90 บนั ทกึ ผลหลังการจัดกระบวนการเรยี นร๎ู ผลการใชแ๎ ผนการจดั กระบวนการเรียนร๎ู 1. จาํ นวนเน้ือหากับจํานวนเวลา เหมาะสม ไมํเหมาะสม ระบุเหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรยี งลําดบั เนอ้ื หากบั ความเข๎าใจของผู๎เรยี น เหมาะสม ไมํเหมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนาํ เขา๎ สูบํ ทเรยี นกับเนอ้ื หาแตลํ ะหวั ข๎อ เหมาะสม ไมํเหมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วธิ ีการจัดกิจกรรมการเรยี นรู๎กับเน้ือหาในแตลํ ะขอ๎ เหมาะสม ไมเํ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
91 5. การประเมนิ ผลกบั ตัวช้ีวดั ในแตลํ ะเน้อื หา เหมาะสม ไมเํ หมาะสม ระบุเหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการเรยี นร๎ูของผูเ๎ รียน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจัดกระบวนการเรียนรขู๎ องครู ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข๎อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
92 รายละเอยี ดสื่อ วัสดุ อปุ กรณ๑ และแหลงํ การเรียนรู๎ 1. แบบทดสอบกอํ นเรียน เรื่อง “จํานวนและการดาํ เนนิ การ” 2. ใบความร๎สู ําหรบั ผู๎เรยี น เรอื่ ง “สมบัติของจาํ นวนเต็มและการนําไปใช๎” 3. ใบความรส๎ู ําหรบั ผูเ๎ รยี น เรื่อง “การบวก ลบ คูณ หารเศษสํวนและทศนยิ ม” 4. ทบทวนเตรยี มสอบการบวก ลบ คูณ หาร เศษสวํ น ตอนท่ี 1 https://www.youtube.com/watch?v=RoHOdp8_h0s ความยาวคลปิ 07.59 นาที 5. ทบทวนเตรียมสอบการบวก ลบ คูณ หาร เศษสํวน ตอนที่ 2 https://www.youtube.com/watch?v=n8yZabO4VSM ความยาวคลิป 6.49 นาที 6. การคณู เศษสํวน https://www.youtube.com/watch?v=N6waSzvEvwo ความยาวคลิป 3.44 นาที 7. การหารเศษสวํ น https://www.youtube.com/watch?v=n8yZabO4VSM ความยาวคลิป 5.14 นาที 8. PowerPoint สําหรับครู เรือ่ ง “สมบัตขิ องจํานวนเตม็ และการนําไปใช๎” 9. บทสรปุ ประกอบ PowerPoint สําหรบั ครู เร่ือง การสรุปผลการเรยี นรู๎ “สมบตั ขิ อง จํานวนเตม็ และการนาํ ไปใช๎” 10. แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง “สมบตั ิของจาํ นวนเตม็ และการนาํ ไปใช๎” 11. แบบทดสอบหลังเรียน เรือ่ ง “การบวก ลบ คูณ หารเศษสํวนและทศนิยม” 12. แบบประเมินความพึงพอใจสําหรบั ผเ๎ู รยี นในการเข๎ารวํ มกจิ กรรมการเรียนรู๎ เรือ่ ง“การบวก ลบ คูณ หารเศษสวํ นและทศนิยม”
93 แบบทดสอบกํอนเรียน เรอ่ื ง จาํ นวนและการดําเนนิ การ คําชแี้ จง แบบทดสอบกอํ นเรยี น มีจาํ นวนทง้ั หมด 5 ข๎อ ตอนที่ 1 แบบปรนัย จาํ นวน 5 ข๎อ คําสงั่ จงทําเคร่อื งหมายกากบาท (X) หน๎าข๎อทถี่ ูกต๎องที่สุด เพียงขอ๎ เดยี ว
94 เฉลยแบบทดสอบกํอนเรยี น 1. ก 2. ค 3. ก 4. ง 5. ข
95 จํานวนและการดําเนินการ เรอ่ื งที่ 1 จํานวนเตม็ บวก จาํ นวนเตม็ ลบ และเต็มศูนย๑ จํานวนเต็มประกอบดว๎ ยจาํ นวนเต็มบวก จํานวนเต็มลบ และจาํ นวนเตม็ ศนู ย๑ จํานวนเตม็ บวก คือ จํานวนนบั เป็นจาํ นวนชนดิ แรกทเี่ รารจู๎ กั มคี ํามากกวาํ ศนู ย๑ จํานวนนบั จาํ นวนแรกคอื 1 จํานวนทีอ่ ยถูํ ัดไปจะเพ่มิ ขึน้ ทลี ะ 1 เสมอ สามารถเขียนเรยี งลําดับไดด๎ งั น้ี 1,2,3,……..ไปเร่อื ยๆ จํานวนนับเหลํานี้อาจเรียกได๎วํา “จํานวนเต็มบวก” จาํ นวนเตม็ ศูนย๑ มีจาํ นวนเดยี ว คอื ศูนย๑ (0) สาํ หรบั 0 ไมํเปน็ จาํ นวนนับ เพราะจะไมกํ ลําววาํ มีจํานวนผเู๎ รียนจํานวน 0 คน แตํศูนยก๑ ไ็ มไํ ด๎ หมายความวาํ ไมมํ เี สมอไป จาํ นวนเต็มลบ หมายถงึ จาํ นวนทตี่ รงข๎ามกับจาํ นวนเตม็ บวก มคี ํานอ๎ ยกวําศูนย๑ (0) มคี าํ ลดลงเรื่อยๆไมํมีทสี่ ้นิ สุด เชํน -1,-2,-3,….. ถา๎ นําจํานวน0 จํานวนเต็มบวก จาํ นวนเต็มลบ มาเขียนแสดงดว๎ ยเสน๎ จํานวนได๎ ดงั น้ี -3 -2 -1 0 1 2 3 เร่ืองท่ี 2 การเปรียบเทยี บจํานวนเตม็ จํานวนเต็ม 2 จํานวน เมือ่ นาํ มาเปรยี บเทียบกันจะได๎วํา จาํ นวนหนง่ึ ทมี่ ากกวําจาํ นวนหนึ่ง หรือจํานวนหน่ึงทีน่ ๎อยกวําอกี จาํ นวนหนง่ึ หรอื จํานวนท้งั สองจาํ นวนเทํากัน เพยี งอยํางใดอยาํ งหน่งึ เทาํ นน้ั ถา๎ a,b,cเปน็ จํานวนธรรมชาติใดๆ แล๎ว a-b = c แล๎ว aมากกวํา b a-b = -c แลว๎ bมากกวํา a หรอื a น๎อยกวํา b a -b = o แล๎ว a เทํากบั b เครอ่ื งหมายท่ีใช๎ >แทนมากกวาํ <แทนน๎อยกวํา = แทนเทาํ กบั หรือเทํากัน 2.1 จํานวนตรงข๎ามของจาํ นวนเตม็ สรปุ ไดว๎ าํ สาํ หรบั จาํ นวนเตม็ a ใด ๆจาํ นวนตรงขา๎ มของ a คือ -a และจาํ นวนตรงขา๎ มของ -a คอื -α เนอ่ื งจากจํานวนตรงขา๎ มของ (-a) เขยี นแทนดว๎ ย -(-a) ดังนัน้ -(-a) = a เชนํ จาํ นวนตรงขา๎ มของ (-3) เขยี นแทนดว๎ ย -(-3) คอื 3
96 2.2 คาํ สมบรู ณ๑ของจาํ นวนเตม็ สญั ลักษณข๑ องคาํ สมบรู ณ๑ ไดแ๎ กํ ‖ ขอ๎ สังเกต เม่ือ a แทนจาํ นวนใดๆ A เมื่อ a> 0 Lal = 0 เมอื่ a =0 -a เม่อื a < 0 ซึง่ สรุปได๎วาํ คาํ สมบูรณข๑ องจํานวนใดๆ เทํากบั ระยะทางทจ่ี ํานวนนน้ั อยํหู ํางจาก 0 บนเสน๎ จํานวน เร่อื งท่ี3การบวกการลบการคูณและการหารจํานวนเตม็ 3.1 การบวกจํานวนเตม็ 1) การบวกจาํ นวนเตม็ บวกด๎วยจํานวนเตม็ บวกหาผลบวกดว๎ ยการนาํ คําสัมบูรณม๑ า บวกกนั และตอบเป็นจํานวนเต็มบวกเชํน 2+3=5 2) การบวกจาํ นวนเ ตม็ ลบด๎วยจาํ นวนเต็มลบหาผลบวกดว๎ ยการนาํ คําสมั บรู ณม๑ า บวกกันแลว๎ ตอบเปน็ จํานวนเต็มลบ เชํน (-2) + (-3) = (-5) 3) การบวกจํานวนเต็มบวกดว๎ ยจํานวนเต็มลบ 3.1กรณที ี่จาํ นวนเต็มบวกมคี าํ สมบรู ณ๑มากกวําหาผลบวกด๎วยการนําคํา สัมบรู ณ๑มาลบกนั และผลลัพธเ๑ ปน็ จํานวนเต็มบวก เชนํ 12 + (-8) = 4 3.2 กรณีจํานวนเตม็ ลบมคี าํ สัมบูรณ๑มากกวาํ หาผลบวกด๎วยการนําคาํ สมั บรู ณม๑ าลบกันแล๎วผลลพั ธ๑เป็นจํานวนเต็มลบ เชนํ 3 + (-10) = -7 4) การบวกจํานวนเตม็ ลบดว๎ ยจํานวนเต็มบวก 4.1 กรณที ี่จํานวนเตม็ บวกมีคาํ สมั บรู ณม๑ ากกวาํ หาผลบวกดว๎ ยการนาํ คํา สมั บรู ณ๑มาลบกันและผลลพั ธเ๑ ป็นจํานวนเต็มบวก เชํน (-3) + 5 = 2 4.2 กรณีจาํ นวนเตม็ ลบมคี าํ สมั บูรณ๑มากกวาํ หาผลบวกดว๎ ยการนําคาํ สมั บรู ณม๑ าลบกันแลว๎ ผลลพั ธ๑เป็นจํานวนเตม็ ลบ เชนํ (-5) + 3 = -2 3.2 การลบจาํ นวนลบ ดังน้ี ตวั ตั้ง – ตัวลบ = ตวั ต้งั + จํานวนตรงขา๎ มของตัวลบ น่นั คอื เมื่อ a และ b แทนจาํ นวนใด ๆ a – b = a + จาํ นวนตรงขา๎ มของ b หรอื a – b = a + (-b) 3.3 การคูณจาํ นวนเต็ม 1)การคูณจํานวนเต็มบวกดว๎ ยจาํ นวนเตม็ บวก เชนํ 3x5 = 5+5+5 = 15 7x4 = 4+4+4+4+4+4+4 = 28
97 การคณู จํานวนเตม็ บวกด๎วยจํานวนเตม็ บวกน้ันได๎คาํ ตอบเป็นจาํ นวนเต็มบวก 2) การคณู จาํ นวนเตม็ บวกด๎วยจํานวนเตม็ ลบ เชนํ 3x(-8) = (-8) + (-8) + (-8) = -24 2x(-7) = (-7) +(-7) = -14 การคณู จาํ นวนเต็มบวกด๎วยจาํ นวนเต็มลบ ได๎คําตอบเปน็ จาํ นวนเตม็ ลบ 3) การคณู จํานวนเต็มลบด๎วยจาํ นวนเตม็ บวก เชํน (-7) x 4 = 4 x (-7) = (-7) + (-7) + (-7) + (-7) = -28 การคณู จาํ นวนเตม็ ลบดว๎ ยจาํ นวนเตม็ บวก ได๎คาํ ตอบเป็นจาํ นวนเต็ม ลบ 4) การคณู จํานวนเต็มลบดว๎ ยจาํ นวนเต็มลบ เชนํ (-3) x (-5) = 15 (-11) x (-20) = 220 การคูณจาํ นวนเตม็ ลบด๎วยจาํ นวนเต็มลบ ไดค๎ าํ ตอบเปน็ จํานวนเตม็ บวก 3.4 การหารจาํ นวนเต็ม การหารจาํ นวนเต็ ม เม่ือ a,bและ c แทนจาํ นวนเตม็ ใด ๆ ท่ี b ไมํเทาํ กับ 0 จะหา ผลหารได๎โดยอาศยั การคณู ตัวต้ัง ÷ ตัวหาร = ผลลัพธ๑ มีความหมายเดยี วกบั ผลลพั ธ๑ × ตัวหาร = ตวั ตั้ง ถา๎ a ÷ b = c แลว๎ a = b x c การหาผลหาร จะต๎องหาจํานวนทีค่ ณู กับ 5 แล๎วได๎ -25 ดงั นั้น การหาผลหาร จะตอ๎ งหาจาํ นวนท่ีคูณกับ -5 แลว๎ ได๎ 25 ดังนนั้ จากการหาผลหารขา๎ งตน๎ จะเห็นไดว๎ ํา ถา๎ ท้ังตวั ตั้งหรอื ตัวหารตัวใดตัวหน่งึ เป็นจํานวนเต็มลบโดยทอี่ ีกตวั หนงึ่ เปน็ จํานวนเตม็ บวก คําตอบเปน็ จาํ นวนเต็มลบ ท่ีมคี ําสัมบรู ณ๑เทาํ กับผลหารของคําสมั บูรณ๑ของสองจํานวนน้นั การหาผลหาร จะต๎องหาจํานวนท่คี ณู กบั -5 แลว๎ ได๎ -25 ดงั นนั้ การหาผลหาร จะต๎องหาจํานวนทีค่ ูณกับ 5 แลว๎ ได๎ 25 ดังนนั้ จากการหาผลหารข๎างต๎นจะเหน็ ไดว๎ ํา
98 ถ๎าทั้งตัวตัง้ หรอื ตวั หาร เปน็ จาํ นวนเต็มบวกทงั้ คํูหรือจํานวนเต็มลบทง้ั คํู คาํ ตอบเป็น จํานวนจรงิ เต็มบวก ที่มีคาํ สัมบรู ณเ๑ ทํากับผลหารของคําสมั บรู ณข๑ องสองจํานวนนัน้ เร่อื งท่ี 4 สมบตั ิของจาํ นวนเตม็ และการนาํ ไปใช๎ 4.1 สมบตั เิ กยี่ วกับการบวกและการคูณจาํ นวนเตม็ 1) สมบัติการสลับท่ี ถา๎ a และ b แทนจํานวนเตม็ ใดๆ a+b=b+a (สมบตั กิ ารสลบั ที่การบวก) axb=bxa (สมบัตกิ ารสลบั ทก่ี ารคณู ) 2) สมบัติการเปล่ยี นหมํู ถา๎ a และ b แทนจํานวนเต็มใดๆ (a+b) + c = a+(b+c) (สมบตั กิ ารเปล่ยี นหมกํู ารบวก) (axb) x c = ax(bxc) (สมบตั กิ ารเปลีย่ นหมูํการคณู ) 3) สมบตั กิ ารแจกแจง ถา๎ a และ b แทนจาํ นวนเต็มใดๆ a x(b + c) = ab + ac และ(b+c) x a = ba + ca 4.2 สมบตั ิของหน่ึงและศูนย๑ 1) สมบัติของหน่งึ 1. ถา๎ a แทนจํานวนใด ๆ แล๎ว a x 1 = 1 x a = a 2. ถ๎า a แทนจาํ นวนใดๆ แล๎ว =a 2) สมบตั ิของศนู ย๑ 1. ถา๎ a แทนจาํ นวนใด ๆ แลว๎ a+0 = 0 + a = a 2. ถ๎า a แทนจาํ นวนใด ๆ แล๎ว ax0 = 0 x a = 0 3. ถ๎า a แทนจํานวนใด ๆ ที่ไมใํ ชํ 0 แลว๎ =0(เราไมํใช๎ 0 เป็นตวั หาร ถ๎า a แทนจาํ นวนใดๆ แล๎ว ไมํมคี วามหมายทางคณิตศาสตร๑) 4. ถ๎า a และ b แทนจํานวนใด ๆ และ axb = 0 แลว๎ จะได๎ a=0 หรือ b=0
99 แบบทดสอบท๎ายบท เรอ่ื ง จาํ นวนและการดําเนินการ คําส่ัง จงเลอื กคําตอบทีถ่ กู ต๎องทีส่ ดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว 1. จาํ นวนในข๎อใดมคี ํามากทส่ี ุด ก. ข. ค. ง. 2. ขอ๎ ใดไมํเป็นจรงิ ข. [(-ค + (-ข] + 5 = (-ค + [(-ข + 5] ก. 4 x [(-ค x (-ก] = (-ก x [4 x (-ค] ง. (-ก x [(-ข + 6] = [(-ก x (-ข] + [(-ก x 6] ค. 5 + [(-7) x 2] = 5 x [(-7) + 2] 3. ข๎อใดถกู ตอ๎ ง ก. -4 < -5 ข. 4 > 5 ค. 6 < 7 ง. -7 > 6 ค. x 32 ง. x -32 2− x 4. ถา๎ 6 - 5 จะไดค๎ าํ ของ x ตรงกับข๎อใด ก. x 32 ข. x -32 5. ถ๎า 2x > 0 จะไดข๎ ๎อใดไมํถกู ตอ๎ ง ก. x > 2 1 ค. x = 0 ง. x < 0 ข. x > 2 เฉลยแบบทดสอบกํอนเรยี น 1. ง 2. ค 3. ค 4. ก 5. ง
100 ใบความร๎สู ําหรบั ครู เรอื่ ง เศษสํวนและทศนยิ ม เร่อื งท่ี 1 ความหมายของเศษสํวนและทศนยิ ม 1.1 เศษสวํ น หมายถงึ สวํ นตําง ๆ ของจํานวนเตม็ ทถี่ กู แบํงออกเปน็ สวํ นละเทํา ๆ กนั การนําเสนอจาํ นวนทสี่ ามารถเขียนไดใ๎ นรปู a เมื่อ a, b เป็นจํานวนเตม็ โดยที่ b 0 b เรียกจํานวนน้ีวาํ เศษสํวน เศษสวํ นท่ีเปน็ จาํ นวนบวก ตวั อยาํ งที่ 1ถา๎ เราแบํงระยะ 1 หนวํ ย บนเสน๎ จาํ นวนทางขวามอื ของ 0 ออกเป็น 6 สํวนเทาํ ๆ กนั ดังรปู จุด A, B, C, D และ E แทนจาํ นวนใด AB C DE -1 0 1 วิธที าํ จากความร๎เู ดิมของนกั เรียน จะไดว๎ ํา (1) จํานวนที่แทนดว๎ ยจดุ A, B, C, D และ E เปน็ จํานวนบวก เพราะอยูํทางขวามอื ของ 0 จงึ มคี ํามากกวาํ 0 (2) จาํ นวนที่แทนดว๎ ยจุด A, B, C, D และ E จะไมํเปน็ จํานวนเต็ม แตํเปน็ เศษสวํ นท่มี คี าํ ระหวําง 0 และ 1 ได๎แกํ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 66666 ตวั อยํางที่ 2 จากรูป จดุ F, G, H, I และ J แทนจาํ นวนใด F G HI J -1 0 1 2 วิธที ําจะได๎วาํ จุด F แทนจาํ นวน 1 3 จุด G แทนจํานวน 2 3 จุด H แทนจาํ นวน 11 4 จุด I แทนจํานวน 12 4 จดุ J แทนจํานวน 13 4
101 เศษสวํ นทีเ่ ปน็ จํานวนลบ เชํนเดียวกับเศษสํวนทเี่ ป็นจํานวนบวก เราสามารถหาตําแหนํงของจุดบนเสน๎ จาํ นวนทแ่ี ทน จํานวนที่เป็นเศษสํวนจาํ นวนลบได๎ ตัวอยาํ งท่ี 3 ถา๎ เราแบงํ ระยะ 1 หนวํ ย บนเส๎นจํานวนทางซา๎ ยมอื ของ 0 ออกเป็น 6 สวํ น เทาํ ๆ กนั ดงั รูป จุด K, L, M, N และ O แทนจํานวนใด ON MLK -1 0 1 วิธที ําจะได๎วํา จดุ K แทนจาํ นวน 1 จดุ L แทนจาํ นวน 6 จดุ M แทนจาํ นวน จดุ N แทนจาํ นวน 2 จดุ O แทนจาํ นวน 6 3 6 4 6 5 6 จาํ นวนตรงขา๎ มของเศษสวํ น ตัวอยํางที่4พจิ ารณาเสน๎ จาํ นวนตอํ ไปนี้ -2 - 5 - 4 -1 - 2 -31 0 12 1 4 5 2 3 3 3 33 3 3 จากรปู เชํน 2 และ 2 อยํคู นละขา๎ งของ 0 และหํางจาก 0 เป็นระยะทางเทํากนั 33 จงึ กลําววํา 2 เป็นจาํ นวนตรงขา๎ มของ 2 หรอื 2 เปน็ จาํ นวนตรงข๎ามของ 2 3 33 3 4 และ 4 อยคํู นละข๎างของ 0 และหาํ งจาก 0 เป็นระยะทางเทํากนั 33 จึงกลาํ ววํา 4 เปน็ จาํ นวนตรงขา๎ มของ 4 หรอื 4 เปน็ จํานวนตรงข๎ามของ 4 3 33 3 โดยทั่วไปจะกลาํ วไดว๎ าํ ถ๎า a เป็นจาํ นวนใดๆแลว๎ จาํ นวนตรงขา๎ มของ a มเี พยี งจาํ นวนเดยี วซ่งึ เขยี นแทนด๎วย - a
102 1.2 ทศนิยม ทศนิยม คือ จาํ นวนท่ีอยํูในรปู ทศนิยมประกอบด๎ วยสองสวนคือ สวนที่เป็นจาํ นวน เต็ม และสวนทเ่ี ป็นทศนิยม และมีจดุ (.) ค่นั ระหวํางจํานวนเต็มกบั สวนทีเ่ ป็นทศนิยม ทศนยิ มแบงได๎เป็น 2 ชนิด คอื 1. ทศนิยมแบบไมํซ้าํ เชน 1.5 , 2.35, 3.14, ... 2. ทศนยิ มซ้าํ แบงเป็น 2.1 ทศนยิ มซํ้าศนู ย๑ เชน 1.5000 … เขยี นแทนด๎วย 1.5 0.0030000 … เขียนแทนดว๎ ย 0.003 ถาตัวซํ้าเป็น 0 ไมนํ ิยมเขียน 2.2 ทศนิยมทต่ี วั ซ้ําไมํเปน็ ศนู ย๑ เชน 0.3333… เขียนแทนดว๎ ย 0.33 อาํ นวาํ ศนู ย๑จดุ สามสามซํา้ 1.414141... เขียนแทนด๎วย 1.4141 อํานวาํ หน่ึงจดุ สหี่ นึ่งส่ีหนึ่งซํา้ 0.213213213... เขยี นแทนด๎วย 0.2132 อาํ นวํา ศนู ย๑จดุ สองหน่งึ สาม สองหนึง่ สามซาํ้ 2.10371037... เขยี นแทนดว๎ ย 2.10371037 อาํ นวําสองจดุ หน่ึงศนู ย๑ สามเจด็ หนึง่ ศูนย๑ สามเจ็ดซ้าํ เรอื่ งท่ี 2 การเขยี นเศษสวนดว๎ ยทศนยิ ม และการเขยี นทศนิยมซํ้าเปน็ เศษสวน 2.1 การเขยี นเศษสวนดว๎ ยทศนยิ ม เศษสวนและทศนยิ มอาจเปลี่ยนรปู กนั ได๎ หมายความว า เศษสวนสามารถเขยี นใน รปู ของ ทศนิยมได๎ และทศนยิ มสามารถเขียนในรูปของเศษสวนไดเ๎ ชนเดียวกนั 1. ทําสวนใหเป็น 10 , 100 , 1,000,… เชน 0.2 = 0.25 = [ ]+[ ] =+ = หมายเหตุ เศษสวนที่เปน็ ลบเมือ่ เขยี นใหอยใูํ นรูปทศนยิ มจะได๎ทศนยิ มที่เปน็ ลบ = - 0.7, = - 0.039 2.2 การเขยี นทศนิยมซํ้าเปน็ เศษสวน ทศนิยมซํ้า คือ จํานวนเต็มของทศนิยมทีซ่ ้ํา ๆ กัน เชน 0.777... เขียนแทนด๎วย เมื่อจะเขียนใหเปน็ เศษสวน
103 เรือ่ งที่ 3 การเปรียบเทยี บเศษสวนและทศนยิ ม 3.1 การเปรยี บเทียบเศษสวน เศษสวนท่เี ทากัน การหาเศษสวนท่เี ทากัน ใชจํานวนที่ไมเํ ทากบั ศูนย๑มาคณู หรอื หารทงั้ ตวั เศษและตวั สวน เชนํ = = = = เปน็ เศษสวนที่เทากัน == เศษสวนทไ่ี มํเทากัน การเปรียบเทียบเศษสวนที่ไมํเทากนั ตองทาํ สวนใหเทากนั โดยนํา ค.ร.น. ของตวั สวนของ เศษสวนทตี่ องการเปรยี บเทียบกัน คณู ท้ังตวั เศษและตัวสวน เมื่อตัวสวนเทากนั แลวใหนาํ ตวั เศษมา เปรยี บเทียบกัน เชํน มากกวําหรอื นอ๎ ยกวาํ ค.ร.น. ของ 5 และ 10 คือ 10 == จะเหน็ วา 8 >7 ดงั นัน้ > หรอื > 3.2 เปรยี บเทียบทศนยิ ม การเปรยี บเทียบทศนิยมทเี่ ป็นบวก ให พจิ ารณาเลขโดดจากซา๎ ยไปขวา ถ าเลขโดดตวั ใดมีคา มากกวาทศนยิ มจํานวนนัน้ จะมีคามากกวา เชน 38.586 กบั 38.498 ทศนยิ มในตําแหนงที่ 1ของทั้ง 2 จาํ นวนมเี ลขโดดคือ 5 และ 4 ตามลําดบั จะเหน็ ไดว๎ า 5 มากกวา 4 ดงั นน้ั 38.586 มากกวา38.498 การเปรียบเทียบทศนยิ มทีเ่ ปน็ ลบ เชน -0.7 กับ -0.8 คําสัมบูรณข๑ อง -0.7 เทากับ 0.7 คําสมั บูรณ๑ของ -0.8 เทากบั 0.8 จาํ นวนทมี่ คี ําสัมบรู ณ๑นอยกวาจะเปน็ จํานวนทมี่ ีคามากกวา ดังนนั้ - 0.7 มากกวา - 0.8 เร่อื งที่ 4 การบวก ลบ คูณ หารเศษสวนและทศนยิ ม 4.1 การบวกเศษสวน วิธกี ารหาผลบวกของเศษสวน สามารถทาํ ได๎ดังน้ี 1) หา ค.ร.น.ของตวั สวน 2) ทําเศษสวนแตํละจาํ นวนใหมตี ัวสวนเทากับค.ร.น.ทห่ี าไดจ๎ ากขอ 1 3) บวกตัวเศษเขาดว๎ ยกนั โดยท่ีตวั สวนยงั คงเทาเดมิ
104 4.2 การลบเศษสวน การลบเศษสวน ใชหลักการเดียวกนั กับการลบจํานวนเต็มคือ ตวั ต้งั - ตวั ลบ = ตัวต้งั + จาํ นวนตรงข๎ามของตัวลบ 4.3 การคูณเศษสวน ผลคูณของเศษสวนสองจาํ นวน คือ เศษสวนซ่งึ มีตัวเศษเทากับผลคูณของตัวเศษสอง จาํ นวนและ ตวั สวนเทากับผลคูณของตวั สวนสองจํานวนนั้น เมื่อ และ เป็นเศษสวน ซึง่ b , d ≠ 0 ผลคณู ของ และ หาไดจ๎ ากกฎ x = 4.4 การหารเศษสวน การหารจํานวนที่เป็นเศษสวนไมํมีสมบัตกิ ารสลับทีแ่ ละสมบัติการจัดหมู เมือ่ และ แทนเศษสวนใดๆ และ พิจารณาผลหารท่ีเกดิ จากการหาร ด๎วย ดังนี้ =x=x=x += x 1 ดงั นั้น ÷ = x 4.5 การนาํ ความรูเรือ่ งเศษสวนไปใชในการแกโจทยปญหา โจทยปญหาเศษสวน การทาํ โจทยปญหาเศษสวน ควรกาํ หนดจาํ นวนท้ังหมดเป็น 1 หนํวย แลวดําเนินการ ตามโจทย เชน นกั เรยี นหองหนึ่ง เป็นชาย ของจาํ นวนนกั เรียนในหอง ดงั นนั้ หองนเี้ ปน็ นักเรียนหญงิ 1 - = ของจํานวนนักเรียนในหอง ตวั อยาํ งที่ 1 ถังใบหนง่ึ จนุ า้ํ 140 ลิตร มนี าํ้ อยํู ถัง หลงั จากใชนํ้าไปจาํ นวนหนึ่งจะเหลือนํ้า อยํู ถงั จงหาวาใชนํา้ ไปเทําไหร
105 วิธีทํา มนี ํ้าในถัง 140 = 105ลติ ร หลังจากใชนาํ้ เหลือน้าํ ในถัง 140= 70 ลติ ร ดงั นนั้ ใชนา้ํ ไปจาํ นวน 105–70 = 35ลติ ร 4.6 การบวก และการลบทศนิยม การหาผลบวกของทศนยิ มใดๆ จะใชหลกั เกณฑดงั น้ี 1. การหาผลบวกระหวาํ งทศนิยมท่เี ป็นบวก ใหนําคาํ สัมบรู ณม๑ าบวกกนั แล๎วตอบเปน็ จํานวนบวก 2. การหาผลบวกระหวํางทศนิยมท่เี ป็นลบ ใหนําคาํ สมั บรู ณ๑มาบวกกนั แล๎วตอบเป็นจาํ นวนลบ 3. การหาผลบวกระหวาํ งทศนิยมท่ีเป็นบวกกบั ทศนยิ มทีเ่ ปน็ ลบ ให นําคําสัมบรู ณม๑ าลบกันแล ว ตอบเปน็ จาํ นวนบวกหรอื จํานวนลบตามจาํ นวนท่มี คี ําสัมบูรณ๑มากกว าการหาผลลบของทศนยิ มใด ๆ ใชขอตกลงเดยี วกันกับทีใ่ ชในการหาผลลบของจํานวนเตม็ คือ ตวั ตง้ั - ตัวลบ = ตวั ตั้ง + จํานวนตรงข๎ามของตัวลบ สรุป การบวกและการลบทศนิยม จะตองตง้ั ใหจดุ ทศนิยมตรงกันกอน แลว๎ จึงบวกลบ จาํ นวน ในแตํละหลัก ถ าจํานวนตาํ แหนํงทศนิยมไมํ เทากนั นยิ มเติมศูนย๑ ข๎างท๎ายเพ่ือให จาํ นวนตํา แหนํง ทศนยิ มเทากนั 4.7 การคณู ทศนิยม การคณู ทศนิยม มหี ลักเกณฑดงั นี้ 1. การหาผลคูณระหวํางทศนยิ มที่เปน็ บวก ใหนาํ คําสัมบรู ณ๑มาคูณกนั แล๎วตอบเป็นจาํ นวนบวก 2. การหาผลคูณระหวาํ งทศนิยมทเ่ี ป็นลบ ใหนําคาํ สมั บูรณม๑ าคูณกนั แล๎วตอบเป็นจํานวนบวก 3. การหาผลคูณระหวาํ งทศนิยมที่เป็นบวกกับทศนิยมทเ่ี ป็นลบ ใหนําคาํ สัมบูรณ๑มาคูณกนั แลว ตอบเป็นจาํ นวนลบ หมายเหตุ ผลคณู ทศนิยม จะมีจํานวนหลกั ทศนยิ มเท ากบั ผลบวกของจํานวนหลกั ทศนยิ ม ของตวั ต้งั และจาํ นวนหลกั ทศนิยมของตวั คูณ 4.8 การหารทศนิยม การหารทศนิยม มหี ลกั เกณฑดังนี้ 1. การหาผลหารระหวาํ งทศนยิ มที่เป็นบวก ใหนาํ คําสมั บรู ณม๑ าหารกนั แล๎วตอบเปน็ จํานวนบวก 2. การหาผลหารระหวํางทศนยิ มทเี่ ปน็ ลบ ใหนาํ คาํ สัมบูรณม๑ าหารกันแล๎วตอบเป็นจํานวนบวก 3. การหาผลหารระหวํางทศนิยมท่ีเป็นบวกกับทศนยิ มที่เปน็ ลบ ใหนําคาํ สมั บูรณ๑มาหารกนั แลว ตอบเปน็ จาํ นวนลบ ขอสําคัญตอ๎ งทําใหตัวหารเปน็ จาํ นวนเต็ม
106 4.9 การนําความรูเรื่องทศนิยมไปใชในการแกโจทยปญหา ตวั อยํางที่ 1 เหล็กเสนกลมขนาดเสนผํานศนู ย๑กลาง 1.75 เซนตเิ มตร ยาว 1 เมตร จะหนัก 3.862 กิโลกรัม ถาเหลก็ เสนขนาดเดียวกันนยี้ าว 1.25 เมตร จะหนกั กก่ี ิโลกรัม วิธที าํ เหลก็ เสนกลมมขี นาดเสนผํานศูนย๑กลาง 1.75 เซนตเิ มตร และยาว 100 เซนตเิ มตร หนกั 3.862 กโิ ลกรมั ถายาว 1 เซนติเมตร หนัก = 0.03862กโิ ลกรัม ดงั นน้ั เหล็กเสนขนาดเดมิ แตยํ าว 125 เซนติเมตร หนัก 0.03862125 = 4.8275กโิ ลกรมั เหลก็ เสนขนาดเดิมยาว 1.25 เมตร หนัก 4.8275 กิโลกรมั
107 แบบทดสอบทา๎ ยบท เร่อื ง เศษสวํ นและทศนิยม คาํ สง่ั จงเลือกคําตอบทถ่ี กู ต๎องทสี่ ดุ เพียงคําตอบเดียว 1. พิจารณา ข๎อใดตํอไปน้ีผิด ข. 5 เป็นเศษ 2 เปน็ สวํ น ก. 2 เป็นเศษ 5 เป็นสํวน ง. เป็นเศษสํวนอยาํ งตํ่า ค. 2 เป็นตวั ต้ัง 5 เปน็ ตัวหาร 2. ขอ๎ ใดเป็นเศษสวํ นแท๎ ก. ข. ง. ค. 3. ขอ๎ ใดเปน็ เศษสํวนเกนิ ก. ข. ง. ค. 4. เศษสํวนในข๎อใดมคี าํ เทํากัน ก. ข. ค. ง. 5. มผี ลลัพธ๑คือขอ๎ ใด ข. 1 ก. ง. ค.
108 6. ข. ก. ง. ค. ข. 7. 0.3 = ? ง. ก. ข. 18.95 ค. ง. 31.95 8. ผลบวกของ 10.9 + 21.05 ตรงกับขอ๎ ใด ข. -0.17 ก. 21.95 ง. -1.77 ค. 11.55 ข. 1.755 9. ผลบวกของ ( - 0.37 )+ ( -1.4 ) ตรงกบั ขอ๎ ใด ง. 2.710 ก. -1.47 ค. 1.77 10. ผลบวกของ 2.5 + ( - 0.735 ) ตรงกับขอ๎ ใด ก. 0.755 ค. 1.765 เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น 1. ข 2. ค 3. ก 4. ก 5. ข 6. ก 7. ค 8. ง 9. ง 10. ข
109 วิธกี ารวัดผลประเมนิ ผล/เคร่ืองมอื /เกณฑ๑การประเมนิ วธิ กี าร เครื่องมือ เกณฑ๑การประเมิน สงั เกตพฤตกิ รรมรายกลํุม แบบสังเกตพฤตกิ รรม ผาํ นการประเมินระดับดีขึ้นไป รายกลํมุ ทดสอบหลงั เรยี น แบบทดสอบหลังเรยี น ผํานการประเมินรอ๎ ยละ 70 ขึน้ ไป ประเมินผลงาน/ชิ้นงาน แบบประเมินผลงาน/ ผํานการประเมินรอ๎ ยละ 70 ขึน้ ไป ชิน้ งาน สอบถามความพึงพอใจ แบบสอบถามความ ผาํ นการประเมนิ ระดับดขี น้ึ ไป พึงพอใจ เกณฑ๑การประเมินช้นิ งาน/ภาระงาน ระดบั คะแนน รายการ 4 32 1 ประเมนิ 1. ความถูกตอ๎ ง มีความถูกต๎อง ผลงานสํวนใหญํ ผลงาน ผลงาน ชัดเจนสมบูรณ๑ ถูกตอ๎ งครบถ๎วน มีความถกู ตอ๎ งเปน็ มีความถูกตอ๎ ง 2. ความสะอาด ครบถ๎วน บางสวํ น เปน็ สํวนใหญํ เรียบร๎อย ผลงานสะอาด ผลงานสะอาด ผลงาน ผลงาน สวยงาม เรียบร๎อย สวยงาม เรียบรอ๎ ย บางสํวน สํวนใหญํ ไมํมรี อยขดี ลบ มีรอยขดี ลบนอ๎ ย ไมํสะอาด ไมสํ ะอาด 3.ตรงตํอเวลา ไมํเรยี บรอ๎ ย ไมํเรียบร๎อย สํงงานตรงเวลา สํงงานชา๎ กอํ น สงํ งานชา๎ กอํ น สงํ งานช๎า 4.การเชอ่ื มโยง ท่กี าํ หนด หมดเวลา 10 หมดเวลา 5 นาที ตอ๎ งมกี าร และความคดิ นาที เรงํ และทวง สร๎างสรรค๑ คิดแปลกใหมํ คิดแปลกใหมํ คดิ แปลกใหมํ คดิ แปลกใหมํ เชื่อมโยงสมั พนั ธ๑ เชื่อมโยงสัมพันธ๑ เชือ่ มโยงสัมพนั ธ๑ เชื่อมโยงสัมพนั ธ๑ ส่งิ ตาํ ง ๆ ได๎ สิง่ ตาํ ง ๆ ได๎ สิ่งตาํ ง ๆ ได๎ สงิ่ ตาํ ง ๆ ได๎ อยาํ งถกู ตอ๎ ง อยาํ งถกู ต๎อง อยํางถูกต๎อง อยํางถกู ตอ๎ ง เป็นสํวนใหญํ เปน็ บางสวํ น เป็นสํวนนอ๎ ย
110 แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรข๎ู องผูเ๎ รยี น ชอ่ื โครงการ/กจิ กรรม........................................................................................................................ ชื่อโรงเรียน/สถานศึกษา …………………………………………………………………………………………………….. ช่อื หัวหนา๎ โครงการ/กิจกรรม............................................................................................................. คําชีแ้ จง ใหผ๎ ปู๎ ระเมินทําเครือ่ งหมาย ถูก () ลงในชอํ งระดบั พฤตกิ รรมของผ๎ูเรยี น โดยมเี กณฑ๑ ระดบั คณุ ภาพการประเมินดงั นี้ 5 มีพฤตกิ รรมการเรียนรู๎ มากทส่ี ุด 4 มพี ฤติกรรมการเรียนร๎ู มาก 3 มีพฤตกิ รรมการเรียนรู๎ ปานกลาง 2 มีพฤติกรรมการเรียนร๎ู นอ๎ ย 1 มพี ฤตกิ รรมการเรยี นรู๎ นอ๎ ยทส่ี ดุ เกณฑก๑ ารพจิ ารณาระดบั คณุ ภาพ คะแนนเฉลย่ี รอ๎ ยละ 0 - 50 ระดบั คณุ ภาพ ปรบั ปรุง คะแนนเฉลี่ยร๎อยละ 50 - 69 ระดับคณุ ภาพ พอใช๎ คะแนนเฉลี่ยรอ๎ ยละ 70 – 79 ระดับคณุ ภาพ ดี คะแนนเฉลย่ี ร๎อยละ 80 – 89 ระดับคุณภาพ ดมี าก คะแนนเฉลีย่ ร๎อยละ 90 - 100 ระดับคณุ ภาพ ดเี ยี่ยม พฤตกิ รรมการเรียนรู๎ ระดับพฤติกรรม 54321 1. ความต้งั ใจในการทํางาน 2. ความรบั ผิดชอบ 3. ความกระตอื รือร๎น 4. การตรงตํอเวลา 5. ผลสาํ เร็จของงาน 6. การทํางานรวํ มกบั ผู๎อน่ื 7. มีความคดิ ริเรม่ิ สร๎างสรรค๑ 8. มกี ารวางแผนในการทํางาน 9. การมีสวํ นรํวมในการแสดงความคิดเหน็ ในกลมุํ 10. การมีสวํ นรวํ มในการแกไ๎ ขปัญหาในกลํุม ลงช่อื .....................................................................ผ. ปู๎ ระเมิน ............../............................../.....................
