Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียน นครศรีธรรมราชศึกษา

เอกสารประกอบการเรียน นครศรีธรรมราชศึกษา

Published by dlit_sm037, 2021-11-17 08:37:02

Description: เอกสารประกอบการเรียน นครศรีธรรมราชศึกษา

Search

Read the Text Version

7. เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ท่ีพระรัตนธัชมุณีศรีธรรมราช ธรรมสาธก ตรีปิฏกคุณาลังการ ศีลสมาจาก วนิ ัยสนุ ทร ธรรมกิ คณสิ สร บวรสังฆาราม คามวาสี ใน ปี พ.ศ. 2505 2. ผลงานท่สี �ำคญั 1. การพัฒนาศาสนาบุคคล พระรัตนธัชมุณี (แบน) เป็นผู้มีเมตตา สร้างสรรค์บุคคลให้ได้รับ ความเจริญรุ่งเรือง ให้การศึกษาอบรม แนะน�ำ โดยเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและแผนกบาลี ส�ำนักเรียนวัดราชาธิวาสวิหาร ส�ำนักเรียนวัดพิชยญาติการาม ส�ำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ในกรุงเทพมหานคร ส่วนในจงั หวดั นครศรธี รรมราช เป็นครูทส่ี ำ� นกั วดั ทา่ โพธิ์ วัดมเหยงค์ วดั พระมหาธาตวุ รมหาวหิ าร อกี ท้งั ยงั คอยดูแล ให้การสงเคราะห์เอื้อเฟื้อด้วยปัจจัยลาภและธรรม จนมีศิษย์ท้ังสายบรรพชิต และสายคฤหัสถ์ ได้รับความส�ำเร็จ ในชีวิตและมีความกา้ วหนา้ ตง้ั ตนให้มั่นคงเปน็ หลกั ฐาน เป็นจำ� นวนมาก 2. การพัฒนาศาสนสถานและศาสนวัตถุ เม่ือได้รับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะ ไดบ้ รู ณปฏสิ งั ขรณศ์ าสนสถานทช่ี ำ� รดุ ใหค้ งสภาพดขี นึ้ ไดส้ รา้ งวดั และแนะนำ� ใหผ้ อู้ น่ื สรา้ งวดั ขนึ้ ในสถานทท่ี คี่ วรสรา้ ง เพมิ่ ขนึ้ เปน็ จำ� นวนมาก เช่น 2.1 บรู ณปฏสิ งั ขรณว์ ดั พระมหาธาตวุ รมหาวหิ าร จดั การใหบ้ รู ณปฏสิ งั ขรณ์ องคพ์ ระบรมธาตุ เจดีย์ พระวิหารหลวง พระระเบียง พระวิหารภตู เถร (พระแอด) พระวิหารสามจอม วหิ ารทับเกษตร วิหารตามศาลา สรา้ งกฏุ ิไม้ 1 ชัน้ รวม 7 หลงั สร้างหอระฆงั สร้างถนนระหว่างพระเจดียบ์ รวิ าร ภายในบรเิ วณพระบรมธาตเุ จดยี ์ สร้างศาลาพระรัตนธัชมุนี และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ภายในบริเวณวัดอีกเป็นจ�ำนวนมาก รวมท้ังสร้างโรงเรียน พระปริยตั ธิ รรม ใชเ้ ป็นสถานที่ศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรม แผนกธรรมและแผนกบาลี 2.2 บรู ณปฏิสงั ขรณว์ ัดมเหยงค์ โดยปรบั ปรงุ เสนาสนะทวั่ ทัง้ วดั 2.3 เปน็ พระนกั เทศนท์ ม่ี คี วามสามารถ จนไดร้ บั การยกยอ่ งเปน็ “พระคณาจารยโ์ ททางเทศนา” เพราะมีความร้ทู นั ตอ่ เหตุการณ์ และทนั สมยั อยู่ตลอดเวลา เนือ่ งจากหากมีเวลาว่างพระรตั นธัชมุนี (แบน) จะอา่ น ตำ� ราทางพระพทุ ธศาสนา สารคดี และขา่ วสารตา่ ง ๆ อยเู่ ปน็ ประจำ� การแสดงพระธรรมเทศนา จงึ แสดงโดยปฏภิ าณ มคี ารมคมคาย ชวนใหผ้ ฟู้ งั ตง้ั อกตง้ั ใจฟงั ถนดั ทงั้ การแสดงธรรมรปู เดยี ว และแสดงธรรมโดยปจุ ฉาวสิ ชั นา 2 ธรรมาสน์ การแสดงธรรมทกุ กณั ฑ์ มเี หตมุ ผี ลมอี บุ ายทจ่ี ะแกค้ วามผดิ ใหเ้ ปน็ ความถกู แกค้ วามไมเ่ หมาะสมใหเ้ ปน็ ความเหมาะสม เช่น เทศน์สอนคนตระหนี่ถี่เหนียวให้ยินดีในการสละบริจาค ก็จะแสดงธรรมเรื่อง “เงินติดคุก” แก้สมภารเจ้าวัด ซง่ึ ชอบสง่ั สมบรขิ าร กแ็ สดงธรรม “สมบตั ไิ ลส่ มภารออกจากหอ้ ง” ตงั้ แต่ พ.ศ. 2470 – 2521 เมอื่ เปน็ พระคณาจารยโ์ ท ฝ่ายธรรมถึก ได้จาริกไปแสดงพระธรรมเทศนาอบรมประชาชนท่ัวภาคใต้ อีกทั้งยังจัดให้มีการประกอบศาสนกิจ ในวนั สำ� คัญทางพระพุทธศาสนา จดั การฝกึ อบรมศลี ธรรมแกน่ ักเรียนในโรงเรียนในเขตปกครองเป็นประจ�ำ หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 191

13. พลตำ� รวจตรี ขุนพันธรักษร์ าชเดช พลต�ำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นอดีตนายต�ำรวจชื่อดัง ของวงการตำ� รวจไทยเป็นบุคคลท่สี �ำนกั งานต�ำรวจแหง่ ชาติ ไมว่ า่ ตำ� แหนง่ ใด ยศใด ยกย่อง นับถือ และกล่าวถึง เน่ืองจากท่านเป็นแบบอย่างท่ีดีของ กรมต�ำรวจ มีช่ือเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย เชน่ เสอื ฝา้ ย เสือย่อง เสอื ผ่อน เสอื ครมึ้ เสอื ปลง่ั เสือใบ เสืออว้ น เสอื ไหว เสอื มเหศวร ที่พัทลุง ปราบเสอื สงั หรือเสือพุ่ม ทน่ี ราธวิ าส เป็นต้น จากผลงานที่โดดเด่นที่สามารถปราบปรามโจรผู้ร้ายได้มากมาย จงึ ไดร้ บั ฉายาตา่ ง ๆ วา่ “นายพลตำ� รวจหนงั เหนยี ว” “นายพลตำ� รวจหนวดเขยี้ ว” “ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง” “รายอกะจิ” “จอมขมังเวท” ต่อมาได้รับพระบรม ราชานญุ าตใหใ้ ชร้ าชทนิ นามเปน็ ชอื่ สกลุ “ขนุ พนั ธรกั ษร์ าชเดช” และเปน็ คน สุดท้ายของประเทศไทยท่ไี ด้รับพระราชทินนาม ประวตั ิ พลต�ำรวจตรี ขุนพนั ธรักษ์ราชเดช พลตำ� รวจตรี ขนุ พนั ธรกั ษร์ าชเดช ชอ่ื นามสกลุ เดมิ นายบตุ ร พนั ธรกั ษ์ เกดิ เมอื่ วนั ที่ 18 กมุ ภาพนั ธ์ 2446 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ท่ี 5 ต�ำบลดอนตะโก อ�ำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เร่ิมเข้าเรียนในช้ันประถมปีที่ 1 ท่ีโรงเรียนวัดสวนป่าน อ�ำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ใช้เวลาเพียง 3 วัน ก็จบช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เน่ืองจากท่านมีความรู้ในวิชาเลขและหนังสืออยู่แล้วก่อนท่ีจะเข้า โรงเรียน ต่อมาได้เข้าเรียนตอ่ ชัน้ มธั ยมปที ่ี 1 ทโี่ รงเรยี นวดั ท่าโพธ์ิ (โรงเรยี นเบญจมราชทู ิศในปจั จุบัน) ไดไ้ ม่กเี่ ดือนก็ ต้องออกจากโรงเรียนเพราะป่วยเป็นโรคคุดทะราด ต้องพักรักษาตัวปีกว่า จึงเดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2459 ไดม้ าเรยี นตอ่ ในชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 อยทู่ โี่ รงเรยี นวดั เบญจมบพติ ร (โรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมบพติ ร ในปจั จบุ นั ) ขณะเรยี นทโ่ี รงเรยี นนท้ี า่ นไดเ้ รยี นวชิ ามวย ยโู ด และยมิ นาสตกิ จนมคี วามชำ� นาญในเชงิ มวย ทา่ นสอบไล่ ไดช้ ้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 8 ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 จึงได้เข้าเรียนต่อท่ี The Crocodile Creek Royal Police Cadet Academy โรงเรยี นนายรอ้ ยตำ� รวจหว้ ยจระเข้ (โรงเรียนนายร้อยต�ำรวจในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม ขณะที่เรียนได้เป็น ครมู วยไทยดว้ ย เรยี นอยู่ 5 ปี สำ� เร็จหลกั สูตรในปี พ.ศ. 2472 ด้านชีวิตครอบครัว ขุนพันธ์ฯ มีภรรยาคนแรกชื่อ เฉลา ตอนน้ันท่านมีอายุได้ประมาณ 30 ปี ขณะที่รับราชการอยู่ท่ีจังหวัดพัทลุง มบี ตุ รดว้ ยกนั 8 คน ต่อมาภรรยาเสียชีวิต ทา่ นจงึ ได้ภรรยาใหม่ชื่อ สมสมัย มบี ุตรด้วยกัน 4 คน ในวนั ที่ 5 กรกฎาคม 2549 พลต�ำรวจตรี ขุนพันธรกั ษ์ ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ที่ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง จงั หวดั นครศรธี รรมราช รวมอายุได้ 103 ปี 192 แหนลกัวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

ประวตั กิ ารรบั ราชการ 1. นักเรยี นนายร้อย กองบังคับการต�ำรวจภธู รมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำ� จังหวดั สงขลา 2. ผู้บงั คับหมวด กองเมอื ง จังหวัดพัทลุง 3. ผูบ้ ังคบั กองเมืองจงั หวัดพทั ลงุ 4. รองผกู้ ำ� กับการตำ� รวจภูธรจังหวดั สุราษฎรธ์ านี 5. ผู้กำ� กบั การต�ำรวจภธู รจังหวดั พิจติ ร 6. ผกู้ ำ� กบั การตำ� รวจภูธรจังหวัดชัยนาท 7. รองผอู้ �ำนวยการกองปราบพิเศษ 8. ผกู้ �ำกบั การต�ำรวจภธู รจงั หวัดก�ำแพงเพชร 9. ผ้กู ำ� กบั การตำ� รวจภธู รจังหวดั พัทลงุ 10. รองผู้บังคับการต�ำรวจภธู ร เขต 8 จงั หวัดนครศรธี รรมราช 11. ผบู้ งั คับการต�ำรวจภธู ร เขต 8 จงั หวดั นครศรีธรรมราช ประวตั ิทางการเมอื ง ไดร้ ับการเลอื กต้งั เปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรคประชาธิปัตย์ ปี 2512 ผลงานทางวชิ าการ ขนุ พนั ธรกั ษร์ าชเดช เป็นทั้งนกั อา่ นและนกั เขียน ไดเ้ ขียนเรือ่ งราวตา่ ง ๆ ลงพมิ พ์ในหนังสอื และ วารสารตา่ ง ๆ หลายเรอ่ื ง และ เปน็ คนหนงึ่ ทม่ี คี วามสนใจในเรอ่ื งไสยศาสตร์ เรอ่ื งทเี่ ขยี นสว่ นใหญจ่ งึ เปน็ เรอื่ งเกย่ี วกบั ความเช่ือทางไสยศาสตร์ เช่น ความเช่ือทางไสยศาสตร์ในภาคใต้ สองเกลอ หัวล้านนอกครู มวยไทย เช่ือเคร่ือง กรุงชิง ช้างเผือกงาด�ำ ศิษย์เจ้าคุณ นอกจากน้ันก็มีเร่ืองเก่ียวกับประวัติศาสตร์ท้ังประวัติบุคคลและสถานที่ ตำ� นานท้องถ่ิน มวย และเรื่องเกย่ี วกับประสบการณข์ องตนเอง ข้อเขยี นต่าง ๆ ของท่าน โดยเฉพาะเรือ่ งกรงุ ชงิ น้ัน เปน็ เรอื่ งทท่ี า่ นเขยี นทลู เกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชตามพระบรมราชโองการ และ ตอ่ มามหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตปตั ตานี ไดข้ ออนญุ าตนำ� ไปตพี มิ พ์เผยแพร่ใน “รสู มแิ ล” วารสารของ มหาวทิ ยาลัยปีท่ี 6 ฉบับที่ 3 เดอื นพฤษภาคม-สิงหาคม พ.ศ. 2526 งานเขยี นของทา่ นส่วนมากจะลงพิมพ์ในสาร นครศรธี รรมราช หนังสอื งานเดอื นสบิ วิชชา (วารสารทางวชิ าการของวิทยาลัยครูนครศรธี รรมราช) รสู มิแล (วารสาร ทางวชิ าการของมหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร)์ และหนงั สอื ทร่ี ะลกึ ในโอกาสตา่ ง ๆ ของโรงเรยี นและหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ผลงานด้านทะนุบำ� รุงศาสนา เป็นผู้ริเริ่มให้มีการบวงสรวงพระธาตุนครศรีธรรมราช อันเป็นท่ีมาของการสร้างจตุคามรามเทพ รุ่นแรกในปี พ.ศ. 2530 ตามความเชื่อว่า องค์จตุคามรามเทพนั้น เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรนครศรีธรรมราช ทรงมีพระนามท่เี ป็นทางการ คือ พระเจา้ จันทรภาณุ โดยทพี่ ระองค์ทรงเป็นกษตั รยิ ์องคท์ ส่ี องของราชวงค์ศรธี รรมา โศกราช พระองคท์ รงเปน็ กษตั รยิ น์ กั รบทแี่ กรง่ กลา้ และไดร้ บั สมญั ญานามวา่ พญาพงั พกาฬ หรอื ราชนั ดำ� แหง่ ทะเลใต้ พระองค์ทรงมีพระวรกายสีเข้ม และพระองค์ทรงศกึ ษาวิชาจตคุ ามศาสตร์ และบ�ำเพญ็ อธษิ ฐานจติ เปน็ พระโพธิสัตว์ จตุคามรามเทพ มีความหมายวา่ เทพรกั ษาพระบรมธาตุ จังหวดั นครศรธี รรมราช ซงึ่ มอี ยู่ดว้ ยกัน สององคน์ นั่ กค็ อื ทา้ วขดั ตคุ ามและทา้ วรามเทพ ในอดตี มคี วามเชอื่ วา่ ทา้ วขดั ตคุ าม และทา้ วรามเทพนนั้ เปน็ เทพชนั้ สงู ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนา ก็ท�ำให้ท้าวขัดตุคามและท้าวรามเทพ เปลี่ยนสถานะเป็นเทวดา ที่ทรง ปกปกั รักษาพระบรมธาตุ และถูกเปลยี่ นชอ่ื ใหม่เพือ่ ใหค้ วามเป็นมงคล เป็นท้าวจตุคาม หลักสูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 193

14. ดร. สุรนิ ทร์ พศิ สุวรรณ ดร.สุรนิ ทร์ พิศสวุ รรณ เกดิ เมอื่ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เป็นคนบ้านตาล ต.ก�ำแพงเซา อ.เมอื ง จ.นครศรีธรรมราช พ่อช่อื ฮจั ยี อิสมา แอล แม่ชื่อ ซอฟียะห์ พิศสุวรรณ เป็นลูกชายคนโตจากทั้งหมด 11 คน คุณตาชื่อ ฮัจจียะโกบ พิศสุวรรณ ผู้ก่อต้ังโรงเรียนปอเนอะบ้านตาลหรือ โรงเรยี นประทปี ศาสน์ โรงเรยี นสอนศาสนาอสิ ลามของเอกชน สว่ นคณุ ตาทวด ของ ดร.สรุ นิ ทร์ เปน็ ผ้บู ุกเบกิ ชมุ ชนมุสลิมใน จ.นครศรีธรรมราช ชือ่ อิหมา่ ม ตูวันฆูอัลมัรฮูม ฮัจยีซิดฎิก พิศสุวรรณ ดร.สุรินทร์มีชื่อในภาษาอาหรับว่า อับดุลฮาลีม บินอิสมาแอล พิศสุวรรณ ซึ่งแปลว่า “ผู้มีจิตใจสุขุมเยือกเย็น โกรธยาก อภยั เรว็ ” ในเรอ่ื งการศกึ ษานน้ั ดร.สรุ นิ ทรเ์ ขา้ ศกึ ษาในระดบั ประถมศกึ ษา ที่โรงเรียนวัดบ้านตาล มัธยมศึกษาจาก โรงเรียนพรสวัสดิ์วิทยา โรเงรียน ดร. สรุ นิ ทร์ พิศสุวรรณ เบญจมราชทู ศิ และโรงเรยี นกลั ยาณศี รธี รรมราช ตามลำ� ดบั ในระดบั ปรญิ ญาตรไี ดศ้ กึ ษาทคี่ ณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ โดยเรยี น ปี 1-2 และได้รบั ทุน Frank Bell Appleby ไปศกึ ษาตอ่ ปี 3-4 ดา้ นรัฐศาสตรท์ ่ี Claremont Men’s College, Claremont University และสำ� เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรจี ากทน่ี นั้ และศกึ ษาในระดบั ปรญิ ญา โทและเอกท่ี Harvard University ดา้ นรัฐศาสตร์ ดร.สรุ นิ ทร์ พศิ สวุ รรณ สมรสกบั อลสิ า พศิ สวุ รรณ (ฮจั ยะหอ์ าอชี ะฮ)์ เมอ่ื พ.ศ. 2526 มลี กู ชายดว้ ยกนั 3 คน ดร.สุรินทร์ พศิ สวุ รรณ ถงึ แกอ่ นิจกรรม เม่ือวันท่ี 30 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2560 ท่ีโรงพยาบาลรามค�ำแหง ด้วยอาการหวั ใจวายเฉยี บพลนั สิรอิ ายุได้ 68 ปี ประวัติรบั ราชการ เรมิ่ อาชพี นักวิชาการในตำ� แหนง่ อาจารยท์ ่มี หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ระหวา่ ง พ.ศ. 2518-2529 และ ได้รับต�ำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์, ผู้ช่วยรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และรองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2556 สภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมตแิ ตง่ ตงั้ ให้ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้รับการยกย่องเชดิ ชู เกียรติ ให้ดำ� รงตำ� แหน่งธรรมศาสตราภชิ าน คนท่ี 3 ของมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ การเมือง ดำ� รงต�ำแหนง่ ส�ำคญั ๆ ทางการเมอื ง 1. เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั นครศรธี รรมราช พรรคประชาธปิ ตั ย์ ปี พ.ศ. 2529, 2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, 2548 2. เป็นเลขานกุ ารประธานสภาผูแ้ ทนราษฎร ปี พ.ศ. 2529–2531 3. ผชู้ ว่ ยเลขานกุ าร รฐั มนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ. 2531–2534 4. รัฐมนตรชี ว่ ยว่าการกระทรวงการตา่ งประเทศ รฐั บาล ชวน หลกี ภัย ปี พ.ศ. 2535–2538 5. รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงการตา่ งประเทศ รัฐบาล ชวน หลีกภัย ปี พ.ศ. 2540–2544 6. เปน็ เลขาธิการอาเซยี น ปี พ.ศ. 2551 - 2556 194 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศึกษา

รางวลั และเกยี รติยศ ปี พ.ศ. 2532 สรุ ินทร์ พิศสวุ รรณ ได้รับพระราชทานยศกองอาสารกั ษาดนิ แดนเปน็ นายกองตรี สรุ ินทร์ พศิ สุวรรณ ปี พ.ศ. 2533 นายกองตรี สรุ นิ ทร์ พิศสุวรรณ ไดร้ ับพระราชทานยศกองอาสารกั ษาดนิ แดนเปน็ นายกองโท สุรินทร์ พศิ สุวรรณ เครอื่ งราชอิสรยิ าภรณ์ เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั เปน็ ทเี่ ชดิ ชยู งิ่ ชา้ งเผอื ก ชนั้ มหาปรมาภรณช์ า้ งเผอื ก (ม.ป.ช.) เครอ่ื งราช อสิ ริยาภรณ์อนั มีเกียรติยศยิ่งมงกฎุ ไทย ชนั้ มหาวชริ มงกฏุ (ม.ว.ม.) ผลงานท่สี ำ� คัญในทางการเมือง 1. เปน็ ผูร้ ณรงค์หาเสียง และสนบั สนนุ ดร.ศุภชยั พานิชภักดิ์ ไดร้ ับการเลอื กต้งั เป็นผอู้ ำ� นวยการ ใหญข่ ององค์การการคา้ โลก (World Trade Organization; WTO) 2. ดร.สุรินทร์ เป็นคนส�ำคัญท่ีไปเจรจาของบประมาณช่วยเหลือจากญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการส่งกอง ก�ำลังรักษาสันติภาพไทยฟิลิปปินส์ เพ่ือไปรักษาสันติภาพในติมอร์เลสเต (Timor-Leste) หรือ ติมอร์ตะวันออก (East Timor) ซง่ึ เพิ่งแยกตัวออกและจากอินโดนเี ซีย เพอ่ื ลดความขดั แย้ง ระหวา่ งอินโดนเี ซียติมอร-์ เลสเต เนือ่ งจาก ไม่มีประเทศมหาอ�ำนาจใดเข้ามาควบคุมสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึน ถึงแม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เขตอิทธิพลของ ออสเตรเลีย ดร.สรุ นิ ทร์ ไดไ้ ปเจรจาของบประมาณสนบั สนุนดงั กลา่ วจากญป่ี ุน่ และญีป่ ุ่นได้อนมุ ัตเิ งิน ทำ� ใหก้ ารส่ง กองก�ำลังรว่ มไทย-ฟิลิปปินส์ เพือ่ ไปรกั ษาสนั ตภิ าพทต่ี ิมอร์เลสเตประสบความส�ำเร็จในที่สดุ 3. ดร.สรุ นิ ทร์ มีสว่ นสำ� คัญในการผลกั ดนั ในประเทศสมาชิกอาเซยี น ท้งั 10 ประเทศให้สัตยาบัน ต่อกฎบัตรอาเซยี น (ASEAN Charter) จนแลว้ เสร็จ ในวนั ท่ี 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และได้ประกาศใชใ้ นท่ีสดุ นอกจากนี้แลว้ ดร.สรุ นิ ทร์ยงั ไดร้ ณรงค์และประชาสัมพนั ธเ์ พ่อื ใหป้ ระชาชน ท้งั 10 ชาติ ตระหนักและรู้จกั อาเซยี น ให้มากขน้ึ อกี ดว้ ย 15. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมชาย วงศส์ วัสด์ิ นายสมชาย วงศส์ วสั ดิ์ นายกรฐั มนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้พิพากษา อดีตปลัดกระทรวง ยุติธรรม อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ในขณะที่ สมชายด�ำรงต�ำแหน่ง นายกรัฐมนตรีน้ัน เขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าท่ีในท�ำเนียบรัฐบาล เพราะพันธมิตร ประชาชน เพอื่ ประชาธปิ ไตยยงั คงยดึ พนื้ ทไ่ี วต้ งั้ แตใ่ นสมยั รฐั บาลสมคั ร สนุ ทรเวช โดยใชส้ นามบนิ ดอนเมอื งเป็นทท่ี �ำการแทน นายสมชาย วงศ์สวสั ด์ิ เกดิ เมอ่ื วนั ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2490 ที่ต�ำบลสวนขัน อ�ำเภอฉวาง ปัจจุบันคือ อ�ำเภอช้างกลาง จังหวัด นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายเจิม-นางดับ วงศ์สวัสดิ์ สมรสกับ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซงึ่ เป็นน้องสาวของ ทกั ษิณ ชินวัตร นายกรฐั มนตรี คนที่ 23 มีบุตร - ธิดา 3 คน คือ ผศ.ดร.ยศธนัน วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ชนิ ณิชา วงศ์สวสั ด์ิ น.ส.ชยาภา วงศ์สวสั ด์ิ หลกั สูตแรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 195

การศกึ ษา ส�ำเร็จการศึกษาช้ันต้นท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราช ช้ันมัธยมจากโรงเรียนอ�ำนวยศิลป์ ส�ำเร็จนิติศาสตร์ บัณฑติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เม่อื พ.ศ. 2513 ต่อมาปี 2516 เขา้ ศกึ ษาต่อเนติบณั ฑติ ไทย (นบท.) ส�ำนักอบรม ศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อ 2539 ปริญญาบัตร หลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยป้องกัน ราชอาณาจกั ร รนุ่ ที่ 38 และในปี 2545 รัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต หลักสูตรการจดั การภาครัฐและภาคเอกชน มหาบัณฑติ สถาบันบัณฑิตพฒั นบรหิ ารศาสตร์ ปี พ.ศ. 2555 ได้รับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การจัดการ) จากมหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา ประวตั ิการรับราชการ ปี พ.ศ. 2517 ผชู้ ่วยผพู้ ิพากษาประจ�ำกระทรวง ปี พ.ศ. 2518 ผพู้ ิพากษาศาลแขวงเชยี งใหม่ ปี พ.ศ. 2519 ผพู้ พิ ากษาศาลจังหวัดเชยี งใหม่ ปี พ.ศ. 2520 ผพู้ พิ ากษาศาลจังหวัดเชียงราย ปี พ.ศ. 2526 ผู้พิพากษาหวั หนา้ ศาลจังหวัดพังงา ปี พ.ศ. 2529 ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคดเี ดก็ และเยาวชนจงั หวดั ระยอง ปี พ.ศ. 2530 ผู้พพิ ากษาหัวหน้าศาลจังหวดั ชลบุรี ปี พ.ศ. 2531 ผพู้ ิพากษาหัวหนา้ ศาลจังหวัดนนทบุรี ปี พ.ศ. 2532 ผพู้ ิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาธนบุรี ปี พ.ศ. 2533 ผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 ปี พ.ศ. 2536 ผพู้ ิพากษาหัวหนา้ คณะในศาลอุทธรณภ์ าค 2 ปี พ.ศ. 2540 รองปลดั กระทรวงยุตธิ รรม ฝ่ายวชิ าการ ปี พ.ศ. 2541 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ฝา่ ยบรหิ าร ปี พ.ศ. 2542 ปลัดกระทรวงยตุ ธิ รรม และปลดั กระทรวงแรงงานในปเี ดียวกนั ปี พ.ศ. 2549 ลาออกจากราชการ ปี พ.ศ. 2550 ประธานกรรมการสภาวจิ ัยแหง่ ชาติ สาขานติ ศิ าสตร์ ตำ� แหนง่ อ่ืน 1. กรรมการเนตบิ ณั ฑิตยสภา 2. ประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรพั ยส์ ินผูเ้ ก่ยี วขอ้ งกับยาเสพตดิ ให้โทษ 3. กรรมการการไฟฟา้ ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 4. กรรมการบริษัทผลิตไฟฟา้ จ�ำกดั (มหาชน) 5. กรรมการธนาคารกรุงไทย จ�ำกัด (มหาชน) 6. กรรมการ บรษิ ัท ปตท. จ�ำกัด (มหาชน) 7. กรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จ�ำกัด (มหาชน) 8. กรรมการบรษิ ทั ไทยออยล์ จ�ำกดั (มหาชน) 9. กรรมการคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) 196 แหนลกัวสกูตารรนจคดั รกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

10. กรรมการคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ (ป.ป.ง.) 11. กรรมการคณะกรรมการกฤษฎกี า 12. กรรมการคณะกรรมการนโยบายตำ� รวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) 13. กรรมการคณะกรรมการข้าราชการต�ำรวจ (ก.ตร.) 14. กรรมการคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน (กพ.) 15. กรรมการคณะกรรมการอยั การ (กอ.) 16. กรรมการคณะกรรมการตลุ าการ 17. กรรมการคณะกรรมการข้อมลู ข่าวสารแหง่ ชาติ 18. กรรมการส�ำนกั งานสลากกินแบง่ รฐั บาล ตำ� แหน่งทางการเมอื ง นายสมชาย วงศ์สวัสด์ิ ท�ำพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังเป็นนายกรัฐมนตรี นายกรฐั มนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย กนั ยายน พ.ศ. 2551 ปี พ.ศ. 2550 เป็นรองหวั หน้าพรรคพลงั ประชาชน ปี พ.ศ. 2551 เป็นรฐั มนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ. 2551 ได้รับเลือกจากคณะรฐั มนตรใี หเ้ ป็นรักษาการนายกรฐั มนตรี ปี พ.ศ. 2551 ได้รับการเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ด�ำรงต�ำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557 เขาไดส้ มคั รรบั เลอื กตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สงั กดั พรรคเพ่อื ไทย ล�ำดบั ที่ 2 ผลงานดา้ นเศรษฐกจิ สังคม และสิทธิมนษุ ยชน 1. เพิ่มประสิทธิภาพการบรหิ ารจดั การโครงการหนึ่งต�ำบลหนึง่ ผลิตภณั ฑค์ วามม่นั คง 2. แก้ไขปญั หาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 3. ส่งเสรมิ ความรว่ มมือในการพัฒนาและสรา้ งสัมพันธไมตรีที่ดีในภูมภิ าค 4. จัดต้งั สภาเกษตรกรและสรา้ งระบบประกนั ความเส่ียงเศรษฐกิจ 5. แก้ไขปญั หาวกิ ฤติสถาบนั การเงนิ ในประเทศ 6. เรง่ รัดการลงทุนทส่ี �ำคญั ของประเทศ 7. สร้างกลไกในการบริหารจัดการความเส่ียงที่เกิดจากวิกฤติการเงินของโลกที่ส่งผลต่อการเคลื่อน ยา้ ยเงินทนุ ทง้ั ระยะส้ันและระยะยาว ดา้ นสทิ ธิมนุษยชน เร่งรัดปราบปรามการคา้ ยาเสพติด ปราบปรามผู้มีอิทธิพล อบายมุขและสง่ิ ย่ัวยุเยาวชน เครอ่ื งราชอิสริยาภรณ์ ปี พ.ศ. 2540 เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์อันเป็นท่ีเชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) ปี พ.ศ. 2535 เครื่องราชอสิ รยิ าภรณอ์ ันมเี กยี รติยศยิง่ มงกฎุ ไทย ชัน้ สูงสดุ มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) ปี พ.ศ. 2542 เหรยี ญจักรพรรดิมาลา (จ.ม.ร.) หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 197

16. อังคาร กลั ยาณพงศ์ นายอังคาร กัลยาณพงศ์ เกิดเมื่อวันท่ี 13 กุมภาพันธ์ 2469 พน้ื เพเปน็ คนจังหวดั นครศรธี รรมราช บดิ านายเข็บ กลั ยาณพงศ์ (อดีตกำ� นนั ต�ำบลท่าวัง) มารดา นางขุ้ม กัลยาณพงศ์ การศึกษาระดับประถมปีท่ี 1 โรงเรียนวัดจันทาราม ต่อมาก็เรยี นที่วัดใหญ่จนจบประถมปที ี่ 4 แลว้ ยา้ ยไป เรียนท่ีโรงเรียนมัธยมประจ�ำจังหวัด คือ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ศึกษาศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง และที่คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อังคารได้เป็นศิษย์ของ ศิลปนิ ใหญอ่ ย่าง ศ.ศลิ ป์ พรี ะศรี, อ.เฟ้ือ หริพทิ กั ษ์ และ อ.เฉลมิ นาคีรกั ษ์ ท�ำให้ได้ติดตามและร่วมงานกับอาจารย์ในการศึกษาค้นคว้างานด้านต่าง ๆ ทงั้ ศลิ ปกรรม โบราณคดี และประวัติศาสตร์ องั คารเป็นผู้ท่ีมพี รสวรรค์ในด้านกวีและจติ รกร มคี วามเช่อื ม่ัน นายอังคาร กัลยาณพงศ์ และฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งได้พูดถึงการเป็นทั้งจิตรกรและกวีของตนว่า “บทกวีและจิตรกรรมน้ันมาจากดวงใจ ดวงเดยี วกนั การวาดรูปกบั การแตง่ บทกวีต้องใชค้ วามคิดกับจินตนาการ อาจจะผดิ กนั ในเรือ่ งเทคโนโลยีกับเทคนคิ แต่ใช้จิตใจดวงเดียวกัน ทั้งงานเขียนรูปและเขียนหนังสือก็ต้องอาศัยมโนคติ บางคนเขาเรียก อิมเมจิเนชั่น ต้องมีจินตนาการความคิด เหมือนคนท่ีสร้างนครวัด เขาต้องมีภาพมาก่อนว่าท�ำอย่างไรจึงจะมีปราสาทขึ้นมา ถา้ เรามมี โนภาพกวา้ งใหญไ่ พศาล เรากส็ ามารถสรา้ งสรรคอ์ ะไรทใี่ หญโ่ ตขน้ึ มา ถา้ มมี โนภาพคบั แคบกส็ รา้ งสรรคอ์ ะไร อยใู่ นกะลาเทา่ นนั้ ” “โดยหลักการ การเขียนกาพย์กลอนต้องโปร่งใส ต้องใช้อิสระเสรี ถึงจะท�ำได้ดี ก็เหมือนทะเลเวลา มีคลืน่ ลมมากเรอื ที่ลอยอยู่กส็ ามารถจมได้ บางคร้ังอารมณ์ไม่ดีก็ท�ำไมไ่ ด้” อังคารยังให้ทัศนะในการท�ำงานว่า ก็เหมือนกับการเติบโตของต้นไม้ มันค่อย ๆ ขึ้นทีละใบ สองใบ ค่อยแตกไปเรื่อย ๆ ถึงฤดูกาลก็แตกดอกออกผล ก่อนออกผลก็ออกดอกเสียก่อนไปตามล�ำดับ พร้อมกับยืนยันว่า จะไมข่ อท�ำอยา่ งอืน่ แล้วในชวี ติ นี้ จะทำ� งานเหลา่ นไ้ี ปตลอดจนถงึ ชาติหน้า ทงั้ งานศิลปะ ไมว่ ่าจะวาดหรือป้นั รวมถงึ งานเขยี นบทกวี และกลา่ วถงึ ผสู้ บื ทอดในงานวา่ “ไม่ไดค้ ดิ อะไร เหมือนเราเกดิ มาเป็นต้นโพธ์ิ ถึงฤดกู าลใบมนั กห็ ลน่ ลงมายงั พน้ื ดนิ กลายเปน็ ดิน น้ำ� ลม ไฟตามเดมิ ใครที่เขาเห็นคณุ คา่ เขามาไถถ่ ามกใ็ ห้เขาไปตามเรื่อง” อังคาร ไดเ้ สียชวี ิต เมอ่ื วนั ท่ี 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 รวมอายุ 86 ปี 6 เดือน โดย สมเดจ็ พระเทพรตั น ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ นายอังคาร กัลยาณพงศ์ ณ เมรุวดั ทองนพคุณ เขตคลองสาน กรงุ เทพมหานคร เมอื่ วันอาทติ ยท์ ่ี 27 สงิ หาคม 2556 เวลา 17.00 น. ผลงานและเกียรตคิ ุณ นายองั คาร กลั ยาณพงศ์ เปน็ กวรี ว่ มสมยั ผไู้ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ ผสู้ รา้ งสรรคก์ วนี พิ นธส์ มยั ใหมใ่ หแ้ ก่ วรรณศิลป์ไทย โดยชบุ ชีวิตขนบวรรณศิลปไ์ ทยให้เตบิ โตสอดคลอ้ งกับวรรณศิลปร์ ว่ มสมยั โดยการศกึ ษาวรรณศลิ ป์ จากกวีโบราณเพ่อื เข้าใจแกน่ แท้ของสุนทรยี ะทงั้ ดา้ นความงามและความคดิ และน�ำความเขา้ ใจนม้ี าเปน็ ฐานรองรับ การสร้างสรรค์วรรณศิลปเ์ ฉพาะตนขนึ้ ผลงานกวนี พิ นธเ์ ป็นศิลปะซงึ่ มุ่งสรา้ งสรรค์ให้เป็น “ กศุ ลศลิ ป์ ” อนั จกั ชว่ ย จรรโลงโอบอมุ้ จติ ใจมนุษย์ใหล้ ว่ งพ้นมลทนิ แหง่ ความหลงใหลในวัตถุ มุง่ เตือนมนุษยใ์ หเ้ หน็ ปญั หาในสังคม ความรกั ความมงุ่ มน่ั แนว่ แนใ่ นหนา้ ทข่ี องกวชี ว่ ยใหง้ านมพี ลงั สรา้ งสรรคเ์ ปน็ ประโยชนอ์ นั ประมาณมไิ ดแ้ กส่ งั คมไทยและมนษุ ย์ ทง้ั มวล นายองั คาร กลั ยาณพงศ์ จงึ ไดร้ บั การประกาศยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รตจิ ากสำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ หรอื กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้เป็นศลิ ปินแหง่ ชาติ สาขาวรรณศลิ ป์ (กวนี ิพนธ์) ประจำ� ปี พทุ ธศักราช 2532 198 แหนลกัวสกตูารรนจคัดรกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

ประชากร การเมอื ง การปกครอง จ�ำนวนประชากร จงั หวดั นครศรธี รรมราชมปี ระชากร จาํ นวน 1,560,433 คน (31 ธนั วาคม 2561) แยกเปน็ ชาย 771,530 คน หญงิ 788,903 คน 565,568 ครวั เรอื น โดยเฉลย่ี มคี วามหนาแนน่ ของประชากรเทา่ กบั 156.95 คน ตอ่ ตารางกโิ ลเมตร อําเภอท่ีมีประชากรมากท่ีสุด ได้แก่ อําเภอเมืองนครศรีธรรมราช จํานวน 272,502 คน 108,767 ครัวเรือน และอําเภอทีม่ ปี ระชากรนอ้ ยที่สุด คือ อําเภอถ้ำ� พรรณรา จาํ นวน 19,277 คน 7,234 ครัวเรอื น ดงั ตาราง ท่ี อำ� เภอ ชาย หญงิ รวม ครัวเรือน 1 เมอื ง 133,241 139,261 272,502 108,767 2 พรหมคีรี 18,485 18,979 37,437 12,265 3 ลานสกา 19,917 20,993 40,910 15,055 4 ฉวาง 32,563 34,520 67,083 25,393 5 พิปูน 14,364 14,758 29,122 11,493 6 เชยี รใหญ่ 21,588 21,564 43,152 14,710 7 ชะอวด 42,754 43,720 86,474 30,763 8 ทา่ ศาลา 56,679 59,628 116,307 36,041 9 ท่งุ สง 80,895 80,790 161,685 63,164 10 นาบอน 13,189 13,589 26,778 9,420 11 ทุ่งใหญ่ 37,029 37,638 74,667 26,562 12 ปากพนัง 49,611 49,156 98,857 32,881 13 รอ่ นพบิ ลู ย์ 40,859 41,471 82,330 26,729 14 สิชล 44,033 44,920 88,953 31,504 15 ขนอม 15,099 15,323 66,189 14,593 16 หัวไทร 33,066 33,123 66,189 23,896 17 บางขนั 23,859 23,486 47,345 16,158 18 ถ�ำ้ พรรณรา 9,628 9,649 19,277 7,234 19 จฬุ าภรณ์ 15,629 16,104 31,733 10,380 20 พระพรหม 21,825 22,372 44,197 15,695 21 นบพิตำ� 16,757 16,786 33,543 11,616 22 ช้างกลาง 14,694 15,214 29,908 10,749 23 เฉลมิ พระเกียรติ 15,793 15,769 31,562 10,440 771,503 788,903 1,560,433 565,568 รวม ท่ีมา : ประกาศส�ำนักทะเบยี นกลาง กรมการปกครอง ธนั วาคม 2561 หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 199

