สถานท่เี จา้ ชายสิทธแตั มถน่ ะ�ำ้ ตอดัโนพมราะนเมทาี ฬถี ือเพศบรรพชิต วัดนโิ ครธาราม เป็นวัดที่บรรดาพระประยูรญาติของพระพุทธองค์สร้างข้ึน จากการบรู ณะปราสาทของเจา้ นโิ ครธศากยะ เพ่อื ถวายรับรองการ เสด็จนิวัตส่กู รุงกบิลพัสดุ์ของพระสัมมาสมั พุทธเจา้ หลงั จากตรสั รู้ ได้ ๑ พรรษา นบั เปน็ วัดแหง่ แรกในกรงุ กบลิ พัสดุ์ และเปน็ สถาน ทใี่ ห้การบรรพชาแกพ่ ระราหลุ เปน็ สามเณรรปู แรกในพระพุทธ ศาสนา ให้การอุปสมบทแกพ่ ระนนั ทะ และทรงแสดงธรรมในพระ สูตรสำ�คญั ๆ จ�ำ นวนมาก ปัจจุบันกองโบราณสถานประเทศเนปาลไดร้ กั ษาไว้ให้เหน็ ถึง
สภาพของมหาวิหารที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาอย่างดี ยง่ิ วัดนโิ ครธารามอยู่ห่างจากวังกบลิ พัสดป์ุ ระมาณ ๔ กโิ ลเมตร ปจั จุบันเรยี กตามภาษาถิน่ วา่ กดุ าน มีสถปู ขนาดใหญ่ต้งั อยู่ ก่ึงกลาง ฐานโดยรอบนับวา่ ยังสมบรู ณอ์ ยู่มากเมอ่ื เทยี บกับสถปู ใน บรเิ วณเดียวกนั นี้ วัดนิโครธาราม 51
แมน่ �้ำ โรหิณี เป็นแมน่ ำ้�ส�ำ คญั ทีม่ สี ายกำ�เนดิ จากหมิ าลยั อยหู่ ่างจากลุมพินี ไปทางกรุงเทวทหะ เลยเมอื ง Butwal ประมาณ ๖ กิโลเมตร เป็น แมน่ ำ้�ตำ�นานแห่งพระพทุ ธรูปปางห้ามญาติ ที่ทรงเสดจ็ ไปโปรดพระ ประยูรญาตจิ ากการท�ำ สงครามแยง่ ชงิ นำ�้ กนั และเมอ่ื คราวท่านพระ อานนทม์ านิพพานโดยอธิษฐานจิตเข้าเตโชสมาบัติ เหาะสู่กลางอากาศ นิพพาน แล้วอฐั ธิ าตแุ ยกเปน็ สองส่วน แบง่ ตกสองฟากฝงั่ แห่งแม่น�้ำ โรหณิ ี แมน่ �ำ้ โรหณิ ี
กรงุ เทวทหะ เมืองหลวงแหง่ โกลยิ วงศ์เป็นเมอื งของพุทธมารดา ปจั จุบัน เปน็ เขตอำ�เภอ Nawalparais เส้นทางหลวง Mahendra High- way จากเมือง Butwal-Kathmandu ยังมีลกั ษณะคเู มอื ง และมี ซากเมอื งโบราณทพี่ ังทลายจมอยูใ่ ตด้ นิ พร้อมเทวาลัยที่ชาวบ้าน ยงั บชู าพระแมเ่ จ้าสิริมหามายาเทวแี ละพระนางปชาบดีโคตมี เมื่อ ถึงวันนักขัตฤกษ์ชาวเนปาลท้องถิ่นก็จะประกอบพิธีบูชามหาเทวีทั้ง สองเปน็ ประจ�ำ ทกุ ปี กรุงเทวทหะ 53
รามคามสถูป เปน็ สถูปที่บรรจพุ ระบรมสารีรกิ ธาตุ ทไี่ ด้รบั ส่วนแบง่ จาก เมอื งกสุ ินารา หลังพทุ ธปรินพิ พาน ต้งั อยูใ่ นอาณาจกั รโกลยิ ะแห่ง สักกชนบท ซ่งึ มนี ครหลวงชือ่ เทวทหะ ปจั จบุ ันต้งั อยู่ใกลห้ มบู่ ้าน อุชเชนี ในอ�ำ เภอ Nawalparasi ในเขตอนุรกั ษท์ างโบราณคดี มี น้�ำ ลอ้ มรอบเหมือนอยู่กลางทุ่งนา และมีบ่อส่เี หลีย่ มซงึ่ เปน็ ร่องรอย การขดุ ค้นเพือ่ หาหลักฐาน การเดนิ ทางสู่รามคามต้องตัดจากถนน Mahendra Highway แยกเขา้ ชุมชน Parasi ตามพุทธประวตั กิ ล่าวว่า เมือ่ ถวายเพลงิ พระพุทธสรรี ะ ณ เมืองกุสินารา แควน้ มัลละแลว้ กษัตริย์ ๘ พระนครท่ัวชมพู ทวปี น�ำ มวลชนเขา้ ขอส่วนแบง่ ในพระบรมสารีริกธาตุ ครง้ั นั้นโทณ พราหมณ์ นักการทตู ชั้นยอดแหง่ กุสินารา ทำ�หน้าทแี่ บง่ ใหเ้ ป็น ๘ ส่วนตามบญั ชาของมลั ลกษัตริย์ คือ ราชคฤห์ เวสาลี กบลิ พสั ดุ์ อลั ลกัปปะ รามคาม เวฏฐทีปกะ ปาวา และกสุ ินารา โกลิยวงศ์ เมื่อได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามาเป็นมหา สมบัติ ก็ประดษิ ฐานไว้ ณ สถปู รามคาม ต้ังแตบ่ ัดน้ันเป็นต้นมา พ.ศ. ๒๗๓ สมยั พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระราชศรัทธา ตอ่ พระพทุ ธศาสนาอยา่ งยิง่ เมื่อเสร็จจากการทำ�สงั คายนา กท็ �ำ การ ปฏสิ งั ขรณศ์ าสนาครัง้ ย่ิงใหญ่ ทรงตั้งพระทัยท่ีจะสืบคน้ และบรู ณะ
ศาสนวตั ถทุ ่ีก�ำ ลังเสื่อมโทรมโดยเฉพาะสถูป ๘ แห่งทป่ี ระดิษฐาน พระบรมสารรี กิ ธาตทุ ่ีรบั มอบจากกษตั รยิ แ์ ห่งกสุ นิ าราไปแล้ว โปรด ให้เทยี่ วค้นหาตามเมอื งตา่ ง ๆ วา่ ยงั อยู่ครบสมบรู ณ์ หรือถกู ทอด ทง้ิ ไวไ้ ม่มีผ้สู ักการบูชา พ.