Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Description: สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก

Search

Read the Text Version

4) ชาตหิ นงึ่ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ พราหมณช์ อ่ื สตุ วา ไดก้ ลา่ วตฤู่ าษผี ทู้ รงอภญิ ญา 5 ผหู้ นงึ่ วา่ ฤาษนี ม้ี กั บรโิ ภคกาม ดว้ ยกรรมนน้ั รวมกบั กรรมในชาตทิ เี่ ปน็ นกั เลง ช่ือปุนาลิ พระองค์จึงถกู นางสนุ ทริกากล่าวตู่ว่าทรงร่วมอภิรมย์กับนางในภพ ชาติสดุ ท้าย 5) ชาติหน่ึงพระโพธิสัตว์ได้บริภาษพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม ว่าผุสสะว่า “พวกท่านจงเค้ยี ว จงกนิ แต่ข้าวแดง อย่ากนิ ข้าวสาลเี ลย” ด้วย กรรมนั้นในภพชาติสุดท้ายพระองค์จึงต้องเสวยข้าวแดงอยู่ตลอด 3 เดือน เมือ่ คร้ังทพ่ี ระองค์ประทบั อยู่ท่ีเมอื งเวรญั ชา 6) เม่ือพุทธันดรท่ีแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นมานพช่ือโชติปาละ ได้กล่าวสบ ประมาท พระกสั สปสมั มาสมั พทุ ธเจา้ วา่ “จกั มโี พธมิ ณฑลแตท่ ไี่ หน โพธญิ าณ ท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงต้องบ�ำเพ็ญทุกกรกิริยา อยถู่ งึ 6 ปี กวา่ จะรวู้ า่ เปน็ หนทางทผี่ ดิ และหนั มาปฏบิ ตั ใิ นหนทางสายกลางจน กระทงั่ ตรสั รู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 จากวบิ ากกรรมของพระโพธสิ ตั วท์ ก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ แมแ้ ตพ่ ระโพธสิ ตั ว์ เองซง่ึ สง่ั สมบญุ บารมมี ามากและจะไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในอนาคต แต่ ในเสน้ ทางการสรา้ งบารมนี นั้ พระองคก์ ท็ รงเคยท�ำผดิ พลาดมาไมน่ อ้ ยเหมอื นกนั โดย เฉพาะเร่อื งวจกี รรม ซ่ึงเป็นกรรมทท่ี �ำง่ายและส่งผลให้เกดิ ทุกข์มาก ทงั้ ทกุ ข์ในโลก มนุษย์และในนรก เมื่อพระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจึงตรัสเตือน พทุ ธบรษิ ัทไว้ว่า “อย่ากล่าวเทจ็ แม้เพ่ือให้หวั เราะกนั เล่น” และยังตรสั อีกว่า “คนที่ กล่าวเท็จท้ังที่รู้ ไม่มีบาปกรรมอะไรทีเ่ ขาจะท�ำไม่ได้” เปรยี บเสมอื นช้างศกึ ตัวทีส่ ละ ได้แม้แต่ชวี ิตเมื่อเข้าสู่สงคราม จงึ ไม่มอี ะไรท่ชี ้างศึกตวั น้นั จะท�ำไม่ได้ 2 1 ขทุ ทกนิกาย อปทาน, มก. เล่ม 71 ข้อ 392 หน้า 873-877. 2 จูฬราหโุ ลวาทสตู ร, ภิกขุวรรค มัชฌมิ นิกาย มชั ฌมิ ปัณณาสก์, มก. เล่ม 20 ข้อ 127 หน้า 265. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 300 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

9.5 องค์แห่งธรรมกถกึ : หลกั พนื้ ฐานของการแสดงธรรม องคแ์ หง่ วาจาสภุ าษติ ทง้ั 5 ประการทกี่ ลา่ วมานนั้ เปน็ หลกั พนื้ ฐานทว่ั ไปส�ำหรบั ใช้ในการพูดทกุ กรณี แต่ในการเทศน์สอนนัน้ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้ายงั ตรสั หลกั การ โดยเฉพาะไว้อีก 5 ประการ แต่ทั้ง 5 ประการนีก้ ็ตัง้ อยู่บนพ้นื ฐานขององค์แห่งวาจา สุภาษิตข้างต้น ครัง้ หนงึ่ พระผู้มพี ระภาคตรสั กบั พระอานนท์ว่า “อานนท์ การแสดงธรรมแกผ่ อู้ นื่ มใิ ชท่ �ำไดง้ า่ ย ภกิ ษเุ มอื่ จะแสดงธรรมแกผ่ อู้ น่ื พงึ ตัง้ ธรรม 5 ประการไว้ในตน แล้วจงึ แสดงธรรมแก่ผู้อ่ืน ธรรม 5 ประการ อะไร บ้าง คือ ภกิ ษพุ งึ ต้ังใจว่า 1) เราจกั แสดงธรรมไปตามล�ำดับ หมายถงึ แสดงธรรมให้มีล�ำดับ ไม่ตดั ลัดให้ขาดความ เช่น แสดงเร่ืองทานเป็นล�ำดับที่ 1 แสดงเร่อื งศีลเป็น ล�ำดับท่ี 2 แสดงเรอ่ื งสวรรค์เป็นล�ำดับที่ 3 อีกนัยหนงึ่ หมายถึง แสดง ธรรมให้ครอบคลมุ เนือ้ หาสาระตามทตี่ ้งั คาถาไว้ 2) เราจกั แสดงอ้างเหตผุ ล 3) เราจกั แสดงธรรมอาศยั ความเอน็ ดู หมายถึง ต้องการอนุเคราะห์ด้วย คดิ วา่ จกั เปลอ้ื งเหลา่ สตั วผ์ มู้ คี วามคบั แคน้ มากใหพ้ น้ จากความคบั แคน้ 4) เราจกั เป็นผู้ไม่เพ่งอามสิ แสดงธรรม หมายถึง ไม่มุ่งหวังลาภ คือ ปัจจยั 4 เพ่อื ตน 5) เราจักไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น หมายถึง ไม่แสดงธรรมยก ตนข่มท่าน อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อ่ืนไม่ใช่ท�ำได้ง่าย ภกิ ษเุ มอ่ื จะแสดงธรรมแก่คน อ่นื พึงต้งั ธรรม 5 ประการนี้ไว้ในตนแล้วจงึ แสดงธรรมแก่ผู้อ่นื ” 1 1 อุทายีสูตร, อังคตุ ตรนิกาย ปัญจกนบิ าต, มก. เล่ม 36 ข้อ 159 หน้า 334. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 301 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

9.6 หลักการแสดงธรรมให้มีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ล ประสิทธิภาพ (Effifciently) โดยทว่ั ไป หมายถงึ การท�ำงานให้ส�ำเร็จโดยใช้ ทรพั ยากรน้อยท่สี ุด ทรัพยากรในท่ีนี้ คือ ทุน เวลา แรงงาน อปุ กรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ประสิทธิผล (Effectively) หมายถงึ การท�ำงานได้ผลส�ำเรจ็ ตามเป้าหมายที่ วางไว้ หลกั การแสดงธรรมใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลทป่ี รากฏในพระไตรปฎิ ก โดยเฉพาะการแสดงธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ นน้ั หมายถงึ การแสดงธรรมให้ ส�ำเร็จผล คอื ผู้ฟังเข้าใจ เล่อื มใสศรทั ธา หรือบรรลุธรรม โดยใช้ทรพั ยากรอย่าง พอดี กลา่ วคอื ไมม่ ากไปและไมน่ อ้ ยไป ไมข่ าดและไมเ่ กนิ ไดแ้ ก่ เนอ้ื หามคี วามพอดี เวลาทใ่ี ชก้ พ็ อดี เปน็ ตน้ ซง่ึ ความพอดนี นั้ ขนึ้ อย่กู บั ผ้ฟู งั กล่าวคอื หากผฟู้ งั มปี ัญญา มากเพยี งแค่ได้ฟังธรรมโดยย่อกเ็ พยี งพอแก่การบรรลุธรรมแล้ว หากผู้ฟังมีปัญญา น้อยก็ต้องฟังธรรมโดยพิสดารจึงจะเข้าใจธรรมน้นั ได้ เป็นต้น การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงธรรมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังกล่าวมาน้ี นอกเหนือจากอาศัยหลักการพ้ืนฐาน คือ วาจาสุภาษิตและองค์แห่ง ธรรมกถึกทก่ี ล่าวมาแล้ว พระพุทธองค์ยังมีหลักการส�ำคัญอีกอย่างน้อย 4 ประการ คอื ทรงเทศนส์ อนโดยยดึ ผฟู้ งั เปน็ ศนู ยก์ ลาง ใชก้ ารอปุ มาอปุ ไมย ใชส้ อื่ ประกอบการ บรรยาย และทรงเน้นเทศน์สอนโดยยกหลักการและตวั อย่างประกอบดงั นี้ 9.6.1 เทศน์สอนโดยยึดผู้ฟังเป็นศนู ย์กลาง ในปจั จบุ นั ค�ำวา่ ยดึ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง ยดึ ผฟู้ งั เปน็ ศนู ยก์ ลาง หรอื ยดึ ผเู้ รยี น เปน็ ส�ำคญั ซง่ึ ตรงกบั ค�ำในภาษาองั กฤษวา่ “Child Center” นน้ั ไดร้ บั การกลา่ วถงึ กนั มากขน้ึ เร่ือย ๆ เพราะพบว่าการเรียนการสอนแบบเดิมท่ีครอู าจารย์มกั จะยดั เยยี ด ความรู้ให้เด็ก ตนรู้อะไรก็อยากจะให้เด็กได้รู้เหมือนตน โดยไม่สนใจว่าเด็กเป็น อย่างไร เด็กสนใจอะไร ไม่สอนให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน ท�ำให้การ วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 302 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

เรียนการสอนไม่ประสบความส�ำเรจ็ เท่าทีค่ วรจะเป็น การสอนโดยค�ำนึงถึงพ้ืนฐานผู้ เรียนเป็นหลัก และต่อยอดให้ความรู้เพิ่มได้ผลดีกว่า อนั ท่ีจริงหลัก Child Center นไี้ มไ่ ดเ้ ปน็ สงิ่ ใหมแ่ ตม่ มี าตงั้ แตส่ มยั พทุ ธกาลแลว้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เองกท็ รงใช้ หลกั นเี้ ชน่ เดยี วกนั โดยมขี อ้ สงั เกต 2 ประการ คอื การเลอื กใชภ้ าษาสอนธรรม และ การเทศน์สอนโดยยดึ ตามจริตของผู้ฟัง 1.) การเลือกใช้ภาษาสอนธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนธรรมด้วยภาษาบาลีเป็นหลัก ไม่ใช้ สนั สกฤต เพราะภาษาบาลเี ป็นภาษาชาวบ้าน เป็นภาษาพืน้ ฐานทีช่ าวมคธโดยท่วั ไป ใช้พูดกัน แม้พวกพราหมณ์ก็สามารถพูดได้ ส่วนภาษาสันสกฤตเป็นภาษาท่ีใช้ใน คัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ซ่ึงมีผู้ใช้น้อย คัมภีร์สันสกฤตถือกันว่าเป็นคัมภีร์ที่ ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ ไม่สาธารณะแก่ชนท่วั ไปสงวนไว้เฉพาะพวกพราหมณ์เท่านัน้ ด้วยเหตุน้ี ภาษาสนั สกฤตจงึ ไม่แพรห่ ลาย พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ใชภ้ าษาบาลซี งึ่ เป็นภาษาถนิ่ ของแคว้นมคธ เป็นภาษาหลักในการเล่าเรียนและเทศน์สอนพระธรรมวนิ ยั ในสมัยพุทธกาลแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสารถือว่าเป็นมหาอ�ำนาจ มีความเข้มแข็งกว่าแคว้นอื่น ๆ ท้ังด้านการทหาร เศรษฐกจิ และศาสนา มเี ศรษฐี และเหลา่ นกั บวชมากมายหลายลทั ธิ ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ เปน็ ไปไดว้ า่ ภาษาบาลขี องชาวมคธ น้ัน จะมีความแพร่หลายกว่าภาษาท้องถิ่นของแคว้นอ่ืน คล้ายกับภาษาอังกฤษใน ปจั จบุ นั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ทรงเลอื กประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาในแควน้ มคธ ก่อนแคว้นอนื่ และทรงเลือกภาษาบาลีของชาวมคธ เป็นภาษากลางในการเล่าเรยี น และเผยแผ่พทุ ธธรรม อยา่ งไรกต็ ามเนอื่ งจากอนิ เดยี ในสมยั พทุ ธกาลนน้ั กวา้ งใหญไ่ พศาล จงึ ท�ำให้มีภาษาท้องถ่นิ ทแี่ ตกต่างกันออกไปนับร้อย ๆ ภาษา เป็นไปได้อย่างมากท่ีชาว บา้ นหลายท้องถนิ่ ไมส่ ามารถพดู ภาษาบาลขี องชาวมคธได้ ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ ไม่มปี รากฏ สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 303 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

หลักฐานว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุเทศน์สอนด้วยภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ นอกจากภาษาสนั สกฤตของพวกพราหมณ์ ตรงขา้ มพระองคก์ ลบั สอนใหไ้ มย่ ดึ ตดิ ใน ภาษาใดภาษาหนึง่ แต่ให้สอนในภาษาทช่ี าวท้องถิน่ นัน้ ๆ สามารถเข้าใจได้ เพราะ ทรงมุ่งหมายผู้ฟังคือชาวท้องถ่นิ นั้น ๆ เป็นส�ำคญั ดงั ทพี่ ระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุ ไม่พงึ ยึดภาษาท้องถนิ่ และไม่พงึ ละเลยค�ำพูดสามัญ” พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงอธบิ ายเรอื่ ง การไมย่ ดึ ภาษาทอ้ งถน่ิ และการ ไม่ละเลยค�ำพูดสามญั ว่า ภาชนะชนดิ เดยี วกนั นนั่ แหละในโลกนี้ บางท้องถน่ิ รู้จกั กนั ว่า “ปาต”ิ บางท้องถิน่ รู้จกั กันว่า “ปัตตะ” บางท้องถิ่นรู้จกั กันว่า “ปิฏฐะ” บางท้อง ถน่ิ รจู้ กั กนั วา่ “สราวะ” บางทอ้ งถนิ่ รจู้ กั กนั วา่ “หโรสะ” บางทอ้ งถนิ่ รจู้ กั กนั วา่ “โปณะ” บางท้องถ่นิ รู้จักกนั ว่า “หนะ” บางท้องถน่ิ รู้จกั กนั ว่า “ปิปิละ” ภิกษพุ ดู อย่างไม่ถอื ม่ัน โดยวธิ ที ชี่ นทง้ั หลายในท้องถน่ิ นนั้ ๆ จะรู้จกั ภาชนะนนั้ ได้ว่า “ได้ยนิ ว่า ท่านผู้มอี ายุ เหลา่ นพ้ี ดู หมายถงึ ภาชนะน”้ี 1 ในเวลาแสดงธรรมกเ็ ชน่ กนั กต็ อ้ งแสดงในภาษาทค่ี นใน ท้องถนิ่ นัน้ ๆ เข้าใจได้ นอกจากน้ีในเวลาท่ีพระพุทธองค์ทรงเทศน์สอนใครคนใดคนหน่ึง พระองคก์ เ็ ลอื กใชค้ �ำพดู เลอื กเรอ่ื งสนทนาทผ่ี ฟู้ งั มพี น้ื ฐานอยกู่ อ่ นแลว้ เชน่ พราหมณ์ มีความรู้และสนใจเรื่องการอาบน้�ำล้างบาป พระพุทธองค์ก็ทรงสนทนาในเร่ืองนั้น ชาวนาสนใจเรอ่ื งการท�ำนาพระพทุ ธองคก์ ท็ รงสนทนาในเรอื่ งนน้ั ครฝู กึ มา้ สนใจเรอื่ ง การฝึกม้าพระพุทธองค์ก็ทรงสนทนาในเร่อื งนน้ั เป็นต้น กล่าวโดยสรปุ คือ เม่ือทรง สอนพราหมณก์ ใ็ ชภ้ าษาพราหมณ์ สอนกษตั รยิ ก์ ใ็ ชภ้ าษากษตั รยิ ์ สอนพอ่ คา้ กใ็ ชภ้ าษา พ่อค้า สอนชาวนากใ็ ช้ภาษาชาวนา “ภาษา” ในทน่ี ห้ี มายถงึ เรอ่ื งราวทผ่ี ฟู้ ังสนใจหรอื เก่ียวข้องกบั ผู้ทีท่ รงเทศน์สอน ไม่ได้หมายถงึ ภาษาบาลี หรอื ภาษาสนั สกฤต ดัง ตวั อย่างต่อไปน้ี 1 อรณวิภังคสตู ร, มชั ฌมิ นกิ าย อุปริปัณณาสก์, มจร. เล่ม 14 ข้อ 332 หน้า 396-401. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 304 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

1.1) แสดงธรรมแก่พราหมณ์โดยใช้ภาษาพราหมณ์ ครั้งหน่ึงพระผู้มพี ระภาคเจ้าเสดจ็ ไปโปรดสังครวพราหมณ์ ในครั้งนน้ั พระองค์ตรัสกับพราหมณ์ว่า ดกู ่อนพราหมณ์ เขาว่า ท่านถือความบริสุทธิด์ ้วยน�ำ้ ท่านลงอาบน้ำ� ช�ำระร่างกาย ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้าเป็นนติ ย์ จริงหรือ ส. (สังครวพราหมณ์) จรงิ เช่นนัน้ ท่านพระโคดมผู้เจรญิ ภ. (พระผู้มพี ระภาค) ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเห็นประโยชน์อะไรจึงท�ำ เช่นนั้น ส. บาปกรรมใดท่ีข้าพระองค์ท�ำในเวลากลางวัน ข้าพระองค์ลอยบาป กรรมนั้นด้วยการอาบน�้ำในเวลาเยน็ บาปกรรมใดท่ีท�ำในเวลากลางคนื ข้าพระองค์ ลอยบาปกรรมน้นั เสียด้วยการอาบน้ำ� ในเวลาเช้า ข้าพระองค์เหน็ ประโยชน์นแ้ี หละ ภ. ดูก่อนพราหมณ์ ห้วงน้�ำ คือ ธรรมมีศีลเป็นท่า ไม่ขุ่น สัตบุรุษ สรรเสรญิ ตอ่ สตั บรุ ษุ ซง่ึ เปน็ ทา่ ทบี่ คุ คลผถู้ งึ เวทอาบแลว้ บคุ คลผมู้ ตี วั ไมเ่ ปยี กเทา่ นนั้ จงึ จะข้ามถึงฝั่งได้ “ห้วงน�้ำ คือ ธรรมมีศีลเป็นท่า” หมายถงึ ไตรสิกขา อนั ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา น่ันเอง เพราะไตรสิกขาเรม่ิ ต้นด้วยศีล พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าจึง ตรสั วา่ “มศี ลี เปน็ ทา่ ” คอื เปน็ ทางลงในหว้ งนำ้� คอื ธรรมของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ และ ไตรสกิ ขานค้ี รอบคลมุ พุทธธรรมทง้ั หมด เมอื่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั เปรยี บเทยี บ “ธรรมะ” ดว้ ย “หว้ งนำ�้ ” ซง่ึ เป็นสิ่งท่ีพราหมณ์คุ้นเคยว่า ธรรมสามารถล้างบาปได้จริงและยังบุคคลผู้อาบให้ไป ถงึ “ฝั่ง” คอื “พระนิพพาน” ได้ จงึ ท�ำให้พราหมณ์เข้าใจธรรมะได้ง่ายข้นึ ด้วยเหตุนี้เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพียงแค่ 2 บรรทัดนี้แล้ว สงั ครวพราหมณ์ก็ได้กราบทูลว่า ภาษติ ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ดุจหงายภาชนะท่ี สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 305 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

คว่ำ� เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทปี ในทีม่ ดื ข้าพระองค์ขอถึง พระรัตนตรัยเป็นทพ่ี ง่ึ ไปจนตลอดชวี ิต 1 1.2) แสดงธรรมแก่ชาวนาโดยใช้ภาษาชาวนา คร้ังหน่ึง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่โรงเลี้ยงอาหาร ของกสิภารทวาชพราหมณ์ เม่ือพราหมณ์เหน็ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ จึง กราบทลู วา่ ขา้ แตพ่ ระสมณะ ขา้ พเจา้ ไถและหวา่ น ครน้ั ไถและหวา่ นแลว้ ยอ่ มบรโิ ภค แม้พระองค์กจ็ งไถและหว่าน คร้ันไถและหว่านแล้ว จงบริโภคเถดิ ภ. (พระผู้มีพระภาคเจ้า) ดกู ่อนพราหมณ์ แม้เรากไ็ ถและหว่าน ครนั้ ไถและหว่านแล้วกบ็ ริโภค ก. (กสิภารทวาชพราหมณ์) ข้าพเจ้าไม่เห็นแอก ไถ ผาล ประตัก หรอื โค ของท่านพระโคดมเลย ภ. ตรัสตอบว่า ศรทั ธาเป็นพืช ความเพยี รเป็นฝน ปัญญาของเราเป็น แอกและไถ หิริเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและประตัก เรามีกาย คุ้มครองแล้ว มวี าจาคุ้มครองแล้ว เป็นผู้ส�ำรวมแล้วในการบริโภคอาหาร เราท�ำการ ดายหญ้า คอื วาจาสบั ปรบั ด้วยค�ำสตั ย์ โสรจั จะของเราเป็นเครอ่ื งให้เสร็จงาน ความ เพียรของเราเป็นเคร่อื งน�ำธรุ ะไปให้สมหวัง น�ำไปถงึ ความเกษมจากโยคะ ไปไม่ถอย หลงั ยงั ทซ่ี ึ่งบุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก เราท�ำนาอย่างนี้ นาทเี่ ราท�ำน้นั ย่อมมีผลเป็น อมตะ บุคคลท�ำนาอย่างนแ้ี ล้วย่อมพ้นจากทุกข์ทง้ั ปวงได้ ในเรื่องนี้พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทรงเปรียบธรรมะด้วยสิ่งท่ีเกี่ยวกับการ ท�ำนา จงึ ท�ำให้พราหมณเ์ ขา้ ใจไดง้ า่ ย ดว้ ยเหตนุ ก้ี สภิ ารทวาชพราหมณ์ได้กราบทลู วา่ ภาษติ ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ดุจหงายภาชนะท่ีควำ่� เปิดของทป่ี ิด บอกทางแก่คน 1 สังครวสตู ร, สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค, มก. เล่ม 25 ข้อ 321-323 หน้า 297-299. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 306 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

หลงทาง ส่องประทีปในท่ีมืด ข้าพระองค์นีข้ อถึงพระรตั นตรัยเป็นทพี่ ึง่ ไปจนตลอด ชวี ิต 1 1.3) แสดงธรรมแก่คนฝึกม้าโดยใช้ภาษาคนฝึกม้า ครง้ั หนงึ่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ถามสารถผี ฝู้ กึ มา้ ชอื่ เกสวี า่ ดกู อ่ นเกสี ท่านฝึกหัดม้าที่ควรฝึกอย่างไร นายเกสีกราบทูลว่า ข้าพระองค์ฝึกหัดม้าท่ีควรฝึก ด้วยวธิ ีละม่อมบ้าง รนุ แรงบ้าง ท้งั ละม่อมท้งั รนุ แรงบ้าง ภ. (พระผู้มพี ระภาคเจ้า) ดูก่อนเกสี ถ้าม้าทคี่ วรฝึกของท่านไม่เข้าถึง การฝึกหัดด้วยวิธีละม่อม ด้วยวิธีรุนแรง ด้วยวิธีท้ังละม่อมท้ังรุนแรง ท่านจะท�ำ อย่างไรกะมนั ก. (เกส)ี ขา้ พระองคก์ ฆ็ า่ มนั เสยี เลย เพราะคดิ วา่ โทษอยา่ ไดม้ แี กอ่ าจารย์ ของเราเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเป็นสารถีฝึกบุรุษชั้นเย่ียม พระองค์ทรงฝึกบุรษุ อย่างไร ภ. ดูก่อนเกสี เราย่อมฝึกบุรษุ ท่คี วรฝึกด้วยวิธีละม่อมบ้าง รุนแรงบ้าง ทง้ั ละมอ่ มทง้ั รนุ แรงบา้ ง วธิ ลี ะมอ่ ม คอื กายสจุ รติ เปน็ ดงั น้ี วบิ ากแหง่ กายสจุ รติ เปน็ ดงั นี้ ฯลฯ วิธรี นุ แรง คอื กายทจุ รติ เป็นดังนี้ วบิ ากแห่งกายทจุ ริตเป็นดังนี้ ฯลฯ วธิ ี ทงั้ ละมอ่ มทง้ั รนุ แรง คอื กายสจุ รติ เปน็ ดงั นี้ วบิ ากแหง่ กายสจุ รติ เปน็ ดงั นี้ กายทจุ รติ เป็นดงั นี้ วบิ ากแห่งกายทจุ ริตเป็นดงั นี้ ฯลฯ ก. ถ้าบรุ ษุ ท่ีควรฝึกของพระองค์ไม่เข้าถงึ การฝึกด้วยวธิ ีละม่อม ด้วย วิธีรนุ แรง ด้วยวธิ ที ้งั ละม่อมท้ังรนุ แรง พระผู้มพี ระภาคจะท�ำอย่างไรกะเขา ภ. ดกู ่อนเกสี เรากฆ็ ่าเขาเสยี เลย 1 กสิสูตร, สงั ยุตตนกิ าย สคาถวรรค, มก. เล่ม 25 ข้อ 671-676 หน้า 243-246. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 307 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ก. ปาณาติบาตไม่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเลย ไฉนพระองค์จึง ตรัสว่า ฆ่าเขาเสยี ฯ ภ. จรงิ เกสี ปาณาตบิ าตไมส่ มควรแกต่ ถาคต ตถาคตไมส่ �ำคญั บรุ ษุ นนั้ ว่า ควรว่ากล่าว ควรสง่ั สอน นีเ้ ป็นการฆ่าอย่างดใี นวนิ ยั ของพระอริยะ เรอื่ งนก้ี เ็ ชน่ กนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงเปรยี บการฝกึ คนของพระองค์ เหมอื นกบั การฝกึ มา้ จงึ ท�ำใหน้ ายเกสผี เู้ ชยี่ วชาญในการฝกึ มา้ เขา้ ใจธรรมะไดง้ า่ ยขน้ึ ดว้ ยเหตนุ น้ี ายเกสจี งึ กลา่ ววา่ ภาษติ ของพระองคแ์ จม่ แจง้ นกั เปรยี บเหมอื นหงายของ ทค่ี ว�่ำ เปิดของทีป่ ิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรอื ส่องประทปี ในท่ีมดื ข้าพระองค์น้ี ขอถงึ พระรัตนตรยั เป็นทพี่ ง่ึ ไปจนตลอดชวี ติ 1 2) แสดงธรรมโดยยึดตามจรติ ผู้ฟัง ในเวลาทีพ่ ระพุทธองค์จะสอนกรรมฐานแก่ภกิ ษทุ ัง้ หลายน้ัน พระองค์ จะทรงระลกึ ชาติภิกษรุ ปู นน้ั ๆ ก่อนว่า ในอดีตชาตภิ กิ ษรุ ปู นั้นเป็นใคร ส่งั สมนิสัย อย่างไรมามาก จะสอนกรรมฐานแบบไหนจึงจะบรรลุธรรมได้ ทรงสอนตามจริต อัธยาศยั เช่น เมื่อครัง้ ท่ีพระองค์จะสอนกรรมฐานแก่ภิกษรุ ปู หนง่ึ ซ่งึ พระสารีบุตร สอนกรรมฐานแลว้ ไมก่ า้ วหนา้ เพราะทา่ นคดิ วา่ ภกิ ษรุ ปู นเ้ี ปน็ พระหนมุ่ ปกตขิ องพระ หนุ่มจะมกี ามราคะรบเร้าให้เดือดร้อนใจ ท่านจงึ ให้พจิ ารณาอสุภกรรมฐาน แต่เมื่อ ภกิ ษนุ น้ั น�ำไปปฏบิ ตั ปิ รากฏวา่ ไมก่ า้ วหนา้ สดุ ทา้ ยจงึ น�ำไปกราบพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระพทุ ธองค์ก็ทรงระลึกชาติภกิ ษุรูปน้นั พบว่าท่านเคยเป็นช่างทองมาก่อน มีความ คุ้นเคยกับของสวยงามประณตี พระองค์จงึ เนรมิตดอกบวั ทองค�ำให้พจิ ารณา และ ดว้ ยเวลาเพยี งไมน่ านทภ่ี กิ ษรุ ปู นนั้ น�ำดอกบวั ไปเปน็ อารมณก์ รรมฐาน ทา่ นกไ็ ดบ้ รรลุ เป็นพระอรหันต์ในทส่ี ดุ 1 เกสีสตู ร, องั คตุ ตรนกิ าย จตกุ นิบาต, มก. เล่มท่ี 35 ข้อ 111 หน้า 298-300. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 308 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

นอกจากนย้ี งั มตี วั อยา่ งอกี หลายทา่ น เชน่ ชฎลิ สามพนี่ อ้ งเคยบชู าไฟมา ก่อน พระองค์จึงทรงเทศนาอาทิตตปริยายสูตรว่าด้วยธรรมท่ีแสดงถึงของร้อนแก่ ชฎลิ จนบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ กรณปี ัญจวคั คยี ์ทง้ั 5 ผ้ยู ดึ ตดิ กบั ลทั ธกิ ารทรมานตน เพราะคดิ วา่ เปน็ ทางตรสั รู้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ตรสั ธรรมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร โดย กล่าวถึงหนทางสายกลางท่ีไม่เข้าใกล้ทางสุดโต่ง ทั้ง 2 คือ อัตตกิลมถานุโยคคือ การทรมานตน และกามสุขัลลิกานุโยคหรือการปล่อยตนให้หลงใหลในกาม จน ท่านอญั ญาโกณฑญั ญะได้บรรลเุ ป็นพระโสดาบนั หรือกรณพี ระนันทะผู้มีราคะจรติ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงน�ำทา่ นไปสภู่ พดาวดงึ ส์ เพอื่ ไปดเู ทพนารที งั้ หลาย และทรง รบั ประกนั วา่ หากพระนนั ทะตงั้ ใจบ�ำเพญ็ สมณธรรม หากละโลกขณะทยี่ งั ไมห่ มดกเิ ลส ก็จะได้นางฟ้าเป็นภรรยา พระนนั ทะจึงตั้งใจบ�ำเพญ็ สมณธรรม และสดุ ท้ายกบ็ รรลุ เป็นพระอรหนั ต์ หมดความต้องการด้วยนางฟ้าไปโดยปรยิ าย จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ หลกั ในการสอนของพระพทุ ธองคน์ นั้ ถอื เป็นการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ครูโดยทั่วไปท�ำได้อย่างมากก็แค่การ วจิ ยั หรอื สอบถามพดู คยุ จงึ พอรไู้ ดบ้ า้ งวา่ ผเู้ รยี นเปน็ อยา่ งไร รไู้ ดเ้ พยี งขอ้ มลู ในชาติ นเ้ี ทา่ นนั้ แตพ่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงระลกึ ชาตไิ ด้ ทรงรถู้ งึ เรอื่ งราวในอดตี ชาตขิ อง สาวกสาวกิ าไดไ้ มม่ สี น้ิ สดุ ดว้ ยเหตนุ กี้ ารสอนของพระองคแ์ ตล่ ะครง้ั จงึ ท�ำใหม้ นษุ ย์ และเทวดาทงั้ หลายได้บรรลธุ รรมกันนับไม่ถ้วน 9.6.2 แสดงธรรมโดยยกหลักการและตวั อย่างประกอบ การเทศน์สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกน้ันมีทั้ง สว่ นทเี่ ปน็ หลกั การเปน็ ขอ้ ๆ และสว่ นทเ่ี ปน็ ตวั อยา่ งประกอบ หลกั การโดยสว่ นใหญ่ จะปรากฏอยู่ในพระสตุ ตนั ตปิฎก อังคตุ ตรนกิ าย เล่มท่ี 20-24 ว่าด้วยหลักธรรม เป็นข้อ ๆ ซง่ึ มีตงั้ แต่หลกั ธรรมท่ีมี 1 ข้อ ไปจนถงึ หลกั ธรรมทม่ี เี กนิ 10 ข้อ เช่น กัลยาณมิตตตา 1, กรรม 2, บุญกิริยาวัตถุ 3, อิทธิบาท 4, ศีล 5, ทิศ 6, สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 309 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

อปรหิ านยิ ธรรม 7, โลกธรรม 8, พุทธคณุ 9, กุศลกรรมบท 10, อายตนะ 12, ธุดงค์ 13, ธาตุ 18, อินทรยี ์ 22, โพธปิ ักขยิ ธรรม 37, และมงคล 38 เป็นต้น ส่วนตัวอย่างประกอบการเทศน์โดยส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในพระสุต- ตันตปิฎก ขุททกนิกาย เล่มท่ี 25-28 และเล่มท่ี 32-33 ซ่ึงว่าด้วยชาดก 550 เรอ่ื ง, วิมานวัตถุ 85 เรอื่ ง, เปตวตั ถุ 51 เร่อื ง, ธรรมบท 305 เรือ่ ง, และเร่ืองราวใน อปทาน 663 เร่อื ง รวมทง้ั หมดเป็น 1,654 เรอื่ ง 1 ทงั้ หมดนปี้ ระกอบด้วยประวตั กิ าร สรา้ งบารมขี องพระโพธสิ ตั วก์ อ่ นจะตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประวตั กิ ารสรา้ ง บารมขี องพระอรยิ สาวกสาวกิ าทงั้ หลาย และเรอื่ งการสง่ ผลของบญุ และบาปทม่ี นษุ ย์ เทวดาและเปรตทัง้ หลายท�ำไว้ในอดีตชาติ หลกั การและตวั อยา่ งนน้ั จะสนบั สนนุ เกอ้ื กลู ซง่ึ กนั และกนั หลกั การเปน็ ข้อ ๆ จะให้ความชดั เจนแก่ผู้ฟังในการน�ำไปปฏบิ ัติว่า จะต้องท�ำเป็นขั้นตอน 1 2 3 4 อย่างไรบ้าง การกล่าวธรรมโดยยกหลกั การเป็นข้อ ๆ จะท�ำให้ผู้ฟังเห็นภาพรวม ทง้ั หมด ง่ายต่อการจดจ�ำ และไม่หลงประเดน็ ส่วนตัวอย่างจะท�ำให้เกิดความเข้าใจ หลกั การชัดขน้ึ และสร้างแรงบนั ดาลใจในการปฏิบัติ มหี ลกั ฐานปรากฏวา่ วมิ านวตั ถุ 85 เรอื่ ง ซง่ึ เปน็ อานสิ งสแ์ หง่ บญุ ทเี่ หลา่ เทวดาได้กระท�ำไว้ในสมัยเป็นมนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอรหันตสาวกมีพระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น ได้ไปสนทนากับเทวดาเหล่าน้ัน แลว้ น�ำเรอ่ื งนมี้ าเลา่ ใหแ้ กม่ นษุ ยโ์ ลกฟงั เพอ่ื ใหเ้ กดิ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งบญุ โดย วันหน่ึง พระมหาโมคคัลลานะเกิดความคิดอย่างน้ีว่า มนุษย์ท้ังหลายพากันท�ำบุญ แลว้ ไปบงั เกดิ ในเทวโลกเสวยสมบตั อิ นั โอฬาร ถา้ เราจารกิ ไปในเทวโลก ท�ำเทวดาเหลา่ นั้นเป็นประจักษ์พยาน ให้กล่าวบุญตามท่ีพวกเขาสร้างสมไว้ และผลบุญตามท่ีได้ 1 สชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ (2539) พระไตรปิฎก ฉบบั ประชาชน หน้า 611, 614, 627 และมหาจฬุ าลงกรณ์- ราชวิทยาลัย (2540) พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มท่ี 25 หน้า 23, เล่มที่ 33 หน้า 7-8. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 310 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

ประสบ แล้วกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็จะทรงแสดงผล กรรมให้ประจกั ษ์ชัดแก่มนษุ ย์ท้งั หลาย จะทรงช้คี วามที่บญุ แม้ประมาณน้อย กย็ งั มี ผลโอฬาร พระธรรมเทศนานนั้ กจ็ ะเปน็ ประโยชนเ์ กอื้ กลู แกเ่ ทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เป็นอนั มาก 1 นอกจากการสรา้ งแรงบนั ดาลใจในการท�ำความดดี ว้ ยการเลา่ ประวตั กิ าร สรา้ งบารมขี องพระโพธสิ ตั ว์ พระอรยิ สาวกสาวกิ า และผลแหง่ บญุ และบาปแลว้ ยงั พบว่าการประกาศแต่งตง้ั “เอตทคั คะ” คอื ต�ำแหน่งผ้เู ลศิ ด้านตา่ ง ๆ ทา่ มกลางพทุ ธ- บริษัท ก็เป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างบุญได้อย่างดีย่ิง การแต่งต้ัง “เอตทคั คะ” โดยพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า เป็นการยกย่อง “บุคคลตวั อย่าง” ให้ปรากฏ แกม่ หาชน หลายตอ่ หลายคนเมอื่ ไดเ้ หน็ ตน้ แบบทดี่ นี น้ั แลว้ กไ็ ดต้ งั้ ความปรารถนาวา่ ขอใหเ้ ราไดเ้ ปน็ ดงั เชน่ ภกิ ษภุ กิ ษณุ ผี ้ไู ดร้ บั การยกยอ่ งนนั้ บ้างในภายภาคหนา้ ซง่ึ จาก ประวตั ิการสร้างบารมีของพระสาวกสาวิกาท่ีเป็น “เอตทคั คะ” ด้านต่าง ๆ ทกุ รปู น้นั พบว่า มจี ดุ เรมิ่ ต้นการสร้างบารมจี ากการเหน็ บคุ คลตวั อยา่ งแบบนที้ งั้ สนิ้ ดว้ ยเหตนุ ี้ การแสดงธรรมโดยยกตัวอย่างประกอบจะท�ำให้ผู้ฟังมีแรงบันดาลใจในการปฏิบัติ ตามมากข้นึ 9.6.3 แสดงธรรมโดยใช้อุปมาอปุ ไมยประกอบ ค�ำว่า “อุปมา” หมายถงึ สงิ่ หรือข้อความท่ียกมาเปรยี บเทียบ มกั ใช้เข้า คกู่ บั อปุ ไมยในประโยค เชน่ เรอ่ื งนมี้ อี ปุ มาฉนั ใด อปุ ไมยกฉ็ นั นนั้ สว่ นค�ำวา่ “อปุ ไมย” หมายถงึ สิ่งหรอื ข้อความที่พงึ เปรยี บเทยี บกบั สิง่ อืน่ เพ่ือให้เข้าใจแจ่มแจ้ง 2 จากความหมายของค�ำวา่ อปุ มาและอปุ ไมย ขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ จดุ ประสงคส์ �ำคญั ของการพดู โดยใชอ้ ปุ มาอปุ ไมย คอื “เพอ่ื ใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจแจม่ แจง้ ” เพราะโดยหลกั แลว้ 1 ปรมัตถทปี น,ี อรรถกถาขทุ ทกนิกาย วมิ านวตั ถุ, มก. เล่ม 48 หน้า 5-7. 2 ราชบัณฑิตยสถาน (2525). พจนานกุ รม (ฉบบั อเิ ล็กทรอนกิ ส์). สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 311 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

การท่ีมนษุ ย์จะเข้าใจในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงซ่ึงเป็นความรู้ใหม่ท่ีตนไม่เคยศึกษามาก่อน ผสู้ อนจ�ำเปน็ ตอ้ งยกตวั อยา่ งเรอ่ื งตา่ ง ๆ ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั ซงึ่ ผเู้ รยี นเคยมปี ระสบการณ์ มาเปรยี บเทียบ จึงจะท�ำให้ผู้เรยี นเข้าใจในเร่ืองใหม่นัน้ ได้ง่ายขนึ้ หากหาตวั อย่างท่ี คล้าย ๆ กนั มาเปรยี บเทยี บไม่ได้ กใ็ ห้ยกตวั อย่างทต่ี รงกนั ข้ามมาเปรียบเทยี บ เช่น มนษุ ยเ์ ขา้ ใจและตระหนกั ถงึ ความดมี ากขน้ึ เมอื่ มสี ง่ิ ทช่ี วั่ รา้ ยมาเปรยี บเทยี บ เราเรยี ก ช่วงเวลาทีพ่ ระอาทติ ย์ข้ึนจนถงึ พระอาทิตย์ตกว่าเป็น “กลางวัน” เพราะมันต่างจาก ตอน “กลางคืน” ทไี่ ม่มแี สงอาทิตย์ เป็นต้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรสั ว่า “ธรรมท่ีเราได้บรรลุแล้วนล้ี ึกซ้งึ เหน็ ได้ ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณตี ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรกะ ละเอยี ด บัณฑิตเท่านนั้ จึง จะรู้ได้...” เพราะพระธรรมค�ำสอน โดยส่วนใหญ่เป็นเร่ืองภายในจิตใจ เช่น เรื่อง อวชิ ชา กิเลส ตณั หา ศรัทธา สมาธิ ปัญญา เป็นต้น ค�ำสอนเหล่านี้ไม่อาจจะมอง เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ด้วยเหตุน้ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงจ�ำเป็นต้องสอนโดยใช้อุปมา อปุ ไมยเปรยี บเทยี บเรอื่ งเหลา่ นก้ี บั สงิ่ ตา่ ง ๆ ทพี่ ทุ ธบรษิ ทั สามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตา เนอื้ หรอื เปรียบเทยี บกบั พื้นฐานความรู้เดิมของผู้ฟัง จึงจะท�ำให้เกดิ การเข้าใจอย่าง แจม่ แจง้ ได้ ดงั ค�ำกลา่ วทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และพระอรยิ สาวกมกั พดู ถงึ กอ่ นการ ยกอปุ มาขนึ้ แสดงวา่ “วญิ ญชู นหรอื คนฉลาดบางพวกในโลกนย้ี อ่ มเขา้ ใจความหมาย แห่งถ้อยค�ำได้ด้วยอุปมาโวหาร” จากการค้นข้อมลู ในพระไตรปิฎกภาษาไทย 45 เล่มด้วยคอมพิวเตอร์ พบค�ำว่า “อปุ มา, อุปไมย, เปรยี บเหมือน, เปรยี บด้วย, เปรียบเทียบ, ฉันใด และ ฉันนน้ั ” รวม ๆ กันประมาณ 4,219 หน้า จงึ ชใี้ ห้เหน็ ว่า การพูดการเทศน์การสอน โดยใช้วิธีอุปมาอุปไมยนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสาวกให้ความส�ำคัญ มาก พระพทุ ธองค์ทรงอปุ มาร่างกายดจุ เมอื งบ้าง ดจุ จอมปลวกบ้าง เปรียบปัญญา ดจุ ศสั ตรา เปรียบพรหมจรรย์ดุจต้นไม้ ธรรมดุจแพ อุปมามรรคมีองค์ 8 ดุจยาน วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 312 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

อันประเสริฐ กิเลสเปรียบเหมือนสนิม กรรมดุจไร่นา เปรียบวิญญาณเหมือนพืช บาปกรรมเปรยี บดจุ กอ้ นเกลอื อปุ มาสตั วโ์ ลกดว้ ยดอกบวั 3 เหลา่ เปน็ ตน้ ดงั ตวั อยา่ ง ต่อไปนี้ ตัวอย่างอปุ มาเร่ืองจอมปลวกปริศนา ครัง้ หนึ่ง พระกมุ ารกสั สปะพกั อยู่ท่ปี ่าอันธวนั เทวดาองค์หนึง่ เข้าไปหาท่าน ได้กล่าวกบั ท่านว่า “พระคุณเจ้า จอมปลวกน้ยี ่อมพ่นควันในเวลากลางคืน ย่อมลกุ โพลงในเวลากลางวนั ” พราหมณ์ได้กล่าวอย่างน้วี ่า ‘สุเมธ เธอจงน�ำศสั ตราไปขดุ ดู’ สุเมธใช้ศสั ตราไปขุดก็ได้เหน็ “ล่ิมสลกั ” พราหมณ์กล่าวว่า ‘สุเมธ เธอจงยกลมิ่ สลกั ขน้ึ แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สเุ มธใช้ศสั ตราขดุ ลงไปกไ็ ด้เห็น “อง่ึ ” พราหมณ์กล่าวว่า ‘สุเมธ เธอจงน�ำอ่งึ ขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สเุ มธใช้ ศสั ตราขดุ ตอ่ ไปไดเ้ หน็ “ทางสองแพรง่ ” พราหมณก์ ลา่ ววา่ ‘สเุ มธ เธอจงถากทางสอง แพร่งออกเสยี แล้วใช้ศสั ตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศสั ตราขุดต่อไปได้เหน็ “หม้อกรอง นำ้� ด่าง” พราหมณ์กล่าวว่า ‘สเุ มธ เธอจงยกหม้อกรองนำ�้ ด่างขนึ้ มา แลว้ ใชศ้ สั ตราขดุ ต่อไป’ สุเมธใช้ศสั ตราขุดต่อไปได้เห็น “เต่า” พราหมณ์กล่าวว่า ‘สุเมธ เธอจงน�ำเต่า ขึ้นมา แล้วใช้ศัสตราขุดต่อไป’ สุเมธใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็น “เขียงห่ันเนื้อ” พราหมณก์ ลา่ ววา่ ‘สเุ มธ เธอจงยกเขยี งหนั่ เนอ้ื ขนึ้ มา แลว้ ใชศ้ สั ตราขดุ ตอ่ ไป’ สเุ มธ ใช้ศัสตราขุดต่อไปได้เห็น “ชิน้ เน้อื ” พราหมณ์กล่าวว่า ‘สุเมธ เธอจงหยบิ ช้ินเนือ้ ข้นึ มา แล้วใช้ศสั ตราขดุ ต่อไป’ สุเมธใช้ศสั ตราขุดต่อไปได้เหน็ “นาค” พราหมณ์กล่าว ว่า ‘นาคจงด�ำรงอยู่เถดิ อย่าเบยี ดเบียนนาคเลย จงท�ำความนอบน้อมนาค’ จากน้นั เทวดาได้กล่าวอกี ว่า พระคณุ เจ้า ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มพี ระภาค แล้วทลู ถามปัญหาทัง้ 15 ข้อนี้ เพราะในโลกพร้อมทัง้ เทวโลก มารโลก พรหมโลก สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 313 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ในหมู่สัตว์พร้อมท้ังสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ยกเว้นพระตถาคตหรือสาวก ของพระตถาคต หรือบคุ คลผู้ฟังจากส�ำนักของข้าพเจ้านเ้ี สียแล้ว ข้าพเจ้ายงั ไม่เห็น บคุ คลทจ่ี ะตอบค�ำถามนไ้ี ด้ถูกต้อง เทวดานน้ั ได้กล่าวค�ำนแี้ ล้วกอ็ นั ตรธานไปจากที่ นน้ั ทา่ นพระกมุ ารกสั สปะจงึ ไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคถงึ ทปี่ ระทบั ไดก้ ราบทลู เรอ่ื ง น้ันและทูลถามว่า 1. อะไรหนอ ชอ่ื ว่า จอมปลวก 2. อย่างไร ชอ่ื ว่า การพ่นควนั ในเวลากลางคืน 3. อย่างไร ชอ่ื ว่า การลกุ โพลงในเวลากลางวนั 4. ใคร ช่อื ว่า พราหมณ์ 5. ใคร ช่อื ว่า สุเมธ 6. อะไร ช่อื ว่า ศสั ตรา 7. อย่างไร ช่อื ว่า การขดุ 8. อะไร ช่อื ว่า ลม่ิ สลัก 9. อะไร ชอ่ื ว่า อง่ึ 10. อะไร ชอ่ื ว่า ทางสองแพร่ง 11. อะไร ช่อื ว่า หม้อกรองน�ำ้ ด่าง 12. อะไร ช่อื ว่า เต่า 13. อะไร ช่อื ว่า เขยี งหั่นเนอื้ 14. อะไร ชอ่ื ว่า ช้นิ เนือ้ 15. อะไร ช่อื ว่า นาค วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 314 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

พระผู้มีพระภาคตรสั ตอบว่า 1. ค�ำวา่ จอมปลวก เปน็ ชอื่ ของ “รา่ งกาย” น้ี ซงึ่ ไมเ่ ทยี่ ง จะตอ้ งแตกสลาย และกระจดั กระจายไปเป็นธรรมดา 2. การพ่นควันในเวลากลางคืน คือ “การทบี่ ุคคลท�ำการงานในเวลากลาง วัน แล้วตรึกตรองถงึ ในเวลากลางคนื ” หมายถึง การคิดวิตกกงั วลใจ เรอ่ื งงานต่าง ๆ 3. การลุกโพลงในเวลากลางวัน คือ “การทบี่ คุ คลตรึกตรองถึงบ่อย ๆ ใน เวลากลางคนื แลว้ ประกอบการงานในเวลากลางวนั ดว้ ยกายและวาจา” 4. ค�ำว่า พราหมณ์ เป็นชื่อของ “ตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจ้า” 5. ค�ำว่า สุเมธ เป็นช่ือของ “ภิกษุผู้เป็นเสขะ หรือภิกษุท่ียังไม่เป็น พระอรหนั ต์” 6. ค�ำว่า ศสั ตรา เป็นชอ่ื ของ “ปัญญาอันประเสรฐิ ” 7. ค�ำว่า จงขดุ เป็นช่อื ของ “การปรารภความเพยี ร” 8. ค�ำวา่ ลม่ิ สลกั เปน็ ชอื่ แหง่ “อวชิ ชา” ซงึ่ อธบิ ายวา่ สเุ มธเธอจงใชศ้ สั ตรา คอื ปัญญายกล่ิมสลกั ขึน้ หมายถึง “จงใช้ปัญญาละอวิชชาเสยี ” 9. ค�ำว่า อง่ึ เป็นชือ่ ของ “ความคับแค้นใจ” เนอ่ื งมาจากความโกรธ ซง่ึ อธิบายว่า สเุ มธ เธอจงใช้ศสั ตรา คอื ปัญญาน�ำอ่งึ ข้ึนมา คือ “จงละ ความคับแค้นใจเนือ่ งจากความโกรธ” 10. ค�ำว่า ทางสองแพร่ง เป็นชอ่ื แห่ง “วิจกิ ิจฉาหรือความลงั เลสงสยั ” ไม่รู้ วา่ ตดั สนิ ใจเลอื กทางไหนดี ความสงสยั จงึ ชอ่ื วา่ ทางสองแพรง่ และความ สงสยั น้ันสามารถละได้ด้วยปัญญา คือ ความรู้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 315 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

11. ค�ำว่า หม้อกรองน�ำ้ ด่าง เป็นชือ่ แห่ง “นิวรณ์ 5 ประการ” คือ กามฉนั ทนิวรณ์ ส่งิ ทก่ี นั้ จิต คอื ความพอใจในกาม พยาบาทนิวรณ์ สง่ิ ท่กี ั้นจติ คือ ความขดั เคอื งใจ ถนี มทิ ธนวิ รณ์ สง่ิ ที่กั้นจติ คือ ความหดหู่และเซื่องซึม อทุ ธจั จกุกกุจจนวิ รณ์ สง่ิ ที่กัน้ จิต คอื ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ วิจกิ จิ ฉานวิ รณ์ สง่ิ ที่กนั้ จิต คอื ความลงั เลสงสยั ซงึ่ อธบิ ายไดว้ า่ สเุ มธ เธอจงใชศ้ สั ตรา คอื ปญั ญา ยกหมอ้ กรอง นำ�้ ด่างข้ึนมา คอื “จงละนิวรณ์ 5 ประการ จงขดุ มนั เสีย” 12. ค�ำว่า เต่า นัน้ เป็นชอ่ื แห่งอปุ าทานขันธ์ 5 ประการ คอื รปู ปู าทานขนั ธ์ อุปาทานขนั ธ์ คอื รปู เวทนูปาทานขนั ธ์ อปุ าทานขนั ธ์ คอื เวทนา สัญญูปาทานขันธ์ อปุ าทานขนั ธ์ คือ สัญญา สังขารปู าทานขนั ธ์ อปุ าทานขนั ธ์ คือ สังขาร วญิ ญาณูปาทานขนั ธ์ อุปาทานขนั ธ์ คอื วิญญาณ ซึ่งอธิบายได้ว่า “สุเมธ เธอจงใช้ศัสตรา คอื ปัญญา น�ำเต่าขึ้น มา คือ จงละอุปาทานขันธ์ 5 ประการ จงขุดมันเสยี ” 13. ค�ำว่า เขยี งหนั่ เนอ้ื เปน็ ชอื่ แห่ง “กามคณุ 5 ประการ” คอื รปู ทเ่ี หน็ ดว้ ย ตา ทนี่ า่ ปรารถนา นา่ ใคร่ นา่ พอใจ ชวนใหร้ กั ชกั ใหใ้ คร่ พาใจใหก้ �ำหนดั เสยี งทรี่ บั รดู้ ว้ ยหู ฯลฯ กลนิ่ ทรี่ บั รดู้ ว้ ยจมกู ฯลฯ รสทรี่ บั รดู้ ว้ ยลนิ้ ฯลฯ โผฏฐพั พะที่รับรู้ด้วยกาย ฯลฯ กามคณุ 5 น้ีจึงเป็นดจุ เขียงส�ำหรับหน่ั ผู้ท่ีไปยดึ ตดิ กบั มันให้พนิ าศไปจากคณุ ความดี กามคณุ 5 นส้ี ามารถ ละได้ด้วยการใช้ปัญญาเป็นเครอื่ งพจิ ารณาเช่นกนั วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 316 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

14. ค�ำว่า ชิ้นเนื้อ เป็นชือ่ แห่ง “นันทริ าคะ คือ ความก�ำหนัด” เมอื่ กามคณุ 5 ผ่านเข้ามาทางตา หู จมกู เปน็ ต้น หากเราเกดิ ความก�ำหนดั ยนิ ดเี ขา้ กบั กามคุณน้ัน ตัวเราก็ไม่ต่างกับช้ินเน้ือที่พร้อมจะถูกห่ันบนเขียง คือ กามคุณ 5 นั้น ความก�ำหนัดนี้สามารถละได้ด้วยการใช้ปัญญาเป็น เครื่องพจิ ารณาเช่นกัน 15. ค�ำว่า นาค เป็นช่ือของ “พระอรหันต์” ซ่งึ อธบิ ายได้ว่า เมือ่ ภิกษุผู้เสขะ หรอื ผทู้ ยี่ งั ไมห่ มดกเิ ลส สามารถละนนั ทริ าคะไดแ้ ลว้ เมอื่ นน้ั กจ็ ะไดเ้ ปน็ พระอรหันต์หลุดพ้นจากทกุ ข์ทั้งปวง 1 จากเร่ืองน้ีแสดงให้เห็นว่าเป็นการอุปมาศัพท์ธรรมะที่ลึกซ้ึงด้วยภาษา พืน้ บ้านทีค่ นรู้จกั กนั ท่ัวไป แม้บางศัพท์ผู้อ่านอาจไม่ค่อยเข้าใจเพราะพ้ืนฐานความรู้ ต่างกับพระกุมารกัสสปะมาก แต่โดยภาพรวมแล้วจะชี้ให้เห็นว่า ลักษณะการสอน ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธสาวกเป็นแบบน้ี คือ อุปมาสิ่งท่ียากด้วย ภาษาพ้ืนบ้าน 9.6.4 แสดงธรรมโดยใช้สื่อการสอนประกอบ ภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “ภาพ 1 ภาพ แทนค�ำพูดได้ 1 พันค�ำ” ภาษิตนี้ เปน็ จรงิ อยา่ งไมต่ อ้ งสงสยั ผอู้ า่ นทกุ ทา่ นกค็ งเขา้ ใจกนั ดี หากเอาภาพใหเ้ ขาดู ใชเ้ วลา เพยี งไมก่ วี่ นิ าทเี ขากร็ แู้ ลว้ วา่ สง่ิ ทเี่ ราตอ้ งการสอ่ื ใหเ้ ขารคู้ อื อะไร แตถ่ า้ ตอ้ งอธบิ ายดว้ ย ค�ำพูดล้วน ๆ โดยไม่มีภาพหรือไม่มีส่ือประกอบต้องใช้เวลานานกว่านั้นมาก และ โอกาสที่ผู้ฟังจะเข้าใจไม่ตรงกันนั้นมีมาก เพราะค�ำพูดแต่ละค�ำสามารถตีความได้ หลากหลาย แต่ถ้าใช้ภาพใช้สือ่ ประกอบจะประจักษ์ชดั แก่สายตาของทกุ คน พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เองกท็ รงตระหนกั ถงึ เรอื่ งนเี้ ชน่ เดยี วกนั จากหลกั ฐานในพระไตรปิฎกพบอยู่บ่อยคร้งั ว่า พระพุทธองค์ทรงใช้สื่อต่าง ๆ ประกอบการ 1 วัมมกิ สตู ร, มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปัณณาสก์ โอปัมมวรรค, มจร. เล่ม 12 ข้อ 249-251 หน้า 267-273. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 317 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

เทศน์ควบคู่ไปกบั การใช้อุปมาด้วย แม้จะไม่ได้ใช้ทกุ ครงั้ กต็ าม ทงั้ น้ีขึ้นอยู่กับเวลา และสถานท่ีจะอ�ำนวย โดยสื่อและอุปกรณ์ท่ีทรงใช้น้ันส่วนมากเป็นส่ิงใกล้ตัว เช่น เม่ือเสด็จจาริกไปเจอ “กองไฟ” อยู่ข้างทางก็ทรงใช้กองไฟน้ันเป็นสื่อการสอนบ้าง ทรงใช้ “ขอนไม้” ทีล่ อยมาตามน�้ำบ้าง ใช้ “กลุ่มฟองน�้ำ” บ้าง ใช้ “น�้ำล้างพระบาท” บ้าง ใช้ “ก้อนหนิ ” เป็นสื่อการสอนบ้าง เป็นต้น ซ่งึ จะได้ยกตัวอย่างดงั ต่อไปน้ี 1. ใช้ “ขอนไม้” เป็นสื่อการแสดงธรรม สมัยหนงึ่ พระผู้มีพระภาคประทบั อยู่ทฝ่ี ั่งแม่น้ำ� คงคา เขตกรุงโกสัมพี ทรงทอดพระเนตรเหน็ ขอนไมใ้ หญ่ ลอยมาตามกระแสแมน่ ำ�้ คงคา จงึ รบั สงั่ เรยี กภกิ ษุ ท้งั หลายมาตรัสถามว่า “ภิกษุทงั้ หลาย เธอท้ังหลายเห็นขอนไม้ใหญ่โน้นทล่ี อยมา ตามกระแสแม่นำ้� คงคาหรือไม่” ภกิ ษุทัง้ หลายกราบทลู ว่า “เหน็ พระพทุ ธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ถ้าขอนไม้จะไม่ลอยเข้ามาใกล้ฝั่งนี้ ไม่ลอย เข้าไปใกล้ฝั่งโน้น ไม่จมกลางแม่น้ำ� ไม่เกยตน้ื ไม่ถกู มนุษย์น�ำไป ไม่ถูกอมนุษย์น�ำ ไป ไม่ถกู เกลยี วน้ำ� วนดดู ไว้ ไม่ผุภายใน ขอนไม้นนั้ ก็จักลอยไปสู่สมทุ รได้ เพราะ กระแสน�้ำคงคาไหลไปสู่สมทุ ร ถ้าเธอทั้งหลายจะไม่เข้ามาใกล้ฝั่งนี้ ไม่เข้าไปใกล้ฝั่งโน้น ไม่จมใน ท่ามกลาง ไม่เกยตืน้ ไม่ถูกมนุษย์จับไว้ ไม่ถูกอมนษุ ย์เข้าสงิ ไม่ถกู เกลยี วน้ำ� วนดูด ไว้ ไมเ่ ปน็ ผเู้ นา่ ภายใน เธอทงั้ หลายกจ็ กั นอ้ มไปสนู่ พิ พาน เพราะสมั มาทฏิ ฐยิ อ่ มนอ้ ม ไปสู่นพิ พาน” ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ทลู ถามวา่ “อะไรชอื่ วา่ ฝง่ั น้ี อะไรชอ่ื วา่ ฝง่ั โนน้ อะไรชอ่ื วา่ การ จมในทา่ มกลาง อะไรชอ่ื วา่ การเกยตน้ื การถกู มนษุ ยจ์ บั ไวเ้ ปน็ อยา่ งไร การถกู อมนษุ ย์ เขา้ สงิ เปน็ อยา่ งไร การถกู เกลยี วนำ�้ วนดดู ไวเ้ ปน็ อยา่ งไร ความเนา่ ภายในเปน็ อยา่ งไร” วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 318 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรสั ว่า ค�ำว่า “ฝั่งน้ี” เป็นชอ่ื ของ “อายตนะภายใน 6” คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ค�ำว่า “ฝั่งโน้น” เป็นชอ่ื ของ “อายตนะภายนอก 6” คอื รูป เสียง กลน่ิ รส สัมผัส และธรรมารมณ์ คอื อารมณ์ทเ่ี กิดข้ึนกับใจ ค�ำว่า “การจมในท่ามกลาง” เป็นชื่อของ “นันทริ าคะ คอื ความก�ำหนัด ด้วยความยนิ ดี” ค�ำว่า “การเกยต้ืน” เป็นชอ่ื ของ “การถอื ตวั ” “การถูกมนุษย์จับไว้” คอื “ภกิ ษุในธรรมวินัยน้ีอยู่คลกุ คลี เพลดิ เพลิน เศร้าโศก กบั พวกคฤหสั ถ์ เมอ่ื เขาสขุ กส็ ขุ ด้วย เมอ่ื เขาทกุ ข์กท็ กุ ขด์ ้วย เมอื่ เขามกี จิ ก็ ช่วยท�ำกิจน้ันด้วยตนเอง” “การถูกอมนุษย์เข้าสิง” คือ “ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ประพฤติ พรหมจรรย์โดยปรารถนาว่า ด้วยพรหมจรรย์น้ี เราจักเป็นเทวดาหรือเทพเจ้าตนใด ตนหนึง่ ” “การถกู เกลยี วนำ้� วนดดู ไว”้ เปน็ ชอ่ื ของ “กามคณุ 5” คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส และสมั ผสั “ความเน่าภายใน” คือ “ภิกษบุ างรปู ในธรรมวินยั นเ้ี ป็นคนทุศลี ไม่ใช่ สมณะแต่ปฏญิ าณว่าเป็นสมณะ เน่าภายใน ชุ่มด้วยราคะเป็นเหมอื นหยากเยือ่ ” ในขณะนน้ั นายนันทโคบาลยนื อยู่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค เขาได้ กราบทูลว่า “ข้าพระองค์จักไม่เข้ามาใกล้ฝั่งนี้ จักไม่เข้าไปใกล้ฝั่งโน้น จักไม่จมใน ทา่ มกลาง จกั ไมเ่ กยตน้ื จกั ไมถ่ กู มนษุ ยจ์ บั ไว้ จกั ไมถ่ กู อมนษุ ยเ์ ขา้ สงิ จกั ไมถ่ กู เกลยี ว น�้ำวนดูดไว้ จักไม่เป็นผู้เน่าภายใน ข้าพระองค์พงึ ได้บรรพชาอุปสมบทในส�ำนกั ของ พระผมู้ พี ระภาค” พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “นนั ทะ ถา้ อยา่ งนนั้ เธอจงมอบโคใหเ้ จา้ ของ เขาเถิด” สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 319 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

เมอื่ นายนนั ทโคบาลมอบโคใหแ้ กเ่ จา้ ของแลว้ เขากไ็ ดบ้ รรพชาอปุ สมบท ในส�ำนักของพระผู้มีพระภาค ต่อมาไม่นานท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในพระพทุ ธศาสนา 1 ตัวอย่างนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ขอนไม้เป็นส่ือในการสอนธรรม ท�ำให้ภิกษุท้ังหลายตรองตามธรรมท่ีพระองค์สอนได้ชัดเจน เห็นภาพอย่างแจ่มชัด แมแ้ ตค่ นเลย้ี งโคซง่ึ ปกตมิ คี วามรนู้ อ้ ยยงั เขา้ ใจธรรมะทลี่ กึ ซงึ้ ได้ สามารถสรปุ ใจความ ส�ำคัญของธรรมะท่ีพระพุทธองค์สอนได้ เพราะการสอนโดยใช้สื่อเปรียบเทียบของ พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้านน่ั เอง 2. ใช้ “น้�ำล้างพระบาท” เป็นส่ือการแสดงธรรม สมยั หนงึ่ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระเวฬวุ นั ในเวลาเยน็ พระ- ผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไปหาพระราหุล เม่ือพระราหุลเห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมา แต่ไกล จงึ ปลู าดอาสนะ และตั้งน�ำ้ ส�ำหรับล้างพระบาทไว้ พระพทุ ธองค์ประทบั นัง่ บนพทุ ธอาสน์แล้วทรงล้างพระบาท พระผู้มีพระภาคทรงเหลือน�้ำหน่อยหน่ึงไว้ในภาชนะน�้ำแล้วรับสั่งเรียก พระราหลุ มา ตรัสว่า “ราหลุ เธอเหน็ น�ำ้ ที่เหลอื อยู่หน่อยหนงึ่ ในภาชนะนไี้ หม” ร. (พระราหุล) “เห็น พระพทุ ธเจ้าข้า” ภ. (พระผ้มู พี ระภาค) “ราหลุ ความเปน็ สมณะของบคุ คลทก่ี ล่าวเทจ็ ทงั้ ที่รู้ ก็มอี ยู่หน่อยหนง่ึ เหมือนน�้ำน”้ี จากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเทนำ้� ทีเ่ หลอื หน่อย หนง่ึ ท้ิง แล้วตรสั กบั ท่านพระราหลุ ว่า “ราหุล เธอเหน็ น้ำ� หน่อยหนึง่ ท่เี ราเททิง้ ไหม” ร. “เห็น พระพทุ ธเจ้าข้า” ภ. “ราหุล ความเป็นสมณะของบคุ คลทีก่ ล่าวเท็จทั้งทีร่ ู้ ก็มีอยู่หน่อย หน่ึงเหมอื นน�ำ้ นี้” 1 ปฐมทารกุ ขันโธปมสูตร, สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค, มจร. เล่ม 18 ข้อ 241 หน้า 242-245. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 320 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

จากน้ัน พระผู้มีพระภาคทรงคว่ำ� ภาชนะนำ้� นน้ั แล้วตรัสกบั พระราหุล ว่า “ราหุล เธอเหน็ ภาชนะน้ำ� ที่คว่ำ� นไี้ หม” ร. “เหน็ พระพุทธเจ้าข้า” ภ. “ราหลุ ความเปน็ สมณะของบคุ คลทกี่ ลา่ วเทจ็ ทงั้ ทร่ี ู้ กเ็ หมอื นภาชนะ น�ำ้ ท่คี ว่ำ� น”ี้ 1 จากเรอื่ งนพี้ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงเปรยี บความเปน็ สมณะดว้ ยปรมิ าณ นำ�้ ในภาชนะ กลา่ วคอื หากนำ�้ มมี ากกแ็ สดงวา่ ความเปน็ สมณะมมี าก แตถ่ า้ นำ้� มนี อ้ ย แสดงว่าความเป็นสมณะมีน้อย ซ่ึงท�ำให้พระราหุลเข้าใจธรรมท่ีลึกซ้ึงน้ันได้ง่ายข้ึน และการสอนโดยใชส้ อื่ นย้ี งั จะท�ำใหผ้ ฟู้ งั เกดิ ความซาบซงึ้ และประทบั ในใจไดม้ ากกวา่ การพูดโดยทั่วไป 3. ใช้ “ก้อนหิน” เป็นสื่อการแสดงธรรม ครั้งหน่ึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า คนพาลผู้ ประพฤตกิ ายทจุ รติ ประพฤติวจที จุ ริต ประพฤติมโนทุจริต หลงั จากตายแล้วจะไป เกิดในอบาย ทคุ ติ วินิบาต และนรก ความทกุ ข์ในโลกน้ีกับความทุกข์ในนรกน้ัน เปรยี บเทยี บกันไม่ได้ ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ไดก้ ราบทลู วา่ “พระองคจ์ ะทรงอปุ มาไดห้ รอื ไม่ พระเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “ได้ ภกิ ษ”ุ แลว้ ตรสั วา่ “เปรยี บเหมอื นราชบรุ ษุ จบั โจรไดแ้ ลว้ ” จงึ แสดง แกพ่ ระราชาวา่ “ผนู้ เ้ี ปน็ โจร ขอพระองคจ์ งทรงลงพระอาญา เถดิ ” พระราชามีพระกระแสรับส่ังว่า “ท่านจงประหารบุรุษนี้ด้วยหอก 100 เล่ม ในเวลาเช้า” ราชบรุ ุษกป็ ระหารบุรุษคนน้นั ด้วยหอก 100 เล่มในเวลาเช้า ต่อมา 1 จฬู ราหุโลวาทสตู ร, มัชฌิมนกิ าย มัชฌิมปัณณาสก์ ภกิ ขวุ รรค, มจร. เล่ม 13 ข้อ 107 หน้า 117. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 321 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ในเวลาเที่ยง พระราชาทรงถามว่า “บุรุษน้ันเป็นอย่างไรบ้าง” ราชบุรุษกราบทูลว่า “เขายังมชี ีวติ อยู่ พระเจ้าข้า” พระราชาจงึ มพี ระกระแสรบั สงั่ ใหร้ าชบรุ ษุ ประหารบรุ ษุ คนนนั้ ดว้ ยหอก อีก 100 เล่มในเวลาเท่ยี งวนั ต่อมาในเวลาเยน็ พระราชาทรงถามอีกว่า “บรุ ุษคนนั้น เปน็ อยา่ งไรบา้ ง” ราชบรุ ษุ กราบทลู วา่ “เขายงั มชี วี ติ อยู่ พระเจา้ ขา้ ” พระราชาจงึ มพี ระ กระแสรบั สั่งให้ราชบรุ ุษประหารบรุ ษุ คนนน้ั ด้วยหอกอกี 100 เล่มในเวลาเย็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรสั ว่า “บุรุษน้นั ถกู ประหารด้วยหอก 300 เล่ม พึงเสวยทุกข์บ้างไหม” ภิกษุท้ังหลายกราบทูลว่า “บุรุษน้ันแม้ถูกประหารด้วยหอก 1 เล่ม ยังได้เสวยทุกข์เป็นอันมาก ไม่จ�ำต้องกล่าวถึงการถูกประหารด้วยหอกต้ัง 300 เล่ม พระพทุ ธเจ้าข้า” จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจงึ ทรงหยบิ “ก้อนหนิ ” ขนาดเท่าฝ่ามือขึน้ มา แล้วตรสั ว่า “ภิกษทุ งั้ หลาย ก้อนหินขนาดเท่าฝ่ามอื น้กี ับขุนเขาหิมพานต์ อย่าง ไหนใหญ่กว่ากนั ” ภิกษุท้ังหลายกราบทลู ว่า “ก้อนหนิ นี้ มีประมาณน้อยนัก เปรยี บเทยี บ กับขุนเขาหิมพานต์แล้ว ไม่ถงึ แม้ส่วนแห่งเสย้ี ว ไม่อาจเทยี บกันได้ พระพุทธเจ้าข้า” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย ความทุกข์ที่บุรุษนั้นถูก ประหารด้วยหอก 300 เล่มนั้น เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ทุกข์แห่งนรกแล้ว ไม่ถงึ แม้ส่วน แห่งเสย้ี ว ไม่อาจเทียบกนั ได้ มหานรกนั้นมี 4 มมุ 4 ประตู แบ่งออกเป็นส่วน มีก�ำแพงเหลก็ ล้อม รอบ ครอบดว้ ยฝาเหลก็ มพี นื้ เปน็ เหลก็ ลกุ โชนโชตชิ ว่ ง แผไ่ ปไกลดา้ นละ 100 โยชน์ ทกุ เมอ่ื ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความทกุ ขใ์ นโลกนก้ี บั ทกุ ขใ์ นนรกเปรยี บเทยี บกนั ดว้ ยการบอก ไม่ได้” 1 1 พาลปัณฑิตสูตร, มชั ฌิมนกิ าย อปุ รปิ ัณณาสก์ ภิกขุวรรค, มจร. เล่ม 14 ข้อ 248-250 หน้า 293. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 322 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

9.7 หลกั การตอบปัญหาของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาต่าง ๆ ก็เพ่ืออนุเคราะห์ผู้ถามและ พทุ ธบรษิ ทั ทงั้ 4 ทฟ่ี งั ธรรมอยดู่ ว้ ย ค�ำตอบของพระองคท์ �ำใหผ้ ถู้ ามแจม่ แจง้ เปรยี บ เสมอื นหงายของทคี่ วำ�่ เปดิ ของทปี่ ดิ บอกทางแกค่ นหลงทาง หรอื เหมอื นสอ่ งประทปี ในที่มืด ก่อนที่พระองค์จะทรงตอบค�ำถามใดก็ตาม จะทรงตรวจดูสาเหตุการถาม ปัญหาของผู้ถามก่อนว่า สาเหตุหรือจุดประสงค์หลักของผู้ถามคืออะไร เพราะเม่ือ ทราบสาเหตแุ ล้วจงึ ท�ำให้พระองค์ตอบปัญหาต่าง ๆ ได้ตรงใจผู้ถาม ส�ำหรับสาเหตุ แห่งการถามปัญหาของคนในโลกนน้ั พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าตรัสไว้ 5 ประการดงั น้ี 9.7.1 สาเหตุการถามปัญหา 5 ประการ 1) ถามปัญหาเพราะโง่เขลาและหลงลืม 2) ถามปัญหาเพราะมีความปรารถนาลามก 3) ถามปัญหาเพราะความดหู มิ่น 4) ถามปัญหาเพราะประสงค์จะรู้ 5) ถามปัญหาเพราะคิดว่า ถ้าผู้ตอบสามารถตอบค�ำถามได้ถูกต้องก็ เป็นการดี แต่ถ้าตอบไม่ถูกต้อง ผู้ถามกต็ ้ังใจว่าจะอธบิ ายค�ำตอบทถี่ ูก ต้องให้เขาทราบ 1 แต่ไม่ได้มีความประสงค์ดูหม่ินหรือทดลองภูมิรู้ผู้ ตอบ ความปรารถนาลามก หมายถงึ ความปรารถนาให้ผู้อ่นื คดิ ว่าตนเองมคี วามดี อยา่ งนน้ั อยา่ งนท้ี ง้ั ๆ ทต่ี นไมไ่ ดม้ คี วามดเี ชน่ นน้ั จรงิ กรณผี ถู้ ามปญั หาเพราะมคี วาม ปรารถนาลามก ไดแ้ ก่ ปรารถนาใหผ้ ตู้ อบหรอื ผฟู้ งั สรรเสรญิ วา่ ผถู้ ามเปน็ คนใครใ่ น การศกึ ษา ท้งั ทค่ี วามจรงิ ผู้ถามไม่ได้เป็นคนเช่นนน้ั เป็นต้น 1 ปัญหาปจุ ฉาสตู ร, อังคุตตรนกิ าย ปัญจกนิบาต, มก. เล่ม 36 ข้อ 165 หน้า 347. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 323 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

การถามปญั หาเพราะความดหู มน่ิ หมายถงึ ผถู้ ามรสู้ กึ ดถู กู ดหู มนิ่ ภมู ริ ภู้ มู ธิ รรม ของผู้แสดงธรรม จึงพยายามถามปัญหายาก ๆ เพือ่ ให้เขาตอบไม่ได้ จะได้เขนิ อาย และเสยี หน้า ทั้ง ๆ ทผ่ี ู้ถามอาจจะรู้ค�ำตอบนัน้ อยู่แล้ว แต่ต้องการถามเพ่ือทดลอง ภมู ิรู้ผู้แสดงธรรมเท่านนั้ ส�ำหรับวิธีการตอบปัญหาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน้ันเรียกว่า “ปัญหา พยากรณ์” ค�ำว่า “พยากรณ์ แปลว่า ตอบปัญหา” นั่นเอง ซึ่งปัญหาพยากรณ์มี 4 ประการดงั นี้ 9.7.2 ปัญหาพยากรณ์ 4 ประการ 1) เอกังสพยากรณยี ปัญหา ปัญหาที่พงึ ตอบโดยนยั เดียว 2) ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจงึ ตอบ 3) วิภชั ชพยากรณยี ปัญหา ปัญหาที่พึงจ�ำแนกแล้วจึงตอบ 4) ฐปนียปัญหา ปัญหาทีพ่ งึ งดตอบ 1 เอกังสพยากรณยี ปัญหา ได้แก่ ถ้าถกู ถามว่าดวงตาไม่เท่ียงหรือ ? กจ็ ะตอบ โดยนัยเดียวว่าไม่เท่ียง เมื่อถูกถามว่าจมูกไม่เท่ียงหรือ ก็จะตอบโดยนัยเดียวว่า ไม่เทย่ี ง เป็นต้น ปฏิปจุ ฉาพยากรณยี ปัญหา ได้แก่ ถ้าถกู ถามว่า “ดวงตา” ฉนั ใด “ห”ู กฉ็ นั นั้น หรอื และ “หู” ฉันใด “ดวงตา” กฉ็ ันนั้นหรอื ? ปัญหานี้ต้องย้อนถามว่าผู้ถาม ถาม โดยมุ่งหมายถึงอะไร เม่อื เขาตอบว่าถามโดยมุ่งหมายถงึ คุณสมบตั ใิ นการ “เหน็ ” ก็ ต้องตอบว่า ไม่ใช่ เพราะ “ห”ู ไม่มคี ณุ สมบัตเิ ช่นนนั้ แต่ถ้าเขามุ่งหมายถึงความ “ไม่ เท่ยี ง” ก็ต้องตอบว่า ใช่ เพราะทงั้ “ดวงตา” และ “ห”ู เป็นของไม่เทีย่ งเหมือนกัน 1 สังคตี สิ ูตร, ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค, มจร. เล่ม 11 ข้อ 312 หน้า 29. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 324 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

วภิ ชั ชพยากรณยี ปญั หา ไดแ้ ก่ ถา้ ถกู ถามวา่ ดวงตาหรอื ชอื่ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง ? ค�ำถาม นจี้ ะตอ้ งจ�ำแนกแลว้ ตอบอยา่ งนว้ี า่ ไมใ่ ชเ่ ฉพาะดวงตาเทา่ นนั้ ทไ่ี มเ่ ทยี่ ง แมแ้ ต่ หู จมกู ลน้ิ และทกุ ส่วนของร่างกายก็ไม่เทีย่ งเช่นเดียวกัน ฐปนียปัญหา คือ ปัญหาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้างดตอบ เป็นปัญหาท่ีไม่มี ประโยชน์ ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื การพน้ ทกุ ข์ ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื การบรรลมุ รรคผลนพิ พาน ไดแ้ ก่ ปัญหาท่วี ่าโลกเทีย่ งหรอื ไม่เที่ยง เป็นต้น เพราะแม้พระองค์จะตอบว่า “โลกเท่ียง” หรือ “โลกไม่เทยี่ ง” กไ็ ม่มผี ลต่อการบรรลุมรรคผลนิพพานของคนถาม หากพระพทุ ธองคท์ รงตอบค�ำถามทไ่ี มม่ ปี ระโยชนเ์ หลา่ นค้ี รง้ั หนง่ึ แลว้ ชาวโลก ก็จะพากนั มาถามปัญหาไร้สาระอกี มากมาย ท�ำให้พระองค์ต้องเสยี เวลากับการตอบ ค�ำถามเหลา่ นไ้ี ปเปน็ อนั มาก เวลาส�ำหรบั แสดงธรรมเพอ่ื โปรดคนใหพ้ น้ ทกุ ขก์ จ็ ะนอ้ ย ลงด้วย พระพุทธองค์จึงงดตอบค�ำถามต่าง ๆ ท่ีไม่เกื้อกูลต่อการบรรลุมรรคผล นิพพาน 9.7.3 ตวั อย่างปัญหาพยากรณ์ 4 ประการ ตัวอย่างการตอบปัญหาท้ัง 4 ประการของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า และพทุ ธ- บรษิ ทั นนั้ มปี รากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ กจ�ำนวนมาก ในทน่ี จ้ี ะยกตวั อยา่ งกรณลี ะ 1 เรอื่ ง พอใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ หน็ เปน็ แนวทางในการตอบปญั หาธรรมะแกผ่ ใู้ ครใ่ นการศกึ ษาทง้ั หลาย 1) ตวั อย่างเอกงั สพยากรณยี ปัญหา ครงั้ หนงึ่ พระสวฏิ ฐะและพระมหาโกฏฐติ ะเขา้ ไปหาพระสารบี ตุ รและได้ สนทนาปราศรยั กนั พระสารบี ตุ รกลา่ วกบั ทงั้ สองทา่ นวา่ บคุ คล 3 จ�ำพวกนม้ี ปี รากฏ อยู่ในโลก คือ จ�ำพวกที่ 1 คอื “กายสกั ขบี คุ คล” หมายถงึ พระอรยิ บคุ คลผบู้ รรลโุ สดา ปัตติผลข้ึนไป เป็นผู้เห็นประจักษ์กับตัว สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายแล้วท�ำให้แจ้ง พระนิพพานภายหลังได้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 325 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

จ�ำพวกท่ี 2 คอื “ทฏิ ฐิปัตตบุคคล” หมายถงึ พระอริยบุคคลผู้บรรลุ โสดาปัตตผิ ลขน้ึ ไป บรรลุสมั มาทฏิ ฐิ เข้าใจอริยสัจได้ถูกต้อง จ�ำพวกท่ี 3 คอื “สทั ธาวิมุตตบคุ คล” หมายถงึ พระอรยิ บุคคลผู้บรรลุ โสดาปัตตผิ ลขึ้นไป ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา บุคคล 3 จ�ำพวกนีม้ ปี รากฏอยู่ในโลก บรรดาบคุ คล 3 จ�ำพวกน้ี ท่าน ชอบใจบุคคลจ�ำพวกไหนซึ่งดียง่ิ กว่าและประณีตกว่า ค�ำถามนี้เป็น เอกังสพยากรณยี ปัญหา คอื เป็นปัญหาทตี่ ้องตอบโดย นยั เดยี ว กลา่ วคอื จะตอ้ งเลอื กตอบอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เพยี งอยา่ งเดยี วในบรรดาบคุ คล 3 จ�ำพวกท่กี ล่าวมา พระสวฏิ ฐะตอบวา่ ผมชอบใจสทั ธาวมิ ตุ ตบคุ คลซง่ึ ดยี งิ่ กวา่ และประณตี กว่า เพราะสทั ธินทรยี ์ (อนิ ทรยี ์ คือ ศรทั ธา) ของบคุ คลนี้แก่กล้ายงิ่ นกั พระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ผมชอบใจกายสักขีบุคคลซ่ึงดีย่ิงกว่าและ ประณีตกว่า เพราะว่าสมาธินทรีย์ (อนิ ทรีย์ คอื สมาธิ) ของบุคคลน้แี ก่กล้ายงิ่ นกั ส่วนพระสารีบุตรกล่าวว่า ผมชอบใจทิฏฐิปัตตบุคคลซึ่งดียิ่งกว่าและ ประณตี กว่า เพราะว่าปัญญินทรยี ์ (อนิ ทรยี ์ คือ ปัญญา) ของบคุ คลน้แี ก่กล้ายง่ิ นกั จากน้ันพระสารีบุตรได้กล่าวกับพระสวิฏฐะและพระมหาโกฏฐิตะว่า “พวกเรา ต่างตอบปัญหาตามปฏิภาณของตน มาไปด้วยกันเถิด เราจักเข้าไปเฝ้า พระผมู้ พี ระภาคเจา้ กราบทลู ขอ้ ความน้ี เราจกั ทรงจ�ำขอ้ ความตามทพ่ี ระผมู้ พี ระภาค ตรสั ตอบแก่เรา” เมอ่ื ทงั้ สามทา่ นเขา้ ไปกราบทลู เรอ่ื งนแี้ กพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ แลว้ พระผู้ มพี ระภาค ตรสั วา่ ในเรอื่ งน้ี การตอบปญั หาโดยนยั เดยี ววา่ บรรดาบคุ คล 3 จ�ำพวก นี้ บคุ คลนด้ี ยี งิ่ กวา่ และประณตี กวา่ ไม่ใช่จะท�ำได้งา่ ย เพราะอาจเป็นไปได้ว่า สทั ธา- วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 326 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

วิมุตตบุคคลบางคนเป็นผู้ต้ังอยู่ในอรหัตตมรรค แต่กายสักขีบุคคลและทิฏฐิปัตต- บคุ คลบางคนยงั เป็นสกทาคามหี รืออนาคามีอยู่ รวมทั้งอาจเป็นไปได้ว่า กายสกั ขีบุคคลบางคนเป็นผู้ต้ังอยู่ในอรหตั ต- มรรค ส่วนสัทธาวิมุตตบุคคลและทิฏฐิปัตตบุคคลบางคนยังเป็นสกทาคามีหรือ อนาคามอี ยู่ ในขณะเดยี วกนั กอ็ าจเป็นไปได้ว่า ทิฏฐิปัตตบุคคลบางคนเป็นผู้ตั้งอยู่ ในอรหตั ตมรรค สว่ นสทั ธาวมิ ตุ ตบคุ คลและกายสกั ขบี คุ คลบางคนยงั เปน็ สกทาคามี หรอื อนาคามีอยู่ ในเรื่องน้ี การตอบปัญหาโดยนัยเดียวว่า บรรดาบุคคล 3 จ�ำพวกน้ี บคุ คลนด้ี ยี งิ่ กวา่ และประณตี กวา่ ไมใ่ ชจ่ ะท�ำไดง้ า่ ย เพราะบางครงั้ บคุ คลทงั้ 3 จ�ำพวก ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นสถานะทจ่ี ะสามารถเปรยี บเทยี บกนั ได้ เนอ่ื งจากมภี มู ธิ รรมตา่ งกนั นนั่ เอง 2) ตวั อย่างปฏปิ จุ ฉาพยากรณียปัญหา ครง้ั หนง่ึ พระเจ้าอชาตศตั รูเสดจ็ ไปเฝ้าพระสมั มาสมั พุทธเจ้าแล้วได้ทูล ถามสามญั ญผล คือ ผลของความเป็นสมณะทเี่ ห็นประจักษ์ในปัจจบุ นั ว่ามีอยู่หรือ ไม่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ มหาบพติ ร ตถาคตจะขอยอ้ นถามกอ่ น โปรด ตรสั ตอบตามทพ่ี อพระทยั สมมตวิ า่ มบี รุ ษุ ผเู้ ปน็ ทาสของพระองค์ ซงึ่ คอยปรนนบิ ตั ิ รับใช้พระองค์เป็นอย่างดี ต่อมาทาสผู้น้นั ได้ออกบวชเป็นบรรพชติ เมือ่ เขาบวชแล้ว มหาบพติ รจะยังให้เขากลบั มาเป็นทาสคอยฟังพระบัญชาอีกหรอื ไม่ ? อ. (พระเจ้าอชาตศัตร)ู จะเป็นเช่นนนั้ ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันทจี่ ริงข้า พระองค์เสยี อกี ควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรบั เขา ควรจะเชือ้ เชญิ ให้เขานั่ง ควรจะ บ�ำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรคุ้มครอง เขาอย่างเป็นธรรม สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 327 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ภ. (พระผู้มีพระภาคเจ้า) มหาบพติ ร ถ้าเม่ือเป็นเช่นน้ัน สามญั ญผลท่ี เหน็ ประจกั ษ์จะมีหรอื ไม่ อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เม่ือเป็นเช่นนั้น สามัญญผลที่เหน็ ประจักษ์มี อยู่อย่างแน่แท้ ภ. มหาบพติ ร นแ้ี หละสามญั ญผลทเ่ี หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จบุ นั ประการแรก อ. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ พระองคอ์ าจท�ำใหร้ สู้ ามญั ญผลทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ ในปัจจบุ นั แม้ข้ออ่นื ให้เหมอื นอย่างนั้นได้หรือไม่ ภ. อาจอยมู่ หาบพติ ร แตต่ ถาคตจกั ขอยอ้ นถามกอ่ นโปรดตรสั ตอบตาม ทพี่ อพระทยั สมมตวิ า่ ชาวนาหรอื คฤหบดบี างคนซงึ่ เสยี ภาษอี ากรใหแ้ ก่พระองค์อยู่ เปน็ ประจ�ำ ต่อมาเขาไดอ้ อกบวชเป็นบรรพชติ เมอ่ื บวชแล้วเป็นผสู้ �ำรวมกาย ส�ำรวม วาจา และส�ำรวมใจอยู่ มหาบพติ รจะพงึ ตรสั สงั่ ใหเ้ ขาเสยี ภาษอี ากรใหแ้ กพ่ ระองคอ์ กี หรอื ไม่ อ. จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อนั ท่จี รงิ หม่อมฉันเสยี อกี ควร จะไหวเ้ ขา ควรลกุ รบั เขา ควรจะเชอื้ เชญิ เขาใหน้ ง่ั ควรจะบ�ำรงุ เขาดว้ ยจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม ภ. มหาบพิตร ถ้าเมื่อเป็นเช่นน้ัน สามัญญผลที่เห็นประจักษ์จะมี หรอื ไม่ อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นน้นั สามญั ญผลท่ีเหน็ ประจกั ษ์มี อยู่อย่างแน่แท้ ภ. มหาบพิตร น้ีแหละสามัญญผลท่ีเห็นประจักษ์ในปัจจุบันประการ ทีส่ อง วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 328 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

จากนน้ั พระเจา้ อชาตศตั รทู รงทลู ถามสามญั ญผลยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป พระสมั มา- สัมพทุ ธเจ้ากท็ รงแสดงสามญั ญผลไปตามล�ำดับ ต้ังแต่เร่ืองศีล สมาธิ และปัญญา จนถึงการได้บรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ เมือ่ ทรงแสดงธรรมจบแล้ว พระเจ้าอชาต- ศัตรูได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ไพเราะจับใจย่ิงนัก เปรยี บเหมอื นหงายของทคี่ วำ่� เปดิ ของทป่ี ดิ บอกทางแกค่ นหลงทาง หรอื สอ่ งประทปี ในที่มืด ข้าพระองค์ขอถงึ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ และปฏิญาณตนว่าเป็นอบุ าสก ผู้ขอถงึ พระรตั นตรยั ไปตลอดชีวติ 1 การแสดงธรรมด้วยการย้อนถามน้ี เป็นการเปิดโอกาสการให้ผู้ฟังได้มี สว่ นรว่ ม ซงึ่ จะชว่ ยใหผ้ ฟู้ งั ตงั้ ใจฟงั มากขนึ้ เพราะผฟู้ งั จะตอ้ งตรองค�ำถามและคดิ หา ค�ำตอบอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผลให้ผู้ฟังเข้าใจธรรมะได้ดกี ว่านงั่ ฟังเพยี งอย่างเดียว เนอ่ื งจากมอี ยบู่ อ่ ยครง้ั เมอื่ ผฟู้ งั นง่ั ฟงั เฉย ๆ กจ็ ะไมไ่ ดต้ รองตามธรรมะทกี่ �ำลงั ฟงั อยู่ น้ัน ผลท่ตี ามมาก็คือฟังไม่รู้เร่ือง ท�ำให้เบือ่ หน่าย บางคนกน็ ่ังหลบั ไปเลยกม็ ี 3) ตวั อย่างวภิ ัชชพยากรณียปัญหา ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดา เขตเมือง เวรัญชา เวรญั ชพราหมณ์ได้ไปเข้าเฝ้าและทลู ค�ำนีแ้ ด่พระผู้มพี ระภาคเจ้าว่า ข้าพเจ้า ไดท้ ราบมาวา่ พระสมณโคดม ไมไ่ หว้ ไมล่ กุ รบั พวกพราหมณผ์ แู้ ก่ ผ้เู ฒา่ การทที่ ่าน กระท�ำอย่างนัน้ ไม่สมควรเลย พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นพราหมณ์ ในโลก ทง้ั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู่ ตั ว์ พรอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทพ และมนษุ ย์ เราไมเ่ ลง็ เหน็ บคุ คล ท่เี ราควรไหว้ ควรลกุ รับ เพราะว่า เมอ่ื ตถาคตไหว้ หรือลุกรบั ศรี ษะของบคุ คลนั้น ก็จะพงึ ขาดตกไป 1 สมุ ังคลวิลาสินี, อรรถกถาทีฆนิกาย สีลขนั ธวรรค, มก. เล่ม 11 ข้อ 100-101 หน้า 304-308. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 329 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

จากน้ันเวรัญชพราหมณ์และพระผู้มีพระภาคเจ้าได้สนทนาโต้ตอบกัน ดังนี้ ว. (เวรัญชพราหมณ์) ท่านพระโคดมมปี กติไม่ไยดี ภ. (พระผู้มีพระภาคเจ้า) มีอยู่จริง ๆ พราหมณ์ เหตทุ เี่ ขากล่าวหาเรา ว่า มีปกตไิ ม่ไยดี ช่ือว่ากล่าวถูก เพราะความไยดีในรูป เสียง กล่นิ เป็นต้น ตถาคต ละได้แล้ว แต่ไม่ใช่ไม่ไยดีในสง่ิ ท่ที ่านมุ่งกล่าว ฯลฯ ว. ท่านพระโคดมช่างรังเกียจ ภ. มีอยู่จรงิ ๆ พราหมณ์ เหตุทเ่ี ขากล่าวหาเราว่า ช่างรงั เกยี จ ช่ือว่า กล่าวถกู เพราะเรารังเกียจกายทุจริต วจที จุ ริต และมโนทจุ ริต แต่ไม่ได้รงั เกียจใน สิ่งทท่ี ่านมุ่งกล่าว ว. ท่านพระโคดมช่างก�ำจัด ภ. มอี ย่จู รงิ ๆ พราหมณ์ เหตทุ เ่ี ขากลา่ วหาเราว่า ชา่ งก�ำจดั ชอื่ วา่ กลา่ ว ถกู เพราะเราแสดงธรรมเพ่ือก�ำจัด ราคะ โทสะ และโมหะ แต่ไม่ใช่ช่างก�ำจดั ในสง่ิ ที่ ท่านมุ่งกล่าว ว. ท่านพระโคดมช่างเผาผลาญ ภ. มอี ยู่จรงิ ๆ พราหมณ์ เหตุท่ีเขากล่าวหาเราว่า ช่างเผาผลาญ ชอื่ ว่า กลา่ วถกู เพราะเรากลา่ วธรรมทเ่ี ปน็ บาปอกศุ ลวา่ เปน็ ธรรมทค่ี วรเผาผลาญ และบาป อกุศลน้ันตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว แต่เราไม่ได้เผาผลาญในส่ิงท่ีท่านมุ่ง กล่าว ว. ท่านพระโคดมไม่ผดุ เกดิ ภ. มอี ยจู่ รงิ ๆ พราหมณ์ เหตทุ เี่ ขากลา่ วหาเราวา่ ไมผ่ ดุ เกดิ ชอ่ื วา่ กลา่ ว ถกู เพราะการเกิดในภพใหม่ ตถาคตละได้แล้ว แต่ไม่ใช่ “ไม่ผดุ เกดิ ” ดงั ท่ีท่านมุ่ง กล่าว วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 330 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

จากนน้ั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นพราหมณ์ เปรยี บเหมอื นฟอง ไก่ 8 ฟอง 10 ฟอง หรอื 12 ฟอง ฟองไก่เหล่านน้ั แม่ไก่กกดแี ล้ว ลูกไก่ตวั ใดท�ำลาย กระเปาะฟองดว้ ยจะงอยปาก ออกมาไดโ้ ดยสวสั ดกี อ่ นกวา่ เขา ลกู ไกต่ วั นน้ั ควรเรยี ก ว่ากระไร จะเรียกว่าพีห่ รือน้อง เวรัญชพราหมณ์กล่าวตอบว่า ควรเรยี กว่าพ่ี เพราะมนั แก่กว่าเขา หลงั จากนนั้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ทรงเปรยี บเทยี บวา่ พระองคเ์ ปน็ ผู้ ท�ำลายอวชิ ชา สคู่ วามรแู้ จง้ กอ่ นบคุ คลอน่ื จงึ เปน็ เสมอื นไกต่ วั พี่ และทรงอธบิ ายเรอ่ื ง ฌานสี่และวิชชาสาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงธรรมจบแล้ว เวรัญชพราหมณ์ กราบทลู วา่ ทา่ นพระโคดมเปน็ ผเู้ จรญิ ทสี่ ดุ ทา่ นพระโคดมเปน็ ผปู้ ระเสรฐิ ทส่ี ดุ ภาษติ ของพระองค์ไพเราะนกั แจม่ แจ้งนกั เปรยี บเหมอื นบคุ คลหงายของทค่ี วำ�่ เปิดของท่ี ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในทมี่ ืด ข้าพเจ้าน้ขี อถงึ ท่านพระโคดม พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจ�ำข้าพเจ้าว่าเป็นอบุ าสก ผู้ ถงึ สรณะตลอดชวี ิตจ�ำเดมิ แต่วนั น้ี 1 เร่ืองราวทยี่ กตัวอย่างมาน้เี ป็นวิภชั ชพยากรณยี ปัญหา หรอื ปัญหาที่จะ ต้องจ�ำแนกแล้วจึงตอบเช่นกัน เพราะความหมายของแต่ละค�ำท่ีอยู่ในค�ำถามน้ัน ตคี วามไดห้ ลายนยั ดว้ ยเหตนุ พี้ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ตอบโดยจ�ำแนกเอานยั ทถี่ กู ต้องมาแสดงให้พราหมณ์ฟัง ส่วนนยั ท่ไี ม่ถูกต้องก็ละเอาไว้ 4) ตวั อย่างฐปนียปัญหา เรอ่ื งทจ่ี ะกลา่ วตอ่ ไปนเี้ ปน็ ตวั อยา่ งกรณที มี่ ภี กิ ษเุ ขา้ ไปถามปญั หาในเรอ่ื ง ทไี่ มเ่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การบรรลมุ รรคผลนพิ พานกบั พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ซง่ึ พระพทุ ธ- องค์ก็ไม่ทรงตอบและได้อธบิ ายถงึ เหตผุ ลทไี่ ม่ทรงตอบปัญหาเหล่านด้ี งั นี้ 1 มหาวิภังค์ ปฐมภาค, มก. เล่ม 1 ข้อ 1-4 หน้า 1-9. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 331 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ครั้งหนึง่ พระมาลุงกยบตุ รเกิดความคดิ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรง พยากรณ์ เรื่องโลกเทยี่ งหรอื โลกไม่เที่ยง โลกมที ีส่ ดุ หรอื โลกไม่มที ่ีสุด เป็นต้น การ ทพ่ี ระองคไ์ มท่ รงพยากรณเ์ รอ่ื งเหลา่ นี้ เราไมช่ อบใจเลย เราจกั เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระ- ภาคเจ้า แล้วทูลถามเรื่องนอี้ ีกครัง้ ถ้าพระองค์ทรงพยากรณ์แก่เรา เราจักประพฤติ พรหมจรรยใ์ นส�ำนกั ของพระองค์ แตถ่ า้ ไมท่ รงพยากรณเ์ รากจ็ กั ลาสกิ ขาเปน็ คฤหสั ถ์ จากนน้ั พระมาลงุ กยบตุ รกเ็ ขา้ ไปกราบทลู เรอ่ื งนแ้ี กพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ พรอ้ มทง้ั กราบทลู วา่ ถา้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ไมท่ รงทราบวา่ โลกเทย่ี งหรอื โลกไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ตน้ กข็ อจงตรสั บอกตรง ๆ เถดิ วา่ เราไมร่ ู้ ไมเ่ หน็ แตถ่ า้ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรง ทราบ ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ ขา้ พระองคก์ จ็ กั ประพฤตพิ รหมจรรยต์ อ่ ไป แตถ่ า้ ไมท่ รงพยากรณข์ า้ พระองคก์ จ็ กั ลา สกิ ขา พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั วา่ ดกู อ่ นมาลงุ กยบตุ ร เราไดพ้ ดู ไวก้ บั เธอหรอื วา่ เธอจงมาประพฤตพิ รหมจรรยใ์ นส�ำนกั ของเราเถดิ เราจกั พยากรณเ์ รอื่ งเหลา่ นแ้ี ก่ เธอ ม. (พระมาลงุ กยบุตร) ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ภ. (พระผู้มพี ระภาคเจ้า) ท่านได้พูดไว้กบั เราหรอื ว่า ท่านจักประพฤติ พรหมจรรย์ในส�ำนักเรา ถ้าหากเราพยากรณ์เรื่องเหล่านี้แก่ท่าน ม. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ภ. ดกู อ่ นมาลงุ กยบตุ ร เมอ่ื เรามไิ ดพ้ ดู เรอ่ื งนไ้ี วก้ บั เธอ แมเ้ ธอกม็ ไิ ดพ้ ดู เรอื่ งนกี้ บั เรา ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ เมอื่ เปน็ เชน่ นน้ั เธอเปน็ อะไร เธอจะมาทวงอะไรกบั เรา ภ. ดูก่อนมาลุงกยบุตร เปรียบเหมอื นบุรุษถูกยงิ ด้วยลูกศรอาบยาพษิ ญาตขิ องบรุ ษุ นน้ั ไปหานายแพทยม์ าเพอ่ื ใหช้ ว่ ยผา่ ตดั แตบ่ รุ ษุ ผนู้ นั้ กลา่ ววา่ ถา้ เรายงั ไม่รู้จักบุรุษผู้ยิงเราว่าเป็นกษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ หรอื ศทู ร... มชี ่อื ว่าอย่างน้ี มี วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 332 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

โคตรอย่างน.้ี .. สงู ตำ่� หรอื ปานกลาง... ด�ำขาวหรอื ผวิ สองส.ี .. อย่บู า้ น นคิ ม หรอื นคร โน้น เพียงใด เราจกั ไม่น�ำลกู ศรนีอ้ อกเพียงนน้ั ดกู อ่ นมาลงุ กยบตุ ร บรุ ษุ นนั้ จะรเู้ รอ่ื งนน้ั ไมไ่ ดเ้ ลย เพราะเขาจะตายเสยี กอ่ นฉนั ใด บคุ คลใดทกี่ ลา่ ววา่ หากพระผมู้ พี ระภาคเจา้ จกั ไมท่ รงพยากรณเ์ รอื่ งโลก เที่ยงหรือโลกไม่เที่ยงแก่เราเพียงใด เราจักไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มี พระภาคเจ้าเพยี งนั้น ต่อให้บุคคลน้ันตายไปตถาคตก็ไม่ตอบเรือ่ งนั้นฉันนัน้ ภ. เหตทุ เี่ ราไมพ่ ยากรณเ์ รอ่ื งเหลา่ นนั้ เพราะเปน็ เรอ่ื งทไี่ มม่ ปี ระโยชน์ ไม่ เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ ไม่เป็นไปเพ่ือนิพพาน แล้วอะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูก่อน มาลงุ กยบุตร ความเหน็ ว่า นที้ กุ ข์ น้เี หตุให้เกิดทกุ ข์ นีค้ วามดบั ทกุ ข์ น้ีข้อปฏิบัติให้ ถึงความดับทุกข์ สิ่งเหล่าน้ีเราพยากรณ์ เพราะเร่ืองเหล่านี้มีประโยชน์ เป็นไปเพื่อ ความตรสั รู้และเพอ่ื นพิ พาน 1 9.8 การโต้วาทธรรมของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าและพทุ ธบรษิ ทั การโต้วาทธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ส�ำคญั และจ�ำเป็นมาก ในกรณีที่มีการจาบจ้วงค�ำ สอนในพระพทุ ธศาสนาใหเ้ สยี หาย มกี ารกลา่ วบดิ เบอื นไปจากความจรงิ การโตว้ าท- ธรรมจะช่วยปกป้องพุทธธรรมไม่ให้มัวหมองได้และป้องกันความเสื่อมสูญของ พระพุทธศาสนาได้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ เรอ่ื งนไ้ี วใ้ นมหาปรนิ พิ พานสตู รวา่ ภารกจิ ส�ำคญั ทีพ่ ระองค์จะต้องท�ำให้ส�ำเร็จก่อนปรินพิ พานมี 2 ประการ คอื 1) ต้องฝึกให้ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก และอุบาสกิ าของพระองค์เป็นผู้เฉยี บแหลม แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัตธิ รรมสมควรแก่ธรรม ปฏบิ ัติชอบ เรียนกบั อาจารย์ของตนแล้ว สามารถบอก แสดง บญั ญัติ แต่งต้งั เปิดเผย 1 จฬู มาลุงกยโอวาทสูตร, มัชฌมิ นิกาย มชั ฌมิ ปัณณาสก์, มก. เล่ม 20 ข้อ 152 หน้า 304. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 333 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

จ�ำแนก กระท�ำให้งา่ ยได้ แสดงธรรมมปี าฏหิ ารยิ ข์ ม่ ขปี่ รบั ปวาททบี่ งั เกดิ ขนึ้ ให้ เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ 2) ต้องเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาให้กว้างขวาง แพร่หลาย เป็นปึกแผ่น 1 ค�ำว่า “ปรับปวาท” อ่านว่า ปะรับปะวาด หมายถึง ค�ำกล่าวของคนพวกอื่น หรอื ลัทธิอื่น, ค�ำกล่าวโทษคัดค้านโต้แย้งของคนพวกอืน่ ได้แก่ การกล่าวจาบจ้วง หรือโจมตีค�ำสอนในพระพุทธศาสนาโดยนกั บวชต่างศาสนา เป็นต้น ภารกจิ ประการแรกนน้ั โดยสรปุ แลว้ คอื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะตอ้ งฝกึ พทุ ธ- บรษิ ัททัง้ 4 ให้ถงึ พร้อมด้วยปรยิ ตั ิ ปฏบิ ัติ และปฏิเวธนั่นเอง และขอยำ้� ว่าจะต้อง ถงึ พรอ้ มทงั้ 3 อยา่ ง จะอาศยั เพยี งอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ไมไ่ ด้ กลา่ วคอื หากศกึ ษาเพยี ง ปรยิ ตั ิ แตไ่ มป่ ฏบิ ตั กิ ม็ โี อกาสเปน็ ปรยิ ตั งิ พู ษิ เพยี งแตร่ จู้ �ำ รคู้ ดิ แตไ่ มร่ แู้ จง้ มโี อกาส ตคี วามค�ำสอนผดิ พลาดได้ ส่วนการศึกษาปรยิ ตั ิ กเ็ ป็นเหมือนแผนทนี่ �ำทางในการ ปฏบิ ตั ธิ รรม และทส่ี �ำคญั หากผลการปฏบิ ตั ธิ รรมของเรายงั ไม่ก้าวหน้าจนถงึ ระดบั ท่ี ค้นธรรมะภายในได้แล้ว ก็ยิ่งจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาปริยัติ คือ พระไตรปิฎก ควบคไู่ ปกบั การปฏบิ ตั ดิ ว้ ย เราจะไดใ้ ชห้ ลกั ธรรมในพระไตรปฎิ กน�ำทางชวี ติ ไปกอ่ น จนกว่าจะเข้าถงึ ธรรมเหล่านนั้ ภายในตัวได้ การที่พระพุทธองค์ประสงค์จะให้พุทธบริษัทศึกษาธรรมะให้แตกฉานนั้น พระองค์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พุทธบริษัทอวดภูมิรู้ภูมิธรรมด้วยการไปท้าผู้อ่ืน โตว้ าทธรรมแขง่ กนั แตพ่ ระองคต์ อ้ งการใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั แตกฉานในธรรมะเพอื่ สอนตวั เอง เพื่อโปรดชาวโลก และเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ในประวัติศาสตร์มีเหตุการณ์ส�ำคัญเร่ืองการโต้วาทธรรมของพุทธบริษัทเพื่อ ปกป้องพระพทุ ธศาสนามากมาย ซึง่ จะเล่าย้อนต้ังแต่ยคุ ใกล้กับปัจจบุ ันไปจนถึงยคุ พทุ ธกาลดงั นี้ 1 มหาปรินพิ พานสตู ร, ทีฆนกิ าย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 ข้อ 102 หน้า 285. วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 334 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

สมัยพระคุณานันทเถระ แห่งประเทศศรลี ังกา โดยเมอื่ ประมาณปี พ.ศ. 2048 - 2491 เกาะศรีลังกาตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติตะวันตก คือ ฮอลันดา โปรตุเกส และอังกฤษ ชาวพุทธถูกกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก รัฐบาลส่ังห้ามชาวพุทธ ประชุมกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยเด็ดขาด ศาสนิกอื่นเขียนหนังสือและ บทความโจมตคี �ำสอนในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ภยั นค้ี กุ คามชาวพทุ ธอยนู่ าน หลายปีจนกระทั่งหนูน้อย “ไมเคิล” ถือก�ำเนิดขึ้นและได้ออกบวชศึกษาพระธรรม ท่านได้อาสาเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนา ด้วยการโต้วาทะกับนักบวชจาก ศาสนาอนื่ ทมี่ าจาบจว้ งค�ำสอนในศาสนาพทุ ธจนไดร้ บั ชยั ชนะ ทา่ นปราบนกั บวชเหลา่ นั้นได้อย่างราบคาบและสามารถฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในศรีลังกาให้เจริญข้ึน อีกครัง้ 1 เม่ือครั้งที่พระถังซัมจั๋งศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา มีนักปรัชญาลัทธิ โลกายตะหรอื ลทั ธวิ ตั ถนุ ยิ มมาทา้ โตว้ าทกี บั คณาจารยแ์ หง่ นาลนั ทา ทางมหาวทิ ยาลยั จงึ ส่งพระถงั ซมั จ๋งั ไปโต้ ปรากฏว่าได้รับชัยชนะ กลับใจนกั ปรชั ญาผู้นั้นให้มานบั ถือ พระพุทธศาสนาได้ 2 และท่ีส�ำคัญประมาณ พ.ศ. 1243 นักบวชฮินดูชื่อ ศังกระ ได้ประกาศโต้ วาทะกบั พระภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนา แตว่ า่ ยคุ นนั้ พระพทุ ธศาสนาเสอ่ื มโทรมลงมาก พระภกิ ษขุ าดการศกึ ษาทง้ั ปรยิ ตั แิ ละปฏบิ ตั ิ ท�ำใหไ้ ม่มผี ใู้ ดสามารถเปน็ ทนายแกต้ ่าง ให้พระพุทธศาสนาได้ ในคร้ังนนั้ พระภิกษใุ นเบงกอลจ�ำนวน 500 รปู ถงึ กบั เปลีย่ น ศาสนาไปนบั ถอื ศาสนาฮินดู3 จากตวั อย่างท่กี ล่าวมาน้ีช้ใี ห้เหน็ ว่า การท่ีพระสมั มา- สัมพทุ ธเจ้าต้องฝึกพุทธบรษิ ัทให้ถึงพร้อมด้วยปริยัติ ปฏบิ ัติ และปฏเิ วธนนั้ ก็เพื่อ 1 กองวิชาการสถาบันพัฒนาบุคลากร (2548). “คุณานันทเถระผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา” หน้า 91-99. 2 เสถียร โพธนิ นั ทะ (2539). “ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมขุ ปาฐะ ภาค 1.” หน้า 207. 3 แหล่งเดิม หน้า 158. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 335 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ปกปอ้ งพระพทุ ธศาสนาจากการถกู เบยี ดเบยี นหรอื จาบจว้ งจากศาสนกิ อนื่ ซง่ึ จะมผี ล ต่อความมัน่ คงของพระพุทธศาสนา ในสมัยพระเจ้ามิลนิ ท์ก็เช่นกนั มีบนั ทกึ ไว้ในคมั ภีร์มลิ ินทปัญหาว่า หลังจาก พระสมั มาสัมพุทธเจ้าปรนิ พิ พานไปแล้วประมาณ 500 ปี มพี ระราชาพระองค์หนึ่ง พระนามว่าพระเจ้ามิลนิ ท์ปกครองเมอื งสาคลนคร เป็นผู้มีสตปิ ัญญาเฉยี บแหลม มี ความสามารถในการโตว้ าทะหาบคุ คลเทยี บไดย้ าก ทา้ วเธอกไ็ ดเ้ ทย่ี วไตถ่ ามปญั หากบั พระภกิ ษแุ ละนกั บวชลัทธิต่าง ๆ ไม่เลอื กหน้า พวกใดแก้ปัญหาไม่ได้ก็พากันหนไี ป พวกทีไ่ ม่หนกี ส็ ู้ทนนิง่ อยู่ แต่โดยมากได้พากนั หนไี ปสู่ป่าหมิ พานต์ เมอื งสาคลนคร เปน็ เหมอื นกบั วา่ งจากนกั บวชอยถู่ งึ 12 ปี เปน็ เหตใุ หพ้ ระพทุ ธศาสนายคุ นนั้ เสอ่ื มลง อย่างมาก จนกระทั่งมหาเสนเทพบตุ รจตุ จิ ากเทวโลกมาเกดิ ในโลกมนษุ ย์ ต่อมาได้ ออกบวชและบรรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ตม์ นี ามวา่ พระนาคเสนเถระ ทา่ นสามารถปราบ พระเจา้ มลิ นิ ทล์ งได้ โดยตอบค�ำถามทกุ ขอ้ ของพระเจา้ มลิ นิ ทไ์ ดอ้ ยา่ งกระจา่ งแจง้ และ ได้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาขึ้นใหม่ ซ่ึงต่อมาพระเจ้ามิลินท์ก็ออกบวชและบรรลุเป็น พระอรหันต์เช่นกัน ในสมยั พทุ ธกาลกม็ ปี รากฏเรอื่ งการโตว้ าทธรรมอยหู่ ลายครงั้ เชน่ การโตว้ าท- ธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กบั สจั จกนคิ รนถ,์ การโตว้ าทธรรมของพระกมุ ารกสั ส- ปะกบั พระเจ้าปายาสิ และการโต้วาทธรรมของพระสารบี ุตรกับนางปรพิ าชิกาซึง่ เป็น นักบวชนอกพระพุทธศาสนา เป็นต้น ในที่นี้จะยกตัวอย่างการโต้วาทธรรมของ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าดังน้ี ครงั้ หนงึ่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยใู่ นปา่ มหาวนั ใกลเ้ มอื งเวสาลี สมยั นนั้ สัจจกนิครนถ์ผู้มปี ัญญามากได้กล่าวในท่ามกลางประชมุ ชนในเมืองเวสาลีว่า เราไม่ เหน็ สมณพราหมณเ์ หลา่ ใดทเี่ ราโตต้ อบถอ้ ยค�ำดว้ ยแลว้ จะไมป่ ระหมา่ ตวั สน่ั หวนั่ ไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้เลย แม้เราจะโต้ตอบถ้อยค�ำกับเสาท่ีไม่มีจิต แม้เสานั้นก็ สะท้านหวัน่ ไหว จะกล่าวอะไรถงึ มนุษย์เล่า วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 336 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

สัจจกนิครนถ์คิดว่า ถ้าอย่างไรเราจะได้พบกับพระโคดม จะได้เจรจากันสัก หน่อย และจะเปล้ืองความเหน็ เลวทรามของพระองค์เสีย จากนนั้ สจั จกะจงึ เข้าไปสู่ ปา่ มหาวนั ถงึ ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยู่ แลว้ ทลู ถามวา่ พระโคดมสง่ั สอนสาวก ทัง้ หลายอย่างไร ภ. (พระผู้มีพระภาคเจ้า) เราสั่งสอนสาวกทัง้ หลายว่า รปู ไม่เทยี่ ง เวทนาไม่ เท่ียง สัญญาไม่เท่ยี ง สังขารไม่เทย่ี ง วญิ ญาณไม่ใช่ตวั สังขารทง้ั ปวงไม่เทย่ี ง ธรรม ทง้ั ปวงไม่ใช่ตวั เราสัง่ สอนสาวกทั้งหลายอย่างนี้ ส. (สจั จกนคิ รนถ์) พระโคดม พืชพันธ์ุไม้เหล่าใดเหล่าหน่งึ ที่ถึงความเจริญ งอกงาม พชื พันธุ์ไม้เหล่านนั้ ท้งั หมดต้องอาศยั แผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน จงึ เจริญ งอกงามได้ หรอื การงานเหล่าใดเหลา่ หนงึ่ ทบ่ี คุ คลท�ำด้วยก�ำลงั แขน การงานเหล่านน้ั ทง้ั หมด บุคคลต้องอาศัยแผ่นดนิ ต้องตัง้ อยู่ในแผ่นดนิ จึงท�ำได้ฉนั ใด บคุ คลมีรปู เปน็ ตวั มเี วทนาเปน็ ตวั มสี ญั ญาเปน็ ตวั มสี งั ขารเปน็ ตวั มวี ญิ ญาณเปน็ ตวั และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนน้ั ต้องต้ังอยู่ในรูป จึงสามารถเสวยผลแห่งบญุ หรือไม่ใช่ บญุ ได้ฉันนั้น ภ. ถ้าอย่างนั้น เราจักถามท่านว่า พระราชาทัง้ หลายสามารถฆ่าคนท่คี วรต้อง ฆ่า ริบสมบัติคนที่ควรต้องริบ ขับไล่คนที่ควรต้องขับไล่ในพระราชอาณาเขตของ พระองค์ได้มใิ ช่หรือ ส. อย่างนั้นท่านพระโคดม ภ. ข้อท่ีท่านกล่าวว่า รปู เป็นตัวของเรา ท่านสามารถบังคับบัญชารปู ของท่าน ว่า รูปของเราจงเป็นอย่างน้ันเถดิ อย่าได้เป็นอย่างนเ้ี ลยได้หรือ กล่าวคือ เม่ือบคุ คล ใดถกู พระราชาจับฆ่ากส็ ามารถบังคบั รปู หรือร่างกายของเขาได้หรือว่า อย่าเจบ็ และ อย่าตาย เป็นต้น สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 337 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างน้ี สัจจกะได้น่ิงอยู่ พระองค์ตรัสถาม อย่างนถี้ ึงคร้งั ท่ีสาม สัจจกะจงึ จ�ำใจตอบว่า ข้อน้ไี ม่เป็นอย่างนัน้ พระโคดม ภ. ท่านจงคดิ ให้ดเี สียก่อนแล้วจงึ ค่อยกล่าวแก้ เพราะค�ำหลงั ของท่านไม่ตรง กบั ค�ำทที่ ่านกล่าวไว้แต่ก่อน ไม่สอดคล้องกบั ค�ำทท่ี ่านกล่าวไว้แต่ก่อน ข้อทีท่ ่านกล่าวว่า เวทนาเป็นตัวของเรา สัญญาเป็นตัวของเรา สงั ขารเป็นตัว ของเรา วญิ ญาณเป็นตวั ของเรา ท่านสามารถบงั คบั บัญชา เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ ให้เป็นไปตามท่ีท่านต้องการหรือไม่ ส. ไม่ได้ พระโคดม ภ. ด้วยเหตนุ ี้ รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ เทีย่ งหรือไม่เทยี่ ง ส. ไม่เทีย่ ง พระโคดม ภ. ก็สง่ิ ใดไม่เทยี่ ง ส่ิงน้ันทุกข์หรือสขุ ส. สิง่ น้ันทุกข์ พระโคดม ภ. กส็ ่งิ ใดไม่เทีย่ ง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรอื จะตาม เหน็ สงิ่ น้ันว่า ส่ิงนั้นของเรา เราเป็นส่วนน้ัน ส่วนนน้ั ตัวของเรา ส. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระโคดม จากนัน้ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอีกหลายประการ เมอ่ื ทรงแสดง ธรรมจบแลว้ สจั จกะทลู วา่ ขา้ พเจา้ เปน็ คนคะนองวาจา เพราะส�ำคญั ตวั อาจจะโตเ้ ถยี ง กับพระโคดมได้ บุรษุ มาปะทะช้างอนั ซับมนั เข้าก็ดี เจอะกองไฟอันก�ำลงั ลุกโชนก็ดี กระทบงทู มี่ พี ษิ รา้ ยกด็ ี ยงั มเี อาตวั รอดไดบ้ า้ ง แตใ่ ครทมี่ าพบพระโคดมเขา้ แลว้ ไมม่ ี ใครเอาตวั รอดได้เลย พระเจ้าข้า วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก 338 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

จากทก่ี ลา่ วมาทง้ั หมดนี้ เราจะเหน็ ไดว้ า่ หลกั วาทศาสตรใ์ นพระไตรปฏิ กมคี วาม ลุ่มลึกกว้างขวาง และมีส่วนส�ำคัญอย่างย่ิงในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเรา สามารถน�ำหลักวาทศาสตร์น้ีไปใช้ในการด�ำเนินชีวิตให้ประสบความสุขและความ ส�ำเร็จได้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 339 วาทศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

วาทศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 340 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

บทท่ี 10 วทิ ยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 10.1 ภาพรวมวิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎกในท่ีนี้จะกล่าวถึงประเด็นที่ปรากฏอยู่ในพระ- ไตรปิฎก ซึ่งเกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ได้แก่ เจตคติต่อความรู้, ลกั ษณะของความร,ู้ วธิ กี ารแสวงหาความร,ู้ สมาธกิ บั การคน้ พบของนกั วทิ ยาศาสตร,์ นิยาม 5 กฎแห่งสรรพสิง่ ในอนันตจกั รวาล และการพสิ ูจน์ค�ำสอนในพระไตรปิฎก แต่ท้ังนี้ไม่ได้ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจว่า พุทธศาสตร์อันเป็นพระธรรมค�ำสอน ของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า ซง่ึ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเป็นวทิ ยาศาสตร์ เพราะว่า พทุ ธศาสตร์กย็ ังคงเป็นพุทธศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ก็ยงั คงเป็นวทิ ยาศาสตร์ www.kalyanamitra.org

พทุ ธศาสตรน์ นั้ มคี วามแตกตา่ งกบั วทิ ยาศาสตรใ์ นประเดน็ ทส่ี �ำคญั คอื ความ รขู้ องพทุ ธศาสตร์เป็นความรแู้ จ้งดว้ ยพระปัญญาตรสั ร้ธู รรมของพระสมั มาสมั พทุ ธ- เจา้ เปน็ ความรทู้ เ่ี กดิ ขน้ึ จากภาวนามยปญั ญา เปน็ สจั ธรรมทเี่ ทยี่ งแทแ้ นน่ อนไมม่ กี าร เปลี่ยนแปลงอกี ต่อไป ส่วนความรู้ของวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นความรู้แจ้ง แต่เป็นความรู้ท่ีเกิดจาก สตุ มยปัญญา และจนิ ตมยปัญญาเป็นหลกั เกดิ จากการลองผิดลองถูกจนคดิ ว่าได้ ค้นพบความจริงในธรรมชาติบางประการ แล้วตงั้ เป็นกฎหรอื ทฤษฎขี ึ้นมา ซึ่งมบี ่อย ครง้ั เมอ่ื นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดศ้ กึ ษามากขนึ้ กจ็ ะพบวา่ กฎหรอื ทฤษฎบี างอยา่ งไมถ่ กู ตอ้ ง จึงต้องยกเลิกไป กฎบางกฎท่ีใช้มายาวนานจนนักวิทยาศาสตร์เองก็คิดว่าเป็นสัจธรรมไม่มีการ เปลย่ี นแปลงแลว้ ไดร้ บั การพสิ จู นม์ านบั ครงั้ ไมถ่ ว้ นแลว้ วา่ ถกู ตอ้ ง กย็ งั อาจจะพลาด ได้ เหมอื นดงั อุปมาที่ว่า ไก่ตวั หนึ่งตืน่ เช้าขน้ึ มาก็เห็นนาย ก. มา นาย ก. มาทไี ร ก็ เอาอาหารมาให้กนิ ทกุ ที เหน็ อย่างนี้มาทกุ เช้า ๆ กเ็ ป็นอันว่า พอไก่เห็นนาย ก. เป็น ได้กิน ไก่เห็นนาย ก. เป็นได้กนิ ไก่เหน็ นาย ก. เป็นได้กินทุกวนั ๆ เป็นปี ๆ แต่มา ถึงเช้าวนั หนงึ่ ไก่เห็นนาย ก. มา แต่ไม่ได้กนิ เพราะนาย ก. ไม่ได้ถอื อาหารมา และ กลายเป็นว่า นาย ก. ถือมีดมาแล้วกเ็ ฉอื นไก่ลงหม้อแกง เพราะฉะนัน้ ทีว่ ่า ไก่เห็น นาย ก. แล้วได้กิน ก็กลายเป็นว่า ไก่เหน็ นาย ก. เลยลงหม้อแกง 1 ในขณะเดยี วกนั เมอื่ วทิ ยาศาสตรส์ งั่ สมความรแู้ ละประสบการณไ์ ปมากเขา้ ลอง ถูกลองผิดกันหลายครั้ง ก็สามารถค้นพบสัจธรรมบางประการในธรรมชาติได้เช่น เดยี วกนั สจั ธรรมทน่ี กั วทิ ยาศาสตรไ์ ดค้ น้ พบนนั้ กม็ อี ยหู่ ลายประการทป่ี รากฏอย่ใู น พระไตรปิฎก ซึง่ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าตรสั ไว้กว่า 2,500 ปีมาแล้ว 1 พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2541). พระพุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์. หน้า 59. วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 342 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

10.2 เจตคติต่อความรู้ในพระไตรปิฎก เจตคติ หมายถงึ ท่าทีหรอื ความรู้สึกของบุคคลต่อสง่ิ ใดสง่ิ หนึ่ง เจตคติต่อความรู้ที่ส�ำคัญในพระไตรปิฎกซึ่งสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ คือ อย่าด่วนเช่ืออะไรง่าย ๆ โดยท่ียังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเอง โดยสมัยหน่ึง พระผู้มี พระภาคเจ้าเสด็จจารกิ ไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภกิ ษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เมอื่ เสดจ็ ถึง ต�ำบลของพวกกาลามะ ชื่อว่าเกสปุตตนิคม พวกกาลามะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคเจ้าและได้กราบทลู ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม ได้ ประกาศว่าลทั ธขิ องตนเท่านนั้ ทน่ี ่าเชอ่ื ถอื และไดก้ ลา่ วกระทบกระเทยี บ ดหู มน่ิ ลทั ธิ ของผู้อื่นว่าไม่น่าเชื่อถอื ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์อีกพวกหน่ึงมายังเกสปุตตนิคม ได้ ประกาศว่าลทั ธขิ องตนเทา่ นนั้ ทน่ี า่ เชอื่ ถอื และไดก้ ลา่ วกระทบกระเทยี บ ดหู มนิ่ ลทั ธิ ของผู้อน่ื ว่าไม่น่าเชื่อถอื ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ท้ังหลายมีความสงสัยลังเลใจในสมณ- พราหมณ์เหล่านนั้ ว่า “บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจรงิ ใครพูดเทจ็ ” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็สมควรที่ท่านทั้งหลายจะสงสัย สมควรที่จะลังเลใจ ทา่ นทงั้ หลายเกดิ ความสงสยั ลงั เลใจในสงิ่ ทคี่ วรสงสยั จากนนั้ พระพทุ ธองคไ์ ดใ้ หห้ ลกั อันเป็นเจตคติต่อความรู้ต่าง ๆ ที่ได้ยินได้ฟังหรือได้ศึกษาไว้ 10 ประการ คือ 1) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกนั มา 2) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถอื สืบ ๆ กนั มา 3) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลอื 4) อย่าปลงใจเชือ่ ด้วยการอ้างต�ำราหรือคมั ภีร์ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 343 วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

5) อย่าปลงใจเชือ่ เพราะตรรกะ คอื การคิดเอาเอง 6) อย่าปลงใจเชือ่ เพราะการอนุมาน คอื คาดคะเนตามหลกั เหตุผล 7) อย่าปลงใจเชือ่ ด้วยการคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล 8) อย่าปลงใจเชือ่ เพราะเข้าได้กบั ทฤษฎที พ่ี ินิจไว้แล้ว 9) อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลกั ษณะน่าจะเป็นไปได้ 10) อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถอื ว่า ท่านผู้นีเ้ ป็นครขู องเรา จากนน้ั พระสมั มาสมั พุทธเจ้าได้เน้นย้ำ� ว่า “กาลามะท้งั หลาย เม่ือใด ท่านทัง้ หลายพงึ รดู้ ว้ ยตนเองเทา่ นนั้ วา่ ธรรมเหลา่ นเี้ ปน็ อกศุ ล ธรรมเหลา่ นมี้ โี ทษ ธรรมเหลา่ น้ีผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่าน้ีท่ีบุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อไม่เก้ือกูล เพอื่ ทกุ ข์ เม่ือนัน้ ท่านท้ังหลายควรละธรรมเหล่าน้นั เสีย” 1 จากพระด�ำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้างต้นสรุปได้ว่า อย่าปลงใจเชื่อโดย ง่าย ไม่ว่าธรรมหรือความรู้ทไ่ี ด้ยินได้ฟังนน้ั จะน่าเช่อื ถอื ด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม อย่า ปลงใจเชอ่ื จนกวา่ เราจะพงึ รไู้ ดด้ ว้ ยตนเองหรอื จนกวา่ จะไดท้ ดลองพสิ จู นจ์ นรไู้ ดด้ ว้ ย ตนเองว่า ธรรมน้ีหรอื ความรู้นเ้ี ป็นกุศลหรอื อกุศล มโี ทษหรอื ไม่มีโทษ เม่ือรู้ได้ด้วย ตนเองแลว้ กใ็ หล้ ะธรรมทมี่ โี ทษและปฏบิ ตั เิ ฉพาะธรรมทไ่ี มม่ โี ทษแตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว พระอริยสาวกทั้งหลายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เจริญรอยตามพระด�ำรัสน้ี เช่น พระสารีบุตร เป็นต้น สมยั หนง่ึ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรสั เรยี กพระสารีบตุ รมา แล้วตรสั ว่า ดกู ่อนสารบี ุตร เธอเชื่อหรือว่า สทั ธนิ ทรยี ์ที่บุคคลเจริญแล้ว กระท�ำให้ มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบ้ืองหน้า มีอมตะเป็นที่สุด วิริยินทรีย์ ฯลฯ ปญั ญนิ ทรยี ์ ทบ่ี คุ คลเจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ ยอ่ มหยง่ั ลงสอู่ มตะ มอี มตะ เป็นเบ้ืองหน้า มอี มตะเป็นที่สดุ 1 เกสปตุ ติสตู ร, อังคุตตรนกิ าย ทุกนิบาต, มจร. เล่ม 20 ข้อ 66 หน้า 255-257. วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 344 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเร่ืองน้ี ข้าพระองค์ไม่ถึง ความเชื่อต่อพระผู้มพี ระภาคเจ้าว่า สทั ธนิ ทรยี ์ ฯลฯ ปัญญินทรยี ์ อนั บุคคลเจริญ แล้ว กระท�ำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบ้ืองหน้า มีอมตะเป็น ทส่ี ดุ ... กอ็ มตะนน้ั ขา้ พระองคร์ แู้ ลว้ เหน็ แลว้ ทราบแลว้ กระท�ำใหแ้ จง้ แลว้ พจิ ารณา เห็นแล้วด้วยปัญญา ข้าพระองค์จึงหมดความเคลือบแคลงสงสัยในอมตะนั้นว่า สัทธนิ ทรีย์ ฯลฯ ปัญญนิ ทรีย์ อนั บคุ คลเจรญิ แล้ว กระท�ำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลง สู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นท่ีสุด เม่ือพระสารีบุตรกล่าวจบ พระสมั มาสัมพุทธเจ้ากท็ รงตรสั สรรเสรญิ พระสารบี ุตร 1 โดยสรปุ คอื หากยงั ไมไ่ ดเ้ ขา้ ถงึ ไมบ่ รรลดุ ว้ ยตนเอง กเ็ พยี งแตร่ บั ฟงั ไว้ ตอ่ เมอ่ื ปฏิบัตจิ นเข้าถงึ ด้วยตนเองแล้วจึงปักใจเชอื่ โดยปราศจากความเคลอื บแคลงสงสัย กระต่ายตื่นตูม อุทาหรณ์การเชือ่ โดยไม่ได้พสิ ูจน์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ในอดีตกาล พระโพธิสตั ว์บังเกิดในก�ำเนดิ ราชสีห์ อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ในสมัยนั้น มีดงตาลปนกับต้นมะตูมอยู่ในท่ีใกล้กับทะเล วนั หน่ึง กระต่ายตัวหน่งึ มานอนอยู่ใต้ใบตาล และคดิ ว่า ถ้าแผ่นดนิ นถ้ี ล่ม เราจกั ไป ท่ไี หน ขณะนน้ั เอง ผลมะตมู สุกผลหนึง่ หล่นลงบนใบตาลน้ัน เพราะเสียงใบตาลกระต่ายนั้นจึงคดิ ว่า แผ่นดนิ ถล่มแน่ จึงกระโดดหนีไปไม่ เหลยี วหลงั กระตา่ ยตวั อนื่ จงึ ถามวา่ ทา่ นกลวั อะไร กระตา่ ยนนั้ กลา่ ววา่ แผน่ ดนิ ถลม่ ทน่ี นั่ คราวนนั้ กระตา่ ย 1,000 ตวั ไดร้ ว่ มกนั หนตี ามไป และยงั มสี ตั วอ์ นื่ ๆ อกี จ�ำนวน มากตลอดพืน้ ท่ี 16 กิโลเมตรหนตี ามไปด้วยเพราะเช่อื ว่า แผ่นดินถล่มจรงิ ๆ พระโพธิสตั ว์เห็นสัตว์เหล่านัน้ ก�ำลงั หนีอยู่ จึงถามว่า นี่อะไรกัน เมอ่ื ได้ฟังว่า ทนี่ นั่ แผน่ ดนิ ถลม่ จงึ คดิ วา่ ธรรมดาแผน่ ดนิ ถลม่ ยอ่ มไมม่ ใี นกาลไหน ๆ สตั วเ์ หลา่ 1 ปุพพโกฏฐกสตู ร, สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค, มก. เล่ม 31 ข้อ 983-986 หน้า 73-75. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 345 วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

นน้ั จักเห็นอะไรบางอย่างเป็นแน่ ถ้าเราไม่ช่วยสตั ว์ทง้ั ปวงจักพินาศ พระโพธสิ ตั ว์จึง วิ่งยังเชิงเขาแล้วบันลือสีหนาทข้ึน 3 คร้ัง ด้วยความกลัวราชสีห์ สัตว์เหล่านั้นจึง หยุดวงิ่ ยนื รวมกนั อยู่เป็นกลุ่ม ๆ ราชสหี ถ์ ามวา่ พวกทา่ นหนเี พอื่ อะไร สตั วเ์ หลา่ นน้ั กลา่ ววา่ แผน่ ดนิ ถลม่ ราชสหี ์ ถามว่า ใครเหน็ แผ่นดินถล่ม สตั ว์เหล่านน้ั กล่าวว่า ช้างรู้ ช้างกล่าวว่า พวกข้าพเจ้า ไม่รู้ พวกสหี ะรู้ สหี ะก็กล่าวว่า พวกข้าพเจ้าไม่รู้ พยคั ฆ์รู้ แรด... โค... กระบือ... โคลาน... สกุ ร... มฤค... พวกมฤคกก็ ลา่ ววา่ ขา้ พเจา้ ไมร่ ู้ พวกกระตา่ ยรู้ พวกกระตา่ ย จึงบอกว่า กระต่ายตวั นน้ั พดู พระโพธสิ ตั วจ์ งึ สอบถามกระตา่ ยตวั นน้ั และพาไปดทู เี่ กดิ เหตุ ไมเ่ หน็ แผน่ ดนิ ถลม่ แตพ่ บลกู ตาลสกุ ตกอยบู่ นใบตาล จงึ บอกเรอื่ งทงั้ หมดใหส้ ตั วท์ ง้ั หลายทราบ ใน กาลนน้ั ถา้ พระโพธสิ ตั วไ์ มช่ ว่ ยไว้ สตั วเ์ หลา่ นน้ั จะวง่ิ ลงสทู่ ะเลพากนั ตายทงั้ หมด เมอื่ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าแสดงธรรมจบแล้วทรงประชุมชาดกว่า ราชสีห์ในคร้งั น้นั คือ เราตถาคต 1 จากเรื่องกระต่ายตื่นตูมท่ีกล่าวมานี้จะเห็นว่า การเช่ือโดยไม่ได้พิสูจน์ด้วย ตนเองเปน็ อนั ตราย และไมใ่ ชแ่ นวทางทถี่ กู ตอ้ ง เจตคตอิ นั นเ้ี ปน็ หลกั การทสี่ �ำคญั อนั หนึง่ ในพระพทุ ธศาสนา ซึง่ เป็นเคร่ืองยนื ยันได้เป็นอย่างดีว่า พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ไมไ่ ดส้ อนใหค้ นเชอื่ อยา่ งงมงาย แตท่ รงสอนใหค้ นรจู้ กั ใชป้ ญั ญาในการพจิ ารณา สอน ให้รู้จกั การพสิ จู น์ด้วยตนเอง แต่ทงั้ น้ีการทดลองพิสูจน์น้ันต้องแยกแยะว่า ส่ิงไหน ควรพิสูจน์ สง่ิ ไหนไม่ควร เช่น เร่อื งยาเสพติด เป็นสง่ิ ทีไ่ ม่ควรทดลองพสิ จู น์ว่ามนั ไม่ดีอย่างไร เพราะโทษของมนั เราเหน็ ได้อย่างชดั เจนอยู่แล้ว 1 ทุททภุ ายชาดก, ขทุ ทกนิกาย ชาดก, มก. เล่ม 58 ข้อ 586-589 หน้า 530-537. วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 346 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org

10.3 ลักษณะของความรู้ในพระไตรปิฎก ลักษณะของความรู้ท่ีส�ำคญั ในพระไตรปิฎก คอื เป็นความรู้ทต่ี ั้งอยู่บนหลกั เหตุและผล ดงั ทพ่ี ระอสั สชิได้แสดงธรรมโดยย่อเรื่อง อรยิ สจั 4 ซ่ึงเป็นหวั ใจของ พระพุทธศาสนาแก่อุปติสสปริพาชกว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรง แสดงเหตแุ หง่ ธรรมเหลา่ นน้ั และความดบั แหง่ ธรรมเหลา่ นนั้ พระมหาสมณะมปี กติ ทรงสั่งสอนอย่างน”ี้ 1 ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ หมายถึง ความทุกข์เกิดจากเหตุ คือ ตัณหา พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่าน้ัน และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น หมายถงึ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา และทรงแสดง ความดบั แห่งทกุ ข์ คือ นโิ รธ ซงึ่ หมายรวมถึง มรรคมีองค์ 8 อนั เป็นหนทางแห่ง ความดบั ทุกข์ด้วย อรยิ สจั 4 นคี้ รอบคลุมค�ำสอนท้ังหมดของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า พระอัสสชิ จึงกล่าวกับอุปติสสปริพาชกว่า พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างน้ี กล่าวคือ ปกตพิ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั สอนเรอ่ื งอรยิ สจั 4 สว่ นทเี่ หลอื เปน็ เรอื่ งของการขยาย ความเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจมากข้ึน เพราะบางคนมีปัญญาน้อย ฟังธรรมโดยย่อ เพียง 2 บรรทัด ดังที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสปริพาชกไม่อาจเข้าใจได้ ส่วน อุปติสสปริพาชกนั้นมีปัญญามากฟังธรรมเพียงแค่นั้นก็เข้าใจและได้บรรลุเป็นพระ- โสดาบนั เมือ่ ท่านอุปสมบทแล้วชาวพุทธรู้จักท่านในนามพระสารบี ตุ รเถระ การทคี่ วามรใู้ นพระไตรปฎิ กตงั้ อยบู่ นหลกั เหตแุ ละผลน้ี สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะ ของความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาธรรมชาติ เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุทท่ี �ำให้เกดิ ผล คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ขน้ึ เม่อื รู้ แลว้ กต็ ง้ั เปน็ ทฤษฎหี รอื กฎขน้ึ มา และน�ำกฎหรอื ทฤษฎเี หลา่ นน้ั มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ 1 พระวินยั ปิฎก มหาวรรค, มก. เล่ม 6 ข้อ 68 หน้า 125. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 347 วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ประจ�ำวัน น�ำมาพฒั นาเป็นเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นเหตุให้โลกมีความเจรญิ ก้าวหน้า แตค่ วามรทู้ น่ี กั วทิ ยาศาสตรค์ น้ พบนนั้ ยงั เปน็ ความรทู้ างโลกยิ ะ ไมอ่ าจชว่ ยใหผ้ ศู้ กึ ษา พ้นทกุ ขไ์ ด้ ต่างกบั ความร้ทู พ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าคน้ พบ คอื อรยิ สจั 4 ซง่ึ เปน็ ความ รู้ทางโลกุตตระสามารถช่วยให้ผู้ท่ีศกึ ษาและปฏิบัติพ้นจากทุกข์ได้ แต่ท้ังน้ีก็มีทฤษฎีที่ส�ำคัญบางทฤษฎีท่ีนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าไม่เป็นไปตาม กฎแห่งเหตุผลคือ “ทฤษฎีควอนตัม” ซ่งึ มหี ลักการว่า ในโลกของสสารทม่ี ีขนาดเล็ก ไม่มีความคงท่ีสม�่ำเสมอ ไม่มีกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน สิ่งท่ีสามารถพยากรณ์ได้ในโลก แห่งอนุภาคมเี พียงความน่าจะเป็นเท่านนั้ ไอน์สไตน์เองกก็ งั วลว่า ควอนตัมฟิสิกส์ เตบิ โตโดยไม่เคารพกฎการเรียงล�ำดับเหตุ (cause) ไปสู่ผล (effect) ไอน์สไตน์มี ความเชอ่ื มนั่ วา่ ทฤษฎคี วอนตมั ยงั ไมส่ มบรู ณต์ อ้ งมคี วามผดิ พลาดบางประการ แต่ เขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าทฤษฎีนี้มีความผิดพลาดตรงไหน ซึ่งต้องรอนักฟิสิกส์ใน ปัจจุบนั ช่วยกันศึกษาค้นคว้าเพ่อื ให้เกดิ ความกระจ่างในเร่ืองน้ตี ่อไป 10.4 วิธีการแสวงหาความรู้ในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ถึงวิธกี ารแสวงหาความรู้หรอื ปัญญาไว้ 3 ประการ คอื สตุ มยปญั ญา, จนิ ตามยปญั ญา และภาวนามยปญั ญา 1 โดยแตล่ ะประการมคี วาม หมายดงั น้ี 10.4.1 สตุ มยปัญญา : ปัญญาอันเกดิ จากการฟัง สตุ มยปัญญา มาจาก สตุ (ฟงั ) + มย (ส�ำเรจ็ ดว้ ย) + ปญญฺ า (ปัญญา) หมาย ถึง ปัญญาอันส�ำเร็จด้วยการฟัง หรือความรู้อันเกิดจากการฟัง แต่ในปัจจุบันยัง หมายรวมไปถึงการอ่าน, การด,ู การชม ฯลฯ ด้วย ในสมัยพทุ ธกาลยงั ไม่มีหนงั สือ ให้อ่าน ยังไม่มสี ่อื ต่าง ๆ ให้ดู การเรียนรู้ส่งิ ต่าง ๆ จะใช้การฟังจากครูเป็นหลัก แต่ 1 สังคีตสิ ตู ร, ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, มจร. เล่ม 11 ข้อ 107 หน้า 271. วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก 348 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org

ปจั จบุ นั ชอ่ งทางการเรยี นรมู้ มี าก ไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งฟงั จากครโู ดยตรง สามารถอา่ นไดจ้ าก หนงั สือท่คี รูหรอื ผู้รู้ท่านต่าง ๆ เขียนเอาไว้ สามารถดไู ด้จากส่อื การเรยี นรู้ต่าง ๆ ที่ มอี ยู่มากมาย หัวใจหลักของ สตุ มยปัญญา คือ การจบั ประเด็นให้ได้ว่า ผู้พูด ๆ ถึงเรื่อง อะไรบา้ ง ประเดน็ ใหญค่ อื อะไร ประเดน็ ยอ่ ยมอี ะไรบา้ ง จบั ประเดน็ ใหไ้ ดว้ า่ หนงั สอื ทีอ่ ่านกล่าวถึงเรอื่ งอะไร หากไม่รู้จักจบั ประเด็น เราจะได้ประโยชน์จากการฟังหรือ การอา่ นนอ้ ยมาก เพราะเมอ่ื ฟงั หรอื อา่ นหนงั สอื จบแลว้ จะจ�ำอะไรแทบไมไ่ ดเ้ ลย แต่ ถา้ จบั ประเดน็ ได้ อยา่ งนอ้ ย ๆ เราจะจ�ำประเดน็ ได้ เมอ่ื จ�ำประเดน็ ไดจ้ ะสามารถเชอ่ื ม โยงไปสู่รายละเอยี ดได้ ความรู้ท่ีได้จากสตุ มยปัญญา จงึ เป็นความรู้ประเภท ความ รู้จ�ำ 10.4.2 จินตามยปัญญา : ปัญญาอันเกดิ จากการคิด จินตามยปัญญา มาจาก จินฺต (ความคิด) + มย (ส�ำเรจ็ ด้วย) + ปญฺญา (ปัญญา) หมายถงึ ปัญญาอันส�ำเร็จด้วยความคดิ หรอื ความรู้อันเกดิ จากความคิด กล่าวคือ เม่ือจบั ประเดน็ ในสงิ่ ท่ฟี ังหรอื อ่านได้แล้ว ก็ต้องน�ำความรู้น้ันมาไตร่ตรอง เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจ เพราะหากเพยี งแคจ่ �ำไดแ้ ตไ่ มน่ �ำมาไตรต่ รองใหเ้ ขา้ ใจ ตวั เราเองกจ็ ะไม่ ต่างอะไรกบั “Hard disk” เกบ็ ข้อมลู เท่านนั้ กล่าวคอื “Hard disk” จ�ำข้อมูลได้ มากมายแต่มันไม่ได้เข้าใจในข้อมลู น้ันเลย หลกั ในการไตรต่ รองนน้ั เราจะตอ้ งสาวไปหาเหตดุ ว้ ยการตงั้ ค�ำถามวา่ ท�ำไมผู้ พดู จงึ กลา่ วอยา่ งนนั้ ท�ำไมจงึ เปน็ อยา่ งนน้ั ท�ำไมไมเ่ ปน็ อยา่ งนี้ เมอื่ เรารจู้ กั ตง้ั ค�ำถาม ท�ำไม กับสงิ่ ที่ศกึ ษาบ่อย ๆ แล้วเราจะเข้าใจในส่ิงนน้ั ๆ ได้อย่างลกึ ซ้งึ และสามารถ ประยุกต์ใช้ได้ ความเจรญิ ของโลกโดยเฉพาะทางด้านวัตถใุ นปัจจบุ นั ก็เจริญข้นึ มา ได้ด้วยการรู้จักตงั้ ค�ำถามว่า Why Why Why… ของนกั วทิ ยาศาสตร์ต่อธรรมชาติ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 349 วิทยาศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org