Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

Published by Aornanong Cks, 2021-08-10 03:24:35

Description: หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

Keywords: หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

Search

Read the Text Version

วิชา วทิ ยาการคานวณ 2 คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 1 ชั่วโมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว22103 จานวน 0.5 หน่วยกติ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จานวนเวลาเรยี นทัง้ ส้นิ 20 ชัว่ โมง : ภาคเรยี น ศึกษาการออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหา หรือการทางานท่ีพบ ในชีวิตจริงการออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีใช้ตรรกะและฟังก์ชันในการแก้ปัญหา การเขียน โปรแกรมโดยใช้ซอฟต์แวร์ Scratch, python, java และ c อภิปรายองค์ประกอบและหลักการทาา งานของระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการส่ือสารเพ่ือประยุกต์ใช้งานหรือแก้ปัญหาเบ้ืองต้น ตลอดจนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีความรับผิดชอบ สร้างและแสดงสิทธิในการ เผยแพร่ผลงาน โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) และการ เรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning) เพื่อเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ฝึก ทกั ษะการคิด เผชิญสถานการณ์การแกป้ ัญหา วางแผนการเรยี นรู้ ตรวจสอบการเรียนรู้ และนาเสนอ ผา่ นการทากจิ กรรมโครงงาน เพอื่ ให้เกดิ ทกั ษะ ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะใน การวิเคราะห์โจทย์ ปญั หา จนสามารถนาเอาแนวคิดเชงิ คานวณมาประยุกต์ใชใ้ นการสรา้ งโครงงานได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ การนาข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นาเสนอข้อมูลและ สารสนเทศได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคานวณในการ แก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย เพ่ือช่วย ในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสารอย่างรู้เท่าทันและรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนนาความรู้ความเข้าใจใน วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและการดารงชีวิต จนสามารถพัฒนา กระบวนการคิดและจินตนาการ มีความสามารถในการแก้ปัญหาและมีทักษะในการสื่อสาร มี ความสามารถในการตัดสนิ ใจ และเปน็ ผูท้ ีม่ ีจติ วิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการ ใชว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์ รหัสตวั ชี้วัด ว. 4.2 ม.2/1, ม.2/2, ม.2/3, ม.2/4 รวมท้ังหมด 4 ตัวชวี้ ดั หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 148

โครงสรา้ งรายวชิ า วิชา วทิ ยาการคานวณ 2 รหัสวชิ า ว22103 จานวน 1 ช่วั โมง/สปั ดาห์ ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 จานวน 0.5 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรยี นทงั้ สิน้ 20 ชว่ั โมง : ภาคเรยี น สัดส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวชวี้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 1 แนวคิดเชงิ ว 4.2 ม.2/1 แนวคิดเชงิ คานวณ คอื แนวคดิ ใน 2 10 คานวณ การแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ เพราะเป็น กบั การ กระบวนการท่ีมีลาดับขั้นตอนที่ชัดเจน แก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเข้าแถวตามลาดบั ของ นักเรยี น หรือปัญหาการจดั เรียงเสอ้ื ผา้ อีกทั้งเปน็ กระบวนการที่มนุษยแ์ ละ คอมพิวเตอรส์ ามารถเข้าใจร่วมกนั ได้ ดังน้ันจงึ ควรนาแนวคิดเชงิ คานวณเข้า มาใชใ้ นการแกป้ ญั หา เพอ่ื ให้เกดิ ผลลพั ธใ์ นการแกป้ ัญหาทม่ี ี ประสทิ ธิภาพการแกป้ ญั หาที่มี ประสิทธิภาพ 2 การ ว 4.2 ม.2/2 การออกแบบข้นั ตอนการทางานของ 8 20 ออกแบบ โปรแกรมหรือการออกแบบอัลกอรทิ ึม ข้นั ตอนการ เป็นการออกแบบลาดบั ขัน้ ตอนการ ทางานดว้ ย ทางานของโปรแกรม ซ่งึ สามารถแบ่งได้ การเขยี น เปน็ 3 ลกั ษณะ คือ การใช้ภาษา โปรแกรม ธรรมชาติ การใช้รหัสจาลอง และการ ดว้ ยภาษา ใช้ผังงาน โดยภาษาไพทอนเป็นภาษา Python โปรแกรมคอมพิวเตอรช์ นดิ หน่ึงท่ี เหมาะสาหรับผ้เู ริม่ ตน้ เขยี นโปรแกรม ไปจนถึงการประยุกต์ใชง้ านในระดับสูง เนอื่ งจากเปน็ ภาษาที่มโี ครงสรา้ งและ ไวยากรณ์ค่อนข้างง่าย ไม่ซับซอ้ น ทา ใหง้ า่ ยต่อความเข้าใจ มีการนาตวั แปร และฟังกช์ นั มาชว่ ยในการทางาน ตลอดจนมโี ครงสรา้ งการทางานแบบ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 149

ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวช้วี ดั (ชว่ั โมง) คะแนน (100) เรยี งลาดบั และโครงสร้างการทางาน แบบเลือกทา เพ่ือให้สามารถคานวณ ประมวลผลไดต้ ามที่ต้องการ 3 ระบบ ว 4.2 ม.2/3 ระบบคอมพวิ เตอร์ หมายถึง การ 5 10 คอมพวิ ทางานของคอมพวิ เตอร์ทีม่ สี ว่ นต่างๆ เตอร์ มาทางานร่วมกนั เพื่อใหบ้ รรลุ เปา้ หมายในการทางานอยา่ งมีระบบ ประกอบไปดว้ ยหน่วยตา่ ง ๆ ทางาน ร่วมกันอยา่ งเป็นระบบ คือ หน่วยรบั ข้อมูล หนว่ ยประมวลผลกลาง หนว่ ยความจาหลกั หนว่ ยความจา สารอง และหน่วยแสดงผลข้อมลู และ ในปจั จบุ ันเทคโนโลยีด้านการสือ่ สารได้ เข้ามามีบทบาทต่อการดารงชีวติ ของ มนุษยม์ ากขนึ้ ซ่ึงองคป์ ระกอบของการ ส่ือสารข้อมูลประกอบไปด้วยข้อมูล ข่าวสาร ผ้สู ่งสาร ส่อื กลาง ผู้รบั สาร และโปรโตคอล นอกจากน้นั ระบบ เครือข่ายในปัจจุบันยงั แบ่งเป็น เครือข่ายส่วนบคุ คล เครือข่ายทอ้ งถิน่ เครือข่ายระดบั เมือง และเครือข่าย ระดบั ประเทศ 4 การใช้ ว 4.2 ม.2/4 เทคโนโลยีสารสนเทศไดเ้ ข้ามามี 5 10 เทคโนโลยี บทบาทกับชวี ิตของผูค้ นในหลากหลาย สารสนเทศ ดา้ น และถือเป็นเครื่องมือท่ีมี อยา่ ง ความสาคัญอยา่ งย่งิ ต่อการดาเนินชวี ติ ปลอดภัย ของคนในสังคมปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยี สารสนเทศไดร้ บั การพฒั นาให้มีรูปแบบ ทม่ี คี วามน่าสนใจและอยใู่ กล้ชิดกับ มนษุ ย์มากขน้ึ เทคโนโลยีจงึ สร้างทั้ง คุณประโยชนแ์ ละโทษใหก้ บั ผู้ใช้ ท้ังโดย ตั้งใจหรือไม่ตง้ั ใจ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 150

ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ เรยี นร/ู้ ตัวช้ีวดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) รวมคะแนนระหว่างเรียน - สอบกลางภาค - 50 - สอบปลายภาคภาค 20 20 รวม 30 100 หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 151

วิชา ออกแบบเทคโนโลยี 2 คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 1 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ รหัสวชิ า ว22104 จานวน 0.5 หน่วยกติ ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 จานวนเวลาเรยี นทง้ั สนิ้ 20 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศึกษาสาเหตุหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผลกระทบจากการ เปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่อมนุษย์ และสังคม ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงเทคโนโลยีต่อเศรษฐกิจ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่อสิ่งแวดล้อม ประเภท ของวัสดุอุปกรณ์เพ่ือให้สามารถ สร้างช้ินงานได้ตรงกับความต้องการ มีความปลอดภัย และใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า เครื่องกลใน การสร้างช้ินงาน ได้แก่ รอก คาน ล้อและเพลา พื้นเอียง ล่ิม สกรู เคร่ืองมือในการสร้างชิ้นงาน เครอื่ งมือวดั เครือ่ งมือตดั เคร่ืองมือ ยดึ ติด เครอ่ื งมอื เจาะ เสียงและอุปกรณท์ ่ที าให้เกิดเสียง อุปกรณ์ ทท่ี าใหเ้ กิดเสียง ไฟฟ้าและอุปกรณ์ท่ีทาให้เกิดแสง วงจรไฟฟ้าและ การต่อตัวต้านทาน ประเภทและ การต่อวงจรไฟฟ้า ความสัมพันธ์ของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์แนวคิด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ระบบเทคโนโลยีการคิดเชิง ออกแบบ แนวคิดหลักของการคิดเชิงออกแบบ กระบวนการคิดเชิงออกแบบ และความคิดเชิง ออกแบบของพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภมู ิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning) และการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ฝึกทักษะ การคิด เผชิญสถานการณ์การแก้ปัญหาวางแผนการเรียนรู้ และ นาเสนอผ่านการทากิจกรรม โครงงาน เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมีความร้คู วามเข้าใจ ความสมั พันธข์ องความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนา เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ ก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนนาความรู้ความเข้าใจในวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและการดารงชีวิต จนสามารถพัฒนา กระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ เป็นผู้ท่ีมีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในการใช้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์ รหัสตวั ชี้วัด ว. 4.1 ม.2/1, ม.2/2, ม.2/3, ม.2/4, ม.2/5 รวมท้ังหมด 5 ตัวช้ีวดั หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 152

โครงสร้างรายวิชา วิชา ออกแบบเทคโนโลยี 2 รหสั วชิ า ว22104 จานวน 1 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 จานวน 0.5 หน่วยกิต จานวนเวลาเรยี นทั้งสน้ิ 20 ชัว่ โมง : ภาคเรียน สดั สว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ เรียนรู้/ตัวชว้ี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) 1 เทคโนโลยี ว 4.1 ม.2/1 มนษุ ยค์ ้นพบและสรา้ งองค์ความรู้ 2 10 กับชีวติ หลายสาขา เชน่ วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ สังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งศาสตร์ ทีส่ ง่ ผลตอ่ การพัฒนาเทคโนโลยอี ยา่ ง มาก คือ วิทยาศาสตร์ เปน็ ความรทู้ ี่ เกีย่ วกับสงิ่ ต่าง ๆ ในธรรมชาตทิ ้ังทม่ี ี ชวี ติ และไมม่ ชี วี ติ โดยมวี ิธกี ารทาง วิทยาศาสตรท์ ใ่ี ช้ในการสบื เสาะหา ความรู้นนั้ อาศัยการสงั เกตเป็นพ้นื ฐาน และคณิตศาสตรท์ เ่ี กย่ี วข้องกับการ อธบิ ายโครงสร้าง ความสมั พันธ์ ระเบียบ รูปแบบ หรอื แบบแผนตา่ ง ๆ ท้ังทีอ่ ยู่ในธรรมชาตริ อบตัวและภาพท่ี อยใู่ นสมอง เท่าทีม่ นษุ ยจ์ ะสามารถรบั รู้ ไดท้ ้ังในเชิงนามธรรมและเชงิ รูปธรรม โดยอาศัยการคานวณและโมเดลทาง คณิตศาสตร์มาอธบิ าย ดังนนั้ การ ค้นพบทางวิทยาศาสตร์ท่ีมกี ารอธบิ าย ในรูปแบบของสมการทางคณิตศาสตรท์ ่ี แม่นยาจะช่วยใหเ้ กิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมาอีกมากมาย และเทคโนโลยีท่ี พัฒนาขน้ึ สรา้ งผลกระทบทั้งทางด้าน มนุษย์และสงั คม ด้านเศรษฐกิจ และ ดา้ นสงิ่ แวดล้อม หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 153

ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ เรยี นรู/้ ตวั ชีว้ ัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 2 วสั ดุ ว 4.1 ม.2/5 ปจั จุบันวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 8 20 อุปกรณ์ทาง พัฒนาและก้าวหนา้ อย่างรวดเรว็ จงึ ไดม้ ี เทคโนโลยี การนาความรเู้ หลา่ นี้มาพัฒนาและ ปรับปรุงวัสดุตา่ ง ๆ เพ่อื ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการทีห่ ลากหลาย โดยผ่าน กระบวนการทางเทคโนโลยี และถกู ส่ง ต่อจนพฒั นามาเป็นกระบวนการ ออกแบบเชงิ วิศวกรรม โดยการสร้าง เครอ่ื งมือหรือชน้ิ งาน ความรู้เก่ียวกับ วัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ กลไก เสยี ง แสง ไฟฟา้ และอุปกรณอ์ ิเล็กทรอนิกส์ เปน็ สงิ่ สาคัญ ซึ่งจะช่วยทาใหส้ รา้ ง ชิน้ งานได้เหมาะสมและปลอดภัย 3 กระบวนกา ว 4.1 ม.2/2 กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรมเป็น 6 12 รออกแบบ ม.2/3 กระบวนการทส่ี ามารถนามาแกป้ ญั หา เชงิ ม.2/4 หรอื สรา้ งสรรค์สงิ่ ใหม่ ๆ ซึง่ วศิ วกรรม กระบวนการออกแบบวิศวกรรมจะเรม่ิ จากการระบปุ ัญหาหรือสงิ่ ท่ตี ้องการที่ จะสร้างขึ้น จากน้ันรวบรวม องค์ความรู้ ออกแบบวิธกี ารแกป้ ญั หา วางแผน ดาเนินการ ประเมินผล และนาเสนอ การแกป้ ัญหาหรือผลงานของช้ินงาน ซ่ึง กระบวนการเหลา่ นเี้ รียกวา่ STEM ท่ี เปน็ การรวบรวมศาสตรต์ ่าง ๆ ไดแ้ ก่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ความรู้ในการแกป้ ญั หา หรือสร้างสรรค์สงิ่ ใหม่ ๆ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 154

ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ เรยี นรู้/ตวั ชี้วัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 4 การคิดเชิง ว 4.1 ม.2/2 การคดิ เชิงออกแบบเปน็ แนวคดิ ที่ใช้ 4 8 ออกแบบ ม.2/3 ในการแก้ปัญหา โดยยดึ เอาคนหรือ ม.2/4 ประสบการณผ์ ูใ้ ชเ้ ปน็ ศูนย์กลาง และ ร่วมกนั คน้ คดิ วิธีการแก้ปญั หารว่ มกนั ของทมี งานอย่างสร้างสรรค์ ทาให้ ตน้ แบบที่ผลิตขึน้ มาเป็นเทคโนโลยที ี่มี ความทมี่ ีข้อผดิ พลาดน้อย และ เทคโนโลยีน้ันมมี ลู ค่าที่สูงข้ึน ซ่งึ จะเปน็ การแก้ปัญหาดว้ ยการเน้นทาความ เข้าใจว่าคนต้องการอะไร แทนทวี่ ิธกี าร แบบเดมิ ท่ีมกั เร่มิ ต้นจาก “ปัญหา” รวมคะแนนระหว่างเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาคภาค - 30 รวม 20 100 หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 155

วชิ า วิทยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน 5 คาอธิบายรายวิชา จานวน 3 ชวั่ โมง/สัปดาห์ รหสั วชิ า ว23101 จานวน 1.5 หน่วยกติ ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 จานวนเวลาเรยี นทั้งสิ้น 60 ช่ัวโมง : ภาคเรียน ศึกษา อธิบาย สร้างแบบจาลอง ตระหนักถึง บอก เปรียบเทียบ ระบุ วิเคราะห์ ออกแบบ ปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศที่ได้จากการสารวจ รูปแบบความสัมพันธ์ ระหวา่ งสง่ิ มีชีวิตกับสิ่งมชี ีวิตรูปแบบตา่ งๆในแหลง่ ทอ่ี ยูเ่ ดยี วกันท่ีไดจ้ ากากรสารวจ ในการอธิบายการ ถ่ายทอดพลงั งานในสายอาหาร ความสัมพนั ธ์ของผ้ผู ลติ ผ้บู ริโภค และผู้ย่อสลายสารอินทรีย์ในระบบ นิเวศ การสะสมสารพิษส่ิงมีชีวิตในโซ่อาหาร ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต และส่ิงแวดล้อมในระบบ นิเวศ โดยไม่ทาลายสมดุลของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่าง ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้ แบบจาลอง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียวที่แอลลีลเด่น ขม่ แอลลลี ด้อยอยา่ งสมบูรณ์ การเกดิ จีโนไทป์และฟโี นไทปข์ องลกู และคานวณอัตราส่วนจากจีโนไทป์ และฟโี นไทป์ของรุ่นลูก ความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส การเปลี่ยนแปลง ของยีนหรือโครโมโซมอาจทาให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พร้อมท้ังยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม ประโยชน์ของความรู้เรื่องโรคทางพันธุกรรม โดยรู้ว่าก่อนแต่งงานควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและ วนิ จิ ฉยั ภาวะเสีย่ งของลูกท่อี าจเกดิ โรคทางพนั ธกุ รรม การใช้ประโยชนจ์ ากส่งิ มีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบท่ีอาจมีต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อมโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ ประโยชน์และผลกระทบ ของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อมโดยการเผยแพร่ความรู้ท่ีได้จากการ โต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีข้อสนับสนุน ความหลากหลายทางชีวภาพในระดับชนิดส่ิงมีชีวิตใน ระบบนิเวศตา่ งๆ ความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ และต่อมนุษย์ คุณค่าและความสาคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีส่วนร่วมในการดูแล รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ สมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามกิ และวัสดผุ สมโดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ และสารสนเทศ คุณค่าของการใช้วัสดุประเภทพอ ลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่า การ เกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีโยใช้แบบจาลองและ สมการข้อความ กฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยาคาย ความร้อน จากการเปล่ียนแปลงพลังงานความร้อนของปฏิกิริยา ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกบั โลหะ ปฏิกิริยาของกรดและเบส และปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้ สารสนเทศ รวมท้งั เขียนสมการขอ้ ความแสดงปฏกิ ิรยิ าดังกล่าว ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีท่ี มีต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม และยกตัวอย่างวิธีการป้องกันและแก้ปัญหาท่ีเกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่ พบในชีวิตประจาวัน จากการสืบค้นข้อมูล วิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยใช้ความรู้เก่ียวกับ ปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์การ อธิบายผลของชนดิ ตัวละลาย ชนิดของตัวทาละลาย อุณหภูมิท่ีมีต่อสภาพละลายได้ของสาร รวมทั้ง ผลของความดันท่ีมีต่อสภาพละลายได้ของสาร ปริมาณตัวละลายในสารละลาย ในหน่วยความ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 156

เข้มข้นเป็นร้อยละ ปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล และมวลต่อปริมาตร ความสาคัญของการนา ความรู้เรื่องความเข้มข้นของสารไปใช้ โดยการยกตัวอย่างการใช้สารละลายในชีวิตประจาวันอย่าง ถูกตอ้ งและปลอดภยั โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การ สบื ค้นขอ้ มลู บันทึกจัดกล่มุ ข้อมลู เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถนาเสนอข้อมูลสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มี ความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ คุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มท่ีเหมาะสม รหสั ตวั ชี้วัด ว. 1.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5, ม.3/6 ว. 1.3 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5, ม.3/6, ม.3/7, ม.3/8, ม.3/9, ม.3/10, ม.3/11, ม.3/12, ม.3/13 ว. 2.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5, ม.3/6, ม3/7, ม.3/8 รวมทั้งหมด 27 ตัวชวี้ ัด หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 157

โครงสรา้ งรายวิชา วชิ า วิทยาศาสตร์พนื้ ฐาน 5 รหสั วชิ า ว23101 จานวน 3 ชวั่ โมง/สัปดาห์ ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 จานวน 1.5 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรียนทง้ั สนิ้ 60 ชวั่ โมง : ภาคเรียน สดั ส่วนคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ เรียนร/ู้ ตัวชวี้ ัด (ช่ัวโมง) คะแนน (100) 1 1. ระบบ ว 1.1 ม.3/1-6 - สิง่ มชี ีวิตกบั แหล่งทีอ่ ยู่ 12 20 นเิ วศ - ระบบนิเวศและองคป์ ระกอบของ ระบบนิเวศ - ความสมั พันธ์ระหวา่ งว่ิงมชี วี ิตกับ สิ่งแวดล้อม - การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ - วัฎจักรของสารในระบบนเิ วศ -การสะสมสารพิษในโซอ่ าหาร 2 2. ว 1.3 ม.3/1-4 - ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 18 30 พันธกุ รรม -การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม และความ -การแบง่ เซลล์ หลากหลาย -โรคทางพนั ธกุ รรมและความสาคญั ของ ทางพันู การรู้เรื่องโรคทางพนั ธกุ รรม กรรม -พันธกุ รรมและประโยชนข์ องสิง่ มีชีวิต ดัดแปรพนั ธุกรรม 3 3. ความ ว 1.3 ม.3/9- - ระดบั ความหลากหลายทางชีวภาพ 4 10 หลากหลาย 3/11 -ความสาคัญของความหลากหลายทาง ส่ิงมชี วี ติ ชีวภาพ -ปัจจัยท่ีมีผลตอ่ ความหลากหลายทาง ชีวภาพ การอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ 4 4. วสั ดใุ น ว2.1 ม.3/1-3/2 -พอลเิ มอร์ 13 20 ชวี ิตประจา -เซรามิก วนั -วสั ดุผสม -แนวทางการใช้วัสดุอยา่ งประหยัดและ คุ้มค่า หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 158

ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ เรียนรู/้ ตัวช้วี ดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 5 5.ปฏกิ รยิ า ว2.1 ม.3/3-3/6 -ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 9 เคมี -ระบบและส่งิ แวดล้อมกับการ 20 เปลีย่ นแปลงสาร -มวลของสารกับการเกดิ ปฏิกริยาเคมี - 50 -พลังงานกับการเกิดปฏิกริยาเคมี - 20 -ปฏิกรยิ าเคมใี นชวี ิตประจาวันและผล - 30 ของปฏิกริยาเคมีต่อชวี ิตและ 60 100 สงิ่ แวดล้อม รวมคะแนนระหว่างเรียน สอบกลางภาค สอบปลายภาคภาค รวม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 159

วิชา วทิ ยาศาสตร์พนื้ ฐาน 6 คาอธบิ ายรายวิชา จานวน 3 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว23102 จานวน 1.5 หน่วยกติ ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 จานวนเวลาเรียนทัง้ สิน้ 60 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศึกษา วิเคราะห์ ปริมาณทางไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ ความสัมพันธ์ระหว่าง กระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์ กฎของโอห์ม ความต้านทาน ตัวต้านทาน การต่อตัวต้านทานแบบ อนกุ รมและแบบขนาน ชนิ้ สว่ นอิเลก็ ทรอนกิ สอ์ ย่างง่าย ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตัวเก็บประจุ วงจรรวม การต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ พลังงานไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การคานวณค่าไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าในบ้าน อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย การเกิดคล่ืน ส่วนประกอบของคล่ืน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประโยชน์และการป้องกัน อันตรายจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า การสะท้อนของแสงบนกระจกเงาราบ การสะท้อนของแสงบน กระจกเงาโค้ง การหักเหของแสงผา่ นเลนส์ การทดลองการหักเหของแสง การเกิดภาพจากเลนส์บาง ปรากฏการณ์ที่เก่ียวกับแสง เช่น รุ้ง มิราจ และการทางานของทัศนอุปกรณ์ เช่น แว่นขยาย กระจก โค้งจราจร การมองเห็นวัตถุ ความสว่างของแสง การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิด ฤดกู าล การเคลอ่ื นท่ีปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างข้ึนข้างแรม การเกิดน้าข้ึนน้าลง น้าเป็น น้า ตาย เทคโนโลยีอวกาศ กล้องโทรทรรศน์ ดาวเทียมและยานอวกาศ นักบินอวกาศ โครงการสารวจ อวกาศ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การ สงั เกตการวเิ คราะห์ การทดลอง การอภปิ ราย การอธิบาย และการสรปุ เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ ส่ือสารสิ่งท่ีเรียนรู้ และนาความรู้ไปใชใ้ นชวี ติ ของตนเอง มจี ิตวทิ ยาศาสตร์จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นิยม รหัสตวั ช้ีวัด ว 2.3 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5, ม.3/6, ม.3/7, ม.3/8, ม.3/9, ม.3/10, ม.3/11, ม.3/12, ม.3/13, ม.3/14, ม.3/15, ม.3/16, ม.3/17, ม.3/18, ม.3/19, ม.3/20, ม.3/21 ว 3.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4 รวมทั้งหมด 25 ตัวชวี้ ดั หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 160

