Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือจาริกบุญ_จารึกธรรม_ณ_แดนพุทธภูมิ

คู่มือจาริกบุญ_จารึกธรรม_ณ_แดนพุทธภูมิ

Description: คู่มือจาริกบุญ_จารึกธรรม_ณ_แดนพุทธภูมิ

Search

Read the Text Version

พระยาวสั สวดมี ารทูลอาราธนาให้เสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพาน ทรงทัศนากรุงเวสาลีเป็นครัง้ สดุ ท้าย

นางอัมพปาลีคณิกาได้ถวายสวนมะม่วงให้เป็นสังฆา รามในพระพุทธศาสนา พระนางยโสธราทรงผนวชในสำ�นกั พระมหาปชาบดีเถรี นางรูปนันทา นอ้ งสาวของพระนนั ทเถระ ออกบวชในสำ�นกั พระมหาปชาบดีเถรเี ชน่ เดยี วกัน เจ้ามหาลิ ได้ฟังสักกปญั หสูตรแลว้ สงสัยว่าท้าวสกั กะ มีจริงหรอื เขา้ เฝา้ กราบทลู ถามพระพุทธเจ้า พระพทุ ธองค์ ตรัสบอกวตั ตบท ๗ อันเปน็ ข้อปฏิบัตไิ ดเ้ ป็นทา้ วสกั กะวา่ “เปน็ ผ้เู ลย้ี งมารดาบิดา นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พดู จา อ่อนหวาน เวน้ ค�ำ สอ่ เสยี ด กลา่ วค�ำ สตั ย์ ไม่ตระหนี่ และขม่ ความโกรธได”้ พระพทุ ธองค์ประทับจำ�พรรษาที่ ๔๕ ซ่ึงเปน็ พรรษา สุดทา้ ยกอ่ นเสดจ็ ดับขันธปรนิ ิพพาน ทหี่ ม่บู ้านเวฬุวคาม หลัง จากออกพรรษาแล้ว ชว่ งบ่ายวันหนงึ่ พระพทุ ธองค์ชวนพระ อานนทไ์ ปยงั ปาวาลเจดยี ์ ทรงเปลง่ นิมติ โอภาสถงึ ๓ คร้งั แต่ พระอานนท์ไม่เขา้ ใจ ทรงปลงพระชนมายสุ งั ขารว่า “นบั จากน้ี ไปอกี ๓ เดอื นเราตถาคตจะปรนิ พิ พาน”

ท่าน�ำ้ อุกกเจละ ทา่ น�ำ้ อกุ กเจละ ฝง่ั แมน่ ำ�้ คงคาดา้ นเมอื งเวสาลี พระราชวังของเจา้ ลิจฉวี

พระราชวงั ของเจา้ ลจิ ฉวี 253

กฏู าคารศาลา ป่ามหาวนั อารามทีก่ ษัตริยล์ ิจฉวีสรา้ งถวายพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ต้ัง อย่ใู นป่ามหาวนั ทางเหนือของอาณาจกั รวัชชีในป่าหมิ าลัย และ พระพทุ ธองคท์ รงประทับอยู่ในพรรษาที่ ๕ และแวะคราวเม่ือเสดจ็ ไปกุสนิ ารา มภี กิ ษเุ ข้าอยู่จำ�พรรษาในอารามนี้เปน็ ประจ�ำ กฏู าคารศาลาเหลือไว้เพียงซากโบราณสถาน ทป่ี ระกอบไป ด้วยสงั ฆาราม มหี ้องพัก ห้องประชมุ เจดีย์นอ้ ยใหญท่ ่เี ด่นสงา่ งาม มสี ถูปองค์ใหญ่ซึ่งมลี ักษณะเปน็ รปู ทรงกลมควำ่� มีเสาหิน พระเจ้าอโศกท่ยี ังมีหัวสงิ ห์ประดษิ ฐานอยู่ดา้ นบน ตงั้ ตระหง่านเดน่ สง่างามมาก และหันหนา้ ไปทางทิศเหนอื ประหนงึ่ ว่าทอดอาลยั ตาม พระพุทธองค์ครัง้ เสดจ็ ผ่านเมอื งนเ้ี ป็นคร้งั สุดทา้ ย ก่อนจะเสด็จไป ปรินิพพาน ณ เมอื งกุสนิ ารา กูฏาคารศาลา ปา่ มหาวนั

บริเวณโดยรอบ กฏู าคารศาลา ปา่ มหาวัน 255

บริเวณโดยรอบ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน หัวสิงห์บนเสาศลิ าจารึกพระเจา้ อโศกมหาราช

อมั พปาลีคณกิ าราม อมั พปาลีคณกิ าราม 257

เกสรยิ าสถปู เกสรยิ าสถปู เสน้ ทางทพ่ี ระพทุ ธเจ้าเสด็จผา่ นก่อนปรินพิ พาน ปาวาลเจดีย์ สถูปโบราณขนาดเสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง ๓ เมตร มสี ังกะสมี งุ เปน็ ทรงกลม ศาลาแปดเหล่ยี ม ลอ้ มรอบฐานเจดีย์โบราณ ซ่งึ ได้ รบั การขุดค้นจากฝ่ายโบราณคดขี องรัฐบาลกลาง และนกั โบราณคดี ยนื ยันว่า น่ีคือพระสถปู ทีบ่ รรจุพระบรมสารีริกธาตุท่ีได้แบง่ จาก กสุ ินาราและจากสถูปอกี ๗ แห่ง แล้วอัญเชญิ มาบรรจไุ ว้ในสมยั เดยี วกับเมืองราชคฤหข์ องพระเจ้าอชาตศตั รู ราชาลจิ ฉวี ราชา มัลละ ราชาโกลยิ ะแหง่ รามคาม พราหมณ์แห่งเวฏฐทปี กนคร ราชา โมลนี คร ราชาศากยะแหง่ กบลิ พัสดุ์

ปาวาลเจดีย์ ฐานของปาวาลเจดยี ท์ ่ียังเหลอื อยู่ 259

วาลุการาม “วาลกุ าราม” เปน็ ท่ีท�ำ สงั คายนาครั้งที่ ๒ เมอ่ื พ.ศ. ๑๐๐ โดยมพี ระยสกากัณฑกบตุ รเปน็ ประธาน พระเรวตเถระเป็นผ้ถู าม พระสพั พกามีเถระเป็นผู้วิสชั นา พระเจ้ากาลาโศกราช เป็นผถู้ วาย ศาสนปู ถมั ภ์ ใช้ระยะเวลา ๘ เดอื น มพี ระอรหันต์ ๗๐๐ รปู หลกั ฐานทางบาลีกลา่ ววา่ เมือ่ พระพุทธเจา้ ปรนิ ิพพานแลว้ ๑๐๐ ปี ภิกษุ วชั ชีบางรูปบญั ญตั ิหลัก ๑๐ ประการนอกพระวินัยขนึ้ ซงึ่ ไมล่ งรอย กับพระปาฏโิ มกข์ หลักฐานทางลงั กากลา่ วว่า การลงมตใิ นครง้ั น้ันไม่ เปน็ เอกฉันท์ ภกิ ษชุ าวเมืองเวสาลีบางพวกท่ีไม่ได้เขา้ ประชุม ก็ไปจัด ประชมุ ใหมเ่ รยี กว่า มหาสงั ฆิกะ หรือ มหาสังคตี ิ ฝา่ ยมหาสังฆิกะ วาลกุ าราม ทุตยิ สงั คายนา

วาลุการามในปจั จบุ ัน 261



ปรนิ ิพพาน

จนุ ทะกมั มารบตุ รถวายภตั ตาหารครง้ั สดุ ท้าย พระอานนทถ์ วายน้ำ�ระหวา่ งทางเสดจ็ ไปเมืองกสุ นิ ารา

หลังจากพระพุทธองค์ทรงปลงพระชนมายุสังขารท่ีเวฬุวคาม เมอื งเวสาลแี ล้ว ได้เสดจ็ ผา่ นไปทางภัณฑคาม หตั ถิคาม อัมพคาม ชมั พคุ าม โภคนคร แควน้ วัชชี ทรงแสดงมหาปเทส (หลกั อ้างองิ ) ๔ อย่างวา่ “พวกเธออย่าพึงเชื่อหรือคัดค้านเพราะได้ฟังจากพระโอษฐ์ ของพระศาสดา เพราะได้ฟงั จากหมูส่ งฆ์เพราะได้ฟงั จากพระ เถระผูเ้ ปน็ พหูสูตหลายรูป หรอื เพราะได้ฟังจากพระเถระผู้เปน็ พหสู ตู บางรูป ควรตรวจสอบเทยี บเคียงกับพระสตู รและพระวนิ ัย ก่อน” เมอื่ เสดจ็ ถึงเมอื งปาวา แคว้นมัลละ ไดป้ ระทับอยู่ ณ อมั พวัน สวนมะม่วงของนายจุนทะกัมมารบุตร ทรงรบั นมิ นต์ เสวยพระกระยาหารเชา้ ชื่อสกู รมัททวะทีเ่ รือนของนายจนุ ทะ แลว้ รับสง่ั ใหฝ้ ังสว่ นท่ีเหลอื ให้หมภู่ กิ ษฉุ นั ภตั ตาหารชนิดอ่นื หลงั จาก เสวยแล้วเกดิ อาพาธอย่างแรงด้วยโรคโลหติ ปกั ขนั ทิกาพาธ มีเวทนา กล้าจวนจะปรนิ ิพพาน แต่ทรงมีสตสิ ัมปชญั ญะอดกล้ันเวทนาไวไ้ ด้ พระพุทธองค์เสด็จต่อไปทางเมอื งกสุ นิ ารา ระหว่างทางทรง แวะพกั ท่คี วงตน้ ไม้ต้นหนง่ึ รับส่ังกบั พระอานนท์ถงึ สามครั้งว่า “กระหายน�ำ้ ” ท่านพระอานนทจ์ ึงน�ำ บาตรไปตกั นำ้� แมจ้ ะดูว่าขุ่น เพราะเกวียนเพง่ิ ผา่ นไป แตก่ ก็ ลับใสสะอาดเป็นทีป่ ระหลาดใจยิ่ง นัก หลังจากน้นั ทรงรับผา้ เนอ้ื ทองสงิ คคี ู่หน่งึ จากนายปุกกสุ ะ มัลลบุตร พระอานนท์นอ้ มผา้ คูน่ นั้ เข้าไปทาบพระวรกายของ พระพุทธองคท์ �ำ ใหพ้ ระฉววี รรณงดงามผุดผอ่ งเจดิ จ้า พระพุทธ องค์ตรสั วา่ “พระวรกายของตถาคตยอ่ มบริสุทธ์ิผดุ ผอ่ งสองคราว

โปรดสภุ ทั ทปรพิ าชกเปน็ ปัจฉิมสาวก เสดจ็ ดับขันธปรนิ พิ พาน

คอื คราวตรสั ร้อู นตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณและคราวเสด็จดับขนั ธ ปรินิพพานด้วยอนุปาทเิ สสนพิ พาน อานนท์ ในปัจฉมิ ยามแห่งราตรี นี้ ตถาคตจักปรนิ พิ พาน ระหวา่ งไม้สาละค่ใู นสาลวโนทยาน ของมลั ลกษัตรยิ ์ เขตเมืองกสุ ินารา” พระพุทธองค์เสด็จผา่ นแมน่ �ำ้ กกธุ านที ให้พระจุนทกะปผู า้ สงั ฆาฏิเปน็ ส่ีชั้น แลว้ เสด็จสีหไสยาสน์โดยตงั้ พระทยั ว่าจะลกุ ขึน้ รับสั่งกับพระอานนท์เร่ืองอาหารท่ีนางสุชาดาถวายก่อนตรัสรู้และ นายจนุ ทะถวายก่อนปรินพิ พานวา่ มอี านิสงส์เสมอกนั แล้วเสดจ็ ข้ามแมน่ ้�ำ หริ ัญญวดไี ปสสู่ าลวโนทยาน เมืองกุสินารา ส�ำ เรจ็ อนฏุ ฐานไสยา คอื นอนโดยจะไม่ลุกขนึ้ อีก ระหว่างไม้สาละคู่ โดยหนั พระเศยี รทางทศิ เหนอื ตรัสปัจฉมิ วาจาว่า “หนฺททานิ ภกิ ฺขเว อามนตฺ ยามิ โว วยธมมฺ า สงฺขารา อปฺ ปมาเทน สมฺปาเทถ. (ท.ี มหา. ๑๐/๑๘๕) ภิกษุท้ังหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายวา่ สงั ขารทั้งหลาย มีความเสอ่ื มไปเป็นธรรมดา เธอทัง้ หลายจงถงึ พร้อมดว้ ยความไม่ ประมาทเถิด” จากน้นั กท็ รงเสดจ็ ปรนิ พิ พาน อันเป็นเวลาพระจนั ทร์เตม็ ดวงของเดือนวิสาขมาส (เมษายนถึงพฤษภาคม) อกี ๖ วนั ต่อมา ในระหว่างท่ีพระสรีระของพระพทุ ธองค์ทรง ต้ังอยู่ในราชอุทยาน เหล่ามลั ลกษตั ริยไ์ ดเ้ ตรยี มการถวายพระเพลงิ พระพทุ ธสรรี ะ ภายใต้การแนะน�ำ ของพระอนรุ ทุ ธเถระ ซง่ึ เป็นพระ ญาตแิ ละพระสาวกติดตาม ในวนั ทีเ่ จด็ ได้มีการบูชาพระพทุ ธสรีระ ดว้ ยการประพรมด้วยเครอื่ งหอม มาลัยดอกไม้ และการประโคม

ถวายพระเพลิงพทุ ธสรีระ โทณพราหมณแ์ บง่ พระบรมสารรี กิ ธาตุ

ดนตรี จากน้ันไดอ้ ญั เชญิ พระพทุ ธสรีระเขา้ ไปในเมอื ง ผ่านประตู ทางทิศเหนือ และทะลอุ อกทางประตทู ศิ ตะวันออกไปยัง มกฏุ พันธนเจดยี ์ อนั เปน็ สถานท่ีศักดส์ิ ทิ ธิข์ องเหลา่ มัลลกษัตริย์ ณ สถานท่ีแห่งนไ้ี ด้มกี ารเตรียมจติ กาธาน (เชิงตะกอน) และอญั เชิญ พระพุทธสรรี ะข้ึนประดษิ ฐานบนจติ กาธานเพอ่ื ถวายพระเพลงิ ในขณะนั้น ขา่ วไดท้ ราบถึงพระมหากัสสปเถระ พระ สาวกที่พระพทุ ธองคท์ รงสรรเสรญิ มากท่ีสดุ องค์หนงึ่ ซึง่ เดนิ ทางมาพร้อมกับพระภิกษุหมู่ใหญ่ถึงกุสินาราในเวลาที่จะเริ่มการ ถวายพระเพลงิ หลงั พธิ ถี วายพระเพลงิ ลำ�ดบั สุดทา้ ยซง่ึ มีพระ มหากัสสปเถระเป็นประธาน เหล่ามลั ลกษตั ริยไ์ ด้เกบ็ พระบรม สารีริกธาตกุ ลับเขา้ สู่เมอื งกสุ ินารา เพ่อื จะนำ�ไปบรรจุไว้ในสถูป และเพอ่ื สักการบชู าตอ่ ไป ข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าได้แพร่สะพัดอย่าง รวดเร็วและกวา้ งไกล พระเจ้าอชาตศตั รูแหง่ ราชคฤห์ กษตั ริย์ ลิจฉวแี ห่งเวสาลี ศากยกษตั ริย์แห่งกบลิ พสั ดุ์ พลู กี ษัตรยิ ์ แหง่ อัลลกัปปะ โกลยิ กษัตริย์แห่งรามคาม มลั ลกษัตริย์แหง่ ปาวา รวมทงั้ พราหมณผ์ คู้ รองนครเวฏฐทีปกะ ต่างอา้ งสทิ ธ์ใิ นพระบรม สารรี กิ ธาตุจากมลั ลกษตั ริยแ์ ห่งกุสินารา จนเกอื บจะเกิดสงคราม แย่งชิงพระบรมสารีรกิ ธาตุ กไ็ ด้โทณพราหมณ์เข้ามาจดั การ โดย ตกลงอย่างสนั ตใิ ห้มีการแบ่งพระบรมสารรี กิ ธาตอุ อกเปน็ ๘ ส่วน เท่า ๆ กนั ในจ�ำ นวนน้ี ส่วนหนึง่ เป็นของมัลลกษัตรยิ ์แห่งเมอื ง กุสินารา ซ่ึงได้สร้างพระสถปู ส�ำ คัญขนึ้ มาแหง่ หนึ่งในเมืองของตน พรอ้ มกับจดั ให้มพี ธิ ีเฉลิมฉลองอยา่ งสมพระเกียรติ

กสุ ินารา พระพุทธองค์ได้ทรงเล่าเร่ืองเมืองกุสินาราตามท่ีปรากฏใน มหาสุทสั สนสตู รว่า ในอดีต เมอื งกุสินารามีพระเจา้ มหาสทุ สั สนะ จักรพรรดริ าชเปน็ ผคู้ รองเมอื ง มีมหาสมทุ รทัง้ สี่เป็นขอบขัณฑสีมา ทรงเป็นผู้ชนะปัจจามิตรโดยธรรมไม่ได้ใช้อำ�นาจอาญาและศาตราวุธ แตอ่ ยา่ งใด พระองคเ์ ป็นท่รี กั ใคร่ของพลเมืองท้งั หลาย เมืองกุสนิ ารา นแี้ ตเ่ ดิมมีชอื่ ว่า “กุสาวดีนคร” ทศิ ตะวันออกถึงตะวันตกระยะทาง ๑๒ โยชน์ ทิศเหนือถึงใต้ระยะทาง ๗ โยชน์ มีความสมบรู ณม์ ่ังค่งั มีพลเมืองหนาแนน่ มีเสยี ง ๑๐ เสียงกึกกอ้ งทั้งกลางวนั และกลาง คืน คือ เสียงชา้ ง เสยี งม้า เสยี งรถ เสียงกลอง เสยี งตะโพน เสยี ง พณิ เสยี งขับร้อง เสยี งกังสดาล เสียงสังข์ และเสียงทีต่ ่างเรียกกันมา ดม่ื มาบริโภคอาหารทุกมมุ เมือง สมัยพุทธกาลนน้ั กสุ นิ าราอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของแคว้น มลั ละ เมืองหลวงคอื ปาวานคร เป็นนครที่พระพุทธองคท์ รงเลอื ก เปน็ ทีเ่ สด็จปรนิ พิ พาน แมพ้ ระอานนทจ์ ะทูลคดั ค้าน เพราะถือว่า เป็นเมืองเลก็ เป็นแค่ก่งิ เมอื งเท่านั้น แตพ่ ระองคท์ รงยนื ยนั ถงึ ความ ส�ำ คัญว่า ในอดตี พระองคเ์ คยเสดจ็ สวรรคตทเี่ มืองนมี้ าแลว้ ถงึ ๖ ครั้ง และครง้ั นี้จะเป็นครง้ั สดุ ท้ายแหง่ การท้งิ ร่างของตถาคตเจา้ หลังพุทธกาล กุสนิ าราเปน็ หน่งึ ในสสี่ งั เวชนียสถานที่คงความ ส�ำ คัญยิ่ง มีปชู นียสถานศักด์ิสิทธ์ิ มีวหิ าร วดั เจดียเ์ ปน็ จ�ำ นวน มาก เม่อื ปี พ.ศ. ๓๑๐ พระเจา้ อโศกมหาราชได้เสด็จมาจาริกแสวง บญุ พร้อมกับท่านพระโมคคัลลบี ตุ รติสสเถระ ทรงบริจาคทรพั ย์

สร้างสถูปไว้พรอ้ มใหส้ ลกั เสาศิลาเป็นหลกั ฐานว่า ณ ทน่ี ี้เปน็ ที่เสดจ็ ดับขนั ธปรินิพพานของพระพทุ ธเจา้ พ.ศ. ๙๕๖ - ๙๙๗ ยุคการปกครองของกมุ ารคุปตะ พทุ ธศาสนกิ ชนท่มี ศี รทั ธาแก่กลา้ คนหน่ึงช่ือ หริบาละได้สรา้ งพระพุทธ รูปปางปรินิพพานขนาดใหญข่ ้ึนองคห์ นงึ่ ประดษิ ฐานในพระวหิ าร ปรินิพพาน ซง่ึ นบั ว่าเป็นการกอ่ สรา้ งกสุ นิ าราในยุคของคปุ ตะท่ีมี ความเจริญสูงสดุ ในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ หัวหนา้ เผา่ ระดบั ท้องถิน่ ชือ่ กาลาจรู ี ได้กอ่ สรา้ งวัดขน้ึ มาแหง่ หนึ่ง อยู่ติดกับพระพุทธรปู ปางประทบั นั่งขนาดใหญ่ วดั แหง่ น้ชี ือ่ มาธา-กัวร์ ซงึ่ นบั เป็นการ ก่อสร้างพทุ ธสถานทีเ่ กิดขึน้ ในระยะสดุ ท้ายในอนิ เดยี เพราะในเวลา อีกสองสามศตวรรษต่อมาพระพุทธศาสนาก็ได้สูญหายแทบจะสิ้นจาก แผ่นดนิ พทุ ธภมู ิ นบั ตั้งแตพ่ ุทธศตวรรษที่ ๑๖ หรือประมาณหนึ่ง พนั ปีทผี่ ่านมาสถานท่ศี กั ดิ์สิทธิ์ของมหาปรนิ ิพพานไดถ้ กู ทอดทง้ิ และ ถกู บกุ รุกโดยศาสนกิ อื่น ในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ เอ.ซี.แอล. คาร์ลลีเล ผูช้ ว่ ยของคันนงิ แฮม ไดท้ ำ�การขุดคน้ พบวิหารกับสถูปกลาง และพระพุทธรปู ปางปรินพิ พาน ท่ฝี งั อยใู่ ต้สงิ่ ปรกั หกั พงั ในห้องสี่เหล่ียม ท่ีอยู่ข้างหน้าด้านขวาของสถูป ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ – ๒๔๕๐ นกั โบราณคดชี าวอนิ เดีย ภาย ใตก้ ารอำ�นวยการของ เจ.พี.โวเกล และในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ – ๒๔๕๕ โดย ฮริ ันอนั ดา ศาสตรี ได้ขดุ ค้นพบอิฐท่ีก่อสรา้ งเปน็ จำ�นวนมาก รอบ ๆ อนุสาวรียก์ ลาง เปน็ ซากของวัดเก่าจำ�นวนมาก รวมท้ังสถูป และสถานที่ตงั้ ของวหิ ารจ�ำ นวนหน่ึง การขุดค้นพบครง้ั น้ี เป็นการ 271

พสิ จู น์ถงึ จุดท่ีตง้ั ของเมอื งกสุ ินารา นอกจากน้ยี ังพบจารึกจ�ำ นวนมาก รวมท้ังตราประทบั แผน่ ทองแดงที่ระบถุ ึงวดั ต่างๆทต่ี ้งั อยตู่ ดิ กบั อนุสาวรีย์มหาปรินิพพานวิหารและท่ีตั้งอยู่ติดกับสถูปหรืออนุสาวรีย์ แหง่ มหาปรินพิ พานเจดยี ์ จึงท�ำ ให้เมอื งกุสนิ าราได้ฟ้นื คืนชีพกลบั เปน็ เมืองทีม่ ีชีวิตชีวาข้ึนมาอีกครัง้ หน่ึง ปัจจุบนั เมืองกสุ นิ าราเปน็ เมอื งขนาดเลก็ ระดบั ตำ�บล ต้งั อยู่ ใกล้กับเมืองกาเซีย (เส้นรงุ้ ที่ ๒๒ องศา ๔๔ ลปิ ดาเหนอื และเสน้ แวงท่ี ๘๓ องศา ๕๕ ลิปดาตะวันออก) อยหู่ า่ งจากเมืองดิวาเรีย ไปทางทิศตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๓๓ กิโลเมตร และห่างจากเมอื ง โครักขปรู ์ไปทางทิศตะวันออก ๕๕ กิโลเมตร อยใู่ นเขตปกครองของ รัฐอตุ ตรประเทศ เดมิ มชี ือ่ เมืองเปน็ ภาษาทอ้ งถิน่ วา่ มาธา-กวั ร์-กา- โกต เป็นท่ีตง้ั อนุสรณ์สถานทส่ี ำ�คัญของพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น ๔ กล่มุ ที่ชัดเจนไดแ้ ก่ ๑. สถานที่ส�ำ คญั หลกั ไดแ้ ก่ สถูปปรินพิ พานและวหิ าร ปรนิ พิ พาน ทัง้ สองแห่งน้ีต้งั อยู่บนพ้ืนท่ยี กสูง และลอ้ มรอบดว้ ยวดั และวหิ ารอกี เป็นจ�ำ นวนมาก ๒. วหิ ารมาธา-กวั ร์ (The Matha-Kuar Shrine) อนั เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานของพระพุทธรปู ปางภมู สิ มั ผสั (Bhumisparsa Mudra) อายุกว่า ๑ พันปี ตง้ั อยู่ทางทิศตะวันตกเฉยี งใต้ ๓. มกฏุ พันธนเจดยี ์ สถานท่ีถวายพระเพลงิ ตงั้ อยู่ทาง ทิศตะวนั ออก ระยะทางเกือบกโิ ลเมตรคร่งึ ๔. โทณพราหมณเ์ จดีย์ สถานทแ่ี จกพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งอยทู่ างทศิ ตะวันออก ระยะทางเกือบหน่งึ กิโลเมตร

พระสถูปปรนิ พิ พาน “สถปู มหาปรนิ ิพพาน” ตง้ั อย่ดู า้ นหลังของมหาวหิ าร ซงึ่ เป็นสถานที่ดับขนั ธปรนิ พิ พานใตต้ ้นไมส้ าละทัง้ คู่ สถปู แหง่ นี้ถูก ค้นพบและเปดิ เผยปรากฏรปู รา่ งออกมาอยา่ งสมบูรณโ์ ดย คาร์ล ลีเล ในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ ซึง่ ในขณะน้นั มีสภาพเป็นเพยี งกองอิฐ ขนาดใหญ่ตง้ั อยู่อยา่ งงอ่ นแง่น เป็นไปไดว้ า่ สถปู แห่งน้คี ร้ังหนึง่ อาจสูงรวมถึงปลายยอดประมาณ ๔๕.๗๒ เมตร ต้ังอยูบ่ นฐาน ยกสูง ๒.๗๔ เมตร บนยอดปลายเปน็ ทต่ี ้งั ของสถูปทรงกลม ซงึ่ มคี วามสูง ๕.๔๙ เมตร ยอดปลายมกี ารประดับประดาดว้ ย เสาหินขนาดเลก็ ณ ยอดโดมท่เี ป็นคอคอดมีความสูงจากพ้นื ดิน ๑๙.๘๑ เมตร อฐิ ทพี่ บจากการขดุ คน้ มขี นาดต่าง ๆ และมีการ เคลือบดว้ ยวสั ดทุ แ่ี ตกตา่ งกัน แสดงใหเ้ หน็ วา่ มีการกอ่ สรา้ งทบั ที่ เดิมมากกว่าหนึง่ คร้งั ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ มีการศึกษารายละเอียดเพม่ิ เติม เกย่ี วกบั อฐิ เหล่านี้ พบวา่ อฐิ ที่ไดม้ าจากยอดสงู สุดของสถูปมรี อย ประทับตราของ พระเจา้ ไชยคปุ ต์ ตำ�่ ลงมาจากยอดโดม ๔.๒๗ เมตร พบกลมุ่ กอ้ นอิฐทรงกลม มีเส้นผา่ นศูนย์กลางและความ ลกึ ๐.๖๔ เมตร มีภาชนะทองแดงบรรจุอยูภ่ ายใน บริเวณปาก ภาชนะช้นิ นม้ี แี ผน่ ทองแดงและฝังด้วยเบ้ยี หวั กลบั จารกึ อกั ษร บนแผ่นทองแดงประกอบดว้ ยข้อความในนทิ านสูตร เปน็ ภาษา สนั สกฤต และมขี ้อความว่า แผน่ ทองแดงได้ถกู ฝงั ไว้ในนิพพาน เจดยี ์ (สถูปหลัก) ทส่ี รา้ งโดยฮารีบาลา ซ่งึ เป็นบคุ คลทอี่ าจ 273

จะสร้างเพิ่มหรือเป็นคนสร้างอนุสรณ์สถานนิพพานแห่งน้ีด้วย ตนเอง ภาชนะทพ่ี บไดบ้ รรจขุ องไว้หลายอยา่ ง แต่มีของช้นิ เลก็ ๆ ชิน้ หนงึ่ คือ เหรยี ญเงนิ ของกมุ ารคปุ ตะ จกั รพรรดิของราชวงศ์ คปุ ตะในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ จากแนวลกึ ด่งิ ลงตรงศูนยก์ ลางของสถปู ลงไป ๑๐.๓๖ เมตร พบสถูปขนาดเล็กท่ีอยใู่ นสภาพสมบูรณ์ ความสงู ๒.๘๒ เมตร และภายในบรรจุพระพุทธรูปปางสมาธิ พบชนิ้ สว่ นของ ถา่ นและดิน สนั นิษฐานว่าเป็นเถ้าถ่านที่ไดม้ าจากพระธาตขุ อง พระพุทธสาวกที่ส�ำ คัญในพระพุทธศาสนาองคใ์ ดองค์หน่งึ สถูป องค์เลก็ นีไ้ ด้รับการรกั ษาไวเ้ ป็นอยา่ งดี และอาจมีการก่อสร้าง ก่อนสถปู ใหญไ่ ม่นานนัก พระพุทธรปู ดงั กล่าวเป็นศิลปะและรปู แบบการก่อสร้างกลางศตวรรษที่ ๖ และเมอ่ื ขดุ คน้ ลกึ ลงไปใน ดนิ อีก ๐.๘๔ เมตร พบท่อนไม้เกา่ มีลักษณะทใี่ ช้เป็นกองฟอน ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ มีการซ่อมแซมโดยการบรจิ าคของ ทา่ น อู โป กยู และท่าน อู โป เหล่ง เป็นชาวพม่าเมอื่ วัน ท่ี ๑๘ มนี าคม ๒๔๗๐ ได้ประกอบพธิ ีปดิ สถูป โดยมตี ัวแทน พระสงฆ์ ๑๖ รปู นำ�โดยพระอาจารยอ์ ู จนั ทรามนี เจา้ อาวาส วัดพมา่ เมืองกุสนิ าราในสมัยน้ัน มกี ารน�ำ เอาวตั ถทุ ่เี ปน็ ทอง เงิน ทองแดง แผน่ จารกึ ฝงั ไวด้ ้านในพรอ้ มคำ�อธิบายขอ้ เท็จจริงและ รายละเอียดของการขดุ คน้ ดว้ ย

พระสถูปปรนิ พิ พาน 275

วิหารปรินพิ พาน วิหารแหง่ นต้ี ้ังอย่บู นฐานเดยี วกนั กับสถปู ดังทก่ี ลา่ วมาแลว้ วา่ ซากปรกั หกั พังของวิหารและพระพทุ ธไสยาสน์ภายใน ถกู ค้นพบ โดยคาร์ลลเี ลในปี ๒๔๑๙ โดยการทิง้ ลูกด่ิง ณ จดุ ศูนย์กลางของ ซากปรกั หกั พังเหลา่ น้นั ภายหลงั จากการท�ำ ความสะอาดรอบบรเิ วณ ซากปรักหักพงั ของอนสุ รณส์ ถานแหง่ นี้ คารล์ ลีเลพบวิหารที่สร้าง ครอบพระพทุ ธปรนิ ิพพานไว้ วหิ ารมีรูปทรงสเี่ หลี่ยม ความหนาของ กำ�แพงแต่ละดา้ น ประมาณ ๓.๐๕ เมตร ภายในวดั ความยาวได้ ๙.๓๕ เมตร และความกวา้ ง ๒.๖๖ เมตร มพี ้นื รอบ ๆ ความกวา้ ง ๐.๖๑ เมตร สามารถเดินรอบพระพทุ ธวหิ ารได้ กำ�แพงอยใู่ นสภาพที่ ผุพงั อย่างมาก เพียงแตเ่ หน็ รูปรา่ งว่ามที างเข้าด้านทิศตะวันตก ในระหว่างการขุดคน้ นี้ คาร์ลลีเลได้พบอฐิ จำ�นวนมากที่คอ่ น ข้างเรียบและมผี ิวหนา้ เป็นทรงโค้ง ทำ�ให้เช่อื ว่า วิหารแห่งนีค้ ร้ังหนึ่ง เคยมีหลงั คาท่มี มี ุมโค้งในปลายสดุ ซากปรกั หักพงั เหล่านี้ ท�ำ ให้ระบุ เพม่ิ เติมไดว้ ่าประตทู างเข้าเรม่ิ แรกจริง ๆ ตั้งอยทู่ างด้านทิศตะวัน ตก มีหนา้ ต่างสองชน้ั ในดา้ นทศิ เหนือและทิศใตอ้ ยา่ งละบาน จากขอ้ สันนษิ ฐานนี้ ทำ�ใหก้ ารบูรณะส�ำ เรจ็ อยา่ งสมบรู ณใ์ นปี พ.ศ. ๒๔๑๙

ในเดอื นพฤษภาคม ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ รฐั บาลอนิ เดียไดต้ ้งั คณะ กรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อการบูรณะซ่อมแซมสถานท่ีที่เก่ียวข้องกับ พระพทุ ธองค์ เพื่อเปน็ การเฉลิมฉลองพุทธชยนั ตี ๒๕ พทุ ธศตวรรษ คณะกรรมการมีความเห็นว่าควรที่จะต้องขยายโครงสร้างวิหาร ทั้งหมด เพ่อื ให้มีทีว่ า่ งพอสำ�หรับผู้แสวงบุญเข้าไปนมสั การพระพทุ ธ รปู จึงมกี ารขยายข้างในเพมิ่ ขึน้ และเสนอให้มีการสรา้ งโครงสร้างใหม่ ให้เหมาะสมกับความสำ�คญั ของอนสุ รณ์สถานแห่งน้ี ด้วยเหตุน้ีวิหาร ทป่ี รากฏอย่ใู นปจั จบุ ันจึงถกู สรา้ งข้ึนใหมใ่ นปี พ.ศ. ๒๔๙๙ วหิ ารปรนิ ิพพาน 277

พระสถปู ปรนิ พิ พาน และ วหิ ารปรนิ พิ พาน

พระสถปู ปรินิพพาน และ วิหารปรินพิ พาน 279

บรเิ วณโดยรอบของพระสถปู ปรินพิ พานและวหิ ารปรนิ ิพพาน

สถปู ประดิษฐานพระพทุ ธสรรี ะพระพุทธเจา้ เปน็ เวลา ๗ วัน กอ่ นอญั เชญิ ไปถวายพระเพลิงพระบรมศพ ปัจฉมิ สักขสิ าวกสถปู สถานทส่ี ุภทั ทปรพิ าชกบรรลธุ รรมเป็นพระอรหันต์องค์สดุ ทา้ ย 281

พระพุทธปรินพิ พาน พระพทุ ธปรินพิ พานทค่ี าร์ลลีเลพบในครง้ั แรกนน้ั อย่ใู นสภาพ แตกหกั อยบู่ นพระแทน่ ท่แี ตกเช่นกัน สว่ นทแี่ ตกหักช�ำ รดุ จ�ำ นวน มากไดห้ ายไป มกี ารซ่อมแซมและปะติดปะต่อจนได้พระพุทธรปู ท่มี ี ลกั ษณะเกือบจะเหมือนเดมิ ทกุ ประการ ดงั ปรากฏใหเ้ ห็นในปัจจุบัน แม้วา่ บางชนิ้ ส่วนจะยังค้นหาไม่พบอย่กู ็ตาม พระพทุ ธปรินิพพานมีขนาดความยาว ๒๓ ฟตุ ๙ นว้ิ กวา้ ง ๕ ฟุต ๖ นว้ิ สรา้ งโดยการน�ำ หนิ ทรายแดงจากภูเขาจนู าทเี่ รยี กวา่ “จุณ ศิลา”หลาย ๆ ก้อนมาตอ่ กนั ก่อนสลักเป็นพระพุทธรปู พระพุทธรปู องคน์ ้ี เป็นพระพทุ ธรปู ปางอนุฏฐติ สีหไสยาสน์ คอื ปางเสดจ็ บรรทมครงั้ สุดท้าย พบท่ีนี่แหง่ เดียวเทา่ นั้นในอนิ เดยี สร้าง สมยั คุปตะ โดยนายช่างชอ่ื ทินนะ ชาวเมอื งมถุรา มีทา่ นหรบิ าละเปน็ ผู้ บรจิ าคทรพั ย์ในการสรา้ งองคพ์ ระพุทธรปู องค์พระปฏิมากรนงี้ ามด่ัง องค์เทพวษิ ณสุ ร้าง สามารถมองได้ ๓ มิติแห่งอารมณ์ ดงั น้ี หากยืน ณ ตรงด้านพระพักตรแ์ ล้วเพง่ มองที่พระพักตรข์ อง องค์พระ จะเหน็ พระพักตร์อยใู่ นลกั ษณะอาการท่ีทรงแย้ม หากยืน ณ บรเิ วณตรงกลางด้านหน้าองค์พระ เพง่ ท่พี ระพกั ตร์ กจ็ ะเห็นว่าพระพุทธองค์กำ�ลังไดร้ บั ทกุ ขเวทนาจากพระปักขันทิกาพาธ หากยืนด้านพระพุทธบาท มองไปยังพระพกั ตรจ์ ะสมั ผัสความ

รู้สกึ ไดว้ า่ พระพุทธองคท์ รงเสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน ปราศจาก ความทกุ ข์ทรมานใด ๆ ทง้ั ส้นิ ทรงเขา้ สภู่ าวะแห่งความพน้ ทุกข์ อย่างสิน้ เชิง พระพุทธปรินิพพานเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ท่ีกำ�ลัง เสดจ็ ดบั ขันธปรินพิ พาน ประทบั นอนตะแคงขวา โดยหันพระพักตร์ ไปทางด้านทิศตะวันตก พระพทุ ธรปู ประดิษฐานอยบู่ นพระแทน่ ที่เป็นก้อนหินอฐิ ขนาดใหญ่ โดยมเี สาหินอยูท่ ี่มุมแตล่ ะมุม เชื่อ กนั วา่ นา่ จะมแี ผ่นหนิ ลอ้ มรอบองคพ์ ระมากอ่ น องค์พระหัน พระพักตรไ์ ปทางประตูเขา้ ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวนั ตก มกี ารแกะสลกั รปู มนุษยใ์ นลักษณะมมุ ตืน้ เจาะเข้าไปในหินพระแทน่ พบปรากฏ อยู่ ๓ ภาพ รูปสลกั ขวาสุดเหน็ ชัดเจนมาก อาจจะเป็นตัวแทนของ คนทอ่ี ย่ใู นภาวะท่โี ศกเศร้า สังเกตเห็นไดจ้ ากการเอาศรี ษะวางบน มอื ขวา ภาพคนทีอ่ ย่ตู รงกลาง เป็นภาพผู้ชายกำ�ลงั นัง่ สมาธิหนั หลงั ให้กบั ผชู้ ม นบั เป็นการยากทจ่ี ะอธิบายถงึ บคุ ลิกลักษณะและช่ือ ของบคุ คลทั้งสาม บา้ งกล่าววา่ ด้านขวาเป็นรูปแทนพระอานนท์ท่ี กำ�ลังโศกเศรา้ ภาพที่อยตู่ รงกลางเป็นพระอนรุ ุทธะที่กำ�ลงั เขา้ สมาธิ ภาพดา้ นซา้ ยเปน็ นางมัลลิกา หรอื ท่านสุภทั ทปรพิ าชก ปัจฉมิ สาวก บริเวณดา้ นขวาลา่ งของฐานองคพ์ ระ เป็นจารึกที่บอกว่าอยู่ในพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๐ และระบวุ ่า อนสุ รณส์ ถานแหง่ น้ี เปน็ ของขวัญทาง พระพุทธศาสนาทีล่ �้ำ คา่ ของมหาวิหารสวามนิ ฮาริบาลา 283

พระพทุ ธปรนิ พิ พาน

พระพุทธปรนิ พิ พาน 285

ภาพสลกั ดา้ นซ้าย นางมลั ลกิ า หรอื ทา่ นสุภัทท ปรพิ าชก ปัจฉมิ สาวก ภาพสลักตรงกลาง พระอนรุ ทุ ธะเขา้ ฌาน ติดตามการปรนิ พิ พาน ของพระพทุ ธองค์ ภาพสลักดา้ นขวา พระอานนทก์ �ำ ลงั โศกเศรา้

วิหารมาธากัวร์ อยูห่ า่ งไปทางทศิ ตะวันตกเฉียงใต้เกือบ ๑๐๐ เมตร จาก สถปู กลาง ภายในเป็นท่ีประดษิ ฐานของพระพทุ ธรปู ขนาดใหญม่ ี ความสงู ๓.๐๕ เมตร แกะสลกั จากหินสีนำ�้ เงนิ ก้อนเดยี วท่ีนำ�มา จากเขตพทุ ธคยา เปน็ ตัวแทนของพระพทุ ธเจา้ ทปี่ ระทบั น่งั อย่ใู ต้ตน้ พระศรีมหาโพธิ์ เม่ือครงั้ พระองค์เรียกพระแม่ธรณใี หม้ าเป็นพยาน วา่ ได้เป็นผู้บรรลอุ นุตตรสมั มาสัมโพธิญาณแลว้ ในปางทเี่ รยี กกัน วา่ ภมู ิสมั ผสั หรือ ปางสัมผัสโลก บนฐานของพระพุทธรูป จารึก ว่าสรา้ งในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ - ๑๖ โดยพระเจ้าพิมาตา ที่ ๒ ราชวงศ์กาลาจูลี พระพทุ ธรปู องคน์ เี้ มือ่ พบครั้งแรกแตกเป็น ๒ ชิน้ ถกู นำ�มาซ่อมและบรู ณะใหอ้ ยใู่ นสภาพดงั เดิม วิหารที่ ปรากฏอยู่ในปจั จบุ นั เป็นการก่อสรา้ งในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ โดยผ้มู จี ิต ศรทั ธาคนหนึง่ ในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ คาร์ลลีเลเปน็ ผู้ค้นพบวิหารแห่งน้ี และ พบวา่ เป็นสว่ นหนึง่ ของวัดท่ีมีขนาดโดยรอบ ๓๔.๕๐ เมตร มี ห้องโถงกลางขนาด ๑๓.๔๑ ตารางเมตร ลอ้ มรอบด้วยระเบียง ความกวา้ ง ๒.๕๙ เมตรทั้งสีด่ า้ น หันหนา้ ไปทางทิศตะวันออก 287

วิหารมาธากัวร์ พระพทุ ธรูปปางสมั ผสั โลก วิหารมาธากัวรใ์ นปัจจบุ นั

มกฏุ พนั ธนเจดยี ์ เมือ่ พระพุทธเจ้าเสด็จดบั ขันธปรนิ พิ พาน และการบูชา ณ สาลวโนทยานเสร็จสิ้น ๗ วันแลว้ ในวันทีแ่ ปดไดเ้ คล่ือน ย้ายพระบรมศพไป ณ มกฏุ พันธนเจดียเ์ พอื่ การถวายพระเพลงิ มกุฏพันธนเจดยี ต์ งั้ อยู่ทางทิศตะวนั ออกของตวั เมอื ง หา่ งจาก วิหารปรินิพพาน ๑.๖๑ กโิ ลเมตร เมือ่ มัลลกษัตรยิ อ์ ัญเชิญ พระบรมศพจากสาลวโนทยานไปทางทิศเหนือของตัวเมืองแล้ว ขบวนก็ผ่านไปทางประตูด้านทิศตะวันออกเลยไปถึงมกุฏพันธน เจดีย์ทป่ี รากฏอย่ทู ุกวันน้ี เป็นเจดียท์ ี่สรา้ งขึน้ มาภายหลงั การ ถวายพระเพลงิ ชาวบ้านเรยี กว่า รามภาร์ มกุฏพนั ธนเจดียถ์ กู คน้ พบโดยฮิราดันดา ศาสตรี ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นสถูปขนาดใหญ่ มีรูปทรงกลมเหมอื นกลอง มีเส้นผ่านศูนยก์ ลาง ๓๔.๑๔ เมตร ตั้งอยู่บนฐานทรงกลม มี ลานสองแหง่ หรือมากกวา่ ท�ำ ให้ฐานของสถปู มีความยาววดั ได้ ๔๗.๒๔ เมตร ขนาดของสถปู แห่งนี้ใหญ่เป็นกว่าสองเทา่ ของ สถปู ปรินิพพาน มีการคน้ พบแผ่นดนิ เผาที่จารึกข้อความคำ� สอนทางพระพทุ ธศาสนาดว้ ยอักขระสมยั กลาง 289

มกฏุ พนั ธนเจดยี ์

โทณพราหมณเ์ จดีย์ ภายหลังการถวายพระเพลิงพุทธสรรี ะแล้ว โทณพราหมณ์ นักปราชญใ์ หญ่แหง่ เมืองกุสนิ ารา ขอรอ้ งกษตั ริย์ทจี่ ัดกองทพั มา เพ่อื ขอส่วนแบง่ พระบรมสารีรกิ ธาตุ ใหม้ คี วามสามคั คีปรองดองกนั ดว้ ยการแบง่ พระบรมสารีริกธาตุ ออกเป็น ๘ สว่ น น�ำ ไปบรรจุสถูป ในเมืองต่างๆเพื่อให้แพรห่ ลายไปทวั่ ทกุ ทศิ ดงั น้ี ๑. ก ษัตรยิ ม์ คธ พระเจ้าอาชาตศัตรู สร้างสถปู ไว้ ณ เมอื งราชคฤห์ ๒. กษตั รยิ เ์ วสาลี เจา้ ลจิ ฉวี สรา้ งสถูปไว้ ณ เมืองเวสาลี ๓. กษตั รยิ ์ศากยวงศ์ สรา้ งสถูปไว้ ณ เมอื งกบิลพัสด์ุ ๔. กษัตริย์อลั ลกัปปะแหง่ พลู ี สรา้ งสถูปไว้ ณ อลั ลกัปปนคร ๕. กษัตรยิ โ์ กลยิ วงศ์ สรา้ งสถปู ไว้ ณ รามคาม ๖. พราหมณเ์ วฏฐทีปกนคร สร้างสถปู ไว้ ณ เวฏฐทปี กนคร ๗. กษตั ริยม์ ลั ละ สร้างสถปู ไว้ ณ เมืองกสุ นิ ารา ๘. กษัตริยม์ ัลละแห่งปาวา สร้างสถูปไว้ ณ ปาวานคร โทณพราหมณ์ได้นำ�ทะนานทองท่ีใช้ในการตวงแบ่งพระบรม สารีริกธาตไุ ปบรรจุไว้ในสถปู แห่งหน่ึงเรียกว่า ตุมพสถปู (ตมุ พะ แปลวา่ ทะนาน) และโมริยกษัตรยิ ์ท่มี าทีหลงั ไดน้ ำ�พระองั คาร ซ่งึ เป็นเถ้าถ่านท่ีได้จากการถวายพระเพลิงไปบรรจุไว้ในสถูปที่เมือง ปิปผลิวนั โทณพราหมณ์เจดีย์เป็นสถานที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ 291

ตัง้ อยู่ดา้ นทิศตะวนั ออก ระยะทางประมาณหน่งึ กโิ ลเมตรจากสถูป ใหญ่มหาปรนิ ิพพาน อยหู่ ่างจากเส้นทางกุสนิ ารา-เดวาเรยี ไปทางทศิ ใตป้ ระมาณ ๓๐๐ เมตร ปัจจุบันรัฐบาลอนิ เดยี ประกาศใหเ้ จดียแ์ ห่ง นีเ้ ปน็ โบราณสถาน ยงั ไม่มกี ารขดุ ค้น และยังเป็นเนนิ ดนิ ทีถ่ กู ถมไว้ ใตด้ นิ บรเิ วณใกล้ ๆ มตี ้นโพธขิ์ นาด ๖ คนโอบอายุหลายร้อยปี โทณพราหมณเ์ จดยี ์ สถปู เมอื งปาวานคร ห่างออกไปด้านทิศตะวนั ออกของเมืองกสุ ินารา ๑๘ กโิ ลเมตร บนเส้นทางไปเมอื งเวสาลี สนั นษิ ฐานกันว่า น่าจะสร้างข้ึนเพื่อระลึกถงึ นายจนุ ทะผู้ถวายสกู รมัททวะ

สถปู เมืองปาวานคร 293

แม่นำ้�กกธุ านที อยหู่ ่างเมืองกสุ นิ ารา ๑๕ กโิ ลเมตรไปทางทิศตะวนั ออก บนเสน้ ทางไปเมอื งเวสาลี เปน็ สายน้ำ�ท่ีพทุ ธองคท์ รงสรงสนานครงั้ สดุ ทา้ ย ทรงแสดงอานิสงสแ์ หง่ ทานทถ่ี วายในสองกาลมีผลเท่ากัน คอื ขา้ วมธปุ ายาสท่นี างสชุ าดาถวายก่อนกาลตรัสรู้เปน็ พระสมั มา สัมพุทธเจ้า และสูกรมทั ทวะท่ีนายจุนทะลูกชายช่างทองแหง่ ปาวา นครถวายก่อนวันเสด็จดบั ขันธปรนิ ิพพาน แมน่ ้ำ�กกธุ านที

แมน่ ำ้�หิรัญญวดี เป็นแม่น้ำ�สายสุดท้ายท่ีพุทธองค์เสด็จข้ามก่อนจะเสด็จสู่ สาลวโนทยาน อยู่บรเิ วณด้านข้างมกฏุ พันธนเจดีย์ทางทศิ ตะวนั ออกของสาลวโนทยาน ตามหลักฐานระบวุ า่ เมอื งกสุ นิ าราตง้ั อยรู่ ิม ฝั่งแมน่ ำ้�สายนี้ ชาวบา้ นเรยี กวา่ หริ ญั ญวะตีนะดี แมน่ �้ำ หริ ัญญวดี 295

ภาค ๒

รวมบทสวดมนต์



ค�ำ บูชาพระรตั นตรยั โย โส ภะคะวา อะระหงั สัมมาสัมพทุ โธ พระผ้มู ีพระภาคเจ้านนั้ พระองค์ใด, เปน็ พระอรหนั ต์, ดบั เพลงิ กเิ ลสเพลงิ ทกุ ขส์ น้ิ เชิง, ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธมั โม พระธรรมเปน็ ธรรมที่พระผมู้ ีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ตรัสไว้ดแี ล้ว สุปะฏปิ นั โน ยสั สะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเจา้ พระองคใ์ ด, ปฏบิ ตั ิดแี ล้ว ตัมมะยงั ภะคะวันตงั สะธัมมัง สะสงั ฆัง, อิเมหิ สักกาเรหิ ยะ ถาระหงั อาโรปเิ ตหิ อะภปิ ูชะยามะ ข้าพเจ้าท้ังหลาย,ขอบูชาอย่างย่ิงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ น้ัน, พร้อมทงั้ พระธรรมและพระสงฆ,์ ด้วยเครื่องสกั การะท้ัง หลายเหลา่ น,ี้ อนั ยกขึ้นตามสมควรแลว้ อย่างไร สาธุ โน ภนั เต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ, พระผมู้ ีพระภาคเจ้า แม้ปรนิ ิพพานนาน แล้ว, ทรงสรา้ งคณุ อันส�ำ เรจ็ ประโยชนไ์ วแ้ ก่ขา้ พเจา้ ท้ังหลาย ปจั ฉมิ าชะนะตานุกัมปิมานะสา ทรงมีพระทยั อนุเคราะห์แกพ่ วกข้าพเจ้า, อนั เป็นชนร่นุ หลัง อเิ ม สกั กาเร ทคุ คะตะ ปัณณาการะภเู ต ปะฏคิ คัณหาตุ 299