ศ. ๒๙๕ พระเจา้ อโศกมหาราช เสดจ็ มาถงึ รามคาม ดว้ ยพระองคเ์ อง พรอ้ มกบั จะเตรียมขุดค้นองค์พระสถูป เพ่อื จะ นำ�พระบรมสารีริกธาตุกลับไปที่เมืองเวสาลีดังที่เคยปฏิบัติมาแล้ว ท้ัง ๗ แหง่ ส�ำ หรับท่ีแห่งนีเ้ ล่าไวใ้ นเชงิ ปาฏหิ าริย์วา่ พอจะเรม่ิ การ ขดุ ค้นก็มีพญานาคเกลด็ สขี าวเหมอื นเงนิ ซึง่ เฝา้ สถปู อยู่ ได้แปลง ร่างเป็นพราหมณ์มาขอร้องพระองค์ว่าอย่าได้ขุดหรือทำ�ลายสถูปนี้ เลย เพราะมพี ระบรมสารีรกิ ธาตุของพระพุทธเจา้ ซึ่งเป็นสง่ิ สำ�คญั ที่สดุ ในชีวติ ของนาค ทกุ วนั พระหม่บู ริวารนาคท้ังหลายไดน้ ำ�เครื่อง หอมดอกไมม้ าสักการะอยเู่ สมอ กับทง้ั ไดแ้ สดงตนเป็นผู้อารกั ขา ดูแลพระบรมสารรี ิกธาตแุ ห่งนี้ด้วยดี พร้อมกบั ขอให้พระเจา้ อโศก มหาราชได้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในแถบหิมวันต์ประเทศนี้ให้ รุ่งเรอื งเชน่ ทีอ่ ื่นๆ การทูลขอของเหล่านาคทงั้ หลายท�ำ ใหพ้ ระเจา้ อโศกมหาราชทรงพอพระทยั ในรามคามสถปู แห่งนี้ ที่ยงั มีผศู้ รทั ธา เล่ือมใสตอ่ ศาสนาของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า และยังได้มาสกั การ บูชาพระบรมสารีรกิ ธาตุโดยมไิ ด้ขาด ทรงมพี ระบรมราชโองการให้ ละเวน้ การขุดค้น ณ สถานทแ่ี ห่งน้ี พร้อมกบั บูรณะสถูปใหแ้ ขง็ แรง ขึ้น และมไิ ดแ้ ตะต้องพระบรมสารีริกธาตุ ณ รามคามสถปู เลย 55
รามคามสถปู
พทุ ธสถานอน่ื ในเนปาล สถูปโบฎนาถ “สถูปโบฎนาถ”เปน็ ศาสนสถานแหง่ หนึง่ ทม่ี ีความสำ�คญั ตง้ั อย่หู ่างเมอื งกาฐมณั ฑุไปทางทศิ ตะวนั ออกประมาณ ๘ กิโลเมตร เปน็ เจดยี ์ใหญท่ ่ีสุดในเนปาล ภายในบริเวณวดั เปน็ แหลง่ ชุมนุมของ ชาวพทุ ธทิเบตทอ่ี พยพเขา้ มาในปพี .ศ. ๒๕๐๒ สถูปน้ีชาวทเิ บตกับ ภฏู านให้ความส�ำ คญั ไม่น้อยกวา่ สงั เวชนียสถาน ๔ ต�ำ บลในอินเดยี ปหี นง่ึ ๆ จะมชี าวพทุ ธจากมองโกเลีย ทเิ บตและ ภูฏานจำ�นวนมาก เดินทางข้ามทะเลทรายและเทือกเขาหิมาลัยกันมาเป็นกองคาราวาน เพ่อื นมัสการพระสถูปนี้ นบั วา่ เป็นเกยี รตอิ ยา่ งสูง ทอ่ี งค์การยเู นส โกไดข้ ึน้ ทะเบยี นไว้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ (A World Heritage Monument Boddhanath Area) คำ�ว่า “โบฎนาถ” นา่ จะมาจากภาษาบาลีว่า พุทธนาถ มีความหมายวา่ พระพทุ ธองค์ผู้ เปน็ นาถะของโลก มหาสถูปสีขาวถกู ขนาบด้วยรา้ นค้า ๔ ด้าน มดี วงตาท่ี สถิตรอบจตุรทิศเหมือนมีพลังส่องโลกให้สว่างเห็นทางสัจธรรม โครงสรา้ งของสถปู จากฐานถงึ ยอด ๓๖ เมตร มีฐานลักษณะครึง่ วงกลมคอ่ ย ๆ ลาดลง นบั ได้ ๓ ระดบั คล้ายวา่ จะเป็นที่นง่ั ภาวนา หรอื เดินประทักษณิ ออ้ มได้โดยรอบ มีสัญลกั ษณข์ อง Mandala หรือสัญลกั ษณ์ของ นรก สวรรค์ และโลกมนษุ ย์ ล้อมรอบฐาน สถูปดว้ ยพระพทุ ธรูป ๑๐๘ องค์ ซุม้ คหู า ๑๔๗ คหู า 57
สถปู โบฎนาถ
สถูปสวยัมภนู าถ “วัดสวยมั ภนู าถ” อยบู่ นยอดเขา สงู กว่าระดบั หบุ เขา กาฐมัณฑุ ๗๗ เมตรขึ้นไป ตัง้ อยหู่ ่างจากเมืองกาฐมณั ฑไุ ปทาง ทิศตะวันตกเพยี ง ๓ กโิ ลเมตร สถปู ที่วัดนม้ี อี ายเุ กา่ แกท่ สี่ ุดใน เนปาล “สวยัมภูนาถ” หมายถงึ เจดีย์ท่เี กดิ ขน้ึ เองแบบปาฏหิ าริย์ ชื่อของวัดสวยมั ภนู าถ เรียกอกี อยา่ งหน่งึ วา่ “วัดลิง” ถา้ เขยี น แบบบาลีจะไดว้ า่ วัดสยัมภวู นาถ หมายถงึ ท่ปี ระทบั ของพระพทุ ธ องคผ์ ทู้ รงรู้แจง้ และผูท้ รงพระเมตตานำ�พาหมู่สตั วใ์ ห้พน้ ทกุ ข์ นั่นเอง ตามประวตั ิสรา้ งโดยพระเจ้าโกราเดส ไดร้ บั การซ่อมแซม ปรับปรุงอยู่เสมอ ดงั ในปี พ.ศ. ๒๑๘๒ มภี ิกษรุ ูปหนึง่ ใช้แผ่นทอง มาปดิ ทว่ั ทั้งสถปู เหลอื งอร่ามไปทง้ั องค์ และสรา้ งสวุ รรณฉตั รไว้บน ยอดสถปู ในปี พ.ศ. ๒๒๙๔ มลี ามะทิเบตชอ่ื การ์มาปะ มา ซ่อมสถปู ภายใตพ้ ระราชูปถมั ภข์ องกษัตรยิ เ์ นปาล สถูปแหง่ นี้ สร้างถวายพระอาทพิ ทุ ธเจ้า ตามตำ�นานกลา่ ว กนั ว่ามีอายุถงึ ๒,๐๐๐ ปี สรา้ งขึน้ ในสมัยพระเจา้ มานะเทวะ ใน ปี พ.ศ. ๙๖๓ มีสง่ิ ท่นี า่ สนใจภายในวดั กค็ อื ตรงฐานของสถูปมี ดวงตาเหน็ ธรรม หรือ Wisdom eyes ของพระพุทธเจ้าอยโู่ ดยรอบ ทัง้ ๔ ด้าน รวมมดี วงตาที่คอระฆงั ทัง้ หมด ๘ ดวง เป็นตาวิเศษ ที่ชาวเนปาลนยิ มเขียน หรือ สลักรปู พทุ ธเนตรไวต้ ามปูชนยี สถาน บางแหง่ เขียนไว้คล้ายกบั ตาจริง ๆ ทจ่ี ้องมองอยตู่ ลอดทัง้ วนั ตา นี้เรียกวา่ สมันตจักษุ ซ่งึ หมายถึง ตาทเ่ี หน็ ได้โดยรอบ รู้แจ้งเห็น จรงิ ไม่ติดขดั ไมว่ า่ จะไปทใ่ี ดในเนปาล หากมีเจดยี จ์ ะตอ้ งมีตาท้ังสี่ 59
ด้าน รวมจกั ษุ ๘ ดวงทุกแหง่ ไป โดยมคี วามเชอื่ ในพุทธเนตรว่า พระพุทธเจา้ ทรงคอยตรวจดสู ขุ ทกุ ข์ของสตั วโ์ ลกอยเู่ สมอ โดยแผ่ พลงั พระกรณุ าธคิ ณุ ตอ่ ปวงสัตวท์ ุกชาตชิ ้นั องคก์ ารยูเนสโกจงึ ขนึ้ ทะเบียนไว้เปน็ มรดกโลกในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปแลว้ สถูปสวยัมภูนาถ
สถูปสวยมั ภนู าถ 61
ตรสั รู้
บ�ำ เพ็ญทุกกรกริ ยิ าอยา่ งอุกฤษณ์ ทรงรบั ขา้ วมธุปายาสจากนางสุชาดา
พระโพธิสตั ว์หลังเสดจ็ ออกผนวช ไดเ้ สด็จถึง เมอื งราชคฤห์ ทรงศกึ ษาในส�ำ นักของอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร บรรลสุ มาบัติ ๘ เหน็ วา่ ไม่ใช่ทางทีจ่ ะถงึ ความส้ินทกุ ข์ จึงเสด็จไปต�ำ บล อุรุเวลาเสนานิคม บ�ำ เพญ็ ทุกกรกิรยิ าเปน็ เวลา ๖ ปี เมื่อทรงเห็นว่ายังไม่ใช่ทางจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ จึงละวิธีบำ�เพ็ญน้ันหันมาเสวยพระกระยาหารตามปกติ ปญั จวคั คียท์ อ่ี อกบวชตาม เหน็ พระโพธิสตั ว์คลายความ เพยี ร จึงพากนั หลีกไปอยทู่ ป่ี ่าอิสปิ ตนมฤคทายวนั อนั เปน็ ราชอทุ ยานของพระเจ้ากาสิราช เขตเมอื งพาราณสี แคว้นกาส ี พระโพธิสัตว์เสด็จไปประทับอยู่ใต้ควงต้น อชปาลนิโครธ ทรงรับขา้ วมธุปายาสพรอ้ มท้งั ถาด ทองคำ�จากนางสุชาดาธิดาของกฎุมพีชาวตำ�บลอุรุเวลา เสนานิคม เสด็จไปประทบั เสวยขา้ วมธปุ ายาสใต้ควงต้น โพธิร์ ิมฝ่ังตะวันออกของแมน่ ้�ำ เนรญั ชรา ทรงอธิษฐาน การตรัสรูอ้ นุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ แล้วลอยถาด ทองค�ำ ทที่ ่าสปุ ตฏิ ฐติ ะ ทรงรับหญา้ กุสะ ๘ ก�ำ จากโสตถิ ยพราหมณ์ เสดจ็ ข้ามแม่นำ�้ เนรญั ชราส่ฝู ่ังตะวันตก ทรง ปูลาดหญ้าเป็นบัลลังก์ใต้ควงต้นอัสสัตถพฤกษ์(ต้นโพธิ์) ประทับนัง่ คู้บลั ลงั กข์ ดั สมาธิ ผนิ พระพกั ตร์ทางทศิ ตะวนั ออก ผินพระปฤษฎางค์ทางต้นอัสสัตถพฤกษ์ทรง ตงั้ สจั จะไว้ในพระทัยอย่างแนว่ แน่ว่า
ทรงรบั หญ้ากสุ ะ ๘ กำ�จากโสตถยิ พราหมณ์ ทรงตรสั รูเ้ ปน็ พระอนตุ ตรสมั มาสัมพทุ ธเจ้า
“กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ อฏฐฺ ิ จ อวสสิ สฺ ตุ อุปสุสฺสตุ นสิ ฺเส สํ สรเี ร มํสโลหติ ํ น เตวฺ วาหํ สมมฺ าส มโฺ พธึ อปเฺ ปตวฺ า อิมํ ปลฺลงฺกํ ภินทฺ ิสฺสามิ. (อง.ฺ ทุก. ๒๐/๕,ข.ุ อป.อฏ ๔/๙๑) เลือดและเน้ือในสรีระจะเหอื ดแหง้ ไป เหลือแตห่ นัง เอ็น และกระดูกกต็ ามที เม่อื ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธญิ าณ เราจักไม่ทำ�ลายบัลลงั ก์นี้อยา่ งเด็ดขาด” ปฐมยาม ทรงบรรลุปพุ เพนิวาสานสุ สตญิ าณ หวนระลกึ ถึงอดตี ชาตไิ ด้ มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ จตุ ูปปาตญาณ รูจ้ ตุ ิและปฏสิ นธิของสตั วผ์ ู้เปน็ ไปตาม กรรม ปัจฉมิ ยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ ทำ�ลาย อาสวกเิ ลสให้ส้ินไปแล้ว
พทุ ธคยา พทุ ธคยา เป็นสถานที่ที่เจ้าชายสิทธัตถะ แห่งกรงุ กบลิ พัสด์ุ ไดต้ รสั รูอ้ นุตตรสัมมาสมั โพธญิ าณเปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ใน วนั เพ็ญเดอื นวิสาขะภายใตต้ ้นพระศรมี หาโพธิ์ ณ โพธิบลั ลังกก์ ว่า ๒,๕๐๐ ปีล่วงมาแลว้ ในสมยั พุทธกาล พทุ ธคยาอยู่ในดนิ แดนที่ เรียกวา่ ชมพทู วีป ซ่ึงตง้ั อย่ใู นหมบู่ า้ นนคิ มชอ่ื ว่า อรุ เุ วลาเสนานคิ ม แคว้นมคธ เปน็ สถานทร่ี ม่ รน่ื เหมาะแก่การบำ�เพ็ญเพยี รทางจติ พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ ณ ท่ีแหง่ นแ้ี ละได้ประทับอยเู่ พื่อเสวยวิมุตติ สุข ซึ่งเป็นความสุขอันเกิดจากความหลดุ พน้ ในสถานที่ ๗ แห่งๆ ละ ๑ สปั ดาห์ มเี รือ่ งราวต่างๆเกดิ ขน้ึ มากมาย รวมถึงเรอ่ื งราว ของพ่อค้าสองพ่ีนอ้ งคือ ตปุสสะและภลั ลกิ ะท่เี ดนิ ทางผ่านมาเห็น พระพุทธองค์มพี ระวรกายผอ่ งใส จึงเขา้ มาถวายขา้ วสัตต(ุ ขา้ วต)ู แล้วแสดงตนเปน็ ทววิ าจกอบุ าสก ผู้ถงึ พระพทุ ธและพระธรรมเป็น สรณะคู่แรกของโลก และพระพุทธองคไ์ ดท้ รงประทานเสน้ พระ เกศาแก่พ่อคา้ ๘ เส้น ซงึ่ เส้นพระเกศาทั้ง ๘ ได้บรรจไุ ว้ทเี่ จดีย์ ชเวดากอง ประเทศพม่า พุทธคยาในปัจจบุ ันอยู่ในเขตจังหวัดคยา รัฐพหิ ารของ อินเดยี เป็นหนงึ่ ในสี่ของสงั เวชนียสถานส�ำ คัญ และเป็นศูนยก์ ลาง การจารกิ แสวงบุญของชาวพทุ ธผูศ้ รัทธาท่ัวโลก มชี ื่อเรียกอกี อยา่ ง หนึง่ วา่ วดั มหาโพธิ์ อยใู่ นความดูแลของคณะกรรมการรว่ มพทุ ธ- ฮนิ ดู องค์การยเู นสโกได้ยกใหเ้ ป็นมรดกโลก (World Heritage) เมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๕
พุทธคยาตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแมน่ ำ�้ เนรัญชรา ห่างจาก ฝัง่ แมน่ ำ้�ประมาณ ๓๕๐ เมตร (นับจากพระแทน่ วชั รอาสน)์ มี สญั ลกั ษณท์ ี่ส�ำ คัญคือ มหาเจดีย์โพธคิ ยา ล้อมรอบดว้ ยโบราณ วตั ถุ โบราณสถานสำ�คญั เช่น ต้นพระศรมี หาโพธ์ิ พระแท่น วัชรอาสนท์ ีป่ ระทบั ตรัสรู้ และอนมิ ิสเจดีย์ เป็นตน้ ซึ่งนอกจาก พทุ ธสถานโบราณแล้ว บรเิ วณโดยรอบพุทธคยายงั เปน็ ท่ีตง้ั ของวัด พุทธนานาชาติ รวมท้งั วัดไทยพุทธคยาอีกด้วย เจดียพ์ ุทธคยา เจดยี ์พุทธคยา หรือมหาเจดยี โ์ พธิคยา หรือเจดยี ์มหาโพธ์ิ ประดิษฐานอยู่ทางทศิ ตะวันออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยมีแทน่ วชั รอาสนอ์ ยู่ตรงกลาง สงู ตามรูปทรงกรวยประมาณ ๑๗๐ ฟุต วดั รอบฐานไดป้ ระมาณ ๘๕ เมตรเศษ ต้ังอยู่บนอาคารรองรับสองช้นั มีเจดยี บ์ รวิ ารทงั้ ส่ีดา้ น รอบบริเวณมีเสาหินทรายที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศก มหาราชล้อมไว้อย่างแขง็ แรง มีรอ่ งรอยบรู ณปฏิสังขรณก์ นั ตามยุค สมยั ราวปี พ.ศ. ๖๗๔ พระเจา้ หวุ ชิ กะ กษัตริย์ราชวงศ์กนยิ กะ แคว้นมคธทรงสร้างเสริมให้เป็นศิลปะต้นแบบและทำ�นุบำ�รุงสืบต่อ กนั มาหลายสมัย 69
เจดยี ์พทุ ธคยา
เจดียพ์ ทุ ธคยา ยามอาทติ ย์อัสดง 71
เจดยี ์พุทธคยา ในอกี มมุ มอง เสาศลิ าจารกึ พระเจา้ อโศกมหาราช บริเวณเจดยี ์พทุ ธคยา
บริเวณโดยรอบเจดีย์พทุ ธคยา 73
ตน้ พระศรีมหาโพธิ์ ต้นไม้ประเภทเดยี วกบั ตน้ โพธิ์ ชาวอินเดียเรียกว่า อัศวตั ถ์ หรอื อสั สตั ถ์ หรือ ปิปปละ ซง่ึ เป็นไม้พันธุห์ นึ่ง เม่ือพระพุทธเจา้ ตรสั ร้ใู ตต้ น้ ไมช้ นิดน้ี จึงไดช้ อื่ ว่า ตน้ โพธห์ิ รอื โพธริ ุกขะ “ตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ” สังเวชนยี สถานที่ตรสั รูข้ องพระสัมมา สมั พุทธเจ้า ต้ังอยูต่ ิดกบั พระเจดียพ์ ทุ ธคยาดา้ นทิศตะวนั ตก ห่าง จากแมน่ �้ำ เนรญั ชราประมาณ ๒๐๐ เมตร ตั้งอยู่ด้านหลังพระเจดีย์ มีพระแท่นวัชรอาสนค์ ั่นอยรู่ ะหว่างกลาง ต้นปัจจุบนั เป็นต้นท่สี ปี่ ลกู
เม่ือ พ.ศ.๒๔๒๓ อายุ ๑๓๐ ปี (ณ พ.ศ.๒๕๕๓) สบื ทอดจากต้น แรกซ่ึงเปน็ สหชาตทิ ่ีพทุ ธองคท์ รงประทับน่ังในวนั ตรัสรู้ ลำ�ตน้ ขนาด ๓ คนโอบ สูงประมาณ ๘๐ ฟุต แผก่ ่งิ กา้ นสาขา เปน็ ร่มโพธทิ์ อง ของชาวพุทธ ทางรัฐบาลอนิ เดียคอยดแู ลและเอาใจใสเ่ ป็นพิเศษมี กำ�แพงทองล้อมรอบเปน็ สดั สว่ น ตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ : ต้นท่ี ๑ ตามพทุ ธประวตั กิ ล่าววา่ ต้นพระศรมี หาโพธ์เิ ปน็ ตน้ ไม้คู่ บารมหี รือเป็นสหชาตขิ องพระพทุ ธเจา้ คือ เกิดข้นึ มาในวันเพ็ญ เดือน ๖ กอ่ นพทุ ธศก ๘๐ ปี วนั เดยี วกับที่พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ นัน่ เอง ในวันนนั้ มีสิง่ ทเ่ี กดิ พรอ้ มกัน ๗ อย่าง เรยี กว่า สหชาติ คอื พระนางยโสธรา หรือ พมิ พา พระอานนท์ อำ�มาตยก์ าฬทุ ายี นายฉนั ทะ ม้ากณั ฐกะ ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ และขมุ ทรพั ย์ท้งั ส่ี ในกาลิงคโพธชิ าดกกลา่ ววา่ ได้มีการน�ำ เมลด็ โพธ์จิ ากตน้ นี้ ไปปลกู ท่เี ชตวันมหาวหิ าร เมอื งสาวัตถี เปน็ การเรมิ่ ตน้ ขยายพันธ์ุ โพธต์ิ รัสรู้ไปในท่ตี า่ ง ๆ ของโลก ต่อมาในคมั ภรี ์มหาวงศ์กล่าววา่ พระเจา้ อโศกมหาราชเสดจ็ มาทน่ี เ่ี ป็นนติ ย์ เป็นผู้ตอนก่ิงโพธต์ิ น้ นี้ส่ง ไปท่ีเมืองอนรุ าธปรุ ะในลังกา กิง่ โพธต์ิ น้ นน้ั ยงั มีชวี ิตอยูจ่ นทกุ วนั นี้ และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้มอบหมายให้พระ อาจารย์สาย นำ�คณะไปขอเมลด็ โพธ์ิเพ่ือน�ำ มาปลูกทปี่ ระเทศไทย ปรากฏวา่ ขณะนั้นพราหมณ์ครอบครองอยู่ ต้นโพธ์ถิ ูกลอ้ มไว้ถงึ ๗ ชน้ั แตด่ ว้ ยมิตรภาพทม่ี ีต่อกนั จงึ ได้มอบเมลด็ โพธ์ิถวายใหน้ ำ�กลับสู่ ประเทศไทย โดยพระองค์ทรงเพาะเอง แล้วนำ�ไปปลกู ทว่ี ดั สระเกศ 75
ราชวรมหาวหิ าร ๑ ตน้ วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ๑ ต้น และ วัดมหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฏิ์ ๑ ตน้ ในหนงั สอื มหาวงศ์กลา่ วว่า หลังพุทธปรินพิ พาน พระเจ้า อโศกมหาราชทรงเสด็จไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่เป็นนิตย์ จนมเหสีองคใ์ หมช่ ือ่ ดิศราชเทวี หรอื พระนางตษิ ยะรักษิต หรอื ท่ีเรยี กกนั ว่า มหสิ นุ ทรี ก็เกิดมีจิตรษิ ยาต้นพระศรมี หาโพธ์ิ เห็นไป วา่ พระราชสวามีรกั ต้นพระศรมี หาโพธ์ยิ ิ่งกวา่ นาง จึงลอบใหค้ นไป ทำ�ลายต้นพระศรมี หาโพธิเ์ สยี โดยให้เอาเงย่ี งกระเบนอนั มีพษิ ไป แทงที่ลำ�ตน้ ในทวยาวทานกลา่ ววา่ พระนางติษยะรักษติ ใชอ้ �ำ นาจ มนตท์ ำ�ลาย ในจดหมายของหลวงจีนฟาเหียนกล่าวว่า พระนางตษิ ยะรกั ษิตนนั่ เองใชใ้ หค้ นไปตัด ปที ่ตี น้ พระศรมี หาโพธ์ถิ ูกท�ำ ลายตรง กับปที ี่ ๓๗ แห่งรชั กาลพระเจา้ อโศกมหาราช นบั อายตุ ้นโพธ์ิได้ ๓๕๒ ปี เม่ือพระเจ้าอโศกมหาราชทอดพระเนตรเห็นต้นพระ ศรมี หาโพธิล์ ้ม พระองคท์ รงตกพระทยั จนถึงแก่วสิ ัญญภี าพลม้ ลง ณ ทน่ี ัน้ เหล่าเสนาอ�ำ มาตยใ์ ชน้ ้ำ�ลบู พระพักตร์จนกระท่งั ทรงฟ้นื คนื พระสติ จากน้ันพระองค์โปรดใหส้ ร้างกำ�แพงอิฐลอ้ มรอบรากตน้ พระศรมี หาโพธ์นิ นั้ ทันที และ โปรดใหใ้ ช้น้�ำ นมรดไม้โพธใ์ิ ห้ชุม่ เพอ่ื ให้แตกหน่อขึ้นใหม่ ส่วนพระองค์เองก็ทอดพระองค์ลงกับพื้นดิน ตัง้ สัตยว์ ่าจะไม่เสด็จลกุ ขน้ึ จนกวา่ จะได้เหน็ หนอ่ โพธโ์ิ ผลข่ ึน้ มา ไม่ ชา้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็แตกหน่อขนึ้ ทรี่ ากเดมิ อีกในที่สุด
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ : ตน้ ท่ี ๒ ด้วยสัตย์อธิษฐานของพระเจ้าอโศกมหาราช ต้นพระ ศรีมหาโพธกิ์ ็เจรญิ เติบโตต่อจากตน้ ท่ี ๑ โดยลำ�ดับ จนถงึ พ.ศ. ๑๑๐๐ พระเจา้ ศศางกา กษตั ริยฮ์ ินดูจากแคว้นเบงกอล ไม่พอใจ ทเี่ หน็ พทุ ธศาสนามาตง้ั แข่งขันกันที่น่ี จึงรบั สัง่ ให้ทำ�ลายวัดวาอาราม และต้นโพธ์ติ รัสรู้ เหตุการณ์นเี้ กดิ กอ่ นท่พี ระถงั ซมั จง๋ั จะมาถงึ ทีน่ ่ี ๓๐ กวา่ ปี แต่ทา่ นไดบ้ ันทึกไวว้ า่ พระเจา้ ศศางกาเกรงว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ จะแตกหนอ่ งอกงามข้ึนมาอีก จงึ ใหฟ้ ันตน้ พระศรมี หาโพธลิ์ งกอ่ น แล้วขดุ รากขน้ึ ทิ้ง เอาไฟเผา ราดดว้ ยน้�ำ อ้อย ด้วยความหวงั อัน แนว่ แนท่ ่จี ะไมใ่ ห้เหลือพืชพนั ธส์ุ บื ตอ่ ไปในอนาคต แต่เผอญิ ปลาย รากแกว้ ขดุ ท้งิ ไมห่ มดยังเหลอื ตดิ ดนิ อยู่ ตน้ พระศรีมหาโพธ์ติ รสั รู้ จึงไมส่ ญู สนิ้ พันธุไ์ ป หลงั จากท�ำ ลายต้นพระศรมี หาโพธติ์ รสั รู้ได้ ไมน่ าน พระเจ้าศศางกากส็ ิ้นพระชนมอ์ ยา่ งอนาถ รวมอายุต้นพระ ศรมี หาโพธไ์ิ ด้ ๘๗๑ ปี ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ : ตน้ ท่ี ๓ พระเจ้าปรู ณวรมนั กษตั ริย์องค์สุดทา้ ยในราชวงศข์ อง พระเจา้ อโศกมหาราชทค่ี รองแคว้นมคธ ทรงโศกเศร้าพระทัยอย่าง ยง่ิ ในการทพี่ ระเจา้ ศศางกาท�ำ ลายตน้ พระศรมี หาโพธอิ์ ันเปน็ ม่งิ ขวญั ของพุทธบรษิ ทั ทงั้ หลาย จึงรีบจัดการบ�ำ รงุ รากโพธ์ทิ เี่ หลอื อย่โู ดยใช้ 77
น�ำ้ นมจากแม่โค ๑,๐๐๐ ตวั แล้วกลนั่ ใหข้ ้นเหลอื เพยี ง 8 ตัว รด ใหช้ มุ่ อยเู่ สมอ ในไมช่ ้าหน่อโพธ์ิกแ็ ตกหน่อมาจากรากเดมิ อีก พระเจ้าปรู ณวรมันพยายามประคับประคองอย่างดที ี่สุด พอ ตน้ พระศรีมหาโพธส์ิ งู ขึน้ ได้สกั ๑๐ ฟุต พระองคโ์ ปรดใหส้ ร้าง กำ�แพงลอ้ มรอบตน้ พระศรีมหาโพธดิ์ ว้ ยหินลว้ น เพอ่ื ปอ้ งกันมใิ ห้ ใครลอบเขา้ ไปทำ�ลายได้ ก�ำ แพงหนิ ท่สี ร้างครงั้ น้ันสงู ๒๔ ฟุต พระถังซัมจงั๋ มาถงึ ทนี่ ่ี ได้บนั ทึกสดุดพี ระเจ้าปูรณวรมันวา่ เปน็ ผทู้ ี่ ทำ�คุณประโยชน์อย่างสูงให้แก่พระพุทธศาสนาในการที่ได้กู้ชีวิตต้น พระศรมี หาโพธ์ิกลบั คนื มาอีกครงั้ หน่ึง และยงั บันทกึ อกี ว่า ใบโพธิ์ มีสเี ขยี วเปน็ มัน แม้ในฤดูใบไมร้ ่วงโพธ์ิตน้ นกี้ ็ไม่สลดั ใบ จะสลัดใบ ก็เฉพาะในวนั ปรินิพพานเท่าน้นั แลว้ ก็แตกใหม่อีก ต้นโพธิ์ตรัสรู้ ต้นท่ี ๓ หมดอายขุ ัยเองตามธรรมชาติ รวมอายุได้ ๑,๒๕๘ ปีเศษ ต้นพระศรมี หาโพธ์ิ : ต้นท่ี ๔ พ.ศ. ๒๔๒๓ รฐั บาลองั กฤษซ่ึงปกครองอนิ เดียอยใู่ นเวลา นัน้ ได้มอบใหเ้ ซอร์ อเลก็ ซานเดอร์ คันนงิ แฮมบรู ณะสถานทน่ี ี้ ใน ระหว่างน้นั ตน้ พระศรีมหาโพธติ์ รัสรตู้ ้นท่ี ๓ ลม้ ลงเองโดยธรรมชาติ และมีหนอ่ โพธ์ิ ๒ หน่อ เกิดขึ้น สงู ประมาณ ๖ นิ้ว และ ๔ นิ้ว ท่านเซอร์ อเลก็ ซานเดอร์ เลอื กเอาต้นท่ีสงู ๖ นว้ิ ปลกู ลงท่ีต้นเดิม และสว่ นตน้ ท่ีสูง ๔ นิ้ว แยกไปปลูกไว้ทางดา้ นเหนอื ห่างจากตน้ เดิม ๒๕๐ ฟุต ทั้งนเ้ี พ่ือให้ชาวฮินดูไดไ้ ปนมสั การพระวิษณทุ ต่ี ้น นั้น ส่วนชาวพทุ ธมนสั การที่ตน้ เดิม รวมอายตุ ้นพระศรีมหาโพธ์ิ ถงึ วนั นีไ้ ด้ ๑๓๐ ปี
ต้นพระศรมี หาโพธิ์ ใบพระศรีมหาโพธิ์ 79
พระแทน่ วชั รอาสน์ พระแทน่ วชั รอาสน์
“พระแท่นวชั รอาสน์” มีความหมายว่า พระทีน่ ั่งแห่งมหา บรุ ุษใจเพชร สรา้ งโดยพระเจ้าอโศกมหาราช แกะสลักดว้ ยแผน่ หินทราย เป็นรปู สเ่ี หล่ียมด้านขนาน กวา้ ง ๔ ฟุต ๑๐ น้ิว ยาว ๗ ฟตุ ๖ น้วิ ความหนา ๕ นวิ้ ครึ่ง ประดษิ ฐานไวท้ างทิศตะวนั ออกใตต้ น้ พระศรีมหาโพธิ์ เปน็ รัตนบลั ลงั กท์ พ่ี ระพทุ ธองคป์ ระทับ ตรสั รู้ บนพืน้ ผิวดา้ นหนา้ แกะสลกั เป็นรปู หวั แหวนเพชร มรี ศั มีพุง่ ไปโดยรอบทศิ และมเี พชรซกี ประดบั อยู่ เปน็ สัญลกั ษณข์ องความ เด็ดเด่ียวและเข้มแข็งแห่งนำ้�พระทัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน การบ�ำ เพญ็ เพียรทางจติ จนตรัสรู้อนุตตรสมั มาสัมโพธิญาณ โดย ด้านข้างทิศเหนือและทิศใต้แกะสลักเป็นรูปดอกบัวและรูปห่านหรือ พญาหงส์ ด้านตน้ พระศรมี หาโพธ์ิแกะสลกั เปน็ รูปดอกมณฑารพ ซ่งึ เป็นดอกไมส้ วรรคท์ ่ีรว่ งหลน่ ในวันปรินิพพานของพระพทุ ธองค์ 81
สตั ตมหาสถาน “สตั ตมหาสถาน” คือ สถานที่ทรงยบั ยัง้ อยูเ่ พ่ือเสวย วิมุตติสขุ หลังจากตรสั รแู้ ลว้ ๗ แห่ง รวม ๔๙ วนั เพือ่ ตรวจ สอบพระโพธิญาณที่ได้ตรัสรู้นั้นให้แน่พระทัยตามสถานท่ีต่างๆ คอื โพธบิ ัลลงั ก์ อนิมสิ เจดีย์ รตั นจงกรมเจดีย์ รตั นฆรเจดยี ์ ตน้ อชปาลนิโครธ สระมจุ ลินท์ ต้นราชายตนะ สถานทีป่ ระทบั ทงั้ ๗ แห่งนี้ ตอ่ มาถือกันว่าเป็นท่ีส�ำ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา เรียกว่า สัตตมหาสถาน นบั เป็นพุทธเจดียด์ ้วยประการหนึง่ โพธิบลั ลังก์ โพธิบัลลงั ก์ สถานท่ีเสวยวมิ ตุ ตสิ ุขในสัปดาหท์ ่ี ๑
“โพธบิ ัลลงั ก”์ ต้ังอยใู่ นปริมณฑลที่ตรสั รู้ ดา้ นทศิ ตะวนั ตก ของเจดีย์ พระพทุ ธองค์ประทบั เสวยวิมตุ ตสิ ขุ อยู่ ณ บรเิ วณตน้ พระศรีมหาโพธิ์เปน็ สัปดาหแ์ รก ทรงใคร่ครวญปฏจิ จสมุปบาททัง้ อนุโลมและปฏิโลม ทัง้ สายเกิดและสายดับ อนมิ ิสเจดีย์ เจดีย์สขี าว ตัง้ อยู่ทางทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือของตน้ พระ ศรมี หาโพธิ์ ณ ขวามือบรเิ วณทางเข้าสู่โพธมิ ณฑล อนิมิสเจดียเ์ ป็น ทเี่ สวยวมิ ตุ ติสขุ ในสปั ดาหท์ ่ี ๒ หลังจากตรัสรู้ โดยทีพ่ ระพทุ ธองค์ ทรงประทบั ยนื และ ทรงจอ้ งพระเนตรแลดูบัลลังก์และต้นโพธ์ิ อัน เป็นสถานทีบ่ รรลผุ ลแหง่ พระบารมีทงั้ หลาย ด้วยดวงพระเนตรท่ไี ม่ กะพริบอยู่ตลอด ๗ วนั พรอ้ มกับการน้อมร�ำ ลกึ ถงึ คณุ แหง่ พระ ศรีมหาโพธ์ิทที่ รงได้อาศยั บ�ำ เพญ็ ธรรมจนไดบ้ รรลธุ รรม พระพุทธองคอ์ อกจากสมาบัตเิ ป็นวันท่ี ๘ นบั แต่ตรัสรู้ ทรง แสดงยมกปาฏิหาริย์เพ่ือระงับความปริวิตกของเทวดาท่ีพระพุทธ องค์ประทับอยู่ ๗ วันน้นั เพราะยงั ไม่ทรงละความอาลัยในบัลลงั ก์ ทรงบนั ดาลท่อน้�ำ ทอ่ ไฟออกจากสว่ นของพระกายเป็นคู่ เปน็ ตน้ พระศาสดาประทับยนื ทางดา้ นทิศเหนือติดกับทิศตะวันออก 83
อนมิ ิสเจดยี ์ สถานที่เสวยวมิ ตุ ติสขุ ในสปั ดาห์ท่ี ๒
บรเิ วณโดยรอบอนิมิสเจดยี ์ รตั นจงกรมเจดีย์ “รตั นจงกรมเจดีย์” เป็นที่ทรงเสด็จด�ำ เนินจงกรมไปมา เสวยวมิ ุตตสิ ุขอย่ตู ลอด ๗ วันในสัปดาห์ท่ี ๓ อยรู่ ะหว่างตน้ พระ ศรีมหาโพธ์กิ บั อนมิ ิสเจดีย์ ขา้ งมหาเจดีย์ทางทศิ เหนือ มหี นิ ทราย สลักเปน็ ดอกบวั บานรับแสงพระอาทติ ย์ จ�ำ นวน ๑๙ ดอก มแี ท่น หินทรายแดงยาวประมาณ ๖ เมตร 85
รตั นจงกรมเจดีย์ สถานท่เี สวยวมิ ตุ ตสิ ขุ ในสปั ดาหท์ ่ี ๓
รตั นฆรเจดีย์ เทวดาได้เนรมิตเรอื นแก้วถวาย พระองคไ์ ดท้ รงประทับ เสวยวมิ ตุ ตสิ ขุ พร้อมกบั การพจิ ารณาพระอภิธรรม ๗ คมั ภรี ์ และ ปจั จยาการ ๑๒ ข้อ ตลอดสปั ดาห์ท่ี ๔ ในด้านทศิ เหนือของ มหาเจดีย์ มีวหิ ารส่เี หลยี่ มไม่มหี ลังคามงุ กว้างประมาณ ๑๑ ฟตุ ยาวประมาณ ๑๔ ฟุต เช่ือกนั ว่า คอื บรเิ วณ รัตนฆรเจดยี ์ ท่ี ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีทรงมีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย ไปไกลไม่มขี อบเขต ณ สถานท่ีนอ้ี ยู่ ๗ วัน รัตนฆรเจดีย์ สถานที่เสวยวิมตุ ติสขุ ในสปั ดาหท์ ี่ ๔ 87
ต้นอชปาลนิโครธ “ตน้ อชปาลนิโครธ” ต้ังอยู่ในทิศตะวันออกของ ต้นพระศรมี หาโพธ์ิ ระหวา่ งแมน่ ้�ำ โมหนกี ับแม่นำ�้ เนรญั ชรา ห่างประมาณ ๓๐๐ เมตรจากเนินดินบา้ นนางสชุ าดา มเี ทวาลยั ของชาวฮินดู มีลักษณะยอดแหลมเช่นเดียวกับ สถปู ทว่ั ไป ในบรเิ วณน้ีมีตน้ ไทรใบใหญอ่ ายกุ วา่ ๑๐๐ ปี อยู่ ๕-๖ ตน้ พระพุทธองค์ทรงประทับเสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์ ท่ี ๕ ณ ไทรอชปาลนโิ ครธตลอด ๗ วนั ทรงตรึกตรองถึง บุคคลที่สมควรรบั คำ�สอน เกิดคำ�อุปมาแหง่ บุคคลเหมอื น อบุ ล ๔ เหลา่ และทา้ วสหัมบดพี รหมเปน็ ผู้อาราธนาเพื่อ แสดงธรรม สถานทแี่ ห่งนี้เม่ือก่อนจะตรสั รู้ พระมหาบุรุษ ได้ทรงรบั ขา้ วมธุปายาสจากนางสชุ าดา ธดิ ากฎมุ พีแห่ง อรุ ุเวลาเสนานิคม และ ธดิ าพระยามาร คอื นาง ตณั หา อรตี และราคะ เคียดแค้นแทนพ่อที่พา่ ยแพต้ ่อ พระพุทธเจา้ ได้ออกมาแสดงอาการยว่ั ยดุ ว้ ยกามรมณ์ แต่ทรงไมย่ ินดี ณ ภายใตค้ วงไม้ไทรแห่งนเ้ี ช่นกนั
ตน้ อชปาลนิโครธ สถานท่เี สวยวิมตุ ตสิ ขุ ในสปั ดาหท์ ่ี ๕ 89
สระมจุ ลินท์ สถานทีป่ ระทบั เสวยวมิ ตุ ติสุขแห่งน้ี อยูท่ างดา้ นตะวัน ออกเฉียงใตข้ องต้นพระศรมี หาโพธ์ิ ๒ กิโลเมตร หา่ งจากแม่ น้ำ�เนรัญชราประมาณคร่ึงกิโลเมตร อยู่ใกลก้ ับหมบู่ ้านมุจลินท์ มสี ระนำ�้ ท่ชี าวบา้ นเรยี กวา่ มจุ ลนิ ท์โบกขรณี มตี น้ ตาลใหญ่ ประมาณ ๗-๘ ต้นล้อมรอบอยู่ ตามพทุ ธประวัติเล่าว่า พระพุทธองคเ์ สด็จมาเสวย วิมตุ ติสขุ ประทับท่ีโคนไม้มุจลนิ ท์เปน็ เวลา ๗ วัน ในสัปดาห์ ที่ ๖ ในชว่ งน้ันมีพายุพัดเมฆฝนท�ำ ใหล้ มแรงมีฝนตกพรำ� ตลอด ๗ วนั พระยามจุ ลนิ ทนาคราชไดเ้ ขา้ ถวายอารกั ขาดว้ ย การแผพ่ ังพานพร้อมขนด ๗ รอบ เพอ่ื ปอ้ งกนั ความหนาว ลม ฝน แดด เหลือบ ยุง มใิ หเ้ บยี ดเบยี นพระองค์ เหมอื น พระพุทธองคป์ ระทบั อยใู่ นพระคนั ธกฎุ อี ันมีสริ ิ เม่ือฝนหยุด ตกแล้ว มุจลินทนาคราชจึงคลายขนด แลว้ จำ�แลงรูปของตน เป็นมานพหนมุ่ ถวายนมสั การ ณ เบอ้ื งพระพกั ตร์ พระองค์ จึงเปลง่ อุทานว่า ความสงดั เป็นสขุ ของบุคคลผสู้ นั โดษ ผมู้ ี ธรรมปรากฏแลว้ ผเู้ ห็นอยู่ความไม่เบยี ดเบียน คือความ ส�ำ รวมในสัตวท์ ้งั หลายเปน็ สขุ ในโลก ปจั จุบันสรา้ งทจี่ �ำ ลองไว้ ภายในบริเวณมหาเจดยี ์
สระมุจลนิ ท์ สถานทเี่ สวยวมิ ุตตสิ ขุ ในสัปดาหท์ ี่ ๖ สระมุจลินทจ์ �ำ ลอง ใกล้มหาสถูปพทุ ธคยา 91
ตน้ ราชายตนะ “ต้นราชายตนะ” ต้นทพ่ี ระพทุ ธองค์เคยประทบั เสวยวิมุตติ สขุ น้นั อยทู่ างทิศใตข้ องต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ห่างจากแม่น�ำ้ เนรัญ ชราไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๒ กโิ ลเมตรคร่ึง อยูเ่ ลยสระ มจุ ลนิ ทไ์ ปเล็กนอ้ ย เป็นทางผ่านของขบวนกองเกวียนท่พี ่อคา้ วาณิช ใชต้ ิดต่อกนั ระหว่างพาราณสี ราชคฤห์ โกสัมพี มาแตโ่ บราณ ในสปั ดาหท์ ี่ ๗ หลงั จากตรสั รู้ พระพทุ ธองคป์ ระทับเสวย วมิ ุตตสิ ุข ณ บรเิ วณควงไมร้ าชายตนะ มพี อ่ ค้าสองพีน่ ้อง คือ ตปุสสะและภัลลกิ ะ ชาวอุตตราปถะน�ำ เกวียนบรรทุกสินค้าจาก อุกกลชนบทเดนิ ทางมาถึงท่ปี ระทบั เกิดความเลอ่ื มใสจงึ พากันเข้า เฝ้าพร้อมทง้ั ได้ถวายข้าวสตั ตทุ ้งั ชนิดกอ้ นและชนิดผง พระพุทธองคท์ รงดำ�ริวา่ พระตถาคตท้ังหลายไม่รับดว้ ย มอื ท้าวเทวราชทงั้ ๔ ทรงน�ำ บาตรศิลา ๔ ใบ แลว้ อธิษฐานให้ เปน็ บาตรเดยี ว รบั ข้าวสตั ตกุ ้อนและสัตตุผง จากนัน้ พอ่ ค้าทัง้ สอง จึงได้ประกาศตนเปน็ อบุ าสก ขอถงึ พระพทุ ธ พระธรรม เป็นสรณะ ตลอดชีวติ นบั วา่ พอ่ ค้าสองคนน้เี ป็นเทฺววาจกิ อบุ าสก พระพทุ ธ องคไ์ ด้ประทานพระเกศาธาตุแกท่ า่ นท้ังสองดว้ ย
ตน้ ราชายตนะ สถานทเี่ สวยวิมตุ ตสิ ขุ ในสปั ดาหท์ ่ี ๗ 93
พระพทุ ธเมตตา
ภายในวิหารพระเจดยี ์ มพี ระพทุ ธปฏมิ ากรปางมารวิชัย ท่ี สื่อถึงวินาทีท่ีพุทธองค์ทรงเรียกแม่พระธรณีให้มาเป็นสักขีพยานต่อ การบ�ำ เพญ็ บารมขี องพระองค์ทุกภพทุกชาตกิ ็เพอื่ พระโพธญิ าณ คน ไทยเรยี กว่า พระพุทธเมตตา เพราะเม่ือเหน็ พระพักตรท์ า่ นแล้ว จะ สมั ผัสไดถ้ ึงความเปยี่ มลน้ แหง่ พระมหากรณุ าธิคณุ องค์พระ สรา้ ง ดว้ ยหนิ แกรนิตสดี �ำ ในสมัยปาละ มีอายกุ วา่ ๑,๔๐๐ ปี ปิดทอง อร่าม มเี ครอื่ งต้งั บูชาตรงหนา้ มหี นิ ทรงกลมทีม่ องเหน็ เฉพาะฐาน เจ้าหน้าทท่ี ำ�ไมเ้ ปน็ ส่เี หล่ียมมาครอบไว้ 95
พระถังซัมจงั๋ บนั ทกึ วา่ คราวเม่ือพระเจา้ ศศางกา กษตั รยิ ์จาก เบงกอลไดเ้ ขา้ ไปในวิหารมหาโพธิ์ พบพระปฏิมากรตัง้ ไวบ้ ูชาองค์ หนงึ่ ทแี รกคิดจะทำ�ลายดว้ ยมือตนเอง แต่เมอื่ เหน็ พระพกั ตรข์ อง พระปฏมิ ากรอนั เปี่ยมไปดว้ ยความเมตตาปราณี พระเจ้าศศางกา ก็ทำ�ลายไมล่ ง จึงเสดจ็ กลบั พระนคร ในระหวา่ งทางฉุกคดิ ข้ึนวา่ ถา้ ยังใหพ้ ระพุทธรปู องคน์ ้นั ตง้ั อยูใ่ นวหิ ารตอ่ ไป พุทธศาสนิกชนก็ คงจะฟ้นื ฟสู ถานที่นีข้ ึน้ อีก จงึ ใหน้ ายทหารผหู้ นึ่งไปท�ำ ลายพระพุทธ รูปนั้นเสีย และให้ประดษิ ฐานรปู พระอศิ วรขน้ึ แทนท่ี นายทหารผ้นู น้ั มาถึงหนา้ พระพทุ ธรปู ก็ท�ำ ลายไมล่ งอกี และ ร�ำ พงึ วา่ ถา้ หากท�ำ ลายพระพทุ ธรูปน้ี คงจะตอ้ งตกนรกหมกไหม้ไป หลายกัปปเ์ ปน็ แน่ ซ�ำ้ ยังจะหมดโอกาสเกดิ ทนั สมัยพระศรีอารยิ เมตไตรยอกี ด้วย แตถ่ ้าไมท่ �ำ ลายกษตั ริย์กค็ งท�ำ ลายชีวติ เราและ ครอบครัวทง้ั หมด ในที่สดุ จงึ ตดั สินใจไม่ทำ�ลายพระพุทธรปู แต่ จะต้องซ่อนโดยสร้างกำ�แพงขึ้นตรงหน้าพระพุทธรูปเพ่ือกั้นไว้ไม่ให้ คนภายนอกรูว้ ่าข้างในเป็นทป่ี ระดิษฐานพระพุทธรปู เมอ่ื สร้างเสร็จ แล้ว จงึ นำ�รปู พระอศิ วรตง้ั ไว้หน้ากำ�แพง และกลบั ไปกราบทูลพระ เจา้ ศศางกาใหท้ รงทราบ แทนทพ่ี ระเจา้ ศศางกาจะดพี ระทัย กลบั หวาดกลวั เกรงว่าจะเกดิ เหตุร้ายขนึ้ แกต่ น นบั แตน่ ้นั มาเลยลม้ ปว่ ย มอี าการเจบ็ ปวดทั่วสรรพางค์กาย ในไม่ช้าก็มอี าการเนอื้ หลดุ ออก เป็นชนิ้ ๆ แล้วส้นิ พระชนมด์ ้วยความทรมาน เมอ่ื พระเจา้ ศศางกาสน้ิ พระชนม์ไปแล้ว นายทหารผนู้ ั้นจงึ เดนิ ทางมายังพทุ ธคยานี้ และ ท�ำ ลายก�ำ แพงท่ีกนั้ อย่หู นา้ พระพุทธรูปออก ปรากฏว่าตะเกยี งน้�ำ มนั ที่นายทหารผูน้ ัน้ จดุ บชู าพระพุทธรูปไวย้ งั ลุกแดงอยู่เหมือนเดิม
บ้านนางสชุ าดา เนนิ ดินทม่ี องเหน็ แวดลอ้ มด้วยหม่บู า้ นตาลตน้ โต กองฟาง สงู ๔-๕ กองนน้ั เชอื่ กันวา่ เปน็ บ้านของนางสชุ าดา ธดิ ากฏุมพแี หง่ ตำ�บลอุรเุ วลาเสนานคิ ม ผถู้ วายขา้ วมธุปายาสอนั ประณตี แดม่ หา บรุ ษุ ก่อนการตรสั รู้ อย่หู ่างจากฝั่งแม่นำ้�เนรญั ชราประมาณ ๒๐๐ เมตร บรเิ วณน้ีเรียกกนั วา่ สุชาฎากฎุ ี ลักษณะเปน็ เนนิ ดนิ สงู ประมาณ ๓ เมตร มองไกล ๆ คล้ายสถูปโบราณทป่ี รากฏท่วั ไป หากข้นึ ถึงฐานบนจะเหน็ เป็นลานกว้าง มีรอยการขดุ ค้นหาวัตถุ โบราณ และมีเศษอฐิ หักพงั ถมพ้นื ดินอยู่โดยท่ัว สุชาฎากฎุ ี เนินสถูปบ้านนางสชุ าดา 97
ควงตน้ โพธท์ิ ่พี ระโพธสิ ตั ว์ประทับเสวยข้าวมธุปายาส แมน่ �ำ้ เนรญั ชรา เป็นสายน้ำ�ท่ีทรงอธิษฐานจิตลอยถาดทองคำ�ท่ีนางสุชาดา ถวายพร้อมขา้ วมธปุ ายาสก่อนวนั ทีจ่ ะตรัสรูห้ นึง่ วัน อยดู่ า้ นทศิ ตะวนั ออกของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปจั จุบันจะมีน�ำ้ ไหลหลากเฉพาะ ในช่วงฤดูฝน คอื ระหวา่ งพรรษากาลจนถงึ ทอดกฐนิ นอกนน้ั น�้ำ จะแห้งขอดมีแตท่ ราย บรเิ วณพืน้ ทน่ี ี้ จึงเรยี กกนั ว่า อรุ เุ วลา เสนานคิ ม หมายความวา่ หม่บู า้ นที่สรา้ งเขตก้ันด้วยทราย
แมน่ �้ำ เนรัญชรา ในช่วงฤดฝู น แม่นำ�้ เนรญั ชรา ในชว่ งฤดแู ล้ง 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441