สถิติอตั ราการเพ่ิม – ลด ประชากรจงั หวัดนครศรีธรรมราช อ�ำเภอ / ปี พ้ืนที่ (ตร.กม.) 2561 (คน) 2560 (คน) 2559 (คน) 2558 (คน) 2557 (คน) เมืองนครศรี ฯ 617.40 272,502 271,848 271,330 271,126 270,099 ทุ่งสง 802.97 161,685 161,356 160,724 159,924 159,174 ทา่ ศาลา 363.89 116,307 113,397 113,067 112,565 111,879 ปากพนงั 422.50 98,857 99,301 99,562 99,969 100,318 สิชล 703.10 88,953 88,884 88,611 88,283 87,802 ชะอวด 833.00 86,474 86,664 86,507 86,558 86,466 ร่อนพิบลู ย์ 335.50 82,330 82,255 82,031 81,976 81,810 ทงุ่ ใหญ่ 603.28 74,667 74,691 74,317 73,994 73,662 ฉวาง 528.20 67,083 67,160 67,293 67,425 67,380 หัวไทร 417.73 66,189 66,486 66,503 66,679 66,787 บางขัน 601.70 47,345 47,221 46,914 46,752 46,474 พระพรหม 148.00 44,197 43,906 43,588 43,391 43,096 เชยี รใหญ่ 232.70 43,152 43,318 43,457 43,500 43,533 ลานสกา 342.90 40,910 40,952 40,900 40,875 40,783 พรหมครี ี 321.50 37,437 37,530 37,513 37,461 37,363 นบพติ ำ� 720.15 33,543 33,551 33,320 33,183 32,882 จฬุ าภรณ์ 192.50 31,733 31,743 31,584 31,481 31,441 เฉลิมพระเกยี รติ 124.10 31,562 31,597 31,572 31,549 31,564 ขนอม 433.90 30,422 30,446 30,393 30,234 30,022 ช้างกลาง 232.50 29,908 29,900 29,909 30,081 30,064 พปิ ูน 363.80 29,122 29,216 29,226 29,269 29,307 นาบอน 192.89 26,778 26,814 26,934 27,077 27,001 ถ�้ำพรรณรา 169.10 19,277 19,246 19,177 19,178 19,121 รวมทัง้ จงั หวดั 9,942.502 1,560,433 1,557,482 1,554,432 1,552,530 1,548,028 หมายถงึ จำ� นวนประชากรได้ “เพ่ิมขน้ึ ” เมือ่ เทยี บกับปกี ่อน หมายถึง จ�ำนวนประชากรได้ “ลดลง” เมือ่ เทยี บกบั ปกี ่อน 200 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

กลุ่มอายุ (ปี) เปรยี บเทยี บประชากรจังหวดั นครศรีธรรมราช ระหว่างเพศ / อายุ ธันวาคม 2561 0 - 4 ปี 5 - 9 ปี จำ� นวน/ร้อยละ 10 - 14 ปี ชาย ร้อยละ หญิง ร้อยละ รวม ร้อยละ 15 - 19 ปี 54,016 3.42 50,196 3.18 104,212 6.59 20 - 24 ปี 50,924 3.22 47,439 3.00 98,363 6.22 25 - 29 ปี 50,281 3.31 46,963 3.10 101,244 6.41 30 - 34 ปี 60,065 3.80 56,324 3.56 116,389 7.36 35 - 39 ปี 64,064 4.05 58,080 3.67 122,144 7.73 40 - 44 ปี 65,543 4.15 59,607 3.77 125,150 7.92 45 - 49 ปี 67,184 4.28 63,403 4.04 131,087 8.32 50 - 54 ปี 63,182 4.00 62,729 3.97 125,911 7.97 55 - 59 ปี 60,085 3.80 60,798 3.85 120,883 7.65 60 - 64 ปี 55,449 3.57 57,262 3.69 112,711 7.26 65 - 69 ปี 41,686 3.14 51,334 3.31 100,020 6.45 70 - 74 ปี 35,598 2.38 40,745 2.64 76,343 5.02 75 - 79 ปี 27,902 1.83 32,696 2.13 60,598 3.96 80 - 84 ปี 20,765 1.44 24,678 1.69 45,443 3.13 85 - 89 ปี 17,938 1.20 22,110 1.46 40,048 2.66 90 - 94 ปี 12,977 0.95 17,945 1.26 30,922 2.21 95 - 99 ปี 10,376 0.66 14,379 0.92 24,755 1.58 100 ปขี ้นึ ไป 5,829 0.37 8,800 0.56 14,629 0.93 รวม 2,578 0.16 4,296 0.27 6,874 0.43 1,079 0.07 1,803 0.11 2,882 0.18 131 0.01 194 0.01 325 0.02 787,279 49.81 793,408 50.19 1,560,433 100.00 ที่มา : ส�ำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง หลกั สูตแรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 201

อัตราการเกดิ ตาย การย้ายเข้า การย้ายออกของประชากร จังหวัดนครศรีธรรมราช มีอัตราการเกิด ตาย การย้ายเข้า การย้ายออก ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ปี 2561 พบวา่ อ�ำเภอทอ่ี ตั ราการเกิดมากที่สุด ไดแ้ ก่ อำ� เภอเมอื งฯ จำ� นวน 6,133 คน นอ้ ยที่สดุ จ�ำนวน 1 คน ได้แก่ อ�ำเภอเฉลิมพระเกียรติ อ�ำเภอช้างกลาง และอ�ำเภอพระพรหม อัตราการตายมากท่ีสุด ได้แก่ อ�ำเภอเมือง นครศรีธรรมราช จ�ำนวน 3,148 คน นอ้ ยทีส่ ุด อ�ำเภอถำ้� พรรณรา จ�ำนวน 80 คน การย้ายท่อี ยู่อาศัย การย้ายเขา้ มากท่ีสุด ได้แก่ อ�ำเภอเมืองฯ จ�ำนวน 12,852 คนน้อยท่ีสุด อ�ำเภอถ้�ำพรรณรา จ�ำนวน 734 คน การย้ายออก มากทส่ี ดุ ได้แก่ อำ� เภอเมอื งนครศรธี รรมราช จ�ำนวน 16,748 คน นอ้ ยท่ีสดุ คอื อ�ำเภอจุฬาภรณ์ 934 คน ดังตาราง อำ� เภอ การเกิด การตาย การย้ายเข้า การยา้ ยออก ชาย หญิง รวม ชาย หญงิ รวม ชาย หญิง รวม ชาย หญิง รวม อ�ำเภอเมอื งนครศรีธรรมราช 3,215 2,918 6,133 1,803 1,345 3,148 6,614 6,238 12,852 8,559 8,189 16,748 อ�ำเภอพรหมครี ี 42 29 71 92 79 171 736 762 1,498 683 609 1,292 อ�ำเภอลานสกา 60 40 100 110 86 196 764 760 1,524 637 643 1,280 อำ� เภอฉวาง 437 372 809 182 159 341 1,034 1,146 2,180 1,262 1,335 2,597 อ�ำเภอพิปนู 48 38 86 86 68 154 560 580 1,140 491 529 1,020 อ�ำเภอเชียรใหญ่ 137 141 278 130 105 235 719 688 1,407 759 725 1,484 อ�ำเภอชะอวด 170 140 310 201 168 369 1,666 1,746 3,412 1,458 1,566 3,024 อ�ำเภอทา่ ศาลา 838 728 1,566 388 335 723 2,018 2,091 4,109 2,242 2,318 4,560 อำ� เภอทุ่งสง 1,640 1,600 3,240 627 443 1,070 5,089 3,983 9,072 5,886 4,819 10,705 อำ� เภอนาบอน 48 57 105 67 45 112 526 535 1,061 563 540 1,103 อ�ำเภอทงุ่ ใหญ่ 162 172 334 154 97 251 1,604 1,646 3,250 1,440 1,415 2,855 อำ� เภอปากพนัง 196 165 361 261 194 455 1,848 1,866 3,714 1,792 1,812 3,604 อำ� เภอร่อนพบิ ลู ย์ 195 176 371 201 171 372 1,635 1,564 3,199 1,391 1,391 2,782 อำ� เภอสชิ ล 523 552 1,075 387 267 654 1,839 1,865 3,704 1,914 1,948 3,862 อำ� เภอขนอม 82 68 150 80 68 148 683 744 1,427 607 709 1,316 อำ� เภอหวั ไทร 146 154 300 190 139 329 1,210 1,163 2,373 1,086 1,074 2,160 อำ� เภอบางขัน 150 123 273 89 74 163 908 949 1,857 792 792 1,584 อ�ำเภอถำ�้ พรรณรา 39 39 78 49 31 80 362 372 734 331 318 649 อ�ำเภอจุฬาภรณ์ 27 37 64 68 48 116 617 582 1,199 505 429 934 อำ� เภอพระพรหม - 1 1 98 71 169 1,024 1,013 2,037 724 732 1,456 อ�ำเภอนบพิต�ำ 1 3 4 63 41 104 706 740 1,446 490 540 1,030 อำ� เภอช้างกลาง - 1 1 66 63 129 642 630 1,272 520 544 1,064 อำ� เภอเฉลมิ พระเกยี รติ - 1 1 67 51 118 670 628 1,298 551 502 1,053 รวมยอด 8,156 7,555 15,711 5,459 4,148 9,607 33,474 32,291 65,765 34,683 33,479 68,162 ทม่ี า : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2561 202 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

รายไดป้ ระชากร เศรษฐกจิ โดยทวั่ ไปของจงั หวัดขึน้ อยกู่ ับผลผลติ ทางดา้ นการเกษตร และการค้า อาชพี หลัก คือ การทาํ สวน ยางพารา ปาล์มน้�ำมัน ทําไร่ การปลูกผลไม้ ทําสวนมะพร้าว การประมง และการเลี้ยงสัตว์ จากการสํารวจของ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2560 ประชากรมีรายได้ เฉล่ียต่อคนต่อปี เทา่ กับ 90,033 บาท อย่ใู นลําดบั ท่ี 3 ของกล่มุ จังหวดั ลาํ ดับท่ี 11 ของภาคใตอ้ นั ดับที่ 32 ของประเทศ จากการ สํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2560 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ ประชากรจังหวัด นครศรธี รรมราช มีคา่ ใชจ้ ่าย โดยเฉล่ีย 20,756 บาท ตอ่ เดอื นตอ่ ครวั เรือน และมีรายได้ตอ่ ครัวเรอื น 29,970 บาท จาํ นวนหนสี้ นิ เฉลย่ี 102,741 บาท ตอ่ เดอื นตอ่ ครวั เรอื นแยกเปน็ หนส้ี นิ ในระบบ 98,246 บาท และหนสี้ นิ นอกระบบ 4,495 บาท ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) เท่ากับ 155,862 ล้านบาท เป็นอันดับท่ี 3 ของภาคใต้ รองจาก จงั หวัดสงขลา และสุราษฎรธ์ านี รายไดส้ ว่ นใหญ่ขน้ึ กบั สาขาเกษตรกรรม 50,249 ลา้ นบาท คิดเปน็ 32.23 % ศาสนา ประชากรจังหวัดนครศรธี รรมราช ส่วนใหญ่นบั ถือ ศาสนาพทุ ธ ประมาณ 92.08% รองลงมา คอื ศาสนา อิสลาม ประมาณ 7.03% ศาสนาคริสต์ ประมาณ 0.89% นอกจากนนั้ เป็นศาสนาอื่น ๆ (ขอ้ มลู ประชากร 1,560,433 คน ปี พ.ศ. 2561) อาชีพ ด้านอาชีพ ประชากรร้อยละ 33.82 ประกอบอาชีพการเกษตร (ท�ำสวน ท�ำนา ท�ำไร่ ประมง ปศุสัตว์) รองลงมา คือ อาชีพรับจ้างท่ัวไป คิดเป็นร้อยละ 21.05 และมีประชากรไม่ประกอบอาชีพ จ�ำนวน 77,372 คน คิดเปน็ ร้อยละ 8.73 (ขอ้ มลู ประชากร 1,560,433 คน ปี พ.ศ. 2561) หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 203

การเมือง การปกครอง จังหวดั นครศรีธรรมราชมีการแบง่ เขตเลอื กตั้งภายในจังหวดั ออกเปน็ 8 เขตเลอื กตงั้ สามารถมีสมาชิก สภาผูแ้ ทนราษฎรได้ 8 คน เขตเลือกตั้งละ 1 คน ดังน้ี การเลอื กตง้ั เขตการเลือกตง้ั จำ� นวนเขต / ส.ส. พ.ศ. 2562 เขตเลอื กตง้ั ที่ 1 : อ�ำเภอเมอื งนครศรีธรรมราช [เฉพาะต�ำบลคลงั ต�ำบล ทา่ วัง ต�ำบลทา่ ซัก ตำ� บลปากนคร ต�ำบลทา่ ไร่ ตำ� บลบางจาก ต�ำบลท่าเรอื ต�ำบลในเมอื ง ตำ� บลมะม่วงสองตน้ ตำ� บลไชยมนตรี ต�ำบลโพธิเ์ สดจ็ และ ต�ำบลนาเคยี น (ในเขตเทศบาลนครนครศรธี รรมราช)] เขตเลอื กตง้ั ที่ 2 : อำ� เภอปากพนัง, อำ� เภอเชียรใหญ่ และอ�ำเภอหวั ไทร เขตเลอื กตง้ั ที่ 3 : อำ� เภอพระพรหม, อำ� เภอเฉลมิ พระเกยี รต,ิ อำ� เภอชะอวด เขตเลือกตั้ง 8 เขต และอ�ำเภอจฬุ าภรณ์ มี ส.ส. เขตละ 1 คน เขตเลอื กตั้งท่ี 4 : อำ� เภอทุ่งสงและอ�ำเภอบางขัน (ส.ส. จำ� นวน 8 คน) เขตเลือกตง้ั ท่ี 5 : อ�ำเภอทุ่งใหญ่, อำ� เภอถำ้� พรรณรา, อำ� เภอฉวาง และ อำ� เภอพปิ นู เขตเลอื กตงั้ ท่ี 6 : อำ� เภอรอ่ นพบิ ลู ย,์ อำ� เภอลานสกา, อำ� เภอชา้ งกลาง และ อำ� เภอนาบอน เขตเลือกตง้ั ที่ 7 : อ�ำเภอท่าศาลาและอ�ำเภอเมอื งนครศรธี รรมราช [เฉพาะ ต�ำบลปากพูน ตำ� บลทา่ งิว้ ตำ� บลกำ� แพงเซา ต�ำบลนาทราย และต�ำบลนา เคยี น (นอกเขตเทศบาลนครนครศรธี รรมราช)] เขตเลอื กตงั้ ท่ี 8 : อ�ำเภอสชิ ล, อำ� เภอขนอม, อ�ำเภอนบพติ ำ� , และอำ� เภอ พรหมครี ี รายช่ือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2562 1. นายณรงค์ บุญสวยขวัญ พรรคพลงั ประชารัฐ 2. นายสัญหพจน์ สขุ ศรีเมอื ง พรรคพลังประชารฐั 3. นายเทพไท เสนพงศ์ พรรคประชาธปิ ตั ย์ 4. นายประกอบ รัตนพนั ธ์ พรรคประชาธิปัตย์ 5. นายชนิ วรณ์ บญุ เกยี รติ พรรคประชาธิปตั ย์ 6. นายชัยชนะ เดชเดโช พรรคประชาธปิ ตั ย์ 7. นายสายัณห์ ยุติธรรม พรรคพลงั ประชารัฐ 8. น.ส. พมิ พภ์ ัทรา วิชยั กลุ พรรคประชาธปิ ัตย์ 204 แหนลักวสกูตารรนจคดั รกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศึกษา

การปกครองจังหวดั นครศรีธรรมราช การปกครอง การปกครองและการบริหารราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชแบ่งเขตการปกครองและการบริหารราชการ ตามลกั ษณะพนื้ ทอ่ี อกเปน็ 2 สว่ น คอื การปกครองสว่ นภมู ภิ าค ประกอบดว้ ย อำ� เภอ ตำ� บล หมบู่ า้ น และการปกครอง สว่ นทอ้ งถน่ิ ประกอบด้วย องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัด เทศบาล และองคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบล ดังนี้ 1. การปกครองสว่ นภูมิภาค 1.1 การบริหารราชการหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย อ�ำเภอ 23 แห่ง ต�ำบล 165 แห่ง หมูบ่ า้ น 1,551 แห่ง และส่วนราชการท่ีอยใู่ นสว่ นภมู ภิ าคขึ้นตรงกบั จงั หวดั อกี 34 แห่ง สงั กัดกระทรวงมหาดไทย 7 แหง่ และสงั กดั กระทรวง ทบวง กรมอนื่ ๆ อกี 27 แหง่ 1.2 สว่ นราชการภายในจังหวดั ทขี่ ึน้ ตรงต่อสว่ นราชการในส่วนกลาง จ�ำนวน 98 แหง่ ประกอบด้วย สังกดั กระทรวงมหาดไทย 10 แห่ง สงั กัดกระทรวง ทบวง กรมอ่นื ๆ 75 แห่ง และ หน่วยงานอิสระ 13 แหง่ 1. การปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ประกอบดว้ ย องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน 185 แห่ง คอื องค์การบรหิ าร สว่ นจงั หวัด 1 แหง่ เทศบาลนคร 1 แห่ง เทศบาลเมอื ง 3 แห่ง เทศบาลต�ำบล 50 แห่ง องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บล 130 แห่ง โครงสร้างการบริหารราชการ จงั หวดั มฐี านะเปน็ นติ บิ คุ คล การตงั้ ยบุ และการเปลยี่ นแปลงเขตจงั หวดั ใหต้ ราเปน็ ราชบญั ญตั ิ ผวู้ า่ ราชการ จงั หวดั เปน็ หวั หนา้ บงั คบั บญั ชา ขา้ ราชการของหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทง้ั ในและนอกสงั กดั กระทรวงมหาดไทย สว่ นราชการ ท่สี ำ� คญั และสงั กัดกระทรวงมหาดไทย คอื ส�ำนกั งานจงั หวัดและที่ทำ� การจงั หวัด อําเภอ เปน็ หน่วยงานราชการบรหิ ารรองจากจังหวัด การตัง้ ยบุ และเปลีย่ นเขตอาํ เภอ ให้ตราเป็นพระราช กฤษฎีกา มีนายอําเภอเป็นหัวหน้าปกครอง บังคับบัญชาข้าราชการในอําเภอ และงานบริหารราชการของอําเภอ สว่ นราชการที่สาํ คญั คือที่ทาํ การปกครองอาํ เภอ และสํานักงานอําเภอ ตําบล และหมู่บ้าน เป็นหน่วยงานปกครองส่วนย่อยของอําเภอ หรือก่ิงอําเภอ ต้ังตามกฎหมายลักษณะ ปกครองท้องที่ พ.ศ 2457 ตําบลจัดต้ังขึ้น โดยประกาศของกระทรวงมหาดไทย มีกํานันเป็นผู้รับผิดชอบตําบล สว่ นหมู่บ้านจัดตง้ั โดยประกาศจงั หวัด มีผใู้ หญ่บา้ นเป็นผู้รบั ผดิ ชอบ หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 205

เปรยี บเทยี บเขตพ้ืนทก่ี ับการปกครองจังหวดั นครศรธี รรมราชในส่วนภูมภิ าคและองค์การบรหิ ารส่วนทอ้ งถน่ิ ที่ อ�ำเภอ เขตการปกครอง 1 เมอื งนครศรีธรรมราช หม่บู ้าน ต�ำบล อบต. เทศบาล พ้ืนที่ (ไร)่ 2 เชยี รใหญ่ 115 346,804 3 ปากพนงั 97 13 10 7 228,589 4 ชะอวด 142 331,904 5 ท่งุ สง 87 10 8 2 440,849 6 ท่าศาลา 124 586,647 7 รอ่ นพิบูลย์ 109 17 13 4 260,931 8 สิชล 57 280,324 9 ลานสกา 110 11 10 2 427,692 10 พิปูน 44 221,088 11 หัวไทร 42 12 8 5 312,460 12 ทุ่งใหญ่ 99 272,717 13 ฉวาง 63 10 10 1 380,703 14 ขนอม 86 264,363 15 นาบอน 34 653 193,800 16 พรหมคีรี 34 124,000 17 บางขนั 39 982 153,730 18 จุฬาภรณ์ 60 303,208 19 ถ้ำ� พรรณรา 29 542 144,864 20 พระพรหม 29 108,913 21 เฉลิมพระเกยี รติ 40 524 92,116 22 นบพติ ำ� 37 114,533 23 ชา้ งกลาง 38 11 9 3 453,123 36 170,706 รวม 1,551 762 6,214,064 10 8 4 313 331 543 44 - 65 - 33 - 431 422 431 312 165 130 54 206 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศึกษา

โครงสร้างจงั หวดั นครศรีธรรมราช อ�ำนาจหน้าทีข่ องส�ำนักงานจงั หวัด (ตามกฎกระทรวง พ.ศ. 2553) 1. แปลงยทุ ธศาสตร์การพฒั นาระดบั ชาตไิ ปเปน็ ยทุ ธศาสตร์การพฒั นาจงั หวดั ในพื้นท่ี 2. พฒั นาระบบขอ้ มลู สารสนเทศเพอ่ื การบรหิ าร ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตรเ์ พอ่ื การวางแผน และเครอื ขา่ ย สารสนเทศของจงั หวดั โดยเปน็ ศูนยส์ ารสนเทศของจังหวัด เพื่อการบริหารและวางแผนพฒั นาจงั หวดั 3. จัดท�ำแผนพัฒนาจังหวัด ด�ำเนินการตามแผน ก�ำกับและติดตามผลการด�ำเนินงานตามยุทธศาสตร์ นโยบายและแผนพฒั นาจังหวดั รวมทงั้ ประสานการจัดทำ� แผนพฒั นากลุม่ จงั หวัด 4. จดั ทำ� แผนปฏบิ ตั ริ าชการประจำ� ปขี องจงั หวดั หรอื คำ� ของบประมาณของจงั หวดั และประสานการจดั ทำ� แผนปฏบิ ตั ิราชการประจำ� ปขี องกลมุ่ จังหวัดหรอื คำ� ของบประมาณของกลุ่มจังหวดั 5. ด�ำเนินการด้านการบริหารทรพั ยากรบคุ คลและการพฒั นาระบบราชการของจังหวัด 6. อำ� นวยการ ประสาน ปฏบิ ัติงาน และสนบั สนุนงานอันเปน็ อ�ำนาจหนา้ ทขี่ องผวู้ า่ ราชการจังหวัด 7. ปฏิบตั ิงานร่วมกับหรอื สนบั สนนุ การปฏิบตั งิ านของหน่วยงานอนื่ ท่เี ก่ียวข้องหรอื ท่ไี ด้รบั มอบหมาย หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 207

องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ หนว่ ยราชการองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ 3 รปู แบบ คอื องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั เทศบาล ประกอบดว้ ย เทศบาลนคร เทศบาลเมอื ง เทศบาลต�ำบล และองค์การบริหารส่วนตําบล องค์การบริหารส่วนจงั หวดั องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ถูกจัดต้ังข้ึนทุกจังหวัด เม่ือ พ.ศ. 2498 โดยพระราชบัญญัติระเบียบ บริหารราชการสว่ นจังหวดั พ.ศ. 2498 เพอื่ ท�ำหนา้ ที่เปน็ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ประกอบดว้ ย สภาจังหวดั และ ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยสภาจังหวัดประกอบด้วยสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ท�ำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ กำ� หนดนโยบายการบรหิ ารและควบคมุ ฝา่ ยบรหิ าร อนั มหี วั หนา้ ฝา่ ยบรหิ าร คอื ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ในการบรหิ ารงาน ดว้ ยการนำ� มตหิ รอื นโยบายของสภาจงั หวดั ไปพจิ ารณาดำ� เนนิ การ โดยมพี น้ื ทท่ี อ่ี ยใู่ นความรบั ผดิ ชอบ ขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัด ไดแ้ ก่ พ้นื ทท่ี ี่ไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั พื้นท่ขี องเทศบาลและสขุ าภิบาล ในปี พ.ศ. 2537 ไดม้ พี ระราชบญั ญตั สิ ภาตำ� บลและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล พ.ศ. 2537 ซง่ึ กำ� หนดใหส้ ภา ต�ำบลซ่ึงเดิมเป็นพ้ืนท่ีขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ท่ีมีรายได้เฉล่ียย้อนหลัง 3 ปี ต้ังแต่ 150,000 บาท ข้ึนไป จดั ตงั้ เปน็ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล มฐี านะเปน็ ราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ และเปน็ นติ บิ คุ คล ทำ� ใหอ้ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ไมม่ พี น้ื ทใี่ นการดำ� เนนิ กจิ การ สมควรปรบั ปรงุ บทบาทและอำ� นาจหนา้ ทข่ี ององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ใหส้ อดคลอ้ งกนั และปรบั ปรงุ โครงสรา้ งขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ใหเ้ หมาะสมยง่ิ ขน้ึ ไดม้ กี ารตราพระราชบญั ญตั อิ งคก์ ารบรหิ าร ส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 โดยก�ำหนดให้พื้นท่ีจังหวัดเป็นพื้นท่ีขององค์การบริหารส่วนจังหวัด มีผู้บริหารสูงสูด คือ ต�ำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มาจากการเลือกต้ังของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวดั เป็นผู้บังคบั บญั ชาข้าราชการสว่ นจังหวดั และด�ำเนินกิจการ สว่ นจังหวดั ควบคไู่ ปกับสภาจังหวดั การบริหารงานขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในปัจจุบันเป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 ซึ่งมีการแก้ไขเพ่มิ เตมิ 2 ครง้ั คอื ในปี พ.ศ. 2542 และ พ.ศ. 2546 กำ� หนดใหม้ หี น่วยการ บรหิ ารราชการสว่ นท้องถน่ิ รปู แบบหน่ึง เรียกว่า “องคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวัด” โดยอยูใ่ นทุกจังหวัด ๆ ละ 1 แห่ง มฐี านะเปน็ นติ บิ คุ คลและมพี น้ื ทรี่ บั ผดิ ชอบทวั่ ทง้ั จงั หวดั โดยทบั ซอ้ นกบั พน้ื ทข่ี องหนว่ ยการบรหิ ารราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ อนื่ คือ เทศบาล สุขาภิบาล และองค์การบริหารส่วนต�ำบลในจังหวัดน้ัน ความเป็นนิติบุคคลก่อให้เกิดความสามารถ ในการทำ� นติ กิ รรม ความเปน็ หนว่ ยการบรหิ ารราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ กอ่ ใหเ้ กดิ อำ� นาจหนา้ ทแ่ี ละขอบเขตพนื้ ทใ่ี นการใช้ อ�ำนาจหนา้ ทน่ี ้นั 208 แหนลกัวสกูตารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

โครงสรา้ งองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด หน้าท่ีขององคก์ ารบริหารส่วนจงั หวัด 1. หน้าท่ีตามพระราชบัญญตั ิองค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั พ.ศ. 2540 มาตรา 45 ก�ำหนดว่าองค์การ บรหิ ารส่วนจงั หวดั มอี ำ� นาจหน้าทีด่ �ำเนนิ กจิ การภายในเขตองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ดังนี้ 1) ตราข้อบัญญัติโดยไม่ขัดหรือแยง้ ต่อกฎหมาย 2) จัดท�ำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และประสานการจัดท�ำแผนพัฒนาจังหวัด ตามระเบียบคณะรฐั มนตรกี �ำหนด 3) สนบั สนนุ สภาต�ำบลและราชการส่วนทอ้ งถน่ิ อืน่ ในการพฒั นาทอ้ งถ่นิ 4) ประสานและใหค้ วามร่วมมือในการปฏิบัติหนา้ ทข่ี องสภาตำ� บลและราชการส่วนท้องถ่ิน 5) แบ่งสรรเงินซ่งึ ตามกฎหมายจะต้องแบ่งใหแ้ ก่สภาต�ำบลและราชการส่วนทอ้ งถ่นิ 6) อ�ำนาจหน้าที่ของจังหวัดตามพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 เฉพาะภายในเขตสภาต�ำบล 7) คุ้มครอง ดแู ล และบำ� รงุ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 209

8) จัดท�ำกิจการอ่นื ใด ๆ อนั เปน็ อ�ำนาจหนา้ ทข่ี องราชการส่วนท้องถน่ิ อื่นทีอ่ ยู่ในเขตองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และกิจการน้ันเป็นการสมควรให้ราชการส่วนท้องถ่ินอ่ืนร่วมกันด�ำเนิน การหรือให้องค์การบริหาร ส่วนจังหวัดจดั ท�ำ ทั้งน้ี ตามทีก่ ำ� หนดในกฎกระทรวง 9) จัดท�ำกิจกรรมอื่นใดตามท่ีก�ำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือกฏหมายอ่ืนก�ำหนดให้เป็นอ�ำนาจ หน้าทขี่ ององคก์ ารบริหารส่วนจงั หวัด บรรดาอ�ำนาจหนา้ ทใี่ ดซง่ึ เปน็ ของราชการสว่ นกลาง หรอื ราชการส่วนภูมภิ าค อาจมอบใหอ้ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัดปฏบิ ัติได้ 2. หน้าท่ตี ามกฏกระทรวง พ.ศ. 2541 ออกตามความในพระราชบญั ญัติองค์การบริหารสว่ นจงั หวัด พ.ศ. 2540 ก�ำหนดอำ� นาจหนา้ ที่ไวด้ ังน้ี 1) จดั ให้มีน้ำ� เพอ่ื การอปุ โภค บรโิ ภค และการเกษตร 2) ก�ำจดั ขยะมูลฝอยและส่งิ ปฏกิ ลู 3) บ�ำบดั น�ำ้ เสีย 4) บำ� รงุ รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5) วางผงั เมอื ง 6) จดั ใหม้ แี ละบำ� รงุ รกั ษาทางบก ซง่ึ อยา่ งนอ้ ยตอ้ งเปน็ ทางหลวงขนาดตามกฎหมาย วา่ ดว้ ยทางหลวง 7) จัดใหม้ ีและบ�ำรงุ รักษาทางนำ�้ 8) จัดใหม้ ีทา่ เทยี บเรือ ท่าข้าม ท่จี อดรถ และตลาด 9) ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั 10) รักษาความสงบเรยี บร้อยและศลี ธรรมอันดีของประชาชน 11) จัดการศึกษา ท�ำนุบ�ำรุงศาสนา และบ�ำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือ วัฒนธรรมอันดขี องทอ้ งถน่ิ 12) จัดให้มีและบ�ำรุงสถานที่ส�ำหรับการกีฬา สถานพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะ และสวนสัตว์ ตลอดจนสถานทปี่ ระชุมอบรมส�ำหรบั ราษฎร 13) จดั ใหม้ ีการสังคมสงเคราะหแ์ ละการสาธารณปู การ 14) ป้องกนั และบำ� บัดรักษาโรค 15) จัดตัง้ และการบ�ำรุงสถานพยาบาล 16) ส่งเสริมการทอ่ งเทย่ี ว 17) ส่งเสรมิ และแก้ไขปญั หาการประกอบอาชพี 18) กจิ การทไ่ี ดม้ กี ารก�ำหนดไว้ในแผนพัฒนาจงั หวดั และแผนพฒั นาองค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั 210 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

3. ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2541 ออกตามความในพระราชบัญญัติ องค์การบริหาร สว่ นจังหวัด พ.ศ. 2540 ก�ำหนดอำ� นาจหนา้ ที่ ไว้ดงั นี้ 1) การนน้ั จำ� เปน็ ตอ้ งกระทำ� และเปน็ การทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั กจิ การทดี่ ำ� เนนิ การ ตามอำ� นาจหนา้ ทอ่ี งคก์ าร บริหารสว่ นจงั หวดั และเปน็ ประโยชน์แก่ประชาชน ในองค์การบริหารส่วนจงั หวดั 2) ไดร้ ับความยนิ ยอมจากสภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัด 3) ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากสภาแหง่ ราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ หรอื สภาองคก์ ารบรหิ าร สว่ นจงั หวดั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง แลว้ แตก่ รณี 4. ตามพระราชบญั ญตั กิ ำ� หนดแผนและขนั้ ตอนการกระจายอำ� นาจ ไดแ้ ก่ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ พ.ศ. 2542 มาตรา 17 ก�ำหนดอำ� นาจหนา้ ท่ไี ว้ดังน้ี 1) การจดั ทำ� แผนพฒั นาทอ้ งถนิ่ ของตนเอง และประสานการจดั ทำ� แผนพฒั นาจงั หวดั ตามระเบยี บที่ คณะรัฐมนตรีก�ำหนด 2) การสนับสนุนองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ อ่ืนในการพัฒนาท้องถิ่น 3) การประสานและใหค้ วามรว่ มมือในการปฏบิ ัติหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นอนื่ 4) การแบง่ สรรเงินซึ่งตามกฎหมายจะต้องแบ่งให้แกอ่ งคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ อ่นื 5) การคมุ้ ครอง ดูแล และบำ� รงุ รักษาปา่ ไม้ ทีด่ ิน ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม 6) การจดั การศึกษา 7) การสง่ เสริมประชาธปิ ไตย ความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพของประชาชน 8) การสง่ เสริมการมสี ว่ นร่วมของราษฎรในการพัฒนาทอ้ งถนิ่ 9) การสง่ เสรมิ การพฒั นาเทคโนโลยีที่เหมาะสม 10) การจดั ต้ังดแู ลระบบบ�ำบัดน�ำ้ เสยี รวม 11) การกำ� จดั มูลฝอยและส่งิ ปฏกิ ูลรวม 12) การจัดการสิ่งแวดลอ้ มและมลพิษตา่ ง ๆ 13) การจัดการดแู ลสถานีขนสง่ ทง้ั ทางบกและทางน้�ำ 14) การส่งเสรมิ การทอ่ งเทีย่ ว 15) การพาณชิ ย์ การสง่ เสรมิ การลงทนุ และการทำ� กจิ การไมว่ า่ จะดำ� เนนิ การเองหรอื รว่ มกบั บคุ คลอน่ื จากสหการ 16) การสร้างและบ�ำรุงรกั ษาทางบกและทางน�ำ้ ทเี่ ช่อื มต่อระหวา่ งองคก์ รปกครอง สว่ นท้องถ่นิ อ่นื 17) การจัดตงั้ และดแู ลตลาดกลาง 18) การสง่ เสรมิ การกีฬา จารตี ประเพณี และวฒั นธรรมอนั ดงี ามของทอ้ งถ่นิ 19) การจัดให้มโี รงพยาบาลจงั หวดั การรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคมุ โรคติดต่อ 20) การจดั ให้มพี ิพิธภณั ฑแ์ ละหอจดหมายเหตุ 21) การขนสง่ มวลชนและการวศิ วกรรมจราจร 22) การปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 211

23) การจัดให้มรี ะบบรักษาความสงบเรยี บร้อยในจังหวดั 24) การจดั ทำ� กจิ การใดอนั เปน็ อำ� นาจหนา้ ทข่ี ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ อนื่ ทอ่ี ยใู่ นเขต กจิ การนน้ั เป็นการสมควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นร่วมกันด�ำเนินการหรือให้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดจัดท�ำ ท้ังนี้ ตามท่คี ณะกรรมการประกาศก�ำหนด 25) สนบั สนนุ หรอื ช่วยเหลือส่วนราชการ หรือองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นอื่นในการพัฒนา 26) การให้บริการแก่เอกชน ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรปกครอง สว่ นท้องถิ่นอืน่ 27) การสงั คมสงเคราะห์ และการพัฒนาคุณภาพชวี ิตเดก็ สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส 28) จดั ทำ� กจิ การอน่ื ใดตามทก่ี ำ� หนดไวใ้ นพระราชบญั ญตั นิ หี้ รอื กฏหมายอน่ื กำ� หนดใหเ้ ปน็ และหนา้ ที่ ขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั 29) กิจการอืน่ ใดทเ่ี ป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถนิ่ ตามท่คี ณะกรรมการประกาศ 212 แหนลักวสกูตารรนจคัดรกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

โครงสร้างเทศบาลนคร เทศบาลนคร เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส�ำหรบั เมืองขนาดใหญ่ทีม่ ปี ระชากรตงั้ แต่ 50,000 คนขน้ึ ไป และมีรายได้พอเพียงต่อการให้บริการสาธารณะตามหน้าท่ีท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ การจัดตั้งเทศบาลนครกระท�ำ โดยประกาศกระทรวงมหาดไทยยกฐานะเปน็ เทศบาลนครตามพระราชบญั ญตั เิ ทศบาล พ.ศ. 2496 ปจั จบุ นั มเี ทศบาล นครอยู่ 30 แหง่ ทัว่ ประเทศ เทศบาลนคร แหง่ แรกของไทย 3 แหง่ คอื เทศบาลนครกรุงเทพ เทศบาลนครธนบุรี และ เทศบาลนครเชียงใหม่ จดั ตัง้ ข้ึนในปี พ.ศ. 2478 ต่อมาเทศบาลนครกรงุ เทพและเทศบาลนครธนบรุ ีได้ถกู ยบุ รวมกนั เปน็ เทศบาลนครหลวงในปี พ.ศ. 2514 และในปี พ.ศ. 2515 เทศบาลนครหลวงไดถ้ กู ยุบพร้อมกบั จังหวัดนครหลวง กรุงเทพธนบุรีเพื่อจัดต้ังกรุงเทพมหานคร หลังจากน้ันเทศบาลนครจึงเหลือแต่เพียงเทศบาลนครเชียงใหม่ ซ่ึงเป็นเทศบาลนครแห่งแรกในส่วนภูมิภาค จนกระทั่งปี พ.ศ. 2537 จึงมีการจัดตั้งเทศบาลนครแห่งท่ีสองในส่วน ภมู ิภาค คือ เทศบาลนครนครศรธี รรมราช เทศบาลนครประกอบด้วยนายกเทศมนตรีท�ำหน้าท่ีหัวหน้าฝ่ายบริหารและสภาเทศบาลที่มีสมาชิก จ�ำนวน 24 คน มาจากการเลือกต้ังของราษฎรในเขตเทศบาลท�ำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ นายกเทศมนตรีมาจาก การเลือกตั้งโดยตรงของราษฎรในเขตเทศบาลและมีรองนายกเทศมนตรีมาจากการแต่งตั้งของนายกเทศมนตรี นอกจากนย้ี งั มสี ำ� นกั งานเทศบาลนคร ซงึ่ มปี ลดั เทศบาลเปน็ หวั หนา้ พนกั งานเทศบาล ทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ หนว่ ยงานธรุ การ และหน่วยงานใหบ้ รกิ ารประชาชนภายใต้การบงั คบั บญั ชาของนายกเทศมนตรี หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 213

โครงสร้างเทศบาลเมือง ท้องถ่ินที่จะได้รับการจัดต้ังเป็นเทศบาลเมืองน้ัน คือ ท้องถิ่นอันเป็นท่ีต้ังศาลากลางจังหวัด หรือท้องถ่ิน ที่มีจ�ำนวนราษฎรมากกว่า 10,000 คน และมีรายได้เพียงพอท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีของเทศบาลเมืองตามที่กฎหมาย ก�ำหนดไว้ แต่ก็มีท้องถ่ินบางแห่งท่ีไม่ได้เป็นท่ีต้ังศาลากลางจังหวัดและมีจ�ำนวนประชากรไม่ถึง 10,000 คน แต่ก็มีฐานะเป็นเทศบาลเมือง เนื่องจากได้รับการจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเทศบาลสมัยแรก ๆ ซึ่งวางเกณฑ์ต่างจาก ปัจจบุ ัน เทศบาลเมอื งมนี ายกเทศมนตรที ำ� หนา้ ทห่ี วั หนา้ ฝา่ ยบรหิ ารและมสี ภาเทศบาลซงึ่ ประกอบดว้ ยสมาชกิ จำ� นวน 18 คน ทรี่ าษฎรในเขตเทศบาลเลอื กต้ังมาท�ำหนา้ ที่ฝา่ ยนิตบิ ัญญัติ นายกเทศมนตรมี าจากการเลือกตง้ั โดยตรงของ ราษฎรในเขตเทศบาล โดยเทศบาลเมืองมีหน้าทรี่ กั ษาความสงบเรียบรอ้ ยและความสะอาด สรา้ งและบำ� รงุ ถนนและ ท่าเรอื ดับเพลิงและกู้ภยั จัดการศึกษา ใหบ้ รกิ ารสาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ และรกั ษาวัฒนธรรมอันดีในทอ้ งถิน่ นอกจากนี้ยงั อาจจัดใหม้ สี าธารณปู โภคและสาธารณูปการอื่น ๆ ได้ตามสมควร 214 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

โครงสร้างเทศบาลตำ� บล เทศบาลต�ำบล เป็นองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ สำ� หรับเมอื งขนาดเล็ก โดยทว่ั ไปเทศบาลตำ� บลมฐี านะเดมิ เปน็ สขุ าภบิ าลหรอื องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล (อบต.) การจดั ตง้ั เทศบาลตำ� บลกระทำ� โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย ยกฐานะท้องถ่ินขึ้นเป็นเทศบาลต�ำบลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 เทศบาลต�ำบลมีนายกเทศมนตรี คนหนง่ึ ทำ� หนา้ ทหี่ วั หนา้ ฝา่ ยบรหิ าร และสภาเทศบาลซงึ่ ประกอบดว้ ย สมาชกิ จำ� นวน 12 คน ทรี่ าษฎรในเขตเทศบาล เลอื กตั้งมาท�ำหนา้ ทฝี่ า่ ยนิตบิ ัญญัติ นายกเทศมนตรีมาจากการเลอื กตั้งโดยตรงของราษฎรเขตเทศบาล เทศบาลต�ำบลมีหน้าทรี่ ักษาความสงบเรยี บรอ้ ยและความสะอาด สรา้ งและบำ� รุงถนนและทา่ เรือ ดบั เพลิง และกู้ภัย จัดการศึกษา ให้บริการสาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ และรักษาวัฒนธรรมอันดีในท้องถิ่น นอกจากนี้ยัง อาจจัดให้มสี าธารณปู โภคและสาธารณปู การอนื่ ๆ ได้ตามสมควร หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 215

อ�ำนาจหน้าทีข่ องเทศบาล อำ� นาจหนา้ ทีข่ องเทศบาล สามารถแบ่งแยกประเภทอำ� นาจหนา้ ท่ขี องเทศบาลไวเ้ ป็น 2 สว่ น คอื หนา้ ท่ี บังคับหรือหน้าที่ท่ีต้องปฏิบัติ และอ�ำนาจหน้าที่ ที่เลือกปฏิบัติ ท้ังยังได้ก�ำหนดอ�ำนาจหน้าท่ีของเทศบาลในฐานะ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. อ�ำนาจหนา้ ทีบ่ ังคับหรือหน้าทีท่ จี่ ะต้องปฏิบัติ มาตรา 50, 53, 54 และ 56 1.1 มาตรา 50 ภายใตบ้ งั คับแหง่ กฎหมาย เทศบาลตำ� บล มหี น้าทต่ี อ้ งทำ� ใหเ้ ขตเทศบาล ดังต่อไปนี้ 1) รักษาความสงบเรียบรอ้ ยของประชาชน 2) ให้มแี ละบ�ำรุงทางบกและทางน้ำ� 3) รกั ษาความสะอาดของถนน หรอื ทางเดนิ และทสี่ าธารณะ รวมทงั้ การกำ� จดั มลู ฝอยและสงิ่ ปฏกิ ลู 4) ปอ้ งกนั และระงับโรคติดตอ่ 5) ใหม้ เี ครือ่ งใชใ้ นการดับเพลงิ 6) ใหร้ าษฎรได้รบั การศึกษาอบรม 7) สง่ เสรมิ การพัฒนาสตรี เดก็ เยาวชน ผูส้ งู อายุ และผูพ้ กิ าร 8) บำ� รงุ ศิลปะ จารีตประเพณี ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ และวัฒนธรรมอันดีของทอ้ งถนิ่ 9) หนา้ ทอ่ี น่ื ตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ใิ ห้เปน็ หนา้ ท่ีของเทศบาล 1.2 มาตรา 53 ภายใตบ้ ังคับแหง่ กฎหมาย เทศบาลเมือง มีหนา้ ท่ตี ้องทำ� ในเขตเทศบาล ดังต่อไปนี้ 1) กิจการตามท่ีระบุไว้ในมาตรา 50 2) ให้มีน�้ำสะอาดหรือการประปา 3) ใหม้ โี รงฆา่ สัตว์ 4) ให้มีและบ�ำรุงสถานทที่ �ำการพิทักษ์และรกั ษาคนเจ็บไข้ 5) ใหม้ ีและบำ� รงุ ทางระบายนำ�้ 6) ใหม้ แี ละบำ� รุงสว้ มสาธารณะ 7) ให้มีและบำ� รงุ การไฟฟา้ หรอื แสงสวา่ งโดยวิธอี ืน่ 8) ใหม้ ีการดำ� เนินกิจการโรงรับจำ� นำ� หรอื สถานสินเช่ือทอ้ งถิน่ 1.3. มาตรา 54 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย เทศบาลเมือง อาจจัดท�ำกิจการใด ๆ ในเขตเทศบาล ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ให้มตี ลาด ทา่ เทียบเรือและท่าขา้ ม 2) ใหม้ ีสสุ านและฌาปนสถาน 3) บำ� รงุ และส่งเสริมการท�ำมาหากนิ ของราษฎร 4) ให้มีและบำ� รุงการสงเคราะห์มารดาและเด็ก 5) ใหม้ แี ละบำ� รงุ โรงพยาบาล 6) ให้มกี ารสาธารณปู การ 7) จัดท�ำกจิ การซ่งึ จ�ำเปน็ เพอื่ การสาธารณสขุ 216 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

8) จดั ตั้งและบ�ำรุงโรงเรยี นอาชวี ศกึ ษา 9) ใหม้ แี ละบำ� รุงสถานท่ีสำ� หรับการกฬี าและพลศึกษา 10) ให้มแี ละบ�ำรุงสวนสาธารณะ สวนสตั ว์ และสถานท่พี กั ผอ่ นหย่อนใจ 11) ปรบั ปรงุ แหล่งเสอ่ื มโทรม และรกั ษาความสะอาดเรียบรอ้ ยของท้องถ่นิ 12) เทศพาณชิ ย์ 1.4 มาตรา 56 ภายใต้บังคบั แหง่ กฎหมาย เทศบาลนครมหี น้าทตี่ อ้ งท�ำในเขตเทศบาล ดังตอ่ ไปน้ี 1) กิจการตามที่ระบไุ ว้ในมาตรา ๕๓ 2) ใหม้ ีและบ�ำรุงการสงเคราะห์มารดาและเดก็ 3) กิจการอยา่ งอนื่ ซง่ึ จ�ำเป็นเพอ่ื การสาธารณสขุ 4) การควบคมุ สขุ ลักษณะและอนามยั ในร้านจ�ำหน่ายอาหาร โรงมหรสพ และสถานบรกิ ารอน่ื 5) จัดการเกย่ี วกบั ทีอ่ ยู่อาศัยและการปรบั ปรงุ แหล่งเส่อื มโทรม 6) จดั ใหม้ ีและควบคมุ ตลาด ท่าเทียบเรอื ท่าขา้ มและทีจ่ อดรถ 7) การวาผังเมอื งและการควบคุมการก่อสรา้ ง 8) การสง่ เสริมกจิ การการท่องเท่ียว 2. อ�ำนาจหน้าท่ีที่เลือกปฏิบัติเทศบาลในการจัดระบบการบริการสาธารณะ เพ่ือประโยชน์ ของประชาชนในท้องถิ่น ตามพระราชบัญญตั แิ ผนและขน้ั ตอนการกระจายอ�ำนาจฯ พ.ศ. 2542 ดงั น้ี 1) การจดั ท�ำแผนพฒั นาทอ้ งถ่นิ ของตนเอง 2) การจัดให้มแี ละบ�ำรงุ รกั ษาทางบก ทางน�้ำ และทางระบายนำ้� 3) การจดั ใหม้ ีและควบคุมตลาด ทา่ เทยี บเรือ ทา่ ข้าม และทจี่ อดรถ 4) การสาธารณปู โภคและการกอ่ สรา้ งอ่นื ๆ 5) การสาธารณูปการ 6) การสง่ เสริม การฝึกและประกอบอาชพี 7) การพาณชิ ย์ และการส่งเสรมิ การลงทุน 8) การส่งเสริมการทอ่ งเที่ยว 9) การจดั การศกึ ษา 10) การสงั คมสงเคราะห์ และการพฒั นาคณุ ภาพชีวติ เด็ก สตรี คนชรา และผูด้ ้อยโอกาส 11) การบ�ำรงุ รักษาศลิ ปะ จารตี ประเพณี ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ และวัฒนธรรมอันดีของทอ้ งถนิ่ 12) การปรับปรงุ แหลง่ ชุมชนแออดั และการจดั การเกยี่ วกับท่อี ยอู่ าศัย 13) การจดั ให้มแี ละบ�ำรุงรักษาสถานทพี่ ักผ่อนหยอ่ นใจ 14) การส่งเสรมิ กฬี า 15) การสง่ เสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสทิ ธเิ สรีภาพของประชาชน 16) ส่งเสรมิ การมีสว่ นร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถนิ่ 17) การรกั ษาความสะอาด และความเป็นระเบยี บเรียบร้อยของบ้านเมอื ง หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 217

18) การกำ� จดั มลู ฝอย ส่ิงปฏกิ ลู และนำ้� เสยี 19) การสาธารณสุข การอนามัยครอบครวั และการรักษาพยาบาล 20) การจัดให้มแี ละควบคุมสุสานและฌาปนสถาน 21) การควบคุมการเล้ียงสัตว์ 22) การจัดใหม้ ีและควบคมุ การฆา่ สัตว์ 23) การรักษาความปลอดภัย ความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย และการอนามยั โรงมหรสพ และสาธารณสถานอน่ื ๆ 24) การจดั การ การบำ� รงุ รกั ษา และการใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ ไม้ ทด่ี นิ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม 25) การผังเมือง 26) การขนสง่ และการวิศวกรรมจราจร 27) การดแู ลรกั ษาทีส่ าธารณะ 28) การควบคมุ อาคาร 29) การปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั 30) การรกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ย การส่งเสรมิ และสนบั สนนุ การปอ้ งกนั และรกั ษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพยส์ นิ 31) กิจการอ่นื ใดทเ่ี ป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถน่ิ ตามทคี่ ณะกรรมการประกาศก�ำหนด ประโยชน์ท่ปี ระชาชนไดร้ ับจากองคก์ ารปกครองส่วนท้องถ่ิน 1. ให้มตี ลาด ทา่ เทยี บเรอื และทา่ ขา้ ม 2. ให้มสี สุ านและฌาปนสถาน 3. บ�ำรุงและส่งเสรมิ การท�ำมาหากินของราษฎร 4. ใหม้ แี ละบ�ำรุงการสงเคราะห์มารดาและเดก็ 5. ใหม้ แี ละบ�ำรุงโรงพยาบาล 6. ให้มกี ารสาธารณูปการ 7. จดั ท�ำกจิ การซง่ึ จ�ำเปน็ เพ่อื การสาธารณสุข 8. จัดตัง้ และบำ� รงุ โรงเรียนอาชีวศกึ ษา 9. ให้มแี ละบำ� รงุ สถานทสี่ �ำหรับการกฬี าและพลศกึ ษา 10. ใหม้ ีและบำ� รงุ สวนสาธารณะ สวนสตั ว์ และสถานที่พักผ่อนหยอ่ นใจ 11. ปรับปรุงแหลง่ เสือ่ มโทรม และรกั ษาความสะอาดเรยี บร้อยของทอ้ งถิ่น 218 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

โครงสรา้ งองค์การบริหารสว่ นต�ำบล องค์การบริหารส่วนต�ำบล มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจัดต้ังข้ึนตามพระราชบัญญัติสภาต�ำบลและองค์การบริหารส่วนต�ำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพ่ิมเติมจนถึง ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2552 โดยยกฐานะจากสภาต�ำบลทีม่ รี ายไดโ้ ดยไม่รวมเงินอุดหนุนในปีงบประมาณทล่ี ่วงมาติดต่อกนั สามปีเฉลย่ี ไมต่ ่ำ� กว่าปลี ะหน่ึงแสนห้าหมน่ื บาท อำ� นาจหน้าท่ี อบต. มีหนา้ ทต่ี ามพระราชบัญญัตสิ ภาตำ� บล และองคก์ ารบริหารส่วน ตำ� บล พ.ศ. 2537 และแก้ไขเพิม่ เติม (ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2542) 1. พัฒนาตำ� บลทัง้ ในดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรม (มาตรา 66) 2. มีหนา้ ทีต่ ้องปฏิบตั ใิ ห้กบั ต�ำบล (มาตรา 67) ดังน้ี 1) จัดใหม้ แี ละบ�ำรงุ ทางน�้ำและทางบก 2) การรกั ษาความสะอาดของถนน ทางนำ้� ทางเดนิ และทส่ี าธารณะ รวมทง้ั การกำ� จดั ขยะมลู ฝอย และสงิ่ ปฏิกูล 3) ป้องกันโรคและระงับโรคตดิ ต่อ 4) ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 219

5) ส่งเสรมิ การศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม 6) ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เดก็ และเยาวชน ผสู้ งู อายแุ ละผู้พกิ าร 7) คุม้ ครอง ดูแลและบ�ำรงุ รักษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม 8) บ�ำรงุ รกั ษาศลิ ปะ จารีตประเพณี ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ และวัฒนธรรมอนั ดขี องท้องถิน่ 9) ปฏิบตั หิ น้าทอ่ี น่ื ตามที่ทางราชการมอบหมาย 3. มหี น้าทท่ี ีอ่ าจทำ� กจิ กรรมในเขต อบต. ตามมาตรา 68 ดงั น้ี 1) ใหม้ ีน้ำ� เพอื่ การอุปโภค บริโภคและการเกษตร 2) ให้มแี ละบำ� รงุ ไฟฟา้ หรอื แสงสว่างโดยวธิ อี ืน่ 3) ใหม้ ีและบำ� รงุ รักษาทางระบายน้ำ� 4) ใหม้ แี ละบำ� รุงสถานท่ปี ระชมุ การกีฬา การพกั ผ่อนหย่อนใจและสวนสาธารณะ 5) ให้มแี ละสง่ เสริมกลมุ่ เกษตรกร และกิจการสหกรณ์ 6) สง่ เสริมใหม้ ีอตุ สาหกรรมในครอบครัว 7) บ�ำรงุ และส่งเสริมการประกอบอาชีพ 8) การคมุ้ ครองดูแลและรกั ษาทรัพย์สนิ อนั เปน็ สาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ 9) หาผลประโยชนจ์ ากทรพั ยส์ ินของ อบต. 10) ใหม้ ีตลาด ทา่ เทียบเรือ และท่าข้าม 11) กจิ การเก่ียวกับการพาณิชย์ 12) การท่องเท่ยี ว 13) การผังเมือง ประโยชนท์ ีป่ ระชาชนไดร้ ับจาก อบต. พระราชบัญญัติก�ำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอ�ำนาจให้แก่องค์กรปกครองท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 ก�ำหนดให้ อบต. มีอ�ำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะ เพ่ือประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ของตนเอง (มาตรา 16) ดงั นี้ 1. การจัดทำ� แผนพฒั นาท้องถิ่นของตนเอง 2. การจัดใหม้ ี และบำ� รงุ รักษาทางบกทางน�้ำ และทางระบายนำ�้ 3. การจดั ใหม้ ีและควบคมุ ตลาด ทา่ เทียบเรือ ท่าขา้ ม และที่จอดรถ 4. การสาธารณูปโภค และการก่อสรา้ งอื่น ๆ 5. การสาธารณปู การ 6. การสง่ เสริม การฝกึ และการประกอบอาชพี 7. คุ้มครอง ดแู ล และบำ� รงุ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ ม 8. การส่งเสรมิ การท่องเทย่ี ว 9. การจัดการศกึ ษา 220 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

10. การสงั คมสงเคราะห์ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเดก็ สตรี คนชรา และผู้ดอ้ ยโอกาส 11. การบ�ำรุงรกั ษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมปิ ัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของทอ้ งถน่ิ 12. การปรับปรุงแหลง่ ชมุ ชนแออัด และการจดั การเกยี่ วกับท่ีอย่อู าศัย 13. การจัดใหม้ ี และบ�ำรุงรักษาสถานท่พี กั ผอ่ นหยอ่ นใจ 14. การสง่ เสริมกีฬา 15. การส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสิทธิเสรภี าพของประชาชน 16. สง่ เสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถิ่น 17. การรักษาความสะอาด และความเป็นระเบยี บเรียบร้อยของบ้านเมอื ง 18. การก�ำจดั มลู ฝอย สง่ิ ปฏิกูล และน�้ำเสีย 19. การสาธารณสุข การอนามยั ครอบครวั และการรกั ษาพยาบาล 20. การจัดให้มี และควบคมุ สสุ าน และฌาปนสถาน 21. การควบคุมการเลย้ี งสัตว์ 22. การจัดให้มี และควบคมุ การฆา่ สัตว์ 23. การรกั ษาความปลอดภยั ความเปน็ ระเบียบเรยี บร้อย และการอนามยั โรงมหรสพ และสาธารณสถานอนื่ ๆ 24. การจดั การ การบำ� รงุ รกั ษา และการใชป้ ระโยชนจ์ ากปา่ ไม้ ทดี่ นิ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม 25. การผงั เมอื ง 26. การขนส่ง และการวศิ วกรรมจราจร 27. การดูแลรกั ษาทส่ี าธารณะ 28. การควบคมุ อาคาร 29. การป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั 30. การรักษาความสงบเรยี บรอ้ ย การส่งเสรมิ และสนบั สนุนการป้องกันและรักษาความปลอดภัย ในชวี ติ และทรัพยส์ นิ 31. กิจอนื่ ใด ทเี่ ปน็ ผลประโยชนข์ องประชาชนในท้องถิ่น ตามทค่ี ณะกรรมการประกาศกำ� หนด หลักสตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 221

หน่วยท่ี 8 การจัดการศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชว้ี ดั มาตรฐาน ส 2 เขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ นตามหนา้ ทข่ี องการเปน็ พลเมอื งดี มคี า่ นยิ มทดี่ งี ามและธำ� รงรกั ษาประเพณี และวฒั นธรรมไทย ดำ� รงชีวิตอยู่ร่วมกันในสงั คมไทยและสงั คมโลกอยา่ งสนั ตสิ ุข ตวั ชว้ี ดั ป.6/5 ติดตามข้อมลู ข่าวสาร เหตุการณ์ตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจำ� วนั เลอื กรบั และใช้ขอ้ มลู ข่าวสาร ในการเรยี นร้ไู ด้เหมาะสม สาระส�ำคัญ การจัดการศกึ ษาจังหวดั นครศรธี รรมราช ทั้งการศกึ ษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม อธั ยาศัย ตอ้ งเนน้ ความสำ� คญั ท้งั ความรู้ คณุ ธรรม กระบวนการเรยี นรู้และบรู ณาการตามความเหมาะสมของแตล่ ะ ระดบั การศกึ ษา ซ่ึงสถานศึกษาและหนว่ ยงานท่ีเกย่ี วข้องดำ� เนินการจดั การศกึ ษาใหส้ อดคลอ้ งกบั บริบทและเอื้อตอ่ ความต้องการของผ้เู รยี น สาระการเรยี นรู้ 1. การจัดการศึกษาในจงั หวัดนครศรธี รรมราช 2. ระบบการจดั การศึกษา กจิ กรรมการเรียนรู้ 3. การน�ำเขา้ สู่บทเรยี น ใชก้ ระบวนการ สื่อท่เี หมาะสม 4. ขัน้ สอน ใชก้ ระบวนการ ใบงาน ใบความรู้ ส่อื การศึกษาแหลง่ เรยี นรู้ ท่ีสอดคลอ้ งและเหมาะสม 5. ขัน้ สรุป การวดั และประเมินผล รายการ วธิ กี าร เคร่ืองมอื 1. แบบสังเกตการร่วมกจิ กรรม 1. ความร่วมมือในการท�ำกจิ กรรม 1. สังเกตการรว่ มกิจกรรม 2. แบบประเมินการน�ำเสนองาน 3. แบบประเมนิ ผลงาน/ชนิ้ งาน 2. การน�ำเสนอ 2. สังเกตการนำ� เสนอผลงาน 3. ประเมนิ ผลงาน/ช้ินงาน 3. ประเมินผลงาน/ช้นิ งาน 222 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

หน่วยที่ 8 การจัดการศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช ความเปน็ มาการศกึ ษาในจังหวัดนครศรีธรรมราช เมอื่ พ.ศ. 2441 พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ประพาสหวั เมอื งปกั ษใ์ ต้ เวลาทป่ี ระทบั แรม อยู่ท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราช พระมหาม่วงได้เข้าเฝ้าหลายครั้ง ทรงไต่ถามถึงการพระพุทธศาสนาในจังหวัดน้ี ท่านได้ชี้แจงเป็นท่ีชอบพระอัธยาศัย ทรงเห็นว่าเป็นผู้ทรงธรรมวินัยอันน่าเล่ือมใสหลายประการ และทราบว่าเป็น สหชาติ (ผู้เกิดในวัน เดือน ปีเดียวกับพระองค์) จึงทรงตั้งให้เป็นพระราชาคณะ มีราชทินนามว่า พระศิริธรรมมุนี ใน พ.ศ. 2442 ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าให้เปน็ ผู้อ�ำนวยการศกึ ษา เป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช ตลอดไป จนถงึ ปตั ตานีดว้ ย ได้จดั ตงั้ คณะสงฆ์ การศึกษา และการศาสนา จงึ เกิดผลสมพระราชประสงค์ ดงั ปรากฏในรายงาน การศึกษา ร.ศ.119 ลงวันท่ี 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 จ�ำนวนโรงเรียน ซึง่ ทา่ นไดต้ ัง้ ท้ังหมด 21 แห่ง โดยโรงเรยี น หลวงหลังแรกตั้งอยู่ที่วัดท่าโพธ์ิ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีช่ือว่า “สุขุมาภิบาลวิทยา” ท้ังนี้เพ่ือให้ สอดคลอ้ งกบั ผอู้ ปุ ถมั ภโ์ รงเรยี น คอื พระยาสขุ มุ นยั วนิ ติ (ปน้ั สขุ มุ ) สมหุ เทศาภบิ าลมณฑลนครศรธี รรมราชในสมยั นน้ั นบั เปน็ โรงเรียนหลวงแหง่ แรกของจังหวัดนครศรีธรรมราช และภาคใต้ ในปีการศึกษา 2447 ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชก็เร่ิมให้ความสนใจ ส่งบุตรหลานเข้าเรียนมากข้ึน พระศิริธรรมมุนี (ม่วง รัตนธโช) จึงได้สร้างอาคารเรียนเพ่ิมเติมข้ึนอีก 1 หลัง และได้เปล่ียนชื่อโรงเรียนมาเป็น “ศรธี รรมราช” โดยประสงคใ์ หเ้ ปน็ โรงเรยี นประจำ� จงั หวดั นครศรธี รรมราช และโอนกจิ การใหก้ รรมการ การดำ� เนนิ การ การเรยี นการสอนกเ็ ปล่ียนไปตามแบบกรมศึกษาธกิ าร ขยายเวลาเรียนออกเป็น 5 ปี ตง้ั แต่ช้ันมูลจนถึงมธั ยมศึกษา ปที ่ี 4 และยงั ไดเ้ ปดิ แผนกฝกึ หดั ครขู น้ึ ในโรงเรยี นอกี ดว้ ย ดา้ นการเรยี นการสอนเรมิ่ เปดิ สอนในระดบั ประถมศกึ ษากอ่ น แลว้ จงึ ขยายชนั้ เรยี นถงึ ระดบั มธั ยมศกึ ษา ครนั้ เมอ่ื จำ� นวนนกั เรยี นเพมิ่ ขนึ้ จงึ ยา้ ยแผนกประถมไปเรยี น ณ วดั ทา่ มอญ หรอื วดั ศรีทวีในปัจจุบัน นอกจากแผนกประถม และ มัธยมศกึ ษา ทางโรงเรยี นยังเปิดสอนแผนกฝกึ หดั ครู ซึ่งเรียก ในสมัยนั้นว่า โรงเรียนฝึกหัดครูมณฑล และมีโรงเรียนช่างถมอีกแผนกหนึ่งด้วย จึงเป็นเหตุให้สถานที่เรียนไม่พอ ทางโรงเรยี นแกป้ ญั หาโดยให้นักเรียนมธั ยมปีที่ 1 ไปเรยี น ท่วี ดั ศรีทวี และวัดจันทาราม พ.ศ. 2468 แผนกฝึกหดั ครู ยกเลกิ ไป สว่ นโรงเรยี นชา่ งถมแยกออกไปเปน็ โรงเรยี นศลิ ปหตั ถกรรม หรอื วทิ ยาลยั ศลิ ปหตั ถกรรมนครศรธี รรมราช ในปัจจบุ นั ปี พ.ศ. 2456 พระธรรมโกษาจารย์ (มว่ ง รตั นธโช) ไดส้ รา้ งตกึ ชน้ั เดยี วใหเ้ ปน็ สถานทเี่ รยี น ณ บรเิ วณกำ� แพง วัดท่าโพธิ์ทางด้านทิศใต้ และได้เปล่ียนชื่อโรงเรียนเป็น “เบญจมราชูทิศ” อันเป็นมงคลนามท่ีได้รับพระราชทาน จากพระบาลสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อันมีความหมายว่า “อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ 5” เพ่ือเปน็ การนอ้ มร�ำลึกถึงพระมหากรุณาธิคณุ และอุทิศส่วนกุศลในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 223

ปี พ.ศ. 2476 ดว้ ยเหตทุ โ่ี รงเรยี นเบญจมราชทู ิศ ซึง่ ตง้ั อยใู่ นวดั ท่าโพธม์ิ เี นือ้ ทค่ี ับแคบ ไมอ่ าจขยายเนื้อท่ี เพอ่ื สรา้ งอาคารใหมเ่ พมิ่ เตมิ ได้ จงึ ไดย้ า้ ยไปปลกู สรา้ งยงั บรเิ วณวดั พระสงู บนเนอื้ ที่ 8 ไรแ่ ละแลว้ เสรจ็ เมอื่ ปี พ.ศ. 2479 ในปี พ.ศ. 2490 เปดิ สอนระดับเตรยี มอุดมศกึ ษา มที ้ังแผนกวิทยาศาสตร์ แผนกอักษรศาสตร์ แตใ่ นปี พ.ศ. 2504 ไดย้ า้ ยแผนกอกั ษรศาสตรไ์ ปเรยี นทโี่ รงเรยี นกลั ยาณศี รธี รรมราช ปี พ.ศ. 2507 โรงเรยี นเปดิ รบั สมคั รนกั เรยี นชน้ั ม.ศ.1 แทนการรบั เขา้ เรียนในชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 อย่างเดมิ ปี พ.ศ. 2514 โรงเรียนได้เข้าโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสมและได้จัดซ้ือที่ดินบริเวณ หมู่ท่ี 3 ต�ำบลโพธิ์เสด็จ อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 30 ล้านบาท และได้ย้าย มาทีเ่ รยี นใหมใ่ นปี พ.ศ. 2519 ในปี พ.ศ. 2523 โรงเรียนได้จัดสร้างรูปหล่อพระรัตนธัชมุนี (ม่วง รัตนธโช) ผู้ให้ก�ำเนิดโรงเรียน และอัญเชญิ จากวิหารหลวงวัดพระมหาธาตวุ รมหาวหิ าร ซ่งึ เป็นสถานทีห่ ล่อมาประดษิ ฐานไว้ ณ ศาลาหนา้ อาคาร 1 วนั ท่ี 22 กนั ยายน พ.ศ. 2536 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช สยามบรมราชกุมาร เสด็จแทนพระองค์ทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปิดหอสมดุ เฉลิมพระเกยี รติสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ การจดั การศึกษาในจังหวดั นครศรธี รรมราช การจัดการศึกษาในจังหวัดนครศรีธรรมราช จัดตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (และแก้ไขเพิ่มเติม 2545,2553) ให้ไว้ ณ วันที่ 14 สงิ หาคม พ.ศ. 2542 ระบบการศึกษา ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการจัดการศึกษาสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาท่ีก�ำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตรระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของ การส�ำเร็จการศึกษา ท่ีแน่นอน 2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาท่ีมีความยืดหยุ่นในการก�ำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการ จัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซ่ึงเป็นเง่ือนไขส�ำคัญของการส�ำเร็จการศึกษา โดยเน้ือหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม 3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาท่ีให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศกึ ษาจากบคุ คล ประสบการณ์ สงั คม สภาพแวดล้อม สอื่ หรือแหลง่ ความรู้อนื่ ๆ สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้ ให้มีการเทียบโอน ผลการเรยี นที่ผูเ้ รยี นสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดยี วกันหรือต่างรปู แบบได้ ไมว่ า่ จะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษา เดยี วกนั หรอื ไมก่ ต็ าม รวมทงั้ จากการเรยี นรนู้ อกระบบ ตามอธั ยาศยั การฝกึ อาชพี หรอื จากประสบการณก์ ารทำ� งาน การศกึ ษาในระบบมีสองระดบั คอื การศึกษาขัน้ พ้ืนฐานและการศึกษาระดับอดุ มศึกษา การศกึ ษาขน้ั พื้นฐานประกอบดว้ ย การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่าสิบสองปกี ่อนระดบั อุดมศึกษา การแบง่ ระดบั และประเภทของการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน เป็นสามระดบั ดังนี้ 1) การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา โดยปกติเป็นการจัดการศึกษาให้แก่เด็กท่ีมีอายุสามปีถึงหกปี เพอื่ เปน็ การวางรากฐานชีวิตและการเตรียมความพรอ้ มของเดก็ ทงั้ รา่ งกายและจติ ใจ สตปิ ัญญา อารมณ์ บุคลิกภาพ และการอย่รู ่วมในสังคม 224 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศึกษา

2) การศึกษาระดับประถมศึกษา เป็นการศึกษาที่มุ่งวางรากฐานเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะที่ พงึ ประสงค์ ทงั้ ในดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ความรแู้ ละความสามารถขน้ั พนื้ ฐานโดยปกตใิ ชเ้ วลาเรยี นหกปี 3) การศึกษาระดับมัธยมศกึ ษา แบง่ เปน็ สองระดับ ดังน้ี (ก) การศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เปน็ การศกึ ษาทมี่ งุ่ ใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นาคณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ ในด้านต่าง ๆ ต่อจากระดับประถมศึกษา เพื่อให้รู้ความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของตนเอง ท้ังในด้านวชิ าการและวิชาชีพ ตลอดจนความสามารถในการประกอบการงาน และอาชีพตามควรแกว่ ัย โดยปกติใช้ เวลาเรียนสามปี (ข) การศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เปน็ การศกึ ษาทมี่ งุ่ สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ กึ ษาตามความถนดั และความสนใจ เพ่ือเป็นพ้ืนฐานส�ำหรับการศึกษาต่อหรือการประกอบอาชีพรวมทั้งการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และทกั ษะทางสังคมทีจ่ ำ� เป็น โดยปกติใชเ้ วลาเรยี นสามปี การศึกษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย แบ่งเป็นสองประเภท ดังนี้ 1. ประเภทสามญั ศกึ ษา เปน็ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื พฒั นาผเู้ รยี นตามความถนดั ความสนใจ ศกั ยภาพ และความสามารถพิเศษเฉพาะดา้ น เพือ่ เป็นพ้นื ฐานส�ำหรบั การศกึ ษาตอ่ ในระดับอุดมศกึ ษา 2. ประเภทอาชวี ศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพ่ือพฒั นาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพให้ เป็นก�ำลังแรงงานทมี่ ฝี ีมอื หรอื ศกึ ษาต่อในระดับอาชีพชน้ั สูงตอ่ ไป การศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษาแบง่ เป็นสองระดับ คอื ระดบั ต่�ำกวา่ ปรญิ ญาและระดบั ปรญิ ญา การแบ่งระดับหรือการเทียบระดับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษานอก ระบบใหแ้ บ่งออกเป็นสองระดบั ดังนี้ 1. การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน แบง่ ออกเป็นสามระดับ คือ (ก) การศึกษาระดบั กอ่ นประถมศึกษา (ข) การศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา (ค) การศึกษาระดบั มัธยมศกึ ษา แบง่ ออกเปน็ สองระดับ คือ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ และการศกึ ษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยแบ่งออกเปน็ ประเภทสามัญศึกษา และประเภทอาชีวศกึ ษา 2. การศึกษาระดบั อุดมศกึ ษา แบง่ ออกเปน็ สองระดับ คอื (ก) การศกึ ษาระดบั ตำ�่ กว่าปรญิ ญา (ข) การศกึ ษาระดบั ปริญญา การศึกษาภาคบังคับจ�ำนวนเก้าปี โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีท่ีเจ็ด เข้าเรียนในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน จนอายุย่างเข้าปีท่ีสิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีท่ีเก้าของการศึกษาภาคบังคับ หลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุให้เป็นไป ตามทก่ี �ำหนดในกฎกระทรวง การจดั การศกึ ษาปฐมวัยและการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานใหจ้ ัดในสถานศึกษาดงั ต่อไปน้ี 1. สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ไดแ้ ก่ ศนู ยเ์ ด็กเล็ก ศูนยพ์ ฒั นาเดก็ เลก็ ศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ ก่อนเกณฑข์ อง สถาบนั ศาสนา ศนู ย์บรกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเริ่มของเด็กพกิ ารและเดก็ ซ่งึ มีความต้องการพิเศษ หรือสถานพัฒนา เดก็ ปฐมวัยท่ีเรยี กชือ่ อย่างอ่ืน หลักสูตแรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 225

2. โรงเรยี น ไดแ้ ก่โรงเรยี นของรฐั โรงเรยี นเอกชนและโรงเรยี นทสี่ งั กดั สถาบนั พทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาอนื่ 3. ศนู ย์การเรยี น ได้แก่ สถานที่เรยี นทห่ี น่วยงานจัดการศกึ ษานอกโรงเรียนบคุ คล ครอบครวั ชมุ ชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะหแ์ ละสถาบนั สงั คมอ่ืนเป็นผู้จัด การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบันวิทยาลัย หรือหน่วยงานท่ีเรียกช่ือ อยา่ งอน่ื ทง้ั น้ี ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายเกยี่ วกบั สถานศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา กฎหมายวา่ ดว้ ยการจดั ตงั้ สถานศกึ ษานนั้ ๆ และกฎหมายท่เี กย่ี วขอ้ ง การจัดการอาชีวศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐ สถานศึกษาของเอกชน สถานประกอบการ หรอื โดยความรว่ มมอื ระหว่างสถานศกึ ษากับสถานประกอบการ ท้งั น้ีให้เป็นไปตามกฎหมายว่า ดว้ ยการอาชีวศกึ ษาและกฎหมายทเี่ กีย่ วข้อง หน่วยงานการศึกษาและสถานศกึ ษาที่จดั การศกึ ษาทัง้ 3 ระดับ ดังน้ี 1. สงั กัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน ประกอบด้วย 1.1 ส�ำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษา นครศรธี รรมราช เขต 1 มีสถานศกึ ษาในสงั กัด จำ� นวน 110 โรงเรยี น ประกอบดว้ ย 1) อ�ำเภอเฉลมิ พระเกยี รติ จ�ำนวน 15 โรงเรยี น 2) อำ� เภอพระพรหม จ�ำนวน 16 โรงเรียน 3) อำ� เภอเมอื ง จำ� นวน 57 โรงเรียน 4) อำ� เภอลานสกา จ�ำนวน 22 โรงเรียน 1.2 ส�ำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษา นครศรธี รรมราช เขต 2 มสี ถานศกึ ษาในสงั กัด จำ� นวน 189 โรงเรยี น ประกอบดว้ ย 1) อ�ำเภอทุ่งสง จ�ำนวน 47 โรงเรียน 2) อ�ำเภอทุ่งใหญ่ จำ� นวน 38 โรงเรยี น 3) อำ� เภอฉวาง จ�ำนวน 29 โรงเรียน 4) อ�ำเภอถ้�ำพรรณรา จำ� นวน 12 โรงเรียน 5) อ�ำเภอนาบอน จำ� นวน 14 โรงเรยี น 6) อ�ำเภอบางขนั จ�ำนวน 20 โรงเรยี น 7) อำ� เภอพิปูน จ�ำนวน 13 โรงเรียน 8) อำ� เภอช้างกลาง จ�ำนวน 16 โรงเรยี น 1.3 ส�ำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา นครศรีธรรมราช เขต 3 มีสถานศกึ ษาในสังกดั จ�ำนวน 240 โรงเรียน ประกอบด้วย 1) อำ� เภอจุฬาภรณ์ จ�ำนวน 19 โรงเรยี น 2) อำ� เภอชะอวด จำ� นวน 52 โรงเรยี น 226 แหนลักวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

3) อ�ำเภอเชยี รใหญ่ จ�ำนวน 33 โรงเรียน 4) อ�ำเภอปากพนงั จ�ำนวน 57 โรงเรยี น 5) อำ� เภอร่อนพบิ ลู ย์ จ�ำนวน 41 โรงเรียน 6) อำ� เภอหวั ไทร จำ� นวน 38 โรงเรียน 1.4 ส�ำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษา นครศรธี รรมราช เขต 4 มีสถานศึกษาในสงั กดั จำ� นวน 140 โรงเรยี น ประกอบด้วย 1) อำ� เภอขนอม จ�ำนวน 17 โรงเรยี น 2) อ�ำเภอทา่ ศาลา จำ� นวน 53 โรงเรยี น 3) อำ� เภอนบพิต�ำ จำ� นวน 12 โรงเรยี น 4) อำ� เภอพรหมคีรี จ�ำนวน 18 โรงเรยี น 5) อ�ำเภอสชิ ล จ�ำนวน 40 โรงเรียน 1.5 ส�ำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 12 มีสถานศกึ ษาในสงั กัด จ�ำนวน 71 โรงเรยี น ประกอบด้วย 1) อ�ำเภอเฉลิมพระเกียรติ จำ� นวน 2 โรงเรยี น 2) อ�ำเภอพระพรหม จ�ำนวน 3 โรงเรยี น 3) อำ� เภอเมอื ง จ�ำนวน 8 โรงเรยี น 4) อ�ำเภอลานสกา จ�ำนวน 2 โรงเรยี น 5) อ�ำเภอทุ่งสง จำ� นวน 5 โรงเรยี น 6) อ�ำเภอทงุ่ ใหญ่ จ�ำนวน 5 โรงเรียน 7) อ�ำเภอฉวาง จำ� นวน 2 โรงเรยี น 8) อ�ำเภอถ�ำ้ พรรณรา จ�ำนวน 1 โรงเรียน 9) อ�ำเภอนาบอน จ�ำนวน 1 โรงเรียน 10) อำ� เภอบางขนั จ�ำนวน 2 โรงเรยี น 11) อ�ำเภอพปิ ูน จำ� นวน 2 โรงเรยี น 12) อำ� เภอชา้ งกลาง จ�ำนวน 1 โรงเรียน 13) อ�ำเภอจุฬาภรณ์ จ�ำนวน 1 โรงเรยี น 14) อ�ำเภอชะอวด จำ� นวน 5 โรงเรยี น 15) อำ� เภอเชียรใหญ่ จ�ำนวน 4 โรงเรยี น 16) อ�ำเภอปากพนงั จำ� นวน 4 โรงเรยี น 17) อำ� เภอรอ่ นพิบูลย์ จ�ำนวน 5 โรงเรียน 18) อำ� เภอหวั ไทร จำ� นวน 5 โรงเรยี น 19) อำ� เภอขนอม จ�ำนวน 2 โรงเรียน 20) อำ� เภอทา่ ศาลา จ�ำนวน 3 โรงเรียน 21) อำ� เภอนบพิตำ� จำ� นวน 2 โรงเรยี น 22) อำ� เภอพรหมครี ี จ�ำนวน 2 โรงเรยี น 23) อ�ำเภอสชิ ล จำ� นวน 4 โรงเรียน หลกั สูตแรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 227

2. สังกัดสำ� นักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ประกอบดว้ ย สำ� นักงานศึกษาธกิ ารจังหวดั นครศรีธรรมราช มสี ถานศกึ ษาเอกชนในสังกัด จำ� นวน 139 โรงเรยี น 3. สงั กัดส�ำนักงานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ประกอบด้วย ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดนครศรธี รรมราช จำ� นวน 24 แหง่ 1) กศน.อำ� เภอเฉลมิ พระเกียรติ 2) กศน.อ�ำเภอพระพรหม 3) กศน.อ�ำเภอเมอื ง 4) กศน.อำ� เภอลานสกา 5) กศน.อ�ำเภอทงุ่ สง 6) กศน.อำ� เภอทุ่งใหญ่ 7) กศน.อำ� เภอฉวาง 8) กศน.อ�ำเภอถำ�้ พรรณรา 9) กศน.อ�ำเภอนาบอน 10) กศน.อำ� เภอบางขนั 11) กศน.อ�ำเภอพปิ ูน 12) กศน.อำ� เภอชา้ งกลาง 13) กศน.อ�ำเภอจฬุ าภรณ์ 14) กศน.อ�ำเภอชะอวด 15) กศน.อำ� เภอเชียรใหญ่ 16) กศน.อ�ำเภอปากพนงั 17) กศน.อำ� เภอร่อนพบิ ลู ย์ 18) กศน.อำ� เภอหัวไทร 19) กศน.อำ� เภอขนอม 20) กศน.อ�ำเภอท่าศาลา 21) กศน.อ�ำเภอนบพติ �ำ 22) กศน.อ�ำเภอพรหมครี ี 23) กศน.อ�ำเภอสชิ ล 24) สำ� นกั งานการศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั นครศรธี รรมราช (กศน.นศ.) 4. สงั กดั องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั นครศรธี รรมราช มสี ถานศกึ ษาในสังกดั จ�ำนวน 5 โรงเรียน 5. สังกดั เทศบาล มสี ถานศกึ ษาในสังกัด จำ� นวน 42 โรงเรยี น 228 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศึกษา

6. สังกัดองค์การบริหารส่วนตำ� บล (อบต.) มสี ถานศึกษาในสงั กัด จำ� นวน 399 โรงเรียน 7. สงั กัดอาชวี ศกึ ษา (รัฐบาล) มสี ถานศกึ ษาในสังกดั จำ� นวน 11 โรงเรียน 1) วิทยาลัยอาชวี ศึกษานครศรธี รรมราช 2) วิทยาลยั ศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช 3) วิทยาลยั เทคนิคนครศรธี รรมราช 4) วทิ ยาลยั เทคนิคทงุ่ สง 5) วิทยาลยั เทคนิคสชิ ล 6) วทิ ยาลยั การอาชีพนครศรธี รรมราช 7) วิทยาลัยการอาชีพหวั ไทร 8) วิทยาลัยการอาชีพพรหมครี ี 9) วทิ ยาลัยสารพดั ชา่ งนครศรีธรรมราช 10) วทิ ยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการตอ่ เรอื นครศรธี รรมราช 11) วทิ ยาลัยเกษตรและเทคโนโลยนี ครศรธี รรมราช 8. สังกัดอาชวี ศกึ ษา (เอกชน) มสี ถานศกึ ษาในสงั กดั จ�ำนวน 15 โรงเรยี น 1) วิทยาลัยเทคโนโลยธี ุรกจิ บณั ฑติ 2) วิทยาลัยเทคโนโลยีทกั ษณิ อาชวี ศึกษา 3) วทิ ยาลัยเทคโนโลยีเจริญมติ รพณิชยการ 4) วทิ ยาลัยอาชีวศกึ ษานครพณิชยการ 5) วทิ ยาลยั เทคโนโลยสี ถาปัตยน์ คร 6) วิทยาลยั เทคโนโลยีจรสั พชิ ากร 7) วทิ ยาลยั เทคโนโลยภี าคใต้ (เอส.เทค.) 8) วิทยาลยั เทคโนโลยีรัชตภ์ าคย์ 9) วิทยาลัยอาชีวศึกษาวีรศลิ ปนิ 10) วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาพณชิ ยการศกั ดิศลิ ปิน 11) โรงเรยี นพณชิ ยการทุ่งสง (ที.ซี.ซ.ี ) 12) โรงเรียนประทปี ศาสนพ์ ณิชยการ 13) วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาปากพนงั 14) วิทยาลยั เทคโนโลยีพณิชยการสิชล หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 229

9. สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม มีสถานศกึ ษาในสังกัด จำ� นวน 5 แหง่ 1) มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชัย วทิ ยาเขตตรัง 2) มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลศรีวชิ ัย วทิ ยาเขตนครศรธี รรมราช 3) มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตนครศรีธรรมราช 4) มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครศรธี รรมราช 5) มหาวิทยาลยั วลยั ลักษณ์ 10. สงั กดั สถาบันพระบรมราชชนก วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครศรธี รรมราช 11. สังกัดสถาบันบัณฑติ พัฒนศิลป์ กระทรวงวฒั นธรรม มสี ถานศกึ ษาในสงั กดั จำ� นวน 2 แหง่ 1) วิทยาลยั นาฏศิลปนครศรีธรรมราช 2) วิทยาลัยชา่ งศิลปนครศรธี รรมราช 12. สงั กดั ส�ำนกั งานพระพทุ ธศาสนาจังหวดั นครศรีธรรมราช ส�ำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวดั นครศรีธรรมราช มสี ถานศึกษาในสังกัด จ�ำนวน 5 แห่ง 1) พระบรมธาตุพทิ กั ษ์วทิ ยา 2) พระปริยัติธรรมวดั ขนาน 3) พระปรยิ ตั ิธรรมวดั ไตรวทิ ยาราม 4) พระปริยตั ธิ รรมวดั มะนาวหวาน 5) พระปรยิ ัตธิ รรมสามัญศึกษาวดั สระเรียง 13. สงั กดั ส�ำนักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ มสี ถานศกึ ษาในสังกัด จ�ำนวน 5 แห่ง 1) ศูนย์การศึกษาพเิ ศษจังหวดั นครศรธี รรมราช 2) โรงเรยี นนครศรธี รรมราชปัญญานกุ ลู จังหวัดนครศรีธรรมราช 3) โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 19 จงั หวัดนครศรีธรรมราช 4) โรงเรยี นสำ� หรับคนพิการทางด้านรา่ งกายและการเคล่อื นไหวของจังหวัดนครศรีธรรมราช 5) โรงเรยี นโสตศกึ ษาจงั หวดั นครศรธี รรมราช 14. สงั กดั มหาวทิ ยาลัยการกฬี าแห่งชาติ โรงเรยี นกฬี าจังหวดั นครศรธี รรมราช 15. สงั กัดกองกำ� กับการตำ� รวจ ตระเวนชายแดนที่ 42 มสี ถานศึกษาในสังกัด จำ� นวน 3 โรงเรียน 1) บา้ นเขาวัง 2) ศกร.ตชด.บ้านหลงั อา้ ยหมี 3) ศกร.ตชด.บา้ นหว้ ยตง 230 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

หน่วยท่ี 9 ศาสนา มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชี้วดั มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติความส�ำคัญศาสดาหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตน นับถือและศาสนาอนื่ มีศรทั ธาท่ถี กู ต้องยึดม่นั และปฏบิ ัตติ ามหลกั ธรรมเพื่ออยรู่ ่วมกนั อย่างสนั ตสิ ขุ ตัวชวี้ ดั ป.2/1 บอกความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนบั ถือ ป.3/1 อธิบายความส�ำคัญของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาทต่ี นนบั ถือในฐานะทเ่ี ป็นรากฐานสำ� คัญ ของวฒั นธรรมไทยตามท่ีกำ� หนดไดถ้ ูกต้อง ป.4/1 อธิบายความส�ำคญั ของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือในฐานะเป็นศนู ยร์ วมจติ ใจ ของศาสนกิ ชน ป.4/5 ชนื่ ชมการท�ำความดีของตนเองบุคคลในครอบครัว โรงเรียนและชุมชนตามหลักศาสนา พรอ้ มท้ังบอกแนวปฏบิ ตั ิในการดำ� เนินชีวติ ป.5/5 แสดงความเคารพพระรตั นตรยั และปฏบิ ตั ติ ามไตรสกิ ขาและหลกั ธรรมโอวาท 3 ในพระพทุ ธศาสนา หรอื หลักธรรมของศาสนาท่ตี นนับถือตามทก่ี �ำหนด ป.5/7 ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนาทีต่ นนบั ถือเพ่อื การพฒั นาตนเองและสง่ิ แวดล้อม ม.1/8 วิเคราะหแ์ ละปฏิบตั ติ นตามหลกั ธรรมทางศาสนาท่ีตนนับถือในการด�ำรงชีวติ แบบพอเพียง และดูแลรักษาสิง่ แวดล้อม เพ่ือการอยรู่ ่วมกนั ไดอ้ ย่างสันติสุข ม.2/4 อภิปรายความสำ� คัญของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาทีต่ นนบั ถอื กบั การพฒั นาชุมชน และการจัดระเบียบสงั คม ม.2/5 วเิ คราะหพ์ ุทธประวัตหิ รือประวัติศาสดาของศาสนาที่ตนนับถอื ตามทกี่ ำ� หนด ม.2/8 อธบิ ายธรรมคณุ และข้อธรรมส�ำคัญในกรอบอรยิ สัจ 4 หรือหลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถือ ตามท่ีกำ� หนดเหน็ คณุ คา่ และนำ� ไปพัฒนาแก้ปัญหาของชมุ ชนและสังคม ม.3/2 ปฏิบตั ิตนในศาสนพิธี พธิ กี รรมและวันส�ำคัญทางศาสนาตามท่ีก�ำหนดและอภิปรายประโยชน์ ทีไ่ ด้รบั จากการเข้ารว่ มกิจกรรม หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 231

มาตรฐาน ส 1.2 เขา้ ใจตระหนกั และปฏบิ ตั ติ นเปน็ ศาสนกิ ชนทด่ี แี ละธำ� รงรกั ษาพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนา ท่ตี นนับถือ ตวั ชีว้ ดั ป.4/1 อภปิ รายความสำ� คัญและมีส่วนร่วมในการบ�ำรุงรกั ษาศาสนสถานของศาสนาทีต่ นนับถือ ป.4/3 ปฏิบัติตนในศาสนพิธี พิธีกรรมและวนั ส�ำคัญทางศาสนาตามทกี่ ำ� หนดไดถ้ กู ต้อง ป.5/2 ปฏบิ ตั ิตนในศาสนพธิ ี พธิ ีกรรมและวันส�ำคัญทางศาสนาตามทก่ี ำ� หนดและอภปิ รายประโยชน์ ทไ่ี ดร้ ับจากการเข้าร่วมกิจกรรม ป.6/1 อธิบายความร้เู กี่ยวกับสถานท่ีต่าง ๆ ในศาสนสถานและปฏิบตั ติ นได้อย่างเหมาะสม ม.1/4 จัดพธิ กี รรมและปฏบิ ตั ติ นในศาสนพิธี พิธกี รรมไดถ้ ูกต้อง ม.1/5 อธบิ ายประวตั คิ วามสำ� คญั และปฏบิ ตั ติ นในวนั สำ� คญั ทางศาสนาทตี่ นนบั ถอื ตามทก่ี ำ� หนดไดถ้ กู ตอ้ ง ม.2/5 อธบิ ายความแตกตา่ งของศาสนพธิ ี พธิ กี รรมตามแนวปฏบิ ตั ขิ องศาสนาอนื่ ๆ เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารยอมรบั และความเข้าใจซงึ่ กนั และกนั ม.3/2 ปฏบิ ัติตนอย่างเหมาะสมตอ่ บคุ คลตา่ ง ๆ ตามหลักศาสนาตามท่กี �ำหนด ม.3/3 ปฏบิ ัตหิ น้าทข่ี องศาสนกิ ชนท่ดี ี ม.3/4 ปฏบิ ตั ติ นในศาสนพธิ ี พิธีกรรมได้ถูกต้อง ม.3/6 แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะหรือแสดงตนเปน็ ศาสนกิ ชนของศาสนาที่ตนนบั ถอื สาระสำ� คญั ศาสนพิธี พิธีกรรมของศาสนาต่าง ๆ ที่ชาวนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่นับถือ ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนา อสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ มลี กั ษณะสำ� คญั ทศี่ าสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ตั ติ นอยา่ งเหมาะสมเมอ่ื ตอ้ งเขา้ รว่ มพธิ อี ยา่ งมมี รรยาท เขา้ ร่วมในศาสนพิธี พธิ กี รรมและกิจกรรมในวนั สำ� คัญทางศาสนาตามท่ีก�ำหนด และปฏบิ ตั ติ นได้ถูกตอ้ ง สาระการเรยี นรู้ 1. ศาสนาในจงั หวัดนครศรธี รรมราช 1.1 ศาสนาที่ชาวนครศรีธรรมราชสว่ นใหญ่นับถอื 1.2 ประวตั ทิ างศาสนาในจงั หวดั นครศรธี รรมราช 2. ศาสนาพทุ ธ 2.1 ประวัติศาสนาพุทธ 2.2 หลกั ธรรมส�ำคญั ทางพุทธศาสนา 2.3 หลักการปฏบิ ัติ 2.4 ศาสนสถาน สถานทสี่ �ำคัญทางพระพุทธศาสนา ประเพณีทส่ี �ำคัญทางพระพทุ ธศาสนา 3. ศาสนาอิสลาม 3.1 ประวัตศิ าสนาอิสลาม 3.2 หลกั ค�ำสอน 3.3 หลักการปฏบิ ตั ิ 232 แหนลักวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศึกษา

4. ศาสนาคริสต์ 4.1 ประวัติศาสนาคริสต์ 4.2 พธิ ีกรรมส�ำคญั ในศาสนาคริสต์ 4.3 คริสตจักรในจงั หวัดนครศรีธรรมราช กิจกรรมการเรยี นรู้ 1. ขน้ั นำ� เขา้ สบู่ ทเรยี น ใชส้ อ่ื ทเี่ หมาะสมตามสาระการเรยี นรู้ เชน่ เพลง, แผนภาพ, บตั รคำ� (คำ� ขวญั จงั หวดั นครศรธี รรมราช) การน่งั สมาธ,ิ การสวดมนต์ ฯลฯ 2. ข้ันสอน 2.1 ครชู วนสนทนาเกีย่ วกับศาสนาตา่ ง ๆ และใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเห็น 2.2 แบง่ กลุ่ม มอบใบกจิ กรรม ใบความรู้ อภิปรายกล่มุ 2.3 ตวั แทนกลมุ่ นำ� เสนอ 2.4 ครูและนกั เรียนสรุปองค์ความรรู้ ว่ มกัน 2.5 ในวันส�ำคัญทางศาสนาต่าง ๆ ให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน บันทึกการเข้าร่วมกิจกรรม แลว้ นำ� มาแลกเปล่ยี นเรยี นรู้หรือจดั นทิ รรศการ สอ่ื /นวตั กรรม 1. ใบกจิ กรรม 2. ใบความรู้ 3. สื่อมัลตมิ เี ดีย (Multimedia) เชน่ ข้อความ กราฟ ภาพศิลป์ (Graphic Art) เสียง ภาพเคลอ่ื นไหว (Animation) และวีดิทัศน์ เปน็ ต้น การวดั และประเมนิ ผล รายการ วธิ กี าร เครื่องมือ ความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับศาสนา - สังเกตความสนใจ ในการท�ำ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ต่าง ๆ ในจังหวดั นครศรธี รรมราช กจิ กรรมรายบุคคล - แบบสงั เกตพฤติกรรมรายกลุม่ - สงั เกตการมีส่วนรว่ มในการทำ� - แบบประเมินชิ้นงาน กิจกรรมกล่มุ - ประเมินช้นิ งาน การปฏบิ ตั ติ นและการเขา้ รว่ มกจิ กรรม - การเขา้ ร่วมกิจกรรมในวันสำ� คัญ - แบบบนั ทกึ การเขา้ รว่ มกจิ กรรม ในวนั สำ� คญั ของศาสนาทตี่ นเองนบั ถอื ของศาสนาท่ตี นเองนับถือ หลักสูตแรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 233

หน่วยท่ี 9 ศาสนา ประวตั ศิ าสนาพทุ ธ ศาสนาพุทธ ศาสนสถาน สถานทส่ี ำ� คัญ ทางพระพทุ ธศาสนา ศาสนาในจงั หวัดนครศรธี รรมราช ประวตั ิ ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ ประวัติ ศาสนาอสิ าม ศาสนาครสิ ต์ มสั ยิดในจังหวดั คริสตจักรในจงั หวัด นครศรธี รรมราช นครศรีธรรมราช 234 แหนลกัวสกูตารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

ศาสนา ศาสนาทุกศาสนาล้วนมีจุดมุ่งหมายในการจัดระเบียบสังคมมนุษย์ เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เกิดประโยชน์ท้ังส่วนตนและส่วนรวมเปรียบเสมือนธรรมนูญแห่งชีวิต และอยู่ในวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคนโดยท่ัวไป ดว้ ยเหตนุ ที้ ุกศาสนายอ่ มวางหลกั ศาสนาไว้ใหป้ ฏบิ ตั ิตาม รวมทั้งชใ้ี ห้เป็นประโยชน์และโทษแห่งการปฏบิ ตั ิตามหรือ ฝา่ ฝนื หลกั ศาสนานนั้ ๆ ไวแ้ ลว้ ตงั้ แตโ่ บราณกาล ในการน้ี คำ� ขวญั จงั หวดั นครศรธี รรมราช ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั ศาสนา เปน็ อย่างมาก ดงั ค�ำขวัญประจำ� เมือง คือ เราชาวนครฯ อย่เู มืองพระ มน่ั อยู่ในสจั จะ ศีลธรรม กอปรกรรมดี มมี านะ พากเพียร ไม่เบยี ดเบยี น ทำ� อนั ตรายผ้ใู ด ศาสนาเปน็ สง่ิ ท่สี ำ� คญั มาก ไมว่ า่ ศาสนาใด ๆ กต็ าม ลว้ นแตม่ ีลกั ษณะสำ� คญั ที่เหมือนกนั คือ สอนให้ทกุ คน เปน็ คนดี อยู่ในสงั คมได้อยา่ งสันตสิ ขุ อีกทงั้ ยังเป็นทยี่ ึดเหนีย่ วทางจติ ใจ และมหี ลักในการด�ำเนินชีวิตทถี่ กู ตอ้ งและ ปลอดภยั ดงั นน้ั ศาสนาจงึ เปน็ เรอื่ งทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ของมนษุ ยท์ กุ คน ไมว่ า่ มนษุ ยจ์ ะเจรญิ หรอื ลา้ หลงั กต็ าม กย็ อ่ ม มีศาสนาประจ�ำบ้านเมือง ประจ�ำหมู่คณะ หรืออย่างน้อยก็ประจ�ำตระกูลหรือครอบครัว ความส�ำคัญของศาสนา มดี ังน้ี 1. ศาสนาเปน็ เครอื่ งสง่ั สอนใหม้ นษุ ยป์ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นทางทถี่ กู ตอ้ งดงี าม เปน็ ประโยชน์ ตอ่ ตนเอง สงั คม และประเทศชาติ 2. ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งศีลธรรมจรรยาและขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีชอบ อันเป็นเครื่องประกอบให้ เกิดความสมัครสมานสามัคคี มีเอกลกั ษณ์ อารยธรรม และวัฒนธรรมอันดีงาม เปน็ ของตนเอง 3. ศาสนาเป็นเครอื่ งบ�ำบัดทกุ ขแ์ ละบ�ำรงุ สุขใหแ้ ก่มนุษย์ ทงั้ ทางดา้ นร่างกายและจิตใจ 4. ศาสนาเปรยี บเสมอื นดวงประทปี โคมไฟทใ่ี หค้ วามสวา่ งไสวแกเ่ สน้ ทางการดำ� เนนิ ชวี ติ ของมนษุ ยผ์ อู้ าศยั อยใู่ นโลก 5. ศาสนาช่วยท�ำใหช้ ีวติ ครอบครัวอบอุ่น เป็นแหล่งผลิตทรพั ยากรมนษุ ยท์ ่มี คี ุณค่าให้แก่สงั คม 6. ศาสนาเป็นพลังใจให้มนุษย์สามารถเผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญ ไม่หวั่นไหวต่อปัญหาและอุปสรรค ท�ำใหม้ คี วามสงบสุขและผาสกุ ในชีวิต 7. ศาสนาชว่ ยยกระดบั จติ ใจ ทำ� ใหเ้ ปน็ ผคู้ วรแกก่ ารเคารพนบั ถอื อกี ทง้ั ยงั ชว่ ยสรา้ งจติ สำ� นกึ ในคณุ คา่ ของ ความเปน็ มนุษย์ใหก้ ับคนในสังคมอกี ดว้ ย หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 235

8. ศาสนาชว่ ยสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธอ์ นั ดตี อ่ กนั ชว่ ยขจดั ชอ่ งวา่ งทางสงั คม สรา้ งความไวว้ างใจซง่ึ กนั และกนั ใหเ้ กดิ ขน้ึ เปน็ รากฐานแหง่ ความสามคั คี การรว่ มแรงรว่ มใจกนั พฒั นาชมุ ชน และสรา้ งความสงบสขุ ความมนั่ คงใหแ้ ก่ ชมุ ชน 9. ศาสนาช่วยให้มนุษย์ได้ประสบความสุขสงบและสันติสุขขั้นสูง จนกระทั่งบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุด ของชวี ิต คอื หมดทุกข์โดยสน้ิ เชิงได้ 10. ศาสนาเป็นมรดกล้�ำค่าแห่งมนุษยชาติ เป็นความหวังและวิถีทางสุดท้ายแห่งความอยู่รอดของมวล มนุษยชาติ จากคำ� ขวญั ประจำ� เมอื งนครศรธี รรมราช โรงเรยี นสามารถนำ� มาสกู่ ารปฏบิ ตั แิ ละยกยอ่ งนกั เรยี นทปี่ ฏบิ ตั ติ น ไดด้ ีและเหมาะสม เช่น เราชาวนครฯ อยู่เมอื งพระ นกั เรยี นทีน่ ับถอื ศาสนาพทุ ธสามารถสวดมนต์ หรือท�ำกิจวตั รอนื่ ๆ ทางพุทธ ศาสนาได้ดีและเหมาะสม คดั เลอื กและมอบเกียรตบิ ัตรเพอื่ ยกยอ่ งเชิดชูเกยี รติ มั่นอยู่ในสจั จะ ศลี ธรรม นักเรียนทน่ี บั ถือทุกศาสนาทป่ี ฏบิ ัติตน มสี ัจจะ ได้แก่ มคี วามซอ่ื สัตย์ ทง้ั ทางกาย วาจา และใจ คดั เลือกและมอบเกียรตบิ ตั รเพือ่ ยกย่องเชดิ ชูเกยี รติ กอปรกรรมดี มีมานะ พากเพียร นักเรียนที่นับถือทุกศาสนาที่ปฏิบัติตนเป็นคนดีของชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ เปน็ พลเมอื งดขี องสงั คม มคี วามขยนั พากเพยี รจนประสบความสำ� เรจ็ ดา้ นใดกไ็ ดท้ โี่ ดดเดน่ คดั เลอื ก และมอบเกยี รติบตั รเพอื่ ยกย่องเชดิ ชูเกียรติ ไม่เบยี ดเบยี น ทำ� อนั ตรายผูใ้ ด นักเรยี นทน่ี ับถือทกุ ศาสนาท่ีไมป่ ระพฤติชว่ั ไม่ท�ำลายผูอ้ น่ื ม่งุ ทำ� ความดี เจรญิ ด้วยศกั ดิศ์ รี ต้งั จิตผอ่ งใส ผกู ไมตรี มมี ารยาทต่อทกุ คน คัดเลอื กและมอบเกยี รตบิ ตั รเพอื่ ยกยอ่ งเชดิ ชูเกียรติ โรงเรยี นทุกโรงสามารถท�ำป้ายค�ำขวญั ประจ�ำเมอื งนครศรีธรรมราช ไวใ้ นบรเิ วณโรงเรยี นเพ่ือใหน้ กั เรยี นได้ เหน็ ทกุ วันและเปน็ แรงจูงใจในการประพฤติปฏิบตั ิตนตามคำ� ขวญั ดังกลา่ ว ทีม่ า : https://www.facebook.com/498433440174373/photos/คำ� ขวัญประจ�ำเมืองนครศรีธรรมราชฟังบทเพลง 236 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศึกษา

ประวตั ิทางศาสนาในจงั หวัดนครศรีธรรมราช ประวตั ขิ องเมอื งนครศรีธรรมราช จากการขุดคน้ และโบราณสถาน โบราณวัตถุต่าง ๆ สามารถยอ้ นไปไดถ้ งึ สมัยก่อนประวัติศาสตร์นับพัน ๆ ปี จนกระท่ังเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานบันทึกปรากฏช่ือเป็นท่ีรู้จัก ในหมู่นักเดินเรือและพ่อค้าชาวอินเดียอาหรับและจีนในช่ือว่า ตามพรลิงค์/กะมะลิง/ต้ังมาหล่ิง บ้าง ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 600-700 และชมุ ชนนครศรธี รรมราชไดพ้ ฒั นาจนเปน็ ชมุ ชนใหญ่ รบั อทิ ธพิ ลศาสนาพราหมณจ์ ากอนิ เดยี ตลอด แนวชายฝั่ง ตั้งแต่เขตสิชลจนถึงเขตต�ำบลท่าเรือของอ�ำเภอเมืองในปัจจุบัน มีโบราณสถานหลงเหลืออยู่มากมาย โดยเฉพาะท่บี ริเวณอุทยานประวตั ศิ าสตรเ์ ขาคา และเขตอำ� เภอสิชลซ่ึงได้คน้ พบเทวรูปพระวษิ ณุศลิ า ทมี่ ีอายเุ ก่าแก่ ทีส่ ดุ ในเอเซียอาคเนย์ คือ ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 9-10 กับยงั พบศลิ าจารึกขนาดใหญ่ ท่เี กา่ แก่ท่สี ุดหลักหนง่ึ ของ ประเทศไทย คอื มอี ายุครั้งพทุ ธศตวรรษท่ี 11 ณ หบุ เขาช่องคอย อำ� เภอรอ่ นพิบลู ย์ มีข้อความบูชาพระศวิ ะและเชดิ ชู คนดวี ่า “ถา้ คนดีอย่ใู นหมูบ่ า้ นของชนเหล่าใด ความสขุ และผล (ประโยชน)์ จักมแี กช่ นเหลา่ น้นั ” อีกดว้ ย หลงั พทุ ธศตวรรษท่ี 10 เร่มิ พบร่องรอยพุทธศาสนาในนครศรีธรรมราช และเชอื่ ว่านครศรธี รรมราชพฒั นา จนเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยดังปรากฏหลักฐานบน ศิลาจารึกหลักที่ 23 วัดเสมาเมือง ท่ีจารึกไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 1318 ว่า “พระเจ้ากรุงศรีวิชัยผู้ประกอบด้วยคุณความดีและเป็นเจ้าแห่งพระราชาท้ังหลาย ในโลกทั้งปวงได้ ทรงสร้างปราสาทอิฐท้ังสามนี้ เป็นท่ีบูชาพระโพธิสัตว์เจ้าผู้ถือดอกบัว (ปทุมปาณี) พระผู้ผจญพระยามาร (พระพุทธเจ้า) และพระโพธิสัตว์เจ้าผู้ถือวัชระ (วชรปาณี) พระองค์ได้ถวายปราสาททั้งสามนี้แก่บรรดา พระชินราชอันประเสริฐสุด ซ่ึงสถิตอยู่ในทศทิศ ณ สถานที่แห่งนี้ร่วมกับศิลาจารึกอีกหลายหลัก เช่น ศิลาจารึก หลักที่ 29 วัดพระบรมธาตเุ มืองนคร ภาษาทมฬิ พุทธศตวรรษท่ี 9-10 ศลิ าจารึกหลักท่ี 28 วดั พระบรมธาตุเมืองนคร ภาษามอญโบราณ พุทธศตวรรษท่ี 12 และศิลาจารึกหลักที่ 27 วัดมเหยงค์ ภาษาสันสกฤตอักษรคล้ายเขมร พทุ ธศตวรรษที่ 12-14 ทจี่ ารกึ ไวว้ า่ “...บญุ กศุ ลอนื่ ๆ ตามคำ� สอน คอื การปฏบิ ตั พิ ระธรรมไมข่ าดสกั เวลา การบรบิ าล ประชาราษฎร์ การทนตอ่ อฏิ ฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ การชำ� นะอนิ ทรยี ์...” ช่วงท่นี ครศรธี รรมราชม่นั คงทส่ี ดุ ในประวตั ศิ าสตรค์ อื ในพทุ ธศตวรรษที่ 17-19 อันเป็นรัชสมยั ของราชวงศ์ ศรธี รรมาโศกราช ซง่ึ ไดส้ ถาปนาพระพทุ ธศาสนาลัทธิลงั กาวงศล์ งในนครศรธี รรมราชอยา่ งม่ันคง ก่อนทจ่ี ะแผ่ขยาย ไปยงั ดินแดนของแหลมทอง นครศรีธรรมราชครั้งนนั้ กว้างขวาง มเี มืองข้นึ รายรอบ 12 เมือง เรยี กว่า เมอื งสบิ สอง นกั ษัตร ตัง้ แตช่ ุมพรลงไปถึงเมอื งปาหงั กลันตนั และไทรบุรี กบั นครศรธี รรมราชยังเคยกรีธาทพั เรอื ท่มี ีแสนยานุภาพ ไปตลี ังกาถึง 2 ครงั้ นอกจากน้ียังพบรอ่ งรอยความสัมพันธแ์ ละยกทัพส้รู บระหว่างกนั ของนครศรธี รรมราชกบั เขมร โบราณ ละโว้ ตลอดจนชวาโบราณอกี ด้วย หลักสูตแรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 237

ศาสนาท่ีชาวนครศรธี รรมราชสว่ นใหญ่นบั ถอื ชาวนครศรธี รรมราชสว่ นใหญน่ บั ถอื ศาสนาพทุ ธ ประมาณ 93.61% รองลงมา ไดแ้ ก่ ศาสนาอสิ ลาม 6.17% ศาสนาคริสต์ 0.20% ศาสนาซกิ ข์ 0.01% ศาสนาอ่ืน ๆ 0.01% (ศนู ยข์ ้อมูลการท่องเท่ียวจังหวดั นครศรธี รรมราช, 2557) ในที่นี้จะมรี ายละเอียดเฉพาะศาสนาทชี่ าวนครศรีธรรมราชส่วนใหญน่ บั ถอื ดังนี้ 1. ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่แพร่หลายที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีโบราณสถานและโบราณวัตถุ ทางพทุ ธศาสนาทแ่ี สดงถงึ ความรงุ่ เรอื งมาชา้ นาน (ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี 30 กนั ยายน 2557) มวี ดั ทางพทุ ธศาสนา 605 แหง่ มพี ระภกิ ษุ 3,267 รปู สามเณร 703 รปู ชาวนครศรีธรรมราชยึดมนั่ ในประเพณีทางศาสนา และมคี วามผูกพันกบั พระบรมธาตุเจดีย์ วดั พระมหาธาตุวรมหาวหิ าร จงั หวดั นครศรธี รรมราชได้ชอื่ ว่าเปน็ “เมืองพระ” เมือ่ ถงึ วันสำ� คัญ ทางศาสนา เชน่ วนั มาฆบูชา ประเพณแี ห่ผา้ ข้ึนธาตุ วันวสิ าขบชู า ฯลฯ จะมปี ระชาชนจากท่ัวสารทิศ หล่งั ไหลกนั มา สกั การะองคพ์ ระบรมธาตเุ จดยี อ์ ย่างล้นหลาม จงั หวดั นครศรธี รรมราช มีวัด 621 แหง่ มหานกิ าย 539 แห่ง และ ธรรมยุติ 82 แห่ง ที่พักสงฆ์ 157 แหง่ มีพระภกิ ษุสงฆ์รวมทง้ั จงั หวดั 3,307 รปู สามเณร 778 รปู มมี หาวิทยาลยั สงฆ์ 2 แหง่ โรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม แผนกสามญั 7 แห่ง (ข้อมลู ณ วนั ที่ 31 พฤษภาคม 2560) 2. ศาสนาอสิ ลาม ในจงั หวดั นครศรธี รรมราชมีผนู้ ับถือศาสนาอสิ ลาม สว่ นใหญม่ บี รรพบรุ ษุ มาจากเมือง กลันตัน ปัตตานี และไทรบุรี อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีมัสยิด 122 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในเขตอ�ำเภอเมือง นอกจากน้ัน กระจัดกระจายอยู่ในเขตอ�ำเภอท่าศาลา อ�ำเภอหัวไทร อ�ำเภอสิชล อ�ำเภอปากพนัง และอ�ำเภอร่อนพิบูลย์ มีศนู ย์อบรมศาสนาอิสลามและจรยิ ธรรมประจ�ำมสั ยดิ 101 แห่ง (ขอ้ มูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560) 3. ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถือจ�ำนวนเพียงเล็กน้อยในเขตอ�ำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อ�ำเภอทุ่งสง อำ� เภอทงุ่ ใหญ่ และอำ� เภอรอ่ นพิบลู ย์ มีทั้งนิกายโปรแตสแตนท์และโรมนั คาธอลิค มีโบสถค์ รสิ ต์ 27 แหง่ (ขอ้ มูล ณ วนั ท่ี 31 พฤษภาคม 2560) ศาสนาพทุ ธ (Buddhism) ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเร่ิมต้ังแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนา พทุ ธคือ พระพุทธเจ้า ศาสนสถาน วดั และสำ� นกั สงฆต์ า่ ง ๆ อนั เปน็ สถานทย่ี ดึ เหนยี่ วจติ ใจของชาวพทุ ธ ซง่ึ เปน็ สถานทอี่ ยอู่ าศยั หรอื ทจ่ี ำ� พรรษา ของพระภกิ ษุ สามเณรตลอดจน แมช่ ี เพอื่ ใชป้ ระกอบกจิ กรรมประจำ� วนั ของพระภกิ ษสุ งฆ์ เชน่ การทำ� วตั รเชา้ และเยน็ และสงั ฆกรรมในพระอโุ บสถ อกี ท้ัง ยังใชป้ ระกอบพธิ กี รรม เชน่ การเวยี นเทยี น เป็นต้นในวนั ส�ำคญั ทางศาสนาพทุ ธ และยังเป็นศูนย์รวมในการมาร่วมกันท�ำกิจกรรมในทางช่วยกันส่งเสริมพุทธศาสนา เช่น การมาท�ำบุญในวันพระ ของแต่ละท้องถ่ินของพุทธศาสนิกชน (สืบค้นข้อมูลได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อวัดใน จังหวดั นครศรธี รรมราช) 238 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

วดั ในจงั หวดั นครศรธี รรมราชมอี ยทู่ ุกอ�ำเภอ ยกตัวอย่างท่ีสำ� คญั พอเป็นสงั เขป ดังน้ี วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตงั้ อยู่ ถนนราชด�ำเนนิ ตำ� บลในเมือง อำ� เภอเมอื งนครศรีธรรมราช จังหวดั นครศรธี รรมราช เปน็ พระอาราม หลวงชน้ั เอก ชนดิ วรมหาวหิ าร จงั หวดั นครศรธี รรมราชเปน็ 1 ในจอมเจดยี ์ แห่งสยาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงเป็นผู้บัญญัตคิ �ำวา่ จอมเจดยี ์ ข้ึนมา ซง่ึ ท้ังประเทศมีจอมเจดียท์ ่คี วรค่าแกก่ ารยกย่อง 8 แห่ง ไดแ้ ก่ 1. พระปฐมเจดยี ์ จังหวดั นครปฐม 2. พระมหาธาตเุ มอื งละโว้ 3. พระธาตหุ รภิ ญุ ชยั 4. พระธาตพุ นม 5. พระศรรี ตั นมหาธาตุเมอื งเชลียง 6. พระมหาธาตเุ มอื งนครศรีธรรมราช 7. พระมหาธาตเุ มอื งศรีสชั นาลยั 8. พระเจดยี ช์ ยั มงคลวดั ใหญ่ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวหิ าร วดั ธาตนุ อ้ ย หรอื วดั พระธาตนุ อ้ ย ตั้งอยู่ในเขตต�ำบล หลักช้าง อ�ำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งขึ้นโดยความประสงค์ของ พอ่ ท่านคลา้ ย (พระครูพศิ ษิ ฐ์อรรถการ) พระเกจิอาจารย์ทีช่ าวใต้เลอื่ มใสศรทั ธาอย่างสูงยง่ิ รปู หน่ึง ซง่ึ ศษิ ย์ยานุศษิ ย์ และประชาชน ท่ีเคารพนับถือ ศรัทธา พ่อท่านคล้ายได้เช่ือถือถึงความศักดิ์สิทธ์ิของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างน้ัน ทา่ นมักจะใหพ้ รกับทุกคน ขอให้ เปน็ สุข เปน็ สุข โดยประดิษฐานพระสารีรกิ ธาตุและสรีระสงั ขารพอ่ ทา่ นคล้าย ในโลงแก้วประดิษฐาน อยใู่ นองคพ์ ระเจดยี ์ สงั ขารพอ่ ทา่ นคลา้ ย ซง่ึ ว่ากนั วา่ แข็งเปน็ หินทีช่ าวบ้านนับถอื และศรทั ธามาจนทุกวนั นี้ วัดธาตุนอ้ ย หรือ วดั พระธาตุนอ้ ย หลกั สูตแรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 239

ศาสนาอิสลาม (Islam) ศาสนาอิสลาม (Islam) เป็นศาสนาเอกเทวนิยมและศาสนาอับราฮัม บัญญัติไว้ในคัมภีร์ อัลกุรอาน คมั ภรี ศ์ กั ดส์ิ ทิ ธขิ์ องอสิ ลามซงึ่ สาวกถอื วา่ เปน็ พระวจนะคำ� ตอ่ คำ� ของพระเปน็ เจา้ (อลั ลอฮ)ฺ และสำ� หรบั สาวกสว่ นใหญ่ เป็นค�ำสอนและตัวอย่างเชิงบรรทัดฐาน (เรียกว่า สุนัต และประกอบด้วยหะดีษ) ของมุฮัมมัด (ประมาณ 570 – 8 มิถุนายน 632) เป็นศาสดา (นบี) องค์สุดท้ายของพระเป็นเจ้า สาวกของศาสนาอิสลาม เรียกว่า มุสลิม ศาสนาอสิ ลาม เปน็ ชนกลุ่มนอ้ ยทางศาสนาในประเทศไทย แตม่ ีการเติบโตอยา่ งรวดเร็ว คนส่วนใหญ่เช่ือว่าชาวมุสลิมส่วนใหญ่ของประเทศอาศัยอยู่ในสามจังหวัดใต้สุดของประเทศไทย ได้แก่ จงั หวดั ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส อยา่ งไรก็ตาม การศึกษาของกระทรวงการต่างประเทศ ช้ีวา่ ชาวไทยมุสลมิ เพียง รอ้ ยละ 18 เท่านนั้ ที่อยู่ในพน้ื ทสี่ ามจังหวดั น้ี ส่วนทีเ่ หลืออาศัยอยูก่ ระจายไปทว่ั ประเทศ โดยสว่ นใหญ่อาศัยอยูใ่ น กรงุ เทพมหานครและตลอดพ้นื ทภ่ี าคใตข้ องประเทศ สำ� หรบั ชาวมสุ ลมิ ในจงั หวดั ภาคใตข้ องไทยนนั้ เปน็ ชนพนื้ เมอื งมาแตด่ ง้ั เดมิ มไิ ดส้ บื เชอื้ สายมาจากชาวมสุ ลมิ ทเ่ี ขา้ มาทางการคา้ หรอื อพยพมาจากดนิ แดนอน่ื เพราะมหี ลกั ฐานปรากฏวา่ ชนชาตดิ ง้ั เดมิ เหลา่ นไี้ ดเ้ ขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐาน อยบู่ นแหลมมลายตู งั้ แตก่ อ่ นครสิ ตศกั ราชเปน็ เวลา 43 ปี และมอี าณาจกั รสำ� คญั คอื อาณาจกั รลงั กาซู ตอ่ มาประมาณ ครสิ ตศ์ กั ราช 220 ชนชาตนิ ก้ี ไ็ ดก้ อ่ ตง้ั อาณาจกั รขนึ้ ทจ่ี งั หวดั นครศรธี รรมราช และในครสิ ตศ์ กั ราช 658 เกดิ อาณาจกั ร ขน้ึ ใหม่ คือ อาณาจักรศรวี ิชยั มอี ิทธพิ ลแผไ่ ปทวั่ แหลมมาลายู และอาณาจักรท่ีจงั หวดั นครศรธี รรมราช กต็ กอยูใ่ น อำ� นาจของอาณาจักรศรีวชิ ยั ดว้ ย จนกระทงั่ ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 อาณาจักรศรีวชิ ยั เสือ่ มอ�ำนาจลง และอาณาจักร ใหม่เกิดข้นึ แทนท่ี คือ อาณาจักรมชั ปาหิต ตอ่ มาถงึ ครสิ ต์ศักราช 1401 อาณาจักรนกี้ เ็ ส่อื มสลายลงและอทิ ธิพลของ ศาสนาอิสลามก็ได้แผ่เข้ามาแทนที่วัฒนธรรมอินเดียที่เคยมีอยู่ในบริเวณนี้ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึงต้น คริสต์ศตวรรษที่ 9 ศาสนาอสิ ลามไดเ้ ขา้ ฝงั รกรากในอาณาจักรปัตตานี ซงึ่ ก่อตง้ั โดยพระยาตนกูดนั ดารา และขยาย ตวั ไปครอบคลมุ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ในปจั จบุ นั ชาวไทยทนี่ บั ถอื ศาสนาอสิ ลามมอี ยทู่ ว่ั ประเทศ (ประยทุ ธ สทุ ธพิ นั ธ์ 2505 : 212) มสั ยิดในจงั หวัดนครศรีธรรมราช มัสยิดในจังหวัดนครศรีธรรมราช ต้ังอยู่ในอ�ำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อ�ำเภอขนอม อ�ำเภอพรหมคีรี อ�ำเภอพระพรหม อ�ำเภอร่อนพิบูลย์ อ�ำเภอชะอวด อ�ำเภอท่าศาลา อ�ำเภอสิชล อ�ำเภอหัวไทร อ�ำเภอทุ่งสง อำ� เภอทุ่งใหญ่ อำ� เภอบางขนั และอำ� เภอปากพนัง (สืบคน้ ข้อมลู ไดจ้ าก https://th.wikipedia.org/wiki/รายช่อื วดั ในจังหวัดนครศรธี รรมราช) มสั ยดิ กลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช 240 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศึกษา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook