วัดชีวกมั พวนั หมอชีวกโกมารภจั จ์ เป็นบุตรของนางสาลวดี หญงิ งามเมืองท่ีถกู น�ำ ไปวางทิ้ง ตอ่ มาพระเจ้าอภัยราชกุมาร ทรง น�ำ ไปชบุ เล้ยี งไวเ้ ปน็ โอรส ขนานนามวา่ ชีวก หลังจากสำ�เร็จ การศกึ ษาวิชาแพทย์จากเมืองตกั ศลิ า ได้กลายเป็นนายแพทย์ ประจำ�องค์พระเจ้าพิมพสิ าร ในกาลต่อมาท่านไดเ้ กดิ ความ เล่อื มใสในพระบรมศาสดา จงึ ขอปวารณาตัวเองเป็นนาย แพทย์ประจำ�พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดท่ี อยใู่ นเวฬุวนาราม วัดชีวกมั พวนั เปน็ สถานทท่ี ่หี มอชีวกโกมารภัจจ์ นาย แพทยป์ ระจำ�ราชสำ�นัก ผู้จบการศกึ ษาจากเมืองตักศิลา มี ศรัทธาถวายปา่ มะมว่ งให้เป็นพระอารามหลวงหรือเรียกว่า ชวี การาม เป็นโรงพยาบาลสงฆ์แหง่ แรกในพระพุทธศาสนา เปน็ ท่ีซ่งึ หมอชีวกไดเ้ คยถวายการรกั ษาพระพุทธองค์ เม่ือคร้ังทถ่ี ูก สะเก็ดหนิ ท่ีพระเทวทัตลอบปลงพระชนม์ วัดชวี กมั พวัน อยู่ ณ บรเิ วณกอ่ นจะถงึ ทางขึน้ เขาคิชฌกฏู
วัดชวี กมั พวนั 151
เขาคิชฌกฏู “เขาคิชฌกูฏ” คอื หนึ่งในเบญจคีรี มลี กั ษณะเหมอื นนก แรง้ หรอื เป็นท่เี กาะอาศัยของฝูงแร้ง ท่มี าคอยกนิ ซากศพโจรทถี่ ูก ประหารดว้ ยการทงิ้ ลงเหว เปน็ เขาหนิ ทีต่ ้ังอยูต่ ามธรรมชาตมิ ีโขด เขา ชะง่อนผา บางแห่งเปน็ ชะโงกเงอ้ื ม บางท่ีมีโพรงลกึ เหมอื นถำ�้ ที่พระอรหันต์ท้ังหลายอาศัยจำ�พรรษาเป็นที่สัปปายะของเหล่าอริย สาวกในครัง้ พทุ ธกาล เช่น พระสารีบตุ ร พระอานนท์ พระมหา กสั สปะ พระอนุรทุ ธะ พระปุณณมันตานีบตุ รและพระอบุ าลี เปน็ ต้น ยอดเขามีรปู ทรงเหมอื นหัวนกแร้งจึงเรยี กว่า เขาคชิ ฌกูฏ
ทางข้นึ เขาคชิ ฌกูฏ เปน็ ถนนทีพ่ ระเจ้าพิมพสิ ารสรา้ งขึ้น เพือ่ ถวาย พระพทุ ธเจ้าใชเ้ ปน็ เสน้ ทางเสดจ็ ขึ้นไปบนเขาคชิ ฌกูฏ 153
มัททกุจฉมิ ฤคทายวัน “มทั ทกุจฉิมฤคทายวนั ” (มัททกจุ ฉิ แปลวา่ ทบุ ท้อง) ตั้ง อยเู่ ชงิ เขาคิชฌกฏู เป็นสถูปเลก็ ๆ สร้างไว้เปน็ เคร่อื งหมาย วา่ สถานท่แี หง่ นีเ้ ปน็ ทีอ่ ยู่อาศัยของฝูงกวางและสัตว์ปา่ เหมือนอยา่ ง มฤคทายวนั ทีส่ งวนไวม้ ิใหใ้ ครมาทำ�อนั ตรายต่อสตั ว์ มัททกุจฉิมฤคทายวันแห่งนี้เปน็ ท่พี ระนางโกศลเทวี มเหสี ของพระเจา้ พิมพิสารทรงพระครรภ์และทรงแพ้ท้อง อยากเสวย โลหติ จากเข่าเบอ้ื งขวาของพระเจ้าพิมพิสาร โหราจารยท์ ำ�นาย ว่า กมุ ารทเี่ กิดมาจะท�ำ ปิตฆุ าต พระมเหสีตกพระทยั พยายามจะ ทำ�ลายชวี ิตกุมารเสยี ต้งั แต่อยู่ในพระครรภ์ พระเจา้ พมิ พสิ ารไม่ ยอม พยายามป้องกันและได้สะเดาะเคราะหด์ ้วยการสรา้ งวดั น้ี ถวายพระพทุ ธองค์ ในพระบาลกี ลา่ ววา่ พระพุทธองคแ์ ละบรรดาสาวกทรง เคยพัก ณ ทีน่ เี้ ปน็ ครง้ั คราว เมอ่ื พระเทวทัตผลกั ก้อนหนิ ท�ำ รา้ ย พระพุทธองค์บนเขาคิชฌกูฏบรรดาสาวกช่วยกันพยุงลงมาจากเขา และได้มาพักที่วดั มทั ทกุจฉินี้ก่อนเพ่ือรบั การปฐมพยาบาล ต่อจาก น้นั ถึงเสด็จไปประทับ ณ ชวี กมั พวนั ของนายแพทย์ชีวกโกมารภจั จ์ เพ่อื รบั การพยาบาลในข้นั ต่อไป
มทั ทกุจฉิมฤคทายวัน 155
บรเิ วณทพี่ ระเจ้าพมิ พสิ ารถอดเคร่อื งทรง ปลดอาวธุ และพกั พลไว้ เพื่อเป็นการถวายความเคารพในพระบรมศาสดา
ถำ้�พระโมคคัลลานะ ถ้ำ�อันเป็นที่พักเพื่อสนองงานพระพุทธองค์ขณะประทับที่ พุทธวหิ ารยอดเขาคชิ ฌกูฏ ถำ�้ พระโมคคัลลานะ 157
ถ้ำ�สกุ รขาตา ก่อนจะถงึ มูลคันธกฎุ ี จะถึงลานหินทสี่ ่วนบนมหี นิ ก้อน ใหญช่ ะโงกออกมา เป็นโพรงลึกเข้าไปพอหลบลมรอ้ นพกั หลบ ฝนได้ ท่ีแหง่ นเ้ี รียกวา่ ถำ้�สกุ รขาตา หรอื สกุ รขาตเลนะ ซง่ึ หมายถงึ เพงิ ผามีรปู เหมอื นคางหมู หรือถำ�้ หมขู ุด ในพทุ ธกถาเล่าว่า พระสารีบตุ รหลงั จากอุปสมบทแล้วใน วนั ที่ ๑๕ ขณะทกี่ ำ�ลงั ถวายงานพดั อยเู่ บอื้ งพระปฤษฎางคข์ อง พระศาสดา ณ ถำ�้ สกุ รขาตาบนภเู ขาคชิ ฌกฏู ไดฟ้ ังทฆี นขสตู รที่ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงแก่ ทีฆนขปริพาชก ผ้หู ลานชาย ว่าดว้ ย เรือ่ งทิฏฐิเป็นเหตุให้เกดิ การวิวาท ให้พิจารณากายโดยความเป็น ของไม่เท่ยี ง เปน็ ทุกข์ เปน็ ความเจบ็ ไข้ เปน็ ของทรดุ โทรม เปน็ ของวา่ งเปลา่ เปน็ ของมิใชต่ น ใหล้ ะความพอใจในกาย ความ เย่ือใยในกาย และ ทรงแสดงเวทนาสาม อันอาศัยปัจจยั ปรงุ แตง่ เกดิ ขึ้น มคี วามสน้ิ ไป เสอื่ มไป ดับไปเปน็ ธรรมดา ไมค่ วร ยดึ มั่นดว้ ยทฏิ ฐิ พระสารีบุตรได้ยนิ พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ตรัส การใหล้ ะธรรมเหล่านน้ั การสละคนื ธรรมเหล่านัน้ ดว้ ยปัญญา อนั ยง่ิ ได้รู้ชดั แจง้ ตามธรรมนน้ั จิตของทา่ นหลดุ พน้ จากอาสวะ บรรลุอรหตั ตผล แทงตลอดที่สุดแหง่ สาวก บารมญี าณและ ปญั ญา ๑๖ ณ ที่นน้ั อรรถกถากล่าววา่ วันท่ที ่านพระสารีบตุ รบรรลอุ รหัตต ผลในเวลาบา่ ยมกี ารประชมุ สงฆ์ ณ พระเวฬุวันวิหาร ที่เรยี กว่า จาตุรงคสันนบิ าต
ถ้ำ�สุกรขาตา ท่ีพระสารบี ุตรบรรลุอรหัตตผล 159
ทางขึ้นมลู คนั ธกุฎี กฏุ พิ ระอานนท์ บรเิ วณมมุ ขวาของทางขึ้นส่มู ูลคนั ธกฎุ ี
มลู คนั ธกุฎี “มูลคนั ธกุฎี” แหง่ เขาคิชฌกฏู นี้ บางท่านเรียกวา่ พทุ ธวิหาร คชิ ฌกฏู เปน็ สถานท่สี ำ�คัญเพือ่ การระลกึ ถึงพระพทุ ธองค์ ซงึ่ เสดจ็ มาประทบั ณ ยอดเขานีอ้ ยู่เสมอ บริเวณทป่ี ระทับของเดิมเปน็ กฏุ ิ แคบ ๆ เหมาะทจ่ี ะนงั่ มากกวา่ นอน วัดดูด้วยศอกไดก้ วา้ ง ๓ ศอก คบื ยาว ๔ ศอกเทา่ น้นั กอ่ นถึงมูลคนั ธกุฎี จะมีซากอิฐก่อฐาน สี่เหลีย่ มติดกับหน้าผา เชือ่ กันวา่ เปน็ ทพ่ี กั ของพระอานนท์ พทุ ธ อปุ ัฏฐากผเู้ ป็นสหชาตกิ บั พระพทุ ธเจา้ และกอ่ นจะถงึ บนั ไดข้ึนมลู คนั ธกฎุ ี มีฐานอิฐสเ่ี หลย่ี ม เช่อื กันว่าเป็นทที่ ี่พระเจ้าพมิ พิสาร ปลดวางเคร่อื งทรงของกษตั ริยอ์ อก ก่อนจะเขา้ เฝ้าพระพุทธองค์ หรือนา่ จะเป็นทรี่ ับรองอาคันตุกะพิเศษ เมอื่ เขา้ เฝา้ พระพทุ ธองค์ ณ ทีเ่ ขาคชิ ฌกูฏแห่งนี้ ณ ท่ีแห่งน้ี พระพุทธเจ้าเคยประทับโปรดพระเจ้าพมิ พิสาร พรอ้ มประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ และเปน็ สถานท่ที รงแสดงธรรม หลายพระสตู ร เช่น มาฆสูตร ธมั มกิ สูตร มหาสาโรปมสูตร อาฏานา ฏิยสตู ร และอปรหิ านยิ ธมั มสตู ร เปน็ ต้น 161
มลู คนั ธกฎุ บี นยอดเขาคิชฌกฏู
มูลคันธกฎุ ีบนยอดเขาคชิ ฌกูฏ ในมมุ ตา่ งๆ 163
มาตุภมู ขิ องอคั รสาวก
อุปตสิ สะ โกลติ ะ พระสารบี ตุ ร พระโมคคลั ลานะ
นาลันทา “นาลันทา” เดิมชอื่ นาลนั ทคาม อยูห่ า่ งจากราชคฤห์ ๑๖ กิโลเมตร เปน็ แดนมาตุภมู ขิ องสองพระอรหนั ต์ คือ พระสารี บุตร พระธรรมเสนาบดี ผเู้ รืองโรจนด์ ้วยปญั ญา อัครสาวกเบอ้ื ง ขวา กบั พระโมคคลั ลานะ ผูเ้ ลิศดว้ ยฤทธิ์ อัครสาวกเบ้ืองซ้ายของ พระพุทธเจา้ ผูเ้ ป็นกำ�ลงั สำ�คัญอยา่ งย่ิงในงานเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา พระสารบี ตุ รนพิ พานในเรือนอนั เปน็ ที่กำ�เนดิ ณ ทนี่ าลันทกะ บา้ นของนางสารีพราหมณผี ูเ้ ปน็ มารดา ในเวลารุ่งสางของวนั เพญ็ เดือน ๑๒ กติกมาส ประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน เหตทุ ี่ พระสารบี ตุ รมานิพพานท่ีนี่ กด็ ว้ ยความระลึกถงึ มารดาผ้บู ังเกิดเกล้า ในขณะท่ีพระธรรมเสนาบดี ผู้เปน็ อคั รสาวกเบือ้ งขวาของพระบรม ศาสดา เที่ยวจารกิ สัง่ สอนคนเป็นจำ�นวนมากให้ได้ดวงตาเห็นธรรม หลุดพน้ วิบากกรรม แตน่ างสารพี ราหมณีผู้เปน็ มารดายงั มิได้รับ อมฤตธรรม อันเป็นเคร่อื งนำ�ออกจากทกุ ขไ์ ดเ้ ลย พระสารีบุตร เลอื กเอาทเี่ กิดเป็นห้องนพิ พาน พอตกกลางคนื โรคกำ�เริบหนัก โยม มารดาไดถ้ วายการพยาบาลเป็นอยา่ งดี พระสารีบตุ รมกี ำ�ลังฟ้นื ขนึ้ มา บ้าง จึงไดแ้ สดงธรรมเทศนาโปรดโยมมารดาเปน็ ครัง้ สุดท้าย เม่ือจบ พระธรรมเทศนา นางสารพี ราหมณผี ู้เป็นมารดาพระสารบี ตุ รกบ็ รรลุ โสดาปตั ตผิ ล สมเจตนาของพระอรหันต์ผเู้ ลศิ ด้วยกตัญญใู นวนั น้นั
