นอกจากนยี้ งั มกี รณอี นื่ ๆ อกี ทแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ นยิ ามแตล่ ะอยา่ งมคี วามสมั พนั ธ์ กนั เชน่ เมอื่ มนษุ ยไ์ มต่ ง้ั อยใู่ นศลี ธรรม จะเปน็ เหตใุ หส้ งิ่ แวดลอ้ มเสอ่ื ม แตเ่ มอ่ื มนษุ ย์ ตงั้ อยใู่ นศลี ธรรม จะเปน็ เหตใุ หส้ งิ่ แวดลอ้ มเจรญิ ขน้ึ กเิ ลสในจติ ใจมนษุ ยเ์ ปน็ เหตใุ ห้ กปั ท�ำลาย กลา่ วคอื กเิ ลสตระกลู โทสะ ท�ำใหไ้ ฟบรรลยั กลั ปท์ �ำลายกปั กเิ ลสตระกลู ราคะ ท�ำใหน้ ำ้� บรรลยั กลั ปท์ �ำลายกปั กเิ ลสตระกลู โมหะ ท�ำใหล้ มบรรลยั กลั ปท์ �ำลาย กัป ผู้ฝึกจิตจนได้อภิญญาสามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ได้ เช่น เดินบนน�้ำได้ ด�ำดนิ ได้ เหาะได้ เนรมติ วตั ถุสง่ิ ของขึ้นจากท่วี ่าง ๆ ได้ เป็นต้น พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ ความประพฤตขิ องมนษุ ยว์ า่ มผี ลตอ่ สงิ่ แวดลอ้ ม ไว้อย่างชัดเจนในธรรมกิ สตู ร 1 ความว่า สมยั ใด พระราชาเป็นผู้ไม่ต้งั อยู่ในธรรม สมยั น้นั แม้พวกข้าราชการ ก็เป็นผู้ ไม่ตัง้ อยู่ในธรรม เมื่อพวกข้าราชการไม่ตง้ั อยู่ในธรรม แม้พราหมณ์และคฤหบดี ก็ เปน็ ผไู้ มต่ งั้ อยใู่ นธรรม เมอื่ พราหมณแ์ ละคฤหบดไี มต่ ง้ั อยใู่ นธรรม แมช้ าวนคิ มและ ชาวชนบท ก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมหมุนเวียนไม่ สม�่ำเสมอ เมื่อพระจันทร์และพระอาทิตย์หมุนเวียนไม่สม�่ำเสมอ หมู่ดาวนักษัตรก็ ย่อมหมุนเวียนไม่สม�่ำเสมอ เมื่อคืนและวันหมุนเวียนไม่สม่�ำเสมอ เดือนหน่ึงและ กงึ่ เดอื นกห็ มนุ เวียนไม่สม่ำ� เสมอ เมอ่ื เดอื นหน่งึ และก่งึ เดอื นหมุนเวยี นไม่สมำ่� เสมอ ฤดแู ละปีกย็ ่อมหมุนเวยี น ไม่สม่ำ� เสมอ เมอื่ ฤดแู ละปีหมนุ เวยี นไม่สม�่ำเสมอ ลมย่อมพัดไม่สม่ำ� เสมอ เมื่อลม พดั ไม่สมำ่� เสมอ ลมกเ็ ดนิ ผดิ ทางไม่สมำ่� เสมอย่อมพดั เวยี นไป เมอ่ื ลมเดนิ ผดิ ทางไม่ สมำ่� เสมอพัดเวียนไป เทวดาย่อมก�ำเริบ 1 เม่ือเทวดาก�ำเริบฝนย่อมไม่ตกต้องตาม ฤดูกาล เม่ือฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกัน มนุษย์ผู้ บรโิ ภคขา้ วทสี่ กุ ไมเ่ สมอกนั ยอ่ มเปน็ ผมู้ อี ายนุ อ้ ย มผี วิ พรรณเศรา้ หมอง มกี �ำลงั นอ้ ย 1 ธรรมิกสตู ร, อังคุตตรนกิ าย จตกุ กนบิ าต, มก. เล่ม 35 ข้อ 70 หน้า 221. 2 เทวดาก�ำเริบในท่ีน้ี หมายถงึ เทวดาไม่พอใจ หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก 100 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
มีอาพาธมาก สมัยใด พระราชาเป็นผู้ตงั้ อยู่ในธรรม สมัยน้นั แม้ข้าราชการกย็ ่อมเป็นผู้ตั้ง อยู่ในธรรม เมอื่ ข้าราชการต้ังอยู่ในธรรม สมัยน้ัน แม้พราหมณ์และคฤหบดีก็เป็นผู้ ตง้ั อยู่ในธรรม เมื่อพราหมณ์และคฤหบดตี ัง้ อยู่ในธรรม แม้ชาวนิคมและชาวชนบท กย็ อ่ มเปน็ ผตู้ ง้ั อยใู่ นธรรม เมอื่ ชาวนคิ มและชาวชนบทเปน็ ผตู้ ง้ั อยใู่ นธรรม พระจนั ทร์ และพระอาทติ ยก์ ย็ อ่ มหมนุ เวยี นสมำ่� เสมอ เมอื่ พระจนั ทรแ์ ละพระอาทติ ยห์ มนุ เวยี น สมำ่� เสมอกนั หมดู่ าวนกั ษตั รกย็ อ่ มหมนุ เวยี นสมำ่� เสมอ เมอื่ หมดู่ าวนกั ษตั รหมนุ เวยี น สม่�ำเสมอ คืนและวันก็ย่อมหมุนเวียนสม่�ำเสมอ เม่ือคืนและวันย่อมหมุนเวียน สม�ำ่ เสมอ เดอื นหนึง่ และก่ึงเดอื นก็ย่อมหมนุ เวยี นสม�ำ่ เสมอกนั เมื่อเดือนหนงึ่ และก่งึ เดอื นหมนุ เวียนสม�ำ่ เสมอ ฤดแู ละปีกย็ ่อมหมุนเวียนไป สม�ำ่ เสมอ เมื่อฤดูและปีหมุนเวยี นไปสม่ำ� เสมอกัน ลมย่อมพัดสมำ่� เสมอ เมอื่ ลมพดั สม�ำ่ เสมอ ลมย่อมพดั ไปถกู ทาง เมือ่ ลมพัดไปถูกทาง เทวดาย่อมไม่ก�ำเรบิ ฝนย่อม ตกตอ้ งตามฤดกู าล เมอ่ื ฝนตกตอ้ งตามฤดกู าล ขา้ วกลา้ กส็ กุ เสมอกนั มนษุ ยผ์ บู้ รโิ ภค ข้าวกล้าทส่ี กุ เสมอกันย่อมมอี ายุยืน มผี วิ พรรณดี มกี �ำลงั และมีอาพาธน้อยฯ จากพระด�ำรสั ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในพระสตู รน้ี ชใี้ หเ้ หน็ อยา่ งชดั เจนวา่ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ซง่ึ จดั อยู่ในพชี นยิ าม ส่งผลต่อสภาพดนิ ฟ้าอากาศอนั เป็นส่วน ของอุตุนิยามด้วย และเมื่อสภาพดินฟ้าอากาศเหล่าน้ันเปล่ียนแปลงไปในทางเสื่อม ก็จะส่งผลมาถงึ มนุษย์ด้วย คือ เป็นเหตใุ ห้สุขภาพของมนุษย์เสอ่ื มถอยลง ความหมายของธรรมนยิ ามในนัยที่ 2 นี้ หากพิจารณาดใู ห้ดีจะพบว่า มคี วาม หมายสอดคลอ้ งกบั ความหมายนยั ที่ 1 คอื เปน็ เรอื่ งของเหตแุ ละผลนนั่ เอง เพยี งแต่ ในบางเร่ืองเราไม่อาจท�ำความเข้าใจโดยวิธีการคิด เช่น การประสูติของพระบรม- โพธสิ ตั วส์ ง่ ผลใหเ้ กดิ แผน่ ดนิ ไหวไดอ้ ยา่ งไร แตจ่ ะรไู้ ดด้ ว้ ยการปฏบิ ตั ธิ รรมจนบงั เกดิ ญาณทัสสนะ ก็จะพบว่าสิ่งนี้เป็นแบบแผนอย่างหนึ่งของพระบรมโพธิสัตว์ทุก พระองค์ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 101 หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
หลกั ธรรมส�ำ คญั ในพระไตรปฎิ ก 102 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
บทท่ี 5 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก ค�ำสอนในพระไตรปิฎกเน้นเร่ืองมนษุ ยศาสตร์เป็นหลัก เพราะจากทก่ี ล่าวใน บทท่ี 4 นั้นจะเห็นว่า โดยสรุปแล้วค�ำสอนทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี 3 ประการ คอื ศลี สมาธิ ปัญญา เรียกว่า ไตรสิกขา อนั เป็นหลกั การด�ำเนนิ ชวี ิตใน วฏั สงสารของมนษุ ย์ โดยมเี ป้าหมายสงู สดุ คอื พระนิพพาน 5.1 ภาพรวมมนษุ ยศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก เนอ้ื หาในบทนก้ี ลา่ วถงึ เรอื่ งประวตั ศิ าสตรโ์ ลกและมนษุ ยชาติ โดยอา้ งองิ ขอ้ มลู จากอัคคัญญสูตรและจักกวัตติสูตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญและความเส่ือม ตง้ั แต่ยคุ แรกท่โี ลกและมนุษย์มีความเจริญสงู สุดแล้วค่อย ๆ เสื่อมลงเร่อื ย ๆ ไป จนถึงจุดต�่ำสุด จากน้ันโลกและมนุษย์ก็จะค่อย ๆ เจริญกลับข้ึนใหม่อีกครั้งหนึ่ง www.kalyanamitra.org
จนถงึ จุดสงู สดุ แล้วจะค่อย ๆ เสือ่ มลงอกี เป็นวัฏจักรหมนุ เวียนอยู่อย่างน้มี าอย่าง ยาวนานแล้ว สาเหตแุ ห่งความเส่ือมเกิดจากมนุษย์ประพฤติอกศุ ลธรรม ส่วนความ เจริญเป็นผลมาจากมนุษย์ละเว้นอกศุ ลธรรม ประพฤตเิ ฉพาะกุศลธรรม เมอื่ ผู้อ่าน ไดท้ ราบภาพรวมความเปน็ มาของโลกและมนษุ ยด์ งั กลา่ วนอ้ี ยา่ งดแี ลว้ จะสง่ ผลใหม้ ี ความเข้าใจเร่อื งมนุษยศาสตร์และสรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎกได้ง่ายข้ึน นอกจากนี้ยังกล่าวถงึ ตวั มนุษย์ว่าประกอบด้วย 2 ส่วน คอื ร่างกายกบั จิตใจ โดยจติ ใจมคี วามส�ำคญั ในฐานะเปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาให้รา่ งกายท�ำสงิ่ ต่าง ๆ ปกตจิ ติ ใจ ของมนษุ ย์จะประภัสสร คอื สว่างไสว แต่เพราะมกี ิเลสมาบดบังแสงสว่างของจิตใจ จึงท�ำให้จิตใจเศร้าหมอง มองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ท�ำให้มีโอกาสคิดผิด พูดผิด และท�ำผดิ เกิดเป็นวบิ าก คอื บาปขนึ้ ในใจ และบาปนี้ก็จะรอเวลาส่งผลให้ มนษุ ย์ผู้น้ันได้รบั ความทกุ ข์ทรมานต่าง ๆ วิธกี ารแก้ไขให้จติ ใจสว่างไสว คอื สร้าง บญุ หรอื กศุ ลธรรมมาก ๆ บญุ นจ้ี ะช�ำระลา้ งกเิ ลสและบาปในใจให้เบาบางลงจนหมด ไปในท่ีสุด ปัจจัยส�ำคัญที่ท�ำให้มนุษย์ท�ำกรรมดีหรือชั่วอย่างต่อเน่ือง อันเป็นผลให้เกิด บุญหรือบาปสั่งสมอยู่ในใจในปริมาณมาก ๆ คือ นิสัย อันเป็นความประพฤติที่ เคยชิน หากมีนิสยั ทีด่ ีกเ็ ป็นเหตุให้ท�ำกรรมดีอย่างต่อเน่อื ง จงึ เกดิ บุญอย่างต่อเนอื่ ง หากมนี สิ ัยช่ัวกเ็ ป็นเหตุให้ท�ำกรรมชั่วอย่างต่อเน่ือง จงึ เกิดบาปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยนิสัยนั้นถกู บ่มเพาะขนึ้ จาก 5 ห้อง ทเ่ี ราใช้เป็นประจ�ำในชวี ิตประจ�ำวัน คือ ห้อง นอน ห้องน้ำ� ห้องครัว ห้องแต่งตัว และห้องท�ำงาน ด้วยเหตุนีห้ ากเราต้องการบ่ม เพาะนสิ ยั ทดี่ ใี หเ้ กดิ ขนึ้ กต็ อ้ งมวี ธิ กี ารใชห้ อ้ งและวธิ บี รหิ ารจดั การหอ้ งทง้ั 5 ทถ่ี กู ตอ้ ง เพอื่ ให้เป็นไปเพอื่ การบ่มเพาะนสิ ยั ทดี่ ลี ้วน ๆ วถิ ชี วี ติ ของมนษุ ย์ทกุ คนนนั้ ขนึ้ อย่กู บั กรรมทท่ี �ำ กลา่ วคอื หากท�ำความชว่ั ท�ำ สง่ิ ทเี่ ปน็ อกศุ ล กจ็ ะท�ำใหช้ วี ติ ตกตำ�่ ทงั้ ในชาตนิ แ้ี ละชาตหิ นา้ คอื เมอื่ ละโลกแลว้ กจ็ ะ มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 104 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ไปสู่อบายภูมิ ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดริ ัจฉาน ถ้าท�ำกรรมดี คือ สร้างบุญกศุ ลมาก ๆ ชวี ติ ก็จะเจริญรุ่งเรือง จะประสบความส�ำเร็จทั้งในชาตนิ ี้ ละโลกไปแล้วก็จะไปสู่สุคติ และเมอ่ื ส่ังสมบุญมากเข้าจนบุญในตวั กล่นั เป็นบารมีท่ี เตม็ เปย่ี มแลว้ กจ็ ะขจดั กเิ ลสในตวั ไดห้ มดสน้ิ บรรลพุ ระนพิ พานอนั เปน็ เปา้ หมายชวี ติ สูงสดุ ของมนษุ ย์และสรรพสัตว์ทงั้ หลาย การได้เกิดเป็นมนุษย์มีความส�ำคัญมากในฐานะท่ีสร้างบุญบารมีได้มากและ สะดวกที่สุด แม้เกิดเป็นเทวดาก็สร้างบุญบารมีได้ไม่สะดวกเหมือนมนุษย์ เพราะ เทวดาเป็นกายละเอยี ด เป็นชว่ งการเสวยผลบญุ สามารถสรา้ งความดไี ด้เหมอื นกนั แตผ่ ลจะไมแ่ รงเหมอื นมนษุ ยซ์ ง่ึ เปน็ กายหยาบ ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทกุ ๆ พระองค์จะตรสั รู้ธรรมในสภาวะเป็นกายมนษุ ย์เท่านน้ั ชาวสวรรค์อยู่ได้ด้วยอ�ำนาจบุญของตัวเอง ทิพยสมบัติเกิดขึ้นด้วยบุญท่ีตน ท�ำในสมยั เป็นมนษุ ย์ เทวดาทง้ั หลายจงึ ไม่อาจจะแบ่งทพิ ยสมบตั ขิ องตนเพอื่ ให้ทาน แก่เทวดาท่านอนื่ ได้เพราะเป็นของเฉพาะตน ส�ำหรบั สัตว์ดิรจั ฉาน และสัตว์นรก ยิ่ง สรา้ งบญุ บารมยี ากเขา้ ไปอกี เพราะก�ำลงั เสวยวบิ ากกรรมชวั่ ทเี่ คยท�ำไวส้ มยั เปน็ มนษุ ย์ แม้แต่ค�ำว่าบุญยังแทบไม่รู้จักด้วยซ้�ำไป ในบทนจ้ี ะไมม่ กี ารเปรยี บเทยี บเนอื้ หากบั ศาสตรท์ างโลก เพราะวา่ หลกั ค�ำสอน ในพระพุทธศาสนาจัดอยู่ในหมวดวิชามนุษยศาสตร์อยู่แล้ว 5.2 ประวตั ศิ าสตรโ์ ลกและมนษุ ยชาติ เพอื่ ใหเ้ หน็ ภาพรวมของประวตั ศิ าสตรโ์ ลกและมนษุ ยชาตไิ ดช้ ดั เจนขน้ึ จงึ แบง่ ยุคของโลกและมนษุ ย์ออกเป็น 3 ยคุ คือ โลกและมนุษย์ในยคุ แรก โลกและมนุษย์ ในยคุ กลาง และโลกและมนุษย์ในยคุ สุดท้าย ดงั นี้ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 105 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1.) โลกและมนุษย์ในยคุ แรก พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าตรสั ว่า โลกท่เี ราอาศัยอยู่น้จี ะไม่ตงั้ อยู่ดังเดิมตลอดไป แต่มีการเกิดข้นึ ตั้งอยู่ และพนิ าศไป จะหมนุ เวียนเช่นน้ไี ปเรื่อย ๆ ดังพระด�ำรัสว่า “สมยั บางครง้ั บางคราว โดยลว่ งระยะเวลายดื ยาว โลกนจี้ ะพนิ าศ เมอื่ โลกพนิ าศแลว้ มนษุ ย์โดยมากจะไปเกดิ ในช้นั อาภสั สรพรหม เป็นผู้ส�ำเรจ็ ทางใจ มีปีตเิ ป็นอาหาร มี รศั มีซ่านออกจากร่างกาย สญั จรไปได้ในอากาศ จะอาศยั อยู่ในวิมานอนั งามในภพ นน้ั เปน็ เวลานานแสนนาน ตอ่ มาเมอื่ โลกนก้ี ลบั เจรญิ ขนึ้ อกี ครง้ั พรหมเหลา่ นน้ั พากนั จตุ จิ ากชนั้ อาภสั สรพรหมลงมาอาศยั อยบู่ นโลก จะอยใู่ นวมิ านอนั งาม มนษุ ยย์ คุ แรก นน้ั เปน็ ผสู้ �ำเรจ็ ทางใจ มปี ตี เิ ปน็ อาหาร มรี ศั มซี า่ นออกจากรา่ งกาย สามารถสญั จรไป มาในอากาศได้ เป็นอยู่อย่างนเ้ี ป็นเวลายาวนาน” จักรวาลและอาหารในยุคแรก ในยคุ แรกนั้นจักรวาลทั้งสิน้ เป็นน�ำ้ มืดมนมองไม่เหน็ อะไร ยงั ไม่มดี วงจนั ทร์ และดวงอาทติ ย์ ดวงดาวทั้งหลายกย็ งั ไม่ปรากฏ กลางวนั กลางคนื ก็ยงั ไม่มี การ ก�ำหนดเวลาวา่ เดอื นหนงึ่ กงึ่ เดอื นกย็ งั ไมม่ ี ฤดแู ละปกี ย็ งั ไมม่ ี เพศชายและเพศหญงิ ก็ยังไม่ปรากฏ มนษุ ย์ทัง้ หลาย ถงึ ซง่ึ อนั นับเพยี งว่า “มนุษย์” เท่าน้ัน เมื่อกาลเวลา ผ่านมายาวนาน เกดิ ง้วนดนิ ลอยอยู่บนนำ้� ง้วนดินนัน้ มสี ีคล้ายเนยใส หรอื เนยข้น อย่างดี มกี ลิน่ มรี สอร่อยดจุ รวงผึง้ ต่อมามมี นุษย์ผู้หน่งึ เป็นคนหยาบพดู ว่า นีค่ ือ อะไร แล้วเอานวิ้ ช้อนง้วนดนิ ขนึ้ ลองลม้ิ ดู ง้วนดนิ ได้ซาบซ่านเข้าไปในร่างกาย เขาจงึ เกดิ ตณั หา คอื ความอยากขน้ึ และมนษุ ยพ์ วกอน่ื กพ็ ากนั กระท�ำตามอยา่ งมนษุ ยน์ นั้ ด้วยการปั้นง้วนดนิ ให้เป็นค�ำ ๆ ด้วยมอื แล้วบริโภค ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ ท�ำใหร้ ศั มกี ายของมนษุ ยเ์ หลา่ นนั้ หายไป แลว้ ดวงจนั ทรแ์ ละดวง อาทติ ยก์ ป็ รากฏ ดวงดาวทงั้ หลายกป็ รากฏ กลางคนื และกลางวนั กป็ รากฏ เดอื นหนงึ่ และกง่ึ เดอื นกป็ รากฏ ฤดแู ละปกี ป็ รากฏดว้ ย มนษุ ยเ์ หลา่ นนั้ พากนั บรโิ ภคงว้ นดนิ อยู่ มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 106 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
เปน็ เวลายาวนาน เพราะการบรโิ ภคงว้ นดนิ นนั้ ท�ำใหม้ นษุ ยม์ รี า่ งกายแขง็ กลา้ ขนึ้ ทกุ ที ผิวพรรณของมนุษย์เหล่านั้นก็แตกต่างกัน มนุษย์พวกท่ีมีผิวพรรณงามนั้นก็มีการ ถือตัวพากันดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรรณไม่งามเพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นเหตุ ง้วนดินจึงหายไป ต่อมาก็เกิดมีกระบิดินขึ้นแทน มนุษย์เหล่าน้ันพากันบริโภคกระบิดินอยู่เป็น เวลายาวนาน เพราะการบรโิ ภคกระบดิ นิ นนั้ ท�ำใหม้ รี า่ งกายแขง็ กลา้ ขน้ึ ทกุ ที ผวิ พรรณ ก็แตกต่างกัน พวกที่มีผิวพรรณงามน้นั กม็ กี ารถือตัวพากนั ดหู มิน่ พวกทมี่ ผี ิวพรรณ ไม่งาม เพราะทะนงตัวปรารภผวิ พรรณเป็นเหตุ กระบดิ นิ จงึ หายไป ตอ่ มากเ็ กดิ มเี ครอื ดนิ ขน้ึ แทน มนษุ ยเ์ หลา่ นนั้ พากนั บรโิ ภคเครอื ดนิ อยเู่ ปน็ เวลา ยาวนาน เพราะการบรโิ ภคเครอื ดนิ นน้ั ท�ำใหม้ รี า่ งกายแขง็ กลา้ ขนึ้ ทกุ ที ผวิ พรรณกแ็ ตก ต่างกนั พวกท่มี ผี วิ พรรณงามน้นั ก็มีการถือตวั พากนั ดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรรณไม่งาม เพราะทะนงตวั ปรารภผวิ พรรณเปน็ เหตุ เครอื ดนิ จงึ หายไป ตอ่ มาเกดิ ขา้ วสาลขี น้ึ แทน เกดิ ขน้ึ เองโดยไมต่ อ้ งปลกู เป็นข้าวไม่มรี �ำ ไมม่ แี กลบ ขาวสะอาด กลนิ่ หอม มเี มลด็ เป็นข้าวสาร ตอนเช้าเขาพากนั ไปน�ำเอาขา้ วสาลใี ดมาเพอ่ื บรโิ ภคในเวลาเช้า ตอนเยน็ ข้าวสาลีชนิดน้ันท่มี ีเมลด็ สกุ แล้วกง็ อกข้นึ แทนท่ี ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย การสร้างเรือนและปักปันเขตแดน เหลา่ มนษุ ยไ์ ดบ้ รโิ ภคขา้ วสาลอี ยเู่ ปน็ เวลายาวนาน จงึ มรี า่ งกายแขง็ กลา้ ขนึ้ กวา่ เดิม มีผิวพรรณแตกต่างกนั ยิ่งขน้ึ และเกดิ เพศหญิงและเพศชายขนึ้ สตรกี ไ็ ด้เพ่งดู บรุ ษุ และบรุ ษุ กเ็ พง่ ดสู ตรี ท�ำใหเ้ กดิ ความก�ำหนดั ขนึ้ จงึ มกี ารเสพเมถนุ ธรรมกนั พวก ท่ีเสพเมถนุ ธรรมกันจะไม่เป็นที่ยอมรับของหมู่คณะ จึงต้องสร้างเรือนขึ้นเพื่อก�ำบัง ไม่ให้ใครเหน็ การกระท�ำนัน้ ต่อมามีมนุษย์ผู้หนึ่งเกดิ ความเกยี จคร้านขึน้ จงึ เกบ็ ข้าวสาลมี าไว้เพอื่ บริโภค ทง้ั เช้าท้ังเยน็ ในคราวเดยี ว เหล่ามนุษย์อื่นกถ็ ือตามแบบอย่างนัน้ บ้าง พากนั ไปเก็บ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 107 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ขา้ วสาลมี าสะสมไวเ้ พอ่ื บรโิ ภคกนั มากขนึ้ ตามล�ำดบั ดว้ ยเหตนุ ขี้ า้ วสาลจี งึ งอกขนึ้ ไมท่ นั บางแห่งก็ไม่งอกข้ึนอกี และมคี ุณภาพต�่ำลง คือ กลายเป็นข้าวมีร�ำห่อเมลด็ บ้าง มี แกลบหมุ้ เมลด็ บา้ ง มนษุ ยเ์ หลา่ นนั้ จงึ ไดต้ กลงกนั วา่ พวกเราควรมาแบง่ ขา้ วสาลแี ละ ปักปันเขตแดนกันเสยี เถิด การก�ำเนดิ กษตั ริย์และการปกครอง เมอ่ื ปกั ปนั เขตแดนแบง่ ขา้ วสาลกี นั แลว้ มนษุ ยผ์ หู้ นง่ึ เปน็ คนโลภ ไดส้ งวนสว่ น ของตนไว้ ไปเก็บเอาในส่วนของผู้อื่นมาบริโภค การขโมยจงึ ปรากฏ การติเตยี นจึง ปรากฏ การกล่าวเท็จจึงปรากฏ การทบุ ตีด้วยท่อนไม้จึงปรากฏ พวกมนุษย์ที่เป็น ผใู้ หญจ่ งึ ประชมุ ปรบั ทกุ ขก์ นั และตกลงกนั วา่ จะสมมตุ มิ นษุ ยผ์ หู้ นง่ึ ใหเ้ ปน็ ผวู้ า่ กลา่ ว ผู้ท่ีควรว่ากล่าว ให้เป็นผู้ติเตียนผู้ท่ีควรติเตียน ให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ท่ีควรขับไล่ ส่วน พวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น ด้วยเหตุนอี้ กั ขระว่า มหาสมมติ จงึ อุบตั ขิ ้นึ เป็นอันดบั แรกและอกั ขระว่า กษัตริย์ กอ็ ุบตั ิขนึ้ เป็นอนั ดับสอง และอกั ขระว่า ราชา ก็อุบตั ิขึ้นเป็นอันดบั ทส่ี าม ต่อมามนุษย์บางจ�ำพวกคิดว่า บาปธรรมเกิดขึ้นแล้วแก่มนุษย์ทั้งหลายท่ี ลกั ขโมย กล่าวเท็จ และทบุ ตีผู้อ่ืนด้วยท่อนไม้ เป็นต้น ดังนั้นพวกเราควรไปลอย อกุศลธรรมท่ชี ว่ั ช้ากันเถดิ อกั ขระว่า พวกพราหมณ์ จึงอุบัตขิ ้ึน ส่วนบรรดามนุษย์ บางจ�ำพวกทย่ี ึดมน่ั ในเมถุนธรรม จึงพากนั ประกอบอาชพี การงานต่าง ๆ อกั ขระว่า แพศย์ จงึ อบุ ตั ขิ น้ึ เหลา่ มนษุ ยท์ เ่ี หลอื ประพฤตติ นโหดรา้ ย ท�ำงานตำ�่ ตอ้ ย ค�ำวา่ ศทู ร จงึ เกิดขน้ึ ต่อมากษตั ริย์บ้าง พราหมณ์บ้าง แพศย์บ้าง ศทู รบ้าง ต�ำหนิธรรมของตน จึงได้ออกจากเรือนมาบวชเป็นบรรพชิต ด้วยประสงค์ว่า เราจักเป็นสมณะ ค�ำว่า สมณะ จึงเกิดขึน้ ตง้ั แต่นัน้ เป็นต้นมา พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั ถงึ ประวตั คิ วามเป็นมาของโลกและมนษุ ยชาตไิ วใ้ น อคั คญั ญสตู รเพยี งเทา่ น้ี ซงึ่ ทกี่ ลา่ วมานจี้ ดั วา่ เปน็ โลกและมนษุ ยใ์ นยคุ แรก ในยคุ แรก มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 108 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
นี้อายุของมนุษย์จะยืนมาก คอื เป็นอสงขัยปีทีเดียว แต่เมือ่ มนุษย์ท�ำอกุศลกรรม ดว้ ยการดหู มน่ิ กนั บา้ ง ลกั ขโมยบา้ ง อายขุ องมนษุ ยก์ จ็ ะลดลงมาเรอ่ื ย ๆ สงิ่ แวดลอ้ ม ทุกด้าน เช่น อาหาร เป็นต้น ก็จะเส่ือมคณุ ภาพลงมาเร่ือย ๆ เมื่ออายขุ องมนุษย์ลด ลงจนถึง 80,000 ปี พระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า “ทัฬหเนม”ิ มาบังเกดิ ขนึ้ ซงึ่ พระ- สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องน้ีไว้ในจักกวัตติสูตร เน้ือหาในพระสูตรน้ีผู้เขียนแบ่งยุค ออกเป็น 2 ยคุ คอื ยคุ กลางและยุคสุดท้าย ดังน้ี 2.) โลกและมนุษย์ในยุคกลาง พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั วา่ พระเจา้ จกั รพรรดทิ ฬั หเนมิ เปน็ ผทู้ รงธรรมครอง ราชย์โดยธรรม ปกครองทวปี ทั้ง 4 สมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ มพี ระราชโอรส มากกว่า 1,000 องค์ ซงึ่ ล้วนแต่กล้าหาญ พระองค์ทรงชนะกษัตรยิ ์เหล่าอืน่ ได้โดย ธรรม ชนะได้โดยไม่ต้องสู้รบให้เกิดการนองเลอื ดแต่อย่างใด เมอื่ เวลาลว่ งเลยไปหลายรอ้ ยปี หลายพนั ปี จกั รแกว้ ถอยเคลอื่ นจากทต่ี งั้ ทา้ ว เธอทรงรวู้ า่ จะมพี ระชนมอ์ ยไู่ ดไ้ มน่ าน จงึ มอบราชสมบตั ใิ หแ้ กพ่ ระราชโอรสองคใ์ หญ่ แล้วทรงโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต ตาม ธรรมเนยี มทมี่ มี าตงั้ แต่ยคุ แรก เมอ่ื พระราชาผนวชได้ 7 วนั จกั รแก้วกไ็ ดอ้ นั ตรธาน ไป เมอื่ จกั รแกว้ อนั ตรธานไปแลว้ พระราชาองคใ์ หมจ่ งึ เสดจ็ เขา้ ไปหาพระราชฤาษี ผู้เป็นพระราชบิดา แจ้งเร่ืองนั้นให้ทราบ พระราชฤาษีจึงตรัสว่า “เม่ือจักรแก้ว อนั ตรธานไปแลว้ เจา้ อยา่ เสยี ใจไปเลย ดว้ ยวา่ จกั รแกว้ หาใชม่ รดกสบื มาจากบดิ าของ เจ้าไม่ ขอให้เจ้าประพฤติจกั รวรรดวิ ัตรเถดิ และในวันอุโบสถ 15 ค่ำ� ให้สนานพระ- เศียร รักษาอุโบสถ ประทับอยู่ชั้นบนประสาท จักรแก้วกจ็ ักปรากฏขน้ึ อกี ครั้ง” สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 109 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
จักรวรรดวิ ตั ร ธรรมส�ำหรบั ผู้ปกครอง พระราชฤาษีจึงตรัสบอกจักรวรรดิวัตรแก่พระราชาองค์ใหม่ว่า “ลูกจงอาศัย ธรรม สกั การธรรม เคารพธรรม นบั ถอื ธรรม บชู าธรรม นอบนอ้ มธรรม มธี รรมเปน็ ธงชัย มีธรรมเป็นยอด มีธรรมเป็นใหญ่ จงจัดการรักษาป้องกันและคุ้มครองชน ภายใน ก�ำลงั พล พวกกษัตรยิ ์ผู้ตามเสดจ็ พราหมณ์และคหบดี ชาวนิคมและชาว ชนบท สมณพราหมณ์ สตั วจ์ �ำพวกเนอื้ และนกโดยธรรม การกระท�ำสงิ่ ทผ่ี ดิ แบบแผน อย่าได้เป็นไปในแว่นแคว้นของลูก อน่ึง บุคคลเหล่าใด ในแว่นแคว้นของลูกไม่มี ทรัพย์ ลูกพงึ ให้ทรัพย์แก่บคุ คลเหล่านั้น อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดประพฤติดี ลกู พึงเข้าไปหาตามกาลอันควรแล้ว ไตถ่ ามวา่ “ทา่ นขอรบั อะไรเปน็ กศุ ล อะไรเปน็ อกศุ ล อะไรมโี ทษ อะไรไมม่ โี ทษ” ครนั้ ลกู ไดฟ้ งั จากสมณพราหมณเ์ หลา่ นน้ั แลว้ สงิ่ ใดเปน็ อกศุ ล พงึ ละเวน้ สงิ่ นน้ั สงิ่ ใดเปน็ กศุ ล พึงยึดถือประพฤตสิ ่งิ น้ันให้มัน่ จกั รวรรดวิ ัตรน้นั เป็นอย่างน้”ี ศีล 5 หลักธรรมส�ำหรับประชาชน เมื่อพระราชาองค์ใหม่ทรงประพฤติจักรวรรดิวัตร และปฏิบัติตามพระด�ำรัส ของพระราชฤาษแี ลว้ จกั รแกว้ กเ็ กดิ ขน้ึ อกี ครง้ั ทา้ วเธอทรงลกุ จากทป่ี ระทบั พระหตั ถ์ ซ้ายทรงจบั พระเต้าทอง พระหัตถ์ขวาทรงชูจักรแก้วขึน้ ตรสั ว่า “จกั รแก้วจงหมุนไป จงไดร้ บั ชยั ชนะอนั ยง่ิ ใหญ”่ ทนั ใดนน้ั จกั รแกว้ จงึ หมนุ ไปทางทศิ ตะวนั ออก ทา้ วเธอ พรอ้ มด้วยกองทพั 4 เหล่าเสดจ็ เข้าไปในประเทศใด พระราชาในประเทศนนั้ กพ็ ากนั มาเฝ้าแล้วกราบทูลว่า “ทรงโปรดเสด็จมาเถิด ราชสมบัติของหม่อมฉันเป็นของ พระองค์ โปรดประทานพระราโชวาทเถดิ พระเจ้าข้า” ท้าวเธอจงึ ตรสั ว่า “พวกท่านไม่พงึ ฆ่าสัตว์ ไม่พงึ ลักทรพั ย์ ไม่พงึ ประพฤติผดิ ในกาม ไมพ่ งึ พดู ค�ำเทจ็ และไมพ่ งึ ดมื่ นำ้� เมา” และตรสั อกี วา่ จงครองราชสมบตั ติ าม มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 110 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เดิมเถิด จากน้ันจักรแก้วก็หมุนพาพระเจ้าจักรพรรดิไปในทิศอ่ืน ๆ ท้าวเธอก็ได้ ประทานพระราโชวาทแก่พระราชาในประเทศต่าง ๆ ให้รักษาศลี 5 เช่นกัน พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ 2 น้ีทรงครองราชย์โดยธรรม คือ ประพฤติตาม จกั รวรรดิวตั ร และทรงให้ประชาชนในปกครองด�ำรงอยู่ในศลี 5 สบื ต่อมายาวนาน เมอ่ื ถงึ วยั ชรากเ็ สดจ็ ออกบวช และมอบราชสมบตั ใิ หแ้ กพ่ ระราชโอรสองคใ์ หญ่ ซง่ึ ตอ่ มาก็ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดอิ งค์ที่ 3 ผู้ปกครองแผ่นดินโดยธรรมสืบต่อมาเช่นกัน และการปกครองก็สืบเรื่อยมาอย่างน้ีจนถึงสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ 7 พระราชาพระองค์นี้ก็เป็นผู้ปกครองแผ่นดินโดยธรรม เมื่อพระองค์ย่างเข้าสู่วัยชรา จงึ มอบราชสมบตั ใิ หแ้ กพ่ ระราชโอรสองคใ์ หญ่ สว่ นพระองคก์ อ็ อกบวชเปน็ บรรพชติ เมือ่ พระราชาผนวชได้ 7 วนั จกั รแก้วกไ็ ด้อันตรธานไป ความเสื่อมในยุคพระราชาพระองค์ที่ 8 เมือ่ จักรแก้วได้อนั ตรธานไปแล้ว พระราชาองค์ท่ี 8 ทรงเสยี พระทยั แต่ไม่ได้ เสดจ็ เขา้ ไปหาพระราชฤาษที ลู ถามถงึ จกั รวรรดวิ ตั ร ทา้ วเธอทรงปกครองประชาราษฎร์ ตามมติของพระองค์เอง ประชาราษฎร์จงึ ไม่เจรญิ เหมือนเมือ่ คร้ังที่กษตั รยิ ์พระองค์ ก่อน ๆ ซ่ึงได้ทรงประพฤติจักรวรรดิวตั รและปกครองบ้านเมืองอยู่ เหลา่ ขา้ ราชการจงึ กราบทลู พระราชาวา่ พวกขา้ พระองคจ์ ดจ�ำจกั รวรรดวิ ตั รได้ และได้กราบทูลให้พระราชาทราบว่าจักรวรรดิวัตรมีอะไรบ้าง ตั้งแต่นั้นพระราชาจึง ปกครองประชาราษฎร์โดยธรรม แต่พระองค์ไม่ได้พระราชทานทรัพย์แก่คนท่ีไม่มี ทรัพย์ ด้วยเหตุนีค้ วามขัดสนจงึ แพร่หลาย จงึ มกี ารลกั ขโมยเกิดข้ึน ราชบุรษุ จบั ได้ จงึ น�ำมาไต่สวนพบสาเหตวุ ่า ขโมยเพราะไม่มที รัพย์ พระราชาจงึ พระราชทานทรพั ย์ ให้ ตอ่ มามคี นลกั ขโมยของผอู้ นื่ มากขนึ้ และถกู จบั ไดอ้ กี พระราชากท็ รงพระราชทาน ทรัพย์ให้อกี สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 111 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ข่าวลือกันไปว่าถ้าใครลักทรัพย์พระราชาก็จะพระราชทานทรัพย์ให้ คนจึง ปรารถนาจะลักทรัพย์กันมากข้ึน เม่ือพระราชาทรงทราบจึงด�ำริว่า หากพระองค์ พระราชทานทรพั ย์แก่พวกลกั ขโมยต่อไป พวกคนทลี่ กั ขโมยจะมมี ากขนึ้ ด้วยเหตนุ ี้ พระองคจ์ งึ สง่ ราชบรุ ษุ ไปจบั มดั ตวั พวกคนทข่ี โมยเหลา่ นนั้ ใหโ้ กนศรี ษะ พาตระเวน ไปตามถนนและตรอก พร้อมตีกลอง แล้วน�ำเขาไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ เมอ่ื ประชาชนทราบข่าวนน้ั จงึ พากนั สร้างอาวธุ ขนึ้ คดิ ว่า เมอื่ ลกั ขโมยทรพั ย์แล้วกจ็ ะ ตัดศีรษะเจ้าของทรัพย์บ้าง ด้วยเหตุน้ีจึงเกิดการปล้นบ้าน ปล้นนิคมและปล้น พระนครขึ้นอย่างแพร่หลาย พวกโจรพากันจับเจ้าของทรัพย์ที่ขัดขืนตัดศีรษะเสีย จ�ำนวนมาก อายุมนุษย์ลดลงเพราะไม่ต้งั อยู่ในศีลธรรม เมื่อพระมหากษัตรยิ ์ไม่พระราชทานทรพั ย์ให้แก่คนท่ไี ม่มีทรัพย์ ความขดั สน กแ็ พรห่ ลาย การลกั ขโมยจงึ แพรห่ ลาย การใชอ้ าวธุ จงึ แพรห่ ลาย การฆา่ จงึ แพรห่ ลาย อายุ ผิวพรรณ วรรณะของมนุษย์ก็เร่ิมเสื่อมลง จากเดิมมนุษย์ยุคนั้นมีอายุ 8 หมน่ื ปี บตุ รจะมอี ายเุ พยี ง 4 หมน่ื ปแี ละลดลงเรอื่ ย ๆ ตอ่ มาการพดู เทจ็ แพรห่ ลาย บตุ รของมนษุ ย์ที่มอี ายุขัย 4 หมืน่ ปีกม็ อี ายเุ พยี ง 2 หม่ืนปี ต่อมาการพดู ส่อเสียดก็ แพร่หลาย บตุ รของมนษุ ย์ทม่ี อี ายุขยั 2 หมืน่ ปีก็มีอายุเพียง 1 หมื่นปี ต่อมาการ ประพฤติผิดในกามก็แพร่หลาย บุตรของมนุษย์ท่ีมีอายุขัย 1 หม่ืนปีก็มีอายุเพียง 5,000 ปี ต่อมาการพูดค�ำหยาบและพูดเพ้อเจ้อก็แพร่หลาย บุตรของมนุษย์ที่มี อายขุ ัย 5,000 ปีก็มอี ายเุ พียง 2,500 ปี บางพวกกเ็ หลือ 2,000 ปี ต่อมาอภิชฌา คอื โลภอยากได้ของคนอ่นื และพยาบาทปองร้ายก็แพร่หลาย บตุ รของมนษุ ย์ที่มอี ายุขยั 2,500 ปีก็มีอายุเพยี ง 1,000 ปี ต่อมามจิ ฉาทิฏฐิกแ็ พร่ หลาย บตุ รของมนษุ ยท์ ม่ี อี ายขุ ยั 1,000 ปกี ม็ อี ายเุ พยี ง 500 ปี ตอ่ มาธรรม 3 ประการ คอื ความก�ำหนดั ทผ่ี ดิ ธรรม (ไมเ่ ลอื กวา่ เปน็ แม่ ปา้ นา้ อา เปน็ ตน้ ) ความโลภรนุ แรง ความก�ำหนัดผิดธรรมชาติ (พอใจในชายกับชาย และหญิงกับหญิง) ก็แพร่หลาย มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 112 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
บุตรของมนุษย์ท่ีมีอายุขัย 500 ปีก็มีอายุเพียง 250 ปี บางพวกก็เหลืออายุเพียง 200 ปี จากที่กล่าวมาน้ี คอื ยุคกลางซ่ึงเป็นยุคทโ่ี ลกและมนุษย์เส่อื มลงมาเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อน คนมีอายุ 80,000 ปี กล็ ดลงมาจนเหลอื เพยี ง 250 ปี บางพวกกม็ อี ายุ เพยี ง 200 ปี ตอ่ ไปจะกลา่ วถงึ โลกและมนษุ ยใ์ นยคุ สดุ ทา้ ยซงึ่ จะเปน็ ยคุ ทเี่ สอื่ มจนถงึ ที่สุดและกลบั เจริญขึน้ อีกคร้งั 3.) โลกและมนุษย์ในยุคสดุ ท้าย ในยุคนีอ้ กุศลธรรมเพม่ิ มากข้นึ เรอ่ื ย ๆ คอื การไม่เกื้อกลู ในบดิ า มารดา ใน สมณะ ในพราหมณ์ การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกลุ ก็แพร่หลาย บุตรของมนษุ ย์ ทม่ี ีอายุขยั 250 ปีกม็ อี ายุเพยี ง 100 ปี อกุศลธรรมในยุคน้กี ็จะเพมิ่ มากขึน้ ท�ำให้ อายุและวรรณะของมนุษย์เสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมนุษย์มีอายุขัย เหลือเพยี ง 10 ปี หญงิ สาวอายุ 5 ปี ก็มีสามีได้ อาหารทเ่ี ลศิ ท่ีสดุ ในสมยั นี้ คือ หญ้า กับแก้ 1 ยุคนีก้ ุศลกรรมบถ 10 จักหายไปหมดส้นิ อกศุ ลกรรม 10 จกั รุ่งเรือง ผู้คน จะไม่มจี ิตคิดเคารพย�ำเกรงว่า มารดา บิดา น้า ป้า อา ภรยิ าของอาจารย์ ภรยิ าของ ครู โลกจะเจอื ปนกนั เหมอื นสตั ว์ เชน่ แพะ ไก่ แกะ สกุ ร จกั มคี วามอาฆาต พยาบาท มุ่งร้ายกัน คดิ ฆ่ากนั อย่างรนุ แรง แม่คิดต่อลูก ลูกคิดต่อแม่ เป็นต้น ในยุคนี้จะเกิดสัตถันตรกัป คือ กัปที่โลกพินาศเพราะคนฆ่าฟันกันตายใน 7 วนั กลา่ วคอื คนจะฆา่ กนั และกนั เพราะคดิ วา่ เปน็ สตั ว์ แตจ่ ะมคี นกลมุ่ หนง่ึ สลดสงั เวช ในการฆ่ากันเอง จึงหนีไปอยู่ในป่าดง ใช้รากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีพ อยู่ตลอด 7 วนั เม่ือพ้น 7 วันแล้ว พวกเขาพากนั ออกจากป่าดง แล้วต่างสวมกอด 1 หญา้ กบั แก้ เปน็ ธญั ชาตชิ นดิ หนงึ่ ในธญั ชาติ 7 ชนดิ คอื ขา้ วสาล,ี ขา้ วเปลอื ก, ขา้ วเหนยี ว, ขา้ วละมาน, ข้าวฟ่าง, ลกู เดือย และหญ้ากบั แก้. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 113 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
กนั และกนั ดใี จรา่ เรงิ ทร่ี อดชวี ติ จงึ ตง้ั ใจท�ำกศุ ลกรรม ละเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ บ�ำเพญ็ กศุ ลกรรม อายมุ นษุ ย์จึงยืนขึน้ เรื่อย ๆ จนถงึ 80,000 ปี ในยุคที่มนุษย์มีอายุ 80,000 ปีนี้เอง จะมีพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า สงั ขะ อบุ ตั ขิ น้ึ และจะมพี ระศรอี ารยิ เมตไตรยโ์ พธสิ ตั วจ์ ตุ ลิ งมาตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มา- สัมพทุ ธเจ้าเสดจ็ โปรดสตั ว์โลก จะมีผู้ตรสั รู้ธรรมตามพระองค์จ�ำนวนมาก 1 ตั้งแต่ ยคุ นเ้ี ปน็ ตน้ ไปมนษุ ยจ์ ะบ�ำเพญ็ กศุ ลธรรมยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป ซง่ึ เปน็ เหตใุ หอ้ ายแุ ละวรรณะ ของมนุษย์เจริญข้นึ เรือ่ ย ๆ จนกระท่ังมนษุ ย์มีอายถุ ึงอสงไขยปี และด�ำรงอยู่อย่าง น้ันยาวนาน จากน้ันโลกและมนุษยชาติก็จะเส่ือมลงอีก อายุของมนุษย์ก็จะลดลง เร่อื ย ๆ จนถึง 10 ปี กปั กจ็ ะพนิ าศเพราะการฆ่าฟันกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นกัป กจ็ ะเจรญิ อกี 4.) สรุปอกุศลธรรมเป็นเหตุแห่งความเสื่อม จากประวตั ศิ าสตรโ์ ลกและมนษุ ยชาตทิ กี่ ลา่ วมาทงั้ หมด จะเหน็ วา่ สาเหตทุ ท่ี �ำให้ โลกและมนุษยชาติเสื่อมลง คือ อกุศลธรรม ส่วนกุศลธรรมจะเป็นเหตุแห่งความ เจริญ สาเหตทุ ีท่ �ำให้เกดิ อกศุ ลธรรมขึน้ นนั้ มีดงั น้ี เช่น กเิ ลสในตวั มนุษย์ การคบ คนพาล ความแตกตา่ งกนั ความผดิ พลาดทางการปกครอง และความยากจน เปน็ ตน้ 4.1) กิเลสในตวั มนุษย์เป็นต้นเหตุแห่งอกุศลธรรมทัง้ หลาย กิเลสทมี่ ีอยู่ในตัวมนษุ ย์ ได้แก่ ตณั หา คือ ความอยาก การถอื ตัว ความ เกียจคร้าน ความโลภ ฯลฯ กิเลสเหล่านรี้ วมอยู่ใน 3 ตระกลู ใหญ่ คือ โลภะ โทสะ โมหะ จะเปน็ ตวั บงั คบั ใหม้ นษุ ยท์ �ำอกศุ ลกรรม ไดแ้ ก่ การฆา่ สตั ว์ การลกั ทรพั ย์ การ ประพฤตผิ ดิ ในกาม การพดู เท็จ การดหู ม่ินเหยยี ดหยามกัน เป็นต้น เมอ่ื ท�ำกุศล กรรมแล้วกจ็ ะท�ำใหต้ วั มนษุ ยเ์ องเสอ่ื มลง คอื อายขุ ยั ลดลง วรรณะเสอ่ื มลง เป็นตน้ นอกจากนโ้ี ลกยงั เสอ่ื มลงดว้ ย กลา่ วคอื สงิ่ แวดลอ้ มตา่ ง ๆ เชน่ อาหาร จะลดคณุ ภาพ 1 จักกวตั ตสิ ูตร, ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค, มก. เล่ม 15 ข้อ 33-50 หน้า 99-123 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 114 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ลง อาหารดี ๆ จะค่อย ๆ หายไป แล้วเกิดอาหารใหม่ข้นึ มาแทน ซึ่งหยาบกว่าเดิม คณุ ภาพต�ำ่ กว่าเดิม 4.2) การคบคนพาลเป็นเหตุให้อกุศลธรรมแพร่หลาย จากเนื้อเรื่องจะเหน็ ว่า มนษุ ย์ยคุ แรกจะอยู่กนั อย่างสุขสบาย มปี ีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกาย แต่จุดเปลี่ยนแปลงอยู่ที่มีมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นคนหยาบไปชิม งว้ นดนิ เขา้ แลว้ เกดิ ความอยากขน้ึ จากนนั้ กม็ มี นษุ ยอ์ นื่ ๆ ท�ำตาม ตอ่ มาเมอื่ กนิ งว้ น ดนิ มากเขา้ รศั มกี ายของมนษุ ยก์ ห็ ายไป บงั เกดิ ดวงจนั ทรแ์ ละดวงอาทติ ย์ เปน็ ตน้ ขนึ้ แทน นอกจากนก้ี ย็ งั มคี นพาลซงึ่ เปน็ ตน้ แบบทไี่ มด่ ใี นดา้ นอนื่ ๆ เกดิ ขนึ้ อกี เชน่ การ สะสมอาหาร ลกั ขโมย พดู เทจ็ เสพเมถนุ ธรรม การทบุ ตกี นั การฆา่ กนั เปน็ ตน้ เมอ่ื มตี ้นแบบเกิดขน้ึ ต่อมากม็ คี นอนื่ ท�ำตามจนแพร่หลาย ท�ำให้โลกและมนุษย์ก็เสอ่ื ม ลงเร็วขน้ึ 4.3) ความแตกตา่ งเป็นตวั กระต้นุ กเิ ลสจงึ เปน็ เหตใุ หม้ นษุ ย์ท�ำอกศุ ลธรรม จากเนอ้ื เรอื่ งจะเหน็ ว่า เมอ่ื สตั วเ์ รมิ่ มผี วิ พรรณตา่ งกนั คนมผี วิ พรรณงามกจ็ ะ ดหู มนิ่ คนมผี วิ พรรณไม่งามบ้าง หรือเมือ่ เพศชายและเพศหญิงเกดิ ขน้ึ กม็ ีการเพ่งดู กนั จงึ เปน็ เหตใุ หเ้ สพเมถนุ ธรรมกนั บา้ ง และเปน็ เหตใุ หม้ กี ารประพฤตผิ ดิ ในกาม คอื ล่วงละเมดิ ลกู เมยี ของผู้อื่นบ้าง 4.4) ความผิดพลาดทางการปกครองเป็นเหตใุ ห้มนษุ ย์ท�ำอกศุ ลธรรม จากจกั กวตั ตสิ ตู รจะเหน็ วา่ ในยคุ ของพระเจา้ จกั รพรรดพิ ระองคท์ ่ี 1-7 ทรงยดึ มนั่ ในธรรม คอื จกั รวรรดวิ ตั ร เปน็ เหตใุ หบ้ า้ นเมอื งสงบสขุ และเจรญิ รงุ่ เรอื ง แตเ่ มอื่ ถึงยุคของพระโอรสของพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ท่ี 7 ช่วงแรกพระองค์ไม่ได้ ประพฤตติ ามจกั รวรรดวิ ตั ร ปกครองประชาราษฎรต์ ามมตขิ องพระองคเ์ อง จงึ ท�ำให้ บ้านเมืองไม่เจริญ ข้าราชการจึงถวายค�ำแนะน�ำให้พระองค์ประพฤติจักรวรรดิวัตร พระองคก์ ท็ รงปฏบิ ตั ติ าม แตว่ า่ ไมไ่ ดแ้ กป้ ญั หาเรอ่ื งเศรษฐกจิ โดยพระราชทานทรพั ย์ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 115 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ใหแ้ กค่ นไมม่ ที รพั ยใ์ หเ้ ขามที นุ ในการประกอบอาชพี เปน็ เหตใุ หค้ วามขดั สนแพรห่ ลาย เมือ่ คนขัดสนไม่มีกินจงึ ผลักดนั ให้เขาจ�ำเป็นต้องท�ำอกุศลธรรมด้วยการลกั ขโมย 4.5) ความยากจนผลักดนั ให้มนุษย์ท�ำอกุศลธรรม นอกจากกเิ ลสในตวั ซงึ่ เปน็ เหตสุ �ำคญั ทก่ี ระตนุ้ ใหม้ นษุ ยท์ �ำอกศุ ลธรรมแลว้ จะ เห็นว่าความยากจนหรือความขัดสนทรัพย์นั้นก็เป็นอีกสาเหตุหน่ึงด้วย เพราะเมื่อ ยากจนไม่มอี ะไรจะเลี้ยงชีพ กต็ ้องด้นิ รนแสวงหาปัจจยั 4 มาหล่อเลยี้ งร่างกายให้ ด�ำรงอยไู่ ด้ เมอื่ ไมไ่ ดม้ าโดยชอบธรรมกต็ อ้ งหามาโดยไมช่ อบธรรม คอื การลกั ขโมย เป็นต้น ส�ำหรับกุศลธรรมที่มนุษย์ประพฤติแล้วเป็นเหตุให้โลกและมวลมนุษยชาติ เจรญิ นนั้ มีหลายประการ เช่น ศีล 5, กุศลกรรมบถ 10, จักรวรรดิวัตร เป็นต้น เมือ่ มนษุ ยย์ ดึ มน่ั ในกศุ ลธรรมเหลา่ นี้ กจ็ ะเปน็ ตน้ แบบทดี่ ใี หค้ นอนื่ ท�ำตาม และเมอื่ มกี าร ชักชวนกนั ปฏิบตั อิ ย่างแพร่หลาย กจ็ ะเป็นเหตใุ ห้อายุขัย วรรณะ ของมนษุ ย์เจรญิ ข้ึน เป็นเหตุให้สงิ่ แวดล้อมดขี นึ้ อาหารประณตี ข้ึน ท�ำให้โลกเจรญิ ขนึ้ ตามล�ำดบั 5.3 ความหมายและองค์ประกอบของชีวติ มนษุ ย์ ค�ำวา่ “มนษุ ย์” มาจากภาษาบาลวี า่ “มนสุ สฺ ” ซง่ึ มาจาก มน + อสุ สฺ “มน” แปล ว่า “ใจ” ส่วน “อสุ ฺส” แปลว่า “สูง” ค�ำว่า มนสุ ฺส หรือ มนุษย์ จึงแปลว่า “ผู้มีใจสงู ” ดังนนั้ ผู้ท่ีเป็นมนุษย์จงึ ต้องเป็นผู้มใี จสูง คือ มศี ีลธรรมในใจซึง่ จะส่งผลให้มคี วาม ประพฤตทิ ด่ี งี ามไปด้วย ชีวติ ของมนุษย์และสตั ว์ทง้ั หลายประกอบข้นึ จากขันธ์ 5 หรอื เรยี กย่อ ๆ ว่า นามและรปู ค�ำว่า ขันธ์ หมายความว่า สง่ิ ท่เี ป็นกลุ่ม เป็นกอง หรือเป็นพวก ๆ ขันธ์ 5 จงึ หมายถึง ส่ิงทปี่ ระชมุ กันเข้าเป็นหน่วยรวม ซ่งึ บญั ญตั ิเรียกว่า สัตว์ บคุ คล ตวั ตน เรา เขา สิง่ ท่ีแยกกันไว้เป็นกลุ่ม เป็นกอง หรอื เป็นพวก ๆ จ�ำนวน 5 อย่าง คอื รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ โดยรปู นั้นเรยี กว่า “รูปขันธ์” เป็น มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 116 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ส่วนของ “ร่างกาย” อกี 4 อย่าง คือ เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ เรยี กรวมว่า “นามขันธ์” เป็นส่วนของ “ใจ” รูปขันธ์ คือ ร่างกายประกอบข้ึนจากธาตุ 4 ได้แก่ ธาตุดนิ ธาตุน�้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม ธาตุดิน มีธรรมชาติเป็นของแข็ง กระด้าง ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เน้ือ เอ็น กระดกู เยื่อในกระดกู ม้าม หัวใจ ตบั พังผดื ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือธรรมชาติท่ีแข็ง ธรรมชาติทก่ี ระด้าง ความแขง็ ภาวะที่ แขง็ อืน่ ๆ ธาตุน้ำ� มคี วามเอบิ อาบ มคี วามเหนยี ว เกาะกุมรูปหรอื ธาตุดนิ เอาไว้ ได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มนั ข้น น้ำ� ตา เปลวมนั น�้ำลาย น�้ำมูก ไขข้อ มตู ร หรือ ความเอบิ อาบ ธรรมชาตทิ ่เี อิบอาบความเหนียว ธรรมชาติทเ่ี หนยี ว ธรรมชาติทเี่ กาะ กุมรูปอนื่ ๆ ธาตไุ ฟ หมายถึง ความร้อน ความอุ่น ได้แก่ ไฟที่ท�ำให้ร่างกายอบอุ่น ไฟท่ี ท�ำให้ร่างกายทรุดโทรมแก่ลง ไฟท่ีท�ำให้ร่างกายเร่าร้อน ไฟที่ท�ำให้ของกินของดื่ม ของเคยี้ วของลม้ิ ถงึ ความยอ่ ยไปดว้ ยดี หรอื ความรอ้ น ความอนุ่ ธรรมชาตทิ อี่ บอนุ่ อนื่ ๆ ธาตลุ ม หมายถงึ ความพดั ไปมา ความเคร่งตงึ แหง่ รปู ไดแ้ ก่ ลมพดั ขนึ้ เบอ้ื ง บน ลมพดั ลงเบ้ืองต่ำ� ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมศัสตรา ลมมดี โกน ลมเพกิ หวั ใจ ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก หรอื ความพดั ไปมา ความเคร่งตงึ แหง่ รปู อ่ืน ๆ นามขันธ์ หมายถงึ ใจ ประกอบด้วย เวทนา คอื รู้สกึ หรือเหน็ , สัญญา คอื จ�ำ, สังขาร คอื คดิ และวญิ ญาณ คือ รู้ ท้ัง 4 อย่างนร้ี วมเข้าเป็นจดุ เดียวกนั เรียก ว่า ใจ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 117 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
นกั วทิ ยาศาสตรแ์ ละชาวโลกจ�ำนวนไมน่ อ้ ยทคี่ ดิ วา่ “ใจ” กบั “สมอง” เปน็ อยา่ ง เดยี วกนั ความจรงิ แล้วเป็นคนละอย่างกนั สมองนนั้ เป็นส่วนหนง่ึ ของร่างกาย ส่วนใจ เป็นอกี ส่ิงหน่งึ ที่แยกออกมาต่างหาก แต่อาศยั อยู่ในร่างกายและมคี วามสมั พนั ธ์กบั ร่างกาย เนื่องจากใจน้ันเป็นธาตุละเอียดมองไม่เห็นด้วยตาเน้ือ จะเห็นได้ด้วยการ เจรญิ สมาธิภาวนาเท่าน้นั ชาวโลกจงึ คดิ ว่าสมองนนั่ แหละ คือ ใจ ซ่ึงเป็นศูนย์รวม การบังคับบัญชาท้ังหมดของทุกชีวิต เหตุท่ีคิดอย่างน้ีเพราะสมองเป็นธาตุหยาบ มองเหน็ ได้ด้วยตาเนอ้ื สมองจะท�ำงานประสานกบั ใจโดยมใี จเปน็ ศนู ยก์ ลางการบงั คบั บญั ชา การเหน็ หรอื รู้สึก จ�ำ คิด และรู้ ท้งั หมดรวมอยู่ท่ใี จไม่ได้อยู่ท่ีสมอง คนเราจะฉลาดหรอื โง่ อยู่ที่ดวงปัญญาในใจเป็นหลัก สมองเป็นองค์ประกอบรอง เป็นอุปกรณ์อย่างหน่ึง ของการแสดงออกทางปัญญาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ท่ีน�ำสมองของ อลั เบิร์ต ไอน์สไตน์มาศกึ ษาวจิ ัยจงึ ไม่ได้พบอะไรมาก ไม่อาจจะสรปุ ได้อย่างชัดเจน วา่ ไอนส์ ไตนฉ์ ลาดกวา่ ชาวโลกเพราะอะไร เพราะปจั จยั หลกั ของความฉลาดไมไ่ ดอ้ ยู่ ทสี่ มองแต่อยู่ท่ใี จต่างหาก มตี วั อยา่ งหนงึ่ ทน่ี า่ สนใจซง่ึ ยนื ยนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดวี า่ สมองกบั ใจเปน็ คนละอยา่ ง กัน กล่าวคอื เมอื่ ปลายเดอื นมีนาคมปี พ.ศ. 2551 ส�ำนกั ข่าวเอเจนซรี ายงานข่าวว่า มีชายคนหน่ึงฟื้นคืนชีพหลังจากที่แพทย์ช้ีว่าสมองของเขาตายมานานกว่า 4 เดือน ชายคนนีช้ ือ่ แซค ดนั แลป อายุ 21 ปี พ่อแม่ของเขาได้รบั การแจ้งจากแพทย์ว่า ลกู ชายของพวกเขาเสียชวี ติ เมื่อวนั ท่ี 19 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2550 ขณะพกั รักษาตวั อยทู่ โ่ี รงพยาบาลยไู นเตด็ รเี จนิ นลั เฮลธแ์ คร์ ซสิ เตม็ ในรฐั เทกซสั สหรฐั อเมรกิ า หลงั ได้รับบาดเจบ็ จากอุบัตเิ หตรุ ถจกั รยานยนต์คว�ำ่ แพทย์ได้เกบ็ ร่างของแซค ดนั แลป ไว้ส�ำหรบั น�ำอวยั วะของเขาไปช่วยเหลือผู้ป่วยรายอ่ืนต่อไป มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 118 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
อย่างไรกต็ ามในอกี 4 เดอื นตอ่ มา หลงั จากครอบครวั ได้กล่าวค�ำอ�ำลาเขาเป็น คร้ังสุดท้าย และแพทย์ก�ำลังเตรียมการผ่าตัด ก่อนผ่าตัดแพทย์ได้ใช้มีดขูดท่ีเท้า รวมถงึ กดทใ่ี ต้เลบ็ มอื ของเขา เพอื่ เชค็ ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองเปน็ ครงั้ สดุ ทา้ ย ปรากฏวา่ เท้าและมอื ของเขากลบั เคลอ่ื นไหวอกี ครงั้ ซงึ่ หมายถงึ เขายงั ไม่ตายนน่ั เอง หลงั จาก ฟื้นขน้ึ มาและพักรักษาตัวอยู่ทโ่ี รงพยาบาลนาน 48 วัน ในท่ีสดุ แพทย์ก็อนญุ าตให้ เขากลบั บ้านได้ แซค ดนั แลป กล่าวในรายการทเู ดย์ของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีเมอื่ วันจันทร์ท่ี 24 มีนาคม พ.ศ. 2551 ว่า เขาจ�ำอุบัติเหตุทเ่ี กดิ ข้ึนไม่ได้เลย แต่สามารถจ�ำเรื่องราว 6 ช่วั โมงก่อนที่จะเกดิ อุบตั ิเหตไุ ด้เป็นอย่างดี และจ�ำเร่อื งราว 1 ชัว่ โมงก่อนทีจ่ ะเกดิ อบุ ัตเิ หตไุ ด้เพยี งเล็กน้อย นอกจากนี้ สงิ่ ทเ่ี ขาจ�ำได้อย่างแม่นย�ำกค็ ือ ตอนท่แี พทย์ บอกกับพ่อแม่ของเขาว่า “เขาตายแล้ว...” พ่อของเขา กล่าวว่า เขาได้เห็นผลการ เอกซเรย์สมองของลูกชาย ซึ่งในขณะนั้นสมองไม่ท�ำงานและไม่มีเลือดไหลเวียน อยู่เลย 1 ตัวอย่างน้ียืนยันได้เป็นอย่างดีว่า “ใจ” ซ่ึงประกอบด้วยความเห็นหรือความ รู้สกึ ความจ�ำ ความคดิ และความรู้ ไม่ได้เป็นสิ่งเดยี วกับสมอง เพราะเมือ่ แพทย์ วนิ จิ ฉัยว่าสมองของเขาตายแล้วและบอกกับพ่อแม่ของเขาว่า เขาตายแล้ว แต่แซค ดันแลป ยังสามารถรับรู้และจ�ำได้อย่างแม่นย�ำถึงประโยคนี้ซึ่งแพทย์พูดกับพ่อแม่ ของเขา หากความเหน็ , ความรู้สกึ , ความจ�ำ, ความคิด และความรู้อยู่ทีส่ มอง เขา ไม่อาจจะรบั รู้และจ�ำสิง่ ใดได้อีกเลย เพราะแพทย์ระบวุ ่า ตอนนั้นสมองของเขาตาย แล้ว เน่อื งจากสมองไม่ท�ำงานและไม่มีเลือดไหลเวียนอยู่เลย ความแตกตา่ งของใจกบั สมองนน้ั ผอู้ า่ นจะไดเ้ รยี นรเู้ พม่ิ เตมิ ในเรอ่ื ง “จติ ตนยิ าม กบั วิทยาศาสตร์” ในบทวิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 1 ผู้จัดการ (2551). “หนุ่มฟื้นคืนชีพหลังแพทย์ช้ีสมองตายมานานกว่า 4 เดือน.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 119 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ขันธ์ 5 นัน้ มีสภาวะเป็นไตรลกั ษณ์ คอื ไม่เที่ยง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา กล่าว คอื ขนั ธ์ 5 มกี ารเปลยี่ นแปลงจากเหตุปัจจยั ทเี่ ข้ามา ท�ำให้มีสภาวะที่ไม่เทยี่ ง และ ขนั ธ์ 5 มคี วามเสอื่ มอยตู่ ลอดเวลา ท�ำใหเ้ ปน็ ทกุ ข์ ทง้ั ทกุ ขท์ างกาย ทกุ ขท์ างใจ สลบั ไปมาตลอด ซง่ึ เราไม่สามารถบังคับบัญชาขนั ธ์ 5 ไม่ให้เสือ่ มหรือให้ขันธ์ 5 น้คี ง สภาวะเดิมได้ ดงั นนั้ ขันธ์ 5 จงึ เป็นอนตั ตา ไม่ใช่ตวั ตนของเรา ธรรมชาตทิ สี่ �ำคญั ประการหนง่ึ ของรปู กบั นาม คอื มคี วามสมั พนั ธก์ นั องิ อาศยั ซ่งึ กนั และกัน รูป คอื ร่างกายอาศัยใจจงึ มชี วี ติ อยู่ได้ ส่วนนาม คอื ใจอาศยั ร่างกาย เปน็ ทอี่ าศยั ทงั้ กายและใจจงึ สมั พนั ธก์ นั องิ อาศยั กนั แยกกนั ไมไ่ ด้ อปุ มาเหมอื นทอ่ น ไม้สองอนั ที่พิงกนั อยู่ จะแยกอนั ใดอนั หนง่ึ ออกไปไม่ได้ เพราะอีกอนั หนึ่งจะไม่อาจ ต้ังอยู่ได้ต้องล้มลง ความสัมพนั ธ์ของจิตกับใจ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนฺทสโร) สอนไว้ว่า จิตกับใจนั้นเป็นคนละอย่างกนั โดยจติ เป็นส่วนหนึง่ ของใจ จากท่ีกล่าวแล้วว่าใจประกอบด้วย เวทนา คือ การรู้สึก หรอื การเหน็ , สญั ญา คือ การจ�ำ, สงั ขาร คือ การคิด และวิญญาณ คอื การรู้ โดย “จิต” นนั้ คือ “สังขาร” มสี ัณฐานเป็น “ดวง” เรียกว่า “ดวงจิต” หรอื “ดวงคดิ ” และนามขันธ์อกี 3 ประการ ทีเ่ หลอื คือ เวทนา สัญญา และวญิ ญาณ ก็ มสี ณั ฐานเป็นดวงเช่นเดียวกนั เรียกว่า ดวงเห็น ดวงจ�ำ และดวงรู้ ดวงทั้ง 4 นี้ซ้อน กันอยู่เป็นช้นั ๆ โดยดวงเห็นหรือดวงเวทนาอยู่ช้ันนอกสดุ ดวงจ�ำหรือดวงสัญญา ซ้อนอยู่ข้างในดวงเห็น ดวงจิตหรือดวงสังขาร ซ้อนอยู่ข้างในดวงจ�ำ ดวงรู้หรือ ดวงวิญญาณ ซ้อนอยู่ข้างในดวงจิตดงั น้ี มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 120 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
องค์ประกอบของ “ใจ” ดวงเห็นมีธาตุเห็นอยู่ศูนย์กลาง ดวงจ�ำมีธาตุจ�ำอยู่ศูนย์กลาง ดวงคิดหรือ ดวงจิตมีธาตุคิดอยู่ศูนย์กลาง ดวงรู้มีธาตุรู้อยู่ศูนย์กลาง ธาตุเห็นเป็นท่ีตั้งของ การเหน็ ธาตุจ�ำเป็นทีอ่ ยู่ของการจ�ำ ธาตุคดิ เป็นท่อี ยู่ของการคดิ และธาตรุ ู้เป็นท่ีอยู่ ของการรู้ เห็น จ�ำ คิด รู้ 4 อย่าง รวมกนั เรยี กว่า ใจ 5.4 ความสำ�คญั และธรรมชาติของใจ ผอู้ า่ นคงจะทราบกนั ดวี า่ ใจนนั้ มคี วามส�ำคญั อยา่ งยง่ิ เพราะเปน็ ศนู ยก์ ลางการ บงั คับบัญชาความคดิ ค�ำพูด การกระท�ำของมนุษย์และสตั ว์ทง้ั หลาย จะคิดดี พดู ดี ท�ำดี หรือคิดชัว่ พดู ช่ัว ท�ำชวั่ ขน้ึ อยู่กบั การสงั่ การของใจท้งั สน้ิ ดงั ค�ำพดู ที่ว่า “ใจ เป็นนาย กายเป็นบ่าว” พระสมั มาสมั พุทธเจ้าตรัสถงึ ความส�ำคญั ของใจไว้ว่า สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 121 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
มโนปพุ ฺพงคฺ มา ธมมฺ า มโนเสฏฺฐา มโนมยา : ธรรมทั้งหลาย มใี จเป็นหวั หน้า มใี จเป็นใหญ่ ส�ำเร็จแล้วด้วยใจ, มนสา เจ ปสนเฺ นน ภาสติ วา กโรติ วา : ถ้าบคุ คล มใี จผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ท�ำอยู่ก็ดี, ตโต นํ สุขมเนวฺ ติ ฉายาว อนุปายนิ ี : ความ สขุ ย่อมไปตามเขาเพราะเหตนุ น้ั เหมอื นเงาไปตามตวั ฉะนนั้ 1, มโนปพุ พฺ งคฺ มา ธมมฺ า มโนเสฏฐฺ า มโนมยา : ธรรมทั้งหลายมใี จเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ ส�ำเร็จแล้วด้วย ใจ, มนสา เจ ปทฏุ เฺ น ภาสติ วา กโรติ วา : ถ้าบคุ คลมีใจร้าย พดู อยู่ก็ดี ท�ำอยู่ก็ดี, ตโต นํ ทกุ ขฺ มเนวฺ ติ จกฺกํว วหโต ปทํ : ทกุ ข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น ดุจล้อ หมนุ ไปตามรอยเท้าโคผู้น�ำแอกไปอยู่ฉะนั้น 2 จากพระด�ำรัสท่ียกมาน้ีช้ีให้เห็นว่าความสุขหรือความทุกข์ทั้งปวงของมวล มนษุ ย์และสรรพสัตว์ทัง้ หลายข้ึนอยู่กบั ใจทัง้ สิน้ ด้วยเหตทุ ี่ใจมคี วามส�ำคัญอย่างน้ี หากเราท้ังหลายพยายามรักษาใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ก็จะเป็นเหตุให้เราคิดดี พูดดี และท�ำดี อันจะส่งผลให้เรามคี วามสุขจากผลแห่งกรรมดีของเรา คนที่มีจิตใจดีและเข้มแข็งแม้ร่างกายจะไม่ค่อยสมบูรณ์หรือพิการก็อาจจะ ประสบความส�ำเร็จในชวี ิตได้ ดงั ตวั อย่างทีเ่ ราได้ยนิ ได้ฟังกนั อยู่บ่อย ๆ ส่วนคนที่ จิตใจอ่อนแอแม้ร่างกายจะแข็งแรงดี ก็ยากจะประสบความส�ำเร็จในชีวิต ประสบ ปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ท้อแท้เลิกท�ำงานเสียกลางคัน หลายต่อหลายคนถึงกับฆ่าตัว ตายเพือ่ หนปี ัญหา ส่วนคนทจี่ ิตใจเข้มแขง็ จะมองปัญหา มองวิกฤติต่าง ๆ ท่ีเกิดขนึ้ เป็นโอกาสในการด�ำเนนิ ชวี ติ ของตน มีตวั อย่างชายคนหนง่ึ ซ่งึ เป็นคนพกิ ารตาบอดสนทิ ท้งั สองข้าง แต่ด้วยจิตใจที่ เข้มแข็งไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิต เป็นเหตุให้เขาประสบความส�ำเร็จในด้านต่าง ๆ มากมาย อย่างท่ีคนตาดี ๆ หลายคนท�ำไม่ได้ ชายผู้นช้ี ื่อนายไมล์ ฮลิ ตนั บาร์เบอร์ 1 ยมกวรรควรรณนา, ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนกิ าย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 40 หน้า 53. 2 แหล่งเดิม หน้า 34. มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 122 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เปน็ ชาวองั กฤษผ้ตู าบอดสนทิ ทง้ั สองข้าง ชายผ้นู หี้ วงั สร้างสถติ โิ ลกโดยขบั เครอื่ งบนิ เป็นระยะทางครง่ึ ค่อนโลกจากองั กฤษไปส้นิ สุดทอ่ี อสเตรเลียด้วยเวลา 45 วนั โดยมี นายริชาร์ด เมอร์ดทิ ฮาร์ดี้ เพือ่ นร่วมชาตเิ ป็นนกั บินท่ี 1 เพราะกฎการบินทย่ี งั ไม่ อนญุ าตให้คนตาบอดเป็นนกั บนิ ท่ี 1 ส่วนนายไมล์เป็นนกั บนิ ที่ 2 ทงั้ สองออกจาก อังกฤษเมื่อวันท่ี 7 มีนาคม พ.ศ. 2550 ระหว่างทางได้แวะพักท่ีสนามบินภูเก็ต ประเทศไทยดว้ ย การกระท�ำอนั หาญกลา้ ทา้ มฤตยคู รงั้ น้ี นายไมล์ ฮลิ ตนั ท�ำเพอื่ เปน็ แรงบันดาลใจแก่คนตาบอดทั่วโลกให้ไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิต และเพ่ือรับเงินบริจาค เข้ากองทุนช่วยเหลือผู้พกิ ารทางสายตาอกี ด้วย นายไมล์ ฮลิ ตนั บารเ์ บอร์ ตาบอดเมอ่ื อายไุ ด้ 30 ปี แตเ่ ขาไมย่ อมยอ่ ทอ้ ดนิ้ รน ต่อสู้ชวี ติ อย่างทรหด และพยายามกระท�ำในสิ่งเหลือเชือ่ โดยนบั แต่ปี พ.ศ. 2542 เขาเข้าร่วมการแข่งขนั วิง่ มาราธอนในระดบั โลก ว่ายน้ำ� ด�ำน�ำ้ ปีนภูเขา โดยสามารถ พชิ ติ ยอดเขาทสี่ งู ทส่ี ดุ ในประเทศองั กฤษไดส้ �ำเรจ็ และเคยปนี ไปถงึ ยอดภเู ขาหมิ าลยั ทมี่ คี วามสงู ถงึ 17,500 ฟตุ มาแล้ว เขาพชิ ติ ก�ำแพงเมอื งจนี ท�ำลายสถติ โิ ลกด้วยการ เดนิ เปน็ เวลา 78 ชว่ั โมง โดยไมห่ ลบั ไมน่ อน จนท�ำใหเ้ ขามชี อื่ เสยี งในฐานะ “ตาบอด นกั ผจญภัย” สง่ิ ทเ่ี ขาใฝ่ฝันอยากท�ำต่อไป คอื การขบั เรอื ในมหาสมุทรแอตแลนตกิ เขาฝากถึงคนตาบอดทัว่ โลกว่า เมอ่ื ตาบอดแล้วอย่าคิดว่าอะไร ๆ กท็ �ำไม่ได้ จงคิด และเชอื่ มน่ั ตนเองวา่ สามารถด�ำรงชวี ติ และท�ำทกุ อยา่ งได้เชน่ คนปกติ สงิ่ ส�ำคญั คอื ต้องพยายามเรียนและเพิ่มทกั ษะในสง่ิ แปลกใหม่ที่เข้ามาในชวี ติ ผู้อ่านหลายท่านที่ก�ำลังใช้ดวงตาอันแจ่มใสอ่านเร่ืองน้ีอยู่คงนึกละอายใจไม่ นอ้ ยทพ่ี บวา่ มหี ลายสง่ิ หลายอยา่ งทเี่ รายงั ท�ำไมไ่ ดเ้ ฉกเชน่ ชายตาบอดผนู้ ี้ และมผี คู้ น มากมายเหลอื เกนิ ทเ่ี กดิ มามอี วยั วะครบสมบรู ณแ์ ตก่ ลบั ไมส่ ชู้ วี ติ เจอปญั หารมุ เรา้ เขา้ นิดก็คิดปลิดชีวิตตัวเองเพ่ือหลีกหนีปัญหา มีคนตาดี ๆ หลายต่อหลายคนงอมือ งอเท้าถือกะลาขอเขากินไปวัน ๆ ซ่ึงพบเห็นได้ท่ัวไปตามถนนหนทางในมหานคร สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 123 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ทั่วโลก บางคนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวถึงกับประกาศขายดวงตาใช้หนี้ก็มี ดังเช่น ชายหนุ่มวัย 31 ปีคนหน่ึงเป็นหนน้ี อกระบบประมาณ 80,000 บาท ไม่อาจจะหาเงนิ มาใช้หนไ้ี ด้ จงึ ตดั สนิ ใจประกาศขายดวงตา 1 ข้างในราคา 120,000 บาท เพอ่ื น�ำเงนิ มาใช้หน้ี 1 เหตใุ ด นายไมล์ ฮลิ ตนั บาร์เบอร์ ผู้ตาบอดสนิททัง้ สองข้าง จงึ สามารถท�ำ อะไรได้มากมาย อย่างทคี่ นตาดี ๆ หลายคนยังท�ำไม่ได้ เหตใุ ดคนตาดี ๆ หลายต่อ หลายคนได้แต่นัง่ รอคอยความเมตตาจากคนอน่ื อยู่ข้างถนน และเหตุใดคนตาดี ๆ บางคนจงึ ยอมสละดวงตาอนั ล้ำ� ค่าเพียงเพอ่ื ให้ได้เงนิ มาใช้หน้ี ท้งั ๆ ท่ีเขายงั หนุ่ม แน่นเพง่ิ ย่างเข้าวยั 31 ปี เรอื่ งนเ้ี ป็นเครอื่ งยนื ยนั พุทธพจน์ทว่ี ่า “ธรรมทงั้ หลาย มใี จ เป็นหวั หน้า มใี จเป็นใหญ่ ส�ำเร็จแล้วด้วยใจ” ได้เป็นอย่างดี หากตาบอดแต่มใี จที่ เข้มแข็ง ก็สามารถท�ำอะไรต่ออะไรให้ส�ำเร็จได้ ตรงข้ามแม้มีตาสว่างไสว แต่ใจ มืดบอดเสียแล้วก็ไร้ประโยชน์ ภาษาพระท่านว่า “อพั โพหาริก” มีกเ็ หมอื นไม่มี ปกติแล้วธรรมชาตขิ องจติ ใจน้ันจะ “ประภสั สร คอื สว่างไสว บรสิ ุทธ์”ิ แต่ เพราะมีกเิ ลสเข้ามาห่อหุ้มท�ำให้จติ ใจเศร้าหมอง ไม่สว่างไสว 2 เมอ่ื จิตใจเศร้าหมอง ไม่สว่างไสวเป็นเหตุให้คดิ ผดิ เมอ่ื ความคดิ ผดิ กจ็ ะเป็นเหตุให้พดู ผดิ และท�ำผิดด้วย ท้ังผดิ ศลี ผิดธรรมและผดิ พลาดในการงานต่าง ๆ ที่ท�ำ เมื่องานผดิ พลาดกเ็ ป็นเหตุ ให้ไม่ประสบความส�ำเร็จในชวี ิต จิตใจทีเ่ ศร้าหมองเพราะกิเลส เปรียบเสมือนห้องทม่ี ดื เพราะดวงไฟถูกปิดบงั ไว้ด้วยผ้าทึบแสงอย่างดี เม่ือเราเดินเข้าไปในห้องท่ีมืดก็จะมีโอกาสให้ตัดสินใจผิด พลาดได้ เพราะมองอะไรไม่เหน็ ไม่ร้วู ่าควรจะเดนิ ไปทางไหนดี มโี อกาสทเ่ี ราจะเดนิ ชนสง่ิ ต่าง ๆ ในห้องจนได้รบั บาดเจ็บ หากมงี ูอยู่ในห้องเราก็มโี อกาสเดินไปเหยียบงู 1 หนังสือพมิ พ์ข่าวสด.(2550). “หนุ่มหนสี้ นิ ท่วมประกาศขายดวงตา.” [ออนไลน์]. 2 มโนรถปูรณี, อรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต, มก. เล่ม 32 หน้า 104-105. มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 124 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ได้ แต่เมื่อเราน�ำผ้าทึบแสงออก แสงไฟในห้องก็จะไม่ถูกบดบังเป็นเหตุให้ห้อง สว่างไสว มองเห็นทกุ อย่างได้ชัดเจน มอี ะไรอยู่ในห้องเหน็ แจ่มแจ้งหมด เราก็จะไม่ เดินไปชนประตู ไม่เหยียบงู เพราะเรามองเห็นทกุ อย่าง ผา้ ทบึ แสงทบ่ี ดบงั แสงไฟเอาไวน้ ี้ กเ็ ปรยี บเสมอื นกเิ ลสทบ่ี ดบงั ความสวา่ งของ จิตใจเราการที่จะท�ำให้จิตใจสว่างไสวนั้น เราจะต้องก�ำจัดกิเลสให้หมดไปหรือให้ เบาบางลง ด้วยการสร้างบุญ บุญจะช่วยก�ำจัดกิเลสที่บดบังแสงสว่างของจิตใจให้ เบาบางลงจนกระทง่ั หมดส้นิ ได้ เมอ่ื จิตใจของเราสว่างไสวแล้ว ก็จะคิดถูกต้องตรง ตามความเป็นจริง เม่อื คดิ ถกู ก็จะพดู ถกู และท�ำถูก ซงึ่ เป็นเหตใุ ห้เราไม่ท�ำผิดศีลผดิ ธรรม การงานต่าง ๆ จึงไม่ผดิ พลาด ส่งผลให้เราประสบความส�ำเรจ็ ในชีวติ ในที่สดุ 5.5 วงจรของกเิ ลส กรรม และวิบาก 5.5.1 ความหมายและตระกูลของกิเลส กิเลส หมายถงึ ธรรมยงั จติ ให้เศร้าหมอง, ความล�ำบาก, ความเบยี ดเบียน, ความก�ำจดั , ความท�ำลาย, ความเผา, ความแผดเผา, ความทกุ ข์, ภาวะทีเ่ กดิ ข้ึนใน ใจ และท�ำใจให้เศร้าหมอง, มลทิน 1 ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พุทธศกั ราช 2542 แสดงความหมาย ไว้ว่า กิเลส หมายถึง เครอ่ื งท�ำใจให้เศร้าหมอง ได้แก่ โลภ โกรธ หลง 2 กิเลสจดั แบ่งออกเป็น 3 ตระกลู ใหญ่ ๆ ตามลักษณะอาการทม่ี ีปรากฏของ กิเลสเหล่านัน้ กิเลสทง้ั 3 ตระกูล ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ หรอื เรียกว่า อกศุ ลมลู 3 ดงั ทีพ่ ระผู้มพี ระภาคตรสั ไว้ว่า “ดกู ่อนภิกษทุ ้งั หลาย... โลภะเป็นอกศุ ลมูล 1 โทสะ เป็นอกุศลมลู 1 โมหะเป็นอกุศลมูล 1” 1 พันตรี ป.หลงสมบุญ (2546). “พจนานกุ รม มคธ-ไทย.” หน้า 194. 2 ราชบัณฑิตยสถาน (2542). “พจนานุกรม.” หน้า 129. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 125 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1.) กิเลสตระกูลโลภะ ได้แก่ กิเลสท่ที �ำให้จติ หิว อยากได้ อยากกอบโกย เอามาเป็นของตัว อยากหวงแหน อยากสะสมเอาไว้ ความโลภนีโ้ ดยปกติมลี ักษณะ คอื อยากได้ส่ิงของของผู้อื่นมา เป็นของตนโดยทางทจุ ริต มีความหิวจัดทางจิตเป็นลักษณะ ผู้ท่ถี กู โลภะ ครอบง�ำแม้จะเป็นคนมงั่ มอี ยู่ดีกนิ ดี สมบรู ณ์ด้วยปัจจัย 4 และเคร่อื ง อ�ำนวยความสุขทางกายทกุ ประการ ก็ยังรู้สึกว่าหิว ไม่รู้จักอม่ิ ไม่รู้จกั พอ ไมร่ จู้ กั เตม็ ทา่ นเปรยี บเหมอื นไฟไมร่ จู้ กั อม่ิ ดว้ ยเชอื้ มหาสมทุ รไมร่ ู้ จักเตม็ ด้วยน�้ำ ฉันนั้น 2.) กิเลสตระกูลโทสะ ได้แก่ กิเลสที่ท�ำให้จิตร้อน ท�ำให้จิตเดือดพล่าน อยากล้างผลาญ อยากท�ำความพินาศให้แก่คนอ่นื สิ่งอ่นื โทสะน้ีเมื่อเกิดข้ึนย่อมเป็นโทษทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อ่ืน เวลา มโี ทสะ พวกพ้องเพอ่ื นฝูง จนกระทงั่ พ่อแม่ ลกู กม็ องเหน็ เป็นศตั รไู ป หมด และผลทสี่ ดุ แมแ้ ตต่ วั เองกไ็ มเ่ ปน็ ทพี่ อใจของตวั เอง เปรยี บเสมอื น ลูกระเบิด พอระเบดิ มนั กท็ �ำลายตวั เองก่อนเป็นอันดบั แรก แล้วจงึ ไป ท�ำลายวตั ถุอน่ื ๆ ต่อไป 3.) กเิ ลสตระกลู โมหะ ไดแ้ ก่ กเิ ลสทท่ี �ำใหจ้ ติ งนุ งง หลงใหล มวั เมา มดื ตอื้ ลักษณะของโมหะ คอื รู้อะไรไม่แจ่มแจ้ง แล้วหลงงมงายอยู่ใน ส่ิงน้นั ๆ มเี ร่อื งอะไรพอจะพจิ ารณาให้รู้จรงิ รู้เหตุ รู้ผล รู้ดี รู้ชั่วได้ แต่ไม่พจิ ารณาให้รู้จรงิ หรอื พจิ ารณาแต่ไม่สามารถร้ตู ามความเป็นจรงิ น้ีเรียกว่าโมหะ คนถูกโมหะครอบง�ำ ย่อมท�ำผิดในส่ิงต่าง ๆ ได้ ตง้ั แต่ผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นไปจนถงึ ขั้นอนนั ตรยิ กรรม กเิ ลสทงั้ 3 ตระกลู ทก่ี ลา่ วมานจี้ ะบงั คบั ใหม้ นษุ ยแ์ ละสตั วท์ งั้ หลายท�ำกรรมชว่ั ตา่ ง ๆ และเปน็ เหตใุ หไ้ ดร้ บั วบิ าก คอื ผลของกรรมชวั่ นนั้ อยา่ งแสนสาหสั ดงั จะกลา่ ว ต่อไป มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 126 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
5.5.2 ความหมายและประเภทของกรรม กรรม หมายถงึ การกระท�ำทีป่ ระกอบด้วยเจตนา ดงั พทุ ธพจน์ทวี่ ่า “เจตนาหํ ภิกขเว กมมฺ ํ วทามิ เจตยิตวฺ า กมฺมํ กโรติ กาเยน วาจาย มนสา” หมายความว่า ภกิ ษทุ งั้ หลาย เจตนานน่ั เอง เราเรยี กว่า กรรม บคุ คลจงใจแล้ว จงึ ท�ำกรรมดว้ ยกาย วาจา ใจ เจตนา หมายถงึ สภาพความนกึ คดิ ท่ีมีความจงใจเป็นส�ำคญั คอื ต้องคดิ ไว้ ก่อนล่วงหน้าแล้วจงึ กระท�ำ เจตนาจึงจัดเป็นสงิ่ ส�ำคญั ท่สี ุดของการกระท�ำ ท�ำให้การ กระท�ำมคี วามหมาย กรรมแสดงออกมาได้ 3 ทาง ได้แก่ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ และกรรม ยังแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายกศุ ล และฝ่ายอกุศล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับต้นเหตุที่เกิด ขึ้นและผลที่ปรากฏ 1.) ฝ่ายกุศลกรรม หมายถงึ กรรมฝ่ายดี เป็นการกระท�ำท่ีบุคคลท�ำด้วย อโลภะ อโทสะ อโมหะ เปน็ การกระท�ำทไ่ี ม่มโี ทษ ไมเ่ ดอื ดร้อนในภายหลงั มจี ติ แช่ม- ชนื่ เบกิ บาน มีสขุ เป็นผล ดงั ทีพ่ ระผู้มพี ระภาคตรัสไว้ว่า “กรรมที่บุคคลท�ำเพราะอโลภะ อโทสะ อโมหะ เกดิ แต่อโลภะ อโทสะ อโมหะ มีอโลภะ อโทสะ อโมหะเป็นต้นเหตุ มีอโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นแดนเกดิ อนั ใด กรรมนนั้ เป็นกุศล กรรมน้ันหาโทษมไิ ด้ กรรมนนั้ มีสขุ เป็นผล บุคคลท�ำกรรมใดแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีหัวใจแช่มช่ืน เบกิ บาน เสวยผลแห่งกรรมใด กรรมน้ันท�ำแล้วเป็นการด”ี กศุ ลกรรมเปน็ การกระท�ำทดี่ งี าม ไมผ่ ดิ ศลี ไมผ่ ดิ ธรรม ไมท่ �ำใหจ้ ติ เศรา้ หมอง ไม่มีทุกข์โทษภยั เดือดร้อนในภายหลัง แต่ก่อให้เกดิ บญุ บารมี พฤติกรรมท่ี จดั เป็นกุศลกรรม คอื กศุ ลกรรมบถ 10 ซ่ึงแบ่งออกได้ 3 ทาง คือ ทางกาย วาจา สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 127 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
และใจ ดังน้ี กายสุจริต หมายถึง การกระทำ�ดีทางกาย มี 3 ประการ คือ (1) ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการฆ่าสตั ว์ (2) อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการลกั ขโมยของผู้อน่ื (3) กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผดิ ในกาม วจีสุจริต หมายถึง การกระทำ�ดีทางวาจา มี 4 ประการ คือ (1) มสุ าวาทา เวรมณี งดเว้นจากการพูดเทจ็ (2) ปิสณุ าย วาจาย เวรมณี งดเว้นจากการพูดส่อเสียด (3) ผรุสาย วาจาย เวรมณี งดเว้นจากการพูดค�ำหยาบ (4) สัมผปั ปลาปา เวรมณี งดเว้นจากการพดู เพ้อเจ้อ มโนสุจริต หมายถึง การกระทำ�ดีทางใจ มี 3 ประการ คือ (1) อนภิชฌา ไม่คดิ เพ่งเล็งอยากได้สิง่ ของผู้อน่ื (2) อพั ยาบาท ไม่คดิ ปองร้ายเบยี ดเบยี นผู้อ่ืน (3) สมั มาทิฏฐ ิ คิดถูก เห็นถกู กุศลกรรมบถ 10 นที้ ่านเรยี กว่า มนษุ ยธรรม หมายถึง ธรรมของมนุษย์ 1 เป็นธรรมพน้ื ฐานประจ�ำตวั ที่มนุษย์ทั่วไปต้องมี หากคนใดไม่มีธรรมทง้ั 10 ประการ นไ้ี ด้ชื่อว่า เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากมีความประพฤตคิ ล้ายสตั ว์ คือ ฆ่ากัน ลกั ขโมยกนั มัว่ สมุ ทางเพศกัน เป็นต้น เมอ่ื ละโลกไปแล้วก็ต้องไปรบั ผลกรรมชว่ั ใน มหานรก พ้นจากนรกแล้วก็ต้องมาเกดิ เป็นสัตว์ดิรจั ฉานก่อน ยงั ไม่อาจจะเกิดเป็น มนุษย์ได้ จนกว่าวิบากกรรมจะเบาบางลง จงึ จะได้กลบั มาเกดิ เป็นมนษุ ย์อกี ครั้ง 1 อรรถกถามหาสีหนาทสูตร, อรรถกถามัชฌมิ นกิ าย มูลปัณณาสก์, มก. เล่ม 18 หน้า 67. มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 128 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
กศุ ลกรรมอกี หมวดหนงึ่ ซงึ่ ผอู้ า่ นคนุ้ เคยกนั ดี คอื “บญุ กริ ยิ าวตั ถ”ุ โดยเฉพาะ บญุ กิริยาวตั ถุ 3 ได้แก่ ทาน ศีล และภาวนา ซึง่ จรงิ ๆ แล้วกุศลกรรมทัง้ 2 หมวดน้ี สามารถสงเคราะห์เข้ากันได้ดังนี้ กายสจุ รติ และวจสี จุ รติ สงเคราะห์เขา้ กบั “ทาน” และ “ศลี ” ในบญุ กริ ยิ าวตั ถุ ในสว่ นของศลี นน้ั ผอู้ า่ นคงเขา้ ใจดเี พราะมเี นอ้ื หาตรงกนั แตส่ �ำหรบั ทานนน้ั หลายทา่ น อาจสงสยั ว่า จัดให้อยู่ตรงนไี้ ด้อย่างไร จริง ๆ แล้วศีลนน้ั กจ็ ัดเป็นทานประเภทหน่งึ กล่าวคือ การงดเว้นจากการฆ่า สตั วถ์ อื เปน็ การใหค้ วามปลอดภยั ในชวี ติ แกส่ ตั วท์ ง้ั หลาย การงดเวน้ จากการลกั ขโมย ของผู้อื่นถือเป็นการให้ความปลอดภัยในทรัพย์สินแก่ผู้อื่น และการงดเว้นจากการ ประพฤตผิ ดิ ในกามถือเป็นการให้ความปลอดภยั แก่คู่ครองของผู้อ่นื เป็นต้น นอกจากนี้บุคคลที่ให้ทานบ่อย ๆ ใจของเขาจะย่ิงใหญ่และจะไม่คิดขโมย ทรพั ย์สนิ ของคนอนื่ เพราะแม้แต่ของตวั เองกย็ งั สละให้คนอน่ื ได้ ดงั นนั้ การให้ทาน จะช่วยส่งเสริมการรกั ษาศีลได้เป็นอย่างดี มโนสุจริต สงเคราะห์เข้ากับ “ภาวนา” ในบุญกิริยาวัตถุ เพราะภาวนานั้น เป็นการบ�ำเพ็ญเพียรเพ่ือก�ำจัดกิเลสในใจ เป็นเหตุให้ อนภิชฌา อัพยาบาท และ สัมมาทิฏฐิบังเกิดขึ้นได้ เพราะการไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของผู้อื่นก็ดี ไม่คิด ปองรา้ ยเบยี ดเบยี นผอู้ นื่ กด็ ี และความคดิ ถกู เหน็ ถกู กด็ ี จะเกดิ ขน้ึ ไดเ้ มอ่ื ใจไดร้ บั การ ฝึกแล้วเท่านั้น ซึง่ การเจริญสมาธิภาวนานั้นเป็นวิธีการฝึกใจทีด่ ีเย่ียมที่สดุ และทีส่ �ำคญั ท่ีสุดคู่ปรับของโลภะ คอื ทาน คู่ปรับของโทสะ คือ ศลี และคู่ ปรับของโมหะ คือ ภาวนา หากได้ให้ทาน รักษาศลี และเจริญภาวนาอยู่สม�่ำเสมอ ก็ จะช่วยลดกเิ ลสทง้ั 3 ตระกูล คอื โลภะ โทสะ และโมหะ ไปเรอื่ ย ๆ จนหมดในทส่ี ดุ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 129 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
2.) ฝา่ ยอกศุ ลกรรม หมายถงึ กรรมฝา่ ยชวั่ เปน็ การกระท�ำทบ่ี คุ คลท�ำดว้ ย โลภะ โทสะ โมหะ เป็นการกระท�ำท่ีมีโทษ เดือดร้อนในภายหลัง มีนำ้� ตานองหน้า ร้องไห้อยู่ มีทกุ ข์เป็นผล ดงั ที่พระผู้มพี ระภาคตรัสไว้ว่า “กรรมที่บคุ คลท�ำด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เกดิ แต่โลภะ โทสะ โมหะ มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้นเหตุ มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นแดนเกิดอันใด กรรมน้ันเป็นอกุศล กรรมนน้ั มโี ทษ กรรมนั้นมที ุกข์เป็นผล” “บุคคลท�ำกรรมใดแล้ว ย่อมเดอื นร้อนภายหลัง มหี น้านองด้วยน�ำ้ ตา ร้องไห้ อยู่ เสวยผลแห่งกรรมใด กรรมน้นั ท�ำแล้วไม่ดเี ลย” อกศุ ลกรรมเปน็ การกระท�ำทไี่ ม่ดไี มง่ าม ผดิ ศลี ผดิ ธรรม ท�ำให้จติ เศรา้ หมอง มีทุกข์โทษภัยเดือดร้อนในภายหลงั ก่อให้เกดิ บาป พฤตกิ รรมที่จดั เป็นอกศุ ลกรรม คือ อกุศลกรรมบถ 10 แบ่งออก 3 ทาง คือทางกาย วาจา และใจ ดงั นี้ กายทุจริต หมายถึง การกระทำ�ชั่วทางกาย มี 3 ประการ คือ (1) ปาณาตบิ าต การจงใจฆ่าสตั ว์ (2) อทนิ นาทาน การจงใจลักขโมยของผู้อนื่ (3) กาเมสุมจิ ฉาจาร การจงใจประพฤตผิ ดิ ในกาม วจีทุจริต หมายถึง การกระทำ�ชั่วทางวาจา มี 4 ประการ คือ (1) มุสาวาท การจงใจพูดเทจ็ (2) ปิสุณาย วาจา การจงใจพูดส่อเสยี ด (3) ผรสุ าวาจา การจงใจ พูดค�ำหยาบ (4) สมั ผปั ปลาป การจงใจพูดเพ้อเจ้อ มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 130 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
มโนทุจริต หมายถึง การกระทำ�ชั่วทางใจ มี 3 ประการ คือ (1) อภิชฌา คิดเพ่งเลง็ อยากได้สงิ่ ของผู้อื่น (2) พยาบาท คิดปองร้ายเบียดเบียนผู้อื่น (3) มิจฉาทิฏฐิ คดิ ผดิ เหน็ ผิด 5.5.3 ความหมายและประเภทของวิบาก ค�ำว่า วบิ าก แปลว่า ผลทเ่ี กิดขนึ้ หมายถึง ผลแห่งกรรม ผลแห่งกรรมนั้นมี 2 ระดบั คอื เบอื้ งต้นนัน้ จะเกิดเป็น บญุ และบาป ข้นึ ใน ใจก่อน กล่าวคอื เม่ือเราท�ำกศุ ลกรรมก็จะเกดิ บุญขนึ้ ในใจ แต่เมอ่ื ท�ำอกุศลกรรมก็ จะเกดิ บาปขน้ึ ในใจ บญุ และบาปนเ้ี มอื่ เกดิ ขน้ึ แลว้ กจ็ ะอยใู่ นใจของเราและตามตดิ เรา ไปข้ามภพข้ามชาติ เมอ่ื ถึงเวลากจ็ ะส่งผลให้วิถชี ีวติ เป็นไปตามกรรมทก่ี ระท�ำไว้ ถามวา่ บญุ คอื อะไร บญุ หมายถงึ เครอื่ งช�ำระลา้ งจติ ใจใหส้ ะอาดบรสิ ทุ ธิ์ เปน็ สงิ่ อยเู่ บอื้ งหลงั ความสขุ ความส�ำเรจ็ ทงั้ ปวงของมนษุ ย์ บญุ เปน็ รากฐานของชวี ติ เปน็ ส่ิงท่ีคอยสนับสนุน เกื้อกูล ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองและมั่นคง บุญมีลักษณะเป็น ดวงกลม ใส สว่าง สถติ อยู่ ณ ศูนย์กลางกาย บรเิ วณกลางท้องของมนุษย์ทกุ คน บุญนน้ั เป็นสิง่ ละเอยี ด มองไม่เห็นด้วยตาเนอ้ื จะเหน็ ได้ก็ต่อเมือ่ ได้ฝึกสมาธิจนใจ ละเอียดในระดบั เดียวกบั บญุ จึงจะมองเห็นบญุ ได้ แมเ้ ราจะมองไมเ่ หน็ บญุ ดว้ ยตาเนอ้ื แตบ่ ญุ กย็ งั คงมอี ยขู่ องมนั อยา่ งนนั้ เพราะ สง่ิ ทเี่ รายงั มองไมเ่ หน็ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ขอ้ สรปุ วา่ สงิ่ นนั้ จะไมม่ ี เปรยี บเสมอื นกระแสไฟฟา้ เรา รู้ว่ามนั มีอยู่ แต่เรามองไม่เหน็ หรือพวกเชือ้ โรคต่าง ๆ เรารู้ว่ามนั มีอยู่แต่เรามองไม่ เหน็ ด้วยตาเปล่า จะเหน็ ได้กต็ ่อเมอื่ ได้ใช้กล้องจลุ ทรรศน์ส่องดู สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 131 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ยังมอี กี หนึ่งค�ำท่ีเกีย่ วข้องกบั บญุ คือ ค�ำว่า “บารมี” บารมนี นั้ กค็ อื บญุ เช่นกนั แต่เป็นบุญท่ีเข้มข้นมาก เป็นบุญท่ีควบแน่น กล่าวคือ บุญที่เราท�ำในแต่ละวันจะ ค่อย ๆ รวมตวั กนั มากขึน้ เร่ือย ๆ และจะกล่นั ตวั เป็นบารมี บาปคอื อะไร ค�ำวา่ บาป มาจากภาษาบาลวี า่ “ปาป”ํ พระอรรถกถาจารยก์ ลา่ ว ไวว้ า่ ชอื่ วา่ เปน็ บาป เพราะเปน็ ของลามก โดยความเปน็ ของเลวสว่ นเดยี ว บาปนน้ั ชอื่ ว่าเป็นความเศร้าหมอง เพราะท�ำจิตที่เคยประภัสสร และผ่องใสให้หม่นหมอง บาป น้นั ชื่อว่า ท�ำให้มีภพใหม่ เพราะท�ำให้เกิดทกุ ข์ในภพบ่อย ๆ บาปน้ันชอื่ ว่ามีความ กระวนกระวาย เพราะเป็นไปด้วยความกระวนกระวายคือความเดอื ดร้อน ชอื่ ว่า มี ทกุ ขเ์ ปน็ วบิ าก เพราะใหผ้ ลเปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งเดยี ว บาปนน้ั ชอ่ื วา่ เปน็ เหตใุ หม้ กี ารเกดิ ชรา และมรณะตอ่ ไปในอนาคตตลอดกาลนานไมม่ กี �ำหนด1 บณั ฑติ ในสมยั กอ่ นทงั้ หลาย เรียกบาปว่าเป็นเหงอื่ ไคล เพราะท�ำให้ใจท่ีปกตปิ ระภสั สร คอื สว่างไสวให้สกปรก คือ มดื มัว กรรมที่บุคคลประพฤติผ่านทางกาย วาจา และใจ ท้ังท่ีเป็นกุศลและอกุศล ย่อมมวี บิ าก คอื ผลแห่งการกระท�ำเสมอ วบิ ากจะเป็นประดุจเงาตดิ ตามกรรม โดย มีกรรมเป็นเหตุและวิบากเป็นผล กรรมและวิบากย่อมติดอยู่ในใจบุคคลผู้กระท�ำ กรรม เปรยี บดงั โปรแกรมอนั เปน็ ภาพแหง่ การกระท�ำและภาพแหง่ ผลของการกระท�ำ เมอื่ ใดทบี่ คุ คลฝกึ ฝนใจใหห้ ยดุ นง่ิ เปน็ สมาธิ หลดุ พน้ จากกเิ ลส เมอื่ นนั้ ยอ่ มสามารถ รู้เห็นกรรมและวิบากท่ีมีอยู่ในใจของตนและคนอื่นได้ ทั้งกรรมท่ีมีมาแต่อดีต และวิบากกรรมท่ีจะส่งผลต่อไปในอนาคต ดังทพ่ี ระผู้มพี ระภาคตรัสไว้ว่า เรานนั้ เมอ่ื จติ เปน็ สมาธิ บรสิ ทุ ธิ์ ผดุ ผ่อง ไม่มกี เิ ลส ปราศจากอปุ กเิ ลส ออ่ น ควรแก่การงาน ตั้งม่ัน ไม่หวัน่ ไหว อย่างน้ีแล้ว ได้น้อมจิตไปเพอ่ื ญาณเครอื่ งรู้จตุ ิ และอบุ ัติของสตั ว์ทั้งหลาย 1 ปรมัตถทีปน,ี อรรถกถาขุททกนกิ าย อิติวตุ ตกะ, มก. เล่ม 45 หน้า 282-283. มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 132 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เรานั้นย่อมเล็งเหน็ หมู่สตั ว์ผู้ก�ำลังจตุ ิ ก�ำลงั อบุ ัติ เลว ประณตี มผี ิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทพิ ยจักษอุ นั บรสิ ุทธลิ์ ่วงจกั ษุของมนุษย์ ย่อม รู้ชดั ซง่ึ หมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่าน้ี ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ตเิ ตียนพระอรยิ เจ้า เป็นมจิ ฉาทฏิ ฐิ ยดึ ถือการกระท�ำด้วยอ�ำนาจมิจฉาทฏิ ฐิ หมู่สัตว์ ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านนั้ เบ้อื งหน้าเมื่อกายแตกท�ำลายตายไป ย่อมเข้าถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระท�ำด้วยอ�ำนาจ สัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกดิ เป็นอยู่เหล่านน้ั เบอ้ื งหน้าเมอื่ กายแตกท�ำลายตายไป ย่อม เข้าถงึ สคุ ติโลกสวรรค์ เรายอ่ มเลง็ เหน็ หมสู่ ตั วผ์ กู้ �ำลงั จตุ ิ ก�ำลงั อบุ ตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มผี วิ พรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทพิ ยจกั ษอุ ันบรสิ ุทธ์ิล่วงจักษขุ องมนุษย์ ย่อมรู้ชดั ซงึ่ หมู่สตั ว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดงั นี้ 5.6 นสิ ยั : ปัจจัยสรา้ งกรรมอยา่ งตอ่ เนื่อง นิสยั หมายถงึ ความประพฤติที่เคยชนิ คนที่มีนสิ ยั อย่างไรก็จะท�ำอย่างน้ัน บ่อย ๆ เช่น มีนสิ ยั รักการให้ทาน ก็จะให้ทานอยู่บ่อย ๆ มนี ิสยั ชอบนนิ ทาคนอื่น ก็ จะนนิ ทาคนอน่ื อยู่บ่อย ๆ เป็นต้น นิสยั นั้นไม่ว่าจะเป็น “นิสัยด”ี หรือ “นสิ ัยไม่ด”ี หากเราไม่ปรับเปลี่ยนก็จะติดตัวเราไปตลอดชีวิตและจะติดตัวข้ามชาติอีกด้วย ในบางครง้ั เราจะไดย้ นิ ค�ำวา่ “อปุ นสิ ยั ” ซงึ่ หมายถงึ ความประพฤตทิ เี่ คยชนิ เปน็ พน้ื มา ในสนั ดาน 1 หรอื ตดิ ตวั มาข้ามชาตินนั่ เอง 1 ราชบัณฑิตยสถาน (2525). “พจนานกุ รม (ฉบับอเิ ลก็ ทรอนิกส์).” สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 133 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ในพระไตรปิฎกมีตัวอย่างเรื่องอุปนิสัยที่ติดตัวมาข้ามชาติมากมาย เช่น พระปิลนิ ทวัจฉเถระ เป็นต้น แม้จะเป็นพระอรหนั ต์แล้วแต่ท่านยังพดู กับผู้อ่ืนด้วย ค�ำวา่ “เจา้ ถอ่ ย” เสมอ ซงึ่ เปน็ เพราะความเคยตวั ทต่ี ดิ มาจากภพอนื่ 1 การสรา้ งบารมี 30 ทศั ได้แก่ ทานบารมี เป็นต้น ของพระโพธสิ ัตว์และพระสาวกกเ็ หมือนกัน ต้อง ท�ำจนเป็นนสิ ยั จนบารมเี ตม็ เปี่ยมจงึ ตรัสรู้ธรรมได้ 5.6.1 ความส�ำคัญของนสิ ยั นิสยั มคี วามส�ำคญั ตรงทเี่ ป็นเหตใุ ห้เราสร้างกรรมบางอย่างอยู่เป็นประจ�ำหรอื ต่อเนอ่ื ง กลา่ วคอื ถา้ มนี สิ ยั ดกี จ็ ะสร้างกรรมดอี ยเู่ ป็นประจ�ำ ถา้ มนี สิ ยั ไม่ดกี จ็ ะสร้าง กรรมชัว่ อยู่เป็นประจ�ำ ผลที่เกดิ ขึน้ คอื หากเรามีนิสัยท่ีดีเราก็จะท�ำกรรมดอี ย่างต่อ เนอื่ งและจะได้บญุ เพม่ิ ขน้ึ อย่างต่อเน่อื งเช่นกนั แต่ถ้าเรามนี สิ ยั ไม่ดเี รากจ็ ะท�ำกรรม ชว่ั อย่างต่อเนื่องและจะได้บาปเพม่ิ ขึน้ อย่างต่อเน่อื งด้วย พระเดชพระคณุ พระราชภาวนาจารย์ หรอื หลวงพอ่ ทตั ตชโี ว กลา่ วไวว้ า่ “นสิ ยั ส�ำคัญกว่าความรู้” ซง่ึ สอดคล้องกบั ค�ำกล่าวทีว่ ่า “ความรู้ท่วมหวั แต่เอาตวั ไม่รอด” และ “ดชี ว่ั รหู้ มดแตอ่ ดไมไ่ ด้” กล่าวคอื แมเ้ ราจะมคี วามรมู้ ากทง้ั ความรทู้ างโลกและ ทางธรรม แต่ถ้าเราไม่ปรบั ปรงุ นสิ ัยให้ดี เราเองก็จะท�ำชั่วอยู่เร่ือย ๆ ตามนสิ ยั ไม่ดี ของเรา เหมือนคนท่มี ีนสิ ยั ชอบดดู บหุ รี่ ชอบเที่ยวและใช้บรกิ ารหญิงโสเภณี เขาก็รู้ อยเู่ ตม็ อกวา่ ตนเองอาจเปน็ โรครา้ ยจนถงึ ขน้ั เสยี ชวี ติ ไดเ้ พราะสง่ิ เหลา่ น้ี ถงึ กระนนั้ เขา กย็ งั ท�ำสง่ิ นน้ั อยเู่ ปน็ ประจ�ำ บหุ รแ่ี ละสถานบรกิ ารทางเพศจงึ เปน็ ธรุ กจิ ทยี่ งั ท�ำก�ำไรได้ มากในเกือบทุกประเทศ ในขณะเดียวกันผู้ติดเชื้อเอดส์และเป็นโรคระบบทางเดิน หายใจกเ็ พิ่มขึ้นทวั่ โลกเช่นกนั 1 มโนรถปูรณี, อรรถกถาองั คตุ ตรนกิ าย เอกนิบาต, มก. เล่ม 32 หน้า 428. มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 134 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
5.6.2 นิสยั เกิดข้นึ ได้อย่างไร นิสัย คือ ความประพฤติท่ีเคยชิน ด้วยเหตุน้ีนิสัยจึงเกิดข้ึนจากการที่เรา คิด พูด และท�ำสง่ิ ใดส่ิงหนึง่ อยู่บ่อย ๆ อย่างต่อเนอ่ื งด้วยระยะเวลาหนง่ึ ดังทฤษฎี ของนายแพทย์ชาวตะวันตก ท่านหนึ่งชื่อ แม็กซ์เวลล์ ที่ว่า “หากท�ำอะไรก็ตาม ต่อเน่ืองกัน 21 วนั ก็จะเกิดเป็นนิสยั ” 5.6.3 ห้าห้องแหล่งบ่มเพาะนิสัย พระเดชพระคณุ พระราชภาวนาจารยไ์ ดศ้ กึ ษาพระไตรปฎิ กอยา่ งละเอยี ดลกึ ซง้ึ และน�ำมาใช้ฝึกอบรมศษิ ยานศุ ษิ ย์นบั ล้านคนตลอด 40 ปที ผ่ี า่ นมา ท่านไดส้ รปุ ไวว้ ่า แหลง่ บม่ เพาะนสิ ยั คอื สถานทที่ เ่ี ราใชอ้ ยเู่ ปน็ ประจ�ำในชวี ติ ประจ�ำวนั ซงึ่ มอี ยู่ 5 แหง่ หรอื 5 ห้อง คอื ห้องนอน ห้องน้ำ� ห้องครัว ห้องแต่งตัว และห้องท�ำงาน โดยห้อง ท�ำงานนน้ั ขน้ึ อยู่กบั เพศภาวะ อาชพี และวยั กล่าวคอื หากเป็นนกั เรยี นห้องท�ำงานก็ คือ ห้องเรียน ส่วนผู้ใหญ่ก็มีห้องท�ำงานแตกต่างกันตามอาชีพ เช่น ชาวนามีห้อง ท�ำงาน คอื ท้องนาฟ้าโลง่ นกั ธรุ กจิ มหี ้องท�ำงาน คอื ห้องแอร์เยน็ ๆ ส่วนหอ้ งท�ำงาน ของนกั สร้างบารมี คอื วัดหรือแหล่งบญุ อนื่ ๆ วงจรชีวติ ของมนุษย์ทกุ คนจะหมุนเวยี นอยู่ในห้องท้ัง 5 น้ีทกุ วัน คอื ต่นื เช้า ขึน้ มาจากห้องนอน กเ็ ข้าไปล้างหน้าล้างตาและขบั ถ่ายในห้องนำ้� จากนนั้ ก็เข้าไปรบั ประทานอาหารในหอ้ งครวั เสรจ็ แลว้ กแ็ ตง่ เนอ้ื แตง่ ตวั ในหอ้ งแตง่ ตวั แลว้ กน็ ง่ั รถออก จากบา้ นเพอ่ื ไปหอ้ งท�ำงาน ตกเยน็ กก็ ลบั เขา้ หอ้ งนอน ซงึ่ จะหมนุ เวยี นเปน็ วฏั จกั รเชน่ น้ไี ปตลอดชวี ติ ด้วยเหตุนน้ี ิสัยทัง้ ดีและไม่ดจี งึ เกดิ ข้ึนจาก 5 ห้องน้ีเป็นหลกั เพราะ เราใช้อยู่เป็นประจ�ำ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 135 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
5.6.4 หลักการบ่มเพาะนิสัยท่ีดี เมอื่ เรารแู้ ลว้ วา่ 5 หอ้ งดงั กลา่ วขา้ งตน้ เปน็ แหลง่ บม่ เพาะนสิ ยั ทง้ั ดแี ละไมด่ กี บั เรา ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องบริหารจดั การห้องท้งั 5 นใี้ หม่ให้เป็นไปเพ่ือบ่มเพาะนิสยั ท่ี ดลี ว้ น ๆ ถามวา่ ท�ำไมตอ้ งท�ำถงึ ขนาดน้ี ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ ไปตามธรรมชาตไิ มไ่ ดห้ รอื เรอ่ื ง นีพ้ ระเดชพระคณุ พระราชภาวนาจารย์ ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “ของดตี ้องปลกู ส่วนของ ไมด่ ไี มจ่ �ำเปน็ ตอ้ งปลกู มนั งอกขนึ้ เองตามธรรมชาต”ิ เชน่ หญา้ เราไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งปลกู มนั ขน้ึ ของมนั เอง ส่วนข้าวเราต้องปลกู จงึ จะได้กนิ หากไมป่ ลกู กไ็ มม่ ใี หก้ นิ นสิ ยั ไม่ดี กเ็ ช่นกนั เราไม่ต้องปลูกมันจะเกิดขน้ึ เองจากการด�ำเนินชีวิตแต่ละวนั ของเรา ล�ำพัง เพียงการตามก�ำจดั ก็หนักแรงอยู่แล้ว ในทางตรงข้าม คือ นิสัยที่ดหี ากเราไม่ต้ังใจ ปลกู มนั มกั จะไม่เกดิ เหมือนกบั ข้าวอย่างไรอย่างน้นั การบริหารจัดการห้องทั้ง 5 ให้เป็นไปเพื่อการบ่มเพาะนิสัยที่ดีมีหลักการ ว่า “ต้องจัดทำ�สิ่งแวดล้อมในห้องทั้ง 5 ให้ดีและต้องมีวิธีการใช้ห้องที่ถูกต้อง” สิ่งแวดล้อมในที่นี้ คือ รูปแบบห้อง อุปกรณ์ และบุคคล ส่วนวิธีการใช้ห้อง คือ วิธีการใช้ที่ทำ�ให้เกิดนิสัยที่ดีขึ้นนั่นเอง (1) รปู แบบห้อง เราต้องคิดว่า รปู แบบของห้องแต่ละห้องที่เป็นไปเพื่อการ บ่มเพาะนิสัยที่ดีให้เกิดขึ้นกับเราและคนในครอบครัวควรจะเป็นอย่างไร เช่น ห้อง นอน ถ้าเราต้องการให้ลกู ของเรามีนิสัยที่ดี คือ สวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิก่อน นอนทุกคืน เราก็ต้องออกแบบห้องให้เหมาะกับการสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ กล่าวคือ ห้องจะต้องป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อน และควรมีพื้นที่สำ�หรับวางชดุ โต๊ะหมู่เล็ก ๆ ไว้ในห้อง หรือที่สำ�หรับแขวน ภาพองค์พระ เป็นต้น ส่วนรปู แบบของห้องอื่น ๆ ก็เช่นกัน คือ ต้องเกื้อหนนุ ต่อการ บ่มเพาะนิสัยที่ดี มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 136 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(2) อุปกรณ์ในห้อง อุปกรณ์ทุกอย่างที่ใช้ในห้องแต่ละห้องก็ต้องเกื้อหนุน ตอ่ การบม่ เพาะนสิ ยั ทดี่ ี อปุ กรณใ์ ดทจี่ ะท�ำ ใหน้ สิ ยั ไมด่ เี กดิ ขนึ้ ตอ้ งน�ำ ออกไป โดยหอ้ ง นอนควรมีอุปกรณ์ดังนี้ เช่น ภาพองค์พระ หรือชดุ โต๊ะหมู่เล็ก ๆ สำ�หรับกราบก่อน นอน, แฟ้มภาพการสั่งสมบุญสำ�หรับเอาไว้ดูเพื่อนึกถึงบุญจะได้หลับในอู่ทะเลบุญ, เตยี งนอนกไ็ มค่ วรเปน็ เตยี งทนี่ มุ่ มากไปเพราะท�ำ ใหน้ อนสบายจนเกนิ ไปเปน็ เหตใุ หต้ นื่ สาย เป็นต้น ส่วนอุปกรณ์ที่ไม่ควรมีในห้องนอน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เพราะ จะท�ำ ใหเ้ รามโี อกาสดหู นงั ดลู ะครเพลนิ อนั เปน็ เหตใุ หน้ อนดกึ และตนื่ สายจนเปน็ นสิ ยั และการดหู นงั บางเรอื่ งทมี่ เี นอื้ หารนุ แรงกจ็ ะบม่ เพาะนสิ ยั ไมด่ ใี หเ้ ราไดเ้ ชน่ กนั ภาพที่ ไม่เหมาะสมก็ไม่ควรติดไว้ในห้องนอน เช่น ภาพดารา ภาพโป๊ เป็นต้น ส่วนอุปกรณ์ ในห้องอื่น ๆ ก็มีหลักการเช่นเดียวกัน คือ ต้องเกื้อหนุนต่อการบ่มเพาะนิสัยที่ดี (3) บคุ คลในหอ้ ง บคุ คลนนั้ เปน็ สิง่ แวดลอ้ มทีส่ �ำ คญั มาก เปน็ ตน้ แบบหลกั แหง่ นสิ ยั ดแี ละไมด่ ขี องมนษุ ย์ บคุ คลในทีน่ ี้ คอื ทศิ 6 หมายถงึ ผทู้ ีอ่ ยแู่ วดลอ้ มของ มนษุ ย์ทุกคน ทิศเบื้องหน้า คือ บิดามารดา ทิศเบื้องหลัง คือ บตุ รภรรยา ทิศเบื้อง ขวา คือ ครอู าจารย์ ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหาย ทิศเบื้องบน คือ พระภิกษุ ส่วน ทิศเบื้องล่าง คือ ลกู น้องพนักงาน บุคคลในทิศทั้ง 6 นี้มนุษย์ทุกคนจะต้องเจอต้องพูดต้องคุยกันเกือบทุกวัน ตามห้องต่าง ๆ ทั้ง 5 ห้องดังกล่าวมาแล้ว ถ้าคนทั้ง 6 ทิศที่แวดล้อมเราอยู่นี้ส่วน ใหญ่เป็นคนดี เราก็จะเห็นต้นแบบที่ดีอยู่เป็นประจำ� ทำ�ให้เราคิดถึงสิ่งที่ดี พดู ถึงสิ่ง ที่ดีที่ได้เห็นนั้นเป็นประจำ� และในที่สุดเราก็จะทำ�สิ่งที่ดีนั้นเป็นประจำ�ด้วย นั่นหมาย ถงึ เราตดิ นสิ ยั ทดี่ จี ากทศิ ทงั้ 6 นนั้ มาแลว้ ในทางตรงขา้ มหากบคุ คลทอี่ ยแู่ วดลอ้ มเรา สว่ นใหญเ่ ปน็ คนไมด่ ี เรากจ็ ะเหน็ ตน้ แบบทไี่ มด่ อี ยเู่ ปน็ ประจ�ำ เมอื่ เราเหน็ เปน็ ประจ�ำ กเ็ ป็นเหตใุ หเ้ ราคิดถึงสิ่งทีไ่ ม่ดี พดู ถึงสิง่ ที่ไมด่ ีที่ได้เห็นนัน้ เปน็ ประจ�ำ และในทีส่ ดุ เรา ก็จะท�ำ สิ่งที่ไมด่ ีนัน้ เปน็ ประจ�ำ ดว้ ย นั่นหมายถงึ เราติดนิสัยที่ไมด่ จี ากทศิ ทั้ง 6 นัน้ มา แล้ว สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 137 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าจึงตรัสสอนว่า “บุคคลคบคนเช่นใดย่อมเป็นเหมือนคน เชน่ นนั้ ” ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ ควรคบแตค่ นดแี ละหลกี หนใี หห้ า่ งไกลจากคนพาล ถามวา่ หาก คนพาลนนั้ เปน็ คนทมี่ พี ระคณุ ตอ่ เราหรอื เปน็ คนทเี่ ราจ�ำ เปน็ ตอ้ งอยดู่ ว้ ย จะท�ำ อยา่ งไร เชน่ บดิ า มารดา เปน็ ตน้ หากเปน็ เชน่ นีเ้ ราคงหลกี หนไี มไ่ ด้ แตใ่ หเ้ ราอยกู่ บั ทา่ นอยา่ ง มีสติ ไม่รับนิสัยไม่ดีต่าง ๆ มาสู่เรา และอดทนคอยเป็นกัลยาณมิตรให้แก่ท่าน เช่น ชวนบดิ ามารดามาท�ำ บญุ และฟงั ธรรมทีว่ ัดในโอกาสตา่ ง ๆ เมือ่ ทา่ นไดท้ �ำ บญุ และฟงั ธรรมบ่อย ๆ นิสัยไม่ดีในตัวท่านก็จะลดลงเอง (4) วิธีการใช้ห้อง วิธีการใช้ห้องที่ถกู ต้องนั้นมีหลักการสำ�คัญเช่นเดียวกัน คือ ต้องใช้แล้วก่อให้เกิดนิสัยที่ดีแก่เรา เช่น ห้องนอนควรมีวิธีการใช้ห้องตอนก่อน นอน ขณะนอน และหลังจากตื่นนอนดังต่อไปนี้ 1.) เข้าห้องนอนไม่ควรเกนิ 4 ทุ่ม 2.) สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน 3.) นง่ั สมาธแิ ละแผ่เมตตาก่อนนอน 4.) นกึ ถึงบุญและอธิษฐานจติ ก่อนนอน 5.) นอนในอู่แห่งทะเลบญุ คือ นึกถงึ บญุ หรือความดที ท่ี �ำมาไปจนกว่าจะ หลบั ถา้ หากท�ำไดค้ วรนอนตะแคงขวาหรอื ส�ำเรจ็ สหี ไสยาสน์ เพราะเปน็ ท่านอนทีท่ �ำให้มสี ติและส่งผลดตี ่อสุขภาพมากที่สุด 6.) ตน่ื นอนแต่เช้า 7.) ขณะตน่ื นอนกใ็ ห้นึกว่า “เราโชคดที ี่รอดมาได้อกี หนง่ึ วัน ขอให้สรรพ- สัตว์ท้ังหลายจงมีความสุข อันตัวเรานั้นตายแน่ตายแน่” จะได้ไม่ ประมาทในการด�ำเนินชีวิตตลอดท้ังวัน 8.) เกบ็ ทีน่ อนพบั ให้เรียบร้อย ฯลฯ มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 138 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
เมื่อเราปฏิบัติตามวิธีการใช้ห้องนอนเช่นนี้ จะทำ�ให้เราเป็นคนตรงต่อเวลา รัก ในการสั่งสมบญุ มจี ิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ทัง้ หลาย เปน็ คนไม่ประมาทในการด�ำ เนนิ ชีวิต และเป็นคนรักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มักง่าย เป็นต้น และที่สำ�คัญบุญ กศุ ลกจ็ ะเกดิ ขนึ้ กบั เราทกุ คนื ทกุ วนั อยา่ งตอ่ เนอื่ ง เมอื่ ละโลกไปแลว้ เรากจ็ ะมสี คุ ตโิ ลก สวรรค์เป็นที่ไป วิธีการใช้ห้องแต่เดิมที่เคยทำ�มาแล้วส่งผลให้เกิดนิสัยไม่ดี เช่น ดหู นังจนดึก นอนอยา่ งไมม่ สี ติ ตนื่ กส็ าย ตนื่ แลว้ กไ็ มเ่ กบ็ ทีน่ อนใหเ้ รยี บรอ้ ย เปน็ ตน้ กใ็ หเ้ ลกิ เสยี ส่วนวิธีการใช้ห้องอื่น ๆ ก็เช่นกัน คือ ต้องเป็นวิธีที่เกื้อหนุนต่อการบ่มเพาะนิสัยที่ดี ให้เกิดขึ้น 5.7 กรรมลขิ ิตชวี ิตมนษุ ย์และสรรพสตั วท์ ัง้ หลาย มนษุ ย์และสรรพสัตว์ท้ังหลายเกิดมาพร้อมกบั ความไม่รู้ เช่น ไม่รู้ว่าท�ำไมตน ตอ้ งเกดิ มาและมชี วี ติ เปน็ อยา่ งนี้ ท�ำไมบางคนจงึ เกดิ มายากจน บางคนเกดิ มารำ่� รวย ท�ำไมจงึ เกดิ มาพกิ ารขณะทบ่ี างคนแขง็ แรง เปน็ ตน้ เมอ่ื ไมร่ จู้ งึ ดน้ เดาเอาวา่ เปน็ เพราะ พรหมลิขติ บ้างหรือฟ้าลขิ ติ บ้าง มนุษย์โดยมากมีความเชื่ออย่างน้ีเพราะว่าไม่มีทิพยจักษุเหมือนพระสัมมา- สัมพทุ ธเจ้าและพระอรหนั ต์ทงั้ หลาย ถ้าหากว่ามีทิพยจกั ษกุ จ็ ะรู้ว่าจริง ๆ แล้วชีวติ ของมนษุ ย์ข้นึ อยู่กบั กรรม ดงั ทพ่ี ระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรสั ว่า “กมมฺ นุ า วตตฺ ตี โลโก : สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” กรรมเป็นตัวลิขิตวิถีชีวิตของมนุษย์และสัตว์ท้ัง หลาย ท้ังกรรมในอดีตชาติและกรรมในปัจจุบันชาติ โดยกรรมในอดีตชาติจะเป็น หลกั ส่วนกรรมในปัจจบุ ันชาติจะเป็นส่วนเสรมิ กรรมในอดตี เปน็ เสมอื นตน้ ไมใ้ หญซ่ ง่ึ ปลกู ไวน้ านแลว้ จงึ สง่ ผลแกว่ ถิ ชี วี ติ ของ เราอย่างเต็มที่ ส่วนกรรมในปัจจุบนั เปรียบเสมอื นต้นไม้ทีเ่ พิ่งปลูกจึงยังให้ผลได้ไม่ มากนัก ชาวโลกท่ไี ม่มีความเข้าใจเรื่องการให้ผลของกรรมจงึ มักคดิ ไปว่า “ท�ำดไี ด้ดี สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 139 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
มีท่ไี หน ท�ำชั่วได้ดีมีถมไป” เนอ่ื งจากในชาตินตี้ นเองต้ังใจท�ำความดี แต่ดเู หมือนว่า ผลแหง่ กรรมดนี นั้ ยงั ไมป่ รากฏผลเทา่ ทคี่ วร ในขณะทบ่ี างคนท�ำแตค่ วามชวั่ แตช่ วี ติ เขาจึงยงั เจรญิ รุ่งเรอื งอยู่ได้ เพราะอาศยั กรรมดที ่เี ขาได้ท�ำไว้ในอดตี มาส่งผล ส่วน กรรมชั่วท่ีเขาท�ำในชาติน้ียังไม่ส่งผลอย่างเต็มที่แต่จะไปส่งผลในชาติหน้าเป็นหลัก ส�ำหรบั คนทท่ี �ำดแี ลว้ ดเู หมอื นวา่ ตนเองไมไ่ ดด้ นี นั้ เพราะในอดตี ชาตทิ �ำกรรมดใี นดา้ น น้ัน ๆ มาน้อย และกรรมดีท่ีท�ำในชาติน้ีก็ยังส่งผลไม่เต็มที่เพราะเป็นต้นกล้าแห่ง ความดที เี่ พง่ิ ปลกู อยู่ ยงั เกบ็ เกยี่ วผลอะไรไดไ้ มม่ ากนกั จ�ำเปน็ ตอ้ งรอคอยเวลาตอ่ ไป พระเดชพระคณุ พระราชภาวนาจารยเ์ คยกลา่ วถงึ เรอื่ งการใหผ้ ลของกรรมไวว้ า่ คนเราเม่อื ท�ำความดีอะไรนดิ ๆ หน่อย ๆ แล้วอยากจะให้ได้รบั ผลทันตาเหน็ ทนั ที ซึ่งเป็นไปได้ยาก เมื่อความดียังไม่ผลดิ อกออกผลก็ท้อแท้ใจ ไม่อยากท�ำความดีอีก ต่อไป อยากจะใหเ้ ราลองนกึ ในทางกลบั กนั บา้ ง คอื หากเราท�ำความชวั่ แลว้ ได้รบั ผล ทันตาเห็นทนั ทแี ล้วจะเป็นอย่างไร เช่น ทันทที ีพ่ ูดโกหกฟันกร็ ่วงในขณะน้ัน ซึ่งคง ไมม่ ใี ครตอ้ งการใหเ้ ปน็ เชน่ น้ี และถา้ เปน็ อยา่ งนจี้ รงิ ชาวโลกจ�ำนวนมากในปจั จบุ นั คง ไม่มฟี ันเหลืออยู่ในปากแล้ว 5.8 เปา้ หมายชีวิตของมนุษย์ เป้าหมายชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์ท้ังหลายที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก นนั้ มอี ยู่ 3 ระดบั คอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ และปรมตั ถ- ประโยชน์ 1 โดยทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์ หมายถึง เป้าหมายชีวิตในชาตนิ ้ี หรอื เป้า หมายชีวิตในระดบั ต้น สัมปรายิกตั ถประโยชน์ หมายถึง เป้าหมายชีวิตในชาติหน้า หรือเป้าหมายชวี ิตในระดับกลาง ส่วนปรมัตถประโยชน์ หมายถึง เป้าหมายชีวิตใน ภพชาตสิ ดุ ท้าย หรอื เป้าหมายชีวิตในระดับสงู สุด 1 ปณุ ณกมาณวกปัญหานิเทส, ขทุ ทกนกิ าย จฬู นิทเทส, มก. เล่ม 67 ข้อ 122 หน้า 72. มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 140 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1.) เป้าหมายชีวิตระดับต้น คือ การสร้างตัวสร้างฐานะให้มั่นคงในชาติน้ี ความส�ำคัญของการสร้าง ตวั อยู่ตรงทม่ี คี ุณสมบตั ขิ องผู้ครองเรอื นทดี่ ี และการสร้างฐานะอยู่ทก่ี ารมอี าชพี การ งานมนั่ คง สจุ รติ ไมผ่ ดิ กฎหมาย ไมผ่ ดิ ศลี ธรรม จะเปน็ อาชพี อะไรกต็ ามความถนดั ของแตล่ ะคน ไมว่ า่ จะเปน็ นกั ธรุ กจิ แพทย์ ครู พอ่ คา้ ชาวนา ชาวไร่ เมอื่ ตงั้ เปา้ หมาย ชวี ติ แล้ว กม็ ุ่งมน่ั ฝึกฝนตนเองสร้างตวั สร้างฐานะให้บรรลุเป้าหมายชวี ติ ระดบั ต้นให้ ได้ โดยมีหลกั การว่า “ต้องสร้างตัวสร้างฐานะไปพร้อมกับการสร้างศลี ธรรมในตน” เพอื่ ใหเ้ สน้ ทางชวี ติ ในชาตนิ ขี้ องตน ไมเ่ ปน็ พษิ เปน็ ภยั แกใ่ คร และยงั ท�ำประโยชนใ์ หญ่ ให้แก่ผู้อืน่ ทย่ี ังลืมตาอ้าปากไม่ได้ในสงั คมอีกด้วย 2.) เป้าหมายชีวิตระดับกลาง คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อประโยชน์ในชาติหน้าว่า นอกจากจะ พยายามตง้ั ฐานะของตนใหไ้ ดแ้ ลว้ กจ็ ะตง้ั ใจสรา้ งบญุ กศุ ลอยา่ งเตม็ ทใี่ นทกุ ๆ โอกาส ทอ่ี �ำนวยให้ เพอื่ สะสมเปน็ ทนุ เปน็ เสบยี งในภพชาตติ อ่ ไป เพราะวา่ สตั วท์ งั้ หลายตาย แลว้ ไมส่ ญู ตราบใดทยี่ งั ไมห่ มดกเิ ลส กย็ งั ตอ้ งเกดิ ใหมต่ อ่ ไปอกี และขมุ ทรพั ยอ์ ยา่ ง เดยี วทค่ี นเราจะน�ำตดิ ตวั ไปสร้างความเจรญิ ในภพชาตใิ หม่ได้ ก็คือ “บุญ” เท่านน้ั แต่เพราะบางคนขาดความเข้าใจความจริงในเรอ่ื งน้ี จึงคดิ แต่จะหาประโยชน์เฉพาะ ในชาตนิ ี้ โดยไมไ่ ดค้ �ำนงึ ถงึ ประโยชนใ์ นชาตหิ นา้ ตง้ั ใจเพยี งสรา้ งฐานะเทา่ นน้ั ไมส่ นใจ สร้างบุญสร้างกุศล ชีวิตจะมีคุณค่าสักเพียงใด หากพิจารณาดูให้ดีก็ไม่ต่างไปจาก นกกา ทโ่ี ตขนึ้ มากท็ �ำมาหากนิ เลยี้ งตัว แล้วก็แก่เฒ่าตายไปเหมอื นกนั แต่ชวี ติ ของ คนมรี า่ งกายทเี่ หมาะกบั การสงั่ สมคณุ ความดมี ากทส่ี ดุ เมอื่ สามารถสรา้ งตวั สรา้ งฐานะ ได้แล้ว ต้องคิดท่ีจะสร้างคุณค่าให้กับชีวิต ด้วยการต้ังใจสั่งสมความดีทุกรูปแบบ เพ่ือเป็นเสบียงในการเดินทางข้ามภพข้ามชาติ และเป็นปัจจยั ในการบรรลเุ ป้าหมาย ชีวติ ขน้ั สูงสุด จึงจะคุ้มค่ากับการเกดิ มาเป็นมนุษย์ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 141 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
3.) เป้าหมายชีวิตในระดับสงู สดุ คือ การตงั้ เป้าหมายชวี ติ เพื่อประโยชน์อย่างย่งิ ได้แก่ การต้ังใจปฏิบตั ิ ธรรมเพ่ือปราบกิเลสให้หมดส้ิน แล้วเข้าถึงพระนิพพานตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ต้องเวยี นว่ายตายเกิดอีกต่อไป ทุกชีวติ เม่ือยังไม่หมด กเิ ลสก็ยังต้องประสบทกุ ข์ ต้องเจอกบั ปัญหาความยากจน ความเจบ็ ความโง่ มาก บ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป ตามกรรมท่ไี ด้กระท�ำไว้ หากด�ำเนนิ ชวี ติ ผิดพลาดกจ็ ะ ประสบทุกข์มาก แต่หากรู้วิธีด�ำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีเป้าหมายชีวิต เช่นเดียวกับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์แล้วกจ็ ะหมดทุกข์ตามท่านไป การจะหมดทุกข์ได้ต้องมีความเพียร หม่ันฝึกฝนอบรมตนเองอย่างย่ิงยวด นับภพนบั ชาติไม่ถ้วน เรียกว่า การสร้างบารมี 10 ทัศ คือ ทานบารมี ศลี บารมี เนกขมั มบารมี ปญั ญาบารมี วริ ยิ บารมี ขนั ตบิ ารมี สจั จบารมี อธษิ ฐานบารมี เมตตา- บารมี อเุ บกขาบารมี อนั เปน็ หลกั สตู รสากลของผฝู้ กึ ตนเพอื่ มงุ่ หลดุ พน้ จากวฏั สงสาร ทเ่ี รยี กว่า “นักสร้างบารม”ี ดังเช่นพระโพธสิ ตั ว์ทั้งหลาย เป็นต้น ผทู้ ม่ี เี ปา้ หมายสงู สดุ เชน่ น้ี ในระหวา่ งทฝี่ กึ ตนเพอื่ บ�ำเพญ็ บารมอี ยนู่ ี้ ยอ่ มตอ้ ง ต่อสู้ฟันฝ่ากบั อุปสรรคมากมาย คอื “กเิ ลสตน” “กเิ ลสคนอน่ื ” และ “วบิ ากกรรมชว่ั ” ทต่ี นเคยท�ำผดิ พลาดไวใ้ นอดตี ไปตลอดเสน้ ทาง จนกวา่ กเิ ลสจะหมดสนิ้ วบิ ากกรรม จะมลายสญู และบารมีเตม็ เปี่ยมบริบรู ณ์ จึงบรรลุเป้าหมายสงู สดุ ของชวี ิต คอื การ ก�ำจัดทุกข์ได้หมดส้ิน เป็น “พระอรหนั ต์” ผู้หลุดพ้นจากวฏั สงสาร ไม่ต้องย้อนกลับ มาเวยี นว่ายตายเกิดอกี ต่อไป ดงั นนั้ คนฉลาดทคี่ ดิ ไดเ้ รว็ เปน็ ผทู้ เี่ ขา้ ใจถกู วา่ เปา้ หมายสงู สดุ ของชวี ติ คอื อะไร ในระหวา่ งทกี่ �ำลงั สรา้ งตวั สรา้ งฐานะอยนู่ ี้ กต็ อ้ งรบี เรง่ ขวนขวายท�ำความดี สงั่ สมบญุ กศุ ล หมัน่ ให้ทาน รกั ษาศีล เจริญภาวนาอย่างเต็มที่ และในการท�ำความดที ุกอย่าง ให้อธิษฐานว่าให้เป็นปัจจัยสู่การบรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ การเข้าถึงพระนิพพาน มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 142 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เอาไวด้ ว้ ย เพอื่ ใหเ้ ปน็ อดุ มการณส์ งู สดุ ของชวี ติ ทต่ี ดิ เปน็ นสิ ยั ขา้ มภพขา้ มชาตไิ ป อนั เป็นการออกแบบชีวิตในภพชาติเบ้ืองหน้าให้มีเหตุปัจจัยเกื้อหนุนค�้ำจุนให้สามารถ ด�ำเนินไปในหนทางท่ีถูกต้องของการสร้างบารมีแต่เพียงอย่างเดียว จนในท่ีสุด ชาตใิ ดชาตหิ นงึ่ เบอ้ื งหนา้ เมอื่ บารมที สี่ ง่ั สมมาเตม็ เปย่ี มบรบิ รู ณเ์ หมอื นนำ�้ ทหี่ ยดลงตมุ่ ทลี ะหยด ๆ จนกระทัง่ นำ้� เตม็ ตุ่มได้ส�ำเร็จ กย็ ่อมสามารถขจดั กเิ ลสได้หมด ได้เข้าสู่ อายตนนพิ พานตามพระพุทธองค์ไป 4.) ความสำ�คัญของเป้าหมายชีวิต เป้าหมายชีวติ นั้นมคี วามส�ำคญั มาก เพราะเป็นจดุ หมายปลายทางของ การด�ำเนนิ ชวี ติ ของเรา ความคดิ ค�ำพดู และการกระท�ำทกุ อยา่ งในแตล่ ะวนั จะมงุ่ ไป สเู่ ปา้ หมายทเ่ี ราไดต้ งั้ ไว้ หากเราไมต่ ง้ั เปา้ หมายชวี ติ ไว้ เรากจ็ ะไมต่ า่ งอะไรกบั นกกาที่ หากนิ เพอื่ ความอยรู่ อดไปวนั หนงึ่ ๆ เมอ่ื หมดอายขุ ยั กต็ ายจากโลกนไ้ี ป คนมเี ปา้ หมาย ชีวิตเปรยี บเสมอื นเรอื เดินสมทุ รทม่ี ีหางเสือ มกี ัปตันคอยชท้ี างว่าจะน�ำเรอื มุ่งหน้าไป ทางไหน เรอื เดนิ สมทุ รล�ำนจ้ี งึ ตา่ งจากขอนไมท้ ลี่ อ่ งลอยอยา่ งไรจ้ ดุ หมายอยกู่ ลางทะเล ซึ่งถูกคลืน่ ลกู นน้ั ลกู นซ้ี ัดไปมาให้เคว้งคว้างอยู่และผพุ งั คว่�ำจมไปตามกาลเวลา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกท้ังหลายเป็นต้นบุญต้นแบบในการ ด�ำเนินชีวิตให้แก่เราได้เป็นอย่างดี จุดเริ่มต้นของพระพุทธองค์ก็เหมือนกับพวกเรา คือ ขณะยังเป็นคนธรรมดาสามัญ ในชาติหนึ่งท่านลอยคออยู่กลางทะเลเพราะเรือ อับปาง บนบ่าท้ังสองแบกมารดาไว้ ในขณะน้ันเองท่านเห็นความทุกข์ยากของการ เวยี นว่ายตายเกิด จึงเกิดแรงบันดาลใจทจี่ ะน�ำตนและสัตว์ทง้ั หลายให้พ้นจากความ ทกุ ขน์ ี้ จงึ ตง้ั เปา้ หมายชวี ติ วา่ “จะตอ้ งสรา้ งบารมเี พอ่ื ตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองค์หน่งึ ในอนาคตให้จงได้” เมอ่ื ทา่ นตง้ั ใจมน่ั อยา่ งนแี้ ลว้ ตงั้ แตช่ าตนิ นั้ เปน็ ตน้ มา จงึ เรง่ สรา้ งบารมอี ยา่ งเอา ชวี ติ เปน็ เดมิ พนั เรอื่ ยมา ช่วงระหวา่ งการสรา้ งบารมนี นั้ ทา่ นกไ็ ดช้ กั ชวนมหาชนให้ตงั้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 143 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เปา้ หมายสงู สดุ ของชวี ติ คอื การหลดุ พน้ จากกเิ ลสอาสวะตามพระองคด์ ว้ ย เมอ่ื ครบ 20 อสงไขยกบั แสนมหากัปก็ได้ตรสั รู้เป็นพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า พุทธบรษิ ัทจ�ำนวน มากทไี่ ดส้ รา้ งบารมตี ามค�ำชกั ชวนของพระองคก์ ไ็ ดต้ รสั รธู้ รรมตามพระองคม์ ากมาย จริง ๆ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีมาตรัสรู้ธรรมไม่ได้มีพระองค์เดียวเฉพาะ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา แต่มีมากมายนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน แล้ว ปัจจุบันปรากฏอยู่ด้วยพระธรรมกายในอายตนนิพพาน ถามวา่ เมอื่ มพี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มาตรสั รธู้ รรมมากมายถงึ เพยี งนี้ แลว้ ท�ำไม ในปัจจุบันยังมีมนุษย์และสรรพสัตว์ท้ังหลายอีกจ�ำนวนมากที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ตาม พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เหลา่ นน้ั สาเหตสุ �ำคญั ประการหนง่ึ คอื มนษุ ยแ์ ละสตั วท์ ง้ั หลาย ทยี่ งั เหลอื อย่จู �ำนวนมากนดี้ �ำเนนิ ชวี ติ อย่างไม่มเี ปา้ หมาย เพราะไมร่ ้วู ่าเป้าหมายชวี ติ คืออะไรบ้าง บางคนอาจจะรู้แต่ไม่ใส่ใจในเป้าหมายน้ันบ้าง หรือเพราะไม่ได้ต้ังเป้า หมายไว้บ้าง ปล่อยชีวติ ให้ล่องลอยไปตามกระแสของกิเลสไปวัน ๆ ตายไปกไ็ ปรับ กรรมอย่ใู นมหานรกมคี วามทรมานอย่างแสนสาหสั กวา่ จะไดก้ ลบั มาเกดิ เป็นมนษุ ย์ เพือ่ แสวงหาหนทางพระนิพพานอกี ก็ยาวนาน แม้ระยะเวลาการสร้างบารมีเพ่ือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี เพื่อเป็น พระอริยสาวกก็ดีจะต้องใช้เวลานานมาก แต่ไม่สามารถเทียบกันได้กับระยะเวลาที่ สญู เสยี ไปจากการด�ำเนนิ ชวี ติ โดยไม่มเี ป้าหมายของสตั ว์ท้งั หลาย กล่าวคือ หากน�ำ ระยะเวลาการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งมีนับอสงไขย พระองค์ไมถ่ ้วนในอายตนนพิ พานมารวมกนั กย็ งั ไม่เทา่ กบั ระยะเวลาทส่ี ญู เปล่าของ มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจ�ำนวนมากที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน ท้ังนี้เพราะด�ำเนินชีวิต โดยไมม่ เี ปา้ หมาย เมอ่ื ไมม่ เี ปา้ หมายกไ็ มม่ กี ารเดนิ ไปสเู่ ปา้ หมายนนั้ เมอ่ื ไมไ่ ดเ้ ดนิ ไป ก็เท่ากับว่ายงั ยำ่� อยู่ท่ีเดมิ หรอื ตกต่ำ� กว่าเดมิ เช่น ไปเกิดอยู่ในทุคติ เป็นต้น สภุ าษติ จนี กลา่ วไวว้ า่ “หนทางไกลหมนื่ ล้ี เรมิ่ ตน้ ทกี่ า้ วแรก” แมห้ นทางจะยาว มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 144 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ไกลแตเ่ มอ่ื ไดต้ งั้ เปา้ หมายไวแ้ ละเรมิ่ ตน้ เดนิ ทางไปทลี ะกา้ วมนั กไ็ ปถงึ จนได้ แตก่ าร เดนิ ทางแตล่ ะกา้ วจะมปี ระโยชนก์ ต็ อ่ เมอื่ เปน็ การเดนิ ทางอยา่ งมเี ปา้ หมายและเดนิ ไป สู่เป้าหมายเท่าน้ัน ส่วนการเดินทางท่ีเหลือนอกนี้เป็นการเสียเวลาเปล่าและ ไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ดีการต้ังเป้าหมายชีวิตในระดับต้น คือ การสร้างตัวสร้างฐานะก็มี ความส�ำคญั หากเราไดต้ งั้ เปา้ หมายชวี ติ ไว้ และทมุ่ เทความสามารถไปสเู่ ปา้ หมายนน้ั เราจะไม่เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์และจะประสบความส�ำเร็จในชีวิตได้อย่าง รวดเรว็ มตี วั อยา่ งบคุ คลผหู้ นงึ่ ซง่ึ เปน็ ตน้ แบบในการตง้ั เปา้ หมายชวี ติ ในทางโลกและ สามารถด�ำเนนิ ชวี ติ ไปสเู่ ปา้ หมายนน้ั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี บคุ คลผนู้ ี้ คอื อดตี ประธานาธบิ ดี บลิ คลินตนั แห่งสหรฐั อเมรกิ า บิล คลินตันเล่าว่า “สมัยท่ีผมเป็นหนุ่มน้อยเพิ่งจบจากโรงเรียนกฎหมาย ใหม่ ๆ และกระตอื รอื รน้ กบั การทจี่ ะได้ใชช้ วี ติ ตอ่ ไป ความปรารถนาบางอย่างทแี่ ล่น เข้ามาอย่างกะทันหนั ท�ำให้ผมวางหนังสือนยิ ายและประวตั ิศาสตร์ที่เคยชอบอ่านลง ชวั่ คราว แลว้ เลอื กซอ้ื หนงั สอื ประเภทแนะวธิ สี คู่ วามส�ำเรจ็ เลม่ หนงึ่ ของ อลนั เลเคยี น ช่อื “How to get control of your time and your life” มาอ่าน เน้ือหาส�ำคัญของหนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงความจ�ำเป็นในการก�ำหนดเป้าหมาย ชีวิตของตวั เอง ท้ังระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ต่อมากใ็ ห้จดั หมวดหมู่ตาม ล�ำดบั ความส�ำคญั โดยก�ำหนดให้กลุ่ม A มีความส�ำคัญอันดบั หนง่ึ กลุ่ม B ส�ำคัญ รองลงมา และกลุ่ม C ตามมาเป็นล�ำดบั สดุ ท้าย จากนัน้ ให้ลงรายละเอยี ดเจาะจงสิง่ ท่ีคิดว่า จะท�ำให้เกิดความส�ำเร็จก�ำกับไว้ใต้เป้าหมายแต่ละกลุ่มน้ัน จนถึงเด๋ียวนี้ 30 ปแี ลว้ ผมยงั เกบ็ หนงั สอื ปกออ่ นเลม่ นน้ั ไว้ และผมกแ็ นใ่ จวา่ เปา้ หมายทผ่ี มก�ำหนด ใหต้ วั เองกย็ งั อยทู่ ใ่ี ดทห่ี นงึ่ ในกองเอกสารของผม แมผ้ มจะหามนั ไมเ่ จอกต็ าม อยา่ งไร กต็ าม ผมยังจ�ำสิง่ ทีผ่ มก�ำหนดไว้ในกลุ่ม A ได้ ผมเขยี นว่า สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 145 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
“ผมอยากจะเป็นคนดี อยากมชี วี ิตการแต่งงานและมลี ูกที่ดี อยากมีเพือ่ นทีด่ ี อยากประสบความส�ำเร็จในชวี ิตการเมอื ง และอยากเขยี นหนงั สอื ดีเยย่ี มสกั หน่ึงเล่ม” ผมจะเป็นคนดีหรือไม่น้ัน แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของพระเจ้าท่ีจะตัดสิน ครอบครวั ของเรากเ็ หมอื นครอบครวั อนื่ ๆ ทไี่ มไ่ ดส้ มบรู ณแ์ บบ แตม่ นั คอื ชวี ติ ทวี่ เิ ศษ ยง่ิ ในบรรดาคนทผ่ี มรจู้ กั ไมเ่ คยมใี ครมเี พอื่ นมากกวา่ หรอื ดยี งิ่ กวา่ ผม อนั ทจ่ี รงิ แลว้ มเี หตผุ ลพอทผี่ มสามารถพดู ไดอ้ ยา่ งเตม็ ปากวา่ ทผ่ี มกา้ วขน้ึ สตู่ �ำแหนง่ ประธานาธบิ ดี ไดก้ เ็ พราะคนทผี่ มคบหาดว้ ยเปน็ การสว่ นตวั ซงึ่ กค็ อื กลมุ่ เพอ่ื นบลิ ผกู้ ลายเปน็ ต�ำนาน ในปัจจบุ ัน ชวี ิตบนเส้นทางการเมือง คอื ความสุขส�ำหรบั ผม ผมรกั การรณรงค์หาเสยี ง และผมก็รักงานปกครองด้วย ผมพยายามท�ำให้ทุกสิ่งด�ำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพอ่ื มอบโอกาสใหป้ ระชาชนไดป้ ระสบความส�ำเรจ็ ตามทพ่ี วกเขาตงั้ ความหวงั ไว้ เพอ่ื ให้พวกเขามสี ภาพจติ ใจท่ดี ีขนึ้ และเพื่อให้พวกเขาอยู่ร่วมกนั ด้วยความเข้าใจ และ นน่ั คอื สง่ิ ทผี่ มเปน็ ฝา่ ยไดร้ บั ชยั ชนะ ส�ำหรบั หนงั สอื ทดี่ เี ยย่ี มนนั้ ใครเลา่ จะรู้ ผมรแู้ ต่ ว่ามนั เป็นเรื่องที่น่าอ่านอย่างแน่นอน” 1 (บิล คลนิ ตนั หมายถงึ หนงั สอื “My Life” อนั เป็นหนังสอื ประวตั ชิ วี ติ ของตวั ท่านเอง ซง่ึ ได้ต้งั เป้าหมายว่าจะเขียนและเขียนให้ ส�ำเรจ็ ในทส่ี ดุ เรอื่ งราวทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ นก้ี น็ �ำมาจากหนงั สอื “My Life” เลม่ นน้ี เี่ อง) 1 Bill Clinton (2004). My Life, แปลโดย สมเกียรติ อ่อนวิมล (2548). “My Life.” หน้า 11. มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 146 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
5.9 ความสำ�คญั ของการเป็นมนุษย์ ในจกั รวาลตา่ ง ๆ นน้ั นอกจากจะมมี นษุ ยแ์ ลว้ ยงั มสี ง่ิ มชี วี ติ อนื่ ๆ อกี มากมาย เริ่มตั้งแต่สิ่งมีชีวิตท่ีใกล้ตัวมนุษย์ที่สุด คือ สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมภพเดียวกันกับ มนุษย์ รวมทั้งผีสางนางไม้ต่าง ๆ หากเป็นชาวสวรรค์ก็มีเหล่าเทพบุตรเทพธิดา เหนอื สวรรค์ขน้ึ ไปกเ็ ปน็ พรหมโลก ซงึ่ เป็นทอ่ี ยขู่ องรปู พรหมและอรปู พรหม ในสว่ น ล่างของจกั รวาลก็เป็นทอี่ ยู่ของ เปรต อสุรกาย และสตั ว์นรกต่าง ๆ สงิ่ มชี วี ติ ทก่ี ล่าวมาข้างต้นน้ี คอื อดตี มนุษย์ทงั้ สนิ้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั ว่าสิ่งมีชวี ติ เหล่านคี้ ือ “อมนุษย์” หมายถึง ไม่ใช่มนุษย์ อมนษุ ย์ทอี่ ยู่ในสคุ ตภิ มู ิ คือ เทวโลก และพรหมโลกนนั้ คอื อดตี มนษุ ยท์ ไี่ ดท้ �ำกศุ ลกรรมเอาไว้ หลงั จากตายจาก การเปน็ มนษุ ยแ์ ลว้ จงึ ไปเกดิ ในสคุ ตภิ มู นิ น้ั ๆ สว่ นอมนษุ ยท์ อี่ ยใู่ นทคุ ตภิ มู ิ คอื เปรต อสุรกาย สัตว์นรก รวมทงั้ สตั ว์ดริ จั ฉาน คอื อดตี มนุษย์ทีไ่ ด้ท�ำอกศุ ลกรรมเอาไว้ หลงั จากตายจากการเป็นมนษุ ย์แล้วจึงไปเกิดในทุคติภูมินน้ั ๆ การเป็นมนุษย์จึงเป็นจุดศนู ย์กลางของการจะไปเกดิ สุคตหิ รือทุคติ กล่าวคือ หากท�ำดีไว้มาก ท�ำบุญไว้มาก สร้างกุศลกรรมไว้มาก ก็จะมีโอกาสได้ไปเกิดยัง สคุ ตภิ มู ิ แตถ่ า้ หากท�ำความชว่ั ไวม้ าก สรา้ งอกศุ ลกรรมไวม้ าก กจ็ ะมโี อกาสไดไ้ ปเกดิ ยังทุคติภมู ิ การเป็นมนุษย์เป็นเพศภาวะที่สั่งสมบุญบารมีได้อย่างเต็มท่ีและสะดวกที่สุด เพราะมีกายหยาบ คือ กายมนุษย์ท�ำให้การประกอบกศุ ลกรรมต่าง ๆ ให้ผลมาก โดยเฉพาะหากได้เกดิ มาพบพระพุทธศาสนากย็ ่งิ เป็นบญุ ลาภอย่างยิ่ง เพราะท�ำให้รู้ ว่าส่ิงใดควรท�ำ สิ่งใดไม่ควรท�ำ และมีโอกาสท�ำบุญถูกเน้ือนาบุญซ่ึงเป็นเหตุให้ได้ บญุ มาก แตใ่ นทางกลบั กนั หากไดภ้ าวะกายมนษุ ยแ์ ลว้ ไปท�ำบาปเข้าผลบาปกจ็ ะมาก มหาศาลเช่นกนั สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 147 มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
สว่ นการเปน็ ชาวสวรรคน์ นั้ จะเปน็ กายละเอยี ด ผลจากการกระท�ำจงึ ไมแ่ รงเทา่ ขณะเป็นมนุษย์ กล่าวคือ เทวดากส็ ามารถรักษาศีลและนง่ั สมาธิได้ แต่ผลจากการ ปฏบิ ตั จิ ะไดไ้ มเ่ ทา่ กบั ทท่ี �ำในขณะเปน็ มนษุ ย์ แต่เรอื่ งการใหท้ านนนั้ ชาวสวรรค์ท�ำได้ ยาก เพราะไม่อาจจะแบ่งทิพยสมบตั ิแจกจ่ายแก่กนั และกนั ได้ เน่อื งจากทิพยสมบตั ิ ทงั้ หลายนนั้ เกดิ ขน้ึ ดว้ ยอ�ำนาจของบญุ หากใครไมม่ บี ญุ กไ็ มอ่ าจจะรองรบั ทพิ ยสมบตั ิ ได้ เหล่าเทวดาผู้ต้องการส่ังสมบุญด้วยการให้ทาน จึงต้องหาโอกาสลงมายังโลก มนษุ ย์ เช่น ท้าวสักกเทวราช เป็นต้น ท่านเคยแปลงร่างเป็นคนชราเพ่อื ลวงใส่บาตร พระมหากัสสปเถระ แต่ก็ถูกพระเถระต�ำหนิว่า พระองค์แย่งสมบัติของคนจน พระมหากสั สปะตอ้ งการจะโปรดมนษุ ยผ์ ขู้ ดั สนมากกวา่ เนอื่ งจากวนั นน้ั ทา่ นเพง่ิ ออก จากนโิ รธสมาบตั ิ หากใครกต็ ามได้ใส่บาตรกบั ท่านก็จะได้เป็นเศรษฐีประจ�ำเมอื ง ส่วนสตั ว์ดิรัจฉานนัน้ อาจจะสง่ั สมบญุ ได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จะต้องเป็น สตั วท์ มี่ ดี วงปญั ญามาก เชน่ พระโพธสิ ตั วท์ เี่ สวยพระชาตเิ ปน็ สตั วช์ นดิ ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ แต่ส่วนใหญ่แล้วสตั ว์ดริ จั ฉานไม่มดี วงปัญญาพอทจี่ ะสงั่ สมบญุ ได้ ส�ำหรบั สตั ว์นรก เปรต และอสุรกายต่าง ๆ น้ันยงั ไม่สามารถสัง่ สมบุญได้ เพราะอยู่ในภาวะทตี่ ้องรบั ผลของอกุศลกรรมท่ีท�ำไว้สมัยเป็นมนษุ ย์ ต้องทนทกุ ข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย คือ การเข้าถึงพระนิพพาน การจะไปถงึ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ นนั้ จะตอ้ งสงั่ สมบญุ บารมดี ว้ ยเพศภาวะของมนษุ ยเ์ ทา่ นน้ั เพราะสามารถสั่งสมบุญได้อย่างเต็มที่และสะดวกที่สุด แม้แต่พระโพธิสัตว์ผู้ส่ังสม บารมีมาเต็มเปี่ยมแล้วก็ยังต้องจุติจากเทวโลกเพื่อมาตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมา- สัมพุทธเจ้าด้วยกายมนุษย์ ยังไม่เคยมีปรากฏมาก่อนว่า พระโพธิสัตว์พระองค์ใด ตรสั รู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเพศภาวะอน่ื นอกจากการเป็นมนุษย์ เทวโลกรวมทั้งพรหมโลกเป็นที่เสวยผลบุญและเป็นที่พักช่ัวคราวเท่านั้น ยัง ไมใ่ ชจ่ ดุ หมายปลายทางทแี่ ทจ้ รงิ เมอื่ เหลา่ เทวดาและพรหมทงั้ หลายหมดบญุ ทจ่ี ะอยู่ มนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 148 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ในสคุ ตชิ น้ั นนั้ แลว้ กต็ อ้ งจตุ ลิ งมาเกดิ ในภพภมู ติ า่ ง ๆ ตามกรรมทไี่ ดท้ �ำไว้ บา้ งกเ็ กดิ เป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นอ่ืน บ้างก็มาเกิดเป็นมนุษย์ บ้างก็มาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บา้ งกไ็ ปบงั เกดิ เปน็ สตั วน์ รก ดว้ ยเหตนุ กี้ ารเปน็ เทวดาและพรหมจงึ ไมไ่ ดพ้ น้ จากความ ทกุ ข์อย่างถาวร ยังต้องเวยี นว่ายตายเกดิ อยู่ร�่ำไป ตราบใดทย่ี งั ไม่หมดกเิ ลส วนั หนงึ่ พระศาสดาเสดจ็ เข้าไปยงั กรงุ ราชคฤห์ เพอ่ื บณิ ฑบาต ทอดพระเนตร เหน็ นางลูกสุกรตวั หน่ึง จึงทรงท�ำการแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ พระอานนทเถระจึง ทูลถามเหตุแห่งการแย้มพระโอษฐ์ว่า “พระเจ้าข้าอะไรหนอแลเป็นเหตุ? อะไรเป็น ปจั จยั แหง่ การท�ำการแยม้ ใหป้ รากฏ” พระศาสดาตรสั กบั พระอานนทว์ า่ “อานนท์ เธอ เหน็ นางลูกสกุ รน่ันไหม?” พระอานนท์ “เห็น พระเจ้าข้า” พระศาสดา “นางลูกสกุ รนน้ั ได้เกดิ เป็นแม่ไก่ อยู่ในทใี่ กล้โรงฉนั แห่งหนง่ึ ใน ศาสนาของพระผู้มพี ระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกสุ นั ธะ นางไก่น้นั ฟังเสียงประกาศ ธรรมของภกิ ษผุ เู้ ปน็ โยคาวจรรปู หนงึ่ สาธยายวปิ สั สนากมั มฏั ฐานอยู่ จตุ จิ ากอตั ภาพ น้ันแล้ว ได้เกดิ ในราชตระกูล เป็นราชธิดาพระนามว่า อุพพรี ในกาลต่อมา พระนาง เสด็จเข้าไปยังสถานเป็นที่ถ่ายอุจจาระ ทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอนแล้วยังปุฬวก- สญั ญาใหเ้ กดิ ขนึ้ ในทน่ี นั้ ไดป้ ฐมฌานแลว้ พระนางด�ำรงอยใู่ นอตั ภาพนน้ั จนสนิ้ อายุ จตุ จิ ากอตั ภาพนน้ั แลว้ เกดิ ในพรหมโลกครนั้ พระนางจตุ จิ ากพรหมโลกนนั้ แลว้ จงึ ได้ มาเกดิ ในก�ำเนิดสกุ รในบัดน้ี เราเห็นเหตนุ ี้ จึงได้ท�ำการแย้มให้ปรากฏ” นเี้ ปน็ ตวั อยา่ งของการเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในสงั สารวฏั ซง่ึ ไดร้ บั ความสขุ บา้ งทกุ ข์ บา้ งตามกรรมทต่ี นกระท�ำ แมจ้ ะมสี ขุ บา้ ง เชน่ ไดเ้ กดิ เปน็ เทวดา หรอื เกดิ ในพรหมโลก กไ็ มไ่ ดเ้ ปน็ สขุ อยา่ งยงั่ ยนื เปน็ ความสขุ เพยี งชวั่ ระยะเวลาหนงึ่ เทา่ นน้ั ดว้ ยเหตนุ เี้ หลา่ พระโพธสิ ตั วแ์ ละนกั สรา้ งบารมที ง้ั หลายจงึ ไมอ่ ยากเสวยสขุ อยบู่ นสวรรคน์ าน อยาก ลงมาสรา้ งบารมยี งั โลกมนษุ ย์ เพอื่ ทวี่ า่ บารมจี ะไดเ้ ตม็ เปย่ี มและเขา้ สอู่ ายตนนพิ พาน อนั เป็นจุดหมายปลายทางทแี่ ท้จริง จะมคี วามสขุ ทเ่ี ทย่ี งแท้ถาวรตลอดไป สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 149 มนุษยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450