Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Description: สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Search

Read the Text Version

8.2.3 ความสัมพนั ธ์ของอรยิ ทรพั ย์กบั บญุ กิรยิ าวัตถุ ผู้อ่านหลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับค�ำว่า “บุญกริ ยิ าวัตถ”ุ โดยเฉพาะบญุ กิริยา วัตถุ 3 คือ ทาน ศลี ภาวนา และมักจะได้ยนิ ได้ฟังอยู่บ่อย ๆ ว่า บญุ อนั เกิดจาก การให้ทาน รกั ษาศลี และเจรญิ ภาวนานน้ั จะเป็น “อริยทรัพย์” ติดตวั ไปภพชาติ เบื้องหน้า ถามวา่ อรยิ ทรพั ยท์ ก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ กบั บญุ กริ ยิ าวตั ถมุ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร ประเดน็ น้กี ็ท�ำนองเดยี วกบั ทีก่ ล่าวมาแล้ว คอื ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก หมวดนนั้ สมั พนั ธ์กนั หมดและสามารถยอ่ หรอื ขยายได้ ในทนี่ จ้ี ะน�ำอรยิ ทรพั ย์ 4 คอื ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา และบญุ กิรยิ าวัตถุ 3 คอื ทาน ศลี ภาวนา มาเช่อื ม โยงเข้าหากนั ดังน้ี การที่ใครสักคนหนงึ่ จะบ�ำเพ็ญบญุ ทั้งทาน ศลี ภาวนานน้ั เขาจะต้องมศี รัทธา ก่อน หากไม่มีศรทั ธาก็ไม่มีแรงจงู ใจทเี่ ขาจะสร้างบญุ ใด ๆ ดังนน้ั บุญกิริยาวัตถุ 3 จงึ เรมิ่ ต้นด้วย “ศรทั ธา” เหมือนกนั เพยี งแต่ไม่ได้กล่าวถงึ เท่านัน้ เอง ส่วน “ศีล” ใน อริยทรัพย์กม็ ตี รงกับ “ศีล” ในบญุ กริ ยิ าวตั ถุ ส�ำหรบั “จาคะ” ในอรยิ ทรพั ย์หรือที่ เราคุ้นกบั ค�ำว่า “บรจิ าค” ซ่ึงก็คอื “ทาน” ในบญุ กริ ยิ าวัตถนุ ่นั เอง ส่วน “ปัญญา” น้ัน ผอู้ า่ นบางทา่ นอาจจะสงสยั วา่ เชอื่ มโยงกบั ภาวนาไดอ้ ยา่ งไร กอ่ นอนื่ ขอทบทวนความ หมายของค�ำว่าปัญญาก่อนว่า ปัญญาในที่น้ีมุ่งถึง ปัญญาในการช�ำแรกกิเลสให้ถึง ความสิน้ ทกุ ข์ ซงึ่ จะเกดิ ขึ้นได้ด้วยการ “เจริญสมาธภิ าวนา” เท่านั้น เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 250 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

8.2.4 ความส�ำคัญของทรพั ย์ เนื่องจากทรัพย์มี 2 ประเภท คอื โภคทรัพย์ และอรยิ ทรัพย์ ซึง่ ความส�ำคญั ของทรัพย์ทั้ง 2 ประเภทน้มี ีความแตกต่างกนั จึงอธิบายแยกออกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้ 1.) ความส�ำคัญของโภคทรพั ย์ ชาวโลกโดยทวั่ ไปเขา้ ใจกนั ดวี า่ โภคทรพั ยน์ นั้ มคี วามส�ำคญั อยา่ งไร แต่ คนท่ีมีทรัพย์มากอาจจะไม่ค่อยเห็นความส�ำคัญของทรัพย์เท่าที่ควร จึงมักใช้จ่าย อย่างฟุ่มเฟือย กนิ ท้งิ กนิ ขว้าง ส่วนคนจน คนทอี่ ด ๆ อยาก ๆ จะซาบซ้ึงถึงความ ส�ำคัญของทรัพย์มากเป็นพเิ ศษ จากข้อมลู ของสหประชาชาตพิ บว่า มีประชากรโลก ประมาณ 850 ล้านคนทีไ่ ด้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เดก็ อายุต�่ำกว่า 5 ขวบเสยี ชวี ิต ปีละประมาณ 10 ล้านคน ในจ�ำนวนน้ีประมาณ 5 ล้านคนเสยี ชวี ิตเพราะขาดสาร อาหาร 1 น้ีคือผลพวงของการไม่มีทรัพย์ นอกจากนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน อิณสูตรว่า การเป็นคนจนน้ันเป็นทุกข์ เพราะเม่ือยากจนก็ต้องกู้ยืมเงินของคนอ่ืน การกู้ยมื นีก้ เ็ ป็นทกุ ข์... 2 และทสี่ �ำคญั ความจนยงั เปน็ แรงกดดนั ใหท้ �ำอกศุ ลธรรมตา่ ง ๆ อกี ดว้ ย กล่าวคือ เมอ่ื ไม่มีจะกนิ ก็ต้องด้ินรนหาทรพั ย์ หาอาหารมาเพ่อื ยังชีพ จึงเป็นไปได้ที่ จะมีโอกาสท�ำผิดศลี ผิดธรรม เพือ่ รกั ษาชวี ิตให้อยู่รอดไปก่อน คนที่มีฐานะยากจนโอกาสท่ีจะสร้างบุญสร้างบารมีก็อาจท�ำได้ไม่เต็มที่ เมื่อท้องยังหิวอยู่ จงึ ไม่ค่อยคิดถึงการให้ทาน รกั ษาศีล และนงั่ สมาธิ เพราะแม้แต่ ข้าวสารกรอกหม้อวันน้ียังไม่มีเลย ส่วนคนรวยน้ันมีทรัพย์มาก หากมีศรัทธาก็มี โอกาสสั่งสมบุญได้มากกว่า จะให้ทานก็ท�ำได้เต็มที่ รักษาศีลก็สะดวก นั่งสมาธิก็ สบาย ไม่ต้องกงั วลเร่อื งปัจจัย 4 อนั เป็นส่งิ พื้นฐานแห่งการยงั ชีพ 1 www.the-thainews.com (2549). “วันอาหารโลก 2549.” [ออนไลน์]. 2 อิณสูตร, อังคุตตรนกิ าย ฉกั กนบิ าต, มก. เล่ม 36 ข้อ 316 หน้า 664. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 251 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

2.) ความส�ำคัญของอริยทรัพย์ อริยทรัพย์น้ันเป็นทรัพย์ท่ีประเสริฐกว่าโภคทรัพย์ท้ังหลาย พระมหา- กปั ปนิ เถระกลา่ วไวว้ า่ “ผมู้ ปี ญั ญาถงึ จะสน้ิ ทรพั ยก์ เ็ ปน็ อยไู่ ด้ สว่ นคนมที รพั ยแ์ ตไ่ มม่ ี ปญั ญา กเ็ ปน็ อยไู่ มไ่ ด้ ปญั ญาเปน็ เครอ่ื งตดั สนิ เรอ่ื งทไี่ ดฟ้ งั มา เปน็ เหตเุ จรญิ ชอ่ื เสยี ง และความสรรเสรญิ นรชนผู้ประกอบด้วยปัญญาในโลกนี้ แม้ในเวลาทต่ี นตกทุกข์ก็ ยังประสบสุขได้” 1 อริยทรัพย์น้ันจะช่วยให้บคุ คลคลายจากทุกข์และพ้นจากความทุกข์ได้ อยา่ งถาวร ซง่ึ ตา่ งจากโภคทรพั ยท์ ใี่ หค้ วามสขุ ไดเ้ พยี งชวั่ คราวแตไ่ มอ่ าจจะชว่ ยใหพ้ น้ จากทกุ ข์ได้ สมยั หนง่ึ พระผู้มพี ระภาคประทับอยู่ ณ นโิ ครธาราม เขตกรุงกบลิ พัสด์ุ ครงั้ นน้ั อบุ าสกอบุ าสกิ าชาวแควน้ สกั กะไดพ้ ากนั เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ในวนั อุโบสถ พระพทุ ธองค์ได้ตรสั ถามว่า “ท่านท้ังหลายพากนั รกั ษาอุโบสถศีล บ้างหรือ ไม่หนอ” อุ. (อุบาสกอุบาสิกา) กราบทูลว่า “บางคราวพวกข้าพระองค์ก็พากัน รักษาอุโบสถศีล แต่บางคราวกไ็ ม่ได้พากนั รกั ษา พระพุทธเจ้าข้า” ภ. (พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ) ตรสั วา่ “ทา่ นทง้ั หลายไดช้ วั่ แลว้ เมอื่ ชวี ติ มภี ยั เพราะความโศกและความตาย บางคราวพวกทา่ นพากนั รกั ษาอโุ บสถศลี แตบ่ างคราว กไ็ ม่ได้พากันรกั ษา” ภ. ตรสั ว่า “ท่านทัง้ หลาย เมื่อบุคคลหาทรพั ย์ได้วนั ละ 100 กหาปณะ 1,000 กหาปณะ กเ็ กบ็ ทรพั ยน์ น้ั ไว้ เปน็ ผมู้ ชี วี ติ อยู่ 100 ปี จะไดโ้ ภคสมบตั กิ องใหญ่ บ้างหรือไม่หนอ” อ.ุ กราบทลู ว่า “ได้ พระพุทธเจ้าข้า” 1 ขุททกนิกาย เถรคาถา, มจร. เล่ม 26 ข้อ 550-551 หน้า 435-436. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 252 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

ภ. ตรัสว่า “ท่านทง้ั หลาย บุคคลนนั้ จะเสวยสุขอย่างเดียวอยู่ตลอดคนื หนึ่ง วันหนงึ่ ครึง่ คืน หรอื คร่ึงวัน เพราะโภคสมบัตินนั้ เป็นเหตไุ ด้บ้างหรอื ไม่หนอ” อุ. กราบทลู ว่า “ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า” ภ. ตรัสว่า “ข้อน้นั เพราะเหตุไร” อ.ุ กราบทลู ว่า “เพราะกามทง้ั หลายเป็นของไม่เทยี่ ง ว่างเปล่า มคี วาม ฉิบหายไปเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าข้า” ภ. ตรสั วา่ “ทา่ นทง้ั หลาย สว่ นสาวกของเรา เปน็ ผไู้ มป่ ระมาท อทุ ศิ กาย และใจปฏบิ ตั ิตามทีเ่ ราพร�ำ่ สอนอยู่ตลอด 10 ปี แล้วได้เสวยความสุขอยู่ตลอด 100 ปีก็มี 10,000 ปีก็มี 100,000 ปีกม็ ี และสาวกของเราน้ัน เป็นสกทาคามีก็มี เป็น อนาคามีก็มี เป็นโสดาบันกม็ ี” อบุ าสกอบุ าสกิ าเหลา่ นนั้ เมอ่ื ไดฟ้ งั ธรรมนไี้ ดก้ ราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระองค์ ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จักพากนั รักษาอโุ บสถศลี ต้งั แต่บัดนเี้ ป็นต้นไป” 1 จะเหน็ วา่ อรยิ ทรพั ย์ ไดแ้ ก่ ศลี เปน็ ตน้ มคี วามส�ำคญั ตรงทใ่ี หค้ วามสขุ ที่มั่นคงและยาวนานกว่าสุขจากโภคทรัพย์ เป็นความสุขท่โี ภคทรพั ย์ไม่อาจจะให้ได้ ด้วยเหตุน้ีเจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ก็ดี บรรดาสาวกของพระสัมมา- สัมพุทธเจ้าก็ดี ต่างพากันละทิ้งโภคทรัพย์จ�ำนวนมหาศาล คนละ 40 โกฏิบ้าง 80 โกฏบิ า้ ง เพอ่ื ออกบวช แมแ้ ตช่ ฎลิ เศรษฐแี ละโชตกิ เศรษฐี ซงึ่ มสี มบตั ติ กั ไมพ่ รอ่ ง กย็ งั ละโภคสมบตั นิ น้ั เพอ่ื ออกบวชแสวงหาอรยิ ทรพั ยเ์ ชน่ กนั บางทา่ นออกบวชแล้ว บิดามารดาปรารถนาจะให้ลาสิกขา โดยเอาสมบัติกองโตมาล่อก็ไม่ยอม เช่น พระรฏั ฐปาละ เป็นต้น 1 สักกสตู ร, องั คตุ ตรนิกาย ทสกนบิ าต, มก. เล่ม 38 ข้อ 46 หน้า 150. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 253 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

บิดาของท่านกล่าวว่า “พ่อรัฏฐปาละ ทรัพย์กองน้ีเป็นส่วนของแม่ กองโนน้ เปน็ สว่ นของพอ่ สว่ นอกี กองหนงึ่ เปน็ ของปู่ ทงั้ หมดนเ้ี ปน็ ของลกู ผเู้ ดยี ว ลกู สามารถที่จะใช้สอยสมบตั ไิ ปและท�ำบญุ ไปก็ได้ พ่อรัฏฐปาละ ลูกจงลาสกิ ขาออกมา ใช้สอยสมบตั เิ ถดิ ” พระรฏั ฐปาละตอบวา่ “คหบดี ทา่ นพงึ ใหค้ นขนกองเงนิ กองทองนไี้ ปทงิ้ ไว้ที่แม่น�้ำคงคาเถิด เพราะความทุกข์กายและใจอันมีทรัพย์นั้นเป็นเหตุจักเกิดข้ึน แก่ท่าน” 1 โภคทรัพย์น้ันมีไว้เพื่อเป็นเคร่ืองสนับสนุนให้แสวงหาอริยทรัพย์ได้ สะดวก ดว้ ยการน�ำมาสรา้ งบญุ เชน่ ใหท้ าน เปน็ ตน้ และเพอื่ น�ำมาหลอ่ เลยี้ งรา่ งกาย ใหม้ เี รยี่ วแรงในการปฏบิ ตั ธิ รรม ส�ำหรบั คฤหสั ถท์ ไ่ี มไ่ ดอ้ อกบวชเปน็ บรรพชติ นน้ั หาก ได้แสวงหาอริยทรพั ย์ควบคู่ไปกับโภคทรพั ย์แล้ว จะท�ำให้ด�ำรงชีวิตอย่างเป็นสุขยิง่ กลา่ วคอื มโี ภคทรพั ยเ์ ปน็ เครอื่ งหลอ่ เลย้ี งกาย และมอี รยิ ทรพั ยเ์ ปน็ เครอ่ื งหลอ่ เลย้ี ง ใจ อกี ท้ังอรยิ ทรพั ย์ยังช่วยก�ำกบั ให้คนใช้โภคทรพั ย์ไปในทศิ ทางที่ถกู ต้อง จะไม่ท�ำ ผดิ ศีลผดิ ธรรมอนั จะต้องชดใช้หนกี้ รรมในอนาคต 8.3 เศรษฐศาสตร์ระดบั จุลภาคในพระไตรปิฎก เปา้ หมายสงู สดุ ของเศรษฐศาสตร์ คอื การศกึ ษาเพอื่ ท�ำใหป้ ระชาชนในประเทศ อยดู่ กี นิ ดี ไมอ่ ดอยากยากจน ในหวั ขอ้ นผ้ี อู้ า่ นจะไดศ้ กึ ษาหลกั เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค ในพระไตรปฎิ ก ซง่ึ กลา่ วถงึ สาเหตแุ หง่ การอยดู่ กี นิ ดหี รอื รำ่� รวย และสาเหตแุ หง่ ความ อดอยากยากจนของมนุษย์แต่ละคน รวมท้ังอาชีพที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาต และอาชีพท่ีทรงห้าม ในประเด็นสุดท้ายกล่าวถึงอบายมุขทางเสื่อมแห่งทรัพย์ของ มนษุ ย์ 1 รัฏฐปาลสตู ร, มัชฌมิ ปัณณาสก์, มจร. เล่ม 13 ข้อ 301 หน้า 358. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 254 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

8.3.1 สาเหตุแห่งความรำ�่ รวยและยากจน สาเหตหุ ลกั ทที่ �ำใหบ้ างคนในโลกนม้ี ฐี านะรำ่� รวย ในขณะทบี่ างคนมฐี านะยากจน นั้น มีอยู่อย่างน้อย 2 ประการ คือ สาเหตสุ ่วนละเอียด คอื “บุญ” และสาเหตุส่วน หยาบ คอื “ความขวนขวายในการสร้างฐานะ” โดยบญุ จะเป็นสาเหตหุ ลัก ส่วนความ ขวนขวายในการสร้างฐานะจะเป็นส่วนเสรมิ สาเหตุส่วนละเอียด คอื บุญ บญุ เป็นเครื่องช�ำระล้างจติ ใจให้สะอาดบรสิ ุทธิ์ เป็น “อริยทรพั ย์” ซ่งึ อยู่เบื้อง หลงั ความสขุ ความส�ำเรจ็ ท้งั ปวงของมนษุ ย์ บุญเป็นรากฐานของชวี ติ เป็นส่ิงทค่ี อย สนับสนุน เกื้อกูล ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองและม่ันคง บุญมีลักษณะเป็นดวงกลม ใส สว่าง สถติ อยู่ ณ ศนู ย์กลางกายฐานท่ี 7 บรเิ วณกลางท้องของมนษุ ย์ทกุ คน บญุ น้นั เปน็ ธาตลุ ะเอยี ด มองไมเ่ หน็ ดว้ ยตาเนอื้ จะเหน็ ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื ไดฝ้ กึ สมาธจิ นใจละเอยี ด ในระดบั เดียวกับสภาวะของดวงบุญ จงึ จะมองเห็นบญุ ได้ ชาวโลกโดยมากเข้าใจกันว่า ความเจริญก้าวหน้า หรอื ความส�ำเรจ็ ทั้งปวงของ ชีวิต ข้นึ อยู่กบั 1 สมอง และ 2 มือเท่านัน้ เพราะเขามองเห็นเพยี งแค่นน้ั ยังมองไม่ เหน็ บญุ ทม่ี อี ยใู่ นตวั เปรยี บเสมอื นเวลาเรามองดบู า้ นหรอื ตกึ ส�ำนกั งานตา่ ง ๆ เราจะ เห็นเพียงแค่หลังคากับตัวอาคาร แต่มองไม่เห็นสิ่งหน่ึงซ่ึงมีความส�ำคัญท�ำหน้าที่ รองรับอาคารทง้ั หลงั เอาไว้ คือ ฐานราก และเสาเข็ม แต่ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม บ้านทุกหลัง ตึกทุกตึก ก็ยังคงมี ฐานรากท�ำหนา้ ทรี่ องรบั บา้ นและตกึ เหลา่ นนั้ ใหต้ งั้ อยไู่ ดอ้ ยา่ งมน่ั คงแขง็ แรง หากไมม่ ี ฐานราก หากไมม่ เี สาเขม็ อาคารตา่ ง ๆ กต็ ง้ั อยไู่ มไ่ ดฉ้ นั ใด หากไมม่ บี ญุ หรอื หมดบญุ ชวี ติ กต็ ง้ั อยู่ไม่ได้ฉนั นัน้ บญุ จงึ เปรยี บเสมอื นฐานราก เปรยี บเสมอื นเสาเขม็ แตเ่ ป็นเสาเขม็ ของชวี ติ ท่ี คอยสนบั สนนุ สง่ เสรมิ ใหช้ วี ติ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งและมนั่ คง ยง่ิ มบี ญุ มากเทา่ ไร ชวี ติ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 255 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ของบุคคลนนั้ ๆ ก็จะยิ่งเจริญก้าวหน้ามากเท่าน้ัน ไม่ว่าเจ้าตวั จะรู้หรอื ไม่รู้ ไม่ว่าเจ้า ตัวจะเห็นหรือไม่เห็นดวงบุญในตัวเขาก็ตาม ในทางตรงกันข้ามหากใครกต็ ามมีบุญ น้อย ชีวิตกจ็ ะตกต่ำ� ล�ำบาก ยากจน ไม่ค่อยจะประสบความส�ำเร็จในชีวติ บุญมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกนั คือ บญุ เก่า และบญุ ใหม่ บุญเก่า คอื บญุ ทีท่ �ำ ไว้ในอดีตชาติ ส่วนบุญใหม่ คือ บญุ ทีไ่ ด้ท�ำในปัจจุบันชาติ วธิ กี ารสร้างบญุ มอี ย่างนอ้ ย 3 ประการ คอื การให้ทาน การรกั ษาศลี และการ เจรญิ สมาธภิ าวนา โดยบุญที่ท�ำให้มฐี านะรำ่� รวย คอื บุญทเ่ี กดิ จากการให้ทานเป็น หลกั สว่ นบญุ จากการรกั ษาศลี และเจรญิ ภาวนาเปน็ สว่ นเสรมิ ใครทไ่ี ดใ้ หท้ านไวม้ าก กจ็ ะเปน็ เหตใุ หม้ ฐี านะรำ่� รวยมากเปน็ ระดบั มหาเศรษฐขี องประเทศหรอื ของโลกทเี ดยี ว ส่วนใครให้ทานมาน้อยหรือไม่ได้ให้ทานเลย กจ็ ะล�ำบากยากจน หลักการส่งผลของบุญมีดังน้ี คือ บุญเก่าหรือบุญในอดีตชาติจะส่งผลก่อน และส่งผลอย่างเตม็ ท่ี เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ซง่ึ ปลูกไว้นานแล้ว จงึ มคี วามพร้อม ในการผลิดอกออกผล ส่วนต้นไม้ทีเ่ พงิ่ ปลูกก็เปรียบเสมือนบญุ ใหม่ จงึ ต้องรอเวลา ใหม้ นั เจรญิ เตบิ โตสกั ระยะหนงึ่ จงึ จะใหผ้ ล ดงั นน้ั วถิ ชี วี ติ ของมนษุ ยแ์ ตล่ ะคนในชาติ นหี้ รอื ในทุก ๆ ชาตทิ เี่ กดิ นั้น ก็ข้นึ อยู่กบั บุญเก่าทไี่ ด้ท�ำไว้ในอดีตชาติเป็นหลกั คือ ประมาณ 70-80% ส่วนบุญใหม่เป็นส่วนเสรมิ คอื ส่งผลในชาตนิ ป้ี ระมาณ 20-30% เท่านน้ั มหาเศรษฐีของโลกในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน ร�่ำรวยเพราะบุญเก่าในอดีตชาติส่ง ผลเปน็ หลกั ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ หลายตอ่ หลายคนในชาตนิ ไ้ี มไ่ ดเ้ ปน็ ชาวพทุ ธ ไมม่ คี วาม รู้ความเข้าใจเรื่องบุญ และก็ไม่ได้สร้างบุญในพระพุทธศาสนา อย่างดีก็แค่ท�ำบุญ สงั คมสงเคราะหก์ บั ชาวโลกทว่ั ไป แตเ่ ขากร็ ำ�่ รวยได้ เพราะบญุ เกา่ ทท่ี �ำไวใ้ นอดตี ชาติ เป็นหลกั มาส่งผล เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 256 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

สาเหตุส่วนหยาบ คือ ขวนขวายสร้างฐานะ วิธีสร้างฐานะทางเศรษฐกิจนี้ มีศัพท์ทางศาสนา เรียกว่า “ทิฏฐธัมมิกัตถ- ประโยชน”์ แปลวา่ ประโยชนใ์ นปจั จบุ นั ซงึ่ ชาวพทุ ธรจู้ กั กนั ในนาม “หลกั หวั ใจเศรษฐ”ี เป็นวธิ สี ร้างฐานะทถ่ี กู ต้องชอบธรรม ไม่ก่อกรรมสรา้ งเวรให้กบั ใคร ซงึ่ มี 4 ประการ ดังน้ี 1.) อุฏฐานสมั ปทา หาทรพั ย์เป็น 2.) อารักขสมั ปทา เกบ็ รกั ษาทรพั ย์เป็น 3.) กลั ยาณมิตตตา สร้างเครอื ข่ายคนดเี ป็น 4.) สมชวี ิตา ใช้ชวี ิตเป็น 1.) อุฏฐานสมั ปทา อุฏฐานสัมปทา แปลว่า ความถึงพร้อมด้วยความหมนั่ เพียร อฏุ ฐานสมั ปทา หมายถงึ การหาทรพั ยเ์ ปน็ ซง่ึ ตอ้ งประกอบดว้ ย 2 สว่ น (1) เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการงานทท่ี �ำ (2) จะท�ำการสิ่งใดต้องประกอบด้วยปัญญาพิจารณา เพ่ือที่จะท�ำงานให้ ส�ำเรจ็ ลลุ ่วงไปได้ ปัญญาในท่นี ีม้ ีความหมาย 2 นัยด้วยกนั คอื ความ ฉลาดในการท�ำงาน และความฉลาดในเรื่องศีลธรรม กล่าวคอื สัง่ สม ความรู้ทางศลี ธรรมควบคู่ไปกับการศึกษาหลักการท�ำงานทางโลก คนที่ขยันแต่โง่ยากท่ีจะสร้างฐานะได้ส�ำเร็จ เพราะจะท�ำงานผิดพลาด มาก สว่ นคนทฉี่ ลาดแตท่ างโลก ไมส่ นใจเรอื่ งศลี ธรรมนนั้ กม็ โี อกาสไปประกอบอาชพี ที่ผดิ ศีลธรรม ซึง่ จะน�ำไปสู่ความเสือ่ มทั้งในชาตินแี้ ละชาตหิ น้าได้ ด้วยเหตนุ จี้ งึ ต้อง ขยันท�ำงานด้วย ศึกษาความรู้ทางโลกและทางธรรมควบคู่ไปด้วย จึงจะมีโอกาส ประสบความส�ำเร็จได้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 257 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

2.) อารักขสมั ปทา อารักขสัมปทา แปลว่า ถงึ พร้อมด้วยการรกั ษา อารักขสมั ปทา หมายถึง การเกบ็ รักษาทรพั ย์เป็น จดุ เรม่ิ ตน้ ของการเกบ็ รกั ษาทรพั ยเ์ ปน็ คอื การรจู้ กั การสะสม การออม รู้จักคุณค่าของเงนิ ข้นั ต่อมา คือ ต้องรู้จักหาทางป้องกันทรัพย์จากภัยต่าง ๆ ซึ่งภัย ของทรัพย์ มาจาก 2 ทาง คือ (1) ภยั จากคน ทั้งจากคนใกล้ตวั และคนไกลตวั (2) ภยั จากธรรมชาติ นอกจากนกี้ ารเกบ็ ทรพั ยเ์ ปน็ ยงั รวมไปถงึ การใช้ของอยา่ งถนอม ร้จู กั รกั ษาให้ ขา้ วของมอี ายกุ ารใชง้ านทยี่ าวนานอกี ดว้ ย อกี ทง้ั ของหายกต็ อ้ งหา ของเสยี กต็ อ้ งซอ่ ม ดว้ ย แมก้ ารหาทรพั ยเ์ ปน็ จะมคี วามส�ำคญั แตก่ ารเกบ็ ทรพั ยเ์ ปน็ ส�ำคญั ยง่ิ กวา่ เพราะ ว่าแม้จะหาทรัพย์มาได้มาก แต่หากเก็บทรัพย์ไม่เป็น เงินแสนเงินล้านท่ีหามานั้นก็ หมดไปได้เหมอื นกัน 3.) กลั ยาณมติ ตตา กลั ยาณมติ ตตา แปลว่า ถงึ พร้อมด้วยความเป็นผู้มีมติ รดี กลั ยาณมิตตตา หมายถงึ การสร้างเครือข่ายคนดีเป็น หากรกั จะยนื หยดั อยใู่ นโลกกวา้ งอยา่ งมน่ั คงแลว้ กอ่ นอน่ื ตอ้ งสรา้ งธาตุ แห่งความเป็นคนดีข้ึนมาในตวั ก่อน แล้วจึงสร้างเครือข่ายคนดีขน้ึ มา เป็นวงจรตาม ล�ำดับ การสร้างเครอื ข่ายคนดมี ี 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ ขนั้ ท่ี 1 รจู้ กั วางตวั ให้เหมาะสม เช่น พจิ ารณาให้ดวี า่ ขณะนนั้ ตวั เราอยู่ ในสังคมใด อยู่ในฐานะใด มตี �ำแหน่งหรือบทบาทหน้าทอี่ ะไร เช่น ถ้าเป็นพ่อกต็ ้อง วางตวั ให้สมกบั ทเ่ี ป็นพ่อ เป็นเพอื่ นก็วางตัวให้สมกบั ท่เี ป็นเพื่อน เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 258 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ขัน้ ท่ี 2 ซึมซับเอาศลี ธรรมมาจากคนดีท่อี ยู่รอบตวั เราในสงั คมนน้ั ๆ โดยการหมน่ั เขา้ ไปสนทนา ซกั ถาม หมน่ั คอยสงั เกตผทู้ ถ่ี งึ พรอ้ มดว้ ยคณุ ความดเี หลา่ นี้ เพ่อื จะได้ซมึ ซบั และถ่ายทอดเอาความรู้ ความดจี ากบคุ คลเหล่านัน้ มาสู่ตัวเรา ข้ันท่ี 3 ถ่ายทอดความรู้และความดีของเราไปสู่ผู้อื่นท่ีอยู่แวดล้อม รอบด้าน เมื่อเราก�ำลังสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ ต้องรู้จักเลือกท�ำงานกับคนท่ีมี ความซอ่ื สัตย์สจุ ริตเท่าน้นั เพราะมิตรดเี ท่านนั้ จึงจะช่วยกนั สร้างความเจริญให้แก่ กนั และกนั ไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื และทส่ี �ำคญั ตอ้ งขยายเครอื ขา่ ยความเปน็ กลั ยาณมติ รออก ไปให้กว้างขวางมากท่ีสุด เพราะมติ รยิง่ มากเท่าใด โอกาสที่จะสร้างตวั สร้างฐานะให้ ประสบความส�ำเรจ็ กม็ ากข้ึนเท่านั้น แต่ถ้าหากไม่เลือกมิตรหรือหุ้นส่วนท่ีจะท�ำงานร่วมกันเพื่อสร้างฐานะ แล้ว โอกาสทจ่ี ะถูกเอารัดเอาเปรียบ ถกู โกง ถูกท�ำให้เสยี หายก็เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทรัพย์สินเงินทองทหี่ ามาได้กต็ ้องหมดไปเพราะความไม่ระมัดระวงั มคี วามประมาท พลาดเพยี งครงั้ เดยี วกอ็ าจท�ำใหส้ นิ้ เนอื้ ประดาตวั เพยี งเพราะคบมติ รเลวกม็ ตี วั อยา่ ง ให้เหน็ อยู่บ่อย ๆ 4.) สมชีวติ า สมชีวติ า แปลว่า ถงึ พร้อมด้วยความเป็นอยู่ท่ีเหมาะสม สมชีวติ า หมายถึง การใช้ทรพั ย์เป็น คนท่ีใช้ทรัพย์เป็นจะต้องรู้จักเล้ียงชีพอย่างพอเหมาะพอสม ไม่ให้ ฟมุ่ เฟอื ยสรุ ยุ่ สรุ า่ ยและไมใ่ ห้ขดั สนฝดื เคอื ง พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ไวว้ า่ กลุ บตุ ร ในโลกนี้เล้ยี งชีพแต่พอเหมาะ ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนกั ไม่ให้ฝืดเคอื งนกั ด้วยคดิ ว่า “การ ใชจ้ า่ ยอยา่ งนี้ รายรบั จกั เกนิ รายจา่ ยและรายจา่ ยจกั ไมเ่ กนิ รายรบั ” เปรยี บเหมอื นคน ชง่ั ของ ยกตราชงั่ ข้นึ ดูกร็ ู้ได้ว่า “ต้องลดลงเท่านี้ หรอื เพิ่มขน้ึ เท่าน”้ี สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 259 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

บุญเป็นหลกั การขวนขวายสร้างฐานะเป็นส่วนเสรมิ การทใี่ ครจะมฐี านะรำ่� รวยหรอื ยากจนขน้ึ อยกู่ บั บญุ เปน็ หลกั สว่ นการขวนขวาย สรา้ งฐานะจะเปน็ เพยี งสว่ นเสรมิ เพราะแมจ้ ะปฏบิ ตั ติ ามหลกั การขวนขวายสรา้ งฐานะ ข้างต้นอย่างเคร่งครดั ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่กไ็ ม่ได้ประสบความส�ำเร็จเหมอื นกัน ทุกคน บางคนส�ำเรจ็ มาก รำ่� รวยมาก บางคนส�ำเรจ็ น้อย รำ่� รวยน้อย ส่วนบางคนแค่ พอมีพอกนิ ในขณะทีบ่ างคนไม่ค่อยจะประสบความส�ำเรจ็ เอาเสียเลยก็มี จะสังเกตเห็นได้จากชาวโลกในปัจจุบัน หลาย ๆ คนตืน่ แต่เช้าลกุ ขนึ้ มาท�ำมา หากนิ อาบเหงื่อต่างน�้ำ หนกั เอาเบาสู้ ท�ำงานหนกั ตลอดทั้งวัน กว่าจะเสร็จงานได้ กลับบ้านกินข้าวพักผ่อนก็มืดค�่ำ แม้จะท�ำอย่างน้ีอยู่หลายปี แต่ดูเหมือนว่าความ ขวนขวายทท่ี ุ่มลงไปนน้ั จะไม่ค่อยได้สัดส่วนกับผลตอบแทนทไ่ี ด้รบั กล่าวคือ ท�ำ มากแต่ได้น้อย เหตุที่เป็นอย่างนีเ้ พราะบญุ ที่ส่ังสมมามีน้อย ในขณะทบี่ างคนดเู หมอื นวา่ หยบิ จบั อะไรกเ็ ปน็ เงนิ เปน็ ทองไปหมด ยงิ่ ขยนั มาก ยิ่งรวยมาก ขยันน้อยก็รวยน้อยลงมาหน่อย บางคนมีสมบัติให้กินใช้ไม่หมดไป ตลอดชวี ติ แมไ้ มต่ อ้ งท�ำงาน ในสมยั พทุ ธกาลมตี วั อยา่ งมหาเศรษฐหี ลายทา่ นทร่ี ำ่� รวย โดยไม่ต้องท�ำมาหากนิ เพราะได้สง่ั สมบุญไว้มาก เช่น โชติกเศรษฐี เมณฑกเศรษฐี ชฎลิ เศรษฐี เปน็ ตน้ มหาเศรษฐเี หลา่ นมี้ สี มบตั ติ กั ไมพ่ รอ่ งบงั เกดิ ขนึ้ แมแ้ จกจา่ ยแก่ ผู้คนท่วั โลกก็ไม่หมดสน้ิ บางคนเกดิ มากร็ วยทนั ทเี ลย เพราะพอ่ แมเ่ ตรยี มสมบตั มิ หาศาลไวค้ อยทา่ อยู่ แล้ว เขายงั ไม่ได้ท�ำงานอะไรเลย กร็ วยแล้ว ในขณะทบี่ างคนเกดิ มาอยู่ในครอบครวั ทพี่ ่อแม่มฐี านะยากจน เป็นขอทาน ซึง่ เราจะพบเห็นได้บ่อย ๆ บริเวณสะพานลอย บา้ ง ขา้ งถนนบา้ ง เดก็ ๆ เหลา่ นจี้ นตง้ั แตเ่ กดิ ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ ตอ้ งมสี าเหตมุ าตงั้ แตก่ อ่ น เกดิ แลว้ วา่ เหตใุ ดเขาจงึ เกดิ มาจน ในขณะทบี่ างคนเกดิ มารวย สาเหตนุ นั้ กค็ อื ปรมิ าณ บุญในตวั ของแต่ละคนนั่นเอง แต่เมือ่ เกดิ มาแล้ว ใครจะต้งั ใจขวนขวายท�ำมาหากนิ เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 260 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

เพอื่ สร้างฐานะมากน้อยแค่ไหน อนั น้ีก็เป็นอีกเรือ่ งหน่งึ แตห่ ลกั ทงั้ 4 ประการในการขวนขวายสรา้ งฐานะนน้ั กม็ คี วามส�ำคญั อยไู่ มน่ อ้ ย ใครท่ีส่ังสมบุญมามากอยู่แล้ว เกิดมาในตระกูลท่ีร่�ำรวยอยู่แล้ว หากได้น�ำหลักท้ัง 4 ข้อนี้มาปฏบิ ตั ิก็จะท�ำให้มฐี านะร่ำ� รวยมากยงิ่ ขึ้น แม้ปฏิบตั ไิ ม่ครบทุกข้อ กล่าวคือ แม้ไม่ค่อยขยนั ท�ำงานเพื่อหาทรพั ย์เพ่ิมเติม แต่รู้จักเกบ็ รักษาสมบตั ิ คบมิตรดี และ ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ก็จะสามารถรกั ษาสมบัตนิ ั้นไว้ใช้จ่ายได้ยาวนาน แต่ถ้าใครประมาทหลงตนเองว่ามีบญุ มาก ได้เกิดในตระกลู เศรษฐี พ่อแม่ทิง้ มรดกไว้ให้มากมาย จึงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย คบมิตรชว่ั ไม่รู้จกั เก็บรกั ษาสมบัตใิ ห้ ดี และยังไม่ท�ำมาหากนิ อกี คอยแต่จะผลาญสมบตั ไิ ปวนั ๆ เท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ บ้ันปลายของชีวิตก็จะย�่ำแย่เหมือนกัน ดังเร่ืองราวของบุตรเศรษฐีคนหนึ่งในสมัย พุทธกาล บตุ รเศรษฐคี นนเ้ี กดิ ในตระกลู ทม่ี สี มบตั ิ 80 โกฏิ ในกรงุ พาราณสี มารดาบดิ า ของเขาคิดว่า เราจักมอบสมบัติท่ีมีอยู่ทั้งหมดให้แก่บุตร บุตรของเราจะได้ใช้สอย อยา่ งสบายโดยไมต่ อ้ งท�ำงาน ในพระนครนนั้ มธี ดิ าอกี คนหนงึ่ เกดิ ในตระกลู อน่ื ซงึ่ มี สมบตั ิ 80 โกฏเิ ช่นกนั บดิ ามารดาของนางกค็ ดิ อย่างน้นั เหมอื นกนั เมอื่ ทงั้ สองโตขนึ้ กไ็ ดแ้ ตง่ งานกนั ตอ่ มามารดาบดิ าของคนทงั้ สองกถ็ งึ แกก่ รรม ทรัพย์ 160 โกฏิกไ็ ด้รวมอยู่ในเรอื นเดยี วกัน ปกติบตุ รเศรษฐีนนั้ มกั ไปเข้าเฝ้าพระ ราชาวันละ 3 คร้งั พวกนักเลงในพระนครน้นั คดิ กนั ว่า ถ้าบตุ รเศรษฐนี ี้เป็นนกั เลง สุรา ความผาสุกก็จักมีแก่พวกเรา วันหนึง่ พวกนกั เลงนนั้ ถือสุรา นัง่ ดูทางของบุตร เศรษฐนี นั้ ผมู้ าจากราชสกลุ เมอื่ เหน็ เขาก�ำลงั เดนิ มาจงึ ดม่ื สรุ าแลว้ กลา่ ววา่ จงเปน็ อยู่ 100 ปีเถดิ นายเศรษฐีบตุ ร สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 261 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

บุตรเศรษฐีฟังค�ำของพวกนักเลงแล้ว จึงถามคนใช้ท่ีตามมาว่า “พวกนนั้ ดมื่ อะไร” คนใช้กล่าวว่า “ด่มื น�้ำด่ืมชนิดหนง่ึ นาย” บุตรเศรษฐีถามว่า “นำ้� นน้ั มีรสชาติอร่อยหรือ” คนใช้กล่าวว่า “นาย ธรรมดาน้ำ� ทีค่ วรดมื่ เช่นกบั น�้ำดมื่ นไี้ ม่มใี นโลกน้ี” บุตรเศรษฐีน้ันพูดว่า “แม้เรากค็ วรด่มื ” จึงให้น�ำสุรามานิดหน่อยแล้วกด็ ่มื ตอ่ มาไมน่ านบตุ รเศรษฐกี ต็ ดิ สรุ า โดยมนี กั เลงเหลา่ นนั้ เปน็ บรวิ าร ตง้ั แต่บตุ ร เศรษฐตี ดิ สรุ ากใ็ ชจ้ า่ ยอยา่ งฟมุ่ เฟอื ย ในเวลาไมน่ านทรพั ยข์ องตนและของภรรยา 160 โกฏกิ ห็ มดไป ตอ่ มาจงึ ขายสมบตั ขิ องตน คอื นา สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ยานพาหนะ ภาชนะเคร่ืองใช้ ผ้าห่ม ผ้าปนู ่งั รวมทง้ั เรอื นทีอ่ ยู่อาศัยด้วย เมอ่ื ขายเรอื นไปแลว้ บตุ รเศรษฐกี พ็ าภรรยาเทยี่ วไปขอทาน วนั หนงึ่ พระสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ ทอดพระเนตรเหน็ เขาซงึ่ ยนื อยทู่ ป่ี ระตโู รงฉนั คอยรบั โภชนะทเี่ ปน็ เดนจาก ภิกษุหนุ่มและสามเณร จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนทเถระจึงทูลถามถึงเหตุที่ ทรงแย้ม พระพทุ ธองค์จึงตรสั ว่า อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐผี ู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย 160 โกฏิ พาภรรยาเทีย่ วขอทานอยู่ ถ้าบตุ รเศรษฐีไม่ผลาญทรพั ย์ให้หมดส้นิ และประกอบการงานในปฐมวัย ก็ จกั ได้เปน็ เศรษฐชี นั้ เลศิ ในนครน้ี แต่ถา้ ออกบวชกจ็ กั บรรลอุ รหตั ผล แมภ้ รรยาของ เขาก็จักด�ำรงอยู่ในอนาคามิผล ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป ประกอบการงานใน มัชฌิมวยั กจ็ ักได้เป็นเศรษฐชี น้ั ท่ี 2 ถ้าออกบวชกจ็ กั ได้เป็นอนาคามี ภรรยาของเขา กจ็ กั ด�ำรงอยใู่ นสกทาคามผิ ล ถา้ ไมผ่ ลาญทรพั ยใ์ หส้ นิ้ ไป ประกอบการงานในปจั ฉมิ - วัย จกั ได้เป็นเศรษฐีชน้ั ที่ 3 ถ้าออกบวชกจ็ ักได้เป็นสกทาคามี ภรรยาของเขาก็จัก ด�ำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แต่บุตรเศรษฐีน่ันทั้งเส่ือมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ท้ัง เสอ่ื มแล้วจากสามัญญผล จงึ เป็นเหมอื นนกกะเรยี นในเปือกตมแห้งฉะน้ัน เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 262 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

8.3.2 มิจฉาวณชิ ชาการค้าต้องห้าม อาชีพต่าง ๆ ในโลกนีม้ อี ยู่หลากหลาย พระสมั มาสมั พุทธเจ้าทรงให้หลักใน การเลือกประกอบอาชีพไว้ว่า “ให้เลอื กอาชพี ทไ่ี ม่ขัดต่อศลี ธรรม” ส่วนอาชพี ใดที่ขัด ต่อหลักศลี ธรรม เช่น มจิ ฉาวณิชชา เป็นต้น พงึ ละเว้น เพราะจะท�ำให้เกิดโทษแก่ ตนเองและคนในสงั คมทง้ั ในชาตินี้และชาตหิ น้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส “มิจฉาวณิชชา” ซึ่งเป็นการค้าขายท่ีไม่พึงกระท�ำไว้ 5 ประการ ได้แก่ สัตถวณชิ ชา คอื การค้าขายอาวธุ , สตั ตวณิชชา คอื การค้าขาย สัตว์, มงั สวณิชชา คือ การค้าขายเนอ้ื , มชั ชวณิชชา คอื การค้าขายของมึนเมา และ วิสวณชิ ชา คอื การค้าขายยาพษิ 1) การค้าขายอาวุธ หมายถึง การให้สร้างอาวุธและขายอาวุธน้ัน ที่ห้าม ค้าขาย ก็เพราะจะเป็นเหตุให้เกิดการรบราฆ่าฟันกนั ตายได้ 2) การคา้ ขายสตั ว์ ในทนี่ ้ี หมายถงึ การคา้ ขายมนษุ ย์ ทห่ี า้ มคา้ ขายกเ็ พราะ ท�ำให้มนุษย์หมดอสิ รภาพ เช่น การค้าขายสตรีเพอ่ื ให้เป็นหญิงโสเภณี เป็นต้น 3) การค้าขายเนื้อ หมายถึง การเล้ยี งสัตว์ เช่น สกุ ร เป็นต้น ไว้ขาย หรือ การซอ้ื สตั วม์ าแลเ่ นอ้ื แลว้ ขาย ทห่ี า้ มคา้ ขายเพราะจะเปน็ เหตใุ หต้ อ้ งผดิ ศลี ข้อปาณาติบาต 4) การคา้ ขายของมนึ เมา หมายถงึ การใหป้ รงุ ของมนึ เมาชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ แล้วขาย ทหี่ ้ามค้าขายเพราะเป็นเหตใุ ห้ผู้ดื่มเกิดความประมาท เมอื่ ละ โลกไปแล้วก็จะไปสู่ทคุ ติ 5) การคา้ ขายยาพษิ หมายถงึ การใหท้ �ำยาพษิ และคา้ ขายยาพษิ นนั้ ยาพษิ ในปจั จบุ นั หมายรวมถงึ ยาเสพตดิ ดว้ ย เชน่ ยาบา้ ยาอี เฮโรอนี เปน็ ตน้ ที่ห้ามขายเพราะจะก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้เสพและผู้ขายทั้งในชาตินี้และ ชาติหน้า สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 263 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

การค้าทั้ง 5 ประการนี้ก่อให้เกิดโทษทั้งแก่ผู้ขายและผู้ซื้อรวมท้ังสังคมโดย รวมอยา่ งมาก โทษทเ่ี กดิ กบั ผขู้ ายเองแมใ้ นปจั จบุ นั ชาตจิ ะเหน็ ผลไมค่ อ่ ยชดั เชน่ อาจ จะรู้สึกไม่สบายใจบ้างท่ีเห็นลูกค้าของตนและคนที่เกี่ยวข้องมีอันเป็นไปต่าง ๆ แต่ เมอ่ื ผขู้ ายละโลกไปแลว้ จะเหน็ ผลชดั เจน คอื ตอ้ งไปรบั วบิ ากกรรมอนั แสนสาหสั อยู่ ในมหานรก ส�ำหรบั ผู้ซ้อื และสังคมโดยรวมนั้นจะเหน็ โทษที่เกิดข้ึนอย่างชดั เจน เช่น ผู้ซอื้ อาวธุ ไปกม็ โี อกาสน�ำไปเข่นฆ่ากนั ผลกค็ อื มกี ารล้มตายเกิดขน้ึ หากการเข่นฆ่า นน้ั เปน็ สงครามระหวา่ งประเทศกจ็ ะเกดิ ความเสยี หายใหญโ่ ต เปน็ ผลใหป้ ระชาชนใน ประเทศเดือดร้อนกนั ท่วั หน้า เป็นต้น 8.3.3 อบายมุขทางเสือ่ มแห่งทรัพย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์และอริยทรัพย์ใน สิงคาลกสูตรไว้ 6 ประการ ได้แก่ การเสพน�้ำเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นท่ีต้ังแห่ง ความประมาท, การเทีย่ วไปในตรอกต่าง ๆ ในเวลากลางคืน, การเทีย่ วดูมหรสพ, การเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท, การคบคนช่ัวเป็นมิตร และ ความเกียจคร้าน 1 1) การเสพน้�ำเมา น้�ำเมาในท่ีนี้ คือ สุราและเมรัย รวมท้ังของมึนเมา อ่นื ๆ เช่น บุหรี่ ยาสูบต่าง ๆ เป็นต้น สรุ า หมายถงึ นำ้� เมาทก่ี ลนั่ แล้ว เมรัย หมายถงึ น�้ำเมาท่ีเกิดจากการหมักหรือแช่ หรือน�้ำเมาท่ีไม่ได้กล่ัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรสั ถึงโทษในการเสพนำ้� เมาไว้ 6 ประการ คือ เสือ่ มจากทรพั ย์ ก่อการทะเลาะววิ าท เป็นบ่อเกิดแห่งโรค เป็นเหตเุ สียชื่อเสยี ง เป็นเหตุไม่รู้จกั อาย และทอนก�ำลังปัญญา ปจั จบุ นั คนไทยและคนทวั่ โลกสญู เสยี ทรพั ยไ์ ปเพราะนำ�้ เมาจ�ำนวนมาก ในไตรมาสท่ี 1 ของปี พ.ศ. 2550 ครวั เรือนไทยสูญเสียค่าใช้จ่ายเครอ่ื งด่ืมน้ำ� เมาไป ถึง 38,747 ล้านบาท ซ่ึงสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. 2549 ถงึ 6% และสูญเสีย 1 สิงคาลกสูตร, ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค, มก. เล่ม 16 ข้อ 178 หน้า 80. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 264 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ค่าใช้จ่ายการบริโภคบหุ ร่ไี ป 5,266 ล้านบาท 1 ความเสยี หายจากการด่ืมสุรามมี ลู ค่า ถงึ หลายแสนลา้ นบาทตอ่ ปี โดยค�ำนวณจากการเจบ็ ปว่ ย คา่ ใชจ้ า่ ยในการบ�ำบดั รกั ษา ต้นทนุ เวลาในการบ�ำบดั และขาดงาน การตายและบาดเจบ็ จากอบุ ตั เิ หตุ เงินจ�ำนวนมากท่ีต้องสูญเสียไปแต่ละปีกับสุรายาเมาน้ัน หากน�ำมาใช้ พัฒนาสังคมในด้านต่าง ๆ ก็จะช่วยให้สังคมโดยรวมเจริญก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้ แบบหนา้ มอื เปน็ หลงั มอื อกี ทง้ั หากประชาชนพลเมอื งไมด่ ม่ื สรุ ายาเมากจ็ ะมสี ตปิ ญั ญา มาก เป็นก�ำลงั ท่สี �ำคัญย่งิ ในการพฒั นาชาตอิ ีกด้วย 2) การเท่ยี วกลางคนื พระสมั มาสัมพุทธเจ้าตรัสถงึ โทษในการเทย่ี วกลาง คนื ไว้ 6 ประการ คอื ชือ่ ว่าไม่คุ้มครองไม่รักษาตัว ช่อื ว่าไม่คุ้มครองไม่รกั ษาบตุ ร ภรรยา ชอื่ ว่าไม่คุ้มครองไม่รักษาทรัพย์สมบตั ิ เป็นทีร่ ะแวงของคนอื่น ได้ยินได้ฟัง เร่ืองเทจ็ จากสถานทเ่ี หล่านนั้ และท�ำให้เกดิ ความล�ำบาก 3) การเทยี่ วดมู หรสพ มหรสพ หมายถงึ การเลน่ รน่ื เรงิ มโี ขนละคร เปน็ ตน้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ โทษในการเทยี่ วดมู หรสพ 6 ประการ คอื มกี ารร�ำทไี่ หน ไปทน่ี ้นั มีการขบั ร้องท่ไี หนไปท่ีน้นั มกี ารประโคมทไ่ี หนไปท่ีนั้น มีขบั เสภาท่ไี หนไป ทนี่ นั้ มเี พลงทไี่ หนไปทน่ี น้ั มเี ถดิ เทงิ ทไ่ี หนไปทนี่ นั้ เมอ่ื เปน็ เชน่ นจี้ ะท�ำใหเ้ สยี งาน เสยี เวลา โภคทรพั ยท์ ย่ี งั ไมเ่ กดิ กไ็ มเ่ กดิ และเมอื่ เรอื นไมม่ คี นเฝา้ ท�ำใหโ้ จรเขา้ มาลกั ทรพั ย์ ได้ 4) การเลน่ การพนนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ โทษในการเลน่ การพนนั ไว้ 6 ประการ คอื ผชู้ นะยอ่ มกอ่ เวร ผแู้ พย้ อ่ มเสยี ดายทรพั ย์ เสอื่ มทรพั ยใ์ นปจั จบุ นั ถอ้ ยค�ำของคนเลน่ การพนนั ไมน่ า่ เชอ่ื ถอื ถกู มติ รดหู มนิ่ และไมม่ ใี ครตอ้ งการแตง่ งาน ด้วย เพราะเหน็ ว่าคนเล่นการพนันไม่สามารถจะเลีย้ งภรรยาได้ หากเป็นผู้หญงิ ก็หา สามียากเพราะชายท้งั หลายจะกลวั ถกู เธอผลาญสมบตั ิให้หมดไป 1 เดลินวิ ส์ (2550). “คนจนน่าห่วงใช้จ่ายเงินเกนิ ตัว.” [ออนไลน์] สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 265 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

การพนันที่เป็นที่นิยมของคนไทยโดยทั่วไป คือ หวย โดยเฉพาะ “หวยใต้ดิน” จากผลการวจิ ัยของสังศิต พริ ิยะรงั สรรค์ และคณะ เมือ่ ปี พ.ศ. 2544 พบว่า มีผู้เล่นหวยใต้ดนิ ทัว่ ประเทศ 23.7 ล้านคน คิดเป็น 51% ของประชากรท่ี มอี ายมุ ากกว่า 15 ปีขึน้ ไป และมวี งเงนิ ท่เี ล่นหวยใต้ดินไม่ตำ่� กว่า 542,000 ล้านบาท โดยวงเงินทเี่ ล่นน้ี ประมาณ 30% หรอื 162,000 ล้านบาท เป็นก�ำไรของเจ้ามือ... นกั เสี่ยงดวงด้วยหวยเกอื บทง้ั หมดหรือกว่า 90% มคี วามเชือ่ ว่าจะถูกหวยทงั้ ๆ ที่ ความจริง โอกาสทางสถติ ิท่ีจะถูกหวยมีต�ำ่ มาก 1 การพนนั ทแ่ี พรห่ ลายอยา่ งมากในยคุ นคี้ อื “ฟตุ บอลโลก” มหาวทิ ยาลยั หอการค้าไทยส�ำรวจการพนันฟุตบอลโลกปี พ.ศ. 2549 ท่ผี ่านมา พบว่ามีเม็ดเงนิ หมนุ เวียนรวม 35,500 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินทพี่ นนั บอลประมาณ 19,500 ล้านบาท และพบว่ากลุ่มคนทมี่ รี ายได้น้อยกว่า 5,000 บาท จะใช้เงนิ ในการพนนั บอลมากกว่า รายได้ที่ได้รับ 2 5) การคบคนชัว่ เป็นมติ ร พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรสั ถึงโทษในการคบคน ช่วั เป็นมติ รไว้ 6 ประการ คือ น�ำให้เป็นนกั เลงการพนัน น�ำให้เป็นนกั เลงเจ้าชู้ น�ำให้ เป็นนักเลงเหล้า น�ำให้เป็นคนลวงผู้อ่ืนด้วยของปลอม น�ำให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า และน�ำให้เป็นนกั เลงหัวไม้ การคบมิตรในยุคปัจจบุ นั ยังขยายวงกว้างมาถงึ “การเสพสอ่ื ด้วย” ท้ัง สอื่ โทรทศั น์ วิทยุ อินเตอร์เนต็ หนังสอื พมิ พ์ และอืน่ ๆ เพราะส่อื เหล่าน้ีได้น�ำคน และสงิ่ แทนของคนออกเผยแพรส่ สู่ ายตาของสาธารณชนจ�ำนวนมาก ปจั จบุ นั คนแตล่ ะ คนไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งพบกนั โดยตรงกส็ ามารถสอ่ื สารกนั ไดท้ วั่ ทกุ มมุ โลกผา่ นสอ่ื ทท่ี นั สมยั คนได้ลงไปอยู่ในสอ่ื ต่าง ๆ เพือ่ เผยแพร่ ทัง้ สิ่งท่ดี ีและไม่ดไี ปสู่ชาวโลกอย่างกว้าง ขวางและยากต่อการควบคมุ 1 ไทยรัฐ (2549). “ผลวิจยั ช้คี นไทยติดทั้งหวยบนดนิ และใต้ดนิ ฯ.” [ออนไลน์]. 2 ผู้จัดการ (2549). “โพลล์ระบพุ นนั บอลโลกครัง้ นี้เงนิ สะพดั กว่า 19,500 ล้านบาท.” [ออนไลน์]. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 266 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

ในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนดสุ ติ ได้จดั ท�ำโฟกสั กรุ๊ป ในหวั ข้อ “พนนั บอลปัญหาท่ซี ำ้� ซาก แก้ไขได้ยากจริง หรอื ?” โดยการเชิญกลุ่มคนทีเ่ กี่ยวข้องในวงการพนันบอลร่วม 40 ชวี ติ มาร่วม เสวนาเพอื่ แกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการเสวนาพบวา่ จดุ เรม่ิ ตน้ ทสี่ �ำคญั ทส่ี ดุ ของผทู้ เี่ ขา้ สู่วงจรอบุ าทว์อยู่ท่ี “กลุ่มเพื่อนและคนใกล้ชิด” ด้วยการเล่นตามกันเพ่อื ความสนุก และส่ิงเร้าส�ำคัญที่ก่อให้เกิดการพนันบอลอย่างมากน้ัน เป็นเรื่องของ “ส่ือ” ทั้ง หนงั สือพมิ พ์กีฬา นติ ยสาร อินเทอร์เน็ต ทวี ี และวทิ ยุ เป็นต้น 1 6) การเกียจคร้าน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงโทษในการเกียจคร้านไว้ 6 ประการ คอื มกั ให้อ้างว่าหนาวนักแล้วไม่ท�ำการงาน มกั ให้อ้างว่าร้อนนักแล้วไม่ ท�ำการงาน มกั ใหอ้ า้ งวา่ เยน็ แลว้ ไมท่ �ำการงาน มกั ใหอ้ า้ งวา่ ยงั เชา้ อยนู่ กั แลว้ ไมท่ �ำการ งาน มักให้อ้างว่าหิวนักแล้วไม่ท�ำการงาน เม่ือมากไปด้วยการอ้างเลศผลัดเพ้ียน การงานอยู่อย่างน้ี โภคทรัพย์ท่ยี ังไม่เกดิ กไ็ ม่เกิดข้นึ ทเี่ กดิ แล้วเส่อื มสิน้ ไป 8.4 เศรษฐศาสตร์ระดับมหภาคในพระไตรปิฎก เศรษฐศาสตร์มหภาค คอื การศึกษาเศรษฐกจิ ทง้ั ระบบ หรอื ศกึ ษาภาพรวม เศรษฐกิจท้ังประเทศน่ันเอง ซ่ึงรัฐบาลมีหน้าท่ีโดยตรงในการบริหารเศรษฐกิจของ ประเทศ เศรษฐศาสตรม์ หภาคในพระไตรปิฎกนน้ั ปรากฏอย่ใู นการบรหิ ารเศรษฐกจิ ของกษตั รยิ ห์ รอื คณะผปู้ กครองแควน้ ตา่ ง ๆ ในอดตี เชน่ พระเจา้ จกั รพรรดิ กษตั รยิ ์ และคณะเจ้าต่าง ๆ เป็นต้น จากทก่ี ลา่ วถงึ สาเหตแุ หง่ ความรำ่� รวยในหวั ขอ้ เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาควา่ เกดิ จาก อริยทรัพย์ คือ บญุ และการขวนขวายสร้างฐานะตามหลกั หวั ใจเศรษฐี ได้แก่ ความ ขยันท�ำมาหากนิ รู้จกั เกบ็ รักษาทรัพย์ คบมติ รดี และใช้จ่ายอย่างพอดี ส่วนความ ยากจนกเ็ กิดจากการไม่สั่งสมอริยทรัพย์ คอื บญุ และไม่ขวนขวายสร้างฐานะ 1 ประชาชาติธรุ กจิ (2549). “พนนั บอลปัญหาที่ซ้ำ� ซาก แก้ไขได้ยากจริงหรือ ?.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 267 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

เบือ้ งหลังของเศรษฐกิจในระดบั ประเทศก็เกิดจากสาเหตุ 2 ประการดังกล่าว คือ บญุ โดยรวมของคนทั้งประเทศ และการขวนขวายสร้างฐานะของคนท้งั ประเทศ หากประเทศใดท่ีบุญโดยรวมของคนทั้งประเทศมีมาก และประชาชนโดยส่วนใหญ่ ขวนขวายในการสรา้ งฐานะ สภาพเศรษฐกจิ ของประเทศนน้ั กจ็ ะดอี ยใู่ นระดบั แถวหนา้ ของโลก ส่วนประเทศใดท่ีบุญโดยรวมของคนท้ังประเทศมีน้อยและประชาชนโดย ส่วนใหญ่ก็ไม่ขวนขวายสร้างฐานะ สภาพเศรษฐกจิ ของประเทศน้นั ก็จะไม่ดี อยา่ งไรกต็ ามรฐั บาลหรอื คณะผปู้ กครองแตล่ ะประเทศกม็ บี ทบาทส�ำคญั อยา่ ง ยงิ่ ในการบรหิ ารจดั การเศรษฐกจิ ของประเทศ โดยหลกั การบรหิ ารนน้ั จะตอ้ งสง่ เสรมิ ประชาชนในส่ิงที่ส�ำคญั 2 ประการ คือ 1) ส่งเสริมประชาชนให้มีความเข้าใจเรอ่ื งบญุ และสัง่ สมบญุ มาก ๆ 2) สง่ เสรมิ ประชาชนใหข้ วนขวายสรา้ งฐานะดว้ ยหลกั หวั ใจเศรษฐี อนั หมาย รวมถึงการส่งเสริมประชาชนให้ประกอบอาชีพที่ไม่ผิดศีลธรรม เช่น มจิ ฉาวณิชชา และควบคมุ ก�ำจดั แหล่งอบายมขุ ทั้งหลาย หากประเทศใดผู้ปกครองปฏิบัติตามหลักการทั้ง 2 ประการน้ี จะท�ำให้ เศรษฐกจิ ของประเทศดี เติบโตอย่างต่อเน่ืองและแข็งแกร่งมั่นคง วธิ กี ารบรหิ ารเศรษฐกจิ ในระดบั มหภาคของกษตั รยิ ห์ รอื คณะผปู้ กครองแควน้ ตา่ ง ๆ ในพระไตรปฎิ กนนั้ ปรากฏชดั เจนในกฏู ทนั ตสตู รวา่ ดว้ ยการบรหิ ารเศรษฐกจิ ของพระเจ้ามหาวชิ ิตราช ซ่ึงกล่าวไว้แล้วในบทท่ี 6 เร่ืองรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก ส�ำหรบั บทนจี้ ะกลา่ วถงึ อกี ครงั้ โดยเนน้ เฉพาะเรอ่ื งเศรษฐกจิ และจะกลา่ วเสรมิ วธิ กี าร บริหารเศรษฐกิจในสมัยพทุ ธกาลด้วย การบริหารเศรษฐกจิ ของพระเจ้ามหาวิชิตราช จากเน้ือหาในกูฏทันตสูตรซึ่งกล่าวไว้ว่า พระเจ้ามหาวิชิตราชทรงท�ำสงคราม แผข่ ยายอาณาจกั รออกไปกวา้ งขวาง ผลของสงครามท�ำใหเ้ ศรษฐกจิ ของประเทศตกตำ่� เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 268 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

จนเกดิ ปญั หาโจรปลน้ บา้ นปลน้ เมอื ง โจรเหลา่ นเ้ี ปน็ โจรเพราะความยากจนบบี คน้ั ไม่ ได้เป็นโจรเพราะสนั ดาน คือ ความโลภบีบคัน้ พระโพธสิ ตั ว์ในฐานะเป็นปุโรหิตมอง เหน็ ปญั หานไี้ ดท้ ะลปุ รโุ ปรง่ จงึ ถวายค�ำแนะน�ำพระราชาใหแ้ กป้ ญั หาเศรษฐกจิ ดว้ ยการ สง่ เสรมิ ประชาชนใหข้ วนขวายท�ำมาหากนิ โดยชว่ ยเหลอื คนระดบั ลา่ ง 3 กลมุ่ ซง่ึ ขยนั ท�ำมาหากนิ ดงั น้ี 1) เพิ่มข้าวปลูกและข้าวกินให้แก่เกษตรกรท่ีขยันท�ำงานในโอกาส อนั สมควร 2) เพิม่ ทุนให้แก่พ่อค้าทีข่ ยันท�ำงานในโอกาสอันสมควร 3) พระราชทานเบย้ี เลยี้ ง และพระราชทานเงนิ เดอื นใหแ้ กข่ า้ ราชการทข่ี ยนั ท�ำงานในโอกาสอนั สมควร การทีพ่ ระเจ้ามหาวชิ ิตราชช่วยเหลือคนระดบั ล่าง 3 กลุ่มทขี่ ยันท�ำมาหากินน้ี เป็นการส่งเสรมิ ให้ประชาชนเหล่านข้ี ยันท�ำงานยิง่ ๆ ขนึ้ ไป วธิ กี ารบริหารเศรษฐกจิ แบบนจี้ งึ ตรงกับหลกั หวั ใจเศรษฐีข้อท่ี 1 คอื อฏุ ฐานสมั ปทา หรือขยนั หาทรัพย์ แต่ เป็นการส่งเสรมิ อุฏฐานสมั ปทาน้ใี ห้ขยายวงกว้างออกไปท่วั ประเทศ ท�ำให้คนทข่ี ยนั ได้รับการสนับสนุน มีโอกาสใช้ความเพียรและความสามารถของตนได้อย่างเต็มท่ี และเมอื่ ใหท้ รพั ยก์ บั คนทข่ี ยนั แลว้ กจ็ ะท�ำใหเ้ กดิ ผลงอกงามขนึ้ เศรษฐกจิ จะไหลเวยี น สะพัดส่งผลไปถึงคนอ่ืนในสังคมด้วย และรัฐเองก็จะได้รับภาษีอากรกลับคืนมา จ�ำนวนมาก หากบริหารดี ๆ รายรบั ทเ่ี พิ่มขึ้นของรัฐจะมากกว่าเงนิ ช่วยเหลอื ที่ให้ไป เสียอกี ท�ำให้รฐั มกี �ำลงั ช่วยเหลอื ผู้ด้อยโอกาสมากยงิ่ ขน้ึ ขอเพียงเลือกช่วยเหลอื ให้ ถกู คนเท่านัน้ นอกจากน้ันการให้รางวัล ให้โอกาสกบั คนขยนั ยงั ท�ำให้คนท้ังประเทศ เห็นว่า คนทขี่ ยนั ท�ำมาหากนิ จะได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลต้นแบบ และจะได้รับ การช่วยเหลอื จากพระราชา เมอ่ื เป็นเช่นน้ี คนทเ่ี กยี จคร้านกจ็ ะหนั มาขยนั ท�ำงานบา้ ง จึงเท่ากับได้ขยายเครือข่ายคนขยันท�ำงานให้ขยายวงกว้างออกไป ซ่ึงสอดคล้องกับ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 269 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

หลกั หวั ใจเศรษฐีข้อท่ี 3 คือ กัลยาณมิตตตา หรือการสร้างเครอื ข่ายคนดี คนดีในที่ นี้ คอื คนทข่ี ยันท�ำมาหากนิ นอกจากคนดีจะต้องเป็นคนท่ีขยันท�ำงานแล้ว พราหมณ์ปุโรหิตยังถวายค�ำ แนะน�ำพระราชาเรอื่ งมาตรฐานคนดเี พม่ิ เตมิ อกี คอื กศุ ลกรรมบถ 10 ซง่ึ เนอื้ หาโดย รวมเป็นเรือ่ งการรักษาศลี น่ันเอง ศีลน้ันกเ็ ป็นอริยทรพั ย์หรอื บญุ อย่างหนง่ึ ซึ่งเป็น ทางมาแห่งโภคทรพั ย์ด้วย ดงั ภาษาบาลที ่วี ่า “สีเลนโภคสัมปทา แปลว่า ศีลเป็นทาง มาแห่งโภคทรพั ย”์ กศุ ลกรรมบถ 10 และความขยนั จงึ เปน็ คณุ สมบตั ขิ องคนดหี รอื กัลยาณมิตรทสี่ �ำคญั ซ่งึ เป็นเป้าหมายในการพฒั นาคนของพระเจ้ามหาวชิ ิตราช นอกจากนี้ พระเจ้ามหาวชิ ติ ราชกย็ ังลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยด้วย การจดั พธิ บี ชู ามหายญั หรอื การบรจิ าคทานครงั้ ใหญ่ โดยพระเจา้ มหาวชิ ติ ราชทรงเปน็ ประธานในการบริจาคทานเอง และพระองค์ยังชักชวนคนระดบั บน 4 กลุ่มทีม่ ีฐานะ รำ�่ รวยใหช้ ว่ ยกนั แจกทานแกค่ นจนดว้ ย นนั่ คอื กษตั รยิ ป์ ระเทศราช ขา้ ราชการผใู้ หญ่ พราหมณม์ หาศาล และคฤหบดมี หาศาล ดว้ ยเหตนุ ส้ี ถานะทางเศรษฐกจิ ในอาณาจกั ร ของพระเจ้ามหาวชิ ิตราชจงึ แข็งแกร่ง คนท้ังประเทศอยู่ดีมสี ขุ และสังคมมีเอกภาพ มคี วามปรองดองระหว่างชนชนั้ เพราะมกี ารช่วยเหลอื เกอื้ กลู กนั ไม่เป็นในลกั ษณะที่ ว่ามอื ใครยาวสาวได้สาวเอา แต่คนรวยซงึ่ มที รพั ย์เหลือเฟืออยู่แล้ว กน็ �ำทรัพย์ส่วน เกินนนั้ มาช่วยเหลอื คนจน บุญจากการให้ทานนีก้ ย็ ่อมส่งผลให้คนรวย ๆ ย่ิง ๆ ขน้ึ ไป ส่วนคนจนเมอ่ื เหน็ แบบอยา่ งการใหท้ านของคนรวยแลว้ กย็ อ่ มใหท้ านเองบา้ ง และบญุ นกี้ จ็ ะคอ่ ย ๆ เกื้อกลู คนจนเหล่านใี้ ห้ค่อย ๆ มีฐานะท่ีดีขน้ึ ตามล�ำดบั ในสมยั พทุ ธกาลมตี วั อย่าง คนจนหลายท่านท่ีตระหนักว่า สาเหตุท่ีตนเกิดมายากจนก็เพราะในอดีตชาติไม่ได้ ส่งั สมบุญด้วยการให้ทาน เป็นต้น เมอื่ ตระหนักเช่นน้แี ล้วจึงเรม่ิ ขวนขวายสง่ั สมบุญ และพากเพยี รท�ำการงาน และผลบญุ ทที่ �ำนน้ั กส็ ง่ ผลใหม้ ฐี านะดขี น้ึ กวา่ เดมิ บางทา่ น เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 270 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ถึงกบั ได้เป็นเศรษฐีเลยทีเดยี ว เช่น ปณุ ณเศรษฐี เป็นต้น ซ่งึ เมอื่ ก่อนเป็นคนงานใน บา้ นของสมุ นเศรษฐี ตอ่ มาไดท้ �ำบญุ กบั พระสารบี ตุ รเถระ ผลบญุ นนั้ จงึ สง่ ผลใหท้ า่ น เป็นเศรษฐี การท�ำให้เศรษฐกิจระดับมหภาคแข็งแกร่งตามหลักการในพระไตรปิฎกนั้น นอกจากคนรวยจะช่วยเหลือคนจนด้วยการให้ทานดังกล่าวแล้ว ที่ส�ำคัญท่ีสุดคือ มหาเศรษฐใี นสมยั พทุ ธกาลยงั ใชท้ รพั ยส์ ว่ นเกนิ ใหท้ านบ�ำรงุ พระพทุ ธศาสนาดว้ ย ซง่ึ เปน็ การสงั่ สมบญุ ในแหลง่ เนอ้ื นาบญุ ทจี่ ะสง่ ผลใหม้ หาเศรษฐเี หลา่ นน้ั รำ่� รวยยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป วฒั นธรรมอยา่ งหนง่ึ ของมหาเศรษฐยี คุ นน้ั คอื นยิ มสรา้ งวดั เพอ่ื เปน็ แหลง่ สง่ั สม บญุ ของคนในแควน้ การสรา้ งวดั นเ้ี องเปน็ การท�ำใหเ้ ศรษฐกจิ ของประเทศดอี ยา่ งเปน็ รูปธรรมวิธหี นึง่ เพราะก่อให้เกดิ การจ้างงาน การซอื้ ขายวัสดอุ ปุ กรณ์เพ่ือน�ำไปสร้าง วดั ยงิ่ วดั ทสี่ รา้ งมขี นาดใหญเ่ ทา่ ไรกย็ ง่ิ กระตนุ้ เศรษฐกจิ ใหเ้ ฟอ่ื งฟไู ดม้ ากเทา่ นนั้ เชน่ การสร้างวัดพระเชตวนั ของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เป็นต้น วัดพระเชตวันนั้นเป็นวัดใหญ่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในสมัย พทุ ธกาล รองรบั พระภิกษุได้หลายพันรปู อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐซี ้อื อารามจากเจ้าเชต เพอ่ื สร้างเป็นวัดด้วยเงิน 18 โกฏิ ใช้เงินอกี 18 โกฏิ สร้างเสนาสนะท้งั หมดภายใน วดั ได้แก่ ซุ้มประตู หอฉนั โรงไฟ กุฏิ ห้องน�ำ้ โรงจงกรม บ่อน�ำ้ เรอื นไฟ สระ โบกขรณี เป็นต้น และใช้เงินอกี 18 โกฏิ เพ่อื ฉลองวดั เมือ่ สร้างเสรจ็ แล้ว การสร้าง วัดใหญ่ขนาดนี้ท�ำให้มีการผลิตและซื้อขายวัสดุเพื่อน�ำไปสร้างวัด และจะท�ำให้เกิด การจ้างงานอย่างต่อเนื่องเป็นจ�ำนวนมาก 1 วัดวาอารามในสมัยพทุ ธกาล วัดในสมยั พุทธกาลมจี �ำนวนมากในท่นี ี้จะยกตัวอย่างแค่ 10 แห่งทปี่ รากฏชอ่ื อยู่บ่อยครัง้ ในพระไตรปิฎก ดงั นี้ 1 ธัมมปทัฏฐกถา, อรรถกถาขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 41 หน้า 107. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 271 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ลาำ ดับ วัด/อาราม/วิหาร เมอื ง ผู้สร้าง/ผู้ถวาย 1 วัดเวฬุวนั เมอื งราชคฤห์ พระเจ้าพมิ พสิ าร 2 วัดพระเชตวนั สาวตั ถี อนาถบณิ ฑิกเศรษฐี 3 วัดบุพพาราม สาวตั ถี มหาอบุ าสิกาวสิ าขา 4 นโิ ครธาราม กบิลพสั ด์ุ เจ้าศากยะ 5 วัดโฆสิตาราม โกสัมพี โฆสิตเศรษฐี 6 กุกกฏุ าราม โกสมั พี กกุ กุฏเศรษฐี 7 ปาวารกิ ัมพวนั โกสมั พี ปาวาริกเศรษฐี 8 ชีวกัมพวนั เมอื งราชคฤห์ ชวี กโกมารภจั จ์ 9 อัมพาฏกวัน มัจฉกิ าสัณฑนคร จิตตคฤหบดี 10 สวนอมั พวัน เมอื งเวสาลี นางอมั พปาลี จากที่กล่าวถึงการบริหารเศรษฐกิจของพระเจ้ามหาวิชิตราช และการบริหาร เศรษฐกิจของเมืองและแคว้นต่าง ๆ ในสมัยพุทธกาลจะเห็นว่า มีการปฏิบัติตาม หลกั การทงั้ 2 ประการ คอื ส่งเสรมิ ประชาชนใหม้ คี วามเขา้ ใจเรอื่ งบญุ และสงั่ สมบญุ มาก ๆ และส่งเสรมิ ประชาชนให้ขวนขวายสร้างฐานะด้วยหลกั หัวใจเศรษฐี 8.5 เปรยี บเทยี บเศรษฐศาสตร์ทางโลกกบั ทางธรรม การเปรียบเทยี บนั้น จะเปรยี บเทียบทงั้ เศรษฐศาสตร์ระดบั จุลภาคและระดับ มหภาค โดยระดับจลุ ภาคมี 2 ประเดน็ คอื อปุ นสิ ัยการให้ทานของมหาเศรษฐยี คุ ปจั จบุ นั และอรยิ ทรพั ยก์ ลยทุ ธส์ รา้ งความสขุ ในทกุ ยคุ สมยั สว่ นเศรษฐศาสตรร์ ะดบั มหภาคมี 2 ประเด็น คือ ระบบเศรษฐกิจทางโลกกับทางธรรม และวิกฤตการณ์ อาหารและพลงั งานโลก เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 272 สรรพศำสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

8.5.1 อุปนสิ ัยการให้ทานของมหาเศรษฐโี ลกยุคปัจจบุ นั จากทีก่ ล่าวถงึ เรอื่ งนิสยั ในบทที่ 5 เรอื่ งมนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎกว่า นิสัย หมายถงึ ความประพฤติทีเ่ คยชนิ ส่วน “อุปนสิ ัย” หมายถงึ ความประพฤติทเ่ี คยชิน เป็นพ้นื มาในสนั ดาน หรอื ตดิ ตัวมาข้ามชาติ ใครทีเ่ คยมนี ิสยั อย่างไร หากไม่ได้ปรบั เปลย่ี นกจ็ ะติดตวั ไปตลอดชวี ิต และจะตดิ ตวั ข้ามชาตดิ ้วย จากเรอื่ งอปุ นสิ ยั อนั ตดิ ตวั ขา้ มชาตดิ งั กลา่ ว เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั อปุ นสิ ยั การให้ ทานของมหาเศรษฐีโลกในปัจจุบันพบว่า สอดคล้องกันมาก บญุ จากการให้ทานแก่ เน้ือนาบุญในอดีตชาติเป็นสาเหตุหลักท่ีท�ำให้คนมีฐานะร่�ำรวย และอุปนิสัยการให้ ทานน้ีกจ็ ะติดตัวข้ามชาติ แม้การจะรู้เรอื่ งในอดีตชาติของมหาเศรษฐีต่าง ๆ เป็นไป ไดย้ าก แตฐ่ านะและอปุ นสิ ยั การใหท้ านในปจั จบุ นั กส็ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ภาพในอดตี ไดอ้ ยา่ ง ชดั เจน บิลล์ เกตส์ อภมิ หาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกตดิ ต่อกนั 13 ปี ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2538-2550 ได้ออกมาประกาศว่า จะยกสนิ ทรพั ย์ถงึ 95% ที่มีอยู่ทั้งหมดให้มูลนธิ ิ ของเขาเพื่อใช้ในกจิ กรรมการกศุ ล โดยเหลอื ไว้ให้ลูกทง้ั 3 คนเพียง 5% เท่านัน้ 1 ปจั จบุ นั (พ.ศ. 2551) บลิ ล์ เกตส์ มสี นิ ทรพั ยท์ ง้ั หมดประมาณ 58,000 ลา้ นดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท) เท่ากบั ว่าเขาจะยกสนิ ทรัพย์ให้มูลนิธิเพอื่ การกศุ ลถึง 55,100 ล้านดอลลาร์ หรอื ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท มีคนเคยถามบิลล์ เกตส์ว่าท�ำไมถึงไม่ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับลูกทั้ง 3 คน เขาตอบว่า เงนิ จ�ำนวนมหาศาลขนาดน้ี หากยกให้ลกู จะไม่ท�ำให้เกดิ ประโยชน์ แก่สังคมและกับลูกท้ังสาม เพราะปรัชญาในการด�ำรงชีวิตของเขาก็คือ น�ำทรัพย์ สมบัตทิ ี่มคี ืนให้กับสังคม 1 มติชนสดุ สปั ดาห์ (2549). “วธิ คี ดิ และการใช้ชวี ติ ของเศรษฐีอนั ดบั 1 ของโลก.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 273 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

มหาเศรษฐโี ลกผใู้ จบญุ อกี ทา่ นหนง่ึ คอื วอรเ์ รน็ บฟั เฟท็ ท์ เขาออกมาประกาศ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 ว่า จะบริจาคเงินประมาณ 37,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.158 ล้านล้านบาท) ซง่ึ คดิ เป็น 85% ของสนิ ทรัพย์ทมี่ อี ยู่ตอนนั้นให้แก่ มูลนิธกิ ารกศุ ล 5 แห่ง 1 และไม่นานมานี้เขากไ็ ด้บริจาคเงิน 31,000 ล้านดอลลาร์ให้ กบั มูลนธิ ิของบิลเกตส์ไปแล้ว นอกจากนใ้ี นสหรฐั อเมรกิ ายงั มมี หาเศรษฐผี ้ใู จบญุ อกี มากมาย เชน่ กอรด์ อน์ และเบตตี้ มวั ร์ ผู้ร่วมก่อตัง้ บรษิ ทั อนิ เทล, เอลิ และเอดิธ บรอด ผู้ก่อตง้ั บริษทั ซัน- อเมรกิ า, เจมส์ และเวอรจ์ เิ นยี ร์ สโตเวอรส์ ผกู้ อ่ ตง้ั บรษิ ทั อเมรกิ าเซนจรู ,่ี ไมเคลิ และ ซูซาน เดลล์ ผู้ก่อตงั้ บริษทั เดลล์คอมพวิ เตอร์, ครอบครวั วอลล์ตนั แห่งศนู ย์การค้า วอลล์มาร์ต, เทด็ เทอร์เนอร์ ผู้ก่อตัง้ ส�ำนกั ข่าวซเี อ็นเอ็น, เจฟฟรี สกอลล์ ผู้ก่อต้ัง เว็บไซต์ซง่ึ เป็นศนู ย์กลางในการซอ้ื ขายทางอนิ เทอร์เน็ต ชอื่ อเี บย์ (eBay), จอห์น อาร์ อาล์ม ประธาน บริษทั โคคา-โคลา เอน็ เตอร์ไพรส์ เป็นต้น นอกจากในสหรฐั อเมรกิ าแลว้ ปจั จบุ นั มหาเศรษฐที ว่ั โลกไดท้ ยอยตง้ั มลู นธิ กิ าร กศุ ลของตนเองขน้ึ มา ซงึ่ ก�ำลงั ผดุ ขน้ึ เปน็ ดอกเหด็ ไปทว่ั โลก เชน่ ในเยอรมนี ปจั จบุ นั มลู นธิ ขิ องเอกชนในเยอรมนไี ดเ้ พมิ่ ขนึ้ จาก 4,000 แหง่ ในปี พ.ศ. 2540 เปน็ 13,000 แห่งในปี พ.ศ. 2549 และจากข้อมลู ของธนาคารช้นั น�ำแห่งหน่ึงในสวิตเซอร์แลนด์ ระบวุ า่ ลกู คา้ ระดบั มหาเศรษฐปี ระมาณ 1 ใน 4 แสดงความจ�ำนงทจี่ ะบรจิ าคเงนิ สว่ น หนง่ึ เพอ่ื การกศุ ล ขณะที่ 40% ก�ำลงั พจิ ารณาในเรอื่ งนี้ และ 15% เรมิ่ น�ำเรอื่ งบรจิ าค มาพูดถึงแล้ว 2 นิตยสาร ดิ อโี คโนมิสต์ ฉบบั วนั ท่ี 25 เดือนกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2549 ได้ตง้ั ข้อ สงั เกตถงึ สาเหตหุ ลกั ของการใหข้ องมหาเศรษฐเี หลา่ นวี้ า่ คนรวยมกั ตอ้ งการตอบแทน 1 ไทยรัฐ (2549). “มหาเศรษฐีมะกันบริจาคให้การกุศลแทบหมดตัว.” [ออนไลน์]. 2 ประชาชาติธุรกิจ (2549). “นายทนุ -นกั บุญ ปฏวิ ตั โิ ลกแห่งการให้.” [ออนไลน์]. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 274 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ต่อบางส่งิ ทช่ี ่วยให้พวกเขาประสบความส�ำเรจ็ เช่น บริจาคเงินแก่โรงเรยี นท่ีตนเคย เรยี น บางคนใหก้ ารสนบั สนนุ โรงพยาบาลหรอื การวจิ ยั ยารกั ษาโรค ซงึ่ เคยท�ำรา้ ยคน ใกล้ชิดของพวกเขา หรือบางคนก็ช่วยเหลือประเทศยากจนซ่ึงพวกเขาเคยไปเยือน ส่วนสาเหตรุ องของการให้อาจมาจากมาตรการจงู ใจทางภาษี เพราะบางประเทศเงิน บรจิ าคสามารถน�ำไปหักภาษไี ด้ 1 สาเหตกุ ารใหท้ านทกี่ ลา่ วมานี้ เปน็ เพยี งสาเหตทุ พี่ บและวเิ คราะหไ์ ดใ้ นปจั จบุ นั ชาตเิ ท่านน้ั ส่วนสาเหตสุ �ำคญั ทีก่ ล่าวมาตง้ั แต่ต้น คือ อปุ นสิ ยั รกั การให้ทานท่ีติดตัว มาข้ามชาติ ส่งผลให้มหาเศรษฐีเหล่านี้ด�ำเนินชีวิตเช่นเดิมอีกในชาติน้ี แม้ในชาติน้ี พวกเขาจะไม่ค่อยได้ให้ทานแก่เนอื้ นาบญุ เพราะเกิดในประเทศท่มี คี วามเชอื่ ต่างไป จากค�ำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ประเด็นที่กล่าวมาน้ี ต้องการช้ีให้เห็นอุปนิสัยที่ ติดตวั ข้ามชาติเป็นหลกั 8.5.2 อริยทรพั ย์กลยทุ ธ์สร้างความสขุ ในทุกยุคสมยั เศรษฐศาสตรม์ คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ความสขุ และทกุ ขข์ องมนษุ ยอ์ ยา่ งหลกี เลย่ี ง ไมไ่ ด้ เพราะเศรษฐศาสตรเ์ ปน็ ศาสตรท์ กี่ �ำหนดทศิ ทางเศรษฐกจิ ซงึ่ เกย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ ง อาชพี ความเปน็ อย่แู ละปากท้องของคนในสงั คม หลกั การของทฤษฎกี ารสรา้ งความ สุขในสงั คมทุนนยิ มของเศรษฐศาสตร์กระแสหลกั ได้แก่ 1) การบรโิ ภคเปน็ หนทางเดยี วในการสรา้ งความสขุ การท�ำงานเปน็ เพยี งวธิ ี การได้เงนิ มาเพื่อใช้จ่ายในการบริโภค 2) มนษุ ยจ์ ะค�ำนงึ ถงึ ประโยชนข์ องตนเองเทา่ นน้ั มนษุ ยจ์ ะพงึ พอใจมากขนึ้ กด็ ว้ ยการบรโิ ภคของตนเองเทา่ นน้ั โดยไมต่ อ้ งสนใจความพงึ พอใจหรอื สวัสดิการของผู้อ่ืน 1 ประชาชาติธุรกจิ (2549). “นายทนุ -นักบุญ ปฏิวัตโิ ลกแห่งการให้.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 275 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

3) มนษุ ยจ์ ะตอ้ งเรง่ การบรโิ ภคของตนเพอื่ ใหม้ คี วามสขุ เพม่ิ ขนึ้ การบรโิ ภค จงึ แปลงสภาพจากเครอื่ งมอื มาเปน็ เปา้ หมายของการสรา้ งความสขุ ของ มนษุ ย์ 4) สงั คมจะดขี น้ึ จากการเรง่ การบรโิ ภคของทกุ ๆ คน นยิ ามค�ำวา่ สวสั ดกิ าร- สงั คม คอื ผลรวมของความพงึ พอใจของแตล่ ะคนในสงั คม ดงั นน้ั การ เรง่ บรโิ ภคโดยรวมของสงั คมจงึ กลายมาเปน็ เปา้ หมายของสงั คมไปดว้ ย โดยอตั โนมัติ ในช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษทีผ่ ่านมา ได้มคี วามพยายามอย่างต่อเนื่องในการ ตอบค�ำถามว่า มนษุ ยม์ คี วามสขุ มากขน้ึ จากการมเี งนิ และการบรโิ ภคเพมิ่ มากขน้ึ จรงิ หรอื ไม่ ผลการศกึ ษาในสหรฐั อเมรกิ าและในหลายประเทศพบวา่ เงนิ สามารถซอ้ื ความ สขุ ไดเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นนั้ และการสรา้ งความสขุ ดงั กลา่ วกเ็ ปน็ ไปในลกั ษณะถดถอย กล่าวคือ ต้องใช้เงนิ เพิ่มมากขน้ึ อย่างมากในการเพมิ่ ความสุขข้ึนในอตั ราเท่าเดมิ การศกึ ษาทน่ี ่าสนใจอีกเร่อื งหนง่ึ คือ การศกึ ษาถงึ ความสัมพนั ธ์ของการเพมิ่ ขนึ้ ของรายไดต้ อ่ หวั กบั ความพงึ พอใจในชวี ติ ของชาวญป่ี นุ่ ตง้ั แตป่ ี ค.ศ. 1958-1991 (พ.ศ. 2501-2534) ปรากฏว่า ในช่วงเวลา 33 ปี รายได้ต่อหวั ของชาวญ่ีปุ่นเพิ่มขน้ึ กวา่ 16 เทา่ แตช่ าวญป่ี นุ่ กลบั มคี วามรสู้ กึ วา่ ตนเองไมไ่ ดม้ คี วามพงึ พอใจในชวี ติ เพม่ิ ขึ้นเลยตลอดช่วงเวลา 3 ทศวรรษท่ผี ่านมา ขณะเดียวกัน ในแง่ของการบริโภค การ ส�ำรวจในสหรฐั อเมรกิ าพบวา่ แมว้ า่ รอ้ ยละของครวั เรอื นอเมรกิ นั ทมี่ เี ครอ่ื งปรบั อากาศ จะเพม่ิ ขน้ึ 5 เทา่ รอ้ ยละของครวั เรอื นทม่ี เี ครอื่ งลา้ งจานจะเพม่ิ ขน้ึ 7 เทา่ รอ้ ยละของ ครวั เรอื นทม่ี รี ถยนตม์ ากกวา่ 1 คนั จะเพมิ่ ขน้ึ 3 เทา่ แตช่ าวอเมรกิ นั ยงั รสู้ กึ วา่ ตนเอง ยากจนลงอย่างเห็นได้ชัด เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั 2 ทศวรรษก่อน 1 1 เดชรัต สุขก�ำเนิด (2550). “เศรษฐศาสตร์แห่งความสุข.” จากหนังสือ “เศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชา” (2550). กนกศกั ดิ์ แก้วเทพ, บรรณาธิการ. หน้า 79. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 276 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

จากขอ้ มลู ดงั กลา่ วอาจสรปุ ไดว้ า่ ความเชอื่ เรอ่ื ง เงนิ ซอ้ื ความสขุ หรอื การบรโิ ภค น�ำมาซงึ่ ความสขุ มไิ ด้เป็นความจรงิ เสมอไป มนุษย์มไิ ด้มคี วามสุขเพม่ิ ขน้ึ แม้ว่าจะมี การบรโิ ภคเพม่ิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง และมนษุ ยก์ เ็ รม่ิ และขวนขวายทจี่ ะแสวงหาความสขุ ทมี่ ไิ ดเ้ กดิ จากการบรโิ ภคมากขน้ึ เรอื่ ย ๆ 1 อดมั สมธิ บดิ าของวชิ าเศรษฐศาสตรส์ มยั ใหม่ได้กล่าวไว้ว่า ต่อให้มนษุ ย์เห็นแก่ตวั แค่ไหนก็ตาม กย็ งั เหน็ ได้ชัดว่า ยงั มีหลัก การบางอยา่ งอยใู่ นธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ทท่ี �ำใหม้ นษุ ยเ์ องใสใ่ จในชะตากรรมของคน อน่ื ๆ และถือว่าความสุขของคนอ่ืน ๆ ก็เป็นส่งิ ส�ำคัญส�ำหรบั ตน แม้ว่าตนเองจะไม่ ได้อะไรเลย นอกจากความอ่มิ เอมใจทไ่ี ด้เหน็ เม่อื เรว็ ๆ นี้นกั วจิ ัยของมหาวทิ ยาลยั บริตชิ โคลมั เบีย ร่วมกบั วทิ ยาลยั ธรุ กจิ มหาวทิ ยาลยั ฮาวาร์ด (Harvard Business school) ได้ท�ำการทดลองเรอื่ งความสขุ จากการให้โดยส�ำรวจชาวอเมริกนั กว่า 630 คน พบว่า พวกเขารู้สึกเป็นสขุ อย่างวัด ได้มากขึ้น เมอ่ื ได้แจกเงนิ ให้กับคนอื่น ศาสตราจารย์เอลิสเบธ ดนั น์ กล่าวว่า “มัน ไม่ส�ำคัญว่า คนเราหาเงนิ ได้มากเท่าไร หากแต่คนท่ีมโี อกาสให้เงินช่วยเหลือคนอ่นื ต่างบอกว่ารู้สกึ เป็นสุขมากขน้ึ โดยแม้คนทีเ่ อาเงนิ ไปใช้จ่ายเรือ่ งของตนเองกไ็ ม่เกิด ความรู้สึกเช่นนี้” 2 การให้จึงเป็นกิจกรรมหน่ึงซึ่งช่วยให้มนุษย์ได้น�ำความพึงพอใจ ของผู้อืน่ มาใส่ไว้ในสมการหรือบญั ชีความสขุ ของตนเอง และผลลพั ธ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ กค็ ือ ความสุขเพ่มิ ขึ้นของท้งั ผู้ให้และผู้รบั 3 จากทก่ี ลา่ วมาทงั้ หมดจะเหน็ วา่ การใหท้ าน หรอื การบรจิ าค อนั เปน็ อรยิ ทรพั ย์ ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น เป็นสัจธรรมท่ีเที่ยงแท้ไม่ผันแปรแม้เวลาจะผ่านมากว่า 2,500 ปีแล้ว ใครกต็ ามทไ่ี ด้ศกึ ษาแล้วน�ำไปปฏบิ ัติก็จะได้รบั ผลเหมือนกนั ไม่ว่าจะ 1 เดชรัต สุขก�ำเนิด (2550). “เศรษฐศาสตร์แห่งความสุข.” จากหนังสือ “เศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชา” (2550). กนกศกั ด์ิ แก้วเทพ, บรรณาธิการ. หน้า 91. 2 ไทยรัฐ (2551). “ความสขุ อยู่ทก่ี ารท�ำบุญท�ำทาน แม้เพยี งเลก็ น้อยแต่ก็เกิดสุขใจยง่ิ .” [ออนไลน์]. 3 เดชรัต สุขก�ำเนิด (2550). “เศรษฐศาสตร์แห่งความสุข.” จากหนังสือ “เศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชา” (2550). กนกศักด์ิ แก้วเทพ, บรรณาธิการ. หน้า 96. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 277 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

เปน็ ยคุ ไหนสมยั ไหน ไมว่ า่ เขาจะอยใู่ นสงั คมแบบทนุ นยิ มหรอื คอมมวิ นสิ ต์ หากเขา ปฏิบัติตามหลักอริยทรัพย์น้ี ก็จะได้รับผล คือ ความสขุ จากการปฏิบัติเหมือนกัน และความจรงิ อริยทรพั ย์ยงั มีอกี 6 ประการ การบริจาคทานเป็นเพียงข้อหน่งึ เท่าน้นั แตแ่ มจ้ ะปฏบิ ตั ไิ ดเ้ พยี งขอ้ เดยี วยงั ท�ำใหค้ นในสงั คมทนุ นยิ มโดยเฉพาะชาวตะวนั ตก สมั ผัสได้ถงึ ความสุขขนาดนี้ จงึ ไม่ต้องกล่าวถึงความสุขอันมากมายทีจ่ ะเกิดขน้ึ เมือ่ ปฏิบตั ติ ามหลกั อรยิ ทรัพย์ครบทงั้ 7 ประการ 8.5.3 ระบบเศรษฐกิจทางโลกกับทางธรรม ประเด็นน้ีจะเปรยี บเทียบระบบเศรษฐกจิ ของสหรฐั อเมริกา ประเทศจีน และ ระบบเศรษฐกจิ ในพระไตรปฎิ ก สาเหตทุ กี่ ลา่ วถงึ เศรษฐกจิ ของทงั้ สองประเทศนเ้ี พราะ ว่าเป็นเศรษฐกิจท่ีมขี นาดใหญ่เป็นอันดับ 1 และอนั ดับ 2 ของโลกตามล�ำดับ 1 โดย เฉพาะจีนเองเป็นประเทศท่มี ีอตั ราการเตบิ โตของเศรษฐกจิ สงู มากจนน่าจับตามอง 1.) ระบบเศรษฐกจิ ของสหรฐั อเมรกิ า แม้ในปัจจุบนั เศรษฐกจิ ของสหรัฐอเมรกิ าจะตกต�่ำลง แต่ GDP หรือ ผลติ ภณั ฑม์ วลรวมในประเทศ 2 ซง่ึ เปน็ ตวั ชวี้ ดั ขนาดเศรษฐกจิ ยงั เปน็ อนั ดบั หนง่ึ ของ โลก และเป็นอนั ดบั หน่งึ ตดิ ต่อกนั มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครัง้ ท่ีสอง สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอ�ำนาจของโลกอย่างเต็มตัว ท้ังด้าน เศรษฐกจิ การทหาร วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ตอนนน้ั GDP ของสหรฐั อเมรกิ า เพียงประเทศเดยี วมีมากถงึ เกือบครึ่งหนึ่งของโลก สหรัฐอเมริกาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม หัวใจที่ผลักดันให้ เศรษฐกจิ ของประเทศเตบิ โต คอื การสรา้ งความเชอื่ มนั่ แกป่ ระชาชน และหลกั บรโิ ภค 1 ASTV ผจู้ ดั การออนไลน์ (2557). สหรฐั ฯ ยงั ครองแชมป์ ดนิ แดนทม่ี ศี ก. ใหญส่ ดุ ในโลก ฯ [ออนไลน]์ . 2 GDP (Gross Domestic Product) หรอื ผลติ ภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หมายถึง มลู ค่าตลาดของ สนิ คา้ และบรกิ ารขนั้ สดุ ท้ายทถ่ี กู ผลติ ภายในประเทศในชว่ งเวลาหนงึ่ ๆ โดยมกี ารวดั 2 วธิ ี ได้แก่ การ วดั รายจ่าย และการวดั รายได้. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 278 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

นิยม กล่าวคือ เมื่อคนในประเทศมีความเช่ือม่ันโดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจและ การเมือง ประชาชนก็จะจบั จ่ายใช้สอยอย่างเต็มที่ ผู้ผลิตสินค้าและบริการกจ็ ะขาย สนิ ค้าได้มาก ท�ำให้มีรายได้มาก มกี �ำไรมาก และจะขยายการลงทุนเพิ่มขน้ึ ขยาย กจิ การให้ใหญ่โตข้นึ ท�ำให้มีการจ้างงานเพิ่มข้ึน ประชาชนกจ็ ะมีรายได้มากข้นึ กจ็ ะ เพม่ิ การจับจ่ายใช้สอยไปอีกจึงท�ำให้ GDP สูงตามไปด้วย หลกั บรโิ ภคนยิ มนน้ั ถอื วา่ เปน็ จดุ เดน่ ของสหรฐั อเมรกิ า จนมคี �ำกลา่ ววา่ อเมรกิ าเป็น “สังคมอุดมโภคา” (high-mass consumption) หมายถงึ สงั คมทม่ี ี การบริโภคอย่างเต็มที่ แต่เป็นการบริโภคโดยไม่ค�ำนึงว่า “ส่ิงใดจ�ำเป็นและสิ่งใด ฟุ่มเฟือย” หากช่วงใดเศรษฐกจิ ซบเซา รฐั บาลจะท�ำทุกวถิ ที างเพอ่ื ให้คนบริโภคมาก เหมือนเดมิ เช่น ในเดอื นกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2551 ผลจากความซบเซาของเศรษฐกิจ ท�ำใหน้ ายจา้ งของบรษิ ทั ตา่ ง ๆ ลดต�ำแหนง่ งานลงถงึ 63,000 ต�ำแหนง่ ประธานาธบิ ดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช จงึ ตงั้ งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ เพ่ือกระตุ้นให้ผู้คนจบั จ่ายใช้สอยและก่อให้เกดิ การจ้างงานมากเท่าเดิม 1 อยา่ งไรกต็ ามหลกั บรโิ ภคนยิ มกเ็ ปน็ เหตสุ �ำคญั ใหส้ หรฐั อเมรกิ าขาดดลุ บญั ชเี ดนิ สะพดั 2 จ�ำนวนมากติดต่อกนั มาเป็นเวลานานถึง 30-40 ปี 3 เพราะสินค้า และบริการท่ีคนอเมริกันบรโิ ภคไม่ได้ผลิตในประเทศเพยี งอย่างเดยี ว แต่น�ำเข้าจาก ต่างประเทศด้วย เมื่อคนบริโภคมากก็ต้องน�ำเข้ามากเป็นธรรมดา จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2549 สหรัฐอเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากถึง 8.11 แสนล้านดอลลาร์ สหรัฐอเมริกาจึงมีหนีส้ ินมาก โดยญีป่ ุ่นเป็นเจ้าหน้รี ายใหญ่ทสี่ ดุ คือ 582.2 พันล้าน ดอลลาร์หรือเกอื บ 6 แสนล้านดอลลาร์ 4 1 ผจู้ ดั การ (2551). “บชุ หวงั งบ กระตนุ้ ศก กวา่ 1 แสน 5 หมนื่ ชว่ ยใหเ้ กดิ การจา้ งงานเพม่ิ .” [ออนไลน]์ . 2 การขาดดุลบัญชีเดนิ สะพัด คือ การใช้จ่ายเกินตวั ของประเทศ กล่าวคอื การส่งออกสนิ ค้าและบรกิ าร มีมูลค่าน้อยกว่าการน�ำเข้าสินค้าและบรกิ ารจากต่างประเทศ. 3 วีรพงษ์ รามางกรู (2549). “การขาดดุล กบั ค่าเงินดอลลาร์สหรฐั .” [ออนไลน์]. 4 กมล กมลตระกูล. (2550). “หายนะของค่าเงินดอลลาร์ และธนาคารแห่งประเทศไทย.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 279 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

2.) ระบบเศรษฐกิจของประเทศจนี ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจโตเป็นอันดับ 2 ของโลก จีนมี ทุนส�ำรองระหว่างประเทศ1 สูงท่ีสุดในโลก คือ 3.82 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 2 (พ.ศ. 2556) ถามวา่ จนี มยี ทุ ธศาสตรอ์ ยา่ งไรจงึ ท�ำใหเ้ ศรษฐกจิ เตบิ โตรวดเรว็ ขนาดน้ี ทั้ง ๆ ท่ีเมอ่ื 30-40 ปีก่อน ประเทศจนี ยงั ยากจนและล้าหลงั อยู่มาก จดุ เปลย่ี นของระบบเศรษฐกจิ จนี เรม่ิ ขน้ึ ในปี ค.ศ. 1978 เมอ่ื เตงิ้ เสย่ี วผงิ ประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกจิ และเปิดประเทศ ค่อย ๆ น�ำวิธกี ารแบบทุนนิยม เขา้ มาปรบั ใชก้ บั การปกครองระบอบคอมมวิ นสิ ต์ การพฒั นาเศรษฐกจิ ในยคุ นนั้ คอื “ยทุ ธศาสตร์ 3 ก้าว” ก้าวละ 10 ปี (ค.ศ. 1980-2010) ก้าวแรก คอื พฒั นาให้ ประชาชน “อยู่อุ่นกนิ อิ่ม” ก้าวทส่ี อง คือ พฒั นาให้ประชาชน “พออยู่พอกิน” ก้าวที่ สาม คอื พัฒนาให้ประชาชน “อยู่ดกี นิ ดี” ยทุ ธศาสตร์ 3 กา้ วนี้ ไดผ้ ลดิ อกออกผลท�ำใหเ้ ศรษฐกจิ ของจนี ดขี นึ้ ตาม ล�ำดบั แมจ้ ะยงั มปี ญั หาความยากจนอยมู่ ากกต็ าม หวั ใจส�ำคญั ทท่ี �ำใหเ้ ศรษฐกจิ ของ ประเทศจีนเติบโตอย่างรวดเร็วมี 4 ประการ คือ มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนรอบคอบ รัดกุม การสร้างความเช่ือมั่นแก่ประชาชน ส่งเสริมการลงทุน และใช้จ่ายอย่าง ประหยัด จีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ผ่านการสู้รบทั้งศึกในและศึก นอกมามากมาย ท�ำใหจ้ นี เปน็ ชาตทิ เ่ี ชยี่ วชาญเรอื่ งยทุ ธศาสตรท์ งั้ ดา้ นการรบและการ พัฒนาประเทศ และท่ีส�ำคัญประวัติศาสตร์สอนให้คนจีนมีความรอบคอบรัดกุม ค่อย ๆ ก้าวเดินทลี ะก้าวอย่างมน่ั คง ส่วนการสร้างความเช่อื มนั่ ท้ังในเรอื่ งเศรษฐกจิ 1 ทนุ ส�ำรองระหว่างประเทศ หมายถึง สนิ ทรัพย์ท่ปี ระเทศต่าง ๆ ยอมรับเพอ่ื การช�ำระหนีร้ ะหว่างกัน ไดแ้ ก่ ทองค�ำและเงนิ ตราตา่ งประเทศสกลุ ส�ำคญั เชน่ เงนิ ดอลลารส์ หรฐั เงนิ ยโู รดอลลาร์ เงนิ เยน หรอื ปอนด์สเตอริง. 2 กรุงเทพธรุ กิจออนไลน์ (2557). ทุนส�ำรองจีนปี 56 พุ่ง 3.8 ล้านล้านดอลล์ [ออนไลน์]. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 280 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

และการเมือง เป็นส่ิงที่ทุกประเทศต้องท�ำเพ่ือให้ประชาชนกล้าลงทุนและจับจ่าย ใช้สอยอันเป็นผลให้เศรษฐกิจเตบิ โต ในการลงทนุ นัน้ ถือว่าเป็นจุดเด่นของจนี เนือ่ งจากคนจนี ประหยัดจงึ มี เงนิ เหลอื เกบ็ มาก มเี งนิ ฝากธนาคารมาก บรรดานกั ธรุ กจิ จงึ สามารถกเู้ งนิ จ�ำนวนมาก น้ีไปลงทุนผลิตสินค้าได้มาก เมื่อผลิตมาแล้วขายในประเทศไม่หมดเพราะคนจีน ประหยดั กส็ ง่ ออกขายต่างประเทศ ดว้ ยเหตนุ จี้ นี จงึ ไดด้ ลุ การคา้ แต่ละปีจ�ำนวนมาก ในเดอื นพฤศจกิ ายน ปี พ.ศ. 2556 ทผี่ ่านมา มยี อดเกนิ ดุลการค้ามากถงึ 33.8 พนั ล้านดอลลาร์สหรฐั ซึง่ เป็นระดบั สูงสดุ ในรอบ 4 ปี 1 อยา่ งไรกต็ ามจนี กย็ งั มจี ดุ ออ่ นทต่ี อ้ งปรบั ปรงุ อกี หลายประการ อาทเิ ชน่ การกระจายรายได้, ความมัน่ คงภายใน, สิ่งแวดล้อม และปัญหาแรงเสียดทานอัน เกิดจากการท่จี ีนได้เปรียบดุลการค้ามากเกินไป เป็นต้น 3.) ระบบเศรษฐกิจในพระไตรปิฎก สว่ นระบบเศรษฐกจิ ทปี่ รากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ กนน้ั มบี ญุ เปน็ ศนู ยก์ ลาง เพราะพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั วา่ บญุ เปน็ สง่ิ ทอ่ี ยเู่ บอ้ื งหลงั ความสขุ ความส�ำเรจ็ ทงั้ ปวงของมนษุ ย์ คนจะร�่ำรวยหรือยากจนก็ขึน้ อยู่กบั บญุ ในตวั เป็นหลัก หากมองใน ระดบั มหภาค ประเทศใดทร่ี ำ่� รวยมากกแ็ สดงว่าบญุ โดยรวมของคนในประเทศนน้ั มี มาก ส่วนประเทศใดยากจน กแ็ สดงว่าบุญโดยรวมของคนในประเทศน้นั มนี ้อย อย่างไรก็ตามนอกจากบุญแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสถึง “หลัก หวั ใจเศรษฐ”ี ไวใ้ หพ้ ทุ ธบรษิ ทั ใชเ้ ปน็ แนวทางในการพฒั นาเศรษฐกจิ ควบคไู่ ปกบั การ สง่ั สมบญุ ดว้ ย ไดแ้ ก่ อฏุ ฐานสมั ปทา คอื หาทรพั ยเ์ ปน็ ขยนั หาทรพั ย,์ อารกั ขสมั ปทา คอื เกบ็ รกั ษาทรพั ย์เป็น, กลั ยาณมติ ตตา คอื สร้างเครอื ข่ายคนดเี ปน็ ไม่คบมติ รชวั่ และสมชีวิตา คอื ใช้ชวี ิตเป็น ใช้จ่ายแต่พอดี 1 http://www.thaishipper.com (2556). ยอดเกินดุลการค้าของจีนเดือนพฤศจิกายน 2556 สูงสุดในรอบ 4 ปี [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 281 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ใครก็ตามสร้างฐานะจนร่�ำรวยด้วยหลัก 2 ประการน้ีแล้ว จะไม่เก็บ ทรัพย์ส่วนเกินไว้เฉย ๆ แต่น�ำมาสร้างบุญต่อด้วยการให้ทานแก่คนจน ท�ำบุญใน พระพทุ ธศาสนา สร้างสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เช่น สร้างวัด เป็นต้น ทรัพย์ทีม่ ีอยู่ จึงเกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างเต็มท่ี อันเป็นวิธีการท�ำให้เศรษฐกิจเติบโตตามหลัก พระพุทธศาสนา กล่าวคอื เป็นการใช้จ่ายทรพั ย์เหมอื นกนั แต่ใช้จ่ายในส่งิ ทจ่ี �ำเป็น และเกดิ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและสงั คมเทา่ นนั้ ไมไ่ ดใ้ ชจ้ า่ ยในสง่ิ ทฟ่ี มุ่ เฟอื ยเพอื่ ความ สุขส่วนตัว ซึ่งตรงข้ามกับหลักบริโภคนิยมของสหรัฐอเมริกาที่เน้นให้คนบริโภค มาก ๆ โดยไม่ค�ำนึงว่าจะเป็นการบริโภคสินค้าที่จ�ำเป็นหรือฟุ่มเฟือย แม้จะท�ำให้ เศรษฐกิจเติบโตในช่วงแรกแต่ผลทีต่ ามมาในระยะยาว คอื ภาระเร่ืองหนีส้ ิน การสร้างบุญนั้นเป็นการฝึกให้คนเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อ่ืนและ ประโยชน์ของสงั คมไปในตวั ปัญหาสนิ ค้าด้อยคุณภาพเพราะหวงั กอบโกยก�ำไรจะมี น้อย ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบกันจะมีน้อย เพราะมีวัฒนธรรมการให้เป็นเคร่ือง ขัดเกลาจิตใจให้คนเมตตาต่อกัน การให้นี้เป็นการกระจายรายได้จากคนรวยไปสู่ คนจน ปญั หาการแตกแยกระหว่างชนชน้ั กจ็ ะไมเ่ กดิ ขนึ้ เศรษฐกจิ จะเตบิ โตอยา่ งตอ่ เน่อื งและม่นั คง ความเชอ่ื ม่ันของคนในสงั คมจะเพิม่ มากข้ึนเร่ือย ๆ และจะผลกั ดนั เศรษฐกิจให้โตข้ึนเร่ือย ๆ เช่นกัน และท่ีส�ำคัญบญุ และศีลธรรมน้ันเป็นส่ิงท่ีสร้าง ความเชื่อม่ันได้ดีที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร หากคนยึดม่ันใน บุญและศีลธรรม กจ็ ะน�ำพาสังคมและเศรษฐกิจให้ด�ำเนนิ ต่อไปได้ 8.5.4 วิกฤตการณ์อาหารและพลงั งานโลก ปัญหาอาหารและพลังงานเป็นประเด็นให้รัฐบาลแต่ละประเทศหาทางแก้ไข กนั อยู่เรื่อย ๆ พลงั งานในที่น้ี ได้แก่ พลงั งานทไี่ ด้จาก “น้ำ� มัน” เป็นต้น การถีบตวั สูงขึ้นของราคาน�้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาน้�ำมันในแต่ละประเทศสูง ตามไปด้วย ในปี พ.ศ. 2540 น้�ำมัน “เบนซิน 95” ขายปลีกในเมืองไทยมีราคา เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 282 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ประมาณ 10 บาท/ลติ ร 1 แต่ในปี พ.ศ. 2551 ราคาน้�ำมันในกรงุ เทพมหานครอยู่ที่ 40.09 บาท/ลิตร 2 และ ณ วันน้ี (ธันวาคม พ.ศ. 2557) ราคาน้�ำมันเบนซนิ 95 อยู่ ที่ 40.26 บาท/ลิตร 3 ส�ำหรบั วิกฤตราคาอาหารโลกเริม่ ต้นในปี พ.ศ. 2550-2551 เป็นภาวะท่รี าคา อาหารเปลี่ยนแปลงเพิ่มข้ึนอย่างมาก จนท�ำให้เกิดความไม่ม่ันคงทางการเมืองและ เศรษฐกจิ รวมไปถงึ ความวนุ่ วายในสงั คมทงั้ ในประเทศทยี่ ากจนและประเทศพฒั นา แลว้ นายบนั ค-ี มนุ เลขาธกิ ารใหญอ่ งคก์ ารสหประชาชาตกิ ลา่ ววา่ ราคาอาหารทแี่ พง ขึน้ อย่างมากท�ำให้คน 100 ล้านคนต้องกลายเป็นคนยากจน ก่อนหน้านีพ้ วกเขาไม่ ต้องการความช่วยเหลือ แต่ปัจจุบนั คนเหล่านี้ไม่สามารถซอ้ื หาอาหารได้แล้ว ท�ำไมนำ้� มนั และอาหารจงึ แพงขนึ้ ขนาดนัน้ หลักเศรษฐศาสตร์ให้ค�ำตอบไว้ว่า สาเหตพุ น้ื ฐานของภาวะของแพง คอื “อปุ สงคม์ าก (demand) แตอ่ ปุ ทานนอ้ ย (sup- ply)” กล่าวคือ ความต้องการสินค้ามมี ากในขณะท่สี นิ ค้าในตลาดมีน้อยจงึ ผลักดัน ให้ราคาแพงขน้ึ ส่วนสาเหตทุ ีท่ �ำให้อุปสงค์มากแต่อุปทานน้อยน้ันมดี ังนี้ สาเหตุที่ท�ำให้อปุ สงค์มาก สาเหตุหลัก ๆ ท่ีท�ำให้อุปสงค์เรื่องน้�ำมันมีมาก คือ การใช้อย่างฟุ่มเฟือย, ประชากรโลกเพิม่ ข้ึน, การขยายตัวทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และการกกั ตนุ เพอื่ เกง็ ก�ำไรของกลมุ่ เฮดจฟ์ นั ด์ เปน็ ตน้ สว่ นสาเหตทุ ที่ �ำใหอ้ ปุ สงคเ์ รอ่ื งอาหารมมี าก นน้ั กค็ ล้าย ๆ กนั คอื การใช้อย่างฟุ่มเฟือย, ประชากรโลกเพิ่มขึน้ และการกกั ตนุ เพ่อื เกง็ ก�ำไรของนายทนุ บางกลุ่ม เป็นต้น 1 ส�ำนักงานคกก.นโยบายพลังงานแห่งชาติ (2540). “สถานการณ์ราคาน�ำ้ มนั เช้ือเพลงิ .” [ออนไลน์]. 2 บริษัท ปตท. จ�ำกัด มหาชน (2551). “ราคาน�้ำมนั ขายปลีก กทม. และปริมณฑล.” [ออนไลน์]. 3 ไทยรัฐออนไลน์ (2557).คนมรี ถเฮอกี ! นํา้ มนั เบนซินปรบั ลด 50 สต. มผี ล 3 ธ.ค. [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 283 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

การใชน้ ำ�้ มนั อยา่ งฟมุ่ เฟอื ยจะท�ำใหน้ ำ้� มนั หมดไปมากและรวดเรว็ จงึ ตอ้ งจดั หา มาเพิ่ม อปุ สงค์จึงเพมิ่ การท่ีประชากรโลกเพ่มิ ข้ึนอปุ สงค์ทกุ ๆ ด้านจงึ เพมิ่ ข้ึนด้วย การขยายตวั ทางเศรษฐกจิ กเ็ หมอื นกัน เช่น ความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ จนี สง่ ผลใหจ้ นี ตอ้ งการนำ้� มนั จ�ำนวนมาก ปรมิ าณการบรโิ ภคนำ�้ มนั สว่ นทเี่ พม่ิ ขน้ึ ของ โลกนนั้ จ�ำนวนถงึ 40% เกดิ จากการบริโภคเพ่มิ ข้ึนของประเทศจีน การกักตุนเพ่ือเก็งก�ำไรของกลุ่มเฮดจ์ฟันด์นั้นก�ำลังเป็นปัญหาใหญ่ ปัจจุบัน เฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) ในสหรฐั อเมริกามีอยู่ประมาณ 8,000 กองทุน มมี ูลค่า สินทรพั ย์รวมมากถงึ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ 1 มนูญ ศิริวรรณ อดตี ผู้บริหารบรษิ ัท บางจาก กล่าวถงึ เรื่องนเี้ มื่อปี พ.ศ. 2550 ว่า เฮดจ์ฟันด์ได้ซอื้ น้ำ� มันดิบไปส�ำรองไว้ ถึง 1,000 ล้านบาร์เรล 2 น้ำ� มันจ�ำนวนนีเ้ ป็นปรมิ าณท่เี มืองไทยท้งั ประเทศน�ำเข้าถึง 3 ปี 3 เมอ่ื มกี ารกกั ตนุ จงึ ท�ำใหน้ ำ�้ มนั ในตลาดเหลอื นอ้ ยลง ราคาจงึ แพงขน้ึ หรอื ทเี่ รยี ก ว่าถกู “ปั่นราคา” เมื่อราคาสูงถงึ ระดับหนงึ่ เฮดจ์ฟันด์ก็จะเทขายเพอื่ เอาก�ำไร สาเหตุท่ีท�ำให้อุปทานน้อย สาเหตหุ ลกั ๆ ทที่ �ำใหอ้ ปุ ทานหรอื การผลติ นำ�้ มนั สง่ ตลาดโลกนอ้ ยมี 2 ประการ คือ ปรมิ าณน�ำ้ มันในธรรมชาติลดลง และภยั คุกคามแหล่งน�ำ้ มัน เช่น การโจมตีบ่อ นำ้� มนั และทอ่ สง่ นำ้� มนั , โจรสลดั ปลน้ เรอื บรรทกุ นำ�้ มนั และปญั หาสงครามในประเทศ ผลติ น�ำ้ มนั เป็นต้น มีการประมาณกันว่าน�ำ้ มันที่สามารถเอามาใช้ได้จะหมดโลกอีกไม่เกิน 40 ปี ส่วนนำ�้ มนั ทย่ี งั เอามาใช้ไม่ได้นน้ั กย็ งั มอี ยแู่ ต่กระบวนการน�ำมาใชย้ ากขนึ้ และตอ้ งใช้ งบประมาณมากขน้ึ จงึ ไมค่ มุ้ กบั การลงทนุ นกั ธรณวี ทิ ยาดา้ นนำ�้ มนั สว่ นใหญเ่ ชอื่ วา่ มี 1 กรุงเทพธรุ กิจ (2550). “เปิดกลยุทธ์เฮดจ์ ฟันด์ ปี 49 ก�ำไร 1 ล้านล้านดอลล์.” [ออนไลน์]. 2 มนญู ศิรวิ รรณ (2550). “เฮดจ์ฟันด์กว้านซอื้ นำ้� มนั ปั่นราคาฯ.” [ออนไลน์]. 3 ในเดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2551 ประเทศไทยน�ำเข้านำ้� มันดบิ 908,000 บาร์เรลต่อวนั . [Moneyline News]. เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 284 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

การส�ำรวจแหล่งน้�ำมันใหม่ไปแล้ว 95-98% ของทกุ พ้นื ท่ีในโลก ซง่ึ พบแหล่งนำ้� มัน ใหม่น้อยลงตามล�ำดบั 1 จงึ ต้องเร่งวจิ ัยพลงั งานทดแทนกนั อย่างกว้างขวาง ส�ำหรบั สาเหตุหลัก ๆ ท่ที �ำให้การผลติ อาหารส่งตลาดโลกมีน้อยมี 2 ประการ คอื สภาพอากาศและพนื้ ทไ่ี มเ่ ออื้ อ�ำนวยตอ่ การท�ำการเกษตร และผลจากนำ้� มนั แพง จึงมีการเปล่ียนพ้ืนที่เกษตรส�ำหรับบริโภคไปปลูกพืชเพ่ือท�ำพลังงานทดแทนกัน มากขึน้ สภาพอากาศทแี่ ปรปรวน เชน่ ฝนแลง้ นำ�้ ทว่ ม พายถุ ลม่ เปน็ ตน้ เปน็ อปุ สรรค ต่อการท�ำเกษตรท้ังส้ิน ส่วนสภาพพ้ืนท่ีที่เหมาะสมกับการเกษตรไม่ได้มีทุกแห่งใน โลก บางประเทศแทบปลกู อะไรไมไ่ ดเ้ ลย เชน่ ประเทศทม่ี พี น้ื ทเี่ ปน็ ทะเลทราย แหลง่ เกษตรกรรมจึงมีอยู่เป็นหย่อม ๆ กระจัดกระจายไปทวั่ โลก เมื่อปี พ.ศ. 2550 สหประชาชาติออกมาเตือนว่าทะเลทรายก�ำลัง “ขยาย อาณาเขต” กว้างใหญ่ขน้ึ ทกุ นาที จะส่งผลกระทบต่อราษฎรประมาณ 2,000 ลา้ นคน ภายในเวลา 10 ปีข้างหน้าประชากรประมาณ 50 ล้านคนท่ัวโลกจะทง้ิ ถิ่นฐานไปหา แหล่งท�ำกนิ ใหม่ 2 สาเหตเุ ป็นเพราะผืนดนิ เส่อื มคุณภาพด้วย “น้ำ� มือมนุษย์” คือ ท�ำ เกษตรกรรมเกินตัว หกั ร้างถางพง ตดั ไม้ท�ำลายป่า การใช้หญ้าเลย้ี งสตั ว์มากเกนิ ไป จนมนั ไม่สามารถเจรญิ งอกงามข้ึนมาทดแทนทัน เปรยี บเทียบปัญหาอาหารและพลังงานกบั อัคคญั ญสูตร ความจรงิ ปญั หาเรอื่ งอาหารและพลงั งานในปจั จบุ นั ไมไ่ ดเ้ ปน็ สง่ิ ใหม่ แตเ่ ปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มาแล้วนบั ครงั้ ไม่ถ้วนในอดตี เช่น เรอื่ งราวในอคั คญั ญสตู รทไี่ ด้กล่าวไว้ใน บทท่ี 5 หัวข้อ “ประวัติศาสตร์โลกและมนษุ ยชาติ” 1 วิทยากร เชียงกูล. (2550). “ทางออกของปัญหา : น�้ำมันแพง ฯลฯ.” [ออนไลน์]. 2 ไทยรัฐ. (2550). “ทะเลทรายขยายตัวน่าวติ ก.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 285 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ในอัคคัญญสูตรกล่าวไว้ว่า อาหารและส่ิงแวดล้อมเส่ือมลงและขาดแคลน เพราะมนุษย์เสือ่ มจากศลี ธรรมเนื่องจากการคบคนพาลและอ�ำนาจกิเลส คอื ความ ถือตัว การดหู มน่ิ กัน และความโลภ เป็นต้น อาหารดี ๆ ในยุคน้นั จงึ ค่อย ๆ หมด ไปทลี ะอยา่ ง แลว้ เกดิ อาหารใหมท่ หี่ ยาบกวา่ เดมิ ขนึ้ แทน คอื จากงว้ นดนิ เปน็ กระบ-ิ ดนิ เป็นเครือดิน และเป็นข้าวสาลี เป็นต้น ความโลภดว้ ย “การกกั ตนุ ขา้ วสาล”ี จนเกนิ ความจ�ำเปน็ ของคนบางกลมุ่ ท�ำให้ มกี ารปฏบิ ตั ติ ามกันอย่างแพร่หลาย เป็นเหตุให้ข้าวสาลงี อกขึน้ ไม่ทนั บางแห่งก็ไม่ งอกข้ึนอีก จากเดิมท่ีข้าวสาลีเคยมีอยู่ทั่วไปในทุกแห่ง ก็ปรากฏเป็นกลุ่ม ๆ กระจดั กระจายกันไป คณุ ภาพของข้าวก็ต่ำ� ลงมาเร่อื ย ๆ สิ่งแวดล้อมอืน่ ๆ กเ็ ส่อื ม ลงมาตามล�ำดบั เช่นกนั กลุ่มเฮดจ์ฟันด์และพวกพ่อค้าท่ีโลภมากชอบกักตุนสินค้าเพ่ือเก็งก�ำไรใน ปัจจุบันกเ็ หมอื นกับพวกที่ชอบกกั ตนุ ข้าวสาลีในอัคคัญญสตู ร จากเดิมเฮดจ์ฟันด์มี ไมก่ ก่ี ลมุ่ ตอ่ มากม็ กี ารเลยี นแบบกนั มากขน้ึ จนปจั จบุ นั เฉพาะในสหรฐั อเมรกิ ามเี ฮดจ์ ฟันด์มากถึง 8,000 กลุ่ม ซ่งึ สร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกจิ ไปทว่ั โลก การที่มนุษย์ทว่ั โลกใช้นำ้� มนั อย่างฟุ่มเฟือยกด็ ี หรือใช้มากเพราะความเตบิ โต ทางเศรษฐกจิ กด็ ี เปน็ เหตใุ หน้ ำ้� มนั ทมี่ อี ยตู่ ามธรรมชาตลิ ดลง จนนำ้� มนั ทส่ี ามารถเอา มาใชไ้ ดจ้ ะหมดโลกแลว้ เรอื่ งนก้ี เ็ ชน่ เดยี วกบั ในอคั คญั ญสตู รคอื เพราะกเิ ลสคอื ความ โลภ เป็นต้น ท�ำให้อาหารเก่าค่อย ๆ หมดไป แล้วเกดิ อาหารใหม่ข้ึนแทนแต่หยาบ กว่าเดมิ ต่างกนั ตรงทใี่ นยคุ นคี้ นมบี ญุ นอ้ ยจงึ ตอ้ งวจิ ยั กนั อยา่ งยากล�ำบากกว่าจะได้ พลงั งานทดแทนมาใช้ได้ การขยายอาณาเขตของทะเลทรายกด็ ี สภาพอากาศทีแ่ ปรปรวนส่งผลกระทบ ตอ่ การท�ำการเกษตรกด็ ี เปน็ เหตใุ หพ้ นื้ ทเ่ี หมาะแกก่ ารท�ำการเกษตรไมไ่ ดม้ ที วั่ ไป แต่ มเี ปน็ หยอ่ ม ๆ กระจดั กระจายไปทว่ั โลก สง่ิ เหลา่ นล้ี ว้ นเกดิ จากการกระท�ำของมนษุ ย์ เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 286 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

เช่น ตดั ไม้ท�ำลายป่า ท�ำการเกษตรจนเกนิ พอดี การใช้หญ้าเลยี้ งสัตว์มากเกินไปจน งอกขน้ึ ทดแทนไมท่ นั ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ในอคั คญั ญสตู รทวี่ า่ แตเ่ ดมิ ขา้ วสาลมี อี ยทู่ ว่ั ไป แตเ่ พราะความโลภของมนษุ ยค์ อื การกกั ตนุ ขา้ วสาลี เปน็ ตน้ ท�ำใหข้ า้ วสาลงี อกไมท่ นั บางแห่งไม่งอกอกี ปรากฏอยู่เป็นกลุ่ม ๆ หลักการแก้ไขวกิ ฤตการณ์อาหารและพลงั งานโลก การแก้ไขก็ต้องยึดหลักการของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าดังที่กล่าวไว้ใน “หัวข้อ ประวตั ิศาสตร์โลกและมนษุ ย์ชาต”ิ คือ ต้องฟื้นฟูเรอ่ื งจิตใจคือศลี ธรรมขึ้นใหม่ จึง จะท�ำให้มนุษย์และสิง่ แวดล้อมเจรญิ ข้ึนอกี ครัง้ การพัฒนาเพียงเศรษฐกิจให้คนมีฐานะดีอย่างเดียวน้ันไม่เพียงพอ เพราะจะ เหน็ วา่ มคี นรวยจ�ำนวนไมน่ อ้ ยทยี่ งั ไมร่ จู้ กั ความพอดี ยงั ละโมบโลภมากปน่ั ราคานำ้� มนั และอาหารให้สูงข้ึน จนผู้คนเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า คนเหล่าน้ีท�ำไปเพราะ อ�ำนาจกิเลสบังคับ เนื่องจากไม่มีศีลธรรมควบคุม หากได้มีการฟื้นฟูศีลธรรมโลก ปัญหานก้ี จ็ ะลดลง นอกจากนี้ ศีลธรรมของพระสมั มาสัมพุทธเจ้ายงั เน้นให้คนรู้จักประหยดั ใช้ ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และยงั สอนให้มนุษย์มเี มตตาต่อกนั ไม่รบราฆ่าฟันกนั เอง ปัญหาสงครามและการก่อการร้ายซึ่งน�ำไปสู่ความตกต่�ำของเศรษฐกิจนั้น ล้วนเกิด จากมนษุ ยไ์ มม่ เี มตตาตอ่ กนั ไมเ่ ขา้ ใจเรอ่ื งกฎแหง่ กรรม หากไดม้ กี ารฟน้ื ฟเู รอื่ งจติ ใจ คอื ศีลธรรม ปัญหานี้ก็จะลดลงเช่นกัน สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 287 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

บทท่ี 9 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 9.1 ภาพรวมวาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก ในบทนี้กล่าวถึงหลักการพูดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธบริษัทซึ่งถือ เปน็ หลกั วาทศาสตรท์ ปี่ รากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ ก โดยแบง่ เนอ้ื หาออกเปน็ 6 ประเดน็ หลัก คือ วาจาสุภาษิตหลักพื้นฐานของการพูด, อานิสงส์การกล่าววาจาสุภาษิต, โทษของการกล่าววาจาทุพภาษิต, หลักการแสดงธรรม, หลักการตอบปัญหาของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และการโตว้ าทธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และพทุ ธบรษิ ทั วาจาสภุ าษิตอันเป็นหลกั พื้นฐานของการพดู น้นั มีอยู่ 5 ประการ คือ เป็นค�ำ จรงิ เปน็ ค�ำสภุ าพ พดู แลว้ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ พดู ดว้ ยจติ เมตตา และพดู ถกู กาลเทศะ www.kalyanamitra.org

อานสิ งสแ์ หง่ วาจาสภุ าษติ นน้ั ไดย้ กตวั อยา่ งลกั ษณะมหาบรุ ษุ ทเ่ี ปน็ ผลจากการ กลา่ ววาจาสภุ าษติ มาขา้ มภพขา้ มชาตขิ องพระโพธสิ ตั วแ์ ละบณั ฑติ อน่ื ๆ ในกาลกอ่ น ไดแ้ ก่ อดตี ชาตขิ องพระสาวก เปน็ ตน้ สว่ นโทษของวาจาทพุ ภาษติ นนั้ กจ็ ะยกตวั อยา่ ง โทษทีพ่ ระโพธสิ ัตว์ได้รบั อันเป็นผลจากการกล่าววาจาทุพภาษิต หลักการแสดงธรรมนน้ั แบ่งออกเป็น 2 หวั ข้อ คอื องค์แห่งธรรมกถึกหลกั พ้ืนฐานของการแสดงธรรม และหลักการแสดงธรรมให้มีประสิทธิภาพและ ประสทิ ธผิ ล ในหวั ขอ้ หลงั นเี้ รยี บเรยี งขน้ึ จากการสงั เกตการแสดงธรรมแตล่ ะครงั้ ของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าว่า พระองค์มีหลักอยู่อย่างน้อย 4 ประการ คอื แสดงธรรม โดยยดึ ผฟู้ งั เปน็ ศนู ยก์ ลาง, แสดงธรรมโดยยกหลกั การและตวั อยา่ งประกอบ, แสดง ธรรมโดยใชอ้ ปุ มาอปุ ไมย และแสดงธรรมโดยใชส้ อ่ื การสอน ดว้ ยหลกั ทง้ั 4 ประการ นท้ี �ำใหก้ ารแสดงธรรมแตล่ ะครง้ั ของพระองคเ์ กดิ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสงู ยงิ่ คอื มีผู้ศรทั ธาเลอ่ื มใสปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะจ�ำนวนมาก และมผี ู้บรรลุธรรม เป็นพระอรยิ บุคคลกนั มากมาย หลักการตอบปัญหาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามี 4 ประการ คอื เอกงั สพยา- กรณยี ปัญหา ปัญหาทพ่ี งึ ตอบโดยนยั เดยี ว, ปฏปิ จุ ฉาพยากรณยี ปัญหา ปัญหาทพ่ี งึ ย้อนถามแล้วจงึ ตอบ, วภิ ัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาทพี่ งึ จ�ำแนกแล้วจงึ ตอบ และ ฐปนยี ปัญหา ปัญหาท่ีพึงงดตอบ ส่วนการโต้วาทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธบริษัทน้ันได้ช้ีให้เห็น ความส�ำคัญของการศึกษาธรรมะให้แตกฉานทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ เพ่ือ ประโยชน์แก่ตนเอง และเพ่ือประโยชน์แก่พระศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถ ปกป้องความมัวหมองของค�ำสอนในพระพุทธศาสนาได้ เมื่อมีนักบวชหรือศาสนิก อื่นมาจาบจ้วง ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาน้ันมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดข้ึนเป็น ระยะ ๆ ซ่ึงต้องอาศัยพุทธบริษัทท่ีรู้จริงแตกฉานในพุทธธรรมมาช่วยแก้ต่างให้ พระศาสนา เช่น ท่านคุณานันทเถระแห่งประเทศศรลี ังกา เป็นต้น วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 290 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

9.2 วาจาสภุ าษติ หลักพ้นื ฐานของการพดู ในหัวข้อน้ีกล่าวถึงอานุภาพแห่งพระด�ำรัสอันเป็นสุภาษิตของพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า ซ่ึงสามารถยังมหาชนให้หลุดพ้นจากความทุกข์และบรรลุพระนิพพาน อนั เกษมได้ กล่าวถงึ องค์ 8 แห่งพระสรุ เสียงของพระพุทธองค์อนั เป็นผลทเี่ กิดจาก การกล่าววาจาสุภาษิตมานับภพนับชาติไม่ถ้วน และประเด็นสุดท้าย คือ หลักการ พนื้ ฐานของวาจาสภุ าษิต 9.2.1 บรรดาชนผู้พูดพระสมั มาสมั พุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ไวใ้ นวฏุ ฐสิ ตู รวา่ “บรรดาสง่ิ ทง่ี อกขน้ึ ความรปู้ ระเสรฐิ บรรดาสงิ่ ทต่ี กไปความไมร่ ปู้ ระเสรฐิ บรรดาสตั วท์ เี่ ดนิ ดว้ ยเทา้ พระสงฆเ์ ปน็ ผปู้ ระเสรฐิ บรรดาชนผู้พดู พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ” 1 ทง้ั น้เี พราะในวัฏสงสารอันเต็มไปด้วย ความระทมทุกข์ มนุษย์และสัตว์ท้งั หลายต่างเวียนว่ายตายเกดิ กนั มายาวนาน หาก น�ำกระดกู ทเ่ี กดิ แลว้ ตายมากองรวมกนั จะสงู เทา่ ภเู ขาเลากา ในบรรดามนษุ ยแ์ ละสตั ว์ เหล่านั้นไม่มีใครเลยท่ีจะช่วยให้ผู้อ่ืนพ้นทุกข์ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระด�ำรสั ของพระองคย์ งั มหาชนใหห้ ลดุ พน้ จากกเิ ลสอนั เปน็ ตน้ ตอของความทกุ ขไ์ ด้ พระวงั คสี อรหนั ตสาวกกลา่ วไวว้ า่ “พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั พระวาจาใดอนั เปน็ วาจา เกษมเพือ่ ท�ำทส่ี ุดแห่งทกุ ข์ วาจาน้ันยอดเยยี่ มกว่าวาจาท้งั หลาย” มหาชนชาวชมพทู วปี ทไ่ี ดฟ้ งั ธรรมของพระองคต์ า่ งกก็ ลา่ วเปน็ เสยี งเดยี วกนั วา่ “ภาษติ ของพระองค์ไพเราะ แจ่มแจ้ง ชดั เจน เหมอื นหงายของท่คี ว่ำ� เปิดของทีป่ ิด บอกทางแกผ่ หู้ ลงทาง หรอื สอ่ งประทปี ในทมี่ ดื ” เมอื่ ไดฟ้ งั พระสทั ธรรมแลว้ บางพวก ก็ออกบวช บางพวกก็ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นท่ีพึ่งไปตลอดชีวิต เขาเหล่านั้นพากัน ละทิ้งความเช่ือดั้งเดิมในลัทธิต่าง ๆ ท่ีสืบทอดกันมา เพราะได้ฟังพระด�ำรัสของ พระพุทธองค์ บางท่านเพียงแค่ได้ฟังธรรมโดยย่อบนถนนกส็ ามารถบรรลุอรหัตผล ได้ เช่น พระพาหยิ ทารจุ ีรยิ ะ เป็นต้น 1 วฏุ ฐิสตู ร, สังยุตตนกิ าย สคาถวรรค, มก. เล่ม 24 ข้อ 206 หน้า 302. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 291 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

หญิงคนหนงึ่ เคยเกือบจะเป็นบ้าเพราะความโศกอนั เกดิ จากการสญู เสีย บตุ ร สามี มารดา บิดา และพช่ี ายในเวลาไล่เลีย่ กัน เดนิ ร้องไห้ครำ่� ครวญไปโดยไม่ได้นุ่ง ผ้าว่า “บตุ รสองคนก็ตาย สามเี ราก็ตายเสยี ทห่ี นทาง มารดาบิดาและพชี่ าย เขากเ็ ผา ที่เชิงตะกอนเดียวกัน” ต่อมาเม่ือนางได้ฟังพระด�ำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “จงกลบั ไดส้ ตเิ ถดิ นอ้ งหญงิ ” เพราะสดบั พระพทุ ธด�ำรสั เพยี งแคน่ ส้ี ตขิ องนางกก็ ลบั คนื มา ไดผ้ า้ มานงุ่ แลว้ ตง้ั ใจฟงั พระธรรมตอ่ ไปจนบรรลโุ สดาปตั ตผิ ล และไดอ้ อกบวช ปฏบิ ตั ธิ รรมจนบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ เปน็ เลศิ กวา่ ภกิ ษณุ ที ง้ั ปวงในดา้ นพระวนิ ยั ชาว พทุ ธทง้ั หลายรจู้ กั พระนางในนามวา่ “ปฏาจาราภกิ ษณุ ”ี นคี้ อื ตวั อยา่ งความมหศั จรรย์ ในพระด�ำรสั ของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า อนึ่ง แม้ผู้ใดกล้ามาโต้วาทะกบั พระพทุ ธองค์ก็จ�ำต้องถอยทพั กลับไปอย่างไม่ เป็นกระบวน บ้างกย็ อมตนเป็นสาวกของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า เช่น ปิโลตกิ ปรพิ าชก ซงึ่ เป็นนักบวชนอกพระพทุ ธศาสนาก็ยังยนื ยันถงึ เรอ่ื งนีด้ งั ค�ำกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นเหล่าบัณฑิตจ�ำนวนมากในโลกนี้เป็นผู้โต้ตอบวาทะของผู้อื่นได้ ประหนง่ึ ยงิ ขนเนอื้ ทราย พอไดส้ ดบั มาวา่ “พระสมณโคดมจกั เสดจ็ ไปหมบู่ า้ นชอื่ โนน้ ” กพ็ ากนั ผกู ปัญหาดว้ ยตง้ั ใจวา่ “พวกเราจกั ถามปญั หานี้ หากพระองคจ์ กั ตอบอย่างน้ี พวกเราจักค้านอย่างนี้” จากน้ันก็พากันไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม แต่เม่ือไปถึง พระพทุ ธองคก์ ลบั ทรงชแ้ี จงใหบ้ ณั ฑติ เหลา่ นน้ั เหน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ ปลอบชโลมใจใหส้ ดชนื่ รา่ เรงิ ดว้ ยธรรมกี ถา บณั ฑติ เหลา่ นน้ั จงึ ไมถ่ ามปญั หากบั พระสมณโคดมอกี เลย แตพ่ ากนั ยอมเปน็ สาวกของพระสมณ- โคดมนน่ั แล” 1 1 จูฬหัตถิปโทปมสตู ร, มัชฌิมนิกาย มลู ปัณณาสก์, มก. เล่ม 18 ข้อ 329 หน้า 470-471. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 292 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

9.2.2 องค์ 8 แห่งพระสุรเสยี งของพระสัมมาสมั พุทธเจ้า พระสุรเสียงที่เปล่งออกจากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้ันประกอบ ด้วยองค์ 8 ประการ บคุ คลใดได้ฟังแล้วย่อมเกิดความเลือ่ มใสศรทั ธา มีจิตน้อมไป เพ่ือการปฏิบัติตามค�ำสอน อันเป็นเหตุให้ตรัสรู้ธรรมตามพระพุทธองค์ได้ องค์ 8 แห่งพระสรุ เสียงมีดงั นี้ 1) เป็นเสียงไม่ขดั ข้อง คือ ไม่แหบเครอื ไม่ตดิ ขัด 2) เป็นเสียงทผ่ี ู้ฟังทราบได้ง่าย คือ ชัดเจน 3) เป็นเสียงไพเราะ คือ อ่อนหวาน 4) เป็นเสียงน่าฟัง คือ เสนาะ หรือเพราะ 5) เป็นเสียงกลมกล่อม คือ เข้ากนั พอดี 6) เป็นเสียงไม่แปร่ง คือ ไม่พร่า 7) เป็นเสียงลกึ คือ ลกึ ซึง้ 8) เป็นเสียงก้อง คือ กังวานและแจ่มใส 1 องค์ 8 แห่งพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ เป็นผลที่เกิดจากการท่ี พระองค์กล่าวค�ำสภุ าษิตมานบั ภพนบั ชาติไม่ถ้วน มีการเปรยี บเทยี บว่าพระสรุ เสียง ของพระองคเ์ ปน็ เชน่ กบั เสยี งมหาพรหมบ้าง เพราะเปน็ เสยี งทแ่ี จม่ ใสเนอ่ื งจากไม่ถกู ดแี ละเสมหะพัวพนั เสยี งไม่ขาด และไม่แตก บ้างกเ็ ปรียบว่าพระสรุ เสียงไพเราะดจุ เสียงร้องของนกการเวก พระอรรถกถาจารย์บันทึกไว้ว่า เม่ือนกการเวกกระพอื ปีก ร้อง บรรดาสตั ว์ 4 เท้า แม้ก�ำลังหาอาหารกท็ ิ้งหญ้าทเ่ี ข้าไปในปากเพื่อฟังเสียงนน้ั บรรดาเนื้อร้ายทีก่ �ำลังติดตามพวกเนอ้ื น้อย ๆ ก็ไม่วางเท้าทยี่ กขน้ึ ยืนนง่ิ อยู่เหมอื น ตุ๊กตา และบรรดาเนื้อที่ถกู ตดิ ตามก็ละความกลวั ตายยนื นิง่ แม้บรรดานกก�ำลงั บนิ ไปบนอากาศก็เหยียดปีกร่อนชะลออยู่เพื่อฟังเสียง แม้บรรดาปลาในน้�ำก็หยุดฟัง เสียงนัน้ 1 สาริปตุ ตสุตตนิทเทสที่ 16, อรรถกถาขทุ ทกนิกาย มหานิทเทส, มก. เล่ม 66 ข้อ 885 หน้า 633. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 293 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

9.2.3 ความหมายและองค์ประกอบของวาจาสุภาษิต มีค�ำกล่าวว่า “ปลามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยปากเป็นสิ่งส�ำคัญ แต่ก็ เพราะปากนั่นเอง ปลาจงึ ต้องติดเบด็ เสียชวี ิตโดยง่ายเช่นกนั คนเราจะประสบความ ส�ำเร็จ ได้รับความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ก็เพราะอาศัยวาจาสุภาษิตจากปาก แต่ก็ เพราะวาจาทุพภาษิตจากปากเพียงค�ำเดียว บางคร้ังแม้แต่ชีวิตก็ยากจะรักษาไว้ได้” วาจาสุภาษิตนั้นเป็นหลักการพูดข้ันพ้ืนฐานซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในวาจา สูตร 1) วาจาสุภาษิต คืออะไร วาจาสุภาษิต หมายถึง ค�ำพดู ที่ผู้พูดได้กลั่นกรองไว้ดีแล้ว มใิ ช่สักแต่ พูด อวัยวะในร่างกายของคนเรานีก้ แ็ ปลก ตา มหี น้าทด่ี อู ย่างเดยี ว ธรรมชาติให้มา 2 ตา หู มหี น้าทีฟ่ ังอย่างเดยี ว ธรรมชาติให้มา 2 หู จมกู มหี น้าทดี่ มกลน่ิ อย่างเดยี ว ธรรมชาติให้มา 2 รู แต่ปาก มีหน้าท่ีถึง 2 อย่าง คือ ท้ังกินและพูด ธรรมชาติกลับให้ มาเพยี งปากเดียว แสดงว่าธรรมชาตติ ้องการให้คนดูให้มาก ฟังให้มาก แต่พดู ให้ น้อย ๆ ให้มีสติคอยระมัดระวังปาก จะกินก็กินให้พอเหมาะ จะพูดก็พูดให้พอดี ลกั ษณะค�ำพดู ทพี่ อเหมาะพอดี เปน็ คณุ ทงั้ แกต่ วั ผพู้ ดู และผฟู้ งั เรยี กวา่ วาจาสภุ าษติ 2) องค์ประกอบของวาจาสุภาษติ (1) ต้องเป็นค�ำจริง ไม่ใช่ค�ำพูดท่ีปั้นแต่งข้ึน เป็นค�ำพูดที่ไม่คลาดเคล่ือน จากความเป็นจรงิ ไมบ่ ดิ เบอื นจากความจรงิ ไม่เสรมิ ความ ไมอ่ �ำความ ต้องเป็นเร่ืองจริง วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 294 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

(2) ต้องเป็นค�ำสภุ าพ เป็นค�ำพูดไพเราะ ทีก่ ลนั่ ออกมาจากนำ้� ใจท่บี ริสทุ ธิ์ ไม่เป็นค�ำหยาบ ค�ำด่า ค�ำประชดประชนั ค�ำเสียดสี ค�ำหยาบนั้นฟังก็ ระคายหู แค่คิดถึงก็ระคายใจ (3) พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ เกดิ ผลดที ง้ั แก่คนพูดและคนฟัง ถงึ แม้ค�ำ พดู นนั้ จะจรงิ และเปน็ ค�ำสภุ าพ แตถ่ า้ พดู แลว้ ไมเ่ กดิ ประโยชนอ์ ะไร กลบั จะท�ำให้เกดิ โทษ กไ็ ม่ควรพดู (4) พดู ดว้ ยจติ เมตตา พดู ดว้ ยความปรารถนาดี อยากใหค้ นฟงั มคี วามสขุ มคี วามเจรญิ ยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป ในขอ้ นห้ี มายถงึ วา่ แมจ้ ะพดู จรงิ เปน็ ค�ำสภุ าพ พดู แล้วเกดิ ประโยชน์ แตถ่ ้าจติ ยงั คดิ โกรธมคี วามรษิ ยากย็ งั ไม่สมควร พูด เพราะผู้ฟังอาจรบั ไม่ได้ (5) พดู ถกู กาลเทศะ แมใ้ ชค้ �ำพดู ทดี่ ี เปน็ ค�ำจรงิ เป็นค�ำสภุ าพ เปน็ ค�ำพดู ท่ี มปี ระโยชน์ และพดู ด้วยจิตทเี่ มตตา แต่ถ้าผิดจงั หวะ ไม่ถกู กาลเทศะ ผู้ฟังยังไม่พร้อมท่ีจะรับแล้ว จะก่อให้เกิดผลเสียได้ เช่น จะกลายเป็น ประจานกันหรือจบั ผดิ ไป - พูดถูกเวลา (กาล) คอื รู้ว่าเวลาไหนควรพดู เวลาไหนยังไม่ควร พูด ควรพูดนานเท่าไร ต้องคาดผลทจี่ ะเกดิ ขนึ้ ไว้ด้วย - พูดถูกสถานที่ (เทศะ) คือ รู้ว่าในสถานท่ีเช่นไร เหตุการณ์ แวดล้อมเช่นไรจงึ สมควรทจี่ ะพดู เช่น มคี วามหวงั ดอี ยากเตอื น เพอื่ นไมใ่ หด้ ม่ื เหลา้ แตไ่ ปเตอื นขณะทเี่ ขาก�ำลงั เมาอยใู่ นหมเู่ พอ่ื น ฝงู ท�ำให้เสียหน้า อย่างนน้ี อกจากเขาจะไม่ฟังแล้ว เราเองอาจ เจ็บตัวได้ คนฉลาดจึงไม่ใช่เป็นแต่พูดเท่านั้น ต้องน่ิงเป็นด้วย คนที่พูดเป็นน้นั ต้องรู้ในส่งิ ที่ไม่ควรพูดให้ย่ิงกว่าสิ่งทคี่ วรพดู สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 295 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ส่วนวาจาทพุ ภาษิตกม็ ีองค์ประกอบ 5 ประการเช่นกนั ซ่ึงตรงกนั ข้าม กับวาจาสุภาษิต คือ เป็นคำาเท็จ เป็นคำาหยาบ เป็นคำาไร้ประโยชน์ พูดโดยไม่มี เมตตาจิต และพดู ไม่ถูกกาลเทศะ 9.3 อานสิ งส์การกล่าววาจาสภุ าษติ อานิสงส์การกล่าววาจาสุภาษิตนั้นมีหลายประการ กล่าวคือ หากสร้างบารมี เพอื่ เปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กจ็ ะทาำ ใหไ้ ดล้ กั ษณะมหาบรุ ษุ ดงั น้ี คอื มพี ระทนต์ (ฟนั ) 40 องค์ (ซ่ี) มีพระทนต์ไม่ห่าง มพี ระสุรเสียงดจุ เสียงพรหมและนกการเวก เป็นต้น หากสรา้ งบารมเี พอื่ เปน็ พระสาวกสาวกิ า กจ็ ะไดอ้ านสิ งสล์ ดหยอ่ นลงมาตามกาำ ลงั บญุ นอกจากน้ีการกล่าววาจาสุภาษิต ยังเป็นเหตุให้ปิดประตูอบายภูมิ ทำาให้ได้เกิดใน ตระกูลสงู มีกลน่ิ ปากหอม มเี สยี งไพเราะ เป็นท่ีรักของมหาชน เป็นต้น ในทีน่ ี้จะยก ตวั อยา่ งการกลา่ ววาจาสภุ าษติ ทเ่ี ปน็ เหตใุ หไ้ ดล้ กั ษณะมหาบรุ ษุ และอานสิ งสแ์ หง่ วาจา สุภาษติ ของบณั ฑิตในกาลก่อนดงั น้ี 9.3.1 ลกั ษณะมหาบุรุษอนั เกดิ จากการกล่าววาจาสุภาษิต ลำาดับ การกล่าววาจาสุภาษติ ลักษณะมหาบุรุษ 1. ละการพูดเทจ็ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พดู แต่คำาจรงิ 1. มีโลมา (ขน) ขุมละเส้น ดาำ รงคาำ สัตย์ มถี ้อยคาำ เป็นหลักฐาน ควรเชือ่ ถอื 2. มอี ณุ าโลมในระหว่างคว้ิ มี ไม่พูดลวงโลก สีขาวอ่อนเหมือนปยุ ฝ้าย 2. ละคาำ หยาบ เว้นขาดจากคำาหยาบ กล่าวแต่คาำ ท่ี 1. มพี ระชวิ หา (ลิน้ ) ใหญ่ ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รกั จบั ใจ 2. มีพระสุรเสียงดุจเสียง ชนส่วนมากรักใคร่ชอบใจ พรหม เมอ่ื ตรสั มกี ระแสดจุ เสียงนกการเวก วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 296 สรรพศำสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

ลาำ ดบั การกล่าววาจาสุภาษติ ลกั ษณะมหาบรุ ษุ 1. มีพระบาทดุจสงั ข์ควำา่ 3. กล่าววาจาประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม 2. มีพระโลมาล้วนมีปลาย แนะนาำ ประชาชนเป็นอันมาก เป็นผู้นำาประโยชน์ และความสุขมาให้แก่สตั ว์ทั้งหลาย ช้อยข้นึ ข้างบนทกุ ๆ เส้น เป็นผู้บชู าธรรมเป็นปรกติ 1. มีพระทนต์ 40 องค์ 2. มีพระทนต์ไม่ห่าง 4. เว้นขาดจากคาำ ส่อเสยี ด สมานคนท่ีแตกร้าวกัน แล้วบ้าง ส่งเสรมิ คนท่ีพร้อมเพรยี งกันแล้วบ้าง 1. มีพระหนุ (คาง) ยินดใี นคนผู้พร้อมเพรยี งกนั กล่าวแต่คาำ ทีท่ ำาคน ดจุ คางราชสีห์ ให้พร้อมเพรียงกัน 1. มีพระฉวี (ผิว) 5. เว้นขาดจากคำาเพ้อเจ้อ พดู ถกู กาล พูดแต่คาำ ที่ สุขมุ ละเอียด เป็นจรงิ พูดอิงอรรถ อิงธรรม องิ วนิ ัย พดู แต่คำามีหลกั ฐาน มีทีอ่ ้าง มีที่กาำ หนด 2. ธลุ ลี ะอองไมต่ ดิ พระวรกาย มีประโยชน์ พูดโดยกาลอันควร 6. เข้าไปหาสมณะหรอื พราหมณ์ แล้วซักถามอรรถ เช่น ถามว่า กศุ ล และอกศุ ลเป็นอย่างไร กรรมที่มีโทษเป็นอย่างไร กรรมท่ีไม่มีโทษเป็น อย่างไร ฯลฯ 9.3.2 อานสิ งส์แห่งวาจาสภุ าษิตของบณั ฑติ ในกาลก่อน ลาำ ดบั ชอ่ื กรรมในอดีตชาติ อานิสงส์ 1. พระภตู เถระ เกดิ เป็นพราหมณ์ช่ือเสนะ ได้กล่าว 1. ไม่รู้จกั ทุคตติ ลอด 94 กปั สรรเสริญพระสทิ ธัตถพทุ ธเจ้า 2. ได้เสวยสมบตั ิมใิ ช่น้อยใน 4 คาถา สุคตทิ ัง้ หลาย 3. เปน็ พระเจา้ จกั รพรรดิ 4 ครงั้ 4. บรรลุมรรคผลนพิ พาน สรรพศำสตร์ในพระไตรปิฎก 297 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ลาำ ดบั ชื่อ กรรมในอดีตชาติ อานสิ งส์ 2. พระลกุณฏก- เกดิ เป็นนกดเุ หว่าขาว ได้ร้องเสยี งอัน 1. ไปเกิดบนสวรรค์ช้ันดุสิต ภัททยิ เถระ ไพเราะบูชาพระผุสสพุทธเจ้า 2. เป็นเลิศด้านเสยี งไพเราะ 3. บรรลมุ รรคผลนิพพาน 3. พระสคุ นธ- ออกบวชในศาสนาของพระกัสสป- 1. มกี ลนิ่ ปากและกลน่ิ กายหอม เถระ พทุ ธเจ้าได้กล่าวสรรเสรญิ พระพทุ ธ- 2. เป็นผู้น่ารัก น่าชน่ื ชม คณุ อยู่เป็นนติ ย์ 3. มีปฏภิ าณอนั วจิ ติ ร 4. ไม่ถูกดหู มน่ิ 5. ไมร่ จู้ กั ทคุ ตติ ลอด 1 พทุ ธนั ดร 6. บรรลมุ รรคผลนิพพาน 4. พระญาณถ- บวชเป็นดาบส ได้สรรเสรญิ พระญาณ 1. ร่ืนรมณ์ในเทวโลก 77 คร้งั วิกเถระ ของพระสเุ มธพุทธเจ้า 6 คาถา 2. เป็นจอมเทวดา 1,000 ครัง้ 3. เป็นพระเจ้าจกั รพรรดิกว่า 100 ครัง้ 4. เป็นพระเจ้าประเทศราช อันไพบูลย์นับครงั้ ไม่ถ้วน 5. มคี วามดาำ รแิ หง่ ใจไมบ่ กพรอ่ ง 6. มปี ัญญากล้า 7. ไมบ่ กพรอ่ งในทรพั ยอ์ กี เลย 8. ไม่รู้จักทคุ ติตลอด 30,000 กปั 9. บรรลอุ รหตั ผลตงั้ แต่ 7 ขวบ 5. เด็กคนหนึง่ มารดาห้ามว่า อย่าไปเทยี่ วในป่า เด็กคนนั้นได้ทาำ สจั จกิรยิ าว่า เขาไม่เชอื่ ฟัง มารดาจึงด่าว่า ขอให้ “สง่ิ ท่มี ารดาพดู ด้วยปาก จง แม่กระบอื จงไล่ขวิดมึง เม่อื เดก็ น้นั อย่ามี สิ่งท่มี ารดาคดิ ด้วยใจ เข้าป่าไปกไ็ ด้เจอกระบอื เช่นน้นั จรงิ จงมเี ถดิ แม่กระบือจึงหยดุ แต่รอดมาได้ด้วยสจั จวาจา ชะงกั อยู่ณ ทน่ี น้ั นน่ั เอง เหมอื น ถกู ผกู ไว้ วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 298 สรรพศำสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

จะเห็นว่าการกล่าววาจาสภุ าษิตน้ันมีอานสิ งส์มาก บางท่านกล่าวค�ำสรรเสริญ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเพียง 4 คาถาเท่านั้นยังส่งผลให้ปิดนรกได้หลายกัป ได้เป็น พระเจา้ จกั รพรรดิ และบรรลมุ รรคผลนพิ พานได้ ผอู้ ่านจงึ ควรฝึกกลา่ ววาจาสภุ าษติ ให้เป็นนิสัย แล้วจะได้อานิสงส์ดงั กล่าวนี้เช่นกัน 9.4 โทษการกล่าววาจาทุพภาษติ การกลา่ ววาจาทพุ ภาษติ นน้ั เปน็ กรรมทท่ี �ำไดง้ า่ ยและมโี ทษมาก เหตทุ ก่ี ลา่ ววา่ ท�ำได้ง่ายเพราะไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรมาก เพยี งเปล่งเสียงออกจากปากทม่ี ีอยู่ แลว้ เทา่ นน้ั ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ มคี นท�ำผดิ พลาดในเรอื่ งวาจากนั มาก พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ถึงอกุศลกรรมหลัก ๆ ในอดตี ที่ส่งผลมาถงึ ปัจจบุ ันของพระองค์ไว้ 13 ข้อ ใน จ�ำนวนนมี้ วี จกี รรมอยู่ถงึ 6 ข้อ หรือเกอื บครึง่ หน่งึ ทีเดยี ว ส่วนอีก 7 ข้อเป็นกรรม ทางกายและทางใจ ในวจกี รรมท้งั 6 ประการน้ันมดี งั น้ี 1) ชาตหิ นงึ่ พระโพธสิ ตั ว์เกดิ เปน็ คนเลยี้ งโค ไดต้ ้อนโคไปเลยี้ ง ในขณะทตี่ ้อนโค อยนู่ นั้ เหน็ แมโ่ คตวั หนง่ึ ก�ำลงั ดมื่ นำ�้ ขนุ่ อยู่ ทา่ นจงึ กลา่ วหา้ มและไลม่ นั ไป ดว้ ย กรรมนั้นในภพสุดท้ายก่อนพระองค์จะปรินิพพาน ทรงกระหายนำ้� แต่กไ็ ม่ได้ เสวยนำ้� ในเวลาทปี่ รารถนาเพราะพระอานนทร์ ง้ั รออยเู่ นอ่ื งจากเกวยี น 500 เลม่ เพ่ิงข้ามล�ำธารไปท�ำให้นำ้� ในล�ำธารขุ่น 2) ชาตหิ นงึ่ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ นกั เลงชอื่ ปนุ าลิ ไดก้ ลา่ วตพู่ ระปจั เจกพทุ ธเจา้ ชอื่ วา่ สรุ ภี ด้วยกรรมนน้ั ทา่ นจงึ ตกนรกเปน็ เวลายาวนาน และในภพสดุ ทา้ ยกถ็ กู นางสนุ ทรกิ ากล่าวตู่ว่าพระองค์ทรงร่วมอภิรมย์กบั นาง 3) ชาตหิ นงึ่ พระโพธสิ ตั ว์ กลา่ วตพู่ ระเถระชอ่ื วา่ นนั ทะ ซงึ่ เปน็ สาวกของพระสมั มา- สมั พทุ ธเจ้าพระองค์หนึง่ ด้วยกรรมนน้ั ท่านจงึ ตกนรกเป็นเวลายาวนาน พ้น จากนรกแล้วก็ถกู กล่าวตู่อยู่หลายชาติ และในภพสุดท้ายกถ็ กู นางจญิ จมาน- วกิ ากล่าวตู่ว่าพระองค์ทรงร่วมอภิรมย์กับนาง สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 299 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org