ในคร้งั พทุ ธกาล นาลนั ทามหาวหิ ารแหง่ น้ี เป็นสวนมะมว่ ง ของทสุ สปาวาริกเศรษฐี ได้อุทศิ ถวายแก่พระพุทธเจ้า ในยุคหลัง ทีพ่ ระเจ้าหรรษวรรธนะ กษัตริย์อนิ เดีย ราชวงศค์ ุปตะ (พ.ศ. ๑๑๔๙ -๑๑๙๑) ทรงเข้ารับอุปถัมภ์ ทำ�ให้นาลันทาพัฒนาขึ้นเป็น มหาวทิ ยาลัยสงฆแ์ ห่งแรกของโลก เปน็ มหาวิหารขุมทรพั ย์ทาง ปญั ญาที่รวมไวซ้ ่ึงสังฆาราม วหิ าร คลังตำ�รา ศาลาสาธยาย เวช ศาลา และท่ีพกั พระภกิ ษสุ งฆผ์ ใู้ ฝ่ศกึ ษามากถึง ๑๐,๐๐๐ รปู ภาย ใต้การดูแลของอาจารย์ ๓,๐๐๐ รปู มพี ้นื ที่นับร้อยไร่ รวมทัง้ โรง ครัว ยุง้ ฉางเกบ็ รักษาอาหาร บ่อนำ�้ ขนาดใหญ่ ห้องสมดุ หอพกั สถานทลี่ งโทษ หอ้ งประชมุ ท่ีประกอบพธิ ีทางศาสนา ท่ีโตว้ าทะ โรง ฝกึ งาน ฯลฯ ในปี พ.ศ. ๑๑๗๒ เม่ือชาวมุสลมิ เขา้ มารกุ รานแผน่ ดิน อนิ เดยี ขยายพน้ื ทยี่ ดึ ครองชมพูทวีปมาจนถงึ นาลันทาในปี พ.ศ. ๑๗๖๖ แม่ทัพใหญช่ ่ือ ภัขตยิ าร์ ขลิ จี ให้ลกู ชายชือ่ อคิ เทยี ขิลจี คมุ ทหารม้า ๒๐๐ เดินทัพมาถงึ นาลนั ทา ชาวมุสลมิ ประกาศไลพ่ ระ ภกิ ษใุ ห้ออกจากสถานท่ี ใครไม่ออกกถ็ ูกฆา่ ตายอย่างทารุณ โดยใช้ วธิ เี อาเช้ือไฟสมุ ท่ตี รงประตทู างเขา้ แล้วเผากฏุ ทิ ้ังหลงั พระภกิ ษุ ตายคาผา้ เหลอื งไปหลายรอ้ ยรูป จากน้นั กล็ งมอื พงั กุฏิ สงั ฆาราม สำ�นักศึกษา และที่ประชุมทั้งหมด เทวรูป พทุ ธรูป และตำ�ราหลาย ร้อยหลายพันเล่มถูกขนออกมาเผา พร้อมทัง้ วางเพลงิ มหาวทิ ยาลัย ใหม้ อดไหมอ้ ยู่ ๖ เดือนจึงสิ้นซาก ห้วงแหง่ ความผนั ผวนทางการ เมือง มหาสงั ฆมณฑลแหง่ นาลนั ทาไดถ้ ูกท�ำ ลายไป ปัจจุบนั คง
เหลือแต่ซากปรักหักพังที่สะท้อนร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในอดีต ไว้เป็นอนสุ รณแ์ กอ่ นชุ นรนุ่ หลังเทา่ น้ัน มลู แห่งความเสื่อมของมหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา เกดิ จาก ปราชญ์พราหมณ์ท่ีเคยพ่ายแพแ้ กพ่ ระพทุ ธศาสนามาก่อน เมอื่ เปลยี่ นกษัตริย์ผูอ้ ุปถมั ภ์นาลนั ทา ราชาผู้นบั ถือศาสนาพราหมณ์ กไ็ ด้โอกาสฟน้ื ฟูศาสนาของตน งดการสนับสนุนมหาวทิ ยาลัย นาลนั ทา การศึกษาพระพทุ ธศาสนาจงึ เร่มิ เส่ือม และเม่ืออำ�นาจ ทางการเมอื งของพวกพราหมณ์และฮินดอู อ่ นลง มสุ ลมิ เข้ารกุ ราน อินเดีย คร้งั แรกมุง่ ทำ�ลายศาสนาพน้ื เมือง คอื ศาสนาฮนิ ดกู อ่ น จากนน้ั เป้าหมายของการล้มลา้ งกค็ ือ มหาวิทยาลัยนาลนั ทา ในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ กรมโบราณคดีจึงสง่ เซอร์ อเล็กซาน เดอร์ คนั นงิ แฮม นักโบราณคดชี าวอังกฤษมาทำ�การขดุ คน้ พบ บริเวณพ้ืนที่นาลันทามหาวิหารที่อยู่ในลักษณะซากกองอิฐขนาด ใหญ่ เหมอื นเปน็ เมืองเกา่ อีกเมอื งหนงึ่ มรี ้ัวประตเู ขา้ ออกดัง่ ป้อมปราการ มีอาคารท่สี ร้างด้วยอิฐเรียงตง้ั เปน็ ช้ัน ๆ เปน็ ท่ตี ั้ง มหาวิทยาลยั ทีอ่ ยู่ของนกั ศึกษา ศาลาหอประชมุ สถปู เจดยี แ์ ละ อ่ืนๆ ในเน้ือที่ ๘๐ ไร่เศษ บริเวณกลางมหาวิทยาลัย มสี ถปู สูง เกือบ ๒๐๐ ฟุต บางองค์ขุดพบแผน่ โลหะทนไฟ มรี อยถูกไฟเผา และยังมีรอยพระพุทธสลกั อยใู่ นแผ่นโลหะน้ี ในอาคารบางแหง่ พบ รปู พระพทุ ธเจ้า พระโพธิสตั วเ์ ปน็ โลหะ เครอื่ งป้นั และยงั คน้ พบดนิ เผาในสังฆารามที่ ๕ - ๖ ยงั มีเตาไฟก่อดว้ ยแผ่นอิฐใหญ่ คาดว่า เปน็ เตาไฟสำ�หรบั ตม้ ย้อมสบงจีวรของพระภกิ ษุ
สถูปนิพพานพระสารบี ตุ ร “สารบี ตุ รสถูป” เปน็ สถปู ทส่ี ร้างเพื่อเปน็ อนุสรณแ์ ก่พระ สารบี ตุ รอคั รสาวก เปน็ พระสถูปใหญ่ใจกลางโบราณสถานนาลนั ทา ทล่ี ้อมรอบด้วยเจดีย์บริวารมีปฏิมากรรมสมัยนาลนั ทาตามชอ่ ง นับ ว่าสมบรู ณ์ มีบันไดขึน้ ไปสู่ส่วนยอดได้ ๓ ทาง นัยว่าสร้างกันถึง ๓ สมัยคือ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช คุปตะ และปาละ นอกจาก น้ียังมีสถปู ทต่ี งั้ อยทู่ างดา้ นทศิ เหนอื ห่างจากสถปู ใหญ่ อนั เป็นที่ อธษิ ฐานปรินิพพานของพระสารีบุตร ลักษณะสถูปคอ่ นข้างสมบูรณ์ เปน็ ที่ฌาปนกิจสรีระของพระสารบี ุตร สถูปนพิ พานพระสารีบุตร
มหาวทิ ยาลยั นาลันทา มหาวิทยาลัยนาลันทาในปจั จบุ ัน 171
หลวงพอ่ องคด์ �ำ “หลวงพ่อองค์ดำ�”เป็นพุทธรูปองค์เดียวที่สร้างจากหินดำ� ทางการไมส่ ามารถยา้ ยเพอ่ื น�ำ มาเกบ็ รักษาในพิพธิ ภัณฑไ์ ด้ เน่อื ง ด้วยองค์ท่านใหญม่ าก และทุกคร้ังทมี่ ีความพยายามโยกยา้ ย กจ็ ะ เกิดเหตุอาเพศเปน็ ประจ�ำ หลวงพ่อองค์ด�ำ ประดิษฐานอย่ดู า้ นนอก กำ�แพงมหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา ตอ้ งเดินอ้อมไปทางดา้ นหลงั ประมาณ ๑ กิโลเมตร หลวงพ่อองค์ด�ำ
