Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Description: สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Search

Read the Text Version

(4) การคน้ ควา้ รวบรวมเนอ้ื หาทจ่ี ะน�ำมาพดู ผู้พูดจะต้องท�ำการค้นคว้าหาความรู้ และรวบรวมข้อคิดเห็น ข้อมูล ขา่ วสาร ขอ้ เทจ็ จรงิ สถติ ติ า่ ง ๆ เพอื่ น�ำมาจดั ล�ำดบั ใหเ้ หมาะสมแกก่ ารน�ำไปเสนอแก่ ผฟู้ งั (5) การจดั ระเบยี บและการเรยี บเรยี งเรอ่ื งทจี่ ะพดู การจดั ระเบยี บและการเรยี บเรยี งเรอ่ื งทจ่ี ะพดู นนั้ แบง่ เปน็ 3 สว่ น คอื ค�ำน�ำ เนอื้ เรอื่ ง และสรปุ ค�ำน�ำ เปน็ การพดู ใหผ้ ฟู้ งั เกดิ ความสนใจ และมคี วามกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะ ฟงั ตอ่ ไป ดว้ ยความตง้ั ใจ ค�ำน�ำนน้ั ควรกลา่ วสน้ั ๆ แตเ่ รา้ ใจ อาจใชส้ ภุ าษติ ค�ำคม ค�ำพงั เพย ฯลฯ ขน้ึ น�ำเพอ่ื เรยี กรอ้ งความสนใจ ควรใชเ้ วลาในการพดู ประมาณ 10% เนอื้ เรอื่ ง เปน็ สว่ นสาระส�ำคญั ของเรอ่ื ง ซง่ึ ผพู้ ดู จะตอ้ งใชเ้ วลาสว่ นมากใน การพดู คอื ประมาณ 85% ผพู้ ดู จะตอ้ งเรยี งล�ำดบั เรอื่ งใหเ้ ปน็ ระเบยี บ จากงา่ ยไป หายาก สง่ิ ใดควรพดู กอ่ น สง่ิ ใดควรพดู หลงั อยา่ ใหย้ อกยอ้ น เพราะจะท�ำใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจยาก และเนอื้ เรอื่ งจะตอ้ งมคี วามถกู ตอ้ งตรงตามขอ้ เทจ็ จรงิ กะทดั รดั ชดั เจน กระจา่ งแจง้ ไมค่ ลมุ เครอื และอาจมตี วั อยา่ งประกอบเพอ่ื ความเขา้ ใจยง่ิ ขน้ึ ตวั อยา่ ง ควรเปน็ สง่ิ ทผี่ ฟู้ งั คนุ้ เคย อาจจะเปน็ สงิ่ ใกลต้ วั เหน็ ไดช้ ดั ในชวี ติ ประจ�ำวนั สรปุ เปน็ การปดิ ทา้ ยเรอ่ื งทพี่ ดู ควรสรปุ ใหผ้ ฟู้ งั ประทบั ใจ การสรปุ อาจ ลงทา้ ยดว้ ยการเนน้ ยำ�้ ทบทวนประเดน็ ส�ำคญั โดยยอ่ หรอื ใหข้ อ้ คดิ สนั้ ๆ และควรใช้ เวลาประมาณ 5% (6) การฝกึ ซอ้ มกอ่ นพดู จรงิ การฝกึ ซอ้ มกอ่ นพดู จรงิ จะท�ำใหผ้ พู้ ดู มคี วามพรอ้ ม มคี วามเชอ่ื มน่ั ยง่ิ ขน้ึ มคี วามคนุ้ เคยกบั เนอื้ หา สามารถประมาณเวลาพดู ไดแ้ มน่ ย�ำขน้ึ สรรพศาสตร์ในทางโลก 50 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

(7) การน�ำเสนอ คอื การพดู ออกไปตามทไ่ี ดเ้ ตรยี มไวเ้ ปน็ อยา่ งดแี ลว้ โดยอาจมแี ผน่ โนต้ ย่อหัวข้อถือไว้ หรืออาจไม่มีก็ได้ ให้น�ำเสนอไปอย่างดีท่ีสุด อย่าวิตกกังวล หรือ ประหม่าตน่ื เต้นเกินไป เพราะจะท�ำให้เกดิ การสบั สนได้ (8) การวิเคราะห์และประเมนิ ผล เมอ่ื พดู เสรจ็ แตล่ ะครง้ั ควรมกี ารวเิ คราะห์และประเมนิ ผลทกุ ครง้ั เพอื่ ใหท้ ราบวา่ การพดู ของเราเปน็ เชน่ ไร ซงึ่ ตอ้ งประเมนิ ดว้ ยใจเปน็ ธรรมไมเ่ ขา้ ขา้ งตวั เอง เพื่อหาทางปรับปรงุ การพดู ให้ดยี ่งิ ขน้ึ 2.2.6 วิทยาศาสตร์ 1.) ความหมายของวิทยาศาสตร์ ค�ำว่า “วทิ ยาศาสตร์” มาจากค�ำศัพท์ในภาษาองั กฤษว่า “Science” ซึง่ ค�ำน้ีมาจากภาษาลาตินว่า “Scientia” มีความหมายว่า รู้เห็นได้อย่างชัดเจนด้วย ปัญญา หรือเหน็ ความแตกต่างของส่ิงต่าง ๆ พจนานุกรม Webster’s New World Dictionary of the American Language ให้ความหมายค�ำว่า Science ไว้ดังน้ี (1) สภาพทีเ่ ป็นข้อเท็จจริงของความรู้ (2) ความรู้ที่เป็นระบบซึ่งได้จากการสังเกต ศึกษาและทดลองเพื่อให้รู้ ธรรมชาติหรอื หลกั เกณฑ์ของสง่ิ ท่ีท�ำการศึกษาสิ่งนัน้ ๆ (3) สาขาหน่ึงของวิทยาการหรือการศึกษา โดยเฉพาะที่เก่ียวกับการสร้าง และจัดการระบบข้อเท็จจริง หลักเกณฑ์และวิธีการซ่ึงมีการต้ัง สมมตฐิ านและทดสอบโดยการทดลอง 1 1 รศ.ดร.นิคม ทาแดง และคณะ. (2541). “วิทยาศาสตร์ 3.” หน้า 10. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 51 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org

2.) วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ การสงั เกต การ ก�ำหนดปัญหา การตงั้ สมมติฐาน การทดลอง และการสร้างทฤษฎี 1 (1) การสงั เกต คอื การใช้ประสาทสมั ผสั อยา่ งใดอย่างหนง่ึ หรอื หลายอยา่ ง รวมกนั ได้แก่ ตา หู จมกู ลิ้น และผวิ กาย เข้าไปสมั ผัสโดยตรงกับ วัตถุหรือปรากฏการณ์ โดยมีวัตถุประสงค์ท่ีจะหาข้อมูลซ่ึงเป็นราย ละเอยี ดของสง่ิ นนั้ ๆ (2) การก�ำหนดปญั หาจากขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตวา่ ท�ำไมจงึ เปน็ อยา่ งนน้ั ท�ำไมจงึ เปน็ อยา่ งนี้ โดยปญั หาจะตอ้ งตรงประเดน็ และสามารถทดสอบ ได้ (3) การตง้ั สมมตฐิ าน เมอ่ื ไดค้ �ำถามทเ่ี หมาะสมแลว้ นกั วทิ ยาศาสตรจ์ ะลอง เดาค�ำตอบว่าควรจะเป็นอย่างไร การเดาหรอื การคาดการณ์ค�ำตอบนนั้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ การเดาสมุ่ แตเ่ ปน็ การเดาโดยใชเ้ หตผุ ลจากขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการ สังเกต (4) การทดลอง เมื่อได้สมมติฐานแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะท�ำการทดลอง เพ่ือพิสูจน์สมมติฐานน้ันว่าถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้องก็จะตั้ง สมมติฐานใหม่ (5) การสร้างทฤษฎี นักวทิ ยาศาสตร์จะอาศยั หลกั ฐานจากการทดลองเป็น พ้ืนฐานในการสร้างทฤษฎีต่าง ๆ ขึ้น ทฤษฎีที่สร้างขึ้นนี้สามารถใช้ ท�ำนายปรากฏการณ์ได้ การท�ำนายจะไม่บอกว่าส่ิงน้ันส่ิงน้ีจะต้อง เกิดขึ้นแน่นอน แต่จะบอกเป็นอตั ราส่วนของความเป็นไปได้ 1 รศ.ดร.นิคม ทาแดง และคณะ. (2541). “วทิ ยาศาสตร์ 3.” หน้า 43-44. สรรพศาสตร์ในทางโลก 52 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

3.) ประเภทความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรส์ ามารถแบง่ ออกเปน็ 6 ประเภท คอื ขอ้ เทจ็ จรงิ มโนคติ หลักการ สมมตฐิ าน ทฤษฎี และกฎ (1) ขอ้ เทจ็ จรงิ เปน็ ความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการสงั เกต ขอ้ เทจ็ จรงิ นนั้ จะคงความเปน็ จรงิ อย่างนั้นเสมอ คอื สามารถทดสอบได้ผลเหมือนเดมิ ทุกครง้ั เช่น น้ำ� ไหลจากท่สี งู ลงสู่ท่ีตำ่� เป็นต้น (2) มโนคติ มาจากภาษาอังกฤษว่า “concept” แปลว่า ความคิดรวบยอด หรอื มโนทศั น์ ซ่ึงเป็นความรู้ทีเ่ กดิ จากความคดิ โดยสรปุ ของบุคคลทม่ี ี ต่อวัตถุหรือปรากฏการณ์หลังจากมีประสบการณ์ตรงกับส่ิงนั้น ด้วย การน�ำข้อเทจ็ จริงมาผสมผสานกัน (3) หลักการ เป็นความรู้ท่ผี สมผสานมโนคติตั้งแต่ 2 มโนคติเข้าด้วยกัน และสามารถใชเ้ ปน็ หลกั ในการอา้ งองิ ได้ เชน่ หลกั การทว่ี า่ “แมเ่ หลก็ ขว้ั เดียวกันจะผลักกัน ขัว้ ต่างกนั จะดูดกัน” มาจากมโนคตทิ ว่ี ่า แม่เหล็ก ข้ัวบวกจะผลักกับแม่เหล็กข้ัวบวก และมโนคติท่ีว่า แม่เหล็กขั้วบวก จะดดู กับแม่เหล็กขัว้ ลบ เป็นต้น (4) สมมตฐิ าน เปน็ ความรทู้ เ่ี กดิ จากการคาดคะเนค�ำตอบของปญั หาทกี่ �ำลงั ศึกษาอยู่โดยอาศัยความรู้เดิมเป็นพนื้ ฐานในการคาดคะเน เช่น “โลก และดวงจนั ทร์ก�ำเนดิ มาพร้อม ๆ กัน” (5) ทฤษฎี เปน็ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตรป์ ระเภทหนงึ่ ทมี่ ลี กั ษณะเปน็ ขอ้ ความ ใชอ้ ธบิ ายหลกั การ กฎ หรอื ปรากฏการณธ์ รรมชาติ ซง่ึ เปน็ ทย่ี อมรบั กนั ท่ัวไป สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 53 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org

ในการแสวงหาความจริงน้ันนักวิทยาศาสตร์ใช้การสังเกต การ สรปุ รวบรวมขอ้ มลู การคาดคะเน ซงึ่ ท�ำใหเ้ กดิ ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ ต่าง ๆ ตัง้ แต่ข้อเท็จจรงิ มโนคติ หลักการ สมมติฐาน และกฎ แต่การ จะรู้เพียงแต่ว่า ข้อเทจ็ จรงิ หรอื หลักการเกย่ี วกบั สิง่ ใดสง่ิ หน่ึงเป็นอย่าง นน้ั ยงั ไมพ่ อ นกั วทิ ยาศาสตรจ์ ะตอ้ งสามารถอธบิ ายขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื หลกั การนน้ั ไดด้ ว้ ยวา่ ท�ำไมจงึ เปน็ เชน่ นนั้ ดงั นนั้ นกั วทิ ยาศาสตรจ์ งึ พยายาม สร้างแบบจ�ำลอง (Model) ขนึ้ เขยี นหลกั การอย่างกว้าง ๆ เกย่ี วกบั สง่ิ น้ันข้ึน โดยที่คิดว่า แบบจ�ำลองท่ีสร้างข้ึนนั้นจะใช้อธิบายข้อเท็จจริง ย่อย ๆ ในขอบเขตทีเ่ กี่ยวข้องน้นั ได้ และสามารถท�ำนายปรากฏการณ์ ทยี่ งั ไม่เคยพบในขอบเขตของแบบจ�ำลองน้นั ได้ เราเรยี กแบบจ�ำลองที่ สร้างข้ึนนี้ว่า ทฤษฎี ในการสร้างทฤษฎนี ั้น นกั วิทยาศาสตร์อาจท�ำได้ 2 วิธี คือ 5.1) สรา้ งโดยการศกึ ษาขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตหรอื การทดลองเสยี กอ่ นแลว้ จงึ ใชว้ ธิ กี ารอปุ มาน1 รวมกบั การสรา้ งจนิ ตนาการ สรา้ ง เป็นแบบจ�ำลองหรือข้อความที่ใช้อธิบายผลการสังเกตนัน้ ให้ได้ 5.2) สรา้ งทฤษฎโี ดยอาศยั ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว ไม่ จ�ำเป็นต้องใช้ข้อมูลทีไ่ ด้จากการสงั เกตหรอื การทดลอง (6) กฎ เป็นหลกั การอย่างหนึ่ง แต่เป็นหลกั การที่มักจะเน้นความสัมพันธ์ ระหวา่ งเหตกุ บั ผล ซงึ่ อาจเขยี นสมการแทนได้ กฎมคี วามเปน็ จรงิ ในตวั ของมันเอง สามารถทดสอบได้ผลตรงกันทกุ คร้ัง แต่ถ้ามีการทดลอง ใดทไ่ี ดผ้ ลขดั แยง้ กบั กฎแลว้ กฎนนั้ จะตอ้ งยกเลกิ ไป นอกจากนี้ กฎจะ ตอ้ งอาศยั ทฤษฎี ซง่ึ เป็นข้อความส�ำหรบั อธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจว่า ท�ำไมความ สมั พนั ธ์ระหว่างเหตกุ ับผลของกฎนน้ั จงึ เป็นเช่นนัน้ 1 อปุ มาน หมายถึง การเปรียบเทียบส่งิ ทม่ี ีลักษณะคล้ายคลึงกัน สรรพศาสตร์ในทางโลก 54 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

4.) เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เจตคติ หมายถึง ท่าทีหรอื ความรู้สึกของบุคคลต่อสง่ิ ใดส่ิงหนง่ึ ในที่นี้ หมายถึง ท่าทีหรือความรู้สึกของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อส่ิงต่าง ๆ ในโลกหรือส่ิงท่ี ก�ำลงั ศกึ ษาค้นคว้า ซึง่ โดยท่ัวไปนักวทิ ยาศาสตร์จะมีเจตคตดิ งั ต่อไปน้ี (1) ตระหนักในความไม่แน่นอนของสรรพส่ิง เช่ือแน่ว่าไม่มีความรู้ทาง วทิ ยาศาสตรใ์ ด ๆ เปน็ ความรสู้ ดุ ยอดทไ่ี มม่ กี ารเปลย่ี นแปลงชวั่ นริ นั ดร์ (2) ยึดม่ันในความจรงิ และข้อเทจ็ จริง (3) ยึดมั่นในอิสระเสรีภาพทางความคิดพร้อมที่จะยืนยันและต่อสู้ป้องกัน ความคดิ เห็นของตนเอง ไม่เชอ่ื ตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาโดยไม่มี เหตผุ ล (4) อดทนต่อการรอคอยเพ่ือความรู้ท่ีถูกต้อง อดทนต่อการถูกคัดค้าน อดทนตอ่ ความผดิ พลาดและพรอ้ มทจี่ ะแสวงหาแนวทางใหมเ่ พอ่ื ใหไ้ ด้ ความรู้ทถี่ กู ต้อง (5) ใฝ่หาเหตุผลตามธรรมชาติของส่ิงต่าง ๆ ไม่เช่ือในไสยศาสตร์และ เวทมนต์ต่าง ๆ เชื่อว่าปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นไม่ว่าจะลึกลับเพียงใดก็ สามารถอธิบายด้วยเหตแุ ละผลเสมอ (6) เชอื่ วา่ สจั ธรรมไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลงแตค่ วามคดิ เหน็ วา่ อะไรจรงิ หรอื ไม่ จรงิ เปลี่ยนแปลงได้เสมอ (7) มีความกระตือรือร้น สนใจและจริงจงั ต่อสิ่งทต่ี นก�ำลังสงั เกต เช่น จะ ถามปัญหา อะไร ท�ำไม อย่างไร ในปรากฏการณ์ทีก่ �ำลงั สังเกตเสมอ และไม่พอใจในค�ำตอบใด ๆ ที่คลุมเครอื สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 55 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org

2.2.7 แพทยศาสตร์ 1.) ความหมายของแพทยศาสตร์ แพทยศาสตร์ หมายถึง วิชาการป้องกันและบ�ำบดั โรค 1 ซึง่ เป็นสาขา หนงึ่ ของวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ 2 ทเ่ี กย่ี วข้องกบั การดูแลสขุ ภาพและเยยี วยารกั ษาโรค แพทยศาสตร์มีศาสตร์เฉพาะทางมากมาย เช่น อายุรกรรม, ศัลยกรรม, สตู ิกรรม ฯลฯ ในแต่ละสาขายังแบ่งเป็นสาขาย่อยลงไปอกี แพทยศาสตรท์ กี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ นเี้ ปน็ ทรี่ จู้ กั ทวั่ ไปวา่ เปน็ “การแพทยแ์ ผน ปัจจุบัน” หรือการแพทย์แผนตะวันตก ซึ่งมีการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนใน มหาวิทยาลัยอย่างเป็นระบบ นอกจากน้ียังมีการแพทย์อีกแผนหน่ึงซ่ึงคงอยู่คู่โลก มานาน เป็นท่ีรู้จักกันในนาม “การแพทย์ทางเลือก” ได้แก่ การแพทย์แผนจีน แผนอนิ เดยี และการแพทย์แผนไทย เป็นต้น 2.) การแพทย์แผนปัจจบุ นั ตามทัศนะของเลอเดอร์มาน มุมมองหรือกระบวนทัศน์ของนัก วทิ ยาศาสตร์การแพทย์แผนปัจจบุ ัน แบ่งเป็น 2 ทศั นะ คือ วัตถุนิยมเชิงจกั รกล และทศั นะว่าด้วยองค์รวม 2.1) วตั ถนุ ยิ มเชงิ จกั รกล (Mechanical Materialism) ทศั นะนม้ี องมนษุ ยเ์ ปน็ เหมอื นเครอ่ื งยนตก์ ลไก สามารถอธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจ ไดด้ ว้ ยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาตโิ ดยเฉพาะฟสิ กิ สแ์ ละเคมี ชวี ติ มนษุ ยถ์ กู แบง่ ออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นคล้ายสสารเพื่อการศึกษาวิจัยและท�ำการบ�ำบดั รักษา 1 ราชบัณฑติ ยสถาน. (2525). “พจนานกุ รม.” หน้า 607. 2 วิทยาศาสตร์สุขภาพ คือ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ท่ีศึกษาเก่ียวกับสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คอื การศกึ ษาวจิ ยั และความรู้ทเี่ ก่ยี วกับสุขภาพ ส่วนท่ีสอง คอื การน�ำ ความรู้ดังกล่าวมาประยกุ ต์ใช้เพอ่ื พฒั นาสุขภาพ, รักษาโรค และท�ำความเข้าใจการท�ำงานของร่างกาย มนษุ ย์และสตั ว์ สรรพศาสตร์ในทางโลก 56 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

นักชีวฟิสิกส์เช่ือว่า มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เป็นส่วนผสมหรือการ รวมตวั กนั ของพลงั งาน สขุ ภาพจะดไี ดก้ ต็ อ่ เมอื่ มกี ารหมนุ เวยี นแลกเปลยี่ นพลงั งาน ที่ได้สัดส่วนกันระหว่างเซลล์ต่าง ๆ ความเจ็บป่วยจะเกิดข้ึนเมื่อการหมุนเวียน แลกเปล่ียนพลังงานไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการบ�ำบัดรักษาจึงต้องท�ำให้พลังงาน หมนุ เวียนแลกเปล่ยี นได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ทัศนะนแี้ บ่งมนุษย์ออกเป็น 2 ส่วน คือ ร่างกายกบั จติ ใจ ซึ่งส่วนแรก จะเปน็ เนอื้ หาสาระส�ำคญั ของชวี วทิ ยา สว่ นหลงั เปน็ ขอบเขตของจติ วทิ ยา แตล่ ะสว่ น ของร่างกายและจิตใจก็ยังต้องมีศาสตร์เฉพาะสาขาแยกย่อยลงไปอีก เช่น ตา หู จมกู หัวใจ เป็นต้น ทศั นะนเ้ี น้นความช�ำนาญเฉพาะด้านในลกั ษณะที่แยกชีวติ ออก เป็นเสี่ยง ๆ แมท้ ศั นะนจี้ ะมองวา่ มนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยสว่ นทเี่ ปน็ จติ ใจดว้ ย ถงึ กระนน้ั ก็ยังมองว่าเป็นจติ ใจแบบหุ่นยนต์ กล่าวคอื ปราศจากความรู้สกึ นกึ คิด เจตนา และ จดุ ประสงค์ เมอื่ ช�ำรดุ หรอื สกึ หรอกจ็ ะถกู แยกสว่ นออกมาซอ่ มใหก้ ลบั คนื สภู่ าวะปกติ เฉพาะส่วนน้ัน ๆ อย่างไรกต็ ามกระบวนทศั น์นไ้ี ด้มสี ่วนช่วยให้วิทยาศาสตร์สขุ ภาพ เจริญรุดหน้าไปมาก 1 2.2) ทัศนะว่าด้วยองค์รวม (Holism) ทศั นะนเี้ ชอื่ วา่ ชวี ติ มนษุ ยป์ ระกอบดว้ ย 2 สว่ นเชน่ กนั คอื รา่ งกายและ จติ ใจ ซง่ึ เปน็ ของเนอื่ งดว้ ยกนั มไิ ดแ้ ยกเปน็ อสิ ระจากกนั การแยกกเ็ พอื่ สะดวกในทาง ปฏบิ ตั ิ แต่หลังจากแยกแล้วจะมีการโยงส่วนต่าง ๆ เข้าหากนั ทศั นะนมี้ องว่าชีวิต 1 ผช.ดร.ประจติ ร มหาหงิ การผสมผสานระหวา่ งจรยิ ธรรมการแพทยแ์ ละวฒั นธรรม เอกสารการประชมุ วชิ าการเฉลมิ พระเกยี รติ สมเดจ็ พระเจา้ พนี่ างเธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร์ เนื่องในวโรกาสทที่ รงเจรญิ พระชนมายุครบ 6 รอบนกั ษตั ร “การแพทย์ วัฒนธรรม และจริยธรรม” จัดโดย ม.มหิดล และ ม.สงขลานครินทร์ วันท่ี 30 พ.ย.-1 ธ.ค. 2538 ณ โรงแรมรอยัลซิต้ี กรุงเทพมหานคร หน้า 48-49. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 57 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org

มอิ าจเข้าใจและอธบิ ายได้ดว้ ยวธิ กี ารทางฟสิ กิ สเ์ คมเี ทา่ นน้ั แต่ยงั ตอ้ งอาศยั หลกั การ ทเ่ี รยี กวา่ องคร์ วม ซงึ่ มองชวี ติ มนษุ ยเ์ ปน็ ระบบชวี ติ คอื ชวี ติ ทงั้ หมดทง้ั รา่ งกายและ จติ ใจทีม่ คี วามสมั พนั ธ์กนั อยู่เป็นอันเดียวกนั ทัศนะนี้ยังรวมเอาปัจจัยหรือเง่ือนไขด้านสังคม วัฒนธรรม และ นเิ วศวทิ ยาเขา้ ไวด้ ว้ ย สาเหตขุ องโรคอาจจะเกดิ จากเงอื่ นไขทางรา่ งกาย จติ ใจ สงั คม วฒั นธรรม และระบบนเิ วศนท์ ไี่ มส่ มดลุ ดงั นนั้ การบ�ำบดั โรคและรกั ษาคนไข้ จะตอ้ ง ค�ำนงึ ถงึ สภาพสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง วฒั นธรรม และนเิ วศวทิ ยาเขา้ มาเชอื่ มโยง ดว้ ย จงึ เปน็ ตน้ เหตใุ หเ้ กดิ ศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ สมั พนั ธก์ บั การแพทย์ เชน่ สงั คมวทิ ยา- การแพทย์ มนุษยวิทยาการแพทย์ เศรษฐศาสตร์การแพทย์ และจริยศาสตร์ทาง การแพทย์ เป็นต้น โดยสรุปมุมมองของทัศนะนี้เน้นองค์รวมครอบคลุมแทบทุกด้าน เชอื่ มโยงประสานเหตปุ จั จยั ตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั เพอ่ื ท�ำความเขา้ ใจและแกป้ ญั หาสขุ ภาพ ของชีวิตท้ังระบบ ดังน้ันทัศนะนี้จึงเน้นความสัมพันธ์การแพทย์เช่ือมโยงกับปัญหา จริยธรรม สังคมและวฒั นธรรมท้ังระบบ 1 3.) การแพทยท์ างเลอื ก ค�ำวา่ “ทางเลอื ก” หมายถงึ เปน็ ทางอกี ทางหนง่ึ ทนี่ �ำมาเปน็ ตวั เลอื กในการ ตดั สนิ ใจ สว่ นทางหลกั คอื ทางทคี่ นสว่ นใหญใ่ ชก้ นั ความหมายของการแพทยท์ างเลอื ก มคี วามแตกตา่ งกนั ไปตามเวลาและสถานท่ี ส�ำหรบั ประเทศไทยในปจั จบุ นั การแพทย์ ทางเลอื ก คอื การแพทยท์ ไ่ี มใ่ ชก่ ารแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ไดแ้ ก่ การแพทยแ์ ผนไทย การ แพทยพ์ นื้ บา้ น และการแพทยอ์ นื่ ๆ ทเี่ หลอื ถอื เปน็ การแพทยท์ างเลอื กทง้ั หมด 1 แหล่งเดิม หน้า 49-51. สรรพศาสตร์ในทางโลก 58 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

หนว่ ยงาน National Center of Complementary And Alternative Medicine (NCCAM) ในสหรฐั อเมรกิ า ไดจ้ �ำแนกการแพทยท์ างเลอื กออกเปน็ 5 กลมุ่ ดงั นี้ (1) Alternative Medical Systems คอื การแพทยท์ างเลอื กทม่ี วี ธิ กี าร ตรวจรกั ษาวนิ จิ ฉยั และการบ�ำบดั รกั ษาหลากหลายวธิ กี าร ทงั้ ดา้ นการให้ ยา การใชเ้ ครอื่ งมอื มาชว่ ยในการบ�ำบดั รกั ษาและหตั ถการตา่ ง ๆ เชน่ การ แพทยแ์ ผนโบราณของจนี (Traditional Chinese Medicine) การแพทย์ แบบอายรุ เวชของอนิ เดยี เปน็ ตน้ (2) Mind-Body Interventions คอื วธิ กี ารบ�ำบดั รกั ษาแบบใชก้ ายและใจ เชน่ การใชส้ มาธบิ �ำบดั โยคะ ชกี่ ง เปน็ ตน้ (3) Biologically Based Therapies คอื วธิ กี ารบ�ำบดั รกั ษาโดยการใชส้ าร ชวี ภาพ สารเคมตี า่ ง ๆ เชน่ สมนุ ไพร, วติ ามนิ , Chelation Therapy, Ozone Therapy หรอื แมก้ ระทงั่ อาหารสขุ ภาพ เปน็ ตน้ (4) Manipulative and Body-Based Methods คอื วธิ กี ารบ�ำบดั รกั ษา โดยการใช้หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด, การดัด, การจัดกระดูก, Osteopathy, Chiropractic เปน็ ตน้ (5) Energy Therapies คอื วธิ กี ารบ�ำบดั รกั ษาทใ่ี ชพ้ ลงั งานทส่ี ามารถวดั ได้ และไมส่ ามารถวดั ได้ เชน่ การสวดมนตบ์ �ำบดั พลงั กายทพิ ย์ พลงั จกั รวาล เรกิ โยเร เปน็ ตน้ 1 1 นายแพทย์เทวัญ ธานีรัตน์ (2550). “การแพทย์ทางเลือก.” [ออนไลน์]. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 59 สรรพศาสตร์ในทางโลก www.kalyanamitra.org

60 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

บทท่ี 3 ความรพู้ ้นื ฐานเรือ่ งเอกภพ เนอ้ื หาบทท่ี 3 นจี้ ดั อยใู่ นหวั ขอ้ หลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ แตเ่ นอื่ งจากเปน็ เรอื่ ง ใหญ่และมีเน้ือหามากพอสมควร จึงแยกออกมากล่าวอีกบทหน่ึงต่างหาก ซ่ึงจะใช้ เปรยี บเทยี บกบั บทท่ี 10 เรอื่ งวทิ ยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 3.1 ความหมายของเอกภพ เอกภพ (Universe) หมายถึง ระบบรวมของทุกสรรพส่ิงในธรรมชาติ ตงั้ แต่ สิ่งท่ีเล็กจ๋ิวท่ีมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ได้แก่ อะตอม อันประกอบด้วย โปรตอน, นิวตรอนและอิเลก็ ตรอน เป็นต้น จนถงึ สง่ิ ท่ใี หญ่โตมโหฬาร ได้แก่ กาแล็กซตี ่าง ๆ ทต่ี งั้ อยู่ในอวกาศอนั กว้างใหญ่ไพศาล www.kalyanamitra.org

อวกาศ (Space) หมายถงึ พนื้ ทว่ี า่ งทงั้ มวลในเอกภพ โดยทโี่ ลก, ดาวเคราะห,์ กาแลกซี และเทหวตั ถุ 1 ฟากฟ้าอนื่ ๆ กก็ �ำลังเคล่ือนทอี่ ยู่ในอวกาศ ไม่ว่าเราจะเริ่ม ต้นเดินทางออกจากเทหวัตถุฟากฟ้าใด ๆ ก็ตาม เราจะต้องออกเผชิญกับอวกาศ ตลอดเวลา นักดาราศาสตร์ประมาณกันว่า อาณาบริเวณทั้งหมดของเอกภพมีเส้น ผ่าศูนย์กลางประมาณ 28,000 ล้านปีแสง โดยไม่น่าจะมีโครงสร้างอ่ืนใดท่ีใหญ่ กว่านอี้ กี แต่นัน่ ก็เป็นเพยี งการคาดคะเนจากข้อมลู ทีม่ อี ยู่ในปัจจุบัน และจากข้อมูล เหล่าน้ีท�ำให้พอจะคาดคะเนได้ว่า เอกภพน่าจะมีความกลมกลืนเป็นอันหน่ึงอัน เดยี วกนั นกั ดาราศาสตร์กลุ่มทเ่ี สนอทฤษฎเี อกภพพองตวั (Inlfflation theory) ระบุว่า เอกภพมีการขยายตัวเองตลอดเวลาและเอกภพไม่ได้มีเพียงหน่ึงเดียว แต่มีความ เชอ่ื มโยงกบั สงิ่ ทใ่ี หญก่ วา่ โดยเปรยี บเทยี บกบั ลกู โปง่ ทม่ี จี ดุ สแี ตม้ บนผวิ เมอื่ ลกู โปง่ ขยายตวั ออก จุดสกี ็จะขยายขนาดด้วยเช่นกนั ในกรณีนเ้ี อกภพเป็นเพยี งจดุ สไี ม่ใช่ ตัวลูกโป่ง ที่ผิวลูกโป่งอาจมีจุดสีหลายจุด และขยายตัวแตกต่างกันออกไปตาม ลกั ษณะของพนื้ ผิวลกู โป่งบริเวณนั้น ๆ ซงึ่ หมายความว่า เอกภพของเราไม่ได้เป็น หนง่ึ เดยี ว แตย่ งั มเี อกภพลกั ษณะอนื่ ๆ อกี มากเป็น “พหภู พ (Mutiverse)” เอกภพ จึงเปรยี บเสมือนเกาะเลก็ ๆ หลายเกาะท่ีกระจายกันอยู่ในมหาสมทุ ร 2 3.2 ทฤษฎสี ำ� คญั สำ� หรบั ศึกษาเอกภพ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ใช้ทฤษฎพี ้ืนฐาน 2 ทฤษฎีในการอธิบายเอกภพ คือ 3.2.1 ทฤษฎีสมั พทั ธภาพ (Theory of Relativity) 3.2.2 ทฤษฎคี วอนตมั (Quantum Theory) 1 เทหวัตถุ หมายถึง ก้อนหรอื ชน้ิ หรอื ส่วนหนึง่ ของสสาร อาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรอื ก๊าซ ก็ได้. 2 รอฮิม ปรามาส (2547). “เอกภพ สรรพสงิ่ และมนษุ ยชาต.ิ ” หน้า 31-32. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 62 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

โดยทฤษฎสี มั พทั ธภาพจะอธบิ ายโครงสร้างของเอกภพในระดบั มหภาคหรือระดับใหญ่จากขนาดความกว้างยาวไม่ก่ีไมล์จนถึงขนาด 1 ล้าน ๆๆๆ ไมล์ ซงึ่ เป็นขนาดของเอกภพท่เี ราสงั เกตการณ์ได้ ส่วน ทฤษฎคี วอนตัม จะศึกษาระดบั จุลภาคทเ่ี ล็กจว๋ิ ได้แก่ อะตอม และ อนุภาคต่าง ๆ ส�ำหรบั การศึกษาสิ่งมชี ีวิตต่าง ๆ ในเอกภพนั้น ทฤษฎที ่ีส�ำคญั ทส่ี ดุ ซงึ่ เป็นทยี่ อมรบั อย่างกว้างขวางในปัจจบุ นั คอื ทฤษฎวี วิ ฒั นาการ 3.2.3 ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Theory of Evolution) เปน็ ทฤษฎที อ่ี ธบิ ายวา่ สรรพชวี ติ ทงั้ หลายมไิ ดเ้ กดิ จากบญั ชาของ พระเจ้า แต่เกิดจากสรรพชีวิตเหล่านั้นมีการปรับตัวพัฒนาจากสิ่งที่มี ชวี ิตเดมิ ทม่ี อี ยู่เก่าก่อนแล้ว 3.2.1 ทฤษฎีสัมพทั ธภาพ ทฤษฎีสัมพัทธภาพที่จะกล่าวในที่นี้ จะมุ่งกล่าวถึงผลของทฤษฎีเป็นหลัก ไม่เน้นอธบิ ายหลักการและความเป็นมาของตัวทฤษฎี เพราะเป็นเร่ืองทซ่ี ับซ้อน ซึง่ ผู้อ่านไม่มคี วามจ�ำเป็นต้องรู้รายละเอยี ดลึกถงึ ขนาดน้ัน ค�ำว่า “สัมพัทธภาพ” มาจากภาษาองั กฤษว่า “Relativity” เป็นค�ำนาม ส่วน ค�ำคณุ ศัพท์ของค�ำน้ี คอื “Relative” แปลว่า สัมพทั ธ์ หมายถึง ที่เทยี บเคียงกนั หรอื ท่เี ปรยี บเทียบกัน ค�ำว่า Relativity ซ่งึ เป็นค�ำนามจงึ ต้องแปลว่า สมั พทั ธภาพ หมายถงึ ความ เปรียบเทียบกัน หรือการเปรยี บเทยี บกนั น่ันเอง ทฤษฎีสัมพัทธภาพ มีหลักการส�ำคัญ คือ ผลของการวัดหรือการสังเกต ปรากฏการณท์ กุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง จะมผี ลโดยสมบรู ณห์ รอื มคี วามหมาย กต็ อ้ งเปน็ การวดั สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 63 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

หรอื การสงั เกตเปรยี บเทยี บกบั การอา้ งองิ เสมอ กลา่ วงา่ ย ๆ คอื ตามทฤษฎสี มั พทั ธภาพ การวดั อะไรกต็ าม ถา้ วดั กบั ตวั เองกไ็ มม่ คี วามหมายอะไร ตอ้ งเปน็ การวดั เปรยี บเทยี บ กับอะไรบางอย่างจงึ จะมคี วามหมาย เช่น การกล่าวเพียงว่านาย ก. สูงที่สดุ ไม่มี ความหมาย เพราะไม่ได้ระบวุ ่าเปรยี บเทยี บกับอะไร แต่ถ้ากล่าวว่า นาย ก. สูงที่สุด ในช้นั เรียนของเขา กจ็ ะมีความหมายสมบรู ณ์ เพราะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า นาย ก. สงู กว่าคนอ่นื ๆ ท้งั หมดในชัน้ เรยี นของเขา แต่ไม่ได้หมายความว่า นาย ก. สูงที่สดุ เมอ่ื น�ำไปเปรียบเทียบกับนักเรยี นชน้ั อ่นื ทมี่ บี างคนทส่ี งู กว่านาย ก. หรือเมอื่ ไอน์สไตน์กล่าวว่า “ความเรว็ และความโน้มถ่วง” เป็นเหตใุ ห้เวลาใน เอกภพไมเ่ ทา่ กนั กลา่ วคอื วตั ถทุ เ่ี คลอื่ นทเ่ี รว็ เวลาจะเดนิ ชา้ เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั วตั ถุ ทเี่ คลอ่ื นทช่ี า้ กวา่ และต�ำแหนง่ ทม่ี คี วามโนม้ ถว่ งสงู เวลาจะเดนิ ชา้ กวา่ ต�ำแหนง่ ทคี่ วาม โน้มถ่วงต่ำ� กว่า จากทีก่ ล่าวมานี้จะเหน็ ว่า ค�ำพูดของไอน์สไตน์ทีว่ ่า “ความเรว็ และ ความโนม้ ถว่ ง” เปน็ เหตใุ หเ้ วลาในเอกภพไมเ่ ทา่ กนั นนั้ จะมคี วามหมายสมบรู ณก์ ต็ อ่ เม่ือมกี ารเปรียบเทียบเท่านั้น ไอนส์ ไตนไ์ มไ่ ดค้ น้ พบทฤษฎสี มั พทั ธภาพเปน็ คนแรก แตท่ ฤษฎนี ว้ี วิ ฒั นาการ มาต้ังแต่สมัยของกาลิเลโอ ทว่าไอน์สไตน์เป็นผู้ขยายความให้ครอบคลุมมากกว่า กาลิเลโออีกหลายเท่า จนถึงกับปฏิวัติความเข้าใจทางฟิสิกส์ที่มีมาก่อน ทฤษฎี สมั พทั ธภาพของไอน์สไตน์มอี ยู่ 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎสี ัมพทั ธภาพพเิ ศษ (Special Theory of Relativity) และทฤษฎีสัมพัทธภาพท่ัวไป (General Theory of Relativity) แต่ละทฤษฎมี ีรายละเอยี ดดังน้ี 1.) ทฤษฎสี มั พทั ธภาพพเิ ศษ ไอน์สไตน์ต้งั ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษข้นึ มาเม่ือปี ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) เปน็ ทฤษฎที ใ่ี ชก้ บั กรอบอา้ งองิ เฉอ่ื ย หรอื กรอบอา้ งองิ ทเ่ี คลอื่ นทดี่ ว้ ยความเรว็ คงทส่ี มำ่� เสมอ ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 64 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

กรอบอา้ งองิ หมายถงึ วตั ถหุ รอื สง่ิ ใดสง่ิ หนงึ่ ทน่ี �ำมาเปรยี บเทยี บกบั การ เคลอื่ นทข่ี องอกี สงิ่ หนงึ่ เชน่ รถแลน่ ดว้ ยความเรว็ 100 กโิ ลเมตรตอ่ ชวั่ โมงเมอื่ เปรยี บ เทยี บกบั โลก ในทีน่ โ้ี ลกเป็นกรอบอ้างองิ เป็นต้น กรอบอ้างอิงเฉอื่ ย หมายถงึ กรอบอ้างองิ ทเี่ คล่ือนท่ดี ้วยความเร็วคงท่ี สม่ำ� เสมอ ปราศจากการเร่งความเรว็ หรือการชะลอความเร็ว เช่น โลกของเราถอื ได้ ว่าเป็นกรอบอ้างอิงเฉอื่ ยประเภทหนึง่ เพราะโลกเคล่อื นท่หี รือโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดว้ ยความเรว็ คงทสี่ มำ�่ เสมอ คอื หนงึ่ รอบใชเ้ วลานาน 365.253366 วนั ดว้ ยความเรว็ ประมาณ 100,000 กิโลเมตรต่อชวั่ โมง ความจริงอย่างหน่ึงท่ีเราต้องตระหนัก คือ ไม่มีส่ิงใดในเอกภพน้ีที่ หยดุ นง่ิ อย่กู บั ท่ี เราอาจจะคดิ วา่ เรายนื นงิ่ อย่ทู บ่ี ้าน แต่ทจ่ี รงิ แล้วบา้ นตง้ั อย่บู นโลกที่ เคลื่อนท่ีรอบดวงอาทิตย์ เราอาจคิดว่าดวงอาทิตย์อยู่น่ิงเป็นศูนย์กลางระบบสุริยะ แต่ที่จริงแล้วระบบสุริยะเคล่ือนไปรอบกาแล็กซีทางช้างเผือก และกาแล็กซีทางช้าง เผือกรวมท้ังกาแล็กซีท้ังหลายในเอกภพก�ำลังเคลื่อนท่ีหนีห่างจากกันตลอดเวลา ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพจึงก�ำลังเคลื่อนท่ี และทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพน้ี สามารถน�ำมาใช้เป็นกรอบอ้างองิ ได้ทัง้ หมด ผลของทฤษฎีสัมพทั ธภาพพเิ ศษ ผลของทฤษฎสี มั พทั ธภาพพเิ ศษ ท�ำใหน้ กั วทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ ใจความจรงิ ของโลก และชวี ติ เปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ หลายประการ โดยเฉพาะเรอื่ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง สสาร 1 กับพลังงาน, เร่ืองความยาว, เรื่องเวลา และกาลอวกาศมี 4 มิติท่ีเป็น เนอ้ื เดียวกัน 1 สสาร หมายถงึ สง่ิ ทม่ี มี วลสาร ตอ้ งการทอ่ี ยู่ และสมั ผสั ได้ อาจมเี พยี งสารเดยี ว เช่น ทองคาํ เงนิ แกว้ เกลือ น้ำ� หรือประกอบด้วยสารหลายสาร เช่น ดนิ ปืน อากาศ ก็ได้. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 65 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

ความสัมพนั ธ์ระหว่างสสารกับพลงั งาน ผอู้ า่ นหลายทา่ นคงจะรจู้ กั สมการ E = mc2 ซง่ึ เปน็ สมการทแี่ สดงความสมั พนั ธ์ ระหว่างสสารกับพลงั งานอันโด่งดังของไอน์สไตน์ดี E หมายถงึ พลงั งาน m หมายถงึ มวล 1 c หมายถึง ความเรว็ ของแสง ประมาณ 300,000 กโิ ลเมตรต่อวนิ าที สมการ E=mc2 นบ้ี อกเราวา่ มวลและพลงั งานแปลงกลบั ไปกลบั มาซงึ่ กนั และ กันได้ และเนือ่ งจากความเรว็ ของแสงมีค่าสูงมาก ย่งิ ยกก�ำลังสองกย็ ิ่งสงู มากข้นึ ไป อีก ด้วยเหตุนีม้ วลเพยี งเลก็ น้อยจึงสามารถเปลย่ี นเป็นพลงั งานมหาศาลได้ ระเบิด ลติ เตลิ บอย (The Little Boy) ทถ่ี กู น�ำไปทงิ้ ทเ่ี มอื งฮโิ รชมิ า ประเทศญปี่ นุ่ มคี วามยาว 3 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 71 เซนติเมตร และบรรจธุ าตยุ ูเรเนียมซึ่งจะถกู แปลงไป เปน็ พลงั งานระเบดิ เพยี ง 64 กโิ ลกรมั เทา่ นนั้ แตร่ ะเบดิ ลกู นเ้ี มอ่ื ถกู น�ำไปทง้ิ สง่ ผลให้ มีผู้เสียชวี ติ ทนั ที 70,000 คน 2 และคาดว่ายงั มีผู้เสียชวี ิตจากกมั มนั ตภาพรงั สขี อง ระเบดิ ดงั กลา่ วในเวลาตอ่ มาอกี ไมน่ อ้ ยกวา่ 100,000 คน สว่ นผทู้ ร่ี อดชวี ติ กอ็ ยอู่ ยา่ ง ทกุ ข์ทรมานแสนสาหสั เมอื่ มวลเปลย่ี นเป็นพลงั งานได้ พลงั งานกเ็ ปลย่ี นเป็นมวลไดเ้ ช่นกนั โดยมวล จะเพมิ่ ขน้ึ เมอื่ วตั ถเุ คลอื่ นทเ่ี รว็ ขนึ้ และยงิ่ เคลอื่ นทใ่ี กล้ความเรว็ แสงมากเท่าไร มวล ย่ิงมากข้ึนไปอีก มวลเหล่านี้มาจากพลังงานที่เราป้อน เพ่ือผลักดันวัตถุดังกล่าวให้ เคล่ือนที่นั่นเอง ส่ิงน้ีได้รับการพิสูจน์มาแล้วหลายคร้ังว่าเป็นจริง เช่น ศูนย์วิจัย นวิ เคลียร์แห่งยโุ รป (CERN) ได้ทดลองเร่งความเร็วอนภุ าคภายในอะตอมได้จนถึง 1 มวล หมายถงึ ปริมาณของสสาร หรือจ�ำนวนอนุภาคที่บรรจอุ ยู่ในวัตถุนน้ั ๆ อนภุ าคที่กล่าวถึง คอื อเิ ลก็ ตรอน โปรตอน และนิวตรอน รวมเรียกว่า อะตอม 2 วิกิพีเดยี . (2550). “ลติ เตลิ บอย (The Little Boy).” [ออนไลน์]. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 66 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

99.99% ของความเรว็ แสง แตห่ ลงั จากนน้ั ไมว่ า่ จะเพม่ิ พลงั งานไปมากเทา่ ใด กไ็ มอ่ าจ ท�ำได้ เพราะ “พลงั งาน” จะเปลยี่ นไปเปน็ “มวล” ตามสมการ E=mc2 ผลการทดลอง นจี้ งึ ยนื ยนั ทฤษฎขี องไอนส์ ไตนท์ บี่ อกวา่ “แสงเดนิ ทางเรว็ ทสี่ ดุ ในโลก” นอกจากนใ้ี น ปี ค.ศ.1930 (พ.ศ.2473) นักวิทยาศาสตร์สองคนช่อื พอล ดแิ รก (Paul Dirac) และ คาร์ล แอนเดอร์สัน (Carl Anderson) ได้ทดลองเร่ืองน้ี จากการทดลองคราว นน้ั วงการวทิ ยาศาสตรก์ ต็ อ้ งตน่ื เตน้ เมอ่ื พบวา่ พลงั งานสามารถแปรกลบั มาเปน็ สสาร ได้ มนุษย์สามารถสร้างสสารขน้ึ จากความว่างเปล่าได้ ผลการทดลองครั้งน้สี ่งผลให้ ทงั้ สองได้รบั รางวัลโนเบลในเวลาต่อมา 1 ความยาวหดลงเมือ่ ความเร็วเพิม่ ข้ึน ทฤษฎสี มั พทั ธภาพพเิ ศษระบวุ า่ ความยาวของวตั ถทุ เ่ี คลอ่ื นทด่ี ้วยความเรว็ ท่ี เพม่ิ ขน้ึ จะหดสนั้ ลงกว่าวตั ถุขนาดเดยี วกนั ทห่ี ยุดนงิ่ หรอื เคลอื่ นทชี่ ้ากว่า เช่น ความ ยาวของไมบ้ รรทดั ทว่ี างตามแนวนอนบนรถไฟทจี่ อดนงิ่ จะยาวเทา่ กบั ไมบ้ รรทดั ทเี่ รา ถือตามแนวนอนและยืนนิ่งอยู่กับท่ีบนชานชาลาสถานี แต่หากรถไฟคันดังกล่าว เคลอ่ื นทดี่ ว้ ยความเรว็ สมำ่� เสมอ ขณะทเ่ี รายงั ยนื นง่ิ อยทู่ ช่ี านชาลาดงั กลา่ ว เราจะเหน็ ไมบ้ รรทดั บนรถไฟหดสนั้ กวา่ ของเรา ยง่ิ รถไฟมคี วามเรว็ ใกลค้ วามเรว็ แสงมากเทา่ ไร ไม้บรรทัดบนรถไฟก็จะยิ่งหดส้ันลงกว่าไม้บรรทัดท่ีเราถืออยู่ท่ีชานชาลาไปตามส่วน และตวั ขบวนรถไฟกจ็ ะสนั้ ลงดว้ ย ถา้ สามารถเคลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเรว็ เทา่ กบั แสง ความ ยาวของไม้บรรทัดและรถไฟกจ็ ะไม่เหลือเลย คือ กลายเป็นศูนย์ 2 เวลาในเอกภพไม่เป็นหนึ่งเดียว แต่เดิมนักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า เวลาเป็นหน่ึงเดียวและเท่ากันเสมอไม่ว่าจะ เปน็ สถานทใ่ี ดในเอกภพ แตท่ ฤษฎสี มั พทั ธภาพพเิ ศษบอกวา่ เวลาในเอกภพแตกตา่ ง 1 สมภาร พรมทา (2534). “พุทธศาสนากับวทิ ยาศาสตร์.” หน้า 168. 2 ไพรัช ธัชยพงษ์ (2549). “ไอน์สไตน์ หลุมด�ำ และบิกแบง” หน้า 116. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 67 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

กันได้ โดยความเร็วท่ีต่างกันท�ำให้เวลาต่างกัน ย่ิงวัตถุเคลื่อนท่ีด้วยความเร็วมาก เท่าไร เวลากจ็ ะเดนิ ชา้ ลงเท่านน้ั เมอื่ เทยี บกบั วตั ถทุ เ่ี คลอ่ื นทชี่ ้ากวา่ ในชวี ติ ประจ�ำวนั เราจะสงั เกตความแตกตา่ งของเวลาไมอ่ อก เพราะความแตกตา่ งของความเรว็ ในการ เคลอื่ นทข่ี องวตั ถมุ นี อ้ ย แตน่ กั วทิ ยาศาสตรส์ ามารถทดลองความตา่ งกนั ของเวลาได้ โดยนกั วจิ ยั ชอ่ื เฮเฟลและคิทติงแห่งสหรฐั อเมรกิ า ได้น�ำนาฬิกาทสี่ ร้างจากอะตอม ของธาตุซีเซยี ม ซงึ่ วดั ได้ละเอยี ดถึงย่าน 1 ใน 1,000 ล้านล้านของวนิ าที มาติดตัง้ บนเครื่องบินพาณิชย์แล้วบินไปรอบโลก และเปรียบเทียบเวลาของนาฬิกาดังกล่าว กบั นาฬิกาทเ่ี หมอื นกนั ซง่ึ วางอยู่บนพนื้ ผวิ โลก พบว่า นาฬิกาบนเครอ่ื งบนิ ช้ากว่าบน ผวิ โลก ท้ังสองได้เขยี นรายงานลงในวารสารวิชาการชือ่ Science เมอื่ ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) 1 จากเรอื่ งความเรว็ ทมี่ ผี ลตอ่ เวลานี้ ไอนส์ ไตนไ์ ดจ้ นิ ตนาการถงึ คแู่ ฝดคหู่ นง่ึ ซง่ึ เรยี กว่า Twin Paradox โดยสมมตวิ า่ คแู่ ฝดคนู่ มี้ อี ายุ 20 ปี ชอ่ื สมชายกบั สมหญงิ สมหญิงต้องการอยู่บนโลก แต่สมชายตัดสินใจเดินทางออกไปนอกโลกด้วยยาน อวกาศที่มีความเร็ว 80% ของความเร็วแสง สมหญิงที่รออยู่บนโลกสามารถใช้ คณติ ศาสตรค์ �ำนวณพบวา่ จงั หวะการท�ำงานของรา่ งกายสมชายจะชา้ กวา่ เธอประมาณ 60% กล่าวคอื เม่ือหวั ใจเธอเต้น 5 ครั้ง หวั ใจของสมชายจะเต้น 3 ครั้ง เม่ือเธอ หายใจ 5 ครัง้ สมชายจะหายใจ 3 ครัง้ เป็นต้น ในทส่ี ุดเมื่อสมชายกลับคนื สู่โลก ตอนทป่ี ฏิทินบนโลกของสมหญงิ ผ่านไป 50 ปี แต่ส�ำหรับสมชายแล้วเวลาเพ่งิ ผ่าน ไปเพียง 30 ปี ฉะน้ันสมหญิงจึงมีอายุ 70 ปี ขณะท่ีสมชายมีอายุเพียง 50 ปี เท่านั้น 2 1 ไพรัช ธชั ยพงษ์ (2549). “ไอน์สไตน์ หลุมด�ำ และบิกแบง” หน้า 108. 2 แหล่งเดิม หน้า 108-109. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 68 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

กาลอวกาศมี 4 มิตแิ ต่เป็นเนื้อเดียวกัน ไอนส์ ไตนอ์ ธบิ ายทฤษฎสี มั พทั ธภาพพเิ ศษของเขาดว้ ยสมการลว้ น ๆ จงึ ท�ำให้ เปน็ เรอื่ งเข้าใจยากส�ำหรบั คนทว่ั ไป จนกระทง่ั ศาสตราจารย์เฮอร์มาน มนิ กาวสกี ซง่ึ เคยเป็นอาจารย์ท่านหน่ึงของไอน์สไตน์ ได้ใช้เรขาคณิตพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ พเิ ศษออกมาเปน็ ภาพ ท�ำใหเ้ ขาพบวา่ กาลอวกาศมี 4 มติ โิ ดยเวลาเปน็ มติ ทิ ่ี 4 อวกาศ และเวลา ซง่ึ มี 4 มติ นิ จ้ี ะกลมกลนื เปน็ เนอื้ เดยี วกนั อวกาศและเวลาจะไม่แยกอสิ ระ จากกัน เพราะต�ำแหน่งต่าง ๆ ในอวกาศจะมเี วลาไม่เท่ากัน ทง้ั นข้ี ้นึ อยู่กบั ความเรว็ ในการเคลอ่ื นทใ่ี นอวกาศของต�ำแหนง่ นนั้ ๆ 1 ต�ำแหนง่ A จะมเี วลาเปน็ ของต�ำแหนง่ A โดยเฉพาะ สว่ นต�ำแหนง่ B จะมเี วลาเป็นของต�ำแหนง่ B โดยเฉพาะซงึ่ ไมต่ รงกนั แต่มนษุ ยจ์ ะสงั เกตออกหรอื ไมน่ น้ั เปน็ อกี เรอ่ื งหนงึ่ เพราะบางต�ำแหนง่ มเี วลาตา่ งกนั น้อยมากเมื่อเทียบกบั อกี ต�ำแหน่งหนง่ึ เพราะความเร็วในการเคล่อื นท่ีของต�ำแหน่ง น้ัน ๆ ต่างกนั น้อยมาก จนไม่อาจจะวดั ความแตกต่างของเวลาออกมาให้เห็นอย่าง ชดั เจนได้ ดว้ ยเหตทุ อี่ วกาศและเวลากลมกลนื เปน็ หนง่ึ เดยี วกนั ไมแ่ ยกอสิ ระจากกนั นักวิทยาศาสตร์จึงเรียกทั้งสองอย่างน้ีรวมกันเป็นหน่ึงเดียวว่า “อวกาศเวลา” หรือ “กาลอวกาศ” 2.) ทฤษฎสี ัมพทั ธภาพทวั่ ไป ไอน์สไตน์ตระหนักว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษท่ีเขาประกาศไปเมื่อปี ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) นน้ั แม้จะปฏิวตั วิ งการฟิสิกส์โลกในหลาย ๆ เรือ่ ง แต่เขา ยงั ไม่พอใจนกั เพราะว่ายังมจี ดุ อ่อนอยู่อย่างน้อย 2 ประการคอื (1) ทฤษฎยี งั วางอยบู่ นพนื้ ฐานของความเรว็ คงทห่ี รอื กรอบอา้ งองิ เฉอ่ื ย แต่ ในโลกความเป็นจริงแทบจะไม่มีอะไรท่ีจะรักษาความเร็วให้คงที่ได้ ตลอด 1 ในทฤษฎสี มั พทั ธภาพทว่ั ไป ระบวุ า่ นอกจากความเรว็ แลว้ ความโนม้ ถว่ ง ยงั สง่ ผลใหเ้ วลาตา่ งกนั ดว้ ย กล่าวคอื ต�ำแหน่งใดที่มีความโน้มถ่วงสูง เวลาจะเดนิ ช้ากว่าต�ำแหน่งทีม่ ีความโน้มถ่วงต่ำ� กว่า. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 69 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

(2) ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องความโน้มถ่วง ซ่ึงเป็น เรื่องส�ำคญั ทป่ี รากฏอยู่ท่วั ไปในโลกและในเอกภพ ไอน์สไตน์จึงตง้ั ทฤษฎีสมั พัทธภาพท่วั ไปขึน้ มาในปี ค.ศ. 1915 (พ.ศ. 2458) เพอ่ื ใช้อธบิ ายวตั ถทุ ่เี คลื่อนทีด่ ้วยความเรว็ ไม่คงท่ี และอธบิ ายเร่ืองแรงโน้มถ่วง ผลของทฤษฎสี มั พัทธภาพทั่วไป ผลของทฤษฎีนี้ท�ำให้ไอน์สไตน์ได้ค้นพบปรากฏการณ์ความโน้มถ่วงท่ีส�ำคัญ 3 ประการ คือ ความโน้มถ่วงท�ำให้เวลาเดนิ ช้าลง, ความโน้มถ่วงท�ำให้แสงเดินทาง เป็นเส้นโค้ง และความโน้มถ่วงยืดความยาวของคล่ืนแสง ผลทั้งสามประการน้ี ไอน์สไตน์สามารถอธิบายได้ทั้งเหตุผลในเชิงคุณภาพ และอธิบายด้วยตัวเลขการ ค�ำนวณทางคณิตศาสตร์ 1 ความโน้มถ่วงท�ำให้เวลาเดินช้าลง ความโน้มถ่วงยิ่งสงู ขน้ึ เท่าใด เวลาก็ยิง่ เคล่ือนหรือผ่านไปช้าลงเท่านน้ั ดังนน้ั นาฬิกาบนโลกกับนาฬิกาบนดวงจนั ทร์จะเดนิ เรว็ ไม่เท่ากัน นาฬิกาบนโลกจะเดินช้า กวา่ เพราะความโนม้ ถว่ งของโลกสงู กวา่ ของดวงจนั ทร์ ยงิ่ ดาวดวงใดมมี วลสงู ความ โน้มถ่วงก็จะสูงตามไปด้วย เม่ือความโน้มถ่วงสูงเวลาก็จะเดินช้าลงไปด้วยเช่นกัน ปัจจบุ นั นกั วทิ ยาศาสตร์วดั ความแตกต่างระหว่างเวลาบนดวงอาทติ ย์และบนผวิ โลก ได้ว่า เป็นไปตามทีไ่ อน์สไตน์บอกไว้เมอื่ 100 ปีมาแล้วทกุ ประการ กล่าวคือ ในปี ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) นกั วทิ ยาศาสตร์วดั ได้ว่าเวลาบนดวงอาทติ ย์ช้ากว่าบนโลก เรา 64 วนิ าทใี นหน่งึ ปี 2 1 ไพรัช ธชั ยพงษ์ (2549). “ไอน์สไตน์ หลุมด�ำ และบกิ แบง” หน้า 152. 2 แหล่งเดิม หน้า 412. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 70 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ความโน้มถ่วงท�ำให้แสงเดนิ ทางเป็นเส้นโค้ง ผลของสนามความโน้มถ่วงท�ำให้ “กาลอวกาศ” รอบวัตถุใหญ่ ๆ ดังเช่น ดวงดาวมสี ภาพโคง้ งอ ดงั นนั้ แสงทเี่ ดนิ ทางเขา้ ใกลด้ วงดาว เชน่ ดวงอาทติ ย์ จะเดนิ ทางไม่เป็นเส้นตรง แต่จะเบนตามผวิ โค้งของกาลอวกาศ บรเิ วณใกล้ ๆ ดวงอาทิตย์ หากเปรยี บหว้ ง “กาลอวกาศ” ในจกั รวาลหรอื ในเอกภพเปน็ เหมอื น “นำ้� ” ทใี่ ส่ ไวใ้ นอา่ งใบใหญ่ และเปรยี บดวงดาวตา่ ง ๆ เหมอื น “ผลสม้ ” ทใี่ สล่ งไปในนำ�้ นน้ั ตอน ทเี่ รายงั ไมไ่ ดใ้ สผ่ ลสม้ ลงไปในอา่ งนำ�้ นำ�้ ในอา่ งจะมสี ภาพราบเรยี บเสมอเหมอื นกนั ใน ทุกต�ำแหน่ง แต่เมอ่ื เราใส่ผลส้มลงไปแล้ว ผลส้มกจ็ ะแทรกเข้าไปอยู่ในน�้ำ ส่งผลให้ นำ�้ บรเิ วณผลสม้ มคี วามโคง้ งอไปตามผวิ ของผลสม้ ซงึ่ คอ่ นขา้ งกลม ความโคง้ งอของ กาลอวกาศกม็ ลี กั ษณะคลา้ ย ๆ ทกี่ ลา่ วมาน้ี เมอ่ื กาลอวกาศบรเิ วณใกล้ ๆ กบั ดวงดาว ต่าง ๆ โค้งงอ จงึ สง่ ผลให้แสงทเ่ี ดนิ ทางผ่านเขา้ มาบรเิ วณนน้ั โค้งงอไปตามความโค้ง ของกาลอวกาศในต�ำแหน่งน้ันด้วย ความโน้มถ่วงยดื ความยาวของคลื่นแสง ความโน้มถ่วงยืดความยาวของคลื่นแสง หมายถึง ความโน้มถ่วงท�ำให้แสง เกิดเปลี่ยนแปลงความถี่ของคลื่นจากความถ่ีสูงไปสู่ความถี่ต่�ำ เพราะคล่ืนแสงท่ีมี ความถส่ี งู จะมคี วามยาวของชว่ งคลนื่ แตล่ ะคลน่ื สนั้ สว่ นคลน่ื ทม่ี คี วามถตี่ ำ�่ จะมคี วาม ยาวของช่วงคลื่นแต่ละคล่ืนยาว แสงที่มีความถี่สูงจะมีสีม่วงส่วนแสงท่ีมีความถ่ีต�ำ่ จะมสี แี ดง หากเราอย่ใู นบรเิ วณทมี่ คี วามโน้มถว่ งตำ�่ แล้วมองไปยงั ต�ำแหนง่ ทมี่ คี วาม โน้มถ่วงสูง แสงท่ีส่งออกมาจากต�ำแหน่งท่ีความโน้มถ่วงสูงจะปรากฏต่อเราว่า ความยาวคล่ืนยดื ขยายออกไป น่ันคือ หากแสงท่สี ่งออกมาเป็นสมี ่วงแต่เราจะมอง เห็นเป็นสแี ดง เพราะอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงทีไ่ ปยดื ขยายคลื่นแสงนั้น สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 71 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

3.2.2 ทฤษฎีควอนตัม ควอนตมั (Quantum) แปลว่า ก้อนพลงั งาน 1 เป็นค�ำที่ มักซ์ พลงั ค์ (Max Planck) นกั ฟสิ กิ สช์ าวเยอรมนั ผตู้ ง้ั ทฤษฎคี วอนตมั ขนึ้ ในปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) ใช้เรียกพลังงานของแสงที่ได้ออกมาจากการเผา “ของแข็ง” จนร้อนและสุกสว่าง มักซ์ พลงั ค์ สังเกตเหน็ ว่า พลังงานของแสงทใี่ ห้ออกมานั้นไม่ต่อเน่ืองกัน แต่จะมี ลกั ษณะเป็นช่วง ๆ หรือเป็นก้อน ๆ เขาจงึ เรยี กพลังงานในปริมาณช่วงหน่ึง ๆ หรือ ก้อนหนง่ึ ๆ ว่า “ควอนตมั ” 2 ควอนตมั เปน็ แขนงหนง่ึ ของวชิ าฟสิ กิ ส์ เรยี กวา่ ควอนตมั ฟสิ กิ สบ์ า้ ง (Quan- tum physics) เรยี กว่า วชิ ากลศาสตร์ควอนตมั บ้าง (Quantum mechanics) ซึ่ง เป็นศาสตร์ทศ่ี ึกษาเอกภพในระดับเล็กท่ีตาเปล่ามองไม่เหน็ ค�ำว่า “ควอนตัม” เพิง่ เกดิ ขน้ึ ในศตวรรษที่ 20 นกี้ จ็ รงิ แตก่ ารศกึ ษาในเรอ่ื งนม้ี ปี ระวตั คิ วามเปน็ มายาวนาน ย้อนอดีตไปเม่ือ 2,500 ปีท่ีแล้ว นักปรัชญากรีกต้ังค�ำถามว่า โลกท่ีมนุษย์ อาศยั อยนู่ ปี้ ระกอบดว้ ยอะไร ตอ่ มาลยุ ซปิ ปสุ (Leucippus) และ เดโมครติ สุ (Dem- ocritus) ได้จนิ ตนาการว่า หากเขาเรม่ิ ผ่าครงึ่ ผลแอปเปิลแล้วแบ่งจาก 2 ส่วนเป็น 4 เป็น 8 เป็น 16 ไปเรื่อย ๆ ในทีส่ ุดเขาจะไม่อาจแบ่งแอปเปิลได้อกี ท้ังสองจึงเรียก ส่วนทเ่ี ล็กท่สี ดุ ของแอปเปิลและของสสารทกุ ชนิดว่า อะตอม (Atom) ซึ่งมาจากค�ำ ในภาษากรกี ว่า Atomos ท่แี ปลว่าแบ่งแยกไม่ได้ เรือ่ งอะตอมจงึ เป็นสิ่งทีศ่ ึกษากันมายาวนาน จากยุคแรกทไ่ี ม่อาจจะวัดขนาด อะตอมได้ ตอ่ มาเมอื่ เครอ่ื งมอื วดั ทนั สมยั ขน้ึ กส็ ามารถวดั ขนาดอะตอมได้ แตอ่ ะตอม มีขนาดเล็กมาก จึงต้องหาหน่วยวัดความยาวแบบใหม่ คือ หน่วยอังสตรอม ซึ่ง 100 ล้านองั สตรอมจะเทา่ กบั 1 เซนตเิ มตร แต่อะตอมตา่ งชนดิ กนั จะมขี นาดต่างกนั 1 มาลี บานชนื่ (2531). “แสงและทฤษฎคี วอนตัม.” หน้า 110. 2 แหล่งเดิม หน้า 79-80. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 72 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

โดยท่ัวไปแล้วอะตอมจะมขี นาด 1 หรอื 2 อังสตรอม 1 หรือมีขนาดเท่ากบั 1 หรอื 2 ใน 100 ล้านส่วนของ 1 เซนติเมตร 1 อังสตรอม = 1/100,000,000 ซม. = 0.00000001 ซม. = 1.0 x 10-8 ซม. 2 2 อังสตรอม = 2/100,000,000 ซม. = 0.00000002 ซม. = 2.0 x 10-8 ซม. แต่เดิมนักฟิสิกส์คิดว่าส่งิ ท่ีพวกเขาค้นพบน้ี ไม่อาจแบ่งแยกได้อกี ต่อไปแล้ว จงึ เรยี กวา่ “อะตอม” ตอ่ มาเมอื่ ศกึ ษาเพมิ่ มากขน้ึ กลบั พบวา่ สสารเหลา่ นย้ี งั แบง่ แยก ออกไดอ้ กี โดยมนี วิ เคลยี สอยศู่ นู ยก์ ลาง และมอี เิ ลก็ ตรอนโคจรอยรู่ อบ ๆ นวิ เคลยี ส นนั้ และภายในนิวเคลียสยงั มีโปรตอนและนิวตรอนบรรจุอยู่อกี ในช่วงที่มีการค้น พบอเิ ลก็ ตรอน, โปรตอน และนวิ ตรอนนเี้ อง มักซ์ พลังค์ ก็ได้ตั้งทฤษฎีควอนตมั ข้นึ มา ต่อมา นลี ส์ บอร์ (Niels Bohr) ได้พัฒนาทฤษฎคี วอนตัมให้ก้าวหน้าไปมาก โดยบอร์ได้ใช้ทฤษฎขี อง มักซ์ พลังค์ มาผสมกับโครงสร้างอะตอมทีร่ ัทเธอร์ฟอร์ด ซงึ่ เปน็ ครขู องเขาไดจ้ ดั ท�ำไว้ แลว้ น�ำมาอธบิ ายสเปกตรมั จากอะตอมของไฮโดรเจนได้ ถูกต้อง ต่อมาบอร์และเพือ่ นนักฟิสิกส์ได้แสดงแบบจ�ำลองของอะตอม ที่มลี กั ษณะ เหมอื นระบบสรุ ยิ ะ โดยมนี วิ เคลยี สทป่ี ระกอบดว้ ยโปรตอนและนวิ ตรอนอยตู่ รงกลาง มีอิเลก็ ตรอนโคจรอยู่รอบ ๆ นวิ เคลียส ในช่วงเวลาน้ันนกั ฟิสิกส์เข้าใจว่า โปรตอน นิวตรอน และอเิ ลก็ ตรอน ไม่อาจจะแบ่งแยกออกไปได้อีกแล้ว แต่ต่อมายงั พบว่า โปรตอนและนวิ ตรอนยงั ประกอบด้วยอนภุ าคทเ่ี ลก็ ยิง่ กว่าเรียกว่า ควาร์ก (Quark) และภายหลงั ก็ยังพบอนุภาคท่เี ลก็ ยิ่งกว่านเ้ี พมิ่ มากขึ้นเร่ือย ๆ 1 Michael Chester. (1978). “Particles : An Introduction to Paticle Physics.” แปลโดย ธนกาญจน์ ภทั รากาญจน์ (2533). “อนภุ าค : ความรู้เบื้องต้นเกีย่ วกับฟิสกิ ส์อนภุ าค.” หน้า 3. 2 1.0 x 10-8 ซม.=1/108 = 1/100,000,000 = 0.00000001 ซม. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 73 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

ผลทีส่ �ำคญั ของทฤษฎคี วอนตมั ทฤษฎีควอนตัมพบว่า ในโลกของสสารทีม่ ีขนาดเล็กไม่มคี วามคงท่สี มำ่� เสมอ ไมม่ กี ฎเกณฑท์ แี่ นน่ อน สง่ิ ทเี่ ราสามารถพยากรณไ์ ดใ้ นโลกแหง่ อนภุ าค มเี พยี งความ น่าจะเป็นเท่าน้ัน แต่เดิมวิชาฟิสิกส์วางอยู่บนรากฐานท่ีว่า จักรวาลน้ีมีความเป็น ระเบียบ มีกฎเกณฑ์ มีความคงท่ีสม�ำ่ เสมอ แต่รากฐานน้ีไม่อาจจะน�ำมาอธบิ ายโลก แหง่ อนภุ าคไดอ้ กี ตอ่ ไป แมแ้ ตไ่ อนส์ ไตนเ์ องกย็ งั กงั วลวา่ ควอนตมั ฟสิ กิ สเ์ ตบิ โตโดย ไม่เคารพกฎการเรียงล�ำดับเหตุ (Cause) ไปสู่ผล (Effect) นีลส์ บอร์ มกั จะสร้าง ทฤษฎที ไ่ี มส่ นใจการเรยี งล�ำดบั วา่ ตอ้ งมเี หตกุ อ่ นแลว้ จงึ จะเกดิ ผล ขณะทไี่ อนส์ ไตน์ เชอื่ วา่ โดยธรรมชาตแิ ลว้ เหตตุ อ้ งมากอ่ นแลว้ จงึ จะมผี ลตามมา ซงึ่ ทฤษฎสี มั พทั ธภาพ ของเขากย็ นื ยนั เช่นน้ัน 1 เพราะฉะน้ันทฤษฎที งั้ สองนจี้ ึงขดั แย้งซงึ่ กนั และกนั ทฤษฎี สมั พทั ธภาพสามารถอธิบายโครงสร้างเอกภพได้ อธบิ ายจกั รวาลได้ แต่ไม่สามารถ อธบิ ายโครงสรา้ งระดบั เลก็ แบบทฤษฎคี วอนตมั ได้ ในขณะเดยี วกนั ทฤษฎคี วอนตมั ก็ไม่สามารถอธบิ ายโครงสร้างเอกภพได้เช่นกัน ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาทฤษฎีใหม่ ที่สามารถอธิบายทุกสิ่ง ทกุ อย่างได้ ภายใต้ช่อื ว่า ทฤษฎสี รรพส่ิง (Theory of Everything) โดยหลักการ แล้วจะรวมทัง้ สองทฤษฎนี เี้ ข้าด้วยกนั เป็น “ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงแบบควอนตมั ” 3.2.3 ทฤษฎีวิวัฒนาการ ววิ ฒั นาการ (Evolution) ในความหมายทวั่ ไป หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงของ ส่ิงมีชีวิตที่ปรากฏข้ึนในระหว่างช่ัวรุ่น การเปลี่ยนแปลงจะเกิดข้ึนในทุกระดับต้ังแต่ ระดบั ดเี อน็ เอไปจนถงึ ลกั ษณะรปู รา่ ง สรรี วทิ ยา และพฤตกิ รรมของสงิ่ มชี วี ติ ใหแ้ ตก ต่างไปจากบรรพบุรษุ 2 ทฤษฎีววิ ฒั นาการจงึ เป็นทฤษฎที ศี่ ึกษาเรอื่ งวิวัฒนาการของ 1 ไพรัช ธชั ยพงษ์ (2549). “ไอน์สไตน์ หลุมด�ำ และบิกแบง.” หน้า 245. 2 พัฒนี จันทรโรทยั (2547). “วิวัฒนาการ : ความเป็นมาและกระบวนการก�ำเนดิ สิ่งมชี ีวติ .” หน้า 1. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 74 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

ส่ิงมีชีวิตว่ามีความเป็นมาอย่างไร มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีพัฒนาการ มาจากอดีตอย่างไร ชาร์ลส์ ดาร์วนิ (ค.ศ. 1809-1882) ได้ช่อื ว่าเป็น “บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการ” เนอื่ งจากเปน็ ผทู้ าำ ใหท้ ฤษฎนี เี้ ปน็ ทย่ี อมรบั ของนกั ชวี วทิ ยาและชาวโลกอยา่ งกวา้ งขวาง ดาร์วิน เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เขาได้แนวคิดเร่ืองวิวัฒนาการของส่ิงมี ชวี ติ หลงั จากทเ่ี ขาเดนิ ทางไปกบั เรอื รบหลวงบเี กล้ิ ในปี ค.ศ. 1831 (พ.ศ. 2374) เพอื่ สาำ รวจดนิ แดนหมู่เกาะกาลาปากอสซ่งึ ต้งั อยู่ 600 ไมล์ไปทางตะวันตกของประเทศ เอควาดอร์ในอเมริกาใต้ จากการสาำ รวจครง้ั นน้ั ดารว์ นิ พบวา่ นกฟนิ สห์ รอื นกกระจอกทอ่ี ยบู่ นเกาะแตล่ ะ เกาะมลี กั ษณะแตกต่างกนั เขาจึงตั้งข้อสันนษิ ฐานว่า นกเหล่านอ้ี าจมีววิ ัฒนาการมา จากนกชนดิ หนง่ึ ทเี่ ปน็ บรรพบรุ ษุ และอาศยั อยใู่ นทวปี อเมรกิ าใต้ และสาเหตสุ าำ คญั ท่ี ทาำ ใหป้ ระชากรนกฟนิ สม์ คี วามแตกตา่ งกนั นนั้ เปน็ ผลจากสภาพภมู ศิ าสตรข์ องแตล่ ะ เกาะ สรรพศำสตรใ์ นพระไตรปิฎก 75 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

ประกอบกบั ดารว์ นิ ไดอ้ า่ นบทความของ ทอมสั มลั ทสั นกั เศรษฐศาสตรช์ าว องั กฤษทบ่ี รรยายวา่ การเพม่ิ ขนึ้ ของสง่ิ มชี วี ติ เปน็ แบบเรขาคณติ (1, 2, 4, 8, 16,….) แต่ปรมิ าณอาหารเพ่ิมขน้ึ แบบเลขคณติ (1, 2, 3, 4, 5,….) ดังน้ันสง่ิ มชี วี ิตจึงต้องมี การต่อสู้เพ่ือให้ได้มาซ่ึงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ�ำกัด โดยตัวท่ีแข็งแรงและมีความ เหมาะสมที่สดุ ในสภาวะแวดล้อมขณะน้นั จะสามารถมชี วี ติ อยู่รอดได้ และถ่ายทอด ลกั ษณะดงั กล่าวไปยังลกู รุ่นต่อไป ต่อมาดาร์วินและเพ่ือนของเขาชอ่ื อัลเฟรด รสั เซลล์ วอลเลซ ซ่งึ มคี วามคดิ เรื่องวิวัฒนาการดังกล่าวสอดคล้องกันได้ร่วมกันเสนอ “ทฤษฎีการคัดเลือกโดย ธรรมชาติ” (The Theory of Natural Selection) ท่สี มาคมลนิ เนียน ประเทศ อังกฤษ โดยมีประเด็นส�ำคญั ดังน้ี (1) การเพิม่ พนู เกินพอ (Overproduction) กล่าวคอื สิ่งมชี วี ติ ท้ังหลายมี ความสามารถผลติ ลูกได้มากกว่าท่จี ะมีชีวิตอยู่รอด (2) ความแปรผนั (Variation) สมาชกิ ของสงิ่ มชี วี ติ มคี วามแปรผนั ซง่ึ รวม ไปถงึ การแปรผันของรูปร่างหรอื พฤติกรรม ความแปรผันอาจจะเรียก ว่า “การผ่าเหล่า” กไ็ ด้ (3) การต่อสู้เพือ่ ความอยู่รอด (Struggle for existance) (4) สง่ิ มชี วี ติ ทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ เทา่ นน้ั จงึ มชี วี ติ อยรู่ อด (Survival of fif itness) (5) ถ่ายทอดลกั ษณะที่ดเี ด่น (Inheritance of superior traits) จากทฤษฎกี ารคัดเลอื กโดยธรรมชาตนิ ้ี ท�ำให้นกั ชวี วทิ ยาส่วนใหญ่ยอมรบั ว่า สงิ่ มชี วี ติ มกี ารววิ ฒั นาการ อยา่ งไรกต็ ามทฤษฎนี ย้ี งั ไมส่ ามารถอธบิ ายถงึ สาเหตทุ ที่ �ำให้ สมาชกิ ของสงิ่ มชี วี ติ มคี วามแปรผนั 1 หรอื ผา่ เหลา่ คอื มรี ปู รา่ งและพฤตกิ รรมตา่ งไป จากบรรพบรุ ษุ 1 พฒั นี จนั ทรโรทยั (2547). “ววิ ฒั นาการ : ความเป็นมาและกระบวนการก�ำเนดิ สง่ิ มชี วี ติ .” หนา้ 53-58. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 76 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

มนษุ ย์ววิ ฒั นาการมาจากลงิ ใหญ่ ? เนอ้ื หาสาำ คญั อกี สว่ นหนงึ่ ในทฤษฎขี องดารว์ นิ ทก่ี ลา่ วไวใ้ นหนงั สอื “บรรพบรุ ษุ ของมนุษย์” เขาอธิบายว่า “มนษุ ย์เป็นสัตว์โลก และท่สี ำาคัญมีความเกย่ี วข้องกับลงิ ใหญ่ทยี่ ืนได้ด้วยสองขา” กล่าวคอื มนษุ ย์และลิงสองขา มีรปู ร่าง มีอวัยวะ และรับ ความรู้สึกท่คี ล้ายกนั เป็นโรคชนดิ เดยี วกันได้ มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่คล้าย กนั ตัวอ่อนมพี ฒั นาการเช่นเดียวกนั คอื ท้งั สองชนิดจะมหี างอยู่ระยะหนึง่ แต่หาง ท่ีเป็นส่ิงบ่งบอกว่าบรรพบรุ ษุ ของมนษุ ย์เป็นพวกสตั ว์ 4 เท้านน้ั ได้หายไปก่อนที่จะ คลอดออกมา 1 1 Anna Sproule (1990). CHARLES DARWIN, ปิ่น – ฉวี เวชชานเุ คราะห์ แปล (2543). “ชาร์ลส์ ดาร์วนิ .” หน้า 55-56. สรรพศำสตร์ในพระไตรปฎิ ก 77 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

การทดี่ ารว์ นิ กลา่ ววา่ มนษุ ยว์ วิ ฒั นาการมาจากลงิ ใหญน่ ี้ ถอื วา่ เขากลา้ หาญมาก เพราะขดั กบั หลักค�ำสอนในศาสนาคริสต์ท่ีว่า “พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนษุ ย์ขนึ้ มา” ครั้ง หนงึ่ ในระหวา่ งวนั ประชมุ พจิ ารณา “ทฤษฎวี วิ ฒั นาการ” ในปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) ซามูเอล วลิ เบอร์ฟอร์ซ บาทหลวงแห่งอ๊อกฟอร์ด ได้เดนิ เข้ามาในทป่ี ระชุมแล้วมอง หน้า ศาตราจารย์ฮกั ซเลย์ ผู้สนบั สนนุ คนส�ำคญั ของดาร์วิน พร้อมกบั ถามว่า “ญาติ ทางฝ่ายไหนของท่าน เป็นทางคุณปู่หรือคุณย่าของท่านท่สี ืบเชื้อสายมาจากลงิ ” อย่างไรก็ตาม เม่อื กาลเวลาผ่านไปวงการต่าง ๆ กใ็ ห้การยอมรับทฤษฎขี อง ชารล์ ส์ ดาร์วนิ มากขนึ้ เรอ่ื ย ๆ จนครสิ ตจกั รคาทอลกิ เองกต็ อ้ งปรบั เปลย่ี นทา่ ทใี หม่ จากการเผชิญหน้าหันมาเป็นแบ่งรับแบ่งสู้ พร้อมท้ังเริ่มน�ำทฤษฎีใหม่ ๆ ทาง วิทยาศาสตร์ไปศกึ ษาแล้วแสดงทรรศนะในเชิงเปรยี บเทียบด้วยหลักเหตุผล เมื่อต้นปี พ.ศ. 2550 พระสนั ตะปาปาเบเนดิกต์ท่ี 16 ออกมาแสดงทรรศนะ ต่อทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นคร้ังแรก โดยกล่าวชื่นชมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แตก่ ก็ ลา่ วถงึ ทฤษฎวี วิ ฒั นาการว่ายงั ไม่สมบรู ณเ์ พราะไมส่ ามารถพสิ จู นไ์ ด้ เนอื่ งจาก การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมตลอดระยะเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา ไม่สามารถ จ�ำลองขึน้ ในห้องทดลองได้ อย่างไรก็ตามพระสันตะปาปายังได้กล่าวอีกว่า “พระเจ้า ได้สร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตผ่านกระบวนการวิวัฒนาการ” ทรรศนะของพระสันตะ- ปาปาเบเนดกิ ตน์ ี้ ได้รบั การตพี มิ พ์เผยแพรท่ ป่ี ระเทศเยอรมนเี ป็นหนงั สอื ชอ่ื ว่า “การ สร้างกบั ววิ ฒั นาการ” (Creation and Evolution) 1 1 ผู้จัดการ. (2550). “โป๊ปวพิ ากษ์วทิ ยาศาสตร์แคบเกนิ อธบิ ายก�ำเนดิ สิง่ มชี วี ติ .” [ออนไลน์]. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 78 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

3.3 การก�ำเนดิ และโครงสร้างของเอกภพ 3.3.1 การก�ำเนิดของเอกภพ เมอ่ื นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดค้ น้ พบเกยี่ วกบั เอกภพ กไ็ ดพ้ ยายามหาค�ำตอบเกยี่ วกบั ก�ำเนดิ เอกภพ โดยคดิ ทฤษฎขี น้ึ มาหลายทฤษฎี ในอดตี มที ฤษฎที เี่ ชอื่ วา่ นา่ จะเปน็ ไป ได้ คอื ทฤษฎที เี่ หน็ วา่ จกั รวาลคงทแ่ี ละเปน็ ระบบทชี่ ดั เจน จนกระทง่ั เมอื่ มกี ารผลติ กล้อง Hubble ข้นึ กไ็ ด้มีทฤษฎีใหม่ที่ได้รบั การยอมรบั มากทส่ี ดุ คอื ทฤษฎี Big Bang หรอื การระเบดิ ครงั้ ใหญ่ โดยเมอื่ นกั วทิ ยาศาสตร์สอ่ งกล้องไปพบว่า ดวงดาว หรอื กาแลก็ ซเี คล่ือนออกจากกนั เขาจึงสนั นิษฐานว่า เอกภพเกดิ ขนึ้ จากการระเบดิ ครั้งใหญ่ การระเบดิ นั้นมกี ารระเบิดออกมาจากจุดศนู ย์กลาง เม่ือระเบดิ แล้วก็เกดิ การกระจายตัวของฝุ่นละอองต่าง ๆ แล้วมารวมตวั กนั เป็นเกลยี ว เรยี กว่า Galaxy เป็นกาแล็กซีน้อยใหญ่ข้ึนมา และเกิดตัวระบบใหญ่เรียกว่า Universe โดยมี จุดศูนย์กลางเรียก จุด Singularity แรงเหน่ียวจากการระเบิดคร้ังใหญ่นั้นเองท่ี ท�ำให้ดวงดาวและกาแล็กซตี ่าง ๆ เคลื่อนออกจากกนั นอกจากน้ี นักวิทยาศาสตร์ยังได้สังเกตการหมุนของกาแล็กซี ท�ำให้ค้นพบ สสารบางอยา่ งซงึ่ ท�ำใหด้ วงดาวในกาแลก็ ซเี คลอ่ื นทไ่ี ดอ้ ยา่ งชา้ ๆ ถา้ หากไมม่ แี รงโนม้ ถ่วงจากสสารลกึ ลับนีเ้ ข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เหล่าดวงดาวในกาแลกซีกจ็ ะเคล่ือนทีไ่ ด้ เรว็ กวา่ นี้ นกั วทิ ยาศาสตรจ์ งึ ตง้ั ชอ่ื สสารนว้ี า่ สสารมดื (Dark Matter) มกี ารประมาณ กนั ว่าสสารมดื เป็นองค์ประกอบกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของมวลทง้ั หมดในจกั รวาล 1 นกั วทิ ยาศาสตรก์ �ำลงั ศกึ ษาดแู นวโนม้ ของเอกภพในอนาคต จงึ คดิ ทฤษฎเี กยี่ ว กบั ลกั ษณะการขยายตวั ของเอกภพ และสรปุ ทฤษฎวี า่ เอกภพอาจจะขยายตวั ต่อไป เรอ่ื ย ๆ ไม่มีท่ีส้นิ สดุ หรอื จะขยายตัวแล้วกจ็ ะคงที่ หรือจะค่อย ๆ หดตวั กลบั มา 1 D.Finley, D.Aguilar (November 2,2005). Astronomers Get Closest Look Yet At Milky Way’s Mysterious Core. National Radio Astronomy Observatory. Retrieved on 2006- 08-10. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 79 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

รวมกันและเกิดการชนกันเป็นจุดจบของเอกภพ ก็เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ก�ำลัง ค้นหากันต่อไป 3.3.2 โครงสร้างของเอกภพ โครงสร้างของเอกภพแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้ 3 ส่วน คือ กาแลก็ ซี (Galaxy) กระจกุ กาแลก็ ซี (Cluster of galaxies) และซเู ปอรค์ ลสั เตอร์ (Supercluster) 1 แต่ หากแบ่งย่อยออกไปอีกตามรูปภาพโครงสร้างของเอกภพในหน้า 60 จะได้ดังนี้ โลก (The Earth) โลกของเรามขี นาดเส้นผ่าศนู ย์กลาง 12,756 กิโลเมตร โลกอยู่ห่างจากดวง อาทติ ย์ 150 ลา้ นกโิ ลเมตร แสงอาทติ ยต์ อ้ งใชเ้ วลาเดนิ ทางนาน 8 นาทกี วา่ จะถงึ โลก ระบบสรุ ิยะ (Solar System) ประกอบดว้ ยดวงอาทติ ยเ์ ปน็ ดาวฤกษอ์ ยตู่ รงศนู ยก์ ลาง มดี าวเคราะห์ 9 ดวง เป็นบริวารโคจรล้อมรอบ ดาวฤกษ์แต่ละดวงอาจมีดวงจันทร์เป็นบริวารโคจร ลอ้ มรอบอกี ทหี นง่ึ ดาวพลโู ตอยหู่ า่ งจากดวงอาทติ ย์ 6 พนั ลา้ นกโิ ลเมตร แสงอาทติ ย์ ต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่า 5 ชว่ั โมงกว่าจะถึงดาวพลโู ต ดาวฤกษ์เพื่อนบ้าน (Stars) ดาวฤกษ์แต่ละดวงอาจมีระบบดาวเคราะห์เป็นบริวารเช่นเดียวกับระบบสรุ ิยะ ของเรา ดาวฤกษ์แต่ละดวงอยู่ห่างกันเป็นระยะทางหลายล้านกิโลเมตร ดาวฤกษ์ที่ อยู่ใกล้ที่สุดของดวงอาทิตย์ ชื่อ “ปร๊อกซิมาเซนทอรี” (Proxima Centauri) อยู่ห่าง ออกไป 40 ล้านล้านกิโลเมตร หรือ 4.2 ปีแสง ดาวฤกษ์ซึ่งมองเห็นเป็นดวงสว่างบน ท้องฟ้า ส่วนมากจะอยู่ห่างไม่เกิน 2,000 ปีแสง 1 Science-new.(2551). “ต�ำแหน่งของโลกในจักรวาล.” [ออนไลน์]. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 80 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ปีแสง หมายถึง หน่วยของการวัดระยะทางในเอกภพ ซึ่ง 1 ปีแสง เท่ากับ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในระยะเวลา 1 ปีตามเวลาบนโลก โดยใน 1 วินาที แสง จะเดินทางได้ประมาณ 300,000 กิโลเมตร กาแล็กซี (Galaxy) การแล็กซี คือ อาณาจักรของดวงดาว กาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา มีรปู ร่าง เหมอื นกงั หนั มขี นาดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 1 แสนปแี สง ประกอบดว้ ยดาวฤกษป์ ระมาณ 1 พันล้านดวง ดวงอาทิตย์ของเราอยู่ห่างจากใจกลางของกาแล็กซีเป็นระยะทาง ประมาณ 3 หมื่นปีแสง กระจุกกาแล็กซี (Cluster of galaxies) กาแล็กซีมไิ ด้อยู่กระจายตัวด้วยระยะห่างเท่า ๆ กัน หากแต่อยู่รวมกันเป็น กลมุ่ (Group) หรอื กระจกุ (Cluster) โดยกลมุ่ กาแลก็ ซขี องเรา (The Local Group) ประกอบด้วยกาแล็กซีมากกว่า 10 กาแล็กซี กาแล็กซีเพ่ือนบ้านของเรา มีช่ือว่า “กาแล็กซีแอนโดรมีดา” (Andromeda galaxy) อยู่ห่างออกไป 2.3 ล้านปีแสง The Local Group มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ล้านปีแสง ซูเปอร์คลัสเตอร์ (Supercluster) ซเู ปอรค์ ลัสเตอร์ ประกอบดว้ ยกระจกุ กาแล็กซหี ลายกระจกุ ซเู ปอรค์ ลัสเตอร์ ของเรา (The local supercluster) มีกาแล็กซีประมาณ 2 พันกาแล็กซี ตรงใจกลาง เปน็ ทตี่ งั้ ของ “กระจกุ เวอรโ์ ก” (Virgo cluster) ซงึ่ ประกอบดว้ ยกาแลก็ ซปี ระมาณ 50 กาแล็กซี อยู่ห่างออกไป 65 ล้านปีแสง กลุ่มกาแล็กซีท้องถิ่นของเรา กำ�ลังเคลื่อนที่ ออกจากกระจุกเวอร์โก ด้วยความเร็ว 400 กิโลเมตร/วินาที สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 81 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

เอกภพ (Universe) \"เอกภพ\" หมายถงึ อาณาบรเิ วณโดยรวม ซงึ่ บรรจทุ กุ สรรพสงิ่ นกั ดาราศาสตร์ ยงั ไมท่ ราบวา่ ขอบของเอกภพสนิ้ สดุ ทต่ี รงไหน แตพ่ วกเขาพบวา่ กระจกุ กาแลก็ ซกี �ำลงั เคลอ่ื นทอ่ี อกจากกนั นน่ั แสดงใหเ้ หน็ วา่ เอกภพก�ำลงั ขยายตวั เมอื่ ค�ำนวณยอ้ นกลบั นกั ดาราศาสตรพ์ บวา่ เมอื่ กอ่ นทกุ สรรพสงิ่ เปน็ จดุ ๆ เดยี ว เอกภพถอื ก�ำเนดิ ขนึ้ ดว้ ย \"การระเบดิ ใหญ\"่ (Big Bang) เมอื่ ประมาณ 13,000 ลา้ นปมี าแลว้ เอกภพทน่ี กั ดาราศาสตรส์ ามารถสงั เกตการณไ์ ดใ้ นปจั จบุ นั อยภู่ ายในรศั มี 14,000 ลา้ นปแี สง โดยประกอบดว้ ย ซเู ปอรค์ ลสั เตอร์ (Super Cluster) 270,000 กลมุ่ กระจกุ กาแลก็ ซี (Cluster of galaxies) 500 ลา้ นกลมุ่ มกี าแลก็ ซปี ระมาณ 110,000 ลา้ น กาแลก็ ซี โดยกาแลก็ ซขี นาดใหญม่ ี 10,000 ลา้ นกาแลก็ ซี กาแลก็ ซแี คระหรอื กาแลก็ ซี ขนาดเลก็ มี 100,000 ลา้ นกาแลก็ ซี และมดี วงดาวทส่ี ามารถสงั เกตการณไ์ ดป้ ระมาณ 20 ลา้ นลา้ นลา้ นดวง 1 คลน่ื วทิ ยลุ กึ ลบั ในกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื ก นกั ดาราศาสตรค์ น้ พบวา่ มแี หลง่ ก�ำเนดิ คลน่ื วทิ ยกุ ระจายจากทศิ ตา่ ง ๆ ในทอ้ งฟา้ ทว่ั ไปหมดทง้ั ๆ ทก่ี าแลก็ ซที างชา้ งเผอื กของเรามรี ปู รา่ งแบนคลา้ ยชน้ิ แพนเคก้ ระบบ สรุ ยิ ะของเราอยคู่ อ่ นมาทางกลางของกาแลก็ ซลี กั ษณะแพนเคก้ ดงั กลา่ ว ฉะนน้ั เวลาเรา มองออกไปกจ็ ะเหน็ ดวงดาว “บรเิ วณขอบของกาแลก็ ซ”ี เปน็ แถบทางชา้ งเผอื กทมี่ จี �ำนวน ดวงดาวมากกวา่ “ดา้ นบนและลา่ งของกาแลก็ ซ”ี ดงั นน้ั แหลง่ ก�ำเนดิ คลน่ื วทิ ยกุ ค็ วรจะ มาจากบรเิ วณขอบของกาแลก็ ซมี ากกวา่ จากดา้ นบนหรอื ลา่ งของมนั ดว้ ย 1 รอฮิม ปรามาส (2547). “เอกภพ สรรพสง่ิ และมนุษยชาต.ิ ” หน้า 26. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 82 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

แตเ่ หตใุ ดแหลง่ ก�ำเนดิ วทิ ยทุ คี่ น้ พบจงึ ดกู ระจดั กระจายทวั่ ทอ้ งฟา้ ไปหมด และ คลนื่ วทิ ยทุ ไ่ี ดร้ บั ลว้ นแลว้ แตม่ พี ลงั สงู ทง้ั สน้ิ มนั สงู กวา่ ทไี่ ดร้ บั จากกาแลก็ ซแี อนโดรเมดา นับเป็นพันเท่า 1 ซ่ึงกาแล็กซีน้ีอยู่ใกล้กับกาแล็กซีของเรามากท่ีสุด ด้วยเหตุน้ี นกั ดาราศาสตรส์ ว่ นใหญจ่ งึ สรปุ วา่ คลนื่ วทิ ยเุ หลา่ นม้ี าจากกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื กของเรา แนน่ อน ไมไ่ ดม้ าจากกาแลก็ ซอี นื่ แตก่ ย็ งั ไมร่ วู้ า่ ท�ำไมมนั กระจดั กระจายกนั มาทว่ั ทอ้ งฟา้ ทง้ั ดา้ นบน ดา้ นลา่ ง และบรเิ วณขอบแนวกลางของกาแลก็ ซที เ่ี ปน็ แถบทางชา้ งเผอื ก 2 3.4 หลุมด�ำสิ่งลกึ ลบั ในหว้ งอวกาศ 3.4.1 ความหมายและประวตั ขิ องหลมุ ด�ำ สตเี ฟน ฮอวก์ ง้ิ ใหค้ วามหมายของหลมุ ด�ำ (Black hole) ไวว้ า่ ตามความเชอ่ื เดมิ หลมุ ด�ำ คอื เขตแดนทอี่ วกาศมคี วามโคง้ งอมาก และแรงโนม้ ถว่ งมกี �ำลงั สงู มาก จนแสงไมอ่ าจเลด็ ลอดออกมาได้ แตต่ ามหลกั ความไมแ่ นน่ อนของกลศาสตรค์ วอนตมั ทเี่ ขาไดศ้ กึ ษาพบวา่ อนญุ าตใหแ้ สงไดเ้ ลด็ ลอดออกมาไดบ้ า้ ง 3 หลมุ ด�ำนนั้ เปน็ เสมอื น กบั เครอ่ื งดดู ฝนุ่ จกั รวาล มนั จะกลนื ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งทเี่ ขา้ มาใกลม้ นั ในปี ค.ศ. 1783 (พ.ศ. 2326) จอหน์ มเิ ชล (John Michell) อาจารยม์ หาวทิ ยา- ลยั เคมบรดิ จร์ ะบวุ า่ ดาวฤกษท์ มี่ มี วลมากจะมสี นามแรงโนม้ ถว่ งสงู จนแสงไมอ่ าจเดนิ ทางออกมาได้ ดาวทมี่ ลี กั ษณะเชน่ นอี้ าจจะมอี ยเู่ ปน็ จ�ำนวนมาก ถงึ แมเ้ ราจะไมส่ ามารถ มองเหน็ ดาวเหลา่ นไี้ ด้ เพราะแสงของมนั ไมส่ ามารถเดนิ ทางมาถงึ โลก แตเ่ ราสามารถ ตรวจวดั แรงโนม้ ถว่ งของมนั ได้ ยคุ นนั้ จอหน์ มเิ ชล เรยี กสง่ิ เหลา่ นว้ี า่ ดาวมดื (dark star) และนคี่ อื สง่ิ ลกึ ลบั ในหว้ งอวกาศทเี่ ราเรยี กกนั วา่ หลมุ ด�ำในปจั จบุ นั 1 กาแล็กซแี อนโดรเมดา อยู่ห่างจากกาแลก็ ซีทางช้างเผอื ก 2.3 ล้านปีแสง. 2 รอฮิม ปรามาส (2547). “เอกภพ สรรพส่งิ และมนษุ ยชาติ.” หน้า 380-381. 3 Stephen Hawking (1988). A Brief History of Time, แปลโดยรอฮิม ปรามาส (2546). “ประวัตยิ ่อของกาลเวลา.” หน้า 247. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 83 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

เสน้ เขตแดนของหลมุ ดาำ เรยี กวา่ “ขอบฟา้ เหตกุ ารณ์ (Event horizon)” เปน็ ผวิ ลอ้ มรอบหลมุ ดาำ เปน็ เหมอื นผนงั กนั้ แสงหรอื สง่ิ ตา่ ง ๆ ใหอ้ ยภู่ ายในหลมุ ดาำ นกั ดาราศาสตรเ์ ชอื่ วา่ มหี ลมุ ดาำ นบั ไมถ่ ว้ นในจกั รวาล มกี ารพบหลกั ฐานเกย่ี วกบั หลมุ ดาำ ในแทบจะทกุ ๆ ทท่ี ส่ี งั เกตการณ์ ตงั้ แตข่ นาดเทา่ เขม็ จนถงึ ยกั ษใ์ หญท่ ส่ี ามารถ กลนื ดวงดาวรอ้ ยลา้ นเทา่ ของขนาดดวงอาทติ ย์ 3.4.2 หลมุ ดาำ ใหญใ่ จกลางกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื ก จากหลกั ฐานตา่ ง ๆ ทพ่ี บ ทาำ ใหน้ กั ดาราศาสตรม์ คี วามเชอื่ วา่ มหี ลมุ ดาำ ขนาด ใหญ่อยู่บริเวณใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา ซึ่งอยู่ห่างจากโลกออกไปกว่า 26,000 ปแี สง โดยหลกั ฐานไดจ้ ากภาพทถ่ี า่ ยดว้ ยกลอ้ งดดู าวฮบั เบลิ สเปซ และกลอ้ ง วทิ ยดุ ดู าวขนาด 12 ฟตุ ชอ่ื ลาซเิ ลยี ในประเทศชลิ ี ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 84 สรรพศำสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

นกั ดาราศาสตร์ยงั ไมส่ ามารถระบมุ วลของหลมุ ด�ำใจกลางกาแลก็ ซนี ไี้ ดแ้ นช่ ดั สตเี ฟน ฮอวก์ งิ้ กลา่ ววา่ มมี วลประมาณ 1 แสนเทา่ ของดวงอาทติ ย์ ดาวทเี่ คลอ่ื นเขา้ ไป ใกล้บรเิ วณดงั กล่าวจะถูกฉกี กระจายออกด้วยแรงโน้มถ่วงก�ำลงั สงู จากนน้ั ชน้ิ ส่วน ตา่ ง ๆ และกา๊ ซจะตกเขา้ ไปในหลมุ ด�ำ นอกจากนจี้ ากหลกั ฐานทคี่ น้ พบบง่ บอกวา่ ในใจกลางกาแลก็ ซอี นื่ ๆ กม็ หี ลมุ ด�ำ ขนาดใหญอ่ ยเู่ หมอื นกนั กบั กาแลก็ ซที างชา้ งเผอื กของเรา เชน่ กาแลก็ ซแี อนโดรเมดา กาแลก็ ซคี วาซาร์ และกาแลก็ ซี M87 เปน็ ตน้ 3.4.3 เวลาอนั นา่ พศิ วงในหลมุ ด�ำ นกั วทิ ยาศาสตรพ์ บวา่ ความแตกตา่ งของเวลาบรเิ วณใกลห้ ลมุ ด�ำ (Black hole) กบั บรเิ วณอน่ื ๆ จะสงู มาก เพราะหลมุ ด�ำมมี วลสงู มาก ท�ำใหค้ วามโนม้ ถว่ งสงู ไปดว้ ย ศาตราจารย์ ดร.ไพรชั ธชั ยพงษ์ 1 กลา่ ววา่ หากหลมุ ด�ำมมี วล 10 เทา่ ของดวงอาทติ ย์ เวลาทอี่ ยนู่ อกเสน้ ขอบฟา้ เหตกุ ารณข์ องหลมุ ด�ำเพยี ง 1 เซนตเิ มตร จะเดนิ ชา้ ถงึ 6 ลา้ น เทา่ ของเวลาทอี่ ยหู่ า่ งไกลออกไป หากน�ำคา่ ประมาณของมวลหลมุ ด�ำที่ สตเี ฟน ฮอวก์ งิ้ กลา่ วไว้ คอื 1 แสนเทา่ ของดวงอาทติ ยม์ าค�ำนวณ จะพบวา่ เวลาทอี่ ยนู่ อกเสน้ ขอบฟา้ เหตกุ ารณข์ องหลมุ ด�ำเพยี ง 1 เซนตเิ มตร จะเดนิ ชา้ ถงึ 60,000 ลา้ นเทา่ ของเวลาบรเิ วณ ทอี่ ยหู่ า่ งออกไป เชน่ เวลาบนโลกมนษุ ย์ เปน็ ตน้ 3.5 จีโนมหน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต กอ่ นทผี่ อู้ า่ นจะไดเ้ รยี นรเู้ รอื่ งจโี นม จะตอ้ งท�ำความเขา้ ใจเรอื่ งเซลล์ (CELL) กอ่ น เซลล์ หมายถงึ หนว่ ยทเี่ ลก็ ทส่ี ดุ ของสง่ิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ สง่ิ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ ประกอบขน้ึ 1 ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ เคยด�ำรงต�ำแหน่งปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, อธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจา้ คณุ ทหารลาดกระบงั , ผอู้ �ำนวยการส�ำนกั งานพฒั นา วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี หง่ ชาติ และผอู้ �ำนวยการศนู ย์เทคโนโลยอี เิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ ละคอมพวิ เตอร์ แห่งชาต.ิ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 85 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

จากเซลล์ ตง้ั แตส่ ง่ิ มชี วี ติ ทมี่ เี ซลลเ์ ดยี ว เชน่ แบคทเี รยี จนถงึ สงิ่ มชี วี ติ ทม่ี หี ลายเซลล์ เช่น มนุษย์ และสัตว์ต่าง ๆ โดยมนุษย์นั้นประกอบขึ้นจากเซลล์ประมาณ 100 ลา้ นลา้ นเซลล์ ในบริเวณส่วนกลางของเซลล์แต่ละเซลล์จะมี “นิวเคลียส” บรรจุอยู่ซ่ึงเป็น ศนู ยก์ ลางควบคมุ การท�ำงานของเซลล์ และในนวิ เคลยี สนเ้ี องจะมี “จโี นม (Genome)” บรรจอุ ยอู่ กี ชนั้ หนง่ึ ภายในจโี นมนน้ั จะประกอบดว้ ย “โครโมโซม (Chromosome)” อยหู่ ลายโครโมโซม บนโครโมโซมจะมี “ยนี (Gene)” อยเู่ ปน็ กลมุ่ ๆ และในยนี แตล่ ะยนี จะมี “สารพนั ธกุ รรม (Deoxyribonucleic acid หรอื DNA)” จ�ำนวนมากประกอบ อยู่ จโี นม (Genome) จงึ หมายถงึ หนว่ ยทเี่ ปน็ ทบ่ี รรจอุ ยขู่ องโครโมโซม, ยนี และ สารพนั ธกุ รรม สง่ิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ ทงั้ พชื และสตั วร์ วมทงั้ มนษุ ยถ์ กู ก�ำหนดดว้ ยจโี นม 1 กลา่ วคอื จโี นมของนาย ก. จะเปน็ ตวั ก�ำหนดวา่ นาย ก. จะมรี ปู รา่ งหนา้ ตาเปน็ อยา่ งไร ผวิ สอี ะไร ความสงู เทา่ ไร เสน้ ผมหยกิ หรอื ตรง เปน็ ตน้ โครโมโซม จะมลี กั ษณะเปน็ แทง่ ๆ และอยกู่ นั เปน็ คู่ ๆ ในมนษุ ยแ์ ตล่ ะคนจะมี โครโมโซม 23 คู่ หรอื 46 แทง่ และบนโครโมโซมจะมยี นี อยเู่ ปน็ กลมุ่ ๆ มนษุ ยแ์ ตล่ ะ คนจะมยี นี ประมาณ 30,000 ยนี เชน่ ยนี ก�ำหนดสผี ม ยนี ก�ำหนดสผี วิ ยนี ก�ำหนดสี ดวงตา เปน็ ตน้ ยนี ของแตล่ ะคนจะแตกตา่ งกนั ไปจงึ ท�ำใหส้ ผี ม สผี วิ และสดี วงตา เปน็ ตน้ แตกตา่ งกนั และในยนี แตล่ ะยนี จะมี DNA ประกอบอยู่ DNA นนั้ มโี ครงสรา้ ง เปน็ 2 สาย ไขวก้ นั เปน็ เกลยี ว แตล่ ะสายประกอบดว้ ยนำ�้ ตาลและเบส 4 ชนดิ คอื A, T, G และ C จบั คกู่ นั เรยี กวา่ “คเู่ บส” (Base Pairs) เรยี งตอ่ กนั ไปเปน็ เสน้ ยาว โดย ยนี มนษุ ย์ 1 ยนี จะมี DNA ประมาณ 100,000 คเู่ บส 1 Sarah E. DeWeerdt.(2003). “What’s a Genome ?” [Online], National Center for Biotechnology Information or NCBI. (2004). “What is a Genome ?” [Online]. ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ 86 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ในเซลลเ์ ลก็ ๆ ของมนษุ ยซ์ งึ่ มปี ระมาณ 100 ลา้ นลา้ นเซลล์ แตล่ ะเซลลจ์ ะ ประกอบดว้ ย DNA ประมาณ 3,000 ลา้ นคเู่ บส นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดพ้ ยายามถอดรหสั DNA เหลา่ นอี้ อกมา เพอื่ จะไดร้ วู้ า่ DNA ตรงไหนทาำ หนา้ ทอี่ ะไร โดยหวงั วา่ ในอนาคต จะสามารถกาำ หนด รปู รา่ ง ลกั ษณะ สผี วิ และอน่ื ๆ ของเดก็ ในครรภไ์ ด้ โดยการจดั หา ยนี ทตี่ รงกบั ความตอ้ งการมาใสเ่ ขา้ ไป ผอู้ า่ นบางทา่ นอาจจะสงสยั วา่ ดเี อน็ เอกบั อะตอมทก่ี ลา่ วไวใ้ นทฤษฎคี วอนตมั มคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร เพราะเปน็ โครงสรา้ งพนื้ ฐานทมี่ ขี นาดเลก็ เหมอื นกนั อะตอม นน้ั เปน็ สว่ นประกอบของดเี อน็ เอ กลา่ วคอื ดเี อน็ เอแตล่ ะคเู่ บสจะประกอบขน้ึ จากอะตอม หลาย ๆ อะตอมรวมกนั โดยดเี อน็ เอจะมขี นาดใหญก่ วา่ อะตอมประมาณ 10 เทา่ คอื มขี นาด 1 ใน 10 ลา้ นของเซนตเิ มตร ในขณะทอ่ี ะตอมมขี นาด 1 ใน 100 ลา้ นของ เซนตเิ มตร 1 สว่ นนวิ เคลยี สของอะตอมกบั นวิ เคลยี สของเซลลซ์ งึ่ มจี โี นมบรรจอุ ยตู่ รง กลางนนั้ เปน็ คนละอยา่ งกนั แตม่ ชี อ่ื เหมอื นกนั 1 นำาชยั ชีววิวรรธน์. (2550). “มหศั จรรย์ดีเอ็นเอ (DNA).” [ออนไลน์]. สรรพศำสตรใ์ นพระไตรปิฎก 87 ความรู้พื้นฐานเรื่องเอกภพ www.kalyanamitra.org

88 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

บทท่ี 4 หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปฎิ ก ในบทนจ้ี ะกลา่ วถงึ หลกั ธรรมส�ำคญั ในพระไตรปฎิ กโดยยอ่ เพอื่ ใชใ้ นการอา้ งองิ ข้อมลู ส�ำหรับศาสตร์ต่าง ๆ ในบทอ่ืน ๆ ต่อไป 4.1 ภาพรวมหลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

พระเดชพระคุณพระราชภาวนาจารย์ รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้ให้ ภาพรวมหลกั ธรรมส�ำคัญในพระไตรปิฎกไว้อย่างชดั เจน ดงั ภาพทีแ่ สดงไว้ในหน้าท่ี ผ่านมา จะเห็นว่าหลักธรรมท้ังหมดในพระไตรปิฎก มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ปฏิบัติ บรรลุนพิ พาน อันเป็นเป้าหมายสงู สุดของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย หลักธรรมต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกมคี วามเชือ่ มโยงสมั พันธ์กนั ทุกหมวด ไม่มี ความขัดแย้งกัน สามารถย่อได้และขยายได้ หากย่อจนถึงท่ีสุดก็จะเหลือเพียงข้อ เดียว คือ “ความไม่ประมาท” หากขยายความแล้วกจ็ ะได้มากถึง “84,000 ข้อ หรือ พระธรรมขนั ธ”์ แบง่ เปน็ พระวนิ ยั 21,000 ขอ้ พระสตู ร 21,000 ขอ้ และพระอภธิ รรม 42,000 ข้อ นอกจากนี้ หลักธรรมทัง้ หมดในพระไตรปิฎกอาจจะแบ่งให้เหลือ 3 ข้อก็ได้ คอื ละช่ัว ท�ำดี และท�ำใจให้ผ่องใส ธรรม 3 ข้อน้ี เรยี กอกี อย่างหนึ่งว่า ไตรสิกขา คอื ศีลสิกขา จติ สิกขา และปัญญาสกิ ขา หากจะขยายจาก 3 ข้อนี้ ให้เป็น 8 ข้อ ก็ได้เรยี กว่า มรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วย สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั ปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ และสัมมาสมาธิ โดยสมั มา- ทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ จัดอยู่ในปัญญาสิกขา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และ สมั มาอาชวี ะ จัดอยู่ในศีลสกิ ขา สมั มาวายามะ สมั มาสติ และสมั มาสมาธิ จัดอยู่ใน จติ สกิ ขา หลักธรรมในแต่ละหมวดมรี ายละเอยี ดโดยย่อดงั ต่อไปน้ี 4.2 นิพพาน นิพพาน หมายถึง การดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง นิพพานเป็นเป้าหมาย สงู สดุ ของมนษุ ยแ์ ละสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั แบง่ นพิ พานออก เป็น 2 ประการ คอื สอุปาทเิ สสนพิ พาน และอนปุ าทิเสสนพิ พาน 1 1 ธาตุสูตร, ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ุตตกะ, มก. เล่ม 45 หน้า 304. หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก 90 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

1) สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ มีสังโยชน์ใน ภพน้ีส้ินรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เป็นผู้มีราคะ โทสะ และโมหะ สญู สิน้ แล้ว แต่ยงั เป็นผู้เสวยอารมณ์ทั้งทพ่ี ึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทกุ ข์อยู่ เพราะความที่อนิ ทรยี ์ 5 ยังไม่บุบสลาย พระภาวนาวิรยิ คุณ อธิบายสอปุ าทิเสสนิพพานไว้ว่า เป็นพระนิพพาน ในตวั บางครง้ั กเ็ รยี กวา่ “นพิ พานเปน็ ” หมายความวา่ ในขณะทอ่ี าสวกเิ ลสสญู สนิ้ ไป หมดแล้ว แต่ยงั มชี วี ติ อยู่ ยงั มีขนั ธ์ 5 อยู่ มีธรรมกายปรากฏอยู่ในตวั ท�ำให้รู้สึก เป็นสุขเหมือนอยู่ในอายตนนิพพานอย่างแท้จริง เพียงแต่ยังอาศัยกายมนุษย์อยู่ เท่านน้ั 1 2) อนปุ าทิเสสนิพพาน หมายถึง ภกิ ษผุ ู้เป็นพระอรหันต์ มสี ังโยชน์ในภพ น้สี ิ้นรอบแล้ว หลดุ พ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาท้งั ปวงในอตั ภาพนี้ของภิกษนุ น้ั เป็นสภาพทีก่ เิ ลสมตี ณั หา เป็นต้น ครอบง�ำไม่ได้อกี พระภาวนาวิรยิ คณุ อธิบายอนุปาทเิ สสนพิ พานไว้ว่า เป็นนิพพานที่อยู่ นอกตัว บางครงั้ ก็เรยี กว่า “นพิ พานตาย” หมายความว่า เมอื่ ขนั ธ์ 5 แตกดบั สิ้นเชือ้ ไมเ่ หลอื เศษแลว้ ธรรมกายทอ่ี ยใู่ นสอปุ าทเิ สสนพิ พาน จงึ ตกศนู ยเ์ ขา้ สอู่ นปุ าทเิ สสนพิ พาน ณ จุดนี้เองท่ีเรียกว่า “อายตนนิพพาน” ท่ีพระอริยเจ้าท้ังหลายต้ังจิตปรารถนาจะ ไปถึง 2 4.3 ความไมป่ ระมาท ความไมป่ ระมาท หมายถงึ ความไมเ่ ลนิ เลอ่ ไมพ่ ลงั้ ไมเ่ ผลอ มสี ตเิ สมอ สว่ น ความประมาท คอื การขาดสติ ความพลง้ั เผลอ ความไมป่ ระมาทเปน็ หลกั ธรรมใหญ่ ซึง่ รวมธรรมทงั้ หมดในพระไตรปิฎกไว้ในข้อน้เี พยี งข้อเดียว 1 พระภาวนาวิริยคณุ , (2537). “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” หน้า 146. (พระภาวนาวิริยคุณ ปัจจุบันด�ำรงสมณศักดิท์ ี่ พระราชภาวนาจารย์) 2 แหล่งเดิม หน้า 146. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 91 หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรสั ไว้ในปทสูตรว่า รอยเท้าของสัตว์ทง้ั หลาย ย่อมถึง ความประชมุ ลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้างบณั ฑติ กล่าวว่าเลศิ กว่ารอยเท้าสัตว์เหล่า น้ัน เพราะเป็นรอยใหญ่ แม้ฉนั ใด กุศลธรรมท้งั หมดนน้ั มคี วามไม่ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาทบณั ฑติ กล่าวว่าเลศิ กว่ากศุ ลธรรมเหล่า นั้น ฉันน้ัน ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้ไม่ประมาทพึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญ อริยมรรคมีองค์ 8 จกั กระท�ำให้มากซง่ึ อริยมรรคมอี งค์ 8 1 ก่อนท่พี ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าจะเสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพานนัน้ พระองค์ก็ได้ตรสั พระปัจฉิมวาจาไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดน้ี เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขาร ท้ังหลายมีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม เถิด” 2 พระด�ำรสั น้ี ถอื วา่ เปน็ การสรปุ หลกั ธรรมทง้ั หมดทพ่ี ระองคต์ รสั สอนมาตลอด 45 พรรษาให้เหลือเพียงข้อเดยี ว คือ ความไม่ประมาทเท่านน้ั พระเดชพระคณุ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนทฺ สโร) ได้อธิบายขยายความเรื่อง ความไม่ประมาท ไว้ในกณั ฑ์ท่ีว่าด้วยเร่อื งปัจฉิมวาจาว่า ความประมาท คอื เผลอไป ความไม่ประมาท คือ ความไม่เผลอ ไม่เผลอละ ใจจดใจจ่อทีเดียว...ท่านจึงได้อุปมาไว้ ไม่ประมาท ไม่เผลอในความเส่ือมไปใน ปัจฉิมวาจา นกึ ถงึ ความเสือ่ มอยู่เสมอ นึกหนกั เข้า ๆ แล้วใจหาย นีเ่ รามาคนเดยี ว หรือ นี่เรากต็ ายคนเดียว บุรพชนต้นตระกูลของเราไปไหนหมด ตายหมด เราล่ะก็ ตายแบบเดยี วกนั ตกใจละคราวนี้ ท�ำชวั่ ก็เลิกละทันที รบี ท�ำความดีโดยกะทันหนั ที เดียว เพราะไปเหน็ อ้ายความเส่อื มเข้า ถ้าไม่เหน็ ความเสือ่ มละก็ กล้าหาญนัก ท�ำช่ัว ก็ได้ ด่าว่าผู้หลักผู้ใหญ่ได้ตามชอบใจ 3 1 ปทสตู ร, สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค, มก. เล่ม 30 หน้า 253 ข้อ 132. 2 มหาปรินิพพานสูตร, ทฆี นกิ าย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 หน้า 322. 3 พระมงคลเทพมุนี (สด จนทฺ สโร). (2537). “มรดกธรรมของหลวงพ่อวดั ปากน้ำ� .” หน้า 199. หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก 92 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

4.4 ละชั่ว ทำ�ดี ทำ�ใจให้ผ่องใส หลกั ธรรมทงั้ หมดในพระไตรปฎิ ก นอกจากจะรวมลงในความไมป่ ระมาทเพยี ง ข้อเดียวแล้ว ยงั สามารถขยายออกเป็น 3 ข้อได้ ซึง่ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าตรสั ไว้ใน มหาปทานสตู รเรอ่ื งโอวาทปาฏโิ มกข์ว่า (1) การไม่ท�ำบาปท้ังสนิ้ (ละช่ัว) (2) การยังกศุ ลให้ถึงพร้อม (ท�ำด)ี (3) การท�ำจิตของตนให้ผ่องใส (ท�ำใจให้ผ่องใส) นีเ้ ป็นค�ำสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้าทง้ั หลาย 1 (1) การไม่ท�ำบาปทั้งสน้ิ มาจากภาษาบาลวี ่า สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ หมายถงึ ไม่ท�ำช่ัวด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ สพฺพปาปสฺส อกรณํ น้ี ครอบคลุมพระวินัยปิฎกทั้งหมด หากจัดเข้าในไตรสิกขาก็จะตรงกับ “ศีลสกิ ขา” (2) การยงั กศุ ลใหถ้ งึ พรอ้ ม มาจากภาษาบาลวี า่ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา หมายถงึ ท�ำความดีให้มีขึ้นด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ กุสลสฺสูปสมฺปทา น้ี ครอบคลุมพระสุตตันตปิฎกทั้งหมด หากจัดเข้าในไตรสิกขาก็จะตรง กับ “จติ สิกขา” (3) การท�ำจิตของตนให้ผ่องใส มาจากภาษาบาลีว่า สจิตฺตปริโยทปนํ หมายถงึ ท�ำจติ ใจของตนให้ผ่องใส สจติ ฺตปรโิ ยทปนํ นี้ ครอบคลุม พระอภิธรรมปิฎกท้ังหมด หากจัดเข้าในไตรสิกขาก็จะตรงกับ “ปัญญาสกิ ขา” 1 มหาปทานสูตร, ทีฆนกิ าย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 ข้อ 54 หน้า 55. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 93 หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

4.5 มรรคมีองค์ 8 มรรค แปลว่า ทาง, หนทาง มรรคมีองค์ 8 จึงหมายถึง หนทางปฏิบตั ิหรอื ข้อปฏิบตั ิ 8 ประการ เพอ่ื ให้ถงึ ความดับทกุ ข์ นั่นคอื การได้บรรลนุ ิพพานนัน่ เอง มรรคมีองค์ 8 เป็นธรรมข้อหนงึ่ ในอรยิ สจั 4 ซึ่งประกอบด้วย ทกุ ข์ สมทุ ัย (เหตุแห่งทุกข์ คือ ตณั หา) นิโรธ (ความดบั ทกุ ข์) และมรรค (หนทางดบั ทกุ ข์) เมือ่ กลา่ วถงึ มรรคเพยี งขอ้ เดยี วแตก่ ม็ คี วามหมายเชอ่ื มโยงไปถงึ อรยิ สจั อกี 3 ขอ้ ทเี่ หลอื ด้วย เพราะธรรมท้งั 4 ข้อมคี วามเช่ือมโยงสมั พนั ธ์กนั พระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรสั มรรคมีองค์ 8 ไว้ในธมั มจักกปั ปวตั ตนสูตร 1 ซ่ึง เป็นพระปฐมเทศนาหรือเทศนาครั้งแรกของพระองค์ พระเดชพระคุณพระภาวนา- วิริยคุณ ได้สรปุ มรรคมีองค์ 8 ไว้ด้วยภาษาท่เี ข้าใจได้ง่ายดังน้ี (1) สัมมาทิฏฐิ คือ ความเข้าใจถูก โดยสามารถตดั สินได้อย่างถกู ต้องว่า อะไรถูก-ผดิ , อะไรดี-ชั่ว, อะไรบุญ-บาป, อะไรควร-ไม่ควรท�ำ (2) สัมมาสังกัปปะ คือ ความคิดถูก โดยเลือกคิดเฉพาะในสิ่งที่เกิดบุญ ไม่เกิดบาป (3) สัมมาวาจา คือ การพูดถูก โดยเลือกพูดเฉพาะในส่ิงท่ีเกิดบุญ ไม่เกดิ บาป (4) สัมมากัมมันตะ คือ การท�ำถูก โดยเลือกท�ำแต่ในสิ่งที่เกิดบุญ ไม่เกดิ บาป (5) สัมมาอาชีวะ คือ การเล้ียงชีพถูก โดยเลือกประกอบอาชีพที่เกิดบุญ ไม่เกดิ บาป (6) สัมมาวายามะ คือ การเพียรพยายามถูก โดยเพียรละเว้นความช่ัว เพียรท�ำความดี และเพยี รกลน่ั ใจให้ผ่องใส 1 ธัมมจกั กัปปวตั ตนสตู ร, พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาคท่ี 1, มก. เล่ม 6 หน้า 46. หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก 94 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

(7) สัมมาสติ คือ ความระลกึ ถกู โดยพยายามรักษาใจให้มีความสะอาด บริสุทธิใ์ นการคดิ พดู และท�ำอยู่เป็นปกติ (8) สัมมาสมาธิ คือ ความตงั้ ม่นั ถกู โดยพยายามประคับประคองในขณะ ท�ำภาวนาให้หยดุ น่ิง ณ ศนู ย์กลางกายอย่างต่อเนือ่ งถกู ส่วนเป็นปกติ จนกระทงั่ เกดิ ความสวา่ งขน้ึ ในใจทนี่ �ำไปสกู่ ารเหน็ ธรรมะทเ่ี ปน็ ธรรมชาติ บรสิ ทุ ธอ์ิ ยู่ในตวั 1 พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั ไว้ในปรกิ ขารสูตรว่า องค์แห่งมรรค 7 ประการ คอื ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิถึงสัมมาสติ เป็นองค์ประกอบของสัมมาสมาธิ หรือประชุมลงใน สัมมาสมาธิ ดังพระด�ำรสั ว่า ดกู ่อนภิกษุท้ังหลาย องค์แห่งสมาธิ 7 ประการ คือ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอกัคคตาจิต (ความมีอารมณ์เป็นหน่ึงเดียว หรือ การท่ีจติ เป็นสมาธิ) ประกอบด้วยองค์ 7 ประการนเ้ี รยี กว่าอรยิ สมาธิ... 2 พระเดชพระคุณพระเทพญาณมหามุนีก็เคยกล่าวไว้เช่นกันว่า “มรรคท้ัง 7 ประการจะประชมุ รวมกนั ลงในสัมมาสมาธนิ ้ี” ด้วยเหตนุ ้ี สมั มาสมาธิจงึ มคี วาม ส�ำคญั สงู สุดในบรรดามรรคทัง้ ปวง ท�ำนองเดียวกับความไม่ประมาททกี่ ล่าวมาแล้ว ข้างต้น เพราะการทบี่ คุ คลจะเป็นผู้ “ไม่ประมาท” ได้อย่างสมบรู ณ์ บุคคลผู้นัน้ จะ ตอ้ งมสี ตกิ �ำกบั ตนเองอยตู่ ลอดเวลา การทบ่ี คุ คลนนั้ ๆ จะมสี ตกิ �ำกบั ตนเองอยตู่ ลอด เวลา เขาจะต้องฝึกสัมมาสมาธิมาอย่างดีแล้ว จนใจของเขาจรดนิ่งอยู่ในตัวตลอด เวลา 1 พระภาวนาวิริยคณุ (2550). “ชวี ิตนม้ี ีไว้ทุ่มเดิมพัน.” หน้า 72. 2 ปริกขารสูตร, อังคุตตรนกิ าย สัตตกนบิ าต, มก. เล่ม 37 ข้อ 42 หน้า 110. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 95 หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

4.6 ไตรสกิ ขา ไตรสิกขา หมายถงึ ข้อปฏิบัตทิ ี่ต้องศึกษา 3 ประการ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรสั ถงึ ไตรสกิ ขาไว้ในภาวสูตรว่า ดกู รภิกษทุ ้งั หลาย ไตรสกิ ขาเป็นไฉน ไตรสกิ ขา คือ อธิศีลสกิ ขา อธจิ ติ สกิ ขา อธปิ ัญญาสิกขา เม่อื ใด เธอเป็นผู้มสี ิกขาอนั ได้ศึกษา แลว้ ในไตรสกิ ขานี้ เมอื่ นน้ั ภกิ ษนุ เ้ี รากลา่ ววา่ ไดต้ ดั ตณั หาขาดแลว้ คลายสงั โยชน์ได้ แล้ว ได้ท�ำทีส่ ุดทกุ ข์เพราะละมานะได้โดยชอบฯ 1 พระเดชพระคณุ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนฺทสโร) ได้อธิบายขยายความเรือ่ ง ไตรสกิ ขาไว้ว่ามี 2 ระดบั คือ ระดบั ปกตหิ รือระดับต้น และระดับสงู หรือเกินระดบั ปกตขิ ึน้ ไป ไตรสิกขาระดบั ต้นนนั้ จะเรียกว่า ศีล จิต (สมาธิ) และปัญญา หรอื เรียกว่า ศลี สกิ ขา จติ สกิ ขา (สมาธสิ กิ ขา) และปญั ญาสกิ ขา ไตรสกิ ขาระดบั ตน้ น้ี เปน็ ไตรสกิ ขา ในระดบั “ร”ู้ หมายถงึ รวู้ า่ ไตรสกิ ขามอี ะไรบา้ ง เมอื่ รแู้ ลว้ กป็ ฏบิ ตั ติ ามหลกั ไตรสกิ ขา นัน้ เมื่อปฏิบตั ิแล้วกจ็ ะเป็นเหตุให้เข้าถงึ ไตรสกิ ขาระดับสูงต่อไป ไตรสิกขาระดับสูงจะเรียกว่า อธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา หรือเรียกว่า อธศิ ีลสิกขา อธจิ ติ สิกขา และอธิปัญญาสกิ ขา ค�ำว่า “อธ”ิ ในค�ำว่า อธิศลี เป็นต้น แปลว่า ยงิ่ เกนิ หรือล่วง หมายถงึ ไตรสกิ ขา ทย่ี ่ิงกว่า หรอื เกินกว่า หรอื ล่วงพ้นจากไตรสกิ ขาในระดับต้น ไตรสกิ ขาระดับสูงนี้ เป็นไตรสิกขาในระดบั “เหน็ ” หมายถงึ ได้ปฏบิ ัติสมาธิ จนสามารถ “เห็น” ได้ด้วยตนเองว่าไตรสิกขาในตัวเรามีอะไรบ้าง กล่าวคือ ได้เหน็ ดวงศลี เห็นดวงสมาธิ เห็นดวงปัญญา ในตวั ทีล่ ะเอยี ดเป็นช้นั ๆ เข้าไปนน่ั เอง 1 ภาวสูตร, อังคุตตรนิกาย ฉกั กนิบาต, มก. เล่ม 36 ข้อ 376 หน้า 831. หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก 96 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

4.7 พระไตรปิฎก พระธรรมค�ำสอนของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า เม่ือขยายความแล้วจะได้มากถงึ 84,000 ข้อ หรอื 84,000 พระธรรมขันธ์ โดยจดั อยู่ในพระวินยั ปิฎก 21,000 ข้อ จัดอยู่ในพระสตุ ตันตปิฎก 21,000 ข้อ และจดั อยู่ในพระอภิธรรมปิฎก 42,000 ข้อ พระไตรปิฎกหากน�ำมาเช่ือมโยงกบั ไตรสิกขาจะได้ดงั น้ี คอื พระวินัยปิฎก คือ ศีลสิกขา สุตตันตปิฎก คือ จิตสิกขา พระอภิธรรมปิฎก คอื ปัญญาสิกขา 4.8 นยิ าม 5 นอกจากหลักธรรมท้ังหมดท่ีกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีธรรมอีกหมวดหนึ่งซ่ึง มคี วามส�ำคญั แต่ปรากฏอย่ใู นอรรถกถา คอื เรอื่ งนยิ าม 5 ซง่ึ จะใช้เป็นหวั ขอ้ ส�ำคญั ในการเปรยี บเทยี บกบั วทิ ยาศาสตร์ ในบทวิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก นยิ าม หมายถงึ ความแน่นอน 1 หรอื หากใชใ้ นภาษารว่ มสมยั ทเ่ี ข้าใจไดง้ ่าย ๆ นิยามก็อาจแปลว่า “กฎ” พระอรรถกถาจารย์ได้จ�ำแนกนิยามไว้ 5 ประการคือ อุตนุ ิยาม พีชนยิ าม จติ ตนยิ าม กรรมนยิ าม และธรรมนิยาม 2 กฎทัง้ 5 ประการนี้ ครอบคลุมทกุ ส่ิงทกุ อย่างในโลกและในอนันตจักรวาล ทุกส่งิ ทุกอย่างด�ำเนนิ ไปตาม กฎทั้ง 5 ประการนที้ งั้ ส้ิน 1) อุตุนิยาม (Physical and Chemical Laws) หมายถึง กฎทีค่ วบคมุ สิ่งไม่มชี ีวิตทุกชนดิ เช่น ดิน ฟ้า อากาศ สสาร วตั ถุ ภพภมู ิต่าง ๆ ตลอดอนันตจักรวาล ในทางวิทยาศาสตร์ใช้ค�ำว่า กฎทางฟิสิกส์ ครอบคลมุ ตงั้ แตท่ เ่ี ลก็ จวิ๋ จนตาเปลา่ มองไมเ่ หน็ ไดแ้ ก่ อนภุ าค อะตอม ไปจนถึงสงิ่ ท่ีใหญ่โต เช่น โลก กาแล็กซี และเอกภพ ปรากฏการณ์ 1 ปรมัตถทีปนี, อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก กถาวตั ถ,ุ มก. เล่ม 81 หน้า 348. 2 มหาปทานสตู ร, อรรถกถาทีฆนิกาย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 หน้า 100. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 97 หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฤดูกาล แม้กระทั่งการเกิดและการดับสลายของโลกก็ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ คอื อตุ นุ ยิ ามน้ี 2) พชี นิยาม (Biological Laws) หมายถงึ กฎของส่งิ มีชีวติ ท้งั หมด ใน ทางวทิ ยาศาสตร์ใช้ค�ำว่า กฎทางชวี วิทยา กล่าวคือ เป็นกฎธรรมชาติที่ ควบคมุ ความเป็นไปของสงิ่ มีชวี ติ ทงั้ พืชและสตั ว์ เช่น เม่อื เราน�ำเมล็ด ข้าวเปลือกไปปลกู พืชที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอ หรือเมือ่ ช้างคลอดลูกออกมา ก็ย่อมเป็นลูกช้างเสมอ หรือถ้าเป็นมนุษย์เมื่อ คลอดลูกออกมา กย็ ่อมเป็นมนุษย์เสมอ ความเป็นระเบียบหรือความ แน่นอนนี้ ในทางพุทธศาสนา กล่าวว่า เป็นผลมาจากการควบคุมของ พชี นิยาม 3) กรรมนยิ าม (The law of Karma) หมายถึง กฎแห่งกรรม กรรมคอื การกระท�ำ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ กรรมดีและกรรมชัว่ กรรมดี ย่อมตอบสนองในทางดี กรรมชวั่ ย่อมตอบสนองในทางชัว่ 4) จิตตนิยาม (Psychic Law) หมายถึง กฎการท�ำงานของจิตใจ พระพุทธศาสนาสอนว่า คนเราประกอบด้วยส่วนทสี่ �ำคญั 2 ส่วน คอื ร่างกายและจติ ใจ ในส่วนของจิตใจนัน้ มคี วามส�ำคญั ในฐานะเป็นผู้ส่งั การทุกอย่างให้ร่างกายปฏิบัติตาม หากเปรียบร่างกายเหมือนเคร่ือง คอมพวิ เตอร์ จติ ใจกเ็ ปรยี บเหมอื นผใู้ ชง้ านเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ (User) 5) ธรรมนยิ าม (The law of cause and effect) มคี วามหมาย 2 นยั คอื นยั ท่ี 1 หมายถงึ กฎแห่งเหตแุ ละผลของสรรพสิง่ ดังค�ำกล่าวท่วี ่า เพราะมสี ิ่งน้ี จงึ มีสงิ่ นีข้ ึน้ หลักธรรมต่าง ๆ ส่วนใหญ่กจ็ ัดอยู่ในหลัก ธรรมนยิ าม เช่น ปฏจิ จสมุปบาท (อวิชชาท�ำให้เกดิ สังขาร สงั ขารท�ำให้ เกิดวิญญาณ วิญญาณท�ำให้เกิดนามรูป นามรูปท�ำให้เกิดสฬายตนะ สฬายตนะท�ำให้เกิดผัสสะ ผัสสะท�ำให้เกิดเวทนา เวทนาท�ำให้เกิด หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก 98 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

ตัณหา ตัณหาท�ำให้เกิดอุปาทาน อุปาทานท�ำให้เกิดภพ ภพท�ำให้เกิด ชาติ ชาติท�ำให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ อปุ ายาส) อริยสัจ 4 (สมุทัย คือ ตัณหา ท�ำให้เกดิ ทกุ ข์ มรรคน�ำไปสู่ นโิ รธ คือ ความดับทุกข์) เป็นต้น ส่วนนยั ท่ี 2 หมายถึง ความสมั พนั ธ์กนั ของนยิ ามท้ัง 4 ประการข้างต้น เช่น การประสตู ขิ องพระโพธสิ ตั ว์ เปน็ เหตใุ หแ้ ผน่ ดนิ ไหว หรอื เมอ่ื มนษุ ยไ์ มค่ วบคมุ กเิ ลส ในใจ ก็จะเป็นเหตใุ ห้ท�ำผิดศลี ธรรมและส่งผลให้สง่ิ แวดล้อมเส่ือม เป็นต้น ธรรมนยิ ามนี้ มีขอบเขตครอบคลมุ กว้างขวางทส่ี ดุ กฎทัง้ 4 ข้อข้างต้นสรุป รวมลงในข้อสุดท้ายน้ี พระสมั มาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบนยิ าม หรือกฎธรรมชาติทัง้ 5 เหลา่ นี้ แตพ่ ระองคต์ รสั สอนโดยเนน้ เรอ่ื งจติ ตนยิ าม กรรมนยิ าม และธรรมนยิ าม เพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดับทกุ ข์ ส่วนเร่ืองอตุ นุ ิยามและพีชนิยามนั้น พระองคต์ รสั ไวเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นน้ั คอื เฉพาะทจ่ี �ำเปน็ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจแนวปฏบิ ตั สิ ทู่ าง พ้นทกุ ข์ได้ชดั เจนข้นึ หรอื พระพทุ ธองค์จะตรสั ในกรณีมผี ู้กราบทลู ถาม ธรรมนิยามในความหมายนัยที่สอง คือ ความสัมพันธ์กันของนิยามทั้ง 4 ประการ คอื อุตนุ ิยาม พชี นยิ าม จิตตนิยาม และกรรมนิยาม เช่น ความหว่นั ไหว ในหมน่ื โลกธาตุ ในเวลาเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาของพระโพธสิ ตั ว์ทงั้ หลาย จะเหน็ วา่ การจตุ ลิ งมาประสตู ขิ องพระโพธสิ ตั วน์ น้ั เปน็ เรอื่ งของพชี นยิ าม สว่ น การไหวของภพต่าง ๆ ในหมื่นโลกธาตุเป็นเร่ืองของอุตุนิยาม ซึ่งตามปกติแล้วไม่ เกย่ี วขอ้ งกนั แตด่ ว้ ยบญุ บารมขี องพระโพธสิ ตั ว์ ท�ำใหพ้ ชี นยิ ามสง่ ผลตอ่ อตุ นุ ยิ ามได้ และในเวลาทพ่ี ระโพธสิ ตั วท์ รงออกจากครรภพ์ ระมารดา ในเวลาทตี่ รสั รอู้ ภสิ มั โพธญิ าณ ในเวลาทพี่ ระตถาคตทรงประกาศพระธรรมจกั ร ในเวลาทที่ รงปลงอายสุ งั ขาร ในเวลา ท่ีเสด็จดับขันธปรินิพพาน ตลอดหมื่นโลกธาตุก็หว่ันไหวเช่นกัน นี้ก็ชื่อว่า ธรรมนยิ าม สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 99 หลักธรรมสำ�คัญในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org