Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียน นครศรีธรรมราชศึกษา

เอกสารประกอบการเรียน นครศรีธรรมราชศึกษา

Published by dlit_sm037, 2021-11-17 08:37:02

Description: เอกสารประกอบการเรียน นครศรีธรรมราชศึกษา

Search

Read the Text Version

แตข่ องจรงิ เปน็ ทา้ วขตั ตคุ าม กลายมาเปน็ จตั คุ ามและ จตคุ าม เปน็ ทม่ี าของจตคุ ามรามเทพ ในปจั จบุ นั ) ชอ่ื พระราม เทพองค์หนึ่ง ต้ังอยู่หัวผนังทั้ง 2 ข้าง นกอินทรีย์ข้างละตัว ชื่อว่าเท้ากุเวรเทพราชตัวหน่ึง ข้างตีนบันไดนั้นมีรูป นนทยกั ษ์ ยนื ถอื กระบองข้างละตวั 2) เจดยี ์ราย ภายในบริเวณพระบรมธาตุเจดีย์ถัดเข้าไป จากพระระเบยี งวหิ ารคด มเี จดยี ข์ นาดตา่ ง ๆ เรยี งรายรอบองค์ พระบรมธาตเุ จดยี ์ ดรู าวกบั วา่ ผสู้ รา้ งมเี จตนาทจ่ี ะใหเ้ ปน็ บรวิ าร ของพระบรมธาตเุ จดีย์ เจดยี บ์ รวิ ารเหลา่ น้ีไม่มหี ลักฐานยืนยัน ว่าแต่เดิมผู้สร้างเจตนาที่จะใช้บรรจุอัฐิหรือไม่แต่ปัจจุบันมีผู้ ปฏสิ งั ขรณแ์ ลว้ นำ� อฐั ของวงศต์ ระกลู ไปบรรจไุ วท้ ฐี่ านของเจดยี ์ เหล่าน้ีแทบทุกองค์ เจดีย์บริวารเหล่าน้ีสร้างอย่างมีระเบียบ เรียบร้อย เป็นศิลปะราวสมัยอยุธยาตอนปลายหรือ เจดยี ์ราย รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ จากการสำ� รวจทำ� ใหท้ ราบวา่ เจดยี บ์ รวิ าร รอบองคพ์ ระบรมธาตเุ จดยี ม์ อี ยทู่ ง้ั สน้ิ จำ� นวน 185 องค์ แบบทยี่ ดึ ในการสรา้ งสว่ นใหญเ่ ปน็ การจำ� ลองมาจากพระบรม ธาตุเจดยี แ์ ทบทัง้ สิ้น 3) วิหารพระม้า วิหารพระม้าน้ีมีช่ือเรียกหลายชื่อ เช่น วิหารพระม้าหรือวิหารพระทรงม้า หรือวิหารพระมหา ภิเนษกรม อันเป็นชื่อเรียกทางราชการ แต่ชาวนครนิยม เรยี กสน้ั ๆ วา่ วหิ ารพระมา้ ทเ่ี รยี กเชน่ นก้ี เ็ พราะวา่ ภายในวหิ ารนี้ มีปูนปั้นเป็นภาพเก่ียวกับเรื่อพระพุทธประวัติตอนพระพุทธ องคท์ รงมา้ เสดจ็ ออกบรรพชา อยทู่ ฝี่ าผนงั จงึ เรยี กกนั โดยทวั่ ไป ว่าวิหารพระทรงม้า วิหารพระม้านั้นอยู่ติดกับพระบรมธาตุ เจดียท์ างด้านทิศเหนือ เปน็ วิหารทมี่ ีหลังคาเดียวกับ วิหารพระมา้ วหิ ารเขียนแต่มีผนังกั้นอยูถ่ งึ วิหารพระม้า แยกออกเป็น 2 สว่ น คือเปน็ วิหารพระมา้ สว่ นหนงึ่ และเป็นวิหารเขียนอกี ส่วนหนง่ึ แตเ่ ดิมมาวิหารทงั้ สองหลังนี้มี ประตูวงโคง้ สามารถเดินทะลถุ ึงกัน ต่อมาวิหารเขียนใช้เป็นพพิ ิธภัณฑ์ จงึ ปิดประตโู ดยทำ� เป็นผนังตนั ไปผนังนี้กว้าง 5 วา 10 นิว้ ยาว 15 วา 3 ศอก 8 นิ้ว สงู 7 วา ภายในวิหารประกอบด้วยสงิ่ ต่าง ๆ ต่อไปน้ี คือ ตรงกลางวิหาร มบี ันได รวม 22 ขั้น ทอดเป็นทางขน้ึ สลู่ านประทกั ษิณรอบ ๆ องค์พระบรมธาตเุ จดยี ์ (ก็คือลานภายในก�ำแพงแก้ว นน่ั เอง) ทผ่ี นงั ทง้ั สองขา้ งของบนั ไดมปี นู ปน้ั เปน็ ภาพเทวดาและสตั วใ์ นเทพนกิ ายทางดา้ นซา้ ยตอนบนมพี ระพทุ ธบาท จำ� ลอง ดา้ นขวาเป็นรปู พระหลักเมือง ที่ผนังตรงหวั บันไดมรี ูปครฑุ 1 คู่ ทเ่ี ชิงบันไดมียักษ์และหวั นาคอย่างละ 1 คู่ ท่ีปลายบันไดท่ีจะขึ้นไปลานพระประทักษิณนั้นมีประตูไม้ 1 ประตู ท่ีบานประตูมีภาพสลักทั้งสองบาน ใช้ไม้บาน ละแผ่นเท่านั้น ไม่มีการน�ำไม้มาต่อกัน ฝีมือการแกะสลักก็ประณีตสวยงามมาก บานประตูด้านซ้ายสลักเป็นรูป หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 291

พระพรหม ส่วนด้านขวาเป็นรูปพระนารายณ์ บางแห่งว่าบานประตูนี้เป็นของท�ำขึ้นใหม่ภายหลัง มิใช่ของด้ังเดิม ทท่ี ำ� ขนึ้ ใหมน่ น้ั กเ็ พอ่ื ใชแ้ ทนของเดมิ ทถ่ี กู ไฟไหมเ้ สยี หายไปสมเดจ็ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพทรงสนั นษิ ฐานวา่ บาน ประตแู ตเ่ ดมิ นน้ั เปน็ รปู พระโพธสิ ตั วอ์ วโลกเิ ตศวร ตามตำ� นานเลา่ กนั วา่ วหิ ารพระมา้ นผ้ี สู้ รา้ งเปน็ เศรษฐชี าวลงั กา 2 คน ชื่อ พลิติและพลิมุ่ย (ซึ่งในท่ีสุดเศรษฐีท้ังสองคนน้ีก็ได้บวชเป็นพระภิกษุ) ความมีว่าเศรษฐีทั้งสองได้รับพระบรม ราชโองการจากพระเจ้ากรุงลังกาให้มาช่วยสร้างพระบรมธาตุท่ีเมืองนคร แต่เศรษฐีทั้งสองเดินทางมาถึง ช้าไป พระบรมธาตุสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยแรงศรัทธาเศรษฐีทั้งสองจึงด�ำเนินการก่อสร้างวิหารพระม้าแทน ในระยะเดียวกันน้ีบุตรชายของเศรษฐีช่ือ มดและหมู เกิดทะเลาะกันเร่ืองการชนไก่ เลยฆ่ากันตายท้ังสองคน เศรษฐเี ศร้าสลดใจมาก จึงเอาอัฐขิ องบตุ รมาตำ� เคล้ากับปูน แลว้ ป้นั เป็นรปู พระสทิ ธัตถะ พระนางพมิ พา พระราหุล นายฉนั นะ มา้ กณั ฐกะ เทวดา มาร พรหม โดยอาศยั ตอนพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ออกบรรพชา (เสดจ็ ออกมาหาภเิ นษกรรม) และปัน้ พระพทุ ธรูปยนื ปางห้ามญาติ ปนั้ พระสารบี ตุ ร พระโมคคลั ลานท่ีผนงั ตรงขา้ มบันได 4) วหิ ารเขียน วหิ ารเขยี น ทไ่ี ดช้ อื่ อยา่ งนกี้ เ็ พราะวา่ แตเ่ ดมิ น้ันเสาและผนังของวิหารนี้มีภาพลายเส้นอยู่เต็ม ชาวนครจึง เรียกว่าวิหารเขียน ซึ่งที่ทองลูกบวบ (ทองลูกบวบ ก็คือ ทองดอก หมายถึง ทองเนื้อหก โบราณก�ำหนดคุณภาพของ เนอ้ื ทองตั้งแต่เนือ้ ส่ี ตั้งพิกัดตามราคาน�ำ้ หนกั เช่น ทองเน้ือหก หรือทองดอกบวบ หนัก 1 บาท ราคา 6 บาท เป็นต้น ราคาทองสูงท่ีสุด คือ หนัก 1 บาท ราคา 9 บาท เรียกว่า ทองเนอื้ เกา้ หรอื นพคุณ มันถือวา่ เปน็ ทองบรสิ ทุ ธ์)ิ พระท้ังสอง องค์น้เี จา้ พระยานคร (พัด) สรา้ งเปน็ อนุสรณ์ เม่อื ไปตไี ทรบุรี วิหารพระเขียน ชนะเมอื่ พ.ศ. 2480 กรมศลิ ปากรไดป้ ระกาศรบั พพิ ธิ ภณั ฑสถานของวดั พระมหาธาตเุ ปน็ สาขาพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ประจ�ำจังหวัดนครศรีธรรมราชช่ือว่า “ศรีธรรมราชพิพิธภัณฑสถาน” ท่ีตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของ วดั พระมหาธาตุก็คอื วิหารเขียนน่ันเองกวดั ได้ใช้วหิ ารเขียนเก็บรักษาส่ิงของขนาดเล็กท่ที �ำดว้ ย ทอง เงนิ นาก สำ� ริด เชน่ พระพทุ ธรปู ต้นไมเ้ งนิ ตน้ ไมท้ อง ถว้ ยชาม เคร่อื งลายคราม สร้อย แหวน ตา่ งหู เขม็ ขดั ก�ำไล และปน่ิ ปักผม เป็นต้น ชาวเมืองจึงมักไปชมโบราณวัตถุในวิหารเขียนกันอย่างคับค่ังทุกวัน จนในที่สุดต้องขยายพิพิธภัณฑสถาน ของวัดออกไปอยู่ท่ีวิหารโพธิ์ลังกาและวิหารสามจอม ขณะนี้ก�ำลังด�ำเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ใหม่ติดกับ วหิ ารคดดา้ นทศิ เหนอื บคุ คลสำ� คญั ทค่ี ดิ สรา้ งพพิ ธิ ภณั ฑสถานประจำ� วดั นข้ี นึ้ คอื พระรตั นธชั มนุ ศี รธี รรมราช (รตนธชั เถร-มว่ งเปรียญ) เจา้ คณะมณฑลในอดีต ครัน้ ท่านสิน้ บุญก็มผี ้ดู ำ� เนนิ การตอ่ มา คือ พระรตั นธัชมุนีนครศรีธรรมราช (คณฐาภรณเถร-แบน-เปรียญ) อดีตเจ้าอาวาสวดั พระมหาธาตุ วธิ ีการดำ� เนินการ กค็ ือ ประกาศเชิญชวนชาวเมอื งให้ นำ� ของเก่ามาถวายพระบรมธาตเุ จดยี ์ แลว้ วัดกต็ ั้งกรรมการลงบัญชีรับไว้เป็นหลกั ฐาน จากน้ันก็น�ำออกวางแสดงใน พิพิธภัณฑสถานของวัด 292 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

5) วิหารโพธิ์ลังกา วิหารโพธ์ิลังกา ที่ได้เจอเช่นนี้ก็เพราะตรง กลางวิหารมีลานส�ำหรับปลูกต้นพระศรีมหาโพธ์ิต้นใหญ่ต้น หนึ่ง เช่ือกันว่าพระศรีมหาโพธ์ิต้นนี้ได้พันธุ์มาจากลังกา และ เรยี กชอ่ื วหิ ารตามชอ่ื ของตน้ พระศรมี หาโพธจ์ิ ากลงั กาวา่ วหิ าร โพธ์ิลงั กาวิหารโพธ์ลิ งั กาอย่ตู ิดกับวหิ ารเขียน คืออย่ดู ้านเหนือ ของวหิ ารเขยี นและบรมธาตเุ จดยี ์ สรา้ งเปน็ แบบสรา้ งวหิ ารคด ปชู นยี วัตถปุ ูชนยี สถานทั่ว ๆ ไป คอื เปน็ วิหารสีเ่ หลีย่ มจตั ุรสั ลอ้ มรอบพระศรมี หาโพธิ์ กวา้ งและยาวดา้ นละ 12 วาเศษ วหิ าร นี้ได้ขยายเป็นพิพิธภัณฑสถานของวัดส�ำหรับเก็บโบราณวัตถุ วหิ ารโพธิล์ ังกา จ�ำนวนมากพอสมควร เชน่ ศลิ าจารึก เครอื่ งปนั้ ดินเผา พระพทุ ธรปู ลบั แลมกุ (ซง่ึ คลน่ื ซดั ขน้ึ มาทอ่ี ำ� เภอ หวั ไทร) ทางอำ� เภอกอ่ นนำ� มาถวายวดั พระมหาธาตุ หีบศพเจ้าพระยานคร (ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าของเจ้าพระยานครคนใด) พระพุทธรูปปางมารวิชัยฝีมือสกุลช่าง นครศรธี รรมราชที่อัญเชิญมาจากวดั บรู ณาราม (วัดหวั รอ) เมือ่ วนั ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 และ พระพุทธรปู ทรง เครือ่ งปางห้ามญาติ ซึ่งเดมิ อยทู่ ี่วัดหอไตร ต่อมาน�ำมาไว้ทว่ี ดั ธาราวดี ตำ� บลนา อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดนครศรีธรรมราช แลว้ อญั เชญิ มาประดษิ ฐานทว่ี หิ ารเขยี น เมอื่ วนั ที่ 25 พฤษภาคม 2452 เปน็ ตน้ ทป่ี ระตขู องวหิ ารประดษิ ฐานพระพทุ ธ รปู ทรงเครอ่ื งปางประทานอภยั กเปน็ พระพทุ ธรปู ประทบั ยนื พระพทุ ธรปู องคน์ ส้ี นั นษิ ฐานวา่ สรา้ งในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เรียกว่า พระพวย เพราะมีรูน�้ำไหลเหมือนพวยเทออกมาจากฐานบัว แต่เดิมพระพุทธรูปองค์น้ีประดิษฐานที่ วัดโมคลาน อำ� เภอทา่ ศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราชกต่อมาย้ายไปประดษิ ฐานทีว่ ดั ประตูหลกั อ�ำเภอเมือง จังหวดั นครศรีธรรมราช คร้ันสมเด็จเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงเป็นอุปราชมณฑล ปักษ์ใต้ ก็อัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานที่วัดมหาธาตุ เช่ือกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้สามารถบันดาลสิ่งที่ พงึ ประสงคไ์ ดห้ ลายอยา่ งเชน่ บนั ดาลใหม้ บี ตุ ร บนั ดาลใหข้ องทหี่ ายกลบั ไดค้ นื และบนั ดาลใหห้ ายเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย เปน็ ตน้ ส่วนภายในวหิ ารดา้ นตะวนั ตก เป็นทปี่ ระดษิ ฐานพระพทุ ธไสยาสน์ องคใ์ หญ่องค์หนง่ึ ขนาดยาว 6 วา พระอุระกวา้ ง 4 ศอก พระบาทกว้าง 1 ศอก 7 นิว้ พระบาทยาว 3 ศอก 10 นิ้ว 6) วิหารสามจอม วิหารสามจอม เล่าสืบต่อกันมาว่าผู้สร้าง วิหารนี้เป็นผู้ชายชื่อ สามจอม โดยสร้างพร้อมกับเจดีย์ใหญ่ (เจดยี ์บริวารองคห์ นง่ึ ) ซง่ึ อยดู่ า้ นหลงั ของวหิ าร ดงั นน้ั จึงเรยี ก ชอ่ื วหิ ารตามชอื่ ของผสู้ รา้ งวา่ วหิ ารสามจอมวหิ ารสามจอมอยู่ ทางดา้ นตะวนั ออกของพระบรมธาตุ ตรงขา้ งประตพู ระระเบยี ง ก่อนเข้าสู่วิหารจะเห็นรูปปั้นพระธรณีก�ำลังบีบมวยผมที่ผนัง ดา้ นหนา้ ของวหิ าร ภายในวหิ ารเปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานของพระพทุ ธ รูปปูนปั้น เรียกกันว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ซึ่งเชื่อกันว่า เปน็ ผทู้ รงสรา้ งพระบรมธาตเุ จดยี เ์ ปน็ พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั วหิ ารสามจอม หลักสตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 293

มเี ครอ่ื งทรงอยา่ งกษัตริยโ์ บราณประดับชฎายอดสงู เปน็ ฝมี ือช่างสมัยอยธุ ยา มาจากชอื่ ของพระพทุ ธรปู “พระเจา้ ศรธี รรมาโศกราช” องคน์ ้ีบางครงั้ ชาวนครเรียกวิหารสามจอมนวี้ า่ “วิหารพระเจา้ ศรีธรรมาโศกราช” ด้านหลงั ของ วหิ ารเปน็ ซมุ้ ประตู 3 ชอ่ ง บรรจพุ ระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั และเกบ็ อฐั ขิ องเชอ้ื พระวงศแ์ ละเจา้ นายในเชอื้ สายของสมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบุรแี ละตรงซมุ้ ประตู มีภาพป้ันพระพุทธประวตั ติ อนทรงตดั เมาฬเี พื่อออกบรรพชา 7) วิหารพระแอด วหิ ารพระแอด เรยี กกนั ตามชอ่ื ของพระพทุ ธ รปู ทีป่ ระดิษฐาน อย่ภู ายในวหิ ารหลังน้ี คือพระกจั จายนะหรอื พระสังกัจจายน์ หรือพระสุภูตเถระ แต่คนท่ัวไปเรียกกันว่า พระแอด ดงั นน้ั วหิ ารทป่ี ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู องคน์ จ้ึ งึ ไดช้ อื่ วา่ “วิหารพระแอด” วิหารน้ีอยู่ต่อกับวิหารสามจอมไปทาง ดา้ นเหนอื แตเ่ ดมิ นน้ั วหิ ารพระแอดอยภู่ ายนอกเขตพระระเบยี ง ใกล้กับวิหารธรรมศาลา ครั้นพระรัตนธัชมุนี (คณฺฐาภร เถร- แบน-เปรียญ) เปน็ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุ ก็ไดด้ ำ� เนินการ บูรณะพระแอดและสร้างวิหารพระแอดขึ้นใหม่ โดยผู้ช่วยเจ้า อาวาสวดั พระมหาธาตุ คอื พระครพู ทุ ธสิ าร เจตยิ าภวิ ฒั น์ หรอื วหิ ารพระแอด พระพุทธสิ ารเถระ (ผดุ สุวฑฺฒโน) เป็นผอู้ �ำนวยการ เมอ่ื สร้างเสรจ็ ก็อัญเชญิ พระแอดขนึ้ ไปประดิษฐานทว่ี ิหารหลัง ใหม่มาจนทุกวนั น้ี พระแอดเป็นท่ีเคารพสักการะและเชอื่ ถอื ของคนโดยทวั่ ไปมาก ลือกนั วา่ ผใู้ ดปวดเอวปวดหลัง ได้ นำ� ไมไ้ ปคำ�้ ยนั ให้หลังของพระแอด อาการปวดก็จะหายดังประสงค์ 8) วิหารทับเกษตร (ระเบียงตีนธาตุ) วิหารทับเกษตร หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระระเบียงตีนธาตุ เป็นระเบียงหรือวิหารท่ีอยู่ โดยรอบฐาน องค์พระบรมธาตุเจดีย์ ค�ำว่า “ทับเกษตร” เป็นศัพท์ทาง สถาปตั ยกรรม หมายถึง ผวิ พืน้ บริเวณที่ใช้ เปน็ ท่ีตั้งพระพุทธ รูปหรือนาบบนฐานพระ หรือเรือนซึ่งเป็นขอบเขต ซ่ึงได้แก่ ระเบียงคด วหิ ารคด ด้วยเหตนุ วี้ ิหารทบั เกษตร จงึ ไดช้ ่อื ตาม หนา้ ท่กี ค็ ือ วิหารคด ซึง่ เป็นวิหารแสดงขอบเขตของพระบรม ธาตเุ จดยี ์ วหิ ารทบั เกษตรมขี นาดดงั นี้ คอื ยาวเทา่ กนั ทงั้ 4 ดา้ น ด้านละ 18 วา 1 ศอก 15 นิ้ว และกว้างก็เท่ากันทัง้ 4 ดา้ น ดา้ นละ 2 วา ในวหิ ารนมี้ พี ระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั และสำ� รดิ เรยี งราย วิหารทับเกษตร เป็นระเบยี บเตม็ ไปหมดทงั้ 4 ดา้ น กลา่ วคอื ดา้ นทศิ เหนือ มพี ระพุทธรปู ยืน 14 .องค ์ มพี ระพุทธรปู นั่ง 9 องค์ ดา้ นทศิ ใต้ มพี ระพทุ ธรปู ยืน 12 องค์ มีพระพทุ ธรปู นงั่ 9 องค์ ด้านทิศตะวันออก มีพระพทุ ธรปู ยนื 15 องค์ มีพระพทุ ธรปู นัง่ 9 องค์ ดา้ นทิศตะวนั ตก มีพระพทุ ธรูปยืน 14 องค ์ มพี ระพุทธรปู นั่ง 9 องค์ รวมพระพุทธรปู ท้งั หมดในวหิ ารน้ี 92 องค์ 294 แหนลักวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

พระพทุ ธรปู เหล่านส้ี ร้างในสมยั อยุธยาและรตั นโกสนิ ทรท์ ้งั สิ้น รอบ ๆ ฐานพระบรมธาตุเจดยี ์ ทำ� เปน็ ซมุ้ มีหัวชา้ งยื่นออกมาจากฐานพระบรมมาธาตเุ จดีย์ราวกบั วา่ เป็นขื่อคานรบั พระบรมธาตุเจดีย์ ซุ้มเหลา่ น้ีมี โดยรอบ 22 ซุม้ (หวั ช้าง 22 หวั ) ในระหวา่ งซุ้มหัวช้างแตล่ ะซุม้ มีซุ้มเรือนแกว้ ครอบพระพุทธรูปปนู ปั้นปางประทาน อภัยอยู่สลับกันด้วยรอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์จ�ำนวน 25 ซุ้ม สันนิษฐานว่าซุ้มเหล่านี้สร้างสมัยอยุธยา แต่ได้รับ อิทธิพลทางศลิ ปะแบบลพบรุ ี บางซมุ่ มีลักษณะคลา้ ยของสโุ ขทยั ทุกดา้ นในวิหารนม้ี ธี รรมาสน์ สำ� หรับพระสงฆ์ใช้ใน การแสดงพระธรรมเทศนาในวันพระ บนฐานทย่ี กพืน้ ขน้ึ เปน็ ชนั้ ท่ี 2 น้นั เดนิ ได้โดยรอบ 3 ด้านยาวเท่ากันทุกดา้ น คือ ด้านละ 15 วา 3 นว้ิ 9) วหิ ารคด (ระเบียงคด) วิหารคดหรือพระระเบียง หรือบางทีก็ เรียกวา่ พระด้าน เดี๋ยวน้ีเรียกกนั ว่า วิหารคด กเ็ พราะว่า วหิ าร นี้สร้างเป็นรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้า ล้อมรอบบริเวณภายในองค์ พระบรมธาตุเจดีย์ การที่สร้างให้หักเป็นมุมนี่เองชาวบ้านจึง เรียกว่า วิหารคด ส่วนท่ีเรียกกันว่าพระด้านหรือพระระเบียง กเ็ พราะวา่ เปน็ ระเบยี งขององคพ์ ระบรมธาตเุ จดยี ์ จงึ เรยี กกนั วา่ พระระเบียง และท่ีเรียกวา่ พระดา้ น ก็เพราะวา่ ในวหิ ารหรือ ระเบียงนี้ เต็มไปด้วยพระพุทธรูปปั้นเรียงเป็นระเบียบเป็น พระพทุ ธรปู นง่ั เปน็ แถวยาว ตลอดทกุ ดา้ นของระเบยี ง จำ� นวน วิหารคด 173 องค์ พระพทุ ธรปู เหลา่ นเี้ ปน็ ฝมี อื ชา่ งสมยั อยธุ ยาและรตั นโกสนิ ทร์ การทม่ี พี ระพทุ ธรปู อยรู่ อบดา้ นของพระบรม ธาตุเจดีย์นี้เองชาวบ้านจึงเรียกกันว่า พระด้าน วิหารน้ีมีประตูเพียง 2 ประตูเท่าน้ัน ประตูด้านหน้าและประตู ดา้ นหลงั อยู่ในตำ� แหนง่ ทต่ี รงกนั ประตหู นา้ มีชือ่ วา่ ประตเู หมรงั ศรี ข้างประตมู ีรปู สงิ โตท�ำดว้ ยหิน เป็นสงิ โตตวั ผแู้ ละ ตัวเมียข้างละตัว หน้าจั่วของซุ้มประตูประดับแก้วสีเป็นรูปครุฑและนาคยึดเกี่ยวกัน ภายในวิหารด้านเหนือมีโครง กระดกู ปลาวาฬตัวโตขนาดยาว 5 วา วางอยใู่ นตู้ โครงกระดูกปลาวาฬนเ้ี ลา่ กันว่าได้มาจากปลาวาฬทตี่ ายแล้วลอย มาเกยหาดท่ีปากน�้ำท่าสูง อ�ำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เม่ือเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2452 ประชาชน จึงช่วยกันน�ำโครงกระดูกมาเก็บที่พิพิธภัณฑสถานของวัด วิหารน้ีได้รับการซ่อมแซมอยู่เสมอ เม่ือพ.ศ. 2513 กองสถาปตั ยกรรม กรมศลิ ปากร ไดด้ ำ� เนนิ การซอ่ มแซมครงั้ ลา่ สดุ การซอ่ มแซมในครง้ั นน้ั ไดเ้ ปลย่ี นไมเ้ ครอ่ื งบนทกุ ตวั จงึ ดสู วยงามเป็นระเบียบมากข้นึ ผนงั ก่ออิฐซึง่ เคยคดงอกด็ ดั เสยี ใหม่ ท�ำฐานบวั เพิ่มขน้ึ หวั เสาก็ท�ำใหม่ตามแบบเดิม อาสนะพระด้านก็ท�ำให้หนาและกว้างขึ้น และพ้ืนล่างก็ปรับระดับให้สูงข้ึน บางส่วนของวิหารน้ีเคยใช้เป็น หอสมุดแห่งชาติด้วย โดยต้ังเม่ือวันที่ 15 ตุลาคม 2480 ระยะแรกสุดนั้นต้ังท่ีวิหารสามจอม พอมีหนังสือเพ่ิมข้ึน ก็ย้ายไปวิหารธรรมศาลา วิหารทับเกษตรและวิหารคดตามล�ำดับ ทุกด้านของวิหารนี้มีธรรมาสน์ต้ังอยู่เช่นเดียวกับ ในวิหารทับเกษตร ทัง้ นี้กเ็ พ่ือใช้เปน็ ทีแ่ สดงธรรมในวนั พระวันโกน ก่อนแสดงธรรมมีชาวบา้ นมาสวด (อา่ น) หนังสอื ก่อนเป็นประจำ� จนเกิดเปน็ ประเพณขี ึน้ มาเรยี กว่า “สวดดา้ น” ดังนัน้ ประเพณีสวดด้านจึงถอื ว่าเกิดข้นึ ทร่ี ะเบยี งนี้ หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 295

10) วหิ ารธรรมศาลา วิหารธรรมศาลา ที่ได้เรียกช่ืออย่างนี้ก็เพราะว่าภายใน วิหารนี้มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ มีชื่อว่าพระธรรมศาลา เป็นพระพุทธองค์ใหญ่ท่ีสุดในวิหารหลังนี้เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนลงรัก ปิดทอง เป็นศิลปะยุคเดียวกับพระพุทธรูปพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ซ่ึงประดิษฐานในวิหารสามจอม วิหารธรรมศาลาอยู่ทางด้านตะวันออกของ พระบรมธาตุเจดีย์ คือนอกระเบียงคดตรงประตูเยาวราช มีต�ำนานว่า พระเถระเหมรงั สเี ปน็ ผสู้ รา้ ง ทห่ี นา้ วหิ ารมพี ระพทุ ธรปู พระธนกมุ าร ดา้ นหลงั วิหารมีพระพุทธรูปเจ้าหญิงเหมชาลากพี่น้องคู่น้ีเองที่กล่าวกันว่าเป็นผู้น�ำ พระบรมสารีรกิ ธาตุของ พระพุทธเจ้ามาฝงั ไว้ ณ หาดทรายแก้ว อนั เป็นที่ต้ัง ของพระบรมธาตุ เจดยี ์ทุกวนั นี้ พระพทุ ธรปู สององค์นีเ้ ปน็ พระพุทธรปู กอ่ อฐิ วหิ ารธรรมศาลา ถอื ปูน ลงรักปดิ ทอง เปน็ พระพุทธรูปประทบั ยืน ทรงเครื่องราชาภรณอ์ ย่าง กษัตริย์โบราณ พระพุทธรูป พระธนกุมารนน้ั เป็นพระพุทธรปู ปางประทานอภยั ส่วนพระพุทธรูปนางเหมชาลาเปน็ พระพุทธรูป ปางห้ามญาติ ทั้งสององค์มีขนาดเดียวกัน ภายในวิหารธรรมศาลาด้านหน้ามีเจดีย์องค์หน่ึงเรียกว่า พระเจดีย์สวรรค์ กลา่ วกันวา่ พระยาแก้วสรา้ งเจดีย์น้ีขนึ้ มาเพอื่ บรรจุอัฐขิ องพระยารามราชทา้ ยนำ�้ ผ้คู รองเมืองนคร ที่ตายกลางศึก โจรสลัดเม่ือ พ.ศ. 2181 นอกจากนี้ภายในวิหารยังมีพระพุทธรูปปูนปั้นอีกหลายองค์ ท่ีหน้าจ่ัว วิหารธรรมศาลา มีข้อความสลกั บนกระดานวิหารธรรมศาลา มขี ้อความสลักบนกระดานวา่ “ไดบ้ ูรณะเมอ่ื วนั เสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 11 ค่�ำ ปีมะเมีย ฉศก พ.ศ. 2437” เปน็ ที่ทราบกันวา่ ผบู้ ูรณะก็คือพระครูเทพมุนี (ปาน) ซ่ึงเป็นผ้บู รู ณะ องค์พระธาตนุ ่ันเอง หลังจากนัน้ ใน พ.ศ. 2510 ก็ได้มกี ารบูรณะอกี ครัง้ หนึ่งแต่เดิมวิหารธรรมศาลานเี้ คยใชเ้ ป็นสาขา หอสมุดแห่งชาตจิ ังหวดั นครศรีธรรมราชชวั่ คราว ต่อมาได้ย้ายหอสมดุ ดงั กล่าวไปทว่ี ิหารทับเกษตร 11) พระวิหารหลวง พระวิหารหลวงที่ได้เรียกเช่นน้ีก็เพราะถือ กันว่าวิหารน้ีเป็นของกลางที่ พุทธศาสนิกชนทุกหนทุกแห่งมี สิทธิ์ใช้ร่วมกัน ในสมัยแรกพระสงฆ์ไม่ได้จ�ำพรรษาท่ีวัดพระ มหาธาตุ แต่จ�ำพรรษาที่วัดอ่ืน ๆ ซึ่งอยู่รอบรอบวัดพระ มหาธาตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะต้องการให้วัดพระมหาธาตุเป็น ของส่วนกลางจริง ๆ กดังน้ันวิหารซึ่งมีมาแต่เดิมและใช้ ประกอบพิธีสักการะบูชาพระบรมธาตุร่วมกันนี้จึงเรียกกันว่า วิหารหลวงกต่อมาได้มีการดัดแปลงวิหารหลวงเป็นอุโบสถ แต่ผู้คนก็ยังเรียกว่าวิหารหลวงอยู่เช่นเดิม หาได้เรียก พระวหิ ารหลวง พระอุโบสถไม่ พระวิหารหลวงอยู่ทางด้านใต้ของพระบรมธาตุเจดีย์ อยู่ภายนอกเขตของพระระเบียงคด ถือเป็นพระอุโบสถของวัดพระมหาธาตุ เชื่อกนั วา่ ในสมัยสโุ ขทัยพรอ้ มกบั พระบรมธาตุ ชาวลังกาเปน็ ผู้กอ่ สรา้ ง และ 296 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