อปุ ติสสคาม และ โกลติ คาม อปุ ติสสคาม หม่บู า้ นพระสารีบตุ ร ปจั จุบันเรียกว่า สารจี ักร โกลิตคาม หมบู่ ้านพระโมคคัลลานะ ปัจจบุ ันเรยี กว่า โมคคัลลีจักร 173
ยมกปาฏิหารยิ ์
สาวัตถี “สาวตั ถ”ี เป็นเมอื งหลวงของแคว้นโกศล ซง่ึ เปน็ ๑ ใน ๖ ของเมืองมหาอ�ำ นาจ มคี วามรงุ่ เรืองมากในมหาชนบท ๑๖ แควน้ ของชมพทู วีป เจ้าผคู้ รองนครนามวา่ ปเสนทิโกศล มพี ระนางมลั ลกิ า เทวีเป็นอัครมเหสี เมืองนเ้ี คยเป็นทอ่ี ย่ขู องสวตั ถฤาษีมาก่อนจงึ ตง้ั ช่ือวา่ “สาวตั ถี” ในสมัยพทุ ธกาล แควน้ โกศลเปน็ แควน้ ทร่ี งุ่ เรอื งและมี อำ�นาจมาก แควน้ กาสี แควน้ สักกะ แหง่ ศากยวงศ์ ก็อย่ภู าย ใต้อ�ำ นาจหรือความคมุ้ ครองของแคว้นโกศล เพราะสาวตั ถี เป็นมหาอำ�นาจทางการเมืองและการทหารที่มีความพร้อมด้วย แสนยานุภาพ ทงั้ ในแผ่นดินกอ็ ุดมด้วยพืชพนั ธุ์ธญั ญาหาร กลา่ ว กันวา่ แควน้ โกศลมีหมู่บ้านรวมท้ังส้นิ ๘๐,๐๐๐ หมู่บา้ น แต่มวี ดั ในพระพทุ ธศาสนาน้อยกวา่ แคว้นมคธ พระพุทธองคจ์ งึ ปกั หลักประกาศพระพุทธศาสนา และเสด็จ มาประทบั ในแควน้ โกศล ตอนปลายพระชนมช์ พี ถงึ ๒๕ พรรษา โดยเสด็จประทับท่ีเชตวันมหาวิหาร ๑๙ พรรษา และที่บพุ พาราม ๖ พรรษา ไดท้ รงแสดงพระสตู ร ณ เชตวันมหาวหิ ารนี้ ๘๔๔ พระ สูตร ทรงแสดงทีบ่ ุพพาราม ๒๓ สตู ร และท่อี ื่น ๆ ในเมืองสาวัตถี อกี ๔ สูตร รวม ๘๗๑ สูตร อันได้แก่ สงั ยตุ ตนกิ าย ๗๓๖ สูตร มชั ฌิมนกิ าย ๗๕ สูตร องั คตุ ตรนิกาย ๕๔ สตู ร ทีฆนกิ าย ๖ สตู ร นอกจากน้ยี งั ทรงแสดงพระวนิ ัย และ ชาดกท่ีสำ�คญั ๆ เชน่ เรือ่ ง นางจิญจมาณวิกา นนั ทมาณพ โจรองคลุ มี าล นางปฏาจารา การ
เกดิ ข้ึนแหง่ ยักษิณี พระเทวทัตถูกแผ่นดนิ สบู มงคลสตู ร กรณยี เมตตสูตร เปน็ ตน้ เมอื่ เกิดความล่มสลายของกบลิ พัสดุ์และ ศากยวงศแ์ ล้ว จงึ ไดเ้ สดจ็ ออกจากสาวตั ถเี พอ่ื ไปปรนิ พิ พานทก่ี ุสนิ ารา สาวัตถีเคยเปน็ ที่ต้ังพระราชวงั พระเจา้ ปเสนทโิ กศล บ้านท่าน อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี บ้านปุโรหิตาจารย์ (บิดาขององคุลมี าล) พระ เชตวันมหาวิหารและเจดีย์สถานท่ีแสดงยมกปาฏิหาริย์ของพระพุทธ องค์ ยงั คงเหลือซากไวใ้ หเ้ ราไดป้ ลงธรรมสังเวชเทา่ นัน้ โดยเฉพาะวดั บพุ พาราม และโลหะปราสาทนั้นไมเ่ หลอื ซากไวใ้ ห้เห็น นัยว่าถูกแมน่ ำ�้ อจิรวดีพดั พงั ไปหมดแลว้ ในปจั จุบนั เหลอื เพยี ง บริเวณซากกองอฐิ มลู ดนิ กอ้ นหนิ เรยี ง ต้งั ในลกั ษณะเปน็ เมอื งเก่าท่ชี าวบา้ นเรียก สาเหตมาเหต หากมอง ในภาพรวม สาวตั ถีกเ็ หมือนเมืองรา้ งท่ัวไป เพราะเหลือแต่ซากกำ�แพง เมือง มีตน้ ไมข้ ึ้นปกคลมุ ลักษณะรูปร่างเกอื บคลา้ ยพระจันทร์ครึ่งซีก เส้นผา่ นศนู ยก์ ลางยาวประมาณเกอื บ ๒ ไมล์ ด้านตะวันออกเฉยี ง เหนอื สร้างขนานไปกับแมน่ ำ้�อจริ วดี มปี อ้ มตงั้ อยู่สี่ทศิ แตล่ ะปอ้ มสูง ใหญโ่ ต ปอ้ มทางตะวันตกสงู ราว ๓๕ – ๔๐ ฟตุ รอบเมอื งสาวัตถมี ี คูเมืองขดุ ไปทะลุแมน่ �้ำ อจริ วดี ตง้ั อยู่ในเขตจังหวดั บาห์ไรจ์ ห่างจาก สถานีโคณฑา ๕๙ กโิ ลเมตร ทีมขุดคน้ สำ�รวจซากโบราณสถานของ เซอร์ อเลก็ ซานเดอร์ คนั นงิ แฮม ไดค้ ้นพบ มาเหต ไดแ้ ก่ ตัวเมอื ง สาวัตถี สาเหต ไดแ้ ก่ พระเชตวนั มหาวหิ าร โดยอาศยั ศลิ าจารึกท่ี จารึกว่า พระพุทธรูปองคท์ ีค่ ้นพบ ณ ทตี่ ัง้ ของเมอื งน้ี อยูท่ างดา้ นใต้ หา่ งจากก�ำ แพงเมืองประมาณ ๑ กโิ ลเมตร ท่านเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนงิ แฮม เปน็ ผ้มู าสำ�รวจนครสาวตั ถี เม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๐๕
สุทัตตเศรษฐีเขา้ เฝา้ พระพทุ ธเจา้ ครง้ั แรก อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐถี วายเชตวันมหาวิหาร
วัดเชตวนั มหาวิหาร หลงั จากพรรษาท่สี อง ของพระบรมศาสดา ท่านอนาถบณิ ฑกิ ะ หรือ สทุ ตั ตเศรษฐี บุตรของสมุ นเศรษฐี ชาวเมืองสาวัตถี ได้ไปยงั เมือง ราชคฤห์ พรอ้ มดว้ ยกองคาราวานเกวียน ๕๐๐ เลม่ เพอ่ื ทำ�การค้า ไดพ้ กั อยทู่ ่ีบ้านราชคฤหเ์ ศรษฐีผเู้ ปน็ สหาย ในวันนน้ั ท่านราชคฤหเ์ ศรษฐกี ำ�ลัง เรง่ รบี จดั เตรียมสถานที่ คนงาน และอาหารเพอ่ื ถวายพระพุทธเจ้าพรอ้ ม สงฆส์ าวกในวันรุ่งขึน้ การต้อนรบั ปราศรยั จากเศรษฐีเมอื งราชคฤหใ์ นวัน นนั้ จงึ ไม่เหมอื นท่ผี ่านมา ท่านอนาถบณิ ฑกิ ะจึงถามและไดท้ ราบความจริง จนเกดิ ปตี ยิ ิ่ง เพยี งไดย้ ินวา่ “พุทโธ โลเก อุปปฺ นโฺ น พระพุทธเจา้ อุบัตขิ ้ึน แลว้ ในโลก” และจะเสดจ็ มารับอาหารบิณฑบาตในวนั ร่งุ ขน้ึ กย็ ง่ิ ท�ำ ให้ท่าน อนาถบณิ ฑิกะอยากเข้าเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ในเดย๋ี วน้ัน คืนนั้น ท่านอนาถ บิณฑกิ ะนอนไมค่ ่อยหลบั เพราะจิตใจอยากเฝา้ พระพุทธเจ้าเปน็ อยา่ งมาก คร้ันเม่ือใกลส้ ว่างจงึ ได้เฝา้ พระพทุ ธองค์ พระองคไ์ ด้แสดงอนปุ ุพพิกถา และอริยสจั สแ่ี ก่ท่านเศรษฐี ทำ�ใหท้ า่ นอนาถบณิ ฑกิ ะได้บรรลุเป็นโสดาบัน แสดงตนเป็นอุบาสกแล้วได้อาราธนาพระบรมศาสดาให้เสด็จไปโปรดชาว เมอื งสาวัตถดี ว้ ย หลงั จากอนาถบณิ ฑิกเศรษฐไี ด้กลับมาถงึ สาวตั ถีแล้ว กห็ าสถาน ท่ีเพ่ือจะสรา้ งวดั ถวายพระพทุ ธเจา้ เห็นสวนเจ้าเชตกุมารเหมาะสมกว่าท่ี อืน่ ท่านจงึ ได้เจรจาขอซือ้ สวนนี้ เข้าเชตไดเ้ สนอราคาท่ดี ินโดยการให้นำ� ทองคำ�มาปูเรียงจนเตม็ บริเวณทีต่ ้องการซอ้ื ทงั้ หมด ทา่ นเศรษฐีจึงใหค้ น นำ�เกวียนบรรทกุ แผ่นทองคำ�มลู ค่า ๑๘ โกฏิกหาปณะมาเรียงจนเกือบ เต็มบรเิ วณน้นั เจ้าเชตเหน็ ถึงศรัทธาทีแ่ นว่ แน่ของท่านเศรษฐี ประสงค์
จะร่วมท�ำ บุญด้วย จึงมอบทด่ี ินทเี่ หลือนนั้ ให้ เม่ือสรา้ งวดั เสรจ็ แล้ว ทา่ นเศรษฐีจึงไดจ้ ารกึ ชื่อเจา้ เชตไว้ท่ซี มุ้ ประตู อนั เปน็ ที่มาของชอื่ วดั วา่ “เชตวนั มหาวหิ าร” ท่านอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี ไดส้ รา้ งวิหาร พร้อมกับ ห้องพกั กฏุ ิ หอ้ งประชุม โรงครัว เวจกุฎี ห้องน้�ำ บ่อนำ�้ เป็นต้น สนิ้ เงินในการน้ี ๑๘ โกฏิกหาปณะ เม่ือสรา้ งเชตวันมหาวิหารสำ�เรจ็ แลว้ ทา่ นได้นิมนตพ์ ระพทุ ธเจ้า มาเพื่อรับการมอบถวายพระวิหาร พรอ้ มกับฉลองไปดว้ ย หมดค่าใช้ จ่ายอกี จ�ำ นวน ๑๘ โกฏิกหาปณะ รวมเป็นปัจจยั ทีท่ า่ นไดบ้ ริจาคทัง้ สิน้ ๕๔ โกฏกิ หาปณะ และใหส้ ร้างศาลาท่ีพกั ริมทางจากเมืองราชคฤหถ์ ึง เมอื งสาวัตถี ๔๕ โยชน์ ๔๕ หลัง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกราบทูล พระพุทธเจา้ ให้เสด็จ ได้ถวายวัดพระเชตวนั มหาวิหารให้เปน็ อารามแหง่ แรกในเมอื งสาวัตถี เนอื่ งดว้ ยภายในบรเิ วณเชตวนั มหาวหิ าร เป็นสถานทก่ี วา้ งขวาง เมื่อพระพทุ ธองค์ประทบั อยู่ พระสาวกองค์สำ�คัญๆกจ็ ะมาพำ�นักอยู่ใน บรเิ วณวดั ด้วย จงึ มีกุฏทิ พ่ี กั ส�ำ หรับพระภิกษุเป็นจำ�นวนมาก โดยมรี ูป แบบการจัดวางตำ�แหนง่ ดงั น้ี การจดั ระบบประตู เชตวันมหาวหิ าร มปี ระตูทางเข้า ๓ ประตู แต่ละประตูจะเปิดตอ้ นรับบคุ คลต่างกนั ดงั นี้ ประตูท่หี น่งึ อยดู่ ้าน พระราชวังทางเขา้ เมอื ง ประตนู จ้ี ะเปิดกต็ อ่ เมอ่ื พระราชาหรือราชวงศ์ เสดจ็ เท่าน้ัน ประตูทีส่ องถัดมาจากประตูที่หนงึ่ อยูส่ ว่ นกลางของวัด ประตนู ้สี ำ�หรบั พระภิกษแุ ละภกิ ษณุ ีสงฆ์ผู้อย่จู �ำ พรรษา สว่ นประตทู สี่ าม สำ�หรบั ประชาชน และอาคนั ตกุ ะท่ัวไป การจดั ผงั อาคาร อาคารทีพ่ กั รับรองอาคันตกุ ะ และส�ำ นักงาน
ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับมวลชนสมั พนั ธ์ เช่น ที่ตดั สินคดีความขัดแย้งจะอยสู่ ว่ น หน้า ถัดมาก็จะเปน็ ทีส่ ักการบชู า เช่น ตน้ อานนั ทโพธิ์ และท่ีพกั ของพระ อัครสาวก พระสารบี ุตร พระโมคคลั ลานะ และพระเถระผใู้ หญ่ อาทิ กฏุ ิ ท่านมหากัสสปะ ท่านสิวลี ทา่ นราหลุ ทา่ นองคุลมี าล เพราะถ้าพระพุทธ องค์เสดจ็ ไปยังสถานท่อี น่ื เมอื่ ประชาชนไม่ไดโ้ อกาสพบพระพทุ ธองค์ก็ มากราบสนทนาธรรมกับอัครสาวกได้ สำ�หรับเขตท่ปี ระทับจ�ำ พรรษาของ พระพทุ ธองค์เป็นเขตพุทธาวาส มพี ระกุฎที ี่ประทับของพระพทุ ธเจา้ ๔ หลัง คือ คนั ธกุฎี กเรริกุฎี สลลกฎุ ี และโกสัมพกฎุ ี มีขนาดกว้างขวาง กวา่ มลู คันธกฎุ ีทีย่ อดเขาคชิ ฌกฏู เมืองราชคฤหป์ ระมาณ ๒ เท่า ที่นี่จึง เรียกวา่ มหาคนั ธกฎุ ี กอ่ นเขา้ ไปกจ็ ะมีกุฏพิ ระพทุ ธอปุ ฏั ฐากทำ�หน้าท่จี ัด วาระ กรองผู้ขอเข้าเฝ้าและขอพทุ ธานุญาตน�ำ ญาติโยมเข้ากราบนมสั การ ส่วนทเี่ ปน็ โรงธรรมสภา สังฆสภา กจ็ ะอยู่ถดั มา มีความสงบเป็นเอกเทศ เชตวันมหาวหิ ารอันยง่ิ ใหญ่ในครงั้ พทุ ธกาล ถงึ วาระเสือ่ มสลาย เมื่อถูกมสุ ลมิ รุกรานในปี พ.ศ. ๑๖๗๑ วัดวาอารามถกู ท�ำ ลายหมด ส้นิ เชตวันมหาวหิ ารจงึ จมดินทราย เหลือเพยี งอฐิ หักซากปนู ไวเ้ ป็น ประวตั ศิ าสตรต์ ัง้ แต่บัดนนั้ ปัจจุบันเชตวนั มหาวิหารได้รบั การบูรณะให้ พอเห็นภาพของเดมิ อันยงิ่ ใหญ่ กว้างขวาง บรเิ วณหน้ามหาคนั ธกุฎยี ัง เหลอื ซากแท่นอฐิ ใหญ่ ซงึ่ เป็นทป่ี ระทบั ของพระบรมศาสดาในเวลาแสดง ธรรม เรียกว่า อสุรเทวดา หมายถงึ ทป่ี ระชุมชนทุกเหล่าที่มาฟงั ธรรม เทศนา ที่ใกล้ประตูทางออกเชตวันมหาวิหาร ซ่งึ ไมห่ ่างกนั นกั กบั ทจี่ อด รถขา้ งวัดพมา่ ในปัจจุบนั มบี ่อน้�ำ แหง่ หนงึ่ ที่กล่าวกนั วา่ เปน็ ทซี่ ่งึ แผ่นดิน สูบพระเทวทัต เม่ือบ้ันปลายชวี ิตคราวมาเพอ่ื จะเขา้ เฝา้ พระพุทธองค์
ความรม่ รื่นสงบเยน็ ภายในพระเชตวันมหาวหิ าร
พระคนั ธกฎุ ขี องพระพทุ ธเจา้ ในพระเชตวันมหาวหิ าร 183
พระวหิ ารหลวง ในพระเชตวนั มหาวหิ าร
ธรรมศาลา สถานท่ีฟงั พระธรรมเทศนา ศาลาพิจารณาอธกิ รณภ์ ิกษชุ าวโกสัมพี 185
กฏุ ิของพระสารบี ุตรและพระโมคคัลลานะ กฏุ ขิ องพระมหาสาวก
เจดียอ์ รหันต์แปดทิศ สระน้�ำ และกฏุ ิของภกิ ษุณสี งฆ์ 187
ต้นอานนั ทโพธิ์ แมว้ ่าพระเชตวนั มหาวหิ าร จะเป็นทย่ี งั ความสะดวกและ ความสงบให้เกดิ ได้ยิ่งกวา่ สถานท่ีแหง่ ใด อันเปน็ ทปี่ ระทบั ของ พระพทุ ธเจ้าแตพ่ ระองค์หาได้ประทับพักตลอดปไี ม่ แตล่ ะปี พระองค์ทรงประทบั พักเพยี ง ๓ เดือนในพรรษาเทา่ นน้ั สว่ นอกี ๙ เดอื นของปีนอกฤดูฝนพระองคเ์ สดจ็ จารกิ ไปแสดงธรรมในคาม นิคมชนบทและหวั เมอื งอน่ื ชาวเมอื งสาวัตถผี ูเ้ ล่อื มใสในพระธรรม ใคร่จะทูลเฝา้ พระพุทธเจ้าอยู่เป็นนจิ ไมป่ รารถนาใหพ้ ระองคเ์ สดจ็ ไปประทับ ณ ที่แห่งใด จงึ เดือดรอ้ นใจและปรกึ ษากนั วา่ จะทำ�ไฉน หนอ จึงจะทลู เชิญพระองค์ประทบั อยู่ตลอดปไี ด้ เมอื่ พระองค์ต้อง เสดจ็ ไปกท็ ำ�ให้เกดิ ความอ้างวา้ งใจ จะหาสิง่ ใดใหป้ รากฏอยเู่ ปน็ เคร่ืองระลึกแทนองค์พระพุทธเจ้าได้ ความนนั้ ทราบถงึ พระอานนทเถระ พทุ ธอปุ ัฏฐากจึงกราบทูล
ใหท้ รงทราบ พระผ้มู พี ระภาคเจา้ ผู้ทรงพระมหากรุณารับสั่งใหน้ ำ�ก่งิ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ทพ่ี ระองคอ์ าศัยเป็นที่ตรสั รู้ ณ ต�ำ บลพุทธคยา มาปลูกไว้ท่ีหน้ามหาวิหารเชตวันเพ่ือเป็นเคร่ืองหมายแทนพระองค์ และถือเป็นเจดีย์ไดเ้ หมอื นกนั กบั อเุ ทสิกเจดีย์ เพอ่ื ให้ชาวสาวัตถี ผศู้ รัทธาไดเ้ ปน็ ท่ีบชู ากราบไหว้ พระมหาโมคคลั ลานะ อัครสาวก ฝา่ ยซ้ายทราบความประสงคข์ องพระพทุ ธองค์ จึงทลู อาสาแสดง ฤทธิ์เหาะไปถึงตำ�บลพุทธคยานำ�เอาผลสุกแห่งโพธ์ิกลับมายังมหา วหิ ารเชตวันได้ในวันนั้น ครั้นน�ำ ผลสุกแห่งต้นโพธิม์ าแลว้ กป็ รึกษากนั ว่าผู้ใดจัก สมควรเป็นผปู้ ลูก เบ้ืองตน้ ชาวเมืองและภิกษุสงฆ์พรอ้ มใจกันถวาย แด่พระเจ้าปเสนทโิ กศลใหเ้ ป็นผ้ทู รงปลูก แต่ทรงปฏิเสธเพราะ ทรง ดำ�ริวา่ ความเป็นพระราชามไิ ดด้ �ำ รงอยตู่ ลอดไป ควรทีจ่ ะให้อนาถ บณิ ฑิกเศรษฐีปลูกต้นโพธิ์นี้ ต้นโพธจ์ิ ะอยู่ภายในมหาวหิ ารเชตวัน ซ่ึงเป็นสถานท่สี �ำ คัญอันเกดิ แต่ท่านเศรษฐอี ย่างหนึง่ และท่านกม็ ี บริวาร ขา้ ทาสหญิงชายมากมาย คงสบื ตระกูลชว่ ยกันดูแลรักษาต้น โพธติ์ ่อกันไปได้อกี อย่างหนึ่ง เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐวี างเมลด็ โพธ์ิ ลงในหลมุ ก็งอกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญท่ นั ที มีกงิ่ ก้านสาขาแผอ่ อก ไปโดยรอบ พระราชาทรงรดโพธนิ์ นั้ ดว้ ยน้ำ�สคุ นธรส หลงั จากน้ัน พระอานนท์ทลู ขอใหพ้ ระศาสดาประทับเข้าสมาบตั ิ ณ โคนโพธิน์ ั้น ตลอดราตรหี น่ึงเพ่ือประโยชน์เกอ้ื กูลแกม่ หาชน ตงั้ แตน่ ัน้ มา ชาวเมืองสาวัตถีก็พากันกราบไหวต้ ้นโพธิแ์ ทน พระพุทธเจา้ ทเี่ รยี กชอ่ื อานนั ทโพธิ์ นนั้ เพราะวา่ พระอานนทเ์ ป็นผู้ จัดการดูแลเรือ่ งการปลูกและรดน้�ำ จนต้นโพธิ์เจริญเติบโตนั่นเอง
ตน้ อานันทโพธ์ิ
ตน้ อานนั ทโพธ์ิ 191
ทแี่ ผน่ ดินสบู ในคัมภีรท์ างพระพุทธศาสนา กล่าวถึงผทู้ ตี่ ายดว้ ยถกู ธรณี สบู มี ๕ คนดว้ ยกนั ในจ�ำ นวนนั้นเหตุเกิดท่ีเมอื งสาวตั ถี ตายดว้ ย ธรณีสูบถงึ ๔ คน คอื พระเทวทตั นางจิณจมาณวิกา พระเจา้ สุปปพุทธะ และนนั ทมานพ ใกล้ประตูทางออกพระเชตวันมหาวิหาร ซ่งึ ไม่ห่างกนั นักกบั ที่จอดรถข้างวัดพม่าในปจั จุบัน มบี ่อน้ำ�แหง่ หนึง่ ทก่ี ล่าวกนั ว่าเป็นที่ ซึ่งแผน่ ดนิ สูบพระเทวทัตใหด้ ิง่ ลงสอู่ เวจนี รก ในตอนบน้ั ปลายชวี ติ เมอ่ื เดินทางมาเพอ่ื จะเขา้ เฝ้าพระพุทธองคเ์ พอ่ื ขอลแุ ก่โทษ ดา้ น ตะวันออกเฉียงใต้จากวัดศรลี ังกา มบี อ่ นำ�้ ท่มี ีมาแตโ่ บราณ กล่าว กนั ว่า นน่ั คอื อนุสรณ์ของนางจณิ จมาณวกิ า ท่ถี กู แผ่นดินสบู ในครั้ง ทส่ี รา้ งบาป กล่าวตพู่ ระบรมศาสดาวา่ มีความสมั พันธ์ฉนั ชสู้ าวกับ ตนจนตัง้ ครรภ์ แผน่ ดินไม่อาจรับไวไ้ ด้ ต้องแยกออกส่งให้ นางจณิ จมาณวิกาไปสอู่ เวจีตามก�ำ ลงั บาปที่สร้างไว้
สถานทพ่ี ระเทวทตั ถูกแผ่นดนิ สบู สถานท่นี างจิณจมาณวกิ าถูกแผน่ ดนิ สบู
บพุ พาราม วิสาขามหาอุบาสิกา นางวิสาขาผูเ้ ปน็ ลูกสาวธนญั ชยั เศรษฐี และนางสมุ นาเทวี ไดฟ้ ังพระธรรมเทศนาบรรลุเป็นพระโสดาบันตง้ั แตอ่ ายุ ๗ ปี ต่อ มาได้ย้ายตามมารดาบดิ าจากเมืองภัททยิ ะ แควน้ มคธมาอยู่ท่เี มอื ง สาเกต แคว้นโกศล ภายหลังไดแ้ ตง่ งานกับปณุ ณมาณพบุตรของ มิคารเศรษฐี จึงยา้ ยเข้ามาอยู่ในเมอื งสาวัตถี นางนับถือพุทธศาสนา จึงได้ชักชวนสกุลของสามีเข้ามานับถือพระพุทธศาสนากันหมด มิคารเศรษฐีนบั ถือนางมาก และเรียกนางวิสาขาเป็นแม่ นางจึงได้ ชื่อใหม่อีกอย่างหนง่ึ วา่ มิคารมารดา (มารดาของมคิ ารเศรษฐ)ี นางวสิ าขาได้อุปถัมภบ์ ำ�รงุ พระภกิ ษุสงฆอ์ ย่างมาก นางมี
บตุ รหลานมากมาย ล้วนมีสุขภาพดแี ทบทง้ั นน้ั แม้นางจะมอี ายถุ งึ ๑๒๐ ปกี ด็ ูไม่ชรา และเปน็ บุคคลที่ได้รับการนับถอื อยา่ งกวา้ งขวาง ในสังคม ได้รับยกยอ่ งจากพระศาสดาว่า เปน็ เอตทัคคะในบรรดา ทายกิ าท้ังปวง วันหน่ึงนางไปฟังธรรมแล้วนำ�เครื่องประดับอันมีค่ายิ่งชื่อ มหาลดาปสาทธน์ หรอื มรปลนั ทนาหล่นหาย เม่อื กลบั ถึงบ้าน จึงรตู้ ัวและให้นางทาสีกลับไปหา พบเคร่อื งประดบั นัน้ ที่ศาลาโรง ธรรม ซ่งึ สามเณรรปู หน่งึ เก็บได้และนำ�ไปมอบไวก้ บั พระอานนท์ ท�ำ ให้นางคิดทำ�กุศลใหญ่ โดยการขายเคร่อื งประดับน้ันในราคาแพง จนไมม่ ีใครกล้าซื้อ นางซ้อื เองดว้ ยราคา ๙ โกฏิกหาปณะและใชเ้ งนิ ก้อนน้ันสร้างอารามขึ้นทางทิศตะวันออกของเมืองสาวัตถีให้ชื่อว่า บุพพาราม แปลว่า อารามดา้ นทศิ ตะวันออกตามช่อื ของปา่ น้ัน การสรา้ งอารามข้ึนท่บี ุพพาราม ก็เพราะบริเวณน้เี ป็นท่ี พระบรมศาสดาโปรดปรานเสด็จไปประทับภายหลังจากได้มาเสวยที่ เรอื นของอนาถบิณฑกิ เศรษฐี เมื่อสรา้ งสำ�เรจ็ แลว้ พระบรมศาสดา เสดจ็ ประทับท่ีบุพพารามนานถงึ ๖ พรรษา กล่าวกันวา่ พระโมค คลั ลานะเปน็ ผูก้ �ำ กับการก่อสร้างอารามแหง่ น้ี โดยสร้างเปน็ โลหะ ปราสาทสองช้ัน ช้ันบนมี ๕๐๐ ห้อง ชัน้ ล่างมี ๕๐๐ ห้อง บน หลงั คาปราสาทสร้างทีเ่ ก็บนำ�้ ท�ำ ด้วยทองคำ�แทง่ เก็บนำ�้ ได้ ๖๐ ถงั ใช้เวลาสรา้ ง ๙ เดอื น เมื่อแลว้ เสรจ็ กฉ็ ลองด้วยเงนิ อกี ๙ โกฏิ โลหะปราสาทของนางวิสาขาน้ีเป็นแบบให้มีการสร้างโลหะ ปราสาทขนึ้ ในพุทธศาสนาอกี ๒ แห่ง คอื ทเี่ มอื งอนรุ าธปุระ ประเทศศรลี งั กา และ ท่วี ดั ราชนดั ดา ประเทศไทย
พระพุทธองค์ทรงโปรดประทับท่ีบุพพารามในบางโอกาสคือ ถ้าประทบั ที่เชตวันเวลากลางวัน พระองคจ์ ะเสด็จประทบั ที่บุพพา รามในเวลากลางคนื ณ บุพพารามนี้ พระพุทธองคไ์ ดแ้ สดงพระ สูตรตา่ ง ๆ ไว้หลายพระสตู ร อาทิ อคั คัญญสูตร ในทีฆนกิ าย อฏุ ฐนสตู ร ในสุตตนบิ าต อริยปรเิ ยสณสูตร คณกโมคคลั ลานสตู ร ในมัชฌมิ นิกาย ปาสาทกมั ปนสูตร ในสงั ยตุ ตนกิ าย เป็นต้น บุพพารามจึงเปน็ มหาวหิ ารแหง่ ที่สองของเมืองสาวัตถี อยู่ หา่ งจากเชตวันมหาวิหารประมาณ ๕ กิโลเมตร ต้องลัดเลาะตามทุ่ง นาเลียบฝงั่ แม่นำ�้ อจิรวดไี ปประมาณ ๓ กิโลเมตร บางเอกสารอ้าง วา่ นา่ จะเป็นบริเวณเมอื งอโยธยาในปัจจุบนั เปน็ ทีน่ ่าเสียดายว่า ทางรัฐบาลไมใ่ ห้ความสนใจดแู ลรักษา มกี ารขุดคน้ หาหลักฐานด้าน ประวัติศาสตร์ ปลอ่ ยทง้ิ ให้ฐานอาคารเก่าๆ โดยสว่ นมากพังทลาย ลงไปในแมน่ �้ำ บพุ พารามในปัจจบุ นั
วดั ราชการาม หลงั จากการสรา้ งวัดเชตวนั มหาวิหารส�ำ เรจ็ ท�ำ ให้พทุ ธ ศาสนาเผยแผใ่ นเมืองสาวตั ถไี ด้อยา่ งรวดเรว็ ลาภสักการะอนั เคย บริบูรณแ์ กเ่ หล่าเดยี รถยี ์ไดเ้ ส่อื มถอยลงเปน็ ลำ�ดับ เพราะมหาชน หนั มานบั ถือพระพทุ ธศาสนามากข้ึน เป็นเหตใุ ห้พวกเดยี รถยี ห์ า ทางท�ำ ลายพระพุทธศาสนาทกุ วถิ ีทาง พวกเดียรถีย์เหน็ ว่า ส�ำ นกั ของพระสมณโคดมเปน็ ทำ�เลท่ีดี การคมนาคมสะดวกแก่เหล่าชนท่ี จะไปฟงั ธรรม ลาภสกั การะจึงเกดิ มากมาย เหล่าเดยี รถยี ์จงึ คิด สรา้ งส�ำ นกั ของตนขน้ึ ณ หลงั พระเชตวันมหาวหิ าร จงึ ไดน้ ำ�เครือ่ ง บรรณาการไปถวายแกพ่ ระเจา้ ปเสนทิโกศล แล้วขอพระราชทาน ทีด่ ินเพื่อสรา้ งสำ�นกั ของตน ขณะด�ำ เนินการกอ่ สรา้ ง พระพุทธ องคท์ รงดำ�ริวา่ การนีอ้ าจเปน็ ภัยต่อพระศาสนาในอนาคต จงึ ให้ พระอานนท์ พระสารีบุตร และพระโมคคลั ลานะไปทลู พระเจ้า ปเสนทิโกศล แต่พระองค์ปฏเิ สธไม่ยอมให้เขา้ พบ พระศาสดาจงึ ตอ้ งเสด็จไปดว้ ยพระองคเ์ อง แลว้ ทรงยกภรุชาดกเปน็ อุทาหรณว์ า่ “ในอดตี มีนกั บวชสองพวก พำ�นกั อยู่ ณ โคกต้นไทร พวก หนึง่ อยทู่ างทศิ เหนือ อกี พวกหนง่ึ อยู่ทางทศิ ใต้ตอ่ มาต้นไทรทางทิศ ใต้เกิดเหี่ยวแห้งตายไป จงึ อพยพไปทางทศิ เหนือและเกิดทะเลาะ กบั พวกทอี่ ย่กู อ่ น เพราะแยง่ ที่พำ�นกั จึงพากันไปใหพ้ ระราชาแห่ง เมืองภรตุ ดั สิน นกั บวชฝ่ายหนง่ึ ได้ถวายเรอื ส�ำ หรบั เปน็ ราชพาหนะ แกพ่ ระราชา จงึ ตัดสินให้ฝ่ายท่ีมอบเรอื เป็นผชู้ นะด้วยความล�ำ เอียง ทำ�ใหเ้ ทวดาทอ่ี ยูใ่ นเมอื งภรโุ กรธ เพราะเหตุที่พระราชาทำ�ใหผ้ ้มู ีศีล
ทะเลาะกันด้วยอ�ำ นาจแห่งฉนั ทาคติ เทวดาจงึ บันดาลใหเ้ มืองภรจุ ม ลงไปใต้ทะเล ประสบความพนิ าศอย่างใหญ่หลวง ล่มจมลงท้งั แว่น แควน้ ” พระเจา้ ปเสนทิโกศลไดส้ ดับดังนนั้ จึงมีรบั สงั่ ใหข้ บั นักบวช เหลา่ นั้นออกไป แลว้ ทรงสรา้ งทีน่ ้นั ใหเ้ ป็นอารามส�ำ หรับภิกษุณี พระราชทานนามวา่ “ราชการาม” เมืองสาวตั ถจี งึ มีอารามเกิดขึน้ อกี แหง่ ใกล้พระเชตวันมหาวิหาร ยมกปาฏิหาริย์ ทรงกระท�ำ ยมกปาฏหิ ารยิ ์
ยมกปาฏหิ ารยิ ์ คือ ธรรมทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ณ ชานเมอื งสาวัตถีในวนั เพญ็ เดอื น ๘ ทรงกระท�ำ ยมกปาฏิหาริยต์ ่อ คำ�ท้าของพวกเดียรถีย์นิครนถ์ซ่ึงเป็นการแสดงคร้ังสำ�คัญและครั้ง สดุ ทา้ ยของพระบรมศาสดา พวกเดียรถยี ์นคิ รนถ์รวู้ ่าพระพทุ ธ องคจ์ ะแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ์ใกลไ้ มค้ ัณฑามพฤกษ์ (ต้นมะม่วง) ก็เทีย่ วหาซ้ือและขุดทิง้ ทำ�ลายต้นมะมว่ งให้หมดทัง้ เมอื ง แต่ ด้วยพุทธบารมี ทำ�ใหน้ ายอทุ ยานของพระเจา้ ปเสนทโิ กศล ชื่อ คณั ฑกะ ได้เก็บมะมว่ งหนึ่งผลจากอุทยานหลวงแลว้ นำ�มาถวาย พระพุทธองค์ทรงเสวยเนื้อมะม่วงแล้วให้นายคัณฑกะเพาะเมล็ด ลงดิน ทรงใชน้ �ำ้ ลา้ งพระหตั ถ์รดเมล็ดมะมว่ งน้ัน ทนั ใดกเ็ กิดตน้ มะมว่ งงามสูง ๕ ศอก ออกลูกติดต้น พระพทุ ธองคจ์ ึงทรง กระทำ�ยมกปาฏหิ าริย์บรเิ วณสวนมะม่วงของนายคัณฑกะแหง่ น้ี ยมกปาฏิหารยิ ท์ ่ีทรงแสดง คอื ปาฏหิ าริยค์ ู่ เชน่ ท�ำ ให้ ไฟพล่งุ ออกจากพระกายเบ้อื งบน นำ�้ พลุง่ ออกจากพระกายเบ้ือง ลา่ ง ไฟพลุ่งออกจากพระกายเบอ้ื งหน้า น�ำ้ พล่งุ ออกจากพระกาย เบื้องหลงั ไฟพลงุ่ ออกจากพระหตั ถเ์ บื้องซา้ ย นำ�้ พลุ่งออกจาก พระหัตถเ์ บอ้ื งขวา ไฟพลุ่งออกจากพระเนตรเบือ้ งขวา น�้ำ พลงุ่ ออกจากพระกรรณเบื้องซ้าย เป็นตน้ การแสดงยมกปาฏหิ าริย์ใน ครงั้ นน้ั ท�ำ ใหป้ ระชาชนชาวสาวตั ถเี กิดความตนื่ เต้นในอภินหิ าร ของพระบรมศาสดา และท�ำ ใหล้ ทั ธศิ าสนาอนื่ ๆ ในสาวตั ถีเส่อื ม ลงไป หลงั จากแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ์ พระองคท์ รงเสดจ็ ไปประทับ จำ�พรรษาที่ดาวดงึ ส์ เมอ่ื ออกพรรษาทรงเสดจ็ ลงจากสวรรคใ์ นวนั เทโวโรหณะทส่ี ังกสั สนคร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441