แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าภาษาไทย ๒๔๖ โดยใชก้ ารจัดกจิ กรรมรปู แบบบรรยาย ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๔ แผนท่ี ๒/๒ กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ภาคเรยี นท.่ี .............. หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๖ เรอ่ื ง มงคลสตู รคำฉันท์ เวลา ๑ ชั่วโมง แผนการจดั การเรียนรู้ เรอ่ื ง สำนวน สภุ าษิตและคำพงั เพย สอนวนั ที่ ............................................... ๑. สาระสำคญั สำนวน หมายถึง โวหาร ทำนองพดู ถ้อยคำทเี่ รยี บเรียง เปน็ ลกั ษณะความหมายเชงิ อปุ มาเปรียบเทียบ ไมแ่ ปลความหมายตามตวั อักษร สภุ าษติ หมายถึง คำพดู ทพี่ ูดออกมาไม่ว่าจะเป็นทำนอง สำนวนโวหาร ท่ีมีความหมายทีด่ ี คำพังเพย หมายถงึ ถ้อยคำทเ่ี รยี บเรียงขนึ้ มาเป็นความหมายกลาง ๆ คือ ไม่เนน้ การสัง่ สอน แตก่ ็แฝงคติเตือนใจหรือข้อคิดสะกิดใจใหน้ ำไปปฏิบัติได้ ๒. มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตวั ชว้ี ัด มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรรมชาตขิ องภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของ ภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบตั ขิ องชาติ ม.๔-๖/๒ ใช้คำและกลมุ่ คำสรา้ งประโยคตรงตามวัตถปุ ระสงค์ ม.๔-๖/๔ แตง่ บทรอ้ ยยกรอง ๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เมื่อนักเรยี นเรยี นเรอื่ งสำนวน สภุ าษติ และคำพังเพยแล้ว นักเรยี นสามารถ ๑. อธิบายความหมายและลกั ษณะของสำนวน สภุ าษิตและคำพงั เพยได้ (K) ๒. แตง่ บทรอ้ ยกรองประเภทโคลงสส่ี ภุ าพจากสภุ าษติ ท่ีปรากฏในเร่ืองมงคลสตู รคำฉนั ทไ์ ด้ (P) ๓. เหน็ คณุ คา่ ของสำนวน สุภาษิตและคำพังเพย (A) ๔. สาระการเรยี นรู้ ๑. ความหมายและลักษณะของสำนวน สภุ าษิตและคำพังเพย ๒. การแตง่ โคลงสสี่ ภุ าพจากสภุ าษิต ๓. คุณคา่ ของสำนวน สภุ าษิตและคำพังเพย ๕. สมรรถนะท่ตี อ้ งการ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร ๒. ความสามารถในการคดิ ๓. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
๒๔๗ ๖. คณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ ๑. มวี นิ ัย ๒. ใฝเ่ รียนรู้ ๓. มงุ่ ม่ันในการทำงาน ๗. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ กิจกรรมที่ ๑ ขัน้ นำเขา้ สบู่ ทเรียน (๕ นาที) ๑. ครกู ล่าวคำทักทายนกั เรียนและพดู คยุ เพอ่ื สร้างบรรยากาศท่เี ปน็ กันเอง เช่น - ชวั่ โมงทผ่ี ่านเรียนวิชาอะไร สนุกไหม - สปั ดาห์ทแ่ี ลว้ เรยี นเรอ่ื งอะไร มีใครจำได้บา้ ง ๒. ครชู แี้ จงขอ้ ตกลงในชัน้ เรียน ดังนี้ - ไม่พดู คยุ เสียงดงั ในขณะทีค่ รทู ำการสอน หรือในขณะทำกจิ กรรม - ไมร่ บั ประทานอาหารหรอื ขนมในหอ้ งเรียน - อนญุ าตใหใ้ ช้เคร่อื งมอื สื่อสารในห้องเรยี นไดใ้ นกรณที ่ที ำการสบื คน้ ข้อมลู ในการเรียน เท่านน้ั ๓. ครยู กตัวอย่างสำนวน สภุ าษติ และคำพังเพยมาสามสำนวน คือ ๑. ทำดีได้ดที ำชวั่ ไดช้ ่ัว ๒. ผกั ชีโรยหนา้ ๓. เทกระจาด จากนัน้ ครใู ห้นักเรียนรว่ มกันทายว่าข้อใดเป็นสำนวน สภุ าษติ หรือคำพงั เพยโดยทีค่ รูยังไม่เฉลย คำตอบท่ีถกู ตอ้ ง กจิ กรรมที่ ๒ ขั้นสอน (๓๐ นาท)ี ๑. ครูแจกเอกสารประกอบการเรยี นเรอ่ื ง “สำนวน สภุ าษติ และคำพังเพย” จากนนั้ ใหน้ กั เรียน อ่านทำความเขา้ ใจ ๒. ครูอธิบายความหมาย ลกั ษณะและยกตัวอย่างสำนวน สภุ าษติ และคำพังเพยมาเพอ่ื ให้ นกั เรยี นไดส้ งั เกตเหน็ ความเหมือนและความต่างที่เปน็ ตวั แบง่ แยกคำทงั้ สามประเภทออกจากกัน ๓. ครแู บง่ นักเรยี นออกเปน็ กลมุ่ กลุ่มละ ๓-๔ คนเพ่อื ทำกจิ กรรมกลมุ่ โดยจะตอ่ เนอื่ งจากในคาบ เรยี นทแี่ ล้วท่ีได้ทำการศกึ ษาเรอ่ื งมงคลสตู รคำฉนั ท์ ซง่ึ ในคาบเรียนนคี้ รจู ะใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลุ่มรบั ผดิ ชอบพระ คาถาภาษาบาลกี ลุ่มละ ๑ คาถา ซง่ึ สิง่ ทสี่ มาชกิ ในกลมุ่ จะตอ้ งปฏบิ ัตมิ ดี งั น้ี ๓.๑ ศึกษาและค้นหาสำนวน สภุ าษิตและคำพงั เพยที่ปรากฏในพระคาถาภาษาบาลที ่ีกลมุ่ ของตน ไดร้ ับ จากน้ันใหบ้ ันทกึ ลงในใบงานเดย่ี วเร่อื ง “สำนวน สภุ าษิตและคำพังเพย” ๓.๒ สมาชิกในกลมุ่ ปรึกษากันเพือ่ คดั เลอื กเอาสภุ าษติ ที่ปรากฏในพระคาถาภาษาบาลีท่กี ลุ่มของ ตนรบั ผดิ ชอบมา ๑ สภุ าษิต เพื่อนำมาแตง่ เปน็ โคลงส่สี ุภาพจำนวน ๒ บทลงในกระดาษชารต์ ซ่งึ เป็นผลงานของ กลุ่ม
๒๔๘ ๔. เม่ือทำกจิ กรรมกลุม่ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยให้แต่ละกลมุ่ ออกมานำเสนอผลงานหน้าชัน้ เรียน กิจกรรมที่ ๓ ขั้นสรปุ (๑๕ นาท)ี ๑. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายสรุปความรู้เรื่องสำนวน สภุ าษิตและคำพังเพย ๒. ครูใหน้ กั เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรียน โดยครูอธบิ ายคำช้ีแจงการทำแบบทดสอบหลังเรยี น เรอ่ื ง สำนวน สุภาษิตและคำพงั เพย แบบปรนัย ๔ ตัวเลือก มี ๑๕ ขอ้ (๑๕ คะแนน) ใช้เวลา ๑๕ นาที ให้นกั เรยี น เลือกคำตอบทถ่ี ูกท่ีสดุ เพียงคำตอบเดยี ว แลว้ กากบาท (x) ตวั เลือกลงใบแบบทดสอบ ๘. สื่อและแหล่งเรยี นรู้ สื่อการเรยี นรู้ ๑. เอกสารประกอบการเรยี นเรอื่ ง สำนวน สภุ าษิตและคำพังเพย ๒. กระดาษชาร์ต ๓. ปากกาเมจิก แหล่งเรียนรู้ ๑. ครู ๒. อินเตอรเ์ นต็ ๓. หนงั สอื วรรณคดีวิจกั ษ์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๔ ๙. การวัดและประเมนิ ผล วิธีการวดั และประเมนิ ผล เคร่อื งมือวัด เกณฑก์ ารประเมิน สิ่งทต่ี ้องการวัด ๑. การอธบิ ายความหมาย - การทดสอบหลงั เรยี น - แบบทดสอบหลงั เรยี น คะแนนจากการทำ และลกั ษณะของสำนวน ชนิดปรนัย ๔ ตัวเลอื ก แบบทดสอบ สุภาษิตและคำพงั เพย (K) จำนวน ๒๐ ขอ้ ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ ๘๐ ขน้ึ ไป ๒. การแต่งบทร้อยกรอง - การแตง่ บทรอ้ ยกรอง - แบบประเมนิ การการ คะแนนจากการทำ ประเภทโคลงสสี่ ุภาพ ประเภทโคลงสสี่ ภุ าพจาก แตง่ บทร้อยกรอง แบบฝกึ หัด สภุ าษิตที่ปรากฏในเรือ่ ง ประเภทโคลงสสี่ ุภาพ ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ ๗๐ มงคลสูตรคำฉนั ท์ (P) ชนิด Scoring Rubrics ข้ึนไป รายการประเมิน ๓ รายการ ๓ ระดบั คุณภาพ
๒๔๙ ๓. การเหน็ คุณคา่ ของ - การประเมนิ การเห็น - แบบประเมนิ การเห็น - คะแนนพฤตกิ รรม สำนวน สุภาษิตและคำ ผา่ นเกณฑ์ ร้อยละ ๘๐ พงั เพย (A) คุณค่าของสำนวน สภุ าษติ คณุ คา่ ของสำนวน ข้ึนไป ๔. การประเมิน และคำพังเพย สภุ าษิตและคำพงั เพย คณุ ลกั ษณะอันพึง ประสงค์ ชนิด Scoring Rubrics รายการประเมนิ ๕ รายการ ๓ ระดบั คุณภาพ แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะ แบบประเมนิ คุณลักษณะ ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ ๘๐ อนั พงึ ประสงค์ อันพึงประสงค์ ๓ ข้นึ ไป คณุ ลกั ษณะ ๔ ระดับ คณุ ภาพ ๑๐. ผลการจดั การเรยี นรู้ พฤติกรรมการเรยี นรขู้ องผูเ้ รียน ................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... สมรรถนะท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดกับผเู้ รียน............................................................................................................ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผเู้ รยี น .......................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................... ................................................................. จุดเด่น-จุดดอ้ ยที่ควรพัฒนาของการจดั กจิ กรรม .......................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................... ..................................................... .................................................................................................................................................................................... ขอ้ เสนอแนะในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................
๒๕๐ ลงช่ือ..................................................... (.........................................................) ผ้สู อน วันท.่ี ....... เดอื น....................... พ.ศ.................. ลงชอ่ื ..................................................... (.........................................................) หวั หนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วนั ที่........ เดอื น....................... พ.ศ.................. ลงช่ือ..................................................... (.........................................................) หัวหน้ากลมุ่ บริหารงานวิชาการ วนั ที.่ ....... เดอื น....................... พ.ศ.................. ลงชอ่ื ..................................................... (.........................................................) ผูอ้ ำนวยการ วนั ท่ี........ เดอื น....................... พ.ศ.................
259
260
รายวิชา ภาษาไทย ๒๕๓ จำนวน ๑๕ ขอ้ แบบทดสอบหลังเรียน เรอ่ื ง สำนวน สภุ าษิตและคำพังเพย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔ คะแนนเต็ม ๑๕ คะแนน คำชี้แจง : ให้นกั เรียนเลอื กคำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง แล้วทำเครอ่ื งหมาย x ลงในกระดาษคำตอบ ๑. ขอ้ ใดกล่าวถงึ สำนวน ไม่ถูกตอ้ ง ก. ส่ือความหมายอยา่ งตรงไปตรงมา ข. ผู้อ่านหรอื ผฟู้ งั ตอ้ งตีความใหเ้ ขา้ กับเรอ่ื ง ค. ใช้ภาษาเรยี บเรยี งอยา่ งสละสลวย ง. สว่ นใหญเ่ กิดจากการนำสง่ิ ใกลต้ ัวมากล่าวเปรยี บเปรย ๒. สุภาษติ หมายความว่าอยา่ งไร ก. การกลา่ วเปรียบเทยี บตอ่ เหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึน้ ข. ข้อความทีค่ อยเตือนใจ ค. ถอ้ ยคำท่เี รียบเรยี งเป็นขอ้ ความ หรือคำพดู ที่ช้ันเชงิ ง. ถ้อยคำทก่ี ลา่ วแนะนำ สง่ั สอน เตอื นสติ ด้วยหลกั ความจรงิ ๓. ถ้อยคำหรอื ขอ้ ความท่กี ลา่ วสืบต่อกนั มาเพ่ือตีความใหเ้ ข้ากบั เรือ่ ง เรยี กว่าอะไร ก. สำนวน ข. สุภาษติ ค. คำพงั เพย ง. สันทรพจน์ ๔. คำในข้อใดไม่ใช่สำนวน ก. หิน ข. หมู ค. เคม็ ง. เห็น
๒๕๔ ๕. สำนวนใดมคี วามหมายคลา้ ยคลงึ กันมากทีสุด ก. เกลอื เป็นหนอน สาวไสใ้ หก้ ากนิ ข. หนา้ ซ่อื ใจคด หน้าไวห้ ลงั หลอก ค. ปากว่าตาขยบิ ยกั ค้ิวหล่ิวตา ง. ขิงก็ราข่าก็แรง ขนมพอสมนำ้ ยา ๖. ขอ้ ใดตอ่ ไปนเ้ี ปน็ สภุ าษติ ก. น้ำลดต่อผดุ ข. นำ้ ตาลใกลม้ ด ค. น้ำนอ้ ยแพไ้ ฟ ง. ชันน้ำเขา้ ลึก ชกั ศกึ เขา้ บา้ น ๗. สำนวนใดมคี วามหมายเชงิ บวก ก. ตบตา ข. คมในฝัก ค. นำ้ นิ่งไหลลกึ ง. หงมิ ๆ หยบิ ช้นิ ปลามนั ๘. การใชส้ ำนวนสุภาษติ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพควรเป็นไปตามขอ้ ใด ก. ใชไ้ ดต้ รงตามหน้าท่ี ข. ใช้ได้ตรงตามความหมาย ค. ใช้ได้ตรงตามจดุ มงุ่ หมาย ง. ใชไ้ ดต้ รงตามระดบั ภาษา ๙. ข้อใดใชส้ ำนวนไม่ถูกตอ้ ง ก. เขาต้องเสียเงินไปทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย เบย้ี บ้ายรายทางไปเรือ่ ย ๆ ข. เขาชอบคยุ คนโน้นคนน้ีเป็นการเส้ยี มเขาควายใหช้ นกันแท้ ๆ ค. ถามอะไรกไ็ มต่ อบ กลัวดอกพิกลุ จะร่วงหรอื อย่างไร ง. เขาเปน็ คนตระหนีถ่ เ่ี หนยี ว เกบ็ เบี้ยใต้ถุนร้านอยู่เสมอ ๑๐. บุคคลลกั ษณะใดทีจ่ ะทำใหผ้ ู้เกย่ี วข้องดว้ ยเสียหายมากที่สดุ ก. ปากอย่างใจอยา่ ง ข. ปากหวานกน้ เปรี้ยว ค. มือถอื สากปากถือศีล ง. ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ
๒๕๕ ๑๑. ข้อใดจัดวา่ เปน็ สำนวนทกุ คำ ก. แกเ้ ผ็ด แก้มอื แก้ไข แกเ้ กย้ี ว แกล้ ำ ข. คปู่ รับ คู่หู ค่มู อื คคู่ วร คูใ่ จ ค. มือปนื มอื มืด มอื ขวา มือออ่ น มือรอง ง. หน้ามา้ หน้าแดง หน้าป้นั หนา้ เลอื ด หนา้ บาง ๑๒. สำนวนใดทส่ี ะท้อนให้เหน็ ถงึ ความเป็นอยู่เกีย่ วกับการทำมาใหก้ ิน ก. ของหายตะพายบาป ข. ขุนไม่เช่ือง ค. น้ำขน้ึ ให้รบี ตัก ง. เกลอื จม้ิ เกลอื ๑๓. ขอ้ ใดเป็นสำนวนที่สร้างจากความเชื่อของคนไทย ก. วันโกนไมล่ ะ วันพระไมเ่ ว้น ข. นำ้ ร้อนปลาเปน็ น้ำเย็นปลาตาย ค. ตักนำ้ ใสก่ ะโหลก ชะโงกดูเงา ง. ซื้อควายหนา้ นา ซื้อผา้ หน้าหนาว ๑๔. ข้อใดสะทอ้ นใหเ้ ห็นความเชื่อที่เปน็ ปรชั ญาพทุ ธศาสนา ก. ผซี ำ้ ด้ำพลอย ข. ปิดทองหลงั พระ ค. ตน่ื แต่ดึก สึกแต่หนุ่ม ง. ววั ใครเข้าคอกคนนน้ั ๑๕. สำนวนใดเหมาะสมทีจ่ ะเตมิ ลงในช่องว่าง \"คณุ อตุ สา่ หท์ ำขนมจ่ามงกฎุ ใหค้ ุณหญงิ แตเ่ พง่ิ รวู้ ่าทา่ นทำขนมน้เี กง่ มาก ฉนั .............. แทๆ้ \" ก. จดุ ไต้ตำตอ ข. อฐั ยายซอื้ ขนมยาย ค. เอามะพรา้ วหา้ วไปขายสวน ง. เนอื้ เต่ายำเต่า
๒๕๖ เฉลยแบบทดหลงั เรยี น เรอื่ ง การพดู สรุปแนวคดิ ขอ้ เฉลย ๑. ก. ส่ือความหมายอย่างตรงไปตรงมา ๒. ง. ถ้อยคำทก่ี ลา่ วแนะนำ สัง่ สอน เตอื นสติ ด้วยหลกั ความจรงิ ๓. ค. คำพงั เพย ๔. ง. เหน็ ๕. ข. หน้าซ่อื ใจคด หนา้ ไว้หลังหลอก ๖. ก. นำ้ ลดตอ่ ผุด ๗. ข. คมในฝัก ๘. ค. ใช้ได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย ๙. ข. เขาชอบคยุ คนโน้นคนนเ้ี ป็นการเสย้ี มเขาควายใหช้ นกันแท้ ๆ ๑๐. ง. ปากปราศรยั น้ำใจเชอื ดคอ ๑๑. ค. มอื ปนื มอื มดื มอื ขวา มือออ่ น มือรอง ๑๒. ค. นำ้ ข้นึ ใหร้ ีบตกั ๑๓. ก. วันโกนไม่ละ วันพระไมเ่ ว้น ๑๔. ข. ปดิ ทองหลงั พระ ๑๕. ค. เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
๒๕๗ แบบสรุปคะแนนทดสอบย่อยหลังเรยี น เรอื่ ง การสำนวน สุภาษติ และคำพงั เพย ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรียน............................................ ผลการทดสอบ ่ยอยหลังเ ีรยน ผ่าน ไม่ผ่าน ที่ ชอื่ -สกุล คะแนน ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔. ๑๕. บันทกึ เพิ่มเตมิ ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมนิ (.......................................................) วันที่................เดอื น.........................พ.ศ.............
แบบประเมนิ การแตง่ โคลงส่สี ุภาพ ๒๕๘ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๖ เร่อื ง มงคลสตู รคำฉันท์ สรุป แผนที่ ๒ เรอื่ ง สำนวน สุภาษติ และคำพังเพย รวม ผ/ (๑๕ มผ พฤติกรรม ) ท่ี ช่อื -สกลุ แ ่ตงไ ้ดตรงตาม ัฉนทลักษณ์ (๓) เลือกใ ้ชคำเหมาะ แ ่กเ ื้นอหาและ บ ิรบท (๓) มีการใ ้ชโวหาร (๓) การสะกดคำ (๓) ความ ิคดส ้รางสรร ์ค (๓) ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. ๑๑. ๑๒. ๑๓. ๑๔. บนั ทกึ เพิ่มเติม ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ลงชอื่ .....................................................................ผปู้ ระเมิน (..................................................................) วันท.ี่ ....... เดอื น ....................... พ.ศ........................
๒๕๙ เกณฑ์การประเมนิ การแต่งโคลงส่สี ภุ าพ รายการประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ ๑. แตง่ ได้ตรงตามฉนั ทลกั ษณ์ ๒. เลือกใชค้ ำเหมาะแกเ่ นื้อหาและ ดีมาก (๓) ปานกลาง (๒) พอใช้ (๑) บรบิ ท แตง่ ได้ตรงตามฉันท ๓. มีการใช้โวหาร แต่งได้ตรงตาม แตง่ ได้ตรงตามฉันท ลักษณ์ โดยผดิ ๔. การสะกดคำ ฉันทลกั ษณท์ ุกจุด ลกั ษณ์ โดยผดิ ไป มากกว่า ๒ จุดขึน้ ไป ๕. ความคิดสร้างสรรค์ ๑ – ๒ จุด การใช้คำได้ไม่ เหมาะสมกับเรื่องท่ี การใช้คำไดเ้ หมาะสม การใชค้ ำไดเ้ หมาะสม แตง่ กบั เรื่องท่ีแตง่ กบั เรื่องทแ่ี ตง่ โดยมี ไม่ปรากฏการใช้ โวหารในบทประพันธ์ บางคำทไี่ ม่เหมาะสม สะกดคำไดถ้ กู ต้อง ปรากฏการใช้โวหาร ปรากฏการใชโ้ วหาร ตามหลกั เกณฑท์ าง ภาษา โดยพบการ ในบทประพนั ธ์ และ ในบทประพันธ์ สะกดผิดมากกว่า ใชไ้ ดอ้ ย่างถูกต้อง ๒ คำขึน้ ไป ไม่ชัดเจน ไม่แปลก เหมาะสม ใหม่ ไมน่ า่ สนใจ สะกดคำได้ถูกต้อง สะกดคำได้ถกู ตอ้ ง ตามหลกั เกณฑท์ าง ตามหลกั เกณฑท์ าง ภาษา ภาษา โดยมีการสะกด ผดิ ๑ -๒ คำ มคี วามชดั เจน แปลก มคี วามชัดเจน ไม่ ใหม่ มวี ิธกี ารนำเสนอ แปลกใหม่ มีวิธีการ ทนี่ า่ สนใจ กลมกลนื นำเสนอท่ีนา่ สนใจ กับเนื้อหา เกณฑ์การใหค้ ะแนนการประเมนิ พฤตกิ รรมการเรียนรูข้ องนกั เรียน กำหนดไวด้ งั นี้ ๓ หมายถึง ดีมาก ๒ หมายถงึ ดี ๑ หมายถึง ปรับปรงุ คะแนน ๑๓-๑๕ คะแนน หมายถึง ดีมาก คะแนน ๑๐-๑๒ คะแนน หมายถงึ ดี ต่ำกว่า ๙ คะแนน หมายถึง ปรบั ปรุง หมายเหตุ นกั เรยี นผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ ๘๐ ท่ี ๑๒ คะแนนขนึ้ ไป
๒๖๐ แบบประเมนิ พฤติกรรมนกั เรียนดา้ นเจตพสิ ัยในการเรยี น เรอื่ ง สำนวน สุภาษิตและคำพังเพย หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๖ มงคลสตู รคำฉันท์ คำช้ีแจง ให้นักเรยี นเขียนเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ งที่นกั เรยี นแสดงพฤตกิ รรมตามรายการประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน เห็นด้วยอยา่ งยง่ิ ให้ทำเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ งหมายเลข ๕ เหน็ ด้วย ใหท้ ำเครอื่ งหมาย ✓ ลงในชอ่ งหมายเลข ๔ ให้ทำเครอื่ งหมาย ✓ ลงในช่องหมายเลข ๓ ไม่แนใ่ จ ไม่เห็นดว้ ย ใหท้ ำเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ งหมายเลข ๒ ไมเ่ ห็นดว้ ยอย่างยง่ิ ให้ทำเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในช่องหมายเลข ๑ ชอื่ ..........................................................................................................................ชั้น.............เลขท.่ี ............. ขอ้ ความ เห็นดว้ ย ระดับความคดิ เห็น ไมเ่ ห็น อยา่ งย่ิง ด้วย ๑. อ่านหนังสอื เพมิ่ เตมิ เกีย่ วกบั เร่อื ง เห็นด้วย ไม่แนใ่ จ ไมเ่ หน็ สำนวน สภุ าษิตและคำพงั เพย ด้วย อย่างย่งิ ๒. ทำความเข้าใจเนื้อหาก่อนเรียน ๓. ทบทวนเนอ้ื หาทเี่ รยี น ๔. รสู้ ึกว่าสำนวน สภุ าษติ และคำพงั เพย เป็นเรื่องที่มปี ระโยชน์ ๕. สำนวน สภุ าษติ และคำพังเพยสามารถใชเ้ ปน็ แนวทางในการดำเนนิ ชีวิตไดอ้ ยา่ งดเี ย่ยี ม บันทึกเพ่ิมเติม ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................................................................ ........ ............................................................................................................ ........................................................................
๒๖๑ เกณฑ์การแปลความหมายการประเมินพฤตกิ รรมนกั เรียนดา้ นเจตพิสัยในการเรยี น เร่ือง สำนวน สภุ าษิตและคำพังเพย หน่วยการเรยี นที่ ๖ มงคลสูตรคำฉันท์ เกณฑ์การแปลความหมายเพือ่ จัดระดบั ของคะแนนเฉล่ีย ในชว่ งคะแนนดังต่อไปนี้ คะแนนเฉลี่ย ๔.๒๑ - ๕.๐๐ แปลความได้ว่า เหน็ คุณคา่ ของการเรียนเรอ่ื งสำนวน สุภาษติ และคำพงั เพยมากท่สี ดุ คะแนนเฉลีย่ ๓.๔๑ - ๔.๒๐ แปลความได้ว่า เหน็ คณุ คา่ ของการเรียนเรอ่ื งสำนวน สุภาษิตและคำพังเพยมาก คะแนนเฉล่ยี ๒.๖๑ - ๓.๔๐ แปลความได้ว่า เหน็ คุณค่าของการเรยี นเรือ่ งสำนวน สุภาษติ และคำพังเพยปานกลาง คะแนนเฉลย่ี ๑.๘๑ - ๒.๖๐ แปลความไดว้ า่ เห็นคุณค่าของการเรยี นเรื่องสำนวน สุภาษติ และคำพงั เพยนอ้ ย คะแนนเฉลย่ี ๑.๐๐ - ๑.๘๐ แปลความได้ว่า เห็นคุณค่าของการเรยี นเร่ืองสำนวน สุภาษิตและคำพังเพยนอ้ ยที่สดุ
๒๖๒ แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๘ ประการ โรงเรียน............................... อำเภอ................... จังหวดั ............................. ชือ่ -สกลุ นกั เรียน...........................................................................หอ้ ง..............................เลขท.ี่ ...................... คำชแ้ี จง : ให้ผสู้ อน สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด / ลงในช่องท่ีตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลกั ษณะ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน อันพงึ ประสงค์ ๓ ๒ ๑๐ ๑.ซ่ือสัตยส์ ุจรติ ๑.๑ ปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บการสอบ และไมล่ อกกนั ๑.๒ ประพฤติ ปฏิบัติ ตรงต่อความเป็นจรงิ ตอ่ ตนเอง ๒. ใฝ่เรยี นรู้ ๑.๓ ประพฤติ ปฏิบัติตรงต่อความเป็นจรงิ ตอ่ ผอู้ ืน่ ๒.๑ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งเรียนรู้ตา่ ง ๆ ๓. ม่งุ ม่นั ในการ ๒.๒ มกี ารจดบันทกึ ความรู้อย่างเปน็ ระบบ ทำงาน ๒.๓ สรปุ ความรไู้ ดอ้ ย่างมเี หตผุ ล ๓.๑ มคี วามตง้ั ใจ และพยายามในการทำงานท่ีไดร้ บั มอบหมาย ๓.๒ มีความอดทนและไมท่ อ้ แทต้ อ่ อปุ สรรคเพือ่ ใหง้ านสำเรจ็ ลงชือ่ ......................................................................ผู้ประเมนิ (.....................................................................) ........... /................................/...................... เกณฑก์ ารให้คะแนน - พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั ชิ ดั เจนและสม่ำเสมอ ให้ ๓ คะแนน - พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบัติชัดเจนและบอ่ ยครั้ง ให้ ๒ คะแนน - พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติบางครง้ั ให้ ๑ คะแนน - พฤตกิ รรมท่ีไมไ่ ด้ปฏบิ ัติ ให้ ๐ คะแนน สรปุ ผลการประเมิน ร้อยละ ๕๐ - ๖๖ ระดบั คณุ ภาพดเี ย่ียม (๓) ผา่ นระดับ ดเี ยย่ี ม ดี พอใช้ รอ้ ยละ ๔๐ - ๔๙ ระดบั คุณภาพดี (๒) ไมผ่ า่ นระดับ ปรบั ปรุง ร้อยละ ๒๐ - ๓๙ ระดับคณุ ภาพพอใช้ (๑) ร้อยละ ๐ - ๑๙ ระดับคณุ ภาพปรบั ปรุง (๐)
๒๖๓ เกณฑก์ ารประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ รายการประเมิน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ คะแนน ซือ่ สตั ยส์ ุจริต นกั เรียนใหข้ ้อมลู ที่ถูกตอ้ ง นักเรียนให้ขอ้ มลู ทีถ่ ูกตอ้ ง นกั เรยี นให้ขอ้ มลู ที่ถูกตอ้ ง ใฝ่เรียนรู้ และเปน็ จรงิ ปฏบิ ัตใิ นสงิ่ และเปน็ จริง ปฏิบตั ใิ นสง่ิ และเป็นจรงิ ปฏิบัตใิ นสง่ิ มุ่งมัน่ ในการทำงาน ที่ถกู ต้อง ทำตามสญั ญา ที่ถูกต้อง ทำตามสัญญา ที่ถกู ต้อง ทำตามสญั ญา ที่ตนใหไ้ วก้ ับเพ่ือน พ่อ ที่ตนให้ไวก้ ับเพื่อน พ่อ ที่ตนใหไ้ วก้ ับเพอ่ื น พ่อ แม่ หรือผปู้ กครอง และ แม่ หรือผปู้ กครอง และ แม่ หรอื ผปู้ กครอง และ ครู ละอายและเกรงกลวั ท่ี ครู ละอายและเกรงกลวั ครู ละอายและเกรงกลัว จะทำความผดิ ทจ่ี ะทำความผิด ทจี่ ะทำความผิด เปน็ แบบอยา่ งทีด่ ีด้าน ความซ่ือสัตย์ นักเรียนเขา้ เรยี น ตรง นักเรยี นเขา้ เรียนตรงเวลา นกั เรยี นเข้าเรียน ตรง เวลา ตั้งใจเรยี น เอาใจใส่ ตัง้ ใจเรียน เอาใจใส่ ใน เวลา ต้ังใจเรยี น เอาใจใส่ ในการเรียน และมสี ่วน การเรียน และมสี ่วนรว่ ม ในการเรยี น และมสี ่วน รว่ มในการเรยี นรู้ และเข้า ในการเรียนรู้ และเข้าร่วม ร่วมในการเรียนรู้ และเขา้ รว่ มกจิ กรรม การเรยี นรู้ กจิ กรรม การเรยี นรู้ ร่วมกิจกรรม การเรยี นรู้ ต่าง ๆ ทั้งภายใน และ ต่าง ๆ บอ่ ยครัง้ ตา่ ง ๆ เป็นบางครง้ั ภายนอกโรงเรียน เปน็ ประจำ นกั เรียนตงั้ ใจ และ นักเรียนตงั้ ใจ และ นักเรยี นตงั้ ใจ และ รบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิ รบั ผดิ ชอบ ในการปฏบิ ัติ รับผดิ ชอบ ในการปฏิบัติ หน้าท่ที ่ไี ดร้ บั มอบหมาย หนา้ ทที่ ีไ่ ด้รบั มอบหมาย หนา้ ทีท่ ่ีได้รบั มอบหมาย ให้สำเรจ็ มกี ารปรบั ปรงุ ใหส้ ำเรจ็ มกี ารปรบั ปรงุ ให้สำเร็จ และพัฒนาการทำงาน และพัฒนาการทำงาน ให้ ใหด้ ีขนึ้ ภายในเวลา ดขี ้ึน ทก่ี ำหนด เกณฑก์ ารให้คะแนนการประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคก์ ำหนดไวด้ งั นี้ ๓ หมายถึง ดีมาก ๒ หมายถึง ดี ๑ หมายถึง ปรบั ปรงุ
๒๖๔ แบบประเมนิ สมรรถนะผู้เรยี น เรอ่ื ง สำนวน สุภาษติ และคำพังเพย ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ โรงเรียน........................ ชือ่ .....................................................................ชนั้ .........................เลขท.่ี .............. คำชี้แจง : ใหส้ ังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ✓ ลงในชอ่ ง ทตี่ รงกบั ระดับคะแนน สมรรถนะทป่ี ระเมิน ระดบั คะแนน ๓๒๑ ๑. ความสามารถในการส่ือสาร ๑.๑ มคี วามสามารถในการรบั – สง่ สาร ๑.๒ มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคดิ ความเขา้ ใจของตนเอง โดยใชภ้ าษาอย่างเหมาะสม ๑.๓ ใชว้ ิธีการสือ่ สารที่เหมาะสม ๒. ความสามารถในการคิด ๒.๑ มคี วามสามารถในการคดิ วิเคราะห์ เพ่อื การสร้างองค์ความรู้ ๒.๒ มีความสามารถในการคิดเปน็ ระบบ เพอื่ การสร้างองค์ความรู้ ๓. ความสามารถในการแก้ปญั หา ๓.๑ แก้ปัญหาโดยใช้เหตผุ ล ๓.๒ แสวงหาความรมู้ าใชใ้ นการแกป้ ญั หา ๓.๓ ตดั สนิ ใจโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน ลงช่อื ................................................................................. ผปู้ ระเมนิ / /........................ ......................... ............................. เกณฑ์การใหค้ ะแนน : - พฤตกิ รรมทป่ี ฏบิ ัติชดั เจนและสมำ่ เสมอ ให้ ๓ คะแนน - พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติชดั เจนและบ่อยครั้ง ให้ ๒ คะแนน - พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบตั ิบางครง้ั ให้ ๑ คะแนน
แบบทดสอบท้ายหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๖ ๒๖๕ มงคลสูตรคำฉนั ท์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔ รายวิชา ภาษาไทย คะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน จำนวน ๓๐ ข้อ คำชี้แจง : ใหน้ กั เรยี นเลอื กคำตอบทถ่ี ูกตอ้ ง แล้วทำเคร่ืองหมาย x ลงในกระดาษคำตอบ ๑. มงคลสูตร ๓๘ ประการปรากฏอยใู่ นสว่ นใดของพระไตรปฎิ ก ข. พระสตุ ตนั ตปฎิ ก ก. พระวินัยปิฎก ง. พระธรรมปฎิ ก ค. พระอภธิ รรมปิฎก ๒. ขอ้ ใดคือมงคลขอ้ แรก ข. คบบัณฑติ ก. ไม่คบคนพาล ง. บูชาผู้ควรบูชา ค. เว้นจากการทำบาป ๓. ข้อใดคอื มงคลขอ้ สดุ ทา้ ย ข. มีจิตไม่โศกเศรา้ ง. มจี ติ เกษม ก. มจี ติ ไมห่ ว่ันไหว ค. มจี ิตปราศจากธลุ ี ๔. ข้อใดไมไ่ ด้มีความหมายเปน็ พระพทุ ธเจา้ ก. องคพ์ ระภัควนั ทน์ นั้ ไซร้ ข. องคพ์ ระอานนทท์ า่ นเลา่ ค. ถวายอภิวนั ท์ แด่องค์สมเดจ็ ทศพล ง. พระภาคชนิ สหี ์ ผูโ้ ลกนาถจอมธรรม์ ๕. กลวิธีในการถา่ ยทอดสารเร่ืองมงคลสูตรคำฉันท์คือข้อใด ก. เลา่ นทิ านประกอบ ข. เลา่ มลู เหตกุ อ่ นมมี งคลสตู ร ค. แต่งดว้ ยคำประพนั ธ์ ๒ ประเภท ง. ต้งั กระทคู้ วามเป็นภาษาบาลีแปลเปน็ รอ้ ย ๖. “โลกธรรมทง้ั ๘” มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด ก. ความมีลาภ ไมม่ ลี าภ มียศ ไม่มียศ มนี นิ ทา มีสรรเสรญิ มสี ุข มที กุ ข์ ข. องคป์ ระกอบของครอบครวั ๘ ประการ คือ มปี ู่ ย่า ตา ยาย พอ่ แม่ ลูกชาย ลูกสาว ค. หมายถึงกิเลส ๘ ประการ รปู รส กลน่ิ เสยี ง สมั ผสั โทษะ โมหะ ราคะ ง. จติ ท่ปี ราศจาก ราคะ โลภะ โมหะ โทษะ ทฐิ ิ ไม่ลมุ่ หลง จติ ปลอดโปรง่ มจี ิตเกษม
๒๖๖ ๗. ข้อใดกล่าวถกู ต้องเกี่ยวกับลกั ษณะคำประพนั ธท์ ใี่ ชแ้ ตง่ มงคลสตู รคำฉันท์ ก. มงคลสตู รคำฉันท์แตง่ โดยใชก้ าพยฉ์ บงั ๑๖ และวสนั ตดิลกฉนั ท์ ข. วสันตดิลกฉนั ท์ ใช้บรรยายเรอ่ื งและเมื่อกลา่ วถึงมงคลสตู รทั้ง ๓๘ ขอ้ จนจบเรือ่ ง ค. กาพย์ฉบัง ๑๖ ใช้ดำเนินเรอ่ื งเม่ือกลา่ วถงึ พระอานนทเ์ ลา่ ว่ามเี ทวดามาขอใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ตรัสเลา่ มงคลสตู ร ง. อนิ ทรวิเชียรฉนั ทใ์ ชด้ ำเนินเรอื่ งเมือ่ กล่าวถงึ พระอานนทเ์ ลา่ วา่ มเี ทวดามาขอให้พระพุทธเจา้ ตรสั เลา่ มงคลสตู ร ๘. ผู้แต่ง มงคลสูตรคำฉนั ท์ คอื บุคคลใด ข. รัชกาลท่ี ๕ ง. สนุ ทรภู่ ก. รัชกาลท่ี ๒ ค. รชั กาลท่ี ๖ ๙. ผเู้ ลา่ เรือ่ งมงคลสูตรตง้ั แต่เบือ้ งต้นคือใคร ข. พระโมคคัลลานะ ก. พระสารบี ุตร ง. พระอญั ญาโกณฑัญญะ ค. พระอานนท์ ๑๐. ข้อใดกลา่ ว \"ไม่ถูกตอ้ ง\" เกย่ี วกบั มงคล ๓๘ ประการ ก. เป็นความเจรญิ ตง้ั แต่ข้นั พื้นฐานจนถงึ ข้นั สงู สุด ข. เรยี งจากข้อทปี่ ฏบิ ตั ยิ ากไปสขู่ อ้ ทปี่ ฏบิ ัตงิ า่ ย ค. มงคลต้นๆเป็นข้อปฏบิ ตั ทิ ว่ั ไปในการดำเนินชีวิต ง. มงคลข้อหลังๆ เปน็ การปฏิบัตเิ พอ่ื ยกระดับจิตใจใหส้ งู ข้ึน ๑๑. แนวคดิ สำคัญทีส่ ดุ ของมงคลสตู รคอื ขอ้ ใด ก. ผู้ปฏบิ ัติธรรมยอ่ มนำสันตสิ ุขมาส่ตู นเองและสังคม ข. การทำจติ ใจใหบ้ รสิ ุทธส์ิ ะอาดปราศจากกเิ ลสเปน็ มงคล ค. ความเจรญิ รุ่งเรอื งในชวี ิต เกดิ จากการประพฤติปฏบิ ตั ิของตน ง. ธรรมะย่อมนำไปส่หู นทางแหง่ ความสงบสุขอยา่ งแทจ้ รงิ ๑๒. คำประพันธ์ในขอ้ ใดมคี วามเหมาะสมกบั ผเู้ ปน็ นักเรยี นมากท่ีสดุ ก. ไร้โศกธุลสี ุญ และสบาย บ่ มวั มล ข. ความได้สดับมาก และกำหนดสุวาที ค. หนึง่ เหน็ คณาเลศิ สมณาวราจารย์ ง. เห็นแจ้ง ณ สอ่ี งค์ พระอรียสจั อัน
๒๖๗ ๑๓. มงคล ๓๘ ประการ เกิดขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร ก. เทวดาทลู ถามพระพุทธเจ้าถงึ สงิ่ ทเ่ี ป็นมงคล ข. พระพุทธเจา้ ทรงตรสั ส่ังสอนแกเ่ หลา่ สาวก ค. พุทธสาวกตอ้ งการหลกั ในการดำเนนิ ชวี ิต ง. พระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบความจริงในการดำเนินชวี ิต ๑๔. การกระทำของสนั ติ ตรงกบั หลกั มงคลสูตร ๓๘ ประการ ในข้อใด \"ทกุ ๆวัน สนั ตจิ ะนำอาหารทเ่ี หลอื จากโรงอาหารของโรงเรียน มาใหแ้ ก่สุนขั และแมวจรจดั ท่อี าศยั อยู่บริเวณนอกโรงเรยี น เพราะเขาเหน็ วา่ สุนขั และแมวเหลา่ นไี้ มไ่ ดร้ ับการดแู ลจากผใู้ ดเลย\" ก. อกี หนงึ่ วนิ ยั อัน นรเรียนและเช่ียวชาญ ข. กอบกรรมะอนั ไร้ ทษุ ะกลั้วและมวั มล ค. ความงดประพฤติบาป ง. ให้ทาน ณ กาลควร ๑๕. ข้อความนใี้ หแ้ นวคิดสอดคลอ้ งกบั มงคลสูตรข้อใด “ปลารา้ พนั ห่อด้วย ใบคา” ใบกเ็ หม็นคาวปลา คละคลงุ้ ” ก. หนง่ึ คือบ่คบพาล เพราะจะพาประพฤตผิ ดิ ข. ฟังธรรมะโดยกา- ละเจรญิ คณุ านนท์ ค. ความไมป่ ระมาทใน พหุธรรมะโกศล ง. ความงดประพฤติบาป อกุศลบใ่ ห้มี ๑๖. ข้อใดกลา่ วถึง สำนวน ไมถ่ ูกต้อง ก. สอ่ื ความหมายอยา่ งตรงไปตรงมา ข. ผู้อา่ นหรอื ผูฟ้ งั ตอ้ งตคี วามใหเ้ ข้ากบั เรอ่ื ง ค. ใช้ภาษาเรียบเรียงอยา่ งสละสลวย ง. สว่ นใหญเ่ กิดจากการนำสิ่งใกลต้ วั มากล่าวเปรยี บเปรย ๑๗. สภุ าษิตหมายความวา่ อย่างไร ก. การกลา่ วเปรียบเทียบต่อเหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึ้น ข. ข้อความทค่ี อยเตือนใจ ค. ถอ้ ยคำท่เี รยี บเรียงเป็นข้อความ หรอื คำพูดทีช่ ั้นเชิง ง. ถ้อยคำทก่ี ล่าวแนะนำ ส่ังสอน เตอื นสติ ด้วยหลกั ความจรงิ
๒๖๘ ๑๘. ถ้อยคำหรอื ข้อความท่กี ล่าวสบื ต่อกันมาเพือ่ ตีความใหเ้ ขา้ กับเรือ่ ง เรียกวา่ อะไร ก. สำนวน ข. สภุ าษติ ค. คำพงั เพย ง. สนั ทรพจน์ ๑๙. คำในขอ้ ใดไม่ใช่สำนวน ข. หมู ง. เห็น ก. หนิ ค. เค็ม ๒๐. สำนวนใดมคี วามหมายคลา้ ยคลึงกันมากทีสดุ ก. เกลอื เป็นหนอน สาวไส้ใหก้ ากนิ ข. หน้าซอื่ ใจคด หน้าไหว้หลงั หลอก ค. ปากว่าตาขยบิ ยักคิ้วหลิว่ ตา ง. ขงิ ก็ราข่ากแ็ รง ขนมพอสมน้ำยา ๒๑. ข้อใดต่อไปนเ้ี ปน็ สภุ าษติ ก. น้ำลดตอผุด ข. นำ้ ตาลใกล้มด ค. นำ้ นอ้ ยแพไ้ ฟ ง. ชนั นำ้ เข้าลึก ชกั ศกึ เข้าบา้ น ๒๒. สำนวนใดมคี วามหมายเชิงบวก ข. คมในฝัก ก. ตบตา ง. หงิม ๆ หยิบชิ้นปลามัน ค. นำ้ นิง่ ไหลลกึ ๒๓. การใช้สำนวนสุภาษติ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพควรเป็นไปตามข้อใด ก. ใช้ได้ตรงตามหนา้ ท่ี ข. ใชไ้ ด้ตรงตามความหมาย ค. ใชไ้ ดต้ รงตามจุดมงุ่ หมาย ง. ใชไ้ ดต้ รงตามระดบั ภาษา ๒๔. ข้อใดใชส้ ำนวนไมถ่ กู ต้อง ก. เขาต้องเสียเงินไปทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย เบี้ยบา้ ยรายทางไปเรอ่ื ย ๆ ข. เขาชอบคยุ คนโนน้ คนนี้เปน็ การเส้ยี มเขาควายใหช้ นกันแท้ ๆ ค. ถามอะไรก็ไมต่ อบ กลวั ดอกพกิ ลุ จะรว่ งหรอื อย่างไร ง. เขาเปน็ คนตระหนี่ถเ่ี หนียว เกบ็ เบ้ยี ใตถ้ นุ ร้านอยเู่ สมอ
๒๖๙ ๒๕. บุคคลลักษณะใดทจี่ ะทำให้ผเู้ กยี่ วขอ้ งด้วยเสียหายมากทีส่ ุด ก. ปากอย่างใจอย่าง ข. ปากหวานก้นเปรี้ยว ค. มือถอื สากปากถือศลี ง. ปากปราศรยั น้ำใจเชือดคอ ๒๖. ขอ้ ใดจดั วา่ เป็นสำนวนทุกคำ ก. แกเ้ ผ็ด แก้มอื แก้ไข แกเ้ กี้ยว แก้ลำ ข. คู่ปรบั คหู่ ู คู่มือ คคู่ วร คู่ใจ ค. มือปืน มอื มืด มือขวา มือออ่ น มอื รอง ง. หน้ามา้ หนา้ แดง หนา้ ปั้น หนา้ เลอื ด หนา้ บาง ๒๗. สำนวนใดทสี่ ะท้อนให้เห็นถงึ ความเป็นอยู่เกีย่ วกับการทำมาใหก้ นิ ก. ของหายตะพายบาป ข. ขุนไม่เช่อื ง ค. น้ำข้นึ ให้รีบตกั ง. เกลอื จมิ้ เกลอื ๒๘. ข้อใดเปน็ สำนวนทส่ี รา้ งจากความเชอื่ ของคนไทย ก. วันโกนไม่ละ วนั พระไมเ่ วน้ ข. น้ำร้อนปลาเป็น นำ้ เย็นปลาตาย ค. ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา ง. ซือ้ ควายหน้านา ซอ้ื ผ้าหนา้ หนาว ๒๙. ข้อใดสะทอ้ นให้เหน็ ความเช่อื ทีเ่ ปน็ ปรัชญาพุทธศาสนา ก. ผีซำ้ ดำ้ พลอย ข. ปดิ ทองหลงั พระ ค. ตนื่ แตด่ ึก สกึ แต่หน่มุ ง. วัวใครเข้าคอกคนน้ัน ๓๐. สำนวนใดเหมาะสมทจ่ี ะเติมลงในชอ่ งวา่ ง \"คณุ อุตส่าหท์ ำขนมจา่ มงกฎุ ใหค้ ุณหญิง แตเ่ พิ่งร้วู ่าท่านทำขนมน้เี ก่งมาก ฉนั .............. แทๆ้ \" ก. จดุ ไตต้ ำตอ ข. อัฐยายซื้อขนมยาย ค. เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน ง. เนอ้ื เตา่ ยำเต่า
๒๗๐ เฉลยแบบทดสอบทา้ ยหน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๑ นมัสการมตาปติ ุคณุ และบทนมัสการอาจรยิ คุณ ขอ้ เฉลย ขอ้ เฉลย ๑. ข. พระสตุ ตนั ตปฎิ ก ๒. ก. ไมค่ บคนพาล ๑๖. ก. ส่ือความหมายอยา่ งตรงไปตรงมา ๑๗. ง. ถอ้ ยคำทก่ี ลา่ วแนะนำ สั่งสอน เตอื นสติ ด้วยหลกั ๓. ง. มจี ิตเกษม ๔. ก. ความมีลาภ ไม่มีลาภ มียศ ไมม่ ียศ มีนนิ ทา มี ความจริง ๑๘. ค. คำพังเพย สรรเสรญิ มสี ขุ มีทกุ ข์ ๑๙. ง. เห็น ๕. ข. เลา่ มลู เหตุก่อนมมี งคลสูตร ๒๐. ข. หน้าซอ่ื ใจคด หน้าไหว้หลงั หลอก ๖. ข. องคพ์ ระอานนทท์ ่านเล่า ๒๑. ก. นำ้ ลดตอผุด ๗. ค. กาพยฉ์ บัง ๑๖ ใช้ดำเนนิ เร่อื งเมอ่ื กล่าวถึงพระ ๒๒. ข. คมในฝกั อานนทเ์ ลา่ วา่ มเี ทวดามาขอใหพ้ ระพทุ ธเจ้าตรสั เลา่ ๒๓. ค. ใช้ไดต้ รงตามจดุ มุ่งหมาย มงคลสตู ร ๒๔. ข. เขาชอบคุยคนโนน้ คนน้ีเปน็ การเส้ยี มเขาควายให้ ๘. ค. รชั กาลท่ี ๖ ชนกนั แท้ ๆ ๙. ค. พระอานนท์ ๒๕. ง. ปากปราศรยั นำ้ ใจเชอื ดคอ ๒๖. ค. มือปืน มือมดื มอื ขวา มืออ่อน มือรอง ๑๐. ข. เรียงจากขอ้ ทปี่ ฏิบัตยิ ากไปสู่ข้อทปี่ ฏบิ ัติง่าย ๑๑. ง. ธรรมะยอ่ มนำไปสหู่ นทางแหง่ ความสงบสขุ ๒๗. ค. นำ้ ข้นึ ให้รีบตกั ๒๘. ก. วันโกนไม่ละ วันพระไมเ่ ว้น อยา่ งแทจ้ รงิ ๒๙. ข. ปิดทองหลงั พระ ๓๐. ค. เอามะพรา้ วห้าวไปขายสวน ๑๒. ข. ความไดส้ ดับมาก และกำหนดสวุ าที ๑๓. ก. เทวดาทลู ถามพระพุทธเจา้ ถึงสงิ่ ทเ่ี ปน็ มงคล ๑๔. ง. ให้ทาน ณ กาลควร ๑๕. ก. หน่ึงคอื บ่คบพาล เพราะจะพาประพฤติผดิ
๒๗๑ กำหนดการจดั การเรยี นรู้ ชื่อหน่วย มาตรฐาน สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ชิ้นงาน/ภาระงาน เวลา น้ำหนัก การเรียนรู้/ (ชวั่ โมง) คะแนน พระเวสสนั ดร ชาดก ตวั ชว้ี ดั การวิเคราะห์วิจารณเ์ รื่อง - กรอบแนวคดิ / ๔ ๕ ท ๑.๑ ม.๔-๖/๓ พระเวสสันดรชาดกในด้านต่าง ๆ ผงั ความคดิ ท ๑.๑ ม.๔-๖/๗ อยา่ งมเี หตผุ ล แลว้ ยอ่ ความเพื่อ ของเรื่อง ท ๒.๑ ม.๔-๖/๒ สรุปกรอบแนวคดิ หรือผงั ความคดิ พระเวสสนั ดรชาดก ท ๔.๑ ม.๔-๖/๕ ของเรื่อง วิเคราะหค์ วามแตกตา่ ง - ชิ้นงานการ ของภาษาในภาคต่าง ๆ ที่กล่าวถงึ วเิ คราะหป์ ระเด็นที่ พระเวสสนั ดรชาดกวา่ มีความ ปรากฏ เหมอื น หรอื แตกต่างกนั หรือไม่ - เรยี งความ อยา่ งไร การเขียนประมวลสาระที่ เรอ่ื ง พระเวสสนั ดร ได้เพ่ือเขียนเรยี งความ ชาดก * หมายเหตุ ครูผู้สอนจัดทำหนว่ ยการเรยี นร้เู พมิ่ ให้ครอบคลมุ ทุกตวั ชี้วดั ในคำอธิบายรายวชิ า
๒๗๒ ผงั วเิ คราะหห์ นว่ ยการเรยี นรู้ ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ “พระเวสสนั ดรชาดก” แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒ เรอ่ื ง การอา่ นวเิ คราะห์ เรอื่ ง การเขยี นกรอบแนวคดิ / ผงั ความคดิ ท ๑.๑ ม.๔-๖/๓ ท ๑.๑ ม.๔-๖/๓, ม.๔-๖/๗ ท ๔.๑ ม.๔-๖/๕ การอา่ นวรรณคดีเร่ือง พระเวสสันดรชาดก การอา่ นวเิ คราะห์วรรณคดเี รื่อง แลว้ วิเคราะหเ์ รอื่ งท่อี ่านในประเด็นที่พบของเนื้อเรื่องใน พระเวสสันดรชาดก เพื่อนำมาสรุปแนวคดิ สำคญั แต่ละตอน แลว้ นำประเด็นดงั กลา่ วทพ่ี บมาเปรียบเทยี บ ของเร่ือง แล้วนำมาเขียนลงในชน้ิ งานกรอบแนวคิด/ กบั สงั คมปัจจบุ ัน ผังความคิดของเร่ือง หนว่ ยการเรยี นรเู้ รอ่ื ง แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๓ พระเวสสนั ดรชาดก เรอื่ ง การเขยี นเรยี งความ การวิเคราะหว์ ิจารณเ์ ร่ืองพระเวสสันดรชาดกใน ท ๑.๑ ม.๔-๖/๓ ด้านตา่ ง ๆ อยา่ งมีเหตุผล แลว้ ยอ่ ความเพื่อสรุปกรอบ ท ๒.๑ ม.๔-๖/๒ แนวคิด หรอื ผงั ความคดิ ของเร่อื ง วเิ คราะห์ความแตกต่าง การอา่ นวิเคราะหว์ รรณคดีเรื่องพระเวสสันดร ของภาษาในภาคต่าง ๆ ท่กี ล่าวถึง ชาดก เพ่อื คน้ พบประเดน็ ตา่ ง ๆ ท่ปี รากฏในเรือง พระเวสสันดรชาดกว่ามีความเหมอื น หรือแตกตา่ งกัน แลว้ เลือกหวั ขอ้ ที่ตนเองสน เพ่ือนำมาเขียนเป็นชนิ้ งาน หรอื ไม่อย่างไร การเขยี นประมวลสาระทีไ่ ดเ้ พ่ือเขียน เรยี งความ เรอื่ ง พระเวสสันดรชาดก เรยี งความ
๒๗๓ ชน้ิ งาน/ภาระงาน สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น คณุ ลักษะอนั พงึ ประสงค์ - กรอบแนวคดิ /ผงั ความคิด ของเร่ืองพระเวสสนั ดรชาดก ๑. ความสามารถในการคดิ ๑. มวี ินัย - ชิ้นงานการวเิ คราะหป์ ระเด็น ทป่ี รากฏ ๒. ความสามารถในการสื่อสาร ๒. ใฝเ่ รียนรู้ - เรียงความ เรอื่ ง พระเวสสันดร ชาดก ๓. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ๓. มุ่งมนั่ ในการทำงาน
แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าภาษาไทย ๒๗๔ กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ เรือ่ ง พระเวสสนั ดรชาดก มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ เร่ือง การอา่ นวิเคราะห์ แผนที่ ๑/๓ สอนวันท่.ี .......เดือน...............พ.ศ........ ภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓ ครผู ูส้ อน..................................................... เวลา ๒ ชว่ั โมง ๑. สาระสำคญั มหาชาติ เป็นชาตทิ ่ีย่งิ ใหญ่ของพระโพธิสตั วท์ ี่ไดเ้ สวยพระชาติเป็นพระเวสสนั ดรและเป็นพระชาติ สุดท้ายกอ่ นจะตรสั รู้เป็นพระสัมมาสมั มาพุทธเจา้ คนไทยรู้จักและคยุ้ เคยกับมหาชาตมิ าตง้ั แตส่ มยั สโุ ขทยั ดังท่ีปรากฏในหลักฐานในจารึกนครชมุ และในสมยั อยธุ ยาก็ได้มีการแตง่ และสวดมหาชาติคำหลวงในวนั ธรรมสวนะ ส่วนการเทศน์มหาชาติเปน็ ประเพณที สี่ ำคญั ในทกุ ท้องถนิ่ และมีความเชื่อกนั ว่า การฟังเทศน์ มหาชาตจิ บภายในวันเดยี วจะไดร้ บั อานิสงส์มาก การอา่ นเชิงวิเคราะห์เปน็ การอ่านหนังสือแต่ละเลม่ อย่างละเอียดให้ได้ความครบถว้ นแล้วจงึ แยกแยะ ให้ไดว้ ่าส่วนตา่ ง ๆนน้ั มคี วามหมายและความสำคญั อยา่ งไรบ้าง แตล่ ะดา้ นสมั พันธก์ บั ส่วนอนื่ ๆ อย่างไร อาจใชว้ ิเคราะห์องคป์ ระกอบของคำ และวลี การใชค้ ำในประโยควเิ คราะหส์ ำนวนภาษา จุดประสงคข์ องผแู้ ตง่ ไปจนถงึ การวิเคราะห์นยั หรอื เบื้องหลงั การจดั ทำหนงั สือหรือเอกสารนน้ั ๒. มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชี้วัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก้ ระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนำไปใช้ตัดสินใจ แกป้ ญั หาในการดำเนินชีวิต และมีนสิ ยั รกั การอา่ น ตัวช้ีวดั ม ๔-๖/๓ วิเคราะห์และวจิ ารณเ์ ร่อื งทอ่ี ่านในทุก ๆ ด้านอย่างมีเหตผุ ล ม ๔-๖/๕ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ แสดงความคดิ เหน็ โตแ้ ย้งกับเรือ่ งทีอ่ ่าน และเสนอความคดิ ใหม่ อย่างมเี หตุผล ๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๑. นกั เรยี นสามารถอธิบายหลักการอ่านวิเคราะห์ไดถ้ ูกต้อง (K) ๒. นกั เรียนสามารถอา่ นวิเคราะหเ์ รอื่ งพระเวสสนั ดรชาดกได้ (P) ๓. นักเรยี นเห็นความสำคญั ของกระบวนการทำงานเปน็ กลุม่ (A)
๒๗๕ ๔. สมรรถนะท่ีตอ้ งการ ๑. ความสามารถในการส่อื สาร ๒. ความสามารถในการคดิ ๕. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ๑. มีวินัย ๒. ใฝเ่ รยี นรู้ ๓. รักความเป็นไทย ๖. สาระการเรียนร/ู้ เน้อื หา ๑. ความหมายของการอ่านจบั ใจความ ๒. หลักการอา่ นจับใจความ ๓. การจับใจความจากเรื่องที่อ่าน ๗. ผลงาน/การปฏิบตั ิ ๑. ใบงานอ่านวิเคราะห์ เร่ือง พระเวสสันดรชาดก ๒. ใบงาน เร่ือง ประเด็นท่พี บในเรอื่ งพระเวสสนั ดรชาดกกับปจั จุบนั ๘. การจดั กจิ กรรมการเรียนรู/้ กระบวนการเรยี นรู้ กิจกรรมที่ ๑ ขน้ั นำ ( ๒๐ นาที) วิธีการดำเนนิ กจิ กรรม ๑. ครูทักทายนักเรียน ถามนักเรียนว่าได้เรียนอะไรมาแล้วบ้างในวันนี้ ทบทวนความรู้ที่ได้จากการ เรยี นคร้งั ท่ีแลว้ ๒. ครใู หน้ กั เรยี นทำกิจกรรมบริหารสมอง เพ่อื เป็นการบริหารสมองให้ทำงานได้อย่างสมดุลทั้งซีกซ้าย และซีกขวา ทำใหป้ ระสิทธิภาพในการเรยี นร้ขู องนกั เรียนดีข้ึน ๓. ครูชแ้ี จงนักเรียนถงึ กติกาในช้ันเรียนดังน้ี - ไม่อนญุ าตใหร้ ับประทานอาหาร ขนมในหอ้ งเรยี น เวน้ เฉพาะนำ้ ด่ืม - เม่อื คุยกนั เสียงดังครจู ะทำการเตือนนักเรียน ๑ ครั้ง หากกระทำซ้ำอีกจะถกู ลบคะแนน ๑ คะแนน - หากขออนุญาตไปทำธรุ ะตอ้ งยกมือ และไปได้ครั้งไม่เกิน ๒ คน
๒๗๖ ๔. ครูให้นักเรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียนแบบปรนัย ๔ ตัวเลอื ก จำนวน ๒๐ ขอ้ โดยครูชี้แจงวิธีการ ทำแบบทดสอบ และให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบตามเวลาทีก่ ำหนด เพื่อนำคะแนนกอ่ นเรียน มาจัดกลมุ่ ในการทำกิจกรรมของผู้เรียน กิจกรรมท่ี ๒ ขน้ั สอน (๖๐ นาที) วธิ กี ารดำเนนิ กิจกรรม ๑. ครูนำผลคะแนนทไี่ ดจ้ ากการทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนมาจดั เรยี งตามลำดบั แล้วนำมาจัดกล่มุ เป็น ๔ กลุ่ม โดยนักเรียนที่ได้คะแนนลำดับที่ ๑ - ๔ จะเป็นหัวหน้าของกลุ่มแต่ละกลุ่ม จากนั้นจัดนักเรียน ลำดับที่ ๕ - ๘ เข้าในกลุม่ ๑ - ๔ ตามลำดับ จัดนกั เรยี นในลักษณะดงั กลา่ วจนถงึ คนสุดทา้ ย จะไดก้ ลมุ่ นกั เรียน ท่ีคละระหวา่ งเด็กเกง่ กลาง ออ่ น อย่างเทา่ เทียมกัน ๒. ครูกลา่ วถึงเร่ืองพระเวสสันดรชาดกว่านักเรียนเคยทราบเรื่องราวมาก่อนหรือไม่แล้วมีเหตุการณ์ใด เกิดขน้ึ บ้างในเรื่อง ครูให้นักเรยี นซกั ถาม แล้วผลดั กันแลกเปลย่ี นความคดิ เห็น ๓. กอ่ นที่ครูจะนำเข้าสวู่ ิธีการอา่ นวเิ คราะห์เร่ืองพระเวสสันดรชาดก ครอู ธบิ ายถึงความสำคัญ และหลักการของการอา่ นวเิ คราะหด์ งั น้ี การอา่ นเชิงวเิ คราะห์ การอา่ นเชิงวิเคราะหเ์ ป็นการอ่านหนังสือแตล่ ะเลม่ อย่างละเอียดให้ไดค้ วามครบถว้ นแล้วจึง แยกแยะให้ได้ว่าส่วนต่าง ๆ นั้นมีความหมายและความสำคัญอย่างไรบ้าง แต่ละด้านสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ อย่างไร การอ่านแบบวิเคราะห์นี้ อาจใช้วิเคราะห์องค์ประกอบของคำและวลี การใช้คำในประโยควิเคราะห์ สำนวนภาษา จดุ ประสงคข์ องผแู้ ตง่ ไปจนถงึ การวเิ คราะห์นยั หรือเบ้อื งหลงั การจัดทำหนงั สือหรือเอกสารนั้น การวเิ คราะห์เร่ืองท่อี า่ นทกุ ชนดิ ส่ิงท่ีจะละเลยเสียมไิ ดก้ ็คอื การพจิ ารณาถงึ การใชถ้ ้อยคำ สำนวนภาษา ว่ามีความเหมาะสมกบั ระดบั และประเภทของงานเขียนหรือไม่ เช่น ในบทสนทนาก็ไมค่ วรใช้ภาษาที่เปน็ แบบแผน ควรใชส้ ำนวนใหเ้ หมาะสมกบั สภาพจริงหรือเหมาะแกก่ าลสมยั ท่ีเหตุการณ์ในหนังสือน้ันเกิดขน้ึ เป็นต้น ดงั น้นั การอ่านวเิ คราะหจ์ งึ ต้องใชเ้ วลาอ่านมาก และยิง่ มเี วลาอา่ นมากกย็ ิง่ มโี อกาสวเิ คราะห์ ได้ดีมากขึ้นการอ่านในระดบั นี้ ตอ้ งรู้จักต้ังคำถามและจัดระเบยี บเรอื่ งราวที่อา่ น เพ่ือจะได้เข้าใจเร่อื ง และความคิดท่ีผูเ้ ขียนตอ้ งการสอ่ื ถงึ หลกั การอา่ นวเิ คราะห์ ๑. แยกแยะสว่ นทเี่ ปน็ สาระสำคัญและสว่ นขยายความ การเขียนหนังสอื ผู้เขียนจะเขยี น ใน ๒ สว่ น คือ ส่วนทเ่ี ปน็ สาระสำคญั และส่วนขยายความ การอ่านอย่างวเิ คราะหน์ ั้นผ้อู ่านจะตอ้ งค้นหา และแยกแยะ ดงั นี้ ๑.๑ สาระสำคัญ เป็นสิง่ ทผ่ี ู้เขยี นต้องการนำเสนอ เพื่อจะไดเ้ ข้าใจจุดประสงค์ ทีแ่ ทจ้ ริงของผ้เู ขียน
๒๗๗ ๑.๒ ขยายความ เป็นการอธิบายหรือยกตัวอย่างประกอบสาระสำคัญที่ผู้เขียน ต้องการอธิบาย เพื่อใหผ้ ู้อา่ นเกิดความเข้าใจมากขนึ้
๒๗๘ ๒. แยกแยะสว่ นที่เปน็ ข้อเท็จจรงิ ออกจากข้อคิดเห็นในงานเขียนตา่ ง ๆ กระทรวงศึกษาธกิ ารไดเ้ สนอขน้ั ตอนการอา่ นเชิงวเิ คราะหด์ งั น้ี (กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๔๖) ขั้นที่ ๑ รวบรวมข้อมูล คือ การที่ผู้อ่านต้องอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดเพื่อรับรู้เรื่องราวและ เข้าใจความหมาย ซึ่งผู้อ่านต้องใช้ทักษะในการสังเกตบริบทหรือเครื่องหมายต่าง ๆ สนทนา ซักถามเล่าเรื่อง จากขา่ วสาร ข้อมูลจากหนังสอื ต่าง ๆ ขั้นที่ ๒ วิเคราะห์ คือ การที่ผู้อ่านใช้ความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ โดย แบง่ เปน็ ขนั้ ตอนย่อยดงั น้ี ๒.๑ จำแนกและจับใจความสำคัญของเรื่องได้ว่าใคร ทำอะไร กับใคร ที่ไหน อยา่ งไร เม่อื ไร ๒.๒ แยกเนื้อหาของเรื่องราวออกเป็นสองส่วนคือ สาระสำคัญหรือข้อเท็จจริง และส่วนขยายหรือความคดิ เห็น ๒.๓ พิจารณาเนื้อหาในแต่ละส่วนที่แยกไว้แล้วอย่างละเอียดว่า ประกอบกัน อย่างไรหรือประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ขัน้ ท่ี ๓ สรปุ คือ ผู้อา่ นสงั เคราะห์ข้อมูล แล้วสรุปประเมินความน่าจะเป็น น่าเชื่อถือ สบื ค้นข้อมูลเพิ่มเติม หาหลกั ฐานประกอบการตัดสนิ ใจเชิงเหตุเชงิ ผล ขั้นที่ ๔ ประยุกต์และนำไปใช้ คือ ผู้อ่านสามารถนำผลจากการอ่านและเรียนรู้สู่การปฏิบัติ จริง โดยคดั เลอื กสิ่งทีเ่ รียนรู้ไปใช้ได้อยา่ งเหมาะสม ๔. ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มอ่านวิเคราะห์ประเด็นเรือ่ งพระเวสสันดรชาดกในแต่ละกัณฑ์ โดยที่แต่ละ กลุม่ จะไม่อ่านวเิ คราะหก์ ณั ฑ์ซ้ำกัน ๕. เมื่อนักเรียนอ่านเรียบร้อยแล้ว ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเขียนประเด็นที่พบลงในใบงานการวิเคราะห์ เรอ่ื งพระเวสสนั ดร โดยอย่างนอ้ ยควรมีประเดน็ ดงั นี้ - เนื่องเร่ืองยอ่ - ตวั ละคร - แก่นหลกั ของกัณฑ์ โดยนักเรยี นสามารถเขียนประเดน็ ทต่ี นเองและสมาชิกสนใจ โดยตอ้ งเขยี นคำอธบิ ายในประเด็นนั้น ๆ กำกับ ๖. ครูให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มนำเอาประเดน็ ตา่ ง ๆ ที่ตนเองและสมาชกิ พบมาเขียนเปรียบเทียบ ความเหมือน - ความแตกต่างกับยคุ สมยั ปจั จบุ นั อย่างไร ๗. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานของแต่ละกลุ่ม โดยเรียงลำดับตามกัณฑ์ของเรื่อง พระเวสสันดรชาดก
๒๗๙ กจิ กรรมที่ ๓ ขั้นสรุป (๒๐ นาที) วิธดี ำเนนิ กจิ กรรม ๑. เมอ่ื นักเรยี นทุกกลมุ่ ออกมานำเสนอครบทุกกลุ่ม ครสู รุปความรู้ และให้ขอ้ เสนอแนะในการนำเสนอ แก่นักเรียน ๒. ครใู หค้ ำชมเชยกบั ทกุ กลุ่มในการออกมานำเสนอ ๓. ครูให้นักเรียนกลับไปทบทวนเรื่องที่ได้เรียนในวันนี้ และให้การบ้านโดยการให้อ่านงานการ วิเคราะหข์ องเพ่ือนแต่ละกลุ่ม ๙. สือ่ /นวัตกรรม/แหล่งการเรียนรู้ สื่อและนวตั กรรม ๑. ใบความร้เู รือ่ งการอ่านวิเคราะห์ ๒. ใบงานการวิเคราะห์เรื่องพระเวสสนั ดร ๓. ใบงานการเขยี นเปรียบเทียบประเด็นที่พบกบั ปัจจบุ นั แหล่งการเรียนรู้ ๑. ครูผสู้ อน ๒. หอ้ งสมดุ ๓. อนิ เทอร์เนต็ ๔. หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๔
๒๘๐ ๑๐. การวัดและประเมินผล สิ่งที่ตอ้ งการวัด วธิ กี ารวดั และ เครอื่ งมอื วัด เกณฑ์การประเมิน ประเมนิ ผล ผ่านเกณฑร์ ้อยละ ๘๐ แบบทดสอบหลังเรยี น ๑. นกั เรยี นสามารถ การทดสอบหลังเรยี น แบบปรนยั ๔ ตวั เลือก ขึน้ ไป อธิบายหลักการอ่าน จำนวน ๓๐ ขอ้ ผ่านเกณฑร์ ้อยละ ๘๐ แบบประเมินการอ่าน ข้นึ ไป วเิ คราะห์ได้ถกู ต้อง (K) วิเคราะห์ ๓ คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ ๒. นกั เรยี นสามารถอา่ น ประเมินการพดู แสดง ๓ ระดบั คณุ ภาพ ขึ้นไป แบบประเมนิ ตนเอง วเิ คราะหเ์ ร่อื งพระ ความคดิ เห็น ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ ดา้ นเจตพิสัย ขน้ึ ไป เวสสันดรชาดกได้ (P) แบบประเมนิ ๓. นักเรียนเหน็ การประเมนิ ตนเอง คุณลกั ษณะอนั พึง ประสงค์ ๓ คุณลักษณะ ความสำคญั ของ ๓ ระดับ คุณภาพ กระบวนการทำงานเป็น กลมุ่ (A) ๔. คณุ ลกั ษณอันพึง แบบประเมนิ ประสงค์ คณุ ลักษณะอนั พึง ประสงค์
๒๘๑ ๑๑. บนั ทึกเพิ่มเตมิ สำหรบั ผู้บรหิ าร …………………………………………………................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ.................................................ผู้ประเมิน (.....................................................................) ตำแหนง่ .......................................................... วันท.่ี ..........เดือน.........................พ.ศ..............
๒๘๒ ๑๒. บนั ทึกผลหลงั การจัดการเรียนรู้ ผลการจดั การเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………….......................................................................… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สภาพปญั หา ………………………………………………………………………………………….......................................................................… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแก้ไขปญั หา ………………………………………………………………………………………….......................................................................… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ขอ้ เสนอแนะในการจดั การเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………….......................................................................… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ.................................................ผู้ประเมนิ (.....................................................................) ตำแหนง่ .......................................................... วันที.่ ..........เดือน.........................พ.ศ..............
๒๙๑
๒๙๒
๒๙๓
แบบสรปุ คะแนนแบบประเมนิ ทกั ษะการเรยี นรู้ ๒๘๖ เรอื่ ง การอา่ นวเิ คราะห์ สรปุ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ เรอื่ ง พระเวสสนั ดรชาดก พฤตกิ รรม เลขที่ ขอ่ื -สกลุ เนื้อหา กระบวการทำงาน เ ็ปนกลุ่ม การนำเสนอ ผ่าน ไม่ผ่าน ๓๓๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ บนั ทกึ เพิ่มเตมิ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ.................................................ผู้ประเมนิ (.....................................................................) ตำแหนง่ .......................................................... วันท่.ี ..........เดือน.........................พ.ศ..............
๒๘๗ เกณฑแ์ บบประเมินทกั ษะการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การอา่ นวเิ คราะห์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ เรอื่ ง พระเวสสนั ดรชาดก รายการประเมนิ เกณฑ์การให้คะแนน ๑. เนอ้ื หา ดมี าก (๓) ปานกลาง (๒) พอใช้ (๑) ๒. กระบวนการทำงาน เปน็ กลุม่ นกั เรียนวิเคราะห์ นักเรียนวเิ คราะห์ นักเรยี นวิเคราะห์ ๓. การนำเสนอ เนอ้ื หาได้ละเอียด มี เนอื้ หาได้ดี มกี าร เน้อื หาได้ค่อนข้างดี การเสนอแนะหัวข้อที่ เสนอแนะหัวข้อ มรการสรุปประเด็น แปลกใหม่ น่าสนใจ นา่ สนใจ สรปุ ประเดน็ อยา่ งครา่ ว ๆ สามารถสรปุ ประเดน็ ได้ ไดค้ ่อนขา้ งครบถ้วน ครบถว้ น นักเรยี นให้ความร่วมมือ นักเรยี นให้ความรว่ มมอื นักเรียนไม่ใหค้ วาม กบั สมาชิกเปน็ อยา่ งดี กบั สมาชกิ และแสดง ร่วมมือกับสมาชกิ แสดงความคดิ เหน็ ความคดิ เหน็ เพยี ง อย่างมีเหตผุ ล เล็กนอ้ ย นกั เรียนนนำเสนอไดม้ ี นักเรยี นนำเสนอได้ นักเรียนนำเสนอได้ ประสิทธภิ าพ นา่ สนใจ นา่ สนใจนำ้ เสียงชัดเจน คอ่ นข้างดี นำ้ เสยี ง นำ้ เสยี งน่าฟัง ชดั เจน มกี ารใช้ท่าทาง ราบเรยี บ ไมม่ ีการใช้ มีการใชท้ ่าทาง ประกอบ ทา่ ทางประกอบ ประกอบ เกณฑก์ ารประเมนิ คณุ ภาพ ๗ - ๙ คะแนน ดมี าก ๕ - ๖ คะแนน ดี ๓ - ๔ คะแนน พอใช้ ตำ่ กวา่ ๓ คะแนน ปรบั ปรุง หมายเหตุ นักเรียนผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ ๗๕ ขึน้ ไป
๒๘๘ แบบประเมินพฤตกิ รรมนกั เรยี นดา้ นเจตพสิ ยั ในการเรยี น เรอ่ื ง การอา่ นวเิ คราะห์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ เรอื่ ง พระเวสสนั ดรชาดก คำชแ้ี จง ใหเ้ ขียนเครอ่ื งหมาย ลงในช่องที่นกั เรียนแสดงพฤติกรรมตามรายการประเมิน เกณฑก์ ารประเมนิ เหน็ ดว้ ยอย่างย่งิ ใหท้ ำเครื่องหมาย ลงในช่องหมายเลข ๕ เหน็ ด้วย ให้ทำเคร่ืองหมาย ลงในช่องหมายเลข ๔ ไมแ่ นใ่ จ ให้ทำเคร่ืองหมาย ลงในช่องหมายเลข ๓ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ใหท้ ำเครื่องหมาย ลงในช่องหมายเลข ๒ ไม่เหน็ ดว้ ยอย่างยงิ่ ใหท้ ำเครื่องหมาย ลงในช่องหมายเลข ๑ ช่ือ.................................................................................................... ช้ัน...................... เลขที่................ ระดบั ความคิดเหน็ ข้อความ เห็นด้วย เห็นดว้ ย ไม่แนใ่ จ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ไม่เห็นดว้ ย อยา่ งยง่ิ อยา่ งยง่ิ ๑. การทำงานเป็นกลมุ่ ทำให้งานมคี ุณภาพ ๒. การทำงานเปน็ กลุม่ ทำให้ฉันมีทักษะการ รว่ มงานกบั ผู้อน่ื ได้ดี ๓. ฉันยนิ ดที จี่ ะทำงานร่วมกับผู้อ่นื ๔. การทำงานเปน็ กลมุ่ ชว่ ยให้ฉนั กลา้ แสดงออก มากขึน้ ๕. ฉันมกั จะคน้ พบทักษะใหม่ ๆ เมื่อทำงาน เปน็ กลุ่ม ขอ้ เสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. .................................................
๒๘๙ เกณฑ์การแปลความหมายประเมินพฤติกรรมนกั เรยี นดา้ นเจตพสิ ยั ในการเรยี น เรอื่ ง การอา่ นวเิ คราะห์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ เรอ่ื ง พระเวสสนั ดรชาดก เกณฑ์การแปลความหมายเพ่ือจดั ระดับของคะแนนเฉลี่ย ในชว่ งคะแนนดงั ต่อไปนี้ คะแนนเฉลีย่ ๔.๒๑ – ๕.๐๐ แปลความไดว้ า่ เห็นความสำคัญของกระบวนการทำงานเป็นกล่มุ มากทสี่ ดุ คะแนนเฉลี่ย ๓.๔๑ – ๔.๒๐ แปลความได้ว่า เห็นความสำคญั ของกระบวนการทำงานเป็นกลมุ่ มาก คะแนนเฉล่ยี ๒.๖๑ – ๓.๔๐ แปลความได้วา่ เหน็ ความสำคญั ของกระบวนการทำงานเป็นกล่มุ ปานกลาง คะแนนเฉลย่ี ๑.๘๑ – ๒.๖๐ แปลความได้วา่ เห็นความสำคัญของกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม นอ้ ย คะแนนเฉลย่ี ๑.๐๐ – ๑.๘๐ แปลความได้วา่ เหน็ ความสำคัญของกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม นอ้ ยท่ีสดุ
แบบสรปุ คะแนนแบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ๒๙๐ เรอื่ ง การอา่ นวเิ คราะห์ สรปุ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ เรอ่ื ง พระเวสสันดรชาดก พฤตกิ รรม เลขที่ ขอ่ื -สกลุ มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ รักความเ ็ปนไทย ผ่าน ไ ่มผ่าน ๓ ๓๓ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ บนั ทกึ เพม่ิ เติม ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ลงชอื่ .................................................ผูป้ ระเมนิ (.....................................................................) ตำแหน่ง.......................................................... วนั ที.่ ..........เดือน.........................พ.ศ..............
๒๙๑ เกณฑแ์ บบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ เรอื่ ง การอา่ นวเิ คราะห์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๗ เรอ่ื ง พระเวสสนั ดรชาดก รายการประเมนิ ดมี าก (๓) เกณฑ์การใหค้ ะแนน พอใช้ (๑) ๑. มวี ินยั ปฏบิ ตั ิตนตามข้อตกลง ปานกลาง (๒) ปฏบิ ตั ิตนตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ กฎเกณฑร์ ะเบยี บ ๒. ใฝเ่ รยี นรู้ ขอ้ บงั คบั ของโรงเรยี น ปฏบิ ัตติ นตามข้อตกลง ข้อบงั คบั ของโรงเรยี น และไมล่ ะเมิดสิทธิของ กฎเกณฑร์ ะเบียบ ตรงต่อเวลาในการ ๓. รกั ความเปน็ ไทย ผอู้ ืน่ ตรงต่อเวลาใน ขอ้ บงั คับของ ปฏิบตั ิกจิ กรรม การปฏิบัติกจิ กรรม ตรงตอ่ เวลาในการ และรับผดิ ชอบ ปฏบิ ตั ิกิจกรรม เขา้ เรียนตรงเวลา ในการทำงาน และรับผิดชอบในการ ตง้ั ใจเรยี น เข้าเรียนตรงเวลา ทำงาน เอาใจใส่ในการเรยี น ตง้ั ใจเรียน และมีส่วนรว่ มใน เอาใจใส่ในการเรียน เขา้ เรยี นตรงเวลา การเรยี นรู้ และเข้า และมสี ่วนร่วม ตัง้ ใจเรยี น ร่วมกิจกรรมการ ในการเรียนรู้ เอาใจใสใ่ นการเรยี น เรียนรตู้ ่าง ๆ และเข้ารว่ มกิจกรรม และมสี ว่ นรว่ ม เปน็ บางคร้ัง การเรยี นรู้ต่าง ๆ ในการเรียนรู้ และเขา้ ท้งั ภายในและ ร่วมกิจกรรมการ มีสมั มาคารวะต่อครู ภายนอกโรงเรียน เรยี นร้ตู ่าง ๆ บอ่ ยคร้ัง อาจารย์ ใช้ภาษาไทย เปน็ ประจำ เลขไทยในการสอ่ื สาร มีสมั มาคารวะตอ่ ครู มสี มั มาคารวะตอ่ ครู ไดถ้ ูกตอ้ ง อาจารย์ ปฏบิ ตั ติ นเปน็ อาจารย์ ปฏบิ ัติตนเปน็ ผูม้ ีมารยาทแบบไทย ผู้มี มารยาทแบบไทย ใชภ้ าษาไทย เลขไทย ใชภ้ าษาไทย เลขไทย ในการสอื่ สารได้ถูกตอ้ ง ในการสื่อสารไดถ้ ูกต้อง เขา้ ร่วมกจิ กรรม เขา้ รว่ มกิจกรรมท่ี
รายการประเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน ๒๙๒ ปานกลาง (๒) พอใช้ (๑) ดมี าก (๓) ทเี่ ก่ยี วข้องกับ เกย่ี วข้องกบั ภมู ปิ ญั ญา ภูมปิ ญั ญาไทย ไทย และมีส่วนร่วม ในการสืบทอดภูมิ ปัญญาไทย เกณฑ์การประเมนิ คุณภาพ ๗ - ๙ คะแนน ดมี าก ๕ - ๖ คะแนน ดี ๓ - ๔ คะแนน พอใช้ ต่ำกวา่ ๓ คะแนน ปรับปรงุ หมายเหตุ นักเรยี นผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ ๘๐ ข้นึ ไป
แผนการจัดการเรยี นรวู้ ชิ าภาษาไทย ๒๙๓ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๗ เร่อื ง พระเวสสนั ดรชาดก มัธยมศึกษาปีที่ ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ เรื่อง การเขียนผงั ความคิด แผนที่ ๒/๓ สอนวนั ที.่ .......เดือน...............พ.ศ........ ภาคเรยี นท่ี ๑/๒๕๖๓ ครูผู้สอน..................................................... เวลา ๑ ชวั่ โมง ๑. สาระสำคัญ ผังความคิด เป็นการถ่ายทอดความคดิ หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสมองลงกระดาษ โดยการใชภ้ าพ สี เสน้ และการโยงใย แทนการจดยอ่ แบบเดิมทเ่ี ปน็ บรรทัด ๆ เรียงจากบนลงล่าง ขณะเดียวกันกช็ ่วยเปน็ ส่ือ นำข้อมูลจากภายนอก เช่น หนงั สอื คำบรรยาย การประชมุ ส่งเข้าสมองให้เก็บรักษาไว้ไดด้ กี วา่ เดิม ซ้ำยังช่วยให้เกดิ ความคดิ สร้างสรรค์ไดง้ ่ายเขา้ เนอื่ งจะเหน็ เปน็ ภาพรวม และเปดิ โอกาสใหส้ มองใหเ้ ช่ือมโยง ต่อข้อมลู หรือความคิดต่าง ๆ เขา้ หากนั ได้งา่ ยกวา่ ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมลู เกีย่ วกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงระหว่าง ความคิดหลัก ความคดิ ความคดิ รองและความคิดย่อยท่เี กยี่ วข้องสมั พันธ์กัน ๒. มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวช้ีวดั มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนำไปใช้ตดั สินใจ แก้ปญั หาในการดำเนินชีวิต และมนี สิ ัยรกั การอา่ น ตัวชวี้ ัด ม ๔-๖/๓ วิเคราะห์และวิจารณเ์ รือ่ งที่อ่านในทุก ๆ ดา้ นอย่างมีเหตุผล ม ๔-๖/๗ อา่ นเรอ่ื งตา่ ง ๆ แล้วเขยี นกรอบแนวคิดผงั ความคดิ บนั ทกึ ย่อความ และรายงาน ๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๑. นักเรยี นสามารถอธิบายหลักการเขียนผงั ความคิดได้ถูกต้อง (K) ๒. นักเรยี นสามารถเขียนผงั ความคดิ ได้ (P) ๓. นกั เรียนเห็นความสำคัญของการเขยี นผงั ความคิด (A) ๔. สมรรถนะท่ตี อ้ งการ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร ๒. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
๒๙๔ ๕. ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๑. ซื่อสตั ย์สุจรติ ๒. ใฝเ่ รยี นรู้ ๓. รักความเป็นไทย ๖. สาระการเรียนร้/ู เนอ้ื หา ๑. ความหมายของการเขยี นผงั ความคดิ ๒. หลกั การเขียนผังความคิด ๓. การเขยี นผงั ความคิดจากเรอ่ื งทอี่ า่ น ๗. ผลงาน/การปฏิบตั ิ ๑. ผงั ความคิด เร่อื ง พระเวสสนั ดรชาดก ๘. การจดั กิจกรรมการเรียนร/ู้ กระบวนการเรยี นรู้ กจิ กรรมท่ี ๑ ข้นั นำ ( ๑๐ นาที) วธิ ีการดำเนินกิจกรรม ๑. ครูทกั ทายนกั เรียน แลว้ สอบถามนักเรียนว่าในการเรยี นการสอนก่อนหนา้ นไ้ี ด้เรยี นรู้ เรือ่ งใด เป็นอยา่ งไร โดยครูสมุ่ ถามนักเรียนเป็นรายบคุ คล แลว้ ครูทบทวนให้อกี ครั้ง ๒. ครใู ห้นักเรยี นทำกจิ กรรมบริหารสมอง โดยใช้กิจกรรม ๒๐ คำถาม โดยครูกำหนดคำตอบไว้ ซึ่งคำตอบครูบอกได้เพียงหมวดหมู่ เช่น บุคคล อาชีพ อาหาร เป็นต้น เพื่อให้นักเรียนถามครู ซึ่งครูสามารถ ตอบได้เพยี งใช่หรอื ไมใ่ ช่ ภายใน ๒๐ คำถาม จนกว่าจะมคี นตอบถูก กจิ กรรมท่ี ๒ ขนั้ สอน (๓๐ นาที) วิธีการดำเนินกจิ กรรม ๑. ครูแจ้งให้นักเรียนนัง่ เป็นกลุม่ จำนวน ๔ กลุ่ม ตามเดมิ ๒. ครูอธบิ ายเก่ยี วกบั ความหมายของผังความคิด ดงั น้ี ผังความคิด คอื การถา่ ยทอดความคดิ หรอื ข้อมูลต่าง ๆ ท่มี อี ยใู่ นสมองลงกระดาษ โดยการใช้ ภาพ สี เสน้ และการโยงใย แทนการจดย่อแบบเดมิ ท่เี ปน็ บรรทัด ๆ เรยี งจากบนลงลา่ ง ขณะเดียวกนั ก็ช่วยเป็น สื่อนำข้อมูลจากภายนอก เช่น หนังสือ คำบรรยาย การประชุม ส่งเข้าสมองให้เก็บรักษาไว้ได้ดีกว่าเดิม ซ้ำยัง ชว่ ยใหเ้ กดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ได้งา่ ยเขา้ เนือ่ งจะเห็นเป็นภาพรวม และเปดิ โอกาสให้สมองใหเ้ ชื่อมโยงต่อข้อมูล หรือความคิดต่าง ๆ เข้าหากันได้ง่ายกว่า “ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่าง ความคดิ หลัก ความคิด รอง และความคดิ ย่อยที่เกย่ี วขอ้ งสัมพันธก์ ัน
๒๙๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381