พระภิกษุทุกรปู จะต้องเข้าร่วมประชุมทบทวนพระวนิ ัยทกุ 15 วนั เพอ่ื ให้จ�ำได้อย่าง แมน่ ย�ำ ซงึ่ ตา่ งกบั กฎหมายทางโลกทไ่ี มม่ รี ะบบการศกึ ษาทบทวนอยา่ งตอ่ เนอ่ื งเชน่ น้ี แต่ละประเทศจงึ มีประชาชนจ�ำนวนมากทีไ่ ม่รู้กฎหมาย สิกขาบททง้ั 227 ข้อ รวมท้งั สิกขาบทปลกี ย่อยอน่ื ๆ นน้ั เป็นพทุ ธบญั ญัติ ทั้งสิ้น กล่าวคือ เม่ือมีเหตุท่ีไม่เหมาะสมจากการกระท�ำของพระภิกษุเกิดข้ึน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงเรียกประชุมสงฆ์ สอบถามเร่ืองราว ต�ำหนิผู้กระท�ำ ความผิด แจกแจงให้ทราบว่าการกระท�ำน้ันไม่เหมาะสม มีโทษอย่างไร แล้วทรง บญั ญตั พิ ระวนิ ยั ขนึ้ หา้ มมใิ หพ้ ระภกิ ษกุ ระท�ำอยา่ งนนั้ อกี พรอ้ มก�ำหนดโทษวา่ หาก ภกิ ษุรูปใดฝืนไปกระท�ำ จะมโี ทษอย่างไร ส่วนภกิ ษุทเี่ ป็นเหตตุ ้นบญั ญตั นิ น้ั ถอื ว่ายงั ไม่ต้องรับโทษ เพราะในขณะกระท�ำการนน้ั ยังไม่มบี ทบญั ญตั ิห้าม พระองค์ไม่ปรับ ความผิดย้อนหลัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยข้ึนทีละข้อตามเหตุที่ เกดิ ขนึ้ อยา่ งนี้ สว่ นพระสาวกเปน็ ผศู้ กึ ษาและปฏบิ ตั ติ ามเทา่ นน้ั ซงึ่ ตา่ งกบั การบญั ญตั ิ กฎหมายในทางโลกทจี่ ะมกี ารประชมุ ระดมความคดิ กนั จากนกั กฎหมายจ�ำนวนมาก และน�ำเสนอเพ่ืออนุมตั จิ ากรัฐสภา หากรฐั สภาเหน็ ชอบก็สามารถน�ำกฎหมายนน้ั ๆ มาบงั คบั ใช้ได้ เหตุที่สิกขาบททุกข้อเป็นพุทธบัญญัติล้วนท�ำให้มีความศักดิ์สิทธ์ิ เป็นกรอบ แหง่ ความประพฤตแิ ละการอยรู่ ว่ มกนั ของคณะสงฆม์ ากวา่ 2,500 ปี เปน็ เสมอื นหนง่ึ รัฐธรรมนูญของคณะสงฆ์ ส่วนกติกาย่อยท่ีหมู่สงฆ์ในที่ใดท่ีหน่ึงก�ำหนดขึ้นน้ัน ก็ สามารถมีได้ตามความเหมาะสมของยุคสมัยและสถานการณ์ แต่จะต้องไม่ขัดหรือ แย้งกับพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นเหมือนกฎหมายท่ีต้องไม่ขัด ต่อรัฐธรรมนูญฉนั นน้ั เม่ือพระวินัยอันเป็นพุทธบัญญัติจึงท�ำให้ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ ทงั้ หมด ส่งิ น้มี สี ่วนส�ำคญั ย่งิ ต่อการสร้างเอกภาพในคณะสงฆ์มายาวนาน ลองคดิ ดู นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 200 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ว่า หากพระพทุ ธองค์ทรงอนุญาตให้พระสาวกบัญญัติพระวินัยได้ สาวกยุคหลังซึง่ ยังมีกิเลสอยู่และมีสติปัญญาไม่พออาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บัญญัติสิกขาบทท่ีไม่ควร บัญญัติขน้ึ รวมท้งั เพิกถอนสิกขาบททเ่ี ป็นพุทธบัญญัติต่าง ๆ เป็นเหตใุ ห้พระพุทธ- ศาสนาเสื่อมโดยเร็ว สิกขาบทท่ีไม่ได้เป็นพุทธบัญญัติน้ันจะขาดความสมบูรณ์และ ศกั ดิ์สิทธิ์ คณะสงฆ์บางคณะท่ไี ม่ยอมรับจะท�ำให้เกดิ ความแตกแยก ต่างกบั พทุ ธ- บัญญัติซ่ึงแม้กาลเวลาจะผ่านมา 2,500 กว่าปีแล้วแต่ก็ยังคงความสมบูรณ์และ ศกั ด์ิสิทธ์อิ ยู่ พระสาวกยงั ช่วยกนั รักษาไว้จนถึงปัจจบุ นั จดุ เดน่ อกี ประการหนง่ึ ของพระวนิ ยั คอื เนน้ การควบคมุ และตรวจสอบตนเอง กล่าวคอื พระภกิ ษุทไ่ี ปท�ำผิดพระวนิ ยั เข้า ถือว่ามคี วามผดิ ต้องโทษนบั ต้ังแต่กระท�ำ ความผิด เช่น ไปเสพเมถุนเข้าก็จะอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที ไมว่ า่ จะมผี อู้ นื่ รหู้ รอื ไมร่ กู้ ต็ าม ในขณะทก่ี ฎหมายทางโลกจะตอ้ งโทษกต็ อ่ เมอื่ ผทู้ �ำผดิ ถกู จับได้และถกู พิจารณาลงโทษแล้ว 7.2 ความเป็นมาของกฎหมายในพระไตรปิฎก จากเนื้อหาในอัคคัญญสตู รในบทที่ 5 แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคม มนุษย์โดยเฉพาะเร่ืองการเมืองการปกครอง ซึ่งเก่ียวข้องกับนิติศาสตร์หรือเร่ือง กฎหมายดว้ ย ในยคุ แรกทม่ี นษุ ยบ์ งั เกดิ ขนึ้ บนโลกนนั้ ยงั ไมม่ รี ะเบยี บกฎเกณฑใ์ ด ๆ เพราะมนษุ ยย์ คุ นน้ั มบี ญุ มากเพงิ่ จตุ ลิ งมาจากพรหมโลก รวู้ า่ อะไรควรท�ำและอะไรไม่ ควรท�ำ จึงอยู่ร่วมกนั ได้อย่างสงบสุข เมอื่ กาลเวลาผา่ นไปยาวนาน มนษุ ยท์ ม่ี กี เิ ลสมากเรม่ิ มาบงั เกดิ ขนึ้ ประกอบกบั สง่ิ แวดลอ้ มบนโลกกระตนุ้ ใหก้ เิ ลสทม่ี อี ยใู่ นใจของแตล่ ะคนฟขู น้ึ เปน็ เหตใุ หม้ กี ารท�ำ อกศุ ลกรรมตา่ ง ๆ ส่งผลให้สง่ิ แวดลอ้ มเสอื่ มและท�ำใหค้ นอนื่ ๆ ในสงั คมเดอื ดร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์เหล่านั้นจึงประชุมกันวางกฎระเบียบต่าง ๆ ขึ้น เช่น ปักปัน เขตแดนที่ท�ำกินกัน ไม่ล่วงล้�ำเขตแดนของกันและกัน มีการแต่งตั้งผู้ปกครองคือ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 201 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
กษตั รยิ ใ์ หเ้ ปน็ ใหญใ่ นทท่ี �ำกนิ ทงั้ ปวง มหี นา้ ทต่ี ดั สนิ ลงโทษคนกระท�ำผดิ กฎระเบยี บ ทห่ี มู่คณะตกลงกนั ไว้ กฎระเบยี บที่กล่าวมาน้ถี อื ว่าเป็นกฎหมายในสงั คมมนษุ ย์ยคุ แรก ๆ ซง่ึ ต่อมาก็ค่อย ๆ ววิ ัฒนาการมาตามล�ำดบั และมกี ฎระเบียบต่าง ๆ เพิ่ม มากขึน้ เรอ่ื ย ๆ นอกจากนี้ในจักกวัตติสตู รและมหาสุทัสสนสตู รมีการกล่าวถึง กุศลกรรมบถ 10 และศลี 5 ว่าเป็นกฎระเบียบของคนในสังคมด้วย แต่ศลี 5 และกุศลกรรมบถ 10 น้นั ไม่มีใครบัญญัตขิ ้ึน เป็น “มนุษยธรรม” ทม่ี ีมาแต่เดมิ ซ่ึงมนุษย์ผู้มีบุญจะรู้ ว่าเป็นสิง่ ทีพ่ งึ ปฏบิ ัติตาม หากล่วงละเมิดจะเกดิ ความเสือ่ ม แม้ในอคั คญั ญสูตรจะ ไม่ได้กล่าวถึงมนุษยธรรมโดยตรง แต่ถงึ กระนนั้ มนุษย์ยคุ แรกก็มสี งิ่ น้ปี ระจ�ำใจ จึง ท�ำให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ต่อมาเมื่อคนมีกิเลสมากข้ึนและได้ล่วงละเมิด มนษุ ยธรรมเหล่านี้ จงึ จ�ำเป็นต้องออกกฎระเบยี บอ่ืน ๆ เพ่มิ ขึน้ เพือ่ เป็นกรอบกติกา ควบคุมคนในสงั คมให้อยู่ร่วมกันด้วยความสงบเรยี บร้อย คล้าย ๆ กบั ยคุ ปัจจบุ ัน ซงึ่ คนมกี เิ ลสมากจงึ ตอ้ งมกี ฎหมายตา่ ง ๆ มากมายชว่ ยบงั คบั ควบคมุ จะอาศยั เพยี ง ศีล 5 และกศุ ลกรรมบถ 10 นั้นไม่เพียงพอแล้ว กฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นเพ่ือแก้ปัญหาสังคม เกิดขึ้นเพ่ือ ปราบปรามคนพาลอภิบาลคนดี เป็นกรอบให้คนในสงั คมปฏิบตั ิตาม การบงั เกดิ ข้นึ ของพระวนิ ยั สกิ ขาบทต่าง ๆ ของพระภกิ ษใุ นพระพุทธศาสนากม็ ลี กั ษณะเดยี วกนั นี้ สว่ นสงั คมใดทมี่ คี นดมี คี ณุ ธรรมมากหรอื เปน็ สงั คมของคนมบี ญุ มาก สงั คมนน้ั กไ็ มม่ ี ความจ�ำเปน็ ตอ้ งบญั ญตั กิ ฎหมายตา่ ง ๆ ขนึ้ เพราะคนจะรวู้ า่ สงิ่ ใดควรท�ำและไมค่ วร ท�ำ จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขโดยอตั โนมัติ จากท่ีกล่าวมาน้ีเป็นความเป็นมาของกฎหมายซึ่งปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ส�ำหรบั รายละเอยี ดในประเดน็ อน่ื ๆ ของนติ ศิ าสตรน์ นั้ จะกลา่ วถงึ เรอ่ื งพระวนิ ยั ของ พระภิกษุเป็นหลัก เพราะมีข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนสะท้อนให้เห็นถึงหลักนิติศาสตร์ นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 202 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ในพระไตรปิฎกได้เป็นอย่างดี 7.3 พระวนิ ัย คอื กฎหมายในพระไตรปิฎก ในพระพุทธศาสนา กฎหมายคืออะไร ค�ำที่ใกล้ที่สุด ตรงท่ีสุด ก็คือค�ำว่า “วินัย” หรือ “ศีล” หรือถ้าเรยี กเป็นข้อ ๆ ก็คอื สกิ ขาบท ค�ำว่า วนิ ยั หมายถึง “กฎ ส�ำหรับฝึกอบรมกาย และ วาจา” เพราะเป็นเครอื่ งป้องกันความประพฤติท่ีไม่เหมาะ สมทางกายและทางวาจา เร่ืองวินัยในพระพุทธศาสนานั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และมี ความส�ำคญั มากเพราะเป็น 1 ใน 3 ของพระไตรปิฎกทเี ดียว นน่ั คือ พระวินัยปิฎก จริง ๆ แล้วค�ำว่า พระไตรปิฎก ทีเ่ ราเรียกกันปัจจบุ นั นี้ เป็นค�ำใหม่ซึ่งเกิดขนึ้ ในยุคหลัง ศพั ท์เดมิ ท่ีใช้ในสมัยพุทธกาล คอื ค�ำว่า “ธรรมวนิ ัย” ธรรมวนิ ัย มาจาก ค�ำคู่คอื ธรรม กบั วนิ ยั แล้วรวมกนั เป็นเอกพจน์ คอื สองอย่างแต่รวมเป็นอนั เดยี ว เราจะต้องมองเหน็ ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ค�ำนี้ แล้วจะเห็นหลกั การของพระพุทธ- ศาสนาทั้งหมด ธรรม หมายถงึ ความจรงิ ทมี่ อี ยแู่ ลว้ ในธรรมชาติ ดงั พระด�ำรสั วา่ พระตถาคต ทง้ั หลายเสด็จอบุ ตั ิขึน้ ก็ตาม ไม่เสด็จอุบตั ิข้นึ กต็ าม ธาตอุ ันนัน้ คือ ธมั มฐติ ิ ธมั มนิ- ยาม อทิ ปั ปัจจยั กย็ ังด�ำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรสั รู้ท่ัวถึงธาตอุ นั นนั้ ครั้นแล้วย่อมตรสั บอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตงั้ เปิดเผย จ�ำแนก กระท�ำให้ต้นื และตรสั ว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ 1 ธรรมเป็นความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดาของมัน เราอาจจะแปลได้หลายอย่าง เช่น แปลว่า ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ความเป็นจริง เป็นต้น พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า ตรัสรู้ธรรมด้วยการเข้าถึงพระธรรมกายภายใน จึงได้รู้แจ้งความจริงต่าง ๆ ใน ธรรมชาตดิ ้วยพระธรรมกายนั้น 1 ปัจจยสูตร, สังยตุ ตนิกาย นิทานวรรค, มก. เล่ม 26 ข้อ 61 หน้า 96. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 203 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วก็เสด็จจาริกส่ังสอนชาวโลก แต่การที่จะส่ังสอนธรรมให้บังเกิดประโยชน์แก่คนหมู่มากและเกิดระบบการสอน ธรรมสืบต่อไปอย่างต่อเนื่องยาวนานแม้พระองค์จะปรินิพพานไปแล้วน้ัน พระองค์ ไมอ่ าจจะท�ำเพยี งล�ำพงั ได้ จ�ำเปน็ อยา่ งยง่ิ ทจี่ ะตอ้ งจดั ตงั้ “องคก์ ร” ขน้ึ มา เพอื่ รองรบั งานเผยแผพ่ ระธรรมของพระองค์ องคก์ รในทน่ี คี้ อื “สงั ฆะ” หรอื “สงฆ์” สงั ฆะไม่ใช่ บคุ คล ในภาษาไทยเรามองค�ำว่าสงฆ์นีเ้ ป็นตัวพระภกิ ษุไป ค�ำว่า สงฆ์ หมายถงึ หมู่ หรอื ชมุ ชน หมายความว่าต้องมีคนจ�ำนวนหนง่ึ มารวมตวั กัน ไม่ใช่คนเดยี ว แต่สงฆ์ เป็นชุมชนทจี่ ดั ตงั้ ข้นึ มา เมือ่ ต้ัง สังฆะ หรอื ชมุ ชนขึ้นมาแล้ว เมื่อมคี นมารวมกนั แล้ว ก็มคี วามจ�ำเป็น อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งมกี ฎระเบยี บ จะตอ้ งมกี ารจดั วางระบบแบบแผน เพอื่ ให้สมาชกิ ทกุ คนปฏิบตั ิไปในทศิ ทางเดยี วกัน จะเป็นเหตุให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสขุ วนิ ัย จงึ ถกู บัญญัตขิ ้ึนเพื่อเป็นกรอบความประพฤตทิ างกายและวาจาของคน ในสังฆะทีจ่ ัดตั้งข้ึน เพ่อื เอื้อให้สมาชกิ ทกุ คนในสงั ฆะอยู่รวมกันอย่างเป็นสขุ จะได้ ศกึ ษาและเผยแผ่ “ธรรม” อนั เป็นเป้าหมายของการเข้ามาอยู่ในสงั ฆะได้อย่างเต็มที่ และเมอื่ ตรสั รธู้ รรมแลว้ กจ็ ะไดช้ ว่ ยกนั เผยแผธ่ รรมทตี่ นไดต้ รสั รสู้ บื ตอ่ ไป พระสมั มา- สมั พทุ ธเจ้าตรสั วัตถุประสงค์ของการบญั ญัตพิ ระวินยั ไว้ 10 ประการ 1 แต่โดยภาพ รวมแล้วทั้ง 10 ประการน้นั กม็ จี ดุ มุ่งหมายหลักดงั ที่ได้กล่าวมานี้ สรุปว่าเดิมนัน้ มธี รรม แต่เพื่อให้คนหมู่ใหญ่ได้ประโยชน์จากธรรม จงึ มวี นิ ยั ขน้ึ มาจดั สรรความเป็นอยู่ของหมู่มนุษย์ให้เกิดโอกาสอันดีทีส่ ุด ทจี่ ะใช้ธรรมให้เป็น ประโยชน์หรือได้ประโยชน์จากธรรมน้ัน ถ้าจัดต้ังวางระบบแบบแผนโดยไม่มีธรรม คอื ความจรงิ ทีแ่ ท้เป็นฐานแล้ว การจดั ต้ังน้ันก็ไร้ความหมาย ดงั นัน้ วินยั คือ การ จัดตัง้ ของมนุษย์จงึ ต้องตง้ั อยู่บนฐานของธรรม คอื ตัวความจริงแท้ ธรรมจงึ สูงสดุ 1 หมายเหตุ ดรู ายละเอียดหน้า 217. นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 204 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ในโลก ธรรมสูงสุดในสังคมมนุษย์ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ทรงเคารพธรรม ธรรมจงึ เป็นฐานของวินยั และเป็นท้งั จุดหมายของวนิ ยั 1 ธรรมเป็นเรอ่ื งของความจรงิ แท้ในธรรมชาติ ส่วนวนิ ยั ถูกบญั ญตั ขิ น้ึ เพอื่ หนนุ ธรรมในพระพุทธศาสนา เมอื่ พดู ถึง ธรรม เราจะใช้ค�ำว่า แสดง เพราะธรรมเป็น ความจรงิ ท่ีมอี ยู่ตามธรรมดา เราเพยี งแต่ไปรู้และแสดงมนั แต่ถ้าพดู ถึง วินยั จะใช้ ค�ำว่า บัญญตั ิ เพราะเป็นเร่ืองทจี่ ดั ตัง้ หรือท�ำขนึ้ มา เพราะฉะนั้นเราจงึ พดู ว่า พระ- สัมมาสมั พุทธเจ้า “ทรงแสดงธรรม” และพดู ว่า “ทรงบญั ญตั ิวินัย” พระวินัยทพี่ ระ- สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติน้ีหมายเอาศีล 227 ข้อของพระภิกษุ อย่างไรก็ตาม พระวินัยหรอื ศีลที่พระสมั มาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บญั ญตั ขิ น้ึ กม็ ี ได้แก่ ศลี 5, ศีลท่ีอยู่ ในมรรคมอี งค์ 8 ได้แก่ สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ และสมั มาอาชีวะ ซึง่ เป็นศลี ที่ มมี าแต่เดมิ อยู่ในธรรมทีพ่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรัสรู้ องค์กรสงฆ์ยคุ แรกซึ่งมเี ฉพาะพระอรยิ เจ้านั้น พระสมั มาสัมพุทธเจ้ายงั ไม่ได้ บัญญตั วิ นิ ยั คอื ศีล 227 ข้อข้ึนแม้แต่ข้อเดียว ทง้ั นเี้ พราะพระอริยเจ้าท้งั หลายนน้ั เปน็ ผมู้ กี เิ ลสเบาบาง มวี นิ ยั ในตวั เองคอื มสี มั มาวาจา มสี มั มากมั มนั ตะ และมสี มั มา- อาชีวะ ปกครองตนเองได้ รู้ว่าอะไรควรท�ำ ไม่ควรท�ำ จึงไม่จ�ำเป็นต้องบัญญัติ พระวินัยเพ่ิมอีก นอกจากน้ีในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบางพระองค์ เช่น พระวิปัสสี พระสขิ ี และพระเวสสภู เป็นต้น กไ็ ม่มกี ารบญั ญัตพิ ระวนิ ัยเลยแม้แต่ ขอ้ เดยี วตราบจนแตล่ ะพระองคป์ รนิ พิ พาน เพราะพระภกิ ษใุ นยคุ นน้ั เปน็ ผไู้ มม่ โี ทษ2 กลา่ วคอื กเิ ลสเบาบาง จงึ ไมท่ �ำในสงิ่ ทผี่ ดิ คอื เปน็ โทษ เพราะฉะนนั้ วนิ ยั กด็ ี กฎหมาย กด็ ีท่ีบัญญตั ิเพิ่มขนึ้ มาน้ันจึงจ�ำเป็นเฉพาะยคุ ท่ีคนมีกิเลสมากเท่านน้ั วินัย 227 ข้อของพระภิกษุนัน้ แต่ละข้อจะเรยี กว่า สกิ ขาบท ค�ำว่า สิกขาบท มาจาก สิกขา + บท “บท” คือ ข้อ และ “สิกขา” คือ ศึกษา สิกขาบทจงึ แปลว่า ข้อ 1 พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2539). นิติศาสตร์แนวพทุ ธ. หน้า 13-19 2 พระวินัยปิฎก เล่ม 1 มหาวิภังค์ ปฐมภาค ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล, มก. เล่ม 1 หน้า 344. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 205 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ศึกษา หรือข้อฝึก สิกขาบทแต่ละข้อที่บัญญัติขึ้นมาในวินัยจึงเป็นข้อศึกษาท้ังส้ิน ถ้าพระภกิ ษเุ รยี นร้พู ระพทุ ธศาสนาอย่างถกู ต้อง จะต้องมองสกิ ขาบทต่าง ๆ ว่าไม่ใช่ ข้อบงั คบั แต่เป็นข้อฝึกตน หรอื ข้อศกึ ษา เป็นแบบฝึกหัด และตอนท่ีบุคคลใด ๆ เข้ามา บวชเปน็ ภกิ ษนุ นั้ กม็ าบวชดว้ ยความสมคั รใจของตนเอง ไมม่ ใี ครบงั คบั เมอื่ บวชแลว้ อยู่ไม่ได้ จะลาสกิ ขาไปก็ไม่มีใครห้าม ดังนน้ั สกิ ขาบทแต่ละข้อจงึ เป็นข้อศึกษา เป็น บทฝึกตน ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อไม่เป็นข้อบังคับแสดงว่าไม่ จ�ำเปน็ ตอ้ งท�ำตามกไ็ ด้ เมอื่ บวชแลว้ กต็ อ้ งท�ำตามกจิ และขอ้ วตั รปฏบิ ตั ขิ องนกั บวชให้ สมบูรณ์จงึ จะได้ชือ่ ว่าเป็นนักบวช และจะบรรลวุ ตั ถุประสงค์ของการบวชได้ 7.3.1 สกิ ขาบทเป็นเหตใุ ห้พระศาสนาต้งั อยู่ได้นาน วันหน่ึงพระสารีบุตรได้สงสัยว่า ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ไม่ด�ำรงอยู่นาน ของพระองค์ใดด�ำรงอยู่นาน ท่านจึงเข้าไปกราบทูลถามพระผู้มี พระภาคเจา้ พระพทุ ธองคต์ รสั ตอบวา่ ดกู อ่ นสารบี ตุ ร ศาสนาของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ด�ำรงอยู่นาน ศาสนาของ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระนามกกสุ นั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกสั สปะด�ำรง อยู่นาน ซงึ่ สาเหตุท่ที �ำให้ศาสนาด�ำรงอยู่ไม่นานมี 3 ประการดงั น้ี (1) พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร คอื ไม่กว้างขวางละเอียดลออแก่สาวก ทั้งหลาย จึงท�ำให้พระธรรมค�ำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าท้ังสาม พระองค์นั้นมนี ้อย (2) สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ สิกขาบทในที่นี้ คือ ศีล 227 ข้อ ของพระภกิ ษุ นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 206 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(3) ปาฏิโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก ปาฏิโมกข์ในทีน่ ้ี คอื สิกขาบทข้อ ต่าง ๆ ส่วนการแสดงปาฏิโมกข์ คอื การยกสิกขาบททกุ ข้อท่บี ญั ญตั ิ ไว้แสดงในท่ีประชุมสงฆ์ทุกก่ึงเดือน 1 เพื่อให้พระภิกษุได้ทบทวนศีล ของตน แต่เม่อื ไม่มีการบัญญตั สิ ิกขาบทจึงไม่มกี ารแสดงปาฏิโมกข์ไป โดยปริยายด้วย เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่าน้ันและสาวกยุคแรกผู้ตรัสรู้ตามปรินิพพานไป แล้ว สาวกยคุ หลงั ที่ต่างชือ่ กัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกนั ออกบวชจากตระกลู ต่าง กัน จึงยังพระศาสนานน้ั ให้อนั ตรธานโดยฉับพลัน เปรยี บเสมือนดอกไม้ต่างพรรณ ท่ีเขากองไว้บนพื้นกระดาน ยังไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ลมย่อมพัดให้ดอกไม้เหล่านั้น กระจัดกระจายได้ ฉันนน้ั ส�ำหรับสาเหตุทที่ �ำให้ศาสนาด�ำรงอยู่นานนน้ั มี 3 ประการ เช่นกนั ดังน้ี (1) พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระนามกกสุ นั ธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนาม กสั สปะ ทรงแสดงธรรมโดยพสิ ดาร คอื กวา้ งขวางละเอยี ดลออแกส่ าวก ท้ังหลาย จึงท�ำให้พระธรรมค�ำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสาม พระองค์นั้นมีมาก (2) สกิ ขาบทกท็ รงบญั ญัติ (3) ปาฏโิ มกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก แมพ้ ระผ้มู พี ระภาคเจา้ เหล่านนั้ และสาวกยคุ แรกผตู้ รสั รตู้ ามจะปรนิ พิ พานไป แลว้ แตส่ าวกยคุ หลงั ทตี่ า่ งชอื่ กนั ตา่ งโคตรกนั ตา่ งชาตกิ นั ออกบวชจากตระกลู ตา่ ง กนั กด็ �ำรงพระศาสนานน้ั ไว้ได้ยาวนาน เปรยี บเสมือนดอกไม้ต่างพรรณทเ่ี ขากองไว้ บนพ้นื กระดาน ร้อยดแี ล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจดั ไม่ได้ ก�ำจัดไม่ได้ ฉันนนั้ 1 พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทตุ ิยภาค, มก. เล่ม 4 ข้อ 689 หน้า 757. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 207 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายสาเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามวิปัสสี พระนามสขิ แี ละพระนามเวสสภู ไมท่ รงแสดงธรรมโดยพสิ ดารแกส่ าวกทง้ั หลายไวว้ า่ ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าน้ัน คนมีอายุยืน มีกิเลสเบาบาง แค่ได้ฟัง อรยิ สจั 4 เพยี งพระคาถาเดยี ว ยอ่ มบรรลธุ รรมได้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เหลา่ นน้ั จงึ ไม่ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร ท�ำให้พระธรรมค�ำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าท้ัง สามพระองค์นั้นมีน้อย 1 กรณีพระสารบี ุตรในสมัยทย่ี ังเป็นอุปตสิ สปริพาชก ท่านเป็นผู้มีกิเลสเบาบาง และมีปัญญามาก เพียงแค่ได้ฟังธรรมจากพระอสั สชิเถระเรื่องอรยิ สัจ 4 เพียงคาถา เดยี วว่า “ธรรมเหล่าใด มีเหตเุ ป็นแดนเกิด พระตถาคตตรสั เหตแุ ห่งธรรมเหล่านน้ั และเหตุแห่งความดับแห่งธรรมเหล่านน้ั พระมหาสมณะมปี กติตรสั อย่างนี”้ 2 ธรรม ในทีน่ ี้ คือ ทุกข์ มีเหตุ คือ ตณั หาเป็นแดนเกิด ความดับแห่งทกุ ข์ คือ นิโรธ และ การจะดบั ทุกข์ คือ ขจัดตณั หาได้กต็ ้องปฏบิ ัติมรรคมีองค์แปด อุปตสิ สปรพิ าชกได้ ฟังเพยี งแค่น้กี เ็ ข้าใจแจ่มแจ้ง และได้บรรลธุ รรมเป็นพระโสดาบนั ลองคิดดูว่า หากพระสาวกและพระสาวิกาทุกรูปของพระสมณโคดมสัมมา- สมั พทุ ธเจา้ มปี ญั ญามากอยา่ งพระสารบี ตุ ร พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะไมไ่ ดแ้ สดงธรรม โดยพสิ ดารเลย เพราะแสดงเพยี งแค่คาถาเดยี วกบ็ รรลธุ รรมแล้ว จะมพี ระธรรมค�ำ สอนตกทอดมาถึงพวกเราเพียงแค่ 1 คาถาน้ี และโอวาทปาฏิโมกข์ท่ีพระสัมมา- สมั พทุ ธเจ้าทุกพระองค์จะต้องแสดงเท่านนั้ ซึง่ แม้พวกเราจะฟังก่รี ้อยกี่พันคร้ังก็ยัง ไม่บรรลุธรรมเสยี ที เนื่องจากเรายงั มกี เิ ลสมาก และมปี ัญญาน้อยอยู่น่นั เอง ความด�ำรงอยู่นานของศาสนา 2 ประเภท ความด�ำรงอยนู่ านของพระศาสนามี 2 ประเภท คอื ด�ำรงอยนู่ านโดยนบั จ�ำนวน ปี และด�ำรงอยู่นานโดยนับช่วงอายุคน พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสีมีพระชนมายุ 1 พระวินัยปิฎก เล่ม 1 มหาวิภังค์ ปฐมภาค ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล, มก. เล่ม 1 หน้า 344. 2 ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 40 หน้า 126. นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 208 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
80,000 ปี แม้สาวกในยุคของพระองค์ก็อายุประมาณนั้น ศาสนาของพระวิปัสสี สัมมาสัมพุทธเจ้าต้ังอยู่ได้ 160,000 ปี ส�ำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี มพี ระชนมายุ 70,000 ปี ศาสนาของพระองค์ตั้งอยู่ได้ 140,000 ปี ส่วนพระเวสภู- สัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 60,000 ปี ศาสนาของพระองค์ต้ังอยู่ได้ตลอด 120,000 ปี จริง ๆ แล้วถ้านับจ�ำนวนปีพระศาสนาของพระผู้พระภาคเจ้าท้ัง 3 พระองค์นมี้ ีอายุยนื นานมาก แต่ถ้านบั โดยช่วงอายุคนแล้วจะเหน็ ว่า ศาสนาตง้ั อยู่ ได้เพยี ง 2 ช่วงอายคุ นเท่านัน้ พระผู้มพี ระภาคเจ้าจึงตรสั ว่าไม่ด�ำรงอยู่นาน 1 ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะมีพระชนมายุ 40,000 ปี พระโกนาคมน์มีพระชนมายุ 30,000 ปี พระกสั สปะมพี ระชนมายุ 20,000 ปี แม้ พระสาวกในยคุ ของพระพทุ ธเจา้ เหลา่ นนั้ กม็ อี ายปุ ระมาณนนั้ ในศาสนาของพระผมู้ ี พระภาคท้ัง 3 พระองค์น้ีมีการบัญญัติสิกขาบท มีการแสดงปาฏิโมกข์ และมี พระธรรมค�ำสอนมาก ด้วยเหตนุ ีศ้ าสนาของพระผู้มพี ระภาคทั้ง 3 พระองค์จึงด�ำรง อยนู่ านโดยนบั จ�ำนวนปดี ว้ ย และด�ำรงอยนู่ านโดยนบั ยคุ ของคนดว้ ย2 ส�ำหรบั ศาสนา ในยุคของเราต้ังอยู่มาได้ 2,500 กว่าปีแล้ว ถ้านบั จ�ำนวนปีถอื ว่ายงั น้อยมาก แต่ถ้า นบั โดยช่วงอายคุ นจะได้หลายช่วงอายคุ น เพราะคนยุคของเรามอี ายุน้อย กล่าวคือ ในสมัยพุทธกาลคนมีอายุประมาณ 100 ปี หากน�ำตัวเลขนี้ไปค�ำนวณก็จะได้อายุ พระศาสนาถงึ 25 ชว่ งอายคุ นแลว้ และจะด�ำรงอย่ตู ่อไปไดต้ ราบเท่าทพ่ี ทุ ธบรษิ ทั ยงั รักการศกึ ษาและปฏบิ ตั ธิ รรม 7.3.2 กาลเวลาแห่งการบัญญตั สิ ิกขาบท เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสความส�ำคัญของสิกขาบทในฐานะที่จะท�ำให้ พระพุทธศาสนามีอายุยืนนานแล้ว พระสารีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า 1 พระวินัยปิฎก เล่ม 1 มหาวิภังค์ ปฐมภาค ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล, มก. เล่ม 1 หน้า 352. 2 แหล่งเดิม หน้า 352-353. สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 209 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ถึงเวลาแล้วพระพุทธเจ้าข้าท่ีจะทรงบัญญัติสิกขาบท ถึงเวลาแล้วท่ีจะทรงแสดง ปาฏิโมกข์แก่สาวก อันจะเป็นเหตุให้พระศาสนาน้ีด�ำรงอยู่ได้นาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “จงรอก่อน สารบี ุตร ตถาคตผู้เดียวจกั รู้กาลใน กรณนี น้ั กบ็ รรดาภกิ ษุ 500 รปู นภี้ กิ ษทุ ท่ี รงคณุ ธรรมอย่างตำ่� กเ็ ปน็ โสดาบนั มคี วาม ไม่ตกตำ่� เป็นธรรมดา เป็นผู้เท่ียง เป็นผู้ทีจ่ ะตรสั รู้ในเบือ้ งหน้า” กล่าวคอื พระภกิ ษุ ทั้ง 500 รูปนัน้ ต่างกเ็ ป็นพระอรยิ บคุ คล จึงรู้ว่าอะไรควรท�ำ อะไรไม่ควรท�ำ ไม่ท�ำใน สิ่งท่ีผิดพลาดให้เกิดความเส่ือมเสีย จึงยังไม่มีความจ�ำเป็นต้องบัญญัติพระวินัยใน ตอนนนั้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงกาลแห่งการบัญญัติสิกขาบทและแสดงปาฏิ- โมกข์ว่าจะกระท�ำเม่ือ “มอี าสวัฏฐานิยธรรม คือ ธรรมอนั เป็นทต่ี ้งั แห่งอาสวะ เช่น การเสพเมถนุ การลักทรัพย์ การอวดคุณวิเศษทไี่ ม่มใี นตน เป็นต้น เกิดข้นึ ในสงฆ์ หรือในศาสนาน้”ี เม่ือใดอาสวัฏฐานยิ ธรรมเหล่านนั้ ปรากฏขนึ้ เมื่อนน้ั พระศาสดาจึง จะบัญญตั สิ กิ ขาบท แสดงปาฏโิ มกข์แก่สาวก เพื่อก�ำจัดอาสวฏั ฐานยิ ธรรมเหล่านน้ั การทอ่ี าสวฏั ฐานยิ ธรรมจะปรากฏในสงฆห์ รอื ในศาสนานน้ั มเี หตอุ ยู่ 3 ประการ (1) สงฆ์เป็นหมู่ใหญ่โดยภิกษุผู้บวชนานแล้ว หมายถงึ เป็นหมู่ใหญ่เพราะ มภี กิ ษเุ ถระ ซงึ่ บวชมานานจ�ำนวนมาก เพราะจะมเี หตใุ หพ้ ระพทุ ธองค์ บัญญตั ิสกิ ขาบทเกีย่ วกับพระเถระ เช่น พระเถระรูปใดโง่เขลาไม่พึงให้ อปุ สมบท เป็นต้น 1 (2) สงฆเ์ ปน็ หมใู่ หญโ่ ดยแพรห่ ลายแลว้ หมายถงึ มแี พรห่ ลายทงั้ พระเถระ พระภกิ ษปุ านกลาง และพระภกิ ษบุ วชใหม่ เพราะจะมเี หตใุ หพ้ ระพทุ ธ- องค์บัญญัติสิกขาบทเก่ยี วกบั การวางตวั ระหว่างภิกษุทต่ี ่างพรรษากนั 1 พระวินัยปิฎก เล่ม 1 มหาวิภังค์ ปฐมภาค ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล, มก. เล่ม 1 หน้า 359 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 210 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(3) สงฆ์เป็นหมู่ใหญ่เลิศโดยลาภแล้ว เพราะจะมีเหตุให้พระพุทธองค์ บญั ญตั สิ กิ ขาบทเกย่ี วกบั เรอื่ งลาภสกั การะ เชน่ ภกิ ษใุ ดใหข้ องควรเคย้ี ว หรอื ของควรบรโิ ภคดว้ ยมอื ของตนแกน่ กั บวชเปลอื ยกด็ ี แกป่ รพิ าชกก็ ดี แก่ปริพาชกิ ากด็ ี ภกิ ษนุ น้ั ต้องปาจิตตยี ์ เป็นต้น 1 พระอรรถกถาจารย์ยังได้อธบิ ายเพ่มิ เติมไว้ว่า ธรรมท้งั