ดแู ลรกั ษา พระวิหารหลวงเป็นอาคารทีม่ ีความใหญ่โตและงดงามมาก นับเป็นพระอุโบสถที่กว้างใหญ่ทีส่ ดุ ในปกั ษ์ใต้ มขี อ้ ทน่ี า่ สนใจดงั นค้ี อื 1. มขี นาดความยาว 29 วา 1 ศอก 5 น้วิ 2. มีขนาดความสูง 79 วา 10 นิว้ 3. มขี นาดความสูง 12 วา 3 ศอก 4. มีเสารอบนอก 40 ต้น 5. มเี สาภายใน 24 ต้น 6. มหี ้องระหว่างเสา 13 ห้อง 7. มหี น้าต่าง 22 ช่อง 8. มีประตดู ้านหน้า 33 ชอ่ ง 9. มปี ระตูด้านหลงั 22 ช่อง การวางเสายึดแบบที่นิยมกันในสมัยอยุธยา คือ ให้ปลายเสาเอนรวบเข้าหากันท�ำให้ดูสวยงาม อ่อนช้อย หน้าบันด้านหน้าของพระวิหารหลวงแกะสลักไม้เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เป็นภาพแกะสลัก ทมี่ ีความวจิ ิตรงดงามเปน็ อย่างยงิ่ สว่ นหนา้ บนั ดา้ นหลังแกะสลกั เป็นรปู พระนารายณท์ รงครฑุ เพดานพระวหิ ารนั้น เขียนลายไทยปิดทอง มีลายดารกาเป็นแฉกงดงามมาก พระพุทธรูปซ่ึงเป็นพระประธานในวิหารน้ีชื่อว่า พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราชเป็นปางมารวิชัย ขนาดหนา้ ตักกว้าง 3 วา 1 ศอก 12 นว้ิ สูง 5 วา กอ่ อิฐถอื ปนู ลงรกั ปิดทองเป็นพระพุทธรปู ท่สี ร้างสมัยกรุงศรอี ยุธยา ตอนต้นหน้าพระประธานมีพระพุทธรูปสาวกขวาและซ้าย คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน นอกจากนี้ยังมี พระพทุ ธรปู ยนื อกี หลายองค์ หลงั คาพระวหิ ารทรงมชี อ่ ฟา้ และใบระกาอยา่ งอโุ บสถโดยทวั่ ไป ตามปกตแิ ลว้ พระวหิ าร หลวงใช้เป็นสถานท่ีประกอบสังฆกรรมอย่างอุโบสถโดยท่ัวไป เช่น ใช้กระท�ำอุโบสถของพระสงฆ์ แสดงพระธรรม เทศนา แสดงตนเป็นพุทธมามกะ และประกอบพิธีในวันส�ำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น นอกจากน้ียังใช้เป็น สถานทป่ี ระกอบพระราชพธิ ี ประกอบพิธสี มโภชพระบรมมหาธาตุประจ�ำปที กุ ๆ ปี และใชป้ ระกอบพธิ ีทางศาสนา ของเมอื งนครมาตั้งแตค่ ร้ังโบราณ พระวิหารหลวงไดร้ ับการบรู ณะหลายคร้งั ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาไดม้ ีการซอ่ มแซม และขยายพระวหิ ารหลวงใหก้ วา้ งออกไปกวา่ เดมิ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงปฏสิ งั ขรณ์ พระวหิ ารหลวงครงั้ ใหญ่ ใน พ.ศ. 2515 รฐั บาลกด็ ำ� เนนิ การปฏสิ งั ขรณพ์ ระวหิ ารหลวงและครงั้ สดุ ทา้ ยเมอ่ื พ.ศ. 2517 มีการบูรณะพระวิหารหลวงอีก เม่ือวันที่ 26 สิงหาคม 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและ สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ มาทรงยกชอ่ ฟา้ พระวหิ ารหลวง พระวิหารหลวงนับ เปน็ พระวหิ ารทงี่ ดงามมาก ฝมี อื ในการสรา้ งแสดงออกถงึ ความเจรญิ ทางศลิ ปะเชงิ ชา่ งเปน็ อยา่ งดี หากจะหาสงิ่ กอ่ สรา้ ง ประเภทโบสถห์ รอื วหิ ารสมยั ใหมม่ าเทยี บกบั พระวหิ ารหลวงในแงค่ วามประณตี สวยงามและมศี ลิ ปะกนั แลว้ คงจะหา ท่ีไหนมาเทียบไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะการวางเสาซึ่งอาศัยศิลปะแบบอยุธยาตอนต้นน้ันหาดูได้ยากยิ่ง พระวิหาร ท่ีมีความเก่าแก่ควบคู่มากับพระบรมธาตุเจดีย์แห่งนี้ จึงเป็นโบราณสถานท่ีควรแก่การหวงแหนและบ�ำรุงรักษา เป็นอยา่ งยง่ิ หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 297

12) วหิ ารโพธิพ์ ระเดมิ วหิ ารโพธพ์ิ ระเดมิ นอี้ ยทู่ างตอนสดุ อาณาเขต ของวัดพระมหาธาตุ ทางด้านเหนือของพระบรมธาตุ เป็นวัด ที่สร้างหลังวัดพระมหาธาตุไม่นานนัก เรียกว่า วัดพระเดิม ในวัดนี้มีวิหารแบบเดียวกับวิหารโพธ์ิลังกาภายในบริเวณ พระบรมมาธาตุทุกประการท้ังพระพุทธรูปและต้นโพธิ์ ทั้งยังเช่ือกันว่าโพต้นนี้ได้มาจากลังกาเช่นกัน ส�ำหรับต้นโพธิ์ ต้นนี้ท้ังขนาดและลักษณะก็เห็นว่าน่าจะมาสู่ประเทศไทย สมัยเดียวกับต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่ท่ีวิหารโพธ์ิลังกาจริง ๆ ปัจจุบันน้ีวัดพระเดิมได้ยุบรวมเข้ากับวัดพระมหาธาตุและได้ วิหารโพธิพ์ ระเดิม สร้างกุฏิของพระภิกษุสงฆ์วัดพระมหาธาตุไว้ในบริเวณที่เป็น วัดพระเดิมมาแต่โบราณ 13) พระพุทธบาทจ�ำลอง พระพทุ ธบาทจำ� ลองประดษิ ฐานในมณฑลบนเนนิ สงู อยทู่ างดา้ นเหนอื ของพระบรมธาตนุ อกวหิ าร คดพระพทุ ธบาทนเ้ี ปน็ แผน่ หนิ สลกั พระพทุ ธบาทจำ� ลอง หนิ ทน่ี ำ� มาแกะสลกั พระพทุ ธบาท แตเ่ ดมิ เปน็ ของเจา้ พระยา สุรธรรมมนตรี (พร้อม) ขนาดยาว 74 นิว้ กว้าง 44 นิ้ว พระพทุ ธบาทจำ� ลองน้สี ร้างเมอื่ วันที่ 1 มกราคม 2450 ผสู้ ร้าง คอื พระรัตนธชั มุนี (รตนธชเถร-มว่ ง เปรียญ) เมอ่ื ครั้งดำ� รงสมณศักดิท์ ี่พระศิรธิ รรมมนุ ี โดยรว่ มกับพระครกู าแกว้ (สี) พระยารณชัยชาญยุทธ (ถนอม บุญยเกตุ) สมัยท่ีมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาตรังคภูมาภิบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด นครศรธี รรมราช ตรงเชงิ บนั ไดขน้ึ มณฑปพระพทุ ธบาท ทางดา้ นตะวนั ออกมซี มุ้ คลา้ ยถำ�้ อยแู่ หง่ หนง่ึ เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐาน พระพทุ ธรปู ปางมารวิชัย ทำ� ดว้ ยหนิ ลงรกั ปิดทองช่ือวา่ พระบุญมาก ขนาดหนา้ ตักกว้าง 3 ศอก 3 นวิ้ สงู 1 วา 12 นิว้ เชือ่ กันว่ามีความศกั ด์สิ ทิ ธิ์มากสามารถท่จี ะบันดาลบุตรให้แกผ่ ทู้ ีไ่ ปขอได้ 14) ศาลาศรพี ุทธสิ าร ศาลาศรพี ทุ ธสิ ารสรา้ งทางดา้ นใตข้ องพระวหิ ารหลวงตดิ กบั ถนนหลงั วดั พระมหาธาตุเมอ่ื พ.ศ.2506 ผ้สู รา้ งคอื พระพทุ ธสิ ารเถร (ผุด สวุ ฑฺฒโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ศาลาหลงั น้สี รา้ ง เพ่ือใช้เป็นที่พักของพระสงฆ์ อาคนั ตุกะและพระพทุ ธศาสนกิ ชนท่ีมาสกั การะ พระบรมธาตสุ รา้ งเปน็ อาคาร 2 ชน้ั ขนาดกวา้ ง 11 เมตร ยาว 18 เมตร ตอ่ มุข ทางด้านหนา้ 4 เมตร มหี ้องพัก 30 หอ้ งหลังคาเป็นแบบทรงไทย 15) ประตูวัด (5 ประตู) ประตูเข้าวัดพระมหาธาตุทางด้านหน้าน้ันมีอยู่ 3 ประตู ประตกู ลางท่ตี รงกบั วหิ ารธรรม ศาลา เรยี กวา่ ประตูเยาวราช เม่อื พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้นด�ำรงพระยศเป็นสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประพาสนครศรีธรรมราช และเสด็จวัดพระมหาธาตุด้วย ในการเสด็จครั้งน้ันได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ประตูวัด 298 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

ประตกู ลางของวดั พระมหาธาตุเปน็ ซ้มุ กอ่ อิฐถอื ปูน เปน็ ซมุ้ ประตูขนาดใหญ่ มีลายปนู ปน้ั ประดบั จารกึ ปที ส่ี ร้างคือ ร.ศ.128 มซี มุ้ ทิศดว้ ยยอดของซุม้ ประตเู ป็นแบบพระมหามงกุฎ และ พระราชทานนามวา่ ประตเู ยาวราช ต่อมาได้มี การท�ำซุ้มประตูท่ีเหลืออีก 2 ประตูด้วยพระรัตนธัชมุนี (คณฺฐาภรโณเถร-แบน เปรียญ) เจ้าอาวาสเป็นประธาน อำ� นวยการ โดยความชว่ ยเหลอื ของพระภทั ร ธรรมธาดา (โสภโิ ต) เปน็ ชา่ ง พระภัทรมขุ นี (กนตฺ สีโล) พลต�ำรวจตรี ขนุ พนั ธรักษร์ าชเดช และนายชบุ ไชยคีรี เปน็ ผู้จดั หาทนุ สร้างประตทู างเหนอื และใต้ของประตเู ยาวราช อีก 2 ประตู แต่ไม่มีการตัง้ ชอ่ื ประตทู ่สี ร้างขึน้ 2. หอพระพทุ ธสิหงิ ค์ หอพระพุทธสิหิงค์ พระพทุ ธสหิ ิงค์ จังหวดั นครศรธี รรมราช หอพระพุทธสหิ งิ ค์ ตง้ั อยบู่ รเิ วณศาลากลางจงั หวัดนครศรธี รรมราช ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธสิหิงค์ พระพทุ ธรปู ศกั ดสิ์ ทิ ธคิ์ บู่ า้ นคเู่ มอื งมาตงั้ แตค่ รง้ั พระเจา้ ศรธี รรมโศกราช พระพทุ ธสหิ งิ คเ์ ปน็ พระพทุ ธรปู สำ� รดิ ประทบั นัง่ ขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชยั หน้าตกั กวา้ ง 32 เซนติเมตร สูง 52 เซนติเมตร พระวรกายกรมป้อม พระอรุ ะนูนมาก พระเศยี รและพระหัตถ์กลม เสน้ พระศกใหญ่ไม่มพี ระศก พระหนแุ ละพระนาสกิ ยนื่ เล็กนอ้ ย ชายสังฆาฏิส้นั เปน็ แบบ เขีย้ วตะขาบ แต่มรี ้ิวผา้ ทับซ้อนกันมาก ฐานเตย้ี เรยี บไมม่ บี วั รองสว่ นทเ่ี ปน็ ฐานบวั เพง่ิ มาท�ำในสมัยรชั กาลท่ี 5 ตามตำ� นานไดก้ ล่าววา่ ได้พระพทุ ธสิหิงค์ มาจากลงั กา พระเจา้ กรุงลงั กาพระราชทานมาใหพ้ รอ้ มกบั ส่งสมณทูตมาประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาลัทธิลงั กาวงศ์ ที่เมอื งนครศรธี รรมราช บางตำ� นานว่า พระเจา้ กรุงสุโขทัย โปรดเกล้าฯ ให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตไปขอจากพระเจ้ากรุงลังกา บางต�ำนานว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราช จนั ทรภาณุ ยกทพั ไปตลี งั กาไดพ้ ระพทุ ธสหิ งิ คม์ า บางตำ� นานวา่ ลอยนำ�้ ทะเลมาขนึ้ ฝง่ั ทอี่ า่ วหนา้ เมอื งนครศรธี รรมราช สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยาภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดช เสดจ็ ประพาสเมอื งนครศรธี รรมราช เมอื่ ปวี อก พ.ศ. 2427 สง่ บรรยายหอพระสหิ งิ คไ์ วว้ า่ ถดั โรงพธิ ไี ปขา้ งมมุ บา้ นตะวนั ตกเฉยี งใตม้ หี อพระสยงิ (พระพทุ ธ สหิ งิ ค)์ เปน็ ตึกมุงกระเบอ้ื งหลังคามชี อ่ ฟ้าใบระกา 3 ห้อง เฉลยี งรอบขื่อ 8 ศอก องคพ์ ระสยงิ น้นั ประดษิ ฐานอยูใ่ นตู้ ไม้พระทองประสม หน้าตกั 16 นวิ้ ขดั สมาธเิ พชร และมพี ระจำ� ลองพระสยงิ เลก็ ๆ 2 องค์ หนา้ ตกั ประมาณ 10 นวิ้ 12 นว้ิ และมพี ระทองเหลอื งโบราณนงั่ ขัดสมาธิเพชรอีก 2 องค์ หน้าตักประมาณ 12 นว้ิ 14 น้วิ หลงั ตูพ้ ระสยิงน้นั มีพระทรงเคร่ืองยืนห้ามสมุทรหุ้มทองค�ำประดับพลอยกเคร่ืองทองลงยาเป็นพระเท่าตัวส�ำหรับเจ้าพระยานครเฒ่า หลักสูตแรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 299

(หมายถงึ พระยานครฯ พฒั น)์ และมีพระพทุ ธรปู ยนื หมุ้ ทอง 1 องค์ ห้มุ เงิน 1 องค์ อยู่สองขา้ งพระทรงเคร่ืองนน้ั เป็นของเจ้าพระยานครเฒ่า สร้างไว้ท่ีหน้าตู้พระสยิง มีพระพุทธรูปยืนปิดทอง 2 องค์ เป็นพระเท่าตัวพระยานคร (น้อยกลาง) กับภรรยา และมีพระยืนเท่าตัวของพ่ีน้องวงศ์ญาติอีก 5 องค์ และมีพระเงินน่ังมีฉัตรเล็ก ๆ หน้าตัก ประมาณ 5 นิว้ ตั้งอยู่บนม้า 4 เหลย่ี มอกี 40 องค์ ทำ� นองเหมอื นพระชนมพรรษา แตว่ า่ ถามไมไ่ ดค้ วาม ทมี่ มุ โบสถ์ หลงั พระสยงิ มพี ระนง่ั เปน็ ศลิ าขาว 2 องค์ ใหญ่ 1 เล็ก 1 และมีตู้ไมใ้ สร่ ูปพระนารายณ์ทองเหลอื ง รปู ประมาณคืบ เศษ ส�ำหรบั เชญิ ไปท�ำพธิ ีไสยศาสตรต์ า่ ง ๆ ท่ีเทวสถาน ข้างหลงั หอพระสยิง มีเรอื นมุงจากหลงั 1 ส�ำหรบั พวกขา้ พระ หลงั 1 (ภาณุพนั ธ์ ธวุ งศ์วรเดช, สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระยา . 250 : 120 - 121) ประทุม ชุ่มเพ็งพนั ธ์ุ ผู้เชยี่ วชาญทางดา้ นโบราณคดที ่านหนง่ึ กลา่ วไว้ในเรือ่ ง“พระพุทธสหิ งิ ค์” พิมพ์ ในหนงั สือรายงานการสัมมนาประวตั ศิ าสตร์ นครศรธี รรมราช คร้งั ท่ี 2 วา่ ตำ� นานเร่ืองพระพทุ ธสหิ งิ คน์ ้ี ทางลงั กาไม่ เคยมกี ารกลา่ วถงึ เลย แม้จะเปน็ ตน้ ตำ� รบั ทางพระพทุ ธศาสนาลังกาวงศ์ท่ีถา่ ยทอดแบบอยา่ งให้แกไ่ ทยโดยตรง พระ พทุ ธสหิ งิ ค์นับเป็นพระพุทธรปู สกุลชา่ งพนื้ เมืองนครศรธี รรมราชโดยแท้ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองโดยเฉพาะ แม้จะ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลแบบอยา่ งมาจากลงั กาและศลิ ปะครง้ั ราชวงศป์ าละจากอนิ เดยี ผสมกนั แตน่ บั ไดว้ า่ เปน็ สกลุ ชา่ งทส่ี ำ� คญั แบบหนึ่งของนครศรีธรรมราช มีข้อสังเกตประการหน่ึง โลหะส่วนประสมท่ีหล่อพระพุทธสิหิงค์องค์ต้นแบบจะออกสีแดงเร่ือ ๆ คลา้ ยนาก ผิวโลหะสุกปลั่งเป็นมนั แววอยูเ่ สมอ เป็นพเิ ศษกวา่ ทุกองค์ กลา่ วคือพระพทุ ธสหิ ิงคแ์ บบนครศรีธรรมราช รุ่นหลัง ๆ ซงึ่ หล่อขึน้ ในสมัยอยธุ ยา มักมีสว่ นผสมของทองเหลอื งอย่มู ากจนเห็นไดช้ ัด ดงั น้นั นา่ เช่อื ว่าพระพุทธสิหิงค์ องค์ต้นแบบในหอพระพุทธสิหิงค์มีอายุเก่าแก่กว่าเพ่ือน หรือหล่อขึ้นในสมัยสุโขทัยตามต�ำนาน มีอายุในราวพุทธ ศตวรรษที่ 19 – 20 และเมอื่ สรา้ งองคต์ น้ แบบขนึ้ แลว้ กค็ งไมม่ กี ารปน้ั หลอ่ พระพทุ ธสหิ งิ คแ์ บบเดยี วกนั นนั้ ขนึ้ อกี เลย ซ่ึงน่าจะเป็นเพราะคนแต่ก่อนถือกันว่าพระพุทธรูปส�ำคัญศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง จะต้องมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น พ่งึ มาเรม่ิ จะคดิ เปล่ียนแปลงท�ำเลียนแบบข้ึนในสมัยหลัง (พรศกั ด์ิ พรหมแกว้ . 2529 : 2306 – 2310) ตามความคิดเห็นของประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ ท�ำให้เกิดความเห็นคล้อยตามว่าพระพุทธสิหิงค์น่าจะหล่อ ข้ึนในสมัยสุโขทัย โดยชาวพื้นเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนรูปแบบสัดส่วนขององค์พระและโลหะผสม น่าจะได้รับ คำ� แนะน�ำจากพระเถระชาวลงั กา ซงึ่ มาจ�ำพรรษาอยใู่ นเมอื งนครศรธี รรมราช สมยั นน้ั พระพุทธสหิ ิงค์ 300 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

เมืองไทยมีพระพุทธสหิ ิงค์อยู่ 3 องค์ องค์ท่ี 1 อยูท่ ่ีนครศรธี รรมราช องค์ 2 อย่ทู ่พี ระทีน่ ั่งพุทไธสวรรค์ พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร องค์ 3 อยู่ท่วี ัดพระสิงค์ จ.เชยี งใหม่ พระพทุ ธสิหงิ คอ์ งคอ์ น่ื ๆ นอกจากนหี้ ล่อ ในสมยั หลัง ๆ คงหลอ่ ข้ึนในสมยั อยธุ ยาเปรยี บเทียบสดั ส่วนของพระพทุ ธสิหงิ ค์ทัง้ 3 องค์ แตกตา่ งกนั ดังนี้ พระพุทธสิหิงค์ นครศรีธรรมราช กรงุ เทพฯ เชียงใหม่ โลหะผสมสกุ ปล่งั แดงเรือ่ ๆ คลา้ ยนาก ทองเหลืองมาก ทองเหลอื งมาก หนา้ ตกั กว้าง 32 ซม. 63 ซม. 82.5 ซม. สูง 42 ซม. 79 ซม. 96 ซม. ประทับน่ัง สมาธเิ พชร สมาธริ าบ สมาธเิ พชร ปาง มารวิชัย สมาธิ มารวชิ ยั พระองคุลี ไมเ่ สมอกนั เสมอกัน ไมเ่ สมอกนั พระพักตร์ กลม รปู ไข่ ผลมะตูม พระรศั มี เป็นต่อม เปน็ เปลวสงู เป็นต่อม พระวรกาย อวบอว้ น ไมอ่ วบอ้วน อวบอว้ นมาก สงั ฆาฏิ ส้ันเหนือพระถัน ยาวเลยพระนาภี ส้นั เหนอื พระถัน 3. วัดทา้ วโคตร วดั ทา้ วโคตร ตง้ั อยรู่ มิ ถนนราชดำ� เนนิ บา้ นนาเดมิ หมู่ท่ี 2 ตำ� บลนา อำ� เภอเมือง จังหวดั นครศรีธรรมราช เป็นวดั เก่าแกแ่ หง่ หน่ึงของเมอื งนครฯ ภายในวัดทา้ วโคตรมีหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์และโบราณสถานที่ส�ำคัญคือ ซากเจดีย์ โบราณ สูงประมาณ 11 เมตร ฐานเจดีย์มีลักษณะเป็นรูป ส่ีเหลียมผืนผ้า เจดีย์สร้างด้วยอิฐและดินเหนียว และหิน ปะการงั ในบางสว่ น เจดยี ว์ ดั ทา้ วโคตรใชอ้ ฐิ เปน็ โครงสรา้ งหลกั และใช้ดินเหนียวเป็นส่วนยึด ข้างในมีพระพุทธรูปปูนปั้น ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นของมีมาแต่เดิม มีตู้เก็บของวางอยู่ทางซ้าย วดั ท้าวโคตร ขององคพ์ ระ ซงึ่ แตเ่ ดมิ เปน็ ตหู้ นงั สอื พระ ตวั โบสถย์ งั เหมอื นเดมิ แตห่ ลงั คาคงบรู ณะใหมภ่ ายในวหิ ารมจี ติ รกรรมบนแผน่ ไมป้ ระดบั อยดู่ า้ นบนของวหิ ารทงั้ สองดา้ น เปน็ ศลิ ปะตน้ สมยั รัตนโกสินทร์ ภายในบริเวณวัด มีเจดีย์ปรักหักพังสมัยศรีวิชัย ด้านหลังหอระฆังมีกุฏิไม้ตกแต่งด้วยลายฉลุท่ีงดงาม น่าชม วัดท้าวโคตรสร้างขึ้นเม่ือปี พ.ศ. 1861 ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช ริมถนนราชด�ำเนิน ตำ� บลในเมือง อ�ำเภอเมือง จงั หวัดนครศรีธรรมราช มีเน้ือทปี่ ระมาณ 19 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวา สถานทต่ี ัง้ วดั น้ี เคยเปน็ นวิ าสสถานของพราหมณ์มาก่อน เท่าทพ่ี อสบื คน้ ได้ปรากฏวา่ แต่เดิมในบรเิ วณ นีว้ ดั ตัง้ อยหู่ ลายวัด กล่าวคือ หลักสูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 301

1. วดั ประตูทอง อยูท่ างดา้ นหลังสุดติดกับถนนพฒั นาการทงุ่ ปรังและวดั ชายนา (ในปจั จุบันนี)้ 2. วดั ธาราวดี (วดั ไฟไหม)้ อยู่ทางด้านทศิ เหนอื 3. วัดวา อยู่ทางด้านทศิ ตะวนั ออกของวดั ประตทู อง และทางทศิ ใตข้ องวัดธาราวดี 4. วัดศรภเดมิ หรอื วัดศรภ อยทู่ างทิศใต้บริเวณรอบ ๆ เจดีย์ 5. วดั ท้าวโคตร โดยวัดเหล่าน้ีในภายหลังได้กลายเป็นวัดร้างไปในท่ีสุด และมีผู้สันนิษฐานว่าในปี พ.ศ. 2452 หรือ ประมาณ ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2453) พระบาทสมเด็จฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะที่ยังด�ำรง พระราชอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากทรงนมัสการพระบรมธาตุฯ แลว้ ทรงทราบเรอื่ งเทวาลยั ทว่ี ดั ทา้ วโคตรจงึ ไดเ้ สดจ็ ไปทอดพระเนตรเทวาลยั ทย่ี งั เปน็ หลกั ฐานอยู่ และในวโรกาสนน้ั ได้ทอดพระเนตรเห็นว่าบริเวณที่ใกล้ ๆ กับวัดท้าวโคตรน้ัน มีวัดเล็กวัดน้อยต้ังเรียงรายอยู่หลายวัดย่อมไม่สะดวก ต่อการปกครองของคณะสงฆ์ และคงไม่สะดวกต่อการปฏิบัติศาสนกิจ จึงทรงรับส่ังให้ยุบวัดทั้งหลายรวมกันกับ วัดท้าวโคตรเดิมให้เป็นวัดเดียวกันเสีย เรียกว่า “วัดท้าวโคตร” และทางราชการได้ออก ส.ค. 1 และโฉนดที่ดิน เลขท่ี 9868 (พ.ศ. 2518) เพ่ือเป็นหลักฐานแสดงสิทธิ์ถือครอง (น้อม อุปรมัย, 2526) ค�ำว่า“วัดท้าวโคตร”น้ัน น้อม อุปรมัย ได้ให้ความเห็นว่า เป็นช่ือท่ีประชาชนเรียกกันเองในฐานะเป็นกษัตริย์พระองค์แรก แต่ชื่อที่ปรากฏ ตอ่ มาทน่ี กั ประวตั ศิ าสตรเ์ รยี กตามพราหมณใ์ นอนิ เดยี สว่ นชอื่ “วดั ศรภ” นนั้ คงสบื เนอื่ งมาจากการถวายพระเพลงิ ศพ พญาศรีธรรมโศกราชท่ี 1 (น้อม อุปรมัย, 2526) ชื่อของพญาศรีธรรมโศกราชน้ันเป็นช่ือของกษัตริย์ที่สร้าง เมอื งนครศรีธรรมราช ซึง่ ปรากฏอยใู่ นต�ำนานเมืองนครศรธี รรมราช และต�ำนานพระธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช 4. วัดเสมาเมือง วัดเสมาเมือง ต้ังอยู่ในเขตต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีหลักฐานกล่าวถึง ประวัติการสร้างวัดเสมาเมืองไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราช เป็นผู้ทรงสร้างวัดนี้ข้ึนเมื่อ พ.ศ.1318 ภายหลังที่ได้สร้าง พระบรมธาตแุ ลว้ 18 ปี สถานทสี่ รา้ งวดั นเี้ ปน็ ทำ� เลใจกลางเมอื ง นครศรธี รรมราชในสมยั นนั้ มพี ระประสงคท์ จ่ี ะใหภ้ กิ ษุฝา่ ยมหายาน จ�ำพรรษาเป็นแหง่ แรก วดั นี้นนั้ เปน็ ตน้ กำ� เนดิ ของวัดทั้งหลาย ในเมืองนครในการสร้างวัด ได้มีการสร้างศาสนสถานด้วยอิฐ วดั เสมาเมอื ง รวมสามหลัง สร้างและอุทิศถวายแด่พระพุทธองค์ผู้ทรงชนะ มารพระโพธสิ ตั ว์ ปทั มปาณแี ละวชั รปาณี นอกจากน้กี ็มสี ถปู 3 องค์ ซงึ่ พระราชทานนามว่า ชยนั ตะ สร้างข้นึ ตาม พระราชโองการของพระราชาและเจดยี อ์ กี 2 องค์ วดั เสมาเมอื งเปน็ วดั ทส่ี ำ� คญั ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดขี อง เมืองนครศรีวิชยั จารึกจากวัดเสมาเมอื งซ่งึ สลกั บนหินทราย เป็นรปู ใบเสมา สูง 1.05 เมตร ฐานกว้าง 40 เซนติเมตร และสว่ นยอดกว้าง 50 เซนตเิ มตร ไดก้ ลายเปน็ หลักฐานท่ีชว่ ยคลี่คลายปญั หาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีลงได้ อย่างมาก 302 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

5. วัดเสมาชยั วัดเสมาชัยปัจจุบันเป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ภายในโรงเรียน เทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชทางทิศเหนือของวัดเสมาเมือง หลงเหลือเพียงอุโบสถเก่าท่ีมีฐานยกสูงและถูกสร้างอาคารโถงสมัย ใหมท่ บั ลงไปแลว้ ในปจั จบุ นั มพี ระพทุ ธรปู ศกั ดสิ์ ทิ ธท์ิ เ่ี รยี กกนั วา่ หลวง พ่อเสมาชัยและเจ้าแม่อ่างทอง พระพุทธรูปหินทรายภายในอุโบสถ วดั เสมาชัย (รา้ ง) บางองค์ถกู พอกดว้ ยปูนจนไม่เห็นเค้าเดมิ และยงั มี ลวดลายปนู ปน้ั ประดบั เครอ่ื งทรงอยบู่ างองคย์ งั เหน็ ไดว้ า่ เปน็ พระพทุ ธรปู หินทรายสีแดง พระพักตร์ยาวรี เม็ดพระศกเล็ก คล้ายพระพุทธรูป ในศิลปะอยุธยาตอนต้น ราวพุทธศตวรรษท่ี 20-21 วัดเสมาชัย เป็นแหล่งประดิษฐานปราสาทอิฐ 3 หลัง และศิลาจารึกจันทรภาณุ หลักที่ 24 ปจั จุบนั ศิลาจารึกดงั กลา่ ว ไดถ้ ูกยา้ ยไปยังพิพิธภัณฑสถาน แหง่ ชาตกิ รงุ เทพฯ แลว้ ยงั คงเหลอื รอ่ งรอยแตพ่ ระพทุ ธรปู ปน้ั เรยี กวา่ “หลวงพอ่ เสมาชยั 3 องค”์ ทางดา้ นหนา้ อนง่ึ วดั นม้ี บี อ่ นำ้� กอ่ ดว้ ยอฐิ เลก็ ๆ ซง่ึ เปน็ บอ่ นำ้� ศกั ดสิ์ ทิ ธท์ิ ใี่ ชใ้ นการทำ� นำ้� พระพทุ ธมนตใ์ นพธิ แี ละ พระราชพิธตี า่ ง ๆ ปัจจุบนั มตี ้นโพธขิ์ น้ึ โอบ วัดเสมาชยั 6. วัดหน้าพระลาน วัดหน้าพระลาน ต้ังอยู่บนถนนพระบรมธาตุ ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด นครศรีธรรมราช อยู่ติดกับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซ่ึงต้ังอยู่ทางทิศใต้ วัดหน้าพระลานมีพระพุทธรูปประทับยืน หล่อจากส�ำริด ปางประทานอภัยสองพระหัตถ์หรือปางห้าม สมุทร ครองจีวรห่มคลุม ทรงเคร่ืองอย่างพระจักรพรรดิราช คือ ศิราภรณ์ทรงคล้ายเทริดโนรา กรองศอ รัดประคดและ ชายหน้านางมีลวดลายประดับอายุสมัยราวพุทธศตวรรษ วัดหน้าพระลาน ที่ 22-24 เจดยี ว์ ดั หนา้ พระลาน มฐี านสเ่ี หลย่ี มยกสงู รองรบั ฐาน บวั เตย้ี ๆ ในผงั กลม องคร์ ะฆงั ทรงโอควำ�่ บลั ลงั กเ์ หลย่ี ม ยอดทรงกรวยเรยี บ คลา้ ยกบั เจดยี ร์ ายภายในวดั พระมหาธาตุ ซง่ึ อยูไ่ มไ่ กลกัน อาจสรา้ งขนึ้ ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 23-24 ส่วนอโุ บสถไดร้ ับการสรา้ งใหมจ่ นหมดแล้ว และมีบ่อน้�ำ วัดหน้าพระลานอยู่ทางทิศอีสาน ของวัด ในครั้งโบราณชาวบ้านเช่ือกันว่าเป็นบ่อน�้ำศักดิ์สิทธ์ิ น�้ำใสสะอาด มีความหนาแนน่ ผิดปกติกว่าบอ่ อืน่ ๆ หากใครได้ดมื่ น้ำ� ในบ่อน้จี ะมีสติปัญญาดี มบี ญุ วาสนา จะไดเ้ ปน็ ขนุ นางผู้ใหญ่ นอกจากน้ันชาวบ้านยังเช่ือว่าน้�ำในบ่อน้ีสามารถใช้ผสมยารักษาโรคและใช้ประพรมขับภูตผีปีศาจได้ด้วยจึงนิยม ตักน�ำ้ ในบอ่ น้ีไปใช้ดื่มกนิ ตามความเชอ่ื ของตน หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 303

ในปีพุทธศักราช 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ และไดเ้ สดจ็ ประพาสประทบั แรม จงั หวดั นครศรธี รรมราช ซง่ึ ขณะนนั้ เจา้ พระยาสธุ รรมมนตรี (หนพู รอ้ ม) เปน็ เจา้ เมอื ง พระองค์ทรงทราบเร่ืองราวบ่อน้�ำศักดิ์สิทธิ์วัดน้ี จึงได้เสด็จพระราชด�ำเนินมายังวัดหน้าพระลาน ทรงตักน้�ำในบ่อน้ี ดว้ ยภาชนะซึ่งทำ� ดว้ ยใบจาก (หมาจาก) ด้วยพระองค์เอง และทรงเสวยด้วย หลังจากนน้ั ก็ทรงรับส่ังถามพระครูรอง (มีนามว่า พระศรีจันทร์) เจ้าอาวาส เขาลือว่าถ้าใคร ได้ดื่มน้�ำจากบ่อน�้ำศักด์ิสิทธิ์แห่งน้ีแล้ว จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เฉลียวฉลาดกันจริงหรือประการใด เจ้าอาวาสได้ทูลว่าขอถวายพระพรมหาบพิตร ลูกศิษย์วัดหน้าพระลาน ถ้าได้ ดม่ื นำ้� ในบ่อนแี้ ล้ว อยา่ งเลวกไ็ ม่สามารถทจ่ี ะคาดวา่ ขน้ึ เหตุการณน์ ี้เกิดขนึ้ ถ้านับถึงปัจจบุ ัน เปน็ เวลา 114 ปี ในอดตี คร้ังกรงุ ศรีอยุธยา เจ้าเมืองนครศรธี รรมราช เคยอัญเชิญนำ้� ศักด์สิ ิทธ์จิ ากบอ่ แห่งนี้ เพอ่ื เขา้ สู่พิธี และพระราชพธิ ตี า่ ง ๆ เชน่ พธิ ีถือน�้ำพพิ ฒั นส์ ตั ยาของเมืองนครศรธี รรมราช และอัญเชิญนำ�้ ศกั ดิ์สทิ ธจิ์ ากบอ่ แห่งน้ี เขา้ สูง่ านพระราชพิธที วีธาภเิ ษก เมอื่ ปี พ.ศ. 2447 (รัชกาล ที่ 5) และพระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษกพระมหากษตั รยิ า ธริ าชเจ้าทุกพระองคใ์ นราชวงศ์จกั รี 7. เจดยี ย์ ักษ์ เจดีย์ยักษ์ เป็นเจดีย์ท่ีสูงใหญ่รองจากเจดีย์ พระบรมธาตุ ต้ังอยู่ในบริเวณวัดเจดีย์ซ่ึงร้างไปแล้ว ติดกับ สำ� นกั งานเทศบาลนครศรธี รรมราช ถนนราชดำ� เนนิ ใกลต้ ลาด ทา่ วังที่ไดช้ ่อื ว่า เจดียย์ กั ษ์ ตามต�ำนานว่า ในขณะท่พี ระเจา้ ศรี ธรรมโศกราชก�ำลังก่อสร้างเจดีย์ เพ่ือบรรจุพระบรมมา สารีริกธาตุอยู่ในน้ันมีพวกยักษ์ (ตามพจนานุกรมฉบับ ราชบณั ฑติ ยสถาน หมายถงึ อมนษุ ย์ พวกหนงึ่ มรี ปู รา่ งใหญโ่ ต นา่ กลวั มเี ขย้ี วงอกโงง้ กนิ มนษุ ยก์ นิ สตั ว์ มฤี ทธเิ์ หาะได้ จำ� แลง ตัวได้) คอยขัดขวางไม่ให้ การก่อสร้างเจดีย์ ส�ำเร็จแต่ถูก เจดีย์ยกั ษ์ พระอรหนั ตผ์ คู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ งเจดยี ท์ รมานจนหมดฤทธิ์ จงึ ขอพระอรหนั ตส์ รา้ งเจดยี แ์ ขง่ กบั พระเจา้ ศรธี รรมโศกราช ถ้าของใครเสร็จก่อน ขอให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ของคนนั้น ถ้าตนแพ้ก็ขอเป็นทาสพระเจ้าศรีธรรมโศก ราช พระอรหนั ตก์ ็อนญุ าต ในทสี่ ุดพระเจา้ ศรีธรรมโศกราช ผูม้ ีพระบารมที �ำบญุ กุศลไวม้ ากกว่าพวกยักษก์ ็ก่อสร้าง เจดีย์เสร็จก่อน พวกยักษ์จึงพ่ายแพ้แล้วโมโหตนเองและถีบเจดีย์ที่ตนสร้างจนยอดหักและยอมเป็นทาสพระเจ้า ศรธี รรมโศกราช พระเจ้าศรธี รรมโศกราช จงึ ให้เปน็ ยามเฝ้าประตตู า่ ง ๆ ในพระบรมธาตุเจดยี ์ และเชิงหัวบนั ไดขนึ้ บนลานทกั ษณิ ขององคพ์ ระเจดยี ์ ดงั นน้ั เจดยี อ์ งคน์ จ้ี งึ ไดช้ อื่ วา่ “เจดยี ย์ กั ษ”์ ตำ� นานนค้ี งเปน็ นทิ านทผี่ ใู้ หญเ่ ลา่ ใหเ้ ดก็ ๆ ฟงั ต่อ ๆ กนั มาอกี ต�ำนานหน่งึ กล่าวว่า เศรษฐีมอญชาวกรุงสะเทิม อพยพหลบภยั จากพวกพม่าหลายฝา่ ยท่ยี กมาตี กรงุ สะเทมิ ไดค้ นทรพั ยส์ มบตั พิ รอ้ มดว้ ยครอบครวั และบรวิ ารนม้ี าพงึ่ พระบรมมาโพธสิ มภาร พระเจา้ ศรธี รรมโศกราช เพราะทราบว่าเป็นกษตั รยิ ผ์ ้มู ีบุญ มนี �้ำพระทยั เมตตากรณุ า ขนาดทลี่ อยเรืออยู่กลางทะเลถูกคลื่นซัดกระหน่ำ� จนเรอื เกือบอับปางจึงต้ังจิตอธิษฐานคุณพระรัตนตรัยและขอบารมีพระเจ้าศรีธรรมโศกราชว่า หากทุกคนรอดตายไปถึง เมอื งนครศรีธรรมราชจะกอ่ สรา้ งเจดยี ์เปน็ พทุ ธบชู า และขอเป็นขา้ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ครัน้ รอดชีวิตมากส็ รา้ ง วัดและสรา้ งเจดียข์ ึ้นในวดั ประมาณปี พ.ศ. 1546 วัดน้จี ึงเรยี กวา่ “วัดเจดีย”์ ประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ไุ ดก้ ล่าวไว้ในเร่อื ง 304 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

“เจดยี ย์ ักษ”์ ซึง่ พมิ พท์ ป่ี กหลงั ของสารนครศรธี รรมราช ปีที่ 4 ฉบบั ท่ี 5 กรกฎาคม 2562 ว่า เข้าใจกนั ว่า เจดยี ์ยักษ์ องนี้คงสร้างขึ้นภายหลังพระบรมธาตุเจดีย์เล็กน้อยราว พ.ศ.1800–1900 โดยพวกลังกาซึ่งเข้ามาตั้งส�ำนักเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในระยะนั้น กล่าวคือ พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์กำ� ลังเจริญรุ่งเรืองมาก และได้เข้าสู่ประเทศสยาม ประมาณ พ.ศ. 1770 ก่อนหลังคงไม่มากนัก ดังข้อความที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 24 เรื่องพระเจ้าจันทรภาณุ ศรธี รรมราช เสด็จยกทัพไปรกุ รานและติดต่อรับลทั ธิพทุ ธศาสนาจากลังกาถงึ 2 คร้ัง จึงเชอื่ กันว่าชาวลังกาท่ีเข้ามา ครั้งน้ันคงมีทั้งพระภิกษุและฆราวาส คงเป็นนายช่างออกแบบ ควบคุมการก่อสร้างความเป็นจริงอาจอยู่กับเหตุผล ตน้ื ๆ กลา่ วคอื เหตทุ ย่ี อดเจดยี ห์ กั ดว้ น เนอ่ื งจากถกู ลมพายหุ รอื เปน็ ความประสงคค์ วามจำ� เปน็ ในตอนสรา้ ง ถา้ ตอ่ ยอด เจดยี ใ์ หถ้ กู สว่ นสมบรู ณจ์ ะสงู ทดั เทยี มกบั องคพ์ ระบรมธาตเุ จดยี ์ ซง่ึ เปน็ ปชู นยี สถานทส่ี ำ� คญั สดุ ยอดยอ่ มผดิ ธรรมเนยี ม เกิดความรู้สึกไม่ดีแข่งบุญบารมีความส�ำคัญ จึงลดยอด ท�ำคล้ายกับไม่เสร็จเสียแล้วต้ังนิทานขึ้นประกอบภายหลัง การท่ีชาวบ้านเรียก “เจดีย์ยักษ์” ก็อาจแสดงความรู้สึกเปรียบเทียบว่า หมายถึง พระเจดีย์องค์ใหญ่ คือ ใหญ่ผิด ธรรมดา ใหญก่ วา่ ที่ชาวเมอื งเคยพบเห็นมาน่นั เอง... 8. วดั ประดูพ่ ัฒนาราม วดั ประดู่พฒั นาราม หรอื วัดประดู่ หรือ วดั โด ต้ังอยู่ในเขตเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช อ�ำเภอเมือง นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นวัดที่ส�ำคัญ วัดหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประวัติความเป็นมา อันยาวนาน กล่าวกันว่า เป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) แต่ผู้รู้บางท่านยืนยันว่าบัวองค์นี้เจ้าพระยานคร วดั ประดูพ่ ัฒนาราม (นอ้ ย) สรา้ งเพอ่ื บรรจอุ ฐั เิ จา้ พระยานคร (นอ้ ย) ผเู้ ปน็ บดิ า และ อัฐิสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตาก) ผู้เป็นปู่ ซงึ่ เจา้ พระยานคร (นอ้ ยกลาง) ไปแบง่ มาจากวดั อนิ ทารามธนบรุ ี วัดประดู่มีเนื้อที่ทั้งหมด 19 ไร่ 54.7 ตาราวา ต้ังวัดเม่ือ พ.ศ. 1815 ไดร้ บั วสิ งุ คามสมี า พ.ศ. 1820 เปน็ วดั ฝา่ ยมหานกิ าย บุคคลที่ส�ำคัญย่ิงท่านหน่ึง ชื่อว่า “พระพนมวัง” ภริยาช่ือ “นางเสดียงทอง” ถูกส่งให้มาควบคุมดูแลพลเมือง และช่วย พัฒนาทอ้ งถิ่น พรอ้ มกันนี้ ได้นิมนต์พระภกิ ษุ ให้มาชว่ ยสร้าง วัดเพ่ือเป็นที่ยึดเหน่ียวใจของพลเมือง พระภิกษุรูปน้ันช่ือว่า เก๋งพระเจา้ ตาก “พระมหาเถรอนุรุธ” ได้จัดการสร้างวัดทางด้านทิศเหนือ ชานเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งบรเิ วณพื้นทเี่ ป็นดอนทราย หรือ หาดทราย มตี ้นไม้ใหญ่นอ้ ยขึน้ เตม็ ไปหมด สภาพเปน็ ป่ารกชัด แต่มีต้นประดู่ขึ้นอยู่มาก เม่ือสร้างวัดจึงให้ชื่อว่า “วัดประดู่” ภาษาภาคใต้เรียกว่า วัดโดเก๋งจีนวัดประดู่ มีลกั ษณะเก๋งเป็นอาคารหนั หนา้ ไปทางทิศใต้ ผนังกอ่ อฐิ ถอื ปนู เปน็ ผนงั ทึบสามดา้ น เว้นแต่ด้านหนา้ ทเี่ ปน็ เครือ่ งไม้ แกะสลัก เปน็ ลวดลายมงั กรคแู่ ละฉลุลวดลายสตั ว์รปู หงส์ร่อน รปู ไก่ฟ้าทองค�ำ รูปนกกระเรียนขาว และลานพรรณ พฤกษาลายดอกโบตั๋น คานและเสามีลักษณะเหล่ือมซ้อนกันโดยใช้ตะปูไม้เป็นตัวยึดและใช้การเจาะร่องเสา หลักสูตแรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 305

เพื่อรองรับคาน เครื่องบนเป็นเครื่องไม้ หลังคาทรงจ่ัวเรียบ มุงกระเบ้ืองดินเผาและด้านข้างมีการแกะสลักลาย บวั หลวงพร้อม สว่ นภายในเก๋งมลี กั ษณะเป็นเจดียย์ อ่ มมุ ไม้ 12 ปิดทอง ขนาดฐานกว้าง 1.70 เมตร สงู 3.10 เมตร ฐานชั้นล่างสดุ เป็นฐานสงิ ห์ มฐี านบัวซ้อนกนั ขน้ึ ไป 2 ช้ันเป็นลายปนู ป้ันบัวคว่�ำบวั หงาย ส่วนยอดทำ� เป็นดอกบวั ตูม ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นเป็นลายกนกไทยลายกระจังตาอ้อย และประดับด้วยกระจกสีบนพ้ืนสีแดง เก๋งจีน วัดประดู่ พัฒนารามหรอื เกง๋ จีนพระเจ้าตาก สรา้ งขึน้ เมื่อปี พ.ศ.2385 โดยเจา้ พระยานครศรีธรรมราช (นอ้ ยกลาง) เจ้าเมอื ง นครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็นบุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้เป็นโอรสของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับเจ้าจอมมารดาปราง ในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ท่านได้บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระอยั กาและพระอฐั ิเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (นอ้ ย) ทา่ นบิดาไวใ้ นบวั ทรงเจดยี อ์ งคเ์ ดยี วกนั 9. วดั แจ้งวรวหิ าร วัดแจ้งวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงช้ันตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ติดกับวัดประดู่ ตั้งอยู่ริมถนนราชด�ำเนิน ต�ำบลท่าวัง อ�ำเภอเมือง เป็นวัด โบราณมาต้ังแต่สมัยอยุธยา ได้รับการยกฐานะข้ึนเป็น พระอารามหลวง เมอื่ วันท่ี 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 พส่ี าว ของเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ชื่อ ชี เป็นผู้สร้างประมาณปี พ.ศ. 2327 – 2330 ภายในวัดมีเก๋งจีนหลงั หน่ึงกอ่ อฐิ ถอื ปูน หลังคามุงกระเบ้ือง มีซุ้มประตูประดับลายปูนปั้นแบบจีน อโุ บสถวัดแจง้ อยดู่ า้ นหนา้ 2 ซมุ้ ภายในซมุ้ มบี วั อยซู่ มุ้ ละองค์ องคต์ ะวนั ออก เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสองบรรจุอัฐิพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) องค์ตะวันตกเป็นแบบยอดดอกบัวตูมบรรจุอัฐิ มุมทองเหนยี่ วพระชายา วดั แจง้ วรวหิ ารมีเน้ือท่ีประมาณ 17 ไร่ 5.10 ตาราวา มีอาณาเขตดงั น้ี ทศิ เหนือ ตดิ ถนนพัฒนาการ - วิทยาลัยเทคนคิ นครศรีธรรมราช ทิศตะวันออก ติดถนนพัฒนาการ ทิศใต้ ตดิ วดั ประดูพ่ ฒั นาราม ทิศตะวันตก ตดิ ถนนราชด�ำเนนิ (ทางหลวงแผ่นดนิ สายนครศรีธรรมราช – ทา่ แพ อน่ึง ในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีวัดท่ีมีชื่อว่า วัดแจ้ง จ�ำนวน 3 วัด คือ วัดแจ้ง พระอารามหลวง ตำ� บลทา่ วัง อ�ำเภอเมืองนครศรีธรรมราช วัดแจ้งต�ำบลทา่ ง้ิว อำ� เภอเมืองนครศรธี รรมราช และวดั แจง้ ต�ำบลบา้ นเพงิ อ�ำเภอปากพนงั วดั แจ้งเปน็ วดั เก่าแก่ ตงั้ อย่นู อกก�ำแพงเมืองทางด้านทศิ เหนือของ คลองทา่ วัง ประวัตคิ วามเปน็ มา ในการสร้างวัดในหนังสือประวัติวัดท่ัวราชอาณาจักร เล่ม 5 ของกรมการศาสนา และหนังสือประวัติวัดทั่วราช อาณาจักร เล่ม 23 ของส�ำนักงานพระพุทธศาสนาระบุว่า “สร้างข้ึนในสมัยสุโขทัย ราว พ.ศ. 1823 ตามประวัติ ที่เล่าสืบกันมาว่าสร้างพร้อม ๆ กับวัดประดู่พัฒนาราม โดยมีพระมหาเถรอนุรุทธและคณะ ซ่ึงย้ายมาจาก เมืองยศโสทร หรอื จงั หวดั ยโสธรในปัจจุบนั มาดำ� เนินการให้วดั มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งมาตามลำ� ดับ นอกจากนี้ ขอ้ ความในซมุ้ ประตทู างทศิ ตะวนั ตกทางเขา้ วัดด้านนอกระบนุ ามวดั ว่า “วัดแจ้งวรวหิ าร” ส่วนดา้ นในระบขุ อ้ ความว่า “สรา้ ง พ.ศ. 1823” 306 แหนลักวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

ประวัติวัดแจ้งเท่าท่ีสามารถสืบค้นได้เป็น เรอ่ื งราวทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ตระกลู ณ นคร ดงั ปรากฏในพงศาวดาร เมอื งนครศรีธรรมราช ของหลวงอนสุ รสิทธิกรรม (บัว ณ นคร) ความว่า “คุณชุ่มได้เป็นภรรยาเจ้าพัฒน์ เจ้าพัฒน์นี้เป็นบุตร ปลัด มีพ่ีสาวคน 1 ชอื่ คุณชี คุณชไี ม่มีสามี มารดานัน้ เรียกว่า คุณหญิง คุณหญงิ สร้างวัดประดู่ คุณชีสร้างวดั แจ้ง ทีอ่ ยู่ตำ� บล ท่าวงั เดย๋ี วน้ี” อีกทงั้ ยังมเี ร่อื งเล่าว่า บรเิ วณท่สี ร้างวดั เปน็ ทตี่ งั้ เก๋งจีนวดั แจ้ง บ้านเรือนของเจ้าพระยานครศรีธรรมราชมาแต่เดิม ภายหลัง เม่ือได้ย้ายไปตั้งบ้านเมืองในเขตก�ำแพงเมือง จึงยกที่ดินให้เป็นที่สร้างวัด เหมือนกันท่ีเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน)์ ยกวงั ใหเ้ ปน็ ท่สี รา้ งวัดท่าโพธ์ิ (ใหม่) แตใ่ นหนงั สอื ประวตั ิท่ัวราชอาณาจกั รเล่ม 5 กลา่ วว่า คร้นั ถึง พ.ศ. 2330 วัดแจ้งได้ทรุดโทรมลงเพราะขาดการบ�ำรุง คุณชีซึ่งเป็นพี่สาวของเจ้าพระยานครพัฒน์ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จงึ ไดป้ ฏสิ งั ขรณว์ ดั แจง้ และคณุ หญงิ มารดาของเจา้ พระยานครพฒั น์ ไดป้ ฏสิ งั ขรณว์ ดั ประดพู่ ฒั นาราม จงึ กลา่ วไดว้ า่ วดั แจง้ และวดั ประดนู่ น้ั เปน็ วดั แมว่ ดั ลกู กนั ทงั้ ยงั ถอื วา่ เปน็ วดั สำ� หรบั วงศต์ ระกลู ณ นคร ไดบ้ ำ� รงุ เปน็ อยา่ งดตี ลอดมา เชน่ ในสมยั รัชกาลที่ 2 เจ้าพระยาสธุ รรมมนตรี (พัฒน)์ ได้ปฏสิ งั ขรณ์วดั แจง้ และวดั ประดู่ วดั แจง้ นยี้ ังเปน็ ทเ่ี กบ็ อฐั ิ ของสายตระกลู ณ นคร นบั ตง้ั แตอ่ ฐั ขิ องพระเจา้ ขตั ตยิ ราชนคิ มสมมตมิ ไหศวรรย์ พระเจา้ นครศรธี รรมราช (หน)ู และ หม่อมทองเหน่ียว รวมท้ังสายตระกูล ณ นครในสมัยต่อมาอีกด้วย ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดแจ้ง เป็นวัดส�ำคัญรองจากวัดพระบรมธาตุ (พระมหาธาตุ) ซ่ึงในสมัยนั้น วัดพระบรมธาตุเป็นเขตพุทธาวาสไม่มีพระสงฆ์จ�ำพรรษา โดยมีพระครูกา เปน็ ผรู้ กั ษาพระธาตทุ ง้ั 4 ทศิ ไดแ้ ก่ พระครกู าเดมิ ดา้ นทศิ เหนอื พระครกู าแกว้ ด้านทิศตะวันออก พระครูการามด้านทิศใต้ และพระครูกาชาดด้านทิศ ตะวันตก ส่วนวัดท่าโพธิ์ก็ยังไม่มีบทบาทความส�ำคัญ เหมือนเช่นทุกวันน้ี วดั แจง้ จงึ เปน็ วดั ทมี่ บี ทบาทสำ� คญั ในสงั คมเมอื งนครศรธี รรมราชในชว่ งสมยั รตั นโกสินทรต์ อนตน้ เมื่อ พ.ศ. 2479 กรมศลิ ปากรได้ประกาศขนึ้ ทะเบียน โบราณสถาน “วัดแจ้ง อ�ำเภอเมือง ต�ำบลท่าวัง”เป็นโบราณสถานส�ำหรับ ชาติ แต่มิได้ก�ำหนดขอบเขตท่ีดินโบราณสถาน ต่อมาใน พ.ศ. 2547 จึงไดป้ ระกาศพืน้ ท่ีโบราณสถานประมาณ 1 งาน 55 ตารางวา โบราณสถาน คือ เกง๋ จนี เก๋งจีนเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนมุงกระเบื้องหันหน้าไปทาง ทิศใต้ หนา้ ตา่ งหรอื ชอ่ งระบายอากาศเปน็ รูปวงกลม ภายในวงกลมทำ� เป็น ซี่กรง ประตูทางเข้าเป็นเคร่ืองไม้แกะลายฉลุเป็นลายจีนส่งมาจากเมืองจีน บวั บรรจุอฐั พิ ระเจา้ นครศรีธรรมราช (หนู) ด้านหนา้ เกง๋ มีซุม้ ลายปนู ปั้น 2 ซมุ้ ภายในเก๋งจนี มี “บวั ” ลักษณะเป็นเจดีย์ ย่อมุมไม้สิบสอง ยอดเป็นรูปดอกบัวตูม 2 องค์ โดยบัวองค์ตะวันออกเป็นที่บรรจุที่บรรจุอัฐิของพระเจ้าขัตติยราช หลักสูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 307

นคิ มสมมตมิ ไหสวรรค์ พระเจา้ นครศรธี รรมราช (หน)ู และบวั องคต์ ะวนั ตกบรรจอุ ฐั หิ มอ่ มทอง เหนย่ี ว ชายาเจา้ พระยา นครศรีธรรมราช (หนู) ซึ่งบัวบรรจุอัฐิน้ี สร้างโดยเจ้าพระยานครพัฒน์ บุตรเขย และคุณหญิงชุ่ม บุตรี ดังปรากฏ ในพงศาวดารเมืองนครศรธี รรมราชของหลวงอนุสรสิทธกิ รรม (บวั ณ นคร) ความว่า บวั ทัง้ สององคน์ ้ี เป็นบัวทีส่ ร้าง ในสมัยรตั นโกสินทรต์ อนตน้ ลักษณะบวั เป็นฐาน 3 ช้ัน ยอ่ มมุ ไมส้ ิบสอง สงู ประมาณ 2 เมตรเศษ บัวก่ออิฐถือปูน โดยใช้ปูนขาวผสมน�้ำอ้อย เรียกว่า ปูนเพชร ตกแต่งผิวนอกปูนฉาบด้วยลายปูนปั้นเป็นรูปกระจัง ติดกระจกสี การปิดทองลายปิดลงบนเนื้อปูนไม่ได้ลงรักก่อน จึงไม่ค่อยคงทนเท่าท่ีควร พ้ืนทาสีแดงชาด ส่วนยอดเป็น รูปดอกบัวตูมมีก้านดอกสีแดงกลีบดอกบัวปิดทองและประดับกระจกสี เพื่อให้เป็นท่ีสังเกตระหว่างบัว บรรจุอัฐิ ของผู้ชายกับบัวบรรจุอัฐิผู้หญิง โดยบัวบรรจุอัฐิของผู้ชายท�ำเป็นเจดีย์ทรงระฆังย่อมุมไม้สิบสองเครื่องยอดเป็นบัว กล่มุ เถาและเครื่องยอด สว่ นบัวบรรจุอฐั ิผหู้ ญิงยอดท�ำเป็นรูปดอกบวั ตมู 10. หอพระสูง (พระวหิ ารสูง) พระวหิ ารสงู หรอื หอพระสูง เปน็ ปชู นยี สถานท่ี ส�ำคัญแห่งหน่ึงของเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่นอกก�ำแพง เมืองโบราณนครศรีธรรมราชด้านทิศเหนือในบริเวณสนาม หน้าเมือง ใกล้ส�ำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนราชด�ำเนิน เรียกชื่อตามลักษณะของการก่อสร้างของ พระวิหารซ่ึงสร้างบนเนินดินท่ีสูงกว่าพ้ืนปกติถึง 2.10 เมตร ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงประวัติอย่างแท้จริง แต่สามารถ หอพระสูง สันนิษฐานจากลักษณะของสถาปัตยกรรม และจิตรกรรม ฝาผนงั วา่ สรา้ งในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ ภายในพระวหิ ารประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ปนู ปน้ั แกนดนิ เหนยี ว สนั นษิ ฐาน ว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษท่ี 23–24 หรือในสมัยอยุธยาตอนปลาย ยังไม่ปรากฏหลักฐานทางเอกสารแน่ชัด เกยี่ วกบั ประวัติการสร้างหอพระสงู แหง่ นี้ แตม่ เี ร่อื งเล่าของชาวบา้ นที่บอกเลา่ ต่อ ๆ กันมาวา่ เนนิ ดินขนาดใหญเ่ ปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานหอพระสงู นนั้ ชาวบา้ นไดช้ ว่ ยกนั ขดุ ดนิ จากบรเิ วณคลองหนา้ เมอื งมาถมเปน็ เนนิ ขนาดใหญเ่ พอ่ื ใชต้ ง้ั ปนื ใหญ่ในการสกัดก้ันทัพพม่า ในคราวท่ีได้มีการยกทัพใหญ่ลงมาตีหัวเมืองหน้าด่านต่าง ๆ ทางภาคใต้ ต้ังแต่มะริด ถลาง ไชยา จนถึงนครศรีธรรมราช บริเวณสนามหน้าเมืองน่าจะเป็นสนามรบและต้ังทัพตามกลยุทธ์ในการจัดทัพ ออกศกึ เพื่อตอ่ สูป้ ระจัญบาน ตอ่ มาบรเิ วณแหง่ นี้กลายเป็นสถานทศ่ี กั ด์ิสิทธ์ไิ ด้มีการก่อสรา้ งพระพทุ ธรปู เพอื่ เปน็ ที่ เคารพสกั การะบชู า และไดส้ รา้ งวหิ ารครอบองคพ์ ระพทุ ธรปู ในเวลาตอ่ มา รปู แบบสถาปตั ยกรรม เปน็ อาคารทรงไทย รูปส่ีเหลีย่ มผืนผ้า ก่ออิฐถอื ปนู ขนาดกว้าง 5.90 เมตร ยาว 13.20 เมตร สงู 3.50 เมตร หนั หน้าไปทางทศิ ตะวนั ออก หลงั คาเปน็ เครอ่ื งไมม้ ุงกระเบอ้ื งดนิ เผาผนงั ดา้ นข้างเยอื้ งมาทางด้านหนา้ ทงั้ สองด้านเจาะเป็นกรอบหน้าตา่ ง ท�ำช่อง รบั แสงในกรอบเป็นรปู กากบาท ฐานชน้ั ลา่ งก่อดว้ ยอฐิ เป็นตะพัก 4 ชั้น ดา้ นหน้าทางข้นึ เป็นบนั ไดต่อจากเนนิ เขา้ ไป ยังพระวหิ าร รูปแบบประตมิ ากรรม ไดแ้ ก่ องคพ์ ระพทุ ธรปู ประธาน ปางมารวชิ ัย แกนพระพทุ ธรปู ทำ� ดว้ ยดินเหนียว โบกปนู ปน้ั องค์พระภายนอกขนาดหน้าตักกวา้ ง 2.40 เมตร สูง 2.80 เมตร ลักษณะอวบอ้วน พระพกั ตร์เปน็ รปู สเ่ี หลยี่ ม พระขนงโกง่ พระนาสกิ งมุ้ พระโอษฐเ์ ปน็ รปู คนั ศร พระศอเปน็ รวิ้ พระกรรณหอ้ ยตำ�่ อยใู่ ตพ้ ระศก พระเกศา เกลา้ เปน็ มวย เมด็ พระศกเปน็ ขมวดปนเลก็ ยอดพระเกตมุ าลาอาจหกั หายไป ครองผา้ สงั ฆาฏเิ ฉยี งจากพระองั สาซา้ ย 308 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

มาจรดพระนาภี ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงวินิจฉัยว่าควรจัดอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 23 - 24 สมยั อยธุ ยาตอนปลาย หรอื รตั นโกสินทรต์ อนต้น ทางด้านหลัง ของหอพระสูงพบพุทธรูปหินทรายแดง ปางมารวชิ ยั เศยี รหัก หายไป ส่วนฐานมีจารึกภาษาขอม รูปแบบจิตรกรรมฝาผนัง เขยี นเปน็ รปู ดอกไมห้ อ้ ยลง กลบี ดอกเขยี นดว้ ยสนี ำ้� ตาลจำ� นวน 8 กลบี ด้านดอกเขียนสนี ้ำ� เงนิ หรือสีคราม สว่ นก้านเกสรเปน็ ลายไทย ดอู อ่ นชอ้ ยสวยงาม สว่ นใตฐ้ านพระพทุ ธรปู เปน็ ลายจนี พระพทุ ธรูปปูนปน้ั เข้าใจว่าคงเขียนข้ึนภายหลัง รูปแบบของจิตรกรรมฝาผนัง คล้ายงานเขยี นในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้นท่มี อี ทิ ธพิ ลจีนเขา้ มาปะปนผสมกบั ลวดลายไทย 11. วัดทา่ โพธว์ิ รวิหาร วดั ท่าโพธวิ์ รวิหาร ตง้ั อยรู่ ิมคลองทา่ วงั ตำ� บลท่าซัก อำ� เภอเมือง สรา้ งในราวปี พ.ศ. 2027 ตรงกับ รชั สมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 – 2031) แห่งกรงุ ศรีอายธุ ยา ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2133 – 2148) ทรงทรงพระยารามราชทา้ ยน้ำ� มาเปน็ เจา้ เมือง และเพอ่ื ปราบปรามพวกโจรสลัดซึ่งอาละวาด หนักเข้าปล้นหัวเมืองภาคใต้อยู่ในขณะน้ัน ใน พ.ศ. 2171 พวกโจรสลัดยกเข้าปล้นเมืองพระยารามราชท้ายน้�ำยก ก�ำลังเข้าต่อสู้ปราบปรามอย่างเข้มแข็ง ในที่สุดพวกโจรพ่ายแพ้ทิ้งศพพรรคพวกไว้มากมาย ท่ีเหลือหนีตายไปได้ แต่กว่าจะปราบได้ส�ำเร็จ พวกโจรสลัดเผาบ้านเรือนของชุมชนแถบนั้น ตลอดถึงวัดท่าโพธิ์ราบเรียบเป็นหน้ากลอง วดั ทา่ โพธจ์ิ งึ รา้ งอยเู่ ปน็ เวลานาน ในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เจา้ พฒั นซ์ งึ่ ยงั ดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ อปุ ราช ไดม้ าตงั้ วงั อยทู่ าง ทิศเหนอื ใกล้วดั ทา่ โพธิ์ ครั้นส้นิ สมยั พระเจ้านครศรีธรรมราช (หน)ู เจ้าพัฒนไ์ ดร้ บั การแต่งตง้ั เปน็ เจา้ เมอื งคนต่อมา จึงย้ายเขา้ ไปอยู่ในวงั เจ้าเมอื งเดมิ แล้วยกวงั ถวายวัดและสรา้ งวดั ขึ้นใหมใ่ น พ.ศ. 2327 รวมเนอ้ื ที่เขา้ กับวัดเดิมและ ใหช้ ื่อวา่ วดั ท่าโพธ์ิ เหมือนเดิม วดั ท่าโพธว์ิ รวหิ าร พระประธานในโบสถว์ ัดทา่ โพธวิ์ รวหิ าร โบราณวตั ถโุ บราณสถานทสี่ �ำคัญ คือ โบสถแ์ ละพระประธานในโบสถ์เปน็ พระพทุ ธรปู ทรงเครื่องใหญส่ ี สวยงาม ดา้ นหลงั พระประธานมเี จดยี บ์ รรจอุ ฐั ขิ องเจา้ พระยานครฯ (พฒั น)์ มกี ฏุ ทิ พี่ กั ของทา่ นเจา้ คณุ พระรตั นธชั มนุ ี (ม่วง) รปู แบบสถาปตั ยกรรมยโุ รปผสมจีน กรอบประตูหน้าต่างมลี วดลายไมแ้ กะสลกั งดงาม หลักสตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 309

12. วัดวงั ตะวันตก วังตะวันตก ต้ังอยู่ริมถนนราชด�ำเนิน ติดกับบรเิ วณตลาดทา่ วัง แตก่ ่อนสร้างเปน็ วัดเปน็ ส่วนของเจ้า จอมปราง พระสนมที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชทานแก่เจ้าพระยานคร (พัฒน์) ส่วนวังของเจ้าจอม ปราง ตั้งอยู่ตรงกันข้ามคนละฟากของถนนราชด�ำเนิน คือ วัดวังตะวันออกในปัจจุบัน ครั้นเจ้าจอมปรางสิ้นชีพิตักษัย เจ้าพระยานคร (น้อย) ยกให้เป็นวัด คือ วัดวังตะวันออก และยกสวนให้เป็นวัด คือ วัดวังตะวันตก ในวัดวังตะวันตก วัดวังตะวันตก มกี ฏุ ิทรงไทย 3 หลงั สรา้ งเมอื่ พ.ศ. 2431 โดยพระครูกาชาด (ย่อง) เปน็ เรือนเคร่อื งสบั หลงั คาจัว่ ฝาปะกน แต่ละหลงั มีชานทมี่ หี ลงั คาคลุมเชื่อมต่อกันที่ประตู หน้าตา่ ง หน้าจว่ั มีลวดลายที่แกะสลักอย่างสวยงาม อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนคร เน่ืองจากความงามลงตัวในเชิงสถาปัตยกรรม และได้รบั การบ�ำรุงรกั ษาอย่างดีจึงได้รับการคัดเลือก “เปน็ อาคารอนุรกั ษ์ดเี ด่นประจำ� ปี” ประเภทปชู นยี สถานและ วดั อาราราม และไดร้ ับรางวลั จากสมาคมสถาปนกิ สยาม เมอ่ื พ.ศ. 2536 13. วัดสระเรยี ง วัดสระเรียงอีกหนึ่งวัดที่ต้ังอยู่ตรงข้าม วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ตั้งอยู่ถนนราชด�ำเนิน ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นวัด เก่าแก่ท่ีเคยเป็นท่ี ประทับของพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อครั้งยก ทัพมาตีหัวเมืองทางใต้และได้สร้างพลับพลาที่ประทับใน วัดสระเรียง โดยปัจจุบันพลับพลาท่ีประทับและพระพุทธรูป ดนิ เผาโบราณ ถกู นำ� ไปเกบ็ รกั ษาไวท้ พี่ พิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ที่อุโบสถวัดวัดสระเรียง ดังท่ีเป็นท่ีเคารพสักการะของ วัดสระเรยี ง ชาวนครศรีธรรมราช รวมถึงรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ประดิษฐานอยู่ในวดั แห่งนี้ มีพระพทุ ธชนิ ราชจ�ำลองปางมารวิชัย (ซุ้มเรือนแกว้ ) เป็นพระประธาน ในอุโบสถวัดสระเรยี ง มขี นาดหน้าตักกวา้ ง 41 นวิ้ สงู 59 นิว้ สร้างขนึ้ เม่ือปี พ.ศ. 2529 ในปัจจบุ ันก�ำแพงแกว้ ของวดั ได้รับการบูรณะซ่อมแซมข้ึนมาใหม่ตามศิลปะบาหลี และประดับไว้ด้วยพระพุทธปูนปั้น พระประจ�ำวันเกิด พระพทุ ธสิหิงค์ พระแกว้ มรกต และหลวงพ่อทา่ นคล้าย วัดสระเรยี งแห่งนย้ี ังถือเปน็ โรงเรยี นพระปรยิ ติธรรมที่ใหญ่ ที่สุดในภาคใต้ 310 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

14. วัดชายนา วัดชายนาได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นวัดสมัย กรุงศรีอยุธยา ต้ังอยู่ใน ต�ำบลนา อ�ำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช โดยพิจารณาจากถาวรวัตถุอันส�ำคัญ คือ โบสถ์ ซง่ึ มลี กั ษณะเปน็ โบสถย์ คุ แรกทางพระพทุ ธศาสนาทน่ี ยิ ม ท�ำขนาดความยาวไม่เกิน 7 ก้าว กว้างพอจุพระครบ องค์สังฆกรรมตามบัญญัติ ในพุทธศาสนาได้เท่านั้น มีประตู เขา้ ดา้ นหนา้ เพยี งดา้ นเดยี ว ไมม่ หี นา้ ตา่ งแตม่ ชี อ่ งหรอื รรู ะบาย อากาศ ทฝ่ี าผนงั ผนงั ดา้ นหลงั พระพทุ ธรปู เสาตดิ ผนงั และผนงั วดั ชายนา ด้านขา้ งมรี อ่ งรอยภาพเขียนจติ รกรรมฝาผนัง แตล่ บเลอื นไปมาก จากหลกั ฐานดังกล่าวน้ีพร้อมด้วยกระเบอ้ื งหลังคา เกา่ ทฝี่ งั จมดนิ ทรงหลงั คา ภาพเขยี นสี พระประธาน และประณตี ศลิ ปท์ ป่ี รากฏบนบวั หวั เสาและฐานชกุ ชนี นั้ อาจารย์ ประเวศ ลมิ ปรังษี หวั หน้าแผนกช่างสบิ หมู่ กองสถาปัตยกรรม กรมศลิ ปากรได้สรปุ วา่ เป็นฝมี ือช่างสมัยอยธุ ยา และ กรมศลิ ปากรประกาศข้นึ ทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เลม่ 118 ตอนท่ี 127ง. วันท่ี 21 ธันวาคม 2544 เป็นโบราณสถานวัดชายนามีพ้ืนที่ประมาณ 90 ตารางวา แต่มีหลักฐานทางราชการปี 2473 ซึ่งมีการจัดท�ำบัญชี ส�ำรวจท่ีดินวัดร้างในแผนกสรรพากรจังหวัดนครศรีธรรมราช อันดับที่ 23 ว่าวัดชายนา (ร้าง) ไม่มีผู้เช่า ต่อมามี การแจ้งสิทธค์ิ รอบครองรับ เอกสาร ส.ค.1 เลขที่ 100 ลงวนั ท่ี 23 พฤษภาคม พ.ศ.2498 เช่นน้ี วัดชายนาจงึ ยังคง มชี อ่ื ว่า วัดชายนา และวงเล็บว่า รา้ ง วัดชายนาร้างนั้นมสี ภาพดงั สำ� นักสงฆ์ มีพระภิกษุสงฆ์จ�ำพรรษาบ้างและบาง ขณะถกู ปลอ่ ยรา้ งสลบั กนั ไป หลกั ฐานทชี่ ดั เจนในการใชพ้ น้ื ทอ่ี าณาบรเิ วณนเี้ ปน็ ทปี่ ระกอบ กจิ กรรมทางพทุ ธศาสนา คอื ปพี ุทธศักราช 2477 พทุ ธธรรม-สมาคม สาขานครศรีธรรมราช ซงึ่ พยายามจัดหาสถานท่ีวเิ วกส�ำหรบั พระภกิ ษุ สามเณรเพื่อปฏิบัติธรรมข้ันสูงโดยสะดวก ได้เลือกวัดชายนาซึ่งเป็นวัดร้างเปิดเป็นสถานที่วิปัสสนาธุระใน วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 เรียกสถานที่วัดชายนาว่า “สวนพุทธธรรมปันตาราม” แปลว่า สวนหรือป่าสงัด อนั เปน็ ปัจจยั แห่งการบรรลพุ ุทธธรรม กระทง่ั ปี พ.ศ. 2505 ท่านพระอาจารย์ธมฺมธโร ได้เขา้ สอนการปฏบิ ตั อิ ยู่หนงึ่ ปี พอขึน้ ปที ี่สองเท่าน้นั ชอื่ เสียงของทา่ นกโ็ ด่งดงั ไปทัว่ ทงั้ เมืองนครศรธี รรมราช มพี ระภกิ ษุ สามเณร อบุ าสก อุบาสิกา พากันมาศึกษาปฏิบัติธรรมกับท่านมากมาย บรรดานักปราชญ์นักธรรมและแม้แต่นักกฎหมายหลายท่านต่างก็เดิน ทางมาพบท่านเพื่อสนทนาสอบถามปัญหาธรรมต่าง ๆ ในปีพ.ศ. 2515 ท่านพระอาจารย์ธมฺมธโร ได้ให้ช่ือส�ำนัก วปิ สั สนาใหมว่ า่ “สำ� นกั วปิ สั สนากมั มฏั ฐาน สวนพทุ ธธรรม วดั ชายนารา้ ง” เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ชอื่ เดมิ วา่ “สวนพทุ ธ ธรรมปันตาราม” และ “วดั ชายนา” และในวนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2539 ทางกรมการศาสนาโดยความเหน็ ชอบของ มหาเถรสมาคม ไดป้ ระกาศยกวดั ชายนารา้ งขน้ึ เปน็ วดั มพี ระภกิ ษอุ ยจู่ ำ� พรรษา และในวนั ท่ี 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 พระราชปฎิภาณโสภณ เจ้าคณะจังหวดั นครศรีธรรมราชไดแ้ ต่งตง้ั ใหพ้ ระครสู มหุ ์แจง้ จนทฺ วณโฺ ณ ดำ� รงตำ� แหนง่ เป็น เจา้ อาวาสวดั ชายนา หลักสูตแรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 311

15. ศาลพระเส้อื เมอื ง ศาลพระเส้ือเมือง ตั้งอยู่ท่ี หลังโรงพยาบาล เทศบาล ถนนหน้าวัดสวนป่าน อ�ำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช แต่เดิม สันนิษฐานเป็นสองกระแส กระแสแรก ว่าเคยเป็นศาลหลักเมืองของนครศรีธรรมราช ในสมยั โบราณ กระแสทส่ี อง วา่ เคยเปน็ ศาลาเปลอ้ื งเครอ่ื งทรง ของเจ้าพระยาท้าวมหากษัตริย์ท่ีจะมาสักการะบูชา พระบรมธาตุ ได้ผ่านการบูรณะมาหลายครั้ง โดยชาวจีน ฮกเก้ียน ที่มาสร้างศาลแบบจีน โดยมีในบันทึก ของสมเด็จ พระเจ้าบรม วงศ์เธอกรมพระยาภานุพันธุ์วงศ์วรเดช ได้ทรง ศาลพระเสอ้ื เมือง บันทึกในหนังสือ “ชีวิวัฒน์ บันทึกการเดินทางเสด็จประพาสหัวเมืองภาคใต้” เมื่อ พ.ศ. 2427 (สมัยรัชกาลที่ 5) มีตอนท่ีกล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราชตอนหน่ึงว่า “…ข้างฟากถนนด้านตะวันตกถัดบ้านพระยานคร (ศาลากลาง จังหวัดในปัจจุบัน) ไปประมาณ 10 เส้น มีหมู่ตลาดอีกแห่งหน่ึง เป็นตลาดเพิงเป็นหลัง ๆ ขายผ้า เคร่ืองนุ่งห่ม และเครอ่ื งใชส้ อยตา่ ง ๆ ประมาณ 21 – 22 รา้ น ทน่ี นั้ มโี รงศาลเจา้ เสอื้ เมอื งหลงั หนง่ึ มงุ จากฝาลกู กรงไมไ้ ผเ่ หมอื นโรงโป ในนน้ั มกี ฏุ อิ ฐิ 2 หนา้ ขา้ งตะวนั ตกมเี ทวรปู ศลิ าปดิ ทองยนื จมดนิ สงู สกั ศอกเศษ (1ศอก = 50 ซม.) หนา้ ขา้ งตะวนั ออก มเี ทวรปู ศลิ าปดิ ทองนงั่ ชนั เขา่ สงู สกั ศอกเศษหนง่ึ ...” และศาลพระเสอ้ื เมอื ง ไดม้ กี ารปรบั เปลย่ี นอกี ครง้ั โดย พ.ศ. 2476 หนงั สือ “สาสน์สมเด็จ” เล่ม 17 สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอเจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานุวัตวิ งศ์ ทรงมลี ายพระหัตถ์ ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ความตอนหน่ึงว่า “…ให้น�ำย้อนหลังไปดูศาลเจ้า พระเสอื้ เมอื งเปน็ โรงใหญ่ ก�ำมะลอฝาขัดแตะ กลางโรงมีกฏุ กิ อ่ อยา่ งจนี ดจุ กุฏนิ กขนุ ทอง หนา้ กุฏมิ โี ตะ๊ พระเคร่อื ง บชู าอยา่ งจนี ตง้ั ในกฏุ เิ ปน็ พระพทุ ธรปู เกา่ หลงั กฏุ มิ รี ปู ปน้ั เปน็ เทวดานงั่ วศิ วกรรมแตม่ นี มดจู ะเปน็ นาง หลงั โตะ๊ มโี ตะ๊ เคร่ืองบชู าอยา่ งจีนต้งั อีกแห่งหน่งึ หลงั โต๊ะแขวนรูปกวนอู เปน็ ทน่ี า่ สังเกตไดว้ ่าศาลน้ีเคยมจี ีนมาปกครองแตเ่ ดย๋ี วน้ี ไมม่ ีแลว้ ผวู้ ่าราชการใหผ้ ู้ใหญ่บา้ นท่อี ยู่ใกลม้ าดูแล…” ในปี พ.ศ. 2505 ได้เกิดวาตภัยใหญ่ ทำ� ใหศ้ าลพระเสื้อเมือง นครศรธี รรมราช ไดพ้ งั ทลายจนตอ้ งบรู ณะใหมแ่ ลว้ เสรจ็ ในปี พ.ศ. 2508 และไดม้ กี ารบรู ณะครง้ั ใหญใ่ นปี พ.ศ. 2552 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2557 ปัจจุบันศาลพระเส้ือเมือง ได้บูรณะใหม่เป็นที่สง่าเชิดหน้าชูตา ควรค่าแก่การเข้าไป สักการะบูชา 16. ฐานพระสยม ฐานพระสยม (ฐานพระสยมภวู นาท) ตง้ั อยทู่ ถี่ นน หลังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวดั นครศรธี รรมราช ฐานพระสยม เปน็ เทวาลัยไศวนิกาย ฐานพระสยมเปน็ เทวสถานเกา่ แกข่ องพราหมณ์ สรา้ งประมาณ พ.ศ.1600 ต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือไม่ไกลนักจาก พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช สร้างด้วยอิฐ ประกอบด้วย ห้องครรภคฤหะขนาดเล็กซึ่งส�ำหรับประดิษฐานศิวลึงค์และ มณฑปทางดา้ นหนา้ ส�ำหรับผูบ้ ูชา ภายในประดษิ ฐานศวิ ลงึ ค์ ฐานพระสยม ซึ่งตั้งอยู่บน ฐานพระสยมฐานโยนีทรงกลม อันเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะและพระอุมาในฐานะแห่งการไม่มีรูป อน่ึง ฐานโยนีทรงกลมนี้เป็นลักษณะพิเศษ ไม่ปรากฏมาก่อนในศิลปะศรีวิชัยแต่กลับเป็นลักษณะปกติในศิลปะ อินเดยี ใต้ ด้วยเหตุนจี้ งึ เป็นไปได้ท่ฐี านดงั กลา่ วอาจแสดงความสมั พนั ธท์ างใดทางหน่ึงกบั ชาวอินเดยี 312 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

17. หอพระอิศวร หอพระศิวะ ต้ังอยู่ที่ถนนราชด�ำเนิน ใกล้กับ วดั เสมาเมอื ง ตำ� บลในเมอื ง อำ� เภอเมอื ง มเี นอ้ื ที่ 2 ไร่ 1 งานเศษ เปน็ เทวสถานในศาสนาพราหมณไ์ ศวนกิ าย คือ นิกายทน่ี ับถอื พระศิวะหรือพระอิศวร นิกายนี้แทนที่จะนับถือองค์พระศิวะ แต่กลับนับถืออวัยวะเพศหรือลึงค์ของพระศิวะ ท่ีเรียกว่า “ศิวลึงค์” และนับถืออวัยวะเพศของพระมเหสีพระศิวะ คือ พระนางอมุ า “อมุ าโยนี” ศิวลงึ ค์กบั อุมาโยนีจะอยคู่ ู่กนั เสมอ ภายในหอพระศิวะ ประดิษฐานศิวลึงค์บนแท่นโยนิโทรณะ หอพระอิศวร ภายนอกดา้ นใต้มี “เสาชิงชา้ ” จ�ำลองแทนของเดมิ ซ่ึงมขี นาดใหญ่มาก ท�ำดว้ ยไมต้ ะเคียนทอง ส�ำหรบั ประกอบพิธี โลช้ งิ ชา้ เชญิ เสดจ็ พระอศิ วรลงมายงั โลกมนษุ ย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์ ธุวงศ์วรเดช เสดจ็ ประพาสเมอื งนครศรีธรรมราช เม่อื ปวี อก พ.ศ. 2527 ส่งบรรยายหอพระอิศวร และหอพระนารายณ์ไว้วา่ ...ถัด วัดเสมาเมืองออกไปเป็นเขตจังหวัดโบสถ์พราหมณ์ มีตวั โบสถ์พราหมณ์หลงั 1 ผนงั ทลาย มุงจาก ในโบสถม์ คี อกอิฐ ในคอกอฐิ นั้นมีฐานส�ำหรับรองรับศวิ ลึงค์ (สะกดการนั ตแ์ บบเดมิ ) ทำ� ดว้ ยศิลา 4 เหล่ยี มใหญป่ ระมาณ 2 ศอก มรี ปู พระพฆิ เณศศิลาปดิ ทองเลว ๆ ตัง้ อย่บู นฐานนัน้ และมีไม้บานประตูสลกั เป็นเทวรูปเสยี เสยี อยู่อันหนง่ึ สูงสัก 3 ศอก มีศวิ ลึงค์ศลิ ายอ่ ม ๆ ปกั อยู่สองข้างฐานน้ัน นอกคอกอิฐ มุมข้างตะวันออกเฉยี งใต้มีศิวลงึ ค์ศิลาอนั หนึง่ ปกั อยูใ่ หญ่ 5 กำ� สงู คอกคบื นา่ จะเปน็ ศวิ ลงึ คส์ ำ� หรบั กบั ฐานทต่ี ง้ั อยขู่ า้ งในแตพ่ ลดั กนั ไป ขา้ งโบสถด์ า้ นเหนอื มหี อมงุ กระเบอ้ื งเฉลยี ง รอบตัวอยูห่ ลงั หนึง่ เปน็ ที่พวกพราหมณอ์ าศัย ทล่ี านโบสถ์นั้นมีเสาชงิ ช้าอนั หน่ึง สูงประมาณ 3 วาทเ่ี ทวสถานน้ันมี พวกพราหมณ์นงุ่ ขาวอยหู่ ลายคน(ภาณพุ นั ธธ์ วุ งศว์ รเดช,สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอเจา้ ฟา้ กรมพระยา2504:117–118) 18. หอพระนารายณ์ (หอพระวิษณุ) หอพระนารายณ์ ตง้ั อยทู่ ถ่ี นนราชดำ� เนนิ ใกลก้ บั วัดเสมาเมือง ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง ฝั่งตรงข้ามกันกับ พ่อพระศวิ ะ มเี นือ้ ท่ี 1 ไร่ 1 งานเศษ เป็นเทวสถานในศาสนา พราหมณ์ไวษณพนิกาย คือ นิกายที่นับถือพระนารายณ์ ซง่ึ เปน็ ใหญแ่ ตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว คอื ทงั้ ผสู้ รา้ ง ผรู้ กั ษา และผทู้ ำ� ลาย สากลโลกนี้ นิกายนส้ี อนเรอื่ ง “อวตาร” คอื การปรากฏกาย ลงมาเกิดในเมืองมนุษย์ เพื่อปราบยุคเข็ญต่าง ๆ ในโลกนี้ ซงึ่ มมี าแลว้ ถงึ 10 ครงั้ เรยี กวา่ “นารายณ์ 10 ปาง” ครง้ั สดุ ทา้ ย อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า ต�ำราไม่ได้บอกไว้ว่าตอนท่ี 11 หอพระนารายณ์ (หอพระวษิ ณ)ุ จะเกดิ มาเปน็ อะไรในโลกภายหนา้ ภายในหอเปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระวษิ ณศุ ลิ า สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรม พระยาภาณุพนั ธธ์ วุ งศ์วรเดช ทรงบรรยายหอพระนารายณ์ไว้วา่ ...ทต่ี รงหนา้ จงั หวดั โบสถพ์ ราหมณ์ ขา้ มถนนมาข้าง ตะวันออก มีโบสถ์พราหมณ์อีกจังหวัดหนึ่ง มีผนังอิฐทลายมุงจาก มีคอกอิฐข้างใน มีเทวรูปนารายณ์ศิลาปิดทอง ยืนจมดนิ อยเู่ พียงนอ่ งสงู ประมาณศอกเศษถัดเทวสถานทั้งสองฟากตอ่ ไปมีบ้านราษฎรบา้ ง หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 313

19. แหล่งนำ้� ศกั ด์ิสิทธ์ิในจงั หวดั นครศรีธรรมราช ในคร้ังโบราณตราบจนปัจจุบัน เม่ือต้องการใช้น�้ำพระพุทธมนต์ประกอบพระราชพิธี เช่น น�้ำอภิเษก นำ้� บรมราชาภเิ ษกและนำ�้ พพิ ฒั นส์ ตั ยา เปน็ ตน้ เจา้ เมอื งกจ็ ะใหร้ าชบรุ ษุ ไปพลกี รรม เพอื่ เอานำ้� จากแหลง่ นำ้� ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ ทั้ง 6 แหลง่ มาประกอบพิธที กุ ครั้งไป แหล่งน้�ำศกั ดิ์สิทธค์ิ ูเ่ มอื งนครศรธี รรมราช ใช้ในพระราชพิธี และพิธกี รรมอัน ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ในพระราชพธิ ีเถลงิ ถวลั ย์ราชสมบัติ พระมหากษตั รยิ ท์ ีจ่ ะขน้ึ เถลงิ ถวัลย์ราชสมบตั ิ ในข้นั ตอนการเตรยี มพิธี จะต้องมีการตักน้�ำจากแหล่งส�ำคัญส�ำหรับน�ำมาเป็นน้�ำสรงพระมุรธาภิเษก และเพื่อท�ำน�้ำอภิเษกก่อนที่จะน�ำไป ประกอบในพระราชพิธบี รมราชาภิเษก ซ่งึ น�้ำทีน่ ำ� มาจะตอ้ งมีความพเิ ศษกวา่ น้�ำธรรมดาทว่ั ไป ซง่ึ ได้รวม 6 แหลง่ น้�ำ ศักดส์ิ ิทธิ์คู่บ้าน คู่เมืองนครศรธี รรมราช ไปตงั้ ทำ� พธิ ีท่ีวดั พระมหาธาตุ จงั หวดั นครศรธี รรมราช ซ่งึ เปน็ ปูชนยี สถานที่ สำ� คญั ในจงั หวัดนครศรธี รรมราช แหลง่ น้ำ� ศกั ดิส์ ทิ ธ์ทิ ี่ใชใ้ นการประกอบพธิ พี ลกี รรมตกั น�้ำ จำ� นวน 6 แหลง่ คือ 1) บอ่ น้ำ� ศักดส์ิ ิทธ์ิ วดั หนา้ พระลาน ตั้งอย่ใู น วัดพระลาน ซ่ึงอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในสมัยโบราณชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้�ำศักด์ิสิทธ์ิ นำ�้ ใสสะอาด มคี วามหนาแนน่ ผดิ ปกตกิ วา่ บ่ออน่ื ๆ หากใครได้ ดม่ื นำ้� ในบอ่ นจี้ ะมสี ตปิ ญั ญาดี มวี าสนา จะไดเ้ ปน็ ขนุ นางผใู้ หญ่ นอกจากนั้นชาวบ้านยังเชื่อว่าน�้ำในบ่อนี้สามารถใช้ผสม ยารักษาโรค และใช้ประพรมขับภูตผีปีศาจได้ด้วย จึงนิยม ตกั นำ�้ ในบอ่ นไ้ี ปใชด้ มื่ กนิ ตามความเชอื่ ของตนในปพี ทุ ธศกั ราช บอ่ นำ้� ศักดิส์ ทิ ธ์ิ วัดหน้าพระลาน 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จ หวั เมอื งปกั ษใ์ ตแ้ ละไดป้ ระทบั แรมจงั หวดั นครศรธี รรมราช ซง่ึ ขณะนน้ั เจา้ พระยาสธุ รรม มนตรี (หนพู รอ้ ม) เปน็ เจา้ เมอื ง พระองคท์ รงทราบเรอื่ งราวบอ่ นำ�้ ศกั ดส์ิ ทิ ธว์ิ ดั น้ี จงึ ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ มายงั วดั หนา้ พระลาน ทรงตกั นำ�้ ในบอ่ นำ้� นี้ ด้วยภาชนะซ่ึงท�ำด้วยใบจาก (หมาจาก) ด้วยพระองค์เองและทรงเสวยในอดีตครั้งกรุงศรีอยุธยา เจ้าเมือง นครศรธี รรมราช เคยอญั เชญิ น�ำ้ ศกั ดิ์สทิ ธจิ์ ากบ่อแห่งน้เี พ่อื เขา้ สพู่ ิธแี ละพระราชพิธตี า่ ง ๆ เช่น พธิ ีถือนำ้� พระพพิ ฒั น์ สตั ยาของเมอื งนครศรธี รรมราช และอญั เชญิ นำ้� ศกั ดสิ์ ทิ ธจิ์ ากบอ่ นำ�้ นเี้ ขา้ สงู่ านพระราชพธิ ที วธี าภเิ ษก เมอ่ื ปี พ.ศ.2447 (รัชกาลที่ 5) และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี คร้ังล่าสุดทาง จังหวัดได้อัญเชิญน�้ำศักด์ิสิทธ์ิจากบ่อแห่งนี้ซ่ึงเป็นหน่ึงในหกแห่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้ึนทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ เมือ่ ปพี ุทธศักราช 2542 และพระราชพธิ มี หามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา 80 พรรษา เมอ่ื วนั ท่ี 5 ธันวาคม 2550 2) บ่อน้�ำศักด์ิสิทธิ์ วัดเสมาเมือง ตั้งอยู่ทางทิศอีสานของวัด เป็นบ่อน้�ำท่ีสร้างขึ้นพร้อมกับการตั้ง วดั เสมาเมอื ง หมายถงึ หลกั เมอื งเปน็ สถานทบี่ อกเรอื่ งราวตา่ ง ๆ ของจงั หวดั นครศรธี รรมราช ตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั วัดเสมาเมอื งสรา้ งขนึ้ เม่อื พทุ ธศกั ราช 1318 เปน็ วัดท่ีสร้างขึ้นเปน็ อนั ดับที่ 2 รองจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวหิ าร มีหลักศลิ าจารึกหลักท่ี 23 ซ่ึงขดุ พบทวี่ ัดเสมาเมืองแห่งน้ี ชาวบ้านเชอ่ื กนั วา่ บอ่ น้ำ� แห่งนี้ ตง้ั อยภู่ ายในเขตธรณสี งฆ์ อนั เปน็ แดนของพระพทุ ธศาสนาและในอดตี เคยเปน็ ศาสนาพราหมณ์ ทไ่ี ดเ้ ขา้ สนู่ ครศรธี รรมราชราวศตวรรษท่ี 10-12 ก่อนกลายเป็นวัดในพระพุทธศาสนา และเชื่อว่าบ่อน�้ำน้ีมีอายุก่อนตั้งวัดเสมาเมือง เป็นบ่อน้�ำในศาสนาสถานของ 314 แหนลกัวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

ศาสนาพราหมณ์ จึงมีความเชื่อว่าใครที่ได้ดื่มกินน้�ำในบ่อน้ี ก็สามารถแก้คุณไสย ภูตผีปีศาจได้ จึงเป็นบ่อน้�ำศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในหกแห่งของจังหวัดนครศรีธรรมราชและทางการได้ ตักน้�ำในบ่อน้�ำน้ีเข้าสู่พิธีถือน�้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเมือง นครศรีธรรมราช และอัญเชิญน้�ำศักดิ์สิทธ์ิจากบ่อน้�ำแห่งนี้ เขา้ สงู่ านพระราชพธิ ที วธี าภเิ ษกในรชั กาลที่ 5 และพระราชพธิ ี บรมราชาภิเษกพระมหากษัตริยา ธิราชเจ้าทุกพระองค์ ในราชวงศจ์ ักรี บอ่ นำ�้ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ วดั เสมาเมือง 3) บอ่ น้ำ� ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ วัดเสมาชัย ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดเสมาเมืองบ่อนำ�้ ตั้งอยู่ทางทิศอีสานของวัดเช่นเดียวกับวัดเสมาเมือง เสมาชัย หมายถงึ เครอ่ื งหมายของการชนะ ในอดตี พระเจา้ ศรธี รรมโศก ราชกษัตริย์เมืองนครได้สร้างวัดน้ีขึ้นหลังจากได้กรีธาทัพไปตี หวั เมอื งฝา่ ยใต้ และไดร้ บั ชยั ชนะกลบั มา จงึ ไดบ้ รู ณะวดั เสมาชยั เปน็ ทรี่ ะลกึ เพอื่ เปน็ สริ มิ งคลแกบ่ า้ นเมอื งจงึ ทำ� ใหน้ ำ้� ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ในบอ่ วดั เสมาชัยไดถ้ ูกน�ำไปใชเ้ ป็นบ่อพระพุทธมนต์ ประพรม แก่ทหาร หรือให้ทหารด่ืมน้�ำเพ่ือออกสงครามในคราวท่ี บ่อนำ�้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ วดั เสมาชัย เจ้าพระยานครน้อยได้กรีธาทัพไปตีไทรบุรีก็ได้น�ำน�้ำศักด์ิสิทธ์ิ บอ่ นเี้ ขา้ พธิ พี ทุ ธาภเิ ษก ประพรมใหท้ หาร และใหท้ หารดม่ื นำ้� บอ่ นเ้ี พอ่ื ไปทำ� สงครามกบั เมอื งไทรบรุ ี และไดร้ บั ชยั ชนะ กลับมา ชาวนครจงึ เชอ่ื วา่ บอ่ น้ำ� นีผ้ ู้ใดได้ด่ืมกนิ จะได้รับชัยชนะในทุกคราวในอดตี จังหวดั นครศรีธรรมราชไดอ้ ญั เชญิ นำ�้ ศกั ดสิ์ ทิ ธจ์ิ ากบอ่ แหง่ นี้ เพอ่ื เขา้ พธิ แี ละพระราชพธิ ตี า่ ง ๆ เชน่ พธิ ถี อื นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยาของเมอื งนครศรธี รรมราช และ อญั เชญิ นำ้� ศกั ดสิ์ ทิ ธจ์ิ ากบอ่ นำ�้ แหง่ นเ้ี ขา้ ประกอบพระราชพธิ ี บรมราชาภเิ ษกพระมหากษตั รยิ าธริ าชทกุ พระองค์ ในราชวงศจ์ ักรี 4) บ่อน้�ำศักด์ิสทิ ธ์ิ วดั ประตขู าว ต้ังอยู่ต�ำบลคลัง อ�ำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช ปัจจุบันเป็นวัดร้างทางราชการได้ใช้สถานที่ วัดเป็นโรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราชไปแล้ว บ่อน้�ำที่ วัดประตูขาวเดิมเป็นบ่อน้�ำลึกอยู่หลังโรงเรียนอนุบาล นครศรีธรรมราช แต่ครั้งโบราณน�้ำในบ่อน้ีได้รับการปลุกเสก โดยเจ้าอาวาสรูปส�ำคัญของวัดน้ี เป็นเจ้าอาวาสที่มี ความเชย่ี วชาญทางไสยศาสตร์ นำ�้ ในบอ่ นเี้ ปน็ บอ่ นำ้� ทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธ์ิ บ่อน้�ำศักดส์ิ ทิ ธิ์ วัดประตขู าว เปน็ สริ มิ งคล ใชใ้ นการทำ� นำ�้ พระพทุ ธมนตใ์ นพระราชพธิ ตี า่ ง ๆ เชน่ นอ้ มอภเิ ษก พระราชพิธบี รมราชาภเิ ษกน้�ำพระพพิ ัฒน์สัตยา เปน็ ต้น หลักสตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 315

5) แหลง่ นำ�้ ศักดสิ์ ทิ ธิ์ ห้วยเขามหาชัย เป็นล�ำห้วยท่ีมีน�้ำไหลมาจากเขามหาชัย ผ่านลงมาทางแนวป่าในบริเวณที่เป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช ต้นน�้ำอยู่ในเขตหมู่ที่ 4 ต�ำบลท่างิ้ว อ�ำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ล�ำห้วยนี้เรียกตามช่ือ ภูเขามหาชัย อันหมายถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ท่ีชาวเมือง นครศรีธรรมราช ในช่วง พ.ศ. 1900-2000 มีชัยต่อสลัดชวา ที่มาท�ำสงครามกับชาวนคร ถือเป็นน�้ำที่มีโชคชัยใช้เป็นน�้ำ ในพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น น้�ำพระพุทธมนต์ น้�ำพระบรม แหลง่ น้ำ� ศักดิส์ ทิ ธ์ิ หว้ ยเขามหาชยั ราชาภิเษก น้�ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้นโดยน�ำไป รวมกับ บอ่ อ่นื ๆ ท่ีมใี นตวั เมอื งนครศรีธรรมราช 6) แหล่งน้ำ� ศักด์ิ หว้ ยปากนาคราช เป็นห้วยที่มีความคดเคี้ยวเหมือน ตัวพญานาค อยู่ท่ี ต�ำบลเขาแก้ว อ�ำเภอลานสกา จังหวัด นครศรีธรรมราช น้�ำจากล�ำห้วยน้ีไหลออกมาจากแง่หิน ที่มีปากเหมือนพญานาคไหลตลอดปี ต้ังแต่โบราณมาเช่ือว่า น�้ำในห้วยนาคราชเป็นน้�ำศักด์ิสิทธิ์และส�ำคัญเหมือนน้�ำ จากแหล่งอื่น ๆ 5 แหล่งข้างต้น น�้ำจากล�ำห้วยน้ีใช้เป็น แหลง่ น้�ำศกั ด์ิ ห้วยปากนาคราช น้�ำพระพุทธมนต์ และพระราชพิธีร่วมกับน�้ำทุกแหล่งที่กล่าว มาตรงจุดท่ีตักน�้ำในห้วยปากนาคราชมีลักษณะเป็นแอ่งน�้ำที่มีทางน�้ำเล็ก ๆ หลายสายมารวมกันที่ใกล้จุดน้ี มีตน้ ไม้อยู่ 3 ชนดิ คือ ตน้ ใบแรด็ 1 หมู่ กอไผล่ ำ� เลก็ 1 กอ และหวาย 1 กอ เจ้าเมอื งนครเคยจัดใหม้ ีคนเฝ้า มใิ หใ้ คร ตดั ตน้ ไม้ 20. ศาลากลางจงั หวดั นครศรีธรรมราช ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประวัติ ความเปน็ มา บรเิ วณศาลากลางแห่งนี้ เดิมเป็นวังของเจ้าเมือง สภาพภายในวังก่อนท่ีจะมีการปฏิรูปการปกครองในสมัย พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ขนุ อาเทศคดี (กลอ่ ม มลั ลกิ ะมาส) ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ า่ ทศิ ตะวนั ออก เปน็ หนา้ วงั ระหวา่ ง ถนนกับรั้วก�ำแพงวังเป็นที่ว่าง กว้างศาลา ประมาณ 10 วา มตี น้ ประดใู่ หญ่ เรยี งรายสาขารม่ รนื่ เยน็ สบาย จากทศิ เหนอื ไป ทิศใต้หลายต้น ที่ประตูวังมีโรงฆ้องส�ำหรับตีบอกทุ่มยาม ศาลากลางจังหวดั นครศรีธรรมราช ทางดา้ นทศิ เหนอื ประตวู งั มศี าลายกพนื้ ปกู ระดาน หลงั คามงุ จาก เปน็ ศาลาช�ำระความ เรียกกันวา่ ศาลาต้นจนั ทน์ เพราะอยูใ่ ต้ตน้ จนั ทน์ต้นหนึ่ง มีค�ำพูดเลน่ ๆ วา่ “เป็นความเปน็ กนั 316 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

ศาลาต้นจนั ทน์กูไมไ่ ป” ทางด้านทศิ ใตป้ ระตูวงั มศี าลายาว 7 ห้อง เป็นท่สี ำ� หรับคมุ ขงั คู่ความในเมอ่ื ตดิ ใจสงสัยกนั ตามกฎหมายสมยั นน้ั ทางไปตะวนั ตกเปน็ ดา้ นหลงั วงั มที างเดนิ จากทศิ ใต้ (ตรอกหลงั วดั สวนปา่ น) พงุ่ ไปทางทศิ เหนอื ทิศตะวันตก เป็นที่ต้ังบ้านเรือนของบริษัทบริวารของเจ้าเมือง หลายสิบ หลังคาเรือน เรียกกันว่า “บ้านท้ายวงั ” ทิศเหนอื เป็นสวนดอกไมต้ ่าง ๆ ไมผ้ ลกม็ ี พระยานครกลุ เชษฐ์ (เอยี ด ณ นคร) ครง้ั ยังเป็นพระเสน่หา มนตรีอยู่อาศัย เลยเรยี กกันวา่ “ท่านในสวน” ทศิ ใต้ เปน็ อาคารบา้ นเรอื นของทา่ นเจา้ เมอื ง และบตุ รภรรยากบั ทา่ นหญงิ มารดาและนอ้ งหญงิ ของทา่ น อยู่อาศัยรวมหลายหลัง ทางก�ำแพงวัดด้านทิศใต้นั้น มีเฉลียงรอบกว้างประมาณ 6 วา ยาวประมาณ 10 วา เป็นที่ส�ำหรบั สวดมนต์ในพธิ ีตา่ ง ๆ เรยี กว่า “โรงพธิ ี” ทางทิศตะวนั ตกของโรงพิธี มโี รงแสง 1 หลัง ก่อพ้นื ผนงั อิฐ มุงจาก เปน็ ท่ีเก็บปนื ใหญค่ าบศลิ า หอกดาบ และสิง่ ของเครือ่ งใชใ้ นพิธี เป็นตน้ ทศิ ตะวนั ตกของโรงแสงมโี รงทอง ยกพน้ื มงุ จากเปน็ ทท่ี ำ� ทองรปู พรรณ ทกั ไปทางทศิ ตะวนั ตกมโี รงสำ� หรบั ทำ� งานพน้ื ดนิ มงุ จากอกี 1 หลงั และทางทศิ ใต้ โรงพิธีเฉียงไปทางตะวันตกเล็กน้อย มีหอพระพุทธสิหิงค์ มีโรงส�ำหรับคนเฝ้าหอพระหลังหน่ึง กับมีปืนใหญ่กระสุน 4 น้วิ หรอื 5 นว้ิ กองอยู่หลายกระบอก และมโี รงช้างโรงม้าด้วย สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยาภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดช เสดจ็ ประพาสเมอื งนครศรธี รรมราช เมอ่ื ปวี อก พ.ศ. 2427 ทรงบรรยายถงึ บา้ นเรอื นเจา้ เมอื งสมยั นนั้ ไวว้ า่ ถงึ บา้ นพระศริ ธิ รรมบรริ กั ษป์ ลดั มรี วั้ อยรู่ มิ ถนน เป็นไม้ไผ่ขัด แตะเส้ยี มปลายแหลมมีประตูไม้อย่างเก่า ขา้ งในมีหอนงั่ ยกพืน้ ชน้ั เดยี วฝากระแชงอ่อน หลงั คามงุ จาก ทำ� นองเรอื นฝรงั่ มลี กู กรง เรอื นขา้ งในหลายหลงั เปน็ เรอื นมงุ จากทงั้ สนิ้ ตอ่ บา้ นพระศริ ธิ รรมไปเปน็ บา้ นพระภกั ดดี ำ� รงฤทธ์ิ ผู้ช่วย ร้ัวบ้านเป็นตัวไม้เสม็ดปักห่าง ๆ บ้านยังท�ำไม้แล้ว เป็นเรือนจาก 4 หลัง มีหมู่เรือนฝากระแชงอ่อน หลงั คามุงจาก เปน็ เรือนชน้ั เดยี ว ยกพื้นถดั บ้านพระภกั ดีไป บ้านพระยารกั ษากรุง (เจ้าพระยามหาศิรธิ รรมบริรักษ์ (น้อยใหญ่ โกมารกุล ณ นคร ผู้รักษากรุงเก่า) เป็นมรดกต่อไป ร้ัวบ้านขัดแตะมีเรือนมุงจากเก่า ๆ ไกลเข้าไป ถดั ตอ่ ไปเปน็ วังเจ้านคร (เจา้ นคร หมายถงึ พระปลดั หนู ซ่ึงต้งั ตนเปน็ อิสระเม่อื เสียกรุงศรอี ยธุ ยา) ซ่ึงพระยานคร อยู่เดี๋ยวน้ี (เจ้าพระยานครศรีธรรมราช หนูพร้อม พ.ศ. 2410 – 2444 ในปี พ.ศ. 2427 ถูกกักตัวอยู่กรุงเทพฯ พระศิริธรนมบริรักษ์ (ถัด) น้องชาย เป็นผู้รักษาเมือง) (สงบ ส่งเมือง.2529 : 3831) ก�ำแพงบ้านเป็นไม้กระดาน สงู ประมาณ 10 ศอก แลว้ มรี วั้ ตน้ แสยกบา้ ง ไมเ้ สมด็ บา้ งหลายตอนเปน็ ทำ� นองสวน หนา้ บา้ นในกำ� แพงบา้ นนนั้ มหี อนง่ั หลังหน่ึง มีมุขพื้นเป็นขั้นบันไดก่ออิฐ ตัวหอน่ังฝากระแชงอ่อนหลังคาจากและมีเรือนหลังคาข้างในหลายหลัง มเี รอื นหลงั คากระเบอื้ งตดิ กนั 3 หลงั ถดั ทอนง่ั ไปขา้ งใตม้ กี ำ� แพงกนั้ สกดั มปี ระตอู อกไปตอนหนงึ่ (ภานพุ นั ธธ์ วุ งศว์ รเดช, สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระยา.2504 : 118 – 119) คร้ันต่อมา พ.ศ. 2439 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เล่ือนพระวิจิตรวรสาส์น (ปั้น สุขุม) ข้าหลวง ตรวจการพิเศษเมืองสงขลาและเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระยาสุขุมนัยวินิต (ต่อมาเป็นพระเจ้าพระยายมราช) และทรงตัง้ ให้เป็นขา้ หลวงเทศาภบิ าลมณฑลนครศรธี รรมราช พ.ศ. 2440 ไดย้ ้ายทท่ี ำ� การจังหวัด จากในวังไปต้งั ท่โี รงพธิ ี และย้ายศาลจากศาลาต้นจนั ทน์ไปรวมอยู่ ดว้ ยโดยใชห้ อ้ งกลางเปน็ ที่ผูพ้ ิพากษาออกน่งั ชำ� ระความ คณะกรรมการจังหวัดในยุคนน้ั มีดังน้ี หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศยี ึกนษราู้ 317

1. พระยานครศรธี รรมราช (หนพู รอ้ ม ณ นคร) เปน็ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั (ตอ่ มาเปน็ พระเจา้ พระยา สุธรรมมนตร)ี 2. พันสุขสกุลราษฎร์ (เย็น สุวรรณปัทม์) ปลัดจังหวัด (ต่อมาเป็นพระยาศิริธรรมบริรักษ์และ พระยาสวสั ดคิ์ ีร)ี 3. ขนุ โยธาราช (ม)ี เป็นยกบัตร (อยั การจังหวัด) (ตอ่ มาเปน็ หลวงสพุ ากย์พจนพ์ ิจติ ร) 4. พระบรริ ักษ์ภเู บศร์ (เอ่ียม ณ นคร) เป็นคลงั จังหวดั (ตอ่ มาเป็นพระยาบรริ กั ษภ์ ูเบศร์) พ.ศ. 2444 พระเจา้ สธุ รรมมนตรี ลาออกจากตำ� แหนง่ ผวู้ า่ ราชการพระยาสนุ ทราทรธรุ กจิ (หมี ณ ถลาง) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ย้ายท่ีท�ำงานจากโรงพิธีไปยังท่ีว่าการเมือง ซ่ึงปลูกสร้างข้ึนใหม่ในหมู่ต้นมะม่วง คือ ที่ต้ังโรงเรียนกัลยาณีในปัจจุบันน้ีสร้างเป็นโรงยกพ้ืน เสาอิฐตั้งคาน กั้นกระดาน พ้ืนกระดาน หลังคามุงกระเบื้อง ลาดพื้นปูอิฐ มุขยกพื้นปูกระดานเสมอด้วยอาคาร ผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติงานประจ�ำอยู่ท่ีส�ำนักงานใหม่แห่งน้ี ส่วนศาลจังหวัดยงั คงอยใู่ นโรงพิธเี หมือนเดิม พ.ศ. 2448 พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ 5 เสดจ็ ประพาสจงั หวดั นครศรธี รรมราช ครั้งท่ี 2 (คร้ังที่ 1 พ.ศ.2441) ทางการได้ตกแต่งทว่ี า่ การเมอื งหลังนเี้ ปน็ ท่ีประทบั แรม จงึ ได้ปลูกโรงพ้นื ดินมุงจาก ก้ันจากที่หน้าวัดประตูขาว (โรงเรียนอนุบาลเด๋ียวน้ี) เป็นที่ท�ำการเมืองชั่วคราว เม่ือในหลวงเสด็จกลับแล้ว ทางการเห็นว่าศาลาท่ีว่าการเมืองในหมู่ต้นมะม่วง ควรก้ันไว้เป็นท่ีประทับและเป็นที่พักของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จงึ ย้ายที่ว่าการเมืองไปตงั้ ท่บี รเิ วณศาลาประดหู่ ก พ.ศ. 2450 เจา้ พระยาสธุ รรมมนตรถี งึ แกอ่ สญั กรรม ทายาทจงึ ยกทบ่ี รเิ วณวงั ใหแ้ กร่ ฐั บาล ตามเจตจำ� นง ของพระเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ทางการจึงสร้างที่ว่าการเมืองข้ึนใหม่ท่ีนั้น เป็นตึก 2 ชั้น มีหน้ามุข ส�ำเร็จในปี พ.ศ. 2455 จึงยา้ ยที่ว่าการเมอื งจากศาลาประดหู่ กไปยงั ทวี่ ่าการเมอื งหลงั ใหม่ วนั ท่ี 29 กนั ยายน พ.ศ. 2504 เพลงิ ไหมข้ นึ้ ท่ที �ำการสรรพากรดา้ นหลัง ทางการจึงไดร้ ้ืออาคารหลังเก่า และปลูกสร้างใหม่ เป็นตึกทรงไทย 2 ชั้น กว้าง 38 เมตร ยาว 74 เมตร มีความสง่าสมศักด์ิศรีของบ้านเมือง เปิดใช้เป็นทางการเม่ือวันท่ี 26 มีนาคม พ.ศ. 2507 โดย นายทวี แรงข�ำ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปน็ ประธานในพิธี 21. สนามหน้าเมอื ง สนามหน้าเมืองเป็นสนามหญ้า ต้ังอยู่นอก ก�ำแพงเมืองเดิมของเมืองนครศรีธรรมราชใช้เป็นที่ประกอบ กิจกรรมตา่ ง ๆ ของทาง ราชการบา้ นเมืองและกจิ กรรมตา่ ง ๆ เช่น การละเลน่ การแขง่ ขนั กีฬา การออกรา้ นจ�ำหนา่ ยสินค้า การจัดงานเทศกาลประจ�ำปี การแสดงมหรสพ เป็นต้น ของชาวเมอื งนครมาตง้ั แตส่ มยั โบราณจนถงึ ในปจั จบุ นั มเี นอื้ ที่ 33 ไรเ่ ศษ มอี าณาเขต ดังน้ี ทิศตะวันออก จดถนนราชด�ำเนิน ตรงกันข้าม กับบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัด ศาลาโดหก และโรงเรียน กัลยาณศี รธี รรมราช สนามหน้าเมือง ทิศตะวันตก ตดิ ถนนทา่ ช้าง 318 แหนลกัวสกตูารรนจคดั รกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

ทศิ เหนอื จดถนนลกู เสือ ตรงกันข้ามกับสถานีตำ� รวจภูธร อำ� เภอเมืองนครศรธี รรมราชและกองก�ำกับ การต�ำรวจภธู รนครศรีธรรมราช ทศิ ใต้ จดถนนเลยี บคลองหนา้ เมอื ง (หรอื คเู มอื งดา้ นเหนอื ) สนั นษิ ฐานวา่ ในสมยั โบราณสนามหนา้ เมอื งน้ี สร้างขึ้นตามอารยธรรมการผังเมืองของอินเดีย ตามประวัติของเมืองปาฏลีบุตร ซ่ึงเป็นเมืองเก่าแก่ของอินเดีย กม็ ีสนามหญ้ากวา้ งใหญ่อยู่หนา้ เมือง เรยี กกนั วา่ “สนามหน้าพระลาน” สนามดงั กลา่ วมไี วส้ �ำหรบั ประกอบกิจกรรม ท่ีสำ� คัญ ๆ ของบ้านเมือง เช่น ประกอบราชพิธอี ันสำ� คัญ ๆ เปน็ ทีป่ ระลองยทุ ธของฝา่ ยทหาร เปน็ ทีจ่ ัดงานรื่นเรงิ แสดงการละเล่นหรือมหรสพของชาวเมืองสนามหน้าพระลาน มีส่วนประกอบที่ส�ำคัญ คือ บ่อน้�ำหรือสระน�้ำ และ ศาลาท่ีพักของประชาชนเรียกว่า “ศาลาไสยาทาน” หมายถงึ ศาลาให้ที่พักผอ่ นหลับนอน สมัยก่อนผู้ทเ่ี ดินทางมาถงึ ยามวิกาล ไม่สามารถเข้าเมืองได้ เพราะประตูเมืองปิดเสียแล้ว จึงต้องอาศัยศาลาน้ีพักผ่อนหลับนอนค้างคืน รอจนกว่าประตูเมืองจะเปดิ จึงจะเข้าเมืองได้ 22. ก�ำแพงเมอื งนครศรีธรรมราช ก�ำแพงเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวกันว่าสร้าง ในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชในราวพุทธศตวรรษที่ 11 ยาว 55 เส้น 5 วา กวา้ ง 11 เสน้ 10 วา ลอ้ มรอบเมอื งตาม พรลิงค์ ก�ำแพงเดิมในระยะแรก สร้างเป็นระเนียดปักเสา เรยี งรายบนแนวเนนิ ดนิ มคี คู ลองธรรมชาตแิ ละคคู ลองขดุ ลอ้ ม รอบอกี ชนั้ หนงึ่ มปี ระตเู มอื งสำ� คญั 2 ประตู ประตดู า้ นทศิ เหนอื ช่ือ “ประตูไชยศักดิ์” ประตูด้านทิศใต้ชื่อ “ประตูไชยสิทธ์ิ” ยังมีประตูชื่ออ่ืน ๆ อีกรวม 9 ประตู ต่อมาในสมัยสมเด็จ ก�ำแพงเมืองนครศรีธรรมราช พระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 – 2231) ทรงส่งพระยา รามเดโช มาเป็นเจา้ เมืองและได้ท�ำการก่อสร้างขนึ้ ใหม่ตามแบบกำ� แพงเมืองทางตะวันตก โดยก่ออฐิ โบกปนู แขง็ แรง ม่ันคงป้องกันปืนใหญ่ได้ มีป้อมปราการท่ีต้ังปืนใหญ่และปืนอื่น ๆ ได้ มีใบเสมาบนก�ำแพง นายทหารชาวฝรั่งเศส ช่ือ เดอ ลามาร์ เป็นวิศวกรผู้ควบคุมและก่อสร้าง และได้ซ่อมแซมครั้งสุดท้ายในรัชกาลท่ี 2 สมัยเจ้าพระยา นครศรีธรรมราช (พัฒน์) สภาพตัวก�ำแพงเมืองนครศรีธรรมราช ในรัชสมัยท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าฟ้าฯ ภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงแต่งทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีวอก พ.ศ. 2427 ทรงพรรณนาไว้ว่า...ตัวเมืองนครน้ันด้านหน้าอยู่ทิศเหนือ ด้านหลังอยู่ที่ใต้ ด้านเหนือด้านใต้เป็นด้านกว้าง กำ� แพงยาว 80 เส้น ท่ดี า้ นเหนอื นัน้ มีคเู มืองห่างจากก�ำแพงประมาณ 6 วา คูกว้างประมาณ 7 - 8 วา น้ำ� ลกึ ประมาณ 2 ศอกเศษ มีสะพานไม้ข้ามเข้าทางประตูลับกว้างด้านตะวันตก ประตูลับท่ีจะเข้าเมืองน้ันเป็นก�ำแพงเสมา ก�ำแพงเมืองด้านใต้ก็คงเหมือนบ้านเหนือ แต่ช�ำรุดทรุดโทรมมากเหมือนด้านตะวันตก นอกก�ำแพงมีคูเหมือนคลอง ก�ำแพงเมืองด้านตะวันออกเหมือนกับด้านตะวันตกช�ำรุดทรุดโทรมมากเหมือนกัน มีคูเหมือนกัน ต่อคูไปเป็นทุ่งนา กว้างใหญ่ เมืองนี้มีป้อม 4 ป้อม จึงรวมเป็น 8 ป้อม (ภาณุพันธ์ธุวงศ์วรเดช, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้า กรมพระยา.2504 : 117) ปัจจุบันก�ำแพงถูกผู้มีอ�ำนาจรื้อไปเกือบหมดเพื่อใช้ท�ำถนนแทน คงเหลือให้ลูกหลาน ชาวนครศรธี รรมราชไดเ้ หน็ รอ่ งรอยแหง่ ประวตั ศิ าสตร์ การตอ่ สขู้ องบรรพบรุ ษุ ของตนเพยี งประมาณ 100 เมตร ของ กำ� แพงทางดา้ นทศิ เหนือเทา่ นนั้ หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 319

23. สระลา้ งดาบศรีปราชญ์ สระลา้ งดาบศรีปราชญ์ ศรีปราชญ์ เป็นกวีเอกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็น บุตรของพระโหราธิบดี เข้ารับราชการต้ังแตพ่ ระนารายณม์ หาราช แต่สดุ ทา้ ยดว้ ยความสามารถของตน ท�ำให้ผ้คู ดิ ปองรา้ ย ใสร่ า้ ยศรปี ราชญ์ จนถกู สง่ั ประหารชวี ติ ในทส่ี ดุ ลกั ษณะเดน่ สระลา้ งดาบ ศรปี ราชญแ์ ละอนสุ าวรยี ศ์ รปี ราชญ์ ประวตั ิ อนสุ รณส์ ถานศรีปราชญ์ ตงั้ อยูภ่ ายในโรงเรยี นกลั ยาณีศรีธรรมราช ฝั่งกลั ยาณี 1 ประกอบดว้ ยสระล้างดาบ ศรีปราชญ์และอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์สระล้างดาบศรีปราชญ์ถือกันตามต�ำนานว่าเป็นอนุสรณ์การตายของศรีปราชญ์ ผู้เป็นกวีเอกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ถูกเนรเทศมาอยู่ ณ เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาเกิดมีความขัดเคืองใจแก่เจ้านครศรีธรรมราช จึงถูกส่ังประหาร หลังจากประหารศรีปราชญ์แล้วเพชฌฆาตได้ นำ� ดาบมาลา้ งทสี่ ระแหง่ นี้ เลา่ กนั วา่ แตเ่ ดมิ สระลา้ งดาบมขี นาดใหญม่ ากคอื ตง้ั แตบ่ รเิ วณหลงั จวนผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ปัจจบุ ัน จนถงึ หลงั โรงเรียนอนบุ าลนครศรีธรรมราช แตต่ ่อมาเกิดความต้ืนเขนิ และบางส่วนทางเทศบาลจ�ำเปน็ ต้อง ถมเพ่ือตัดถนน จึงเหลือให้เห็นเพียงสระที่อยู่ในเขตโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชเท่านั้น ขุนอาเทศคดี ผู้เช่ียวชาญ เก่ียวกับประวัติศาสตร์ของเมืองนครได้แย้งว่า สระดังท่ีกล่าวนั้นหาใช้สระล้างดาบศรีปราชญ์ไม่ หากเป็นสระท่ีขุด ขนึ้ ใหมใ่ น พ.ศ. 2448 เพอื่ ใหเ้ จา้ นายฝา่ ยในทยี่ งั ทรงพระเยาวไ์ ดพ้ ายเรอื เลน่ ทงั้ ยงั ไดย้ นื ยนั วา่ สระลา้ งดาบศรปี ราชญ์ แท้จริงน้ัน อยู่บริเวณหลังศาลาประดู่หก แต่ในปี พ.ศ. 2476 ถูกถมเพื่อสร้างที่ท�ำการและที่พักข้าหลวงภาค 8 ซ่ึงในปัจจุบันเป็นท่ีต้ังบ้านพักประมงจังหวัด และศูนย์จักรกลขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ด้วยความท่ีสระล้าง ดาบศรีปราชญ์บริเวณโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช เป็นเพียงสถานที่เดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่บ่งบอกถึง เหตุการณ์การประหารชีวิตศรีปราชญ์ในครั้งนั้น ประกอบกับการที่ชาวกัลยาณีศรีธรรมราช และชาวเมือง นครศรีธรรมราช ให้ความเคารพสักการะศรีปราชญ์ ว่าเป็นบรมครูแห่งกานท์กลอนคนหน่ึงของประเทศ จึงท�ำให้ ทุกองค์กรในโรงเรียน และจังหวัด เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรสร้างอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์ จึงร่วมกันประสานงาน เพื่อจัดสร้างอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบรูปหล่อโลหะ และท�ำพิธีทางศาสนาพราหมณ์ และพุทธ โดยประดิษฐานอนุสาวรีย์ ณ ทิศหรดีแห่งสระล้างดาบศรีปราชญ์ ซ่ึงอนุสรณ์ศรีปราชญ์ ได้ด�ำเนินการ แลว้ เสร็จในสมยั ผอู้ �ำนวยการอนนั ต์ สุนทรานรุ กั ษใ์ นวนั ท่ี 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชด�ำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์ ยังความปลาบปลื้มแก่ ชาวกัลยาณศี รีธรรมราชและชาวนครศรีธรรมราชเปน็ ล้นพ้น 320 แหนลักวสกตูารรนจคดั รกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

24. อนสุ าวรียว์ ีรไทย อนุสาวรีย์วีรไทย หรือชาวบ้านเรียกว่า “อนุสาวรีย์จ่าด�ำ” เป็นอนุสรณ์สถานท่ีสร้างข้ึนเพื่อเป็นเกียรติประวัติวีรกรรมทหารไทยที่ได้ สละชีพเพื่อชาติ ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อวันท่ี 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ต้ังอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 6 กิโลเมตร ตามถนนสายนครศรีธรรมราช-ท่าแพ ต�ำบลปากพูน อ�ำเภอเมือง จงั หวดั นครศรธี รรมราชตรงบรเิ วณทท่ี หารของมณฑลทหารบกนครศรธี รรมราช ท�ำการรบประชิดตัวถึงข้ันตะลุมบอนกันด้วยดาบปลายปืนกับทหารญี่ปุ่น ตรงหนา้ โรงเรยี นโยธนิ บำ� รงุ ในปจั จบุ นั อนสุ าวรยี น์ ปี้ ระดษิ ฐานอยกู่ ลางถนน เม่ือถนนมาถึงบริเวณอนุสาวรีย์ถนนจากโค้งอ้อมอนุสาวรีย์ท้ังสองด้านแล้ว จงึ เชอ่ื มตอ่ กนั เปน็ สายตรงเหมอื นเดมิ ทำ� ใหอ้ นสุ าวรยี เ์ ดน่ เปน็ สงา่ ประจกั ษ์ อนุสาวรยี ์วีรไทย แก่สายตาของบุคคลท่ัวไป และเป็นท่ีเชิดหน้าชูตา เป็นศรีสง่าแก่กองทัพ ภาคท่ี 4 ปัจจบุ นั อนุสาวรยี ห์ ล่อด้วยส�ำริดรมด�ำ เป็นรปู ทหารแตง่ เครอ่ื งแบบสนามรบ ยืนถือปืนติดดาบในทา่ เตรยี ม แทงขนาดใหญ่ 2 เท่าตัวตน หันหน้าไปทางท่าแพ ซึ่งเป็นจุดท่ีทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกฐานอนุสาวรีย์เป็นคอนกรีต 6 เหล่ียม สูงประมาณ 2 เมตร รอบฐาน 6 เหลย่ี ม มชี านคอนกรตี เปน็ วงกลมลดหล่ันลงมาเป็นข้นั ๆ แบบข้ันบันได ภายในฐานบรรจุอัฐิของทหารผู้เสียชีวิตในการสู้รบครั้งนั้น จ�ำนวน 116 คน จากจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรขี นั ธ์ และปัตตานหี ลังเสรจ็ ส้นิ สงคราม ประชาชนในภาคใต้พร้อมใจกนั สนบั สนุนให้ ทางราชการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งน้ีข้ึน พลเอกหลวงเสนาณรงค์ จึงได้ด�ำเนินการติดต่อกรมศิลปากรให้ออกแบบ และฐานต้งั ศาสตราจารยศ์ ลิ ปะ พรี ะศรี เปน็ ผรู้ ับผิดชอบและมอบหมายงานปน้ั ให้อาจารยส์ น่ัน ศลิ ากร เปน็ ผปู้ ้ัน จนแล้วเสร็จ ฯพณฯ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยน้ัน ให้นามอนสุ าวรยี น์ ว้ี ่า “อนสุ าวรยี ์ไทย พ.ศ. 2484” และเปดิ เม่ือวนั ท่ี 8 ธนั วาคม พ.ศ. 2492 หลงั สงครามแลว้ เปน็ เวลา 8 ปี ส่วนท่ีชาวบ้านเรียกว่า “อนุสาวรีย์จ่าด�ำ”นั้น มีเรื่องเล่าว่า...ทหารผู้หน่ึงมียศเป็นจ่าทหาร ชื่อว่า “จ.ส.อ.ด�ำ สยุ ะชีวิน” (ชอื่ นม้ี จี ารกึ อยทู่ ี่ฐานอนุสาวรีย์ในจ�ำนวน 116 รายช่อื ของทหารหาญ) เปน็ ผ้อู ยู่ยงคงกระพัน และมีความกล้าหาญทรหดอดทน เมื่อเห็นเพื่อนถูกฆ่าตายหลายคนก็ระดมยิงทหารญี่ปุ่นล้มตายเป็นจ�ำนวนมาก จนตัวเองหมดกระสนุ แล้ววิ่งเข้าตะลมุ บอนแทงทหารญ่ีป่นุ ดว้ ยดาบปลายปนื เม่อื เห็นญ่ปี นุ่ ล่าถอย จึงดา่ ทหารญี่ปุน่ และทา้ ใหม้ าสู้กนั ทำ� ให้ความอยู่ยงคงกระพันเส่ือม ถูกกระสนุ ของฝา่ ยญ่ีปนุ่ ยืนตายในท่าเตรยี มแทง อย่างไรกต็ าม อนุสาวรีย์นี้มีดวงวิญญาณของทหารผู้สละชีพเพ่ือชาติปกป้องแผ่นดินไทย รวมทั้งของจ่าด�ำด้วยเป็น 116 ดวง จงึ เกดิ ความขลงั ความศกั ดส์ิ ทิ ธมิ์ อี ทิ ธฤิ ทธปิ์ าฏหิ ารยิ ์ สามารถเปน็ ทพี่ งึ่ ทางใจได้ ประชาชนจงึ มากราบไหวบ้ ชู าบนบาน สานกล่าวและปิดทองอร่ามไปทว่ั ฐานวนั ท่ี 8 ธนั วาคม ของทุกปี จะมพี ธิ วี างพวงมาลา กลา่ วค�ำสดดุ ี ท�ำบญุ ตกั บาตร อทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ลไปใหเ้ หลา่ ทหารหาญ ผสู้ ละชพี ปกปอ้ งเอกราชแผน่ ดนิ ไทย มบี รรดาพอ่ คา้ ประชาชน ขา้ ราชการ ทหารต�ำรวจ ไปร่วมพธิ กี ันเป็นจ�ำนวนมาก หลกั สูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 321

25. วดั สอ (วดั สรรเสริญ) วัดสรรเสริญหรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า วัดสอ เปน็ วัดท่ีเก่าแกซ่ ่งึ ต้งั อยู่หมู่ 3 ตำ� บลขนุ ทะเล อ�ำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นสถานท่ีรวบรวมผู้คนเมื่อมี ข้าศึกรุกราน ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด สันนิฐานไว้ 2 กรณีว่าวัดนี้อาจสร้างขึ้นพร้อมกับเมือง นครศรีธรรมราชในราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรืออาจสร้างขึ้น ภายในสมัยอยุธยาตอนปลาย ในราวต้นพุทธศตวรรษ ท่ี 24 ปรากฏความในต�ำนานพระบรมธาตุเมือง นครศรธี รรมราชวา่ วัดสอ พระครูเทพมุณีศรีสุวรรณ กปตมา ภิบาล (ปาน) เจ้าอาวาส องคแ์ รกเปน็ ผทู้ ำ� การบรู ณะวดั นเ้ี ปน็ ครงั้ แรกในปี พ.ศ. 2436 ตอ่ มาไดร้ บั การบรู ณะซอ่ มแซมอกี ในสมยั หลงั สง่ิ ทส่ี ำ� คญั ภายในวัดได้แก่ พระประธานปูนปั้นภายในพระอุโบสถหลังเก่า พระอุโบสถหลังเก่า พระพุทธรูปทองเหลืองปาง อุ้มบาตร ระฆงั ส�ำรดิ เจดียท์ รงระฆงั คว�ำ่ ใบเสมาหนิ สลกั เปน็ รูปเสมาธรรมจกั ร และภาพเขยี นนทิ านชาดกและพุทธ ประวัติบนแผ่นกระดานและศาลาการเปรียญซงึ่ สร้างขึน้ เมื่อ พ.ศ. 2467 ตอ่ มาได้ชำ� รุดทรดุ โทรมลงในปี พ.ศ. 2545 กรมศิลปากร ได้ดำ� เนินการบูรณะจนแล้วเสรจ็ (สำ� นกั งานโบราณคดีและพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาตนิ ครศรธี รรมราช) 26. วดั วงั ไทร วดั วงั ไทร ตง้ั อยทู่ หี่ มู่ 7 ตาํ บลกาํ โลน อาํ เภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราชพระยาไทรบุรี ผู้ก่อต้ังวัดวังไทร และ เป็นอนุสรณ์สถานให้คนรุ่นหลังได้เคารพและศึกษาทาง ประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ วดั วงั ไทร เปน็ วดั เกา่ แก่ ตามตำ� นานการสรา้ ง วดั ครง้ั เมอื่ พทุ ธศกั ราช 2275 หรอื ประมาณ 284 ปลี ว่ งมาแลว้ พระยาไทรบุรี เจ้าเมืองไทรบุรี ในขณะน้ันได้มาคล้องช้าง ณ บรเิ วณทตี่ งั้ วดั วงั ไทร และไดก้ อ่ ตง้ั วดั ขนึ้ โดยตงั้ ชอื่ ครง้ั แรกวา่ วัดวังพระยาไทรบุรี ต่อมาได้เรียกขานนามวัดเป็นวัดพระยา วดั วังไทร ไทรบุรี 27. วดั ธาตุน้อย วัดธาตนุ อ้ ย หรอื วัดพระธาตนุ ้อย ต้ังอยูใ่ นเขต ต�ำบลหลักช้าง อ�ำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งขึ้นโดยความประสงค์ ของพ่อท่านคล้าย (พระครูพิศิษฐ์ อรรถการ) พระเกจิอาจารยท์ ี่ชาวใตเ้ ลอื่ มใสศรัทธาอย่างสูงยิง่ รปู หนง่ึ ซง่ึ ศษิ ยย์ านศุ ษิ ยแ์ ละประชาชน ทเี่ คารพนบั ถอื ศรทั ธา พ่อท่านคล้ายไดเ้ ช่ือถือถึงความศักด์สิ ิทธ์ขิ องวาจา พดู อยา่ งไร เป็นอย่างน้นั ทา่ นมกั จะใหพ้ รกบั ทุกคน ขอให้ เป็นสุข เป็นสุข วดั ธาตุน้อย 322 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

พ่อทา่ นคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ ไดช้ ่อื ว่าเปน็ เทวดาเมอื งคอน เทพเจา้ แห่งแดนใต้ ชาวเมอื งคอนเส่ือมใส ศรัทธาเป็นอยา่ งยง่ิ โดยประดิษฐานพระเจดยี ์ พระสารีรกิ ธาตุและสรรี ะสงั ขารพอ่ ท่านคล้าย ในโลงแก้วประดิษฐานอย่ใู นองค์พระเจดยี ์ ปัจจุบันสรีระ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ ประดิษฐ์ฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ ณ สถานท่ีนี้ จึงเป็นเจดีย์อนุสรณ์สถาน พ่อท่านคล้ายอีกด้วย สังขาร พ่อท่านคล้ายซึ่งว่ากันว่าแข็งเป็นหิน ท่ีชาวบ้านนับถือและศรัทธาด้วยแล้วก็ย่ิงท�ำให้ ผู้คนหล่ังไหล เขา้ มาสักการบชู ากนั มากยิ่งข้นึ 28. วัดอินคีรี วัดอินทคีรี ตั้งอยู่ท่ีบ้านนา หมู่ที่ 6 ต�ำบลบ้านเกาะ อ�ำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราชวัดอินทคีรี มีพ้ืนท่ีประมาณ 19 ไร่ 2 งานทิศเหนือ ติดต่อกับ ทุ่งนา ทิศใต้ ติดต่อกับ ถนนสาย บ้านนอกท่า – บ้านท่าแพ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ โรงเรียนชุมชน วัดอนิ ทคีรี ทิศตะวันตก ติดต่อกบั คลองนอกท่า ประวตั คิ วามเปน็ มา จากรปู แบบทางศลิ ปะของแหลง่ ศลิ ปกรรมทปี่ รากฏนา่ จะ อยู่ในพุทธศตวรรษท่ี 12-14 และพัฒนาการต่อเนื่องมาในสมัยอยุธยา วัดอนิ ทคีรี จากการพบพระพทุ ธรูปศิลปะภาคใตภ้ ายในวัดอินทครี ที �ำให้สันนิษฐานไดว้ า่ นา่ จะสร้างในพุทธศตวรรษที่ 12-14 ลักษณะทวั่ ไป/ความสำ� คัญตอ่ ชุมชน ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศแหลง่ ศลิ ปกรรมวดั อนิ ทครี มี ลี กั ษณะทพี่ นื้ ทร่ี าบ อยรู่ มิ คลองนอกทา่ บรเิ วณรอบ ๆ วดั เปน็ ทร่ี าบทงุ่ นา ในฤดฝู นนำ้� จะไหลลงคลองอยา่ งรวดเรว็ ดนิ มลี กั ษณะเปน็ ดนิ รว่ นปนทราย สภาพทว่ั ไปของแหลง่ ศิลปกรรมวัดอินทคีรี ภายในวัดที่เมรุเผาศพ อุโบสถ กุฏิ หอพระ กระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณภายในวัด ดา้ นรมิ คลองปลกู ตน้ มงั คดุ เปน็ แถวมรี ะเบยี บบรรยากาศรม่ รนื่ นา่ ปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งดี เสนาสนะภายในวดั ไดก้ อ่ สรา้ ง ข้ึนรูปแบบสมัยใหม่ หลักฐานท่ีพบ หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีท่ีค้นพบแหล่งศิลปกรรมวัดอินทคีรี ได้แกโ่ ยนิ ท�ำด้วยหนิ ทรายสแี ดง เป็นรปู สเ่ี หลยี่ มผนื ผ้าขนาดกวา้ ง 80 x 98 เซนตเิ มตร ตรงกลางมีการเจาะรเู ป็น รูปส่ีเหล่ียมจัตุรัส ส�ำหรับการประดิษฐานศิวลึงค์ ด้านข้างมีการสลักยกเป็นขอบขึ้นมาสูงประมาณ 2 เซนติเมตร สลกั ตลอดจนถึงร่องนำ้� มนต์ ซ่ึงมขี นาดยาว 26 เซนตเิ มตร กว้าง 24 เซนติเมตร โยนิชิน้ นว้ี างอย่ขู ้างบ่อน้ำ� ภายใน วัดอินทครี ี พระพุทธรปู ประทับนั่ง ท�ำด้วยสำ� รดิ เป็นพระพุทธรูปประทบั นั่งขดั สมาธิเพชรบนฐานทรงสงู พระหตั ถ์ แสดงภูมิสปรศพทุ รา มีลกั ษณะแสดงให้เปน็ ถึงศลิ ปภาคใต้ในสกลุ ช่างนครศรธี รรมราชท่เี รียกวา่ “พระพทุ ธสหิ งิ ค์” หรอื “พระขนมตม้ ” โดยมลี กั ษณะพระพกั ตรค์ อ่ นขา้ งกลม เมด็ พระศกเปน็ รปู กน้ หอย มยี อดพระเมาลขี น้ึ มาไมม่ ากนกั พระพทุ ธรปู ลกั ษณะนน้ี ยิ มสรา้ งกนั ในเฉพาะภาคใต้ ตง้ั แตร่ าวพทุ ธศตวรรษท่ี 22 เปน็ ตน้ มา เจา้ อาวาสเลา่ วา่ พระพทุ ธ รูปองค์น้ี เมื่อเจ้าเมืองผู้ปกครองในสมัยก่อนพยายามจะมาเอาไปเก็บไว้ที่จวนเจ้าเมืองในสมัยน้ัน และเจ้าอาวาส องค์ก่อนเล่าว่าเมื่อได้ยินเสียงเรือเข้ามาจะน�ำพระพุทธรูปท่านจึงน�ำพระพุทธรูปมาทิ้งไว้ในคลอง เพ่ือซ่อนไม่ให้ เจ้าเมืองเห็นพระพุทธรูปประทับยืน ทรงเครอ่ื งปางอุ้มบาตร ในขณะนี้ทางวดั ไดเ้ ก็บรกั ษาไว้เปน็ อย่างดี ซึ่งถือวา่ เป็น พระคู่วัดมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ มีเคร่ืองประดับต่าง ๆ แสดงลักษณะเอกลักษณ์ศิลปภาคใต้อย่างเด่นชัด ทง้ั มงกฎุ กรองคอ ทบั ทรวง ชายไหว ชายแครง อนั เปน็ เครอื่ งประดบั ของผเู้ ลน่ โนรา สมยั โบราณพระพทุ ธรปู ประทบั นง่ั หลกั สูตแรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 323

ปางมารวิชัย อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิพระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางที่พระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงท่ีพ้ืนธรณี พระรัศมีบนพระเศียรหักหายไป หน้าตักกว้าง 50 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร อยู่ในสภาพสมบูรณ์ลักษณะเศรษฐกิจและสังคมบริเวณแหล่งศิลปกกรรมวัดอินทคีรี การเดินทางมายังวัดอินทคีรี ใช้เส้นทางสายบ้านนอกท่า – ท่าแพ ห่างจากสี่แยกพรหมโลกไปทางทิศตะวันออกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึง วัดอินทครี ีอยู่ทางซา้ ยมือจะเห็นซ้มุ ประตวู ัดอินทครี ีท่สี วยงาม 29. วดั เขาขุนพนม วดั เขาขุนพนม ตง้ั อยู่ในหมู่ท่ี 3 ตำ� บลบ้านเกาะ อ�ำเภอพรหมคีรี สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา เพราะมี ศิลปวัตถุโบราณสมัยอยุธยาอยู่มาก เช่น ขันน้�ำมนต์ คนโท พระพุทธรูปส�ำรดิ เป็นตน้ เชิงเขาใกลท้ างข้ึนถ�้ำมโี บสถ์เก่าแก่ ขนาดเลก็ พอพระสงฆท์ ำ� สงั ฆกรรมได้ มปี ระตเู ขา้ ทางเดยี วไมม่ ี หน้าต่าง แต่ใช้วิธีเจาะผนังเป็นช่องระบายอากาศขนาดเล็ก ดา้ นละ 2 ช่อง ดา้ นหนา้ มีชอ่ งขนาดใหญ่ 2 ชอ่ ง ใบเสมาเป็น ศิลาแกะสลักรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาถ้�ำเขาขุนพนม วดั เขาขุนพนม หรือถ�้ำคมุ พนม ต้งั อย่ภู ายใต้ชะโงกผาสูงประมาณ 200 เมตร (ปัจจุบันมีบันไดคอนกรีตกว้าง 175 เซนติเมตร สูงประมาณ 200 ข้ัน) ที่หน้าถ้�ำมีก�ำแพงสูงประมาณ 2 เมตร บนก�ำแพงมีใบเสมาเหมือนก�ำแพงเมืองโบราณ ด้านหน้าก�ำแพงมีลายปูนปั้นประดับด้วยถ้วยชามลวดลายสวยงาม ทป่ี ระตมู ยี กั ษเ์ ปน็ นายทวารบาลครงึ่ ตวั ตง้ั อยู่ 2 ตน ดา้ นหลงั ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ไวห้ ลายองคล์ ดตำ�่ ลงไปทางดา้ น ขวามือของถ้�ำเป็นช่องทางเข้าสู่ถ้�ำใหญ่ ด้านหน้าถ้�ำมีรูปปั้นพระสงฆ์ และพระฉายาลักษณ์พระเจ้ากรุงธนบุรี และ ทะลุไปทางเชิงเขาอีกด้านหน่ึงได้ที่ชะง่อนหินหน้าถ้�ำด้านขวากมีร่องรอยตั้งป้อมเป็นวงกลม ท่ีด้านหน้าออกป้อม มีช่องสันนิษฐานว่าเหมือนช่องตั้งปืนใหญ่ ด้านซ้ายมือของบันไดทางขึ้นมีฐานรากของอาคาร สันนิษฐานว่าคงเป็น อาคารทีค่ นส�ำคัญอาศยั อยหู่ รือไมก่ เ็ ป็นทีอ่ ย่ขู องคนยามรกั ษาการ รักษาความปลอดภยั อย่างใดอย่างหนง่ึ ถำ�้ เขาขนุ พนมนี้โด่งดังข้ึนเมื่อ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ได้เขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ขนาดสั้น เรื่อง “ใครฆ่าพระเจ้า กรุงธน” ตีพิมพ์ใน “เพลินจิตรายสัปดาห์” ต่อมาส�ำนักพิมพ์เสริมวิทย์บรรณาคาร.นาครเกษม.กรุงเทพฯ พิมพ์ “รวม นวนิยาย 5 เรื่อง” (เรอ่ื ง “ใครฆา่ พระเจา้ กรุงธน พ.ศ. 2509 หน้า 96 - 238) ของพลตรหี ลวงวิจิตรวาทการ และพิมพเ์ ผยแพร่หลายครัง้ ใจความว่า ผู้ท่ถี ูกประหารทีป่ ้อมวชิ ยั ประสิทธเ์ิ ม่ือวนั ที่ 5 เมษายน 2324 หาใช่สมเด็จ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ไี ม่ ระหวา่ งจลาจลในกรงุ ธนบรุ ี สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ บี รรพชาอปุ สมบทเสรจ็ แลว้ อยภู่ ายในโบสถ์ วัดแจ้ง (วัดอรุณฯ) พระยาสรรค์น�ำทหารมาล้อมไว้หนาแน่น ข้าราชการผู้จงรักภักดีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ปรึกษากันเพื่อถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์ไว้ จึงหาอุบายอันแยบยล เชิญสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไป ประทบั ณ ท่ีซ่อนเรน้ เมืองนครศรธี รรมราช เจ้าพฒั น์ อปุ ราชเมอื งนครศรีธรรมราชใหไ้ ด้ “หลวงอาสาศึก” (บญุ ยงั ) ผูย้ นิ ดถี วายชวี ิตเพ่อื พระมหากษัตริย์ ปลอมตวั เปน็ พระสงฆ์เขา้ ไปในโบสถ์สบั เปลี่ยนตวั กบั สมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี แล้วน�ำเสด็จลงเรือใหญ่กลางทะเลมุ่งหน้าสู่เมืองนครศรีธรรมราช แต่ไม่ระบุว่าประทับท่ีใด หลังจากน้ัน 2 ปี เสด็จไปประทบั ทเ่ี พชรบุรี ในถำ�้ ภูเขาลูกหนึ่ง และถูกประหารทใี่ นถ�้ำน้ัน และหนังสือเร่อื ง “ใครฆา่ พระเจ้าตากสิน” 324 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

ของแม่สงฆณี วรมัยกบิล-วิงห์ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ลูกก�ำพร้า 401 ถนนจรัญสนิทวงศ์ ธนบุรี พ.ศ. 2516 ระบุว่า สมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบุรีด�ำรงสมณเพศประทบั อยู่ ณ ที่ประทับเขาขุนพนมเมอื่ พระชนมายุได้ 52 พรรษา ชาวเมือง นครศรธี รรมราชเชอื่ วา่ สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ที รงปลอดภยั จากเหตกุ ารณต์ อนปลายรชั กาล และพระองคเ์ สดจ็ มา ประทบั ณ ถำ�้ เขาขนุ พนมจรงิ เพราะมผี ทู้ จ่ี งรกั ภกั ดตี อ่ พระองค์ คอื เจา้ พระยานครศรธี รรมราช (พฒั น)์ เปน็ ผปู้ รนนบิ ตั ิ ระวังภัยทั้งเป็นผู้รับพระราชทานเจ้าจอมปราง ซึ่งทรงครรภ์กับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาก่อนมาเป็น “แม่วัง” หาได้ล่วงเกินถอื เปน็ “ชายา” ไม่ ครั้นเจ้าพระยานคร (นอ้ ย) คลอดมา ชาวเมืองนครศรธี รรมราชรูก้ นั ท่ัววา่ เปน็ โอรส ของสมเด็จพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี เปิดโอกาสใหเ้ จา้ พระยานคร (น้อย) เปน็ เจ้าเมืองแทน 30. วัดภเู ขาหลกั วัดภูเขาหลัก ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ต�ำบลทุ่งสัง อ�ำเภอทุ่งใหญ่ ฝั่งตะวันตกของแม่น�้ำตาปี ห่างจากเขาหลักประมาณ 300 เมตร เป็นวัดโบราณที่มีช่ือเสียงในด้านศิลปะโบราณวัตถุ ภายในวัดมีเจดีย์ แบบศรีวิชัยก่ออิฐขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของโบสถ์ บนฐาน สเี่ หลยี่ มจตั รุ สั ขนาดกวา้ งยาว 12 เมตร บนฐานชนั้ ลา่ งสดุ มเี จดยี ป์ ระจำ� ทศิ มีรปู นกกาสีดำ� 2 ตัว ยืนรักษาพระธาตุชน้ั 2 - 4 มเี จดยี ์ประจ�ำทศิ ลดหลัน่ กันขึ้นไป ยอดเจดีย์ เป็นปลีกลมสูงส่วนต่าง ๆ ของเจดีย์ประดับด้วย เคร่ืองถ้วยทั้งองค์ ภายในโบสถ์มีพระประธานปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตัก กว้าง 2.5 เมตร ฝีมือช่างพ้ืนเมือง พร้อมด้วยพระอัครสาวกปูนปั้นมี โบราณวัตถุ เคร่ืองถ้วยจีน เคร่ืองเบญจรงค์ขันน้�ำมนต์ลาย 12 นักษัตร เปน็ ตน้ วัดภเู ขาหลกั 31. วดั แม่เจา้ อยูห่ ัว วัดแม่เจ้าอยู่หัว ที่ตั้งอยู่ในหมู่ท่ี 3 ต�ำบลแม่เจ้าอยู่หัว อ�ำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรธี รรมราช เปน็ วัดคู่กับชาวอ�ำเภอเชยี รใหญ่ มานาน โดยมีประวัติอันยาวนาน ตั้งแต่สมัยยังเป็นอาณาจักรตามพรลิงค์ คือ พระแม่เจ้าอยู่หัว พระนางเลือดขาวผู้สร้างวัด ท่านเป็นพระอัครมเหสี ของพระเจา้ ศรธี รรมโศกราชท่ี 5 ( สหี ราช ) พระนางเลอื ดขาว เปน็ อคั รสาวกิ า ผู้สร้างพุทธสถานไว้มากมายในแผ่นดินภาคใต้ พระนางเลือดขาว (แมเ่ จา้ อยหู่ วั ) ไดส้ รา้ งวดั แมเ่ จา้ อยหู่ วั ไวท้ น่ี ้ี เพอื่ เปน็ อารามในการประพฤติ ธรรมในยามที่ทรงชรา โดยมีองครักษ์ช่ือ ตาขุนวัง และ ตาขุนทวน สองขนุ พลเปน็ ผูอ้ ารักขา พรอ้ มกับราษฎรท่ศี รัทธาในตวั พระนางได้รว่ มกัน สรา้ งวดั ขนึ้ มา เพอ่ื อทุ ศิ บญุ กศุ ลใหก้ บั บา้ นเมอื ง หลงั จากทพี่ ระแมเ่ จา้ อยหู่ วั สิ้นพระชนม์ พระเจ้าศรธี รรมโศกราช ทรงไดก้ ่อพระเจดยี ์เพือ่ บรรจุพระอัฐิ วัดแม่เจา้ อยหู่ วั ของพระนาง และสร้างพระปฎิมาท�ำจากสิ่งมีค่ามากมาย เพ่ือบรรจุใน พระเจดยี ์ วดั แมเ่ จา้ อยหู่ วั อยคู่ กู่ บั ชาวเชยี รใหญ่ ชาวชะอวด ชาวหวั ไทรมานาน ไมว่ า่ ผใู้ ดเดอื ดรอ้ น มาบนบานศาลกลา่ ว หลกั สตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 325

ก็จะสมปรารถนาทุกประการ ด้วยเช่ือม่ัน ศรทั ธาในความเมตตาของพระแมเ่ จา้ อยู่หวั วดั แมเ่ จ้าอยู่หวั ยงั คงรอคอย ให้ลูกหลานชาวเมืองคอน ได้เข้าไปสักการะพระนางเลือดขาว อัครมเหสีผู้ใจบุญ และร�ำลึกถึงบรรพสตรีผู้อุปถัมภ์ พระพทุ ธศาสนาให้อยูค่ ู่แผน่ ดนิ ปกั ษใ์ ตโ้ ดยสืบมามริ ้คู ลาย 32. วัดควนชะลกิ วัดควนชะลิกเป็นวัดท่ีเก่าแก่ท่ีสุดของอ�ำเภอหัวไทร ตั้งอยู่หมู่ 4 ต�ำบลควนชะลิก อ�ำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2123 ในสมัยของ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาหรือสมเดจ็ พระสรรเพช็ ญท์ ่ี 1 แห่ง กรงุ ศรอี ยธุ ยา ไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี าเมอ่ื ปี พ.ศ. 2143 ปจั จุบัน (2558) มีอายุ 435 ปี มีเอกลักษณ์เปน็ เนนิ เขาไมส่ งู นกั มเี จดยี อ์ ยดู่ า้ นบน ปจั จบุ นั ไดบ้ รู ณะใหมแ่ ลว้ การเดนิ ขน้ึ ไป ต้อง เดินขึ้นมีเทปูนบันไดข้ึนถึงยอดมีหลายร้อยข้ันด้วยกัน วัดเป็นวดั ทีไ่ ด้ ขนึ้ ทะเบียนเปน็ โบราณสถาน ของกรมศลิ ปากร ซ่ึงมีโบสถ์ท่ีเป็นเอกลักษณ์มาก คือเป็นโบสถ์เปิดโล่งมี พระประธานประดิษฐานให้ เห็นจะทุกด้านวัดยังมี ต้นประดู เป็นต้นไม้เก่าแกกว่าวัดเสียอีกตามค�ำเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่ สนั นษิ ฐานกนั กวา่ นา่ จะมอี ายรุ าว 500 ปี เหน็ จะได้ เพราะเทา่ ท่ี วดั ควนชะลกิ ทราบวดั ก็มอี ายุกว่า 400 ปี 33. วัดพทั ธสมี า วั ด พั ท ธ สี ม า ตั้ ง อ ยู ่ ท่ี อ� ำ เ ภ อ หั ว ไ ท ร จ.นครศรธี รรมราช มีอายุยาวนานกวา่ 755 ปี ตามหลกั ฐาน ของพงศาวดานครศรีธรรมราช ว่าผู้สร้างวัดพัทธสีมาคือ สองพน่ี อ้ งทม่ี เี ชอ้ื สายศรลี งั กาและจนี มนี ามวา่ พลติ ิ และพลมิ ยุ ซึ่งเป็นลูกพ่ีสาวของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชที่ 5 จันทรภานุ ทง้ั สองไดน้ ำ� ทรพั ยส์ มบตั บิ รรทกุ เรอื สำ� เภาเดนิ ทางมาจากลงั กา เพอ่ื สมทบในการกอ่ สรา้ งพระบรมธาตเุ จดยี เ์ มอื งนครศรธี รรมราช วดั พทั ธสีมา (พ.ศ. 1793) ตามค�ำเชญิ ชวนของพระเจา้ ศรีธรรมโศกราชท่ี 5 จนั ทรภานุ แตเ่ มอ่ื เดนิ ทางมาถงึ ปรากฏวา่ พระบรมธาตไุ ดส้ รา้ งเสรจ็ แลว้ ทงั้ สองพน่ี อ้ งจงึ ไดร้ ว่ มสรา้ งวหิ ารมหาภเิ นษ กรมณ์ (วหิ ารพระทรงมา้ ) และพระเจา้ ศรธี รรมโศกราชฯ ยงั ทรงแนะนำ� ใหน้ ำ� ทรพั ยท์ เ่ี หลอื ไปสรา้ งวดั ตามทเ่ี หน็ สมควร ท้ังสองจึงเดินทางเร่ือยมาจนถึงปากล�ำบาง พัทธสีมาในปัจจุบัน และเห็นว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ จึงได้สร้างวัดขึ้น แลว้ ใหช้ าวบา้ นเดนิ ทางไปนมิ นตพ์ ระสงฆจ์ ากนครศรธี รรมราช มาอยเู่ พอื่ ทำ� พธิ กี รรมทางศาสนามกี ารนำ� พทั ธสมี าฝงั ไว้ใต้ดินเพื่อก�ำหนดเขตท่ีท�ำสังฆกรรม และเรียกวัดนี้ว่าวัดพัทธสีมา ตามหลักฐานเอกสารกัลปนาวัดพัทธสีมา ระบุว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราชฯ ได้ก�ำหนดเขตแดนพระราชทานเป็นพ้ืนท่ีกัลปนา พระราชทานผู้คนชายหญิง เพอ่ื ปรนนบิ ตั พิ ระศาสนาเรยี กวา่ ขา้ ประโยมสงฆห์ รอื ขา้ ประโยมทาน ใหท้ างวดั เกบ็ ผลประโยชนจ์ ากทด่ี นิ เพอื่ บำ� รงุ วดั 326 แหนลักวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศึกษา

บำ� รงุ พระศาสนา ตามขอ้ มลู ทะเบยี นวดั ตา่ ง ๆ ใน อำ� เภอหวั ไทร ระบวุ า่ วดั พทั ธสมี าตง้ั ขน้ึ เมอ่ื พ.ศ.2265 วดั มอี าคาร โบราณสถานส�ำคัญคือ หอพระไตรปิฎก (หอไตรกลางน้�ำ) ตามหลักพงศาวดารนครศรีธรรมราช ว่าด้วยการสร้าง พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ซึ่งเก่ียวเน่ืองถึงวัดพัทธสีมา ผู้มีส่วนส�ำคัญในการเป็นจุดรวมของการสืบทอด พระศาสนาและดแู ลวดั คือ เจ้าอาวาส โดยวัดนี้มีเจ้าอาวาสสืบต่อเน่ืองกนั จนถึงปจั จุบนั 12 รปู แตล่ ะรปู มีบทบาท ศักยภาพบารมตี ่อวดั และชมุ ชนแตกตา่ งกันไปตามเหตุปัจจยั และยุคสมัย 34. เขาพระทอง ตามหลกั ฐานทป่ี รากฏไดจ้ ารกึ ไวว้ า่ วดั เขาพระทอง สร้างมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตอนต้น หรือในยุคของกษัตริย์ คนส�ำคญั คอื พระเจ้าศรธี รรมโศกราช และพระเจา้ จนั ทรภาณุ ศรีธรรมราช เป็นวัดที่เก่าแก่มีอายุประมาณ 800 กว่าปี มีพระพุทธรูปสีทองจ�ำนวนมากถึง 29 องค์ ซ่ึงพระพุทธรูป เหล่านั้นประดิษฐานอยู่รอบ ๆ ภูเขาทางด้านทิศตะวันออก เปน็ พระปูนปั้นด้วยปนู ขาวผสมด้วยนำ้� ผ้ึงออ้ ย และน้ำ� มนั ยาง สว่ นโครงสรา้ งภายในเปน็ โครงสรา้ งทที่ ำ� ดว้ ยไมเ้ นอ้ื แขง็ ทงั้ หมด วัดเขาพระทอง ทั้งที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่จ�ำนวน 20 กว่ารูป และทั้งซาก ปรักหักพัง ประมาณ 40 - 50 รูป 1. เขาพระทอง เคยเป็นชุมชนที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน มีผู้คนท่ีอาศัยอยู่ในชุมชนนี้ เป็นบุญนัก เผยแผ่พระพทุ ธศาสนา โดยรอบเขาพระทองยงั มรี ่องรอยการท�ำนา เพราะยังมคี ันนาใหเ้ หน็ อยู่ประมาณ 100 ไร่ ซึ่ง มีคนั นาขนาดใหญ่ 3 - 4 เมตร ยงั ปรากฏอยู่ และมตี น้ ไม้ขนาดไม้ประตูทมี่ อี ย่ใู นวดั ปัจจุบันน้ี 2. ในบริเวณยงั มไี มป้ ระดูข่ นาดใหญ่อายหุ ลายร้อยปี 3. พระพทุ ธรปู ซงึ่ เปน็ พระปนู ปน้ั ขนาดใหญจ่ ำ� นวนมาก เปน็ การปน้ั หรอื กอ่ ดว้ ยปนู ขาวโครงสรา้ ง ภายในท�ำดว้ ยไม้ เนือ่ งจากสมัยนั้นยังไม่มปี นู ซีเมนต์ และเหลก็ เสน้ โครงไมม้ กี ารเจาะร้อยขอ้ ต่อทุกชนิ้ การผสมปูน ขาวผสมด้วยนำ�้ ผ้ึงออ้ ยและน�้ำมันยาง 4. พระพทุ ธรูปบูชาขนาดหน้าตักไมเ่ กิน 12 นวิ้ ซึ่งเปน็ เน้อื โลหะตา่ ง ๆ ที่ถูกขนนำ� ไปซุกซ่อนไว้ ภายในถำ้� นน้ั สนั นษิ ฐานวา่ เมอื่ ครงั้ พมา่ เผากรงุ ศรอี ยธุ ยาเพราะกลวั พมา่ จะขนเอาพระของเขาไปเสยี จงึ นำ� ไปซกุ ซอ่ นไว้ 5. เมอื่ ครง้ั ชาวบา้ นขดุ คน้ หาพระพบกะโหลกศรี ษะ และโครงกระดกู คนมขี อ้ มอื ขอ้ เทา้ ทใ่ี หญม่ าก ไม่เหมือนของคนปจั จุบนั ตามต�ำนานเลา่ ต่อกนั มาว่า ในสมัยทีม่ กี ารสร้างพระบรมธาตนุ ครศรธี รรมราช พระนางเหมชาลาไดน้ ำ� คนและสิ่งของมาช่วยงานก่อสร้างพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เมื่อมาแวะพักระหว่างทางจึงได้สร้างพระพุทธรูป สที องขน้ึ เปน็ จำ� นวนมาก บรรดาพระพทุ ธรปู สที อง 29 องค์ มพี ระพทุ ธรปู อยอู่ งคห์ นงึ่ ซง่ึ มขี นาดใหญท่ สี่ ดุ ทชี่ าวบา้ น เรียกว่า “หลวงพ่อองค์ใหญ่” ที่ด้านหลังผนังถ้�ำของหลวงพ่อองค์ใหญ่เยื้องไปทางด้านซ้าย มีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ ปรากฏอยบู่ นแผน่ หนิ ซง่ึ เปน็ ทอ่ี ศั จรรยใ์ จแกผ่ ทู้ ข่ี นึ้ ไปกราบไหวข้ อพร นอกจากนห้ี ลวงพอ่ องคใ์ หญย่ งั เปน็ พระพทุ ธรปู ที่ศกั ด์ิสิทธิ์ในด้านการป้องกันศาสตราวธุ ทั้งหลายและอันตรายทง้ั ปวง จากประสบการณข์ องผู้ท่ีพกเหรยี ญหลวงพอ่ องคใ์ หญต่ ิดตัวไว้ จะแคลว้ คลาดปลอดภัยจากอนั ตรายท้ังหลาย หลักสตู แรนนวคกราศรรจธี ดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 327

ตอ่ มาเมอ่ื ปี พ.ศ. 2491 มีพระธดุ งคร์ ูปหนึ่งช่ือ หลวงพ่อเขยี ด ท่านธดุ งค์มาปักกรดอาศัยอยทู่ ่เี ชิงเขา หน้าพระพุทธรูปโบราณท่ีประดิษฐานเรียงรายอยู่ตามเชิงเขาเป็นแนวยาว เม่ือหลวงพ่อเขียดออกไปบิณฑบาต ในหมูบ่ ้านเขากอย ซึ่งหา่ งไกลจากท่ีพกั ของทา่ นประมาณ 3 กโิ ลเมตร ชาวบ้านหลายครัวเรือนได้ตักบาตร กับทา่ น และไดส้ อบถามท่านวา่ พกั อย่ทู ไี่ หน เม่ือท่านแจ้งรายละเอียดใหท้ ราบ จงึ นำ� พวกชาวบา้ นรวมหลายคนติดตามขนึ้ มา ที่เขา ณ ที่พกั ของทา่ น เมอื่ ชาวบ้านมาพบเห็นกเ็ กดิ ความเล่อื มใสศรัทธา คดิ จะสร้างเปน็ สำ� นักสงฆ์ จึงนิมนตห์ ลวง พอ่ เขยี ดใหอ้ ยปู่ ระจำ� ณ ทน่ี น้ั แลว้ ชาวบา้ นกจ็ ดั ปลกู สรา้ งทพี่ กั ขนึ้ ดว้ ยไมห้ ลงั คามงุ จาก สาคบู า้ ง เปน็ กฏุ พิ ระพกั นอน เป็นที่ฉันอาหาร เมื่อมีชาวบ้านเข้ามาที่พักสงฆ์มากข้ึนก็ช่วยกันแผ้วถางป่าออกเป็นบริเวณกว้างพอสมควร แล้วสร้างโรงเรือนเป็นที่ท�ำบุญฟังธรรมฟังเทศน์จากหลวงพ่อในวัน ธรรมสาวนะ คือ วันพระ เป็นประจ�ำ ต่อมา ชาวบ้านก็ให้ลูกหลานเข้ามาบวชบรรพชาอุปสมบทอยู่จ�ำพรรษา กับหลวงพ่อ ซึ่งแต่ละปีไม่น้อยกว่า 10 รูป จากนัน้ จงึ ต้งั ช่อื ว่า “สำ� นักสงฆ์เขาพระ” 35. วดั โมคลาน วัดโมคลาน หรือโมคคลาน ต้ังอยู่ที่หมู่ 11 ตำ� บลโมคลาน อำ� เภอทา่ ศาลา โมคลาน เปน็ ช่อื ของพราหมณ์ “โมคลี” ผู้ตั้งเทวสถานศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย ต่อมาเม่ือศาสนาพราหมณ์เส่ือมลง ชาวบ้านจึงได้แปลสภาพ เปน็ วดั ในพระพทุ ธศาสนา เรยี กชอ่ื “โมคคลาน” เลยี นแบบเปน็ ช่ือพระโมคคัลลาน พระอริยสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า พระพทุ ธเจา้ โมคลาน เดมิ เปน็ ชมุ ชนขนาดใหญ่ เปน็ ทตี่ ง้ั เมอื ง กอ่ นตง้ั เมอื งนคร ดงั เพลงกลอ่ มเดก็ วา่ ตง้ั ดนิ ตงั้ ฟา้ ตงั้ หญา้ เขด็ วัดโมคลาน มอนโมคลานตัง้ กอ่ นเมอื งคอนต้งั หลงั ตง้ั วดั พระธาตุต้ังบ้าน ตง้ั วงั เมอื งคอนตงั้ หลงั ตงั้ วงั ไมน่ าน ซากโบราณสถานทพ่ี บ กำ� หนดอายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี 12 – 16 เปน็ ซากเทวาลยั พรอ้ มทง้ั ชน้ิ สว่ นสถาปตั ยกรรม ไดแ้ ก่ รากฐาน เสาอาคาร ธรณปี ระตู ศวิ ลงึ คศ์ ลิ าฐานโยนี และตอ่ มาพบวา่ ถกู ดดั แปลง เป็นวิหารและเจดีย์ เป็นวัดในพระพุทธศาสนา เพราะได้พบชิ้นส่วนพระพุทธรูปปูนปั้นเม็ดพระศกพระพุทธรูป อายุอยู่ในสมยั อยธุ ยา 36. โบราณสถานตุมปงั โบราณสถานตุมปัง เป็นโบราณสถานท่ีตั้งอยู่ ในเขต อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช นั้น ได้พบแหล่ง โบราณคดีท่ีได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียแพร่กระจาย อยู่เป็นจ�ำนวนมาก ร่องรอยท่ีเหลือให้เห็นอย่างเด่นชัด คือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ทงั้ ไศวนกิ าย และไวษณพนกิ าย จากการส�ำรวจแหลง่ โบราณคดี วัดตมุ ปังร้างโดยกรมศิลปากร ในปี พ.ศ. 2536 พบชน้ิ สว่ นทอ่ นลา่ งของรปู เคารพสลกั จากหนิ ซ่งึ สนั นิษฐานวา่ เปน็ เทวรปู องค์พระนารายณ์ จากการขดุ ค้น โบราณสถานตุมปัง 328 แหนลักวสกตูารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศึกษา

และการขดุ แตง่ โบราณสถานตุมปังน้ี มไิ ดค้ าดหวงั วา่ แหลง่ โบราณสถานนจ้ี ะสามารถศึกษาย้อนหลงั ไปได้ไกลถึงยุค แรกเรม่ิ ประวตั ศิ าสตรข์ องนครศรธี รรมราช เพราะจากการสำ� รวจแสดงใหเ้ หน็ ลกั ษณะรปู แบบทเ่ี ปน็ รนุ่ หลงั ลงมาแลว้ แตส่ ง่ิ ทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาครง้ั นคี้ อื การจดั ลำ� ดบั ชว่ งเวลาของชมุ ชน เจา้ ของโบราณสถานไวใ้ นชว่ งใดชว่ งหนงึ่ ตงั้ แตย่ คุ แรกเร่ิมประวัติศาสตร์จนกระท่ังถึงปัจจุบัน ซ่ึงน่ีถือเป็นการเร่ิมต้น เรียงล�ำดับตารางเวลาของประวัติศาสตร์ นครศรธี รรมราช โบราณสถานตมุ ปงั (รา้ ง) อยใู่ นเขตมหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์ ต.ไทยบรุ ี อ.ทา่ ศาลา จ.นครศรธี รรมราช สามารถเดนิ ทางจากตัว อ�ำเภอเมอื ง จังหวดั นครศรธี รรมราช ไปตามถนนหลวงหมายเลข 401 มายงั อำ� เภอทา่ ศาลา กอ่ นถงึ ตวั อำ� เภอประมาณ 2 กโิ ลเมตร เลย้ี วซา้ ยเขา้ ไปในมหาวทิ ยาลยั มงุ่ หนา้ ไปสถู่ นนวลยั ตมุ ปงั ซง่ึ เปน็ ถนนเสน้ เดยี ว กบั ทต่ี ้งั โรงผลติ น้ำ� ประปาของมหาวทิ ยาลยั แหลง่ โบราณคดี ต้ังอย่บู รเิ วณสุดถนนก่อนจะออกสูแ่ หลง่ ชุมชน 37. โบราณสถานเขาคา โบราณสถานเขาคา แหลง่ โบราณคดีเขาคาตงั้ อยู่ท่ีบ้านเขาคา หมู่ 11 ต�ำบลเสาเภา อำ� เภอสชิ ล จังหวดั นครศรีธรรมราช การเดินทางสู่โบราณสถานเขาคา ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 401 (เส้นทางสายเอเชีย A 18) ผ่านอ�ำเภอท่าศาลา เขา้ สเู่ ขตอ�ำเภอสชิ ล ถึงหลกั กิโลเมตรท่ี 99 เลย้ี วซา้ ยเดินทางไปตามถนน รพช. เสน้ ทางปากด่าน-เขาคา ประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณเขาคา รวมระยะทางประมาณ 58 กิโลเมตร เขาคา เปน็ ชอ่ื ของภูเขาขนาดยอ่ มท่ีมลี ักษณะ เป็นภเู ขาลูกโดด รอบภูเขาเป็นพืน้ ท่ีราบ ภูเขาวางตัวอยู่ในแนวทิศเหนอื -ใต้ ยาวประมาณ 850 เมตร กวา้ งประมาณ 300 เมตร ยอดเขาสงู จากระดับนำ้� ทะเลปานกลางประมาณ 72 เมตร เขาคา ประกอบด้วยยอดเขา 2 ยอด มลี กั ษณะ เปน็ เนนิ บนตะพกั เขา บนเนนิ เขามโี บราณสถานเรยี งรายตามสนั เขา เนนิ เขาดา้ นทศิ เหนอื มโี บราณสถานสำ� คญั 1 แหง่ สร้างหรือปรับแต่งด้วยหินธรรมชาติ ส่วนเนินเขาด้านทิศใต้ มีโบราณสถานก่ออิฐทั้งหมด 4 แห่ง สระน�้ำโบราณ อีก 3 แห่ง ต่อมากรมศิลปากรได้รวบรวมโบราณวัตถุท่ีส�ำคัญ โดยคงรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิม ท่ียังหลงเหลืออยู่ และสร้างอาคารจัดแสดงนทิ รรศการเก่ยี วกบั โบราณวัตถุ โบราณสถานที่พบโดยรอบเขาคาปัจจุบนั เปดิ ใหป้ ระชาชน ท่วั ไปเขา้ เย่ียมชม โบราณสถานเขาคา จัดเปน็ เทวสถานทม่ี คี วามส�ำคญั สูงสดุ ในบรรดาเทวสถานพราหมณ์ทพ่ี บในพนื้ ที่ จ.นครศรธี รรมราช เขต อ.สชิ ล โบราณสถานในแถบน้ี แสดงใหเ้ หน็ ถงึ พฒั นาการอยา่ งตอ่ เนอ่ื งของชมุ ชนอยา่ งชดั เจน กลมุ่ ชมุ ชนแหง่ นม้ี เี ขาคาเปน็ ศนู ยก์ ลางตามคตคิ วามเชอ่ื ทางศาสนาพราหมณ์ ทมี่ กั จำ� ลองจกั รวาลโดยมเี ขาพระสเุ มรุ เปน็ ศนู ยก์ ลางโบราณสถานบนยอดเขาคา ในครงั้ อดตี เปรยี บเปน็ วมิ านแหง่ พระศวิ ะ เปน็ ศนู ยร์ วมของชมุ ชนทย่ี งิ่ ใหญ่ แห่งหนึ่งในคาบสมุทรภาคใต้ เม่อื ประมาณพันกว่าปมี าแล้วและยังคงทง้ิ ซากความรุ่งเรอื ง ใหค้ นรนุ่ หลงั ได้ศกึ ษาวถิ ี แหง่ ความศรัทธา อันเปน็ ทม่ี าของมรดกทางศิลปวัฒนธรรม หลักสตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 329

38. วัดธาตุธาราม (วัดเขาธาต)ุ โบราณเก่าแก่ของเมืองขนอมท่ีเชื่อกันว่ามีอายุ มากกวา่ 1,000 ปีเลย เจดียป์ ะการังแหง่ วดั จนั ทนธ์ าตทุ าราม ประดษิ ฐานอยบู่ นยอดเขาธาตุ ลกั ษณะองคเ์ จดยี เ์ ปน็ รปู โอควำ�่ มีเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ 5-6 เมตร และทพี่ เิ ศษย่ิงกวา่ ส่งิ ใดคือเป็นเจดีย์ท่ีสร้างข้ึนด้วยหินปะการังทั้งองค์ นอกจากนี้ รอบเจดยี ย์ งั มพี ระพทุ ธรปู แกะสลกั ดว้ ยหนิ ทรายแสดง ทแี่ สดง ให้เห็นว่าในยุคหนึ่งที่นี่คือ แหล่งอารยธรรมทางพุทธศาสนา อีกทั้งบนยอดเขาธาตุยังเป็นจุดชมวิวที่ดีท่ีคุณจะได้เห็นวิว วัดธาตธุ าราม (วัดเขาธาตุ) อ่าวท้องเนียนได้แจ่มตา ตามต�ำนานเล่าว่าผู้มีจิตศรัทธาจาก เมืองไชยา ได้รวบรวมทรัพย์สินเงินทองและของมีค่าต่าง ๆ เพื่อไปบรรจุท่ีพระบรมธาตุเมืองนคร แต่ปรากฏว่าไป ไม่ทันเน่ืองจากพระบรมธาตุได้สร้างเสร็จเสียก่อน ผู้มีจิตศรัทธาจึงได้ร่วมใจกันสร้างเจดีย์ข้ึนบนเขาธาตุโดยการนำ� ปะการังที่มอี ยใู่ นบริเวณนนั้ มาสรา้ งเป็นเจดีย์ทง้ั องค์ ในขณะทอ่ี กี ตำ� นานได้เลา่ ว่ามเี จา้ นายชัน้ ผใู้ หญ่ และประชาชน จากชุมพร ประจวบครี ีขันธ์ สุราษฎรธ์ านที ีม่ ีจติ ศรทั ธาในองคพ์ ระบรมธาตุ นครศรีธรรมราชได้น�ำแกว้ แหวนเงนิ ทอง และของมีค่าต่าง ๆ เพื่อไปบรรจุในองค์พระบรมธาตุนคร แต่ในระหว่างการเดินทางเรือได้อับปางลง บางส่วน รอดชีวิตและถูกคล่ืนซัดมาเกยฝั่งท่ีน่ี เลยได้ร่วมกันสร้างเจดีย์จากหินปะการังเพื่อบรรจุของมีค่าท่ียังเหลืออยู่ แทนการน�ำไปบรรจุทีพ่ ระบรมธาตุนครศรธี รรมราช 330 แหนลกัวสกตูารรนจคัดรกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

โบราณวตั ถุ 1. เงินตรานโม (หัวนะโม) เงินตรานโม เงนิ ตรานโม หรอื หวั นะโม หรอื หวั นอโม เปน็ วตั ถทุ รงกลม สรา้ งดว้ ยโลหะพเิ ศษ มหี ลายแบบหลายรนุ่ มตี วั อักษรโบราณ ตวั นะอยตู่ รงกลาง ในประเทศไทยมีการสรา้ งแหง่ เดยี วทเ่ี มืองนครศรธี รรมราช กล่าวกันว่าสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ทรงสถาปนา อาณาจักรนครศรีธรรมราชขึ้น เมื่อประมาณ 700 ปกี อ่ น และทรงเป็นพระเชษฐาของพระเจา้ จันทรภานุ หรอื องค์ “จตุคาม รามเทพ” พระองค์ทรง ให้สร้างหัวนะโมไว้ด้วยพิธีกรรมอันสูงส่งของพราหมณ์ โดยอัญเชิญเทพเจ้าทั้งสามคือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม มาสถิตในหัวนะโม เป็นอักขระแทนองค์เทพเจ้า ทั้งสามโลก เพ่ือเอาไปฝังหว่านรอบ ๆ เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อป้องกันโรคห่าระบาด (อหิวาตกโรค) ปรากฏว่าโรคห่าได้หายไปจากอาณาจักร นครศรีธรรมราชจนสิ้น ปัจจุบันหัวนะโม ถือเป็นเคร่ืองรางของขลัง หรือวัตถุมงคลช้ินเอกของนครศรีธรรมราช พทุ ธคุณครอบจักรวาล เมตตามหานยิ ม โชคลาภ แคลว้ คลาด ปลอดภยั แกผ่ ูท้ อี่ าราธนาบชู าติดตวั เล่ากันว่าในคร้ังสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ก็ได้เกิดโรคห่าระบาดขึ้น ในเมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้ง พระองค์จึงรับส่ังให้สร้างหัวนะโมขึ้นแล้วประจุผงพระพุทธคุณอันวิเศษที่ส�ำเร็จขึ้น จากพระอาจารย์ผู้มีกฤตยาคมสูงลงในหัวนะโมน้ัน โปรดเกล้าฯ ให้น�ำหัวนะโมไปหว่านโปรยลงรอบเมืองนครฯ ให้ทว่ั หมดส้นิ จากนัน้ ภายในไมช่ ้าโรคห่าหรอื โรคอหิวาตกโรค กส็ งบลง อักขระ “นะโม” เป็นอักษรปารวะของอินเดียโบราณ ตามหลักฐานทางโบราณคดีก่อนสมัยพระศรี ธรรมโศกราช (ราชวงศป์ ัทมวงศ์) คือกอ่ นพุทธศตวรรษที่ 18 เมด็ โลหะท่เี รยี กกนั ว่า “หัวนะโม” อย่ใู นฐานะเงินตรา ใช้แลกเปลี่ยนแทนสินค้าในอาณาจักร ต่อมาสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช (พุทธศตวรรษที่ 18) เปล่ียนฐานะเป็น “เครอื่ งรางของขลงั ” ประกอบพธิ ตี ามคมั ภรี ไ์ สยเวทหรอื อาถรรพเวทเพอ่ื ปอ้ งกนั ภยนั ตรายทงั้ ปวงในราชอาณาจกั ร อกั ขระนะโม จงึ เปน็ อกั ขระศกั ดสิ์ ทิ ธแิ์ หง่ อาณาจกั รทะเลใต้ นะโม อาจหมายถงึ “ความนอบนอ้ ม” หรอื อาจหมายถงึ “หัวใจ” ของคาถาพทุ ธศาสนาท่วี า่ “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมพฺ ทุ ธสสฺ ” เงินตรานโมของรุ่นเก่าเป็นของขลังของศักด์ิสิทธ์ิ เป็นวัตถุมงคลของแท้หายาก แต่เงินตรานโมของ รนุ่ ใหม่ หาไดโ้ ดยง่าย ตามร้านขายของทร่ี ะลกึ ทวั่ ไป หลักสูตแรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 331

2. ใบเสมา ใบเสมา ใบเสมา วดั เสมาชัย ใบเสมา เปน็ ศลิ ปะศรีวชิ ัยสมยั ก่อนพทุ ธศตวรรษที่ 19 ใบ ใบเสมา วัดท้าวโคตร เสมา หรือ สีมา เป็นประติมากรรมหินสลัก ซึ่งใช้เป็นสัญลักษณ์หรือ เพื่อแสดงขอบเขตพ้ืนที่ศักดิ์สิทธ์ิเนื่องในพุทธศาสนา จากการศึกษา พบว่ามีการสร้างอย่างแพร่หลายมาก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทยชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 12-16 ซง่ึ เปน็ ยคุ ทวี่ ฒั นธรรมทวารวดเี จรญิ รุ่งเร่ืองขึ้น การปักใบเสมาดังกล่าวอาจสืบเนื่องมาจากระบบคติ ความเช่ือ สนั นิษฐานว่าอาจจะเกยี่ วกบั - คติที่สืบทอดมาจากประเพณีการปักหินต้ัง (Megaliths) โดยเชือ่ เร่อื งการนับถอื ผีบรรพบุรษุ ของชนพน้ื เมอื งในเอเชียอาคเนย์ - คติการสร้างข้ึนเนื่องในพุทธศาสนา เพ่ือเป็นหลักเขต ก�ำหนดบริเวณศักด์สิ ิทธ์ิ หรอื สถานทป่ี ระกอบพธิ ีกรรมทางพุทธศาสนา - เปน็ ตวั แทนสถานที่ศกั ดส์ิ ิทธส์ิ ำ� หรับเคารพบูชา ทำ� หน้าที่ คล้ายสถูป เจดียห์ รอื พระพทุ ธรูปเพื่อใหผ้ ูค้ นไดก้ ราบไหวบ้ ูชา ลักษณะการปกั ใบเสมา - ปกั หลักเดียว เพื่อแสดงเขตหรอื ต�ำแหน่งของบรเิ วณพ้ืนท่ี ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ - ปักเป็นกลุ่ม พบว่ามีการปักล้อมรอบเนินดินหรือพื้นท่ี ศกั ดิ์สทิ ธิ์โดยไม่มีการก�ำหนดทศิ ทางแนน่ อน - ปกั ประจ�ำทศิ มีต้ังแตก่ ารปกั 4 ทิศ 8 ทศิ ไปจนถึง 16 ทศิ โดยปกั ลอ้ มรอบเนนิ ดนิ หรอื สง่ิ กอ่ สรา้ งทางศาสนา เพอื่ แสดงเขตของสถาน ที่ศักดิ์สิทธ์ิ เช่น เจดีย์ พระธาตุ อุโบสถ พบว่ามีทั้งการปักใบเสมาเดี่ยว ปักเสมาคู่ หรอื ปกั ซ้อนกัน 3 ใบ ใบเสมา วัดเสมาชยั ใบเสมา วัดเสมาชัย เป็นใบเสมาหินชนวนขนาดย่อมไม่มี ลวดลายประดับ เทียบได้กับใบเสมาศิลปะอยุธยาในราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 ใบเสมา วัดทา้ วโคตร ทางด้านนอกอุโบสถ มีใบเสมาปักบอกเขตอยู่ ทง้ั 8 ทิศ ใบเสมาเหลา่ น้ี อาจสรา้ งข้ึนในสมัยอยธุ ยาตอนกลาง คือ ราวพุทธศตวรรษที่ 21–22 โดยพิจารณาจากขนาด ซ่ึงเล็กกว่าสมัยอยุธยายุคต้น แต่ยังใหญ่สมัยอยุธยายุคปลาย และรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ลวดลายดอกไม้ออกก้านขด ท่ดี ใู กล้เคียงกับธรรมชาตกิ เ็ ปน็ ทน่ี ยิ มในยุคดงั กล่าวด้วย 332 แหนลักวสกูตารรนจคัดรกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศกึ ษา

3. ศลิ าจารกึ วัดเสมาเมอื งและศลิ าจารกึ วัดหัวเรยี ง ศลิ าจารกึ วัดเสมาเมอื ง เป็นหินทรายแดงรปู ใบเสมา มีขนาดกวา้ งประมาณ 50 เซนติเมตร สูง 106 เซนตเิ มตร หนา 8.5 เซนติเมตร จารึกเป็นอักษร ปัลลวะ ภาษาสนั สกฤต เมอ่ื พ.ศ. 1318 เปน็ ศลิ าจารึกหลกั ทสี่ ำ� คัญ ของเมอื งนครศรธี รรมราช ในจารกึ ในหนา้ 1 บรรทดั ท่ี 14, 16, 28 มคี ำ� วา่ “ศรวี ชิ เยนทรราชา” ปรากฏอยู่ มขี อ้ ความ กล่าวถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร และกล่าวสรรเสริญพระเจ้ากรุงศรีวิชัย ผู้เป็นใหญ่กว่าพระราชาท้ังปวง ในโลกนี้ และหน้า 2 กล่าวถึงพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ประดุจพระอาทิตย์ และทรงเป็นหัวหน้าแห่ง ไศเลนทรวงศ์เมืองไชยา (นักปราชญ์หลายท่านสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดการสับเปลี่ยนที่มากันกับศิลาจารึก วดั เสมาเมอื ง เพราะมกี ารขนยา้ ยหลายครง้ั ระหวา่ งหอสมดุ แหง่ ชาติ กรงุ เทพฯ กบั พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ กรงุ เทพฯ) มี 2 หลัก หลักแรกไม่มีข้อความเกี่ยวกับเมืองนครศรีธรรมราช มีขนาดสูง 72 เซนติเมตร กว้าง 37 เซนติเมตร หนา 12 เซนติเมตร จารกึ ด้วยอักษรขอม ภาษาสนั สกฤต พ.ศ. 1773 มีข้อความทอี่ า่ นไดเ้ พยี ง 8 บรรทัดเท่านัน้ นอกน้ันลบเลือน บรรทัดแรกมีค�ำว่า “ตามพรลิงค์” ปรากฏอยู่บรรทัดที่ 3 มีค�ำว่า“จันทรภานุ ศรีธรรมราชา” ศาสตราจารยย์ อรช์ เชเดส์ อา่ นแปลไว้ดงั น้ี “สวสติ พระเจ้าผู้ครองเมือง ตามพรลิงค์ ทรงประพฤติปฏิบัติประโยชน์เก้ือกูลแก่พระพุทธศาสนา พระองคส์ ืบตระกูลจากตระกลู อนั ร่งุ เรือง คอื “ปทมุ วงศ์” มรี ูปงามเหมอื นพระกามะ อันมีรูปงามราวกับพระจันทร์ ทรงฉลาดในนติ ศิ าสตร์ คลา้ ยกับพระธรรมาโศกราช เป็นหัวหนา้ ของตระกูล...ทรงนามศรธี รรมราช ข้อสังเกต มกี าร กลา่ วถึงตามพรลงิ ค์ เปน็ จารึกว่าด้วยเมืองนครศรีธรรมราชโดยตรง ศรีสวสติ พระเจ้าผู้ปกครองเมืองตามพรลิงค์ เป็นผู้อุปถัมภ์ตระกูลปทุมวงศ์ พระหัตถ์ของพระองค์ มฤี ทธ์ิอ�ำนาจ... ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศล ซึ่งพระองค์ได้ท�ำต่อมนุษย์ท้ังปวง ทรงเดชานุภาพเท่าพระอาทิตย์ พระจนั ทรแ์ ลมพี ระเกยี รตอิ นั เลื่องลือในโลกท้งั ปวง ทรงพระนาม จนั ทรภานุ ศรีธรรมราช เม่อื กลียคุ 4332...” ศลิ าจารกึ วดั เสมาเมอื ง หลักสตู แรนนวคกราศรรจีธดัรรกมารราเชรศยี กึ นษราู้ 333

ศลิ าจารกึ วดั หวั เวยี ง ปจั จบุ นั หลกั ศลิ าจารกึ ดงั กลา่ ว เกบ็ แสดงอยใู่ นพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ กรงุ เทพฯ เห็นควรน�ำกลับมาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เพราะเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์อันล�้ำค่าของ ชาวจงั หวดั นครศรีธรรมราชแต่เดมิ เพอ่ื ความภาคภมู ิใจในทอ้ งถิน่ ของตนต่อไป ศิลาจารึกวัดหัวเวยี ง 4. ศิลาจารกึ วดั มเหยงคณ์ ศลิ าจารกึ วัดมเหยงคณ์ ในบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้พบศิลาจารึกรุ่นเก่าร่วมสมัยพุทธศตวรรษท่ี 12 ซึ่งเป็นจารึก รนุ่ แรกทพ่ี บในบรเิ วณประเทศไทย นนั่ คอื ศลิ าจารกึ วดั มเหยงค์ เปน็ จารกึ บนแผน่ สดี ำ� ขนาดกวา้ ง 58 ซม. ยาว 112 ซม. หนา 11 ซม. หลักฐานเดิมบันทึกไว้ ศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์เป็น จารึกหลักที่ 27 จารึกหลักนี้มีอักษรจารึก ข้อความเพียงด้านเดียว ศิลาจารึกหลักนี้ ได้มาจากวัดมเหยงค์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อแรกเคล่ือนย้ายเข้า กรุงเทพฯ มาอยทู่ ่ีวดั บวรนิเวศวหิ าร ตง้ั แตเ่ มือ่ ใดน้นั ไมท่ ราบชัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2466 สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ได้รับส่ังให้ย้ายมาเก็บรักษาในหอพระสมุดส�ำหรับพระนคร พร้อม ๆ กับจารึกอื่น ๆ ซ่ึงเคยอยู่ที่วัดบวรนิเวศฯ นั้น ซึ่งแต่เดิมสถานที่ต้ังแสดงจารึกอยู่ในท้องพระโรงพระท่ีน่ังศิวโมกขพิมาน บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ต่อมาในปี 2509 หอสมุดแห่งชาติย้ายมาอยู่อาคารใหม่ที่ท่าวาสุกรี อาคารเก่าที่หอพระสมุดวชิราวุธจึงว่าง ประกอบกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ต้องการใช้พระที่น่ัง 334 แหนลกัวสกูตารรนจคดั รกศารรธี เรรรียมนรารชู้ ศึกษา

ศิวโมกขพิมานจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ ใน พ.ศ. 2510 จึงได้ย้ายจารึกซึ่งจัดแสดงอยู่ในพระที่นั่ง ศิวโมกขพิมานไปเกบ็ รกั ษาไว้ท่ีอาคารหอพระสมุดวชิราวุธ คือ ตกึ ถาวรวัตถุขา้ งวัดมหาธาตยุ ุวราชรังสฤษฎ์ิ น่นั เอง ในปี พ.ศ. 2521 กรมศิลปากรมีความประสงคจ์ ะให้จารึก ซ่ึงจัดไวเ้ ป็นโบราณวัตถุได้อยู่ในความรบั ผดิ ชอบของกอง พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตติ ามกฎหมาย จงึ ไดย้ า้ ยจารกึ สว่ นใหญร่ วมทงั้ ศลิ าจารกึ วดั มเหยงคไ์ ปเกบ็ รกั ษาและตง้ั แสดง ในหมู่พระวมิ าน ห้องอตุ ราภมิ ุขในพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงปัจจุบนั ศลิ าจารกึ วดั มเหยงคณเ์ ปน็ จารกึ อกั ษรปลั ลวะ ภาษาสนั สกฤต ตวั อกั ษรทใ่ี ชค้ ลา้ ยกบั ทพี่ บในเขมรโบราณ (อักษรอนิ เดียใต้) อายุประมาณพทุ ธศตวรรษที่ 13 โดยท่ัวไปมกั จะเข้าใจกนั ว่าเน้อื หาของศิลาจารกึ หลกั น้ี “กล่าวถึง วนิ ยั สงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนา” ตามทศ่ี าสตราจารย์ ยอรช์ เซเดส์ ไดก้ ลา่ วไวใ้ นหนงั สอื ประชมุ ศลิ าจารกึ ภาคท่ี 2 เนอื้ หา ของจารกึ หลักนี้มอี ทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์อยู่ดว้ ย ดังคำ� แปล ทีค่ ดั มาจากหนงั สอื ประชมุ ศิลาจารกึ ภาคท่ี 2 ดังต่อไปน้ี “พระระเบียงและห้องอาหารกับ อโุ บสถาคาร อาหาร สำ� หรบั คณะสงฆแ์ ละบคุ คลตา่ ง ๆ การนมสั การพระบารมกี ารเขยี นหนงั สอื การจำ� หนา่ ยนำ�้ หมกึ กบั แผน่ (สำ� หรบั เขยี น) เครอ่ื งบชู า อาหารเครอ่ื งบำ� รงุ คณะพราหมณ์ ของพระอคสั ตมิ หาตมนั มที งั้ ธรรมกถา ประกอบ ด้วยธปู ประทปี พวงมาลยั ธงพิดาน จามร ประดับดว้ ยธงจีน บุญกศุ ลอ่ืน ๆ ตามค�ำสอน คอื การปฏบิ ัตพิ ระธรรม ไม่ขาดสักเวลา การบริบาลประชาราษฎร์ การทนต่ออิฏฐารมณ์และอนิฎฐารมณ์ การช�ำนะอินทรีย (ให้สงบ) ผู้ได้ทรัพย์สมบัติโดยความองอาจ ช่ืออรรณาย” เป็นท่ีน่าเสียดายท่ีศิลาจารึกหลักน้ีช�ำรุดมาก แต่เน้ือหาเท่าท่ีมีอยู่ ก็นบั ว่ามีประโยชนใ์ นการศึกษาอารยธรรมของบรรพบรุ ษุ ไม่น้อยเลย ในท่ีนผี้ ู้เขียนเหน็ วา่ ศิลาจารึกหลักน้ี น่าจะเป็น การสรรเสรญิ บคุ คล อนั สงั เกตไดจ้ ากเนอื้ หาโดยรวม ทก่ี ลา่ วถงึ จรยิ าวตั รของทา่ นผนู้ แี้ ละโดยเฉพาะขอ้ ความบางตอน เช่น “ผู้ได้ทรัพย์สมบัติโดยความองอาจ” และ “ชื่ออรรณาย” เป็นต้น ในส่วนที่เก่ียวกับศาสนาพราหมณ์น้ัน จะเหน็ ไดว้ า่ ศลิ าจารกึ หลกั นไ้ี ดส้ ะทอ้ นออกมาอยา่ งชดั เจน ดงั ความตอนทว่ี า่ “อาหารเครอ่ื งบำ� รงุ คณะพราหมณข์ อง พระอคัสติมหาตมนั ” ท้งั นี้ เพราะค�ำวา่ “คณะพราหมณ์” และ “พระอคตั ิมหาตมัน” ปรากฏชัดแจง้ อยู่แล้ว 5. ศิลาจารึกหบุ เขาชอ่ งคอย เมอ่ื วนั ท่ี 10 กนั ยายน พ.ศ. 2522 นายจรง ชกู ลนิ่ และนายถวลิ ชว่ ยเกดิ อาศยั อยใู่ น หมบู่ า้ นคลองทอ้ น หมู่ท่ี 9 ต�ำบลควนเกย อ�ำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปในป่าแถบหุบเขาช่องคอย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกสะท้อน ต�ำบลควนเกย อ�ำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร บุคคลท้ังสองได้พบแผ่นหินกว้างใหญ่อยู่ใกล้กับร่องน�้ำระหว่างหุบเขา แผ่นหินดังกล่าวมีความกว้าง 1.60 เมตร ยาว 6.83 เมตร หนา 1.20 เมตร บนแผ่นหนิ นนั้ มีเส้นเป็นรอยลกึ ขีดไปมาเปน็ รูปอักษร นนั่ คอื ศิลาจารกึ หุบเขาช่องคอย ต่อมาวันท่ี 14 มกราคม 2523 นายอ�ำไพ ขันทาโรจน์ เจ้าหน้าท่ีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ไดท้ ราบเรอื่ งการพบศลิ าจารึกหลักนี้ จากพระภิกษเุ พิม่ เจา้ อาวาสวดั หนองหม้อ อ�ำเภอเชียรใหญ่ จงั หวัดนครศรีธรรมราช จงึ ได้รายงานใหน้ างกัลยา จลุ นวล หัวหนา้ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ทราบ และได้ออกส�ำรวจจารึกดังกล่าว 2 ครั้ง คือวันท่ี 17 มกราคม 2522 และวันท่ี 19 มกราคม 2523 พร้อมทั้งได้ ท�ำส�ำเนา และถ่ายภาพศิลาจารึกนั้น และได้ส่งส�ำเนาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศลิ ปากร เม่ือวันท่ี 17 กุมภาพันธ์ 2523 วันท่ี 19 กุมภาพันธ์ 2523 กองพพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้ส่งส�ำเนา หลกั สตู แรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 335

ศิลาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองหอสมุดแห่งชาติ เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีงานบริการหนังสือโบราณอ่าน-แปล เม่ือเจ้าหน้าท่ีอ่าน-แปลเสร็จแล้ว ได้ส่งค�ำอ่าน-แปลไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เม่ือวันท่ี 5 มิถุนายน 2523 นางจริ า จงกล ผอู้ ำ� นวยการกองพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ ไดน้ ำ� คำ� อา่ น-แปล ศลิ าจารกึ หลกั นี้ เสนอนายเดโช สวนานนท์ อธิบดีกรม ศิลปากร เพ่ือทราบเม่ือวันท่ี 25 สิงหาคม 2523 เมื่อนายเดโช สวนานนท์ ได้รับทราบแล้ว จึงได้ให้ ใชช้ ือ่ ศลิ าจารกึ หลกั น้วี ่า “ศลิ าจารึกหบุ เขาช่องคอย” จากนน้ั ชศู กั ดิ์ ทิพย์เกษร กบั ชะเอม แกว้ คลา้ ย จงึ ได้อา่ นและ แปลจารึกนี้ เพ่อื พมิ พเ์ ผยแพรใ่ นวารสารศลิ ปากร ปีที่ 24 ฉบบั ท่ี 4 (กนั ยายน 2523) ลกั ษณะของศลิ าจารึกหบุ เขา ช่องคอยบ่งชดั วา่ เป็นการสรา้ งขึ้นด้วยกรรมวธิ ีงา่ ย ๆ ไม่ประณตี บรรจง ใช้แผ่นศิลาธรรมชาตทิ ม่ี ีอยใู่ นบรเิ วณหบุ เขา น้นั เป็นที่จารกึ รปู อักษรขึน้ 3 ตอน มีความหมายตอ่ เน่ืองกนั แตข่ นาดของรปู อักษรไมเ่ ทา่ กัน ตอนท่ี 1 มขี นาดของ ตัวอกั ษรสงู 25 เซนตเิ มตร มอี ักษรข้อความ 1 บรรทดั ตอนที่ 2 ขนาดของตวั อกั ษรสูง 7 เซนติเมตร มีอักษรขอ้ ความ 4 บรรทัด ตอนที่ 3 ขนาดของตวั อักษรเทา่ กบั ตอนท่ี 2 แตม่ ีอักษรข้อความเพยี ง 2 บรรทัด ศลิ าจารึกหบุ เขาชอ่ งคอย เนอื้ หาโดยสงั เขป ตอนท่ี 1 ประกาศใหท้ ราบวา่ ศลิ าจารกึ หลกั นี้ เปน็ จารกึ อทุ ศิ บชู า พระศวิ ะ ตอนท่ี 2 กล่าวนอบน้อมพระศิวะแล้วเสริมว่า ผู้เคารพในพระศิวะมา (ในท่ีน้ี) เพราะจะได้ ประโยชน์ท่ีพระศิวะประทานให้ ตอนที่ 3 กลา่ วสรรเสรญิ คนดี ไมว่ า่ เขาจะอยใู่ นทไ่ี หน กจ็ ะทำ� ให้ เจา้ ถน่ิ ไดร้ บั ความสขุ ดงั นนั้ ถา้ จะพจิ ารณาถงึ เนอ้ื หา ทัง้ หมดแล้วอาจกลา่ วไดว้ ่า จารึกหลักนี้กลา่ วถงึ การเคารพบูชาพระศวิ ะ พระสวามแี หง่ นางวิทยาเทวี พระผู้เปน็ เจา้ อันสูงสุด บุคคลใดสรรเสริญองค์พระศิวะเทพอย่างเทิดทูนบูชา บุคคลน้ันจะได้รับพรจากพระองค์ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ทใ่ี ดย่อมได้รบั การตอ้ นรับด้วยดีทุกสถาน ดังนัน้ จะเหน็ ได้วา่ กลมุ่ ชนผู้สร้างศลิ าจารึกหบุ เขาช่องคอยขึ้นนี้ จะต้อง เป็นกลุ่มชนท่ีใช้ภาษาสันสกฤตนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะนิกาย และคงจะได้เดินทางเข้ามาพ�ำนักอาศัยใน บริเวณนั้น เปน็ การชั่วคราว ไม่ใชก่ ลุ่มชนทีอ่ ยู่ประจ�ำถิ่น อีกทั้งยังได้ก�ำหนดสถานท่ีบรเิ วณจารึกหุบเขาช่องคอยนนั้ เป็นศิวะสถาน เพอื่ ปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ตามจารีตของตน พร้อม ๆ กันนนั้ กอ็ บรมสงั่ สอนให้ผอู้ ยู่ในสันนิบาตน้ัน สำ� นกึ ใน ความเป็นคนต่างถิ่น พลัดบ้านเมืองมา ซึ่งสมควรประพฤติตนเป็นคนดี จะได้พ�ำนักอาศัยอยู่ร่วมในสังคมที่มี ขนบธรรมเนยี มแตกต่างกนั ได้อย่างสุขสงบ ดังที่ปรากฏข้อความในจารึก 336 แหนลักวสกูตารรนจคดั รกศารรธี เรรรยี มนรารชู้ ศกึ ษา

ตอนท่ี 1 ศลิ าจารกึ นเี้ ปน็ ของพระศวิ ะ “ศรฺ วี ทิ ยฺ าธกิ ารสย” อธบิ ายวา่ เปน็ พระนามอนั หนงึ่ ของพระศวิ ะ ซง่ึ แปลวา่ ผู้เปน็ สวามขี องนางวิทยาเทวี (นางทรุ คา) นางวิทยาเทวีเป็นรา่ งหนง่ึ ของนางทรุ คา ] ตอนท่ี 2 ขอความนอบนอ้ มจงมีแกท่ า่ นผ้อู ยู่เปน็ เจ้าแห่งปา่ พระองค์นัน้ ขอความนอบนอ้ มจงมแี ก่ท่าน ผู้เป็นเจ้าแห่งเทพทั้งมวลพระองค์น้ัน ชนท้ังหลายเคารพต่อพระศิวะขอให้ท่านผู้เจริญนี้เป็นที่พึงให้บุคคลที่อยู่ที่น้ี มปี ระโยชน์ทัว่ กนั ตอนที่ 3 ถา้ คนดอี ยู่ในหมบู่ า้ นของชนเหล่าใดความสขุ และผลจักมแี กช่ นเหล่านัน้ อักษรที่จารึกเป็นภาษาสันสกฤตอักษรปัลลวะ ซ่ึงเป็นอักษรท่ีพบในอาณาจักรตามพรลิงค์อันเป็น สถานท่ีตดิ ต่อแลกเปลยี่ นซอ้ื ขายสนิ ค้าของพราหมณม์ าตง้ั แต่ พทุ ธศตวรรษ ท่ี 11 อักษรทจี่ ารกึ มรี ูปแบบเหมอื นกบั อักษรในจารึกพระราชทานของพระเจา้ สิงหวรมันแหง่ อินเดียตอนใตส้ มัยพุทธศตวรรษที่ 11 หลักสตู แรนนวคกราศรรจธี ัดรรกมารราเชรศียกึ นษราู้ 337

6. ศิวลงึ ค์และฐานโยนิโทรณะ ศวิ ลึงค์ 6.1 ศิวลงึ ค์ ศิวลึงค์ ของศาสนาพราหมณ์ ในนครศรีธรรมราชรุ่นแรก ๆ มักติดกับฐานโยนี เวลาทำ� พธิ กี รรมกระทำ� โดยการรดนำ้� ลงไปบนโบราณ วัตถุดังกล่าว ซ่ึงตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ถือว่า น�้ำที่ไหลลงมานั้นเป็นน�้ำศักด์ิสิทธิ์ นิยมน�ำมา ดม่ื และอาบ ศวิ ลึงค์รุ่นตอ่ ๆ มา ประกอบดว้ ย 3 ส่วน แต่ละส่วนมักไม่เท่ากัน ศิวลึงค์แบบสมบูรณ์ ประกอบดว้ ย 3 สว่ น สว่ นล่างสุดเป็นส่ีเหล่ยี มจัตุรสั หมายถึง พรหมภาค คือ ภาคของพระพรหม ศิวลึงคพ์ บท่ีวดั โบราณในนครศรธี รรมราช สว่ นกลางออกแบบเปน็ แปดเหลย่ี ม เรยี กวา่ วษิ ณภุ าค คอื ภาคของพระวษิ ณุ และสว่ นยอดบนสดุ มลี กั ษณะทรงกลมมน เรยี กวา่ รุทรภาค คอื ภาคของพระอิศวร ทั้ง 3 ภาครวมเปน็ ภาคเดยี วกนั เรียกว่า ตรมี รู ติ ศวิ ลงึ ค์ เป็นรูปเคารพแทน องคพ์ ระศวิ ะ หรอื พระอศิ วร พบทว่ั ไปในชมุ ชนโบราณ ที่นับถือศาสนาพราหมณ์นิกายไศวะ ศิวลึงค์เก่าแก่ ยุคแรกพบท่ีบ้านโมคลาน อ�ำเภอท่าศาลา และใน สถานท่ีต่าง ๆ ในอ�ำเภอเมือง อ�ำเภอลานสกา อ�ำเภอพรหมครี ี สันนิษฐานว่า ศวิ ลงึ ค์นเ้ี ป็นท่มี าของ ชื่อ อาณาจักรตามพรลิงค์ ส่วนฐานโยนิโทรณะ เป็นของคู่กับศิวลึงค์ โดยท่ัวไปศิวลึงค์จะปักอยู่บน ฐานโยนโิ ทรณะ ฐานโยนโิ ทรณะจะมขี นาดและรปู รา่ ง แตกตา่ งกนั ออกไป ศวิ ลึงค์ติดกับฐานโยนี 338 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรยี มนรารชู้ ศึกษา

ศวิ ลงึ คท์ คี่ น้ พบในแถบนครศรธี รรมราช สามารถแบง่ ออกได้ เปน็ 2 กลมุ่ คอื กลมุ่ ทป่ี รากฏเฉพาะ รุทรภาคและติดกับฐานโยนี กับกลุ่มที่ปรากฏท้ังสามภาคและแยกออกจากฐานโยนี ส�ำหรับศิวลึงค์ที่ปรากฏใน ภาพนเี้ ปน็ ศวิ ลงึ คแ์ บบทส่ี อง ซง่ึ ปรากฏทงั้ พรหมภาค (ส่วนส่ีเหล่ียมด้านล่าง) วิษณุภาค (ส่วนแปดเหลี่ยม ตรงกลาง) และรุทรภาค (ส่วนกลมด้านบน) แสดง ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของตรีมูรติทั้งสาม ศิวลึงค์และโยนี เป็นตัวแทนอันไม่เป็นรูปมนุษย์ ของ พระศิวะและพระอุมา เทพเจ้าสูงสุดของลัทธิ ไศวนิกาย มักปรากฏเป็นประติมากรรมประดิษฐาน ในครรภคฤหะของเทวาลัยเสมอ ส�ำหรับศิวลึงค์ ในภาพน้นั ถา้ จะประดิษฐานยอ่ มสวมอยบู่ นฐานโยนี โดยฐานโยนีย่อมกลืนพรหมภาคและวิษณุภาคคง ฐานโยนี หลงเหลือเฉพาะรุทรภาคเท่านั้นท่ีจะปรากฏด้านบนฐาน อน่ึง เมืองนครศรีธรรมราชคงเคยนับถือศาสนาฮินดูเป็น หลักมากอ่ นในพทุ ธศตวรรษท่ี 19 เนือ่ งจากพบ ท้ังศวิ ลึงคแ์ ละประตมิ ากรรมพระวษิ ณุจ�ำนวนมากในบริเวณแถบน้ี ศิวลงึ คว์ ดั นางตรา ค้นพบศิวลึงค์เก่าแก่ ภายในวัด โบราณที่นครศรีธรรมราช อายุมากกว่า 1,200 ปี ส�ำนักศิลปากรที่ 14 เข้าศึกษาที่วัดนางตรา ตำ� บลทา่ ศาลา อำ� เภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรธี รรมราช ชาวบ้านได้ทยอยเข้าไปชมศิวลึงค์และเครื่องเคลือบ ดินเผาขนาดใหญ่ ท่ีค้นพบระหว่างการปรับพื้นที่ เตรียมการก่อสร้างภายในวัดนางตรา โดยพระครู ศุภกจิ ตยาภรณ์ เจ้าอาวาส น�ำไปเกบ็ รักษาไวใ้ นกฏุ ิ ป้องกันการสูญหาย ส�ำหรับลักษณะศิวลึงค์ ศิวลึงค์วดั นางตรา ดงั กลา่ วนน้ั พบวา่ เปน็ ศวิ ลงึ คห์ นิ ทรายขดั ผวิ เรยี บชนดิ ชนิ้ เดยี วกนั กบั ฐาน โดยมคี วามกวา้ งและยาว 47 ซม. ขอบฐาน โยนสี ลกั ลวดลายเถาพนั ธพ์ุ ฤกษา ซง่ึ เปน็ ลวดลายแบบศลิ ปะทวารวดี มรี อ่ งรอยแตกบน่ิ เสยี หายเลก็ นอ้ ย เชน่ เดยี วกบั เครื่องเคลือบจากปุ้งก๋ี รถแบคโฮในขณะขุดตัก ส�ำหรับศิวลึงค์และฐานโยนี เป็นรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ มีอายรุ าวพุทธศตวรรษท่ี 10-12 หรือราว 1,300-1,400 ปที ผ่ี า่ นมา มีความสอดคลอ้ งกับพืน้ ท่ใี นย่านสรุ าษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ท่ีมคี วามเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ท่เี ข้ามาก่อนพระพทุ ธศาสนา นายอาณฐั บ�ำรุงวงศ์ ผู้อ�ำนวยการส�ำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ระบุว่าวัตถุโบราณช้ินน้ียังมีความสมบูรณ์และลวดลาย มีความชัดเจนมีความเก่าแก่มาก อาจเป็นช้ินส�ำคัญของภาคใต้ โดยเฉพาะที่เก่ียวข้องกับความเจริญรุ่งเรือง ของพราหมณ์มอี ายุราวพุทธศตวรรษท่ี 10-12 หลักสตู แรนนวคกราศรรจีธัดรรกมารราเชรศียึกนษราู้ 339

ศิวลึงคท์ องคำ� ชาวบ้านขุดพบศิวลึงค์ทองค�ำ 2 องค์ท่ีอ�ำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุนับ 1,000 ปี โดยนายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากรเปิดเผยว่า มีการขุดค้นพบศิวลึงค์ทองค�ำ 2 องค์ จากถ้�ำบนเขาพลี ต�ำบลสิชล อ�ำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช หลงั จากที่นายเสกสนั ต์นาคกลดั ชาวอำ� เภอสชิ ลเขา้ ไปขดุ มลู คา้ งคาวในถำ้� พบแผ่นอิฐขนาด 16 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร เรียงกันอยู่ ด้านล่างมีอิฐแผ่นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เม่ือยกอิฐขึ้นมีผอบท�ำด้วยโลหะ เม่ือเปิดฝาออกจึงพบศิวลึงค์ทองค�ำ จากการตรวจสอบพบว่า ศิวลึงค์ทองค�ำ มีขนาดความสูง รวม 2 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8 เซนติเมตร น�้ำหนัก 12.7 กรัม ส่วนองค์ที่ 2 ขนาดส่วนสูง รวม 2 เซนติเมตร เส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง 0.9 เซนติเมตร น�ำ้ หนัก 19 กรมั จากการประเมินอายแุ ละลักษณะของศวิ ลงึ ค์ ซ่งึ เป็นแบบประเพณนี ยิ ม อยู่ในราวพุทธศตวรรษท่ี 12 หรือมีอายุกว่า 1,000 ปี ส�ำหรับศิวลึงค์ ศวิ ลงึ คท์ องค�ำ ดังกล่าว ผู้ค้นพบประสานจะมอบศิวลึงค์ให้กับกรมศิลปากร เพ่ือเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ น�ำมาจัดแสดง เพอ่ื ใหป้ ระชาชนไดศ้ กึ ษาทพ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร 1 องค์ และอกี 1 องค์ จะนำ� ไปจดั แสดงทพ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถาน แห่งชาตินครศรธี รรมราช ท้ังน้ีก่อนหน้าน้ีในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกันก็พบโบราณวัตถุส�ำคัญหลายชิ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 จากการศกึ ษาคน้ ควา้ ข้อมลู ทางโบราณคดีพบวา่ ในพ้นื ทอี่ �ำเภอสิชล มีเทวาลยั ในศาสนาพราหมณไ์ มต่ ่�ำกวา่ 30 แหง่ กระจายอยู่ ท่ีผา่ นมาพบศวิ ลึงค์ในเขตอำ� เภอสิชลแล้ว 24 องค์ ซ่งึ ศิวลงึ ค์ทองคำ� ท่พี บถอื ว่าเป็นโบราณวัตถุชน้ิ สำ� คัญ มคี ณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตรท์ างโบราณคดอี ยา่ งสงู เพราะแสดงถงึ ความศรทั ธาในเทพเจา้ และความรงุ่ เรอื งทางการคา้ ของนครศรีธรรมราชโบราณ 6.2 ฐานโยนโิ ทรณะ คอื ฐานทป่ี ระดษิ ฐานศวิ ลงึ ค์ มกั จะมรี อ่ งเพอื่ ใหน้ ำ้� ไปลงตามพธิ กี รรม และความเชอื่ ในศาสนาพราหมณ์ ได้มีการค้นพบโยนิโทรณะเป็นจ�ำนวนมากในนครศรีธรรมราช โยนิโทรณะเหล่านี้ส่วนใหญ่ เปน็ ศิลาทง้ั สน้ิ ในทน่ี ้อี าจจะแบ่งรปู แบบของโยนโิ ทรณะ ดังกล่าวออกเปน็ กลมุ่ ๆ ได้ดังนี้ คือ กล่มุ ที่ 1 โยนโิ ทรณะที่ไมม่ ีรอ่ งรอยการสลัก นับเป็นโยนิโทรณะแบบดั้งเดิม เพราะเป็นเพียงหินที่เจาะรูเท่านั้น ไม่มีร่องรอยการ ประดับตกแต่งแต่อย่างใดเลย อาจจะก�ำหนดให้ มีอายุใกล้เคียงกับศิวลึงค์รุ่นแรกท่ีพบใน นครศรีธรรมราช คือ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 12 ส�ำหรับรูนั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์ ของเพศหญิง หรือใช้ส�ำหรับเสยี บศิวลงึ คก์ ็ได้ โยนิโทรณะท่ไี มม่ รี ่องรอยการสลัก 340 แหนลกัวสกูตารรนจคัดรกศารรีธเรรรียมนรารชู้ ศึกษา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook