อาพาธที่เกดิ จาก “ดี, เสมหะ, ลม ประชุมกนั ” ถ้าแปลตรงตัวตามภาษาบาลี จะแปลว่า “อาพาธสันนิบาต” หมายถึง อาพาธท่ีเกิดข้ึนเพราะลม ดี และเสมหะ รวมกัน อาพาธที่เกิดขึ้นเพราะฤดูแปรปรวน “ฤดู” ในท่ีน้ีหมายถึง สภาพอากาศ เมื่อสภาพอากาศแปรปรวน เช่น ร้อนเกินไป หนาวเกินไป เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้ เจ็บป่วยได้ อาพาธที่เกิดจากการบริหารร่างกายไม่สม�่ำเสมอ หมายถึง การอยู่ในอิรยิ าบถ ใดอริ ยิ าบถหนง่ึ นานเกนิ ไป เชน่ ยนื นานเกนิ ไป หรอื นง่ั นานเกนิ ไป เปน็ ตน้ กเ็ ปน็ เหตุ ให้เจบ็ ป่วยได้ อาพาธทีเ่ กดิ จากการถูกท�ำร้าย เช่น ถูกฆ่าฟัน ถูกทุบตี ถูกชกต่อย ถูกสัตว์ ท�ำร้าย เป็นต้น อาพาธอันเกิดจากวบิ ากกรรม หมายถงึ ความเจบ็ ป่วยที่เกิดจากบาปกรรมที่ ท�ำไว้ในปัจจุบันชาตหิ รือในอดตี ชาติมาส่งผล เช่น ในอดีตชาตทิ �ำปาณาตบิ าตไว้มาก บาปกรรมนน้ั จึงส่งผลให้ป่วยเป็นโรคมะเรง็ ในชาตนิ ี้ เป็นต้น จากทีก่ ล่าวในบทที่ 5 แล้วว่า กรรม คอื การกระท�ำโดยเจตนา ประกอบด้วย กรรมทางกาย วาจา และใจ เมอื่ เราท�ำกรรมแลว้ หากเปน็ กรรมดกี จ็ ะเกดิ บญุ ขนึ้ และ จะถกู เก็บไว้ในใจ หากเป็นกรรมชวั่ ก็จะเกิดบาปขึ้นและถกู เก็บไว้ในใจเช่นกนั บาป ท่ีถกู เก็บไว้ในใจน้ีเอง เมือ่ ถึงเวลาส่งผลกจ็ ะท�ำให้เกดิ การอาพาธ สาเหตแุ หง่ การอาพาธทง้ั 8 ประการทก่ี ลา่ วมานสี้ ามารถสรปุ ใหเ้ หลอื 2 ประการ ได้ดังนี้ คือ สาเหตุทางกาย และสาเหตุทางใจ โดย 7 ประการแรกถือเป็นสาเหตุทาง กาย ส่วนข้อท่ี 8 คอื วิบากกรรมนนั้ ถือว่าเป็นสาเหตุทางใจ เพราะเป็นสาเหตุทีเ่ กดิ จากบาปทอี่ ยู่ในใจส่งผล ให้เกิดการอาพาธด้วยโรคต่าง ๆ แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 400 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
การเจบ็ ปว่ ยอนั เกดิ จากวบิ ากกรรมนนั้ เปน็ ความแตกตา่ งทสี่ �ำคญั ระหวา่ งหลกั การแพทย์ในพระไตรปิฎกและการแพทย์แผนปัจจุบัน เร่ืองนี้เป็นสิ่งท่ีเข้าใจได้ยาก ส�ำหรบั แพทย์และชาวโลกทไ่ี ม่ได้ศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาอยา่ งลกึ ซง้ึ โดยเฉพาะวบิ าก กรรมจากอดีตชาติ แม้วงการแพทย์อาจไม่ได้ให้ความสนใจท่ีจะศึกษาเก่ียวกับ ความละเอยี ดลกึ ซง้ึ ในดา้ นน้ี แตจ่ ะเชอ่ื หรอื ไมส่ งิ่ นกี้ ย็ งั คงเปน็ ความจรงิ ของโลกและ ชีวิตท่ีมนษุ ย์ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ตามหลกั การท่ีมีอยู่ในพระพทุ ธศาสนา 11.3.2 โรคชนิดต่าง ๆ ในพระไตรปิฎก ค�ำว่า “โรค” พระอรรถกถาจารย์ให้ความหมายไว้ว่า เสียดแทง หรอื เบยี ดเบยี น 1 กลา่ วคอื เสยี ดแทงเบยี ดเบยี นรา่ งกายและจติ ใจใหล้ �ำบาก พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ไวว้ า่ แตก่ อ่ นมโี รครา้ ยอยเู่ พยี ง 3 ชนดิ คอื โรคอยาก โรคหวิ และโรคชรา แตเ่ พราะ การท�ำร้ายเบยี ดเบยี นสตั ว์ จงึ ท�ำให้มโี รคเพม่ิ ขน้ึ ถงึ 98 ชนดิ 2 โรคทงั้ 98 ชนดิ นี้ คอื โรคทมี่ อี ย่ใู นสมยั พทุ ธกาล แตใ่ นปัจจบุ นั มโี รคเพมิ่ มากขน้ึ อกี เป็นจ�ำนวนมาก ดงั จะ เหน็ ได้ว่าทุกวนั นีม้ โี รคแปลก ๆ ใหม่ ๆ และร้ายแรงเกดิ ขนึ้ เรอ่ื ย ๆ เช่น โรคเอดส์ โรคไขห้ วดั นก โรคซาร์ โรคไขก้ ระตา่ ย ฯลฯ ซง่ึ ขา่ วระบวุ า่ โรคไขก้ ระตา่ ยนมี้ เี ชอ้ื รนุ แรง ถึงข้นั ผลิตเป็นอาวธุ ชีวภาพได้ทเี ดยี ว โรคท้งั 98 ชนิดนน้ั เป็นโรคอนั เกิดจากวบิ ากกรรม เพราะเป็นผลมาจากการ ท�ำร้ายเบียดเบียนสัตว์ ความจริงยังมีโรคที่เกิดจากสาเหตุอ่ืนอีก 7 ประการดังได้ กลา่ วมาแลว้ ซงึ่ ไมร่ วมอยใู่ นโรค 98 ชนดิ น้ี อยา่ งไรกต็ ามโรคทม่ี อี ยใู่ นสมยั พทุ ธกาล เท่าทปี่ รากฏอยู่ในพระไตรปิฎกสามารถแบ่งเป็นกลุ่มได้ประมาณ 6 กลุ่ม คือ โรค ผวิ หนงั โรคลม โรคในทอ้ ง โรคเกย่ี วกบั อวยั วะ โรคทางเดนิ หายใจ และโรคเบด็ เตลด็ อื่น ๆ 1 สัทธัมมปัชโชตกิ า อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิทเท, มก. เล่ม 65 หน้า 132. อรรถกถาธาตุวิภังคสตู ร, อรรถกถามชั ฌมิ นกิ าย อปุ ริปัณณาสก์, มก. เล่ม 23 หน้า 377. 2 ขทุ ทกนิกาย สตุ ตนบิ าต จูฬวรรค, มจร. เล่ม 25 ข้อ 314 หน้า 572. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 401 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1) โรคผวิ หนงั หมายถงึ โรคท่ีเกิดบนผวิ หนงั ในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น โรคเรอ้ื น โรคฝี โรคฝีดาษ โรคสวิ โรคกลาก โรคเรมิ โรคพพุ อง โรคหดิ เป่อื ย โรคหดิ ดา้ น โรคละลอก โรคหดู โรคคดุ ทะราด และโรคคดุ ทะราดบวม เปน็ ตน้ โรคเรอื้ น หมายถงึ โรคผวิ หนงั ชนดิ หนงึ่ ซง่ึ ตดิ ตอ่ ได้ ท�ำใหผ้ วิ หนงั เปน็ - ผน่ื มหี ลายชนดิ บางชนดิ ท�ำให้นว้ิ มอื นว้ิ เท้ากดุ เรยี กว่า เรอ้ื นกฏุ ฐงั บางชนดิ มลี กั ษณะเป็นผน่ื คนั ท�ำให้ผวิ หนงั หนาหยาบและอาจแตกมนี ำ้� เหลอื งไหลหรอื ตกสะเก็ดในระยะหลัง มักเป็นตามบริเวณข้อเท้าหัวเข่าหรือที่มือเอ้ือมไปเกา ถึง เรยี กว่า เร้ือนกวาง บางชนดิ แผลมีสขี าว เรยี กว่า เร้ือนน�้ำเต้า โรคฝี หมายถึง โรคชนดิ หน่ึงเป็นต่อมบวมขึ้น กลัดหนองข้างใน เรียก ช่อื ต่าง ๆ กันหลายชนิด เช่น ฝีคณั ฑมาลา ฝีดาษ ฝีประค�ำร้อย โรคฝีดาษ หมายถึง โรคฝีชนิดหน่ึง มักเกิดขึ้นตามล�ำตัว เป็นเม็ด เล็ก ๆ ดาษทัว่ ไป บางครัง้ เรยี ก ไข้ทรพษิ คนโบราณเรยี กว่า ไข้หัว โรคสิว หมายถึง โรคทม่ี ีลักษณะเป็นตุ่มเม็ดเลก็ ๆ ทีม่ หี นองเป็นไตสี ขาว ๆ อยู่ข้างใน ข้ึนบริเวณใบหน้า และส่วนต่าง ๆ ของล�ำตัว โรคกลาก หมายถงึ โรคผวิ หนงั ชนิดหนง่ึ เกิดจากเชอ้ื รา ขน้ึ เป็นวง มี อาการคนั โรคเริม หมายถงึ โรคติดเชื้อไวรสั ชนิดหนง่ึ ขนึ้ เป็นเมด็ เล็ก ๆ พองใส ตดิ กันเป็นกลุ่ม มอี าการคนั ปวดแสบปวดร้อน โรคพุพอง หมายถึง โรคผิวหนังชนิดหน่ึงเป็นเม็ดผุดขึ้นพองใสตาม ล�ำตวั แล้วแตกออกมนี �้ำเหลอื งหรอื น�้ำเลือดน้ำ� หนอง โรคหิด หมายถงึ โรคตดิ ต่อชนิดหนึง่ มลี กั ษณะเป็นเม็ดสีขาว ใสเป็น เงา ขึน้ ตามผิวหนงั มอี าการปวดและคนั เรียกว่า หดิ ด้าน เมอ่ื เมด็ แตกมีน�้ำ หนองไหลเยิม้ เรยี กว่า หิดเปื่อย แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 402 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
โรคละลอก หมายถึง โรคผวิ หนงั ชนิดหน่ึงเป็นเมด็ มีหนอง โรคหูด หมายถึง โรคผวิ หนงั ชนิดหน่ึงข้นึ เป็นไตแข็ง โรคคดุ ทะราด หมายถงึ การเปน็ แผลเรอื้ รงั บางรายแผลบานเหวอะหวะ มกี ล่นิ เหมน็ เป็นแม่แผลให้เกิดแผลอน่ื จ�ำพวกเดียวกนั พพุ องออกไปอกี 2) โรคลม หมายถึง โรคท่ีเกิดจากธาตุลมภายในร่างกายก�ำเริบ ท�ำให้มีอาการ หลายอย่าง เช่น วิงเวยี น หน้ามดื คล่ืนเหียน ถ้าอาการรนุ แรงอาจสน้ิ สติหรือ ตายได้ เช่น โรคลมบ้าหมู โรคเรอ เป็นต้น โรคลมบ้าหมู หมายถงึ อาการหมดสติเป็นครง้ั คราว และมกั มีอาการ ชักเกรง็ น�้ำลายเป็นฟอง มอื เท้าก�ำ เป็นผลเนือ่ งจากสมองท�ำงานผิดปรกติ โรคเรอ หมายถึง โรคทล่ี มในกระเพาะเฟ้อพุ่งออกทางปาก 3) โรคในท้อง หมายถึง โรคท่ีเกิดข้ึนภายในท้อง เช่น โรคเนื้องอกที่ล�ำไส้ โรคบิด โรคท้องร่วง โรคลงราก อหิวาตกโรค โรคอาเจียนโลหิต และ โรคอลสกะ เป็นต้น โรคลงราก หมายถึง โรคท้องเดนิ และอาเจียน อหวิ าตกโรค หมายถงึ โรคระบาดชนดิ หนง่ึ มอี าการลงราก คอื ทอ้ งเดนิ และอาเจยี น โรคอลสกะ หมายถงึ โรคทเ่ี กดิ จากการกนิ อาหารมากเกนิ ไป ซง่ึ เกดิ กบั นักบวชเปลือยช่ือโกรักขัตติยะผู้ประพฤติวัตรอย่างสุนัข เดินด้วยข้อศอก และเข่า กนิ อาหารทกี่ องบนพนื้ ด้วยปาก ก่อนตายเขากนิ อาหารมากเกนิ ไปจน อาหารไม่ย่อยจึงสนิ้ ชวี ิต 4) โรคเกยี่ วกบั อวยั วะ หมายถงึ โรคทเี่ กดิ กบั อวยั วะสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เชน่ โรคทางตา โรคทางหู โรคทางจมกู โรคทางล้นิ โรคทางศีรษะ เช่น ปวดศีรษะ โรคทางปาก โรคทางฟัน โรคอมั พาต โรคริดสีดวง สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 403 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
โรครดิ สดี วง หมายถงึ โรคทเี่ กดิ จากเสน้ เลอื ดขอดเพราะเหตใุ ดเหตหุ นง่ึ ท�ำให้เลอื ดไหลเวียนไม่สะดวกและมีเลือดคงั่ อยู่ในบรเิ วณน้ัน จึงเกิดการโป่ง พองของเส้นเลอื ด โรครดิ สีดวง มกั จะเกิดในช่องตา จมูก และทวารหนัก โรคอัมพาต หมายถึง โรคทีอ่ วัยวะบางส่วน เช่น แขน ขา ตาย กระดิก ไม่ได้ 5) โรคทางเดนิ หายใจ หมายถงึ โรคท่ีเกดิ กบั ระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไอ โรคหดื โรคไข้หวดั โรคมองคร่อ เป็นต้น โรคหดื หมายถงึ โรคหลอดลมอกั เสบเรอ้ื รงั ชนดิ หนงึ่ เกดิ จากหลอดลม ตอบสนองตอ่ สงิ่ เรา้ อยา่ งเฉยี บพลนั และรนุ แรงกวา่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในคนทวั่ ไป ท�ำให้ หลอดลมตีบแคบลง จนเกดิ อาการหายใจไม่สะดวก โรคไขห้ วดั หมายถงึ โรคทเ่ี ยอื่ อวยั วะทเี่ ปน็ เครอ่ื งหายใจอกั เสบมกั ท�ำให้ เสยี งแห้งและน�ำ้ มูกไหล โรคมองคร่อ หมายถึง โรคหลอดลมโป่งพอง มีเสมหะแห้งอยู่ใน หลอดลม ท�ำให้มีอาการไอเรื้อรัง 6) โรคเบ็ดเตลด็ หมายถึง โรคอ่นื ๆ ทไี่ ม่จัดอยู่ในกลุ่มทั้ง 5 ข้างต้น เช่น โรค ไข้พษิ โรคเบาหวาน โรคดกี �ำเรบิ โรคร้อนใน และโรคในฤดูสารท เป็นต้น โรคไข้พษิ หมายถงึ ไข้ท่ีมพี ษิ กล้าท�ำให้เซอ่ื งซมึ ไป ท�ำให้รู้สึกเหมือน เรอื นหมุน ไม่รู้ว่ากลางวันหรือกลางคนื โรคเบาหวาน หมายถงึ โรคท่ีมีนำ้� ตาลในเลอื ดสงู กว่าปกติ โรคดกี �ำเรบิ หมายถงึ ดที อี่ ยใู่ นรา่ งกายของมนษุ ยแ์ ตล่ ะคน เมอ่ื ดกี �ำเรบิ ดวงตาจะเหลอื ง เวียนศีรษะ ตัวสั่นและคัน เป็นต้น โรคในฤดูสารท หมายถึง ไข้เหลอื ง (โรคดีซ่าน) ซ่งึ เกิดขึน้ ในฤดูสารท (ฤดใู บไม้ร่วง) เพราะในฤดสู ารทน้ี ภกิ ษทุ ้ังหลายเปียกชุ่มด้วยน�ำ้ ฝนบ้าง เดนิ ยำ่� โคลนบา้ ง แสงแดดแผดกลา้ บา้ ง ท�ำใหน้ ำ้� ดขี องภกิ ษทุ ง้ั หลายขงั อยแู่ ตใ่ นถงุ น้�ำดี แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 404 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
11.3.3 ยารักษาโรคในพระไตรปิฎก ยารกั ษาโรคในพระไตรปฎิ กเปน็ ยาทไ่ี ดจ้ ากธรรมชาตโิ ดยตรง ซง่ึ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ในธรรมชาตสิ ามารถน�ำมาใชเ้ ปน็ ตวั ยาไดท้ งั้ หมด หากเรารคู้ ณุ สมบตั ใิ นสว่ นทเี่ ปน็ ยา ของมนั ครง้ั หนง่ึ หมอชวี กโกมารภจั จถ์ อื เสยี มเดนิ ไปรอบเมอื งตกั กสลิ าเปน็ ระยะทาง 1 โยชน์ เพอื่ ต้องการหาว่ามีส่งิ ใดบ้างที่ไม่อาจจะน�ำมาท�ำเป็นยาได้ แต่ท่านไม่พบสิง่ นนั้ เลย จากเรอ่ื งนีจ้ งึ อาจจะกล่าวได้ว่า สรรพสิง่ ในธรรมชาตสิ ามารถน�ำมาท�ำยาได้ หมด ส�ำหรบั ยาต่าง ๆ ทีป่ รากฏอยู่ในพระไตรปิฎกและอรรถกถานัน้ สามารถแบ่ง ออกเป็น 6 กลุ่ม ดังน้ี คอื น�้ำมูตรเน่า, เภสัช 5, สมุนไพร, เกลอื , ยามหาวิกัฏ และ กลุ่มเบ็ดเตล็ด 1) น้�ำมูตรเน่า มตู ร แปลวา่ นำ�้ ปสั สาวะ ค�ำวา่ “นำ�้ มตู รเนา่ ” กค็ อื นำ้� มตู รนนั่ เอง เพราะ ร่างกายของคนเราได้ชอื่ ว่าเป็นสงิ่ เปื่อยเน่า น้ำ� มตู รทอ่ี อกมาใหม่ ๆ และรองเอาไว้ใน ทันทที ันใด กไ็ ด้ชอื่ ว่าเป็นนำ้� มูตรเน่าเพราะออกมาจากร่างกายที่เปื่อยเน่า 1 การน�ำนำ้� มตู รเนา่ มาท�ำเปน็ ยาจะท�ำโดยวธิ กี ารดองดว้ ยตวั ยาอนื่ ๆ เชน่ สมอ เป็นต้น จงึ มกั จะเรยี กว่า “ยาดองน�ำ้ มูตรเน่า” ซ่งึ มสี รรพคุณในการรกั ษาโรค ต่าง ๆ ได้หลายชนดิ นำ�้ มตู รเนา่ เปน็ ยารกั ษาโรคหลกั ของพระภกิ ษใุ นสมยั พทุ ธกาล เปน็ หนง่ึ ใน “นสิ สัย 4” ที่พระภิกษจุ ะต้องใช้เป็นประจ�ำ ซงึ่ พระอุปัชฌาย์จะบอกในวันบวชว่า “ให้อยู่โคนไม้เป็นวตั ร บิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบงั สกุ ลุ เป็นวตั ร และฉนั นำ้� มูตรเน่า เป็นยา” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ภิกษุท้ังหลายว่า “บรรพชาอาศัยน้�ำมูตรเน่า เปน็ ยา เธอพงึ ท�ำอตุ สาหะในสงิ่ นน้ั ตลอดชวี ติ ...” 2 และพระองคย์ งั ตรสั วา่ นำ้� มตู รเนา่ น้ันเป็นของหาง่าย และไม่มโี ทษ 3 1 อรรถกถาจัตตารสิ ูตร, ปรมตั ถทปี นี อรรถกถาขทุ ทกนิกาย อิตวิ ตุ ตกะ, มก. เล่ม 45 หน้า 647. 2 พระวินัยปิฎก มหาวรรค, มก. เล่ม 6 ข้อ 87 หน้า 172. 3 สันตฏุ ฐฺสตู ร, องั คตุ ตรนิกาย จตกุ นิบาต, มก. เล่ม 35 ข้อ 27 หน้า 83. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 405 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
2) เภสัช 5 เภสัช 5 หมายถึง ยารักษาโรค 5 ชนดิ คือ เนยใส เนยข้น น�้ำมนั น�้ำผงึ้ และน้ำ� อ้อย โดยในเบือ้ งต้นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าทรงอนญุ าตให้ภกิ ษุฉันเพอื่ รกั ษาโรคไข้เหลืองหรือดซี ่าน เนยใส หมายถงึ เนยทมี่ ลี กั ษณะใสซงึ่ ท�ำจากนำ้� นมโค นำ�้ นมแพะ นำ�้ นม- กระบอื เป็นต้น เนยข้น หมายถงึ เนยที่มลี กั ษณะข้นซึ่งท�ำจากนำ้� นมของโค แพะ และ กระบอื เป็นต้น นำ�้ มนั หมายถงึ นำ้� มนั อนั สกดั ออกจากเมลด็ งา เมลด็ พนั ธผ์ุ กั กาด เมลด็ มะซาง เมลด็ ละหุ่ง หรอื นำ้� มันทส่ี กัดจากเปลวหรือมนั ของสตั ว์ ได้แก่ น�ำ้ มนั เปลว หมี น�ำ้ มันเปลวปลา น�ำ้ มนั เปลวปลาฉลาม นำ้� มนั เปลวหมู และน�้ำมันเปลวลา นำ้� ผงึ้ หมายถงึ นำ�้ หวานทม่ี ลี กั ษณะขน้ ทผี่ งึ้ เกบ็ สะสมเอามาจากดอกไม้ ต่าง ๆ น�ำ้ อ้อย หมายถึง นำ้� หวานทคี่ น้ั ออกมาจากอ้อย 3) สมุนไพร กลุ่มยาสมุนไพรที่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกมีหลายชนิด เช่น ยา สมุนไพรที่ท�ำจากรากไม้, น�้ำฝาดของต้นไม้, ใบไม้และต้นไม้, ผลไม้ และยางไม้ เป็นต้น รากไม้ ได้แก่ ขมิน้ ขิง ว่านน้ำ� ว่านเปราะ อตุ พดิ ข่า แฝก แห้วหมู หน่อหวาย หน่อไม้ เหง้าบัว รากบัว หรอื รากไม้ชนดิ อน่ื ทเ่ี ป็นยาสมุนไพรและไม่จดั ว่าเป็นอาหาร แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 406 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
น้ำ� ฝาด หมายถึง น้ำ� ทีไ่ ด้จากการน�ำเอาส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ไปสกัด บบี หรอื คัน้ เอาน�้ำออกมา ได้แก่ น�ำ้ ฝาดสะเดา น�้ำฝาดมกู มนั น�ำ้ ฝาดกระดอมหรือ ขกี้ า น�้ำฝาดบอระเพด็ หรอื พญามอื เหล็ก น�ำ้ ฝาดกระถินพิมาน หรอื น�้ำฝาดชนดิ อ่นื ท่เี ป็นยาสมุนไพรและไม่จัดว่าเป็นอาหาร ใบไม้ ได้แก่ ใบสะเดา ใบมูกมนั ใบกระดอมหรือข้กี า ใบกะเพราหรือ แมงลกั ใบฝา้ ย หรอื ใบไมช้ นดิ อน่ื ทเ่ี ปน็ ยาสมนุ ไพรและไมจ่ ดั วา่ เปน็ อาหาร และตน้ ไม้ ทนี่ �ำมาท�ำเป็นยา ได้แก่ ไม้จันทน์ กฤษณา กะลมั พกั ใบเฉยี ง แห้วหมู เป็นต้น ผลไม้ ไดแ้ ก่ ลกู พลิ งั กาสา ดปี ลี พรกิ สมอไทย สมอพเิ ภก มะขามปอ้ ม ผลโกฐ ผลกล้วย อินทผาลัม หรือผลไม้ชนิดอ่ืนที่เป็นยาสมุนไพรและไม่จัดว่า เป็นอาหาร ยางไม้ ได้แก่ ยางจากต้นหงิ คุ ยางทีเ่ คีย่ วจากก้านใบและเปลอื กของ ตน้ หงิ คุ ยางจากยอดตนั ตกะ ยางทเ่ี คยี่ วจากใบหรอื กา้ นตนั ตกะ ยางจากก�ำยาน หรอื ยางชนดิ อืน่ ท่ีเป็นยาสมุนไพรและไม่จัดว่าเป็นอาหาร 4) เกลือ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั อนญุ าตเกลอื ทเี่ ปน็ เภสชั ไวด้ งั นี้ คอื เกลอื สมทุ ร เกลอื ด�ำ เกลอื สนิ เธาว์ เกลอื ดนิ โปง่ หรอื เกลอื ชนดิ อน่ื ทเ่ี ปน็ ยาและไมจ่ ดั วา่ เปน็ อาหาร เกลือสมทุ ร หมายถึง เกลอื ทีไ่ ด้จากน�้ำทะเล เกลอื ด�ำ หมายถงึ เกลอื ทเี่ ป็นเศษเกลอื หรอื เกลอื กน้ กอง เมด็ เกลอื จะ เล็กและมีตะกอนปนอยู่มาก เกลือชนิดนี้ปกติจะใช้เติมบ่อกุ้ง เลี้ยงปลา และปรับ สภาพดนิ ในสวนผลไม้ เกลือสนิ เธาว์ หมายถึง เกลอื ทไี่ ด้จากดนิ เคม็ เกลือดนิ โป่ง หมายถงึ เกลอื ทที่ �ำจากดนิ โป่ง ดินโป่ง คอื แอ่งดินเคม็ ตามธรรมชาติ เป็นดินท่มี ีเกลือแร่ต่าง ๆ ปนอยู่ เช่น เกลือโซเดยี มคลอไรด์ เกลือ แคลเซียม และโปตสั เซียม เป็นต้น สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 407 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
5) ยามหาวิกัฏ คร้ังหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัด พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอนุญาตให้ ภิกษุใช้ยามหาวกิ ัฏ 4 อย่างรักษา คอื คูถ มตู ร เถ้า ดนิ ต่อมาภกิ ษรุ ูปหนึ่งดมื่ ยา พษิ เขา้ ไป พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ตรสั อนญุ าตใหภ้ กิ ษดุ มื่ นำ�้ เจอื คถู เพอ่ื ใหอ้ าเจยี นเอา พษิ ออกมา 6) กลุ่มเบด็ เตล็ด กลุ่มยาเบ็ดเตล็ดอ่ืน ๆ ที่น�ำมาใช้รักษาโรคเท่าที่ปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎก ได้แก่ ยาดองโลณโสวีรกะ ยาผง มูลโค งา ข้าวสาร ข้าวสุก น้ำ� ข้าวใส ถัว่ เขียว ธัญชาติทกุ ชนิด น�้ำด่างทบั ทมิ ปลา เนือ้ น้�ำต้มเนอ้ื และการเกด เป็นต้น ยาดองโลณโสวีรกะ หมายถึง ยาที่ปรุงด้วยส่วนประกอบนานาชนิด เช่น มะขามป้อมสด สมอพิเภก ธัญชาติทุกชนิด ถ่ัวเขียว ข้าวสุก ผลกล้วย หน่อหวาย การเกด อนิ ทผาลมั หน่อไม้ ปลา เนอื้ น�ำ้ ผง้ึ นำ้� อ้อย เกลอื โดยใส่เครอื่ งยา เหล่านี้ในหม้อ ปิดฝามดิ ชดิ เกบ็ ดองไว้ 1 วนั 2 วนั หรอื 3 วนั เม่อื ยานส้ี กุ ได้ท่ี แล้ว จะมรี สและสีเหมอื นผลหว้า เป็นยาแก้โรคลม โรคไอ โรคเรื้อน โรคไข้เหลอื ง (ดีซ่าน) โรคริดสีดวง เป็นต้น 11.3.4 ประวัตขิ องหมอชวี กโกมารภจั จ์ ผู้อ่านหลายท่านคงจะรู้จักหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นอย่างดีโดยเฉพาะคนท่ีมัก ใชบ้ รกิ ารรกั ษาพยาบาลดว้ ยการแพทยแ์ ผนไทย เพราะปกตศิ นู ยก์ ารแพทยแ์ ผนไทย จะมีรูปปั้นหมอชีวกโกมารภัจจ์อยู่ เพ่ือไว้เป็นเครื่องระลึกถึงพระคุณของท่านท่ีได้ ถ่ายทอดวิชาการแพทย์ให้ชาวพุทธและชาวโลกได้ใช้บ�ำบัดรักษากันมาตั้งแต่สมัย พุทธกาลจนถงึ ปัจจบุ ัน แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 408 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นแพทย์หลวงแห่งกรุงราชคฤห์และเป็นแพทย์ประจ�ำ พระองค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ ท่านเป็นแพทย์ที่เก่งกาจสามารถ ตง้ั แต่วยั หนุ่ม สามารถรักษาโรคทแี่ พทย์เก่ง ๆ ยุคน้นั หลายต่อหลายคนรักษาไม่ ไดใ้ หห้ ายภายในเวลาอนั รวดเรว็ วธิ กี ารรกั ษาของทา่ นมหี ลากหลาย และหลาย ๆ วธิ ี กค็ ล้าย ๆ กับการรกั ษาในยคุ ปัจจุบัน เช่น การผ่าตดั การขบั พษิ ด้วยการขับถ่าย หรือท่ีเรยี กว่าดที ๊อกซ์ เป็นต้น หมอชีวกโกมารภจั จ์ถอื ก�ำเนิดขน้ึ ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยในสมยั พทุ ธกาลนนั้ มกี มุ ารคี นหนง่ึ ชอ่ื สาลวดเี ปน็ สตรที รงโฉมงดงาม ชาวพระนครราชคฤห์ จงึ ได้คดั เลือกให้นางเป็นหญงิ งามเมอื ง ต่อมานางสาลวดีได้ตัง้ ครรภ์และคลอดบุตร เป็นชาย นางไม่ปรารถนาจะเลย้ี งดูบุตร จงึ สัง่ ทาสีให้น�ำบุตรน้นั ไปทิง้ ทกี่ องขยะ ในวันนน้ั นั่นเองเจ้าชายอภัยก�ำลังเสด็จเข้าสู่พระราชวงั ได้ทอดพระเนตรเหน็ ทารกน้ันซึ่งฝูงกาห้อมล้อมอยู่ ได้ตรัสถามมหาดเล็กว่า พนาย น่ันอะไร ฝูงการุม กันตอม ? มหาดเล็กกราบทลู ว่า “ทารก พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายอภัยตรัสว่า “ยงั เป็นอยู่” หรือ พนาย ? มหาดเล็กกราบทลู ว่า “ยงั เป็นอยู่ พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายอภัยจึงตรสั ว่า “พนาย ถ้าเช่นน้ัน จงน�ำทารกนน้ั ไปท่ีวังของเราให้นาง นมเลย้ี งไว้” มหาดเล็กจึงน�ำทารกนั้นไปวังของเจ้าชายอภัย แล้วมอบให้นางนมเล้ียงไว้ เพราะอาศยั ค�ำว่า “ยงั เป็นอยู่” พวกเขาจึงขนานนามทารกนั้นว่า “ชีวก” และเพราะ เหตทุ ช่ี ีวกนัน้ เจ้าชายรับสัง่ ให้เล้ียงไว้ เขาจึงได้ตั้งนามสกุลว่า “โกมารภัจจ์” ต่อมาไม่ นานชวี กโกมารภจั จก์ ร็ เู้ ดยี งสาและไดท้ ลู ถามเจา้ ชายอภยั วา่ ใครเปน็ มารดาของเกลา้ กระหม่อม ใครเป็นบิดาของเกล้ากระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 409 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เจ้าชายรับสงั่ ว่า พ่อชวี ก ตวั เรากไ็ ม่รู้จกั มารดาของเจ้า แต่ว่าเราเป็นบดิ าของ เจ้า เพราะเราได้ให้เลย้ี งเจ้าไว้ ชวี กโกมารภัจจ์จงึ คิดว่า ราชสกลุ เหล่าน้ี คนทไ่ี ม่มี ศลิ ปะจะเข้าพึง่ พระบารมี ท�ำไม่ได้ง่าย ถ้ากระไร เราควรเรียนวิชาแพทย์ไว้ ในสมัยนั้น นายแพทย์ทิศาปาโมกข์ตั้งส�ำนักอยู่ ณ เมืองตักกสิลา ชวี กโกมารภัจจ์ จึงได้ทูลลาเจ้าชายอภยั เดินทางไปเรยี นวิชาแพทย์ ชวี กโกมารภัจจ์ เรยี นวชิ าได้มาก เรยี นไดเ้ รว็ เขา้ ใจดี วชิ าทเ่ี รยี นไดแ้ ล้วกไ็ มล่ มื เมอื่ เวลาผา่ นไป 7 ปี ชีวกโกมารภัจจ์ จึงเรียนถามอาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่า กระผมเรียนวิชาแพทย์ส�ำเร็จ ตามหลกั สูตรแล้วหรือยงั อาจารย์ตอบว่า พ่อชวี ก ถ้าเช่นน้ันเธอจงถอื เสียมเท่ียวไปรอบเมืองตักกสิลา ระยะทาง 1 โยชน์ ตรวจดสู ง่ิ ใดไมใ่ ชต่ วั ยา จงขดุ สง่ิ นน้ั มา ชวี กโกมารภจั จจ์ งึ ถอื เสยี ม เดินไปรอบเมอื ง ไม่เห็นส่งิ ใดท่ไี ม่เป็นตัวยาสกั อย่างหนง่ึ จึงเดนิ ทางกลบั มารายงาน ท่านอาจารย์ อาจารย์ทศิ าปาโมกข์จึงบอกว่า พ่อชวี ก เธอศึกษาส�ำเรจ็ แล้ว หลังจาก นนั้ ชีวกโกมารภัจจ์จงึ เดนิ ทางไปยงั เมอื งราชคฤห์ ช่วยรกั ษาคนเจบ็ ป่วยหนกั ๆ ให้ หายได้อย่างอัศจรรย์ จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นแพทย์หลวงแห่งกรุงราชคฤห์และเป็น แพทย์ประจ�ำพระองค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ ส�ำหรับวิธีการรักษา ของท่านจะได้กล่าวในล�ำดับต่อไป 11.3.5 การรักษาอาพาธในพระไตรปิฎก จากทก่ี ล่าวแล้ววา่ มนษุ ยแ์ ละสตั ว์ทง้ั หลายประกอบขนึ้ จากสองส่วนทสี่ มั พนั ธ์ กัน คือ ร่างกาย และจิตใจ การรักษาอาพาธในพระพุทธศาสนาท่ีปรากฏอยู่ใน พระไตรปิฎกจึงรักษาท้ังสองส่วนน้ีไปพร้อม ๆ กัน ในส่วนของร่างกายก็มีวิธีการ รกั ษาคล้าย ๆ กับการแพทย์ยคุ ปัจจบุ นั ส่วนทางด้านจติ ใจน้นั จะบ�ำบดั รกั ษาด้วย ธรรมโอสถ แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 410 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
1) การรักษาทางด้านร่างกาย การรักษาอาพาธทางด้านร่างกายในสมยั พุทธกาลน้ัน มวี ธิ กี ารคล้าย ๆ กบั การแพทย์ยุคปัจจบุ นั ซึ่งเท่าท่ีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมดี ังนี้ คอื ให้กินยา ให้ ดม่ื ยา ทายา นัตถ์ุยา การรม การสดู ควันทเี่ ป็นยา การกรอก การผ่าตัด และการขับ พิษ เป็นต้น ซึ่งผู้อ่านจะได้เรยี นรู้วธิ กี ารเหล่าน้จี ากการรกั ษาโรคต่าง ๆ ดงั น้ี 1.1) วิธีการรักษาโรคลม วิธีการรักษาโรคลมในสมยั พุทธกาลนน้ั มีหลายวิธี เช่น ดืม่ น้ำ� มันท่หี งุ เจอื ดว้ ยนำ�้ เมา, เขา้ กระโจม, รมใบไม,้ รมใหญ,่ รดตวั ดว้ ยนำ้� ทต่ี ม้ ใหเ้ ดอื ดดว้ ยใบไม้ นง่ึ ตวั ในอา่ งนำ�้ ฉนั กระเทยี ม หากเปน็ โรคลมเสยี ดยอกตามขอ้ จะรกั ษาดว้ ยวธิ รี ะบาย โลหติ ออก เป็นต้น การด่ืมน้�ำมันที่หุงเจือด้วยน�้ำเมา เป็นวิธีการท่ีแพทย์รักษาโรคลมของ ทา่ นพระปิลนิ ทวจั ฉะ โดยนำ้� เมาทเี่ จอื ลงไปเพอื่ หงุ กบั นำ้� มนั นนั้ จะต้องไมม่ ากจนเกนิ ขนาด ไม่ปรากฏสี กลิน่ และรสของน�ำ้ เมา การเข้ากระโจม ค�ำว่า “กระโจม” หมายถึง ผ้าหรือสิง่ ท่ีท�ำเป็นลอมข้ึน ส�ำหรบั เขา้ ไปอยขู่ า้ งในเพอื่ ใหเ้ หงอ่ื ออก ในสมยั พทุ ธกาลเรยี กวา่ “การนง่ึ ตวั ” เพอ่ื แก้ โรคลม การรมใบไม้ หมายถึง การน่ึงตัวเช่นกัน ใช้ในกรณีที่การนึ่งตัวแบบ ธรรมดาแล้วไม่อาจแก้โรคลมให้หายได้ กใ็ ห้น�ำใบไม้ทีแ่ ก้โรคลมชนิดต่าง ๆ มาใน กระโจมแล้วจดุ ไฟเพ่อื รมควัน การรมใหญ่ หมายถงึ การนงึ่ ตวั อกี วธิ หี นงึ่ ใชใ้ นกรณที ร่ี มดว้ ยใบไ้ มใ้ น กระโจมแล้วไม่หายกจ็ ะใช้วธิ นี ้ี คอื ขดุ หลมุ ขน้ึ ประมาณเทา่ ตวั คน แล้วบรรจถุ า่ นไฟ ให้เต็มหลมุ กลบด้วยฝุ่นและทราย ฯลฯ ลาดใบไม้ที่แก้โรคลมชนดิ ต่าง ๆ บนหลมุ นน้ั จากนน้ั กใ็ หผ้ ทู้ อ่ี าพาธทาตวั ดว้ ยนำ้� มนั ทแ่ี กโ้ รคลม เสรจ็ แลว้ ใหน้ อนพลกิ ไปพลกิ มาบนใบไม้ท่ลี าดบนหลุมน้ัน สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 411 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
การรดตวั ด้วยนำ�้ ทตี่ ม้ ให้เดอื ดดว้ ยใบไม้ หมายถงึ วธิ กี ารรกั ษาโรคลม อกี แบบหนง่ึ ใชใ้ นกรณรี มใหญแ่ ลว้ ไมห่ าย กใ็ หใ้ ชว้ ธิ นี ี้ คอื หาใบไมท้ แ่ี กโ้ รคลมชนดิ ต่าง ๆ มา แล้วน�ำมาต้มให้เดอื ด จากน้นั น�ำน้ำ� ต้มนั้นมารดตวั แล้วกเ็ ข้ากระโจม การน่ึงตัวในอ่างน้�ำ หมายถึง วิธีการรักษาโรคลมอีกแบบหน่ึง ใช้ใน กรณที รี่ ดตวั ดว้ ยนำ้� ทต่ี ม้ เดอื ดดว้ ยใบไมแ้ ลว้ ไมห่ าย กใ็ หใ้ ชว้ ธิ นี ้ี คอื เอานำ้� อนุ่ ใสอ่ า่ ง หรอื ราง แล้วลงไปแช่ในน้ำ� อุ่นนน้ั เพอ่ื ท�ำการน่งึ ให้เหงือ่ ออก จะได้หายจากการเป็น โรคลม การระบายโลหติ ออก หมายถงึ วิธกี ารรกั ษาโรคลมอกี แบบหนึง่ ใช้ใน กรณเี ปน็ โรคลมเสยี ดยอกตามขอ้ โดยสมยั นน้ั ทา่ นพระปลิ นิ ทวจั ฉะ อาพาธเปน็ โรค ลมเสียดยอกตามข้อ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้รักษาด้วย “การระบายโลหติ ออก” แต่ถ้าโรคลมเสียดยอกตามข้อยงั ไม่หาย กใ็ ห้ดูดโลหิตออกด้วยเขาสตั ว์อกี ครัง้ หนง่ึ พระผู้มีพระภาคเจ้าเองก็เคยทรงประชวรด้วยโรคลมในพระอุทรหรือ ท้อง และทรงหายประชวรด้วยการเสวยขา้ วต้มปรงุ ด้วยของ 3 อย่าง คอื งา ขา้ วสาร และถว่ั เขยี ว ทา่ นพระสารบี ตุ รกเ็ คยอาพาธเปน็ ลมเสยี ดทอ้ ง และรกั ษาใหห้ ายไดด้ ว้ ย การ “ฉันกระเทียม” ในอรรถกถาบนั ทกึ วธิ กี ารรกั ษาโรคลมไวอ้ กี วา่ ใหภ้ กิ ษทุ อี่ าพาธดว้ ยโรค ลม เตมิ นำ้� มนั เปลวหมแี ละสกุ ร เปน็ ตน้ ลงในขา้ วยาคทู ตี่ ม้ ดว้ ยนำ�้ ฝาดรากไม้ 5 ชนดิ (นำ้� ฝาดสะเดา นำ�้ ฝาดมกู มนั นำ้� ฝาดขก้ี า นำ�้ ฝาดบอระเพด็ และนำ�้ ฝาดกระถนิ พมิ าน) แล้วดืม่ ข้าวยาคนู ั้น ข้าวยาคูจะช่วยบ�ำบดั โรคได้เพราะมคี วามร้อนสูง 1 1 ติงสกกัณฑวรรณนา ปัตตวรรค สิกขาบทท่ี 3, มก. เล่ม 3 หน้า 1,047. แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 412 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
1.2) วิธีการรกั ษาโรคฝีและโรคฝีดาษ มีภิกษุรูปหน่ึงอาพาธเป็นโรคฝี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษาด้วย “การผ่าตัด” แล้วพอกแผลด้วยยา ใช้ผ้าพันปิดแผลไว้ หากแผลคัน กใ็ ห้ชะล้างแผล ด้วยน�ำ้ แป้งเมล็ดพันธุ์ผักกาด ถ้าแผลช้นื หรือเป็นฝ้า ก็ให้รมแผลด้วยควนั หากมี เน้ืองอกย่ืนออกมา ก็ให้ตัดเนื้องอกนั้นด้วยก้อนเกลือ แล้วใช้น้�ำมันทาสมานแผล และใช้ผ้าเก่าท่ีสะอาด ๆ ซับน้ำ� มนั คร้ังหนึ่งพระเวลัฏฐสีสะซ่ึงเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระอานนท์ อาพาธ เปน็ โรคฝดี าษหรอื อสี กุ อใี ส ผา้ นงุ่ ผา้ หม่ กรงั อยทู่ ต่ี วั เพราะนำ�้ เหลอื งของโรคนน้ั เพอื่ น ภกิ ษจุ งึ เอานำ้� ชบุ ผา้ เหล่านนั้ แลว้ ค่อย ๆ ดงึ ออกมา ต่อมาเมอ่ื พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ทราบจงึ ตรัสว่า “เราอนุญาตเภสชั ชนดิ ผง ส�ำหรบั ภิกษุผู้เป็นฝีก็ดี พพุ องก็ดี สิวก็ดี โรคฝีดาษก็ดี มกี ลนิ่ ตวั แรงก็ดี” 1.3) วิธกี ารรักษาโรคปวดศรี ษะ วิธกี ารรกั ษาโรคศรี ษะในสมยั พทุ ธกาลน้ันมีหลายวิธี เช่น การนตั ถ์ุยา การใช้น�ำ้ มนั ทาศรี ษะ และการสูดควันทีเ่ ป็นยา เป็นต้น ครัง้ หนึ่งภรรยาเศรษฐที ่านหนง่ึ ในเมืองสาเกต ป่วยเป็นโรคปวดศรี ษะ อยู่ 7 ปี นายแพทย์ทิศาปาโมกข์ใหญ่ ๆ หลายคนมารกั ษาแล้ว ก็ไม่สามารถรักษา ใหห้ ายได้ เมอื่ หมอชวี กโกมารภจั จท์ ราบขา่ วจงึ รบั อาสาทจี่ ะรกั ษาภรรยาเศรษฐที ่าน นัน้ เมอื่ ท่านตรวจดูอาการแล้ว จงึ น�ำเนยใสมาหนึง่ ซองมือ หงุ เนยใสนั้นกบั ยาต่าง ๆ แล้วให้ภรรยาเศรษฐีนอนหงายบนเตียง ให้นตั ถุ์ยานัน้ เพราะการนตั ถ์ุยาเพยี งครัง้ เดียวเท่านน้ั ท�ำให้โรคปวดศรี ษะของภรรยาเศรษฐีซ่งึ เป็นมา 7 ปีหายเป็นปลดิ ท้งิ วนั หนง่ึ พระปลิ นิ ทวจั ฉะปวดศรี ษะ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ใหร้ กั ษาดว้ ยการ เอาน�้ำมันทาศีรษะ แต่โรคปวดศีรษะยังไม่หาย พระองค์จึงให้รักษาด้วยการนัตถุ์ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 413 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
โรคปวดศีรษะก็ยังไม่หาย พระผู้มีพระภาคจึงให้รักษาด้วยการ “สูดควันท่ีเป็นยา” เพือ่ ให้ควนั เข้าไประงบั ความปวด 1.4) วิธีการรักษาโรคเบ็ดเตล็ด ภิกษุรูปหน่ึงอาพาธถูกยาแฝด พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รกั ษาด้วยการ ด่มื น้ำ� ทล่ี ะลายจากดนิ ท่ีตดิ ผาลไถ อาพาธถกู ยาแฝด แปลมาจากบาลวี ่า “ฆรทินฺนา- พาโธ” หมายถึง โรคทเ่ี กดิ ข้ึนเพราะน�ำ้ หรอื ยาท่ีหญิงให้ เม่อื ดืม่ กนิ เข้าไปแล้วจะตก อยู่ในอ�ำนาจของหญงิ นัน้ ภาษาในปัจจุบนั เรยี กว่า “ยาเสน่ห์” ค�ำว่า “ผาล” หมายถงึ เหล็กส�ำหรับใช้เป็นอปุ กรณ์ไถดนิ เช่น ไถดนิ ใน ทน่ี าเพื่อปลกู ข้าว เป็นต้น ดนิ ที่ตดิ ผาลไถ จึงเป็นดินท่ตี ิดอยู่กับผาลในขณะท�ำการ ไถ แต่ทงั้ นกี้ ็ไม่มีค�ำอธบิ ายว่า ดนิ ที่ตดิ ผาลไถน้ันช่วยแก้ยาเสน่ห์ได้อย่างไร ภิกษุอีกรปู หนง่ึ อาพาธเป็นโรคท้องผูก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษา ด้วยการด่ืมน�้ำด่าง น�้ำด่าง คือน�้ำที่ได้จากการแช่วัตถุท่ีใช้ท�ำยา เช่น เกลือ ขี้เถ้า ข้ีววั เป็นต้น ปกตินำ้� ด่างท่ีได้จากเกลอื ข้เี ถ้า และข้ีววั เหล่านี้คนในสมัยพทุ ธกาลจะ ใช้ส�ำหรับซักผ้าเพราะจะช่วยกัดสิ่งสกปรกให้หลุดออกได้ ส�ำหรับการใช้รักษาโรค ท้องผูกน้ันเข้าใจว่า มีจุดประสงค์เพ่ือให้น้�ำด่างช่วยกัดก้อนอุจจาระที่จับตัวกันแข็ง ให้อ่อนลงจะได้ขับถ่ายได้สะดวกข้นึ ภิกษุอกี รูปหน่งึ อาพาธเป็นโรคผอมเหลอื ง พระผู้มพี ระภาคจงึ ให้รกั ษา ด้วยการ “ดมื่ ยาผลสมอดองนำ้� มตู รโค” และโรคผอมเหลอื งนีย้ ังสามารถรกั ษาด้วย “เนยใส” ได้เช่นกัน เช่น คร้ังหน่ึงพระเจ้าจัณฑปัชโชตทิ รงพระประชวรด้วยโรคผอม เหลือง หมอชวี กโกมารภจั จ์จึงน�ำเนยใสมาปรุงเป็นยารกั ษาพระองค์จนหาย ภิกษอุ ีกรูปหนง่ึ อาพาธเป็นโรคผวิ หนงั พระผู้มีพระภาคเจ้าจงึ ให้รกั ษา ด้วยการ “ลบู ไลด้ ้วยของหอม” นา่ จะคลา้ ย ๆ กบั การทาแปง้ ป้องกนั ความชน้ื อนั เป็น เหตแุ ห่งโรคผิวหนงั ในปัจจบุ ัน แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 414 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ภกิ ษอุ กี รปู หนง่ึ อาพาธมผี ดผน่ื ขน้ึ ตามตวั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ใหร้ กั ษา ด้วยการ “ด่ืมยาถ่าย” เหตุทีม่ ผี ดผนื่ นน้ั น่าจะเป็นเพราะท้องผกู ไม่ขบั ถ่าย ร่างกาย จงึ พยายามขบั ของเสยี ออกทางผิวหนงั จงึ ท�ำให้เกิดผดผนื่ ขนึ้ ท่านพระปิลินทวจั ฉะเท้าแตก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงให้รักษาด้วยการ ใช้ “ยาทาเท้า” แต่โรคยังไม่หาย พระผู้มีพระภาคเจ้าจงึ ให้ปรงุ นำ้� มนั ทาเท้า ครง้ั หนง่ึ พระสารบี ตุ รอาพาธเปน็ โรครอ้ นในกาย พระมหาโมคคลั ลานะ จึงจดั หายาสมนุ ไพร คือ เหง้าบวั และรากบัวมาถวาย เมือ่ ท่านพระสารีบตุ รฉันเหง้า บวั และรากบวั แล้ว อาพาธร้อนในกายก็หายไป 1.5) การผ่าตัดในสมัยพทุ ธกาล การผ่าตัดในสมัยพุทธกาลเม่ือ 2,500 กว่าปีท่ีผ่านมานั้น มีตัวอย่าง บันทกึ ไว้ในพระไตรปิฎก 2 เรือ่ ง คอื การผ่าตัดเศรษฐีชาวเมอื งราชคฤห์ และการ ผ่าตดั บตุ รเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี โดยแพทย์ผู้ท�ำการผ่าตัด คอื หมอชีวกโกมาร- ภจั จ์ 1.5.1) การผ่าตัดเศรษฐชี าวเมืองราชคฤห์ สมยั นนั้ เศรษฐชี าวพระนครราชคฤหค์ นหนง่ึ ปว่ ยเปน็ โรคปวดศรี ษะอยู่ 7 ปี นายแพทย์ทิศาปาโมกข์ใหญ่ ๆ หลายคน มารกั ษากไ็ ม่สามารถรักษาให้หายได้ แพทย์บางพวกได้ท�ำนายไว้ว่า เศรษฐีคนนี้จักตายในวันท่ี 5 บางพวกท�ำนายไว้ว่า เศรษฐจี กั ตายในวนั ที่ 7 พระเจา้ พมิ พสิ ารจงึ ใหห้ มอชวี กโกมารภจั จไ์ ปชว่ ยรกั ษาเศรษฐี ท่านน้ี เมื่อหมอชีวกตรวจดูอาการแล้ว จึงให้เศรษฐีนอนบนเตียง มัดไว้กับ เตยี ง ถลกหนังศีรษะ เปิดรอยประสานกะโหลกศีรษะ น�ำตวั สัตว์ทอ่ี ยู่ในศรี ษะของ เศรษฐีออกมาสองตวั แล้วแสดงแก่ประชาชนว่า จงดูสตั ว์ 2 ตวั นี้ เลก็ ตวั หนงึ่ ใหญ่ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 415 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ตวั หนง่ึ โดยสตั วต์ วั ใหญจ่ ะเจาะกนิ มนั สมองของเศรษฐใี นวนั ท่ี 5 เมอ่ื มนั กนิ มนั สมอง จนหมดเศรษฐกี จ็ กั ตาย สตั วต์ วั เลก็ จะเจาะกนิ มนั สมองของเศรษฐใี นวนั ที่ 7 เมอื่ มนั กนิ มนั สมองจนหมดเศรษฐีกจ็ กั ตายเช่นกัน เมอื่ หมอชวี กน�ำสัตว์ 2 ตัวน้นั ออกแล้ว จึงปิดแนวประสานกะโหลกศีรษะ เย็บหนังศีรษะ ทายาสมานแผล ให้เศรษฐีนอน พักฟื้นอยู่ 3 สปั ดาห์จึงหายป่วย 1.5.2) การผ่าตัดบตุ รเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี การผ่าตัดอีกเรอ่ื งหนงึ่ คอื ในสมยั น้ัน บตุ รเศรษฐีชาวเมอื งพาราณสี คนหนงึ่ ไดป้ ว่ ยเปน็ โรคเนอ้ื งอกทลี่ �ำไส้ ท�ำใหข้ า้ วยาคทู ดี่ ม่ื และขา้ วสวยทร่ี บั ประทาน ไม่ย่อย อุจจาระและปัสสาวะออกไม่สะดวก ซูบผอม เศร้าหมอง ตัวเหลืองข้นึ ๆ สะพร่ังด้วยเส้นเอน็ หมอชวี กจึงช่วยรักษาบุตรเศรษฐีนัน้ เมอ่ื ได้ตรวจดอู าการแล้ว จึงเชิญ ประชาชนใหอ้ อกไปขา้ งนอก ขงึ มา่ น มดั บตุ รเศรษฐไี วก้ บั เสา แลว้ ท�ำการผา่ หนงั ทอ้ ง ตดั เนอื้ งอกในล�ำไสน้ นั้ ออก สอดใสล่ �ำไสก้ ลบั ไวเ้ หมอื นเดมิ เยบ็ หนงั ทอ้ ง ทายาสมาน- แผล ต่อมาไม่นานบุตรเศรษฐี ก็หายป่วยเป็นอัศจรรย์ 1.6) วธิ กี ารขับพษิ ในสมัยพทุ ธกาล วิธีการขับพิษออกจากร่างกายในสมัยพุทธกาลตามท่ีบันทึกไว้ในพระ- ไตรปิฎกนนั้ มี 3 วิธีคือ การขบั พษิ ด้วยการขับถ่าย การขบั พษิ ด้วยการเดนิ จงกรม และการขบั พษิ ด้วยการอบร่างกายในเรอื นไฟ ในแตล่ ะวธิ กี ารมคี วามเป็นมาและราย ละเอยี ดดงั น้ี 1.6.1) การขับพษิ ด้วยการขับถ่าย คร้ังหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้ารับส่ังกับพระอานนท์ว่า กายของตถาคต หมักหมมไปด้วยโทษ ตถาคตต้องการจะฉันยาถ่าย พระอานนท์จงึ แจ้งเรอื่ งน้ันแก่ แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 416 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
หมอชีวกโกมารภัจจ์ ๆ คิดว่า การท่ีเราจะพึงทูลถวายพระโอสถถ่ายที่หยาบแด่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ นนั้ ไมส่ มควรเลย เราควรอบกา้ นอบุ ล 3 กา้ นดว้ ยยาตา่ ง ๆ แลว้ ทลู ถวายพระตถาคต ท่านจึงอบก้านอุบล 3 ก้านด้วยยาต่าง ๆ แล้วน�ำไปถวายพระผู้มี- พระภาคเจ้า พร้อมท้งั กราบทูลว่า เม่อื พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสูดก้านอบุ ล 1 ก้าน จะท�ำให้พระองค์ถ่ายถงึ 10 ครงั้ เม่ือทรงสดู ก้านอุบลครบทง้ั 3 ก้าน ก็จะทรงถ่าย ถึง 30 คร้งั เมอ่ื ทา่ นถวายพระโอสถถา่ ยแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเสรจ็ แลว้ ขณะเดนิ กลบั ไปถึงนอกซุ้มประตูท่านนึกข้ึนได้ว่า พระกายของพระตถาคตหมักหมมไปด้วยโทษ จะทรงถ่ายไม่ครบ 30 ครัง้ แต่เมือ่ ทรงถ่ายครงั้ ที่ 29 แล้ว ได้สรงพระกาย ก็จะทรง ถ่ายอีกครั้งหนง่ึ จึงจะครบ 30 ครง้ั พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบความคดิ นน้ั ของชวี กโกมารภจั จ์ พระองคจ์ งึ ทรงปฏบิ ัตติ ามนัน้ จึงถ่ายครบ 30 ครั้ง เมอ่ื ทรงถ่ายครบแล้ว ชวี กโกมารภจั จ์ได้ กราบทลู วา่ ชว่ งนพ้ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไมค่ วรเสวยพระกระยาหารทปี่ รงุ ดว้ ยนำ�้ ตม้ ผกั ต่าง ๆ จนกว่าจะมีพระกายเป็นปกติ ต่อมาไม่นานพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็หายเป็นปกติ 1.6.2) การขับพิษด้วยการเดนิ จงกรม สมัยนั้น ทายกทายิกาในพระนครเวสาลีจัดปรุงอาหารประณีตข้ึนตาม ล�ำดบั ภกิ ษุท้ังหลายฉันอาหารนนั้ แล้ว มโี ทษส่ังสมในร่างกายมาก จึงมอี าพาธมาก หมอชีวกโกมารภัจจ์เห็นภิกษุมีอาพาธมาก จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มี- พระภาคเจ้า กราบทูลว่า บัดนี้ ภิกษทุ งั้ หลาย มีโทษส่ังสมในร่างกายมาก ท�ำให้มี อาพาธมาก ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดทรงอนุญาต “ท่จี งกรม” และ “เรอื นไฟ” สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 417 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เถิด เมือ่ เป็นเช่นนี้ ภกิ ษทุ ้งั หลายจักมอี าพาธน้อย พระผู้มพี ระภาคเจ้าจงึ ตรัสว่า ดู ก่อนภิกษุทง้ั หลาย “เราอนุญาตทจี่ งกรมและเรอื นไฟ” ค�ำวา่ “จงกรม” หมายถงึ การเดนิ กลบั ไปกลบั มาโดยมสี ตกิ �ำกบั จงกรม จงึ เปน็ การท�ำสมาธใิ นทา่ เดนิ นน่ั เอง สว่ น “ทจี่ งกรม” หมายถงึ สถานทซ่ี งึ่ ไดจ้ ดั เตรยี ม ไว้ส�ำหรบั การเดนิ จงกรมของพระภกิ ษุ การจงกรมถอื เปน็ การออกก�ำลงั กายวธิ หี นง่ึ เพราะตอ้ งเดนิ กลบั ไปกลบั มาหลายรอบ ท�ำให้ร่างกายได้ออกก�ำลังเป็นเหตุให้เหง่อื ออก พิษต่าง ๆ ทีส่ ะสมอยู่ ในร่างกายกจ็ ะถกู ขับออกด้วยเหงื่อน้ัน 1.6.3) การขบั พิษด้วยการอบร่างกายในเรือนไฟ เรือนไฟ หมายถึง โรงเรือนส�ำหรับอบร่างกายของพระภิกษุในสมัย พทุ ธกาล การอบร่างกายก็เป็นการขับพษิ อกี วิธหี นงึ่ เพราะการอบจะท�ำให้เหงอ่ื ออก มาก พษิ ในร่างกายก็จะถูกขบั ออกมาพร้อมกับเหงื่อ เรอื นไฟสร้างเป็นอาคาร มฝี าผนงั โดยรอบ มีประตูเข้าออก 1 ประตู ภายในเรือนไฟมี “เตาไฟ” ส�ำหรับจุดไฟเพ่ืออบร่างกาย ถ้าเรอื นมขี นาดใหญ่จะตั้ง เตาไฟไว้ตรงกลาง ถ้าเรอื นไฟมขี นาดเลก็ จะตงั้ เตาไฟไว้ข้างใดข้างหนง่ึ และมปี ล่อง ควันอยู่บนหลงั คาเพอ่ื ระบายควันออก ภายในเรอื นไฟยงั มี “อ่างนำ้� ” หรือ “รางน�ำ้ ” เพ่อื ให้ความชุ่มเย็น ช่วย ลดความร้อนจากเตาไฟ ในบรเิ วณรอบ ๆ เตาไฟกจ็ ะมี “ตัง่ ” ส�ำหรบั ให้พระภกิ ษุนัง่ เพอื่ อบร่างกาย ในบรเิ วณใกล้เรอื นไฟพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายงั อนุญาตให้สร้าง “ศาลา เรือนไฟ” “บ่อน�้ำ” และ “สระน�ำ้ ” ไว้ส�ำหรบั ให้พระภกิ ษปุ ฏิบตั กิ ิจหลังจากออกจาก เรอื นไฟแลว้ เชน่ ซกั จวี ร ตากจวี ร และสรงนำ้� เปน็ ตน้ โดยสระนำ้� นน้ั จะเปน็ ทสี่ �ำหรบั ให้พระภกิ ษลุ งอาบช�ำระล้างร่างกายหลงั จากออกจากเรอื นไฟ แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 418 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
2) การรักษาจติ ใจด้วยธรรมโอสถ จากทีก่ ล่าวแล้วว่า มนษุ ย์และสตั ว์ทั้งหลายน้นั ประกอบด้วย “ร่างกาย กบั จติ ใจ” ซงึ่ สมั พนั ธก์ นั อาศยั ซงึ่ กนั และกนั สง่ ผลกระทบซงึ่ กนั และกนั เมอื่ รา่ งกาย เกิดอาพาธหรือเจ็บป่วย กจ็ ะส่งผลถึงจิตใจด้วย หรอื เม่ือไม่สบายใจหรือป่วยทางใจ ก็จะส่งผลถงึ ร่างกายด้วยเช่นกัน ดงั นน้ั ในการรกั ษาจึงจ�ำเป็นต้องรกั ษาท้ัง 2 ส่วน คอื ทัง้ กายและใจ อาพาธนนั้ ๆ จงึ จะหายได้อย่างรวดเรว็ และท่ีส�ำคัญสาเหตุแห่งการอาพาธข้อสุดท้าย คือ วิบากกรรมน้ัน เป็นการอาพาธเพราะกรรมชั่วที่ท�ำไว้ในอดีตชาติหรือในปัจจุบันชาติมาส่งผล เมื่อ ท�ำความช่ัวกจ็ ะเกิดบาป บาปนน้ั จะถูกเก็บไว้ในใจและรอคอยเวลาส่งผลให้เรามอี นั เป็นไปต่าง ๆ อาพาธอนั เกิดจากบาปนจ้ี ะต้องแก้ด้วยธรรมโอสถ คอื การส่ังสมบุญ จึงจะหายได้ เพราะบญุ จะไปตดั รอดบาปน้ันให้เจือจางลงจนหมดก�ำลังส่งผล อุปมา บุญเหมือนกับน�้ำ บาปเปรียบเหมือนกับเกลือที่ใส่ไว้ในแก้ว เม่ือเราเติมน้�ำลงไปใน แก้วมาก ๆ ความเค็มของเกลอื กจ็ ะเจอื จางลงจนหมดฤทธิ์เคม็ ในท่ีสุด ส�ำหรับวธิ กี ารรกั ษาจติ ใจด้วยธรรมโอสถ คือ การสง่ั สมบุญน้ี สามารถ ท�ำได้หลายวิธี เช่น การให้ทาน รักษาศีล สวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนา การท�ำ สจั จกริ ยิ า และฟังธรรม เป็นต้น อาหารและยาเป็นเครื่องหล่อเลยี้ งและบ�ำบัดรกั ษา ร่างกายฉนั ใด ธรรมโอสถ คอื การสงั่ สมบุญก็เป็นเครื่องหล่อเล้ียงและบ�ำบดั รกั ษา จิตใจฉันน้ัน 2.1) การรักษาอาพาธด้วยการฟังธรรม การฟงั ธรรมเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ บญุ วธิ หี นง่ึ เรยี กวา่ “ธมั มสั สวนมยั ” บญุ จาก การฟังธรรมนี้สามารถรกั ษาอาพาธได้ ซงึ่ มีตัวอย่างการรักษาด้วยวิธีนีจ้ �ำนวนมาก สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 419 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ครัง้ หน่งึ พระมหากสั สปเถระอาพาธหนัก พระผู้มพี ระภาคเสด็จเข้าไป หาท่านและทรงแสดงธรรมเรื่องโพชฌงค์ 7 ให้ท่านฟังว่า “กัสสปะ โพชฌงค์ 7 ประการนเ้ี รากลา่ วไวช้ อบแลว้ บคุ คลเจรญิ แลว้ ท�ำใหม้ ากแลว้ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ความ รู้ยง่ิ เพื่อตรสั รู้ เพื่อนพิ พาน ...” เมอื่ พระผู้มพี ระภาคแสดงธรรมจบแล้ว พระมหากสั สปเถระ มใี จยนิ ดี ชน่ื ชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า และหายขาดจากอาพาธน้ันเป็นอัศจรรย์ 1 พระมหาโมคคลั ลานะ และพระคริ มิ านนท์ กเ็ คยอาพาธเชน่ นเี้ หมอื นกนั และหายอาพาธเพราะได้ฟังธรรมเร่อื งโพชฌงค์ 7 และสญั ญา 10 ตามล�ำดบั พระผู้ มีพระภาคเจ้าเองกเ็ คยหายจากพระประชวรเพราะได้ฟังธรรมเรือ่ งโพชฌงค์ 7 เช่น กนั นอกจากน้ยี ังมตี ัวอย่างอ่นื ๆ อกี ซึ่งบนั ทึกไว้ในพระสูตรต่าง ๆ เช่น ในปฐม- เคลญั ญสตู ร วกั กลสิ ตู ร ปฐมคลิ านสตู ร คลิ านสตู ร อนาถปณิ ฑโิ กวาทสตู ร เปน็ ตน้ 2.2) การรักษาอาพาธด้วยการเจรญิ สมาธภิ าวนา การเจรญิ สมาธภิ าวนาเปน็ ทางมาแหง่ บญุ อกี วธิ หี นงึ่ เรยี กวา่ “ภาวนามยั ” ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ วธิ ที ที่ �ำใหไ้ ดร้ บั บญุ มากทส่ี ดุ และบญุ ทเี่ กดิ ขน้ึ นช้ี ว่ ยรกั ษาอาพาธใหห้ าย ได้เช่นกัน ดงั ตวั อย่างท่ีบนั ทึกไว้ในกัมมวปิ ากชสตู รดงั นี้ ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อาพาธหนกั เพราะวบิ ากบาปกรรมในอดตี ทา่ นจงึ ระงบั การ อาพาธด้วยการนัง่ สมาธิ ต้ังกายตรง อดกล้ันทกุ ขเวทนาท่เี ผด็ ร้อน อยู่ในทไ่ี ม่ไกล จากพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทอดพระเนตรเหน็ ภกิ ษรุ ปู นนั้ จงึ ทรงเปลง่ อทุ านวา่ “ภกิ ษผุ ลู้ ะกรรมทงั้ หมดได.้ .. ด�ำรงมนั่ คงที่ กไ็ มม่ ปี ระโยชนอ์ ะไรทจ่ี ะบอกใหค้ นชว่ ย เยียวยา” 2 1 ปฐมคิลานสูตร, สังยุตตนิกาย มหาวาวรรค, มจร. เล่ม 19 ข้อ 195 หน้า 128. และ ทุติยคลิ านสตู ร, สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค, มจร. เล่ม 19 ข้อ 196 หน้า 129-131. 2 กัมมวิปากชสตู ร, ขทุ ทกนิกาย อุทาน, มจร. เล่ม 25 ข้อ 21 หน้า 209. แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 420 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็เคยใช้การเจริญสมาธิภาวนารักษาอาการ ประชวรของพระองค์เช่นกัน โดยครั้งหนึ่งพระองค์ได้เกิดพระประชวรรุนแรงจวน เจยี นปรนิ พิ พาน ขณะนนั้ ทรงพระด�ำรวิ า่ “...เราควรใชค้ วามเพยี รขบั ไลอ่ าพาธนี้ ด�ำรง ชวี ติ สงั ขารอยตู่ อ่ ไป” ความเพยี ร ในทน่ี คี้ อื การเจรญิ สมาธภิ าวนาเพอ่ื เขา้ ฌานสมาบตั ิ นั่นเอง เม่ือพระผู้มีพระภาคทรงใช้ความเพียรขับไล่อาการพระประชวรแล้วอาการ พระประชวรจึงสงบลงและหายในท่สี ดุ 2.3) การรักษาอาพาธด้วยการท�ำสัจจกิรยิ า การท�ำสัจจกริ ิยา หมายถึง การนกึ ถงึ บุญ หรือความจรงิ ท่เี คยท�ำไว้ จริงของตนเองหรือของบุคคลที่ต้องการจะบ�ำบัดรักษา แล้วกล่าวสัจจวาจาโดยอ้าง ถงึ บุญ หรอื ความจริงน้ันว่า “จงช่วยให้ตนหรอื บคุ คลที่อาพาธ หายจากอาพาธน้นั ” ซึ่งบุญท่ีได้อ้างถึงน้ันรวมกับบุญจากการรักษาศีลคือ กล่าวสัจจวาจาละการพูดเท็จ ในขณะนั้น จะช่วยให้หายจากการอาพาธได้เป็นอศั จรรย์ ดังตวั อย่างต่อไปน้ี ในอดตี กาล พระโพธสิ ตั วบ์ วชเปน็ ดาบสอยใู่ นปา่ หมิ พานต์ วนั หนงึ่ ทา่ น ออกจากป่าเพ่อื ไปเย่ียมสหายคนหนึง่ ชอื่ มัณฑพั ยะ ในวันนน้ั เองบตุ รของท่านมณั ฑพั ยะถูกอสรพิษตัวหนึ่งกดั จนสลบล้ม ลง มารดาและบิดาจึงพาบุตรไปให้พระโพธิสัตว์ช่วยรักษา พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “ดีแล้วเราจกั ท�ำสัจจกริ ิยา” แล้ววางมือลงทศ่ี รี ษะกุมารน้ันพร้อมกับกล่าวคาถาว่า “ต้ังแต่บวชมาจนถึงปัจจุบัน เราได้มีจิตเล่ือมใสในการประพฤติ พรหมจรรย์อยู่เพยี ง 7 วันเท่านน้ั หลังจากนน้ั แม้เราจะไม่มีความใคร่บรรพชา แต่ ก็ทนอยู่มาได้ถึง 50 กว่าปี ด้วยความสตั ย์อนั น้ี ขอความสวสั ดจี งมแี ก่กมุ าร พษิ จง คลาย กุมารน้จี งรอดชวี ิตเถดิ ” สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 421 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พร้อมกับสัจจกิริยาน้ัน พิษในกายตอนบนของกุมารก็ตกเข้าแผ่นดิน หมด กมุ ารนนั้ ลมื นยั น์ตาขนึ้ ดมู ารดาบดิ าเรยี กวา่ “แม”่ แล้วพลกิ นอน พระโพธสิ ตั ว์ จึงกล่าวกับสหายว่า ก�ำลังของเราท�ำได้เท่านั้น ท่านจงท�ำสัจจกิริยาบ้างเถิด มัณฑัพยะรับค�ำแล้ว วางมอื ลงทหี่ น้าอกของบุตร แล้วได้กล่าวคาถาว่า “ในเวลาทส่ี มณพราหมณม์ าขอพกั อยทู่ บี่ า้ นของเรา บางครง้ั เราไมพ่ อใจ จะให้พกั เลย แต่เราก็ตัดใจให้พักได้ ด้วยความสตั ย์น้ี ขอความสวัสดี จงมแี ก่บุตร ของเรา พษิ จงคลายออก บตุ รของเราจงรอดชีวติ เถดิ ” เม่ือบิดาท�ำสัจจกิริยาแล้ว พิษในกายของบุตรเหนือสะเอวก็ตกเข้า แผน่ ดนิ กมุ ารลกุ ขน้ึ นง่ั ไดแ้ ตย่ งั ยนื ไมไ่ ด้ บดิ าจงึ กลา่ วกะมารดาของกมุ ารนนั้ วา่ ทรี่ กั เจา้ จงท�ำสจั จกริ ยิ าใหบ้ ตุ รลกุ ขน้ึ เดนิ ได้ มารดากลา่ ววา่ ความสตั ยข์ องฉนั กม็ อี ยอู่ ยา่ ง หนึ่งแต่ไม่อาจกล่าวต่อหน้าท่าน สามีกล่าวว่า ถึงอย่างไรก็กล่าวไปเถอะที่รัก นาง รับค�ำแล้วจงึ ได้กล่าวคาถาว่า “ลกู รัก อสรพิษทีอ่ อกจากโพรงกัดเจ้า ไม่เป็นทรี่ กั ของแม่ฉันใด บดิ า ของเจา้ กไ็ มเ่ ปน็ ทรี่ กั ของแมฉ่ นั นน้ั ดว้ ยความสตั ยน์ ้ี ขอความสวสั ดี จงมแี กบ่ ตุ รของ เรา พษิ จงคลายออก บตุ รของเรา จงรอดชีวิตเถิด” พร้อมกับสัจจกิริยานนั้ เอง พิษ ท้งั หมดกต็ กลงเข้าแผ่นดิน กมุ ารนัน้ จงึ ลุกข้นึ ยนื และเดินได้เป็นปกติ 1 เรอื่ งการรกั ษาอาพาธดว้ ยการท�ำสจั จกริ ยิ านนั้ ยงั มอี กี หลายตวั อยา่ ง ซงึ่ ผู้อ่านสามารถศกึ ษาเพ่มิ เตมิ ได้ในพระไตรปิฎก การรกั ษาอาพาธด้วยวิธีนจ้ี ะให้ได้ผลดังตวั อย่างทกี่ ล่าวมานนั้ มปี ัจจยั ส�ำคญั อยู่อย่างน้อย 2 ประการ คอื สัจจบารมขี องผู้ท�ำสจั จกริ ยิ ามมี ากน้อยเพยี งใด และบญุ บาปในตวั ของผอู้ าพาธ หากสจั จบารมขี องผทู้ �ำสจั จกริ ยิ ามมี าก บญุ ในตวั ของ 1 มัณฑพั ยชาดก, ขุททกนิกาย ชาดก, มก. เล่ม 59 หน้า 831-841. แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 422 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ผู้อาพาธมีมาก และบาปที่ส่งผลให้เกดิ การอาพาธเบาบางแล้ว การรกั ษาอาพาธด้วย วธิ ีน้กี จ็ ะส�ำเร็จผลเป็นอศั จรรย์ แต่ถ้าผู้ให้การรกั ษามีสัจจบารมีน้อย บุญในตวั ของ ผู้อาพาธน้อย แต่บาปท่ีส่งผลให้อาพาธยังมีหนาแน่น การรักษาด้วยวิธีน้ีก็ยากจะ ส�ำเรจ็ ผล 2.4) การรักษาอาพาธด้วยบุญสร้างและกวาดโรงฉนั ครงั้ หนง่ึ พระอนรุ ทุ ธเถระไดไ้ ปเมอื งกบลิ พสั ดพ์ุ รอ้ มดว้ ยภกิ ษุ 500 รปู พระญาติท้ังหลายของท่านจึงพากันมากราบพระเถระ เว้นแต่พระน้องนางชื่อโรหิณี พระเถระถามพวกพระญาตวิ ่า พระนางโรหณิ ีอยู่ทไ่ี หน ? พวกพระญาตกิ ลา่ ววา่ พระนางโรหณิ ี อยใู่ นต�ำหนกั พระนางอาพาธเปน็ “โรคผิวหนงั ” ไม่ประสงค์จะมาเพราะทรงละอายทีเ่ ป็นโรคนน้ั พระเถระจึงแนะน�ำให้พระนางท�ำบุญสร้างโรงฉนั เมอื่ สร้างเสร็จแล้ว ก็ ให้กวาดพ้ืนโรงฉัน ปูอาสนะ และต้ังหม้อน�ำ้ ดมื่ ไว้ส�ำหรบั พระภิกษุเสมอ ๆ พระนาง โรหิณีกไ็ ด้ปฏิบตั ติ ามนน้ั โรคผวิ หนงั ของพระนางจึงราบลง ตอ่ มาพระนางไดน้ มิ นตภ์ กิ ษสุ งฆม์ พี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ ให้ มาฉันภัตตาหาร ในครั้งน้ันพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถึงบุรพกรรมของพระนางโรหิณี ว่า ในอดีตพระนางได้น�ำผงเต่าร้างโปรยใส่หญงิ คนหน่ึง สรีระของหญงิ นน้ั จึงพพุ อง ขึ้น กรรมน้ันจึงส่งผลให้พระนางเป็นโรคผิวหนังในชาตินี้ เม่ือพระพุทธองค์แสดง ธรรมจบแลว้ พระนางโรหณิ กี ด็ �ำรงอยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล สรรี ะของพระนางไดม้ วี รรณะ ดจุ ทองค�ำ โรคผิวหนังจึงหายเป็นปลิดทิง้ ในบดั น้ัน การรักษาอาพาธด้วยการสั่งสมบุญด้วยวธิ อี น่ื ๆ ยงั มีอีกหลายประการ ซง่ึ ผู้อ่านสามารถค้นคว้าเพิม่ เติมได้ในพระไตรปิฎก สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 423 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
11.3.6 การพยาบาลผู้อาพาธ ในการพยาบาลผอู้ าพาธนนั้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ คณุ สมบตั ขิ องผเู้ หมาะ สมที่จะพยาบาลไว้ 5 ประการ และพระองค์ยังตรัสถึงผู้อาพาธที่พยาบาลง่ายและ พยาบาลยากไว้ด้วย เพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติตนของผู้พยาบาลและผู้อาพาธ ทั้งหลาย 1) คุณสมบัตขิ องผู้พยาบาลทีด่ ี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุผู้พยาบาลที่ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ ควรพยาบาลผู้อาพาธ ธรรม 5 ประการ มีดงั น้ี คอื (1) สามารถจัดยา (2) ทราบสงิ่ ทส่ี ปั ปายะ (เปน็ ทส่ี บาย) และสงิ่ ทไี่ ม่สปั ปายะ (ไม่เปน็ ทสี่ บาย) ส�ำหรับผู้อาพาธ เช่น ทราบว่าอาหารใดไม่แสลงต่อโรค กน็ �ำอาหารนนั้ มาให้ผู้ป่วยรบั ประทาน ส่วนอาหารใดแสลงต่อโรคก็ไม่น�ำมาให้ผู้ป่วย รับประทาน เป็นต้น (3) มีจิตเมตตาพยาบาล ไม่เหน็ แก่ของรางวัล (4) ไม่รังเกยี จทีจ่ ะน�ำอุจจาระ ปัสสาวะ อาเจยี น น้ำ� เลอื ด น้ำ� หนอง หรือ น้ำ� ลายออกไปทง้ิ (5) สามารถชแ้ี จงใหผ้ ปู้ ว่ ยเหน็ ชดั ชวนใจใหอ้ ยากรบั เอาไปปฏบิ ตั ิ เรา้ ใจให้ อาจหาญ แกล้วกล้า ปลอบชโลมใจ ให้สดชื่น ร่าเรงิ ด้วย “ธรรมกี ถา (การเล่าเรื่องธรรมะ)” ตามกาลอันควร 1 ท้ัง 5 ประการน้ี เป็นธรรมของผู้ควรพยาบาลผู้อาพาธ ส่วนผู้ใดที่ ประกอบด้วยธรรมตรงข้ามกบั 5 ประการน้ี กไ็ ม่สมควรพยาบาลผู้อาพาธ 1 ทตุ ิยอปุ ัฏฐากสูตร, องั คุตตรนกิ าย ปัญจกนบิ าต, มจร. เล่ม 22 ข้อ 124 หน้า 204-205. แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 424 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
จะเหน็ วา่ ในการพยาบาลผปู้ ว่ ยนน้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กใ็ หพ้ ยาบาลทงั้ รา่ งกายและจติ ใจเชน่ กนั คอื ขอ้ 1-4 เปน็ การพยาบาลทางดา้ นรา่ งกาย สว่ นขอ้ 5 คอื การแสดงธรรมกี ถานน้ั เป็นการพยาบาลจติ ใจผู้ป่วยด้วยธรรมโอสถ 2) ผู้อาพาธทพ่ี ยาบาลได้ง่าย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ผู้อาพาธที่ประกอบด้วย ธรรม 5 ประการ เป็นผู้พยาบาลได้ง่าย ธรรม 5 ประการมีดงั น้ี (1) ท�ำสง่ิ ทส่ี ปั ปายะแกต่ น เชน่ รบั ประทานอาหารทไ่ี มแ่ สลงตอ่ โรค เปน็ ตน้ (2) รู้จักประมาณในส่ิงทสี่ ัปปายะ เช่น รู้จักประมาณในการรับประทานอาหาร (3) รับประทานยา (4) บอกอาพาธตามความเป็นจริงแก่ผู้พยาบาล (5) เป็นผู้อดกลั้นต่อทกุ ขเวทนาที่เกดิ ข้ึน ท้ัง 5 ประการนี้เป็นธรรมของผู้อาพาธท่ีพยาบาลได้ง่าย ส่วนผู้ใดที่ ประกอบด้วยธรรมทต่ี รงข้ามกับ 5 ประการนถ้ี ือว่าเป็นผู้อาพาธท่พี ยาบาลได้ยาก 11.4 เปรยี บเทียบแพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก กบั การแพทย์ยคุ ปัจจุบัน การแพทยย์ คุ ปจั จบุ นั หมายถงึ การแพทยท์ งั้ หมดทใ่ี ชก้ นั อยใู่ นปจั จบุ นั ทงั้ การ แพทยต์ ะวนั ตกหรอื ทร่ี จู้ กั กนั ในนามการแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั และการแพทยท์ างเลอื ก ต่าง ๆ ทงั้ 5 กลุ่ม ท่ีกล่าวไว้ในหวั ข้อหลักการการแพทย์เบ้อื งต้นในบทที่ 2 การ เปรยี บเทียบน้ันจะเปรยี บเทยี บใน 3 ประเด็น คือ แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกกับ การแพทยแ์ บบองคร์ วม เปรยี บเทยี บการดแู ลรกั ษาสขุ ภาพรา่ งกาย และเปรยี บเทยี บ การดแู ลรกั ษาสุขภาพจติ ใจ ดงั นี้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 425 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
11.4.1 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกกับการแพทย์แบบองค์รวม กระบวนทัศน์ของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้กล่าวไว้ในบทท่ี 2 แบ่งเป็น 2 ทัศนะ คอื วตั ถุนิยมเชิงจักรกล (Mechanical Materialism) และทศั นะว่าด้วย องค์รวม (Holism) โดยทัศนะแรก คอื วตั ถุนยิ มเชิงจักรกล มองมนษุ ย์เป็นเหมือนเคร่อื งยนต์ กลไก สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ฟิสกิ ส์และเคมี ชวี ติ มนษุ ยถ์ กู แบง่ ออกเป็นสว่ น ๆ เมอ่ื ส่วนใดช�ำรดุ หรอื สกึ หรอกจ็ ะ ถกู แยกสว่ นออกมาซอ่ มใหก้ ลบั คนื สภู่ าวะปกตเิ ฉพาะสว่ นนนั้ ๆ ทศั นะนแี้ บง่ มนษุ ย์ ออกเป็น 2 ส่วน คอื ร่างกาย และจติ ใจ แต่ไม่ได้มองว่า 2 ส่วนนีส้ ัมพนั ธ์กนั และ แม้ทัศนะนี้จะกล่าวถึงเร่ืองจิตใจแต่ก็เป็นจิตใจแบบหุ่นยนต์ที่ปราศจากความรู้สึก นกึ คดิ เจตนา และจดุ ประสงค์ สว่ นทศั นะทส่ี อง คอื ทศั นะวา่ ดว้ ยองคร์ วม ทศั นะนเี้ ชอ่ื วา่ ชวี ติ มนษุ ยป์ ระกอบ ด้วย 2 ส่วน คือ ร่างกายและจติ ใจเช่นกัน แต่มองว่าทั้งสองส่วนนีเ้ ป็นของเนือ่ งกัน มิได้แยกเป็นอิสระจากกัน การแยกก็เพอ่ื สะดวกในทางปฏบิ ตั ิ แต่หลังจากแยกแล้ว จะมกี ารโยงสว่ นตา่ ง ๆ เขา้ หากนั และมองวา่ ชวี ติ มอิ าจเขา้ ใจไดด้ ว้ ยวธิ กี ารทางฟสิ กิ ส์ เคมเี ทา่ นน้ั โดยเฉพาะเรอื่ งจติ ใจไมอ่ าจอธบิ ายไดด้ ว้ ยวธิ กี ารเหลา่ น้ี สว่ นการรกั ษาจะ มองเฉพาะส่วนไม่ได้แต่ต้องมองท้งั ระบบ เมอ่ื น�ำหลกั แพทยศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ กมาเปรยี บเทยี บกบั กระบวนทศั นข์ อง การแพทย์แผนปัจจุบันแล้วพบว่า หลักแพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎกมีความ สอดคลอ้ งกบั กระบวนทศั นว์ า่ ดว้ ยองคร์ วมในประเดน็ ทว่ี า่ รา่ งกายกบั จติ ใจสมั พนั ธ์ กัน แต่ทั้งน้ีหลักการแพทย์ในพระพทุ ธศาสนามีความลึกซ้ึงกว่าเพราะมีความเข้าใจ เรื่องจิตใจอย่างกระจ่างชัด และได้กล่าวถึงเรื่องบาปท่ีถูกเก็บไว้ในใจอันเป็นสาเหตุ ส�ำคญั อยา่ งหนง่ึ ทที่ �ำใหเ้ กดิ การเจบ็ ปว่ ยทง้ั ทางรา่ งกายและทางจติ ใจ ซง่ึ การรกั ษานนั้ แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 426 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
จะตอ้ งใชธ้ รรมโอสถ คอื บญุ เปน็ เครอื่ งช�ำระลา้ งบาปนน้ั ออกไปจงึ จะท�ำใหผ้ ปู้ ว่ ยหาย จากโรคได้ 11.4.2 เปรียบเทยี บการดแู ลรกั ษาสุขภาพร่างกาย ในหวั ข้อนจี้ ะเปรยี บเทยี บ 4 ประเดน็ คอื ดลุ ยภาพบ�ำบดั ในสมยั พทุ ธกาลกบั ยคุ ปจั จบุ นั เปรยี บเทยี บยาในสมยั พทุ ธกาลกบั ยคุ ปจั จบุ นั การผา่ ตดั ในสมยั พทุ ธกาล กับการผ่าตัดในปัจจุบนั และการขบั พษิ ในสมัยพทุ ธกาลกบั ยุคปัจจบุ นั ดงั นี้ 1) ดลุ ยภาพบ�ำบดั ในสมัยพทุ ธกาลกบั ยุคปัจจุบนั จากทกี่ ลา่ วถงึ สาเหตขุ องโรคประการท่ี 6 วา่ โรคเกดิ แตก่ ารผลดั เปลย่ี น อริ ิยาบถไม่สม่ำ� เสมอ เช่น นง่ั นานเกินไป เป็นต้น พระผู้มพี ระภาคเจ้าและพระภิกษุ ในสมยั พทุ ธกาลจงึ ปอ้ งกนั โรคดว้ ยการเปลยี่ นอริ ยิ าบถใหส้ มำ�่ เสมอ และกจิ วตั รของ พระภกิ ษมุ หี ลากหลาย จงึ ท�ำใหก้ ารผลดั เปลยี่ นอริ ยิ าบถเปน็ ไปอยา่ งสมดลุ คอื มที งั้ นงั่ สมาธิ บณิ ฑบาต เดนิ จงกรม กวาดวดั ส�ำเรจ็ สหี ไสยาสน์ บรหิ ารรา่ งกายด้วยการ “ดดั กาย” ผ่อนคลายกล้ามเนอ้ื ด้วยการ “บบี นวด” การบณิ ฑบาต เดนิ จงกรม และ กวาดวัดน้ันถอื ได้ว่าเป็นการออกก�ำลังกายแบบบรรพชิต หากกล่าวในภาษาปัจจุบันก็กล่าวได้ว่าการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถให้ สมำ่� เสมอและกจิ วตั รอนั หลากหลายนนั้ เปน็ ไปเพอื่ สรา้ ง “ดลุ ยภาพแหง่ อริ ยิ าบถ” หรอื อาจเรยี กวา่ “ดลุ ยภาพบ�ำบดั ” นน่ั เอง เพราะดลุ ยภาพบ�ำบดั หมายถงึ “วธิ กี ารปอ้ งกนั บ�ำบดั รกั ษาโรคและบ�ำรงุ สขุ ภาพดว้ ยการปรบั ความสมดลุ โครงสรา้ งของรา่ งกาย” ซงึ่ มีวิธกี ารปฏิบตั ิ 4 วธิ ี คอื การระวังรกั ษาอริ ิยาบถต่าง ๆ ให้สมดลุ ตลอดเวลา การ บรหิ ารจดั โครงสรา้ งรา่ งกายใหส้ มดลุ การออกก�ำลงั กายเพอื่ เสรมิ ประสทิ ธภิ าพในการ รกั ษาสมดลุ และการผ่อนคลายกล้ามเนือ้ และเส้นเอน็ ด้วยการนวด 1 1 กองวิชาการ อาศรมบณั ฑิต (2549). “สุขภาพนกั สร้างบารม.ี ” หน้า 146-147, 223-224. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 427 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
2) เปรียบเทยี บยาในสมัยพุทธกาลกับยคุ ปัจจุบนั ยารกั ษาโรคทป่ี รากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ กนนั้ ปจั จบุ นั ถกู น�ำมาใชใ้ นวงการ แพทย์หลายวงการท้ังการแพทย์ทางเลอื กและการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะยา สมนุ ไพรนนั้ จะเหน็ วา่ เปน็ ยาทกี่ ารแพทยแ์ ผนไทยน�ำมาใชเ้ ปน็ ยาหลกั ในการรกั ษาโรค รายชื่อสมนุ ไพรต่าง ๆ ทปี่ รากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เมือ่ น�ำมาเทียบกบั ยาสมนุ ไพร ในต�ำราแพทย์แผนไทยแล้วพบว่า เหมอื นกันมาก และทสี่ �ำคญั ตามหลักการทสี่ รปุ ได้จากพระไตรปิฎกท่ีว่า สรรพส่ิงในธรรมชาติน�ำมาท�ำยาได้หมดถ้าเรารู้คุณสมบัติ ส่วนทเี่ ป็นยาของสงิ่ นัน้ ๆ จงึ สรุปได้ว่า ยาสมุนไพรทกุ ชนดิ รวมทัง้ ยาทกี่ ารแพทย์ แผนปัจจบุ ันสกัดออกมาจากธรรมชาติ ทงั้ หมดเป็นยาทอี่ ยู่ในหลกั การนที้ งั้ สนิ้ และจากทีก่ ล่าวแล้วว่า “น�้ำมูตรเน่า” เป็นยาหลักของพระภิกษใุ นสมัย พทุ ธกาล ในเรอ่ื งนนี้ ายแพทยบ์ รรจบ ชณุ หสวสั ดกิ ลุ เจา้ ของสถานพยาบาลธรรมชาติ บ�ำบดั กลา่ ววา่ นำ้� ปสั สาวะรกั ษาโรคไดห้ ลายโรค เชน่ โรคปวดหลงั ปวดขอ้ ไมเกรน ปวดเมือ่ ย ภมู ิแพ้ ผน่ื คัน สะเก็ดเงนิ มะเร็ง ล�ำไส้ใหญ่อักเสบเรือ้ รงั ฯลฯ การดม่ื นำ�้ ปสั สาวะบ�ำบดั โรคนนั้ ใหด้ ม่ื นำ�้ ปสั สาวะของตนเองโดยดมื่ กอ่ นนอนและดมื่ ตอนเชา้ คร้ังละ 100 ซี.ซี. การใช้น�้ำปัสสาวะบ�ำบัดโรคนน้ั อธิบายได้ด้วย หลกั พิษต้านพิษ เหมือนกบั การท�ำเซรุ่มแก้พิษงู คอื จะฉีดพษิ งูทีละน้อย ๆ เข้ากระแสเลอื ดม้าจนได้ ซรี ม่ั หรอื นำ้� เหลอื งมา้ ออกมาเพอื่ ท�ำเปน็ เซรมุ่ แกพ้ ษิ งู 1 ส�ำหรบั นำ้� ปสั สาวะนน้ั จะมพี ษิ อยู่จ�ำนวนหนึ่งที่ร่างกายขับออกมา เม่ือเราดื่มเข้าไปใหม่พิษนั้นก็จะกลายเป็นเซรุ่ม ช่วยแก้พษิ ทย่ี งั มีอยู่ในร่างกายได้เป็นอย่างดี 3) การผ่าตัดในสมยั พทุ ธกาลกบั การผ่าตัดในปัจจุบัน การที่ในสมัยพุทธกาลมีการผ่าตัดน้ันถือว่า วิชาการแพทย์มีความ ก้าวหน้ามากเพราะประวัติการผ่าตัดของการแพทย์แผนปัจจุบันโดยเฉพาะใน ประเทศไทยเพง่ิ เริ่มขน้ึ เมอื่ ไม่นานมาน้เี อง กล่าวคือ การผ่าตดั คร้ังแรกของไทยเกิด 1 ผู้จัดการ (2548). “ย�ำ้ สรรพคุณ ด่ืมน�ำ้ ปัสสาวะ ทางเลือกบ�ำบดั โรค.” [ออนไลน์]. แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 428 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ขนึ้ ในวันท่ี 27 สิงหาคม พ.ศ. 2378 สมยั รัชกาลท่ี 3 โดยได้มกี ารผ่าก้อนเนือ้ งอก ท่หี น้าผากของผู้ป่วยรายหนงึ่ ออก การผา่ ตดั ทม่ี ชี อื่ เสยี งทส่ี ดุ ซงึ่ ท�ำใหค้ นไทยทว่ั ไปรจู้ กั การผา่ ตดั คอื การ ผ่าตดั ของหมอบรดั เลย์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกนั ในวนั ท่ี 13 มกราคม พ.ศ. 2379 ในวนั นน้ั หมอบรดั เลยไ์ ดท้ �ำการผา่ ตดั โดยการตดั แขนของพระภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ทงิ้ เพราะพระรูปนี้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปืนใหญ่ระเบิดท�ำให้แขนเป็นแผลฉกรรจ์ จึง จ�ำเป็นต้องตัดแขนทง้ิ เพ่อื รกั ษาชวี ิตไว้ จะเห็นว่าการผ่าตัดในประเทศไทยเกิดข้ึนช้ากว่าถึงสองพันกว่าปี นอกจากน้ีการผ่าตัดท่ีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นเป็นการผ่าตัดส่วนที่ยากและ ละเอยี ดออ่ น คอื ผา่ ตดั สมองและผา่ ตดั ล�ำไส้ สว่ นการผา่ ตดั ครงั้ แรกในประเทศไทย น้นั เป็นการผ่าตดั ก้อนเน้ือทีห่ น้าผากและผ่าตัดแขนซ่ึงง่ายกว่ามาก กว่าท่กี ารแพทย์ ในประเทศไทยจะพัฒนาจนถงึ ข้นั ผ่าตัดสมองและล�ำไส้ได้ก็ใช้เวลาอีกหลายปี 4) การขับพิษในสมยั พทุ ธกาลกับยคุ ปัจจุบัน หลักการแพทย์ในปัจจุบันทั้งการแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์ทาง เลอื กกลา่ วถงึ การขบั พษิ ทางรา่ งกายไวอ้ ยา่ งนอ้ ย 4 ชอ่ งทาง คอื การขบั พษิ ทางการ หายใจ การขับพิษทางเหงื่อ การขับพิษทางปัสสาวะ และการขับพิษทางอุจจาระ 1 แต่ละช่องทางมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 4.1) การขับพิษทางการหายใจ จะอาศัยระบบการท�ำงานของปอดเป็นตวั ขบั พิษออก โดยสารพิษที่ระเหยได้ง่ายจะระเหยออกทางลมหายใจ เช่น เม่ือด่ืมสุรา ร่างกายจะขจัดแอลกอฮอล์บางส่วนโดยขับออกทางลม หายใจ 1 ดิ อโรคยา คลนิ กิ การแพทย์แผนไทย (2551). “4 วิธขี ับพิษออกจากร่างกาย” [ออนไลน์] และศูนย์พิษวทิ ยา (2551). “เมอ่ื ทกุ สง่ิ ทกุ อย่างเป็นพษิ เราจะอยู่ได้อย่างไร.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 429 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
4.2) การขบั พษิ ทางเหงอ่ื การท�ำให้เหงอื่ ออกเป็นอกี ช่องทางหนง่ึ ของการขบั พษิ ซง่ึ อาจจะใช้วธิ อี อกก�ำลงั กาย ท�ำงาน หรืออบตวั ในห้องอบซาวน่า เป็นต้น เม่ือเหง่อื ออกพษิ ในร่างกายก็จะถูกขับออกมาด้วย ซาวนา่ (Sauna) แปลวา่ “การอบไอนำ้� ” เปน็ วธิ ลี า้ งพษิ ทน่ี ยิ มกนั มากในปจั จบุ นั ซงึ่ เปน็ วธิ ชี กั น�ำใหร้ า่ งกายขบั เหงอ่ื โดยใชค้ วามรอ้ น ตาม ดว้ ยการอาบนำ�้ หรอื แช่ร่างกายด้วยนำ�้ เยน็ การท�ำซาวนา่ จะช่วยล้างพษิ ทอ่ี ยู่ในส่วนทลี่ ึกทส่ี ุดของร่างกายได้อย่างสะอาด 4.3) การขับพษิ ทางปัสสาวะ จะใช้กระบวนการท�ำงานของไต ซ่งึ ไตจะเป็นผู้ ท�ำหนา้ ทก่ี ลนั่ กรองเอาของเสยี ออกจากกระแสโลหติ และขบั ออกมาดว้ ย น้ำ� ปัสสาวะ 4.4) การขับพิษทางอุจจาระ จะใช้กระบวนการท�ำงานของตับซึง่ ตบั ท�ำหน้าที่ เปน็ โรงงานใหญข่ องรา่ งกายเพอื่ ขจดั สารพษิ กลา่ วคอื เมอ่ื เลอื ดพาสาร- พษิ เขา้ สตู่ บั ตบั จะท�ำหนา้ ทข่ี บั สารพษิ ออกไปกบั นำ�้ ดไี หลไปสลู่ �ำไสใ้ หญ่ แล้วจะออกมากับอจุ จาระ การขบั พษิ ทางอจุ จาระทน่ี ยิ มท�ำกนั มากในปจั จบุ นั คอื “การสวน ทวาร” ซ่ึงจะใช้น�ำ้ กาแฟสวนเข้าไปในทวารด้วยท่อสายยางเล็ก ๆ เพ่ือ กระตุ้นให้ขบั ถ่ายเอาสารพษิ ออกมา การสวนทวารเป็นวธิ กี ารหน่งึ ของ การท�ำดีท็อกซ์ (Detox) ดีทอ็ กซ์ (Detox) มาจากค�ำเตม็ ว่า ดที อ็ กซิฟิเคช่นั (Detoxifica- tion) หมายถงึ การก�ำจดั “ทอ็ กซนิ ” หรือพษิ ออกจากร่างกาย 1 เพราะ การทีเ่ รารบั ประทานอาหารไม่ถูกหลกั อนามยั เป็นระยะเวลานาน ๆ จะ ท�ำให้สารพษิ สะสมอยู่ในร่างกายจงึ จ�ำเป็นต้องขบั ออก 1 www.thai4health.com (2551). “Detox (ดีท๊อกซ์) คอื อะไร.” [ออนไลน์]. แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 430 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
การขบั พษิ ซงึ่ ท�ำไดอ้ กี หลายวธิ ี เชน่ การกนิ อาหารใหน้ อ้ ยลง การ กนิ อาหารมีกากใย การอดอาหาร หรือการกนิ อาหารเพยี งชนดิ เดยี วใน หน่ึงวนั เช่น กินฝรัง่ อย่างเดียว กนิ ผักบุ้งอย่างเดยี ว เป็นต้น เปรยี บเทียบการขบั พษิ ในสมยั พทุ ธกาลกับยคุ ปัจจบุ นั จะเหน็ ว่า วธิ กี ารขับพิษของการแพทย์ยุคปัจจุบันทก่ี ล่าวมานัน้ เป็นวธิ ีท่ีมีมา ต้งั แต่สมยั พทุ ธกาลแล้ว เช่น การขบั พิษทางเหงอื่ ด้วยการออกก�ำลังกาย พระภกิ ษุ สมยั พทุ ธกาลกใ็ ชว้ ธิ นี เี้ ชน่ กนั แตส่ มยั นนั้ พระภกิ ษอุ อกก�ำลงั กายดว้ ยการเดนิ จงกรม บิณฑบาต หรือกวาดวดั เป็นต้น ซง่ึ เป็นวิธอี อกก�ำลังกายทีเ่ หมาะสมกบั เพศนักบวช เรือนไฟในสมัยพุทธกาลก็คือ ห้องอบซาวน่าในยุคปัจจุบันน่ันเอง เพราะมี วัตถุประสงค์รูปแบบและวิธีการคล้ายคลึงกันมาก จนอาจกล่าวได้ว่าห้องอบซาวน่า ในปัจจุบนั ถอดแบบออกมาจากพระไตรปิฎกเลยก็ว่าได้ การขบั พษิ ทางอจุ จาระกเ็ ชน่ กนั พระภกิ ษสุ มยั พทุ ธกาลขบั พษิ ทางอจุ จาระดว้ ย การฉันยาถ่ายบ้าง และด้วยวิธีการสูดดมก้านบัวท่ีอบด้วยตัวยาแบบพระสัมมา- สัมพุทธเจ้าบ้าง ซ่ึงจะเห็นว่าด้วยวิธีการน้ีท�ำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถ่ายถึง 30 ครั้ง โดยมีจดุ ประสงค์เพอ่ื ขบั พิษที่สะสมอยู่ในพระวรกายโดยเฉพาะ การขบั พษิ ดว้ ยการกนิ อาหารใหน้ อ้ ยลงนน้ั สอดคลอ้ งกบั การฉนั ภตั ตาหารเพยี ง ม้อื เดียวของพระภิกษใุ นสมยั พทุ ธกาล ซึง่ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรัสว่า การฉันมื้อ เดียวเป็นเหตุให้มีอาพาธน้อย ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะเมื่อฉันน้อยแต่เพียงพอต่อความ ต้องการของร่างกาย พิษที่เข้าสู่ร่างกายจึงมีน้อยไปด้วย เมื่อพิษมีน้อยร่างกายก็ สามารถขับพษิ ได้เองตามธรรมชาติ 11.4.3 เปรียบเทยี บการดแู ลรกั ษาสุขภาพจิตใจ อาจกลา่ วไดเ้ กอื บทกุ วงการในปจั จบุ นั เรม่ิ ใหค้ วามสนใจและใหค้ วามส�ำคญั กบั เรอื่ งจติ ใจมากขนึ้ ทางการแพทยแ์ ผนตะวนั ตกกเ็ ชน่ กนั เรมิ่ ตระหนกั ถงึ ความสมั พนั ธ์ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 431 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ของรา่ งกายกบั จติ ใจวา่ ทง้ั สองสว่ นนไ้ี มอ่ าจแยกจากกนั เดด็ ขาด รา่ งกายกบั จติ ใจสง่ ผลถึงกันและกนั อย่างใกล้ชดิ มีงานวจิ ัยจ�ำนวนมากซ่งึ สนบั สนุนสิ่งทไี่ ด้กล่าวมาน้ี นกั วจิ ยั จากมหาวทิ ยาลยั เทล อาวีฟ ในอสิ ราเอล พบว่าความเครยี ดมีผลต่อการเติบโตของมะเรง็ เพราะจะ ท�ำให้ภูมคิ ุ้มกนั โรคอ่อนแอลง ศาสตราจารย์ เบนเอลิยาฮู กล่าวว่า งานศกึ ษาของ พวกเรา แสดงใหเ้ หน็ วา่ ความกลวั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในจติ ใจ อาจจะมคี วามส�ำคญั ไมน่ อ้ ยไปกวา่ ความเสียหายของเนือ้ เย่อื ในเชงิ กายภาพท่เี ข้าไปกดความสามารถของภมู ิคุ้มกัน 1 และทส่ี �ำคญั ในชว่ งทศวรรษทผี่ า่ นมานม้ี กี ารวจิ ยั จ�ำนวนมากทยี่ นื ยนั ตรงกนั วา่ การสวดมนต์ และการนง่ั สมาธิ ซง่ึ เปน็ การท�ำจติ ใจใหส้ งบและกอ่ ใหเ้ กดิ บญุ กศุ ลตาม หลกั พระพุทธศาสนาน้ันสามารถรักษาโรคได้ดังตวั อย่างต่อไปนี้ 1) งานวจิ ยั เรื่องสวดมนต์รกั ษาโรค มงี านวจิ ยั ถงึ 150 ชน้ิ ทร่ี ะบวุ ่า การเปล่งเสยี งสวดมนต์ “สามารถบ�ำบดั และรักษาอาการป่วยได้อย่างน่าอัศจรรย์” แม้แต่โรคหัวใจและโรคเอดส์ก็สามารถ รกั ษาได้ 2 นายแพทยว์ ธิ าน ฐานะวฑุ ฒ์ ผดู้ �ำเนนิ โครงการหวั ใจใหม่ ชวี ติ ใหม่ จงั หวดั เชียงราย ได้ทดลองแบ่งคนไข้โรคหัวใจจ�ำนวน 393 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม ทีร่ กั ษาแบบปกติกับกลุ่มทีส่ อดแทรกวิธีรกั ษาด้วยการสวดมนต์ สง่ิ ทพี่ บคอื กลุ่มที่ มกี ารสวดมนต์อาการของโรคหวั ใจดขี น้ึ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ผู้ป่วยประเภทเดยี วกนั แต่ได้รับการรกั ษาแบบปกติ “โรคเอดส์” กเ็ ช่นกนั ผลการวิจยั พบว่า อตั ราการเสยี ชวี ติ ของผปู้ ว่ ยทผี่ า่ นการรกั ษาดว้ ยการสวดมนต์ มตี วั เลขการเสยี ชวี ติ ลดลงกวา่ ครง่ึ ของผู้ท่รี ักษาอาการตามปกติ 3 บทสวดมนต์ที่น�ำมาใช้ในการทดลองน้ันมีดังนี้คือ ชัยมงคลคาถาหรือ 1 ไทยรัฐ (2551). “ความเครียดจัดเป็นตัวร้าย ท�ำให้มะเร็งย่ิงเจรญิ เติบโต” [ออนไลน์]. 2 ผู้จัดการรายสัปดาห์ (2547). “บทสวดมนต์สยบ “เอดส์-หัวใจ” ฯ” [ออนไลน์]. 3 แหล่งเดิม. [ออนไลน์]. แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก 432 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
บทพาหงุ , มงคลสตู ร เมตตปรติ ร, โพชฌงคปรติ ร และรตั นสตู ร เปน็ ตน้ โดยเฉพาะ บทโพชฌงคปรติ รนน้ั เปน็ บทเดยี วกนั กบั ทพี่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มกั ใชแ้ สดงธรรมแก่ ภกิ ษอุ าพาธ การสวดมนตน์ น้ั ถอื เปน็ การท�ำสมาธวิ ธิ หี นง่ึ ท�ำใหใ้ จเกดิ ความสมดลุ ซงึ่ สง่ ผลตอ่ รา่ งกายใหป้ รบั ตวั เขา้ สภู่ าวะสมดลุ ไดง้ า่ ยขนึ้ และการสวดมนตย์ งั กอ่ ใหเ้ กดิ บญุ มากเพราะขณะสวดใจจะตรกึ ระลกึ ถงึ พระรตั นตรยั บญุ ทเ่ี กดิ ขนึ้ นก้ี จ็ ะชว่ ยช�ำระ ล้างบาปในใจอันเป็นเหตุแห่งโรคให้เบาบางจงึ ท�ำให้หายป่วยในทส่ี ุด 2) งานวิจัยเรื่องการน่งั สมาธริ กั ษาโรค ปัจจุบันมีงานวิจัยและบทความเร่ืองการนั่งสมาธิรักษาโรคจ�ำนวนมาก จากการคน้ ขอ้ มลู เฉพาะภาษาองั กฤษและภาษาไทยดว้ ยเวบ็ ไซตก์ เู กลิ (google) พบ งานวจิ ัยและบทความทก่ี ล่าวถงึ เรอ่ื งน้ถี ึง 545,360 รายการ โดยพบค�ำว่า “Medita- tion therapy” 409,000 รายการ, “สมาธบิ �ำบดั ” 27,100 รายการ, “สมาธบิ �ำบดั โรค” 17,000 รายการ, “สมาธริ กั ษาโรค” 73,100 รายการ, “บ�ำบดั โรคด้วยสมาธ”ิ 16,100 รายการ และ “รักษาโรคด้วยสมาธิ” 3,060 รายการ หากค้นข้อมูลด้วยภาษาอ่ืน ๆ ด้วยคงจะได้ข้อมูลเรื่องสมาธิบ�ำบัดน้ี หลายล้านรายการ ข้อมูลจ�ำนวนมากมหาศาลนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีย่ิงว่า โลกยุค ปัจจุบันก�ำลังย้อนกลับมาให้ความส�ำคัญกับจิตใจ กล่าวคือ สมาธิบ�ำบัดและหลัก ธรรมต่าง ๆ ซึ่งมกี ล่าวไว้ในพระไตรปิฎกกว่า 2,500 ปี แต่เดิมชาวโลกจ�ำนวนไม่ นอ้ ยทเี่ ชอื่ วา่ เปน็ ของโบราณลา้ สมยั ไมอ่ าจสกู้ บั การแพทยแ์ ผนตะวนั ตกซง่ึ พฒั นามา จากวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยลี ำ�้ ยคุ ได้ แตว่ นั นชี้ าวโลกจ�ำนวนมากเรม่ิ น�ำของทเ่ี คย คิดว่าล้าสมัยน้ีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการด�ำเนินชีวิตกันแล้ว ปัจจุบันสมาธิและค�ำ สอนของพระสมั มาสมั พุทธเจ้าถือว่าเป็น “เทรนด์ใหม่” หรอื แนวโน้มใหม่ทใ่ี คร ๆ ก็ พดู ถงึ และศกึ ษากนั อยา่ งกวา้ งขวาง ทง้ั เพอ่ื การบ�ำบดั โรค เพอื่ ความสงบสขุ ของจติ ใจ และเพอ่ื ศกึ ษาค้นคว้าทางใจด้วยสมถวปิ ัสสนาขั้นสูง สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 433 แพทยศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
แพทยศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 434 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
บทที่ 12 บทสรปุ จากสรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ กทผี่ อู้ า่ นไดศ้ กึ ษากนั มาแลว้ น้ี จะเหน็ วา่ ค�ำสอน ของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้านัน้ กว้างขวางครอบคลมุ หลายศาสตร์ โดยศาสตร์ทง้ั ปวง ในทางโลกน้ันสรุปได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ ซึง่ พุทธธรรมในพระไตรปิฎกมีขอบข่ายครอบคลมุ ท้ัง 3 ศาสตร์นี้ แต่ มีความลึกซึ้งและกว้างไกลกว่าทางโลกมาก เพราะเป็นค�ำสอนท่ีเกิดจากการรู้แจ้ง เพราะการเหน็ แจ้ง ด้วยพระปัญญาตรัสรู้ธรรมของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า เป็นความ รู้อันเกิดจากภาวนามยปัญญา ไม่ได้เกิดจากการฟัง การอ่าน หรือการคิดและตั้ง สมมตฐิ านเอาด้วยหลกั เหตุผลธรรมดา จากเนื้อหาสรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎกนี้ มีข้อคิดทสี่ �ำคัญเพื่อให้ผู้อ่านน�ำไป ปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจ�ำวนั 3 ประการ คอื ใหศ้ กึ ษาพทุ ธธรรมในพระไตรปฎิ กใหแ้ ตกฉาน ศกึ ษาด้วยการเปรียบเทยี บกบั ศาสตร์ทางโลก และให้น�ำพทุ ธธรรมมาปฏิบตั ใิ นชวี ิต ประจ�ำวนั www.kalyanamitra.org
1. ให้ศึกษาพทุ ธธรรมในพระไตรปิฎกให้แตกฉาน เมอื่ เรารแู้ ลว้ วา่ ค�ำสอนในพระไตรปฎิ กนนั้ เปน็ ความรทู้ ล่ี กึ ซงึ้ และกวา้ ง ไกลยิง่ กว่าความรู้ในทางโลกมากอย่างนี้ ผู้อ่านทุกท่านจึงควรศึกษาพระไตรปิฎกให้ แตกฉาน อยา่ งนอ้ ยกค็ วรอา่ นพระไตรปฎิ กใหจ้ บ โดยเฉพาะในสว่ นของพระวนิ ยั และ พระสูตร ซ่ึงมีเน้ือหาไม่ยากจนเกินไป สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้เป็น อย่างดี ส่วนพระอภิธรรมนั้นมีเน้ือหาค่อนข้างยาก กล่าวถึงเรื่องจิตและนิพพาน เป็นต้น ผู้ศึกษาจะต้องมีความเชย่ี วชาญทง้ั ปรยิ ตั ิและปฏบิ ัติ จึงจะเข้าใจความรู้ใน พระอภิธรรมได้อย่างถ่องแท้ พระวนิ ยั และพระสตู รนน้ั มที งั้ หมด 33 เลม่ หากเปน็ ฉบบั ของมหามกฏุ - ราชวิทยาลัยซ่ึงมีอรรถกถาอธิบายอยู่ด้วยกม็ ี 74 เล่ม เน้อื หาดังกล่าวไม่ถอื ว่าเยอะ จนเกินไป เพราะในทางโลกกว่านักวิทยาศาสตร์แต่ละคนจะตั้งกฎหรือทฤษฎีขึ้นมา ไดน้ นั้ จะตอ้ งใชเ้ วลาเกอื บทง้ั ชวี ติ ทเี ดยี ว จะตอ้ งศกึ ษาคน้ ควา้ จากหนงั สอื จ�ำนวนมาก และทดลองปฏบิ ตั ซิ ำ�้ แลว้ ซำ�้ เลา่ ศกึ ษากนั โดยเอาชวี ติ เปน็ เดมิ พนั กวา่ จะไดค้ วามรมู้ า แตค่ วามรนู้ น้ั กม็ กั จะไมส่ มบรู ณ์ ตอ้ งมกี ารพฒั นาและแกไ้ ขปรบั ปรงุ กนั เรอ่ื ยไป ตา่ งกบั พุทธธรรมในพระไตรปิฎกซึ่งเป็นความรู้ที่ถกู ต้องสมบูรณ์แล้ว ผู้อ่านต้องการรู้เรอื่ ง อะไรก็ให้อ่านเรอ่ื งน้นั ๆ ใช้เวลาเพียงไม่ก่ีนาที กจ็ ะได้ความรู้ที่ถกู ต้องในเรอื่ งน้นั ๆ แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาคิดค้นลองผิดลองถูกกันยาวนาน หากท่านใดตั้งใจจะอ่าน พระไตรปิฎกให้หมดทุกเล่ม ก็จะใช้เวลาเพยี งไม่กเ่ี ดือนกอ็ ่านจบแล้ว ซึ่งจะท�ำให้ได้ รู้เร่อื งความเป็นจรงิ ของชวี ติ กว้างขวางมาก จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสามารถ น�ำความรู้นั้นไปแนะน�ำคนอ่ืน ๆ ได้อกี ด้วย ความรใู้ นพระไตรปฎิ กเปน็ ประดจุ เขม็ ทศิ น�ำทางชวี ติ ของเรา เปน็ เครอื่ ง มอื ในการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี เราจะรู้ว่าอะไรควรท�ำและอะไรไม่ควรท�ำ ตราบใด ทเ่ี รายงั นงั่ สมาธคิ น้ ควา้ หลกั ธรรมภายในตวั ดว้ ยตนเองไมไ่ ด้ เรากต็ อ้ งอาศยั การอา่ น บทสรุป 436 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
จากพระไตรปิฎกไปก่อน เพราะเป็นสจั ธรรมทพ่ี ระสมั มาสมั พุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ เพอ่ื เป็นแสงสว่างน�ำทางชวี ติ แก่ชาวโลก และเพ่ือเป็นหนทางให้เข้าไปสู่ความรู้ในตัว ต่อไป พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนีหรือหลวงพ่อธัมมชโย และ พระเดชพระคณุ พระราชภาวนาจารยห์ รอื หลวงพอ่ ทตั ตชโี ว เปน็ ตน้ แบบไดเ้ ปน็ อยา่ ง ดี หลวงพ่อท้ังสองอ่านพระไตรปิฎกจบตั้งแต่ก่อนบวช เมื่อมาบวชแล้วก็ได้ศึกษา ค้นคว้าควบค่กู บั การปฏบิ ตั ธิ รรมอยู่เป็นประจ�ำ และน�ำความร้จู ากพระไตรปิฎกและ ธรรมปฏบิ ตั ิมาใช้สร้างวดั และเผยแผ่พระพุทธศาสนา 2. ศกึ ษาดว้ ยการเปรยี บเทยี บกบั ศาสตรท์ างโลก โดยหลกั การแลว้ ตอ้ งศกึ ษาความรจู้ ากในพระไตรปฎิ กเปน็ หลกั แตใ่ น บางเร่ืองหากได้ศึกษาเปรียบเทียบกับความรู้ทางโลกด้วย จะท�ำให้เข้าใจค�ำสอนใน พระไตรปฎิ กไดช้ ดั เจนและเหน็ คณุ คา่ ของพทุ ธธรรมมากขน้ึ เพราะบางครง้ั การทค่ี น เราจะเข้าใจและเห็นคุณค่าของสงิ่ ใดอย่างชดั เจน กต็ ่อเมอื่ น�ำสิ่งนั้นไปเปรียบเทียบ กับส่ิงที่ใกล้เคียงกันหรือตรงข้ามกับสิ่งนั้น ๆ เช่น เราจะเข้าใจและเห็นคุณค่าของ สนั ตภิ าพมากขนึ้ เมอ่ื ได้เหน็ ความทกุ ข์ยากจากสงคราม เราจะเข้าใจและเหน็ คณุ ค่า ของข้าวสารแต่ละเมลด็ มากข้นึ ก็ต่อเมื่ออยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง เป็นต้น จากเนื้อหาสรรพศาสตร์ที่ผู้อ่านได้ศึกษามาแล้วน้นั จะเห็นว่า เม่อื ได้น�ำ ค�ำสอนในพระไตรปิฎกไปเปรียบเทียบกับศาสตร์ต่าง ๆ ในทางโลกแล้ว ท�ำให้เรา เข้าใจและเห็นคุณค่าของค�ำสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ามากขึน้ เช่น ท�ำให้เข้าใจ โลกธาตใุ นพระไตรปฎิ กวา่ กค็ อื เอกภพอนั กวา้ งใหญไ่ พศาลทเ่ี ราไดศ้ กึ ษากนั มาตงั้ แต่ เดก็ ๆ ท�ำให้เข้าใจและเชื่อมัน่ ว่าเวลาในแต่ละภพภูมิไม่เท่ากนั จริง ๆ เพราะผลการ พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันเช่นนั้น ท�ำให้เข้าใจว่าเรือนไฟของพระภิกษุในสมัย พุทธกาล กค็ อื ห้องอบซาวน่าในปัจจบุ ันน่ันเอง สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 437 บทสรปุ www.kalyanamitra.org
เมอื่ เราเขา้ ใจอยา่ งนแี้ ลว้ กจ็ ะเหน็ คณุ คา่ ของค�ำ สอนในพระไตรปฎิ กมาก ขึ้น จะตระหนักว่าความรู้ในทางโลก ไม่ว่าจะมาจากนักวิทยาศาสตร์ที่อัจฉริยะเพียง ใดก็ตาม แต่ความรู้นั้นก็ไม่ก้าวไกลเกินไปกว่าคำ�สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ พระองค์จะตรัสถึงเรื่องทางโลกไว้ไม่มากนัก แต่ก็เป็นความรู้ที่ถูกต้องและลึกซึ้งยิ่ง กว่าวงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมากมายนัก 3. ใหน้ �ำ พทุ ธธรรมมาปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจ�ำ วนั เมื่อผู้อ่านได้ศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว ก็ให้น้อมนำ�คำ�สอนต่าง ๆ มา ปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจ�ำ วนั ดว้ ย จงึ จะไดป้ ระโยชนจ์ ากพทุ ธธรรมอยา่ งแทจ้ รงิ หากเพยี ง แค่ศึกษาแต่ไม่ได้ปฏิบัติ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรัสว่าเป็น “ใบลานเปล่า” กล่าวคือ แม้จะเป็นคนมีความรู้มากมายแต่ก็เหมือนไม่มีความรู้อะไรเลย เพราะความรู้นั้น ไมไ่ ดเ้ กดิ ประโยชนแ์ กต่ นเองเลย เราไมอ่ าจจะพน้ ทกุ ขไ์ ดเ้ พราะการอา่ นและการฟงั แต่ เราจะต้องนำ�ธรรมะที่อ่านและฟังนั้นมาปฏิบัติ จึงจะพ้นทุกข์บรรลถุ ึงพระนิพพานได้ ครั้งหนึ่ง คณกโมคคัลลานพราหมณ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สาวกผู้รับฟังคำ�สอนของพระองค์อยู่ ย่อมสำ�เร็จนิพพานทุกรูปหรือไม่ พระสัมมา- สัมพทุ ธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ สาวกของเราอันเราสั่งสอนอยู่ บางพวกก็สำ�เร็จ นพิ พาน แตบ่ างพวกก็ไม่ส�ำ เร็จ” เหตทุ ี่บางพวกไม่ส�ำ เร็จนพิ พานนั้น เพราะปฏิบัตผิ ดิ วิธีบ้าง หรือได้แต่เพียงฟังธรรมแต่ไม่ได้ปฏิบัติตามธรรมเหล่านั้นบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคเองก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ พระองค์ตรัสว่า “ดกู ่อนพราหมณ์ ใน เรื่องนี้เราจะทำ�อย่างไรได้ ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกหนทาง” ผอู้ า่ นทกุ ทา่ น จงึ ควรศกึ ษาพระธรรมค�ำ สอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ให้ เขา้ ใจ และน�ำ มาปฏบิ ตั จิ รงิ เรากจ็ ะเปน็ ผหู้ นง่ึ ทเ่ี ขา้ ใจในสรรพศาสตรท์ ง้ั ทางโลกและทาง ธรรมไดล้ กึ ซง้ึ กวา่ บคุ คลทว่ั ไป และจะเปน็ ผหู้ นง่ึ ทป่ี ระสบความสขุ ความส�ำ เรจ็ ในชวี ติ สมกบั ทม่ี บี ญุ ไดเ้ ปน็ ชาวพทุ ธ และยงั จะสามารถเปน็ กลั ยาณมติ รน�ำ ความรนู้ ไ้ี ปแนะน�ำ แกช่ าวโลกทง้ั หลาย น�ำ ความรม่ เยน็ เปน็ สขุ และความเจรญิ กา้ วหนา้ มาสโู่ ลกทง้ั มวลใน ทส่ี ดุ บทสรปุ 438 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
บรรณานกุ รม 1) พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. (2503). พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 1-45. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 1-45. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. (2543). พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล เล่ม 1-91. นครปฐม : โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. 2) ต�ำราทางพระพุทธศาสนาและอ่ืน ๆ กนกศักดิ์ แก้วเทพและคณะ. (2550). เศรษฐศาสตร์ธรรมิกราชา. กรุงเทพมหานคร : คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . กองวิชาการสถาบันพฒั นาบุคลากร. (2548). คณุ านนั ทเถระผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรลี งั กา. ปทุมธานี : มูลนิธิธรรมกาย. กองวชิ าการ อาศรมบณั ฑติ . (2549). สุขภาพนักสร้างบารม.ี ปทุมธานี : มลู นธิ ธิ รรมกาย. จริ โชค วีระสยั และคณะ. (2546). รัฐศาสตร์ทวั่ ไป. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั รามค�ำแหง. จรนิ ทร์ เทศวานชิ . (2531). หลักเศรษฐศาสตร์เบอื้ งต้น. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์. ชยั พฤกษ์ เพญ็ วจิ ติ ร. (2545). พุทธศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ ฉบบั ปรบั ปรุงใหม่ เล่ม 1. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. .............(2542). ศาสตร์แห่งจักรวาล. เล่ม 1-2. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ณรงค์ ธนาวิภาส (2542). เศรษฐศาสตร์เบอ้ื งต้น. พิมพ์ครัง้ ที่ 4. กรงุ เทพมหานคร : วทิ ยพฒั น์. ทันตแพทย์สม สุจีรา. (2550). ไอน์สไตน์พบ พระพทุ ธเจ้าเห็น. พมิ พ์คร้งั ที่ 5. กรุงเทพฯ : ส�ำนกั พมิ พ์อมรินทร์. ธนกาญจน์ ภัทรากาญจน์. (2533). อนุภาค : ความรู้เบื้องต้นเกย่ี วกับฟิสิกส์อนุภาค. กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ. ธีรวฒุ ิ โศภษิ ฐกิ ลุ . (2549). ความรู้เบือ้ งต้นเกยี่ วกับรฐั ศาสตร์. พิมพ์คร้ังที่ 3. ฉะเชงิ เทรา : คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์. ปรีชา ช้างขวญั ยนื . (2540). ทรรศนะทางการเมืองของพุทธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์สามัคคสี าส์น. .............(2538). ความคิดทางการเมอื งในพระไตรปิฎก. พมิ พ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 439 บรรณานกุ รม www.kalyanamitra.org
ปรีดี เกษมทรพั ย์. (2541). นิติปรชั ญา. พมิ พ์คร้งั ท่ี 4. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์เดือนตุลา. เพ็ญนภา ทรพั ย์เจรญิ . (2544). การแพทย์แผนไทยการแพทย์แบบองค์รวม. พิมพ์คร้งั ที่ 2. กรงุ เทพมหานคร : มลู นิธิการแพทย์แผนไทยพฒั นา. พฒั นี จันทรโรทยั . (2547). วิวฒั นาการ : ความเป็นมาและกระบวนการก�ำเนดิ ส่ิงมีชีวิต. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพมิ พ์มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. พนั ตรี หลง สมบญุ . (2546). พจนานุกรม มคธ-ไทย. พมิ พ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร : บริษทั ธรรมสาร จ�ำกดั . พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต).(2535).พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช). (2548).พจนานุกรมเพอ่ื การศึกษาพทุ ธศาสน์ ชุด ค�ำวดั . กรงุ เทพมหานคร : วดั ราชโอรสาราม. พระธรรมปิฎก (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต). (2543ก). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. พิมพ์ครัง้ ที่ 9. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ............. (2543ข). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพท์. พิมพ์ครง้ั ท่ี 9. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. ............. (2538). เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ. พมิ พ์ครั้งที่ 3. มลู นิธโิ กมลคมี ทอง. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสนิ ค้าและพสั ดุภัณฑ์. ............. (2542). การแพทยย์ คุ ใหมใ่ นพทุ ธทศั น.์ กรงุ เทพมหานคร : คณะแพทยศาสตรศ์ ริ ริ าชพยาบาล ............. (2539). นติ ศิ าสตร์แนวพทุ ธ.กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท สหธรรมกิ จ�ำกัด. พระพรหมคุณาภรณ์. (2548). พระพทุ ธศาสนากบั โลกธุรกจิ . พิมพ์คร้งั ท่ี 3. กรงุ เทมหานคร : ลิเบอร์ต้เี พรส. พระภาวนาวริ ยิ คณุ . (2546). รัฐศาสตร์เชงิ พทุ ธและบทวเิ คราะห์ทกั ษิโณมิกส์. ปทมุ ธานี : มูลนธิ ิธรรมกาย. ............. (2550). ชวี ิตน้มี ไี ว้ทุ่มเดมิ พนั . กรงุ เทพมหานคร : รุ่งศิลป์การพมิ พ์จ�ำกัด. ............. (2537). ธมั มจักกปั ปวัตนสตู ร. กรงุ เทพฯ : บรษิ ัท บเี อ็นเค บุ๊คส์ จ�ำกดั . พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร). (2537). มรดกธรรมของหลวงพ่อวดั ปากน้ำ� . กรุงเทพฯ : อมรินทร์พร้นิ ติ้ง แอนด์ พบั ลชิ ชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน). พระสมชาย านวุฑโฺ ฒ. (2542). มงคลชีวิต ฉบับธรรมทายาท. กรุงเทพมหานคร : บริษัท ฐานการพมิ พ์ จ�ำกดั . พร รตั นสุวรรณ. (2536). พระพุทธศาสนากบั วิทยาศาสตร์. พิมพ์ครงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนกั ค้นคว้าทางวญิ ญาณ. ไพรชั ธัชยพงษ์. (2549). หนงั สอื ไอน์สไตน์ หลุมด�ำ และบิกแบง. พิมพ์คร้งั ท่ี 2 กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์. มาลี บานช่นื . (2531). แสงและทฤษฎคี วอนตมั . กรุงเทพมหานคร : สรุ วีรยิ าสาส์น. บรรณานกุ รม 440 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2525). พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน.กรงุ เทพมหานคร : อกั ษรเจรญิ ทศั น์. รัตนา สายคณติ และชลลดา จามรกุล. (2544). เศรษฐศาสตร์เบ้ืองต้น. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . วันรกั ษ์ มิง่ มณนี าคิน. (2541). เศรษฐศาสตร์เบ้ืองต้น. พิมพ์ครัง้ ที่ 4. กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ระวี ภาวิไล. (2543). โลกทัศน์ชีวทัศน์เปรยี บเทียบวิทยาศาสตร์กบั พุทธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร : มลู นธิ พิ ุทธธรรม. รอฮิม ปรามาส (2547).เอกภพ สรรพส่งิ และมนษุ ยชาติ. พมิ พ์ครง้ั ที่ 2 กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนกั พิมพ์มติชน. วิรัช ถริ พันธ์ุเมธ.ี (ม.ป.ป.). พทุ ธปรัชญาการปกครอง. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ บริษัทสหธรรมิก จ�ำกดั . วิรชั ลภิรัตนกุล. (2543). วาทนเิ ทศและวาทศลิ ป์หลกั ทฤษฎแี ละวธิ ีปฏิบัติยุคสหสั วรรษใหม่. กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ว.วชั รวรี ์. (2540). พระมงคลเทพมนุ ี มหาปูชนียาจารย์. พมิ พ์ครั้งที่ 2 กรงุ เทพมหานคร : สุขุมวิทการพิมพ์. สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ. (2530). พระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา. พระไตรปิฎกฉบบั ประชาชน. (2539). พมิ พ์ครงั้ ท่ี 16. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวทิ ยาลัย. สญั ญา สัญญาววิ ัฒน์. (2548). สงั คมศาสตร์เบือ้ งต้น. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนกั พมิ พ์จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . เสถยี ร โพธินันทะ. (2540). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมขุ ปาฐะ ภาค 1-2. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. สมจติ ชิวปรีชา. (2535). วาทวทิ ยา. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สมภาร พรมทา. (2534). พุทธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . สมรวดี ฟักผลงาม และคณะ. (2544). วิทยาศาสตร์ทัว่ ไป. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 11. กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั รามค�ำแหง. อารี พันธ์มณ.ี (2545). ฝึกคิดให้เป็นคดิ ให้สร้างสรรค์. กรงุ เทพมหานคร : บริษัท ใยไหม ครีเอทีฟกรุ๊ป จ�ำกดั . อรวรรณ ปิลนั ธน์โอวาท. (2539). หลักและปรชั ญาของวาทวิทยา. กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 441 บรรณานุกรม www.kalyanamitra.org
อไุ รวรรณ ธนสถิตย์. (2530). หลกั มนุษยศาสตร์. ล�ำปาง : กจิ เสรกี ารพมิ พ์. โอฬาร เพียรธรรม. (2549). ตามหาความจรงิ : วทิ ยาศาสตร์กับพทุ ธธรรม ฯ. กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนกั พมิ พ์ธรรมดา. Anna Sproule. (1990). CHARLES DARWIN, ชาร์ลส์ ดาร์วนิ . นักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นอจั ฉรยิ ะ ของโลก, ปิ่น-ฉวี เวชชานุเคราะห์ แปล (2543). พิมพ์ครงั้ ท่ี 3 กรงุ เทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์. Bill Clinton. (2004). My Life, แปลโดย สมเกยี รติ อ่อนวมิ ล (2548). My Life. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนกั พมิ พ์นานมีบุ๊ค. Masaru Emoto(2004). The Hidden Messages in Water, ศศธิ ร-ศศิวิมล รัชนี แปล (2548). สาส์นจากวารี. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนกั พิมพ์สวนเงนิ มมี า. STEPHEN HAWKING. (1988). A BRIEF HISTORY OF TIME แปลโดย รอฮีม ปรามาส (2546). ประวัตยิ ่อของกาลเวลา. พิมพ์ครง้ั ที่ 2 กรงุ เทพมหานคร : ส�ำนกั พิมพ์มติชน. บรรณานกุ รม 442 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ประวัตผิ เู้ ขยี น วนั หนงึ่ ในชว่ั โมงวชิ าภาษาไทย ณ วทิ ยาลยั เทคนคิ ตรงั ผเู้ ขยี นนง่ั อา่ นบทความ หนึ่ง ซ่งึ บนั ทกึ ไว้ว่า มนุษย์ต่างดิ้นรนไขว่คว้า หาในสิง่ ทีต่ นเองต้องการ เมอ่ื ได้มา แล้วพอใจอยู่ไม่นานก็เบื่อแล้วแสวงหาต่อไปอีก เป็นอย่างนี้เร่ือยไปโดยไม่มีทีท่าว่า จุดส้นิ สุดมนั อยู่ท่ไี หน ตงั้ แตน่ น้ั มาผเู้ ขยี นจงึ เรมิ่ หาคาำ ตอบของชวี ติ เรมิ่ ศกึ ษาหนงั สอื ธรรมะ อา่ นแลว้ ร้สู กึ ช่มุ ชนื่ ใจ คดิ วา่ เราน่าจะพกั การเรยี นเพอื่ ออกบวชสกั 1 ปี จะได้มเี วลานง่ั สมาธิ และเรียนธรรมะได้ลกึ ซงึ้ มากขนึ้ สรรพศำสตร์ในพระไตรปิฎก 443 ประวัติผู้เขียน www.kalyanamitra.org
วันหน่ึงเพ่ือนในห้องเอาหนังสือมงคลชีวิตฉบับธรรมทายาทมาให้ ผู้เขียน ชอบใจมาก อ่านไป 3 รอบ พลิกไปดปู ระวตั ิผู้แต่ง ก็รู้สกึ แปลกใจว่า ท�ำไมนักศึกษา แพทย์ผู้เขียนหนังสือเล่มน้ันถึงตัดสินใจออกบวชอุทิศชีวิตในพระพุทธศาสนา หลังจากเรียนจบ นั่นเป็นแรงบันดาลครั้งแรกที่ท�ำให้ผู้เขียนอยากมาหาค�ำตอบ ณ วัดพระธรรมกาย หลังจากเรียนจบในระดับ ปวช. สาขาอิเลก็ ทรอนิกส์แล้ว ผู้เขียนและเพ่อื น ๆ กอ็ อกจากบ้าน นงั่ รถไฟมาเรียนต่อกรงุ เทพ ถือเป็นการเดินทางไกลครง้ั แรกในชีวิต เมื่อได้เข้าเรียนเทคนิคกรุงเทพ ระหว่างน้ันคิดอยู่เสมอว่า จะหาโอกาสไป วัดพระธรรมกายให้ได้ กระทั่งวันหน่ึงขณะท่ีเดินกลับหอพัก ผู้เขียนแวะเข้าไปใน ชมรมพุทธศาสตร์สากล เพื่อไปหาหนงั สอื ธรรมะมาอ่าน เมอ่ื เปิดประตูเข้าไป รุ่นพี่ ซ่งึ น่ังอยู่ในชมรมได้ยกมือไหว้เราพร้อมกบั ทักทายก่อน ในชมรมมีหนังสือธรรมะให้อ่านมากมาย ก่อนกลับรุ่นพ่ชี วนว่า พรุ่งนี้ พี่ ๆ จะไปวดั พระธรรมกายเพอ่ื ช่วยจัดงานบญุ น้องจะไปด้วยกไ็ ด้ ผู้เขยี นรู้สกึ อศั จรรย์ ใจมาก เราอยากจะไปอยนู่ านแลว้ ครง้ั นถี้ อื เปน็ โอกาสส�ำคญั ทจ่ี ะไดท้ �ำตามความตงั้ ใจ เดมิ เสยี ที ในปี พ.ศ. 2539 ผู้เขยี นจงึ ได้มาวดั พระธรรมกายครัง้ แรก ได้ช่วยเตรียมงาน ยกค�ำ้ ฟ้าสภาธรรมกายสากล ตัง้ แต่นนั้ ก็ช่วยงานวัดเรอ่ื ยมา ได้เป็นคณะกรรมการ ชมรมพุทธศาสตร์เทคนิคกรุงเทพ และในช่วงปิดเทอมปี พ.ศ. 2540 ได้บวชใน โครงการอบรมธรรมทายาทภาคฤดูร้อน รุ่น 25 ณ วัดพระธรรมกาย ร่วมกับ พระเพื่อนซงึ่ มาจากทวั่ ประเทศและจากหลายสถาบันการศึกษา ระหว่างบวชได้นั่งสมาธิและฟังธรรม มีความรู้ความเข้าใจในส่ิงที่ตนเองไม่รู้ และไมค่ อ่ ยใสใ่ จมากอ่ นมากมาย เชน่ กฎแหง่ กรรม ชวี ติ หลงั ความตาย นรก สวรรค์ ประวัติผู้เขียน 444 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ชว่ งทา้ ยของโครงการมโี อกาสไดไ้ ปนง่ั สมาธิ ณ สถานทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมบนเขาในจงั หวดั เชียงใหม่ เป็นเวลา 2 สปั ดาห์ ชีวิตการปฏบิ ัติธรรม ณ จงั หวัดเชียงใหม่ ของพระภิกษบุ วชใหม่ 100 กว่ารปู มีความสุขมาก ต่ืนแต่เช้าสวดมนต์ท�ำวัตร นั่งสมาธิพร้อมกัน เสร็จแล้วก็ช่วยกัน รบั บญุ ท�ำความสะอาดเสนาสนะ ล้างห้องนำ้� ฯลฯ เวลาประมาณ 7.00 น. ก็ฉันเช้า พร้อมกัน เจ้าหน้าท่ีจัดภัตตาหารอย่างประณีต เพ่ือเอาบุญสนับสนุนการบ�ำเพ็ญ สมณธรรมกับพระภกิ ษุ หลังฉันเช้าก็ช่วยกันรับบุญล้างภาชนะ เสร็จแล้วก็เดินออกก�ำลังกายเพ่ือให้ อาหารย่อยรอบสถานท่ีปฏิบัติธรรมซ่ึงเป็นช่วงเวลาที่อากาศดีมาก มีแปลงกุหลาบ สวนพญาเสอื โคร่ง สวนลิน้ จี่ มสี ระน�้ำขุดไว้เพอ่ื ประโยชน์แก่การอุปโภค นอกร้วั ก็ เปน็ แปลงกะหลำ�่ ปลขี องชาวเขาทป่ี ลกู เอาไวข้ าย ชว่ งสายกน็ งั่ สมาธแิ ละฟงั ธรรมพรอ้ ม เพรียงกัน ธรรมะท่ีได้ฟังเป็นส่วนใหญ่ผู้เขียนไม่เคยได้รู้มาก่อนเลย ท�ำให้มีความรู้ ความเข้าใจความจรงิ ของชวี ิต รู้ว่าเราเกดิ มาท�ำไม อะไรคือเป้าหมายชวี ติ ฉนั เพล เวลา 11.00 น. ซงึ่ มกั จะมภี ตั ตาหารพเิ ศษ ทเ่ี จา้ หนา้ ทห่ี รอื เจา้ ภาพจดั เตรยี มมาถวายเปน็ ประจ�ำ รปู แบบการฉนั จะเปน็ วง เพอ่ื ฝกึ ความเปน็ ทมี การแบง่ ปนั ฝึกความเคารพโดยให้พระภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าคอยดูแลอุปัฏฐากพระภิกษุผู้มี พรรษามากกว่า ชว่ งบ่ายกน็ งั่ สมาธแิ ละฟงั ธรรม พระอาจารยจ์ ะหมนุ เวยี นกนั แสดงธรรมปลกู ฝงั เปา้ หมายมโนปณธิ านการสรา้ งบารมี พระอาจารยแ์ ละพระพเ่ี ลยี้ งแตล่ ะรปู ลว้ นนา่ เลอื่ มใสศรทั ธา มคี วามรคู้ วามสามารถ กอ่ นบวชกม็ ปี ระวตั ชิ วี ติ ทง้ั ดา้ นการศกึ ษาและ การงานดี บวชเพ่ือเป็นอายุพระศาสนา ไม่ได้บวชเพื่อมาพึ่งพระศาสนาอย่างเดียว เป็นต้นบุญต้นแบบได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างย่ิง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 445 ประวัติผู้เขียน www.kalyanamitra.org
ท้ังสองคือ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) และพระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว) ชว่ งเยน็ เปน็ เวลาออกก�ำลงั กาย ดว้ ยการเดนิ รอบสถานทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรม เปน็ ถนน วงกลมรวมระยะทาง ประมาณ 3 กโิ ลเมตร เดนิ ชมนกชมไม้ เพือ่ เกบ็ อารมณ์สบาย มองไปนอกรั้วเห็นวิถีชีวิตเกษตรกรชาวเขาอันเรียบง่ายไม่เร่งรีบเหมือนคนในเมือง หลวง ดแู ลว้ ใจสงบดี ชว่ งเยน็ ในบางวนั จะมกี จิ กรรมหลอ่ หลอมพฒั นาเสนาสนะ เพอ่ื ให้ทุกรปู ได้ออกก�ำลงั กายและสนมิ สนมกันมากขน้ึ สามคั คกี นั มากข้ึน ทีพ่ กั อาศัยก็ จะได้สะอาดเป็นระบบระเบียบน่าอยู่ รอบค�ำ่ สวดมนต์ท�ำวัตรเย็นฟังธรรมและนั่งสมาธเิ วลา 19.00 น. จ�ำวัดเวลา ประมาณ 22.00 น. กจิ วัตรกจิ กรรมเป็นอย่างนตี้ ลอดช่วง 2 สปั ดาห์ ผู้เขียนรู้สกึ มี ความสุขมาก จึงตดั สนิ ใจพกั การเรยี น (Drop) พร้อมกบั พระเพอื่ น ๆ เป็นเวลา 1 ปี เพ่ือจะได้ศึกษาธรรมะให้ย่ิง ๆ ข้ึนไป โดยอยู่จ�ำพรรษา ณ สถานท่ีปฏิบัติธรรม แห่งนน้ั ออกพรรษาแล้วก็เดินทางกลับวัดพระธรรมกายเพื่อมาเตรียมพร้อมท�ำหน้าที่ เป็นพระพี่เลย้ี งในโครงการบรรพชาสามเณรแก้ว 13,842 รปู เพ่อื อัญเชญิ พระบรม พุทธเจ้าประดษิ ฐาน ณ มหาธรรมกายเจดยี ์ ในวันที่ 8 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2541 งาน นถ้ี อื เป็นงานใหญ่คร้งั แรกทไ่ี ด้ท�ำหลงั จากบวชมาได้ประมาณ 1 พรรษา พระพเี่ ลีย้ ง 1 รูป ดูแลสามเณรประมาณ 100 รปู หลงั จากชว่ ยงานโครงการบรรพชาสามเณรแกว้ เสรจ็ แลว้ ชวี ติ ของผเู้ ขยี นและ เพอ่ื น ๆ กเ็ ดนิ ทางมาถงึ ทางแยกครง้ั ใหญ่ คอื จะลาสกิ ขากลบั ไปเรยี นตอ่ ใหจ้ บ หรอื จะบวชเรยี นต่อในสถาบนั การศกึ ษาของสงฆ์ การตัดสนิ ใจครงั้ นไ้ี ม่ง่ายเลยหลงั จาก ที่ได้บวชและศึกษาความจริงของชีวิตมาตลอด 1 ปีเต็ม โลกทัศน์ของผู้เขียน กว้างขวางกว่าเดมิ มากมาย ประวัติผู้เขียน 446 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ใจผู้เขียนเอนเอียงมาทางบวชมากกว่า แต่กเ็ ป็นกังวลว่า หากลาออกจากการ เรยี นทางโลกเพื่อบวชอยู่ต่อ ถ้าอยู่ได้ไม่ตลอดรอดฝั่งจะท�ำอย่างไร แต่สดุ ท้ายก็คิด ได้ว่า เส้นทางสายนกั บวชมปี ลายทางทสี่ ว่างไสวมีสวรรค์และนิพพานเป็นท่ีไป ส่วน ทางโลกมีปลายทางที่มืดมน มีช่องทางลงสู่อบายภูมิมากมาย สุดท้ายจึงตัดสินใจ ลาออกจากทางโลกเพ่ือบวชเรียนทางธรรม พร้อม ๆ พระเพ่ือนอีกหลายสิบรูปซ่ึง ลาออกจากหลายมหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ฯลฯ ปจั จบุ นั ผเู้ ขยี นเปน็ พระภกิ ษวุ ดั พระธรรมกาย รนุ่ 13 ส�ำเรจ็ การศกึ ษาในระดบั ปรญิ ญาตรแี ละปรญิ ญาโทดา้ นพทุ ธศาสตร์ จากมหาวทิ ยาลยั ธรรมกาย แคลฟิ อรเ์ นยี (Dhammakaya Open University, California, USA) ได้ศึกษาพระบาลอี นั เป็น ภาษาทเี่ กบ็ รกั ษาค�ำสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดอ้ า่ นและวเิ คราะหพ์ ระไตรปฎิ ก อนั เปน็ หนงั สอื ทไี่ มเ่ คยรจู้ กั และสนใจมากอ่ นเลย แตเ่ พราะอาศยั ครบู าอาจารยท์ �ำให้ มองเห็นคุณค่าและพอท่ีจะวิเคราะห์สังเคราะห์องค์ความรู้ในพระไตรปิฎกออกมา ประยุกต์ใช้ในการสร้างบารมไี ด้บ้าง ผ่านมาแล้ว 18 พรรษาในร่มกาสาวพสั ตร์และ ภายใต้ร่มบารมีธรรมของมหาปูชนียาจารย์ทุกท่าน ผู้เขียนคิดว่าตนเองตดั สนิ ใจถูก แล้วที่วันนั้นได้เลือกเส้นทางสายนี้ พระมหาสมคดิ ชยาภิรโต 25 พฤศจิกายน 2558 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 447 ประวัติผู้เขียน www.kalyanamitra.org
รายนามเจ้าภาพหนังสอื เจ้าภาพกิตติมศกั ด์พิ เิ ศษ กัลฯ พิสมัย เรอื งรกั ษ์ลขิ ติ เจ้าภาพกติ ติมศักดิ์ วดั พระธรรมกายเวสเทริ ์นออสเตรเลีย มหาวทิ ยาลัยธรรมกาย แคลฟิ อร์เนยี กลั ฯ กนกด�ำรง-พิมพ์นภสั ศรีวไลกร กัลฯ สมศักดิ-์ ผศ.พมิ พ์อ�ำไพ พกุ พิบูลย์ กัลฯ ผศ.จารพุ นั ธุ์ อนิ ทรวัตร กัลฯ ผศ.กญั ชนา แตงฉ่ำ� กลั ฯ สมเกียรติ เลิศพิสิฐกุล และครอบครัว เจ้าภาพกองทนุ พระสริ ิ คุณากโร พระมหาสุรัตน์ อคคฺ รตโน พระมหาธณัช เชฏฺธมโฺ ม พระกองร้อยเน้อื นาบญุ พระพัสกร มนตฺ วชโิ ร พระนพคณุ ญาณโิ ต พระมหาไชยวัฒน์ ชยวฑฺฒโน กลั ฯ วสิ าขา ปภาคีรี กัลฯ อรสิ รา ศรกี จิ วไิ ลศักด์ิ กัลฯ จันทนี มหัศนีศริ ินุกูล กลั ฯ นาตยา-องั คณา ไทยทรง กัลฯ กุลนิดา กาญจนวรกจิ กัลฯ สมพงษ์ อจั ฉรยิ ะอนุชน กลั ฯ ฮุยกนุ เพชรแสงทพิ ย์ กัลฯ ไอรณิ -อารยะ อุลศิ กลั ฯ ลคั ณา ชืน่ งูเหลอื ม กลั ฯ ชเู ดช ดวงดอกไม้ กัลฯ กลุ ธารินทร์ สุปัญญา กัลฯ ลภสั กร เกษจนั ทร์ กลั ฯ พทุ ธกร ภูมิพุทธ กัลฯ วรนิ ญา ฉนั ทรตั นโชค กัลฯ มลวิ ัลย์-วชริ ะ-ชุลีพร ช่วงรังสี กัลฯ ณัฎฐาพรรณ กรรภริ มย์พชิรา กลั ฯ เชิด-ประพศิ -พชั รา-พจนา เมธางกรู และครอบครวั กลั ฯ พ่อซ้อน-แม่ปราณี ฉตั รธงชยั และครอบครัว www.kalyanamitra.org
www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450