หลายอันเป็นที่ตง้ั แห่ง อาสวะยงั ไม่มปี รากฏในสงฆ์เพยี งใด พระศาสดาจะไม่ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทแก่สาวก ท้งั หลายเพียงนน้ั เพราะถ้าบัญญตั ิ พระศาสดาจะถูกค่อนขอด จะถูกคดั ค้าน และ จะถกู ตเิ ตียน เหล่าชนบางพวกจะค่อนขอด จะคัดค้านและติเตียนว่า พระสมณโคดมจัก ผกู มดั ดว้ ยสกิ ขาบททง้ั หลาย จกั บญั ญตั ปิ าราชกิ เพอ่ื ใหภ้ กิ ษสุ งฆย์ อมตามเรา ท�ำตาม ค�ำของเรา กลุ บตุ รเหลา่ นล้ี ะกองโภคะใหญล่ ะเครอื ญาตใิ หญ่ บางพวกละแมร้ าชสมบตั ิ อันอยู่ในเง้ือมมือเพื่อออกบวช เป็นผู้สันโดษด้วยความเป็นผู้มีอาหารและเคร่ืองนุ่ง ห่มเป็นอย่างยิ่ง มีความเคารพในสิกขา ไม่ห่วงใยในร่างกายและชีวิตมิใช่หรือ ใน กลุ บตุ รเหล่านัน้ ใครเล่าจักเสพเมถุนหรือจักลักของ ๆ ผู้อ่นื หรือจกั ฆ่าผู้อนื่ หรือ จักเล้ียงชีวิตด้วยการอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ชนท้ังหลายท่ีไม่ทราบก�ำลังแห่ง พระตถาคต จะท�ำให้สกิ ขาบทที่บัญญตั ิไว้ก�ำเริบ คือ ไม่คงอยู่ในสถานเดมิ การบญั ญตั สิ กิ ขาบทไว้ก่อนทจี่ ะมีอาสวัฏฐานยิ ธรรม เช่น การเสพเมถนุ การ ลักทรพั ย์ การอวดคณุ วิเศษทไ่ี ม่มีในตน เป็นต้น เกิดข้นึ นัน้ เปรยี บเสมือนแพทย์ผู้ ไมฉ่ ลาดเรยี กบรุ ษุ บางคนซงึ่ หวั ฝยี งั ไมเ่ กดิ ขนึ้ มาแลว้ บอกวา่ พอ่ มหาจ�ำเรญิ หวั ฝใี หญ่ จกั เกดิ ขน้ึ ในสรรี ะตรงนข้ี องทา่ น ทา่ นจงรบี ใหห้ มอเยยี วยามนั เสยี เถดิ บรุ ษุ นนั้ บอก ว่า ท่านจงเยยี วยามนั เถดิ แพทย์น้ันจึงผ่าสรรี ะของบรุ ษุ น้นั เอายาทาและพอกแล้ว บอกว่า โรคใหญ่ของท่าน เราได้เยียวยาแล้ว ท่านจงให้รางวัลแก่เรา บุรุษนั้นจะ 1 พระวินัยปิฎก เล่ม 1 มหาวิภังค์ ปฐมภาค ปฐมสมันตปาสาทิกาแปล, มก. เล่ม 1 หน้า 359 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 211 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ค่อนขอด คดั ค้าน และติเตยี นนายแพทย์ว่า หมอโง่นีพ่ ดู อะไร หมอโง่นท้ี �ำทุกข์ให้ เกดิ แกเ่ รา และท�ำใหเ้ ราตอ้ งเสยี เลอื ดไปมใิ ชห่ รอื แตถ่ า้ นายแพทยผ์ ฉู้ ลาดเยยี วยาหวั ฝีทเี่ กดิ ขนึ้ แล้วด้วยการผ่าตดั พอกยาและพนั แผล กจ็ ะไมถ่ กู ค่อนขอดคดั ค้านและติ เตยี น และจะได้รางวลั ตอบแทนเป็นอันมาก 7.4 องค์ประกอบของสกิ ขาบท สิกขาบทน้นั มอี งค์ประกอบ 5 ประการด้วยกันดังน้ี 1.) ต้นบัญญัติ หมายถึง เรือ่ งเล่าของผู้ท่ปี ระพฤตเิ สียหายในกรณตี ่าง ๆ เปน็ รายแรกทพี่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อา้ งถงึ เพอ่ื บญั ญตั สิ กิ ขาบทในขอ้ ตา่ ง ๆ เชน่ พระ สุทินน์ เป็นต้นบัญญตั ปิ าราชิกสกิ ขาบทท่ี 1 เป็นต้น 2.) พระบัญญัติ หมายถงึ สกิ ขาบทท่พี ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าบัญญตั เิ ป็นข้อ ห้ามมิให้ภิกษุล่วงละเมิด มบี ทก�ำหนดโทษหรือปรับอาบัตผิ ู้ล่วงละเมิด ถ้าเป็นการบัญญตั สิ ิกขาบทในครัง้ แรกเรียกว่า “มูลบญั ญัต”ิ ส่วนการ บญั ญตั เิ พมิ่ เตมิ ในภายหลงั เพอื่ ใหร้ ดั กมุ มากขนึ้ เรยี กวา่ “อนบุ ญั ญตั ”ิ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี มลู บญั ญตั ขิ องปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี 3 ว่า “ภกิ ษใุ ดจงใจพรากกายมนษุ ย์ จากชวี ติ หรอื แสวงหาศัสตราอันจะพรากกายมนุษย์นนั้ แม้ภกิ ษุนเ้ี ป็นปาราชกิ 1 หา สงั วาสมิได้” อนบุ ญั ญตั ขิ องปาราชิกสกิ ขาบทที่ 3 คอื “อนงึ่ ภิกษใุ ดจงใจพรากกาย มนษุ ยจ์ ากชวี ติ หรอื แสวงหาศสั ตราอนั จะพรากกายมนษุ ยน์ นั้ พดู พรรณนาคณุ ความ ตายหรือชักชวนเพ่ือให้ตายว่า ท่านผู้เจริญจะมีชีวิตล�ำบากยากเข็ญนี้ไปท�ำไม ท่าน 1 ปาราชกิ หมายถงึ โทษหนกั ทสี่ ดุ ทางพระวนิ ยั ภกิ ษใุ ดกระท�ำ ความผดิ ตอ้ งโทษปาราชกิ แลว้ จะขาดจาก ความเปน็ พระภกิ ษทุ นั ทที กี่ ระท�ำ ความผดิ นนั้ ไมว่ า่ ผอู้ นื่ จะรหู้ รอื ไมก่ ต็ าม และหา้ มบวชใหมต่ ลอดชวี ติ เปรียบเหมือนโทษประหารชีวิตทางโลก นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 212 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ตายเสียดกี ว่า ดงั น้ี เธอมจี ิตอย่างน้ี มีด�ำรใิ นใจอย่างนี้ พดู พรรณนาคณุ ความตาย หรอื ชกั ชวนเพอ่ื ความตายโดยประการต่าง ๆ แมภ้ กิ ษนุ ก้ี เ็ ปน็ ปาราชกิ หาสงั วาสมไิ ด้” 3.) สิกขาบทวิภังค์และบทภาชนีย์ ค�ำว่า สิกขาบทวิภังค์ หมายถึง การ จ�ำแนกความสิกขาบท เป็นการอธิบายความหมายของศัพท์หรือข้อความในพระ- บญั ญตั ิ เชน่ ในสกิ ขาบทวภิ งั คแ์ หง่ ปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี 1 ทา่ นอธบิ ายความหมายของ ค�ำว่า “ภกิ ษ”ุ ว่ามีความหมาย 12 นัย คือ ผู้ขอ, ผู้อาศยั การเท่ียวขอ, ผู้ใช้ผืนผ้าท่ี ถูกท�ำให้เสียราคา, ผู้ที่ถูกตั้งช่ืออย่างน้ัน ผู้ปฏิญาณตนอย่างน้ัน, ผู้ที่พระพุทธเจ้า บวชให,้ ผบู้ วชดว้ ยวธิ รี บั ไตรสรณะ, ผเู้ จรญิ , ผมู้ แี กน่ สาร, ผยู้ งั ตอ้ งศกึ ษา, ผไู้ มต่ อ้ ง ศึกษา (หมายถึง ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว) และผู้ที่สงฆ์บวชให้ด้วย ญตั ติจตุตถกรรม แล้วช้ีเฉพาะความหมายท่ปี ระสงค์ว่า ค�ำว่า “ภิกษ”ุ ในสิกขาบทนี้ หมายถงึ ผู้ทส่ี งฆ์บวชให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม ค�ำว่า บทภาชนีย์ แปลว่า การจ�ำแนกแยกแยะความหมายของบท เป็นการน�ำ เอาบทหรอื ค�ำในสกิ ขาบทวภิ งั ค์มาขยายความเพม่ิ เตมิ อกี เช่น ในปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี 2 สกิ ขาบทวิภงั ค์ ให้นิยามค�ำว่า “ทรัพย์ท่เี จ้าของมไิ ด้ให้” ไว้แล้ว บทภาชนีย์กข็ ยาย ความเพม่ิ เตมิ อีกว่า “ทรัพย์ทีอ่ ยู่ในแผ่นดนิ ทรพั ย์ท่ีอยู่บนบก ทรัพย์ทีอ่ ยู่ในอากาศ ทรัพย์ทีอ่ ยู่ในทีแ่ จ้ง ทรัพย์ทีอ่ ยู่ในน้ำ� ทรัพย์ทอ่ี ยู่ในเรือ ทรพั ย์ที่อยู่ในยาน ทรพั ย์ที่ น�ำติดตัวไปได้ เป็นต้น” จากน้ันก็อธิบายตัวสิกขาบทอย่างละเอียดทุกค�ำพร้อมยก ตวั อย่างประกอบ 4.) อนาปัตตวิ าร ว่าด้วยข้อยกเว้นส�ำหรบั บคุ คลผู้ล่วงละเมดิ สกิ ขาบทโดย ไม่ต้องอาบัติ เช่น ปาราชิกสกิ ขาบทที่ 3 มขี ้อยกเว้นไม่ปรับอาบัติปาราชิกแก่ภกิ ษุ ผู้ฆ่ามนุษย์ในกรณตี ่อไปน้ี คือ ภกิ ษไุ ม่มเี จตนา, ภกิ ษไุ ม่รู้, ภิกษุไม่ประสงค์จะฆ่า, ภิกษุวกิ ลจรติ , ภกิ ษมุ จี ติ ฟุ้งซ่าน, ภกิ ษุมีจิตกระสบั กระส่ายเพราะทกุ ขเวทนา และ ภิกษุต้นบัญญัติ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 213 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
5.) วินีตวัตถุ ว่าด้วยเรอื่ งต่าง ๆ ของภิกษุผู้กระท�ำการบางอย่างอันอยู่ใน ขอบขา่ ยของสกิ ขาบทนนั้ ๆ ซง่ึ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงไตส่ วนเอง แลว้ ทรงวนิ จิ ฉยั ชข้ี าดวา่ ตอ้ งอาบตั ใิ ด หรอื ไม่ เชน่ ในปาราชกิ สกิ ขาบทที่ 3 มเี รอ่ื งทท่ี รงวนิ จิ ฉยั ชข้ี าด รวม 103 เรอื่ ง เม่อื เปรยี บกบั กฎหมายทางโลกแล้ว ก็เป็นเสมือนค�ำพิพากษาศาล ฎีกา อนั เป็นแนวทางการพิจารณาว่า การกระท�ำใดผิดหรอื ไม่ ท�ำให้ชัดเจนย่ิงขึ้น จะเหน็ วา่ สกิ ขาบทแตล่ ะขอ้ ทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ บญั ญตั ขิ นึ้ นน้ั มกี ารแจกแจง รายละเอยี ดชดั เจนมาก ทงั้ นเ้ี พอ่ื ใหพ้ ระภกิ ษทุ กุ รปู มคี วามเขา้ ใจ ไมค่ ลมุ เครอื สง่ ผล ให้ปฏบิ ัตติ ามได้อย่างถูกต้องเสมอเหมือนกันทัง้ หมู่คณะ 7.5 ข้ันตอนการบญั ญตั สิ ิกขาบท ขั้นตอนการบัญญตั สิ ิกขาบทนั้นมีอยู่ 4 ข้ันตอนด้วยกนั คือ 1) มีเหตเุ กิดขน้ึ 2) พระภิกษกุ ราบทูลพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า 3) ประชุมสงฆ์ 4) บัญญตั สิ กิ ขาบท ในขนั้ ตอนการประชมุ สงฆน์ น้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะทรงสอบถามภกิ ษทุ กี่ อ่ เหตนุ น้ั ๆ ขนึ้ วา่ ท�ำจรงิ หรอื ไม่ เมอ่ื เขายอมรบั วา่ ท�ำจรงิ พระองคก์ จ็ ะทรงตเิ ตยี น ตรสั ถงึ โทษของความเป็นคนเล้ียงยาก บ�ำรุงยาก มักมาก ไม่สนั โดษ คลุกคลี และโทษ ของความเกียจคร้าน แล้วตรัสถึงคุณของความเป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นต้น จากน้ัน พระองค์จึงตรสั วตั ถปุ ระสงค์ของการบญั ญตั สิ กิ ขาบทแล้วจึงทรงบญั ญัติสกิ ขาบท ตัวอย่างการบญั ญัติสกิ ขาบท ตัวอย่างต่อไปนี้ คือ การบญั ญตั ปิ าราชิกสิกขาบทที่ 1 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 214 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ต้นบัญญัติหรือผู้ก่อเหตุให้ต้องบัญญัติพระวินัยคร้ังแรก คือ พระสุทินน์ เนื่องจากท่านได้เสพเมถุนกับภรรยาเก่าของท่าน เพราะถูกมารดาและบิดารบเร้าให้ ท่านลาสิกขาออกไป เพื่อสืบสกุลและดูแลมรดกเป็นอันมาก แต่พระสุทินน์ไม่ ปรารถนาจะลาสิกขา มารดาของท่านจึงกล่าวว่า พ่อสุทินน์ ถ้าอย่างนั้นพ่อจงให้ พชื พันธ์ุไว้บ้าง พวกเจ้าลจิ ฉวจี ะได้ไม่ริบทรัพย์สมบตั ิของเราซ่งึ หาบตุ รผู้สบื สกลุ ไม่ ได้ พระสทุ ินน์กล่าวว่า คุณโยม เฉพาะเรอื่ งนอี้ าตมาอาจท�ำได้ เพราะท่านเหน็ ว่า ไม่มีโทษ เนอ่ื งจากพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้ายงั มไิ ด้ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท เม่อื ท่านพระ สุทินน์ตอบรับแล้วจึงจูงแขนภรรยาเก่าพาเข้าป่ามหาวันแล้วท�ำการเสพเมถุน เหล่า เทพทัง้ หลายมภี ุมเทวา เป็นต้น ผู้ได้เหน็ เหตกุ ารณ์นั้นจงึ กระจายข่าวต่อ ๆ กนั ไป จนถงึ พรหมโลกวา่ ทา่ นผเู้ จรญิ โอ ภกิ ษสุ งฆ์ ไมม่ เี สนยี ด ไมม่ โี ทษ พระสทุ นิ นก์ ลนั - ทบตุ รก่อเสนียดขน้ึ แล้ว ก่อโทษขนึ้ แล้ว ตอ่ มาพระสทุ นิ นเ์ กดิ ความรอ้ นใจขนึ้ วา่ เราไดช้ วั่ แลว้ หนอ เราไมไ่ ดด้ แี ลว้ หนอ เพราะเราบวชในพระธรรมวินัยท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีอย่างน้ีแล้ว ยังไม่ สามารถประพฤตพิ รหมจรรยใ์ หบ้ รสิ ทุ ธบิ์ รบิ รู ณไ์ ดต้ ลอดชวี ติ เพราะความรอ้ นใจนนั้ ท่านจึงซบู ผอม เศร้าหมอง มผี วิ พรรณคลำ�้ มีผวิ เหลอื งขึ้น ๆ มีเนื้อตัวสะพรงั่ ด้วย เส้นเอ็น ภกิ ษทุ เี่ ปน็ สหายของพระสทุ นิ นเ์ หน็ อาการของทา่ นแลว้ จงึ สอบถามสาเหตุ เมอ่ื ทราบแล้วจงึ ตเิ ตียนว่า อาวโุ ส ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วเพอื่ คลาย ความก�ำหนดั ไม่ใช่เพอ่ื ความก�ำหนดั เพอ่ื เป็นทีส่ �ำรอกแห่งราคะ เพ่อื เป็นทสี่ ้นิ แห่ง ตัณหา เพอ่ื ความดับทกุ ข์ เพอื่ นิพพานมใิ ช่หรอื อาวโุ ส การละกาม การก�ำจัดความ กระหายในกาม พระผู้มพี ระภาคเจ้าตรสั บอกไว้แล้วมใิ ช่หรือ อาวโุ ส การกระท�ำของ ท่านนั่นเป็นไปเพ่ือความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเป็นไปเพื่อความ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 215 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
เสอื่ มจากความเล่ือมใสของชนทเ่ี ลื่อมใสแล้ว ภิกษุสหายเหล่านั้นได้ติเตยี นท่านพระสุทนิ น์อย่างน้แี ล้ว จงึ กราบทูลเรอ่ื งนน้ั แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วทรง สอบถามพระสทุ นิ นว์ า่ “ดกู อ่ นสทุ นิ น์ ขา่ ววา่ เธอเสพเมถนุ ธรรมในภรรยาเกา่ จรงิ หรอื ” ท่านพระสุทินน์ทูลรับว่า “จรงิ พระพุทธเจ้าข้า” พระผ้มู พี ระภาคเจ้าทรงตเิ ตยี นว่า “ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ การกระท�ำของเธอนนั่ ไม่ เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กจิ ของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรท�ำ เธอบวชในธรรมวนิ ัย ทเี่ รากลา่ วไวด้ อี ยา่ งนแี้ ลว้ ไฉนจงึ ไมส่ ามารถประพฤตพิ รหมจรรยใ์ หบ้ รสิ ทุ ธบ์ิ รบิ รู ณ์ ได้ตลอดชวี ิตเล่า” ดกู อ่ นโมฆบรุ ษุ องคก์ �ำเนดิ ทเ่ี ธอสอดเขา้ ในปากงเู หา่ ยงั ดกี วา่ องคก์ �ำเนดิ ทเี่ ธอ สอดเขา้ ในองคก์ �ำเนดิ ของมาตคุ าม ไมด่ เี ลย องคก์ �ำเนดิ อนั เธอสอดเขา้ ในหลมุ ถา่ นที่ ไฟติดลุกโชนยังดีกว่าองค์ก�ำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์ก�ำเนิดของมาตุคาม ไม่ดีเลย เพราะบคุ คลผสู้ อดองคก์ �ำเนดิ เขา้ ในปากงเู หา่ นนั้ พงึ มคี วามทกุ ขเ์ พยี งแคต่ าย แตไ่ ม่ เขา้ ถงึ อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก สว่ นบคุ คลผทู้ �ำการสอดองคก์ �ำเนดิ เขา้ ในองคก์ �ำเนดิ ของมาตุคามน้นั ตายไปแล้ว จะพึงเข้าถงึ อบาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก ดกู ่อนโมฆบรุ ษุ เธอไดต้ ้องอสทั ธรรมอนั เปน็ เรอื่ งของชาวบ้าน เปน็ ของคนชนั้ ตำ่� อนั ชวั่ หยาบ มนี ำ้� เปน็ ทสี่ ดุ มใี นทลี่ บั เปน็ ของคนคู่ อนั คนคพู่ งึ รว่ มกนั เปน็ ไป เธอ เป็นคนแรกที่กระท�ำอกศุ ลธรรม เป็นหวั หน้าของคนเป็นอันมาก การกระท�ำของเธอ นนั่ เปน็ ไปเพอื่ ความไมเ่ ลอื่ มใสของชมุ ชนทย่ี งั ไมเ่ ลอื่ มใส สว่ นคนทเี่ ลอื่ มใสแลว้ กจ็ ะ เสื่อมจากความเล่อื มใส วัตถปุ ระสงค์ของการบัญญัตสิ กิ ขาบท เมอื่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตยี นพระสทุ นิ น์อย่างน้ีแล้ว จึงตรสั ถึงโทษของ นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 216 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ความเป็นคนเลี้ยงยาก บ�ำรงุ ยาก มักมาก ไม่สันโดษ คลุกคลี และโทษของความ เกียจคร้าน แล้วตรัสถึงคุณของความเป็นคนเล้ียงง่าย เป็นต้น พระองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยมีวัตถุประสงค์ 10 ประการ คือ (1) เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ หมายถึง การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ช้แี จงให้คณะสงฆ์มองเหน็ โทษแห่งความประพฤตินน้ั ๆ ให้เห็นความ จ�ำเป็นและยอมรับสกิ ขาบทท่ีพระองค์ทรงบญั ญัติขึน้ (2) เพื่อความส�ำราญแห่งสงฆ์ (3) เพือ่ ข่มบคุ คลผู้เก้อยาก (4) เพื่อความอยู่ส�ำราญแห่งภิกษผุ ู้มีศลี เป็นที่รัก (5) เพือ่ ป้องกนั อาสวะอันจะเกดิ ในปัจจุบัน (6) เพื่อก�ำจดั อาสวะอันจักบงั เกิดในอนาคต (7) เพือ่ ความเลื่อมใสของชมุ ชนที่ยงั ไม่เลือ่ มใส (8) เพือ่ ความเล่อื มใสยง่ิ ของชมุ ชนทเ่ี ลอ่ื มใสแล้ว (9) เพือ่ ความตั้งม่นั แห่งพระสัทธรรม (10) เพือ่ ถือตามพระวินัย จากนนั้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จงึ ตรสั พระปฐมบญั ญตั วิ า่ “กภ็ กิ ษใุ ดเสพเมถนุ - ธรรมเป็นปาราชิก หาสงั วาสมไิ ด้” พระปฐมบญั ญตั นิ เี้ ปน็ “มลู บญั ญตั ”ิ คอื การบญั ญตั คิ รงั้ แรกของสกิ ขาบทขอ้ นี้ ซ่งึ ต่อมาจะมี “อนบุ ญั ญัต”ิ คอื การบญั ญัติเพม่ิ เติมในรายละเอียดปลกี ย่อยของ สกิ ขาบทข้อนเี้ พื่อให้รอบคอบรัดกมุ มากข้ึนดังได้กล่าวแล้วข้างต้น สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 217 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
จะเห็นว่าวตั ถุประสงค์ท้ัง 10 ประการนี้ โดยภาพรวมแล้วกเ็ พื่อให้พระภกิ ษุ ทุกรูปอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จะได้ศึกษาธรรมอันเป็นเป้าหมายของการบวชได้ อย่างเตม็ ที่ และช่วยเกอ้ื หนุนให้เข้าถึงธรรมได้อย่างรวดเร็ว 7.6 หมวดหมู่และจ�ำนวนสกิ ขาบท ศีลของพระภิกษนุ น้ั เป็น “อปรยิ ันตปาริสทุ ธศิ ลี ” หมายถึง มากมาย ไม่มี ทีส่ ดุ ในวสิ ทุ ธมิ รรคกล่าวไว้ว่าศลี ของพระภิกษุมี 3 ล้านกว่าสกิ ขาบท แต่โดยรวม แล้วศลี ของพระภิกษุแบ่งออกเป็น 4 หมวดใหญ่ ๆ เรยี กว่า ปาริสทุ ธิศีล 4 ดงั น้ี (1) ปาฏิโมกขสงั วรศลี หมายถงึ ศีล 227 สกิ ขาบท (2) อินทรยี สังวรศลี หมายถึง การส�ำรวมตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ ไม่ให้ ยนิ ดียนิ ร้ายในเวลาเหน็ รูป เวลาได้ยนิ เสียง เวลาดมกล่นิ เวลาสมั ผสั เวลาล้มิ รส หรือระลกึ ถงึ อารมณ์ต่าง ๆ (3) อาชีวปาริสุทธิศีล หมายถึง การเล้ียงชีพชอบ เล้ียงชีพด้วยวิสัยของ สมณะ คือ การปฏบิ ตั ติ นอยู่ในพระธรรมวนิ ยั แล้วอาศยั ปัจจยั 4 ที่ ญาติโยมถวายด้วยศรทั ธาเล้ียงชีพ ไม่เล้ียงชพี ด้วยการประกอบอาชพี อย่างฆราวาส หรือไม่หลอกลวงเขาเลยี้ งชวี ิต กล่าวคือ บวชแล้วไม่ได้ ปฏบิ ตั ิดีปฏบิ ตั ชิ อบ แต่อาศยั ผ้าเหลอื งเพ่อื เลยี้ งชีพ เป็นต้น (4) ปจั จยั สนั นสิ สติ ศลี หมายถงึ ศลี ทวี่ า่ ดว้ ยการใหพ้ จิ ารณาปจั จยั 4 กอ่ น บรโิ ภค ได้แก่ จวี ร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย และยารกั ษาโรค ไม่บริโภค ด้วยตัณหา โดยให้พจิ ารณาว่า เราบรโิ ภคสิ่งเหล่านเ้ี พ่ือให้ยังชีพอยู่ได้ เท่านน้ั จะได้บ�ำเพญ็ สมณธรรมสะดวก ปาริสุทธิศีล 4 นีย้ ังมีรายละเอยี ดอีกมาก ในทนี่ ี้จะกล่าวถึงเฉพาะปาฏโิ มกข- สงั วรศลี คือ ศีล 227 สิกขาบทเท่านั้น เพราะบัญญัตไิ ว้เป็นข้อ ๆ อย่างชดั เจนและ นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 218 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
มกี ารก�ำหนดโทษหนกั เบา ลดหลน่ั กนั ไป ท�ำใหส้ ะดวกตอ่ การเปรยี บเทยี บกบั กฎหมาย ในทางโลก ปาฏิโมกขสงั วรศีล แบ่งออกเป็น 8 หมวด คือ ปาราชิก 4 สิกขาบท, สังฆาทิเสส 13 สิกขาบท, อนิยต 2 สิกขาบท, นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 30 สิกขาบท, ปาจิตตีย์ 92 สกิ ขาบท, ปาฏิเทสนียะ 4 สกิ ขาบท, เสขิยวตั ร 75 สกิ ขาบท และอธกิ รณสมถะ 7 สกิ ขาบท รวมทง้ั หมดเป็น 227 สิกขาบท สิกขาบทเหล่าน้ี จะเรยี งล�ำดับจากโทษหนกั ไปหาโทษเบา กล่าวคอื ปาราชิกมี โทษหนกั ที่สุด ส่วนสกิ ขาบทอ่ืนจะมีโทษลดหย่อนลงมาเรอื่ ย ๆ โดยเสขยิ วัตรจะมี โทษเบาท่ีสุด ส่วนอธิกรณสมถะน้ันเป็นวิธีระงับอธิกรณ์ ไม่ได้มีการก�ำหนดโทษ เหมอื นสกิ ขาบทหมวดอ่นื เพราะไม่ได้เป็นสกิ ขาบททต่ี ้องถอื ปฏบิ ัติโดยทัว่ ไป แต่จะ ใช้เฉพาะการระงับอธกิ รณ์หรอื คดีความท่ีเกดิ ขน้ึ เท่านน้ั (1) ปาราชิก แปลว่า ผู้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ในที่น้ีคอื พ่ายแพ้ต่อเส้นทางของ นกั บวช เพราะปาราชกิ เปน็ สกิ ขาบทหนกั ภกิ ษใุ ดลว่ งละเมดิ จะขาดจากความเปน็ ภกิ ษุ ทันที ไม่ว่าจะมีผู้อืน่ รู้ หรอื ไม่รู้ก็ตาม แม้ยังครองผ้าเหลอื งอยู่กถ็ อื ว่าไม่ได้เป็นพระ- ภกิ ษแุ ลว้ แตเ่ ปน็ ฆราวาสทเี่ อาผา้ เหลอื งมาหอ่ ไวเ้ ทา่ นนั้ ดงั นน้ั ผทู้ ล่ี ว่ งละเมดิ สกิ ขาบท ปาราชิกเข้าแล้ว จึงต้องลาสกิ ขาออกไป และจะไม่ได้รับอนญุ าตให้บวชเป็นภิกษอุ ีก การลว่ งละเมดิ หรอื ท�ำผดิ สกิ ขาบทแตล่ ะขอ้ เรยี กวา่ “อาบตั ”ิ หรอื “ตอ้ งอาบตั ”ิ ผู้ท่ีล่วงละเมิดสิกขาบทปาราชกิ กจ็ ะเรียกว่า “ต้องอาบตั ปิ าราชกิ ” จะเหน็ ว่าสิกขาบท ปาราชกิ นนั้ มชี อื่ สกิ ขาบทกบั ชื่ออาบตั เิ หมือนกนั แต่บางสกิ ขาบท เช่น หมวดเสขยิ - วัตร ช่ือสกิ ขาบทกับช่ืออาบตั ิไม่เหมือนกัน กล่าวคือ หมวดเสขิยวตั รมชี ่ืออาบตั วิ ่า “ทุกกฏ” (2) สงั ฆาทเิ สส แปลวา่ สกิ ขาบททต่ี อ้ งอาศยั สงฆใ์ นกรรมเบอ้ื งตน้ และกรรม ทเ่ี หลอื หมายความวา่ เปน็ สกิ ขาบททภ่ี กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ เขา้ แลว้ จะตอ้ งอาศยั สงฆช์ ว่ ย สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 219 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
จัดการแก้ไขให้ สังฆาทิเสสนนั้ มโี ทษหนักรองลงมาจากปาราชิก ผู้ล่วงละเมิดไม่ถึง กบั ขาดจากความเปน็ ภกิ ษุ ยงั สามารถแกไ้ ขได้ สว่ นผทู้ ตี่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ไมส่ ามารถ แก้ไขได้ ภิกษใุ ดต้องอาบัติสังฆาทเิ สสจะแก้ไขด้วยการอยู่กรรม กล่าวคอื จะให้อยู่ใน สถานทที่ แี่ ยกไวส้ �ำหรบั ผตู้ อ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสโดยเฉพาะ ไมอ่ ยปู่ ะปนกบั ภกิ ษทุ วั่ ไป เพื่อให้ผู้ต้องอาบัติได้ส�ำนึกผิดและส�ำรวมระวังต่อไป เม่ืออยู่กรรมจนครบก�ำหนด เวลาและผา่ นขนั้ ตอนของการอยกู่ รรมทกุ อยา่ งแลว้ กส็ ามารถกลบั มาอยรู่ วมกบั ภกิ ษุ ท่ัวไปได้ ในปัจจุบันพระภกิ ษจุ �ำนวนมากนิยมอยู่กรรมแม้ไม่ได้อาบตั สิ ังฆาทเิ สส หรือ บางรูปเพียงแค่สงสัยก็ขออยู่กรรมแล้ว ท้ังนี้เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์แห่งศีลของ ตน นอกจากนจ้ี ะได้มีเวลาศึกษาและปฏิบัติธรรมมาก ๆ ด้วย เพราะในระหว่างอยู่ กรรม พระภิกษุรปู อืน่ จะพยายามหลีกเล่ียงไม่ไปรบกวน ส�ำหรบั ผู้ต้องอาบัติอื่น ๆ นอกเหนอื จากปาราชกิ และสงั ฆาทิเสสนน้ั จะแก้ไข ได้ด้วยการ “ปลงอาบัต”ิ ซึ่งหมายถงึ การเปิดเผยอาบัตขิ องตนต่อภกิ ษอุ ่ืนหรอื ต่อ สงฆ์ (3) อนยิ ต แปลว่า ไม่แน่นอน หมายถงึ สิกขาบททไ่ี ม่แน่นอนว่าภกิ ษผุ ู้ถูก กลา่ วหา จะถกู ปรบั วา่ ไดท้ �ำผดิ สกิ ขาบทขอ้ ไหนในระหวา่ ง “ปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส และ ปาจติ ตยี ”์ หากเป็นทางโลกอนยิ ตเปรยี บเหมอื นกบั คดที ม่ี ที างตดั สนิ ลงโทษไดห้ ลาย ระดับข้นึ อยู่กบั พยาน บคุ คลท่เี ชอื่ ถอื ได้หรือผู้เห็นเหตุการณ์ (4) นสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ค�ำวา่ “นสิ สคั คยิ ะ” แปลวา่ “ท�ำใหส้ ละสง่ิ ของ” สว่ น ค�ำว่า “ปาจิตตีย์” แปลว่า “การล่วงละเมิดอันท�ำให้กศุ ลธรรม คือ ความดตี กไป” นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จึงหมายถึง สิกขาบทท่ีภิกษใุ ดล่วงละเมิดเข้าแล้วจะต้องสละ สง่ิ ของทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั สกิ ขาบทขอ้ นนั้ ๆ เชน่ ไตรจวี ร เปน็ ตน้ เมอ่ื สละแลว้ จงึ สามารถ นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 220 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
แก้ไขด้วยการปลงอาบตั ไิ ด้ (5) ปาจติ ตยี ์ เปน็ สกิ ขาบททไ่ี มม่ เี งอื่ นไขใหต้ อ้ งสละสงิ่ ของ เมอื่ ลว่ งละเมดิ แล้วสามารถแก้ไขด้วยการปลงอาบัติได้เลย (6) ปาฏิเทสนียะ แปลว่า จะพึงแสดงคืน เป็นสิกขาบทท่ีภิกษุรูปใดต้อง อาบัตแิ ล้วจะแก้ไขด้วยการแสดงคืนว่า “ท่านทั้งหลาย กระผมต้องธรรม คือ ปาฏ-ิ เทสนยี ะ เป็นธรรมท่ีน่าต�ำหนิ ไม่เป็นสัปปายะ กระผมขอแสดงคนื ธรรมนน้ั ” การ แสดงคืนน้ีเป็นการปลงอาบัตอิ ย่างหนง่ึ (7) เสขิยวตั ร แปลว่า วตั รทีพ่ ระภกิ ษุพงึ ศึกษา ซ่งึ เป็นวัตรปฏิบัตเิ กีย่ วกบั มารยาทอนั ดงี ามตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ นงุ่ หม่ จวี รใหเ้ รยี บรอ้ ย การฉนั ใหเ้ รยี บรอ้ ย การแสดง ธรรม และเบ็ดเตลด็ อน่ื ๆ ภกิ ษุที่กระท�ำผิดพลาดเม่ือต้งั ใจว่าจะศกึ ษาปรบั ปรงุ ให้ดี ข้นึ ก็ถือว่าพ้นจากอาบตั นิ ัน้ (8) อธิกรณสมถะ แปลว่า ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ เป็นวิธีการระงับ อธิกรณ์หรือคดีความที่เกิดขึ้นให้สงบเรียบร้อย ซึ่งจะอธิบายโดยละเอียดในหัวข้อ 7.10 อธิกรณ์ในพระไตรปิฎก และหัวข้อ 7.11 อธกิ รณสมถะ : ธรรมเครอื่ งระงับ อธิกรณ์ 7.7 ตัวอย่างสกิ ขาบทในพระปาฏโิ มกข์ สิกขาบทในพระปาฏิโมกข์มีท้ังหมด 8 หมวด 227 สิกขาบท ในทนี่ ี้จะยก ตวั อย่างเพยี ง 2 หมวดคือ ปาราชกิ และสงั ฆาทิเสส เพือ่ ให้ผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป ว่า สิกขาบทแต่ละข้อของพระภกิ ษนุ ั้นมีเนอ้ื หาเป็นอย่างไร หมวดปาราชิก 4 สกิ ขาบท 1) ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมโดยทีส่ ุดแม้ในสตั ว์ดิรัจฉานตวั เมยี ต้องอาบัตปิ าราชกิ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 221 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
2) ภิกษใุ ดลักขโมยทรัพย์ท่ีมีราคาตั้งแต่ 5 มาสก 1 ข้ึนไป ต้องอาบตั ิปาราชิก 3) ภิกษุใดจงใจฆ่ามนุษย์ตาย หรือพรรณนาคุณแห่งความตายจนผู้อื่น คล้อยตาม แล้วฆ่าตัวตาย ต้องอาบตั ปิ าราชิก 4) ภกิ ษุใดกล่าวอวดคณุ วเิ ศษท่ีไม่มใี นตน หากผู้ฟังเข้าใจ ต้องอาบตั ิปาราชกิ ยกเว้นภิกษุนน้ั ส�ำคญั ผดิ ว่าตนมีคุณวเิ ศษ หมวดสงั ฆาทเิ สส 13 สกิ ขาบท 1) ภกิ ษใุ ดจงใจท�ำน้ำ� อสุจิให้เคลอ่ื น ต้องอาบตั ิสงั ฆาทเิ สส 2) ภกิ ษุใดมจี ติ ก�ำหนัดแล้วจบั ต้องร่างกายสตรี ต้องอาบัตสิ งั ฆาทิเสส 3) ภกิ ษุใดมจี ติ ก�ำหนัดแล้วพดู กับสตรพี าดพงิ เมถุนธรรม ต้องอาบตั สิ ังฆาทเิ สส 4) ภกิ ษใุ ดมีจติ ก�ำหนดั แล้วพดู กับสตรีให้บ�ำเรอตนด้วยกาม ต้องอาบตั ิสังฆาทเิ สส 5) ภิกษุใดชักสื่อให้ชายและหญิงเป็นสามีภรรยากันหรือเพ่ืออยู่ร่วมกัน ชั่วคราว ต้องอาบตั สิ ังฆาทเิ สส 6) ภกิ ษใุ ดสร้างกฏุ สิ ว่ นตวั โดยไม่ปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บการสร้างกฏุ ทิ ว่ี างไว้ ต้องอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส 7) ภกิ ษใุ ดใหส้ รา้ งวหิ ารใหญเ่ พอื่ ตวั เอง โดยไมป่ ฏบิ ตั ติ ามระเบยี บการสรา้ ง วิหารท่ีวางไว้ ต้องอาบตั สิ งั ฆาทิเสส 8) ภกิ ษใุ ดใส่ความภกิ ษุอ่ืนด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมลู ต้องอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส 1 มาสก คือ ชื่อมาตราเงินในครั้งโบราณ 5 มาสก เป็น 1 บาท [ ราชบัณฑิตยสถาน (2542). ”พจนานกุ รม (ฉบับอิเล็กทรอนิกส์)” ] นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 222 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
9) ภิกษใุ ดอ้างเลศแล้วใส่ความภกิ ษุอื่นด้วยอาบตั ิปาราชกิ ไม่มมี ลู ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส 10) ภกิ ษใุ ดพยายามท�ำใหส้ งฆแ์ ตกกนั แมภ้ กิ ษทุ งั้ หลายตกั เตอื นในทปี่ ระชมุ สงฆ์ถงึ 3 ครงั้ แล้วยังไม่เลิกพฤตกิ รรมน้นั ต้องอาบตั ิสังฆาทิเสส 11) ภกิ ษใุ ดสนบั สนนุ ภกิ ษรุ ปู ทพ่ี ยายามท�ำใหส้ งฆแ์ ตกกนั แมภ้ กิ ษทุ งั้ หลาย ตักเตือนในท่ปี ระชุมสงฆ์ถงึ 3 ครง้ั แล้วยังไม่เลกิ พฤติกรรมน้ัน ต้อง อาบตั สิ งั ฆาทิเสส 12) ภิกษุใดว่ายากสอนยาก แม้ภิกษุทั้งหลายตักเตือนในท่ีประชุมสงฆ์ถึง 3 ครั้ง แล้วยังไม่เลิกพฤตกิ รรมนั้น ต้องอาบตั สิ งั ฆาทิเสส 13) ภิกษุใดประจบคฤหัสถ์ แม้ภิกษุท้ังหลายเตือนในท่ีประชุมสงฆ์ถึง 3 ครง้ั แล้วยงั ไม่เลกิ พฤตกิ รรมนน้ั ต้องอาบตั สิ งั ฆาทิเสส 7.8 สกิ ขาบทเป็นพทุ ธบัญญัติมใิ ช่มตคิ ณะสงฆ์ จากตัวอย่างการบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ 1 ข้างต้นจะเห็นว่า ปาราชิก สกิ ขาบทที่ 1 กด็ ี หรอื สกิ ขาบททกุ ขอ้ ของภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ นี นั้ เปน็ พทุ ธบญั ญตั ทิ งั้ สนิ้ กล่าวคอื พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าเป็นผู้บัญญัติ ไม่ได้เป็นมตคิ ณะสงฆ์ ไม่ได้เกิดจาก การประชมุ ปรกึ ษาหารอื กบั คณะสงฆว์ า่ ควรจะบญั ญตั สิ กิ ขาบทขอ้ ไหน อยา่ งไร ระดบั ของโทษในแต่ละสิกขาบทเป็นอย่างไร สิกขาบทข้อไหนมโี ทษหนัก สกิ ขาบทข้อไหน ควรจะมโี ทษเบา เปน็ ตน้ ทกุ อยา่ งทก่ี ลา่ วมานเ้ี ปน็ พทุ ธบญั ญตั ทิ งั้ สน้ิ การทพี่ ระสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ เรยี กประชมุ สงฆน์ นั้ เปน็ เพยี งการแจง้ ใหส้ งฆท์ ราบเทา่ นน้ั วา่ มเี หตเุ กดิ ขน้ึ และพระองคท์ รงบญั ญตั สิ กิ ขาบทขอ้ นน้ั ๆ อยา่ งไร พระภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ เี มอ่ื รบั ทราบ แล้วจะได้ศกึ ษาและน�ำไปปฏิบตั ิ การจะท�ำอย่างนี้ได้ผู้บัญญัติพระวินัยจะต้องเป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ต้องเป็น พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าเท่านั้น บุคคลอ่นื แม้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่สามารถท�ำได้ เพราะ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 223 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
แม้จะหมดกิเลสแล้วแต่ยังไม่ได้เป็นสัพพัญญูรู้แจ้งโลกเหมือนพระพุทธองค์ ส่วน กฎหมายทางโลกนั้นเน่ืองจากผู้ร่างยังไม่หมดกิเลส และความรู้ยังไม่สมบูรณ์จึง ตอ้ งอาศยั การระดมความคดิ ตดั สนิ ดว้ ยเสยี งสว่ นใหญ่ และมกี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขเปน็ ระยะ ๆ ในอปริหานยิ ธรรมพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั ไว้อย่างชดั เจนว่า “ไม่ให้บญั ญตั ิ ส่งิ ทีต่ ถาคตมิได้บัญญตั ไิ ว้... ไม่ให้เพกิ ถอนสง่ิ ที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ให้สมาทาน ประพฤตอิ ยู่ในสิกขาบทท้ังหลายตามทต่ี ถาคตบัญญัตไิ ว้แล้ว” 1 แม้ในส่วนของพระ ธรรมค�ำสอน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นต้นแหล่งแห่งค�ำสอนทั้งมวลในพระพุทธ- ศาสนา ค�ำสอนหลกั เช่น ความไม่ประมาท, อริยสจั 4, มรรคมีองค์ 8, ไตรสิกขา เปน็ ตน้ ลว้ นมาจากพระองคท์ งั้ สน้ิ พระสาวกท�ำหนา้ ทเ่ี พยี งอธบิ ายขยายความค�ำสอน ของพระองค์เท่านัน้ การทสี่ กิ ขาบทของพระภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ที กุ ขอ้ เปน็ พทุ ธบญั ญตั นิ น้ั เปน็ ขอ้ แตก ต่างท่สี �ำคญั กบั การบัญญัติกฎหมายในทางโลก เพราะกฎหมายทางโลกเกดิ จากการ ประชมุ ระดมความคดิ ของนกั กฎหมาย สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ สิ ภา เป็นต้น ไม่ได้เกดิ จากความคดิ ของใครคนใดคนหนง่ึ เพยี งผู้เดยี ว หากถามวา่ เหตใุ ดสกิ ขาบทตอ้ งเปน็ พทุ ธบญั ญตั เิ ทา่ นนั้ และเหตใุ ดพระธรรม ค�ำสอนในพระพทุ ธศาสนาทง้ั หมดตอ้ งมาจากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เพยี งผเู้ ดยี วเทา่ นน้ั เหตุใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่อนุญาตให้ภิกษุหรือภิกษุณีบัญญัติสิ่งที่พระองค์ มไิ ดบ้ ญั ญตั ไิ วบ้ า้ ง เพราะในปจั จบุ นั ชาวโลกถอื วา่ การประชมุ ระดมความคดิ กด็ ี การ ใหส้ มาชกิ ในองคก์ รทกุ คนชว่ ยกนั เสนอความเหน็ อนั แตกตา่ งหลากหลายกด็ ี จะชว่ ย ให้งานท่ีท�ำบังเกิดผลดีมากกว่าการท่ีใครคนใดคนหน่ึงคิดงานอยู่คนเดียวแล้วสั่งให้ คนอืน่ ท�ำตาม 1 มหาปรินิพพานสูตร, ทีฆนิกาย มหาวรรค, มก. เล่ม 13 ข้อ 70 หน้า 240. นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 224 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ในสมัยพุทธกาลมีตัวอย่างหนึ่งซ่ึงเก่ียวข้องกับประเด็นนี้อยู่พอสมควร คือ กรณสี าวกนคิ รณฐแ์ ตกกนั หลงั จากนคิ ณั ฐนาฏบตุ รผเู้ ปน็ เจา้ ลทั ธถิ งึ แกก่ รรม ในครงั้ น้ันพระอานนท์ได้กราบทูลเร่อื งนแ้ี ด่พระสมั มาสมั พุทธเจ้าว่า นิคณั ฐนาฏบตุ รถึงแก่กรรมแล้ว... พวกนิครณฐ์กแ็ ตกกนั เกิดแยกเป็นสอง พวก ฯลฯ โดยเหตทุ ธี่ รรมวนิ ยั ทน่ี คิ ณั ฐนาฏบตุ รกลา่ วไวไ้ มด่ ี ประกาศไวไ้ มด่ ี ไมเ่ ปน็ ธรรมวนิ ยั ทจี่ ะน�ำผปู้ ฏบิ ตั ใิ หอ้ อกจากทกุ ขไ์ ด้ ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื ความสงบ ไมใ่ ชธ่ รรมวนิ ยั ทที่ า่ นผเู้ ปน็ สมั มาสมั พทุ ธะประกาศไว้ เปน็ ธรรมวนิ ยั ทถี่ กู ท�ำลายเสยี แลว้ เปน็ ธรรม- วินัยไม่มีทพ่ี ึ่งพาอาศัย... พระสมั มาสัมพุทธเจ้าตรสั รบั รองว่า... ข้อนีย้ ่อมเป็นอย่าง นน้ั ... 1 ธรรมวนิ ยั ทผ่ี ไู้ มไ่ ดเ้ ปน็ สมั มาสมั พทุ ธะประกาศไวจ้ ะเปน็ ธรรมวนิ ยั ทไี่ มส่ มบรู ณ์ เพราะศาสดามีความรู้ไม่สมบูรณ์ เน่ืองจากไม่ได้เป็นสัมมาสัมพุทธะ ดังนั้นธรรม- วนิ ยั นนั้ จึงมถี กู บ้าง ผดิ บ้าง เมื่อสาวกน�ำไปปฏบิ ัติจงึ ไม่สามารถพ้นทกุ ข์ได้ เม่ือไม่ พ้นทุกข์ ไม่ได้เข้าถึงสจั จะท่แี ท้จรงิ ภายใน สาวกแต่ละคนก็จะตคี วามประสบการณ์ ทต่ี นปฏบิ ตั ิได้ไปต่าง ๆ กัน ซง่ึ ยากทจ่ี ะตรงกันเพราะต่างคนต่างท�ำ และวิธกี ารที่ ศาสดาสอนก็ไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุน้ีจึงแตกกันเพราะต่างคนก็คิดว่าตนเองถูก แต่ พระธรรมวินัยท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไว้ เป็นพระธรรมวินัยท่ีสมบูรณ์ ถูกต้อง เพราะพระองค์เป็นสมั มาสมั พทุ ธะมคี วามรู้ทสี่ มบรู ณ์แล้ว เมอ่ื สาวกสาวิกา น�ำค�ำสอนไปปฏิบัติจนถึงทีส่ ุดแล้วก็จะตรัสรู้ธรรมเหมอื นกนั ตรงกนั ในประเดน็ นมี้ ขี อ้ ทนี่ า่ ศกึ ษาอกี คอื แมพ้ ระอรหนั ตสาวกคอื ผทู้ ไ่ี ดเ้ ขา้ ถงึ สจั จะ ภายในแล้ว พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าก็ไม่อนุญาตให้บญั ญตั สิ ง่ิ ที่ตถาคตมไิ ด้บัญญัตไิ ว้ ถามว่าเพราะอะไร จากการศกึ ษาพบว่า พระอรหนั ตสาวกได้เข้าถงึ สัจจะภายในแล้ว กจ็ รงิ แตย่ งั ขาดคณุ สมบตั หิ ลายประการทจี่ ะบญั ญตั สิ กิ ขาบทได้ เนอื่ งจากสกิ ขาบท 1 ปาสาทิกสตู ร, ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, มก. เล่ม 15 ข้อ 95 หน้า 261. สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 225 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ทพ่ี ระศาสดาบญั ญตั ไิ ว้ จะตอ้ งเปน็ แบบแผนใชป้ ฏบิ ตั สิ บื ตอ่ ไปยาวนานอยา่ งนอ้ ย ๆ ก็ 5,000 ปี ดว้ ยเหตนุ เี้ องพระอรหนั ตสาวกจงึ มคี ณุ สมบตั ไิ มพ่ อทจี่ ะบญั ญตั ไิ ด้ และ แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าซ่ึงมีบารมีมากกว่าพระอรหันต์ก็ไม่อาจท�ำได้เช่นกัน หน้าท่ีน้ี เป็นหน้าทเ่ี ฉพาะของพระสมั มาสัมพุทธเจ้าเท่านน้ั ในพระไตรปิฎกมีปรากฏอยู่บางครั้งที่พระอรหันต์กระท�ำในสิ่งท่ีพระสัมมา- สัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่ากระทบต่อสาวกในภายหลัง เช่น กรณีพระมหากัปปินะไม่ ปรารถนาจะท�ำอุโบสถ เพราะท่านคดิ ว่าตนเป็นพระอรหนั ต์แล้วคงไม่ต้องท�ำ ในครง้ั นนั้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ตรสั เตอื นว่า “ดกู ่อนพราหมณ์ทง้ั หลาย ถ้าพวกเธอไม่สกั - การะ ไมเ่ คารพ ไมน่ บั ถอื ไมบ่ ชู า ซง่ึ อโุ บสถ เมอื่ เปน็ เชน่ นี้ ใครเลา่ จกั สกั การะ เคารพ นับถอื บูชา ซึ่งอโุ บสถ ดกู ่อนพราหมณ์ เธอจงไปท�ำอุโบสถ จะไม่ไปไม่ได้ จงไปท�ำ สงั ฆกรรม จะไม่ไปไมไ่ ด้.” 1 เหตทุ พ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรสั อย่างนก้ี เ็ พอื่ ต้องการให้ เป็นแบบอย่างแก่ภิกษุภายหลังว่า แม้พระอรหันต์ยังต้องท�ำอุโบสถแล้วพระภิกษุ ปุถชุ นจะไม่ท�ำได้อย่างไร จากตวั อยา่ งนแ้ี สดงใหเ้ หน็ วา่ แมจ้ ะเปน็ พระอรหนั ตแ์ ลว้ แตใ่ นบางเรอื่ งทา่ นยงั มองไดไ้ มไ่ กลเหมอื นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หากพระองคอ์ นญุ าตใหพ้ ระอรหนั ตสาวก บัญญัติสิกขาบทได้ สิกขาบทน้ันย่อมมีปัญหาในภายหลังอย่างแน่นอน ด้วยเหตุน้ี พระองคจ์ งึ หา้ มบญั ญตั ิ ในยคุ ตอ่ มาภกิ ษปุ ถุ ชุ นผมู้ ศี ลี เปน็ ทรี่ กั ทงั้ หลายกจ็ ะตระหนกั ถงึ เรอื่ งน้ี จะไม่บัญญัติส่งิ ทพ่ี ระสมั มาสมั พุทธเจ้ามิได้บัญญัตไิ ว้ เขาท้งั หลายจะคิด ได้ว่า แม้พระอรหนั ต์พระพทุ ธองค์ยงั ไม่อนญุ าต แล้วเราเป็นปถุ ชุ นจะท�ำได้อย่างไร แต่ภิกษุท่ีไม่เป็นธรรมวาทีอาจจะไม่สนใจในเรื่องนี้และบัญญัติส่ิงท่ีพระพุทธองค์ไม่ บญั ญตั ขิ น้ึ บา้ ง จนแตกเปน็ นกิ ายตา่ ง ๆ ในภายหลงั อนั นคี้ งชว่ ยอะไรไมไ่ ด้ แตอ่ ยา่ ง น้อย ๆ ภิกษุธรรมวาทีก็ยังมีอยู่มากและยังคงรักษาพระธรรมวินัยด้ังเดิมเอาไว้ได้ ตราบกระท่งั ปัจจุบัน 1 พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาคที่ 1, มก. เล่ม 6 ข้อ 153 หน้า 385. นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 226 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทรงอนุญาตไว้เหมือนกันว่า เม่ือส่ิงแวดล้อมเปลี่ยนไป หากสงฆ์เห็นสมควรจะเพิกถอนสิกขาบทเลก็ น้อยเสียก็ได้ แต่เน่ืองจากพระอรหนั ต์ 500 รปู ทกี่ ระท�ำสงั คายนาครงั้ ท่ี 1 เหน็ ไมต่ รงกนั วา่ สกิ ขาบทใดเปน็ สกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย พระมหากัสสปะผู้เป็นประธานในการสังคายนาจึงเสนอว่าให้ถือปฏิบัติในสิกขาบท ทงั้ หมดทพี่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ไิ ว้ ซง่ึ พระอรหนั ต์ทง้ั หมดกเ็ หน็ ชอบดว้ ย จงึ ถอื เป็นข้อปฏิบตั ิของพระภกิ ษุมาจนปัจจบุ นั 7.9 การประชมุ ทบทวนสิกขาบททกุ กง่ึ เดอื น พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าบัญญตั ิสกิ ขาบทหลกั ๆ ส�ำหรับพระภกิ ษไุ ว้ 227 ข้อ ซง่ึ ถอื ว่ามากอยู่พอสมควร จ�ำเป็นทพ่ี ระภกิ ษทุ กุ รูปจะต้องศกึ ษาสกิ ขาบททง้ั หมดให้ แตกฉานและจดจ�ำได้อย่างแม่นย�ำ ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงก�ำหนดให้มี การประชมุ ทบทวนสิกขาบททกุ ก่งึ เดอื นหรือท่ีเรยี กว่า “ท�ำอุโบสถ หมายถึง การฟัง สวดพระปาฏโิ มกข์” โดยจะมีตวั แทนของพระภกิ ษหุ นงึ่ รูปซึง่ สามารถจดจ�ำสกิ ขาบท ท้ัง 227 ข้อได้อย่างแม่นย�ำ ข้นึ สวดสิกขาบทตัง้ แต่ข้อ 1 ถึงข้อท่ี 227 ให้ภิกษุทั้ง หลายฟงั เพอ่ื ใหแ้ ตล่ ะรปู ทบทวนวา่ สกิ ขาบททง้ั หมดมอี ะไรบา้ ง และใหพ้ จิ ารณาตรวจ ตราตนเองวา่ รกั ษาศลี ได้บรสิ ทุ ธหิ์ รอื ไม่อย่างไร มศี ลี ขอ้ ไหนดา่ งพร้อยไปบ้าง จะได้ แก้ไขและส�ำรวมระวังต่อไป ในการฟังสวดพระปาฏิโมกข์นั้น ภิกษุในอาวาสเดียวกันจะต้องมาฟังสวดที่ เดียวกัน ห้ามแยกสวดโดยเด็ดขาดเพ่ือความสามัคคี ครั้งหนึ่งพระฉัพพัคคีย์แยก สวดกนั เอง เม่อื พระสัมมาสมั พุทธเจ้าทรงทราบจงึ ตรสั ห้ามและบัญญตั ิว่า ภิกษใุ ด สวดพระปาฏโิ มกขแ์ ยกจากสงฆห์ มใู่ หญต่ อ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ หากภกิ ษใุ ดมารว่ มฟงั สวด พระปาฏิโมกข์ไม่ได้เพราะอาพาธ เป็นต้น พระองค์กท็ รงอนุญาตให้มอบปาริสทุ ธิได้ หมายถงึ การบอกแก่เพอื่ นสหธรรมกิ ไปว่า ตลอด 15 วนั ทผี่ ่านมาตนเองรักษาศลี สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 227 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ได้บรสิ ุทธ์ิ แต่ถ้าภกิ ษอุ าพาธหนักไม่สามารถมอบปาริสทุ ธิได้ พระพทุ ธองค์ตรสั ว่า “...พงึ ใชเ้ ตยี งหรอื ตงั่ หามภกิ ษอุ าพาธนนั้ มาในทา่ มกลางสงฆแ์ ลว้ ท�ำอโุ บสถ...ถา้ พวก ภิกษุผู้พยาบาลไข้คิดอย่างนี้ว่า...อาพาธจักก�ำเริบหนักหรือมิฉะน้ันก็จักถึงมรณภาพ ไม่พงึ ย้ายภกิ ษอุ าพาธ สงฆ์พึงไปท�ำอโุ บสถในส�ำนกั ภกิ ษุอาพาธนน้ั แต่สงฆ์เป็นวรรค 1 ไม่พงึ ท�ำอโุ บสถเลย ถ้าขืนท�ำต้องอาบัตทิ กุ กฏ” 2 จากพระด�ำรสั นแ้ี สดงใหเ้ หน็ วา่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงใหค้ วามส�ำคญั กบั การ ประชมุ ฟงั สวดพระปาฏโิ มกขม์ าก ทงั้ นเี้ พอ่ื ใหภ้ กิ ษแุ ตล่ ะรปู ทบทวนศลี ตนเองอยเู่ สมอ และเพอื่ ความสามคั คกี ัน แม้เป็นพระอรหนั ต์ผู้มศี ีลบริสทุ ธิ์ 100% แล้วกย็ งั ต้องมา ท�ำอโุ บสถทกุ คร้งั ดงั เช่นเรอ่ื งราวของพระมหากปั ปินะดงั ท่กี ล่าวมาแล้วข้างต้น การประชุมทบทวนสิกขาบทอยู่เป็นประจ�ำของพระภิกษุน้ัน มีความแตกต่าง กันมากกับกฎหมายในทางโลก เพราะรัฐมีการให้ความรู้เร่ืองกฎหมายแก่ประชาชน ค่อนข้างน้อย ไม่ต้องกล่าวถึงการทบทวนกันเป็นประจ�ำทุก 15 วัน เหมือนของ บรรพชิต ทั้ง ๆ ท่ีกฎหมายเก่ยี วข้องกบั ประชาชนทุกคน คนท่ีรู้กฎหมายจึงมีน้อย มาก แมแ้ ต่คนมกี ารศกึ ษาแลว้ ส่วนใหญก่ ไ็ มค่ อ่ ยร้กู ฎหมายเทา่ ทค่ี วร โดยมากจะใช้ สามญั ส�ำนึกว่า ส่ิงน้นี ่าจะผดิ กฎหมาย สิ่งนน้ี ่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ศกึ ษากัน อย่างจริงจงั และต่อเนื่องอย่างพระภิกษุ รฐั ถอื วา่ กฎหมายทกุ ขอ้ เปน็ หนา้ ทข่ี องประชาชนทกุ คนทตี่ อ้ งรู้ ตอ้ งศกึ ษา หาก ท�ำผดิ จะบอกวา่ ไมร่ กู้ ฎหมายไมไ่ ด้ คนท�ำผดิ เพราะไมร่ กู้ ฎหมายกม็ โี ทษเทา่ กบั คนท�ำ ผิดท่ีรู้กฎหมาย ท้ัง ๆ ท่ีรัฐไม่ค่อยได้ช่วยเหลือในการให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ ประชาชนสกั เท่าไร มักจะปล่อยให้เป็นความรับผดิ ชอบส่วนตัวของประชาชนไป ซึง่ ไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่บางคนที่ปล่อยให้ลูกรับผิดชอบตนเองเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ ของเจ้าทเ่ี กดิ มาแล้วต้องเรยี นรู้โลก จะมาโทษพ่อแม่ไม่ได้ว่าไม่ได้ส่งเสริมการศกึ ษา 1 วรรค หมายถึง หมวด, หมู่, ตอน หรือพวก. 2 พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาคที่ 1, มก. เล่ม 6 ข้อ 181 หน้า 460-461. นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 228 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
แกล่ กู องคค์ วามรเู้ รอื่ งกฎหมายทางโลกจงึ จ�ำกดั อยแู่ คน่ กั กฎหมายหรอื ผทู้ ศ่ี กึ ษามา ด้านนี้โดยตรงเท่าน้นั ซ่งึ ต่างกันอย่างมากกับองค์กรสงฆ์ทม่ี ีระบบเอ้ือให้นักบวชทกุ รูปเข้าถึงองค์ความรู้เรอื่ งสิกขาบททกุ ข้ออย่างเท่าเทยี มกัน 7.10 อธกิ รณ์ในพระไตรปิฎก ค�ำว่า อธกิ รณ์ หมายถงึ เรื่องทเ่ี กิดขน้ึ แล้ว จะต้องจดั ท�ำ คอื เร่อื งทส่ี งฆ์จะ ต้องด�ำเนนิ การซึ่งมที ้งั ส่วนท่เี ป็น “คดี” คอื เป็นปัญหาข้อขดั แย้ง และส่วนทเ่ี ป็นกจิ ธรุ ะต่าง ๆ อธกิ รณ์น้นั มี 4 ประการ คือ วิวาทาธิกรณ์ : ววิ าทกันเรื่องพระธรรม- วนิ ยั , อนุวาทาธิกรณ์ : การโจทกันด้วยอาบัต,ิ อาปัตตาธิกรณ์ : อาบัติและการแก้ไข อาบัติ และกิจจาธิกรณ์ : กจิ ทีส่ งฆ์พงึ ท�ำ 7.10.1 วิวาทาธกิ รณ์ : วิวาทกันเร่อื งพระธรรมวนิ ยั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ ววิ าทาธกิ รณว์ า่ เปน็ เรอ่ื งทภี่ กิ ษทุ ง้ั หลายววิ าทกนั ด้วยเร่ืองธรรมวนิ ยั 9 ประการนค้ี อื (1) นีเ้ ป็นธรรม นไี้ ม่เป็นธรรม (2) นี้เป็นวนิ ยั นีไ้ ม่เป็นวนิ ยั (3) นี้พระตถาคตเจ้าตรัสไว้ น้ีพระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรสั ไว้ (4) นีพ้ ระตถาคตเจ้าทรงประพฤตมิ า นี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงประพฤติมา (5) นีพ้ ระตถาคตเจ้าทรงบญั ญตั ิไว้ นพ้ี ระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญตั ิไว้ (6) นี้เป็นอาบัติ นี้ไม่เป็นอาบตั ิ (7) นี้เป็นอาบตั เิ บา นีเ้ ป็นอาบตั ิหนกั สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 229 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
(8) นีเ้ ป็นอาบตั ิมสี ่วนเหลอื คือ ต้องเข้าแล้วยงั ไม่ขาดจากความเป็นภิกษุ นี้เป็นอาบตั ิหาส่วนเหลอื มไิ ด้ คอื ต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นภกิ ษุ (9) นีเ้ ป็นอาบัติช่ัวหยาบ นเี้ ป็นอาบตั ิไม่ชัว่ หยาบ เมอื่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายววิ าทกนั ดว้ ยเหตุ 9 ประการนแี้ ลว้ ท�ำใหเ้ กดิ ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความทุ่มเถียง และการกล่าวเพ่ือความกลัดกลุ้มใจ เป็นต้น มูลเหตุหรือสาเหตุในระดับรากเหง้าที่ท�ำให้เกิดวิวาทาธิกรณ์เหล่าน้ีข้ึนน้ัน พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรสั ว่า คอื กิเลส ทง้ั 3 ตระกลู คอื โลภ โกรธ หลง อัน แสดงออกมาในรูปของความมักโกรธ ความลบหลู่ ตเี สมอ อสิ สา คือ ความหึงหวง และความชิงชัง ความตระหน่ี ความอวดดี เจ้ามายา ความปรารถนาลามก มีความ เหน็ ผดิ และการเปน็ ผถู้ อื ความเหน็ ของตนอยา่ งแนน่ แฟน้ ภกิ ษรุ ปู ใดทเ่ี ปน็ เชน่ นี้ จะ เปน็ เหตใุ หไ้ มม่ คี วามเคารพย�ำเกรงในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ และยอ่ ม ไม่มคี วามก้าวหน้าในการปฏิบัตธิ รรม จะยงั การวิวาทให้เกดิ ในสงฆ์ นอกจากกิเลสท้งั 3 ตระกลู คือ โลภ โกรธ หลง ดงั กล่าวแล้ว พระสมั มา- สมั พทุ ธเจา้ ยงั ตรสั วา่ การววิ าทกนั ในเรอื่ งธรรมวนิ ยั นนั้ บางครง้ั เกดิ ขน้ึ จากจติ ทเี่ ปน็ กศุ ล คือ จิตที่ไม่โลภ ไม่โกรธ และไม่หลง กล่าวคอื การววิ าทในลกั ษณะนีอ้ าจจะ เรมิ่ ต้นด้วยการสนทนาธรรมกันตามปกติ แต่เมื่อเกิดความเห็นขดั แย้งกนั จึงน�ำไปสู่ การววิ าทกนั ได้ 7.10.2 อนุวาทาธกิ รณ์ : การโจทกันด้วยอาบตั ิ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรสั ว่า ภกิ ษุทัง้ หลายในธรรมวินยั นี้ ย่อมโจท คือ ฟ้อง ร้องภกิ ษุด้วยศีลวิบัติหรืออาบัติ คือ การผดิ ศลี , อาจารวบิ ัติ คอื มารยาทเสอื่ มเสีย, ทิฐิวิบตั ิ คอื ความเห็นผดิ , อาชวี วิบัติ คอื การเลยี้ งชีพในทางที่ผิด เช่น การใบ้หวย การเปน็ หมอดู การเปน็ หมอรกั ษาโรค การประกอบอาชพี อยา่ งฆราวาสอน่ื ๆ เปน็ ตน้ นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 230 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
นีเ้ รียกว่าอนวุ าทาธกิ รณ์ มลู เหตแุ หง่ อนวุ าทาธกิ รณน์ นั้ มอี ยา่ งนอ้ ย 4 ประการ ใน 2 ประการแรกเหมอื น กบั มลู เหตแุ หง่ ววิ าทาธกิ รณ์ คอื กเิ ลส ทง้ั 3 ตระกลู คอื โลภ โกรธ หลง อนั แสดงออก มาในรปู ของความมกั โกรธ ความลบหลู่ตเี สมอ ฯลฯ เป็นเหตใุ ห้จ้องเอาผิดกันแล้ว จึงโจทด้วยอาบตั ิ เป็นต้น และมูลเหตุเกิดขน้ึ จากจติ ทีเ่ ป็นกศุ ล กล่าวคือ โจทด้วย ความหวงั ดี เพอื่ ใหผ้ ทู้ ถ่ี กู โจทปรบั ปรงุ ตวั จะไดม้ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งในพระธรรมวนิ ยั ส่วนมลู เหตแุ ห่งอนุวาทาธิกรณ์อกี 2 ประการ คือ ร่างกาย และวาจา พระ- สมั มาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ภกิ ษุบางรูปเป็นผู้มผี วิ พรรณน่ารงั เกยี จ ไม่น่าดู มีรูปร่าง เล็ก มอี าพาธมาก เป็นคนบอด ง่อย กระจอก หรอื อมั พาต อนั จะเป็นเหตุให้มคี วาม ประพฤติบางอย่างไม่เหมาะสมเพราะความบกพร่องของร่างกายดังกล่าว เพื่อน สหธรรมกิ ทไี่ มเ่ ขา้ ใจอาจจะโจททา่ นได้ สว่ นเรอ่ื งวาจานน้ั คอื ภกิ ษบุ างรปู เปน็ คนพดู ไม่ดี พูดไม่ชดั พูดระราน ภิกษทุ ้ังหลายย่อมโจทภกิ ษนุ ้นั ด้วยวาจา คือ ค�ำพูดไม่ดี ของท่านได้ 7.10.3 อาปัตตาธิกรณ์ : อาบตั ิและการแก้ไขอาบัติ อาปัตตาธิกรณ์ ค�ำว่า “อาบัติ” หมายถึง การล่วงละเมิดสิกขาบทหรือศีลที่ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าบญั ญตั ไิ ว้ โดยมชี อ่ื 7 กอง คือ ปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส ถุลลจั จยั ปาจติ ตยี ์ ปาฏิเทสนียะ ทกุ กฏ และทุพภาษติ อาบัตปิ าราชกิ อาบัติสงั ฆาทเิ สส อาบตั ิปาจิตตีย์ และอาบัตปิ าฏิเทสนยี ะนนั้ เป็นอาบัติที่มีชื่อตรงกับชื่อสิกขาบท โดยสิกขาบทนิสสัคคิยปาจิตตีย์กับสิกขาบท ปาจิตตีย์น้ัน มีชอื่ อาบัติว่า “ปาจิตตยี ์” เหมอื นกนั ส�ำหรบั “ถลุ ลจั จยั ” แปลว่า ความล่วงละเมิดทหี่ ยาบ เป็นอาบัตทิ ห่ี นกั รองลง มาจากสังฆาทิเสส ถุลลัจจัยนั้นเป็นอาบัติที่มีวัตถุเดียวกันกับอาบัติปาราชิก และ อาบัตสิ ังฆาทเิ สสดงั ตัวอย่างต่อไปนี้ สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก 231 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ภิกษุจงใจจะอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน แล้วได้กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็น พระอรหันต์ หากคนทฟ่ี ังอยู่เข้าใจจะต้อง “อาบัติปาราชกิ ” แต่ถ้าคนฟังไม่เข้าใจจะ ต้อง “อาบตั ถิ ลุ ลัจจัย” ภิกษุเหน็ สตรีคนหนึง่ และรู้ว่าเป็นสตรี มีความก�ำหนดั แล้วจบั ต้อง “ของเนือ่ ง ด้วยกาย” ได้แก่ เส้ือผ้าของสตรคี นนน้ั กรณีนีภ้ ิกษุจะต้อง “อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ” แต่ถ้า จับต้อง “ร่างกาย” ส่วนใดส่วนหนึ่งของสตรนี ั้นโดยตรงจะต้อง “อาบตั ิสงั ฆาทเิ สส” ค�ำว่า “ทุกกฏ” แปลว่า “ท�ำไม่ด”ี เป็นอาบตั ทิ มี่ โี ทษเบารองจากอาบตั ปิ าฏเิ ทส- นียะ โดยสิกขาบทในหมวดเสขิยวัตรท้ังหมดรวมท้ังพระบัญญัติเก่ียวกับมารยาท อ่นื ๆ นอกปาฏิโมกข์สังวรศีล หากภิกษุล่วงละเมิดจะต้องอาบัตทิ กุ กฎ ค�ำว่า “ทพุ ภาษิต” แปลว่า “พดู ไม่ด”ี เป็นอาบตั ิทมี่ ีโทษเบาที่สดุ คือ มีโทษเบา กวา่ ทกุ กฏ แตม่ คี วามกำ้� กง่ึ กบั ทกุ กฏพอสมควร เชน่ ภกิ ษตุ งั้ ใจ “จะดา่ ” เพอื่ นภกิ ษุ ด้วยกันด้วยการกล่าวกระทบเรอ่ื งผวิ พรรณว่า ท่านเป็นคนสูงนกั ท่านเป็นคนตำ่� นกั ท่านเป็นคนด�ำนัก เป็นต้น จะต้อง “อาบตั ทิ ุกกฏ” ทกุ ๆ ค�ำพดู แต่ถ้าไม่ได้คดิ จะด่า เพยี งแต่ต้องการ “ล้อเล่น” แล้วพดู ค�ำดงั กล่าว จะต้อง “อาบัตทิ พุ ภาษิต” ทุก ๆ ค�ำ พดู อาบัติท้ัง 7 กองน้จี ดั เป็น 2 ประเภท คือ ครกุ าบตั ิ และลหุกาบัติ ครกุ าบัติ หมายถงึ อาบตั หิ นกั จัดเป็นอาบตั ชิ วั่ หยาบทเ่ี รยี กว่า “ทุฏฐุลลาบัต”ิ หรอื อาบัติท่เี ป็นโทษล�่ำ ได้แก่ ปาราชิก และสงั ฆาทิเสส ปาราชกิ น้นั เป็นอาบตั หิ นกั ข้นั “อเตกิจฉา” คือ เยยี วยาแก้ไขไม่ได้ ซงึ่ ท�ำให้ภิกษผุ ู้ต้องมีโทษถึงทส่ี ุด คือ ขาด จากความเป็นภกิ ษุ ส่วนสังฆาทิเสสเป็นอาบัติหนักขั้น “สเตกจิ ฉา” พอเยยี วยาแก้ไข ใหก้ ลบั เปน็ ภกิ ษปุ กตไิ ดด้ ว้ ย “วฏุ ฐานคามนิ ”ี คอื จะพน้ ไดด้ ว้ ยการอยปู่ รวิ าสหรอื อยู่ กรรม นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 232 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
ลหกุ าบัติ หมายถงึ อาบัตเิ บา จัดเป็น “อทุฏฐุลลาบตั ”ิ คอื อาบตั ิไม่ชวั่ หยาบ ได้แก่ อาบตั ิ 5 กองที่เหลอื ต้งั แต่ถุลลัจจยั ลงมา ซึง่ จะแก้ไขได้หรือระงบั ได้ด้วย “เทสนาคามนิ ี” คอื การแสดง หมายถึง เปิดเผยความผดิ ของตนต่อหน้าพระภิกษุ หรอื หมู่พระภกิ ษุ คอื สงฆ์ 7.10.4 กิจจาธกิ รณ์ : กิจทส่ี งฆ์จะพงึ กระท�ำ กิจจาธิกรณ์ หมายถงึ กจิ ทีส่ งฆ์จะพึงกระท�ำมี 4 ประการ คอื อปโลกนกรรม ญตั ติกรรม ญัตติทตุ ิยกรรม และญตั ติจตตุ ถกรรม อปโลกนกรรม หมายถึง กรรม คอื การบอกเล่ากนั ในทปี่ ระชุมสงฆ์เพื่อขอ ความเหน็ ชอบร่วมกนั เพ่ือท�ำกิจอย่างใดอย่างหน่งึ เช่น การอปโลกน์กฐิน คือ การ ทตี่ วั แทนสงฆ์แจ้งให้สงฆ์ทราบว่าจะยกผ้ากฐินให้กบั พระภิกษรุ ปู ใดรปู หนงึ่ เพ่ือขอ ความเหน็ ชอบจากคณะสงฆ์ในพธิ กี รรมทอดกฐินประจ�ำปี หากพระภกิ ษุทุกรปู ในที่ ประชุมสงฆ์เห็นพ้องกันหรือมีมติร่วมกัน ไม่มีใครคัดค้านพระภิกษุรูปที่ได้รับการ เสนอช่ือน้นั ก็จะได้ผ้ากฐนิ น้ันมาใช้สอย ญัตตกิ รรม ค�ำว่า “ญตั ต”ิ แปลว่า ค�ำเผดียงสงฆ์ หมายถึง การประกาศให้ สงฆ์ทราบเพื่อท�ำกจิ ร่วมกัน ญตั ตกิ รรม หมายถึง กรรมอันกระท�ำด้วยการตั้งญัตติ เพยี งอยา่ งเดยี ว คอื เพยี งแตป่ ระกาศใหส้ งฆท์ ราบวา่ จะท�ำกจิ นนั้ ๆ เทา่ นน้ั ไมม่ กี าร ขอมตจิ ากคณะสงฆ์เหมือนอปโลกนกรรม เช่น การท�ำอุโบสถหรอื พธิ ีฟังสวดพระ- ปาฏโิ มกข์ เป็นต้น ญัตติทุติยกรรม แปลว่า กรรมที่มีญัตติเป็นที่ 2 หมายถึง กรรมท่ีมีวาจา หรอื การกล่าวครบ 2 รวมท้ังญตั ติ กล่าวคือ เมอื่ มีการสวดต้ังญัตตแิ ล้ว จะมีการ สวดอนุสาวนา คือ ค�ำสวดประกาศขอมติจากสงฆ์อีกหนึ่งคร้ังรวมเป็น 2 จึงช่ือว่า ญัตติทุตยิ กรรม เช่น การท�ำสังคายนาพระไตรปิฎก การสมมตสิ ีมา เป็นต้น สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 233 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ญัตติจตุตถกรรม แปลว่า กรรมท่มี ญี ตั ตเิ ป็นท่ี 4 หมายถึง กรรมท่มี วี าจา หรือการกล่าวครบ 4 รวมทงั้ ญตั ติ กล่าวคือ เม่อื มกี ารสวดตัง้ ญัตติแล้ว จะมกี าร สวดอนสุ าวนา คอื ค�ำสวดประกาศขอมติจากสงฆ์อกี 3 คร้งั รวมเป็น 4 จงึ ช่ือว่า ญัตติจตุตถกรรม ท้ังนี้เพื่อให้คณะสงฆ์มีเวลาพิจารณาหลายเท่ียวว่า จะอนุมัติ หรือไม่ ญัตติจตุตถกรรมใช้กับพิธีกรรมที่มีความส�ำคัญ เช่น การอุปสมบท นคิ หกรรม เป็นต้น ค�ำว่า “นิคหกรรม” อ่านว่า นกิ -คะ-หะ-ก�ำ มาจากค�ำว่า “นคิ หะ + กรรม” นคิ หะ แปลว่า การข่มหรอื การลงโทษ ส่วนกรรม แปลว่า การกระท�ำ ค�ำว่า นิคห- กรรม จึงแปลว่า การกระท�ำการข่มหรอื การกระท�ำการลงโทษ นคิ หกรรม เปน็ มาตรการลงโทษขน้ั ที่ 2 หลงั จากปรบั อาบตั ผิ ทู้ ลี่ ะเมดิ สกิ ขาบท หรือกฎข้อห้ามอื่น ๆ แล้ว นิคหกรรมใช้ในกรณีความผิดท่ีร้ายแรง เช่น ก่อการ ทะเลาะววิ าทบาดหมาง ท�ำความออื้ ฉาว มีศลี วิบัติ ติเตยี นพระรัตนตรยั เล่นคะนอง ประพฤตอิ นาจาร ลบล้างพระบัญญตั ิ ประกอบมิจฉาชพี เป็นต้น 1 ส�ำหรบั มลู เหตแุ หง่ กจิ จาธกิ รณน์ น้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “สงฆเ์ ปน็ มลู อนั หนงึ่ แหง่ กจิ จาธกิ รณ”์ ทง้ั นเี้ พราะกจิ จาธกิ รณ์ หมายถงึ กจิ ท่ี “สงฆ”์ จะพงึ กระท�ำ ดงั นน้ั สงฆ์เท่าน้ันท่ีจะให้มกี ิจจาธกิ รณ์ต่าง ๆ เกดิ ขึน้ ได้ ภิกษุรูปใดรปู หนง่ึ เพียงรูป เดียวหรอื ภกิ ษมุ ากกว่าหนึ่งรปู แต่ไม่ครบองค์สงฆ์ คอื ต้ังแต่ 4 รปู ขึ้นไปไม่อาจจะ ท�ำกิจจาธิกรณ์ได้ 7.11 อธกิ รณสมถะ : ธรรมเคร่อื งระงบั อธิกรณ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรสั อธิกรณสมถะไว้ในพระปาฏิโมกข์ เพ่ือเป็นหลักให้ ภกิ ษใุ ช้ส�ำหรับการระงบั อธิกรณ์ที่เกดิ ข้ึนแล้วในพระพทุ ธศาสนาดงั นี้ 1 พระธรรมกิตติวงศ์ (2548). “พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชดุ คำ�วัด.” หน้า 403. นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 234 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1.) สมั มขุ าวนิ ยั คอื การระงบั อธกิ รณ์ในทพ่ี ร้อมหน้า หมายถงึ พร้อมหน้า สงฆ์, พร้อมหน้าบุคคล คอื คู่กรณี, พร้อมหน้าวัตถุ คอื ยกเรื่องที่เกดิ นัน้ ขึ้นมาวนิ ิจฉัย และพร้อมหน้าธรรม คอื วนิ จิ ฉยั ถูกต้องตามธรรม วินัย 2.) สติวินยั คอื การระงับอธกิ รณ์โดยถอื ว่าเป็นผู้มีสติสมบรู ณ์ ใช้ในกรณี ท่ีจ�ำเลยเป็นพระอรหนั ต์ซ่ึงเป็นผู้มสี ติสมบูรณ์ 3.) อมูฬหวินัย คือ การระงบั อธิกรณ์โดยยกประโยชน์ให้ว่าต้องอาบัตใิ น ขณะเป็นบ้า 4.) ปฏิญญาตกรณะ คือ การระงับอธิกรณ์ตามค�ำรับสารภาพของจ�ำเลย 5.) ตัสสปาปิยสิกา คอื การระงบั อธิกรณ์โดยการลงโทษแก่ผู้ท�ำผดิ 6.) เยภยุ ยสิกา คือ การระงบั อธิกรณ์ตามเสียงข้างมาก โดยเสยี งข้างมาก ในทนี่ จ้ี ะตอ้ งเปน็ เสยี งขา้ งมากของภกิ ษธุ รรมวาทเี ท่านน้ั ธรรมวาที คอื ผู้มีปกติกล่าวธรรม หรือผู้พูดถกู ต้องตรงตามหลักธรรม 7.) ติณวตั ถารกวินัย คอื การระงบั อธกิ รณ์โดยการประนีประนอม ใช้ใน กรณที เี่ ปน็ เรอื่ งรา้ ยแรง หากระงบั อธกิ รณโ์ ดยตดั สนิ ใหฝ้ า่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ผิดอาจท�ำให้สงฆ์แตกแยกได้ แต่ยกเว้นอาบัติท่ีมีโทษหนักและอาบัติ เนอื่ งด้วยคฤหัสถ์ ตัวอย่างการระงับอธกิ รณ์ด้วยอธกิ รณสมถะ การระงับอธิกรณ์ด้วยอธิกรณสมถะมีกรณีศึกษาจ�ำนวนมาก ในที่นี้จะยกมา เพยี ง 1 ตวั อยา่ ง คอื การระงบั ววิ าทาธกิ รณ์ คอื การววิ าทกนั เรอ่ื งพระธรรมวนิ ยั ดงั น้ี พระสัมมาสมั พุทธเจ้าตรสั ว่าวิวาทาธกิ รณ์ระงบั ด้วยสมถะ 2 คือ สมั มขุ าวินัย และเยภยุ ยสกิ า ในบางกรณอี าศยั สมั มขุ าวนิ ยั เพยี งอยา่ งเดยี วกส็ ามารถระงบั อธกิ รณ์ ได้ แต่บางกรณีต้องใช้ทั้งสมั มุขาวินยั และเยภุยยสกิ า จึงสามารถระงับอธิกรณ์ได้ สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 235 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1.) การระงับอธกิ รณ์ด้วยสัมมุขาวินยั เม่ือภิกษุวิวาทกันเรื่อง “พระธรรมวินัย” ก็ให้ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ก่อน คอื การระงับในทพ่ี ร้อมหน้า 4 อย่าง คือ พร้อมหน้าสงฆ์, ธรรม, บุคคล และ วัตถุ โดยล�ำดับแรกให้ภิกษุที่เกี่ยวข้องทั้งหมดประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้ว พึง พจิ ารณาธรรมเนติ เมอื่ พจิ ารณาแลว้ พงึ ใหอ้ ธกิ รณน์ นั้ ระงบั โดยอาการทเ่ี รอ่ื งในธรรม เนตินน้ั ลงกนั ได้ ธรรมเนติ มาจากค�ำว่า “ธรรม + เนติ” ค�ำว่า “เนติ” เป็นค�ำเดยี วกบั “นิต”ิ ในค�ำว่านติ ศิ าสตร์ เนติ หมายถงึ แบบแผน ขนบธรรมเนียม กฎหมาย เคร่ือง แนะน�ำ อุบายอันดี 1 การพิจารณาธรรมเนติ ในท่ีนี้หมายถึง การพิจารณาหัวข้อ พระธรรมวินัยท่ีภิกษุวิวาทกัน คล้าย ๆ กับการพิจารณาคดีของผู้พิพากษา ทนายความ หรือนกั กฎหมายในทางโลก ประโยคทวี่ า่ “เมอ่ื พจิ ารณาแลว้ พงึ ใหอ้ ธกิ รณน์ น้ั ระงบั โดยอาการทเี่ รอ่ื ง ในธรรมเนติน้นั ลงกนั ได้” หมายถึง การท่คี ณะสงฆ์ประชมุ กนั ระงบั อธิกรณ์ด้วยการ ตดั สนิ วา่ ฝา่ ยไหนถกู ฝา่ ยไหนผดิ โดยยดึ ความถกู ตอ้ งตามพระธรรมวนิ ยั และใหฝ้ า่ ย ทผี่ ดิ ยินยอมด้วยดี หากอธกิ รณ์ระงบั อย่างนไี้ ด้แล้ว ผู้ท�ำรอ้ื ฟื้นอธกิ รณ์ขนึ้ อกี จะเป็นอาบตั ิ ปาจติ ตีย์ 1.1) กรณรี ะงับอธกิ รณ์ในอาวาสทีอ่ าศัยอยู่ไม่ได้ ถา้ ไมส่ ามารถระงบั อธกิ รณน์ น้ั ในอาวาสทอ่ี าศยั อยไู่ ด้ กใ็ หพ้ ากนั ไปสวู่ ดั อนื่ หรอื ส�ำนกั สงฆอ์ นื่ ทม่ี จี �ำนวนภกิ ษมุ ากกวา่ เมอื่ ไปถงึ แลว้ กใ็ หก้ ลา่ วกบั ภกิ ษเุ จา้ ถนิ่ ว่า อธกิ รณ์นีเ้ กิดข้นึ แล้วอย่างนี้ ขอโอกาสท่านทง้ั หลายจงระงบั อธกิ รณ์นีโ้ ดยธรรม วนิ ัย 1 ราชบัณฑิตยสถาน (2525). “พจนานกุ รม (ฉบับอิเล็กทรอนิกส์)”. นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 236 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ส่วนภิกษุเจ้าถ่นิ น้ันพระสมั มาสัมพุทธเจ้าให้หลักไว้ว่า หากมคี ณะสงฆ์ จากวัดอ่ืนมาขอให้ช่วยระงับอธิกรณ์ ภิกษเุ จ้าถน่ิ จะต้องมคี วามรอบคอบโดยปฏิบัติ ดงั น้ี (1) ใหป้ รกึ ษากบั สมาชกิ ในวดั กอ่ น ถา้ ปรกึ ษากนั แลว้ คดิ วา่ พวกเรา ไม่สามารถระงบั อธกิ รณ์นีโ้ ดยธรรมวินยั ได้ ภิกษเุ จ้าถนิ่ กไ็ ม่พึง รับอธกิ รณ์นนั้ ไว้ (2) ถา้ ปรกึ ษากนั แลว้ คดิ วา่ สามารถระงบั อธกิ รณน์ ไี้ ดโ้ ดยธรรมวนิ ยั ก็ให้กล่าวกับพวกภิกษุอาคันตุกะนั้นว่า ถ้าพวกท่านจักแจ้ง อธกิ รณน์ ตี้ ามทเ่ี กดิ แลว้ จรงิ ๆ แกพ่ วกเรา พวกเราจกั รบั อธกิ รณ์ น้ี แตถ่ า้ พวกทา่ นไมแ่ จง้ แกเ่ ราตามความเปน็ จรงิ พวกเรากจ็ กั ไม่ รับอธิกรณ์น้ี ส�ำหรบั ภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะนน้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าใหห้ ลกั ไวว้ ่า เมอ่ื ไปขอ ให้พระวดั อ่ืนช่วยระงบั อธกิ รณ์นัน้ จะต้องมีความรอบคอบเช่นกนั โดยปฏิบตั ิดงั น้ี (1) ให้กล่าวกบั พวกภิกษเุ จ้าถน่ิ ว่า พวกผมจกั แจ้งอธิกรณ์น้ี ตามที่ เกดิ แล้วจริง ๆ แก่ท่านท้ังหลาย ถ้าท่านสามารถระงับอธิกรณ์น้ี โดยธรรมวนิ ยั ระหวา่ งเวลาเทา่ นไ้ี ด้ อธกิ รณจ์ กั ระงบั ดว้ ยดี พวก ผมจกั มอบอธิกรณ์แก่ท่านท้ังหลาย (2) หากท่านท้ังหลาย ไม่สามารถระงับอธิกรณ์นี้โดยธรรมวินัย ระหว่างเวลาเท่านี้ได้ อธิกรณ์จักไม่ระงับด้วยดี พวกผมจักไม่ มอบอธิกรณ์นี้แก่ท่านท้ังหลาย พวกผมน้ีแหละจักเป็นเจ้าของ อธกิ รณ์น้ี สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 237 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงรอบคอบอย่างน้ี แลว้ จงึ มอบอธกิ รณน์ นั้ แกพ่ วกภกิ ษเุ จา้ ถน่ิ ถา้ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ สามารถระงบั อธกิ รณน์ น้ั ได้กเ็ ป็นการดี ในขัน้ นถ้ี ือว่ายงั ระงบั ด้วยสัมมขุ าวินัยอยู่ ผู้ท�ำการรือ้ ฟื้นและตเิ ตียน อธิกรณ์ที่ระงบั แล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์เช่นเดยี วกัน 1.2) วิธีระงับอธกิ รณ์ทม่ี ีเสียงเซง็ แซ่ ถ้ายังระงับอธิกรณ์ไม่ได้ และในระหว่างวินิจฉัยอธิกรณ์น้ันอยู่ มเี สยี งเซ็งแซ่เกิดขน้ึ จนจบั ใจความค�ำพดู ต่าง ๆ ไม่ได้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าให้ใช้ “อพุ พาหิกวธิ ี” เข้าช่วยระงบั อธกิ รณ์นั้น โดยเบ้อื งต้นให้สงฆ์สมมติภิกษุผู้ประกอบ ด้วยองค์คุณ 10 ประการข้นึ ก่อน อุพพาหิกวธิ ี แปลว่า การเลือกแยกออกไป คล้าย ๆ กับการตัง้ คณะ กรรมการพเิ ศษข้ึนมาเพอื่ ช่วยวนิ จิ ฉัยคดีความ องค์คุณ 10 ของผู้ควรได้รับสมมติ (1) เป็นผู้มีศลี ส�ำรวมระวังในปาฏิโมกข์ ถงึ พร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษมีประมาณเล็กน้อย ตั้งใจศึกษาและรักษา สกิ ขาบททุกข้อเป็นอย่างดี (2) เป็นพหูสูต กล่าวคือ เป็นผู้ฟังพระธรรมค�ำสอนมามาก ทรงจ�ำไว้ได้ คล่องปาก และแทงตลอดในพระธรรมค�ำสอนเหล่านัน้ (3) จ�ำปาฏิโมกข์ได้ดโี ดยพิสดาร จ�ำแนกดี สวดดี วนิ จิ ฉัยถกู ต้อง (4) เป็นผู้ตั้งมัน่ ในพระวินัย ไม่คลอนแคลน (5) เป็นผู้อาจชีแ้ จงให้คู่ต่อสู้ในอธิกรณ์ยนิ ยอม เข้าใจ เพ่งเหน็ เลอื่ มใส (6) เป็นผู้ฉลาดเพือ่ ยังอธิกรณ์อนั เกดิ ขนึ้ ให้ระงับ (7) รู้อธิกรณ์ นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 238 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(8) รู้เหตุเกิดอธกิ รณ์ (9) รู้ความระงับแห่งอธกิ รณ์ (10) รู้ทางระงับอธกิ รณ์ วธิ ีแต่งต้ังและกรรมวาจา เมอ่ื หาภกิ ษผุ มู้ อี งคค์ ณุ 10 ประการนไ้ี ดแ้ ลว้ กใ็ หส้ งฆส์ มมตภิ กิ ษรุ ปู นขี้ น้ึ เปน็ ตัวแทนในการระงับอธิกรณ์ โดยให้ภิกษุผู้ฉลาดประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ- ทุตยิ กรรมวาจาว่า “ทา่ นเจา้ ขา้ ขอสงฆจ์ งฟงั ขา้ พเจา้ เมอื่ พวกเราวนิ จิ ฉยั อธกิ รณน์ อี้ ยู่ มเี สยี งเซง็ - แซ่เกดิ ขึน้ และไม่ทราบเน้ือความแห่งถ้อยค�ำทก่ี ล่าวแล้วน้นั ถ้าความพร้อมพร่งั ของ สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีช่ือน้ีด้วย มีชื่อน้ีด้วย เพ่ือระงับอธิกรณ์น้ีด้วย อุพพาหกิ วธิ ี น้เี ป็นญัตต”ิ “ทา่ นเจา้ ขา้ ขอสงฆจ์ งฟงั ขา้ พเจา้ เมอื่ พวกเราวนิ จิ ฉยั อธกิ รณน์ อี้ ยู่ มเี สยี งเซง็ - แซ่เกิดขึ้น และไม่ทราบเน้อื ความแห่งถ้อยค�ำที่กล่าวแล้วนนั้ สงฆ์สมมตภิ ิกษุมชี ื่อน้ี ด้วย มีช่ือนี้ด้วย เพื่อระงับอธิกรณ์นี้ด้วยอุพพาหิกวิธี การสมมติภิกษุมีช่ือนี้ด้วย มีชือ่ น้ดี ้วย เพอ่ื ระงับอธิกรณ์นดี้ ้วยอพุ พาหิกวธิ ี ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็น ผู้นิง่ ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นัน้ พงึ ทกั ท้วง” “ภิกษุมีชื่อนี้ด้วย มีช่ือน้ีด้วย อันสงฆ์สมมติแล้ว เพ่ือระงับอธิกรณ์นี้ ด้วย อพุ พาหิกวธิ ีชอบแก่สงฆ์ เหตนุ น้ั จงึ นิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนไี้ ว้ด้วยอย่างนีฯ้ ” ถา้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั สามารถระงบั อธกิ รณน์ นั้ ดว้ ยอพุ พาหกิ วธิ นี ี้ อธกิ รณน์ น้ั กถ็ อื วา่ ระงบั แล้ว แต่ยงั ถอื ว่าระงับด้วยสมั มขุ าวินยั อยู่ ผู้ท�ำการรือ้ ฟื้นอธกิ รณ์ทร่ี ะงบั แล้ว ต้องอาบัตปิ าจติ ตยี ์เช่นเดยี วกัน สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก 239 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1.3) การแก้ปัญหาเมื่อมผี ู้คดั ค้านการวินจิ ฉยั ถ้ายังระงับอธิกรณ์ไม่ได้และขณะวินจิ ฉยั อธกิ รณ์อยู่ มภี กิ ษธุ รรมกถึก กล่าวค้านการวินิจฉัยนั้น คัดค้านโดยท่ีตนเองจ�ำเน้ือหาพระธรรมวินัยในส่วนท่ี คัดค้านน้ันไม่ได้ หรือจ�ำได้บ้างไม่ได้บ้าง เมื่อเป็นเช่นน้ีภิกษุผู้ฉลาดพึงประกาศให้ ภิกษเุ หล่านนั้ ทราบด้วยญัตตกิ รรมวาจา ว่า “ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อน้ีรูปน้ีเป็นธรรมกถึก เธอจ�ำ เน้ือหาพระธรรมวินัยในส่วนที่คัดค้านน้ันไม่ได้เลย หรือจ�ำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ได้ คดั คา้ น ถา้ ความพรอ้ มพรง่ั ของทา่ นทงั้ หลายถงึ ทแ่ี ลว้ พวกเราพงึ ขบั ภกิ ษชุ อ่ื นใ้ี หอ้ อก ไป แล้วท่เี หลอื พึงระงบั อธิกรณ์นี”้ ถ้าภิกษุเหล่าน้ันขับภิกษุเหล่าน้ันออกไปแล้วสามารถระงับอธิกรณ์นั้น อธิกรณ์นั้นก็ถือว่าระงับแล้ว แต่ยังถือว่าระงับด้วยสัมมุขาวินัยอยู่ ผู้ท�ำการรื้อฟื้น อธิกรณ์ท่ีระงับแล้วต้องอาบตั ิปาจิตตีย์เช่นเดยี วกนั 2.) การระงับอธิกรณ์ด้วยสมั มุขาวินัยและเยภยุ ยสกิ า ถา้ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ไมส่ ามารถระงบั อธกิ รณน์ นั้ ดว้ ยอพุ พาหกิ วธิ ี กพ็ งึ มอบ อธิกรณ์นั้นแก่สงฆ์ว่า ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าไม่สามารถระงับอธิกรณ์น้ีด้วย อพุ พาหกิ วิธี ขอสงฆ์นัน่ แหละจงระงบั อธิกรณ์นี้ เมอื่ เปน็ เชน่ นพ้ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กอ็ นญุ าตใหส้ งฆร์ ะงบั อธกิ รณน์ ด้ี ว้ ย “เยภยุ ยสกิ า” หรอื ดว้ ยเสยี งขา้ งมาก ซง่ึ จะใชว้ ธิ กี ารจบั สลาก โดยล�ำดบั แรกใหส้ มมติ ภกิ ษผุ ู้ประกอบด้วยองค์คณุ 5 ให้เป็นผู้ให้จับสลาก คอื (1) ไม่ถึงความล�ำเอยี งเพราะความชอบพอ (2) ไม่ถึงความล�ำเอียงเพราะความเกลยี ดชัง (3) ไม่ถึงความล�ำเอียงเพราะความงมงาย นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 240 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(4) ไม่ถึงความล�ำเอยี งเพราะความกลัว (5) เป็นผู้รู้จักสลากทจ่ี ับแล้วและยังไม่จบั วธิ แี ต่งตงั้ และกรรมวาจา เมอื่ เลอื กภกิ ษผุ มู้ คี ณุ สมบตั อิ ยา่ งนแ้ี ลว้ กใ็ หภ้ กิ ษผุ ฉู้ ลาดประกาศใหส้ งฆท์ ราบ ว่าจะสมมตภิ กิ ษุรปู นใ้ี ห้เป็นผู้ให้จบั สลากด้วยญัตติทุตยิ กรรมวาจาดงั นี้ “ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพร่ังของสงฆ์ถึงทแ่ี ล้ว สงฆ์ พึงสมมตภิ กิ ษมุ ชี ือ่ น้ี ให้เป็นผู้ให้จับสลาก นเี้ ป็นญตั ติ” “ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมตภิ ิกษุมีช่อื น้ี ให้เป็นผู้ให้จับสลาก การสมมตภิ กิ ษมุ ชี ื่อนี้ ให้เป็นผู้ให้จบั สลาก ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้น้ันพึงเป็นผู้นิง่ ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นัน้ พงึ ทักท้วง “ภกิ ษุมีชื่อน้ีอันสงฆ์สมมติแล้ว ให้เป็นผู้ให้จบั สลาก ชอบแก่สงฆ์ เหตนุ ้ันจงึ นิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้” ภิกษุผู้ให้จับสลากนั้น พึงให้ภิกษุท้ังหลายจับสลาก โดยการจับสลากนั้น พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าทรงให้หลักว่า “ภกิ ษพุ วกธรรมวาทมี ากกว่า ย่อมกล่าวฉันใด พงึ ระงบั อธกิ รณ์นัน้ ฉนั นน้ั ” หมายถึง แม้จะเป็นการตัดสนิ ด้วยเสียงข้างมาก แต่ก็ จะต้องยึดธรรมวินยั เป็นหลกั จะตัดสนิ จากคะแนนตามใจชอบไม่ได้ การระงับอธิกรณ์ในลักษณะน้ีชื่อว่าระงับด้วย สัมมุขาวินัย และเยภุยยสิกา เพราะช่วงแรกด�ำเนินการระงับด้วย สัมมุขาวินัย แต่ไม่ส�ำเร็จ ต่อมาจึงใช้วิธี เยภุยยสิกา คือ การระงับโดยเสียงข้างมากเข้าช่วยจึงส�ำเร็จ ผู้ท�ำการร้ือฟื้นและ ติเตียนอธกิ รณ์ท่รี ะงับแล้วต้องอาบัติปาจติ ตยี ์ เช่นเดยี วกัน สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 241 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
7.12 พระวินยั ธร : นกั กฎหมายในพระธรรมวนิ ัย พระวินัยธร หมายถึง พระผู้ช�ำนาญวินัย ถ้าเป็นทางโลกก็คือผู้ช�ำนาญด้าน กฎหมาย หรือนักกฎหมายน่ันเอง ในบรรดาผู้ช�ำนาญวินัยในพระพุทธศาสนาน้ัน พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้ายกย่องพระอุบาลีว่าเป็นเลิศกว่าภิกษทุ ั้งปวง การจะเป็นพระ- วินัยธรได้น้ันพระพุทธองค์ทรงก�ำหนดคุณสมบัติท่ีส�ำคัญไว้ในปฐมวินยธรสูตร 7 ประการ ดงั น้ี (1) รู้จักอาบตั ิ หมายถงึ รู้อาบัติท้ัง 7 กอง ได้แก่ ปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส เป็นต้น (2) รู้จักอนาบตั ิ หมายถึง สามารถวินิจฉัยเร่ืองเก่ียวกับอาบัติแต่ไม่ถึงกับ ตอ้ งอาบตั ิ เชน่ นางภกิ ษณุ อี บุ ลวรรณาถกู ขม่ ขนื ทา่ นไมย่ นิ ดจี งึ ไมต่ อ้ ง อาบตั ิ เป็นต้น (3) รู้จักลหุกาบตั ิ หมายถึง รู้ว่าอาบตั ิเบา 5 อย่าง คอื ถลุ ลัจจยั ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาสิต ซ่ึงจะพ้นได้ด้วยการแสดงอาบัติ หรือปลงอาบตั ิ (4) รู้จักครกุ าบัติ หมายถงึ รู้จักอาบตั ิหนกั คือ รู้ว่าสงั ฆาทเิ สสจะพ้นได้ ด้วยการอยู่กรรม และรู้ว่าอาบัติปาราชิกไม่อาจจะแก้ไขได้ ต้องให้ ลาสกิ ขาอย่างเดยี ว (5) มีศลี ส�ำรวมระวังในปาฏโิ มกข์ เพียบพร้อมด้วยอาจาระ คือ มารยาท และโคจร มปี กตเิ หน็ ภยั ในโทษแม้เลก็ นอ้ ย หมนั่ ศกึ ษาและตงั้ ใจรกั ษา สิกขาบททกุ ข้อ ค�ำว่า “โคจร” หมายถึง สถานท่ซี ง่ึ ภิกษุควรเท่ยี วไป และต้องไม่ ไปในสถานที่ที่ไม่ควรไป เช่น สถานท่ีของหญิงโสเภณี หญิงหม้าย สาวแก่ ร้านสุรา เป็นต้น นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก 242 สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
(6) ได้ฌาน 4 อันเป็นเคร่อื งอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน (7) เป็นพระอรหันต์ คณุ สมบตั ิของพระวนิ ัยธร 7 ประการดังท่กี ล่าวมาข้างต้น สามารถแบ่งออก เป็น 2 กลุ่ม คอื กลุ่มท่ี 1 มคี วามรู้เรือ่ งพระวินัยเป็นอย่างดี ประกอบด้วย ข้อ 1, 2, 3 และ 4 กลุ่มที่ 2 คือ มศี ีลธรรม ประกอบด้วย ข้อ 5 คอื มีศีล, ข้อ 6 คือ ได้ ฌาน 4 และข้อ 7 เป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้ว จงึ กล่าวโดยย่อได้ว่า พระวนิ ัย- ธรจะต้องมคี วามรู้คู่ศลี ธรรมน่ันเอง สรรพศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 243 นิติศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
นติ ศิ าสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 244 สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก www.kalyanamitra.org
บทที่ 8 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปฎิ ก 8.1 ภาพรวมเศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎกน้ันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ “มีบุญเป็นศูนย์กลาง” กลา่ วคอื มหี ลกั วา่ ระบบเศรษฐกจิ ทดี่ จี ะตอ้ งเออ้ื ใหส้ มาชกิ ในสงั คมไดม้ โี อกาสบ�ำเพญ็ บญุ พฒั นาตนใหเ้ จรญิ งอกงามในกศุ ลธรรม อยรู่ ว่ มกนั ดว้ ยความสขุ มคี วามกา้ วหนา้ ทงั้ เศรษฐกจิ และจติ ใจไปคกู่ นั เพราะบญุ เปน็ ปจั จยั หลกั แหง่ ความสขุ ความส�ำเรจ็ ของ มนุษย์ท้ังในระดับบุคคลและระดับประเทศ หรือในระดับจุลภาคและมหภาค ต่าง จากเศรษฐศาสตรใ์ นระบบทนุ นยิ มที่ “มที นุ เปน็ ศนู ยก์ ลาง” มงุ่ เนน้ การพฒั นาทางวตั ถุ ดูอตั ราการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ อัตรารายได้ต่อหัวของประชากรเป็นหลัก www.kalyanamitra.org
หลักการสร้างตวั สร้างฐานะในพระพทุ ธศาสนา คือ หวั ใจเศรษฐี ได้แก่ 1. อฏุ ฐานสัมปทา หาทรพั ย์เป็น 2. อารักขสัมปทา เกบ็ รักษาทรพั ย์เป็น 3. กัลยาณมิตตตา สร้างเครอื ข่ายคนดเี ป็น 4. สมชีวิตา ใช้ชวี ติ เป็น เม่ือบุคคลแต่ละคนได้สั่งสมบุญอันเป็นอริยทรัพย์ ได้แก่ การบริจาคทาน เป็นต้น ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามหลักหัวใจเศรษฐีนี้ก็จะส่งผลให้มีฐานะทาง เศรษฐกิจดี ส่วนเศรษฐกิจในระดับมหภาคหรือระดับประเทศน้ัน รัฐบาลก็ต้องส่งเสริม ประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจเรอ่ื งบญุ และส่ังสมบุญควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ ประชาชนปฏิบตั ติ ามหลักหัวใจเศรษฐีทง้ั 4 ประการน้ี หากท�ำได้เช่นนเ้ี ศรษฐกิจของ ประเทศก็จะดีและเติบโตอย่างม่ันคง เรอ่ื งบญุ หรอื อรยิ ทรพั ยน์ นั้ กลา่ วอกี นยั หนง่ึ คอื เปน็ เรอื่ งการพฒั นาจติ ใจ สว่ น หวั ใจเศรษฐเี ปน็ หลกั การพฒั นาเศรษฐกจิ ทปี่ รากฏใหเ้ หน็ เปน็ รปู ธรรม ดว้ ยเหตนุ ห้ี ลกั เศรษฐศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ กจงึ อาจกล่าวได้ว่า “เปน็ หลกั ทต่ี อ้ งพฒั นาเศรษฐกจิ กบั จติ ใจไปด้วยกัน” 8.2 ทรพั ย์ 2 ประการในพระไตรปิฎก ในบทที่ 2 ได้กล่าวถงึ ความหมายของค�ำว่า “ทรพั ยากร” ไปแล้วว่าหมายถึง สิง่ ท้งั ปวงอนั เป็นทรัพย์ ซง่ึ “ทรพั ย์” หมายถงึ ส่งิ ที่ถือว่ามคี ่า ได้แก่ วตั ถมุ รี ปู ร่าง เช่น เงนิ ตรา ส่งิ อ่นื ๆ หรือ วัตถุที่ไม่มรี ูปร่าง เช่น ปัญญา เรยี กว่า อรยิ ทรพั ย์ ซ่งึ จรงิ ๆ แล้วค�ำว่าอรยิ ทรพั ย์นเี้ ป็นศพั ท์ท่ีมาจากพระไตรปิฎก เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 246 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
ค�ำทหี่ มายถงึ ทรพั ย์ ในภาษาบาลมี อี ยหู่ ลายค�ำดว้ ยกนั เชน่ ทพั พะ, ธนะ และ นธิ ิ เป็นต้น ทรพั ย์ แปลว่า เครอื่ งปลมื้ ใจ 1 ค�ำว่า ทรพั ย์ทป่ี รากฏอยู่ในพระไตรปิฎก นั้นมี 2 ประเภท คือ โภคทรพั ย์และอริยทรพั ย์ 8.2.1 โภคทรพั ย์ โภคทรพั ย์ หมายถึง ทรพั ย์ภายนอก คอื ของทีจ่ ะพงึ บริโภค เป็นเครื่องท�ำน-ุ บ�ำรงุ ร่างกาย แบ่งเป็นโภคทรัพย์โดยตรง และโภคทรพั ย์โดยอ้อม โภคทรพั ย์โดยตรง ได้แก่ ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครือ่ งนุ่งห่ม ทอ่ี ยู่อาศัย และ ยารักษาโรค ส่วนโภคทรัพย์โดยอ้อม ได้แก่ เงินทอง หรือเงินตรา ท่ีบัญญัติขึ้น ส�ำหรบั เปน็ มาตราส�ำหรบั แลกเปลย่ี นซอื้ ขายกนั เงนิ ทองไมไ่ ดเ้ ปน็ โภคทรพั ยโ์ ดยตรง เพราะไม่อาจจะเอามาเป็นเคร่อื งท�ำนุบ�ำรุงร่างกาย คอื เอามานุ่งห่มไม่ได้ กนิ ไม่ได้ เป็นต้น แต่จะต้องน�ำเอาไปซื้อโภคทรัพย์ คอื ปัจจยั 4 มาอีกทีหนงึ่ โภคทรพั ย์ หมายรวมถึง สวน ไร่นา ทด่ี ิน เพชร นิล จนิ ดา ยานพาหนะ สัตว์เลีย้ ง หรือสิง่ ของท่ีมคี ่าอืน่ ๆ ด้วย เพราะสง่ิ เหล่านสี้ ามารถน�ำไปแลกเปลีย่ น เป็นปัจจัย 4 ได้เช่นกัน โภคทรพั ย์นน้ั จัดเป็น “โลกียทรัพย์” หมายถึง ทรัพย์ในทางโลก 8.2.2 อริยทรพั ย์ อริยทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์อันประเสริฐ เป็นทรัพย์ที่มีภายในใจ มีอยู่ 7 ประการ คือ สทั ธาธนงั ทรพั ย์คอื ศรัทธา, สลี ธนัง ทรัพย์คอื ศีล, หริ ิธนัง ทรัพย์ คอื หิริ, โอตตัปปธนงั ทรพั ย์คือโอตตปั ปะ, สุตธนงั ทรัพย์คอื สุตะ, จาคธนงั ทรพั ย์ คอื จาคะ และปัญญาธนงั ทรพั ย์คือปัญญา 2 1 อรรถกถาธาตวุ ิภงั คสูตร, อรรถกถามัชฌมิ นิกาย อปุ ริปัณณาสก์, มก. เล่ม 23 ข้อ 353. 2 สังคตี สิ ูตร, ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค, มก. เล่ม 16 ข้อ 326 หน้า 227. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 247 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
1) ศรทั ธา หมายถงึ ความเชอ่ื ทปี่ ระกอบดว้ ยปญั ญา เชอื่ อยา่ งมสี ตพิ จิ ารณา ว่า สิ่งใดควรเชอื่ สิง่ ใดไม่ควรเช่ือ ศรัทธาข้ันพนื้ ฐานมอี ยู่ 4 ประการ คอื - เชือ่ กรรม เชือ่ ว่ากรรมมอี ยู่จริง ท�ำอะไรแล้วย่อมมผี ลเสมอ - เชื่อผลของกรรม คือ เชื่อว่าท�ำดีได้ดี ท�ำชวั่ ได้ชั่ว - เช่ือว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน คือ เชื่อว่ากรรมดีกรรมช่ัวย่อม ตดิ ตามผู้ท�ำนนั้ ไป - เชื่อว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง และเช่ือในพระปัญญาตรัสรู้ ของพระองค์ 2) ศีล หมายถึง การรกั ษากาย วาจา ให้เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่เบียดเบยี น ใคร ให้ความมน่ั คงและความจรงิ ใจซอ่ื สตั ยต์ อ่ กนั อนั เปน็ หลกั ประกนั ความเป็นมนุษย์ในตัวบคุ คล อย่างน้อยต้องรักษาศีลให้ได้ 5 ข้อ ซึง่ ต้องหม่นั ท�ำให้เป็นปกติจนกลายเป็นนิสยั ให้ได้ 3) หิริ หมายถึง ความละอายต่อการท�ำบาป ละอายต่อการคิดช่ัว พดู ชว่ั และท�ำชัว่ โดยต้องหม่ันเตอื นตนเองไม่ให้พลาดพลั้งไปท�ำความชั่วอยู่ ตลอดเวลา 4) โอตตัปปะ หมายถงึ ความกลัวต่อผลของบาปว่า ถ้าเราคดิ ช่วั พูดชวั่ หรอื ท�ำช่วั ไปแล้ว สิง่ ทต่ี ามมา คือ วบิ ากทีส่ ่งผลเป็นความทกุ ข์ทรมาน ท้งั ในปัจจุบนั และในอนาคต 5) สตุ ะ หมายถงึ หมนั่ ฟงั ธรรมและศกึ ษาธรรมเพอ่ื ให้ไดฟ้ งั และรสู้ งิ่ ทต่ี น ไมเ่ คยรู้ และเพม่ิ พนู ความรทู้ ม่ี อี ยแู่ ลว้ ใหเ้ พม่ิ พนู มากยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป แลว้ ศกึ ษาให้แตกฉาน ท้งั ความรู้ทางโลกและทางธรรม เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก 248 สรรพศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
6) จาคะ หมายถึง การรู้จักเสยี สละ แบ่งออกเป็น 2 ประการ - การสละสิ่งของเป็นทาน เป็นการก�ำจัดความตระหนอี่ อกจากใจ - สละอารมณท์ ไี่ มด่ เี ปน็ ทาน คอื สละอารมณโ์ กรธ พยาบาท ออก ไป และใหอ้ ภยั ทาน ซง่ึ จะสง่ ผลใหใ้ จของเราผอ่ งใสไมข่ นุ่ มวั และ ไม่จองเวรกับใคร 7) ปัญญา หมายถึง ความรู้ในการก�ำจดั กิเลสเพือ่ ให้พ้นจากความทกุ ข์ อริยทรัพย์จัดเป็น “โลกุตรทรพั ย์” หมายถงึ ทรัพย์ท่พี ้นจากโลก อยู่เหนือโลก อริยทรัพย์บางพระสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพียง 5 ประการบ้าง 4 ประการบ้าง เช่น ธนสตู ร พระผู้มพี ระภาคเจ้าตรสั อริยทรัพย์ไว้ 5 ประการ คือ ศรัทธา ศีล สตุ ะ จาคะ และปัญญา 1 และในทฆี ชาณสุ ตู รพระผู้มีพระภาคเจ้าตรสั อรยิ ทรพั ย์ไว้ 4 ประการ คอื ศรทั ธา ศลี จาคะ และปัญญา 2 จากท่ีกล่าวแล้วในบทท่ี 4 ว่าธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกหมวดนั้น สัมพันธ์กันหมดและสามารถย่อหรือขยายได้ หากย่อถึงท่ีสุดแล้วจะเหลือเพียง ข้อเดียว คือ “ความไม่ประมาท” หากขยายก็จะได้มากถึง 84,000 ข้อหรือพระ- ธรรมขันธ์ ส�ำหรบั อรยิ ทรพั ย์ 7 นน้ั หากจะยอ่ ใหเ้ หลอื 5 ประการกไ็ ด้ คอื จดั “หริ ”ิ และ “โอตตัปปะ” ไว้ในหมวด “ศลี ” เพราะธรรมทง้ั สองประการนเ้ี กยี่ วข้องกบั การรักษา ศลี ถา้ จะยอ่ อรยิ ทรพั ย์ 5 ใหเ้ หลอื 4 ประการกไ็ ดค้ อื จดั “สตุ ะ” ไวใ้ นหมวด “ปญั ญา” เพราะสุตะเป็นเรื่องของการแสวงหาความรู้เพื่อเพม่ิ พนู ปัญญา เป็นอนั ว่าอริยทรพั ย์ 7 ก็ดี อรยิ ทรัพย์ 5 กด็ ี หรอื อรยิ ทรพั ย์ 4 กด็ ี ก็คอื อนั เดยี วกนั เพียงแต่จะกล่าว โดยย่อหรือขยายเท่านัน้ 1 ธนสตู ร, องั คตุ ตรนิกาย ปัญจกนบิ าต, มก. เล่ม 36 ข้อ 47 หน้า 107. 2 ทีฆชาณสูตร, องั คุตตรนกิ าย ปัญจกนิบาต, มก. เล่ม 37 ข้อ 144 หน้า 560. สรรพศาสตรใ์ นพระไตรปฎิ ก 249 เศรษฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450