111 แผนการจัดการเรียนรท๎ู ่ี 4 เรอื่ ง ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร๑กายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชยี เวลาเรียน 6 ชัว่ โมง แนวคิด ภมู ิศาสตรก๑ ายภาพ คือวชิ าท่ีเกยี่ วขอ๎ งกับลกั ษณะการเปล่ยี นแปลงของสิ่งแวดล๎อมทาง กายภาพ (Physical Environment) ทอ่ี ยํูรอบตัวมนุษยท๑ ั้งสวํ นท่เี ป็นธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศ ภาค และชีวภาค ตลอดจน ความสัมพนั ธ๑ทางพน้ื ที่ (spatial Relation) ของ ส่ิงแวดลอ๎ มทางกายภาพ ตํางๆ ดงั กลาํ วขา๎ งต๎น การศกึ ษาภูมิศาสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชยี ทําใหส๎ ามารถวิเคราะห๑เหตุผล ประกอบกบั การ สังเกตพิจารณาสงิ่ ที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงในภูมภิ าคตํางๆ ของทวีปเอเชยี ได๎เป็นอยําง ดี การศึกษา ภูมิศาสตรก๑ ายภาพแผนใหมตํ อ๎ งศกึ ษาอยาํ งมเี หตุผล โดยอาศัยหลกั เกณฑ๑ทางภูมศิ าสตร๑ หรือ หลกั เกณฑ๑สถิติซ่งึ เป็นขอ๎ เท็จจริงจากวิชาในแขนงทเ่ี กย่ี วข๎องกันมาพิจารณาโดยรอบคอบ ตวั ช้ีวดั มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจ ลกั ษณะภมู ิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชีย เนื้อหา 1. ลกั ษณะทางภูมิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชีย - ทีต่ ง้ั อาณาเขตของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชยี ขั้นตอนการจดั กระบวนการเรียนร๎ู ข้ันตอนที่ 1 การสรา๎ งแรงบนั ดาลใจ (Passion : P) 1. ครทู ักทายผเ๎ู รียน พร๎อมท้งั แนะนาํ ตนเอง และแผนการจดั การเรยี นร๎ู ซ่งึ การจดั การเรียนร๎ู ท่ผี ูเ๎ รยี น จะต๎องเรียนรรู๎ วํ มกันในครัง้ นี้ คอื เรอื่ ง “ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรก๑ ายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวปี เอเชีย” และชวนคดิ ชวนคยุ เก่ยี วกบั เรือ่ งทจ่ี ะเรยี นร๎ูเพ่อื กระต๎นุ ให๎ผ๎เู รยี นเกดิ ความสนใจและมี ความกระตือรือรน๎ ในการเช่อื มโยงและสร๎างความพรอ๎ มทจ่ี ะเรยี นรหู๎ รือทํากิจกรรมการเรียนรู๎ตาม แผนการจดั การเรยี นร๎คู รั้งนี้ 2. ครชู แ้ี จงวตั ถุประสงค๑ เนอื้ หา กิจกรรม การวดั และประเมนิ ผลของการเรียนรู๎ในครงั้ นี้ ที่ สอดคล๎องกับตัวชีว้ ัดตามแผนการจัดการเรียนรคู๎ รัง้ นี้ เพอ่ื ใหผ๎ เ๎ู รยี นเข๎าใจอยาํ งชดั เจนวํา ผ๎เู รยี น จะตอ๎ งเรียนรู๎ใหบ๎ รรลุตวั ช้วี ัด ท่ีกําหนดตามแผนการจดั การเรยี นร๎ทู ี่ 1 เรือ่ ง “ลกั ษณะทางภมู ิศาสตร๑ กายภาพของประเทศตํางๆ ในทวปี เอเชีย” ในคร้ังน้ี ซง่ึ มีจาํ นวน 1 ข๎อ ดงั นี้ 1. ลักษณะทางภมู ศิ าสตร๑กายภาพของประเทศตํางๆ ในทวปี เอเชีย - ท่ตี ้ังอาณาเขตของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชีย
112 3. ให๎ผู๎เรียนทําแบบทดสอบกํอนเรียน เรอื่ ง “ลักษณะทางภูมิศาสตร๑กายภาพของประเทศ ตํางๆ ในทวีปเอเชยี ” จํานวน 10 ขอ๎ โดยใชเ๎ วลา 10 นาที 4. ครใู ห๎ผเ๎ู รียนศึกษาหนงั สือเรียนรายวิชาสังคมศกึ ษา สค 21001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต๎น (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2554) เรอื่ ง ลักษณะทางภูมิศาสตร๑กายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชีย หนา๎ 1 -12 พร๎อมท้งั แนะนําแหลํงศึกษาคน๎ คว๎าเพ่ิมเตมิ จากอนิ เทอรเ๑ น็ต ซ่ึงผ๎ูเรยี นสามารถไปเรียนรู๎ ได๎ดว๎ ยตนเองและ ทํากจิ กรรมตามทีไ่ ด๎รับมอบหมายด๎วย ท้ังน้ี ครูควรจะช้ีแจงใหผ๎ ๎เู รียนทราบวําใน การพบกลมํุ ตามแผนการจัดการเรียนร๎คู ร้ังน้ี ผ๎เู รยี นจะตอ๎ งเรยี นร๎ูและทาํ กิจกรรมท่สี อดคล๎องกับ เนอ้ื หาทีเ่ รยี น โดยปฏิบตั กิ จิ กรรมตําง ๆ ไดแ๎ กํ การศกึ ษาคลปิ วดิ โี อ และการแลกเปล่ยี นเรยี นรโู๎ ดย การอภปิ รายรํวมกับเพื่อนในกลุํม รวมท้งั มีการทดสอบหลงั เรียนด๎วย นอกจากน้ี ในการพบกลํุมแตลํ ะคร้ังนั้น ครูจะมอบหมายงานใหผ๎ ๎เู รยี นไปเรียนรดู๎ ๎วยวิธีการ เรียนรดู๎ ว๎ ยตนเอง ซึ่งวธิ กี ารเรียนรูด๎ ว๎ ยตนเองจะตอ๎ งเกดิ ขนึ้ ในทุก ๆ ตัวชี้วดั และเนอื้ หาทก่ี ําหนด โดย ผ๎ูเรียนจะตอ๎ งปฏบิ ัติกิจกรรมทีก่ าํ หนดให๎ด๎วยวิธเี รยี นรูอ๎ อนไลน๑ และศึกษาจากเอกสารประกอบการ เรียน ดังนัน้ ครจู ะต๎องเช่ือมโยงรายละเอียดดงั กลําวข๎างตน๎ ให๎ผเู๎ รียนไดเ๎ กิดความเขา๎ ใจและเกดิ แรง บันดาลใจในการเรียนรท๎ู ี่จะเกิดข้ึน เพราะ การมอบหมายงานให๎ผเู๎ รยี นไปเรียนรู๎ ดว๎ ยวิธเี รียนร๎ูดว๎ ย ตนเองนั้น ผูเ๎ รียนจะต๎องเรยี นร๎อู อนไลนผ๑ ํานอินเทอรเ๑ น็ต และศกึ ษาเอกสารประกอบการเรียน 5. ครูชวนคดิ ชวนคุยเก่ยี วกบั ประสบการณ๑เดิมของครูในเร่อื งท่ีจะเรียนรู๎ตามแผนการจดั การ เรยี นรู๎นี้ โดยครูสุมํ ผ๎ูเรียนตามความสมัครใจ จํานวน 4 – 5 คน ให๎ตอบ คาํ ถาม จํานวน 3 ประเดน็ ดังน้ี ประเดน็ ที่ 1 “ทํานทราบหรอื ไมวํ ํา ทวปี เอเชยี แบํงออกเป็นกีภ่ ูมภิ าค แนวคาํ ตอบ ทวปี เอเชีย แบงํ ออกเป็น 5 ภมู ภิ าค โดยกาํ หนดช่ือเรียกตามทศิ ทางเป็นสาํ คัญ ดังนี้ 1. ภูมิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉลียงใต๎ 2. ภูมิภาคเอเชียตะวันออก 3. ภมู ิภาคเอเชียใต๎ 4. ภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ตกเฉลยี งใต๎ 5. ภมู ภิ าคเอเชยี กลาง ลักษณะภมู ปิ ระเทศในทวปี เอเชีย แบงํ เป็น 5 เขต 1. เขตเทอื กเขาและทรี่ าบสงู (ตอนกลางของทวปี ) 2. เขตท่ีราบลํมุ แมนํ า้ํ 3. เขตทีร่ าบตาํ่ ภาคเหนอื 4. เขตทรี่ าบสงู เกาํ (ทรี่ าบสูงภาคใต๎และภาคตะวนั ตกเฉลียงใต๎) 5. เขตหมเูํ กาะ (หรือหมํูเกาะภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงใต๎)
113 ขนั้ ตอนท่ี 2 การนาํ ไปใชป๎ ระโยชน๑ (Utilization : U) 1. ครใู ห๎ผ๎ูเรยี นแลกเปล่ียนเรียนรู๎ โดยแบงํ ผเ๎ู รียนออกเปน็ กลํุม ๆ กลุมํ ละ 4–8 คน ดําเนิน กิจกรรมเปน็ รายกลุํม ศึกษาเน้ือหา ใน หนังสือเรยี นรายวชิ าสังคมศกึ ษา สค 21001 ระดับ มัธยมศึกษาตอนต๎น (ฉบับปรับปรงุ พ .ศ. 2554) เรื่อง ลักษณะทางภมู ศิ าสตรก๑ ายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวปี เอเชีย หน๎า 1 -12 ดังนี้ 1) ทต่ี ง้ั อาณาเขตของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชีย (หนา๎ 1- 5) ให๎แตลํ ะกลมํุ แลกเปลี่ยนเรยี นรู๎ และสํงผ๎ูแทนนําเสนอตอํ กลมํุ ใหญใํ น 1 ประเด็น ประเดน็ ท่ี1 ท่ีต้งั อาณาเขตของประเทศตาํ งๆ ในทวปี เอเชยี ครูและผเ๎ู รยี นสรปุ ผลการเรียนรร๎ู ํวมกันและให๎ผเู๎ รยี นสรปุ ส่งิ ท่ีได๎เรียนรลู๎ ใงนสมดุ บันทึกผลการ เรยี นร๎ู ของตน 2. ครแู นะนาํ แหลงํ เรียนรใ๎ู หก๎ บั ผูเ๎ รียนเพ่อื ใชเ๎ ปน็ เคร่อื งมือในการแสวงหาความรด๎ู ๎วยตนเอง อาทิ หอ๎ งสมดุ แหลงํ เรยี นรใ๎ู นชมุ ชน หนวํ ยงาน สถานศึกษาตาํ ง ๆ รวมทั้งการใชอ๎ นิ เตอร๑เนต็ เพอ่ื การ เรยี นร๎ูดว๎ ยตนเอง เป็นต๎น และใหผ๎ ๎เู รียนเป็นรายบคุ คลศึกษาเน้ือหา ใน หนงั สอื เรียนรายวิชาสงั คม ศกึ ษา สค 21001 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต๎น (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2554) เร่ือง ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร๑ กายภาพของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชยี 3. ครดู ําเนินการทาํ หนา๎ ทนี่ ําการอภิปราย โดยให๎ผเู๎ รยี น กลมํุ ใหญํรวํ มกันแสดงความคดิ เห็น คิดวิเคราะห๑ อภปิ ราย และวเิ คราะห๑ให๎ขอ๎ มลู เพ่ิมเติม ในเน้ือหาหรือประเด็นทยี่ ังไมชํ ดั เจน ตามรายละเอยี ดท่ผี ๎เู รียนได๎แลกเปลยี่ นเรยี นรร๎ู วํ มกนั หากผูเ๎ รยี น กลมํุ ใหญหํ รือครูเหน็ วํายงั ไมสํ มบรู ณ๑ มคี วามตอ๎ งการในการเรยี นรู๎เพิ่มเตมิ ครูจะชํวยเตมิ เต็มความรู๎ ให๎กบั ผ๎ูเรียน หลังจากนนั้ ครแู ละผเู๎ รียนสรุปส่ิงที่ได๎เรียนร๎ใู นภาพรวมทงั้ หมดแล๎วใหผ๎ ูเ๎ รียนสรุปสง่ิ ท่ไี ด๎ เรียนร๎ูลงในสมุดบันทกึ การเรียนร๎ูของตน หมายเหตุ : ในการดาํ เนนิ กิจกรรมกลุมํ ครชู ีแ้ จงบทบาทหน๎าที่ในการทํางานใหผ๎ ๎ูเรียนไดม๎ ีความ รับผดิ ชอบรํ วมกันในการทํางาน ซึง่ มอบหมายให๎ผูเ๎ รียนดําเนินการแตํงตงั้ ประธานหรือผ๎ูนาํ ในการ อภปิ รายแลกเปลีย่ นเรยี นรู๎ และการมอบหมายให๎มผี ร๎ู บั ผดิ ชอบในภารกิจตําง ๆ รวมถงึ การแตํงตั้ง เลขานุการของกลมํุ เป็น ผ๎ูจดบนั ทึกและผร๎ู กั ษาเวลา เพือ่ ปฏบิ ตั งิ านของกลมุํ ใหญํให๎บรรลตุ าม วัตถุประสงค๑ที่ต้ังไว๎ และพิจารณาวาํ สมาชิกลมํุ ทกุ คนควรมีความเขา๎ ใจตรงกันวํา ตนมบี ทบาทหน๎าที่ท่ี จะต๎องชวํ ยให๎กลุํมทํางานได๎สําเรจ็ ครูควรใหค๎ าํ แนะนาํ ถงึ ความสําคญั ของการให๎สมาชิกทุกคนในกลํุม มสี ํวนรวํ มในการอภิปรายอยํางท่วั ถึง ไมํให๎มีการผกู ขาดการอภปิ รายโดยผ๎ูใดผ๎ูหนงึ่ แ ละควรมีการ จํากดั เวลาของการอภิปรายแตลํ ะประเด็น
114 ในระหวํางการทํากิจกรรมของผเู๎ รียน ครูมีบทบาทในการสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรข๎ู อง ผู๎เรยี น คอยกระต๎ุนผูเ๎ รียนให๎เกิดความกระตือรอื รน๎ ในการเรยี นร๎ู โดยบันทกึ ลงในแบบบันทกึ พฤติกรรมการเรียนรู๎ของผเู๎ รียน และเคร่ืองมอื ประเมินการสังเกตแบบประมาณคํา 4. ครเู ปดิ โอกาสใหผ๎ ู๎เรียนท้ังกลมุํ รํวมกนั สนทนา เพื่อใหผ๎ ๎ูเรียนมีทกั ษะในการฟัง พูด คิด วเิ คราะห๑ การทํางานรวํ มกับผูอ๎ นื่ การคดิ สรา๎ งสรรค๑ ความรับผดิ ชอบ และการนาํ ความร๎ใู นเนอ้ื หามา ใช๎ โดยครูบูรณาการเนอ้ื หาการเรียนร๎ู มกี ารใช๎สือ่ เทคโนโลยีท่ีเปน็ คลิปวดิ โี อจาก youtube และ TikTok ทีส่ มั พันธ๑กับเน้ือหา ทัง้ นค้ี รเู ชอ่ื มโยงสิง่ ท่ีไดเ๎ รยี นร๎ตู ามขัน้ ตอนที่ 1 ในการนาํ ความรูไ๎ ปสูกํ าร ปฏบิ ตั ิ และประยุกตใ๑ ช๎ผาํ นคลิปวิดโี อ โดยครเู ปิดคลิปวิดโี อ เรอื่ ง “ทวปี เอเชยี ” จาก https://www.youtube.com/watch?v=t5WznXE_HB4 ชวํ งเวลา 12.56 นาที หลังจากน้ัน ครดู ําเนนิ การ ดังน้ี ครบู รรยายเน้อื หาตามใบความรส๎ู าํ หรับครู เร่อื ง “ภมู ิศาสตร๑ทางกายภาพทวปี เอเชยี ” เพ่ือใชส๎ าํ หรบั ประกอบกจิ กรรมการเรยี นร๎ู เรอื่ ง “ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรท๑ างกายภาพของประเทศ ตาํ งๆทวปี เอเชีย” ในสวํ นของผ๎ูเรียนให๎ศกึ ษาใบความร๎ูสาํ หรบั ผเ๎ู รยี น ประกอบการบรรยายของครูตามใบ ความรู๎สําหรบั ผเู๎ รียน เรือ่ ง “ภมู ิศาสตรท๑ างกายภาพทวปี เอเชยี ทวปี เอเชยี ” 5. ครแู ละผ๎ูเรียนอภิปรายและสรุปผลการเรียนร๎รู ํวมกนั ขั้นตอนท่ี 3 การสะท๎อนความคดิ จากการเรยี นร๎ู (Reflection : R) 1. แบํงผ๎เู รยี นออกเปน็ กลุํม ๆ ละ 4 - 8 คน ให๎ผ๎เู รียนแตลํ ะกลํุมลงมอื ปฏบิ ตั จิ ริง โดย ผูเ๎ รียนแตํละกลมํุ ศกึ ษาค๎นควา๎ เรือ่ ง ลักษณะทางภมู ิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวปี เอเชยี 2. ใหผ๎ ๎ูเรียนแตํละกลมํุ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมตามใบกจิ กรรม เร่ื อง “ภูมิศาสตร๑ทางกายภาพ ทวีปเอเชยี ” ทงั้ น้ี ครจู ะตอ๎ งกาํ กับการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมของผเู๎ รียนจนกจิ กรรมแล๎วเสร็จ ตามใบกิจกรรม สําหรับครู เร่อื ง “ภูมศิ าสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชยี ” 3. ให๎ผูเ๎ รียนแตลํ ะกลํุมนําเสนอผลการศึกษาค๎นควา๎ เรื่อง “ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร๑ กายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชีย” ตามใบกิจกรรมของผ๎เู รยี น เรือ่ ง “ภูมศิ าสตรท๑ างกายภาพ ทวปี เอเชยี ” 4. ครูให๎ผ๎ูเรยี นสะทอ๎ นความคดิ ในการเรียนร๎ทู ่ไี ดจ๎ ากการเรียนร๎ูและการปฏบิ ัตกิ าร จาก ขั้นตอนที่ 1 ถึง ข้ันตอนที่ 3 นี้ 5. ครูและผ๎ูเรียนอภิปรายและสรุปผลการเรยี นรู๎รํวมกนั
115 ขน้ั ตอนที่ 4 การตดิ ตามแระเมนิ และแกไ๎ ข (Action : A) 1. ครูสนทนากบั ผ๎เู รยี นเกย่ี วกับเร่อื งท่ไี ดเ๎ รียนรตู๎ ามแผนการจดั การเรยี นรู๎นี้ โดยครูสํุม ผเ๎ู รยี นตามความสมัครใจจํานวน 2–3 คน ใหต๎ อบคําถามในประเด็น ตํอไปน้ี ประเด็น “ทาํ นจะนาํ ความรเ๎ู รื่อง เรื่อง ลักษณะทางภมู ิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวปี เอเชีย ไปประยุกต๑ใชใ๎ นการแกป๎ ัญหาหรอื ไปใช๎ประโยชนใ๑ นชวี ิตจรงิ ไดอ๎ ยาํ งไร” แนวคําตอบ ผ๎เู รียน สามารถนําความร๎ูท่ไี ดร๎ บั จากการเรียนรเ๎ู ร่ือง เร่ือง ลักษณะทาง ภูมศิ าสตรก๑ ายภาพของประเทศตํางๆ ในทวปี เอเชยี ไปประยกุ ต๑ใช๎ในชวี ิตจริงได๎ ดงั น้ี (1) ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชยี สามารถนาํ ความรม๎ู าใชป๎ ระโยชน๑ ในชีวติ ประจาํ วันได๎ เชนํ สภาพภมู ศิ าสตร๑ทส่ี ํงผลกระทบตํอวถิ ีชวี ติ ความ เป็นอยขูํ องประชากรไทย และประเทศตาํ งๆในทวีปเอเชยี (2) ลกั ษณะภูมิประเทศ สามารถนําความร๎ูมาใช๎ประโยชน๑ ในชวี ิตประจําวันได๎ เชํน ลกั ษณะของแผนํ ดิน ท่อี าจมลี ักษณะสงู ๆ ต่ําๆ เป็นภูเขาท่รี าบ ท่รี าบสูง แมํนาํ้ หนอง บึง ซึง่ มี ลักษณะภมู ปิ ระทศแตํ ละแบบ ตํางมคี วามสาํ คญั ตอํ ชวี ติ ความเป็นอยูํของประชากรทอ่ี าศยั ในภูมิ ประเทศนั้น กํอใหเ๎ กิดอาชีพประมง และการเพาะปลูก เปน็ อาชีพหลัก สํวนบริเวณท่ีสูงหรอื แถบ เทอื กเขา มกั มีประชากรอาศยั อยเูํ บาบาง ประกอบอาชพี ตํางๆกัน เชนํ ทาํ ปาุ ไม๎ ทาํ เหมอื งแรํ หรอื เลยี้ งสตั ว๑ (3) ลักษณะภูมอิ ากาศ สามารถนาํ ความรม๎ู าใชป๎ ระโยชน๑ ในชีวติ ปร ะจําวนั ได๎ เชนํ ปจั จัยท่ีมอี ิทธิพลตอํ สภาพดินฟาู อากาศลของลมประจาํ ฤดูท่พี ัดผําน ความใกล๎ไกลทะเล มกี ระแส น้ําอนุํ และเยน็ เลียบชายฝง่ั อทิ ธิ 2. ครูและผ๎เู รียนอภปิ รายและสรปุ ผลการเรยี นรร๎ู วํ มกัน ตาม PowerPoint สาํ หรับครู เรือ่ ง การสรปุ ผลการเรยี นร๎ู “เร่อื ง ลักษณะทางภมู ิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชีย ” เพื่อเปน็ การสรุปภาพรวมของกิจกรรมการเรียนรู๎ ซ่งึ จะทาํ ใหผ๎ ๎ูเรยี นเกดิ ความเข๎าใจในกจิ กรรมการ เรยี นรูม๎ ากย่ิงข้นึ 3. ใหผ๎ ูเ๎ รยี นทาํ แบบทดสอบหลงั เรยี น เร่อื ง “เรือ่ ง ลกั ษณะทางภูมิศาสตรก๑ ายภาพของ ประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชยี ” จํานวน 10 ขอ๎ โดยใชเ๎ วลา 10 นาที 4. ครแู ละผ๎เู รยี นสรปุ ภาพรวมส่ิงทีไ่ ด๎เรียนรร๎ู วํ มกนั นอกจากนี้ ในตอนท๎ายของการพบกลํมุ หลงั จากเสร็จส้นิ ข้ันตอนท่ี 3 ครกู ารมอบหมายงาน ใหเ๎ รยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง รายละเอยี ดดงั นี้ การมอบหมายงานใหเ๎ รียนรู๎ด๎วยตนเอง 1. ครชู ีแ้ จงให๎ผ๎ูเรยี นทราบวาํ ในการพบกลมํุ แตลํ ะครงั้ ผู๎เรยี นจะได๎รับมอบหมายงานใหไ๎ ป เรียนรู๎ด๎วยวธิ ีเรียนรด๎ู ว๎ ยตนเองในลักษณะที่ครจู ะมอบหมายงานให๎ผ๎ูเรียนไปศกึ ษา “หนังสือเรียน รายวชิ าสังคมศกึ ษา สค 21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต๎น (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2554) เรอื่ ง
116 ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตํางๆ ในทวปี เอเชีย” หนา๎ 1-12 ทงั้ ภาคทฤษฎีและ ปฏบิ ตั ิ โดยให๎ศึกษาเนือ้ หาและปฏิบัติกิจกรรมทา๎ ยเรอ่ื ง รายละเอยี ดของเนือ้ หา แบํงออกเป็น 2 สวํ น ดังนี้ สวํ นท่ี 1 เนอ้ื หาการเรยี นรต๎ู ามแผนการจดั การเรยี นรู๎ครัง้ น้ี สํวนท่ี 2 เนอ้ื หาการเรียนรูเ๎ พ่มิ เตมิ ในหนังสือเรียนเรยี นดงั กลําว 2. ครมู อบหมายงานใหผ๎ ๎เู รยี นเรียนรด๎ู ว๎ ยตนเอง โดยใหไ๎ ปศึกษา “หนังสือเรียนรายวิชาสงั คม ศึกษา สค 21001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2554) เร่ือง ลักษณะทางภูมิศาสตร๑ กายภาพของประเทศตํางๆ ในทวปี เอเชีย” รายละเอียดของกจิ กรรมที่ผ๎เู รยี นจะตอ๎ งปฏบิ ัติ แบงํ ออกเป็น 2 สํวน ดงั น้ี สํวนท่ี 1 เนือ้ หาการเรยี นรู๎ตามแผนการจัดการเรียนร๎ูคร้งั น้ี ไดแ๎ กํ ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร๑กายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวีปเอเชยี ”(หนังสือเรียน หน๎า 1-13) (กิจกรรมทา๎ ยเรอ่ื งในหนงั สือเรยี น 33) สํวนที่ 2 มอบหมายงานใหผ๎ ๎เู รยี นเรยี นร๎ดู ๎วยตนเอง ซึง่ เนื้อหาการเรยี นรเู๎ พม่ิ เติมใน “หนงั สือ เรียนรายวิชาสังคมศกึ ษา สค 21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน๎ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2554)” ได๎แกํ 1) หลักการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู ศิ าสตร๑กายภาพ (หนังสือเรียน หน๎า 13-20) (กิจกรรมทา๎ ยเรอ่ื งในหนงั สอื เรยี น 33) 2 เครอ่ื งมอื ทางภูมิศาสตร๑ (หนงั สือเรียน หน๎า 21- 29) (กิจกรรมท๎ายเรือ่ งในหนังสอื เรยี น 35-36) 3) ทรัพยากรธรรมชาติของทวปี เอเชยี (หนงั สอื เรยี น หนา๎ 30-32) (กิจกรรมท๎ายเรื่องในหนงั สือเรยี น 34) 4. สภาพภมู ิศาสตร๑กายภาพของไทยที่สํงผลตํอทรัพยากรตาํ ง ๆ และส่งิ แวดล๎อมตํางๆ (หนงั สอื เรียน หนา๎ 153-158) (กจิ กรรมทา๎ ยเร่อื งในหนังสือเรียน 159) 5. ความสําคัญในการดาํ รงชีวติ ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั สภาพทรพั ยากรในประเทศไทย (หนังสือเรียน หน๎า 160-170) (กจิ กรรมท๎ายเรอื่ งในหนงั สือเรียน 171-172)
117 หลงั จากนน้ั ครแู ละผู๎เรยี นมีการนัดหมายทบทวน ตรวจสอบ และแลกเปลี่ยนเรียนร๎ู รํวมกัน ผาํ นทางสอ่ื อิเล็กทรอนิกส๑ ตํอไป หมายเหตุ : ให๎ผู๎เรยี นลงมือปฏิบัตกิ จิ กรรมดว๎ ยตนเอง ซ่ึงการให๎ผูเ๎ รยี นลงมอื ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ดว๎ ยตนเองน้นั อาจมคี ว ามแตกตํางกนั บา๎ งในข้ันตอน โดยพิจารณาจากพ้ืนฐานของผเ๎ู รียน ในกรณที ่ี ผูเ๎ รยี นมีพ้นื ฐานน๎อยหรอื ไมมํ ีพนื้ ฐานมากํอนกค็ วรจดั การเรยี นร๎พู นื้ ฐานท่จี าํ เป็นและพอเพยี งกบั ผเ๎ู รียน หลงั จากนัน้ ใหผ๎ เ๎ู รยี นได๎ปฏิบตั ดิ ๎วยตนเองในชวํ งระยะหนึง่ แล๎วจึงคอํ ยใหผ๎ ๎เู รยี นคดิ หวั ข๎อที่ อยากจะทํา หรอื ถา๎ ผ๎ูเรยี นมพี ื้นความร๎ูมากอํ นแล๎ว ให๎คดิ หัวขอ๎ ท่สี นใจจะทําและให๎ลงมอื ปฏบิ ัติได๎
118 สอื่ วสั ดุ อุปกรณ๑ และแหลํงการเรียนร๎ู 1. แบบทดสอบกอํ นเรียน เร่ือง “ภูมศิ าสตร๑ทางกายภาพทวีปเอเชยี ทวีปเอเชีย” 2. ใบความรู๎สําหรบั ผ๎เู รียน เรอ่ื ง “ภูมิศาสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชียทวปี เอเชยี ” 3. คลปิ วิดโี อ เรื่อง “ทวปี เอเชยี ” จาก https://www.youtube.com/watch?v=t5WznXE_HB4 ชํวงเวลา 12.56 นาที 4. คลปิ วดิ โี อ เร่อื ง “เขตภูมิอากาศและพืชพรรณธรรมชาติของทวีปเอเชีย” จาก https://www.youtube.com/watch?v=nEmPE644Y2w ชวํ งเวลา 9.11 นาที 5. ใบความร๎ูสําหรบั ครู เรื่อง “ภูมศิ าสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชียทวีปเอเชีย” 6. ใบกิจกรรมสําหรับครู เรอื่ ง “ภูมิศาสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชยี ทวีปเอเชีย” 7. ใบกิจกรรมของผู๎เรียน เรอ่ื ง “ภูมิศาสตร๑ทางกายภาพทวีปเอเชียทวปี เอเชีย” 8. PowerPoint สาํ หรบั ครู เรื่อง การสรปุ ผลการเรียนร๎ู “เมอ่ื สารเปลี่ยนแปลง สถานะจึง เปลยี่ นไป” 9. บทสรปุ ประกอบ PowerPoint สาํ หรับครู เร่ือง การสรุปผลการเรยี นรู๎ “ภูมิศาสตร๑ทาง กายภาพทวีปเอเชียทวปี เอเชยี ” 10. แบบทดสอบหลังเรยี น เร่ือง “ภมู ศิ าสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชยี ทวีปเอเชยี ” 11. แบบประเมินความพงึ พอใจสาํ หรับผเ๎ู รยี นในการเขา๎ รวํ มกิจกรรมการเรียนรู๎ เรอื่ ง“ภมู ิศาสตร๑ทางกายภาพทวปี เอเชยี ทวีปเอเชีย” การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมการมีสํวนรํวม ความต้งั ใจ และความสนใจของผ๎ูเรยี น 2. ผลการทดสอบกํอนและหลังเรยี น 3. ผลการออกแบบและสรา๎ งสรรค๑นวัตกรรมและสง่ิ ท่ีตอ๎ งการพัฒนา/ช้นิ งาน/ผลงาน 4. ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจของผเ๎ู รยี น
119 บนั ทกึ ผลหลังการจดั กระบวนการเรียนร๎ู ผลการใช๎แผนการจดั กระบวนการเรียนรู๎ 1. จาํ นวนเนอื้ หากับจํานวนเวลา เหมาะสม ไมํเหมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเรียงลําดบั เน้อื หากับความเขา๎ ใจของผูเ๎ รียน เหมาะสม ไมํเหมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การนาํ เขา๎ สํบู ทเรียนกบั เนอ้ื หาแตํละหวั ข๎อ เหมาะสม ไมํเหมาะสม ระบุเหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วิธีการจดั กิจกรรมการเรยี นรูก๎ ับเนอื้ หาในแตลํ ะขอ๎ เหมาะสม ไมเํ หมาะสม ระบเุ หตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
120 5. การประเมนิ ผลกบั ตัวช้วี ดั ในแตํละเนอื้ หา เหมาะสม ไมเํ หมาะสม ระบุเหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการเรียนร๎ูของผ๎เู รียน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการจดั กระบวนการเรยี นร๎ูของครู ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข๎อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
121 รายละเอียดส่ือ วัสดุ อุปกรณ๑ และแหลํงการเรยี นรู๎ 1. แบบทดสอบกํอนเรยี น เร่ือง “ภูมศิ าสตร๑ทางกายภาพทวีปเอเชียทวปี เอเชยี ” 2. ใบความร๎ูสาํ หรบั ผ๎ูเรยี น เร่ือง “ภูมิศาสตรท๑ างกายภาพทวปี เอเชียทวีปเอเชีย” 3. คลปิ วดิ ีโอ เรอ่ื ง “ทวปี เอเชยี ” จาก https://www.youtube.com/watch?v=t5WznXE_HB4 ชวํ งเวลา 12.56 นาที 4. คลิปวิดีโอ เรื่อง “เขตภมู อิ าการและพชื พรรณธรรมชาตขิ องทวปี เอเชยี ” จาก https://www.youtube.com/watch?v=nEmPE644Y2w ชวํ งเวลา 9.11 นาที 5. ใบความรู๎สําหรบั ครู เรอ่ื ง “ภมู ศิ าสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชียทวีปเอเชยี ” 6. ใบกจิ กรรมสําหรบั ครู เร่อื ง “ภูมศิ าสตร๑ทางกายภาพทวีปเอเชียทวปี เอเชีย” 7. ใบกจิ กรรมของผู๎เรียน เรื่อง “ภูมศิ าสตร๑ทางกายภาพทวปี เอเชียทวีปเอเชีย” 8. PowerPoint สาํ หรบั ครู เรอื่ ง การสรปุ ผลการเรียนรู๎ “เมื่อสารเปลย่ี นแปลง สถานะจงึ เปลีย่ นไป” 9. บทสรปุ ประกอบ PowerPoint สําหรบั ครู เร่ือง การสรุปผลการเรยี นร๎ู “ภมู ิศาสตร๑ทาง กายภาพทวีปเอเชียทวีปเอเชยี ” 10. แบบทดสอบหลังเรียน เรอื่ ง “ภูมิศาสตร๑ทางกายภาพทวีปเอเชียทวปี เอเชยี ”
122 แบบทดสอบกอํ นเรยี น เรอื่ ง ลักษณะทางภมู ิศาสตรก๑ ายภาพของประเทศตาํ งๆ ในทวปี เอเชีย คาํ ช้ีแจง แบบทดสอบกํอนเรียน มีจาํ นวนทง้ั หมด 10 ข๎อ แบํงออกเป็น 2 ตอน ประกอบด๎วย ตอนที่ 1 แบบปรนยั จํานวน 5 ขอ๎ ตอนท่ี 2 แบบเลือกตอบถกู ผิด จาํ นวน 5 ข๎อ ตอนท่ี 1 แบบปรนยั จาํ นวน 5 ขอ๎ คาํ สั่ง จงทําเครื่องหมายกากบาท (X) หนา๎ ขอ๎ ท่ีถกู ตอ๎ งท่สี ุด เพียงข๎อเดียว 1. ลกั ษณะภูมปิ ระเทศของทวีปเอเชียในขอ๎ ใดเปน็ ปจั จัยท่ีสํงผลใหม๎ ปี ระชากรอาศัยอยูํอยาํ งหนาแนนํ ก. เป็นทงํุ หญา๎ ขนาดใหญํ ข. เป็นแนวเทือกเขาสงู ค. เป็นทีร่ าบลุํมแมนํ ํา้ ง. เปน็ เกาะและหมํูเกาะ 2. ทวีปเอเชียมีดนิ แดนตดิ ตํอกบั ทวีปใด ก. ยโุ รปและแอฟรกิ า ข. ยโุ รปและอเมรกิ าเหนือ ค. อเมริกาเหนือและแอฟรกิ า ง. อเมริกาเหนอื และอเมริกาใต๎ 3. ปัจจยั ขอ๎ ใด ไมํสํงผล ตอํ สภาพภูมอิ ากาศของทวีปเอเชยี ก. พายุไตฝ๎ นุ ข. ความใกล๎-ไกลทะเล ค. กระแสน้าํ ในมหาสมุทร ง. การพังทลายของหน๎าดิน 4. ขอ๎ ใดเป็นปจั จยั ทม่ี อี ิทธิพลตํอลักษณะภูมิอากาศของทวีปเอเชีย ก. ท่ีตงั้ ข. มีเทอื กเขาสูง ค. มีอากาศแบบรอ๎ นชน้ื ง. มภี มู อิ ากาศแบบรอ๎ นชนื้ 5. ประเทศไทยตั้งอยูํในเขตภมู ภิ าคใด ก. เอเซียตะวนั ออก ข. เอเซยี ตะวนั ออกเฉลยี งใต๎ ค. เอเซยี ใต๎ ง. เอเซยี กลาง เฉลยแบบทดสอบกํอนเรียน (ตอนท่ี 1) 1. ค 2. ก 3. ง 4. ก 5. ข
123 ตอนที่ 2 แบบเลือกตอบถกู ผิด จาํ นวน 5 ข๎อ คาํ สั่ง จงทาํ เครื่องหมายถกู () หน๎าขอ๎ ทีถ่ กู และทาํ เครอ่ื งหมายผิด (X) หนา๎ ขอ๎ ทีผ่ ิด ........1. เอเชยี ใต๎ ประกอบด๎วยประเทศบนเทอื กเขาหิมาลัย ไดแ๎ กํ อนิ เดยี ปากีสถาน เนปาล อนิ โดนเี ซยี ........2. ดินแดนในกลุมํ เลแวนด๑ ได๎แกํ ซีเรยี อสิ ราเอล จอร๑แดน เลบานอน และอิรัก ........3. ทวปี เอเชียอาณาเขตทศิ เหนอื ติดกบั หมาสมุทรอาร๑กตกิ ........4. ภมู ิอากาศแบบเมดเิ ตอรเ๑ รเนียน มฤี ดรู ๎อน อากาศร๎อนและแหง๎ แล๎ง แตํฤดหู นาวมฝี นตก เนอื่ งจากได๎รบั อิทธพิ ลของลมตะวันตกซ่ึงพดั มาจากทะเล ........5. ลักษณะภูมปิ ระเทศของทวปี เอเซยี แบํงออกเปน็ 6 เขต เฉลยแบบทดสอบกํอนเรียน (ตอนท่ี 2) 1. X 2. 3. 4. 5. X
124 ใบความรู๎สําหรับผ๎เู รยี น เร่ือง ภมู ศิ าสตร๑ทางกายภาพทวีปเอเชียทวีปเอเชยี เอเชีย (Asia) มาจากคําวํา อาซู (Asu) ในภาษาอัสซเี รียน แปลวํา ดนิ แดนแหงํ ดวงตะวั นขึ้น (ตะวนั ออก) ใชเ๎ รียกดนิ แดนที่อยํทู างตะวั นออกของอาณาจักรอัสซีเรยี นมาตง้ั แตสํ มยั กรีกและโรมนั เอเชยี ไดช๎ ่อื วาํ เปน็ ทวปี แหํงความแตกตําง หรือทวีปแหํงความตรงขา๎ ม (a continent of contrast) หรอื ทวีปแหํงความเปน็ ทส่ี ุด (a continent of extremes) มียอดเขาเอเวอเรสต๑ใน เทอื กเขาหมิ าลยั สูงทส่ี ุดในโลก สงู 8,848 เมตร (2,928 ฟตุ ) มพี ้นื แผํนดนิ ท่ีต่ําทสี่ ดุ คอื ทะเลเดดซี อยํู ต่าํ กวาํ ระดับนํ้าทะเล 400 เมตร (1,312 ฟตุ ) และเหวทะเลมาเรยี นาซ่งึ ลึกที่สุดในโลก มอี ากาศหนาวเยน็ ท่ีสดุ ได๎แกตํ อนเหนอื ของไซบี เรยี มีอากาศรอ๎ นและแห๎งแลง๎ ทส่ี ุดจนเปน็ ทะเลทรายท่เี อเชียตะวนั ตกเฉียงใต๎ แล ะมีฝนตกชกุ ทส่ี ดุ ในแควน๎ อัสสัมของอินเดีย นอกจากนยี้ ังเปน็ ทวีปท่ี มีประชากรมากท่ีสดุ ในโลก และสวํ นใหญํอาศัยอยํู ในเขตชนบท และมคี วามหนาแนํนมากกวําทกุ ทวีป ขณะทเ่ี ขตทะเลทรายในเขตเอเชียแทบไมมํ ผี ค๎ู น อาศยั อยเูํ ลย ความเปน็ อยูํของประชากรก็มีความแตกตํางกนั มากต้งั แตฐํ าน ะดีจนถงึ ยากจนแรน๎ แคน๎ เอเชียจงึ ไดช๎ ่ือวาํ เปน็ ทวีปแหงํ ความแตกตําง
125 ทีต่ ั้งและอาณาเขตของทวปี เอเชยี ทศิ เหนอื ตดิ ตอํ กับมหาสมทุ รอาร๑กติก ในทะเลาคารา ทะเลลัฟเตฟ และทะเลไซบีเรีย ตะวันออก จุดเหนอื สดุ คือแหลมชลิ ยูสกิน ประเทศสหพนั ธรัฐรสั เซยี ท่ลี ะตดิ จูด 77 องศา 45 ลปิ ดา เหนอื มเี กาะขนาดใหญทํ างตอนเหนือได๎แกํ เกาะเซเวอรน๑ ายาเซมลอี า หมํเู กาะนวิ ไซบีเรีย และ เกาะแรงเจล ทิศตะวนั ออก ตดิ ตํอกบั มหาสมทุ รแปซิฟคิ ในเขตทะเลเบริง ทะเลโอคอต ทะเลญป่ี ุน ทะเล เหลือง ทะเลจนี ตะวนั ออก และทะเลจนี ใต๎ โดยมีคาบสมทุ รเบรอง คาบสมุทรคามชตั กา และ คาบสมุทรเกาหลี เป็นสํวนของแผํนดินดา๎ นนี้ จดุ ตะวนั ออกสดุ อยํูท่ี อสี ต๑เคป ประเทศรสั เซยี ท่ีลองติ จดู 169 องศา 40 ลิปดาตะวนั ตก เกาะใหญํได๎แกํ เกาะแซคาลนิ เกาะฮอนชู เกาะฮอกไกโด และ เกาะชิโกกุ เกาะควิ ชู เกาะไต๎หวัน และเกาะลซู อน ละตจิ ูดที่ 1 องศา 16 ลปิ ดาเ หนอื - 37 องศา 41 ลปิ ดาเหนือ ทศิ ใต๎ ติดตํอกบั มหาสมทุ รอินเดยี นาํ นน้าํ ทางตอนใต๎ ได๎แกํ อําวเบงกอล ทะเลอาหรับ อําว เปอร๑เซีย และอาํ วเอเดน จดุ ใต๎สุด ของภาคพน้ื ทวีป อยํูที่ แหลมปิไอ ประเทศมาเลเซยี ท่ี ละติจดู 1 องศา 15 ลิปดา ซ่งึ อยูหํ ํางเส๎นศูนย๑สูตรประ มาณ 150 ก.ม. เกาะใหญทํ างทศิ ใตข๎ องทวีป เอเชยี ไดแ๎ กํ เกาะลังกา เกาะบอรเ๑ นียว เกาะสุมาตรา เกาะชวา ซึง่ เปน็ เกาะทีอ่ ยใูํ ต๎สุด บรเิ วณละตจิ ดู ท่ี 8 องศาใต๎ ทิศตะวนั ตก ติดตํอกบั ทะเลแดง คลองสเุ อช ทะเลเมดิเตอรเ๑ รเนียน ทะเลดาํ เทือกเขาคอเค ซสั ทะเลแคสเปียน และเทอื กเขาอรู าล จดุ ตะวันตกสุด อยูํท่ี แหลมบาบา ประเทศตุรกี ท่ลี องติจูด 26 องศา 40 ลปิ ดาตะวนั ออก เกาะใหญํ ไดแ๎ กํ เกาะไซปรัส
126 ขนาด รปู รําง เอเชยี เปน็ ทวปี ทใี่ หญทํ ่สี ุดมเี นือ้ ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพ้นื แผํนดินผวิ โลกท้ังหมด มีเนอื้ ที่ ประมาณ 44,391,132 ตร.ก.ม.(17,139,455 ตร.ไมล๑) หรือ 30 %ของโลก มีขนาดใหญํกวาํ ทวปี ออสเตรเลยี ซ่ึงเป็นทวปี ที่เล็กทีส่ ดุ ประมาณ 5เทาํ แตํมีประชากรมากกวําถงึ 120 เทาํ มีความกวา๎ ง จากตะวนั ออกไปตะวนั ตกยาว 9,600 ก.ม. ระยะทางจากเหนอื สดุ ถึงใต๎สดุ ของทวปี ประมาณ 6,500 ก.ม. โครงสร๎างทางธรณวี ิทยา 1) เขตหินเกํา มี 3 บรเิ วณคอื 1. ที่ราบสูงภาคเหนอื ในเขตสหภาพโซเวียต (เดิม) 2. บรเิ วณท่ีราบสูงอาหรบั ในซาอดุ อิ าระเบยี 3. บรเิ วณที่ราบสูงเดคคานในอินเดยี 2.) เขตหนิ ใหมํ เรม่ิ จากแนวเทือกเขาในประเทศตรุ กี ผํานเอเชยี ใต๎ เอเชยี ตะวันออก และ เอเชียตะวันออก เฉียงใต๎ ซ่ึงประกอบด๎วยที่ราบสูง เทือกเขา และหมํเู กาะตาํ งๆ เขตนพี้ น้ื โลกมคี วาม ออํ นตวั มากจึงมี ภูเขาไฟ และแผนํ ดินไหวเสมอ
127 ทวปี เอเชยี แบงํ ออกเปน็ 5 ภูมิภาค ไดแ๎ กํ 1. เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต๎ 2. เอเชยี ใต๎ 3. เอเชียตะวนั ออก 4. เอเชยี ตะวันตกเฉียงใต๎ 5. เอเชียกลาง ลักษณะภมู ปิ ระเทศของทวีปเอเชยี
128 ลักษณะภมู ิประเทศของทวปี เอเชีย ลักษณะภูมปิ ระเทศ แบํงออกเปน็ 6 เขต คือ 1. เขตท่ีราบต่าํ ทางเหนอื คอื บริเวณตอนบนของทวีปซง่ึ อยใํู นเขตสหภาพโซเวียต(เดิม)ในเขตไซ บเี รียสวํ นใหญเํ ป็นเขตโครงสรา๎ งหนิ เกํา ทีเ่ รยี กวํา แองการาชีลด๑มีลกั ษณะภูมปิ ระเทศเป็นทร่ี าบขนาด ใหญํ มีแมนํ ้าํ อ็อบ แมนํ ้าํ เยนเิ ซ และแมนํ าํ้ ลนี าไหลผําน บรเิ วณมีอาณาเขตกว๎างขวางมากไมํคํอยมี ผ๎ูคนอาศัยอยูํเพราะอากาศหนาวเยน็ มาก 2. เขตทีร่ าบลุมํ แมนํ ํา้ ได๎แกดํ ินแดนแถบลมุํ แมนํ า้ํ ตาํ งๆซึง่ มลี ักษณะภูมิประเทศเป็นท่รี าบและ มกั มดี นิ อุดมสมบูรณ๑เหมาะแกํการเพาะปลูก ได๎แกํ - ในเอเชียตะวันออกไดแ๎ กํท่รี าบลมุํ แมํน้าํ ฮวงโห ท่รี าบลํมุ แมํน้ําแยงซเี กยี งใน ประเทศจนี - ในเอเชียใต๎ ไดแ๎ กํ ทรี่ าบลุมํ แมนํ า้ํ สินธุในประเทศปากีสถาน ทรี่ าบลุมํ แมํนํ้าคงคาใน ประเทศอินเดีย และท่รี าบลุํมแมํนํ้าพรหมบตุ ร ในบงั คลาเทศ - เอเชยี ตะวันตกเฉยี งใต๎ ได๎แกํท่ีราบลมุํ แมํนํา้ ไทกรสี ท่รี าบลุมํ แมนํ ้าํ ยเู ฟรตสี ใน ประเทศอิรัก - เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต๎ ไดแ๎ กํ ทร่ี าบลุํมแมนํ ้ําโขงตอนลาํ ง ในประเทศกมั พูชาและ เวยี ดนามท่รี าบลํมุ แมํน้าํ แดงในประเทศเวียดนาม ทีร่ าบลุํมแมํน้าํ เจา๎ พระยาในประเทศไทยทร่ี าบลมํุ แมํนํ้าสาละวนิ ตอนลาํ งที่ราบลํุมแมนํ ้าํ อิระวดี ในประเทศพมํา 3. เขตเทือกเขาสูง เป็นเขตหินใหมํ ตอนกลางประกอบด๎วยที่ราบสูงและเทอื กเขามากมาย สวํ นใหญเํ ปน็ เทือกเขาท่ีแยกตัวไปจากจุดรวมเทือกเขาทเี่ รียกวํา “ปามีร๑นอต(Pamir Knot)”หรือ ภาษาพ้ืนเมอื งเรียกวํา “ปามีรด๑ ุนยา (PamirDunya) แปลวาํ หลังคาโลก” จุดรวมเทือกเขาปาร๑มนี อต อาจแยกได๎ดงั น้ี เทอื กเขาท่ีแยกไปทางทศิ ตะวันออก ได๎แกํ เทือกเขาหมิ าลยั เทอื กเขาอาระกนั โยมา และเทือกเขาที่มแี นวตํอลงมาทางใต๎ มีบางสวํ นทีจ่ มหายไปในทะเลและบางสวํ นโผลํพ๎นข้นึ มาเป็น เกาะในมหาสมทุ ร อนิ เดยี และมหาสมุทรแปซิฟคิ ถัดจากเทอื กเขาหมิ าลัยไปทางเหนือ มีเทือกเขาท่ี แยกไปทางตะวันออก ไดแ๎ กํเทอื กเขาคนุ ลนุ เทือกเขานานชาน และแนวทีแ่ ยกไปทาง ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ได๎แกํ เทือกเขาเทียนชานเทือกเขาคินแกน เทือกเขายาโบลนอย เทือกเขาสตา โนวอยและเทือกเขาโกลีมา เทือกเขาท่ีแยกไปทางทิศตะวนั ตก แยกเปน็ แนวเหนือและแนวใต๎ ไดแ๎ กํ เทือกเขาฮินดูกชู เทือกเขาเอลบูรซ สํวนแนวทิศใต๎ ไดแ๎ กํ เทือกเขาสุไลมานเทอื กเขาซากรอส เมอ่ื เทือกเขา2แนวนม้ี าบรรจบกนั ท่ีอาร๑เมเนยี นนอตแลว๎ ยงั แยกออกเป็นอีก2แนว ในเขตประเทศตรุ กี คอื แนวเป็นเทอื กเขาปอนติกและแนวใต๎เป็นเทอื กเขาเตารสั 4. เขตที่ราบสูงตอนกลางทวปี เปน็ ทรี่ าบสูงในเขตหินใหมํ ได๎แกํ ทีร่ าบสงู ทเิ บตซง่ึ มีขนาด ใหญํและสูงทสี่ ดุ ในโลกทรี่ าบสงู ยูนาน ทางใต๎ของจนี และทร่ี าบสงู ท่ีมีลกั ษณะเหมอื นแอํงคอื ทีร่ าบสูง ตากลามากนั (Takla Makan)ซง่ึ อยรูํ ะหวาํ งเทือกเขาเทยี นชาน กบั เทอื กเขาคนุ ลุนแตํอยํูสงู จาก ระดับน้าํ ทะเลมาก และมีอากาศแห๎งแล๎งเป็นเขตทะเลทราย
129 5. เขตทรี่ าบสงู ทางตอนใต๎และตะวันตกเฉยี งใต๎ ได๎แกทํ ่รี าบสงู ขนาดใหญทํ างตอนใตข๎ อง ทวปี เอเชียมีความสูงน๎อยกวําที่ราบสูงทางตอนกลางของทวปี ไดแ๎ กํ ทรี่ าบสูงเดคคานในอินเดยี ที่ราบ สงู อิหรํานในอิหรํานและอฟั กานสิ ถาน ท่ีราบสูงอนาโตเลีย ในตรุ กที ่รี าบสูงอาหรบั ในซาอุดิอาระเบีย 6. เขตหมูํเกาะภูเขาไฟเป็นเขตหนิ ใหมํ คอื บริเวณหมูํเกาะอนั เป็นทีต่ ัง้ ของภเู ขาไฟทัง้ ทีด่ บั แลว๎ และท่ยี งั คุกรุนํ อยใูํ นเอเชยี ตะวนั ออกและเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต๎ ปจั จยั ทมี่ ีอิทธิพลตํอลักษณะภูมอิ ากาศ 1. ทตี่ ้ัง
130 ทวปี เอเชียเปน็ ดินแดนท่ตี ้งั อยูใํ นซกี โลกเหนือ คอื จากเขตศูนย๑สตู รถงึ ขั้วโลก ทํา ให๎ทวีปเอเชยี มลี กั ษณะภมู อิ ากาศทุกชนิดต้ังแตเํ ขตรอ๎ นถงึ เขตหนาวเยน็ แบบขว้ั โลก 2. ขนาด เอเชียเปน็ ทวีปท่มี ีขนาดกวา๎ งใหญํมาก โดยมีเสน๎ ศนู ย๑สตู รเส๎นทรอปคิ ออฟแคนเซอร๑และเส๎น อาร๑กตกิ เซอรเ๑ คลิ ลากผํานลักษณะเชนํ นี้แสดงวําทวีปเอเชียมที ัง้ อากาศร๎อน อบอํุน หนาว 1. ความใกล๎ -ไกลทะเล ทวีปเอเชียมีดินแดนบางสํวนทอี่ ยูํติดทะเลทาํ ใหไ๎ ด๎รบั ความชุมชื้นจากทะเล บางสํวนที่ หํางไกลทะเลอิทธพิ ลพ้นื นํา้ ไมํสามารถเข๎าถงึ ภายในทวปี ได๎อยาํ งทั่วถึง ภายในทวปี จึงมีอากาศรนุ แรง คอื อากาศร๎อนจดั และฤดหู นาว หนาวจดั ในขณะท่ชี ายทะเลมีอากาศในตอนกลางวนั และกลางคืน และ ระหวาํ ง ฤดกู าลแตกตํางกันไมมํ ากนัก 2. ความสูงต่าํ ของพน้ื ที่ เอเชียมภี มู ิประเทศสูงต่ําตํางกนั อยาํ งมาก ทาํ ให๎ลกั ษณะอากาศตํางกัน ทั้งทอี่ ยใํู นละติจดู เดยี วกัน เชนํ เขตทรี่ าบเมืองเดลี ต้งั อยลูํ ะติจดู ที่ 28 องศาเหนือ ไมํเคยมีหมิ ะเลย แตทํ ี่ ยอดเขาดัว กากีรี ซึ่งสูง8,172 เมตร (26,810 ฟตุ ) และยอดเขาหมิ าลยั ซงึ่ อยใํู นละติจดู เดยี วกนั กลบั มหี มิ ะและ นาํ้ แข็งปกคลุมตลอดปี
131 ใบความร๎ูสาํ หรบั ครู เรอ่ื ง ภูมศิ าสตรท๑ างกายภาพทวีปเอเชียทวีปเอเชีย เอเชยี (Asia) มาจากคําวํา อาซู (Asu) ในภาษาอสั ซเี รียน แปลวํา ดินแดนแหงํ ดวง ตะวันขึน้ (ตะวนั ออก) ใชเ๎ รยี กดินแดนทอ่ี ยทํู างตะวันออกของอาณาจกั รอสั ซีเรียนมาตงั้ แตสํ มยั กรีก และโรมัน เอเชียได๎ชอ่ื วาํ เปน็ ทวีปแหํงความแตกตําง หรือทวปี แหงํ ความตรงขา๎ ม (a continent of contrast) หรอื ทวีปแหงํ ความเปน็ ที่สุด (a continent of extremes)มียอดเขาเอเวอเรสต๑ใน เทอื กเขาหิมาลยั สูงที่สุดในโลก สูง 8,848 เมตร (2,928 ฟุต) มีพ้ืนแผํนดินท่ีตํ่าทสี่ ดุ คือ ทะเลเดดซี อยํู ตํ่ากวําระดับนาํ้ ทะเล 400 เมตร (1,312 ฟุต) และเหวทะเลมาเรยี นาซง่ึ ลกึ ทีส่ ุดในโลก มีอากาศหนาว เยน็ ท่สี ุด ไดแ๎ กํตอนเหนอื ของไซบีเรีย มอี ากาศ ร๎อนและแห๎งแล๎งท่ีสดุ จนเป็นทะเลทรายท่ีเอเชยี ตะวันตกเฉียงใต๎ และมี ฝนตกชกุ ท่สี ุด ในแคว๎นอัสสัมของอินเดยี นอกจากนี้ ยงั เป็นทวีปท่ี มปี ระชากร มากท่สี ดุ ในโลก และสวํ นใหญอํ าศัยอยูํในเขตชนบท และมคี วามหนาแนนํ มากกวําทกุ ทวปี ขณะท่เี ขต ทะเลทรายในเขตเอเชียแทบไมมํ ผี ๎ูคนอาศยั อยํูเลย ความเป็นอยูขํ องประชากรก็มคี วามแตกตํางกัน มากตง้ั แตํฐานะดจี นถงึ ยากจนแรน๎ แค๎น เอเชียจงึ ได๎ช่ือวําเป็นทวีปแหํงความแตกตาํ ง
132 ทีต่ งั้ และอาณาเขตของทวปี เอเชีย ทิศเหนอื ตดิ ตํอกับมหาสมุทรอารก๑ ตกิ ในทะเลาคารา ทะเลลัฟเตฟ และทะเลไซบี ีเรีย ตะวนั ออก จุดเหนอื สุด คอื แหลมชลิ ยสู กนิ ประเทศสหพันธรฐั รัสเซยี ทลี่ ะติด จูด 77 องศา 45 ลิปดาเหนอื มีเกาะขนาดใหญํทางตอนเหนือได๎แกํ เกาะเซเวอรน๑ ายาเซมลอี า หมํู เกาะนวิ ไซบเี รีย และเกาะแรงเจล ทศิ ตะวนั ออก ติดตํอกบั มหาสมทุ รแปซฟิ ิค ในเขตทะเลเบรงิ ทะเลโอคอต ทะเลญ่ปี ุน ทะเล เหลอื ง ทะเลจนี ตะวันออก และทะเลจีนใต๎ โดยมคี าบสมุทรเบรอง คาบสมุทรคามชัตกา และ คาบสมุทรเกาหลี เป็นสวํ นของแผํนดินด๎านน้ี จุดตะวันออกสดุ อยูํที่ อสี ตเ๑ คป ประเทศรัสเซยี ทล่ี องติ จูด 169 องศา 40 ลปิ ดาตะวันตก เกาะใหญํได๎แกํ เกาะแซคาลนิ เกาะฮอนชู เกาะฮอกไกโด และ เกาะชิโกกุ เกาะคิวชู เกาะไตห๎ วนั และเกาะลซู อน ละติจดู ท่ี 1 องศา 16 ลิปดาเหนือ - 37 องศา 41 ลิปดาเหนือ ทิศใต๎ ติดตํอกบั มหาสมุทรอินเดยี นาํ นนํา้ ทางตอนใต๎ ไดแ๎ กํ อําวเบงกอล ทะเลอาหรับ อําวเปอร๑เซีย และอําวเอเดน จดุ ใต๎สุด ของภาคพ้นื ทวีป อยํูท่ี แหลมปิไอ ประเทศมาเลเซีย ท่ี ละติจดู 1 องศา 15 ลปิ ดา ซึ่งอยหูํ ํางเส๎นศนู ยส๑ ตู รประมาณ 150 ก.ม. เกาะใหญํทางทศิ ใต๎ของทวปี เอเชียได๎แกํ เกาะลังกา เกาะบอรเ๑ นยี ว เกาะสมุ าตรา เกาะชวา ซึ่งเป็นเกาะท่อี ยูํใตส๎ ดุ บริเวณละติจูด ท่ี 8 องศาใต๎ ทิศตะวันตก ตดิ ตํอกบั ทะเลแดง คลองสุเอช ทะเลเมดิเตอรเ๑ รเนยี น ทะเลดาํ เทอื กเขา คอเคซสั ทะเลแคสเปียน และเทอื กเขาอรู าล จุดตะวนั ตกสดุ อยํทู ี่ แหลมบาบา ประเทศตรุ กี ทีล่ องติ
133 จูด26 องศา 40 ลปิ ดาตะวนั ออก เกาะใหญํได๎แกํ เกาะไซปรัส ขนาด รูปรําง เอเชยี เป็นทวปี ทใี่ หญํทีส่ ุดมีเน้อื ทีป่ ระมาณ 1 ใน 3 ของพ้ืนแผนํ ดินผิวโลกทง้ั หมด มเี นือ้ ท่ี ประมาณ 44,391,132ตร.ก.ม.(17,139,455 ตร.ไมล๑) หรอื 30 %ของโล ก มีขนาดใหญกํ วาํ ทวีป ออสเตรเลยี ซงึ่ เป็นทวปี ที่เลก็ ทีส่ ดุ ประมาณ 5เทาํ แตมํ ีประชากรมากกวาํ ถงึ 120 เทํา มคี วามกวา๎ ง จากตะวันออกไปตะวนั ตกยาว 9,600 ก.ม. ระยะทางจากเหนือสุดถงึ ใต๎สุดของทวีป ประมาณ 6,500 ก.ม. โครงสรา๎ งทางธรณวี ทิ ยา 1) เขตหนิ เกาํ มี 3 บรเิ วณคอื 1. ทีร่ าบสูงภาคเหนือในเขตสหภาพโซเวียด (เดิม) 2. บรเิ วณทร่ี าบสงู อาหรบั ในซาอุดอิ าระเบยี 3. บริเวณทร่ี าบสงู เดคคานในอินเดยี 2.) เขตหนิ ใหมํ เริ่มจากแนวเทอื กเขาในประเทศตุรกี ผํานเอเชยี ใต๎ เอเชยี ตะวันออก และ เอเชยี ตะวันออก เฉยี งใต๎ ซงึ่ ประกอบด๎วยที่ราบสูง เทอื กเขา และหมูํเกาะตํางๆ เขตนีพ้ น้ื โลกมีความ อํอนตวั มากจงึ มี ภูเขาไฟ และแผนํ ดนิ ไหวเสมอ
134 ทวปี เอเชยี แบงํ ออกเปน็ 5 ภูมิภาค ไดแ๎ กํ 1. เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต๎ 2. เอเชียใต๎ 3. เอเชียตะวนั ออก 4. เอเชยี ตะวนั ตกเฉยี งใต๎ 5. เอเชียกลาง ลักษณะภมู ปิ ระเทศของทวีปเอเชยี
135 ลักษณะภมู ปิ ระเทศของทวปี เอเชีย ลกั ษณะภมู ิประเทศ แบงํ ออกเปน็ 6 เขต คอื 1. เขตท่ีราบตํ่าทางเหนือ คือบรเิ วณตอนบนของทวปี ซงึ่ อยูํในเขตสหภาพโซเวียต(เดิม)ใน เขตไซบเี รียสํวนใหญเํ ปน็ เขตโครงสรา๎ งหนิ เกาํ ท่เี รยี กวํา แองการาชลี ดม๑ ลี ักษณะภมู ิประเทศเปน็ ทร่ี าบ ขนาดใหญํ มแี มํน้าํ ออ็ บ แมนํ า้ํ เยนเิ ซ และแมํนํ้าลีนาไหลผาํ น บรเิ วณมอี าณาเขตกว๎างขวางมากไมํ คอํ ยมีผ๎ูคนอาศยั อยเูํ พราะอากาศหนาวเย็นมาก 2. เขตที่ราบลมุํ แมนํ าํ้ ไดแ๎ กํดินแดนแถบลํุมแมนํ า้ํ ตํางๆซงึ่ มลี กั ษณะภมู ปิ ระเทศเป็นท่ีราบและ มกั มีดินอดุ มสมบรู ณ๑เหมาะแกํการเพาะปลูก ได๎แกํ - ในเอเชียตะวันออกไดแ๎ กทํ ี่ราบลมํุ แมํนา้ํ ฮวงโห ทร่ี าบลมํุ แมํนาํ้ แยงซีเกียงในประเทศจนี - ในเอเชยี ใต๎ ได๎แกํ ท่ีราบลํมุ แมนํ ํา้ สินธุในประเทศปากสี ถาน ทีร่ าบลมุํ แมนํ ้ําคงคาใน ประเทศอินเดยี และทร่ี าบลํุมแมนํ ํา้ พรหมบตุ ร ในบงั คลาเทศ - เอเชียตะวนั ตกเฉยี งใต๎ ไดแ๎ กทํ ่รี าบลมุํ แมนํ ้ําไทกรสี ที่ราบลมุํ แมนํ ้ํายูเฟรตสี ในประเทศ อริ กั - เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต๎ ได๎แกํ ทร่ี าบลมุํ แมนํ ํ้าโขงตอนลําง ในประเทศกัมพูชาและ เวียดนามทีร่ าบลมํุ แมนํ าํ้ แดงในประเทศเวียตนาม ที่ราบลุํมแมํน้ําเจ๎าพระยาในประเทศไทยท่รี าบลุํม แมํนํ้าสาละวนิ ตอนลาํ งที่ราบลมุํ แมนํ ้ํา อริ ะวดี ในประเทศพมํา 3. เขตเทือกเขาสงู เป็นเขตหินใหมํ ตอนกลางประกอบดว๎ ยท่ีราบสูงและเทอื กเขามากมายสวํ น ใหญเํ ป็นเทอื กเขาท่ีแยกตัวไปจากจดุ รวมเทอื กเขาที่เรียกวํา “ปามรี ๑นอต(Pamir Knot)”หรอื ภาษา พนื้ เมืองเรยี กวํา “ปามีร๑ดนุ ยา(PamirDunya) แปลวํา หลังคาโลก” จดุ รวมเทือกเขาปาร๑มีนอต อาจ แยกไดด๎ งั น้ี เทอื กเขาทแ่ี ยกไปทางทิศตะวนั ออก ได๎แกํ เทอื กเขาหมิ าลยั เทือกเขาอาระกนั โยมา และ เทอื กเขาท่มี ีแนวตอํ ลงมาทางใต๎ มีบางสวํ นท่จี มหายไปในทะเลและบางสํวนโผลํพ๎นขึ้นมาเป็นเกาะใน มหาสมุทร อินเดีย และมหาสมทุ รแปซฟิ คิ ถดั จากเทือกเขาหมิ าลัยไปทางเหนอื มีเทอื กเขาทแ่ี ยกไป ทางตะวนั ออก ไดแ๎ กํเทอื กเขาคุนลุน เทือกเขานานชาน และแนวท่แี ยกไปทางตะวนั ออกเฉียงเหนอื ได๎แกํ เทอื กเขาเทยี นชานเทือกเขาคินแกน เทอื กเขายาโบลนอย เทือกเขาสตาโนวอยและเทือกเขา โกลีมา เทอื กเขาทีแ่ ยกไปทางทิศตะวนั ตก แยกเป็นแนวเหนอื และแนวใต๎ ไดแ๎ กเํ ทอื กเขาฮนิ ดูกชู เทือกเขาเอลบูรซ สํวนแนวทิศใต๎ ได๎แกํ เทือกเขาสไุ ลมานเทือกเขาซากรอส เมื่อเทอื กเขา2แนวน้มี า บรรจบกนั ท่ีอารเ๑ มเนยี นนอตแล๎ว ยังแยกออกเป็นอกี 2แนว ในเขตประเทศตรุ กี คอื แนวเปน็ เทือกเขา ปอนติกและแนวใตเ๎ ป็นเทอื กเขาเตารัส 4. เขตทรี่ าบสูงตอนกลางทวปี เป็นที่ราบสงู ในเขตหินใหมํ ไดแ๎ กํ ท่รี าบสงู ทเิ บตซึง่ มีขนาดใหญํ และสูงทีส่ ดุ ในโลกที่ราบสูงยนู าน ทางใต๎ของจีน และทีร่ าบสงู ทม่ี ลี ักษณะเหมอื นแอํงคอื ท่ีราบสูงตาก ลามากนั (Takla Makan)ซงึ่ อยูรํ ะหวาํ งเทอื กเขาเทียนชาน กับเทือกเขาคนุ ลนุ แตอํ ยูสํ งู จาก ระดับนา้ํ ทะเลมาก และมีอากาศแหง๎ แล๎งเปน็ เขตทะเลทราย 5. เขตทร่ี าบสูงทางตอนใตแ๎ ละตะวนั ตกเฉียงใต๎ ได๎แกํทร่ี าบสูงขนาดใหญํทางตอนใตข๎ องทวปี
136 เอเชียมคี วามสูงนอ๎ ยกวาํ ท่ีราบสงู ทางตอนกลางของทวปี ไดแ๎ กํ ที่ราบสูงเดคคานในอนิ เดีย ท่ีราบสงู อหิ รํานในอหิ ราํ นและอฟั กานสิ ถาน ทร่ี าบสูงอนาโตเลยี ในตุรกที ่รี าบสงู อาหรบั ในซาอุดิอาระเบีย 6. เขตหมูํเกาะภูเขาไฟเปน็ เขตหินใหมํ คอื บริเวณหมํเู กาะอนั เป็นที่ตัง้ ของภูเขาไฟทั้งท่ดี บั แล๎ว และท่ียังคุกรุนํ อยูใํ นเอเชียตะวนั ออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ ปัจจัยที่มอี ิทธพิ ลตํอลกั ษณะภูมิอากาศ 1. ทตี่ ั้ง
137 ทวปี เอเชยี เป็นดินแดนท่ีต้งั อยูใํ นซกี โลกเหนือ คอื จากเขตศูนย๑สูตรถึงขัว้ โลก ทํา ให๎ทวีปเอเชียมลี กั ษณะภมู ิอากาศทกุ ชนดิ ต้งั แตํเขตรอ๎ นถึงเขตหนาวเย็นแบบขัว้ โลก 2. ขนาด เอเชยี เปน็ ทวปี ทมี่ ขี นาดกว๎างใหญํมาก โดยมีเสน๎ ศนู ย๑สตู รเสน๎ ทรอปิคออฟแคนเซอร๑และเสน๎ อาร๑กติกเซอร๑เคิลลากผํานลักษณะเชนํ นแี้ สดงวาํ ทวปี เอเชียมีทัง้ อากาศร๎อน อบอุนํ หนาว 3. ความใกล๎ -ไกลทะเล ทวีปเอเชียมดี ินแดนบางสวํ นทอ่ี ยํูติดทะเลทําใหไ๎ ด๎รบั ความชมุ ชน้ื จากทะเล บางสํวนที่ หาํ งไกลทะเลอทิ ธพิ ลพนื้ นํ้าไมสํ ามารถเข๎าถงึ ภายในทวีปได๎อยํางทั่วถงึ ภายในทวปี จึงมอี ากาศรนุ แรง คือ อากาศร๎อนจัด และฤดหู นาว หนาวจัด ในขณะท่ชี ายทะเลมอี ากาศในตอนกลางวันและกลางคนื และ ระหวําง ฤดูกาลแตกตํางกนั ไมมํ ากนกั 4. ความสูงตา่ํ ของพนื้ ท่ี เอเชยี มภี มู ปิ ระเทศสูงตาํ่ ตาํ งกันอยํางมาก ทําให๎ลักษณะอากาศตาํ งกัน ท้งั ท่ีอยํใู นละติจูด เดยี วกนั เชํน เขตท่รี าบเมืองเดลี ตัง้ อยูลํ ะตจิ ูดท่ี 28 องศาเหนอื ไมเํ คยมีหิมะเลย แตํที่ ยอดเขาดวั กากีรี ซึ่งสงู 8,172 เมตร (26,810 ฟุต) และยอดเขาหมิ าลัยซง่ึ อยูํในละตจิ ดู เดียวกนั กลบั มหี ิมะและ นาํ้ แขง็ ปกคลมุ ตลอดปี
138 แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง ลกั ษณะทางภมู ิศาสตร๑กายภาพของประเทศตํางๆ ในทวีปเอเชยี คําชีแ้ จง แบบทดสอบกํอนเรียน มจี ํานวนท้ังหมด 10 ข๎อ แบงํ ออกเป็น 2 ตอน ประกอบดว๎ ย ตอนท่ี 1 แบบปรนัย จํานวน 5 ขอ๎ ตอนที่ 2 แบบเลือกตอบถกู ผดิ จํานวน 5 ข๎อ ตอนท่ี 1 แบบปรนัย จาํ นวน 5 ขอ๎ คําสงั่ จงทําเครอ่ื งหมายกากบาท (X) หน๎าขอ๎ ที่ถูกตอ๎ งทส่ี ดุ เพยี งขอ๎ เดยี ว 1. ประเทศไทยต้ังอยูํในเขตภมู ภิ าคใด ก. เอเชยี ตะวนั ออก ข. เอเชยี ตะวนั ออกเฉลยี งใต๎ ค. เอเชยี ใต๎ ง. เอเชยี กลาง 2. ปจั จยั ขอ๎ ใด ไมสํ ํงผล ตอํ สภาพภมู อิ ากาศของทวปี เอเชีย ก. พายไุ ตฝ๎ ุน ข. ความใกล๎-ไกลทะเล ค. กระแสนํ้าในมหาสมุทร ง. การพังทลายของหน๎าดิน 3. ข๎อใดเปน็ ปจั จยั ทม่ี อี ิทธิพลตอํ ลกั ษณะภมู ิอากาศของทวปี เอเชีย ก. ท่ตี ง้ั ข. มีเทอื กเขาสงู ค. มอี ากาศแบบร๎อนชื้น ง. มีภมู อิ ากาศแบบรอ๎ นชืน้ 4. ทวีปเอเชียมดี ินแดนติดตํอกับทวปี ใด ก. ยุโรปและแอฟริกา ข. ยุโรปและอเมรกิ าเหนือ ค. อเมรกิ าเหนอื และแอฟรกิ า ง. อเมริกาเหนอื และอเมริกาใต๎ 5. ลักษณะภมู ิประเทศของทวีปเอเชียในข๎อใดเปน็ ปัจจัยทีส่ ํงผลใหม๎ ีประชากรอาศยั อยํอู ยํางหนาแนํน ก. เป็นทงํุ หญ๎าขนาดใหญํ ข. เป็นแนวเทือกเขาสงู ค. เป็นทรี่ าบลุมํ แมํนํ้า ง. เปน็ เกาะและหมูํเกาะ เฉลยแบบทดสอบกํอนเรยี น (ตอนที่ 1) 1. ข 2. ง 3. ก 4. ก 5. ค
139 ตอนที่ 2 แบบเลือกตอบถูกผดิ จํานวน 5 ขอ๎ คําสัง่ จงทาํ เครอ่ื งหมายถกู () หนา๎ ข๎อท่ีถูก และทําเครื่องหมายผิด (X) หน๎าขอ๎ ที่ผิด ........1. ทวปี เอเชียอาณาเขตทิศเหนอื ติดกบั หมาสมุทรอารก๑ ติก ........2. ภมู อิ ากาศแบบเมดเิ ตอร๑เรเนยี น มฤี ดูรอ๎ น อากาศรอ๎ นและแห๎งแล๎ง แตํฤดหู นาวมฝี นตก เน่อื งจากไดร๎ บั อิทธพิ ลของลมตะวนั ตกซ่งึ พดั มาจากทะเล ........3. ลกั ษณะภมู ิประเทศของทวีปเอเชีย แบงํ ออกเป็น 6 เขต ........4. ดนิ แดนในกลํุมเลแวนด๑ ไดแ๎ กํ ซีเรีย อสิ ราเอล จอรแ๑ ดน เลบานอน และอิรกั ........5. เอเชยี ใต๎ ประกอบด๎วยประเทศบนเทอื กเขาหิมาลยั ได๎แกํ อนิ เดยี ปากสี ถาน เนปาล อนิ โดนีเซยี เฉลยแบบทดสอบกํอนเรยี น(ตอนที่ 2) 1. 2. 3. X 4. 5. X
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 574
Pages: