150 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
บทท่ี 6 รฐั ศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 6.1 ภาพรวมรฐั ศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก เป้าหมายของรัฐศาสตร์ หรือการเมืองการปกครองในพระพทุ ธศาสนา อยู่ที่ การสรา้ งสภาพเออื้ ใหม้ นษุ ยใ์ นสงั คมประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ น เพอ่ื บรรลเุ ปา้ หมายของชวี ติ ท้ัง 3 ระดบั ได้โดยง่าย ทง้ั เป้าหมายในชาติน้ี ชาตหิ น้า และในชาติสดุ ท้าย คอื บรรลุ มรรคผลนพิ พาน ธรรมาธิปไตยหรือการยึดธรรมเป็นใหญ่ เป็นหัวใจส�ำคัญของหลักรัฐศาสตร์ ในพระไตรปิฎก ธรรมาธิปไตยน้นั ไม่ถือว่าเป็น “ระบอบการปกครอง” ระบอบหนึง่ เหมือนอย่างระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ทุกระบอบการ www.kalyanamitra.org
ปกครองท่มี ีอยู่ สามารถน�ำธรรมาธิปไตยไปประยุกต์ใช้ได้ทง้ั นัน้ โดยยกเอา “หลัก ธรรม” เป็นเกณฑ์ในการตดั สินสูงสดุ คล้ายกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ การ ตัดสินใจใด ๆ หรือการกระท�ำใด ๆ ก็ตามจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉนั ใด การตัดสนิ ใจน้ัน ๆ หรอื การกระท�ำน้ัน ๆ กต็ ้องไม่ขดั ต่อ “หลกั ธรรม” ฉัน นน้ั หลกั ธรรม แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื หลกั ในการปกครองตนของผปู้ กครอง และหลกั ในการปกครองประชาชน โดยหลกั ในการปกครองตนของผปู้ กครอง ไดแ้ ก่ ทศพิธราชธรรม, กุศลกรรมบถ 10, จักรวรรดวิ ัตร และอปริหานิยธรรม ส่วนหลกั ในการปกครองประชาชน ได้แก่ สงั คหวตั ถุ 4, อคติ 4, กศุ ลกรรมบถ 10 และ ศลี 5 หลกั ธรรมในการปกครองนน้ั ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยศลี และหลกั อนื่ ๆ เช่น การให้ทาน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนจึงมักจะเรียกกันว่า “หลกั ศลี ธรรม” หลักศีลธรรมจึงเป็นหัวใจหรือเป็นแก่นของการปกครองประเทศ แต่ทั้งน้ี การจะให้ศีลธรรมคงอยู่ได้อย่างม่ันคง จ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนา “เศรษฐกิจ” ควบคู่ไปด้วย เพราะหากเศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนจะอดอยากยากจน ความยากจน จะกดดันให้คนท�ำอกุศลธรรมด้วยการลักขโมยเพื่อยังชีพ เป็นต้น เม่ือเป็นเช่นนี้ ศีลธรรมจงึ ตัง้ อยู่ไม่ได้ การปกครองประเทศจึงต้องพัฒนาศีลธรรมและเศรษฐกิจควบคู่กันไป จะ ขาดตวั ใดตัวหนึง่ ไม่ได้ เศรษฐกจิ เป็นเสมอื นราก ใบ เปลอื กและกระพี้ทค่ี อยห่อหุ้ม และดดู ซบั อาหารมาหลอ่ เลยี้ งแกน่ คอื ศลี ธรรมใหเ้ จรญิ เตบิ โต เศรษฐกจิ ทด่ี จี ะเปน็ ฐานให้คนประพฤตศิ ีลธรรมได้สะดวก ส่วนศีลธรรมจะควบคมุ และก�ำจัดกเิ ลสของ มนษุ ย์ให้เบาบางลงและหมดไปในทสี่ ดุ รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 152 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
6.2 การกำ�เนดิ รฐั จากเนือ้ หาของอัคคัญญสูตรในบทท่ี 5 ได้กล่าวถึง การเกดิ ขึ้นของมนุษย์ยคุ แรก ความเป็นอยู่ในสังคมของมนุษย์ การเกดิ ขึ้นของสถาบนั ครอบครวั ความเป็น มาของอาชพี และประเภทของคนในสงั คม คอื กษัตรยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร และ สมณะ ท่สี �ำคัญได้กล่าวถงึ ความคดิ ทางการเมือง และสถาบันทางการเมอื งด้วย พระสตู รนีแ้ สดงให้เห็นว่า ระบบระเบยี บแบบแผนความเป็นอยู่ต่าง ๆ มกี าร ววิ ัฒนาการมาเป็นล�ำดบั โดยเกิดข้นึ เพ่อื แก้ปัญหาท่เี กิดจากการท�ำอกุศลกรรมของ มนุษย์ อันเป็นเหตุให้สิ่งแวดล้อมเส่ือมและคนในสังคมได้รับความเดือดร้อน เนอื่ งจากในยคุ แรกทม่ี นษุ ยจ์ ตุ จิ ากชนั้ อาภสั สรพรหมลงมาอาศยั บนโลก มนษุ ยอ์ าศยั อยู่กันอย่างสงบสุข แต่ละคนรู้ว่าส่ิงใดควร สิ่งใดไม่ควร ไม่มีการท�ำอกุศลธรรม ใด ๆ จงึ ไม่จ�ำเป็นต้องมีการวางกฎระเบียบต่าง ๆ ข้นึ บังคบั ผู้คนในสังคมแต่อย่าง ใด คลา้ ย ๆ กบั ความเปน็ อยขู่ องพระอรยิ สงฆใ์ นชว่ งปฐมโพธกิ าล ซง่ึ ไมม่ กี ารบญั ญตั ิ พระวินัยเพ่ือให้พระภิกษุปฏิบัติตาม เพราะพระอริยเจ้าแต่ละท่านรู้ว่า สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ส่ิงใดดี ส่ิงใดช่ัว ไม่มีการท�ำผิดศีลธรรมใด ๆ จึงยังไม่จ�ำเป็นต้อง บัญญัตพิ ระวนิ ัย มนุษย์ยคุ แรกอาศยั รวมกนั อยู่เป็นกลุ่ม ท�ำมาหากินร่วมกนั คือ อาหารเป็น ของกลางซง่ึ มอี ย่เู หลอื เฟอื ในธรรมชาติ เปน็ ประดจุ สมบตั จิ กั รพรรดติ กั ไมพ่ ร่อง แต่ เพราะกเิ ลส คอื ความเกยี จครา้ นและความโลภ เปน็ เหตใุ หม้ นษุ ยท์ �ำการสะสมอาหาร คือ ข้าวสาลี ต่างคนต่างเก็บมาสะสมจนเกินความจ�ำเป็น จึงท�ำให้ข้าวสาลีงอกขึ้น ไม่ทัน บางแห่งกไ็ ม่งอกอกี เลย มนษุ ย์ยุคนั้นจึงประชุมกันและตกลงปักปันเขตแดน กันข้ึน ท�ำให้เกดิ ทรพั ย์สนิ ส่วนตวั ขึน้ มาเป็นครัง้ แรก แต่ถงึ กระน้ันก็ยังมีปัญหาตามมาเมื่อมีมนษุ ย์บางจ�ำพวกไม่ท�ำตามกติกาหรือ กฎระเบยี บทต่ี กลงกนั ไว้ คอื สงวนสว่ นของตนไวแ้ ลว้ ไปลกั ขโมยขา้ วสาลใี นเขตแดน สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 153 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ของผู้อื่นเพราะความโลภ เมื่อมีการท�ำบ่อยครั้งเข้าจึงท�ำให้คนในสังคมเดือดร้อน จนถงึ ขนาดมีการทุบตีกันเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ จงึ มกี ารปรึกษากันว่าควรมใี ครสักคน หนึ่ง ที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรยี บร้อยของสังคม คอยว่ากล่าวตักเตือน มีอ�ำนาจ ลงโทษผู้ท่ีท�ำอกุศลกรรมเหล่านี้ และผู้น้ันจะได้รับส่วนแบ่งข้าวสาลีจากทุก ๆ ครอบครัวในสังคม โดยไม่ต้องเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเอง ซ่ึงเปรียบเสมือนการเสียภาษี ให้รัฐบาลในปัจจุบนั เม่อื ตกลงกันอย่างน้แี ล้ว พวกมนษุ ย์จึงพากนั ไปหาบุคคลท่มี ี ความประพฤติดี มีความสามารถและมีบุคลิกน่าเช่ือถือ น่าเกรงขามกว่าคนอ่ืน ๆ สมมติให้ผู้น้ันเป็นหวั หน้า ดว้ ยเหตนุ ี้ อกั ขระวา่ มหาชนสมมตจิ งึ อบุ ตั ขิ น้ึ เพราะผนู้ นั้ ท�ำหนา้ ทเี่ ปน็ หวั หนา้ เป็นใหญ่ในเขตแดนแห่งข้าวสาลีทัง้ หลาย และอกั ขระว่า กษตั ริย์ ก็อุบตั ิขน้ึ เพราะ เหตุทีผ่ ู้นน้ั ยังชนเหล่าอน่ื ให้มคี วามสุขใจ “โดยธรรม” และอกั ขระว่า ราชา กอ็ บุ ตั ิขึ้น ตามมาเช่นกนั ซงึ่ กษตั รยิ ์ หรือราชา ท่เี กิดจากการทม่ี หาชนสมมตขิ นึ้ นี้ ก็คล้าย ๆ กบั การเลอื กตงั้ ในระบอบประชาธปิ ไตยในปจั จบุ นั ตา่ งกนั เพยี งแตว่ า่ ผทู้ ไี่ ดร้ บั เลอื ก นน้ั ปจั จบุ นั เรยี กวา่ นายกรฐั มนตรบี า้ ง ประธานาธบิ ดบี า้ ง สว่ นกษตั รยิ ใ์ นยคุ ปจั จบุ นั โดยส่วนใหญ่สบื ราชสมบัตโิ ดยสายโลหิต และไม่ได้มหี น้าทบ่ี รหิ ารประเทศแล้ว จากเรื่องราวในอคั คญั ญสตู รน้ี แสดงให้เห็นว่า มีเน้อื หาทเี่ กยี่ วข้องกบั “การ ก�ำเนิดของรัฐ” อยู่ เพราะค�ำว่า “รัฐ” หมายถงึ “กลุ่มคนหรือชุมชนซง่ึ อาศัยอยู่รวม กันอย่างเป็นระเบยี บในดินแดนหรืออาณาเขตแน่นอน มรี ฐั บาลและอ�ำนาจอธิปไตย ของตนเอง สามารถบริหารกิจการทั้งหลาย ท้ังภายในและภายนอกรัฐโดยอิสระ พ้นจากการควบคุมของรัฐภายนอก” โดยรัฐบาลท่ีปรากฏในอัคคัญญสูตรน้ัน หมายเอา “กษัตริย์” ซึ่งยุคต่อมาได้พัฒนาจนกลายเป็นสถาบัน มีอ�ำนาจในการ ปกครองประชาชนในดินแดนของตนให้สงบเรียบร้อย รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 154 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
6.3 เปา้ หมายของการเมืองการปกครอง จากอัคคัญญสูตรจะเห็นว่า เป้าหมายเบื้องต้นของการเมืองการปกครองนั้น คอื การรกั ษาความสงบเรียบร้อยของสงั คมโดยธรรม ตเิ ตียน ตกั เตือน ลงโทษคน ท่ีประพฤติอกุศลธรรม อันเป็นเหตุให้คนในสังคมเดือดร้อน เพ่ือให้ทุกคนอยู่ร่วม กันอย่างสงบสขุ อันนเ้ี ป็นเป้าหมายหลักของการเมืองการปกครองยคุ แรก อย่างไรก็ตาม เม่ือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในแต่ละยุค พระองค์ ตรสั สอนเปา้ หมายของชวี ติ มนษุ ยไ์ ว้ 3 ระดบั คอื เปา้ หมายระดบั ตน้ เปา้ หมายระดบั กลาง และเป้าหมายระดับสูงสดุ โดยเป้าหมายระดับต้น คอื การสร้างตัวสร้างฐานะ ให้ได้ในปัจจบุ นั ชาตนิ ้ี บนพืน้ ฐานของศีลธรรม เป้าหมายระดบั กลาง คอื การส่ังสม บุญเพ่ือให้ได้ไปเกดิ ยงั สุคติในภพชาตหิ น้า ส่วนเป้าหมายระดับสงู สุด คอื การสร้าง บารมีอย่างยิง่ ยวดเพ่ือละกเิ ลสเข้าสู่อายตนนิพพาน เม่ือเป้าหมายของชีวิตมนุษย์มี 3 ระดับเช่นนี้ ดังน้ันเป้าหมายของการเมือง การปกครองในทางพระพุทธศาสนา จึงอยู่ที่การสร้างสภาพเอื้อให้มนุษย์ในสังคม สามารถประพฤตปิ ฏิบตั ติ นเพื่อบรรลเุ ป้าหมายทงั้ 3 ระดับนไ้ี ด้โดยง่าย ซง่ึ แน่นอน เบอื้ งต้นต้องสร้างความสงบเรยี บร้อยขนึ้ ในสงั คมกอ่ น ดว้ ยการควบคมุ คนพาลและ อภบิ าลคนดี จากนนั้ จงึ สรา้ งสง่ิ แวดลอ้ มทจ่ี �ำเปน็ ตอ่ การด�ำเนนิ ชวี ติ ไปสเู่ ปา้ หมายเหลา่ น้ีให้แก่พลเมอื ง 6.4 ธรรมาธปิ ไตยหวั ใจของรัฐศาสตร์ ธรรมาธิปไตย หมายถงึ มีธรรมเป็นใหญ่ มีธรรมเป็นอธบิ ดี กระท�ำกิริยาคอื ราชกจิ ทุกอย่างด้วยอ�ำนาจธรรมเท่านนั้ 1 กล่าวคือ การตัดสินใจในการปกครองทุก อย่าง จะต้องยึดหลักธรรมเป็นเกณฑ์เท่าน้ัน ธรรมาธปิ ไตยจงึ ถือว่าเป็นหวั ใจส�ำคญั ของการปกครอง หรอื เป็นหัวใจส�ำคญั ของหลักรัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 1 อรรถกถาจักกวตั ติสูตร, อรรถกถาทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค, มก. เล่ม 15 หน้า 131. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 155 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ธรรม หมายถึง ความถูกต้อง ความดีงาม ซ่ึงมีทั้งที่เป็นหลักค�ำสอนของ พระสมั มาสัมพุทธเจ้า เช่น มรรคมอี งค์ 8, อปรหิ านิยธรรม เป็นต้น และหลกั ธรรม ที่มีมาแต่เดิมก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เช่น ศีล 5, ทศพิธราชธรรม, กุศลกรรมบถ 10 และจกั รวรรดิวตั ร เป็นต้น เร่ืองธรรมาธิปไตยน้ี ปรากฏอยู่ในราชสูตร ซ่ึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส ถงึ การปกครองทวปี ทงั้ 4 ของพระเจา้ จกั รพรรดิ และตรสั ถงึ การปกครองพทุ ธบรษิ ทั ของพระองค์เองว่าใช้หลกั เดียวกัน คือ ธรรมาธิปไตย พระเจา้ จกั รพรรดิ หมายถงึ กษตั รยิ ผ์ มู้ บี ญุ ญาธกิ ารมาก เปน็ ผปู้ กครองทวปี ทั้ง 4 คือ ชมพูทวีป อตุ ตรกุรุทวปี ปพุ พวิเทหทวปี และอมรโคยานทวปี พระเจ้า จกั รพรรดิทกุ พระองค์จะมีรัตนะ 7 คอื จกั รแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว นางแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว และแก้วมณี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในราชสูตรมีใจความว่า พระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรง ด�ำรงอยใู่ นธรรม เปน็ พระธรรมราชา... ทรงสกั การะ เคารพ นอบนอ้ มธรรม... มธี รรม เป็นใหญ่ ย่อมทรงจัดแจงการรักษา ป้องกัน คุ้มครอง ทีเ่ ป็นธรรมในชนภายใน คือ พระมเหสี พระราชโอรส พระราชธิดา และย่อมทรงจัดแจง การรักษา ป้องกัน คุ้มครอง ทีเ่ ป็นธรรมในพระราชวงศานวุ งศ์ หมู่ทหาร พราหมณ์ คหบดี ชาวนิคม ชนบท สมณพราหมณ์ เน้ือและนกท้ังหลาย ธรรมในท่ีน้ี คือ กุศลกรรมบถ 10 ประการ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ากเ็ หมอื นกนั ทรงด�ำรงอย่ใู นธรรม เป็นพระธรรมราชา... ทรงสักการะ เคารพ นอบน้อมธรรม... มีธรรมเป็นใหญ่ ย่อมทรงจัดแจงการรักษา ป้องกัน คุ้มครอง ทีเ่ ป็นธรรมในพุทธบรษิ ัทว่า สิ่งนีค้ วรท�ำ ส่ิงนคี้ วรพูด สง่ิ น้คี วร คดิ การเล้ียงชีพอย่างนค้ี วรท�ำ สถานทเี่ ช่นนค้ี วรไป และส่วนส่งิ ต่าง ๆ เหล่านไ้ี ม่ ควรท�ำ พูด หรอื คดิ เป็นต้น 1 1 ราชสูตร, พระสุตตันตปิฎก อังคตุ ตรนกิ าย ปัญจกนิบาต, มก. เล่ม 36 ข้อ 133 หน้า 276. รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 156 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
จากเนื้อหาในราชสตู รนจ้ี ะเหน็ ว่า หัวใจของรฐั ศาสตร์ในพระไตรปิฎกนนั้ คือ ธรรมาธปิ ไตย หมายถงึ การมธี รรมเป็นใหญ่ ซงึ่ ใช้หลกั เดยี วกนั ทง้ั การปกครองทาง โลก และการปกครองในทางธรรม 6.5 ธรรมาธปิ ไตยไมใ่ ชร่ ะบอบการปกครอง ดงั ทก่ี ลา่ วไปแลว้ วา่ ธรรมาธปิ ไตยไมถ่ อื วา่ เปน็ “ระบอบการปกครอง” ระบอบ หนง่ึ เหมอื นอยา่ ง ระบอบประชาธปิ ไตย หรอื ระบอบคอมมวิ นสิ ต์ 1 แตท่ กุ ระบอบการ ปกครองทมี่ อี ยสู่ ามารถน�ำธรรมาธปิ ไตยไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดท้ ง้ั นน้ั เพราะธรรมาธปิ ไตย เปน็ เรอื่ งของหลกั การทถี่ อื เอาความถกู ตอ้ งชอบธรรมเปน็ ใหญ่ ซงึ่ จะท�ำใหผ้ ปู้ กครอง และผู้อยู่ใต้ปกครองด�ำเนนิ ชีวติ อย่างมีความสขุ ไม่มกี ารเบยี ดเบียนกัน ระบอบการปกครองในสมยั พุทธกาลและในอดตี ท่ปี รากฏในพระไตรปิฎกมี อยู่ 2 ระบอบใหญ่ ๆ คือ การปกครองโดยคน ๆ เดยี ว และการปกครองโดยคณะ บคุ คล การปกครองโดยคน ๆ เดียว หมายถึง การปกครองโดยกษัตริย์ เช่น แคว้น มคธปกครองโดยพระเจ้าพิมพิสาร แคว้นโกศลปกครองโดยพระเจ้าปเสนทิโกศล แคว้นวงั สะปกครองโดยพระเจ้าอุเทน หรือหากเป็นการปกครองโดยคน ๆ เดยี วใน อดตี กไ็ ดแ้ ก่ การปกครองของพระเจา้ จกั รพรรดิ เปน็ ตน้ สว่ นการปกครองโดยคณะ บคุ คล เป็นการปกครองโดยคณะของเจ้าต่าง ๆ ในยุคนน้ั เช่น แคว้นวัชชี ปกครอง โดยคณะเจ้าลจิ ฉวี และแคว้นมลั ละปกครองโดยคณะเจ้ามลั ละ ระบอบการปกครองทง้ั 2 ระบอบนี้ มอี ยู่แล้วในสมัยพุทธกาล ซึ่งสืบทอดมา จากในอดีต เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติข้ึน พระองค์ไม่ได้ตรัสให้มีการ เปล่ียนแปลงตัวระบอบใด ๆ ทั้งสิ้น แคว้นใดเคยปกครองแบบใดก็ปกครองไป เหมอื นเดมิ แต่สง่ิ ทพี่ ระองค์สอน คอื “ธรรม” ส�ำหรบั น�ำไปใช้ในการปกครองแต่ละ ระบอบ เช่น อปรหิ านยิ ธรรม ซง่ึ เป็นธรรมทเี่ หมาะกบั การปกครองโดยคณะบคุ คล เช่น แคว้นวชั ชีและแคว้นมลั ละ ฯลฯ 1 ปรีชา ช้างขวัญยืน (2534). ความคดิ ทางการเมืองในพระไตรปิฎก. หน้า 18-20. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 157 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ส่วนธรรมที่เหมาะกับส�ำหรับการปกครองโดยกษัตริย์ ได้แก่ ทศพิธราชธรรม, จักรวรรดิวัตร ฯลฯ แต่ท้ังน้ีอปริหานิยธรรม ทศพิธราชธรรม และจักรวรรดิวัตร ฯลฯ กส็ ามารถประยุกต์ใช้ในการปกครองได้ทุกระบอบ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนหลักธรรมส�ำหรับการปกครองแล้ว พระองค์ยังทรงสอนให้กษัตริย์และผู้ปกครองแคว้นต่าง ๆ บรรลุธรรมด้วย เช่น พระองค์เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ ในครั้งน้ันพระเจ้าพิมพิสาร และประชาชน 110,000 คน ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เม่ือพระราชาเป็น พระโสดาบันแล้ว จึงท�ำให้มีศรทั ธามนั่ คงในพระรัตนตรยั มใี จตงั้ มัน่ ในธรรม เป็น เหตใุ ห้ปกครองประชาราษฎร์โดยธรรมไปโดยปริยาย ส�ำหรบั การปกครองของคณะสงฆ์ในพระพทุ ธศาสนานนั้ เป็นสง่ิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม่ ไม่เคยมมี าก่อน แต่ถงึ กระนน้ั ในสมยั พทุ ธกาลระบอบทพี่ ระสัมมาสมั พุทธเจ้าทรง ใช้ปกครองพุทธบริษัทก็คล้าย ๆ กับทางโลก โดยฐานะทางการปกครองของ พระพทุ ธองค์ คือ “ธรรมราชา” คล้าย ๆ กบั การเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมในทางโลก ก่อนพระองค์จะปรินพิ พานกไ็ ม่ได้แต่งตัง้ ภกิ ษุรูปใดเป็นศาสดาแทน แต่ทรง ใช้หลักการธรรมาธิปไตยในการปกครองคณะสงฆ์ โดยมอบอ�ำนาจให้คณะสงฆ์ใน แต่ละพนื้ ท่ี แต่ละวดั ทุกรูปปกครองบรหิ ารการคณะสงฆ์ในพนื้ ทน่ี น้ั ๆ ร่วมกนั โดย ยดึ “พระธรรมวินยั ” ท่ีพระองค์ตรสั ไว้ดแี ล้วเป็นศาสดาแทนพระองค์ และทีส่ �ำคญั พระองค์ได้ตรัสถึงหลัก “อปริหานิยธรรม” ให้พระภิกษุและภิกษุณีปฏิบัติอย่าง เครง่ ครดั ซง่ึ หลกั นพี้ ระองค์เคยสอนใหเ้ จ้าลจิ ฉวใี ช้ปกครองแควน้ วชั ชมี ากอ่ น แตม่ ี ความแตกต่างกันบางข้อ ทัง้ น้เี พอ่ื ให้เหมาะสมกับเพศภาวะของบรรพชติ การปกครองคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาน้ันแตกต่างกับทางโลกตรงท่ี พระพุทธองค์ทรงก�ำหนดกฎระเบียบส�ำหรับพระภกิ ษแุ ละภิกษุณอี ย่างเคร่งครดั ดัง ท่ีปรากฏในพระวินัยปิฎก ซ่ึงจะกล่าวรายละเอียดในบทนิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 158 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ตอ่ ไป สว่ นทางโลกพระองคเ์ พยี งตรสั สอนหลกั ธรรมใหบ้ รรดากษตั รยิ แ์ ละผปู้ กครอง แคว้นต่าง ๆ น�ำไปประยกุ ต์ใช้กนั เอง พระองค์ไม่ได้เข้าไปเกย่ี วข้องกับกฎระเบียบ และกระบวนการปกครองภายในรัฐแต่อย่างใด ทงั้ น้อี าจเป็นเพราะส่ิงเหล่าน้ีมีมาแต่ เดิมแล้ว เพียงแต่บางรัฐบางแคว้นหรือโดยส่วนใหญ่ยังขาด “หลักธรรม” ซึ่งเป็น หัวใจส�ำคัญส�ำหรับเป็นเครอ่ื งน�ำทางการปกครองเท่านน้ั สว่ นคณะสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนานนั้ เกดิ ขน้ึ ใหม่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ตอ้ ง วางระบบระเบียบต่าง ๆ ให้ชดั เจน จะอาศยั เพยี งหลกั ธรรม เช่น อปริหานิยธรรม เปน็ ตน้ ซง่ึ เปน็ หลกั การกวา้ ง ๆ นน้ั ไมพ่ อ เพราะผเู้ ขา้ มาบวชมอี ปุ นสิ ยั และการอบรม หล่อหลอมต่างกัน หากไม่มีกฎระเบียบทช่ี ดั เจน กม็ ีโอกาสปฏิบัตไิ ม่เหมาะสม สร้าง ความเสอ่ื มเสยี ใหแ้ กพ่ ระพทุ ธศาสนาได้ ซงึ่ ตน้ บญั ญตั สิ กิ ขาบทแตล่ ะขอ้ ในพระวนิ ยั - ปฎิ ก ลว้ นมาจากสาเหตเุ หลา่ นท้ี ง้ั สนิ้ ดงั นน้ั พระวนิ ยั จงึ เปรยี บเสมอื นดา้ ยทชี่ ว่ ยรอ้ ย ดอกไม้ คอื ภิกษุและภกิ ษณุ ี ให้เป็นระเบียบสวยงาม สร้างความศรทั ธาให้เกดิ แก่ผู้ พบเหน็ และเปน็ เหตใุ หภ้ กิ ษแุ ละภกิ ษณุ อี ยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสงบสขุ สามารถสบื ทอดอายุ พระพทุ ธศาสนาไปได้ยาวนาน 6.6 หลกั ธรรมสำ�คัญในการปกครอง หลักธรรมในการปกครองนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คอื หลักธรรมในการปกครอง ตน และหลกั ธรรมในการปกครองคน หลกั ธรรมในการปกครองนัน้ อาจจะเรยี กว่า “หลกั ศีลธรรม” กไ็ ด้ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วหลกั ธรรมในการปกครองนัน้ มี “ศลี ” รวมอยู่ด้วยแทบท้ังส้นิ เพื่อให้เกิดความชัดเจนจึงมักเรยี กกนั ว่าหลกั ศีลธรรม หลักธรรมในการปกครองตน หมายถงึ หลักธรรมทผ่ี ู้ปกครองจะต้องปฏิบตั ิ เพ่ือปกครองดแู ลตนเองให้ต้ังอยู่ในธรรมอนั ดีงาม เพื่อเป็นต้นแบบทดี่ ีและยงั ความ เลอ่ื มใสศรทั ธาให้เกดิ ขน้ึ แก่ผู้ทอ่ี ยู่ใต้การปกครองของตน หากเป็นการปกครองโดย กษตั ริย์จะใช้หลัก “ทศพธิ ราชธรรม” หรอื “กุศลกรรมบถ 10” หากเป็นการปกครอง สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 159 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
โดยพระเจ้าจกั รพรรดิ ก็จะใช้หลกั “จักรวรรดวิ ัตร” ส�ำหรับจักรวรรดิวตั รนี้ จะมี ธรรมในการปกครองคนรวมอยู่ในหมวดเดียวกันด้วย แต่ถ้าเป็นการปกครองโดย คณะบุคคล เช่น แคว้นวัชชี กจ็ ะใช้หลกั “อปริหานิยธรรม” เพื่อให้ผู้ปกครองเหล่า นัน้ น�ำไปปกครองตน และเพือ่ หลอมรวมคณะผู้ปกครองทุกคนให้เป็นหนึ่งเดยี วกัน หลักธรรมในการปกครองคน หมายถึง หลักธรรมท่ีผู้ปกครองจะต้องน�ำ ไปใช้ในการปกครองคน คอื ผู้อยู่ภายใต้การปกครองของตน ให้เป็นไปด้วยความ เรียบร้อย เจรญิ รุ่งเรอื ง และสมคั รสมานสามัคคี ซึ่งจะใช้หลักธรรมดงั ต่อไปน้ี คือ สงั คหวัตถุ 4, อคติ 4, กุศลกรรมบถ 10 และ ศลี 5 เป็นต้น หลกั ธรรมเหล่านี้ สามารถน�ำไปใชใ้ นการปกครองไดท้ งั้ ระบอบกษตั รยิ ์ และระบอบทป่ี กครองโดยคณะ บคุ คล 6.6.1 หลักธรรมในการปกครองตน ล�ำดับข้ันของการปกครองในพระพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส สอนใหป้ กครองตนกอ่ น เมอ่ื ปกครองตนเองไดแ้ ลว้ จงึ คอ่ ยปกครองคนอน่ื ปกครอง หมู่คณะ หรือปกครองประเทศชาติ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก่อนท่ีพระองค์ จะทรงปกครองพทุ ธบรษิ ทั พระองค์กป็ กครองพระองค์เองด้วยธรรมก่อน การปกครองตนโดยธรรมของพระพุทธองค์นัน้ เริม่ จากเมอ่ื ครง้ั ที่ยงั ทรงเป็น พระโพธิสตั ว์ พระองค์ปกครองตนด้วยการประพฤติดที างกาย วาจา และใจ งด เว้นจากความชว่ั ทงั้ ปวง จนกระทง่ั ตรสั รู้เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า เมอ่ื ทรงปกครอง พระองค์เองได้แล้ว จึงทรงปกครองพุทธบริษัทต่อไป โดยทรงสอนหลักธรรมให้ พทุ ธบรษิ ทั น�ำไปใชป้ กครองตน เมอื่ ผใู้ ดปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมจนถงึ ทส่ี ดุ แลว้ กจ็ ะได้ บรรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ ซึ่งถือเป็นการเสร็จส้ินภาระในการปกครองตน จากน้ัน พระพุทธองค์ก็จะให้ภิกษุ หรือภิกษุณีที่ปกครองตนได้แล้วรับหน้าที่ช่วยปกครอง หมู่คณะต่อไป รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 160 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ส�ำหรบั หลกั ธรรมทสี่ �ำคญั ในการปกครองตนของพระราชามหากษตั รยิ ท์ ง้ั หลาย มี 4 หมวด คอื ทศพธิ ราชธรรม, กศุ ลกรรมบถ 10, จกั รวรรดิวัตร และอปรหิ า- นิยธรรม มีรายละเอยี ดดงั นี้ 1. ทศพิธราชธรรม ทศพิธราชธรรม หมายถึง ธรรมสำ�หรับพระเจ้าแผ่นดินหรือ พระมหากษัตริย์ 10 ประการ เป็นธรรมที่มีมาแต่เดิมก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า ดังที่พระพุทธองค์ตรัสถึงธรรมนี้ในชาดกต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ เกิดขึ้นก่อนยุคพุทธกาล เช่น เวสสันดรชาดก สุมังคลชาดก กุมมาสปิณฑชาดก มหาหังสชาดก ฯลฯ ทศพิธราชธรรม มีดังนี้ (1) ทาน หมายถึง เจตนาให้วตั ถุ 10 เช่น ข้าว, น�้ำ เป็นต้น (2) ศีล หมายถงึ ศลี 5 (3) การบริจาค หมายถึง การบรจิ าคไทยธรรม (4) ความซือ่ ตรง หมายถึง ความเป็นคนตรง (5) ความอ่อนโยน หมายถึง ความเป็นคนอ่อนโยน (6) ความเพียร หมายถงึ การรกั ษาอุโบสถศีล (7) ความไม่โกรธ หมายถึง ความมีเมตตา เป็นต้น (8) ความไม่เบียดเบยี น หมายถงึ ความมีกรณุ า เป็นต้น (9) ความอดทน หมายถึง ความอดกลน้ั (10) ความไม่คลาดจากธรรม หมายถึง ความไม่ขดั เคือง สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 161 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
2. กุศลกรรมบถ 10 กุศลกรรมบถ แปลว่า ทางแห่งกรรมที่เป็นกุศล หรือทางแห่งกรรมดี กศุ ลกรรมบถนั้นเป็นธรรมที่มีมาก่อนยคุ พุทธกาล ผู้ปกครองในอดีตใช้เป็นหลักใน การปกครองตน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในจริยาปิฎก เรื่องเอกราชจริยาว่า ในกาลเมื่อเราเปน็ พระราชาพระนามว่าเอกราช เราอธษิ ฐานศีลอันบรสิ ทุ ธิ์ยิง่ ปกครอง แผ่นดินใหญ่ สมาทานกุศลกรรมบถ 10 ประการครบถ้วน สงเคราะห์มหาชนด้วย สังคหวัตถุ 4 ประการ 1 กศุ ลกรรมบถ 10 นั้นประกอบด้วย (1) เว้นขาดจากการฆ่าสตั ว์ (2) เว้นขาดจากการลกั ทรัพย์ (3) เว้นขาดจากการประพฤตผิ ิดในกาม (4) เว้นขาดจากการพดู เทจ็ (5) เว้นขาดจากการพูดส่อเสยี ด (6) เว้นขาดจากการพดู ค�ำหยาบ (7) เว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ (8) ไม่เพ่งเลง็ อยากได้ของผู้อื่น (9) มจี ิตไม่พยาบาท (10) มสี มั มาทิฏฐิ คอื มีความเห็นชอบ 1 ปรมัตถทีปน,ี อรรถกถาขุททกนิกาย จรยิ าปิฎก, มก. เล่ม 74 ข้อ 34 หน้า 535. รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 162 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
3. จักรวรรดิวัตร จักรวรรดิวัตร หมายถึง ธรรมของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นธรรมที่มีมา แต่เดิมก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเช่นกัน ซึ่งมี 5 ประการ โดยข้อที่ 1 และข้อที่ 5 เป็นธรรมสำ�หรับปกครองตนของพระเจ้าจักรพรรดิ ส่วนข้อ 2, 3 และ 4 เป็นธรรมสำ�หรับปกครองคน (1) พระเจ้าจักรพรรดิทรงอาศัยธรรม สกั การะธรรม เคารพธรรม นบั ถือ ธรรม บชู าธรรม นอบน้อมธรรม มธี รรมเป็นธงชัย มธี รรมเป็นยอด มี ธรรมเป็นใหญ่ ธรรมในที่นี้ คือ กุศลกรรมบถ 10 ประการ (2) พระเจ้าจักรพรรดิทรงจัดการรักษาป้องกัน และคุ้มครองชนภายใน คือ พระมเหสี, พระราชโอรส และพระราชธิดา, เหล่าทหาร, พวกกษตั รยิ ์ผตู้ ามเสดจ็ , พราหมณ์และคหบดชี าวนคิ มและชาวชนบท, สมณพราหมณ์, สตั ว์จ�ำพวกเน้อื และนกโดยธรรม (3) พระเจ้าจักรพรรดิป้องกันการกระท�ำที่เป็นอธรรม เช่น การท�ำ อกุศลกรรม (4) พระเจ้าจักรพรรดบิ ริจาคทรพั ย์แก่คนทไี่ ม่มีทรัพย์ (5) พระเจ้าจกั รพรรดิทรงคบบัณฑิต คือ เข้าไปหาสมณพราหมณ์ 1 ตาม กาลอันควรแล้วไต่ถามถงึ “สิง่ ท่เี ป็นกุศล และอกุศล ส่งิ ที่มโี ทษ และ ไม่มีโทษ ส่ิงท่ีควรเกย่ี วข้อง และไม่ควรเก่ียวข้อง สิง่ ทที่ �ำแล้วเป็นไป เพอื่ ไม่เก้ือกลู เพ่ือทกุ ข์ตลอดกาลนาน หรือส่งิ ใดท่ที �ำแล้วเป็นไปเพ่ือ เก้ือกูล เพ่ือสุขตลอดกาลนาน” เมื่อสอบถามแล้วก็น้อมน�ำมาปฏิบัติ คือ ส่ิงใดเป็นอกุศล ทรงละเว้นส่ิงน้ัน ส่ิงใดเป็นกุศล ทรงยึดถือ ประพฤตสิ ิ่งนั้น 1 ผู้เว้นขาดจากความมัวเมาและความประมาท ต้ังมนั่ อยู่ในขนั ตแิ ละโสรจั จะ ฝึกตน สงบตน. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 163 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
วัตรในข้อท่ีสองน้ัน พระอรรถกถาจารย์อธิบายเพ่ิมเติมไว้ว่า พระเจ้า จักรพรรดจิ ะต้องยังชนภายในคือ พระมเหสี พระราชโอรส และพระราชธดิ าให้ตั้ง อยู่ในศีล ให้วัตถุ เช่น ผ้า ดอกไม้ และของหอม ฯลฯ แก่ชนเหล่าน้ัน และป้องกัน ภัยทั้งปวงให้แก่เขา ส�ำหรบั เหล่าทหาร กษัตรยิ ์ผู้ตามเสดจ็ พร้อมท้งั พราหมณ์และคหบดี เปน็ ตน้ พระเจา้ จกั รพรรดกิ ต็ อ้ งปฏบิ ตั อิ ยา่ งนเ้ี หมอื นกนั แตม่ ขี อ้ แตกตา่ งบางประการ ดงั น้ี เหลา่ ทหารควรสงเคราะหด์ ว้ ยการเพมิ่ บ�ำเหนจ็ รางวลั ให้ ไมใ่ หล้ ว่ งเลยกาลเวลา กษัตริย์ผู้ได้รับการอภิเษก ควรสงเคราะห์ด้วยการให้รัตนะ เช่น ม้าอาชาไนยอัน สง่างาม เป็นต้น กษัตริย์ประเทศราช ควรมอบยานพาหนะที่สมควรแก่ความเป็น กษัตรยิ ์ พราหมณ์ท้งั หลายควรมอบไทยธรรม เช่น ข้าวน�ำ้ และผ้า เป็นต้น พวกคหบดีและราษฎรท่วั ไป ควรสงเคราะห์ด้วยการให้พนั ธ์ุข้าว, ไถ, ผาล และโคงาน เป็นต้น ส�ำหรับสมณพราหมณ์ ผู้ปฏบิ ตั ดิ ีปฏบิ ตั ิชอบ ควรสักการะ ด้วยการถวายบริขาร ส่วนหมู่เน้อื และนก ควรให้โปร่งใจด้วยการให้อภัย 1 กล่าวคอื แบ่งเขตให้อภัยทานด้วยการห้ามฆ่าสตั ว์ในพ้ืนทีต่ ่าง ๆ 4. อปริหานิยธรรม อปริหานยิ ธรรม หมายถงึ ธรรมท่ที �ำให้ไม่เสื่อม 7 ประการ จะท�ำให้ เกิดความเจรญิ ฝ่ายเดยี ว เป็นหลกั ท่ีจะสร้างความสามัคคีให้เกดิ ขึน้ ในหมู่คณะ ซึง่ มีอยู่ 2 ประเภท คือ ส�ำหรับคฤหัสถ์ และส�ำหรบั บรรพชิต ทัง้ 2 ประเภทนม้ี คี วาม ใกล้เคยี งกนั มาก ต่างกนั เพยี งบางข้อตามภาวะของเพศคฤหสั ถ์และบรรพชติ ในทนี่ ี้ จะกล่าวถงึ เฉพาะธรรมส�ำหรบั คฤหสั ถ์เท่านั้น 1 อรรถกถาจักกวตั ตสิ ูตร, อรรถกถาทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค, มก. เล่ม 15 หน้า 132-133. รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 164 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอปริหานิยธรรมส�ำหรับคฤหัสถ์แก่เจ้าลิจฉวี ผู้ปกครองแคว้นวัชชี ณ สารันททเจดยี ์ ใกล้กรุงเวสาลี โดยมวี ัตถุประสงค์เพอื่ ให้ เจ้าวชั ชที ง้ั หลายทเี่ ป็นคณะผู้ปกครอง น�ำไปเป็นหลกั ปกครองตน ตนในทนี่ คี้ อื คณะ ผู้ปกครองทง้ั คณะ ซ่ึงต้องปฏิบัติดังน้ี (1) ประชุมกันเนอื ง ๆ เพ่ือให้ได้รับข้อมลู ท่ัวถึงกนั (2) พร้อมเพรียงกนั ประชุม พร้อมเพรยี งกันเลกิ ประชุม พร้อมเพรียงกนั ท�ำกิจทีพ่ งึ ท�ำ (3) ไม่บัญญัติข้อที่ไม่เคยบัญญัติไว้ ไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติไว้แล้ว สมาทานวชั ชธี รรมแบบโบราณ ตามท่ีบญั ญัติไว้แล้ว ประพฤติกันอยู่ (4) สักการะ เคารพ นับถอื บูชา ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า และเชื่อถือถ้อยค�ำท่คี วร ฟงั ของผใู้ หญผ่ เู้ ฒา่ เหลา่ นนั้ เพราะเมอ่ื มคี วามเคารพ ผเู้ ฒา่ กจ็ ะเมตตา แนะน�ำส่ิงทเี่ ป็นประโยชน์ให้ (5) ไมฉ่ ดุ ครา่ ขม่ เหง กกั ขงั กลุ สตรที งั้ หลาย และกมุ ารขี องสกลุ ทงั้ หลาย เพราะจะท�ำให้ประชาชนโกรธแค้นและต่อต้านผู้ปกครอง (6) สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู าเจดยี ์ ทงั้ ภายในและภายนอกพระนครและ ไม่ลดเครื่องสักการะที่เคยถวายแล้วแก่เจดีย์เหล่าน้ัน เพื่อให้เทวดาท่ี รักษาเจดีย์พงึ พอใจและช่วยคุ้มครองรกั ษาบ้านเมอื ง (7) จัดอารักขา ป้องกนั และคุ้มครอง พระอรหันต์ทงั้ หลาย ด้วยต้งั ใจว่า ท�ำอย่างไรพระอรหันต์ที่ยังไม่มาพึงมาสู่แคว้น ท�ำอย่างไรพระอรหันต์ ทม่ี าแลว้ ขอใหอ้ ยสู่ บาย ทง้ั นกี้ เ็ พอ่ื เปน็ เนอ้ื นาบญุ ใหแ้ กช่ าววชั ชที งั้ หลาย วัชชีธรรมโบราณ หมายถึง ธรรมเนียมปฏิบัตดิ ั้งเดิมด้านการปกครอง ของแคว้นวัชชี ซ่ึงเป็นธรรมเนียมที่ดี ต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของหลักธรรม พระสัมมา- สัมพุทธเจ้าให้รักษาวัชชีธรรมโบราณน้ีไว้อย่างเดิม ไม่ให้บัญญัติข้อที่ไม่เคย สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 165 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
บญั ญตั ไิ ว้ ไมเ่ พกิ ถอนขอ้ ทบี่ ญั ญตั ไิ วแ้ ลว้ เชน่ ไมต่ ง้ั ภาษอี ากร หรอื ไมก่ �ำหนดอาชญา คอื บทลงโทษท่ีไม่เคยมีมาก่อน หรือเมอื่ ราชบรุ ุษจับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นโจรมาแสดง แกเ่ จา้ ลจิ ฉวี กไ็ มส่ ง่ั ลงโทษเสยี เองโดยไมผ่ า่ นการสอบสวนตามกระบวนการสวบสวน คดคี วามดงั้ เดิม 1 การสอบสวนคดคี วามตามวชั ชีธรรมโบราณนน้ั มีการแบ่งเป็นฝ่าย ๆ อย่างชดั เจน ไม่มกี ารก้าวก่ายงานกนั งานของฝ่ายใดมหี น้าทแี่ ค่ไหนกท็ �ำแค่นนั้ เมอื่ หมดหน้าท่ีแล้วกส็ ่งงานให้ฝ่ายอืน่ ท�ำต่อไปดงั นี้ เมอื่ มเี จ้าหน้าทนี่ �ำผู้ต้องสงสยั ว่าเป็น “โจร” มาแสดงแก่เจ้าวัชชี ก็จะไม่ ตัดสินคดีเอง แต่จะมอบให้มหาอ�ำมาตย์ฝ่ายสอบสวนเป็นผู้สอบสวน เม่ือฝ่าย อ�ำมาตย์เหล่าน้ันสอบสวนแล้ว ทราบว่าไม่ใช่โจรก็ปล่อยไป แต่ถ้าเป็นโจรก็ไม่พูด อะไร ๆ ด้วยตนเอง แล้วมอบให้มหาอ�ำมาตย์ฝ่ายผู้พิพากษา เม่ือมหาอ�ำมาตย์ผู้ พพิ ากษาวนิ จิ ฉัยแล้ว ถ้าไม่ใช่โจรกป็ ล่อยตวั ไป ถ้าเป็นโจรก็มอบให้แก่มหาอ�ำมาตย์ ฝ่ายท่ชี ื่อว่า ลูกขุน เมอ่ื ลกู ขนุ เหลา่ นนั้ วนิ จิ ฉยั แลว้ หากไมใ่ ชโ่ จรกป็ ลอ่ ยตวั ไป หากเปน็ โจร กม็ อบใหม้ หาอ�ำมาตย์ 8 ตระกลู มหาอ�ำมาตย์ 8 ตระกลู นนั้ กก็ ระท�ำอยา่ งนนั้ เหมอื น กัน แล้วมอบให้เสนาบดี... เสนาบดีก็มอบให้แก่อุปราช... อุปราชก็มอบถวายแด่ พระราชา พระราชาวนิ จิ ฉยั แลว้ หากทราบว่าไม่ใช่โจรกป็ ล่อยตวั ไป หากว่าเปน็ โจร ก็ จะโปรดให้เจ้าหน้าทอ่ี ่านคมั ภีร์กฎหมายประเพณี ในคัมภีร์กฎหมายประเพณีน้ันเขียนไว้ว่า ผู้ใดท�ำความผิดช่ือน้ี ผู้น้ัน จะตอ้ งมโี ทษชอื่ นี้ พระราชากท็ รงน�ำการกระท�ำของผนู้ นั้ มาเทยี บกบั ตวั บทกฎหมาย นน้ั แล้วทรงลงโทษตามสมควรแก่ความผดิ นัน้ ดงั น้นั เมอ่ื พวกเจ้ายดึ ถือวชั ชธี รรม โบราณอย่างนี้ ผู้คนทั้งหลายย่อมไม่ติเตียน โทษจะไม่เกิดข้ึนแก่เจ้าวัชชีท้ังหลาย 1 สุมังคลวิลาสนิ ,ี อรรถกถาทฆี นิกาย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 หน้า 340. รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 166 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
มแี ต่ความเจรญิ อย่างเดยี วเท่าน้นั 1 อปริหานิยธรรมน้ัน ไม่จ�ำกัดไว้ส�ำหรับใช้ในการปกครองแบบคณะ บคุ คลเทา่ นน้ั แตส่ ามารถน�ำไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การปกครองโดยระบอบกษตั รยิ ไ์ ดด้ ว้ ย เพราะกษัตริย์เองแม้จะมอี �ำนาจในการปกครองแบบเบด็ เสรจ็ แต่ก็ต้องหม่ันประชุม เหลา่ อ�ำมาตยร์ าชบรพิ ารเชน่ กนั ทกุ คนตอ้ งพรอ้ มเพรยี งกนั ท�ำกจิ ตา่ ง ๆ เชน่ กนั บา้ น เมืองจึงจะเจริญรุ่งเรือง ในขณะเดยี วกนั ทศพธิ ราชธรรมน้นั เจ้าวชั ชีทง้ั หลายกค็ วร น�ำไปปฏิบตั ิด้วย เพ่ือส่งเสรมิ ให้คุณธรรมของคณะผู้ปกครองประเทศงดงามยงิ่ ขน้ึ 6.6.2 หลักธรรมในการปกครองคน หลักธรรมในการปกครองคนมี 2 ประเภท โดยประเภทท่ี 1 คือ หลกั ในการ ยดึ เหนย่ี วนำ�้ ใจคน สรา้ งความสมคั รสมานสามคั คกี นั ปอ้ งกนั การแตกความสามคั คี ได้แก่ สังคหวัตถุ 4 และอคติ 4 เป็นต้น และประเภทท่ี 2 คอื กฎระเบยี บส�ำหรับ ใหค้ นทอี่ ยภู่ ายใตก้ ารปกครองปฏบิ ตั ติ าม ไดแ้ ก่ กศุ ลกรรมบถ 10 และศลี 5 เปน็ ตน้ 1. สังคหวัตถุ 4 สังคหวัตถุ แปลว่า หลักการสงเคราะห์กัน เป็นคุณเครื่องยึดเหนี่ยว นำ�้ ใจกนั ซงึ่ เปน็ หลกั ปฏบิ ตั ทิ ผ่ี ปู้ กครองตอ้ งมเี พอื่ ใชใ้ นการยดึ เหนยี่ วนำ้� ใจประชาชน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ในกาลเมื่อเราเป็นพระราชาพระนามว่า เอกราช เราอธิษฐานศีลอันบรสิ ุทธย์ิ ิง่ ปกครองแผ่นดินใหญ่ สมาทานกุศลกรรมบถ 10 ประการอย่างเคร่งครัด สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวตั ถุ 4 ประการ 2 ได้แก่ ทานคอื การให้ ปิยวาจา คือ เจรจาถ้อยค�ำน่ารกั อตั ถจริยา คอื ประพฤติประโยชน์ และ สมานัตตตา คือ ความมีตนเสมอในธรรมและในบคุ คล 1 สมุ ังคลวลิ าสนิ ี, อรรถกถาทฆี นกิ าย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 หน้า 341-342. 2 ปรมัตถทปี นี อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย จรยิ าปิฎก, มก. เล่ม 74 ข้อ 34 หน้า 535. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 167 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
(1) ทาน แปลว่า การให้ ส�ำหรับผู้ปกครองแล้ว การให้น้ันถือว่ามีความ ส�ำคญั เปน็ อยา่ งยง่ิ เพราะผใู้ หย้ อ่ มเปน็ ทรี่ กั เมอ่ื ผปู้ กครองหมนั่ ใหท้ าน แก่พสกนิกรอยู่เสมอ ก็จะเป็นท่ีรักของปวงชน เม่ือเป็นท่ีรักแล้วก็จะ ง่ายต่อการปกครอง (2) ปิยวาจา แปลว่า เจรจาถ้อยค�ำน่ารัก ไพเราะเสนาะโสต เป็นท่ดี ึงดดู ใจ เหนยี่ วรง้ั ใจ เปน็ ทส่ี มคั รสมานในกนั และกนั ไมเ่ ปน็ ทก่ี ระทบกระเทอื น ในกนั และกนั ผฟู้ ังฟงั แล้วอยากจะฟงั อกี อย่รู ำ่� ไป ซงึ่ เป็นสงิ่ ส�ำคญั มาก ส�ำหรับผู้ปกครอง เพราะจะสามารถโน้มน้าวจิตใจให้ประชาชนสมัคร สมานสามคั คเี ป็นหนงึ่ เดียวกันได้ (3) อัตถจรยิ า แปลว่า ประพฤตปิ ระโยชน์ ส�ำหรับผู้ปกครองหมายถึงการ ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนพลเมือง ไม่เอาแต่ความสุข ส่วนตนผู้เดียว ให้ความสุขแก่ราษฎรโดยทว่ั หน้ากัน (4) สมานัตตตา แปลว่า ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมนน้ั ๆ ในบุคคล นนั้ ๆ กล่าวคอื เม่อื เราเข้าไปในหมู่ไหน พวกไหน ก็เป็นหมู่น้ันพวก น้ันไปหมด ไม่แตกแยกจากกัน นี้คือความเป็นผู้มีตนเสมอเขา พอ เหมาะพอดีกับเขา เข้าใกล้ใครคนนั้นก็บอกว่าเป็นพวกเขา ส�ำหรับผู้ ปกครอง หมายถงึ การไมว่ างตนสงู สง่ เกนิ ไปจนประชาชนเขา้ ไมถ่ งึ แต่ ใหว้ างตนเหมอื นเปน็ พอ่ ปกครองลกู ท�ำใหป้ ระชาชนมคี วามรสู้ กึ อบอนุ่ เหมือนได้อยู่ในครอบครัวที่มีพ่อใจดีมีเมตตาคอยดูแลสุขทุกข์ของลูก ๆ เป็นอย่างดี รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 168 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
2. อคติ 4 อคติ หมายถงึ ความล�ำเอยี ง เปน็ หลกั ส�ำคญั ทผ่ี ปู้ กครองทกุ คนจะตอ้ ง “ละเว้น” ไม่ว่าจะเป็นการปกครองในระบอบใดก็ตาม เพราะหากไม่ละเว้นความ ล�ำเอียงแล้ว จะเกิดการแตกความสามัคคีกันอย่างรุนแรง จนผู้ปกครองไม่อาจจะ ควบคุมได้ เน่ืองจากผู้ทีร่ ู้สกึ ว่าตนไม่ได้รบั ความเป็นธรรมจะไม่เชือ่ ฟัง อคตินน้ั มี 4 ประการดังน้ี (1) ฉนั ทาคติ แปลว่า ล�ำเอยี งเพราะรัก หรือเพราะชอบพอกัน (2) โทสาคติ แปลว่า ล�ำเอียงเพราะโกรธ หรือเพราะเกลยี ดชงั (3) โมหาคติ แปลว่า ล�ำเอยี งเพราะหลง หรือเพราะความไม่รู้ (4) ภยาคติ แปลว่า ล�ำเอยี งเพราะกลวั ได้แก่ กลัวอิทธิพล ฯลฯ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลใดละเมดิ ความชอบ ธรรม เพราะฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ยศของบุคคลนั้นย่อมเสื่อม ดจุ ดวงจนั ทรข์ า้ งแรม ฉะนน้ั สว่ นบคุ คลใด ไมล่ ะเมดิ ความชอบธรรมเพราะฉนั ทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ยศของบุคคลนั้นย่อมบริบูรณ์ ดุจดวงจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น” 1 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตัวอย่างของผู้ปกครองที่ประกอบด้วยอคติ 4 แล้วเป็นเหตุให้ยศเสื่อมไว้หลายเรื่อง ในที่น้ีจะยกตัวอย่างเรื่อง “จันทกุมารชาดก” ดงั มใี จความดังนี้ ในอดีตกาล กรงุ พาราณสีนมี้ ีชื่อว่า เมืองปุปผวดี พระเจ้าเอกราชทรง ครองราชสมบัติในเมืองนั้น พระราชโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า พระจันทกุ มารไดด้ �ำรงต�ำแหนง่ เปน็ อปุ ราช พราหมณช์ อ่ื วา่ กณั ฑหาละ ไดเ้ ปน็ ปโุ รหติ และด�ำรง ต�ำแหน่งตดั สนิ คดคี วาม กณั ฑหาลพราหมณน์ นั้ เป็นคนมใี จฝักใฝ่ในสนิ บน เมอ่ื รบั สนิ บนแล้วจงึ ตัดสนิ คดีไม่ตง้ั อยู่ในธรรม ท�ำคนผิดให้ถกู ท�ำคนถูกให้ผิด 1 ปฐมอคติสตู รและทุตยิ อคติสตู ร, อังคุตตรนกิ าย จตกุ กนิบาต, มจร. เล่ม 21 ข้อ 17-18 หน้า 29-30. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 169 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
วนั หนงึ่ มบี รุ ษุ ผแู้ พค้ ดโี ดยไมเ่ ปน็ ธรรมไดเ้ ขา้ ไปหาพระจนั ทกมุ าร แลว้ ทูลเรื่องดังกล่าวให้ทรงทราบ พระจันทกุมารจึงพาบุรุษนั้นไปสู่โรงวินิจฉัยคดีความ แล้วทรงตัดสินคดีด้วยพระองค์เองอีกคร้ัง ทรงท�ำให้บุรุษผู้แพ้คดีโดยไม่เป็นธรรม นั้นชนะคดี มหาชนจงึ พากันแซ่ซ้องสาธกุ ารด้วยเสียงอันดงั ต่อมาพระราชาจงึ มอบ หมายให้พระจันทกุมารตัดสินคดีความท้ังปวง ผลประโยชน์จากสินบนของ กัณฑหาลพราหมณ์จึงขาดไป เขาจึงผูกอาฆาตและเพ่งโทษในพระจันทกุมารตั้งแต่ นั้นมา วันหน่ึง พระราชาทรงสุบนิ เหน็ สวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์อนั น่ารน่ื รมย์ มีหมู่ นางอปั สรเปน็ อนั มากฟอ้ นร�ำขบั ร้องและประโคมดนตรี เมอื่ ตน่ื บรรทมแลว้ ทรงใคร่ จะเสดจ็ ไปสู่สวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์น้นั พระองค์จงึ เรียกกณั ฑหาลปโุ รหติ มาตรัสถามว่า ท่านจงบอกทางสวรรค์แก่เรา เหมอื นนรชนท�ำบญุ แล้วไปสู่สุคตภิ พเถดิ กัณฑหาลพราหมณ์คิดว่า บัดน้ี เป็นเวลาท่ีจะได้เห็นหลังศัตรูของเรา เราจักกระท�ำพระจันทกุมารให้สิ้นชีวิต จึงกราบทูลพระราชาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ สมมติเทพ คนท้ังหลายให้ทานอันล่วงล�้ำทาน ฆ่าแล้วซ่ึงบุคคลอันไม่พึงฆ่า ชื่อว่า ท�ำบญุ แล้วย่อมไปสู่สุคต”ิ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ยัญพึงบูชาด้วยพระราชบุตร ด้วยมเหสี ด้วยชาวนิคม ด้วยโคอุสภราช ด้วยม้าอาชาไนย อย่างละ 4 ข้าแต่พระองค์ผู้ สมมตเิ ทพ ยัญพงึ บชู าด้วยหมวด 4 แห่งสัตว์ทงั้ ปวงนี้ พระราชาผู้โง่เขลาเพราะประกอบด้วยโมหาคติ คอื ความไม่รู้ และถูก ความปรารถนาทจี่ ะไปสู่สวรรค์ชัน้ ดาวดงึ ส์ครอบง�ำ จึงรับส่งั ให้น�ำพระราชบตุ ร และ พระมเหสที ัง้ หลาย เป็นต้น มาท�ำพธิ ีบูชายัญ แม้ว่าพระจันทกุมารและหมู่อ�ำมาตย์ ราชบรพิ าร จะกราบทลู ทัดทานอย่างไร ก็ไม่อาจจะเปล่ยี นพระทัยพระราชาได้ รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 170 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ข่าวนี้ได้แพร่สะพดั ไปทวั่ เมืองปปุ ผวดี ชาวเมอื งทราบความเป็นมาเป็น ไปของเร่ืองดีว่า กัณฑหาลพราหมณ์ผูกอาฆาตในพระจันทกุมาร จึงคิดจะฆ่า พระราชกมุ ารด้วยวิธีการนี้ ด้วยเหตุทพ่ี ระจนั ทกุมารเป็นท่รี ักของมหาชน ชาวเมือง ปุปผวดีจึงช่วยกันฆ่ากัณฑหาลพราหมณ์เสีย จากน้ันก็คิดจะฆ่าพระราชาด้วย แต่ พระจันทกุมารได้สวมกอดพระราชบดิ าไว้ แล้วมหาชนกล่าวว่า เราจะให้ชีวติ แก่พระราชาชั่วนน้ั แต่พวกเราจะไม่ ยอมให้ฉตั รแก่พระราชานั่น แล้วกช็ ่วยกนั น�ำเคร่อื งทรงส�ำหรับพระราชาออก ส่งไป สู่ท่ีเป็นทอ่ี ยู่ของคนจณั ฑาล และได้อภเิ ษกพระจันทกมุ ารให้เป็นพระราชาแทน เมือ่ พระจันทกุมารเป็นพระราชาแล้ว ก็ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรมปราศจากอคติ ยศของพระองค์จงึ เจริญย่ิง ๆ ขนึ้ ไปตลอดพระชนมายุ จากชาดกเรอื่ งนชี้ ใี้ ห้เหน็ ว่า เกยี รตยิ ศของผู้ปกครองทไ่ี ม่มอี คตนิ น้ั จะ รงุ่ เรอื งยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป และสามารถปกครองประชาชนใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งเปน็ สขุ สว่ น ผปู้ กครองทมี่ อี คติ แมจ้ ะอคตเิ พราะความหลงคอื ความไมร่ ดู้ งั เชน่ พระราชาแหง่ เมอื ง ปปุ ผวดี ยศของพระองค์ย่อมเสอื่ มในทสี่ ดุ 3. กุศลกรรมบถ 10 กุศลกรรมบถ 10 นอกจากจะใช้เป็นหลักในการปกครองตนของ พระราชาและพระเจา้ จกั รพรรดแิ ล้ว ยงั ใช้เปน็ หลกั ในการปกครองคนด้วย กล่าวคอื เป็นกฎระเบียบให้ประชาชนในยุคนัน้ ๆ ปฏบิ ัติตาม เช่น ในสมัยของพระเจ้ามหา วชิ ติ ราช ซงึ่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ไวใ้ นกฏู ทนั ตสตู ร และในราชสตู รกม็ บี นั ทกึ ไว้ ว่า พระเจ้าจกั รพรรดบิ างพระองค์กใ็ ช้กศุ ลกรรมบถ 10 เป็นหลกั ในการปกครองคน เช่นกนั สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 171 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
4. ศีล 5 ศีล แปลว่า ปกติ หมายถงึ ความเป็นปกติของมนุษย์ 5 ประการ เช่น ปกตมิ นษุ ย์จะไม่ฆ่าสัตว์ เป็นต้น ศีล 5 กเ็ ป็นธรรมท่มี ีมาก่อนยคุ พุทธกาลเช่นกนั โดยเฉพาะในยุคทีม่ พี ระเจ้าจกั รพรรดมิ าบังเกิดข้ึน พระองค์จะใช้ศลี 5 เป็นธรรม ส�ำหรับให้ประชาชนประพฤตปิ ฏิบตั ิ เช่น ในจักกวัตติสูตรท่ีกล่าวไว้แล้วในบทที่ 5 เป็นต้น 6.7 ความสำ�คญั ของเศรษฐกจิ ตอ่ การปกครอง นอกเหนอื จาก “ธรรม” ซง่ึ เปน็ หวั ใจของการปกครองแลว้ สงิ่ ส�ำคญั อกี ประการ หนึ่ง คือ “เรอ่ื งเศรษฐกจิ ” หรอื เรอื่ งปากท้องของประชาชน จนในปัจจุบนั ได้เกิดการ ผสมผสาน 2 ศาสตร์เข้าด้วยกัน คือ รัฐศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “เศรษฐศาสตร์การเมอื ง” ปญั หาสงั คมทเ่ี กดิ ขน้ึ นอกจากจะมาจากกเิ ลสอนั เปน็ สาเหตสุ �ำคญั ตามทกี่ ลา่ ว ไว้ในอัคคัญญสูตรแล้ว ยังมาจากเร่ืองเศรษฐกิจด้วย เพราะเม่ือคนมีฐานะยากจน ไมม่ อี ะไรจะกนิ กต็ อ้ งดนิ้ รนแสวงหาทรพั ยห์ าอาหารเพอื่ ยงั ชพี เมอ่ื หาไมไ่ ดโ้ ดยชอบ กต็ ้องลกั ขโมยเขากนิ หากไม่ขโมยกอ็ าจจะหากนิ โดยวธิ อี นื่ เช่น การฆ่าสตั ว์ตดั ชวี ติ ด้วยเหตุนี้ ศีลธรรมจึงไม่อาจต้ังอยู่ได้ เพราะท้องมันหิวจ�ำเป็นต้องระงับความหิว ก่อน ยงั ไม่มเี รี่ยวแรงท่จี ะคิดถงึ เรอื่ งการก�ำจัดกิเลสเพือ่ ไปสู่อายตนนพิ พาน แม้วา่ เรอ่ื ง “ศลี ธรรม” จะส�ำคญั กวา่ เศรษฐกจิ ดงั ทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “พงึ สละทง้ั ทรพั ย์ อวยั วะ และชวี ติ เพอื่ รกั ษาธรรม” แตค่ นทที่ �ำไดอ้ ยา่ งนมี้ ไี มม่ าก ด้วยเหตุน้ีผู้ปกครองจึงต้องดูแลเรื่องปากท้องของประชาชนให้ดี ศีลธรรมจึงจะตั้ง อยู่ได้อย่างมั่นคง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ทรงให้ความส�ำคัญในเรื่องน้ีมาก พระองค์จะตรัสถามพระภิกษุท่ีไปจ�ำพรรษาอยู่ต่างอารามเสมอว่า “เธอทั้งหลายยัง สบายดหี รอื ยงั พอเป็นอยู่ได้หรอื ไม่ล�ำบากด้วยบณิ ฑบาตหรอื ” 1 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 172 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
มีอีกตัวอย่างหนึ่งคือ ครั้งหน่ึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดมนุษย์ เข็ญใจคนหนงึ่ ในเมืองอาฬวี วนั นั้นเขาเทยี่ วหาโคทหี่ ายไปตลอดวนั เมอื่ พบแล้วจงึ รีบไปฟังธรรมทั้ง ๆ ที่ความหิวบีบค้ัน พระพุทธองค์ทรงทราบความถึงพร้อมแห่ง อปุ นสิ ยั แห่งการบรรลุธรรมของเขา แต่ทรงไม่แสดงธรรมโดยทนั ที เพราะทรงทราบ ว่าบรุ ุษผู้น้ีถกู ความหวิ บีบคั้น ไม่อาจจะฟังธรรมให้เข้าใจได้ พระองค์ตรัสให้คนจัด อาหารให้เขา และทรงรอจนเขารบั ประทานเสรจ็ จากน้นั พระองค์จงึ แสดงธรรม ใน ที่สุดแห่งพระธรรมเทศนามนุษย์เข็ญใจผู้นไี้ ด้ตง้ั อยู่ในโสดาปัตตผิ ล 2 จากเรอ่ื งนช้ี ใ้ี หเ้ หน็ วา่ ปจั จยั ดา้ นเศรษฐกจิ นนั้ กส็ �ำคญั มาก ผปู้ กครองจงึ จ�ำเปน็ ต้องบริหารจัดการเศรษฐกิจให้ดี แต่ไม่ใช่ว่าดูแลเฉพาะเรื่องน้ีอย่างเดียวจนละเลย ศีลธรรม หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจจะรักษาความสงบของเรียบร้อยของสังคมไว้ได้เช่น กัน เพราะว่าคนท่ีท�ำความช่ัวนอกจากเพราะความจนบบี คั้นแล้ว แต่ยงั ท�ำชว่ั เพราะ กเิ ลสบีบค้ันด้วย ดังได้กล่าวแล้วในอัคคญั ญสูตร ด้วยเหตุน้ี หลักศีลธรรมจึงต้องเข้ามาก�ำกบั คนในสังคม ให้รู้จักควบคุมและ ก�ำจดั กเิ ลสในตวั พระเดชพระคณุ พระเทพญาณมหามนุ ี เจา้ อาวาสวดั พระธรรมกาย เคยให้โอวาทไว้ว่า การพัฒนาประเทศน้ัน เศรษฐกจิ กับจติ ใจ คือ ศลี ธรรมต้องไป ด้วยกนั จะขาดตวั ใดตวั หน่งึ ไม่ได้ ถ้าเปรยี บกบั ต้นไม้ เศรษฐกจิ เป็นเสมอื นราก ใบ เปลือก และกระพี้ ท่ีคอยห่อหุ้มและดูดซบั อาหารมาหล่อเล้ยี งแก่น คอื ศลี ธรรมให้ เจริญเติบโต เศรษฐกิจท่ีดีจะเป็นฐานให้คนประพฤติศีลธรรมได้สะดวก ในขณะท่ี ศีลธรรมจะควบคุมและก�ำจดั กเิ ลสในตวั ของมนุษย์ให้หมดไป 1 อุปักกิเลสสตู ร, พระสุตตนั ตปิฎก มัชฌมิ นิกาย อปุ รปิ ัณณาสก์, มจร. เล่ม 14 ข้อ 238 หน้า 280. 2 ธัมมปทัฏฐกถา, อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 42 หน้า 373-376. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 173 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
6.8 ตัวอย่างการปกครองของพระเจา้ มหาวิชิตราช ตวั อยา่ งการปกครองของพระเจา้ มหาวชิ ติ ราช ดงั จะได้กล่าวต่อไปนี้ แสดงให้ เหน็ ถงึ การน�ำหลกั ธรรมาธปิ ไตยมาใชใ้ นการปกครอง ควบคไู่ ปกบั การฟน้ื ฟเู ศรษฐกจิ อันเป็นสิ่งส�ำคัญ ท่ีมีผลกระทบต่อการปกครองโดยตรง จึงอาจจะเรียกว่าเป็น “เศรษฐศาสตร์การเมือง” ยุคโบราณก็ว่าได้ เพราะเป็นการปกครองที่เริม่ ต้นจากการ พฒั นาเศรษฐกจิ เพอื่ ใหป้ ระชาชนอยดู่ กี นิ ดเี ปน็ ล�ำดบั แรก แตท่ ง้ั นกี้ ไ็ มล่ มื พฒั นาศลี ธรรมอนั เป็นหัวใจส�ำคัญของการปกครองประเทศ เนื้อหาในหวั ข้อนี้อ้างองิ จาก “กูฏทนั ตสตู ร” ซง่ึ เป็นเรื่องการบูชามหายัญของ พระองค์ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการปกครองได้เป็นอย่างดี พระสูตรน้ี พระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรสั ให้กูฏทนั ตพราหมณ์ฟัง โดยครัง้ หนง่ึ กฏู ทันตพราหมณ์ ผปู้ กครองบา้ นชอื่ “ขาณมุ ตั ” ประสงคจ์ ะบชู ายญั ดว้ ยการฆา่ สตั ว์ เปน็ ตน้ แตม่ คี วาม สงสัยในเร่ืองพิธีกรรมอยู่หลายประการ จึงได้เข้าไปกราบทูลถามพระสัมมา- สัมพุทธเจ้า ถึงวธิ ีการบชู ายัญท่ถี กู ต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าตัวอย่างการบูชายัญท่ีถูกต้องความว่า ใน อดีตกาลมีพระราชาพระองค์หน่ึงพระนามว่า พระเจ้ามหาวิชิตราช เป็นผู้มั่งคั่ง มี ทรพั ย์มาก วันหนง่ึ ทรงด�ำริว่า เราได้ครอบครองสมบัติมนษุ ย์อย่างไพบลู ย์แล้ว ได้ ชนะข้าศึกและปกครองดินแดนมากมาย เราพึงบูชามหายัญที่จะเป็นประโยชน์และ ความสขุ แก่เราตลอดกาลนาน จากนัน้ พระองค์จงึ รับสัง่ ให้เรียกพราหมณ์ปุโรหติ มา แล้วตรัสว่า เราจะบชู ามหายัญ ขอท่านจงชแ้ี จงวิธบี ูชามหายญั แก่เรา พราหมณป์ โุ รหติ ซงึ่ เปน็ พระโพธสิ ตั วก์ ราบทลู วา่ ชนบทของพระองคย์ งั มเี สย้ี น หนาม ยังมีการเบียดเบยี นกนั โจรปล้นบ้านกด็ ี ปล้นนิคมก็ดี ปล้นเมืองกด็ ี โจร ท�ำรา้ ยในหนทางเปลย่ี วกด็ ี ยงั ปรากฏอยู่ พระองคค์ วรจะปราบโจรผรู้ า้ ย เพอื่ ใหบ้ า้ น เมืองสงบเรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยบูชามหายัญ แต่การปราบปรามโจรด้วยการ รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 174 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ประหาร จองจ�ำ ปรบั ไหม ต�ำหนิ หรอื เนรเทศ วธิ ีเช่นน้ี ไม่ช่อื ว่าเป็นการปราบปราม โดยชอบ เพราะว่าโจรบางพวกที่เหลือจากการถกู ก�ำจดั จักยังมอี ยู่ โจรเหล่านนั้ ก็จกั เบียดเบยี นบ้านเมอื งของพระองค์ได้ การปราบโจรโดยวิธีของปุโรหิต จากนั้นพราหมณ์ปุโรหิตจึงกราบทูลวิธีการปราบโจรโดยชอบ คือได้ถวาย คำ�แนะนำ�พระราชาว่า ให้ช่วยเหลือคนระดับล่าง 3 กลุ่มซึ่งขยันทำ�มาหากิน ดังนี้ (1) เกษตรกรคนใด ขยนั ท�ำงาน ขอพระองค์จงเพมิ่ ข้าวปลูกและข้าวกนิ ให้ แก่พวกเขาในโอกาสอนั สมควร (2) พ่อค้าคนใด ขยันท�ำงาน ขอพระองค์จงเพิ่มทุนให้แก่พวกเขา ในโอกาสอนั สมควร (3) ข้าราชการคนใด ขยนั ท�ำงาน ขอพระองค์จงพระราชทานเบยี้ เลยี้ ง และ พระราชทานเงนิ เดอื นให้แก่พวกเขาในโอกาสอนั สมควร ปุโรหิตกราบทูลอีกว่า หากพระองค์ท�ำอย่างน้ี พลเมืองเหล่านั้นจักเป็นผู้ ขวนขวายในการงานของตน จักไม่เบยี ดเบยี นบ้านเมอื งของพระองค์ กองพระราช- ทรพั ย์อันเกิดจากภาษีอากรจ�ำนวนมากจกั เกิดแก่พระองค์ บ้านเมอื งก็จะต้งั ม่ันอยู่ ในความเกษม ไม่มกี ารเบียดเบียนกัน พลเมอื งจักไม่ต้องปิดประตเู รอื นอยู่ ต่อมา เมื่อพระเจ้ามหาวิชติ ราชทรงท�ำตามค�ำแนะน�ำของพราหมณ์ปโุ รหติ แล้ว กป็ รากฏว่า ได้ผลเช่นนนั้ จรงิ การขอความร่วมมือกลุ่มคนระดับบน หลังจากท่ีบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว เม่ือเศรษฐกิจฟื้นตัวดีแล้ว พระเจ้า- มหาวิชิตราช จึงตรัสถามวิธีบูชามหายัญกับพราหมณ์ปุโรหิต ๆ จึงกราบทูลให้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 175 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พระราชาขอความเห็นชอบ และขอความร่วมมือเรื่องการบูชามหายัญจากคน ระดบั บน 4 กลมุ่ ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากตอ่ การเมอื งการปกครองเพอื่ เปน็ บรวิ าร ของยัญ ดงั น้ี (1) อนุยนตกษัตริย์ หมายถึง กษัตรยิ ์ประเทศราช (2) อ�ำมาตย์ราชบริพาร หมายถงึ ข้าราชการผู้ใหญ่ (3) พราหมณ์มหาศาล หมายถึง พราหมณ์ทม่ี ฐี านะร�ำ่ รวย (4) คหบดีผู้ม่ังคงั่ หมายถึง พวกพ่อค้าทีม่ ีฐานะร�่ำรวย พราหมณ์ปุโรหิตกราบทลู ให้พระราชาเรียกชนทง้ั 4 กลุ่มน้ี ซ่งึ เป็นชาวเมือง และชาวชนบทในพระราชอาณาเขตของพระองคม์ าปรกึ ษาวา่ เราปรารถนาจะบชู ายญั ขอท่านจงร่วมมอื กบั เรา เมอ่ื พระเจ้ามหาวิชติ ราชทรงท�ำอย่างน้ัน ชนท้ัง 4 เหล่านนั้ กราบทูลว่า ขอพระองค์จงบูชายัญเถดิ บดั น้ีเป็นการสมควรทีจ่ ะบูชายัญ คุณสมบัติของผู้ปกครองประเทศ นอกจากนี้ พราหมณ์ปุโรหิตยังได้กล่าวถึงคุณสมบัติของพระเจ้าวิชิตราช 8 ประการว่าจัดเป็นบริวารของยัญด้วย โดยคุณสมบัติเหล่านี้ ถือเป็นคุณสมบัติ ที่สำ�คัญของผู้นำ�หรือผู้ปกครองประเทศ (1) ทรงมีชาติตระกลู ดี ไม่มีใครตเิ ตียนได้ (2) ทรงมบี คุ ลกิ ดี คอื มพี ระรปู งาม มพี ระฉววี รรณและพระรปู คลา้ ยพรหม น่าดู น่าชม (3) ทรงมั่งคัง่ มที รพั ย์มาก (4) ทรงสมบูรณ์ด้วยกองทัพทง้ั 4 เหล่า ท่มี ีวนิ ยั เคร่งครดั (5) ทรงมีพระราชศรัทธา เป็นทายก เป็นทานบดี เป็นดุจบ่อท่ีลงด่ืมของ สมณพราหมณ์ คนก�ำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจก (6) ทรงศึกษามามาก รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 176 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
(7) ทรงแตกฉานในความรู้ที่ได้ศกึ ษามานัน้ (8) ทรงเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม ทรงพระปรชี าสามารถ ทรงพระราชด�ำริ ถงึ เหตุการณ์ในอดีต อนาคต และปัจจบุ ันได้ คุณสมบัติของที่ปรึกษาผู้น�ำ ประเทศ ในขณะเดยี วกนั พราหมณป์ โุ รหติ กย็ งั ไดก้ ลา่ วถงึ คณุ สมบตั ขิ องตน 4 ประการ ว่าจัดเป็นบริวารของยัญเช่นกัน โดยคุณสมบัติเหล่านี้มีความสำ�คัญในการทำ�หน้าที่ เป็นที่ปรึกษาของผู้นำ�ประเทศ (1) มีชาตติ ระกลู ดี ไม่มใี ครตเิ ตยี นได้ (2) เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงจ�ำมนต์ได้มาก แตกฉานในคัมภีร์ท้ังปวงของ พราหมณ์และช�ำนาญในคมั ภีร์มหาปรุ ิสลักษณะ (3) เป็นผู้มีศลี อันมน่ั คง (4) เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มปี ัญญามาก วิธีบูชายัญเพื่อให้บังเกิดผลไพบูลย์ หลังจากนั้น พราหมณ์ปโุ รหิตก็ได้แสดงยัญวิธี 3 ประการ อันเป็นข้อปฏิบัติ ในการรักษาใจให้ผ่องใส ปราศจากวิปฏิสาร คือ ความเดือดร้อนใจ กังวลใจ เพราะ เสียดายทรัพย์ในขณะที่พระราชาบูชายัญ โดยยัญในที่นี้หมายถึง “การให้ทานแก่ ประชาชน” (1) เมือ่ ทรงบูชายัญ คอื ให้ทานอยู่ ความเดือดร้อนใจว่า กองโภคสมบัติ ใหญ่จกั หมดเปลือง อย่าพึงมแี ก่พระองค์ (2) เมื่อทรงบูชายญั คอื ให้ทานอยู่ ความเดอื ดร้อนใจว่า กองโภคสมบัติ ใหญ่ก�ำลงั หมดเปลอื งไปอยู่ อย่าพึงมีแก่พระองค์ (3) เมือ่ ทรงบชู ายัญ คือ ให้ทานอยู่ ความเดือดร้อนใจว่า กองโภคสมบัติ ใหญ่ได้หมดเปลืองไปแล้ว อย่าพงึ มแี ก่พระองค์ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 177 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
กุศลกรรมบถ คือ คุณสมบตั ิของคนดี นอกจากนี้ พราหมณ์ปุโรหิตยังได้ก�ำจัดความเดือดร้อนใจ อันจะเกิดข้ึนแก่ พระราชาวา่ ทง้ั คนดแี ละคนไมด่ ี ตา่ งกจ็ กั มาสยู่ ญั พธิ หี รอื โรงทานของพระองค์ พวก คนทไ่ี ม่ดจี กั ไดร้ บั ผลเพราะกรรมของเขาเอง ขอทรงตง้ั พระทยั เจาะจงให้เฉพาะคนท่ี ดีเท่านั้น และทรงท�ำพระทัยให้ผ่องใสเถิด คนดีในท่ีนี้หมายถึง คนท่ีประกอบ กศุ ลกรรมบถ 10 ซง่ึ ได้อธิบายไว้แล้วในหวั ข้อ “หลักธรรมส�ำคญั ในการปกครอง” ยัญพิธีส�ำเร็จด้วยการให้ทาน เว้นการฆ่าสตั ว์ ในยญั พธิ นี น้ั แตกต่างจากยญั พธิ ขี องพราหมณ์เหลา่ อนื่ ในยคุ นน้ั คอื ไม่ต้อง ฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สกุ ร และสัตว์นานาชนิด ไม่ต้องตัดต้นไม้มาท�ำหลกั ยัญ ชนท่ี เป็นทาส เป็นคนใช้ เป็นกรรมกร ก็มิได้ถูกอาญาคกุ คาม มไิ ด้มหี น้านองด้วยนำ้� ตา รอ้ งไหก้ ระท�ำการงาน คนทปี่ รารถนาจะกระท�ำจงึ กระท�ำ ไมป่ รารถนากไ็ มต่ อ้ งกระท�ำ ปรารถนาจะกระท�ำการงานใดก็กระท�ำการงานน้ัน ไม่ปรารถนาจะกระท�ำการงานใด ก็ไม่ต้องท�ำการงานน้ัน ยัญนั้นได้ส�ำเร็จแล้วด้วยการให้วัตถุเป็นทาน คือ เนยใส น�ำ้ มัน เนยข้น นมส้ม น้ำ� ผ้งึ น�ำ้ อ้อย เท่านน้ั กลุ่มคนระดับบนช่วยพระราชาบรจิ าคทาน เม่ือพระเจ้าวิชิตราชทรงบูชามหายัญ คือ การบริจาคทานอยู่ พวกกษัตริย์ ประเทศราช พวกอ�ำมาตย์ราชบรพิ าร พวกพราหมณ์มหาศาล พวกคหบดผี ู้มัง่ คัง่ ซึ่งเป็นชาวเมอื งและชาวชนบท ต่างก็พากนั น�ำทรัพย์มากมายมาเข้าเฝ้าแล้วกราบทลู ว่า พวกข้าพระพทุ ธเจา้ ได้น�ำทรพั ยม์ าถวายเฉพาะพระองค์ พระเจ้ามหาวชิ ติ ราชตรสั ว่า อย่าเลย แม้ทรพั ย์เป็นอนั มากนข้ี องข้าพเจ้า กไ็ ด้รวบรวมมาแล้วจากภาษีอากรที่ เป็นธรรม พวกท่านจงน�ำทรพั ย์จากท่ีนี้เพิ่มไปอีก รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 178 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
กษัตรยิ ์ประเทศราชเป็นต้นเหล่านนั้ เม่ือถูกพระราชาปฏิเสธ ต่างคดิ ร่วมกัน ว่า การทพี่ วกเราจะรับทรพั ย์เหล่าน้ีกลับคนื ไป ไม่สมควรเลย พระเจ้ามหาวิชิตราช ก�ำลังทรงบูชามหายญั อยู่ พวกเรามาบชู ายัญตามเสด็จพระองค์บ้าง ด้วยเหตุน้ี พวก อนุยนตกษัตริย์ ก็ได้บ�ำเพ็ญทานทางทิศตะวันออกแห่งหลุมยัญ พวกอ�ำมาตย์ ราชบรพิ ารได้บ�ำเพญ็ ทานทางทศิ ใต้แห่งหลุมยญั พวกพราหมณ์มหาศาลได้บ�ำเพ็ญ ทานทางทศิ ตะวนั ตกแหง่ หลมุ ยญั และพวกคหบดผี มู้ งั่ คงั่ ไดบ้ �ำเพญ็ ทานทางทศิ เหนอื แห่งหลมุ ยญั เมื่อพระเจ้าวิชิตราชแก้ปัญหาสังคมและปกครองบ้านเมืองด้วยวิธีการอย่างน้ี จงึ ท�ำใหป้ ระเทศเจรญิ รงุ่ เรอื งยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป พลเมอื งเปน็ ผขู้ วนขวายในการงานของตน ไมเ่ บยี ดเบยี นกนั และกนั ท�ำใหก้ องพระราชทรพั ยอ์ นั เกดิ จากภาษอี ากรมจี �ำนวนมาก บ้านเมืองก็ต้งั มั่นอยู่ในความเกษม หาเสีย้ นหนามมไิ ด้ ประชาชนช่นื ชมยินดีต่อกัน ไม่ต้องปิดประตูเรอื นอยู่ 6.9 บทวิเคราะห์การปกครองของพระเจา้ มหาวชิ ติ ราช บทวิเคราะห์การปกครองของพระเจ้ามหาวชิ ติ ราชน้ี อ้างอิงข้อมลู พืน้ ฐานจาก หนงั สอื “รฐั ศาสตรเ์ ชงิ พทุ ธ” โดยพระภาวนาวริ ยิ คณุ 1 รองเจา้ อาวาสวดั พระธรรมกาย และบางส่วนผู้เขยี นได้เขยี นเสรมิ เข้าไป ประเดน็ แรกท่จี ะน�ำเสนอ คอื พิธีกรรมบชู า มหายัญยคุ ด้งั เดิม ดังน้ี 6.9.1 พิธกี รรมบชู ามหายญั ยุคด้ังเดมิ ตงั้ แตย่ คุ ดกึ ด�ำบรรพน์ บั พนั ๆ ปกี อ่ นพทุ ธกาล พระราชาแตล่ ะแควน้ ปกครอง ประชาชนดว้ ยหลกั ราชสงั คหวตั ถุ อนั เปน็ หลกั สงเคราะหป์ ระชาชนพลเมอื ง โดยสมยั นัน้ เรียกหลักสงเคราะห์นวี้ ่า “ยัญ 5” มีดงั น้ี 1 พระภาวนาวิรยิ คณุ ปัจจบุ ันด�ำรงสมณศกั ดิท์ ่ี พระราชภาวนาจารย์ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 179 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
(1) สัสสเมธะ คือ ฉลาดในการท�ำนบุ �ำรุงพชื พันธ์ุธญั ญาหาร โดยเกบ็ ภาษี ทน่ี ารอ้ ยละ 10 ตามความอดุ มสมบรู ณข์ องผลผลติ เพอื่ ท�ำนบุ �ำรงุ เหลา่ เกษตรกร (2) ปุรสิ เมธะ คือ ฉลาดในการบ�ำรงุ ข้าราชการ รู้จักส่งเสริมคนดมี ีความ สามารถ โดยให้ค่าจ้างบ�ำเหนจ็ รางวลั แก่ทหารทกุ ๆ 6 เดอื น (3) สัมมาปาสะ คอื ความรู้จกั ผูกผสานรวมใจประชาชนด้วยการส่งเสริม อาชพี ให้กู้ยืมเงินโดยปลอดดอกเบีย้ เป็นเวลา 3 ปี (4) วาชเปยยะ คอื การมวี าจาอนั ดดู ดม่ื ดว้ ยการพบปะใหโ้ อวาทประชาชน (5) นริ ัคคฬะ คือ บ้านเมอื งสงบสุขปราศจากโจรผู้ร้าย ไม่ต้องระแวงกัน บ้านเรือนไม่ต้องลงกลอน ซงึ่ เป็นผลอนั เกิดจากยัญ 4 ประการแรก ตอ่ มาเมอื่ หลายรอ้ ยปกี อ่ นยคุ พทุ ธกาล มพี ราหมณบ์ างคน บางพวก ไมซ่ อื่ ตรง ต่อวิชาความรู้ของตน ได้ดัดแปลงการบชู ายัญเพื่อกำ�จัดศัตรบู ้านเมือง และเพื่อผล ประโยชน์ส่วนตน ดังนี้ (1) สสั สเมธะ เป็นอสั วเมธะ คอื การฆ่าม้าบูชายัญ (2) ปรุ สิ เมธะ เป็นการฆ่าคนบูชายญั (3) สัมมาปาสะ เป็นการท�ำบ่วงแล้วขว้างไม้ลอด ไปตกที่ไหนก็ท�ำพิธี บชู ายัญทน่ี ั่น (4) วาชเปยยะ การด่มื นำ้� เมาเพ่อื กล่อมจิตใจให้พร้อมท่ีจะบูชายญั (5) นริ ัคคฬะ การฆ่าครบทุกอย่าง การบูชายัญโดยการฆ่าสัตว์นี้ ได้แพร่ระบาดไปทั่วชมพูทวีป จนกระท่ัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบูชายัญ ให้กลับมาเป็น ราชสงั คหวัตถตุ ามเดิม ดงั เรอ่ื งราวในกฏู ทนั ตสตู รทีก่ ล่าวมาแล้วข้างต้น รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 180 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
6.9.2 แผนภมู กิ ารปกครองประเทศด้วยหลกั บน 4 ล่าง 3 จากเนอ้ื หาในกฏู ทนั ตสตู ร สามารถสรปุ เปน็ แผนภมู กิ ารปกครองประเทศของ พระเจ้ามหาวิชิตราชได้ดังแผนภูมิข้างบนน้ี จะเห็นว่ามีการแบ่งกลุ่มบุคคล ซึ่งเป็น เป้าหมายในการบริหารประเทศออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดบั ล่าง 3 กลุ่ม และระดบั บน 4 กลุ่ม กลุ่มเป้าหมายระดับล่าง 3 กลุ่ม กลมุ่ เปา้ หมายระดบั ลา่ งนนั้ ถอื เปน็ ประชาชนสว่ นใหญข่ องประเทศ ในปจั จบุ นั เรียกคนกลุ่มนี้ว่าระดับรากหญ้า มีดังนี้ (1) กลุ่มเกษตรกร ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ ผู้ทำาการเกษตร (2) กลุ่มพ่อค้าย่อย ได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบอาชีพอิสระทง้ั หลาย (3) กลุ่มข้าราชการชน้ั ผู้น้อย และผู้รบั จ้างในวงราชการ สรรพศำสตรใ์ นพระไตรปิฎก 181 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาอุตสาหกรรม ท�ำให้เกิดกลุ่มใหม่เพ่ิมขึ้นมา คือ กรรมกรผู้ใช้แรงงาน ซึ่งก็อาจจะรวมอยู่ในกลุ่มท่ีหนึ่งของระดับล่าง คือ กลุ่ม เกษตรกร กลุ่มเป้าหมายระดับบน 4 กลุ่ม กลุ่มเป้าหมายระดับบน ถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในแผ่นดิน หากเทียบปริมาณ แล้ว กลุ่มนี้มีจำ�นวนน้อยกว่าคน 3 กลุ่มในระดับล่างมาก แต่แม้จะมีปริมาณน้อย ถึงกระนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ก็มีอิทธิพลมากต่อการเมืองการปกครอง ซึ่งมีดังนี้ (1) กลุ่มเจ้าเมืองประเทศราช หากเทียบกบั ในปัจจบุ นั ได้แก่ กลุ่มนกั การ เมอื งระดับชาติ เช่น สมาชิกวุฒสิ ภา (ส.ว.), สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.), คณะรฐั มนตรี ฯลฯ กลมุ่ คนเหลา่ นมี้ บี ทบาทส�ำคญั ในการตดั สนิ ใจปัญหาส�ำคญั ของประเทศ (2) กลุ่มอ�ำมาตย์ราชบริพารผู้ใหญ่ หากเทียบกับในปัจจุบัน ได้แก่ ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ เช่น เสนาธิการ, ปลัดกระทรวง, อธิบดี, ผู้ว่า ราชการจังหวัด, ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่า ฯลฯ ซึ่งถือเป็นกลุ่มรับ นโยบายไปปฏบิ ตั ิ (3) กลุ่มพราหมณ์มหาศาล หากเทยี บกบั ในปัจจบุ นั ได้แก่ ผู้น�ำทางความ คดิ นกั วชิ าการใหญ่ สอ่ื มวลชนใหญ่ ซงึ่ เปน็ สถาบนั ทางความคดิ ทถ่ี ว่ ง ดลุ อ�ำนาจรัฐโดยการชี้น�ำประชาชน (4) กลุ่มคหบดีมหาศาล หากเทียบกับในปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจ ใหญ่ ๆ หรอื พวกพอ่ คา้ ระดบั ประเทศ เปน็ กลมุ่ ทม่ี ที รพั ยม์ าก มบี รวิ าร ซง่ึ เป็นชนในระดบั ล่างมาก รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 182 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
6.9.3 การปราบโจรทีต่ ้นเหตุ คือ เศรษฐกิจ หากถามว่า ท�ำไมชาวชนบทบางกลุ่มของพระเจ้ามหาวิชิตราชจึงต้องเป็นโจร ค�ำตอบคงมีหลากหลาย แต่เมือ่ ย้อนกลบั ไปทบทวน “หวั ข้อประวัติศาสตร์โลกและ มนษุ ยชาติ” ในเรื่องมนษุ ยศาสตร์ในพระไตรปิฎกจะพบว่า สาเหตสุ �ำคัญท่ที �ำให้คน เป็นโจรมอี ยู่อย่างน้อย 2 ประการ คอื กเิ ลสคอื ความโลภในตัวบบี บังคับ และความ ยากจนอันเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นแรงกดดนั ในกรณีน้ี มีข้อสังเกตว่าปัญหาโจรมาจากความยากจนเป็นหลัก เพราะเมื่อ พระโพธสิ ตั วแ์ นะน�ำใหพ้ ระราชาแกป้ ญั หาดว้ ยการสง่ เสรมิ เศรษฐกจิ แลว้ ท�ำใหป้ ญั หา โจรระงับไป และในช่วงทพ่ี ระราชาทรงปรารภจะบชู ามหายญั นั้น เป็นช่วงหลงั จากที่ พระองค์ได้ท�ำสงครามแผ่ขยายอาณาจักรออกไปจนกว้างขวาง ผลจากการรบย่อม ท�ำให้เศรษฐกิจตกต�่ำลุกลามใหญ่โตถึงกับมีโจรปล้นเมือง ในทุกยุคสมัยผลของ สงครามจะท�ำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรเหลือคณานับ เช่น หลังสงครามโลก ครง้ั ท่ี 1 ในปี ค.ศ. 1929 (พ.ศ. 2472) ได้เกดิ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ� คร้ังใหญ่ใน อเมริกาเหนือ ยโุ รป และแพร่ระบาดไปยงั นานาประเทศท่วั โลก 1 ในกรณีน้ี ปัญหาทีแ่ ท้จรงิ จงึ อยู่ท่ี “ความยากจนอันเป็นปัญหาทางเศรษฐกจิ ” การจะแก้ปัญหานไ้ี ด้ จึงต้องแก้ไขท่ีเศรษฐกิจอันเป็นต้นเหตุของปัญหา ด้วยเหตุน้ี พระโพธิสัตว์จึงกราบทูลพระราชาว่า “การปราบปรามโจรด้วยการประหาร จองจ�ำ ปรบั ไหม ต�ำหนิ หรือ เนรเทศ ไม่ช่ือว่าเป็นการปราบปรามโดยชอบ...” เนอ่ื งจากการ แก้ปัญหาวิธีนี้ เป็นการแก้ท่ีปลายเหตุ ไม่อาจจะให้ปัญหาน้ีจบส้ินได้อย่างถาวร เปรยี บเสมอื นก�ำจดั วชั พืชด้วยการตดั ไม่อาจจะท�ำให้วัชพชื นนั้ ตายได้ จะต้องถอน รากถอนโคนอันเป็นต้นเหตทุ ีแ่ ท้จรงิ ท้ิงไป 1 วิกพิ ีเดยี . (2551). “ภาวะเศรษฐกจิ ตกต�ำ่ ครั้งใหญ่ (Great Depression).” [ออนไลน์]. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 183 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
6.9.4 แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยส่งเสริมคนที่ขยนั วิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของพระโพธิสัตว์ คือ การส่งเสริมคนระดับล่าง 3 กลุ่ม ซ่งึ ขยันท�ำมาหากนิ ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร, กลุ่มพ่อค้า และกลุ่มข้าราชการ ประเด็นนีช้ ีใ้ ห้เหน็ ว่าต้องมีระบบการคัดคนเป็นอย่างดี ไม่ช่วยแบบเหวี่ยงแหเพราะ จะไม่บงั เกดิ ผลดเี ท่าท่ีควร การช่วยเฉพาะคนขยันนั้น จะท�ำให้ทรัพยากรที่ช่วยไปเกิดผลงอกงาม เศรษฐกจิ โดยรวมมกี ารขบั เคลอื่ นตวั สงู ขน้ึ ท�ำใหร้ ายรบั จากภาษอี ากรสงู ตามไปดว้ ย ส่งผลให้รัฐมีทรัพยากรเพิ่มขึ้น สามารถช่วยเหลือบุคคลอ่ืน ๆ ต่อไปได้อีก และ เป็นการเชดิ ชคู นดมี คี ุณธรรมให้สงู เด่น เพ่อื ให้เป็นบุคคลต้นแบบของสงั คม เพอ่ื ให้ คนดมี กี �ำลังใจในการขวนขวายท�ำงานยงิ่ ๆ ข้ึนไป และทส่ี �ำคัญคนที่เกยี จคร้านจะ ได้ตระหนกั ว่า หากตนขยันท�ำงานบ้างก็จะได้รบั การช่วยเหลอื เช่นนีเ้ หมือนกนั พวก ทีเ่ ป็นโจรเพราะความยากจนบบี บงั คับ ก็จะได้เลิกเป็นโจรแล้วหันมาท�ำมาหากินบ้าง ดงั ค�ำกราบทลู ของพระโพธสิ ตั วท์ วี่ า่ หากพระองคท์ �ำอยา่ งนี้ พลเมอื งจกั ขวนขวายใน การงานของตน จักไม่เบยี ดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ ในทางตรงข้าม หากพระราชาไม่เลอื กให้ กล่าวคือ ช่วยเหลอื หมดทัง้ คนขยัน และคนเกยี จคร้าน หากเป็นเช่นน้ี ความหายนะจะเกิดขึ้น เพราะรัฐมที รัพยากรไม่ เพียงพอทจ่ี ะช่วยคนทุกคน ภาวะการเงินการคลังของรัฐจะอ่อนแอ และคนท่ีขยันก็ จะหมดก�ำลังใจและเลิกขยันท�ำงานบ้าง คนท่ีเกียจคร้านอยู่แล้วก็จะได้ใจย่ิง เกยี จคร้านหนักมากขน้ึ บ้านเมอื งกจ็ ะตกอยู่ในสภาพยำ่� แย่ รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 184 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
6.9.5 การช่วยเหลือในโอกาสอนั สมควร พระโพธสิ ตั วก์ ราบทลู พระราชาวา่ ในการเพมิ่ ขา้ วปลกู และขา้ วกนิ แกเ่ กษตรกร กด็ ี ในการเพมิ่ ทนุ แกพ่ อ่ คา้ กด็ ี และในการพระราชทานเบยี้ เลยี้ งแกข่ า้ ราชการกด็ ี จะ ต้องให้ในโอกาสอันสมควร กล่าวคือ ต้องให้ในเวลาท่ีเหมาะสม การให้นั้นจึงจะ บงั เกดิ ผลไพบลู ย์ ในเรอ่ื งนี้ภาษาบาลใี ช้ค�ำว่า “กาลญั ญ”ู หมายถึง เป็นผู้รู้จักกาล ซง่ึ เป็นเรื่องทส่ี �ำคญั มาก เพราะกาลัญญู เป็น 1 ใน 7 ของสปั ปุริสธรรม คือ ธรรม ของ คนดี ทุกส่ิงทกุ อย่างในโลกด�ำเนินไปโดยมีกาลเวลาเป็นตวั ก�ำกบั หากเราท�ำ อะไรได้ถูกจังหวะถูกกาลเวลา กจ็ ะเป็นเหตุให้ประสบความส�ำเรจ็ ได้ ในการช่วยเหลือด้านเศรษฐกจิ แก่คนระดบั ล่าง 3 กลุ่มน้กี ็เช่นกัน ต้องช่วย เหลอื ในโอกาสท่ีเหมาะสมจงึ จะเกดิ ประโยชน์มาก เช่น ในช่วงที่ข้าวและธัญญาหาร มรี าคาแพง จงึ เปน็ โอกาสอนั เหมาะสมทร่ี ฐั บาลจะสง่ เสรมิ เกษตรกรในเรอื่ งการท�ำนา และการเพาะปลูกธญั พชื 6.9.6 กุศโลบายสร้างทีมงานบริหารประเทศ หลงั จากทบี่ า้ นเมอื งสงบเรยี บรอ้ ยแลว้ พระเจา้ มหาวชิ ติ ราชจงึ ตรสั ถามวธิ บี ชู า มหายัญกับพราหมณ์ปุโรหิต พราหมณ์ปุโรหิตจึงกราบทูลให้พระราชาขอความเห็น ชอบ และขอความร่วมมอื เรือ่ งการบชู ามหายัญจากคนระดับบน 4 กลุ่ม เพ่ือเป็น บรวิ ารของยญั สาเหตทุ ตี่ อ้ งท�ำเชน่ นน้ั กเ็ พอื่ เปน็ กศุ โลบายในการสรา้ งทมี งานบรหิ าร ประเทศนน่ั เอง เพราะคนระดบั บน 4 กลุ่มนี้ แม้จะมจี �ำนวนน้อยแต่มีอทิ ธพิ ลมาก ทางดา้ นการเมอื ง มสี ตปิ ญั ญา ทรพั ยส์ นิ และเครอื ขา่ ยมาก ในขณะท่ี 3 กลมุ่ ระดบั รากหญ้า มีจ�ำนวนคนมากแต่มอี ทิ ธพิ ลน้อย สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 185 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
การที่พระราชาท�ำเช่นน้นี น้ั เป็นการให้เกยี รติแก่พวกเขา เป็นการผกู มดั จิตใจ คนระดบั บนให้เกิดความรู้สกึ ว่า ได้รบั ความไว้วางใจจากพระราชา สง่ิ นเ้ี ป็นสิ่งทคี่ น กลุ่มนขี้ าด พวกเขาต่างกม็ โี ภคทรัพย์ สติปัญญา ความรู้ ความสามารถและเครือ ขา่ ยมากอยแู่ ลว้ แต่สงิ่ ทขี่ าด คอื การไดร้ บั การยอมรบั นบั ถอื จากผมู้ อี �ำนาจสงู สดุ ใน แผ่นดิน เม่อื พระองค์ทรงเลือกใช้วิธกี ารให้เกยี รติ แทนการใช้พระราชอ�ำนาจสง่ั การ จึงเป็นที่ถูกใจกลุ่มบุคคลระดับบนเป็นอย่างย่ิง ท�ำให้บุคคลเหล่าน้ีเต็มใจช่วย พระราชาบรหิ ารกจิ การบ้านเมืองอย่างเต็มก�ำลังความสามารถ การจะให้อะไรแก่ใครก็แล้วแต่มีหลกั อยู่ว่า จะต้องให้ในสง่ิ ทเี่ ขาขาด และให้ อยา่ งเหมาะสม จงึ จะบงั เกดิ ผลมาก ส�ำหรบั คนจนขาดทรพั ย์ กต็ อ้ งใหท้ รพั ยท์ เี่ หมาะ สมกบั เขา เชน่ หากเปน็ ชาวนากใ็ หข้ า้ วเปลอื ก พอ่ คา้ กใ็ หท้ นุ ขา้ ราชการกใ็ หเ้ บยี้ เลย้ี ง หรอื โบนสั เป็นต้น ส่วนคนรวยไม่ได้ขาดทรพั ย์ แต่เขาปรารถนาการยอมรับ และ ความไวว้ างใจจากผปู้ กครอง ตอ้ งการมเี กยี รตยิ ศชอ่ื เสยี ง เพราะจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ หน้าท่ีการงานหรือธุรกจิ ของเขา ด้วยเหตุน้ีผู้ปกครองจึงต้องให้เกยี รตแิ ก่พวกเขา กลมุ่ ผมู้ อี ทิ ธพิ ลทง้ั 4 กลมุ่ น้ี ไมเ่ พยี งแตเ่ หน็ ดว้ ยกบั การบชู ายญั ของพระราชา เท่าน้ัน แต่ยังน�ำทรพั ย์มากมายมาถวายพระราชาด้วย ซ่งึ พระเจ้ามหาวิชิตราชเองก็ ไม่ทรงรบั โดยตรสั ว่า อย่าเลย ทรพั ย์เป็นอันมากนีข้ องข้าพเจ้า ก็ได้รวบรวมมาแล้ว จากภาษีอากรที่เป็นธรรม พวกท่านจงน�ำทรัพย์จากที่น้ีเพ่ิมไปอีก เม่ือพวกเขาถูก พระราชาปฏเิ สธ ตา่ งคดิ รว่ มกนั วา่ การน�ำทรพั ยเ์ หลา่ นกี้ ลบั ไปเรอื นอกี ไมส่ มควรเลย เพราะพระเจ้ามหาวิชิตราชก�ำลังทรงบูชามหายัญอยู่ พวกเราจะบูชายัญตามเสด็จ พระองค์บ้าง จึงได้บ�ำเพ็ญทานตามอย่างพระราชา การบูชามหายัญน้ี จึงเป็นการ กระจายความมงั่ คงั่ ไปสบู่ คุ คลระดบั ลา่ ง เปน็ การลดชอ่ งวา่ งระหวา่ งผมู้ ที รพั ยม์ ากใน ระดบั บนกบั กลมุ่ ผยู้ ากไร้ ผดู้ ้อยโอกาสในระดบั ล่างซงึ่ เปน็ คนส่วนใหญ่ของแผ่นดนิ รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 186 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
การทพี่ ระราชาไมท่ รงรบั ทรพั ยข์ องกลมุ่ คนระดบั บน แตก่ ลบั ทรงพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้กับพวกเขาไปอีก สิ่งนี้ถือว่าเป็นกุศโลบายอันชาญ ฉลาด ในการเชญิ ชวนทางออ้ มใหค้ นกลมุ่ นร้ี ว่ มบ�ำเพญ็ ทานกบั พระองค์ โดยพระองค์ ทรงเปน็ ตน้ แบบใหเ้ ขาท�ำตาม และทสี่ �ำคญั เปน็ การฝกึ ใหพ้ วกเขารจู้ กั ใหท้ านเพอื่ ก�ำจดั ความตระหน่ี ฝึกให้พวกเขาเป็นคนใจใหญ่ใจกว้างเพ่ือป้องกันความโลภอันจะเป็น เหตใุ ห้ท�ำผิดศีลธรรม เช่น การแสวงหาทรพั ย์โดยเอารดั เอาเปรียบหรือคดโกง ซึง่ ปัญหาน้ีมีอยู่ในทุกยุคสมัยโดยมักจะเกิดกับกลุ่มคนระดับบน คนเหล่านี้ ไม่ได้ แสวงหาทรพั ย์โดยมิชอบเพราะยากจน แต่เพราะไม่รู้จกั พอ ถ้าหากพวกเขารู้จกั การ ใหเ้ สยี บา้ ง ความโลภกจ็ ะลดลง จงึ เทา่ กบั เปน็ การปอ้ งกนั การเบยี ดเบยี นกนั ในสงั คม ไปในตวั มีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การบูชามหายัญ หรือการบริจาคทานแก่ “ประชาชนทว่ั ไป” ครัง้ ใหญ่นี้ จดั ท�ำขน้ึ หลงั จากทีพ่ ระราชาแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จ แล้ว คอื ได้ให้ความช่วยเหลือแก่คนระดบั รากหญ้า 3 กลุ่ม ซ่งึ ขยนั แต่ยากจน จน เศรษฐกิจฟื้นตัว ผู้คนอยู่ดีมีสุข ปราศจากโจรผู้ร้ายแล้ว สาเหตุท่ีต้องแก้ปัญหา เศรษฐกิจก่อนการบูชามหายัญหรือการบริจาคทานครั้งใหญ่ เพราะต้องการอุดรูร่ัว ต่าง ๆ ก่อน ไม่เช่นนัน้ การบริจาคทานคร้งั ใหญ่จะไม่ได้ผลเท่าทีค่ วร เพราะปัญหา โจร ปัญหาเศรษฐกจิ ยังมอี ยู่ 6.9.7 คณุ สมบตั ขิ องผู้ปกครองและที่ปรึกษา จากทไ่ี ดก้ ลา่ วถงึ คณุ สมบตั ขิ องพระเจา้ มหาวชิ ติ ราช 8 ประการและคณุ สมบตั ิ ของปุโรหิต 4 ประการซ่ึงเป็นบริวารของยัญนั้น ถือเป็นคุณสมบัติท่ีส�ำคัญของผู้ ปกครองและทปี่ รกึ ษา จะเหน็ วา่ พระราชานน้ั มคี วามสมบรู ณพ์ รอ้ มในทกุ ดา้ น ทงั้ ชาติ ตระกลู บคุ ลิก ทรพั ย์สมบตั ิ กองทพั ความรู้ และทรงมพี ระราชศรัทธาในการให้ ทาน สว่ นปโุ รหติ นนั้ กม็ คี ณุ สมบตั ทิ สี่ �ำคญั พรง่ั พรอ้ มส�ำหรบั การเปน็ ทปี่ รกึ ษาทด่ี ี คอื สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 187 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
มชี าติตระกูลดี เป็นผู้คงแก่เรียน มศี ลี และที่ส�ำคญั ท่านเป็นบณั ฑติ มปี ัญญาเฉยี บ แหลม คณุ สมบตั เิ หลา่ นม้ี คี วามส�ำคญั มาก เพราะการจดั ท�ำพธิ บี ชู ามหายญั ซงึ่ เปน็ งาน ใหญใ่ หส้ �ำเรจ็ สมบรู ณก์ ด็ ี หรอื การบรหิ ารประเทศใหด้ �ำเนนิ ไปดว้ ยดนี น้ั จะตอ้ งอาศยั ความร่วมมือจากประชาชนท้ังแผ่นดิน พระราชาในฐานะเป็นศูนย์รวมใจ จะต้องได้ รับการยอมรับนับถือ ไม่มีข้อต�ำหนทิ งั้ ทางกายภาพและจิตใจ เพื่อป้องกันความกิน แหนงแคลงใจ การดถู กู ในใจอยลู่ กึ ๆ ทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั หลงั โดยเฉพาะกลมุ่ บคุ คล ระดบั บน ส่วนปุโรหติ ซึ่งเป็นผู้วางแผนงานท้งั ปวง ก็จะต้องมคี ุณสมบัตทิ ก่ี ล่าวมา น้ี เป็นฐานในการท�ำงานใหญ่ต่าง ๆ ให้ประสบความส�ำเรจ็ 6.9.8 การพัฒนาจิตใจของผู้ปกครองประเทศ ยัญวิธี 3 ประการ คอื การให้พระราชารกั ษาใจให้ผ่องใส ไม่เสียดายว่าทรพั ย์ หมดเปลอื งไป กล่าวคือ เม่อื ตดั สินว่าจะให้ทานแล้ว กต็ ้องตดั ใจให้ขาดจากทานน้ัน ดว้ ย จงึ จะท�ำใหเ้ กดิ บญุ มาก และทสี่ �ำคญั ยญั วธิ นี เี้ ปน็ กศุ โลบายขยายใจผนู้ �ำใหใ้ หญ่ ครอบคลุมทง้ั ประเทศ ขยายใจผู้น�ำให้มคี วามเมตตากรณุ าต่อคนทง้ั แผ่นดนิ ทว่ั หน้า ไม่เห็นแก่ความส้ินเปลอื ง เป็นการให้ด้วยความเตม็ ใจและจริงใจ ประชาชนผรู้ บั ทานกจ็ ะสมั ผสั ความเตม็ ใจนี้ ไดจ้ ากพระพกั ตรท์ ผี่ อ่ งใสอนั เกดิ จากจติ ใจทช่ี น่ื บานเพราะมหาทานของพระราชา จะสรา้ งความประทบั ใจแกป่ ระชาชน พลเมืองทั้งแผ่นดิน และส่งผลให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาประเทศร่วมกับ พระราชา ในทางตรงข้าม หากพระราชามีความเสียดายทรัพย์ ความเสียดายในใจนี้ ก็ จะปรากฏออกทางพระพักตร์ท่ีหม่นหมอง ประชาชนก็จะรู้ว่าพระราชาไม่ได้ให้ด้วย ความเตม็ ใจ แตใ่ หแ้ บบเสยี ไมไ่ ด้ เมอ่ื เปน็ เชน่ น้ี จงึ ยากทพี่ ลเมอื งจะรว่ มใจกนั พฒั นา ประเทศ รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 188 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ปกตผิ นู้ �ำทม่ี ตี �ำแหนง่ ใหญแ่ ตใ่ จแคบ บา้ นเมอื งจะเดอื ดรอ้ นไปทกุ หยอ่ มหญา้ ผู้น�ำทตี่ �ำแหน่งเล็กแต่ใจใหญ่ ประชาชนจะประสบสขุ แต่ตนเองจะเดือดร้อน ผู้น�ำท่ี ต�ำแหนง่ เลก็ และใจแคบ คนในปกครองกจ็ ะประสบความล�ำบาก สว่ นผนู้ �ำทต่ี �ำแหนง่ ใหญ่และใจใหญ่ บ้านเมอื งจะเจรญิ รุ่งเรืองไปทว่ั หล้า 6.9.9 การพัฒนาจิตใจประชาชนด้วยการตั้งมาตรฐานคนดี ปุโรหิตยังให้ข้อคิดในการบริหารคนหมู่มากแก่พระราชาว่า การท�ำทานครั้ง ใหญ่ จะต้องท�ำใจให้หนกั แน่น เพราะจะมที ั้งคนดีคนชั่วหลายเหล่าปะปนกนั มารบั แจกทาน ซง่ึ ยากจะแยกแยะได้ พระราชาจะตอ้ งท�ำใจใหไ้ ดว้ า่ พระองคต์ งั้ ใจใหเ้ ฉพาะ คนดเี ท่าน้ัน แต่ถ้ามีคนไม่ดปี ะปนเข้ามา ก็ต้องท�ำใจให้หนกั แน่น ท�ำใจให้กว้างใหญ่ ไพศาลว่า เราจะให้โอกาสเขากลบั ตัวเป็นคนดีในภายหน้า นอกจากคุณสมบัติของคนดี คือ ความขยันที่กล่าวมาแล้ว คนดีจะต้องมี คณุ สมบตั ิที่ส�ำคัญอีก คือ ต้องมศี ลี หรอื ถือกศุ ลกรรมบถ 10 ด้วย กศุ ลกรรมบถท่ี พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลพระราชาน้ี ถือเป็นการประกาศมาตรฐานคนดีในยุคนั้น เพอ่ื ใหผ้ นู้ �ำมเี กณฑใ์ นการคดั คน เปน็ มาตรฐานในการตง้ั เปา้ หมายส�ำหรบั การพฒั นา คน ซ่ึงเป็นส่ิงส�ำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือพัฒนาประเทศชาติในด้านอื่น ๆ เพราะทกุ โครงการจะส�ำเร็จได้ด้วยดีนั้น กอ็ ยู่ทคี่ ุณภาพของคน 6.9.10 การพัฒนาเศรษฐกจิ ควบคู่กบั การพฒั นาจิตใจ พธิ บี ชู ามหายญั ของปโุ รหติ ของพระเจา้ มหาวชิ ติ ราชนนั้ เปน็ การปฏวิ ตั พิ ธิ กี รรม เดมิ ของพราหมณท์ ถี่ อื ปฏบิ ตั สิ บื กนั มาวา่ จะตอ้ งมกี ารฆา่ ววั แพะ แกะ ไก่ สกุ ร และ สตั วน์ านาชนดิ พธิ บี ชู ามหายญั แบบใหมน่ ใ้ี ช้เพยี ง เนยใส นำ�้ มนั เนยข้น นมเปรยี้ ว น้�ำผ้ึง และน�้ำอ้อย เท่าน้ัน ซึ่งเป็นของหาง่ายในชีวิตประจ�ำวันของชาวบ้าน และท่ี ส�ำคัญท�ำให้หยุดท�ำปาณาตบิ าต แต่หนั ไปส่งเสริมเกษตรกรรมแทน ซ่งึ สดุ ท้ายแล้ว สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 189 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
กเ็ ปน็ การสง่ เสรมิ อาชพี ใหก้ บั ประชาชน จงึ ถอื ไดว้ า่ เปน็ การพฒั นาเศรษฐกจิ คกู่ บั จติ ใจ คอื ศีลธรรม 6.9.11 แผนภมู กิ ารประกอบพธิ บี ชู ามหายัญของพระเจ้ามหาวิชติ ราช พิธบี ชู ามหายัญของพระเจ้ามหาวชิ ิตราชนน้ั สามารถสรุปออกมาเป็นแผนภูมิ ได้ดงั ท่ีแสดงมานี้ แผนภูมินี้แตกต่างกบั แผนภมู แิ รก ตรงทพี่ ระเจ้าแผ่นดนิ ในฐานะ ประธานพิธีบูชามหายญั ไม่ได้เพียงแต่นัง่ สงั่ การอยู่ข้างบน แต่เสด็จลงมาทาำ หน้าท่ี เปน็ ประธานพธิ เี อง ลงมาบรจิ าคทานแกพ่ สกนกิ รดว้ ยพระองคเ์ อง ลงมาอยทู่ า่ มกลาง ประชาชนของพระองค์ จึงเป็นเหตุให้พระราชาสามารถเข้าไปน่ังอยู่ในใจของคนทั้ง แผ่นดินได้ ส่งผลให้กลุ่มผู้มีอทิ ธิพล 4 กลุ่มไม่อาจจะนง่ิ ดูดายอยู่ได้ ต้องลงมาทำา กิจกรรมร่วมกบั ผู้นำาด้วย จงึ ถอื เป็นต้นแบบแห่งการปกครองด้วยวิธจี ูงใจ เชิญชวน ชาวเมืองให้ร่วมแรงร่วมใจ และร่วมสนับสนุนกำาลังทรัพย์โดยมุ่งไปสู่เป้าหมาย รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 190 สรรพศำสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เดยี วกนั คอื การพฒั นาประเทศชาตใิ หเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง ดว้ ยการพฒั นาเศรษฐกจิ ควบคู่ กับจิตใจ การปกครองและการแกป้ ญั หาสงั คมของพระเจา้ มหาวชิ ติ ราชนี้ สอดคลอ้ งกบั จกั กวตั ตสิ ตู ร ทกี่ ลา่ วแลว้ ในบทท่ี 5 หวั ขอ้ “ประวตั ศิ าสตรโ์ ลกและมนษุ ยชาต”ิ กลา่ ว คอื ปญั หาสงั คมทเ่ี กดิ ขน้ึ มสี าเหตสุ �ำคญั อยู่ 2 ประการคอื พระราชาไมต่ งั้ อยใู่ นธรรม และการบรหิ ารจัดการเรอื่ งเศรษฐกจิ ไม่ดี เป็นเหตใุ ห้ความขดั สนแพร่หลาย ส่งผล ให้เกิดการลักขโมย และการท�ำผดิ ศีลผดิ ธรรมโดยประการต่าง ๆ ตามมา ดงั น้ัน เมอ่ื จะตอ้ งแกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ ผปู้ กครองประเทศจงึ ตอ้ งตง้ั อยใู่ นธรรม และการบรหิ าร จดั การเรอ่ื งเศรษฐกิจให้ดี ในกฏู ทนั ตสตู รนจี้ ะเหน็ ว่า พระเจ้ามหาวชิ ติ ราชและพราหมณป์ โุ รหติ ตงั้ อยใู่ น ธรรม คือ พระเจ้ามหาวิชติ ราชทรงมีพระราชศรทั ธา เป็นทานบดี เป็นดจุ บ่อท่ลี งดืม่ ของสมณพราหมณร์ วมทง้ั ประชาชนพลเมอื ง และทรงเปน็ บณั ฑติ เฉยี บแหลม ทรง พระปรีชาสามารถ เป็นต้น ส่วนพราหมณ์ปุโรหิตก็ต้ังอยู่ในธรรม คือ เป็นผู้มีศีล เป็นต้น เมอ่ื มปี ัญหาโจรผู้ร้ายทีเ่ กิดขน้ึ ในแว่นแคว้น พราหมณ์ปุโรหิตก็ทราบดวี ่า ต้นตอของปัญหาอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจ ซ่ึงเกิดกับกลุ่มคนในระดับล่างของสังคม เป็นหลกั ดงั นนั้ ปุโรหติ จึงถวายค�ำแนะน�ำให้พระราชาแก้ปัญหา ด้วยการช่วยเหลือ เศรษฐกิจแก่คนเหล่าน้ี เม่อื แก้ปัญหาท่ีต้นเหตเุ ช่นนี้ จึงท�ำให้ปัญหาท่เี กิดข้นึ ดับไป และส่งผลให้ประเทศชาตเิ จรญิ รุ่งเรอื งในที่สุด 6.9.12 สรุปหลักการปกครองของพระเจ้ามหาวชิ ติ ราช จากเนื้อหาในกฏู ทันตสตู รและบทวิเคราะห์ที่กล่าวมานี้ สามารถสรปุ หลักการ ปกครองประเทศ และหลักการแก้ปัญหาสังคมของพระเจ้ามหาวิชิตราช ซึ่งพระองค์ ทรงปฏิบัติตามคำ�แนะนำ�ของพระโพธิสัตว์ได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 191 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1. แบง่ กลมุ่ เปา้ หมายในการแกป้ ญั หาและพฒั นาประเทศออกเปน็ 2 ระดบั 1.1) กลุ่มเป้าหมายระดับบน คอื ผู้มีอิทธิพล 4 กลุ่ม 1.2) กลุ่มเป้าหมายระดับล่าง คอื ประชาชนทว่ั ไป 3 กลุ่ม 2. มงุ่ แกไ้ ขปญั หาและพฒั นากลมุ่ เปา้ หมายระดบั ลา่ งกอ่ น เพราะเปน็ กลมุ่ ทกี่ �ำลงั เดือดร้อนด้วยปัญหาต่าง ๆ ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกจิ ตกต่ำ� ซึง่ ลุกลามใหญ่โต และขยายวงมาสู่ปัญหาศีลธรรม คือ การลกั ขโมยและปล้นบ้านปล้นเมือง จึงต้องแก้ไขด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับพัฒนาจิตใจ คือ ศีลธรรม ดังนี้ 2.1) พฒั นาเศรษฐกจิ ดว้ ยการสง่ เสรมิ คนระดบั ลา่ งทขี่ ยนั ท�ำมาหากนิ 3 กลมุ่ เพอ่ื เปน็ ตน้ แบบแกค่ นอนื่ ในสงั คม โดยการสนบั สนนุ สงิ่ ทเ่ี ขาขาด อยา่ ง เหมาะสมต่อกลุ่มคน และให้ในโอกาสอนั สมควร 2.2) พฒั นาจติ ใจหรอื ศลี ธรรมของประชาชนโดยใชก้ ศุ ลกรรมบถ 10 อนั เปน็ มาตรฐานของคนดีในยุคนนั้ การพัฒนาประเทศน้ัน จะต้องพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับจิตใจเสมอ การพฒั นานนั้ จงึ จะส่งผลย่งั ยนื ขาดสงิ่ ใดสิง่ หน่งึ ไม่ได้ เปรยี บเสมือนไม้ 2 ท่อนท่ี วางพงิ กนั ไว้ หากเอาอนั ใดอนั หนงึ่ ออกอกี อนั หนงึ่ กต็ อ้ งลม้ ไปด้วย กล่าวคอื หากมงุ่ เฉพาะเร่ืองเศรษฐกิจไม่น�ำพาเรื่องจิตใจ คือ ศีลธรรม คนก็จะขาดคุณภาพเพราะ อ�ำนาจกเิ ลสท่ไี ม่มีศลี ธรรมควบคมุ ส่งผลให้เกดิ ปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น การ คอร์รปั ชนั เป็นต้น อนั จะเป็นเหตุให้เศรษฐกิจย�่ำแย่ไปด้วย แต่หากพัฒนาเพียงศีล ธรรมไม่ส่งเสริมเรอ่ื งเศรษฐกิจ คนกจ็ ะอดอยาก และความอดอยากน้ี ก็จะกดดัน ให้คนท�ำผดิ ศีลด้วยการลักขโมย เป็นต้น ศลี ธรรมก็ไม่อาจจะต้งั อยู่ได้เช่นกนั รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 192 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
3. การแก้ปัญหาและปกครองประเทศนัน้ เปน็ งานใหญ่ พระราชาไม่อาจจะ ท�ำ เพยี งล�ำ พงั ได้ จ�ำ เปน็ จะตอ้ งสรา้ งและพฒั นาทมี บรหิ ารขนึ้ มาจากกลมุ่ คนระดบั บน 4 กลุ่ม ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคม 3.1) การสร้างทีมน้ันใช้การ “ให้เกยี รต”ิ ซ่ึงเป็นสงิ่ ท่คี น 4 กลุ่มนขี้ าดและ ต้องการ วธิ ีการให้เกียรตขิ องพระราชา คือ การเชญิ คนทั้ง 4 กลุ่มนมี้ า แล้วขอความเห็นชอบและขอความร่วมมือในกิจการต่าง ๆ ท่ีจะต้อง จัดท�ำ 3.2) การพัฒนาทมี บรหิ ารนนั้ ท�ำได้ด้วยการทพ่ี ระราชาต้องเป็นแบบอย่างที่ ดี เพือ่ ให้เขาปฏิบตั ติ าม เช่น การที่พระราชาบริจาคทานแก่พสกนิกร น้ัน กเ็ ป็นแบบอย่างให้แก่คนทง้ั 4 กลุ่มนี้ ซ่งึ เป็นผู้ทม่ี ีทรพั ย์มากท�ำ ตาม ดว้ ยวธิ กี ารน้ี จะท�ำใหใ้ จของผนู้ �ำประเทศและทมี บรหิ ารกวา้ งขวาง ครอบคลุมทั้งประเทศ เท่ากับเป็นการป้องกันการหาทรัพย์โดยมิชอบ ไปในตวั ซึง่ จะส่งผลให้พสกนิกรเป็นสุขกนั ท่ัวหล้า 6.10 เปรียบเทียบรัฐศาสตร์ทางโลกกับทางธรรม ในหัวข้อนี้ จะเปรียบเทียบหลักธรรมาธิปไตยกับการปกครองในยุคปัจจุบัน โดยจะหยบิ ยกมาเพียงบางประเด็นเท่านนั้ คอื ในเรือ่ งการปกครองโดยคณะบคุ คล ของแคว้นวัชชี กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน เพราะระบอบ ประชาธิปไตยนน้ั เป็นระบอบทีใ่ ช้กันมากทส่ี ดุ ในยคุ น้ี ส่วนประเด็นอ่ืน ๆ ได้เปรียบ เทยี บแทรกไว้ในเนอ้ื หาบ้างแล้ว การปกครองระบอบประชาธิปไตยน้ันมีลักษณะบางประการคล้ายกับการ ปกครองแบบคณะบุคคลของแคว้นวัชชี กล่าวคอื เป็นระบอบท่ไี ม่ได้ปกครองโดย คน ๆ เดียว แบบระบอบกษตั ริย์แต่ปกครองโดยคณะบคุ คลที่มสี ทิ ธิ์ตัดสนิ ร่วมกัน สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 193 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
แต่ท้ังน้ีก็มีความต่างกันตรงท่ีระบอบประชาธิปไตยนั้น เปิดโอกาสให้ประชาชนทุก คนสมคั รเขา้ ไปเปน็ คณะผปู้ กครองประเทศไดโ้ ดยผา่ นการเลอื กตง้ั แตก่ ารปกครอง ของแคว้นวัชชีนั้นสงวนสิทธ์ิไว้เฉพาะคณะเจ้าเท่าน้ัน ส่วนกระบวนการปกครองมี ความคล้ายคลงึ กนั คอื ระบอบประชาธปิ ไตยยกเอารฐั ธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสดุ ของการปกครอง ส่วนแคว้นวชั ชียกเอา “ธรรม” ทีพ่ ระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรสั สอน ไว้ เช่น อปริหานยิ ธรรม เป็นต้น ให้เป็นหลกั ปฏิบัตสิ ูงสดุ ของคณะผู้ปกครอง ในการจดั สรรอ�ำนาจนนั้ กม็ คี วามคลา้ ยคลงึ กนั กลา่ วคอื ระบอบประชาธปิ ไตย แบ่งอ�ำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย คอื ฝ่ายนติ ิบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ส่วน แคว้นวชั ชนี ั้นก็มีการจัดสรรอ�ำนาจออกเป็นฝ่าย ๆ อย่างชัดเจนไม่ก้าวก่ายกนั เท่า ที่ปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎกพบว่า มีการแบ่งอ�ำนาจบริหาร และอ�ำนาจ ตลุ าการชดั เจนมาก คอื คณะเจา้ วชั ชเี ป็นฝ่ายบรหิ ารโดยมกี ารคดั เลอื กตวั แทนคณะ เจ้าหนึ่งท่านให้เป็นพระราชา อ�ำนาจตุลาการน้ันเป็นหน้าที่ของ “มหาอ�ำมาตย์” เป็นต้น ส่วนอ�ำนาจนติ ิบญั ญัตนิ ั้นไม่มีข้อมลู ทช่ี ัดเจนว่า มีการแบ่งอ�ำนาจนอี้ อกไป ต่างหากหรือไม่ แต่จากพระด�ำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่ีได้ตรัสแก่เจ้าวัชชีท้ัง หลายว่า “ไม่บญั ญัติข้อท่ไี ม่เคยบัญญัตไิ ว้ ไม่เพกิ ถอนข้อทบ่ี ญั ญัตไิ ว้แล้ว สมาทาน วัชชีธรรมแบบโบราณ ตามท่ีบัญญัตไิ ว้แล้ว ประพฤตกิ ันอยู่” พระด�ำรัสน้ีสามารถตีความได้ 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก คือ อ�ำนาจ นติ บิ ัญญัติรวมอยู่กบั อ�ำนาจบริหารของเจ้าวัชชคี ณะเดียวกัน ประเดน็ ทส่ี อง เจ้าวัช ชีแบ่งออกเป็น 2 คณะคือ คณะท่ีท�ำหน้าท่ีบริหาร และคณะท่ีท�ำหน้าที่บัญญัติ กฎหมาย จากข้อมูลท่ีมอี ยู่น้ียงั ไม่อาจจะสรปุ ได้ว่าเป็นประเดน็ ไหนกนั แน่ แต่ท้งั นี้ อ�ำนาจนติ บิ ัญญตั ติ ามอปริหานิยธรรมนัน้ เป็นอ�ำนาจทคี่ ่อนข้างนิ่ง คือ บญั ญัติตาม ประเพณีอนั ดีงามแต่โบราณของชาววชั ชเี ท่าน้ัน ด้วยเหตนุ ค้ี วามเคลื่อนไหวท่ีส�ำคญั รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 194 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ทางการปกครองจงึ อยทู่ อ่ี �ำนาจบรหิ ารและอ�ำนาจตลุ าการ ซงึ่ มกี ารแบง่ หนา้ ทกี่ นั อยา่ ง ชัดเจนเป็นหลกั ในส่วนของอ�ำนาจตลุ าการของแคว้นวชั ชนี น้ั ยังมีประเดน็ ท่นี ่าสนใจคอื มีการ แบ่งอ�ำนาจออกเป็นชน้ั ๆ คล้าย ๆ กบั อ�ำนาจตุลาการปัจจบุ นั ทีม่ ีการแบ่งเป็นศาล ช้ันต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา นอกจากนี้ยังมีศาลย่อยอ่ืน ๆ อีกหลายศาล ในอ�ำนาจตุลาการของแคว้นวัชชนี ั้นมกี ารแบ่งออกเป็น 7 ช้นั คือ มหาอ�ำมาตย์ฝ่าย สอบสวน, มหาอ�ำมาตยฝ์ า่ ยผพู้ พิ ากษา, มหาอ�ำมาตยฝ์ า่ ยทช่ี อ่ื วา่ ลกู ขนุ , มหาอ�ำมาตย์ 8 ตระกลู , เสนาบดี, อปุ ราช และพระราชา บางคดีก็ส้ินสุดท่ีมหาอ�ำมาตย์ฝ่ายสอบสวน กล่าวคือ หากฝ่ายน้ีสอบสวน จ�ำเลยแล้วพบวา่ “บรสิ ทุ ธ”ิ์ กจ็ ะปลอ่ ยตวั ไป แต่ถ้าสอบสวนแล้วมขี ้อมลู ทบ่ี ง่ บอกว่า “จ�ำเลยผิดจริง” ก็จะส่งจ�ำเลยไปในฝ่ายท่ีสูงข้ึนตามล�ำดับจนถึงพระราชา หาก พระราชาสอบสวนแลว้ พบวา่ จ�ำเลยผดิ จรงิ กจ็ ะโปรดใหเ้ จา้ หนา้ ทอี่ า่ นคมั ภรี ก์ ฎหมาย ประเพณี ในคมั ภรี ก์ ฎหมายประเพณนี น้ั เขยี นไวว้ า่ ผใู้ ดท�ำความผดิ ชอ่ื นผ้ี นู้ น้ั จะตอ้ ง มโี ทษชอ่ื นี้ พระราชากท็ รงน�ำการกระท�ำของผนู้ นั้ มาเทยี บกบั ตวั บทกฎหมายนนั้ แลว้ ทรงลงโทษตามสมควรแก่ความผดิ นน้ั ประเด็นนี้มีข้อสังเกตว่า พระราชาซ่ึงเป็นผู้น�ำสูงสุดฝ่ายบริหารน้ัน ก็ต้องท�ำ หนา้ ทฝี่ า่ ยตลุ าการดว้ ยในกรณที ่ี “คดคี วาม” บางคดไี มอ่ าจจะระงบั ไดใ้ นกระบวนการ ยุตธิ รรมชัน้ ต้น ซงึ่ ประเด็นน้ี กแ็ ตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยในปัจจบุ ัน ทีผ่ ู้น�ำ ฝ่ายบรหิ าร ได้แก่ นายกรฐั มนตรี เป็นต้น จะไม่เข้ามาเก่ยี วข้องกับการตดั สนิ คดี ความเลย สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 195 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
จากทกี่ ล่าวมาทง้ั หมดจะเหน็ ว่า มที งั้ ส่วนทเ่ี หมอื นกนั คล้ายกนั และแตกต่าง กนั อยหู่ ลายประการ โดยขอ้ แตกตา่ งทสี่ �ำคญั ทส่ี ดุ คอื แควน้ วชั ชยี ดึ หลกั ธรรม ไดแ้ ก่ อปริหานิยธรรม เป็นต้น เป็นหัวใจส�ำคัญในการปกครองประเทศ แต่ระบอบ ประชาธปิ ไตยนนั้ ยดึ รฐั ธรรมนญู ทป่ี ถุ ชุ นซง่ึ ยงั มกี เิ ลสอยชู่ ว่ ยกนั รา่ งขนึ้ เปน็ กฎหมาย สูงสุดเป็นหัวใจส�ำคัญที่สุดในการปกครองประเทศ จุดอ่อนของประชาธิปไตยและแนวทางแก้ไข หากผู้ปกครองเป็นคนดีมีความสามารถ ระบบการปกครองแบบเผดจ็ การไม่ ว่าจะเป็นโดยบุคคล เช่น ระบอบราชาธิปไตย หรือโดยหมู่คณะ เช่น ระบอบ สังคมนิยม จะสามารถขับเคล่ือนการเปล่ียนแปลงพัฒนาการของสังคมได้เร็วที่สุด แต่มคี วามเส่ียงสงู เพราะคนเราเมอ่ื ยงั ไม่หมดกเิ ลส การมอี �ำนาจสทิ ธิข์ าดโดยไม่มี การถ่วงดุล ท�ำให้มีแนวโน้มการใช้อ�ำนาจในทางมชิ อบสงู ไปด้วย และหากเป็นอย่าง น้นั จะสร้างความเสียหายแก่สงั คมได้อย่างมหาศาล ในสภาพสังคมโลกปัจจุบัน ระบอบประชาธิปไตยซ่ึงเป็นการปกครองท่ีใช้ อ�ำนาจอธปิ ไตยมาจากประชาชน จงึ เป็นระบอบการปกครองทมี่ ีความบกพร่องน้อย ทสี่ ดุ แต่ก็มจี ุดอ่อน คือ หากคนหมู่มากถกู ชกั น�ำด้วยอ�ำนาจอิทธิพลของสอื่ การ ประชาสมั พนั ธ์สร้างภาพลักษณ์ทเ่ี ก่งกาจ อ�ำนาจเงนิ หรือด้วยอทิ ธพิ ลอนั ใด ท�ำให้ เลือกคนไม่ดี คนขาดความสามารถในการบรหิ ารเข้ามาปกครองประเทศแล้ว กอ็ าจ สร้างความเสยี หายได้มาก ไม่ว่าจะเป็นโดยการคอร์รัปชัน่ การใช้อ�ำนาจรัฐไปในทาง มิชอบ หรือการบริหารน�ำพาประเทศไปในทางที่ผิด การท�ำให้เกิดความเสื่อมโทรม ทางเศรษฐกิจและสงั คม เป็นต้น รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 196 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
แนวทางแกไ้ ข คอื จะตอ้ งใหค้ วามรกู้ บั ประชาชนใหร้ เู้ ทา่ ทนั สอื่ รเู้ ทา่ ทนั นกั การ เมือง ให้คดิ ตดั สนิ ใจอย่างมเี หตผุ ล องิ ข้อมูลที่เป็นจรงิ มากกว่าใช้อารมณ์ และสร้าง เปน็ กระแสรว่ มกนั ของคนทง้ั ชาตใิ หท้ กุ คนยดึ ธรรมเปน็ ใหญ่ คอื น�ำหลกั ธรรมความ ถูกต้องดีงาม ดังท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้มาเป็นค่านิยมร่วมของสังคม เป็น เครอ่ื งน�ำทางสงั คมไปสทู่ ศิ ทางทพ่ี งึ ประสงค์ ซง่ึ จะท�ำใหน้ กั การเมอื งตอ้ งประพฤตติ น อยู่ในกรอบของหลักธรรมน้ันด้วย เพราะมิฉะน้ันประชาชนจะไม่ยอมรับ โดยสรุป คือน�ำหลกั ธรรมาธปิ ไตยมาประยกุ ต์ใช้กบั หลักประชาธปิ ไตยน่ันเอง สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 197 รัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
รฐั ศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 198 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
บทที่ 7 นติ ศิ าสตร์ในพระไตรปิฎก 7.1 ภาพรวมนติ ิศาสตร์ในพระไตรปิฎก นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎกนนั้ กล่าวถึง “พระวนิ ัย หรอื ศลี ” ของพระภกิ ษเุ ป็น หลัก โดยเฉพาะพระวินัย 227 สิกขาบท อันมีมาในพระปาฏิโมกข์ เพราะเป็น กฎระเบยี บส�ำหรบั ควบคมุ ความประพฤตทิ างกายและวาจาของพระภกิ ษใุ หเ้ รยี บรอ้ ย ซง่ึ มลี กั ษณะคลา้ ย ๆ กบั กฎหมายในทางโลกอนั เปน็ กฎทค่ี วบคมุ พฤตกิ รรมของคนใน สงั คม พระวนิ ยั แตล่ ะสกิ ขาบทมกี ารแจกแจงรายละเอยี ดอยา่ งชดั เจนวา่ ค�ำแตล่ ะค�ำ ท่ีเป็นพุทธบัญญัตินั้นมีความหมายอย่างไรได้บ้าง และช้ีชัดว่ามุ่งถึงความหมายใด เปน็ หลกั ทงั้ นเี้ พอ่ื ใหพ้ ระภกิ ษมุ คี วามเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนไมค่ ลมุ เครอื สง่ ผลใหป้ ฏบิ ตั ิ ตามได้อย่างถูกต้อง นอกจากน้ีลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของพระวินัยก็คือ www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450