิปตนมฤคทายวันที่เคยเป็นศูนย์กลางพระพุทธ ศาสนา ไดถ้ ูกทอดทงิ้ ใหก้ ลายเป็นป่าก้อนอฐิ เปน็ เวลา ๗๐๐ ปี ตงั้ แตค่ รั้งมุสลมิ เตอร์กเข้าท�ำ ลายล้าง ถกู เผาทำ�ลายประมาณ พ.ศ. ๑๗๓๗ สารนาถไดร้ บั การขุดค้นหลายสมยั ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ โดย พนั เอกแมค็ เคนซีย์ นายทหารอังกฤษ ในพ.ศ. ๒๓๗๗ โดย เซอร์ อเลก็ ซานเดอร์ คันนิงแฮมรัฐบาลองั กฤษให้นำ�ซากอิฐและ ดนิ ไปสร้างตึก สะพานข้ามแมน่ �้ำ และสถานรี ถไฟ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๓๓๗ ราชาเชตสิงห์ แห่งเมืองพาราณสสี ่ังใหช้ คัตสิงห์ผเู้ ป็น อำ�มาตย์ไปรือ้ ถอน ขนเอาอฐิ จากอาคารวิหารไปสร้างตกึ ในตลาด เมอื งพาราณสี ปจั จุบันเรียกวา่ ชคัตคุนช์ โดยท�ำ ลายสถูปใหญ่ทกี่ อ่ อิฐสถปู หน่ึงในสารนาถมีฐานผา่ นศูนย์กลางยาวถึง ๑๑๐ ฟุตให้พงั ทลายลง ชคตั สงิ ห์ได้พบผอบศิลาแลงภายในบรรจผุ อบหนิ ออ่ น ใน ผอบหินอ่อนนั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงึ นำ�ไปลอยทิง้ ในแมน่ ้�ำ คงคาตามความเชือ่ ของศาสนาฮนิ ดู ทำ�ให้ ชาวบ้านพากนั ไปยังปา่ สารนาถเพ่ือขุดคน้ โบราณสถาน รฐั บาลจึง ต้งั ใหพ้ ันเอกแมคแคนซยี ์ พ.ศ. ๒๓๕๘ กระท่งั ถงึ เซอร์ อเล็ก ซานเดอร์ คนั นงิ แฮม พ.ศ. ๒๓๗๗ ทำ�การขุดคน้ ดงั กลา่ วจึงส�ำ เรจ็ เรยี บรอ้ ยเปน็ รูปเปน็ รา่ งดังทเ่ี ห็นในปัจจบุ นั
เจาคนั ทีสถูป “เจาคันทีสถูป” สถปู เกา่ ทเ่ี ปน็ อนสุ รณแ์ ก่ปญั จวคั คีย์ เพ่อื ระลึกว่า คร้งั เม่อื ปัญจวคั คยี ห์ ลกี หนพี ระพทุ ธองคด์ ้วยส�ำ คัญผดิ เพราะมีมจิ ฉาทฏิ ฐิอยา่ งแรงกล้าได้มาอาศยั อยทู่ ่นี ี่ หลงั จากทรง ตรัสรูแ้ ลว้ พระพทุ ธองค์ทรงมพี ระเมตตาเสดจ็ มาจากพุทธคยา โปรดปญั จวคั คยี ์ และได้พบกนั ณ ท่จี ุดนี้ ไดท้ ำ�ความเข้าใจกัน ในเบ้ืองตน้ จากนน้ั จึงน�ำ ไปสปู่ า่ อิสปิ ตนมฤคทายวัน แล้วตรสั สอน ธรรมอันเปน็ เครื่องน�ำ ออกจากทุกข์ ณ ท่ีน้นั เจาคนั ทสี ถปู เคยถกู เรียกวา่ “โลรี กา กดู ัน” หรอื “การกระโดดของโลรี” เด็กเลย้ี งวัวชอ่ื โลรี ท่ีขึน้ ไปบนสถูปแล้วกระ โดดลงมาเสยี ชวี ิต เดมิ ทพี ระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ร้างไว้ประมาณ พ.ศ. ๒๔๐ แลว้ ไดบ้ รู ณะในชว่ งของราชวงศค์ ปุ ตะ เดิมเจดียแ์ ห่งนี้ สงู ๓๐๐ ฟตุ ปจั จุบันผพุ ังไปตามกาลเวลา เหลืออยเู่ พียง ๗๐ ฟตุ และมลี กั ษณะส่วนบนเบย่ี งเบนจากพทุ ธศลิ ป์ไปมาก ด้วยวา่ ในครั้ง เมื่อราชวงศ์โมกุลเรืองอำ�นาจได้เกิดความวุ่นวายแย่งราชสมบัติกัน ขึน้ เปน็ เหตุให้หมุ ายนั กษัตรยิ อ์ งคท์ ี่ ๓ ตอ้ งไร้บัลลังก์ถงึ ๑๕ ปี และล้ภี ยั มาอยูท่ ่ีสถปู แห่งนี้ เมอ่ื บา้ นเมืองสงบกลบั สู่ปกติ อักบาร์ มหาราชผูส้ บื ราชสนั ตติวงศ์ ตอ่ จากหุมายนั ผเู้ ปน็ ราชบิดา จึงโปรด ใหส้ ร้างหอคอย ๘ เหลยี่ มนี้ข้นึ ในปี พ.ศ. ๒๑๓๑ บนสถปู ทางพทุ ธ ศาสนาทส่ี งู เสยี ดฟา้ เพอ่ื เปน็ ท่ีระลึกในการที่หุมายนั กษตั รยิ ์มุสลิม บิดาของอักบาร์มหาราชเสด็จมาสารนาถ หมายถึง การมาเพ่อื แสดง อิทธิพลของศาสนาอิสลามน่ันเอง
เจาคันทีสถูป 117
ธมั เมกขสถูป “ธมั เมกขสถูป” เปน็ สถปู โบราณทรงบาตรคว�ำ่ กอ่ ดว้ ย หนิ ทราย สร้างอุทศิ แด่ผ้เู หน็ ธรรม (ธมั เมกข = ธัมมะ + อกิ ขะ:อิก ขะ แปลวา่ เห็น ธัมมะ แปลวา่ ธรรม) หมายถึง สถานที่แสดงธรรม ทนี่ ำ�พาใหถ้ งึ ความหลุดพน้ มยี อดทรงกรวย สูงประมาณ ๘๐ ฟุต วดั โดยรอบได้ประมาณ ๑๒๐ ฟุต สร้างข้นึ ในสมยั พระเจ้าอโศก มหาราช ในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๓ สถปู มีลักษณะแห่งศลิ ปะยคุ เมารยนั ตอ่ มามีการก่อสรา้ งเพิ่มเติมและมีชอ่ ง ๘ ชอ่ งลอ้ มรอบ องค์สถูป ส�ำ หรับเป็นที่ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปปางต่าง ๆ พรอ้ ม แกะสลกั หินเปน็ ลวดลายประดับสวยงาม ธัมเมกขสถูปเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐม เทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดปัญจวัคคีย์ทำ�ให้โกณฑัญญ พราหมณไ์ ดด้ วงตาเห็นธรรม และได้อปุ สมบทเปน็ ภกิ ษรุ ูปแรกใน พระพทุ ธศาสนา ในกาลตอ่ มาพระพุทธองค์ทรงใช้เป็นที่ประชุม พทุ ธสาวก ๖๐ รูป ท่เี ป็นพระธรรมทตู ชุดแรกของโลกไปประกาศ พระพทุ ธศาสนา ธมั เมกขสถูปน้ี บางแห่งเรียกวา่ ธรรมมุขะ สรา้ งขึ้นในสมยั ราชวงศค์ ุปตะ เช่ือว่าสร้างขึน้ เพ่ือถวายพระศรีอารยิ เมตไตรย โดย เข้าใจวา่ ณ สถานท่ีนสี้ มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ แกพ่ ระศรอี ารยิ เมตไตรยว่า จะไดเ้ ป็นพระพทุ ธเจา้ ในอนาคต นอกจากนต้ี ามความเหน็ ของอนิ เดียยังเชอื่ กนั วา่ พระกสั สปสมั มา สมั พุทธเจ้าประสูติ ณ ท่นี ้ีอกี ดว้ ย
ธัมเมกขสถปู 119
บรเิ วณอสิ ปิ ตนมฤคทายวันวหิ าร
บริเวณอสิ ปิ ตนมฤคทายวันวหิ าร 121
ธรรมราชิกสถปู “ธรรมราชิกสถูป” เปน็ สถปู ท่พี ระเจ้าอโศกมหาราช สรา้ งข้นึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๙๕ เพือ่ เปน็ อนุสรณ์การแสดง อนตั ตลกั ขณสตู ร ทีป่ ัญจวคั คียไ์ ด้ส�ำ เร็จเป็นพระอรหันต์ และ เปน็ ทบี่ รรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุ เป็นสถปู รุ่นแรก ๆ ทส่ี รา้ ง ด้วยอฐิ ภายหลังใช้ศิลาหมุ้ เป็นแบบสถปู สาญจิ แตเ่ ดิม สถปู มเี ส้นผา่ นศนู ย์กลางเพยี ง ๑๓.๕ เมตร ไดร้ บั การตอ่ เตมิ บรู ณะหลายครั้ง ตามประวัติกล่าววา่ ใน พ.ศ. ๑๗๐๐ เมื่อกองทัพมุสลิมรุกเข้าสู่อินเดียผ่านแม่น้ำ�คงคาและเมือง พาราณสี ไดเ้ ข้าท�ำ ลายวัตถทุ เ่ี คารพของศาสนาพราหมณ์ เสียหายเปน็ อันมาก แลว้ ข้ามเลยไปถงึ อุทยานมฤคทายวนั ทำ�ลายสถานที่เคารพบชู าของพระพทุ ธศาสนาดว้ ย ต่อมา เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๓๗ ชคัตสงิ ห์ แห่งเมอื งพาราณสี ไดส้ ัง่ รอื้ สถปู น�ำ แท่งหนิ อิฐ พร้อมรปู แกะสลกั รวมถงึ พระพทุ ธ รูปไปถมที่สร้างสะพานข้ามแม่น้ำ�เข้าสู่ตัวเมืองพาราณสีและ ท่านำ้� ได้พบผอบบรรจุพระบรมสารรี ิกธาตุ พระองคจ์ ึงสัง่ ให้บดละเอียดแล้วนำ�ไปโปรยลงในแม่น้ำ�คงคาตามความ เชอ่ื ของศาสนาฮนิ ดู ปัจจุบนั คงเหลือเพยี งส่วนฐานของพระ สถูปเทา่ นัน้
ธรรมราชิกสถูป มลู คนั ธกฎุ ี “มลู คนั ธกฎุ ี” สถานที่ท่ีพระพุทธเจ้าประทบั จำ�พรรษาแรก และพรรษาที่ ๑๒ ลักษณะเปน็ อาคารปลูกสรา้ งแบบอนิ เดียโบราณ มรี ูปทรงทางสถาปตั ยกรรมใหเ้ หน็ เปน็ ที่สะดดุ ตา ตามลกั ษณะเป็น ศลิ าทรายสลบั ดว้ ยอฐิ ก่อปูน บางแห่งสลักลวดลายเสลา ด้านตะวนั ออกคอื ท่ีตง้ั เสาหิน ด้านทศิ ใต้มีเจดยี ห์ นิ ทรายบรรจุสงิ่ ของสำ�คัญ 123
ด้านทศิ ตะวันออกมลี กั ษณะเปน็ ห้องโถง เคยมีพระภิกษลุ งปาฏิ โมกข์กันทีน่ ีด่ ้วย ใกล้ ๆ กันยังปรากฏให้เหน็ เสาหนิ พระเจา้ อโศก มหาราช สงู ๕๐ ฟตุ แมจ้ ะหักออกเป็น ๔ ท่อนกย็ งั เกบ็ ไว้เป็น อยา่ งดี บนหัวเสาหนิ มสี งิ ห์อโศกที่แผส่ ีหนาทไปทัว่ ๔ ทิศ ปัจจุบัน เกบ็ รกั ษาไวใ้ นพิพิธภัณฑ์ท่สี ารนาถ นอกจากจะทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่นี่แล้ว พระพทุ ธองคย์ งั ไดต้ รัสพระสูตรอ่ืน ๆ ในตา่ งวาระอีกหลายพระ สตู ร เชน่ ปัญจสูตร รถกาลสูตร ปาสสตู ร ๒ สตู ร สมยั สูตร กฏ วิยสูตร อันเป็นพระสูตรว่าดว้ ยเมตเตยยปัญหา และธรรมทินนา สูตร ทท่ี รงแสดงโปรดมหาอบุ าสิกาธรรมทินนา พระมลู คันธกฎุ ี ทปี่ ระทบั จำ�พรรษาแรกของพระพทุ ธเจ้า
ยสเจติยสถาน สถานท่ีแหง่ ความไมข่ ดั ข้อง ไม่มคี วามวนุ่ วาย เปน็ เจดีย์ ขนาดเล็ก มีอาคารส่เี หล่ยี มมงุ ไว้เปน็ อย่างดี สถานท่ีนี้เช่อื กันว่า พระพทุ ธองคท์ รงแสดงอิทธาภินหิ ารโปรดยสกุลบตุ ร ผูเ้ ปน็ บตุ ร เศรษฐีแหง่ เมอื งพาราณสดี ้วยอนุปพุ พกิ ถาและอริยสัจส่ี เป็นผล ใหย้ สกุลบุตรไดด้ วงตาเหน็ ธรรม และน�ำ ใหบ้ ดิ าเปน็ ปฐมอุบาสก มารดาและอดตี ภรรยาเปน็ ปฐมอบุ าสกิ า ณ สถานทีน่ ี้อกี ดว้ ย ยสเจติยสถาน 125
เสาศิลาจารึกพระเจา้ อโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงให้สร้างเสาหินขึ้นเพ่ือเป็น เคร่ืองหมายแสดงสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับแสดงปฐมเทศนา และจดั ตง้ั คณะสงฆช์ ุดแรก ๖๐ รูปออกประกาศศาสนา เสาหินถกู สรา้ งประมาณ พ.ศ. ๒๕๐ มีความสงู ๑๕.๒๔ เมตร จารึกอกั ษร พรหมซี ่ึงนายเจมส์ พรนิ สเ์ ซฟ นักอักษรศาสตร์ชาวองั กฤษใชเ้ วลา ถอดความอย่ถู ึงเจด็ ปี (หลังจากที่กอ่ นหนา้ นมี้ ีผพู้ ยายามแปลอยู่ ถึงหา้ สิบปีแตไ่ ม่ส�ำ เรจ็ ) ได้ใจความวา่ “หากบคุ คลผู้ใด จะเป็นพระ ภกิ ษุหรือภิกษุณกี ็ตาม ท�ำ ลายสงฆใ์ หแ้ ตกแยกกนั บุคคลผนู้ ้ันต้อง ถูกบงั คับใหน้ ่งุ ขาวหม่ ขาวไปอาศยั อยู่ ณ สถานทอี่ ืน่ ” ในคราวเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ ศลิ าน้ีถูกท�ำ ลายตกลงมาหกั เป็น ๔ ทอ่ น เจา้ หนา้ ท่ีกรมโบราณสถาน จึงนำ�มาเรยี งตงั้ ไว้ในทเี่ ดียวกัน สว่ นหัวซ่งึ เป็นรูปสงิ โตสเี่ ศียรหันหลงั ชนกัน ทขี่ อบแท่นสลักเป็น รูปกงล้อธรรมจกั รและรปู สตั ว์ ๔ ชนิดสลบั กนั คือ ราชสีห์ ช้าง มา้ และโค ซ่ึงมีความหมายแห่งอ�ำ นาจ ความกลา้ หาญ ความ ม่นั ใจ และพลังตามล�ำ ดบั สัตวผ์ ทู้ รงความยิ่งใหญ่ท้ังสน่ี ้ี จะคอย เฝ้าพิทกั ษ์พระธรรมจกั ร (The Wheel of Dhamma) ด้านลา่ ง ของสิงห์มอี กั ษรเทวนาครถี อดความได้ว่า ความจริงเทา่ นนั้ มีชยั ชนะ เหนอื ทุกสง่ิ ด้วยความหมายท่ีอุดมเชน่ นี้ รฐั บาลอินเดยี จงึ ได้ใช้รูป สิงห์จตุรทิศอันสง่างามที่สร้างข้ึนในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนี้เป็น ตราแผ่นดนิ เช่นเดยี วกบั ตราครฑุ ของไทย ปัจจบุ นั สว่ นหวั ของ เสาถกู เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เมอื งสารนาถ
เสาศลิ าจารกึ พระเจ้าอโศกมหาราช 127
โอวาทปาฏโิ มกข์
โปรดพระเจา้ พิมพิสารทส่ี วนตาลหนมุ่ พระเจ้าพมิ พสิ ารถวายเวฬวุ ันเป็นสังฆารามแหง่ แรก
ราชคฤห์ “ราชคฤห”์ แมไ้ มจ่ ดั ว่าเป็นสงั เวชนียสถาน ๔ ตำ�บล แต่ดว้ ยความส�ำ คญั จงึ นับเขา้ ในอัฏฐมหาสถานทสี่ ำ�คญั ของ พุทธศาสนา เช่นเดยี วกบั ลมุ พินี พุทธคยา สารนาถ กุสนิ ารา สงั กสั สะ เวสาลี สาวัตถี ซ่ึงลว้ นแต่เป็นสถานท่ที พี่ ระพุทธเจา้ เสด็จประทับ และมีพระสตู รสำ�คญั ทแ่ี สดงในเมืองนั้นๆ มากมาย ราชคฤหเ์ ปน็ มหานครแหง่ แคว้นมคธ จดั วา่ เป็นนคร ใหญ่ ๑ ใน ๖ นครของอนิ เดยี โบราณ ตัง้ อยูท่ างทศิ ตะวัน ออกของชมพทู วีป เป็นเมืองทล่ี ้อมรอบด้วยก�ำ แพงธรรมชาติ คือ เบญจครี นี ครหรือภูเขา ๕ ลูก ไดแ้ ก่ เวภาระ เวปุละ คชิ ฌกฏู อิสิคลิ ิ และ ปณั ฑวะ ในสมยั พุทธกาล พระราชาผคู้ รองนครน้คี ือ พระเจา้ พิมพิสารและชว่ งทา้ ยพทุ ธกาลคือ พระเจา้ อชาตศัตรู พระ ราชโอรสของพระเจ้าพมิ พสิ าร ราชคฤห์เป็นเมืองทมี่ คี วาม ส�ำ คัญตอ่ พระพุทธศานามาก อาทิ พระเจา้ พมิ พิสารไดท้ รง ถวายพระเวฬุวนั ราชอทุ ยานสรา้ งเปน็ วัดแห่งแรก พระพุทธ องค์ทรงประทานเอหิภิกขุอปุ สัมปทา และแต่งตง้ั มหาอคั ร สาวกทั้งสอง เป็นสถานทีแ่ สดงโอวาทปาติโมกข์ซงึ่ เป็นตน้ ก�ำ เนิดวนั มาฆบูชา มถี ำ้�สตั ตบรรณคหู าสถานที่ท�ำ ปฐม สังคายนา เป็นตน้
ทรงได้พระอัครสาวกคู่ ทรงแต่งต้งั พระอคั รสาวกคูบ่ ริหารคณะสงฆ์
เม่ือออกพรรษาแรกแล้ว พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ออกจากเมือง พาราณสยี ้อนกลบั ไปทางพุทธคยา ต�ำ บลอรุ ุเวลาเสนานิคม ระหวา่ ง ทางทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดภัททวคั คีย์ ๓๐ คน ให้บรรลุโสดา ปัตตผิ ลบ้าง สกทาคามิผลบา้ ง และอนาคามิผลบ้าง แล้วให้บวชเป็น ภิกษดุ ว้ ยเอหภิ กิ ขุอุปสมั ปทา ทรงแสดงธรรมโปรดชฎิล ๓ พ่นี ้อง คือ อุรุเวลกสั สปะ นทีกัสสปะ และ คยากสั สปะ กับบรวิ าร ๑,๐๐๐ โดยแสดงปาฏหิ าริยใ์ หเ้ ลอ่ื มใส ใหบ้ วชด้วยเอหภิ ิกขอุ ปุ สัมปทา แลว้ พาไปสูห่ ัวเขาคยาสีสะ ทรงแสดงอาทติ ตปรยิ ายสตู รให้ชฎิลท้ัง ๑,๐๐๓ รปู บรรลุอรหตั ตผลแลว้ ตามเสด็จสรู่ าชคฤห์ พระสารีบุตรบรรลุโสดาปัตติผลเพราะฟังธรรมโดยย่อจาก ทา่ นพระอัสสชวิ ่า “เย ธมฺมา เหตปุ ฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต (อาห) เตสญฺจ โย นโิ รโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ. (ว.ิ มหา. ๔/๖๐) ธรรมเหลา่ ใดเกดิ แตเ่ หตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่ง ธรรมเหลา่ นนั้ และความดบั แห่งธรรมเหลา่ นั้น พระมหาสมณะมี ปกตติ รัสอยา่ งน้ี” พระโมคคัลลานะ ไดฟ้ งั ธรรมนั้นจากสารีบุตรบรรลโุ สดา ปัตติผลแล้วชวนกันไปเขา้ เฝ้าพระพุทธองค์ท่ีพระเวฬุวันวหิ าร ได้ อปุ สมบทเป็นภิกษุด้วยเอหภิ กิ ขอุ ุปสัมปทา และได้ฟังธรรมเทศนา บรรลุอรหตั ตผล ได้รบั แตง่ ตงั้ ให้เปน็ พระอัครสาวกและต่อมาไดร้ ับ แตง่ ต้ังไวใ้ นตำ�แหน่งเอตทัคคะ
จาตุรงคสันนบิ าต ปปิ ผลปิ ริพาชกขอบวชในพระพทุ ธศาสนา
วนั มาฆบูชา คอื วนั จาตรุ งคสนั นิบาต เปน็ วันเดยี วกบั ที่พระ สารีบุตรบรรลุอรหัตตผล เวลาบ่ายมีการประชมุ สงฆ์ทพี่ ระเวฬุวัน วหิ าร ประกอบด้วยองคส์ ่ี คือ ๑ เปน็ วันเพญ็ เดอื นมาฆะ (ขึ้น ๑๕ ค�ำ่ เดอื น ๓) ๒ มภี ิกษุ ๑,๒๕๐ รปู (ภกิ ษุปรุ าณชฎิล ๑,๐๐๐ รปู ภิกษุ บรวิ ารของพระสารีบุตรและพระโมคคลั ลานะอกี ๒๕๐ รปู ) มา ประชมุ กนั โดยมไิ ดน้ ดั หมาย ๓ ภกิ ษทุ ุกรูปลว้ นเป็นพระอรหันตขณี าสพผไู้ ดอ้ ภญิ ญา ๖ ๔ ภกิ ษทุ ง้ั หลายล้วนบวชด้วยเอหิภกิ ขอุ ุปสัมปทา พระพทุ ธองคท์ รงแสดง โอวาทปาฏโิ มกข์ มเี นื้อความโดย ยอ่ ว่า “ขันติเปน็ ธรรมเคร่อื งเผากิเลสได้ดียงิ่ นพิ พานเปน็ ธรรม สงู สุด ผูท้ �ำ รา้ ยผอู้ น่ื ไม่ช่อื ว่าเปน็ บรรพชติ ผ้เู บยี ดเบยี นผู้อ่นื ไมช่ ื่อ ว่าเป็นสมณะ การไมท่ ำ�บาปทัง้ ปวง การทำ�กุศลให้ครบถว้ น การท�ำ จิตใหผ้ ่องใส การไมก่ ล่าวร้าย ไม่ท�ำ รา้ ย สำ�รวมในพระปาฏโิ มกข์ การรู้ประมาณในการบรโิ ภค นั่งนอนในทส่ี งบ ประกอบความเพยี ร ในจิตให้ย่งิ นีเ้ ป็นคำ�สอนของพระพุทธเจ้าทงั้ หลาย” พระพทุ ธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดปปิ ผลิมาณพ กสั สป โคตร (พระมหากสั สปเถระ) บุตรของกบิลพราหมณ์ และใหบ้ วช โดยการใหร้ ับโอวาทสาม เจ้าชายอชาตศตั รทู �ำ ปติ ฆุ าต ช่วงปที ี่ ๙ แหง่ การตรัสรูข้ อง พระพุทธเจ้า
วดั เวฬวุ ันวหิ าร “เวฬุวนาราม” มหาสังฆกิ าวาส เปน็ วัดแหง่ แรกในพระพุทธ ศาสนาเดิมเป็นอุทยานสวนไม้ไผ่และไม้นานาชนิดของพระเจ้า พิมพิสาร ซงึ่ เป็นท่ีประทานเหย่อื แก่กระรอก กระแต ที่เรยี กว่า กลนั ทกนิวาปะ อยดู่ ้านทิศเหนือของแม่น�ำ้ สรสั วดี มตี โปธารสายนำ�้ รอ้ นค่นั อยู่ พระเจ้าพิมพสิ าร เมื่อสดับพระธรรมเทศนา ณ ลัฏฐิวัน แล้วกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุเข้ารับ บิณฑบาตในพระนคร และทรงมีพระราชดำ�รวิ า่ สวนหลวงเวฬวุ นั แหง่ นอี้ ยู่ไม่ไกลนักสะดวกด้วยการคมนาคม กลางวันไมพ่ ลุกพลา่ น กลางคืนเงยี บสงบ เสียงไม่กกึ กอ้ ง เปน็ สถานทีค่ วรแก่ผู้ต้องการ ความสงดั และควรเป็นที่หลักเรน้ อยู่ตามสมณวิสยั พระองคจ์ งึ ถวายเวฬุวนั แก่พระภิกษุอันมพี ระพุทธเจ้าเปน็ ประมขุ ทรงจบั สวุ รรณกิงคารหล่งั นำ�้ อบถวายแดพ่ ระพุทธเจา้ ดว้ ยเหตุนีใ้ นกาล ตอ่ มาพระพุทธองค์ทรงมีรบั สัง่ กับภิกษทุ งั้ หลาย ทรงอนุญาตใหม้ ี อารามได้ จึงนับได้วา่ เวฬุวนารามแหง่ นเี้ ปน็ วดั แห่งแรกในพระพทุ ธ ศาสนา พระพทุ ธองค์ทรงประทับจ�ำ พรรษา ณ ท่ีแหง่ นีร้ วมแลว้ ๖ พรรษา โดยทรงประทับอยู่นานในพรรษาที่ ๒-๔ น อ ก จ า ก น้ี เ ว ฬุ ว น า ร า ม ยั ง เ ป็ น แ ห่ ง สำ � คั ญ ที่ สุ ดใ น ประวัติศาสตร์ แห่งการพฒั นาวรรณคดีพระพุทธศาสนาดว้ ย และ ทีน่ ี่เองพระพทุ ธองค์ทรงบัญญัตวิ นิ ยั หลายสกิ ขาบท และทรงแสดง พระธรรมเทศนาในพระสูตรส�ำ คัญๆ หลายพระสตู ร
วัดเวฬวุ ันวิหารรม่ รืน่ ดว้ ยสวนไผแ่ ละร่มไม้นอ้ ยใหญ่ 137
พระพุทธรปู ปางแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์ ประดิษฐาน ณ วดั เวฬุวันวิหาร
สถูปอัญญาโกณฑญั ญะ บรเิ วณโดยรอบของเวฬุวนารามนน้ั หน้าประตทู างด้านทศิ เหนือ มีซากสถปู ปรากฏอยู่ ๒ แหง่ คอื สถปู ทสี่ ร้างข้ึนเพ่อื เป็นท่ี บรรจุอัฐิธาตุของพระโมคคัลลานะและพระอัญญาโกณฑัญญะสอง อคั รสาวกองคส์ �ำ คัญ ตามประวตั กิ ล่าวว่า พระโมคคัลลานะ อคั รสาวกเบือ้ งซ้าย อุปสมบทท่ีเวฬุวนารามแห่งน้ี บ�ำ เพ็ญเพียรอยทู่ ่ีกัลลวาลมุตตคาม ๗ วัน จึงได้ส�ำ เรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์ ทา่ นนพิ พานหลังจากพระสารี บตุ ร ๑๕ วัน ทถ่ี �ำ้ กาฬศลิ าข้างภเู ขาอสิ ิคิลแิ หง่ กรุงราชคฤห์น้ี สว่ น พระอัญญาโกณฑญั ญะ ปฐมสาวกทตี่ ิดตามพระพทุ ธองคม์ าจาก เมอื งกบิลพัสด์ุ อปุ สมบทท่ปี ่าอสิ ิปตนมฤคทายวัน และไปนพิ พาน ท่ีใกลส้ ระฉัททนั ต์ในภเู ขาหมิ าลยั พระพุทธองค์ทรงโปรดให้สร้าง สถูปข้ึนบรรจุอัฐิธาตุของสาวกผู้ทำ�ประโยชน์ไว้ท่ีหน้าประตูเวฬุ วนารามแห่งนี้ ลฏั ฐิวนั อุทยานหลวงท่ีมตี น้ ตาลใหญ่น้อยขนึ้ ทั่วบรเิ วณ อยหู่ ่างจาก กรุงราชคฤห์ประมาณ ๖ กโิ ลเมตร เปน็ สถานทที่ ีพ่ ระเจา้ พมิ พสิ าร เสด็จไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ พร้อมดว้ ยพราหมณค์ หบดชี าวมคธจำ�นวน ๑๒ นหุต (หนึ่งแสนสองหมนื่ ) 139
อชาตศตั รสู ถปู เป็นสถูปโบราณตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเวฬุวันมหา วิหาร ใกลก้ บั ถนนใหญ่ เปน็ ลกั ษณะสถูปหินท่ีเรียงเปน็ ชัน้ ๆ ทรง กลมสงู ประมาณ ๒ เมตรเศษ เชอ่ื กันวา่ เปน็ สถูปท่ปี ระดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุคราวเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูรับมอบจากมัลล กษัตรยิ ์แห่งเมืองกุสนิ ารา หลังพทุ ธปรนิ พิ พานได้ ๗ วนั ในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช โปรดใหส้ ร้างวิหารและสถูป ขน้ึ ในเมอื งตา่ ง ๆ ทัว่ ราชอาณาจักรรวม ๘๔,๐๐๐ แห่ง และโปรด ให้คน้ หาพระบรมสารีรกิ ธาตใุ นสถปู แหง่ น้ี แลว้ น�ำ มาเฉลยี่ ไปบรรจุ ไว้ในสถูปทพี่ ระองคท์ รงสรา้ งข้นึ ใหมโ่ ดยทัว่ ถึงกัน อชาตศตั รูสถปู
ตโปทาราม ตโปทาราม หรอื ตโปทานที สมัยพทุ ธกาลเป็นท่ีข้นึ ชือ่ ลือชา ไปท่วั ชมพทู วปี วา่ เปน็ บ่อน�้ำ ศักด์สิ ทิ ธ์ิ มีสายน้�ำ อุ่นจากเขาเวภาร บรรพต ซ่งึ ในพระบาลีกล่าววา่ น�้ำ ร้อนจากตโปทานทีน้ไี ดไ้ หล ผา่ นโลหกุมภีนรกมาแลว้ และสามารถรักษาโรคภยั ไข้เจบ็ ได้ เพราะ มีแรก่ ำ�มะถนั เหลก็ ทองแดง และเรเดยี มในปรมิ าณมากอยใู่ น น้ำ� โดยเฉพาะในฤดหู นาว พระภิกษใุ นยุคน้ันจงึ สรงน้�ำ กนั เพลิน จนพระเจ้าพิมพิสารตอ้ งรอคิวให้พระภกิ ษสุ รงเสรจ็ กอ่ น เป็นเหตุให้ กลบั เข้าเมอื งไม่ได้เพราะประตพู ระนครปิด พระองคจ์ ึงต้องเสด็จไป พักแรมทีเ่ วฬวุ นาราม พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงบัญญตั สิ ิกขาบทใหพ้ ระ ภกิ ษสุ รงน้�ำ ได้ ๑๕ วันต่อครงั้ ณ ทีต่ โปทานทนี ี้ ตโปทาราม 141
ถ้ำ�ปปิ ผลวิ นั และ ถำ�้ สตั ตบรรณคหู า เหนือบอ่ น้ำ�ร้อนตโปทารามจะมองเหน็ ถ้�ำ ปิปผลิวันคูหา หรอื อสิ คิ ิลิ หรือทช่ี าวพืน้ เมอื งเรียกวา่ ชรา สนั คาวิเภตัค เปน็ ถ้ำ�กวา้ ง ประมาณ ๘๕ ฟุต สงู ประมาณ ๘๑ ฟตุ เชือ่ กนั วา่ เปน็ ถำ้�ทีพ่ ระมหา กสั สปเถระเคยพำ�นกั อยู่ ทา่ นเปน็ พระสาวกที่พระพทุ ธเจา้ ทรงยกยอ่ ง ว่าเลิศกวา่ ภกิ ษุทั้งหลายดว้ ยคณุ แหง่ การถือธุดงค์ ๑๓ ขอ้ ตลอดชีวติ เลยขึน้ ไปตามทางสู่ยอดเขา เยื้องหนา้ ผาจะมีถ�ำ้ อีกแห่งหน่ึง เรยี กวา่ สตั ตบรรณคูหา เป็นสถานทที่ �ำ สงั คายนาครงั้ แรกในพระพทุ ธศาสนา มูลเหตทุ ่พี ระมหากสั สปเถระ ดำ�รจิ ะกระท�ำ การสงั คายนาพระ ธรรมวินยั เป็นคร้งั แรกท่รี าชคฤห์ ดว้ ยเหตผุ ล ๒ ประการ คอื พระ ศาสดาทรงประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนา ณ แคว้นมคธเปน็ แหง่ แรก และพระเจ้าอชาตศัตรูจักได้อุปถัมภ์ในการปฏิสังขรณ์พระมหาวิหาร รอบกรงุ ราชคฤห์ ๑๘ แหง่ ท่ชี �ำ รุดทรุดโทรมให้กลับส่สู ภาพดดี งั เดมิ วนั ข้นึ ๑๕ ค�ำ่ เดือน ๙ (ตอนกลางคืน) หลงั พระศาสดา ปรนิ ิพพาน ๓ เดือน พระอรหนั ต์ ๕๐๐ รปู มที ่านพระมหากัสสปะ เปน็ ประธาน ไดป้ ระชุมสงั คายนา ณ ถ�้ำ สตั ตบรรณ ภูเขาเวภาระ เมืองราชคฤห์ โดยมพี ระเจ้าอชาตศตั รูทรงเปน็ องคอ์ ุปถัมภ์ ทา่ นพระ มหากสั สปะเป็นผูถ้ ามทัง้ สว่ นท่เี ปน็ พระวนิ ยั และพระธรรม ท่านพระ อบุ าลเี ป็นผ้วู สิ ชั นาพระวินัย ทงั้ สว่ นทเี่ ปน็ ภิกษุสงฆ์ ภิกษณุ สี งฆ์ และ ทา่ นพระอานนทเ์ ป็นผวู้ ิสัชนาพระธรรม จากการร้อยกรอง รวบรวม ซักซ้อม ตรวจสอบและสวดพระธรรมวนิ ัยเปน็ หมวดหม่อู ย่างเป็นระบบ เรยี บร้อยแลว้ การสงั คายนาไดส้ ิ้นสดุ ลงในวันข้นึ ๑๕ คำ�่ เดือน ๔ รวมเวลา ๗ เดือน
ถ้ำ�ปปิ ผลิวัน 143
ถำ�้ สตั ตบรรณคหู า
เรอื นคุมขังบริเวณพระเจ้าพิมพสิ าร กำ�เนิดตำ�นานปิตุฆาตที่อชาตศัตรูผู้เป็นพระ ราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารองค์ราชาแห่งแคว้นมคธ หลงเชอื่ บาปมติ รคอื พระเทวทตั ไดจ้ ับพระราชบดิ ามากัก บริเวณใหอ้ ดอาหาร และจ�ำ กัดทใี่ ห้เล็กลง (ขงั เดย่ี ว) พระ เจ้าพมิ พิสารหมดพระราชอำ�นาจ หันเข้าพ่ึงพุทธานุภาพ โดยการยืนทอดพระเนตรชายจีวรของพระบรมศาสดาซ่ึง ประทบั อยู่ท่ีมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชฌกูฏจนสน้ิ พระชนม์ ในคกุ ดว้ ยพระชนมายเุ พียง ๖๗ พรรษา ก่อนพระพุทธเจ้า ปรินพิ พาน ๘ ปีเท่านั้น ปัจจบุ ันทางการของรฐั พิหาร ไดก้ ่อหนิ สูงประมาณ ๑ เมตร และบริเวณกว้างประมาณ ๘-๑๐ เมตร โดยรอบ มีปา่ ละเมาะลอ้ มไว้ มีทางเดินจากถนนใหญ่เขา้ ไปได้ ท่ี ตรงกลางมหี อ้ งสี่เหลี่ยมเลก็ ๆ ในซากกำ�แพงหนิ เรยี งซ้อน หนาประมาณ ๖ ฟตุ จะมองเหน็ มลู คันธกุฎบี นยอดเขา คิชฌกูฏได้อย่างชัดเจน 145
เรอื นคมุ ขงั บรเิ วณพระเจา้ พมิ พสิ าร
มนิยาร์มัฐ และ คลงั สมบัตขิ องพระเจา้ พิมพสิ าร “มนิยาร์มัฐ”ต้ังอยู่กลางเมืองราชคฤห์ในสมัยโบราณ เปน็ เจดีย์ของพวกเชน สงู ประมาณ ๒๐ ฟตุ มผี สู้ นั นษิ ฐานว่า น่าจะเป็นสถูปทางพระพุทธศาสนาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมอ่ื ขุดลงไปพบรูปสลักศิลาเปน็ พระพทุ ธรปู ปางสมาธิ อกี รปู หนงึ่ เปน็ นาค ๗ หวั ก�ำ ลงั แผ่พังพาน ต่อมาภายหลงั มรี ปู หิน สลักเป็นศวิ ลงึ ค์ นาค และพระพฆิ เนศวร์ มนยิ าร์มัฐไดร้ ับการซ่อมแซมต่อเติมเปน็ ล�ำ ดับ ผู้ มอี ำ�นาจนบั ถอื ศาสนาไหน กเ็ ปลย่ี นสถานที่ให้เปน็ ไปตาม ศาสนานั้น ในที่ไม่ห่างกัน เพียงเดินทางต่อเข้าไปถงึ เชงิ เขา จะเห็นถ้ำ�ท่ถี ูกแบง่ ออกเป็นสองห้อง มปี ระตเู ขา้ และชอ่ งพอ แสงจะลอดผ่านไดม้ ีผูส้ นั นิษฐานว่า นา่ จะเปน็ โสณภัณฑาร์ ท่พี ระพทุ ธเจา้ ได้แสดงโอภาสนิมติ ให้พระอานนท์รู้ ณ ถ้ำ� สปั ปโิ สณฑกิ ากอ่ นเสด็จปรนิ พิ พาน บางทา่ นเล่าวา่ ทตี่ รงน้ี เปน็ คลงั มหาสมบตั ขิ องพระเจ้าพิมพิสาร เพราะดา้ นในยังมี ลายแทงตรงหน้าปากถ้ำ� 147
มนยิ ารม์ ฐั
คลังมหาสมบตั ขิ องพระเจ้าพิมพสิ าร 149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441