โครงสรา้ งรายวชิ า วิชา วิทยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน 6 รหสั วชิ า ว23102 จานวน 3 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 จานวน 1.5 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรยี นท้ังสิ้น 60 ชว่ั โมง : ภาคเรยี น สดั ส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ เรียนร/ู้ ตวั ชี้วดั (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 6 ไฟฟา้ และ ว 2.3 กระแสไฟฟ้า เป็นปริมาณประจุ 20 20 อเิ ล็กทรอนิ ม.3/1 - ม.3/9 ไฟฟ้าที่เคล่ือนที่หรือถ่ายเทจากจุดหน่ึง กส์ ไปยังอีกจุดหน่ึง เป็นความแตกต่างของ พลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุระหว่าง จดุ 2 จุด ซง่ึ ทาให้เกิดกระแสไฟฟ้า โดย กระแสไฟฟ้าจะไหลจากจุดที่มีระดับ พลังงานไฟฟ้าสูงกว่าไปยังจุดที่มีระดับ พลังงานไฟฟ้าต่ากว่า และจะหยุดไหล เม่ือศักย์ไฟฟ้าของท้ังสองจุดเท่ากัน สามารถวัดค่ากระแสไฟฟ้าได้โดยใช้ แอมมิเตอร์ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ เป็นไป ตามกฎของโอห์ม มีใจความสาคัญว่า เม่ืออุณหภูมิคงที่ กระแสไฟฟ้าในตัวนา โลหะจะแปรผันตรงกับความต่างศักย์ ระหวา่ งปลายท้งั 2 ขา้ ง ของตวั นาน้ัน การอ่านค่าความต้านทานที่แสดงไว้ บนตัวต้านทานอ่านได้หลายแบบ เช่น ตัวต้านทานค่าคงท่ี มักมีแถบสีปรากฏ อย่บู นตัวตา้ นทานแตกต่างกันไปตามค่า ความต้านทาน โดยจะมีท้ังแบบ 4 แถบ สี และ 5 แถบสี ซ่ึงการอ่านค่าความ ต้านทานจะต้องนาตัวต้านทานไปเทียบ กับตารางแสดงรหัสสีของแถบสีบนตัว ต้านทานแล้วแปลงออกมาเป็นค่าความ ต้ า น ท า น แ ล ะ อุ ป ก ร ณ์ ไ ฟ ฟ้ า ใ น ว ง จ ร ไ ฟ ฟ้ า แ ต่ ล ะ ช้ิ น มั ก จ ะ มี ค ว า ม หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 161

ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ เรียนร้/ู ตัวชวี้ ดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) ต้านทาน เมื่อนามาต่อเข้ากันเป็นวงจร ส่วนใหญ่จะเป็นการต่อแบบอนุกรม และแบบขนานขนึ้ อยูก่ บั การใช้งาน โดย ความต่างศักยท์ ่ตี กคร่อมตัวต้านทานแต่ ละตวั กบั กระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นในวงจร จะมีค่าแตกต่างกันไปตามรูปแบบการ ตอ่ วงจร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุปกรณ์ที่ สาคัญอย่างหน่ึงในวงจรไฟฟ้า โดย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แต่ละอย่างจะมี หน้าที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวต้านทาน ทาหน้าที่ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้า ไดโอด ทาหน้าท่ีให้ ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ผ่ า น ท า ง เ ดี ย ว ทรานซิสเตอร์ ทาหน้าที่เป็นสวิตช์ปิด หรือเปิดวงจรไฟฟ้าและควบคุมปริมาณ กระแสไฟฟ้า ตัวเก็บประจุ ทาหน้าที่ เก็บและคายประจไุ ฟฟ้า การต่อชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์เข้าในวงจรไฟฟ้าจะต้อง ทาการต่อให้ถูกต้องและถูกหลักการ ทางไฟฟ้า จึงจะทาให้วงจรไฟฟ้าน้ัน ท า ง า น ไ ด้ ต า ม ท่ี ต้ อ ง ก า ร แ ล ะ มี ประสิทธภิ าพ พลงั งานไฟฟ้าเป็นงานหรอื พลังงานที่ ใช้ในการเคลื่อนที่หรือการถ่ายเทของ ประจุไฟฟ้าจากจุดหน่ึงไปยังจุดหนึ่ง พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปในหน่ึงหน่วยเวลา เรียกว่า กาลังไฟฟ้า มีหน่วยเป็น วัตต์ หรอื จลู ตอ่ วินาที กลา่ วไดว้ ่า กาลังไฟฟ้า คื อ อั ต ร า ก า ร ใ ช้ พ ลั ง ง า น ไ ฟ ฟ้ า เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวัดปริมาณการไหล ของกระแสไฟฟ้าเข้าสู่บ้านเรือนเรียกว่า มาตรไฟฟา้ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 162

ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ เรยี นร้/ู ตวั ช้วี ดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) ไฟฟ้าท่ใี ช้ในบ้านเรือนโดยทั่วไปเป็น ไฟฟ้ากระแสสลับมคี วามต่างศกั ย์ 220 โวลต์ การสง่ พลงั งานไฟฟ้าเข้าบา้ นจะ ใชส้ ายไฟฟา้ 2 สาย คือ สายมีศักย์ เปน็ สายทม่ี พี ลังงานศกั ย์ไฟฟา้ อาจเรียกว่า สาย L และสายกลาง มีศักยไ์ ฟฟ้าเปน็ ศนู ย์เมื่อเทยี บกบั ดนิ อาจเรยี กวา่ สาย N วงจรไฟฟ้าในบา้ นมีการตอ่ เครื่องใช้ไฟฟา้ แบบขนานเพอ่ื ใหค้ วาม ตา่ งศกั ยเ์ ท่ากนั เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าในบา้ น เมื่อแบ่งตามลักษณะพลงั งานทีไ่ ดร้ ับ จากเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าท่ี เปล่ียนพลงั งานไฟฟ้าเป็นพลงั งานแสง สวา่ งเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าทีเ่ ปลยี่ นพลังงาน ไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน และ เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ท่เี ปลยี่ นพลงั งานไฟฟ้า เป็นพลงั งานกล การใชพ้ ลงั งานไฟฟ้า มากจะทาใหเ้ สยี ค่าไฟฟ้าต่อหนว่ ยมาก ขึ้นด้วย เพอ่ื ความประหยัดควรเลอื กใช้ เครื่องใช้ไฟฟา้ ใหเ้ หมาะสมกบั ความ ต้องการในการใชง้ านเทา่ ทจี่ าเป็น เพอ่ื ความปลอดภยั ของผใู้ ช้ไฟฟ้าควรใช้ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าอย่างระมัดระวัง รวมทัง้ ตรวจสอบสภาพการใชง้ านอย่าง สมา่ เสมอ 7 คล่ืน ว 2.3 คล่ืน (wave) เป็นปรากฏการณ์ท่ี 7 10 ม.3/10, เกิดจากการรบกวนแหล่งกาเนิด หรือ ม.3/11, ตัวกลางเกิดการส่ันสะเทือนทาให้มีการ ม.3/12 แผ่หรือถ่ายโอนพลังงานจากการ ส่ันสะเทือนไปยังจุดอ่ืน ๆ โดยท่ี ตัวกลางน้ันไม่มีการเคล่ือนที่ไปกับคลื่น ก า ร เ กิ ด ค ล่ื น น้ า เ ป็ น ก า ร ถ่ า ย โ อ น หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 163

ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ เรียนรู้/ตัวชีว้ ัด (ช่วั โมง) คะแนน (100) พลังงานโดยผ่านโมเลกุลของน้า ซ่ึง โมเลกลุ ของน้าจะไมเ่ คลื่อนท่ไี ปกับคล่ืน คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า (electromagnetic waves) เปน็ คลืน่ ตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟา้ และ สนามแม่เหลก็ ที่มีการส่ันในแนวต้งั ฉาก กนั และอย่บู นระนาบตง้ั ฉากกับทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ีของคลืน่ โดยที่คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ เกดิ จากการรบกวนทาง แมเ่ หล็กไฟฟ้าโดยการทาให้สนามไฟฟา้ หรือสนามแม่เหล็กมีการเปลย่ี นแปลง เมือ่ สนามไฟฟา้ มีการเปล่ียนแปลงจะ เหนยี่ วนาใหเ้ กดิ สนามแม่เหลก็ หรอื ถา้ สนามแม่เหลก็ มีการเปลย่ี นแปลงก็จะ เหน่ยี วนาทาให้เกิดสนามไฟฟ้า คล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ มดี ว้ ยกนั อยู่หลาย ชนดิ ซงึ่ แบ่งตามความถี่ของคลน่ื คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าทุกชว่ งท่ีมีความถ่ีท่ี ต่อเนื่องกนั เรียกวา่ สเปกตรัมคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic spectrum) โดยคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ ช่วง ความถี่ต่าง ๆ มีลกั ษณะเฉพาะตัว ซ่ึง สามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้แตกต่าง กัน คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้านาไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เชน่ คลื่น ไมโครเวฟนามาใชใ้ นการส่อื สารผ่าน ดาวเทียม ใช้ในการรักษาโรคด้วยความ ร้อน ดา้ นการแพทย์มีการนาเลเซอรม์ า ใชผ้ า่ ตัดหรือรักษาอาการผิดปกตทิ ี่ บรเิ วณตา ด้านอตุ สาหกรรม ใชเ้ ลเซอร์ ในการเชอื่ มโลหะเข้าด้วยกนั นอกจาก คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าจะนามาใช้ประโยชน์ แลว้ ยงั มีโทษต่อมนุษย์ดว้ ย เชน่ คล่ืน หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 164

ที่ ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชีว้ ัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) จากโทรศัพทม์ ือถือส่งผลตอ่ การทางาน ของสมอง เกิดการอักเสบของสมอง รังสเี อกซ์และรงั สีแกมมา เม่ือร่างกาย ไดร้ บั รงั สเี ข้าไปอาจทาเซลลเ์ ส่อื มสภาพ ส่งผลใหอ้ วยั วะต่าง ๆ ทางานไม่มี ประสิทธภิ าพหรือไม่สามารถทางานได้ 8 แสง ว 2.3 การสะท้อนของแสง เกิดจากแสง 17 30 ม.3/13 - ม.3/21 เดินทางไปตกกระทบกับผิวของวัตถุที่ แสงไม่สามารถเดินทางผ่านได้ ทาให้ แสงท่ีตกกระทบผิวของวัตถุนั้น ๆ เกิด ก า ร ส ะ ท้ อ น ก ลั บ ห ม ด ลั ก ษ ณ ะ ก า ร สะท้อนของแสงจะสะท้อนกลับมาก หรือน้อย จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผิว ของวตั ถทุ ่แี สงตกกระทบ การสะท้อนของแสงบนกระจกเงา ราบ ทาให้เกิดภาพเสมือนหัวตั้งท่ีมี ขนาดเท่ากับวัตถุ แต่ภาพท่ีเห็นจะกลับ ด้านจากซ้ายเป็นขวา ส่วนการสะท้อน ของแสงบนกระจกเงานูนทาให้เกิด ภาพเสมือนหัวตั้งท่ีมีขนาดเล็กกว่าวัตถุ ส่วนการสะท้อนของแสงบนกระจกเงา เว้า สามารถเกิดภาพได้หลายแบบข้ึนอยู่ กบั ระยะระหวา่ งวตั ถุกบั กระจก การหักเหของแสง เกิดจากการที่ ความเร็วของแสงเปล่ียนไป เม่ือเดิน ทางผ่านตัวกลางต่างชนิดกัน แสงจะ เ บ น ม า ก ห รื อ น้ อ ย ขึ้ น อ ยู่ กั บ ค ว า ม หนาแน่นและดรรชนีการหักเหของ ตัวกลางที่แสงเดินทางผ่าน การหักเห ของแสงผ่านเลนส์นูน ทาให้เกิดภาพได้ หลายแบบข้ึนอยู่กับระยะระหว่างวัตถุ กับเลนส์ และการหักเหของแสงผ่าน เลนสเ์ ว้า หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 165

ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ เรยี นร/ู้ ตัวชว้ี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) ทาให้เกิดภาพเสมือนหัวต้ังขนาดเล็ก กว่าวตั ถุ กฎการสะท้อนของแสงและการหัก เหของแสง สามารถนามาใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวกับแสง เช่น รุ้ง พระอาทิตย์ทรงกลด ภาพลวงตาหรือ มริ าจ ทัศนอุปกรณ์เป็นอุปกรณ์ที่สร้าง ขึ้ น ม า ใ ช้ ง า น โ ด ย อ า ศั ย ค ว า ม รู้ เ รื่ อ ง หลักการทางแสงมาใช้ และอาศัย ความรู้เกี่ยวกับการเกิดภาพ จาก อุปกรณ์พื้นฐาน เช่น เลนส์ กระจกเงา ราบ กระจกเงาเว้า ตัวอย่างของทัศน อุปกรณ์ ได้แก่ แว่นขยาย แว่นตา กล้องจลุ ทรรศน์ กล้องโทรทรรศน์ ทัศน อุปกรณ์เหล่าน้ีนาไปประโยชน์ในงาน ดา้ นต่าง ๆ การรับภาพของนัยน์ตามนุษย์ เกิด จากการสะท้อนของแสงจากวัตถุเข้าตา ทาให้เกิดภาพวัตถุบนจอตา ข้อมูลของ วัตถุท่ีมองเห็นจะถูกส่งขึ้นไปยังสมอง ตามเส้นประสาท ซ่ึงสมองจะทาหน้าท่ี แปลข้อมลู เหล่านนั้ ใหเ้ ป็นภาพของวตั ถุ ความสวา่ งของแสงไมว่ ่ามีมากหรอื น้อย ล้วนมีผลต่อกลา้ มเน้ือท้ังส้นิ กล่าวคือ ถา้ มีแสงสว่างมากม่านตา จะต้องปรบั ความสว่างของแสงทเ่ี ข้ามา บนจอตาให้เล็กลง แตถ่ า้ มแี สงนอ้ ย ม่านตาจะเปิดกว้างมาก เพ่ือให้แสง สวา่ งเข้ามาสูน่ ัยน์ตาอยา่ งเพยี งพอ ดงั นน้ั ในการปฏบิ ัติงาน หรือการทางาน ประเภทตา่ ง ๆ จงึ จาเปน็ ต้องใหม้ ีแสง สวา่ งในแตล่ ะหนว่ ยพ้ืนที่อย่างเพียงพอ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 166

ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ เรียนรู้/ตัวชี้วดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) ซึ่งเราจะรู้ไดก้ โ็ ดยใชเ้ คร่ืองวัดแสงวัด เครอื่ งมือท่จี ะใช้วดั ปรมิ าณแสงที่ตก กระทบตอ่ หนงึ่ หนว่ ยพนื้ ที่ เรียกวา่ ลักซ์มิเตอร์ (luxmeter) 9 ดาราศาสตร์ ว 3.1 ดวงอาทิตยเ์ ปน็ ศูนย์กลางของระบบ 16 20 และอวกาศ ม.3/1 - ม.3/4 สุริยะมีดาวเคราะห์ต่าง ๆ โคจรอยู่ โดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ท่ีเป็นบริวาร ขนาดใหญ่ของดวงอาทิตย์มี 8 ดวง เรยี งลาดับจากใกลไ้ ปไกล ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ซ่ึงดาวเคราะห์และวัตถุเหล่านี้สามารถ โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยได้ด้วยแรง ดึงดูดระหว่างวัตถุสองวัตถุซึ่งเรียกว่า แรงโนม้ ถว่ ง (gravitational force) การท่ีโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ใน ลักษณะท่ีแกนโลกเอียงทามุมประมาณ 23.5 องศา กับแนวตั้งฉากของระนาบ ทางโคจร ทาให้ส่วนต่าง ๆ บนโลก ไ ด้ รั บ ป ริ ม า ณ แ ส ง จ า ก ด ว ง อ า ทิ ต ย์ แตกต่างกันในรอบปีเกิดเป็นฤดูกาล (seasons) โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชวั่ โมง หรือ 1 วัน โดยหมุน จากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก การหมุนรอบตัวเองของโลกทาให้เรา สังเกตเห็นการเคล่ือนท่ีปรากฏของดวง อ า ทิ ต ย์ จ า ก ทิ ศ ต ะ วั น อ อ ก ไ ป ยั ง ทิ ศ ตะวันตก เรียกปรากฏการณ์ท่ีเกิดน้ีว่า การข้ึนและตกของดวงอาทิตย์ ซ่ึง สังเกตเห็นได้จากบริเวณขอบฟ้า เรียก บริเวณที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าว่า ทิศตะวันออก และเรียกบริเวณที่ดวง อาทติ ย์ตกจากขอบฟ้าว่า ทิศตะวนั ตก หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 167

ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ เรียนรู้/ตัวชว้ี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) ดวงจนั ทรม์ กี ารหมุนรอบตัวเองและ โคจรรอบโลก ซ่ึงดวงจันทร์รับแสงจาก ดวงอาทิตย์คร่ึงดวงตลอดเวลา ด้าน สว่างได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ แต่ด้าน ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ถูกบังด้วยเงา ของตัวเอง ดวงจันทร์มีการหมุนรอบ ตัวเองเท่ากับคาบการโคจรรอบโลก ทา ให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบโลกจะหันส่วน สว่างมายังโลกแตกต่างกัน ทาให้เรา สังเกตเห็นส่วนสว่างของดวงจันทร์ แตกต่างไปในแต่ละวัน เกิดเป็นข้างขึ้น ข้างแรม ปรากฏการณ์น้าขึ้นน้าลง เป็น ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ซึ่งเป็นผลมาจาก ความต่างของแรงโน้มถ่วงท่ีดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์กระทาต่อโลก แต่ เน่ืองจากระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์ กับโลกมากกว่าระยะห่างระหว่างโลก กับดวงจันทร์มาก จึงทาให้ดวงจันทร์มี อิทธิพลต่อการเกิดน้าข้ึนน้าลงมากกว่า ดวงอาทิตย์ เทคโนโลยีอวกาศ คือ การนา ความรู้ วิธีการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาใช้ให้เหมาะสมใน การศึกษาทางดาราศาสตร์และอวกาศ ตลอดจนสามารถนามาประยุกต์ใช้ให้ สอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติและ การดารงชีวิตของมนุษย์ เช่น การนา เ ท ค โ น โ ล ยี อ ว ก า ศ ม า ใ ช้ ส า ร ว จ แ ล ะ ตรวจสอบสภาพอากาศของโลก กล้อง โทรทรรศน์ เปน็ อุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ในการ หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 168

ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ เรยี นร้/ู ตัวชวี้ ัด (ช่ัวโมง) คะแนน (100) สารวจอวกาศ ช่วยทาให้สามารถ ม อ ง เ ห็ น วั ต ถุ ใ น ท้ อ ง ฟ้ า ไ ด้ ชั ด เ จ น มากกว่าการมองด้วยตาเปล่า ซ่ึงกล้อง โทรทรรศน์ประกอบด้วย เลนส์นูน สอง อันทางานร่วมกัน เลนส์นูนที่อยู่ด้าน ใกล้วัตถุทาหนา้ ที่รวมแสง ส่วนเลนส์นูน ทีอ่ ยใู่ กล้ตาทาหนา้ ทเี่ พม่ิ กาลงั ขยาย ดาวเทียม คือสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ สรา้ งขนึ้ แลว้ ส่งข้ึนไปโคจรรอบโลก โดย อาศัยความเข้าใจเก่ียวกับแรงโน้มถ่วง ของโลก ความเร็วในการโคจรและวง โคจรของดาวเทียม ทาให้ดาวเทียม สามารถโคจรรอบโลกได้ ซึ่งดาวเทียมมี ประโยชน์ตอ่ การดารงชวี ิตของมนุษย์ใน หลาย ๆ ด้าน และเป็นยานพาหนะท่ี ออกแบบข้ึนมาเพ่ือใช้ในการบินไปใน อ ว ก า ศ ย า น อ ว ก า ศ ถู ก น า ม า ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ห ล า ก ห ล า ย ด้ า น แ ล้ ว แ ต่ วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ ช่ น ก า ร สื่ อ ส า ร โทรคมนาคม การอุตุนิยมวิทยา การนา ทาง การสารวจดาวเคราะห์ และการ สารวจอวกาศ นกั บินอวกาศ เป็นบุคคล ที่เดินทางไปกับยานอวกาศ ไม่ว่าจะไป ในฐานะใดหรือยานอวกาศแบบใด ท้ังที่ โคจรรอบโลกในระยะความสูงจากพ้ืน ราว 80-100 กิโลเมตรข้ึนไป หรือท่ี เดินทางนอกวงโคจรของโลก การ สารวจอวกาศ เปน็ การใช้วิทยาการด้าน ดาราศาสตร์และอวกาศเพ่ือสารวจและ ศึกษาอวกาศ โครงการสารวจอวกาศ ต่าง ๆ ได้พัฒนาเพ่ิมพูนความรู้ความ เข้าใจต่อโลก ระบบสุริยะและเอกภพ มากขึ้นตามลาดับ การสารวจอวกาศ หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 169

ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวชี้วัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) เริ่มต้นมาต้ังแต่สมัยโบราณ โดยเร่ิม ต้ั ง แ ต่ ก า ร สั ง เ ก ต ด้ ว ย ต า เ ป ล่ า จ น มี วิวัฒนาการเทคโนโลยีอวกาศต่าง ๆ มากมายในปัจจบุ นั รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาคภาค - 30 รวม 60 100 หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 170

วิชา วทิ ยาการคานวณ 3 คาอธิบายรายวิชา จานวน 1 ชั่วโมง/สปั ดาห์ รหัสวชิ า ว23103 จานวน 0.5 หนว่ ยกิต ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 จานวนเวลาเรียนทั้งส้นิ 20 ชัว่ โมง : ภาคเรยี น ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลและสารสารเทศ การใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการข้อมูลและ สารสนเทศ ศกึ ษาเกย่ี วกับการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล การรู้เท่าทันส่ือ ศึกษาเก่ียวกับการ ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและกฎหมายคอมพิวเตอร์ ศึกษาเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน เทคโนโลยี IoT และการพัฒนาแอปพลิเคชนั โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ฝึกทักษะการคิด เผชิญ สถานการณ์การแก้ปัญหา วางแผนการเรียนรู้ ตรวจสอบการเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วย ตนเองผา่ นกระบวนการคิดและปฏบิ ัติ เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์ การ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบ้ืองต้นในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนนาความรู้ ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และนาเทคโนโลยีใหม่ท่ีเกิดขึ้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดารงชีวติ จนสามารถพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและ การจัดการทักษะในการสอื่ สาร ความสามารถในการตดั สนิ ใจ รหสั ตวั ช้ีวดั ว. 4.2 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4 รวมท้ังหมด 4 ตวั ชี้วดั หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 171

โครงสรา้ งรายวชิ า วชิ า วิทยาการคานวณ 3 รหสั วชิ า ว23103 จานวน 1 ชว่ั โมง/สัปดาห์ ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 จานวน 0.5 หน่วยกิต จานวนเวลาเรียนทงั้ ส้นิ 20 ชัว่ โมง : ภาคเรยี น สดั สว่ นคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ เรียนรู้/ตวั ชีว้ ดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 1 การจัดการ ว 4.2 ม.3/2 การรวบรวมข้อมลู เป็นขั้นตอนท่ี 4 10 ขอ้ มูลและ สาคัญที่สุดของการจดั การข้อมลู และ สารสนเทศ สารสนเทศ ดังน้นั ควรมคี วามเขา้ ใจเกีย่ วกับลักษณะและ ประเภทของข้อมลู ตลอดจนวิธกี าร รวบรวมขอ้ มลู เพ่ือจะไดน้ าไป ประยุกต์ใช้ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและ เหมาะสม การประมวลผลข้อมูล เป็นการ คานวณหรอื การเปรียบเทยี บเพือ่ ให้ ข้อมลู อยใู่ นรปู แบบทเ่ี ป็นประโยชนต์ รง ตามความต้องการ การจัดการข้อมลู และสารสนเทศมี การนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มาช่วยในการ จัดการข้อมูล โดยมีท้งั ซอฟตแ์ วรท์ ีใ่ ช้ใน การรวบรวมขอ้ มูล ซอฟตแ์ วร์ที่ใชใ้ น การประมวลผลข้อมลู และซอฟตแ์ วร์ที่ ใช้ในการนาเสนอขอ้ มูลเพ่ือการจัดการ ขอ้ มูลและสารสนเทศอย่างมี ประสิทธิภาพ 2 ความ ว 4.2 ม.3/3 การสืบคน้ แหลง่ ข้อมลู เป็น 6 20 นา่ เชอ่ื ถือ กระบวนการคน้ หาข้อมูลตามที่ต้องการ ของขอ้ มลู โดยใชเ้ คร่ืองมือต่าง ๆ อกี ทง้ั ขอ้ มูลที่ได้ จะต้องมีการประเมินความนา่ เชอ่ื ถอื ของขอ้ มูล เพือ่ คัดเลือกข้อมูลท่ีไดจ้ าก การสืบค้นข้อมูลที่มีคณุ ค่า มีความ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 172

ที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ เรยี นรู/้ ตัวช้ีวัด (ชั่วโมง) คะแนน (100) น่าเชอ่ื ถือ เป็นการพิจารณาเพ่ือ คดั เลอื กจากแหล่งขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ซึ่งจาก การประเมนิ ความนา่ เช่ือถือจะทาให้เรา ไดข้ ้อมลู ท่ีมีคณุ คา่ และนาข้อมลู ไป ประยุกตใ์ ช้อยา่ งเหมาะสม การรู้เทา่ ทนั ส่ือเปน็ ลักษณะ สมรรถนะที่ครอบคลมุ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ในส่วนทเี่ กี่ยวข้องกับ ความสามารถในการเขา้ ถึงสารสนเทศ ผ่านสื่อ และเทคโนโลยีดจิ ิทัล การเลือก รับ วิเคราะห์ ประเมิน และนาข้อมูล ที่ได้รับไปใชใ้ นทางสรา้ งสรรค์ 3 เทคโนโลยี ว 4.2 ม.3/4 การใชง้ านเทคโนโลยีสารสนเทศโดย 4 5 สารสนเทศ คานึงถงึ ความปลอดภยั ในการใชง้ าน เชน่ การทาธุรกรรม ออนไลน์ การซ้อื สินคา้ ออนไลน์ และการใชง้ าน เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีจิตสานกึ และจริยธรรมท่ีดี คานงึ ผลกระทบท่ี อาจสง่ ผลต่อผู้อนื่ ภายใต้กฎหมายท่ี เก่ยี วข้องกับการใช้งานเทคโนโลยี สารสนเทศหลายฉบับ เช่น พระราชบญั ญัติว่าดว้ ยการกระทา ความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยธรุ กรรมทาง อิเลก็ ทรอนิกส์ พระราชบญั ญัติ การ รกั ษาความม่ันคงปลอดภัยไซเบอร์ โดย พระราชบญั ญตั วิ ่าดว้ ยการกระทา ความผดิ เกี่ยวกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550 และพระราชบญั ญัติวา่ ดว้ ยการ กระทาความผดิ เกย่ี วคอมพวิ เตอร์ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ.2560 หรอื ลขิ สทิ ธ์ิ เป็น หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 173

ที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ เรยี นร/ู้ ตวั ชวี้ ัด (ช่วั โมง) คะแนน (100) ผลงานท่ีเกดิ จากการใช้ปญั ญา ความรู้ ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน ซงึ่ ถือว่าเป็นทรัพยส์ นิ ทางปญั ญา ประเภทหนึง่ ทก่ี ฎหมายใหค้ วาม คุ้มครอง 4 แอปพลิเคชั่น ว 4.2 ม.3/1 การทาใหอ้ ุปกรณ์หลายตัวสามารถ 6 15 ส่อื สาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และทางาน ร่วมกนั ได้นนั้ เรยี กว่า เทคโนโลยี IoT ต้องอาศัยความสามารถของ Smart Device ซ่งึ อุปกรณ์ท่มี ีหน่วย ประมวลผล หรือเซนเซอรภ์ ายในตวั เพือ่ ส่งขอ้ มูลผา่ น Cloud Computing หรอื Wireless Network เปน็ ตวั กลาง ในการรับส่งข้อมลู ภายในเครอื ขา่ ยเพือ่ ประมวลผล และอาศยั Dashboard สาหรบั แสดงผลและใช้ควบคุมการ ทางานจากผใู้ ช้ แอปพลเิ คชนั เปน็ โปรแกรมที่ถูก พฒั นาขน้ึ มาเพ่ืออานวยในด้านต่าง ๆ มี การออกแบบมาเพื่อใชง้ านในหลาย รปู แบบ ซง่ึ การพฒั นาโปรแกรมใน ปจั จบุ ันนยิ มใชโ้ ปรแกรมภาษาไพทอน (Python) เพราะเป็นภาษาท่ีอ่านแลว้ เข้าใจง่าย ไมซ่ ับซ้อน รวมคะแนนระหวา่ งเรยี น - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาคภาค - 30 รวม 20 100 หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 174

วิชา ออกแบบเทคโนโลยี 3 คาอธบิ ายรายวิชา จานวน 1 ชวั่ โมง/สัปดาห์ รหสั วชิ า ว23104 จานวน 0.5 หนว่ ยกิต ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 จานวนเวลาเรยี นท้ังส้นิ 20 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศึกษาสาเหตุหรือปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี และผลกระทบต่อมนุษย์ สงั คม เศรษฐกจิ สงิ่ แวดล้อม และอาชพี ในชุมชน เพ่อื สารวจและระบปุ ัญหาท่เี กดิ ข้ึนได้ตรงตามความ จริง กระบวนการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และศาสตร์อ่ืน ๆ ร่วมกัน ความรู้ความ เขา้ ใจเก่ยี วกบั ประเภท และสมบัตขิ องวัสดตุ ่าง ๆ เช่น ไม้ เหล็ก พลาสติก ยางพารา เคร่ืองมือในการ สร้างช้ินงาน เช่น ค้อน ประแจ สว่าน คีมประเภทต่าง ๆ เพ่ือให้สามารถตัดสินใจเลือกแนวทางใน ออกแบบการแกป้ ญั หาได้อย่างเหมาะสม โดยอาศัยกระบวนการเรยี นร้โู ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ( Problem – based Learning) วิธีการ สอนโดยเน้นรูปแบบการสอนแบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning) วัฏจักรการ เรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) และวิธีการสอนโดยเน้นรูปแบบการสอน แบบอุปนัย (Induction) เพ่ือเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ฝึกทักษะการคิด เผชิญสถานการณ์การ แก้ปัญหา วางแผนการเรียนรู้ ตรวจสอบการเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเองผ่าน กระบวนการคดิ และปฏิบตั ิ โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะเก่ียวกับการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ ในการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ ที่สามารถนาไปใช้ในชีวิตจริงได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อสังคม และการดารงชีวิต จนสามารถพัฒนากระบวนการ คิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะในการสื่อสาร และ ความสามารถในการตัดสนิ ใจ และเป็นผูท้ ีม่ ีจิตวทิ ยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการ ใช้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ยา่ งสรา้ งสรรค์ รหสั ตวั ช้ีวดั ว. 4.1 ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5 รวมท้ังหมด 5 ตัวชีว้ ดั หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 175

โครงสร้างรายวชิ า วชิ า ออกแบบเทคโนโลยี 3 รหัสวชิ า ว23104 จานวน 1 ชว่ั โมง/สัปดาห์ ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 จานวน 0.5 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรยี นทง้ั สิ้น 20 ช่ัวโมง : ภาคเรยี น สดั สว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ เรียนร/ู้ ตวั ชีว้ ดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) 1 เทคโนโลยี ว 4.1 ม.3/1 ความต้องการของมนษุ ย์เกิดข้นึ อยู่ 48 กบั ชวี ิต ตลอดเวลา และยงั ทาให้เกดิ การ เปลยี่ นแปลงในดา้ นตา่ ง ๆ คือ การ เปล่ยี นแปลงด้านเศรษฐกิจ ดา้ นสงั คม ด้านวัฒนธรรม และดา้ นสิ่งแวดล้อม ปัจจบุ ันมกี ารนาเทคโนโลยีข้ันสงู มา ใชใ้ นทุกภาคสว่ น ดงั น้นั เทคโนโลยจี งึ เกี่ยวข้องกับการนาความรู้จากศาสตร์ ต่าง ๆ มาประกอบกบั ความรู้ดา้ น วิทยาศาสตรแ์ ละด้านคณิตศาสตร์ เพอื่ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอาชีพตา่ ง ๆ ในชุมชนอย่างสรา้ งสรรค์ เพอื่ ตอบ สนองตอ่ ตลาดแรงงาน โดยมงุ่ สง่ เสรมิ เทคโนโลยีพืน้ ฐานท้ัง 4 ด้าน ไดแ้ ก่ เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยวี สั ดุศาสตร์พลงั งานและ สิง่ แวดลอ้ ม และเทคโนโลยีสารสนเทศ การส่ือสาร และดจิ ิทัล 2 เทคโนโลยี ว 4.1 ม.3/2 การสารวจชมุ ชน เปน็ ศึกษา 6 12 กับการ ม.3/3 ข้อเท็จจรงิ เกยี่ วกับลักษณะและสภาพ พัฒนางาน ของสังคม เศรษฐกจิ วัฒนธรรม ความ อาชีพ ตอ้ งการ และปญั หาในชมุ ชน เพอ่ื ให้ ภายใน ทราบลักษณะและขอบเขตของปญั หา ชมุ ชนหรอื ต่าง ๆ ทม่ี ีอยู่ในชมุ ชน และเป็นพน้ื ฐาน ท้องถ่นิ ในการศึกษาหาสาเหตุของแต่ละปญั หา และหาแนวทางในการปรับปรุงแกไ้ ข ซ่ึงปญั หาหรอื ความต้องการภายใน หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 176

ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก การเรียนรู้ เรยี นรู้/ตัวชี้วดั (ชว่ั โมง) คะแนน (100) ชุมชนหรือท้องถ่นิ นน้ั สามารถแบง่ เปน็ ประเภทต่าง ๆ ได้ดงั น้ี คือ ปัญหาดา้ น เศรษฐกจิ ด้านสงั คม ดา้ นวัฒนธรรม และดา้ นส่ิงแวดลอ้ มเทคโนโลยี เปน็ ส่ิง ท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึนมาใชเ้ พื่อการ แก้ปัญหาพ้นื ฐานทเ่ี กิดขึ้นในการ ดารงชวี ติ ตง้ั แต่สมยั โบราณ โดยมกี าร แบ่งระดบั ของเทคโนโลยที ใ่ี ช้ในการ แกป้ ัญหาออกเป็น 3 ระดับ 3 วัสดุ ว 4.1 ม.3/5 วสั ดุ หมายถึง ส่งิ ของหรือวัตถุท่ี 48 อปุ กรณ์ นามาใชป้ ระกอบกนั เป็นชิ้นงานตาม เคร่อื งมอื การออกแบบมีสมบตั ิเฉพาะตัวทาง และความรู้ ฟิสิกส์ ทางเคมี ทางไฟฟ้า หรือสมบตั ิ ในการ เชิงกลแตกตา่ งกันไป โดยวสั ดแุ บ่งเป็น แก้ปัญหา 2 ประเภท คือ โลหะและอโลหะโดย หรือพฒั นา การเลือกใชว้ ัสดคุ วรพิจารณาจากสมบตั ิ งาน ของวัสดุใหต้ รงกบั งานทอ่ี อกแบบหรือ ตามวตั ถปุ ระสงค์ที่ต้องการ รวมถงึ การ ใชง้ านอปุ กรณแ์ ละเคร่อื งมือชา่ งพื้นฐาน ถอื วา่ เป็นตวั ชว่ ยทส่ี าคัญในการ ออกแบบกระบวนการผลติ การแกป้ ัญหาโดยการพัฒนางาน จาเปน็ ต้องอาศยั กลไกใหท้ างาน ประสานสอดคล้องกันในการพัฒนา ชิน้ งาน ได้แก่ ลอ้ และเพลา รอก เฟือง ตรง คาน และสปรงิ รวมถึง กระบวนการไฟฟ้าทก่ี ่อให้เกดิ พลังงาน อ่ืน ๆ เชน่ แสงสวา่ ง ความรอ้ น พลงั งานกล การควบคุมหรือออกแบบ การไหลของกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 177

ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ เรียนรู/้ ตัวช้วี ัด (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 4 การ ว 4.1 ม.3/1 กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม 6 12 แก้ปญั หา ม.3/2 เป็นกระบวนการแก้ปัญหาหรอื พฒั นา ชุมชนหรอื ม.3/3 ช้นิ งานอย่างเป็นขั้นตอนภายใต้ ทอ้ งถ่ินด้วย ม.3/4 ทรพั ยากรทีม่ ีอย่โู ดยวิเคราะห์ กระบวนกา สถานการณ์ของปญั หา ผลกระทบของ รออกแบบ การแกป้ ัญหา เพื่อนาไปสู่การออกแบบ เชิง แนวทางการแกป้ ัญหา โดยใช้ความรู้ วิศวกรรม ดา้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตร์อื่น ๆ สาหรับกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม โดยการพัฒนาชุมชนอย่าง ยงั่ ยนื นั้น จะม่งุ เนน้ พัฒนาชุมชนให้ พึง่ พาตวั เองได้ผ่านการสรา้ งผู้นาชมุ ชน ท่ีเข้มแข็ง ทางานตอบสนองต่อ สภาพแวดล้อมที่เปน็ เอกลักษณ์ของแต่ ละชุมชน นาวธิ กี ารพัฒนาท่ีไดผ้ ลมาใช้ แก้ปญั หาทีส่ าคญั ของชมุ ชน และ กระตนุ้ ให้เกิดการลงมือทา ตลอดจนมี การสรา้ งเศรษฐกจิ ให้กบั ชมุ ชนโดย อาศยั กระบวนการออกแบบเชิง วิศวกรรมมาช่วยในการสรา้ งงาน เพ่อื นาไปส่กู ารแก้ปัญหาท่เี กดิ ข้ึนในชุมชน อยา่ งย่ังยนื รวมคะแนนระหว่างเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาคภาค - 30 รวม 20 100 หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 178

คาอธิบายรายวิชา โครงสรา้ งรายวชิ าเพ่มิ ระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ คาอธิบายรายวิชา รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา รหัสวชิ า ว21201 จานวน 2 ชวั่ โมง/สัปดาห์ ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 จานวน 1.0 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรียนทงั้ สิน้ 40 ชวั่ โมง : ภาคเรยี น ศึกษา วิเคราะห์ และทดลองเก่ียวกับกระบวนการทางานของนักวิทยาศาสตร์ ของเล่น พนื้ บ้านเชิงวิทยาศาสตร์ การแกป้ ญั หาทางวิทยาศาสตรเ์ ร่มิ ต้นกบั โครงงานวิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบค้นข้อมูลการอภิปราย กระบวนการ สารวจตรวจสอบและกระบวนการฝกึ ปฏิบตั ิ เพือ่ ใหน้ ักเรยี นเกดิ ความร้คู วามเขา้ ใจ ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ สามารถส่ือสาร สง่ิ ทีเ่ รยี นรมู้ งุ่ มน่ั ในการทางาน มีความสามารถในการตัดสินใจ การใช้เทคโนโลยี เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มี จติ วิทยาศาสตร์ มจี รยิ ธรรมคุณธรรมทพ่ี ึงประสงค์ ผลการเรียนรู้ 1. ตัง้ คาถามท่ีกาหนดประเด็นหรอื ตัวแปรท่สี าคัญในการสารวจตรวจสอบหรือศกึ ษาค้นคว้า เรอ่ื งทสี่ นใจได้อย่างครอบคลุมและเชอ่ื ถือได้ 2. ต้งั สมมติฐานจากปญั หาหรือเหตุการณต์ า่ ง ๆได้อย่างเหมาะสม 3. ออกแบบและวางแผนการสารวจตรวจสอบเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน โดยมกี ารกาหนด และควบคุมตัวแปรต่าง ๆ และกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบตั ิการได้อย่างเหมาะสม 4. เลอื กเทคนิควิธกี ารสารวจทัง้ เชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพที่ได้ผลเที่ยงตรงและปลอดภยั โดยใช้วัสดแุ ละเคร่อื งมอื ท่ีเหมาะสม 5. บนั ทกึ ข้อมูลทสี่ ามารถอ่านเขา้ ใจง่ายและสรปุ ผลของขอ้ มูลจากการสารวจตรวจสอบได้ 6. วเิ คราะห์และประเมินความสอดคล้องของประจักษพ์ ยานกบั ข้อสรปุ ทง้ั ท่ีสนับสนุนหรือ ขัดแย้งกับสมมติฐานและความผิดปกตขิ องขอ้ มลู รวมท้ังหมด 6 ผลการเรียนรู้ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 179

โครงสรา้ งรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร์กบั การแก้ปญั หา รหัสวชิ า ว21201 จานวน 2 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 1.0 หน่วยกติ จานวนเวลาเรยี นท้ังสิ้น 40 ชว่ั โมง : ภาคเรยี น สดั ส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตวั ช้ีวัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 1 วทิ ยาศาสตร์ ตัง้ คาถามที่กาหนด ความหมายของวทิ ยาศาสตร์ 10 10 พนื้ ฐาน ประเดน็ หรือตัวแปรที่ ขอบข่ายสาขาของวิทยาศาสตร์ สาคัญในการสารวจ องคป์ ระกอบของวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบหรือศึกษา ค้นคว้าเรือ่ งท่สี นใจได้ อยา่ งครอบคลุมและ เชือ่ ถอื ได้ 2 นกั วิทยาศา บนั ทึกข้อมูลทีส่ ามารถ นักวทิ ยาศาสตร์ไทย และ 10 10 สตรไ์ ทยและ อ่านเขา้ ใจง่ายและ นกั วิทยาศาสตร์โลก นักวิทยา สรุปผลของข้อมูลจาก ศาสตรโ์ ลก การสารวจตรวจสอบ ได้ 3 อปุ กรณ์ เลอื กเทคนิควธิ กี าร กระบวนการฝึกปฏิบตั ิ เพ่ือให้ 10 10 พนื้ ฐานทาง สารวจท้งั เชงิ ปรมิ าณ นกั เรยี นเกดิ ความร้คู วามเข้าใจ ใช้ วทิ ยาศาสตร์ และเชงิ คุณภาพท่ี กระบวนการเรยี นรู้แบบบูรณาการ ไดผ้ ลเทยี่ งตรงและ ปลอดภยั โดยใช้วัสดุ และเคร่ืองมือท่ี เหมาะสม 4 วธิ ีการทาง ตั้งสมมตฐิ านจาก ขน้ั ตอนการแก้ปัญหาโดยใช้วธิ ีการ 10 20 วทิ ยาศาสตร์ ปัญหาหรอื เหตุการณ์ ทางวทิ ยาศาสตร์ สงั เกต ตา่ ง ๆได้อย่าง จากสถานการณท์ ่ีกาหนดใหเ้ พอื่ เหมาะสม กาหนดปญั หา ต้งั สมมตุ ฐิ านจาก เลอื กเทคนิควธิ ีการ ปญั หาที่กาหนดให้ ออกแบบการ สารวจท้งั เชงิ ปรมิ าณ ทดลองและกาหนดตัวแปรให้ และเชิงคุณภาพที่ สอดคลอ้ งกับสมมุติฐาน วเิ คราะห์ ไดผ้ ลเทยี่ งตรงและ ข้อมูลและสรปุ ผลจากข้อมลู ที่ หลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 180

ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ ตัวชี้วัด (ช่วั โมง) คะแนน (100) ปลอดภัยโดยใช้วัสดุ กาหนดให้ นาวธิ ีการทาง และเครื่องมือที่ วทิ ยาศาสตรไ์ ปแก้ปัญหาจาก เหมาะสม สถานการณ์ในชวี ติ ประจาวัน สามารถส่อื สารและนาเสนอผล ของการแก้ปญั หาด้วยวิธกี ารตา่ งๆ รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 181

คาอธิบายรายวชิ า รายวิชา ทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว21202 จานวน 2 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 จานวน 1.0 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรยี นท้ังสิ้น 40 ช่ัวโมง : ภาคเรียน ศึกษา วิเคราะห์ และฝกึ ฝนเกยี่ วกับทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทกั ษะการวดั ทกั ษะการจาแนกประเภท ทักษะการหาความสัมพันธร์ ะหว่างสเปสกับสเปส และสเปส กบั เวลา ทักษะการคานวณ ทกั ษะการจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมูล ทักษะการลงความคิดเห็น จากข้อมูล ทักษะการพยากรณ์ ทักษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ ทักษะการกาหนดและควบคุมตัวแปร ทักษะการทดลอง ทักษะการตีความหมายข้อมูลและการลง สรุป ตลอดจนบูรณาการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สู่การทดลองเพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้อง กบั ชมุ ชนและสังคม โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบค้นข้อมูล การอภิปราย การสารวจ ตรวจสอบและกระบวนการปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มุ่งมั่นในการทางาน มีความสามารถในการส่ือสาร ในการคิด ในการแก้ปัญหา ในการใช้ทักษะชีวิต ในการใช้เทคโนโลยี เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีจิตวิทยาศาสตร์ มี จริยธรรมคุณธรรมทพี่ งึ ประสงค์ ผลการเรยี นรู้ 1. อธิบาย สบื ค้น ตรวจสอบ และปฏิบัติการฝกึ ฝนทักษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ 2. สารวจตรวจสอบ และค้นหาคาตอบทางวทิ ยาศาสตร์ ดว้ ยทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ 3. ออกแบบดัดแปลง และ/หรือคิดสรา้ งสรรคป์ ระดษิ ฐ์สิง่ ใหม่ ๆด้วยกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ 4. จัดแสดงผลงาน เขยี นรายงาน และ/หรืออธบิ ายเกยี่ วกับแนวคิด กระบวนการ และผล ของช้ินงาน/การทดลองทต่ี นเองสนใจให้ผ้อู น่ื เข้าใจ 5. พฒั นาเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ โดยเน้นความรับผดิ ชอบ ความซ่อื สตั ย์ ความมใี จกวา้ ง และยอมรบั ฟัง ความคิดเหน็ ของผอู้ ่ืน รวมท้ังหมด 5 ผลการเรยี นรู้ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 182

โครงสร้างรายวชิ า รายวิชา ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว21202 จานวน 2 ช่ัวโมง/สัปดาห์ ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 จานวน 1.0 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรยี นท้งั ส้นิ 40 ชั่วโมง : ภาคเรยี น สัดส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ ตัวช้วี ดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) 1 การใช้ อธบิ าย สบื คน้ ทกั ษะในการใชเ้ ครื่องมือทาง 5 10 เคร่ืองมอื ตรวจสอบ และ วทิ ยาศาสตรเ์ บ้อื งต้น ทาง ปฏิบัติการฝึกฝน วทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ เบื้องตน้ วทิ ยาศาสตร์ 2 เบอ้ื งตน้ กับ สารวจตรวจสอบ และ ความรูค้ วามเข้าใจเกยี่ วกบั 5 10 โครงงาน ค้นหาคาตอบทาง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดว้ ย ทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ 3 ทกั ษะ สารวจตรวจสอบ และ การสังเกต การวดั การจาแนก 10 10 กระบวนการ ค้นหาคาตอบทาง ประเภท การหาความสมั พนั ธ์ ขน้ั พ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ดว้ ย ระหวา่ งสเปสกบั สเปสและสเปสกับ ทักษะกระบวนการ เวลา การใชต้ ัวเลข การจดั กระทา ทางวิทยาศาสตร์ และสอ่ื ความหมายข้อมลู การ ลงความคดิ เห็น การพยากรณ์ 4 ทักษะ ออกแบบดัดแปลง การบ่งช้ีและบอกชนดิ ของตวั แปร 10 10 กระบวนการ และ/หรอื คดิ การสรา้ งตารางเพื่อบรรจขุ อ้ มูล ข้นั ผสม สร้างสรรคป์ ระดษิ ฐ์ จากการทดลอง การเขียนกราฟ สงิ่ ใหม่ ๆดว้ ย การอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่าง กระบวนการทาง ตัวแปรจากการทดลอง วทิ ยาศาสตร์ การรวบรวมและจัดกระทาขอ้ มลู การ วเิ คราะหผ์ ลการทดลอง การตงั้ สมมตุ ฐิ าน การใหน้ ิยาม เชิงปฏิบตั กิ ารของตัวแปรการ ออกแบบการทดลอง การทดลอง 5 ผลงานและ จดั แสดงผลงาน เขยี น กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 10 10 หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 183

ที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตวั ช้วี ัด (ช่ัวโมง) คะแนน (100) ชิ้นงานทาง รายงาน และ/หรือ กระบวนการสบื คน้ ข้อมลู การ วทิ ยาศาสตร์ อธิบายเก่ียวกบั อภปิ ราย การสารวจตรวจสอบ แนวคดิ กระบวนการ และกระบวนการปฏบิ ตั ิ เพื่อให้ และผลของ เกิดความรู้ความเข้าใจ มุ่งมนั่ ใน ช้ินงาน/การทดลองที่ การทางานและออกแบบดัดแปลง ตนเองสนใจใหผ้ ู้อืน่ หรอื คดิ สร้างสรรคป์ ระดิษฐส์ งิ่ ใหม่ เข้าใจ รวมคะแนนระหว่างเรยี น - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 184

รายวชิ า เรม่ิ ต้นโครงงานวิทยาศาสตร์ คาอธบิ ายรายวิชา จานวน 2 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ รหัสวชิ า ว22201 จานวน 1.0 หนว่ ยกติ ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 จานวนเวลาเรียนทงั้ ส้ิน 40 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศกึ ษาค้นคว้า ดูงานและทากิจกรรมในรูปแบบต่างๆ โดยเน้นเกี่ยวกับกระบวนการแก้ปัญหา อย่างมีระบบ ฝึกทักษะการต้ังสมมติฐาน การออกแบบการารทดลอง การกาหนดและควบคุมตัว แปรตลอดจนการใช้เคร่ืองมือพ้ืนฐาน เพ่ือให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงงานและสามารถนา ความรู้ และทักษะไปใช้ในการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ให้ได้ผล ทาโครงงานประเภทแบสารวจหรือ โครงงานประเภททดลอง หรือท้ังสองประเภทตามข้ันตอนทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มีความรู้ความ เข้าใจเรอ่ื งโครงงาน สามารถวางแผนดาเนนิ การตามโครงงานและนาเสนอผลงานได้อย่างเหมาะสม โดยใช้กระบวนการาทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การ สบื คน้ ขอ้ มูลและการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสารส่ิงที่เรียนรู้มีความสามารถในการ ตัดสนิ ใจ เหน็ คณุ คา่ ของการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ ใฝ่เรียนรู้ มงุ่ มัน่ ในการทางาน มีจริยธรรม คณุ ธรรมและค่านยิ มท่เี หมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. สืบคน้ ข้อมูล และวเิ คราะหป์ ระเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ วา่ เป็นโครงงาน วิทยาศาสตรป์ ระเภททดลอง ประดษิ ฐ์ สารวจ หรอื ทฤษฎี 2. สบื ค้นขอ้ มลู และเลือกเรื่องท่ีจะทาโครงงานตามความถนดั และความสนใจโดยใช้ ทักษะทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ 3. สืบค้นข้อมลู และวิเคราะห์ตัวอยา่ งโครงงานวทิ ยาศาสตรท์ ่ผี า่ นการทดลอง รวบรวม ข้อมลู และสรปุ ผลจากแหลง่ ตา่ งๆ 4. วเิ คราะห์ขอ้ มลู อธบิ าย และตดั สนิ ใจโดยใช้กระบวนการกลุ่มในการระบปุ ัญหาท่ีจะทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ความสาคัญ และเหตผุ ลในการตดั สนิ ใจ 5. สบื คน้ ขอ้ มลู ศึกษาเอกสาร หรอื แหล่งเรียนรอู้ ืน่ ๆ ทเี่ ก่ียวข้องกบั โครงงานวิทยาศาสตร์ ท่ตี ดั สนิ ใจเลือก 6. วเิ คราะห์ ออกแบบการทดลอง และวางแผนการดาเนินงานทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เลอื กวัสดุอุปกรณ์ในการดาเนินงานได้อย่างปลอดภยั 7. สืบค้นข้อมูล และวเิ คราะห์เกณฑ์การประเมินโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และแลกเปล่ยี น การประเมนิ ซ่งึ กนั และกนั ตลอดจนยอมรบั ผลการประเมินดว้ ยความภาคภมู ใิ จ 8. มีเจตคตทิ างวิทยาศาสตรแ์ ละเจตคตทิ ี่ดีตอ่ วิชาวิทยาศาสตร์ รวมทั้งหมด 8 ผลการเรยี นรู้ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 185

โครงสร้างรายวชิ า รายวิชา เร่มิ ตน้ โครงงานวิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว22201 จานวน 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 จานวน 1.0 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรียนทัง้ สนิ้ 40 ชวั่ โมง : ภาคเรยี น สัดสว่ นคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตัวช้ีวดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) 1 ความหมาย 1. สบื ค้นข้อมูล และ - โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภท 5 10 และ วิเคราะห์ประเภทของ ทดลอง ประเภทของ โครงงานวิทยาศาสตร์ - โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภท โครงงาน วา่ เป็นโครงงาน สารวจ วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ - โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภท ป ร ะ เ ภ ท ท ด ล อ ง สิง่ ประดิษฐ์ ป ร ะ ดิ ษ ฐ์ ส า ร ว จ โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภท หรือทฤษฎี ทฤษฎี 2 ทกั ษะ 2. สืบคน้ ข้อมูล และ - จุดเน้นของโครงงาน 10 10 15 20 กระบวนกา เลือกเรื่องท่ีจะทา วทิ ยาศาสตร์ รทาง โครงงานตามความ - ทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ถนัด และความสนใจ วิทยาศาสตรข์ ัน้ พนื้ ฐาน โดยใช้ทักษะทาง ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เป็น วทิ ยาศาสตร์ขั้นผสมหรือขัน้ สูง เครื่องมอื 3 ลาดบั 3. สืบค้นข้อมูล และ - สารวจและเลอื กเรอื่ งทีจ่ ะทา ขน้ั ตอนใน วเิ คราะหต์ ัวอย่าง โครงงานวิทยาศาสตร์ การทา โครงงานวิทยาศาสตร์ - วิเคราะห์โครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงาน ทผี่ า่ นการทดลอง - ระบุปญั หาหรอื เร่ืองทจ่ี ะทา วิทยาศาสตร์ รวบรวมข้อมูลและ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สรุปผลจากแหลง่ - ศกึ ษาเอกสารหรือแหลง่ ข้อมูล ต่างๆ อืน่ ทเี่ ก่ยี วข้องกับโครงงาน 4. วเิ คราะห์ข้อมลู วทิ ยาศาสตร์ อธบิ าย และตัดสนิ ใจ - ออกแบบการทดลอง และ โดยใชก้ ระบวนการ วางแผนดาเนนิ การทาโครงงาน กลุม่ ในการระบปุ ัญหา วทิ ยาศาสตร์ ท่จี ะทาโครงงาน - เขียนเคา้ โครงของโครงงาน หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 186

ที่ ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั (ชั่วโมง) คะแนน (100) วทิ ยาศาสตร์ ความ วิทยาศาสตร์ สาคญั และเหตุผลใน - ลงมือทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ การตัดสินใจ - เขยี นรายงานโครงงาน 5. สืบคน้ ข้อมูล ศึกษา วทิ ยาศาสตร์ เอกสาร หรือแหล่ง - เสนอผลงงานและจดั แสดงผล เรยี นรอู้ ืน่ ๆ ท่ี งานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เกี่ยวขอ้ งกับโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ทตี่ ัด สนิ ใจเลอื ก 6. วเิ คราะห์ ออกแบบ การทดลอง และ วางแผนการดาเนิน งานทาโครงงาน วิทยาศาสตร์ เลือก วสั ดอุ ุปกรณใ์ นการ ดาเนนิ งานได้ 4 การ 7. สบื คน้ ขอ้ มลู และ - หลกั เกณฑ์การประเมินโครงงาน 10 10 ประเมินผล วิเคราะหเ์ กณฑ์การ วทิ ยาศาสตร์ โครงงาน ประเมินโครงงาน - ประเมินโครงงานวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และ แลกเปลี่ยนการ ประเมินซึ่งกันและกัน ตลอดจนยอมรบั ผล การประเมนิ ด้วยความ ภาคภูมิใจ 8. มเี จตคติทาง วทิ ยาศาสตร์ รวมคะแนนระหวา่ งเรยี น - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 187

รายวชิ า โครงงานวทิ ยาศาสตร์ คาอธบิ ายรายวิชา จานวน 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ รหัสวชิ า ว22202 จานวน 1.0 หนว่ ยกติ ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 จานวนเวลาเรียนทัง้ สิน้ 40 ชวั่ โมง : ภาคเรียน ศึกษาและวิเคราะห์ ปฏิบัติการทดลอง ประดิษฐ์คิดค้นโครงงานวิทยาศาสตร์ บูรณาการ กับภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจ ตรวจสอบ การสืบคน้ ข้อมลู และการอภปิ รายเพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ นาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีจิต วิทยาศาสตร์ มีความภมู ิใจท่ีได้พฒั นาภมู ปิ ญั ญาไทย ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน โดยใช้วธิ กี ารกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบคน้ ข้อมูล โครงงานวิทยาศาสตร์ และอภปิ รายเพื่อให้เกิดความร้คู วามเข้าใจ สามารถส่ือสาร สงิ่ ทีเ่ รียนรู้ มคี วามสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน มีความรักและสนใจในวิชา วิทยาศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์ โดยการสังเกต การตอบคาถาม การทดลอง การนาเสนอ จาก การศกึ ษาค้นคว้าและการประเมนิ จากผลงานมจี ิตวทิ ยาศาสตร์ ผลการเรียนรู้ 1. วเิ คราะหข์ อ้ มูล จุดมงุ่ หมาย ความสาคัญ แผนการปฏิบัตงิ าน และผลทีค่ าดหวัง เพ่อื เขียนเค้าโครงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 2. อธบิ าย และกาหนดมอบหมายงานหน้าที่ ความรับผดิ ชอบภายในกลมุ่ ในการจัดทา โครงงานวิทยาศาสตร์ไดอ้ ย่างเหมาะสมและปลอดภัย 3. วเิ คราะห์ และรวบรวมข้อมูลจากการทดลอง เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรต์ าม รูปแบบ 4. วิเคราะห์ ออกแบบ วางแผนวิธกี ารเสนอผลงาน และจดั แสดงโครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อดึงดูดความสนใจของผเู้ ข้าชม จดั ให้มคี วามชัดเจนเขา้ ใจงา่ ย มคี วามถูกต้องตามเน้ือหา 5. สบื ค้นข้อมูล จดั ทา และอธิบายเกี่ยวกับโครงงานวทิ ยาศาสตรก์ บั ภมู ปิ ัญญาไทย และ ท้องถิน่ ตลอดจนเผยแพร่ผลงานส่สู าธารณชน 6. มเี จตคตทิ างวทิ ยาศาสตรแ์ ละเจตคติท่ีดีต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ รวมทั้งหมด 6 ผลการเรยี นรู้ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 188

โครงสร้างรายวชิ า รายวชิ า โครงงานวทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว22202 จานวน 2 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ ระดับช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 จานวน 1.0 หน่วยกิต จานวนเวลาเรยี นทั้งส้นิ 40 ชัว่ โมง : ภาคเรียน สัดส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ ตวั ชวี้ ดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) 1 เคา้ โครงของ 1. วิเคราะห์ข้อมลู - ความหมาย 5 10 โครงงาน จุดมงุ่ หมาย - ส่วนประกอบเค้าโครงของ วทิ ยาศาสตร์ ความสาคญั แผนการ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ปฏิบตั ิงาน และผลท่ี คาดหวงั เพ่ือเขียน เค้าโครงโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ 2 การลงมอื ทา 2. อธบิ าย และ - ทาการทดลอง และมอบหมาย 15 10 โครงงาน กาหนดมอบหมายงาน งานหนา้ ท่ี ความรับผดิ ชอบภายใน วิทยาศาสตร์ หน้าท่ี ความ กลุ่มในการจดั ทาโครงงาน รบั ผิดชอบภายในกลมุ่ ในการจัดทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ได้อยา่ ง เหมาะสมและ ปลอดภยั 3 การเขียน 3. วเิ คราะห์ และรวบ - ส่วนประกอบการเขียนรายงาน 10 20 รายงานและ รวมข้อมลู จากการ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ การนาเสนอ ทดลอง เขยี นรายงาน - การจัดนทิ รรศการโครงงาน โครงงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตรก์ ารอธิบายหรือ วิทยาศาสตร์ ตามรูปแบบ รายงานปากเปลา่ 4. วิเคราะห์ ออกแบบ วางแผนวิธีการเสนอ ผลงาน และจดั แสดง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เพ่ือดึงดูดความสนใจ ของผู้เข้าชม จดั ใหม้ ี หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 189

ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตวั ชี้วัด (ช่ัวโมง) คะแนน (100) ความชดั เจนเขา้ ใจง่าย มคี วามถูกต้อง 4 โครงงาน 5. สืบค้นขอ้ มลู จัดทา - สารวจรวบรวมภูมิปญั ญาไทย 10 10 วิทยาศาสตร์ และอธิบายเก่ียวกับ ภูมิปญั ญาท้องถ่นิ กบั การ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ - เลอื กเรือ่ งที่ต้องการพัฒนาภูมิ พฒั นาภูมิ กับภูมิปญั ญาไทย ปัญญาไทย ภมู ิปัญญาท้องถน่ิ ปญั ญาไทย และท้องถิน่ ตลอดจน - จดั ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และภมู ิ เผยแพรผ่ ลงานสู่ พัฒนาภมู ปิ ญั ญาไทย ภมู ิปัญญา ปัญญา สาธารณชน ท้องถิน่ ท้องถิ่น 6. มเี จตคติทาง -เสนอผลงานการพฒั นาภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์และเจต ไทย ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ คติที่ดีต่อวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 190

รายวชิ า ดาราศาสตร์เบือ้ งตน้ คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 2 ช่ัวโมง/สัปดาห์ รหสั วชิ า ว23201 จานวน 1.0 หน่วยกติ ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 จานวนเวลาเรยี นท้งั สิ้น 40 ช่ัวโมง : ภาคเรยี น ศึกษาวิเคราะห์ และอธิบายกาเนิดวิวัฒนาการของเอกภพ หลักฐานท่ีสนับสนุนทฤษฎี บิกแบง กาแล็กซีและกาแล็กซีทางช้างเผือก สมบัติของดาวฤกษ์ กาเนิดดาวฤกษ์ กระจุกดาว แหล่งกาเนิดพลังงานของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการของดาวฤกษ์ กาเนิดระบบสุริยะและการแบ่งเขต บริวารรอบดวงอาทิตย์ การโคจรของ ดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ โครงสร้างและปรากฏการณ์บน ดวงอาทติ ย์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การ สังเกต การวเิ คราะห์ การอภิปราย การอธิบายและการสรปุ ผล เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนเกิดความรู้ ความคิด และความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ สื่อสาร ส่ิงท่ีเรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตตนเอง ตลอดจนมีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และ ค่านยิ มทถ่ี ูกต้อง ผลการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายการกาเนิดและการเปลยี่ นแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอณุ หภมู ิของเอกภพหลังเกิด บกิ แบง ในชว่ งเวลาต่าง ๆ ตามววิ ฒั นาการของเอกภพ 2. อธบิ ายหลักฐานที่สนบั สนนุ ทฤษฎีบิกแบง จากความสัมพนั ธ์ระหว่างความเร็วกับ ระยะทางของกาแล็กซี รวมท้ังข้อมูลการคน้ พบไมโครเวฟพื้นหลงั จากอวกาศ 3. อธบิ ายโครงสรา้ งและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผอื ก และระบตุ าแหน่งของ ระบบสุรยิ ะพรอ้ มอธบิ ายเชื่อมโยงกบั การสังเกตเห็นทางชา้ งเผือกของคนบนโลก 4. อธบิ ายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ โดยแสดงการเปลยี่ นแปลงความดัน อุณหภมู ิ ขนาด จากดาวฤกษ์ก่อนเกิดจนเป็นดาวฤกษ์ 5. อธบิ ายกระบวนการสร้างพลงั งานของดาวฤกษแ์ ละผลท่ีเกิดข้ึน โดยวิเคราะหป์ ฏิกริ ยิ า ลูกโซโ่ ปรตอน-โปรตอน และวัฏจักรคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน 6. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสี อณุ หภูมผิ วิ และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ 7. อธบิ ายกระบวนการเกดิ ระบบสุรยิ ะ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทติ ย์และลักษณะของ ดาวเคราะหท์ เี่ อ้ือต่อการดารงชีวติ 8. อธิบายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทติ ย์ดว้ ยกฎเคพเลอร์ และกฎความโนม้ ถว่ ง ของนวิ ตนั พร้อมคานวณคาบการโคจรของดาวเคราะห์ 9. อธบิ ายโครงสร้างของดวงอาทติ ย์ การเกิดลมสุรยิ ะ พายุสุรยิ ะ และวเิ คราะห์ นาเสนอ ปรากฏการณ์หรือเหตุการณท์ ี่เกี่ยวข้องกบั ผลของลมสุริยะ และพายสุ ุรยิ ะทีม่ ีต่อโลก รวมท้ังประเทศ ไทย หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 191

10. สืบค้นข้อมลู อธิบายการสารวจอวกาศ โดยใชก้ ลอ้ งโทรทรรศนใ์ นช่วงความยาวคล่นื ตา่ ง ๆ ดาวเทยี ม ยานอวกาศ สถานอี วกาศ และนาเสนอแนวคดิ การนาความรู้ทางดา้ นเทคโนโลยอี วกาศ มาประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจาวันหรือในอนาคต 11. สบื ค้นขอ้ มลู ออกแบบ และนาเสนอกจิ กรรมการสงั เกตดาวบนท้องฟา้ ด้วยตาเปลา่ และ/หรือกลอ้ งโทรทรรศน์ รวมท้ังหมด 11 ผลการเรียนรู้ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 192

โครงสรา้ งรายวชิ า รายวิชา ดาราศาสตร์เบือ้ งต้น รหัสวชิ า ว23201 จานวน 2 ชว่ั โมง/สัปดาห์ ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 จานวน 1.0 หน่วยกติ จานวนเวลาเรียนทง้ั ส้ิน 40 ชว่ั โมง : ภาคเรยี น สดั ส่วนคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ ตัวชี้วัด (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 1 เอกภพและ อธบิ ายการกาเนดิ กาเนิดเอกภพ/ววิ ฒั นาการของเอก 12 15 กาแล็กซ่ี และการเปลีย่ นแปลง ภพ กาเนดิ กาแล็กซี องค์ประกอบ พลังงาน สสาร ขนาด และชนิดของกาแล็กซี อณุ หภูมขิ องเอกภพ หลงั เกิดบกิ แบง ในช่วงเวลาตา่ ง ๆ ตามววิ ัฒนาการของ เอกภพ อธบิ ายหลักฐานท่ี สนับสนุนทฤษฎีบิ กแบง จาก ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ความเร็วกับระยะทาง ของกาแล็กซี รวมทง้ั ขอ้ มูลการคน้ พบ ไมโครเวฟพื้นหลงั จาก อวกาศ อธิบายโครงสรา้ ง และองค์ประกอบของ กาแล็กซีทางชา้ งเผือก และระบตุ าแหนง่ ของ ระบบสุรยิ ะพร้อม อธบิ ายเชื่อมโยงกับ การสังเกตเห็นทาง ชา้ งเผือกของคนบน โลก 2 ดาวฤกษ์ อธบิ ายกระบวนการ ดาวฤกษ์เกดิ จากกลมุ่ แก๊ส 8 15 หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 193

ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั (ชั่วโมง) คะแนน (100) เกดิ ดาวฤกษ์ โดย ไฮโดรเจน ขนาดใหญท่ ่เี รยี กวา่ แสดงการเปลีย่ นแปลง เนบิวลา ยบุ ตัวลงช้าๆ ด้วยแรง ความดัน อณุ หภมู ิ โน้มถว่ งจากศนู ย์กลาง จงึ เรม่ิ ต้น ขนาด จากดาวฤกษ์ นับอายขุ องกลุ่มแกส๊ นี้ว่า ดาว กอ่ นเกดิ จนเปน็ ดาว ฤกษ์ สีของดาวฤกษ์จะขึน้ อยู่กบั ฤกษ์ อณุ หภูมทิ ผี่ ิว มวลของดาว จะ อธบิ ายกระบวนการ เปน็ ตัวกาหนดอายุของดาว เม่ือ สร้างพลังงานของดาว ดาวฤกษ์ใกลด้ บั จะกลายเปน็ ดาว ฤกษ์และผลท่ีเกิดข้นึ ยักษแ์ ดง ก่อนจะถึงวาระสดุ ท้าย โดยวิเคราะหป์ ฏิกิริยา หรอื หลุมดา ขนึ้ อยกู่ ับขนาดมวลใจ ลูกโซ่โปรตอน- กลางของดาวฤกษน์ ัน้ ๆ โปรตอน และวัฏจกั ร คารบ์ อน ไนโตรเจน ออกซเิ จน อธิบายความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งสี อุณหภูมิผวิ และสเปกตรัมของ ดาวฤกษ์ 3 ระบบสรุ ิยะ อธิบายกระบวนการ ววิ ฒั นาการของระบบสุริยะ 10 15 เกิดระบบสรุ ยิ ะ การ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ แบ่งเขตบริวารของ บริว ารข องด ว งอ าทิต ย์อ ยู่ ดวงอาทิตยแ์ ละ รวมกนั เป็นระบบซ่ึงเป็นไปตามกฎ ลักษณะของดาว แรงโน้มถ่วงของนิวตัน ส่วนการ เคราะหท์ ่เี อ้ือตอ่ การ โคจรของดาวเคราะห์รอบดวง ดารงชวี ิต อาทติ ยเ์ ปน็ ไปตามกฎเคพเลอร์ อธิบายการโคจร ดวงอาทิตย์มีโครงสรา้ งภายใน ของดาวเคราะหร์ อบ แบ่งเปน็ แก่น เขตการแผ่รงั สี และ ดวงอาทิตยด์ ้วยกฎ เขตการพาความร้อน และมชี น้ั เคพเลอร์ และกฎ บรรยากาศอยเู่ หนอื เขตพาความ ความโนม้ ถว่ งของ รอ้ น ซง่ึ แบ่งเป็น 3 ชน้ั คือ ชน้ั นิวตนั พรอ้ มคานวณ โฟโตสเฟียร์ ช้นั โครโมสเฟยี ร์ และ คาบการโคจรของ คอโรนา หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 194

ที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) ดาวเคราะห์อธิบาย โครงสรา้ งของดวง อาทติ ย์ การเกดิ ลม สรุ ิยะ พายสุ รุ ิยะ และ วเิ คราะห์ นาเสนอ ปรากฏการณ์หรือ เหตุการณ์ทเ่ี กีย่ วข้อง กบั ผลของลมสุรยิ ะ และพายุสุรยิ ะทม่ี ีต่อ โลก รวมท้งั ประเทศไทย 4 เทคโนโลยี สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย การพฒั นาเทคโนโลยีเครื่องมือทาง 10 15 อวกาศ การสารวจอวกาศ โดย ดาราศาสตร์ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมาก ใชก้ ล้องโทรทรรศน์ ข้นึ ทาใหม้ ีการเดินทางส่อู วกาศ ในช่วงความยาวคล่ืน ยานอวกาศ สร้างกล้อง ตา่ ง ๆ ดาวเทยี ม ยาน โทรทรรศน์อวกาศ และสถานี อวกาศ สถานีอวกาศ อวกาศ และนาเสนอแนวคดิ การนาความรทู้ างด้าน เทคโนโลยอี วกาศ มา ประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั สืบค้นขอ้ มูล ออกแบบ และนา เสนอกจิ กรรมการ สังเกตดาวบนท้องฟ้า ดว้ ยตาเปลา่ และ/หรอื กล้องโทรทรรศน์ รวมคะแนนระหวา่ งเรยี น - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 195

รายวิชา พลังงานทดแทน คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 2 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ รหัสวชิ า ว32202 จานวน 1.0 หนว่ ยกิต ระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 จานวนเวลาเรียนทั้งส้นิ 40 ชั่วโมง : ภาคเรียน ศึกษา วิเคราะห์ ทดลอง ตรวจสอบ เก่ียวกับพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้า พลังงานชีวมวล และพลังงานนิวเคลียร์ เพ่ือให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการทางวิทยาศาสตร์ของ พลังงานดังกล่าว และการนามาใช้เป็นพลังงานทดแทน และตระหนักในบทบาทและผลกระทบของ พลงั งานเหล่าน้ันทมี่ ีตอ่ มนษุ ย์และสิง่ แวดล้อม โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การสบื คน้ ขอ้ มลู การ สังเกต การวเิ คราะห์ การอภปิ ราย การอธบิ ายและการสรุปผล เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความคิด และความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ ส่ือสาร สิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตตนเอง ตลอดจนมีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และ ค่านิยมท่ีถูกตอ้ ง ผลการเรยี นรู้ 1. สบื คน้ ข้อมูล คิดวิเคราะห์ อภปิ รายและเขยี นบรรยายความสาคญั ของพลงั งาน และ พลังงานทดแทน และการนาพลงั งานทดแทนมาใช้ประโยชน์ 2. อธิบายหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ ในการนาพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ประโยชน์ 3. อธิบายข้อดีและข้อจากดั เกี่ยวกบั การใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการพัฒนาพลงั งาน แสงอาทิตย์ 4. อธบิ ายหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ ในการนาพลังงานลมไปใชป้ ระโยชน์ 5. อธิบายขอ้ ดีและข้อจากดั เก่ียวกบั การใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการพัฒนาพลงั งานลม 6. อธิบายหลักการทางวิทยาศาสตร์ ในการนาพลังงานนา้ ไปใช้ประโยชน์ 7. อธบิ ายขอ้ ดีและข้อจากัดเก่ียวกบั การใช้ประโยชน์ และแนวทางการพัฒนาพลงั งานนา้ 8. อธบิ ายหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ ในการนาพลงั งานชีวมวลไปใช้ประโยชน์ 9. อธิบายข้อดีและข้อจากดั เก่ียวกบั การใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการพัฒนาพลงั งาน ชวี มวล 10. อธบิ ายหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ ในการนาพลังงานนวิ เคลียร์ไปใช้ประโยชน์ 11. อธิบายข้อดแี ละข้อจากดั เกย่ี วกบั การใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการพัฒนาพลงั งาน นิวเคลยี ร์ รวมท้ังหมด 11 ผลการเรยี นรู้ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 196

โครงสรา้ งรายวิชา รายวิชา พลังงานทดแทน รหสั วชิ า ว32202 จานวน 2 ช่ัวโมง/สัปดาห์ ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 จานวน 1.0 หน่วยกติ จานวนเวลาเรยี นทั้งสน้ิ 40 ชัว่ โมง : ภาคเรยี น สดั สว่ นคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) 1 บทนา สืบคน้ ข้อมลู คดิ พลงั งานทดแทน คือ พลงั งานท่ี 10 10 วเิ คราะห์ อภปิ ราย ได้มาจากกระบวนการทาง และเขียนบรรยาย ธรรมชาติ บทบาทของพลังงาน ความสาคญั ของ หมุนเวยี นยงั คงเพิ่มขึน้ ในภาคการ พลังงาน และพลงั งาน ผลติ ไฟฟ้า พลังงานความร้อนและ ทดแทน และการนา ความเยน็ และภาคการขนสง่ พลังงานทดแทนมาใช้ ประโยชน์ 2 พลงั งาน อธบิ ายหลักการทาง พลงั งานแสงอาทติ ย์ คือ พลงั งาน 10 15 แสงอาทติ ย์ วทิ ยาศาสตร์ ในการ ท่ีไดม้ าจากการแปลงแสงแดดให้ นาพลังงานแสง อยใู่ นรูปพลังงานท่สี ามารถใช้งาน อาทติ ย์ไปใช้ประโยชน์ ได้ เชน่ นาไปผลิตไฟฟ้าพลงั งาน อธิบายขอ้ ดแี ละ แสงอาทติ ย์ โดยเทคโนโลยี ข้อจากัดเกีย่ วกบั การ ใชป้ ระโยชน์ และ แนวทางการพัฒนา พลงั งานแสงอาทติ ย์ 3 พลงั งานลม อธิบายหลักการทาง พลังงานลม คือ พลงั งานท่ีได้มา 10 10 วทิ ยาศาสตร์ ในการ จากการเคลอ่ื นไหวของลมเพื่อ นาพลงั งานลม ไปใช้ นามาใช้ประโยชนใ์ นการผลติ ไฟฟา้ ประโยชน์ อธิบายขอ้ ดี จากกงั หนั ลม และข้อจากดั เก่ยี วกับ การใช้ประโยชน์และ แนวทางการพฒั นา ของพลังงานลม หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 197


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook