Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

Published by Aornanong Cks, 2021-08-10 03:24:35

Description: หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

Keywords: หลักสูตรวิทยาศาตร์เเละเทคโนโลยี-64

Search

Read the Text Version

ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 13. ระบุวา่ สารเกดิ การละลายแบบ แตกตวั หรือไมแ่ ตกตัว พร้อมให้ - สารจะละลายน้าได้เม่ือองค์ประกอบของสาร เหตผุ ลและระบุว่าสารละลายท่ีได้ สามารถเกิดแรงดึงดูดกับโมเลกุลของน้าได้โดยการ เป็นสารละลาย อิเล็กโทรไลต์หรอื ละลายของสารในน้าเกิดได้ 2 ลักษณะคือ การ นอนอิเล็กโทรไลต ละลายแบบแตกตัว และการละลายแบบไม่แตกตัว การละลายแบบแตกตัวเกิดขึ้นกับสารประกอบไอออ 14. ระบสุ ารประกอบอนิ ทรยี ์ นิก และสารโคเวเลนต์บางชนิดที่มีสมบัติเป็นกรด ประเภทไฮโดรคาร์บอนวา่ อมิ่ ตวั หรือเบส โดยเมื่อสารเกิดการละลายแบบแตกตัวจะ หรือไม่อ่มิ ตวั จากสตู รโครงสร้าง ไดไ้ อออนท่สี ามารถเคลื่อนท่ีได้ ทาให้ได้สารละลายที่ นาไฟฟ้าซงึ่ เรยี กว่า สารละลาย 15. สบื คน้ ข้อมูลและเปรยี บเทยี บ อิเล็กโทรไลต์ การละลาย แบบไม่แตกตัวเกิดข้ึนกับ สมบตั ิ สารโคเวเลนต์ท่ีมีขั้วสูงสามารถดึงดูดกับโมเลกุลของ ทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และ น้าได้ดี โดยเมื่อเกิดการละลายโมเลกุลของสารจะไม่ มอนอเมอรข์ องพอลิเมอร์ชนิดน้นั แตกตัวเป็นไอออน และสารละลายท่ีได้จะไม่นา ไฟฟ้าซึง่ เรยี กว่า สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ - สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ คาร์บอนส่วนใหญ่พบในสิ่งมีชีวิต มีโครงสร้าง หลากหลายและแบ่งได้หลายประเภท เนื่องจากธาตุ คาร์บอน สามารถเกิดพันธะกับคาร์บอนด้วยกันเอง และธาตอุ น่ื ๆ นอกจากน้พี ันธะระหว่างคาร์บอนยังมี หลายรูปแบบ ได้แก่ พันธะเดี่ยวพันธะคู่ พันธะสาม - สารประกอบอินทรีย์ท่ีมีเฉพาะธาตุคาร์บอนและ ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า สารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน โดยสารประกอบไฮโดรคาร์บอน อิ่มตัวมีพันธะระหว่างคาร์บอนเป็นพันธะเด่ียว ทุ ก พั น ธ ะ ใ น โ ค ร ง ส ร้ า ง ส่ ว น ส า ร ป ร ะ ก อ บ ไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตัวมีพันธะระหว่างคาร์บอนเป็น พันธะคู่หรือพันธะสามอย่างน้อย 1 พันธะใน โครงสร้าง - สารท่ีพบในชีวิตประจาวันมีท้ังโมเลกุลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ พอลิเมอร์เป็นสารที่มีโมเลกุลขนาด ใหญ่ท่ีเกิดจากมอนอเมอร์หลายโมเลกุลเช่ือมต่อกัน ด้วยพันธะเคมี ทาให้สมบัติทางกายภาพของพอลิ เมอร์แตกต่างจากมอนอเมอร์ท่ีเป็นสารต้ังต้น เช่น สถานะ จดุ หลอมเหลวการละลาย หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 48

ชัน้ ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง 16. ระบสุ มบัตคิ วามเป็นกรด-เบส - สารประกอบอนิ ทรยี ์ทีม่ หี มู่ -COOH สามารถแสดง จากโครงสร้างของสารประกอบ สมบัตคิ วามเป็นกรด ส่วนสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ อนิ ทรยี ์ -NH2 สามารถแสดงสมบตั ิความเปน็ เบส - การละลายของสารพิจารณาได้จากความมขี ัว้ ของ ตัวละลายและตวั ทาละลาย โดยสารสามารถละลาย 17. อธิบายสมบตั ิการละลายในตวั ทา ได้ในตัวทาละลายท่มี ีขั้วใกลเ้ คียงกนั โดยสารมขี ั้ว ละลายชนดิ ต่าง ๆ ของสาร ละลายในตัวทาละลายทีม่ ขี ว้ั ส่วนสารไม่มีขั้วละลาย ในตัวทาละลายท่ีไมม่ ีขั้วและสารมีขวั้ ไมล่ ะลายในตัว ทาละลายที่ไมม่ ีข้ัว 18. วิเคราะห์และอธิบาย - โครงสร้างของพอลิเมอร์อาจเป็นแบบเส้น แบบกิ่ง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งโครงสรา้ งกบั หรือแบบร่างแห โดยพอลิเมอร์แบบเส้นและแบบก่ิง สมบัตเิ ทอร์มอพลาสตกิ และเทอรม์ อ มีสมบัติเทอร์มอพลาสติก ส่วนพอลิเมอร์แบบร่างแห เซตของพอลิเมอร์ และการนาพอลิ มีสมบัติ เทอร์มอเซต จึงมีการใช้ประโยชน์ได้ เมอรไ์ ปใช้ประโยชน แตกตา่ ง 19. สืบค้นขอ้ มูลและนาเสนอ - การใช้ผลิตภณั ฑพ์ อลเิ มอร์ในปริมาณมากก่อให้เกิด ผลกระทบของการใชผ้ ลิตภณั ฑพ์ อลิ ปัญหาท่ีส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม เมอรท์ ี่มีตอ่ สิง่ มีชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม ดังนน้ั จึงควรตระหนักถึงการลดปริมาณการใช้การใช้ พรอ้ มแนวทางป้องกนั หรือแก้ไข ซ้า และการนากลับมาใชใ้ หม่ 20. ระบสุ ตู รเคมขี องสารตั้งต้น - ปฏิกิริยาเคมีทาให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงของสารโดย ผลิตภณั ฑ์ และแปลความหมายของ ปฏิกิริยาเคมีอาจให้พลังงานความร้อนพลังงานแสง สญั ลักษณใ์ นสมการเคมี หรือพลังงานไฟฟ้า ที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน ของปฏิกิริยาเคมี ด้ า น ต่ า ง ๆ ไ ด้ - ปฏิกิริยาเคมีแสดงได้ด้วยสมการเคมี ซึ่งมีสูตรเคมี ของสารต้ังต้นอยู่ทางด้านซ้ายของลูกศร และสูตร เคมีของผลิตภัณฑ์อยู่ทางด้านขวา โดยจานวน อะตอมรวมของแต่ละธาตุทางด้านซ้ายและขวา เท่ากัน นอกจากน้ีสมการเคมียังอาจแสดงปัจจัยอื่น เช่น สถานะ พลังงานที่เก่ียวข้อง ตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี ทใ่ี ช้ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 49

ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง 21. ทดลองและอธิบายผลของความ - อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีข้ึนอยู่กับความเข้มข้น เขม้ ข้นพน้ื ทีผ่ วิ อุณหภมู ิ และตัวเรง่ อุ ณ ห ภู มิ พื้ น ที่ ผิ ว ห รื อ ตั ว เ ร่ ง ป ฏิ กิ ริ ย า ปฏกิ ริ ิยาที่มผี ลตอ่ อัตราการ - ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตราการ เกิดปฏกิ ิริยาเคมี เ กิ ด ป ฏิ กิ ริ ย า เ ค มี ส า ม า ร ถ น า ไ ป ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น 22. สบื ค้นขอ้ มูลและอธิบายปัจจยั ที่ ชีวิตประจาวันและในอุตสาหกรรม มีผลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีท่ี ใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวันหรือใน อุตสาหกรรม 23. อธิบายความหมายของปฏกิ ิรยิ า - ปฏิกิริยาเคมีบางประเภทเกิดจากการถ่ายโอน รีดอกซ์ อิเล็กตรอนของสารในปฏิกิริยาเคมี ซึ่งเรียกว่า ปฏิกิริยารดี อกซ 24. อธิบายสมบตั ิของสาร - สารที่สามารถแผ่รังสีได้เรียกว่า สารกัมมันตรังสีซ่ึง กัมมันตรังสี และคานวณครงึ่ ชวี ติ มีนิวเคลียสที่สลายตัวอย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาที่สาร และปริมาณของสารกัมมนั ตรังส กัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือคร่ึงหนึ่งของปริมาณ เดิม เรียกวา่ ครงึ่ ชีวิต โดยสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิด มีคา่ ครง่ึ ชีวิตแตกตา่ งกนั 25. สืบคน้ ข้อมูลและนาเสนอ - รังสีที่แผ่จากสารกัมมันตรังสีมีหลายชนิด เช่น ตวั อยา่ งประโยชนข์ องสาร แอลฟา บีตา แกมมา ซึ่งสามารถนามาใช้ประโยชน์ กมั มนั ตรงั สีและการป้องกันอันตราย ได้แตกต่างกัน การนาสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิดมา ที่เกิดจากกมั มันตภาพรงั สี ใช้ ต้องคานึงถึงผลกระ ทบต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม รวมท้งั มีการจดั การอย่างเหมาะสม หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 50

สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจาวนั ผลของแรงทก่ี ระทาต่อวตั ถุ ลักษณะการเคลอ่ื นท่ีแบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชนั้ ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 1. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบาย - เม่อื วตั ถุอย่ใู นอากาศจะมแี รงทอ่ี ากาศกระทาต่อวตั ถุ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความดัน ในทกุ ทิศทาง แรงที่อากาศกระทาต่อวัตถุข้นึ อยู่กบั อากาศกบั ความสูงจากพ้ืนโลก ขนาดพืน้ ท่ีของวตั ถุนนั้ แรงที่อากาศกระทาต้ังฉากกับ ผวิ วตั ถตุ ่อหน่ึงหน่วยพนื้ ทเี่ รยี กว่า ความดนั อากาศ - ความดันอากาศมีความสัมพันธ์กับความสงู จากพื้นโลก โดยบรเิ วณทส่ี ูงจากพื้นโลกขึ้นไปอากาศเบา บางลง มวลอากาศนอ้ ยลง ความดันอากาศกจ็ ะลดลง ม.2 1. พยากรณ์การเคล่ือนท่ขี องวตั ถุ - แรงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ เมื่อมแี รง ท่ีเปน็ ผลของแรงลัพธท์ เ่ี กดิ จาก หลาย ๆ แรงกระทาต่อวตั ถุ แล้วแรงลัพธท์ ก่ี ระทาต่อ แรงหลายแรงท่ีกระทาตอ่ วตั ถุใน วตั ถมุ คี ่าเป็นศูนย์ วตั ถุจะไม่เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนที่ แนวเดียวกนั จากหลักฐานเชิง แต่ถ้าแรงลัพธ์ท่กี ระทาต่อวตั ถุมีคา่ ไมเ่ ป็นศนู ย์ ประจกั ษ์ วัตถจุ ะเปลี่ยนแปลงการเคลอื่ นที่ 2. เขียนแผนภาพแสดงแรงและ แรงลัพธ์ทเี่ กดิ จากแรงหลายแรงท่ี กระทาตอ่ วัตถุในแนวเดยี วกัน 3. ออกแบบการทดลองและ - เม่อื วตั ถุอย่ใู นของเหลวจะมีแรงทข่ี องเหลว ทดลองด้วยวิธที เี่ หมาะสมในการ กระทาต่อวัตถุในทุกทศิ ทาง โดยแรงทข่ี องเหลวกระทา อธิบายปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ ความดัน ต้งั ฉากกับผวิ วตั ถุต่อหน่งึ หน่วยพนื้ ทเี่ รียกว่าความดนั ของของเหลว ของของเหลว - ความดนั ของของเหลวมีความสัมพันธ์กบั ความลึกจาก ระดับผวิ หน้าของของเหลว โดยบริเวณท่ีลึกลงไปจาก ระดับผวิ หนา้ ของของเหลวมากขน้ึ ความดนั ของ ของเหลวจะเพ่ิมขึ้น เนอ่ื งจากของเหลวท่ีอยู่ลึกกว่า จะมี น้าหนักของของเหลวดา้ นบนกระทามากกวา่ 4. วเิ คราะหแ์ รงพยุงและการจม - เม่ือวัตถุอยใู่ นของเหลว จะมแี รงพยุงเนอ่ื งจาก การลอยของวัตถุในของเหลวจาก ของเหลวกระทาต่อวัตถุ โดยมีทิศขึน้ ในแนวดิง่ การจม หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ หรอื การลอยของวตั ถขุ น้ึ กบั น้าหนักของวตั ถแุ ละแรง 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ี พยุง ถา้ น้าหนักของวตั ถแุ ละแรงพยงุ ของของเหลวมีคา่ กระทาตอ่ วตั ถุในของเหลว เท่ากนั วัตถจุ ะลอยน่ิงอยู่ใน ของเหลว แต่ถา้ น้าหนกั ของวัตถมุ คี ่ามากกว่าแรงพยงุ ของของเหลววตั ถจุ ะจม หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 51

ชัน้ ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 6. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและ - แรงเสียดทานเป็นแรงท่ีเกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของ แรงเสียดทานจลน์จากหลกั ฐาน วัตถุ เพื่อต้านการเคล่ือนที่ของวัตถุนั้นโดยถ้าออกแรง เชิงประจักษ์ กระทาต่อวัตถุท่ีอยู่น่ิงบนพ้ืนผิวให้เคล่ือนที่ แรงเสียด ทานก็จะต้านการเคล่ือนท่ีของวัตถุ แรงเสียดทานที่ เกิดข้ึนในขณะท่ีวัตถุยังไม่เคล่ือนท่ีเรียก แรงเสียดทาน สถิต แต่ถ้าวัตถุกาลังเคลื่อนท่ี แรงเสียดทานก็จะทาให้ วัตถุน้ันเคล่ือนที่ช้าลงหรือหยุดนิ่ง เรียก แรงเสียดทาน จลน์ 7. ออกแบบการทดลองและ - ขนาดของแรงเสียดทานระหวา่ งผิวสมั ผัสของวตั ถุ ทดลองด้วยวิธีทเ่ี หมาะสมในการ ขึน้ กบั ลักษณะผิวสมั ผสั และขนาดของแรงปฏิกิรยิ าต้ัง อธบิ ายปัจจัยที่มผี ลต่อขนาดของ ฉากระหว่างผวิ สัมผสั แรงเสียดทาน - กิจกรรมในชีวติ ประจาวนั บางกิจกรรมต้องการแรง 8. เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียด เสียดทาน เช่น การเปดิ ฝาเกลียวขวดน้าการใชแ้ ผน่ กนั ทานและแรงอน่ื ๆทก่ี ระทาต่อ ลน่ื ในห้องน้า บางกจิ กรรมไม่ต้องการแรงเสยี ดทาน เชน่ วัตถุ การลากวัตถุบนพ้นื การใช้นา้ มันหลอ่ ล่นื ในเคร่ืองยนต์ 9. ตระหนักถึงประโยชนข์ อง - ความรูเ้ ร่ืองแรงเสยี ดทานสามารถนาไปใช้ ความรู้เรือ่ งแรงเสียดทานโดย ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวันได้ วิเคราะหส์ ถานการณ์ปัญหาและ เสนอแนะวิธีการลดหรือเพ่ิมแรง เสยี ดทานทเ่ี ป็นประโยชนต์ อ่ การ ทากจิ กรรมในชวี ติ ประจาวนั 10. ออกแบบการทดลองและ - เมอื่ มีแรงทก่ี ระทาต่อวัตถุโดยไมผ่ ่านศูนย์กลางมวล ทดลองด้วยวิธที ่เี หมาะสมในการ ของวตั ถุ จะเกิดโมเมนตข์ องแรง ทาใหว้ ตั ถุหมนุ รอบ อธบิ ายโมเมนต์ ศูนยก์ ลางมวลของวตั ถนุ นั้ ของแรง เมอ่ื วตั ถุอยู่ในสภาพ - โมเมนต์ของแรงเปน็ ผลคูณของแรงท่ีกระทาต่อวตั ถุกับ สมดลุ ตอ่ ระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกบั แนวแรง เมอื่ ผลรวม การหมุน และคานวณโดยใช้ ของโมเมนตข์ องแรงมีคา่ เปน็ ศนู ย์วัตถุจะอยใู่ นสภาพ สมการ สมดลุ ต่อการหมนุ โดยโมเมนตข์ องแรงในทิศทวนเข็ม M = Fl นาฬิกาจะมีขนาดเท่ากบั โมเมนต์ของแรงในทิศตามเขม็ นาฬิกา - ของเลน่ หลายชนิดประกอบด้วยอุปกรณห์ ลายสว่ นที่ ใชห้ ลกั การโมเมนต์ของแรง ความรู้เรื่องโมเมนต์ของแรง สามารถนาไปใชอ้ อกแบบและประดิษฐข์ องเลน่ ได้ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 52

ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 11. เปรยี บเทยี บแหล่งของ - วัตถทุ ม่ี มี วลจะมสี นามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ สนามแม่เหล็ก แรงโน้มถว่ งทก่ี ระทาตอ่ วัตถุท่ีอยู่ในสนามโนม้ ถว่ งจะ สนามไฟฟ้า และสนามโน้มถว่ ง มีทิศพุ่งเขา้ หาวัตถุที่เป็นแหลง่ ของสนามโนม้ ถว่ ง และทศิ ทางของแรงท่ีกระทาต่อ - วตั ถุทมี่ ปี ระจุไฟฟา้ จะมีสนามไฟฟ้าอย่โู ดยรอบแรง วัตถทุ อี่ ยใู่ นแต่ละสนามจากข้อมูลที่ ไฟฟา้ ท่ีกระทาตอ่ วตั ถุท่ีมปี ระจุจะมที ิศพุ่งเขา้ หาหรือ รวบรวมได้ ออกจากวตั ถุทีม่ ปี ระจทุ เ่ี ปน็ แหล่งของสนามไฟฟ้า 12. เขยี นแผนภาพแสดงแรง - วัตถทุ เ่ี ปน็ แม่เหล็กจะมสี นามแมเ่ หล็กอยโู่ ดยรอบ แมเ่ หล็ก แรงไฟฟ้าและแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหลก็ ท่กี ระทาต่อข้วั แม่เหล็กจะมีทิศพุ่งเขา้ หา ท่กี ระทาต่อวัตถุ หรือออกจากข้ัวแมเ่ หล็กท่เี ป็นแหล่งของ สนามแม่เหลก็ 13. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ ง - ขนาดของแรงโนม้ ถ่วง แรงไฟฟ้า และแรงแม่เหลก็ ขนาดของแรงแมเ่ หล็ก แรงไฟฟา้ ทก่ี ระทาต่อวัตถทุ ่ีอยใู่ นสนามนั้น ๆ จะมีค่าลดลง และแรงโน้มถ่วงทก่ี ระทาต่อวัตถทุ ่ี เม่อื วตั ถุอยหู่ ่างจากแหล่งของสนามน้ัน ๆ มากข้ึน อยใู่ นสนามนั้น ๆ กับระยะห่างจาก แหล่งของสนามถงึ วัตถุจากข้อมลู ที่ รวบรวมได้ 14. อธิบายและคานวณอัตราเร็ว - การเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถเุ ป็นการเปลีย่ นตาแหน่งของ และความเร็วของการเคล่ือนที่ของ วัตถุเทียบกับตาแหน่งอ้างอิง โดยมีปริมาณที่ วตั ถุ โดยใช้สมการจากหลักฐานเชงิ เกยี่ วข้องกบั การเคลือ่ นทซี่ ึ่งมีทง้ั ปริมาณสเกลาร์และ ประจกั ษ์ ปรมิ าณเวกเตอร์ เชน่ ระยะทางอตั ราเรว็ การ 15. เขยี นแผนภาพแสดงการ กระจัด ความเร็ว ปรมิ าณสเกลาร์ เปน็ ปริมาณท่ีมี กระจัดและความเรว็ ขนาด เชน่ ระยะทาง อตั ราเรว็ ปรมิ าณเวกเตอร์เป็น ปริมาณที่มที งั้ ขนาดและทศิ ทาง เช่น การกระจัด ความเร็ว - เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอรไ์ ดด้ ว้ ยลกู ศร โดยความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหวั ลูกศร แสดงทศิ ทางของเวกเตอร์นั้น ๆ - ระยะทางเป็นปรมิ าณสเกลาร์ โดยระยะทางเปน็ ความยาวของเส้นทางที่เคล่อื นที่ได้ - การกระจัดเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจดั มี ทิศชีจ้ ากตาแหน่งเร่ิมตน้ ไปยงั ตาแหนง่ สุดทา้ ยและมี ขนาดเทา่ กบั ระยะทสี่ ั้นทส่ี ดุ ระหวา่ งสองตาแหนง่ นนั้ - อตั ราเรว็ เปน็ ปริมาณสเกลาร์ โดยอตั ราเรว็ เป็น อตั ราสว่ นของระยะทางต่อเวลา หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 53

ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง - ความเร็วปรมิ าณเวกเตอรม์ ีทศิ เดียวกบั ทิศของการ กระจดั โดยความเร็วเป็นอตั ราสว่ นของการกระจัด ตอ่ เวลา ม.5 1. วเิ คราะห์และแปลความหมาย - การเคลือ่ นทีข่ องวัตถุท่ีมีการเปลีย่ นความเร็วเป็น ขอ้ มูลความเรว็ กบั เวลาของการ การเคลื่อนทีด่ ว้ ยความเรง่ ความเร่งเปน็ อัตราส่วน เคลอ่ื นที่ของวตั ถุ เพ่ืออธิบาย ของความเร็วท่ีเปลีย่ นไปต่อเวลาและเป็นปรมิ าณ ความเร่งของวัตถุ เวกเตอร์ ในกรณีที่วตั ถุท่ีอย่นู ิ่งหรือเคลื่อนท่ใี นแนว ตรงดว้ ยความเรว็ คงตัววัตถนุ ้ันมีความเร่งเปน็ ศนู ย์ - วัตถุมีความเร็วเพม่ิ ขนึ้ ถ้าความเร็วและความเร่งมี ทศิ เดยี วกัน และมีความเร็วลดลง ถา้ ความเรว็ และ ความเร่งมที ิศตรงกนั ข้าม 2. สังเกตและอธบิ ายการหาแรง - เม่ือมีแรงหลายแรงกระทาต่อวัตถุหนงึ่ โดยแรงทุก ลพั ธ์ท่ีเกดิ จากแรงหลายแรงท่ีอยใู่ น แรงอยใู่ นระนาบเดยี วกนั สามารถหาแรงลัพธท์ ่ีกระ ระนาบเดียวกันท่ีกระทาต่อวัตถุ ต่อวตั ถนุ ้ันไดโ้ ดยรวมแบบเวกเตอร์ โดยการเขียนแผนภาพการรวม แบบเวกเตอร์ 3. สังเกต วิเคราะห์ และอธิบาย - เม่ือแรงลัพธ์มคี ่าไมเ่ ท่ากบั ศูนย์กระทาต่อวัตถจุ ะ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความเร่งของ ทาใหว้ ตั ถุเคลื่อนท่ีดว้ ยความเร่งมที ศิ ทางเดียวกับ วัตถกุ ับแรงลัพธ์ทกี่ ระทาต่อวัตถุ แรงลพั ธโ์ ดยขนาดของความเรง่ ขึ้นกับขนาดของแรง และมวลของวตั ถุ ลัพธก์ ระทาตอ่ วตั ถุและมวลของวตั ถ 4. สังเกตและอธิบายแรงกิรยิ าและ - แรงกระทาระหวา่ งวตั ถคุ ่หู นึ่ง ๆ เปน็ แรงกิรยิ าและ แรงปฏิกิรยิ าระหว่างวตั ถุค่หู นึ่ง ๆ แรงปฏิกริ ยิ า แรงทัง้ สองมีขนาดเทา่ กันเกิดข้ึนพร้อม กัน กระทากบั วตั ถคุ นละก้อนแตม่ ที ิศทางตรงข้าม 5. สังเกตและอธบิ ายผลของ - วัตถทุ ่เี คลอ่ื นท่ีด้วยความเรง่ คงตวั หรอื ความเร่งไม่ ความเร่งท่มี ีต่อการเคล่ือนที่แบบ คงตัว อาจเป็นการเคลื่อนทแ่ี นวตรงการเคลอื่ นที่ ต่าง ๆ ของวตั ถุ ไดแ้ ก่ การเคลื่อนท่ี แนวโค้ง หรือการเคลื่อนท่แี บบส่ันการเคลือ่ นทีแ่ นว แนวตรง การเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจก ตรงดว้ ยความเร่งคงตวั นาไปใชอ้ ธิบายการตกแบบ ไทล์การเคลอ่ื นที่แบบวงกลม และ เสรี การเคลอื่ นที่แนวโค้งดว้ ยความเร่งคงตวั การเคลอ่ื นที่แบบสนั่ นาไปใชอ้ ธบิ ายการเคลื่อนท่ีแบบโพรเจกไทล์ การ เคลอื่ นท่แี นวโคง้ ดว้ ยความเรง่ มีทศิ ทางต้งั ฉากกับ ความเร็วตลอดเวลา นาไปใช้ อธิบายการเคล่ือนท่ีแบบวงกลม การเคลือ่ นท่กี ลบั ไป กลบั มาด้วยความเรง่ มีทิศทางเขา้ ส่จู ุดทแ่ี รงลัพธเ์ ป็น หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 54

ช้นั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ศูนย์ เรียกจุดน้ีว่าตาแหน่งสมดุลซึ่งนาไปใช้อธิบาย การเคลอื่ นท่แี บบสั่น 6. สบื ค้นข้อมูลและอธิบายแรงโนม้ - ในบริเวณท่ีมีสนามโน้มถ่วง เม่ือมีวัตถุที่มีมวลจะมี ถว่ ง แรงโน้มถ่วงซ่ึงเป็นแรงดึงดูดของโลกกระทาต่อวัตถุ ทเ่ี กีย่ วกบั การเคลื่อนทข่ี องวัตถุต่าง แรงน้ีนาไปใช้อธิบายการเคลื่อนท่ีของวัตถุต่าง ๆ ๆ รอบโลก เชน่ ดาวเทยี ม และดวงจนั ทรร์ อบโลก 7. สงั เกตและอธิบายการเกิด - กระแสไฟฟ้าทาให้เกิดสนามแมเ่ หลก็ ในบรเิ วณ สนามแมเ่ หล็กเนื่องจาก รอบแนวการเคลอื่ นที่ของกระแสไฟฟ้า หาทิศทาง กระแสไฟฟ้า ของสนามแม่เหลก็ เนื่องจากกระแสไฟฟ้าไดจ้ ากกฎ มอื ขวา 8. สงั เกตและอธบิ ายแรงแม่เหลก็ ที่ - ในบรเิ วณท่มี สี นามแม่เหล็ก เม่ือมีอนุภาคท่ีมีประจุ กระทาตอ่ อนุภาคท่ีมีประจุไฟฟา้ ที่ ไ ฟ ฟ้ า เ ค ลื่ อ น ท่ี โ ด ย ไ ม่ อ ยู่ ใ น แ น ว เ ดี ย ว กั บ เคลื่อนที่ในสนามแมเ่ หล็กและแรง สนามแม่เหล็ก หรอื มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตัวนาโดย แมเ่ หลก็ ท่ีกระทาต่อลวดตวั นาท่มี ี กระแสไฟฟ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับสนามแม่เหล็ก จะ กระแสไฟฟา้ ผ่านในสนามแมเ่ หล็ก มีแรงแม่เหล็กกระทา ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้าง รวมทั้งอธิบายหลักการทางานของ มอเตอร์ มอเตอร์ 9. สงั เกตและอธบิ ายการเกิดอีเอ็ม - เม่ือมีสนามแม่เหล็กเปล่ียนแปลงตัดขดลวดตัวนา เอฟ รวมทั้งยกตัวอย่างการนา ทาให้เกิดอีเอม็ เอฟ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้างเคร่ือง ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ กาเนิดไฟฟา้ 10. สบื คน้ ขอ้ มูลและอธิบายแรง - ภายในนิวเคลียสมีแรงเข้มท่ีเป็นแรงยึดเหน่ียวของ เขม้ และแรงอ่อน อนุภาคในนิวเคลียส และเป็นแรงหลักท่ีใช้อธิบาย เสถียรภาพของนิวเคลียส นอกจากน้ียังมีแรงอ่อน ซึ่งเป็นแรงที่ใช้อธิบายการสลายให้อนุภาคบีตาของ ธาตกุ ัมมนั ตรังสี หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 55

สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลีย่ นแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พันธร์ ะหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชีวติ ประจาวัน ธรรมชาตขิ องคลืน่ ปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวข้องกบั เสยี ง แสง และคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้ารวมทง้ั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.1 1. วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมลู - เมื่อสสารได้รบั หรือสูญเสียความรอ้ นอาจทาให้ และคานวณปริมาณความรอ้ นทที่ า สสารเปลยี่ นอุณหภมู ิ เปล่ียนสถานะ หรือเปล่ยี น ให้สสารเปล่ยี นอุณหภูมิและเปลี่ยน รปู ร่าง สถานะโดยใช้สมการ Q = mc∆t - ปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนอณุ หภูมิ และ Q = mL ขนึ้ กบั มวล ความร้อนจาเพาะ และอณุ หภมู ิท่ี 2. ใชเ้ ทอรม์ อมเิ ตอร์ในการวดั เปล่ียนไป อุณหภมู ิของสสาร - ปรมิ าณความร้อนท่ีทาใหส้ สารเปลี่ยนสถานะ 3. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการ ขึ้นกับมวลและความร้อนแฝงจาเพาะ โดยขณะที่ ขยายตวั หรือหดตวั ของสสาร สสารเปล่ยี นสถานะ อุณหภมู ิจะไมเ่ ปลีย่ นแปลง เน่ืองจากได้รบั หรือสญู เสียความร้อน - ความรอ้ นทาใหส้ สารขยายตัวหรือหดตวั ได้ 4. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของความรู้ เน่อื งจากเมื่อสสารได้รบั ความร้อนจะทาให้ ของการหดและขยายตัวของสสาร อนภุ าคเคล่ือนทเ่ี ร็วขนึ้ ทาใหเ้ กิดการขยายตัวแต่เม่ือ เน่อื งจากความรอ้ นโดยวิเคราะห์ สสารคายความร้อนจะทาให้อนภุ าคเคล่ือนท่ชี ้าลง สถานการณ์ปัญหา และเสนอแนะ ทาใหเ้ กดิ การหดตัว วธิ กี ารนาความรู้มาแก้ปัญหาใน - ความร้เู รือ่ งการหดและขยายตัวของสสาร ชวี ิตประจาวนั เนอื่ งจากความรอ้ นนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ดา้ น ต่าง ๆ เชน่ การสรา้ งถนน การสรา้ งรางรถไฟการทา เทอรม์ อมิเตอร์ 5. วิเคราะห์สถานการณก์ ารถ่ายโอน - ความรอ้ นถ่ายโอนจากสสารทมี่ อี ุณหภมู ิสูงกวา่ ไป ความร้อนและคานวณปริมาณความ ยงั สสารท่มี ีอุณหภูมิตา่ กว่าจนกระท่ังอุณหภูมขิ อง รอ้ นทีถ่ ่ายโอนระหวา่ งสสารจนเกิด สสารทงั้ สองเท่ากัน สภาพท่ีสสารทัง้ สองมีอุณหภมู ิ สมดุลความร้อนโดยใช้ เทา่ กัน เรยี กว่า สมดลุ ความร้อน สมการ Qสูญเสีย = Q ไดร้ บั - เมอ่ื มีการถา่ ยโอนความรอ้ นจากสสารทม่ี ี อุณหภมู ิตา่ งกนั จนเกิดสมดุลความร้อน ความร้อนทเี่ พิ่มขน้ึ ของสสารหนง่ึ จะเทา่ กับ ความร้อนทล่ี ดลงของอีกสสารหนึ่ง ซ่งึ เปน็ ไปตามกฎ การอนุรักษ์พลงั งาน หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 56

ชัน้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 6. สรา้ งแบบจาลองที่อธิบายการถา่ ย - การถ่ายโอนความร้อนมี 3 แบบ คือ โอนความร้อนโดยการนาความรอ้ น ก า ร น า ค ว า ม ร้ อ น ก า ร พ า ค ว า ม ร้ อ น แ ล ะ การพาความรอ้ นการแผร่ ังสคี วาม การแผ่รังสีความร้อน การนาความร้อนเป็นการถ่าย รอ้ น โอนความร้อนท่ีอาศัยตัวกลาง โดยท่ีตัวกลางไม่ 7. ออกแบบ เลือกใช้ และสร้าง เคล่ือนที่ การพาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความ อุปกรณ์ เพื่อแก้ปัญหาใน ร้อนท่ีอาศัยตัวกลาง โดยที่ตัวกลางเคล่ือนที่ไปด้วย ชีวติ ประจาวันโดยใช้ความรู้เก่ียวกบั ส่วนการแผร่ งั สีความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อน การถา่ ยโอนความรอ้ น ท่ีไมต่ ้องอาศัยตวั กลาง - ความรู้เกี่ยวกับการถา่ ยโอนความรอ้ นสามารถ นาไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาวนั ได้ เชน่ การ เลอื กใชว้ ัสดุเพื่อนามาทาภาชนะบรรจุอาหารเพ่ือ เก็บความร้อน หรอื การออกแบบระบบระบายความ รอ้ นในอาคาร ม.2 1. วเิ คราะหส์ ถานการณ์และคานวณ - เมอื่ ออกแรงกระทาต่อวตั ถุ แล้วทาให้วตั ถุ เกย่ี วกบั งานและกาลังที่เกดิ จากแรง เคลอื่ นที่ โดยแรงอยู่ในแนวเดียวกบั การเคลื่อนทจี่ ะ ทก่ี ระทาต่อวัตถโุ ดยใชส้ มการ W = เกิดงาน งานจะมคี ่ามากหรอื นอ้ ยขึ้นกับขนาดของ Fs และ P = W / t แรงและระยะทางในแนวเดยี วกับแรง จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ - งานท่ีทาในหน่ึงหนว่ ยเวลาเรยี กวา่ กาลัง หลกั การ 2. วิเคราะหห์ ลกั การทางานของ ของงานนาไปอธบิ ายการทางานของเครื่องกลอย่าง เครื่องกลอยา่ งงา่ ยจากข้อมูลที่ งา่ ย ไดแ้ ก่ คาน พืน้ เอียง รอกเด่ยี ว ล่ิม สกรู ลอ้ และ รวบรวมได้ เพลา ซ่ีงนาไปใชป้ ระโยชนด์ ้าน ต่าง ๆใน 3. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องความรู้ ชวี ิตประจาวัน ของ เคร่ืองกลอยา่ งงา่ ย โดยบอก ประโยชน์ และการประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจาวนั 4. ออกแบบและทดลองด้วยวธิ ีที่ - พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่เคลื่อนท่ี เหมาะสมในการอธิบายปจั จัยที่มีผล พลังงานจลน์จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับมวลและ ตอ่ พลงั งานจลนแ์ ละพลังงานศักย์ อัตราเร็ว ส่วนพลังงานศักย์โน้มถ่วงเกี่ยวข้องกับ โน้มถ่วง ตาแหน่งของวัตถุ จะมีค่ามากหรือน้อยข้ึนกับมวล และตาแหน่งของวัตถุ เมื่อวัตถุอยู่ในสนามโน้มถ่วง วัตถุจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วงพลังงานจลน์และ พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถ่วงเปน็ พลังงานกล หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 57

ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 5. แปลความหมายข้อมลู และอธิบาย - ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ การเปลย่ี นพลังงานระหวา่ งพลงั งาน เป็นพลังงานกล พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงาน ศกั ย์โนม้ ถว่ งและพลังงานจลน์ของ จลน์ของวัตถุหนึ่ง ๆ สามารถเปล่ียนกลับไปมาได้ วตั ถโุ ดยพลังงานกลของวตั ถุมีคา่ คง โดยผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงาน ตัวจากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ จลน์มีคา่ คงตัว นัน่ คือพลงั งานกลของวัตถมุ ีคา่ คงตัว 6. วเิ คราะหส์ ถานการณ์และอธบิ าย - พลังงานรวมของระบบมคี ่าคงตัวซึ่งอาจเปล่ยี นจาก การเปลยี่ นและการถ่ายโอนพลงั งาน พลังงานหน่งึ เปน็ อกี พลังงานหนงึ่ เช่นพลังงานกล โดยใช้ เปลี่ยนเปน็ พลังงานไฟฟ้า กฎการอนุรักษ์พลงั งาน พลงั งานจลนเ์ ปลีย่ นเปน็ พลังงานความร้อน พลงั งานเสียง พลังงานแสง เน่ืองมาจาก แรงเสียดทาน พลงั งานเคมีในอาหารเปลีย่ นเปน็ พลังงานที่ไปใชใ้ นการทางานของสง่ิ มชี ีวิต - นอกจากนพ้ี ลงั งานยังสามารถถา่ ยโอนไปยังอีก ระบบหนึง่ หรอื ไดร้ บั พลงั งานจากระบบอน่ื ได้ เช่น การถา่ ยโอนความร้อนระหวา่ งสสารการถ่ายโอน พลงั งานของการส่นั ของแหล่งกาเนิดเสียงไปยังผูฟ้ งั ทง้ั การเปลยี่ นพลงั งานและการถา่ ยโอนพลังงาน พลังงานรวมทั้งหมดมีคา่ เทา่ เดมิ ตามกฎการอนุรักษ์ พลังงาน ม.3 1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ ง - เมือ่ ต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมกี ระแสไฟฟ้าออก ความตา่ งศักย์กระแสไฟฟ้า และ จากขัว้ บวกผา่ นวงจรไฟฟ้าไปยังขัว้ ลบของ ความต้านทาน และคานวณปริมาณที่ แหล่งกาเนิดไฟฟา้ ซึง่ วัดคา่ ได้จากแอมมิเตอร์ เกีย่ วขอ้ งโดยใชส้ มการ V = IR - ค่าท่บี อกความแตกตา่ งของพลังงานไฟฟา้ ต่อหน่วย จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ประจรุ ะหว่างจุด 2 จุด เรียกว่า ความตา่ งศักย์ซ่งึ วดั 2. เขียนกราฟความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ค่าไดจ้ ากโวลต์มเิ ตอร์ กระแสไฟฟ้าและความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า - ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผันตรงกับ 3. ใช้โวลต์มิเตอร์ แอมมเิ ตอร์ในการ ความตา่ งศักย์ระหว่างปลายทั้งสองของตัวนาโดย วดั ปรมิ าณทางไฟฟา้ อัตราสว่ นระหว่างความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้ามี ค่าคงท่ี เรียกคา่ คงท่นี ้วี ่า ความตา้ นทาน หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 58

ชัน้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง 4. วิเคราะห์ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ และ - ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกาเนิดไฟฟ้า กระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ เมื่อตอ่ ตวั สายไฟฟา้ และอุปกรณไ์ ฟฟ้า โดยอปุ กรณ์ไฟฟา้ แต่ ตา้ นทานหลายตวั แบบอนุกรมและ ละช้นิ มคี วามตา้ นทาน ในการต่อตวั ตา้ นทานหลาย แบบขนานจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ตวั มีทง้ั ตอ่ แบบอนุกรมและแบบขนาน 5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการ - การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมใน ตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบอนุกรมและขนาน วงจรไฟฟ้า ความตา่ งศักย์ทค่ี รอ่ มตัวตา้ นทานแต่ ละตัวมคี ่าเท่ากบั ผลรวมของความต่างศักย์ท่ีคร่อม ตัวต้านทานแต่ละตัว โดยกระแสไฟฟ้าท่ผี า่ นตวั ต้านทานแตล่ ะตัวมีคา่ เทา่ กนั 6. บรรยายการทางานของช้นิ ส่วน - การต่อตวั ต้านทานหลายตัวแบบขนานใน อิเลก็ ทรอนิกส์อย่างงา่ ยในวงจรจาก วงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าท่ผี า่ นวงจรมีค่าเทา่ กบั ข้อมูลทีร่ วบรวมได้ ผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ผา่ นตวั ตา้ นทานแต่ละตัว 7. เขียนแผนภาพและตอ่ ชิ้นส่วน โดยความตา่ งศักย์ทค่ี ร่อมตวั ต้านทานแตล่ ะตวั มีคา่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรไฟฟ้า เทา่ กัน - ชิ้นสว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์มหี ลายชนิด เช่น ตวั ตา้ นทานไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตวั เก็บประจุ โดย ชิน้ สว่ นแต่ละชนิดทาหนา้ ทแ่ี ตกต่างกนั เพื่อใหว้ งจร ทางานได้ตามต้องการ - ตวั ต้านทานทาหน้าที่ควบคุมปรมิ าณ กระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า ไดโอดทาหน้าที่ให้ กระแสไฟฟา้ ผ่านทางเดยี ว ทรานซิสเตอรท์ าหน้าท่ี เป็นสวิตชป์ ดิ หรือเปดิ วงจรไฟฟา้ และควบคมุ ปริมาณกระแสไฟฟา้ ตัวเกบ็ ประจุทาหน้าท่ีเกบ็ และคายประจุไฟฟา้ - เคร่ืองใช้ไฟฟา้ อย่างง่ายประกอบดว้ ยชิน้ ส่วน อเิ ล็กทรอนิกส์หลายชนิดท่ที างานรว่ มกนั การต่อ วงจรอิเล็กทรอนกิ ส์โดยเลอื กใชช้ ิ้นส่วน อเิ ล็กทรอนิกสท์ ี่เหมาะสมตามหน้าทข่ี องช้นิ สว่ น นั้น ๆ จะสามารถทาใหว้ งจรไฟฟ้าทางานไดต้ าม ต้องการ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 59

ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 8. อธิบายและคานวณพลงั งานไฟฟา้ - เคร่ืองใช้ไฟฟา้ จะมีคา่ กาลงั ไฟฟ้าและความต่าง โดยใชส้ มการ W = Pt รวมท้งั คานวณ ศกั ย์กากับไว้ กาลังไฟฟ้ามหี น่วยเป็นวตั ต์ ความ คา่ ไฟฟ้าของเครื่องใชไ้ ฟฟ้าในบา้ น ตา่ งศกั ย์มหี น่วยเปน็ โวลต์ ค่าไฟฟา้ ส่วนใหญค่ ิด 9. ตระหนกั ในคุณค่าของการเลือกใช้ จากพลงั งานไฟฟ้าทีใ่ ช้ทั้งหมด ซึ่งหาไดจ้ ากผลคูณ เครื่องใช้ไฟฟา้ โดยนาเสนอวธิ ีการใช้ ของกาลงั ไฟฟา้ ในหนว่ ยกโิ ลวัตต์ กบั เวลาในหนว่ ย เคร่ืองใช้ไฟฟา้ อยา่ งประหยดั และ ชว่ั โมง พลังงานไฟฟ้ามหี น่วยเปน็ กิโลวัตต์ ชัว่ โมง ปลอดภัย หรอื หนว่ ย - วงจรไฟฟา้ ในบา้ นมีการต่อเคร่อื งใช้ไฟฟา้ แบบ ขนานเพ่ือให้ความต่างศักยเ์ ท่ากนั การใช้ เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวันต้องเลอื กใช้ เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ที่มีความต่างศักยแ์ ละกาลังไฟฟ้าให้ เหมาะกบั การใชง้ าน และการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและ อุปกรณ์ไฟฟ้าต้องใช้อยา่ งถูกตอ้ ง ปลอดภัย และ ประหยดั 10. สรา้ งแบบจาลองที่อธบิ ายการเกดิ - คลนื่ เกิดจากการส่งผา่ นพลงั งานโดยอาศัย คลื่นและบรรยายสว่ นประกอบของ ตวั กลางและไม่อาศัยตัวกลาง ในคล่ืนกล พลงั งาน คลืน่ จะถกู ถ่ายโอนผ่านตวั กลางโดยอนภุ าคของตัวกลาง ไม่เคล่ือนท่ีไปกับคลืน่ คลืน่ ท่ีแผอ่ อกมาจาก แหล่งกาเนดิ คลนื่ อย่างต่อเน่ืองและมีรูปแบบทซี่ า้ กนั บรรยายได้ด้วยความยาวคล่ืน ความถีแ่ อมพลิ จูด 11. อธบิ ายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ - คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ เป็นคลนื่ ทไ่ี ม่อาศัยตวั กลางใน สเปกตรัมคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าจากข้อมูล การเคล่ือนท่ี มคี วามถ่ตี ่อเนอ่ื งเป็นช่วงกวา้ งมาก ท่ีรวบรวมได้ เคลื่อนท่ีในสญุ ญากาศดว้ ยอัตราเรว็ เทา่ กันแตจ่ ะ 12. ตระหนักถึงประโยชนแ์ ละอนั ตราย เคลื่อนทีด่ ้วยอตั ราเรว็ ต่างกันในตวั กลางอนื่ คลื่น จากคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าโดยนาเสนอ แม่เหลก็ ไฟฟา้ แบง่ ออกเปน็ ชว่ งความถ่ตี า่ ง ๆ การใช้ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ และ เรยี กวา่ สเปกตรัมของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า แต่ละ อนั ตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ใน ชว่ งความถม่ี ีชือ่ เรยี กต่างกนั ได้แก่ คล่ืนวทิ ยุ ชีวติ ประจาวัน ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสงที่มองเหน็ อัลตราไวโอเลตรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา ซึ่ง สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ - เลเซอรเ์ ปน็ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ท่ีมีความยาวคล่ืน เดียว เป็นลาแสงขนานและมีความเข้มสูง นาไปใช้ ประโยชนใ์ นด้านตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นการส่อื สารมีการ ใชเ้ ลเซอรส์ าหรับส่งสารสนเทศผา่ นเสน้ ใยนาแสง หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 60

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง โดยอาศัยหลักการการสะท้อนกลับหมดของแสง ด้านการแพทย์ใช้ในการผา่ ตัด - คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถนาไปใช้ ประโยชนแ์ ลว้ ยังมีโทษต่อมนุษยด์ ้วย เช่น ถา้ มนษุ ยไ์ ด้รบั รังสอี ลั ตราไวโอเลตมากเกนิ ไปอาจจะ ทาให้เกิดมะเร็งผิวหนงั หรอื ถ้าไดร้ ังสีแกมมาซ่ึง เปน็ คล่ืนแมเ่ หล็ก ไฟฟ้าท่ีมีพลังงานสูงและสามารถทะลุผ่านเซลล์ และอวัยวะได้อาจทาลายเน้ือเย่ือหรืออาจทาให้ เสยี ชวี ิตไดเ้ มอื่ ได้รับรังสีแกมมาในปริมาณสูง 13. ออกแบบการทดลองและ - เม่ือแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะท้อนซึ่ง ดาเนนิ การทดลองด้วยวธิ ที เ่ี หมาะสม เป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง โดยรังสีตก ในการอธิบายกฎการสะทอ้ นของแสง กระทบเส้นแนวฉาก รังสีสะท้อนอยู่ในระนาบ 14. เขียนแผนภาพการเคลอื่ นที่ของ เดียวกันและมุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน ภาพ แสง แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา จากกระจกเงาเกิดจากรังสีสะท้อนตัดกันหรือต่อ แนวรงั สสี ะท้อนให้ตัดกัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกัน จริงจะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนวรังสีสะท้อนให้ไป ตัดกนั จะเกดิ ภาพเสมอื น 15. อธบิ ายการหกั เหของแสงเม่ือผ่าน - เมื่อแสงเดนิ ทางผ่านตวั กลางโปรง่ ใสที่แตกต่าง ตวั กลางโปร่งใสทแ่ี ตกต่างกนั และ กัน เช่น อากาศและนา้ อากาศและแกว้ จะเกิด อธบิ ายการกระจายแสงของแสงขาว การหกั เห หรอื อาจเกิดการสะทอ้ นกลบั หมดใน เมอ่ื ผา่ นปริซมึ จากหลกั ฐานเชิง ตวั กลางทแ่ี สงตกกระทบ การหักเหของแสงผ่าน ประจักษ์ เลนสท์ าใหเ้ กิดภาพที่มีชนดิ และขนาดตา่ ง ๆ 16. เขยี นแผนภาพการเคล่อื นที่ของ - แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสีต่าง ๆ เมือ่ แสงขาว แสง ผ่านปริซึมจะเกดิ การกระจายแสงเป็นแสงสีต่าง ๆ แสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง เรยี กวา่ สเปกตรัมของแสงขาว เมอื่ เคล่ือนทใี่ น ตวั กลางใด ๆ ทไ่ี มใ่ ช่อากาศ จะมีอตั ราเรว็ ตา่ งกัน จงึ มกี ารหกั เหตา่ งกนั หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 61

ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 17. อธบิ ายปรากฏการณท์ ่ีเก่ียวกับ - การสะท้อนและการหักเหของแสงนาไปใช้ แสง และการทางานของทศั นอปุ กรณ์ อธบิ ายปรากฏการณ์ท่เี ก่ียวกับแสง เช่น ร้งุ มริ าจ จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ และอธบิ ายการทางานของทัศนอปุ กรณ์ เชน่ แว่น 18. เขียนแผนภาพการเคลื่อนทีข่ อง ขยายกระจกโคง้ จราจร กล้องโทรทรรศน์ กลอ้ ง แสง แสดงการเกิดภาพของทัศน จลุ ทรรศน์ และแว่นสายตา อุปกรณ์และเลนส์ตา - ในการมองวัตถุ เลนสต์ าจะถูกปรับโฟกัส เพ่ือให้ เกดิ ภาพชัดท่ีจอตา ความบกพรอ่ งทางสายตา เช่น สายตาสัน้ และสายตายาว เป็นเพราะตาแหนง่ ท่ี เกิดภาพไม่ได้อยู่ทจ่ี อตาพอดี จึงต้องใชเ้ ลนส์ในการ แกไ้ ขเพื่อช่วยใหม้ องเห็นเหมือนคนสายตาปกติ โดยคนสายตาสั้นใชเ้ ลนส์เวา้ สว่ นคนสายตายาวใช้ เลนสน์ นู 19. อธบิ ายผลของความสว่างท่มี ีต่อ - ความสว่างของแสงมผี ลตอ่ ดวงตามนุษย์ การใช้ ดวงตาจากข้อมูลที่ไดจ้ ากการสืบค้น สายตาในสภาพแวดล้อมทม่ี ีความสว่างไม่ 20. วดั ความสวา่ งของแสงโดยใช้ เหมาะสมจะเปน็ อนั ตรายต่อดวงตา เชน่ การดวู ัตถุ อุปกรณว์ ัดความสวา่ งของแสง ในทม่ี ีความสว่างมากหรือนอ้ ยเกนิ ไป การจ้องดู 21. ตระหนักในคุณคา่ ของความรเู้ รอ่ื ง หนา้ จอภาพเปน็ เวลานาน ความสว่างบนพนื้ ท่ีรับ ความสวา่ งของแสงที่มตี อ่ ดวงตา โดย แสงมหี นว่ ยเปน็ ลักซ์ ความรเู้ ก่ยี วกับความสว่าง วิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาและ สามารถนามาใช้จดั ความสว่างใหเ้ หมาะสมกับการ เสนอแนะการจัดความสวา่ งให้ ทากิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดความสว่างท่ี เหมาะสมในการทากจิ กรรมต่าง ๆ เหมาะสมสาหรับการอ่านหนังสอื ม.5 1. สืบค้นข้อมูลและอธิบายพลงั งาน - พลงั งานท่ีปลดปลอ่ ยออกมาจากฟชิ ชัน หรือฟิว นิวเคลียร์ ฟชิ ชนั และฟิวชนั และ ชนั เรยี กว่า พลังงานนวิ เคลียร์ โดยฟชิ ชนั เป็น ความสมั พันธร์ ะหว่างมวล กับพลงั งาน ปฏิกริ ยิ าทน่ี วิ เคลียสที่มมี วลมากแตกออกเป็น ทีป่ ลดปลอ่ ยออกมาจากฟิชชันและฟิว นิวเคลยี สทมี่ มี วลน้อยกว่า สว่ นฟิวชันเป็นปฏกิ ริ ิยา ชนั ทนี่ ิวเคลยี สที่มีมวลน้อยรวมตัวกันเกดิ เป็น นิวเคลียสทีม่ มี วลมากขึน้ พลงั งานนิวเคลยี รท์ ่ี ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชนั และฟวิ ชัน มคี ่า เป็นไปตามความ สัมพันธ์ระหวา่ งมวลกบั พลังงาน หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 62

ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2. สบื คน้ ข้อมูล และอธบิ ายการเปลย่ี น - การนาพลังงานทดแทนมาใช้เป็นการแกป้ ัญหา พลังงานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟา้ หรือตอบสนองความตอ้ งการดา้ นพลงั งาน เชน่ การ รวมทั้งสบื ค้นและอภิปรายเก่ียวกับ เปลยี่ นพลังงานนิวเคลยี ร์เปน็ พลังงานไฟฟา้ ใน เทคโนโลยีทน่ี ามาแกป้ ัญหาหรือ โรงไฟฟ้านวิ เคลียร์ และการเปล่ียนพลงั งาน ตอบสนองความต้องการทางด้าน แสงอาทติ ย์เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยเซลลส์ ุรยิ ะ พลังงาน - เทคโนโลยีตา่ ง ๆ ทีน่ ามาแก้ปญั หาหรือ โดยเนน้ ดา้ นประสทิ ธภิ าพและความ ตอบสนองความต้องการทางด้านพลงั งานเปน็ การ คุม้ คา่ ด้านคา่ ใชจ้ ่าย นาความรู้ทกั ษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มาสรา้ งอปุ กรณ์หรือผลิตภัณฑ์ตา่ ง ๆ ท่ชี ว่ ยใหก้ าร ใชพ้ ลงั งาน มปี ระสทิ ธิภาพยิ่งขนึ้ 3. สังเกต และอธิบายการสะทอ้ น - เมื่อคลืน่ เคลื่อนที่ไปพบสิง่ กีดขวาง จะเกิด การหักเห การเล้ยี วเบน และการรวม การสะท้อน เมื่อคลนื่ เคล่ือนท่ีผ่านรอยต่อระหวา่ ง คลน่ื ตัวกลางทีต่ ่างกัน จะเกิดการหกั เห เมอื่ คลน่ื เคลือ่ นที่ไปพบขอบสิง่ กดี ขวางจะเกดิ การเลยี้ วเบน เมอื่ คลนื่ สองขบวนมาพบกันจะเกดิ การรวมคลน่ื เกดิ รปู รา่ งของคลน่ื รวม หลงั จากคลน่ื ทง้ั สอง เคลือ่ นทผ่ี ่านพน้ กนั แลว้ จะแยกกนั โดยแต่ละคล่นื ยังคงมี รปู รา่ งและทิศทางเดิม 4. สังเกต และอธิบายความถี่ธรรมชาติ - เม่อื กระตนุ้ ใหว้ ัตถุสัน่ แลว้ หยุดกระตุน้ วตั ถจุ ะสั่น การสน่ั พ้องและผลท่เี กดิ ขึ้นจากการส่ัน ด้วยความถที่ เี่ รยี กว่า ความถี่ธรรมชาติ ถ้ามแี รง พ้อง กระตนุ้ วตั ถุทีก่ าลงั ส่นั ดว้ ยความถขี่ องการออกแรง ตรงกบั ความถีธ่ รรมชาติของวัตถุน้ันจะทาให้วัตถุ สัน่ ดว้ ยแอมพลจิ ูดมากข้นึ เรียกวา่ การสั่นพ้อง เช่น การสัน่ พ้องของอาคารสงู การสั่นพ้องของ สะพาน การสั่นพ้องของเสยี งในเครอื่ งดนตรี ประเภทเป่า 5. สงั เกต และอธิบายการสะท้อน การ - เสียงมีการสะท้อน การหักเห การเลยี้ วเบนและ หกั เห การเลี้ยวเบน และการรวมคลน่ื การรวมคล่ืนเช่นเดียวกบั คลน่ื อนื่ ๆ ของคลน่ื เสียง หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 63

ช้นั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง 6. สบื คน้ ข้อมูล และอธิบาย - ความถี่ของคลื่นเสยี งเป็นปริมาณทใี่ ช้บอกเสยี ง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งความเข้มเสียง สงู เสยี งต่า โดยความถ่ีท่คี นได้ยนิ มคี า่ อย่รู ะหว่าง กบั ระดบั เสยี งและลของความถกี่ ับ 20 - 20,000 เฮิรตซ์ ระดับเสียงเปน็ ปรมิ าณทีใ่ ช้ ระดับเสียงทม่ี ีตอ่ การได้ยินเสียง บอกความดังของเสียงซึง่ ขนึ้ กับความเข้มเสียงโดย ความเข้มเสียงเป็นพลงั งานเสยี งที่ตกตงั้ ฉากบน พ้นื ที่หนึง่ หนว่ ยในหนง่ึ หนว่ ยเวลา เสยี งทีม่ คี วาม ดังมากเกนิ ไปเปน็ อนั ตรายต่อหู 7. สังเกต และอธบิ ายการเกิดเสียง - เม่ือเสยี งจากแหลง่ กาเนิดเดินทางไปกระทบวตั ถุ สะทอ้ นกลบั บีต ดอปเพลอร์ และการ แลว้ สะท้อนกลบั มายังผู้ฟัง ถ้าผูฟ้ ังไดย้ นิ เสียงท่ี ส่นั พ้องของเสียง ออกจากแหลง่ กาเนดิ และเสยี งทสี่ ะท้อนกลบั มา แยกจากกนั เสยี งท่ีได้ยินนเ้ี ป็นเสยี งสะทอ้ นกลับ - เม่ือคล่ืนเสียงสองขบวนท่ีมีความถ่ีใกล้เคยี งกันมา รวมกนั จะเกิดบีต - เม่ือแหล่งกาเนิดเสยี งเคลอ่ื นที่ ผ้ฟู ังเคลื่อนท่ี หรือทั้งแหลง่ กาเนิดและผ้ฟู งั เคล่อื นที่ ผฟู้ ังจะได้ ยนิ เสียงทมี่ ีความถเ่ี ปลย่ี นไป เรยี กวา่ ปรากฏการณ์ ดอปเพลอร์ - ถา้ อากาศในท่อถกู กระตนุ้ ด้วยคล่นื เสียงท่ีมี ความถ่เี ทา่ กบั ความถธ่ี รรมชาตขิ องอากาศในท่อ นน้ั จะเกิดการส่นั พ้องของเสียง 8. สืบคน้ ข้อมูล และยกตวั อย่างการนา - ความรู้เกยี่ วกบั เสียงนาไปใชป้ ระโยชน์ในด้านต่าง ความรูเ้ ก่ียวกับเสียงไปใช้ประโยชน์ใน ๆเช่น คลื่นเหนือเสียงหรือ อัลตราซาวนด์ ชวี ิตประจาวนั ใช้ในทางการแพทย์ บีตของเสียงในการปรับเทียบ เสียงของเครื่องดนตรี การสั่นพ้องของเสียงใช้ใน การออกแบบเคร่ืองดนตรีและอธิบายการเปล่ง เสยี งของมนษุ ย์ 9. สงั เกต และอธิบายการมองเห็นสี - เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีบาง ของวตั ถุและความผดิ ปกติในการ สีโดยขึ้นกับสารสีบนผิววัตถุ และสะท้อนแสงสีท่ี มองเห็นส เหลือออกมา ทาให้มองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ขึ้นกับแสงสีท่ีสะท้อนออกมา ความผิดปกติในการ มองเห็นสีหรือการบอดสีเกิดจากความบกพร่อง ของเซลลร์ ูปกรวยบนจอตา หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 64

ชัน้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง 10. สงั เกต และอธิบายการทางานของ - แผ่นกรองแสงสยี อมใหแ้ สงสบี างสีผ่านออกไปได้ แผน่ กรองแสงสี การผสมแสงสี การ และกัน้ บางแสงสี ผสมสารสี และการนาไปใช้ประโยชน์ - การผสมแสงสีทาให้ได้แสงสีที่หลากหลาย ในชีวติ ประจาวนั เปลีย่ นไปจากเดิม ถ้านาแสงสีปฐมภมู ใิ นสัดส่วนท่ี เหมาะสมมาผสมกนั จะได้แสงขาว - การผสมสารสที าให้ไดส้ ารสีทหี่ ลากหลาย เปลย่ี นไปจากเดิม ถา้ นาสารสีปฐมภูมใิ นปริมาณท่ี เท่ากันมาผสมกันจะได้สารสผี สมเปน็ สดี า - การผสมแสงสแี ละการผสมสารสีสามารถนาไปใช้ ประโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ด้านศลิ ปะด้านการ แสดง 11. สืบคน้ ขอ้ มลู และอธิบายคลืน่ - คล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ประกอบดว้ ยสนามแมเ่ หล็ก แมเ่ หล็กไฟฟา้ ส่วนประกอบคล่นื และสนามไฟฟ้าที่เปลีย่ นแปลงตลอดเวลาโดย แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และหลกั การทางาน สนามทง้ั สองมีทิศทางตั้งฉากกนั และต้ังฉากกบั ทศิ ของอปุ กรณ์บางชนิดท่ีอาศัยคล่ืน ทางการเคล่อื นที่ของคล่ืน แมเ่ หล็กไฟฟา้ - อปุ กรณ์บางชนิดทางานโดยอาศัยคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า เชน่ เครื่องควบคุมระยะไกล เคร่ือง ถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และเครอื่ งถา่ ยภาพ การส่นั พ้องแม่เหล็ก 12. สบื ค้นขอ้ มลู และอธิบายการ - ในการสือ่ สารโดยอาศยั คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ ส่ือสาร โดยอาศัยคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ เพื่อสง่ ผา่ นสารสนเทศจากทีห่ นึ่งไปอีกทีห่ นึ่ง ในการส่งผ่านสารสนเทศและ สารสนเทศจะถูกแปลงใหอ้ ยใู่ นรปู สัญญาณ เปรียบเทยี บการสื่อสารด้วยสัญญาณ สาหรับส่งไปยังปลายทางซ่ึงจะมีการแปลง แอนะล็อกกับสญั ญาณดจิ ิทลั สัญญาณกลบั มาเป็นสารสนเทศทเี่ หมือนเดิม - สัญญาณท่ใี ชใ้ นการส่อื สารมีสองชนดิ คือ แอนะล็อกและดิจทิ ัล การส่งผา่ นสารสนเทศ ดว้ ยสัญญาณดิจิทลั สามารถสง่ ผ่านไดโ้ ดยมี ความผดิ พลาดน้อยกว่าสญั ญาณแอนะล็อก หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 65

สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และววิ ฒั นาการของเอก ภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้งั ปฏิสมั พันธ์ภายในระบบสุรยิ ะทสี่ ง่ ผลต่อสง่ิ มชี วี ิต และการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ ชั้น ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.3 1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์ - ในระบบสุริยะมีดวงอาทติ ย์เปน็ ศูนยก์ ลางโดยมี รอบ ดาวเคราะหแ์ ละบรวิ าร ดาวเคราะห์แคระดาว ดวงอาทิตยด์ ว้ ยแรงโนม้ ถ่วงจากสมการ เคราะหน์ ้อย ดาวหาง และอ่ืน ๆ เชน่ วัตถคุ อย F = (Gm1m2)/r2 เปอร์โคจรอยโู่ ดยรอบ ซ่ึงดาวเคราะห์ และวัตถุ เหลา่ น้ีโคจรรอบดวงอาทติ ยด์ ้วยแรงโนม้ ถว่ งแรง โน้มถว่ งเป็นแรงดึงดดู ระหว่างวัตถสุ องวตั ถโุ ดย เป็นสัดสว่ นกับผลคณู ของมวลทงั้ สอง และเปน็ สดั สว่ นผกผนั กับกาลงั สองของระยะทางระหวา่ ง วตั ถุทั้งสอง แสดงได้โดยสมการ F= (Gm1m2)/r2 เม่ือ F แทนความโนม้ ถว่ งระหว่าง มวลท้งั สอง G แทนค่านิจโน้มถว่ งสากล m1 แทน มวลของวัตถแุ รก m2 แทนมวลของวัตถุที่สอง และ r แทนระยะหา่ งระหวา่ งวัตถุท้งั สอง 2. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการเกดิ - การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลกั ษณะท่ี ฤดู และการเคลื่อนที่ปรากฏของดวง แกนโลกเอยี งกบั แนวต้ังฉากของระนาบทางโคจร อาทิตย ทาใหส้ ว่ นตา่ ง ๆ บนโลกไดร้ ับปรมิ าณแสงจาก ดวงอาทิตยแ์ ตกตา่ งกนั ในรอบปี เกดิ เป็นฤดู กลางวันกลางคืนยาวไม่เท่ากัน และตาแหน่งการ ขึน้ และตกของดวงอาทติ ย์ที่ขอบฟา้ และเส้นทาง การขึน้ และตกของดวงอาทติ ยเ์ ปลี่ยนไปในรอบปี ซ่งึ ส่งผลต่อการดารงชวี ติ 3. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการเกดิ - ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจันทร์ ขา้ งขึ้น ข้างแรม การเปลีย่ นแปลงเวลา โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทรร์ ับแสงจากดวง การขึ้นและตกของดวงจันทร์ และการ อาทิตย์คร่งึ ดวงตลอดเวลา เมื่อดวงจนั ทร์โคจร เกิดนา้ ข้ึนน้าลง รอบโลกได้หนั สว่ นสว่างมายังโลกแตกต่างกนั จงึ ทาให้คนบนโลกสงั เกตส่วนสวา่ งของดวงจันทร์ แตกต่างไปในแต่ละวันเกดิ เป็นข้างข้ึนข้างแรม - ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกในทิศทางเดียวกนั กับที่ โลกหมุนรอบตวั เอง จึงทาใหเ้ หน็ ดวงจนั ทร์ขึ้นชา้ ไปประมาณวนั ละ 50 นาท หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 66

ชน้ั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง - แรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์กระทาต่อ โลกทาให้เกิดปรากฏการณ์น้าข้ึนน้าลง ซึ่งส่งผล ต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตบนโลก วันท่ีน้ามี ระดับการข้ึนสูงสุดและลงต่าสุดเรียก วันน้าเกิด สว่ นวนั ที่ระดบั นา้ มกี ารขน้ึ และลงน้อยเรียกวันน้า ตาย โดยวันน้าเกิด น้า ตาย มีความสัมพันธ์กับ ขา้ งขึน้ ข้างแรม 4. อธบิ ายการใช้ประโยชน์ของ - เทคโนโลยีอวกาศได้มบี ทบาทตอ่ การดารงชีวติ เทคโนโลยีอวกาศและยกตัวอย่าง ของมนษุ ยใ์ นปจั จบุ นั มากมาย มนษุ ย์ไดใ้ ช้ ความกา้ วหน้าของโครงการสารวจ ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ เชน่ ระบบนา อวกาศ จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ทางดว้ ยดาวเทียม (GNSS) การติดตามพายุ สถานการณ์ไฟป่า ดาวเทียมช่วยภยั แลง้ การตรวจ คราบน้ามนั ในทะเล - โครงการสารวจอวกาศต่าง ๆ ได้พัฒนาเพม่ิ พูน ความรูค้ วามเข้าใจต่อโลก ระบบสรุ ิยะและเอก ภพมากข้ึนเป็นลาดบั ตวั อยา่ งโครงการสารวจ อวกาศ เชน่ การสารวจสง่ิ มชี ีวิตนอกโลก การ สารวจดาวเคราะหน์ อกระบบสุรยิ ะ การสารวจ ดาวอังคารและบริวารอนื่ ของดวงอาทิตย์ ม.6 1. อธิบายการกาเนิดและการ - ทฤษฎีกาเนิดเอกภพท่ียอมรับในปัจจุบัน คือ เปลี่ยนแปลงพลงั งานสสาร ขนาด ทฤษฎบี ิกแบง ระบุวา่ เอกภพเรม่ิ ต้นจาก อุณหภมู ิของเอกภพหลงั เกิดบิกแบงใน บกิ แบงท่ีเอกภพมีขนาดเลก็ มาก และมีอุณหภูมิ ชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ตามววิ ฒั นาการ สงู มากซง่ึ เป็นจุดเริ่มตน้ ของเวลาและววิ ัฒนาการ ของเอกภพ ของเอกภพ โดยหลังเกิด บกิ แบง เอกภพเกดิ การขยายตัวอย่างรวดเร็ว มี อณุ หภูมิลดลง มีสสารคงอยใู่ นรปู อนภุ าคและปฏิ ยานุภาคหลายชนดิ และมวี ิวฒั นาการต่อเน่ือง จนถึงปจั จุบนั ซึง่ มเี นบิวลา กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะเปน็ สมาชกิ บางสว่ นของเอกภพ 2. อธบิ ายหลกั ฐานทส่ี นับสนุนทฤษฎี - หลกั ฐานสาคัญทีส่ นบั สนุนทฤษฎบี ิกแบง คอื บกิ แบงจากความสัมพนั ธร์ ะหว่าง การขยายตัวของเอกภพ ซึ่งอธิบายดว้ ยกฎ ความเร็วกับระยะทางของกาแล็กซี ฮบั เบิลโดยใช้ความสัมพันธร์ ะหว่างความเร็วและ รวมทัง้ ขอ้ มูลการคน้ พบไมโครเวฟ ระยะทางของกาแล็กซีท่เี คลื่อนทหี่ า่ งออกจาก พืน้ หลงั จากอวกาศ โลกและหลกั ฐานอีกประการ คอื การค้นพบ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 67

ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ไมโครเวฟพืน้ หลงั ที่กระจายตัวอยา่ งสมา่ เสมอ ทุกทิศทางและสอดคลอ้ งกบั อุณหภูมิเฉลย่ี ของ อวกาศมีคา่ ประมาณ 2.73 เคลวิน 3. อธิบายโครงสรา้ งและองค์ประกอบ - กาแล็กซี ประกอบดว้ ย ดาวฤกษจ์ านวนหลาย ของกาแล็กซที างชา้ งเผือก และระบุ แสนล้านดวง ซงึ่ อย่กู ันเป็นระบบของดาวฤกษ์ ตาแหนง่ ของระบบสุริยะพร้อมอธิบาย นอกจากนี้ ยงั ประกอบด้วยเทห์ฟ้าอื่น เชน่ เชอื่ มโยงกบั การสังเกตเหน็ ทาง เนบิวลา และสสารระหว่างดาว โดยองค์ประกอบ ชา้ งเผือกของคนบนโลก ตา่ ง ๆ ภายในของกาแล็กซีอยู่รวมกันดว้ ยแรง โน้มถ่วง - กาแลก็ ซมี ีรูปร่างแตกต่างกัน โดยระบบสุรยิ ะ อยู่ในกาแลก็ ซีทางชา้ งเผือกซึ่งเป็นกาแลก็ ซกี ังหนั แบบมีคาน มโี ครงสรา้ ง คือ นิวเคลยี ส จาน และ ฮาโล ดาวฤกษ์จานวนมากอยู่ในบรเิ วณนวิ เคลยี ส และจาน โดยมรี ะบบสุรยิ ะอยู่หา่ งจากจุด ศนู ยก์ ลาง ของกาแลก็ ซที างช้างเผือก ประมาณ 30,000 ปี แสงซึง่ ทางช้างเผือกทีส่ งั เกตเหน็ ในทอ้ งฟา้ เปน็ บริเวณหน่งึ ของกาแล็กซีทางช้างเผือกในมุมมอง ของคนบนโลก แถบฝา้ สีขาวจาง ๆ ของทาง ชา้ งเผือกคือดาวฤกษ์ ที่อยู่อย่างหนาแน่นใน กาแล็กซีทางชา้ งเผือก 4. อธิบายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ - ดาวฤกษส์ ว่ นใหญ่อยรู่ วมกนั เป็นระบบดาวฤกษ์ โดยแสดงการเปลีย่ นแปลงความดนั คอื ดาวฤกษ์ที่อย่รู วมกันตั้งแต่ 2 ดวงขนึ้ ไปดาว อุณหภมู ิ ขนาดจากดาวฤกษ์ก่อนเกดิ ฤกษเ์ ปน็ กอ้ นแก๊สร้อนขนาดใหญ่ เกดิ จากการ จนเปน็ ยุบตัวของกลมุ่ สสารในเนบิวลาภายใต้แรงโนม้ ดาวฤกษ์ ถว่ ง ทาใหบ้ างสว่ นของเนบวิ ลามีขนาดเล็กลง ความดันและอุณหภมู ิเพ่ิมขึน้ เกิดเป็นดาวฤกษ์ กอ่ นเกดิ เมื่ออุณหภูมทิ ่ีแกน่ สูงขน้ึ จน เกดิ ปฏิกิรยิ าเทอร์มอนวิ เคลยี ร์ ดาวฤกษก์ ่อนเกดิ จะกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อยใู่ นสภาพสมดลุ ระหว่างแรงดนั กับแรงโน้มถ่วงซงึ่ เรยี กวา่ สมดลุ อทุ กสถิตจงึ ทาใหด้ าวฤกษ์มเี สถยี รภาพและ ปลดปล่อยพลงั งานเป็นเวลานาน ตลอดช่วงชีวติ ของดาวฤกษ์ หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 68

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - ปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ เป็นปฏิกิริยาหลัก ของกระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ที่ แก่นของดาวฤกษ์ ทาให้เกิดการหลอมนิวเคลียส ของไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียมแล้วก่อให้เกิด พลังงานอย่างตอ่ เน่อื ง 5. ระบปุ จั จยั ทีส่ ่งผลต่อความส่องสว่าง - ความส่องสว่างของดาวฤกษ์เป็นพลังงานจาก ของดาวฤกษ์ และอธบิ ายความสมั พนั ธ์ ดาวฤกษ์ท่ีปลดปล่อยออกมาในเวลา 1 วินาทีต่อ ระหวา่ งความส่องสวา่ งกับโชติมาตร หน่วยพืน้ ที่ ณ ตาแหน่งของผู้สังเกต แต่เนื่องจาก ของดาวฤกษ์ ตาของมนุษย์ไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ความส่องสว่างท่ีมีค่าน้อย ๆ จึงกาหนดค่าการ เปรียบเทียบความส่องสว่างของดาวฤกษ์ด้วยค่า โชติมาตร ซึ่งเป็นการแสดงระดับความส่องสว่าง ของดาวฤกษ์ ณ ตาแหน่งของผสู้ งั เกต 6. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ งสี - สีของดาวฤกษ์สัมพันธ์กับอุณหภูมิผิว และ อณุ หภมู ผิ วิ และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ สเปกตรัมของดาวฤกษ์ ซ่ึงนักดาราศาสตร์ใช้ สเปกตรมั ในการจาแนกชนิดของดาวฤกษ์ 7. อธบิ ายลาดบั วิวัฒนาการท่ีสัมพนั ธ์ - มวลของดาวฤกษ์ขึ้นอย่กู บั มวลของดาวฤกษ์ กบั มวลตัง้ ต้นและวเิ คราะห์การ กอ่ นเกดิ ดาวฤกษท์ ่ีมีมวลมากจะผลติ และใช้ เปลี่ยนแปลงสมบตั บิ างประการของ พลังงานมาก จึงมีอายุสนั้ กว่าดาวฤกษ์ทีม่ มี วล ดาวฤกษ์ น้อย - ดาวฤกษ์มีการวิวัฒนาการที่แตกตา่ งกนั การวิวัฒนาการและจุดจบของดาวฤกษ์ขนึ้ อยู่กบั มวลตั้งตน้ ของดาวฤกษ์ ส่วนใหญเ่ ทียบกับจานวน เทา่ ของมวลดวงอาทติ ย์ 8. อธบิ ายกระบวนการเกดิ ระบบสรุ ยิ ะ - ระบบสรุ ิยะเกิดจากการรวมตวั กันของกล่มุ ฝุ่น และการแบ่งเขตบริวารของดวงอาทติ ย์ และแก๊สที่เรียกว่า เนบวิ ลาสุรยิ ะ โดยฝุน่ และ และลกั ษณะของดาวเคราะห์ที่เอ้ือตอ่ แก๊สประมาณร้อยละ 99.8 ของมวล ได้รวมตวั การดารงชีวิต เป็นดวงอาทิตย์ซ่งึ เปน็ ก้อนแก๊สรอ้ น หรอื พลาสมาสสารสว่ นท่เี หลอื รวมตวั เป็นดาวเคราะห์ และบรวิ ารอ่ืน ๆ ของดวงอาทติ ย์ ดงั นัน้ จงึ แบง่ เขตบริวารของดวงอาทติ ยต์ ามลักษณะการเกิด และองคป์ ระกอบ ได้แก่ ดาวเคราะห์ชั้นใน ดาว เคราะห์น้อย ดาวเคราะห์ช้นั นอก และดงดาวหาง หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 69

ชนั้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง - โลกเปน็ ดาวเคราะห์ในระบบสุรยิ ะที่มีส่งิ มชี ีวิต เพราะโคจรรอบดวงอาทิตยใ์ นระยะทางท่ี เหมาะสมอยใู่ นเขตทเ่ี อื้อต่อการมสี ่งิ มีชวี ิต มี อณุ หภมู เิ หมาะสมและสามารถเกิดน้าทยี่ งั คง สถานะเป็นของเหลวได้ ปัจจุบันมีการค้นพบดาว เคราะหท์ ี่อยนู่ อกระบบสรุ ิยะจานวนมาก และมี ดาวเคราะห์ บางดวงท่อี ยู่ในเขตท่ีเอ้ือต่อการมสี ิง่ มชี ีวิต คลา้ ยโลก 9. อธิบายโครงสรา้ งของดวงอาทิตย์ - ดวงอาทิตย์มีโครงสร้างภายในแบ่งเป็นแก่น การเกดิ ลมสุรยิ ะ พายุสุรยิ ะ และ เขตการแผ่รังสี และเขตการพาความร้อน และมี สบื คน้ ขอ้ มูล วิเคราะห์นาเสนอ ช้ันบรรยากาศอยู่เหนือเขตพาความร้อน ซึ่ง ปรากฏการณ์หรือเหตกุ ารณ์ที่เก่ยี วขอ้ ง แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นโฟโตสเฟียร์ ชั้นโครโมส กบั ผลของลมสุริยะ และพายุสุริยะท่มี ี เฟียร์ และคอโรนา ในช้ันบรรยากาศของดวง ต่อโลกรวมทัง้ ประเทศไทย อาทิตย์มีปรากฏการณ์สาคัญ เช่น จุดมืดดวง อาทิตย์การลุกจ้า ท่ีทาให้เกิดลมสุริยะ และพายุ สรุ ิยะซ่ึงสง่ ผลตอ่ โลก - ลมสุริยะ เกิดจากการแพร่กระจายของอนุภาค จากช้ันคอโรนาออกสู่อวกาศตลอดเวลา อนุภาค ท่หี ลุดออกสอู่ วกาศเป็นอนุภาคที่มีประจุลมสุริยะ ส่งผลทาให้เกิดหางของดาวหางท่ีเรืองแสงและช้ี ไ ป ท า ง ทิ ศ ต ร ง กั น ข้ า ม กั บ ด ว ง อ า ทิ ต ย์ แ ล ะ เ กิ ด ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ แ ส ง เ ห นื อ แ ส ง ใ ต้ - พายุสุริยะ เกิดจากการปลดปล่อยอนุภาคมี ประจุพลังงานสูงจานวนมหาศาล มกั เกิดบ่อยครั้ง ในช่วงที่มีการลุกจ้า และในช่วงท่ีมีจุดมืดดวง อาทิตย์จานวนมาก และในบางครั้งมีการพ่นก้อน ม ว ล ค อ โ ร น า พ า ยุ สุ ริ ย ะ อ า จ ส่ ง ผ ล ต่ อ สนามแม่เหล็กโลก จึงอาจรบกวนระบบการส่ง กระแสไฟฟา้ และการส่ือสาร รวมทั้งอาจส่งผลต่อ วงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ของดาวเทยี ม นอกจากน้ันมัก ทาให้เกิดปรากฏการณ์แสงเหนือ แสงใต้ท่ีสังเกต ไดช้ ดั เจน หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 70

ช้นั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 10. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบายการสารวจ - มนษุ ยใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศในการศึกษา เพื่อ อวกาศ โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ในช่วง ขยายขอบเขตความรดู้ า้ นวทิ ยาศาสตร์ และใน ความยาวคล่ืนต่าง ๆ ดาวเทยี ม ยาน ขณะเดียวกนั มนุษยไ์ ด้นาเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ อวกาศ สถานีอวกาศ และนาเสนอ ประโยชนใ์ นดา้ นต่าง ๆ เชน่ วัสดศุ าสตร์ อาหาร แนวคดิ การนาความรทู้ างด้าน การแพทย์ เทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้ ใน - นกั วิทยาศาสตร์ไดส้ ร้างกล้องโทรทรรศน์ เพ่ือ ชวี ิตประจาวันหรอื ในอนาคต ศกึ ษาแหล่งกาเนิดของรงั สีหรอื อนภุ าคในอวกาศ ในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ ไดแ้ ก่ คลื่นวทิ ยุ ไมโครเวฟอินฟราเรด แสง อลั ตราไวโอเลต และ รังสเี อ็กซ์ - ยานอวกาศ คือ ยานพาหนะท่ีนามนุษย์หรือ อุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ขึน้ ไปสูอ่ วกาศ เพื่อ สารวจหรือเดินทางไปยังดาวดวงอืน่ ส่วนสถานี อวกาศ คือ หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารลอยฟา้ ทีโ่ คจรรอบ โลกใชใ้ นการศึกษาวจิ ัยทางวิทยาศาสตร์ในสาขา ต่าง ๆ ในสภาพไร้น้าหนกั - ดาวเทียม คือ อปุ กรณ์ทใี่ ชใ้ นการสารวจวตั ถุ ท้องฟ้าและนามาประยกุ ต์ใชใ้ นด้าน ตา่ งๆ เช่น การส่อื สารโทรคมนาคม การระบตุ าแหนง่ บนโลก การสารวจทรพั ยากร ธรรมชาติ อุตุนยิ มวทิ ยา โดยดาวเทียมมหี ลาย ประเภทสามารถแบง่ ไดต้ ามเกณฑ์วงโคจรและ การใชง้ าน หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 71

สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสมั พันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลีย่ นแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัตภิ ยั กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟา้ อากาศและ ภมู ิอากาศโลก รวมท้ังผลต่อสิ่งมีชวี ิตและสง่ิ แวดล้อม ชั้น ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.1 1. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการแบง่ - โลกมีบรรยากาศห่อหุ้ม นักวิทยาศาสตร์ใช้ ชัน้ บรรยากาศและเปรยี บเทียบ สมบัติและองค์ประกอบของบรรยากาศในการ ประโยชน์ของบรรยากาศแตล่ ะช้ัน แบ่งบรรยากาศของโลกออกเป็นช้ัน ซึ่งแบ่งได้ หลายรูปแบบตามเกณฑ์ท่ีแตกต่างกัน โดยทั่วไป นั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ใ ช้ เ ก ณ ฑ์ ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง อุณหภูมิตามความสูงแบ่งบรรยากาศได้เป็น 5 ช้ัน ได้แก่ ช้ันโทรโพสเฟียร์ชั้นสตราโตสเฟียร์ ชั้น มีโซสเฟียร์ ช้ันเทอร์โมสเฟียร์และช้ันเอกโซส เฟียร์ - บรรยากาศแต่ละชั้นมีประโยชน์ต่อส่ิงมีชีวิต แตกต่างกัน โดยชั้นโทรโพสเฟียร์มีปรากฏการณ์ ล ม ฟ้ า อ า ก า ศ ที่ ส า คั ญ ต่ อ ก า ร ด า ร ง ชี วิ ต ข อ ง สิ่งมีชีวิตช้ันสตราโตสเฟียร์ช่วยดูดกลืนรังสี อัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ไม่ให้มายังโลก มากเกินไปช้ันมีโซสเฟียร์ช่วยชะลอวัตถุนอกโลก ท่ีผ่านเข้ามาให้เกิดการเผาไหม้กลายเป็นวัตถุ ขนาดเล็กลดโอกาสท่ีจะทาความเสียหายแก่ ส่ิ ง มี ชี วิ ต บ น โ ล ก ชั้ น เ ท อ ร์ โ ม ส เ ฟี ย ร์ ส า ม า ร ถ สะทอ้ นคลน่ื วทิ ยุ และช้ัน เ อ ก โ ซ ส เ ฟี ย ร์ เ ห ม า ะ ส า ห รั บ ก า ร โ ค จ ร ข อ ง ดาวเทียมรอบโลกในระดบั ตา่ 2. อธบิ ายปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ การ - ลมฟา้ อากาศ เปน็ สภาวะของอากาศในเวลา เปล่ยี นแปลงองค์ประกอบของลมฟา้ หน่ึงของพ้นื ท่ีหน่ึงทีม่ ีการเปลี่ยนแปลง อากาศ จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ตลอดเวลาข้ึนอยู่กบั องคป์ ระกอบลมฟ้าอากาศ ได้แก่อณุ หภมู ิอากาศ ความกดอากาศ ลม ความช้นื เมฆ และหยาดนา้ ฟ้า โดยหยาดนา้ ฟ้าท่ี พบบ่อยในประเทศไทยไดแ้ ก่ ฝน องคป์ ระกอบ ลมฟ้าอากาศเปล่ียนแปลงตลอดเวลาขนึ้ อยู่กับ ปัจจยั ตา่ ง ๆ เชน่ ปริมาณรงั สีจากดวงอาทิตย์ และ หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 72

ชน้ั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ลกั ษณะพื้นผิวโลกส่งผลต่ออุณหภมู ิอากาศ อณุ หภมู ิอากาศและปริมาณไอน้าส่งผลตอ่ ความชืน้ ความกดอากาศสง่ ผลตอ่ ลม ความชื้น และลมสง่ ผลตอ่ เมฆ 3. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกิดพายุ - พายุฝนฟ้าคะนอง เกิดจากการที่อากาศท่ีมี ฝนฟา้ คะนองและพายุหมุนเขตร้อน อุณหภูมิและความชื้นสูงเคล่ือนที่ขึ้นสู่ระดับ และผลทีม่ ตี ่อสิง่ มชี ีวติ และสงิ่ แวดลอ้ ม ความสูง ที่มีอุณหภูมิต่าลง จนกระทั่งไอน้า รวมทัง้ นาเสนอแนวทางการปฏิบตั ติ น ในอากาศเกิดการควบแน่นเป็นละอองน้า และ ให้เหมาะสมและปลอดภยั เกิดต่อเนื่องเป็นเมฆขนาดใหญ่ พายุฝนฟ้า คะนองทาให้เกิดฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรง ฟ้า แลบฟ้าผ่า ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและ ทรัพยส์ ิน - พายหุ มนุ เขตรอ้ นเกิดเหนือมหาสมุทรหรือทะเล ทน่ี า้ มอี ณุ หภมู สิ งู ตง้ั แต่ 26-27 องศาเซลเซียสขึ้น ไป ทาให้อากาศที่มีอุณหภูมิและความช้ืนสูง บรเิ วณน้นั เคลื่อนทีส่ งู ขน้ึ อย่างรวดเรว็ เป็นบริเวณ กว้าง อากาศจากบริเวณอ่ืนเคล่ือนเข้ามาแทนท่ี และพัดเวียนเข้าหาศูนย์กลางของพายุยิ่งใกล้ ศูนย์กลาง อากาศจะเคล่ือนท่ีพัดเวียนเกือบเป็น วงกลมและมีอัตราเร็วสูงท่ีสุด พายุหมุนเขตร้อน ทาให้เกิดคล่ืนพายุซัดฝ่ัง ฝนตกหนักซึ่งอาจ ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินจึงควร ปฏิบัติตนให้ปลอดภัยโดยติดตามข่าวสารการ พยากรณ์อากาศ และไม่เข้าไปอยู่ในพ้ืนที่ ทีเ่ สีย่ งภัย 4. อธบิ ายการพยากรณ์อากาศ และ - การพยากรณ์อากาศเป็นการคาดการณ์ลมฟ้า พยากรณอ์ ากาศอย่างง่ายจากข้อมลู ท่ี อากาศท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต โดยมีการตรวจวัด รวบรวมได้ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ล ม ฟ้ า อ า ก า ศ ก า ร สื่ อ ส า ร แลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ประกอบลมฟ้าอากาศ ระหว่างพ้ืนท่ีการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างคา พยากรณอ์ ากาศ 5. ตระหนกั ถึงคณุ คา่ ของการพยากรณ์ - การพยากรณ์อากาศสามารถนามาใช้ประโยชน์ อากาศโดยนาเสนอแนวทางการปฏิบตั ิ ด้านตา่ ง ๆ เชน่ การใช้ชีวิต ตนและการใช้ประโยชนจ์ ากคา ประจาวัน การคมนาคม การเกษตร การป้องกัน พยากรณ์อากาศ และเฝา้ ระวังภัยพิบตั ทิ างธรรมชาติ หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 73

ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 6. อธบิ ายสถานการณ์และผลกระทบ - ภูมิอากาศโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง การเปลีย่ นแปลงภูมิอากาศโลกจาก ต่อเนื่องโดยปัจจัยทางธรรมชาติ แต่ปัจจุบันการ ข้อมูลทรี่ วบรวมได้ เปลี่ยนแปลงภมู ิอากาศเกิดข้ึนอยา่ งรวด เร็วเน่อื งจากกิจกรรมของมนษุ ย์ในการปลด ปล่อยแก๊สเรือนกระจกสู่บรรยากาศ แก๊สเรือน กระจกที่ถูกปลดปล่อยมากท่ีสุด ได้แก่ แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึงหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักร คาร์บอน 7. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของการ - การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกก่อให้เกิด เปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศโลก โดย ผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม เช่น นาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนภายใต้ การหลอมเหลวของน้าแข็งขั้วโลก การเพ่ิมข้ึน การเปลย่ี น ของระดับทะเล การเปลี่ยนแปลงวัฏจักรน้าการ แปลงภมู ิอากาศโลก เกิดโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้า และการเกิดภัย พิบัติทางธรรมชาติท่ีรุนแรงข้ึน มนุษย์จึงควร เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตนภายใต้สถานการณ์ ดังกล่าว ท้ังแนวทางการปฏิบัติตนให้เหมาะสม และแนวทางการลดกิจกรรมที่ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก ม.2 1. เปรียบเทยี บกระบวนการเกดิ - เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ เกิดจากการ สมบัติ และการใชป้ ระโยชน์ รวมท้งั เปลี่ยนแปลงสภาพของซากสิ่งมีชีวิตในอดีต โดย อธิบายผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิง กระบวนการทางเคมีและธรณีวิทยา เชื้อเพลิง ซากดกึ ดาบรรพ์ จากข้อมลู ทีร่ วบรวม ซากดึกดาบรรพ์ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ามัน และ ได้ ปิโตรเลียม ซึ่งเกิดจากวัตถุต้นกาเนิด และ สภาพแวดล้อมการเกิดท่ีแตกต่างกัน ทาให้ได้ ชนิดของเช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ท่ีมีลักษณะ สมบัติ และการนาไปใช้ประโยชน์แตกต่างกัน สาหรับปิโตรเลียมจะต้องมีการผ่านการกล่ัน ลาดับส่วนก่อนการใช้งานเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงซากดึกดา บรรพ์เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เน่ืองจาก ต้องใช้เวลานานหลายลา้ นปจี ึงจะเกิดขน้ึ ใหมไ่ ด้ 2. แสดงความตระหนักถึงผลจากการ - การเผาไหม้เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ใน ใชเ้ ชอ้ื เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ โดย กิจกรรมตา่ ง ๆ ของมนษุ ยจ์ ะทาใหเ้ กิดมลพิษทาง นาเสนอแนวทางการใชเ้ ชอ้ื เพลิงซาก อา ก าศ ซ่ึ งส่ ง ผล ก ร ะท บ ต่อ ส่ิ งมี ชี วิต แ ล ะ ดึกดาบรรพ์ สิง่ แวดลอ้ มนอกจากนี้แกส๊ บางชนดิ ท่ีเกิดจากการ หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 74

ชั้น ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง เผาไหม้เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ เช่น แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ ยังเป็น แกส๊ เรือนกระจกซ่ึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศของโลกรุนแรงข้ึน ดังน้ันจึงควรใช้ เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ โดยคานึงถึงผลท่ี เกิดข้ึนต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม เช่น เลือกใช้ พลงั งานทดแทน หรอื เลือกใช้เทคโนโลยีท่ีลดการ ใชเ้ ช้อื เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ 3. เปรยี บเทยี บขอ้ ดีและข้อจากดั ของ - เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์เป็นแหล่งพลังงาน พลงั งานทดแทนแต่ละประเภทจาก ท่ีสาคัญในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เน่ืองจาก การรวบรวมข้อมลู และนาเสนอแนว เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์มีปริมาณจากัดและมัก ทางการใช้พลังงานทดแทนทีเ่ หมาะสม เพ่ิมมลภาวะในบรรยากาศมากข้ึน จึงมีการใช้ ในท้องถิน่ พ ลั ง ง า น ท ด แ ท น ม า ก ข้ึ น เ ช่ น พ ลั ง ง า น แสงอาทิตย์พลังงานลม พลังงานน้า พลังงานชีว มวล พลังงานคล่ืน พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลงั งานไฮโดรเจน ซ่งึ พลงั งานทดแทนแต่ละชนิด จะมีขอ้ ดีและข้อจากดั ท่แี ตกตา่ งกนั 4. สรา้ งแบบจาลองท่ีอธบิ ายโครงสรา้ ง - โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นช้ันตาม ภายในโลกตามองคป์ ระกอบทางเคมี องค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ เปลือกโลก ซึ่งอยู่ จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ นอกสุด ประกอบด้วยสารประกอบของซิลิกอน และอะลูมิเนียมเป็นหลัก เน้ือโลกคือส่วนท่ีอยู่ใต้ เปลือกโลกลงไปจนถึงแก่นโลก มีองค์ประกอบ หลักเป็นสารประกอบของซิลิกอน แมกนีเซียม และเหล็ก และแก่นโลกคือส่วนที่อยู่ใจกลางของ โลก มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กและนิกเกิลซึ่ง แต่ละชน้ั มลี กั ษณะแตกตา่ งกัน 5. อธบิ ายกระบวนการผพุ งั อยกู่ บั ท่ี - การผุพังอยู่กับท่ี การกร่อน และการสะสมตัว การกร่อนและการสะสมตวั ของตะกอน ของตะกอน เปน็ กระบวนการเปลยี่ น จากแบบจาลองรวมท้งั ยกตัวอย่างผล แปลงทางธรณีวิทยา ที่ทาให้ผิวโลกเกิดการ ของกระบวนการดังกล่าวที่ทาใหผ้ วิ เปลี่ยนแปลงเป็นภูมิลักษณ์แบบต่าง ๆ โดยมี โลกเกดิ การเปลี่ยนแปลง ปัจจัยสาคัญ คือน้า ลม ธารน้าแข็ง แรงโน้มถ่วง ของโลก สิ่งมีชีวิต สภาพอากาศ และปฏิกิริยา หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 75

ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง เคมี - การผุพงั อยู่กบั ที่ คือ การท่ีหนิ ผพุ งั ทาลายลง ดว้ ยกระบวนการต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ลมฟ้าอากาศกบั นา้ ฝน และรวมทั้งการกระทาของตน้ ไม้กับ แบคทเี รีย ตลอดจนการแตกตัวทางกลศาสตร์ซง่ึ มกี ารเพมิ่ และลดอุณหภมู ิสลบั กัน เป็นต้น - การกรอ่ น คือ กระบวนการหนง่ึ หรือหลาย กระบวนการทท่ี าให้สารเปลือกโลกหลดุ ไป ละลายไปหรือกรอ่ นไปโดยมตี ัวนาพาธรรมชาติ คือ ลม นา้ และธารนา้ แขง็ ร่วมกบั ปัจจัยอนื่ ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ สารละลาย การ ครูดถูการนาพา ท้ังน้ไี ม่รวมถึงการพังทลายเปน็ กลุ่มก้อน เช่น แผน่ ดนิ ถลม่ ภเู ขาไฟระเบิด - การสะสมตวั ของตะกอน คือ การสะสมตวั ของ วตั ถจุ ากการนาพาของน้า ลม หรอื ธารน้าแข็ง 6. อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดนิ - ดนิ เกิดจากหินทผ่ี ุพงั ตามธรรมชาติผสม และกระบวนการเกดิ ดิน จาก คลกุ เคล้ากับอินทรยี วัตถุที่ได้จากการเนา่ เปื่อย แบบจาลอง รวมท้งั ระบุปัจจยั ท่ีทาให้ ของซากพืชซากสัตวท์ ับถมเป็นชนั้ ๆ บนผวิ โลก ดนิ มีลักษณะและสมบตั แิ ตกต่างกัน ชัน้ ดินแบง่ ออกเปน็ หลายชัน้ ขนานหรือเกอื บ ขนานไปกบั ผวิ หนา้ ดนิ แตล่ ะชนั้ มีลกั ษณะ แตกตา่ งกนั เนื่องจากสมบัติทางกายภาพ เคมี ชวี ภาพ และลักษณะอ่ืน ๆ เช่น สี โครงสรา้ ง เนื้อดนิ การยดึ ตัว ความเปน็ กรด-เบส สามารถ สงั เกตไดจ้ ากการสารวจภาคสนาม การเรยี กชื่อ ชน้ั ดินหลกั จะใชอ้ ักษรภาษาอังกฤษตวั ใหญ่ ไดแ้ ก่ O, A, E, B, C, R - ชั้นหนา้ ตดั ดนิ เป็นชน้ั ดินทมี่ ลี กั ษณะปรากฏให้ เหน็ เรียงลาดับเปน็ ช้ันจากช้ับนสดุ ถงึ ช้ันลา่ งสุด - ปจั จัยท่ที าใหด้ ินแตล่ ะท้องถ่ินมลี กั ษณะและ สมบตั ิแตกต่างกนั ได้แก่ วตั ถุต้นกาเนดิ ดิน ภมู อิ ากาศส่ิงมชี วี ิตในดนิ สภาพภูมิประเทศ และ ระยะเวลาในการเกิดดนิ หลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 76

ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 7. ตรวจวดั สมบัติบางประการของดนิ - สมบัติบางประการของดิน เช่น เนื้อดิน โดยใชเ้ ครื่องมือท่ีเหมาะสมและ ความช้ืนดินค่าความเป็นกรด-เบส ธาตุอาหารใน นาเสนอแนวทางการใช้ประโยชนด์ นิ ดิน สามารถนาไปใช้ในการตัดสินใจถึงแนว จากข้อมูลสมบตั ขิ องดนิ ทางการใช้ประโยชน์ท่ีดิน โดยอาจนาไปใช้ ประโยชน์ทางการเกษตรหรืออื่น ๆ ซ่ึงดินที่ไม่ เหมาะสมต่อการทาการเกษตร เช่น ดินจืด ดิน เปรี้ยว ดินเคม็ และดินดาน อาจเกิดจากสภาพดิน ต า ม ธ ร ร ม ช า ติ ห รื อ ก า ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ จ ะ ต้ อ ง ปรับปรุงให้มีสภาพเหมาะสม เพื่อนาไปใช้ ประโยชน์ 8. อธบิ ายปัจจัยและกระบวนการเกดิ - แหล่งนา้ ผวิ ดินเกิดจากนา้ ฝนทต่ี กลงบนพนื้ โลก แหลง่ น้าผวิ ดินและแหล่งนา้ ใตด้ นิ จาก ไหลจากทส่ี ูงลงสูท่ ี่ต่าด้วยแรงโนม้ ถ่วง การไหล แบบจาลอง ของนา้ ทาให้พน้ื โลกเกดิ การกัดเซาะเปน็ ร่องนา้ เชน่ ลาธาร คลอง และแมน่ ้า ซง่ึ รอ่ งน้าจะมี ขนาดและรปู รา่ งแตกตา่ งกนั ข้นึ อยู่กับปรมิ าณ น้าฝนระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนดิ ดินและหนิ และลกั ษณะภมู ิประเทศ เช่น ความลาดชนั ความสงู ตา่ ของพน้ื ที่ เมอื่ น้าไหลไปยังบริเวณทีเ่ ปน็ แอ่งจะ เกดิ การสะสมตัวเป็นแหล่งน้า เช่น บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร - แหล่งน้าใตด้ ินเกิดจากการซึมของน้าผิวดนิ ลง ไปสะสมตวั ใต้พืน้ โลก ซ่ึงแบ่งเปน็ น้าในดินและน้า บาดาล นา้ ในดนิ เป็นน้าท่ีอยรู่ ่วมกบั อากาศตาม ชอ่ งวา่ งระหว่างเม็ดดนิ ส่วนน้าบาดาลเปน็ น้าที่ ไหลซึมลึกลงไปและถกู กกั เกบ็ ไว้ในช้ันหนิ หรือชั้น ดิน จนอิ่มตวั ไปดว้ ยน้า 9. สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบายการใชน้ ้า - แหล่งน้าผวิ ดินและแหลง่ นา้ ใตด้ ินถกู นามาใชใ้ น และนาเสนอแนวทางการใช้นา้ อยา่ ง กจิ กรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์ ส่งผลต่อการจดั การ ยั่งยืนในท้องถิ่นของตนเอง การใชป้ ระโยชนน์ า้ และคุณภาพของแหล่งนา้ เนื่องจากการเพิ่มข้นึ ของจานวนประชากรการใช้ ประโยชนพ์ น้ื ท่ใี นด้านต่าง ๆ เช่น ภาค เกษตรกรรม ภาคอตุ สาหกรรม และการ เปลี่ยนแปลงภมู อิ ากาศ ทาให้เกิดการ เปล่ียนแปลงปริมาณน้าฝนในพ้นื ที่ลมุ่ นา้ และ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 77

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง แหล่งนา้ ผิวดินไม่เพียงพอสาหรับกิจกรรมของ มนุษย์ นา้ จากแหล่งน้าใต้ดนิ จึงถูกนามาใช้มาก ข้นึ สง่ ผลให้ปริมาณน้าใต้ดนิ ลดลงมากจึงต้องมี การจดั การใชน้ ้าอยา่ งเหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งอาจทาได้โดยการจัดหาแหล่งน้าเพอื่ ให้มี แหล่งน้าเพียงพอสาหรบั การดารงชีวติ การ จัดสรรและการใช้นา้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ การ อนรุ ักษ์และฟ้นื ฟูแหลง่ น้า การป้องกันและแก้ไข ปญั หาคุณภาพน้า 10. สรา้ งแบบจาลองท่ีอธิบาย - น้าท่วม การกดั เซาะชายฝงั่ ดนิ ถลม่ หลุมยุบ กระบวนการเกิดและผลกระทบของนา้ แผน่ ดินทรุด มีกระบวนการเกิดและผลกระทบที่ ท่วม การกดั เซาะชายฝัง่ ดนิ ถล่ม หลมุ แตกตา่ งกนั ซ่ึงอาจสรา้ งความเสยี หายรา้ ยแรงแก่ ยบุ แผ่นดนิ ทรดุ ชวี ิต และทรพั ยส์ ิน - น้าท่วม เกดิ จากพ้ืนทห่ี น่ึงได้รับปริมาณนา้ เกิน กว่าท่จี ะกกั เก็บได้ ทาใหแ้ ผ่นดินจมอยู่ใต้น้า โดย ขึ้นอย่กู ับปริมาณน้าและสภาพทางธรณีวิทยา ของพน้ื ท่ี - การกดั เซาะชายฝั่ง เป็นกระบวนการ เปลย่ี นแปลงของชายฝง่ั ทะเลทเ่ี กดิ ขน้ึ ตลอดเวลา จากการกัดเซาะของคลนื่ หรือลม ทาใหต้ ะกอน จากทหี่ นึง่ ไปตกทบั ถมในอีกบรเิ วณหน่งึ แนวของ ชายฝัง่ เดมิ จงึ เปลี่ยน แปลงไป บริเวณท่ีมตี ะกอนเคลอื่ นเข้ามา น้อยกว่าปรมิ าณทต่ี ะกอนเคลื่อนออกไปถือวา่ เป็นบรเิ วณทีม่ ีการกดั เซาะชายฝงั่ - ดนิ ถล่ม เป็นการเคล่ือนทีข่ องมวลดินหรอื หนิ จานวนมากลงตามลาดเขา เน่ืองจากแรงโน้มถ่วง ของโลกเปน็ หลัก ซึ่งเกิดจากปจั จยั สาคญั ไดแ้ ก่ ความลาดชนั ของพืน้ ท่ี สภาพธรณวี ิทยา ปริมาณ นา้ ฝน พชื ปกคลมุ ดนิ และการใช้ประโยชนพ์ ืน้ ท่ี - หลมุ ยบุ คือ แอง่ หรือหลุมบนแผน่ ดินขนาดต่าง ๆ ทอี่ าจเกดิ จากการถล่มของโพรงถา้ หนิ ปูนเกลือ หนิ ใต้ดนิ หรอื เกดิ จากน้าพัดพาตะกอนลงไปใน โพรงถา้ หรอื ธารน้าใตด้ ิน หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 78

ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง - แผน่ ดินทรุดเกดิ จากการยบุ ตัวของชน้ั ดิน หรือ หนิ รว่ น เม่ือมวลของแขง็ หรือของเหลวปริมาณ มากท่รี องรับอยใู่ ตช้ ้นั ดนิ บรเิ วณน้ันถกู เคลื่อนยา้ ยออกไปโดยธรรมชาตหิ รอื โดยการ กระทาของมนุษย์ ม.6 1. อธบิ ายการแบ่งชน้ั และสมบัตขิ อง - การศกึ ษาโครงสร้างโลกใช้ข้อมูลหลายดา้ น โครงสรา้ งโลกพร้อมยกตวั อย่างขอ้ มลู ที่ เช่น องคป์ ระกอบทางเคมีของหนิ และแร่ สนับสนุน องค์ประกอบ ทางเคมขี องอุกกาบาต ข้อมูลคลน่ื ไหวสะเทือนทเ่ี คลื่อนทผี่ า่ นโลก จึงสามารถแบ่ง ช้ันโครงสรา้ งโลก ได้ 2 แบบ คอื โครงสรา้ งโลก ตามองค์ประกอบทางเคมี แบ่งไดเ้ ป็น 3 ชนั้ ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก และ โครงสรา้ งโลกตามสมบัติเชิงกล แบง่ ได้เปน็ 5 ชนั้ ไดแ้ ก่ ธรณีภาค ฐานธรณภี าค มชั ฌิมภาค แก่น โลกช้นั นอก และแก่นโลกช้นั ใน 2. อธิบายหลกั ฐานทางธรณวี ิทยาที่ - แผน่ ธรณตี า่ ง ๆ เป็นสว่ นประกอบของธรณีภาค สนบั สนนุ การเคล่ือนที่ของแผ่นธรณ การเปลีย่ นแปลงขนาดและตาแหน่งต้งั แต่อดตี จนถงึ ปัจจบุ ัน การเคลื่อนท่ีของแผ่นธรณดี งั กลา่ ว อธิบายได้ตามทฤษฎีธรณแี ปรสัณฐาน ซง่ึ มี รากฐานมาจากทฤษฎีทวปี เลื่อนและทฤษฎีการ แผ่ขยายพนื้ สมุทร โดยมีหลกั ฐานทีส่ นบั สนุน ไดแ้ ก่ รูปร่างของขอบทวีปท่สี ามารถเชอ่ื มต่อกัน ไดค้ วามคล้ายคลึงกันของกลุ่มหนิ และแนว เทือกเขา ซากดึกดาบรรพ์ ร่องรอยการเคล่ือนที่ ของตะกอนธารน้าแข็ง ภาวะแม่เหล็กโลกบรรพ กาล อายุหินของพ้นื มหาสมทุ ร รวมท้ังการค้นพบ สนั เขากลางสมุทร และร่องลึกก้นสมุทร หลักสตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 79

ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 3. ระบสุ าเหตุ และอธิบายรปู แบบแนว - การพาความรอ้ นของแมกมาภายในโลก ทาให้ รอยต่อของแผน่ ธรณีท่ีสัมพันธ์กบั การ เกิดการเคลอื่ นท่ีของแผน่ ธรณี ตามทฤษฎธี รณี เคล่อื นที่ของแผน่ ธรณี พร้อม แปรสณั ฐาน ซึ่งนักวิทยาศาสตรไ์ ดส้ ารวจพบ ยกตัวอยา่ งหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ หลกั ฐานทางธรณีวิทยา ได้แก่ ธรณสี ัณฐานและ พบ ธรณโี ครงสร้าง ท่ีบริเวณแนวรอยต่อของแผ่น ธรณี เชน่ รอ่ งลึกกน้ สมทุ ร หมู่เกาะภูเขาไฟรปู โค้ง แนวภเู ขาไฟ แนวเทือกเขา หุบเขาทรุดและ สันเขากลางสมุทร รอยเลื่อน นอกจากนี้ยังพบ การเกดิ ธรณีพบิ ตั ิภัยทบ่ี รเิ วณแนวรอยตอ่ ของ แผ่นธรณี เช่น แผ่นดินไหว ภเู ขาไฟระเบิด สนึ ามิ ซึ่งหลกั ฐานดังกลา่ วสัมพันธ์กับรูปแบบ การเคลอ่ื นที่ของแผ่นธรณี นักวิทยาศาสตรจ์ ึง สรุปไดว้ ่าแนวรอยต่อของแผ่นธรณมี ี 3 รูปแบบ ไดแ้ ก่ แนวแผ่นธรณีแยกตวั แนวแผ่นธรณี เคลอ่ื นที่เข้าหากนั แนวแผ่นธรณีเคล่ือนทผี่ ่านกนั ในแนวราบ 4. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกดิ - ภเู ขาไฟระเบดิ เกดิ จากการแทรกดันของแมก ภูเขาไฟระเบิดรวมทั้งสบื ค้นข้อมูล มาข้นึ มาตามส่วนเปราะบาง หรือรอยแตกบน พ้ืนทเี่ ส่ยี งภัย ออกแบบและนาเสนอ เปลอื กโลกมักพบหนาแน่นบริเวณรอยต่อ แนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ตั ิ ระหวา่ งแผน่ ธรณที าใหบ้ รเิ วณดงั ตนใหป้ ลอดภัย กลา่ วเป็นพ้นื ที่เสี่ยงภัย ผลจากการระเบิดของ ภเู ขาไฟมที ้ังประโยชนแ์ ละโทษจึงตอ้ งศกึ ษา แนวทางในการเฝา้ ระวัง และการ ปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภยั 5. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกิด - แผ่นดินไหวเกิดจากการปลดปล่อยพลงั งานท่ี ขนาดและความรุนแรง และผลจาก สะสมไว้ของเปลือกโลกในรูปของคลน่ื ไหว แผน่ ดนิ ไหว รวมทง้ั สบื ค้นข้อมูลพ้นื ที่ สะเทอื นแผน่ ดินไหวมีขนาดและความรนุ แรง เส่ยี งภัย ออกแบบและนาเสนอแนว แตกต่างกนั มักเกิดขนึ้ บรเิ วณรอยต่อของแผ่น ทางการเฝ้าระวังและการปฏิบตั ิตนให้ ธรณี และพ้ืนทภี่ ายใต้อิทธิพลของการเคล่ือนของ ปลอดภัย แผน่ ธรณีทาให้บริเวณดังกล่าวเปน็ พืน้ ทีเ่ สีย่ งภยั แผน่ ดนิ ไหวซึ่งส่งผลให้สิ่งก่อสร้างเสียหาย เกิด อันตรายต่อชีวติ และทรัพยส์ นิ จงึ ตอ้ งศึกษา แนวทางในการเฝา้ ระวงั และการปฏิบตั ติ นให้ ปลอดภัย หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 80

ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 6. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด - สึนามิ คือ คล่ืนน้าที่เกิดจากการแทนท่ีมวลน้าใน และผลจากสึนามริ วมทั้งสืบค้นข้อมูล ปริมาณมหาศาล ส่วนมากจะเกิดในทะเลหรือ พืน้ ทเ่ี สยี่ งภยั ออกแบบและนาเสนอ มหาสมุทร โดยคลน่ื มลักษณะเฉพาะ คือ ความยาว แนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏิบัติ คลื่นมากและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเมื่ออยู่กลาง ตนใหป้ ลอดภยั มหาสมุทรจะมคี วามสูงคลน่ื น้อยและอาจเพิ่มความ สงู ข้ึนอยา่ งรวดเร็ว เม่อื คล่นื เคลอื่ นที่ผา่ นบริเวณน้า ตื้น จึงทาให้พื้นท่ีบริเวณชายฝ่ังบางบริเวณเป็น พื้นที่เส่ียงภัยสึนามิ ก่อให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ และสง่ิ กอ่ สรา้ งในบริเวณชายหาดน้ัน จึงต้องศึกษา แนวทางในการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ ปลอดภยั 7. อธบิ ายปัจจยั สาคญั ทม่ี ีผลต่อการ - พ้ืนผิวโลกแต่ละบริเวณได้รับพลังงานจาก ได้รบั พลงั งานจากดวงอาทิตย์แตกตา่ ง ดวงอาทิตย์ในปริมาณที่แตกต่างกันเนื่องจาก กนั ในแตล่ ะบริเวณของโลก ปัจจัยสาคัญหลายประการ เช่น สัณฐานและ การเอียงของแกนโ ลก ลักษณะของพื้นผิว ละอองลอย และเมฆ ทาให้แต่ละบริเวณบนโลกมี อุณหภูมิไม่เท่ากัน ส่งผลให้มีความกดอากาศ แตกต่างกัน และเกิดการถ่ายโอนพลังงานระหว่าง กัน 8. อธิบายการหมนุ เวียนของอากาศ ท่ี - การหมุนเวียนของอากาศเกิดข้ึนจากความ เปน็ ผลมาจากความแตกต่างของความ กดอากาศที่แตกต่างกันระหว่างสองบริเวณ กดอากาศ โ ด ย อ า ก า ศ เ ค ล่ื อ น ที่ จ า ก บ ริ เ ว ณ ท่ี มี ค ว า ม ก ด อ า ก า ศ สู ง ไ ป ยั ง บ ริ เ ว ณ ที่ มี ค ว า ม ก ด อ า ก า ศ ต่ า ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจน ในการเคลื่อนท่ีของอากาศใน แนวราบ และเม่ือพิจารณาการเคล่ือนที่ของอากาศ ในแนวดิ่งจะพบว่าอากาศเหนือบริเวณความกด อากาศต่าจะมีการยกตัวขึ้นขณะท่ีอากาศเหนือ บริเวณความกดอากาศสูง จะจมตัวลงโดยการ เคลือ่ นทข่ี องอากาศท้ังในแนวราบและแนวดิ่งนี้ ทา ให้เกดิ เป็นการหมนุ เวียนของอากาศ 9. อธบิ ายทศิ ทางการเคลือ่ นทีข่ อง - การหมนุ รอบตัวเองของโลกทาใหเ้ กิดแรง อากาศ ที่เปน็ ผลมาจากการหมนุ รอบ คอริออลิสส่งผลใหท้ ศิ ทางการเคลื่อนท่ีของอากาศ ตัวเองของโลก เบนไปโดยอากาศทีเ่ คล่อื นทใ่ี นบรเิ วณซีกโลกเหนอื จะเบนไปทางขวาจากทศิ ทางเดิม ส่วนบรเิ วณซกี โลกใตจ้ ะเบนไปทางซ้ายจากทิศทางเดมิ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 81

ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง 10. อธิบายการหมุนเวียนของอากาศ - โลกมีความกดอากาศแตกต่างกันในแต่ละบริเวณ ตามเขตละตจิ ูด และผลท่ีมีตอ่ รวมท้ังอิทธิพลจากการหมุนรอบตัวเองของโลกทา ภูมิอากาศ ให้อากาศในแต่ละซีกโลกเกิดการหมุนเวียนของ อากาศตามเขตละติจดู แบ่งออกเป็น 3 แถบโดยแต่ ละแถบมีภูมิอากาศแตกต่างกัน ได้แก่ การ หมุนเวียนแถบข้ัวโลกมีภูมิอากาศแบบหนาวเย็น การหมุนเวียนแถบละติจูดกลาง มีภูมิอากาศแบบ อบอนุ่ และการหมุนเวียนแถบเขตร้อนมีภูมิอากาศ แบบร้อนชน้ื - นอกจากนี้บริเวณรอยต่อของการหมุนเวียน อากาศแต่ละแถบละติจูด จะมีลักษณะลมฟ้า อากาศ ท่ีแตกต่างกัน เช่น บริเวณใกล้ศูนย์สูตรมี ปริมาณ หยาดน้าฟ้าเฉล่ียสูงกว่าบริเวณอ่ืนบริเวณ ละติจูด 30 องศา มีอากาศแห้งแล้งส่วนบริเวณ ละติจดู 60 องศา อากาศมีความแปรปรวนสูง 11. อธบิ ายปัจจยั ท่ีทาใหเ้ กดิ การ - การหมุนเวียนของกระแสน้าผิวหน้าในมหาสมุทร หมนุ เวียนของน้าผวิ หนา้ ในมหาสมุทร ได้รับอิทธิพลจากการหมุนเวียนของอากาศในแต่ และรูปแบบการหมุนเวยี นของนา้ ละแถบละติจูดเป็นปัจจัยหลักทาให้บริเวณซีกโลก ผิวหนา้ ในมหาสมุทร เหนือมีการหมุนเวียนของกระแสน้าผิวหน้าใน ทิศทางตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกาใน ซีกโลกใต้ ซึ่งกระแสน้าผิวหน้าในมหาสมุทร มีทงั้ กระแสน้าอุน่ และกระแสนา้ เย็น 12. อธิบายผลของการหมนุ เวียนของ - การหมนุ เวียนอากาศและน้าในมหาสมทุ ร อากาศและน้าผิวหนา้ ในมหาสมุทรท่มี ี สง่ ผลต่อภูมอิ ากาศ ลมฟ้าอากาศ สิ่งมชี วี ติ ตอ่ ลกั ษณะภมู ิอากาศ ลมฟา้ อากาศ และสง่ิ แวดล้อม เชน่ กระแสน้าอุ่นกัลฟ์สตรีมที่ทา ส่งิ มชี ีวิต และส่งิ แวดล้อม ให้บางประเทศในทวปี ยุโรปไมห่ นาวเย็นเกนิ ไป และเม่ือการหมุนเวยี นอากาศและนา้ ในมหาสมทุ ร แปรปรวน ทาใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สภาพลมฟา้ อากาศ เช่น ปรากฏการณเ์ อลนโี ญและลานีญา ซง่ึ เกดิ จากความแปรปรวนของลมคา้ และส่งผลต่อ ประเทศท่อี ยู่บรเิ วณมหาสมุทรแปซฟิ ิก หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 82

ช้ัน ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง 13. อธิบายปัจจัยทมี่ ีผลตอ่ การ - โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ โดยปริมาณ เปล่ียนแปลงภูมิอากาศของโลก พรอ้ ม พลงั งานเฉลย่ี ท่ีโลกได้รบั เทา่ กับพลังงานเฉล่ียที่โลก ท้งั นาเสนอแนวปฏิบัติเพื่อลดกจิ กรรม ปลดปล่อยกลับสู่อวกาศ ทาให้เกิดสมดุลพลังงาน ของมนษุ ย์ ทีส่ ง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลง ของโลก ส่งผลให้อุณหภูมิเฉล่ียของโลกในแต่ละปี ภูมอิ ากาศโลก ค่ อ น ข้ า ง ค ง ท่ี แ ล ะ มี ลั ก ษ ณ ะ ภู มิ อ า ก า ศ ท่ี ไ ม่ เปล่ียนแปลง หากสมดุลพลังงานของโลกเกิด การเปล่ียนแปลงไปจะทาให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลก และภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เน่ืองจาก ปั จ จั ย ห ล า ย ป ร ะ ก า ร ท้ั ง ปั จ จั ย ท่ี เ กิ ด ข้ึ น ต า ม ธรรมชาติและการกระทาของมนษุ ย์ เช่น แก๊สเรือน กระจก ลักษณะผวิ โลก และละอองลอย - มนุษย์มีส่วนช่วยในการชะลอการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลกได้โดยการลดกิจกรรมท่ีทาให้เกิด การเปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงาน เช่น ลดการ ปลดปลอ่ ยแกส๊ เรอื นกระจกและละอองลอย 14. แปลความหมายสัญลกั ษณล์ มฟ้า - แผนทอี่ ากาศผวิ พน้ื แสดงข้อมลู การตรวจอากาศ อากาศทส่ี าคัญจากแผนทอ่ี ากาศ และ ในรปู แบบสัญลักษณ์หรือตัวเลข เชน่ บรเิ วณความ นาขอ้ มูลสารสนเทศต่าง ๆ มาวางแผน กดอากาศสงู หย่อมความกดอากาศตา่ พายุหมนุ การดาเนนิ ชีวติ ให้สอดคลอ้ งกับสภาพ เขตรอ้ น รอ่ งความกดอากาศตา่ การแปล ลมฟ้าอากาศ ความหมายสัญลักษณล์ มฟา้ อากาศทาให้ทราบ ลกั ษณะลมฟ้าอากาศ ณ บริเวณหนงึ่ - การแปลความหมายสัญลักษณท์ ป่ี รากฏบนแผนท่ี อากาศ รว่ มกับข้อมลู สารสนเทศตา่ ง ๆ เช่น โปรแกรมประยุกต์เก่ยี วกับการพยากรณ์อากาศ เรดารต์ รวจอากาศ ภาพถา่ ยดาวเทยี ม สามารถ นามาวางแผนการดาเนนิ ชีวติ ให้สอดคล้องกับ สภาพลมฟ้าอากาศ เช่น การเลอื กชว่ งเวลาในการ เพาะปลูกให้สอดคลอ้ งกบั ฤดูกาลการเตรยี มพร้อม รับมอื สภาพอากาศแปรปรวน หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 83

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชีวติ ในสังคมท่ีมกี าร เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรูแ้ ละทักษะทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ น่ื ๆ เพ่อื แก้ปญั หาหรือพัฒนางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และสง่ิ แวดล้อม ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. อธิบายแนวคดิ หลักของเทคโนโลยใี น - เทคโนโลยี เป็นส่ิงที่มนุษย์สร้างหรือ ชีวิตประจาวันและวิเคราะหส์ าเหตหุ รอื พฒั นาขึ้นซงึ่ อาจเป็นไดท้ งั้ ชิ้นงานหรือวิธีการ ปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงของ เพื่อใช้แก้ปัญหาสนองความต้องการ หรือ เทคโนโลยี เพ่ิมความสามารถในการทางานของมนุษย์ - ระบบทางเทคโนโลยี เป็นกลุ่มของส่วน 2. ระบปุ ญั หาหรอื ความตอ้ งการใน ต่าง ๆ ต้ังแต่สองส่วนข้ึนไปประกอบเข้า ชวี ิตประจาวันรวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู ด้ ว ย กั น แ ล ะ ท า ง า น ร่ ว ม กั น เ พ่ื อ ใ ห้ บ ร ร ลุ และแนวคดิ ที่เกยี่ วข้องกับปัญหา วัตถุประสงค์ โดยในการทางานของระบบ ทางเทคโนโลยีจะประกอบไปด้วยตัวป้อน (input) กระบวนการ (process) และ ผลผลิต (output) ท่ีสัมพันธ์กัน นอกจากน้ี ระบบทางเทคโนโลยีอาจมีข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เพ่ือใช้ปรับปรุงการทางานได้ ตามวตั ถุประสงค์ ซึ่งการวิเคราะห์ระบบทาง เทคโนโลยีช่วยให้เข้าใจองค์ประกอบและ การทางานของเทคโนโลยี รวมถึงสามารถ ปรับปรุงให้เทคโนโลยีทางานได้ตามต้องการ - เทคโนโลยีมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุหรือ ปัจจัยมาจากหลายด้าน เช่น ปัญหา ความ ต้องการ ความก้าวหน้าของศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐกิจ สังคม - ปัญหาหรือความต้องการในชีวิตประจาวัน พบได้จากหลายบริบทขึ้นกับสถานการณ์ท่ี ประสบ เช่ น ก าร เก ษต ร ก าร อา หา ร - การแก้ปัญหาจาเป็นต้องสืบค้น รวบรวม ข้อมูลความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เ พ่ื อ น า ไ ป สู่ ก า ร อ อ ก แ บ บ แ น ว ท า ง ก า ร แกป้ ัญหา หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 84

ช้ัน ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 3. ออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา โดย - การวิเคราะห์ เปรยี บเทียบ และตัดสินใจ วเิ คราะห์เปรียบเทยี บ และตัดสนิ ใจเลือก เลือกข้อมูลท่ีจาเป็น โดยคานึงถงึ เง่ือนไข ขอ้ มูลทจ่ี าเปน็ นาเสนอแนวทางการ และทรัพยากรท่ีมีอยู่ ช่วยใหไ้ ด้แนวทางการ แกป้ ัญหาใหผ้ ู้อ่ืนเข้าใจวางแผนและ แกป้ ัญหาทเ่ี หมาะสม ดาเนินการแกป้ ญั หา - การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทาได้ หลากหลายวธิ ี เชน่ การรา่ งภาพ การเขยี น แผนภาพการเขียนผงั งาน - การกาหนดขัน้ ตอนและระยะเวลาในการ ทางานก่อนดาเนินการแกป้ ญั หาจะชว่ ยให้ ทางานสาเรจ็ ได้ตามเปา้ หมายและลด ข้อผิดพลาดของการทางานที่อาจเกดิ ขึน้ 4. ทดสอบ ประเมนิ ผล และระบุ - การทดสอบ และประเมนิ ผลเป็นการ ขอ้ บกพร่องทเ่ี กิดข้นึ พรอ้ มท้ังหาแนว ตรวจสอบช้นิ งานหรือวธิ ีการว่าสามารถ ทางการปรบั ปรุงแก้ไข แก้ปญั หาไดต้ ามวตั ถุประสงค์ภายใตก้ รอบ และนาเสนอผลการแก้ปัญหา ของปัญหา เพื่อหาข้อบกพร่อง และดาเนนิ การปรับปรงุ โดยอาจทดสอบซา้ เพื่อให้ สามารถแก้ปญั หาได้ - การนาเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอด แนวคิดเพื่อให้ผอู้ ื่นเขา้ ใจเก่ียวกบั กระบวน การทางานและชนิ้ งานหรือวิธีการทไ่ี ด้ ซึ่ง สามารถทาไดห้ ลายวิธี เช่น การเขยี น รายงาน การทาแผน่ นาเสนอผลงาน การจดั นิทรรศการ การนาเสนอผา่ นส่อื ออนไลน์ 5. ใช้ความรูแ้ ละทักษะเกย่ี วกับวสั ดุ - วสั ดุแต่ละประเภทมีสมบตั ิแตกตา่ งกัน เช่น อุปกรณ์เครอ่ื งมือ กลไก ไฟฟ้า หรอื ไม้โลหะ พลาสติก จึงตอ้ งมีการวเิ คราะห์ อเิ ลก็ ทรอนิกสเ์ พอ่ื แกป้ ญั หาได้อย่าง สมบัตเิ พื่อเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะ ถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัย ของงาน - การสรา้ งชน้ิ งานอาจใช้ความรู้ เรื่องกลไก ไฟฟา้ อิเล็กทรอนิกส์ เชน่ LED บซั เซอร์ มอเตอรว์ งจรไฟฟ้า - อปุ กรณแ์ ละเครื่องมือในการสรา้ งชิ้นงาน หรือพฒั นาวิธกี ารมีหลายประเภท ต้อง เลือกใชใ้ หถ้ ูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย รวมทง้ั รู้จกั เก็บรักษา หลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 85

ชัน้ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 1. คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีท่ี - สาเหตุหรือปัจจยั ตา่ ง ๆ เช่น ความก้าวหนา้ ของ จะเกิดข้นึ โดยพิจารณาจากสาเหตุ ศาสตรต์ ่าง ๆ การเปล่ียนแปลงทางดา้ นเศรษฐกิจ หรอื ปัจจยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ การ สังคม วฒั นธรรม ทาใหเ้ ทคโนโลยีมกี าร เปลีย่ นแปลงขอเทคโนโลยี เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา และวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบ - เทคโนโลยแี ต่ละประเภทมผี ลกระทบต่อชีวิตสังคม ตดั สินใจเลอื กใช้เทคโนโลยีโดย และส่งิ แวดลอ้ มทีแ่ ตกตา่ งกนั จึงต้องวเิ คราะห์ คานงึ ถึงผลกระทบท่เี กิดขน้ึ ต่อชวี ิต เปรยี บเทยี บข้อดี ข้อเสีย และตดั สนิ ใจเลือกใชใ้ ห้ สงั คมและส่งิ แวดลอ้ ม เหมาะสม 2. ระบุปัญหาหรอื ความต้องการใน - ปัญหาหรอื ความต้องการในชมุ ชนหรือทอ้ งถน่ิ มี ชุมชนหรอื ทอ้ งถน่ิ สรปุ กรอบของ หลายอยา่ ง ขน้ึ กบั บริบทหรอื สถานการณ์ทป่ี ระสบ ปัญหา รวบรวม วเิ คราะห์ข้อมลู และ เช่น ดา้ นพลังงาน ส่ิงแวดลอ้ มการเกษตร การอาหาร แนวคิดที่เกีย่ วข้องกับปัญหา - การระบปุ ัญหาจาเปน็ ต้องมีการวิเคราะห์ สถานการณ์ของปัญหาเพื่อสรุปกรอบของปัญหาแลว้ ดาเนินการสืบคน้ รวบรวมข้อมลู ความรู้จากศาสตร์ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้อง เพื่อนาไปสู่การออกแบบแนว ทางการแก้ปัญหา 3. ออกแบบวธิ กี ารแก้ปัญหา โดย - การวิเคราะห์ เปรียบเทยี บ และตดั สินใจ วเิ คราะห์เปรยี บเทยี บ และตดั สนิ ใจ เลอื กข้อมูลท่ีจาเปน็ โดยคานึงถงึ เงื่อนไข เลือกข้อมูลที่จาเปน็ ภายใต้เง่ือนไข และทรัพยากร เช่น งบประมาณ เวลา ขอ้ มลู และ และทรัพยากรท่ีมอี ยู่ นาเสนอ สารสนเทศ วสั ดุ เครอื่ งมือและอุปกรณ์ช่วยใหไ้ ด้แนว แนวทางการแก้ปัญหาใหผ้ อู้ นื่ เขา้ ใจ ทางการแกป้ ัญหาท่เี หมาะสม วางแผน - การออกแบบแนวทางการแกป้ ญั หาทาได้ ขัน้ ตอนการทางานและดาเนนิ การ หลากหลายวิธี เช่น การรา่ งภาพ การเขียน แก้ปญั หาอย่างเปน็ ข้ันตอน แผนภาพ การเขยี นผังงาน - การกาหนดขัน้ ตอนระยะเวลาในการทางานก่อน ดาเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้การทางานสาเรจ็ ได้ ตามเป้าหมาย และลดข้อผิดพลาดของการทางานท่ี อาจเกดิ ขึน้ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 86

ชัน้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง 4. ทดสอบ ประเมินผล และอธบิ าย - การทดสอบและประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบ ปัญหาหรือข้อบกพร่องทเี่ กิดขึ้น ชน้ิ งาน หรือวธิ กี ารวา่ สามารถแกป้ ญั หาไดต้ าม ภายใต้กรอบเงอ่ื นไขพรอ้ มทัง้ หา วตั ถปุ ระสงคภ์ ายใต้กรอบของปัญหา เพ่ือหา แนวทางการปรับปรุงแก้ไข และ ข้อบกพร่อง และดาเนินการปรับปรุงใหส้ ามารถแกไ้ ข นาเสนอผลการแกป้ ัญหา ปญั หาได้ - การนาเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคดิ เพ่อื ให้ ผู้อนื่ เข้าใจเกี่ยวกบั ระบวนการทางานและชนิ้ งานหรือ วิธีการทไี่ ด้ ซ่งึ สามารถทาได้หลายวิธี เชน่ การเขยี น รายงาน การทาแผ่นนาเสนอผลงาน การจดั นทิ รรศการ 5. ใชค้ วามรู้ และทกั ษะเกีย่ วกบั - วสั ดุแตล่ ะประเภทมีสมบัติแตกต่างกนั เช่น ไม้ วสั ดุ อปุ กรณเ์ คร่ืองมือ กลไก ไฟฟ้า โลหะ พลาสตกิ จึงตอ้ งมกี ารวิเคราะห์สมบัตเิ พื่อ และอิเล็กทรอนิกสเ์ พ่ือแกป้ ญั หา เลือกใช้ให้เหมาะสมกบั ลักษณะของงาน หรอื พัฒนางานได้อย่างถูกต้อง - การสร้างชน้ิ งานอาจใช้ความรู้ เรื่องกลไก ไฟฟ้า เหมาะสม และปลอดภัย อเิ ล็กทรอนิกส์ เชน่ LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟืองรอก ล้อ เพลา - อุปกรณ์และเคร่ืองมือในการสรา้ งชนิ้ งาน หรอื พัฒนาวธิ กี ารมหี ลายประเภท ต้องเลอื กใชใ้ ห้ ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย รวมทั้งรู้จกั เกบ็ รกั ษา ม.3 1. วิเคราะหส์ าเหตุ หรอื ปัจจัยที่ - เทคโนโลยีมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลาต้ังแต่อดีต ส่งผลต่อการเปลย่ี นแปลงของ จนถงึ ปจั จุบัน ซ่งึ มสี าเหตุหรือปัจจัยมาจากหลายด้าน เทคโนโลยี และความสมั พันธ์ของ เ ช่ น ปั ญ ห า ห รื อ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ม นุ ษ ย์ เทคโนโลยีกบั ศาสตร์อนื่ โดยเฉพาะ ความก้าวหน้าของศาสตร์ต่าง ๆ การเปล่ียนแปลง วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ เพอ่ื ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม เป็นแนวทางการแกป้ ัญหาหรือ - เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะ พฒั นางาน วิทยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตร์เป็นพ้ืนฐานความรู้ท่ี นาไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี และเทคโนโลยีที่ได้ สามารถเป็นเครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการศึกษา ค้นคว้าเพ่ือให้ ไดม้ าซ่งึ องค์ความรู้ใหม่ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 87

ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 2. ระบปุ ัญหาหรอื ความตอ้ งการของ - ปญั หาหรือความต้องการอาจพบได้ในงานอาชพี ชมุ ชนหรอื ทอ้ งถนิ่ เพ่ือพฒั นางาน ของชมุ ชนหรือทอ้ งถิ่น ซ่งึ อาจมีหลายดา้ น เชน่ ดา้ น อาชีพ สรปุ กรอบของปญั หา การเกษตร อาหาร พลังงาน การขนส่ง รวบรวม วิเคราะห์ข้อมลู และ - การวเิ คราะห์สถานการณ์ปัญหาชว่ ยใหเ้ ข้าใจ แนวคิดที่เกยี่ วข้องกบั ปัญหา โดย เงอ่ื นไขและกรอบของปัญหาไดช้ ดั เจน จากนั้น คานึงถงึ ความถูกต้องดา้ นทรัพย์สิน ดาเนนิ การสบื คน้ รวบรวมข้อมูล ความรู้จากศาสตร์ ทางปญั ญา ตา่ ง ๆ ท่ีเกยี่ วข้อง เพ่อื นาไปสู่การออกแบบแนว ทางการแก้ปัญหา 3. ออกแบบวธิ ีการแก้ปัญหา โดย - การวเิ คราะห์ เปรียบเทยี บ และตดั สินใจเลอื ก วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บ และตดั สนิ ใจ ขอ้ มูลทจ่ี าเปน็ โดยคานึงถึงทรพั ยส์ นิ ทางปัญญา เลือกข้อมูลทจ่ี าเปน็ ภายใต้เง่ือนไข เง่อื นไขและทรัพยากร เช่น งบประมาณ เวลาข้อมลู และทรัพยากรที่มีอยู่ นาเสนอ และสารสนเทศ วัสดุ เครอ่ื งมือและอุปกรณช์ ่วยให้ได้ แนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้อืน่ เขา้ ใจ แนวทางการแก้ปญั หาที่เหมาะสม ดว้ ยเทคนคิ - การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทาได้ หรอื วธิ ีการท่หี ลากหลาย วางแผน หลากหลายวธิ ี เช่น การรา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ ขัน้ ตอน การเขียนผงั งาน การทางานและดาเนนิ การแก้ปญั หา - เทคนคิ หรอื วิธกี ารในการนาเสนอแนวทาง อยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน การแกป้ ัญหามหี ลากหลาย เช่น การใชแ้ ผนภมู ิ ตาราง ภาพเคล่ือนไหว - การกาหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการทางาน กอ่ นดาเนินการแกป้ ัญหาจะชว่ ยให้การทางานสาเรจ็ ไดต้ ามเป้าหมาย และลดขอ้ ผิดพลาดของการทางาน ท่ีอาจเกดิ ขึ้น 4. ทดสอบ ประเมินผล วิเคราะห์ - การทดสอบและประเมินผลเปน็ การตรวจสอบ และให้เหตุผลของปญั หาหรือ ชน้ิ งานหรอื วธิ ีการวา่ สามารถแก้ปญั หาไดต้ าม ข้อบกพร่องท่เี กดิ ขน้ึ ภายใต้กรอบ วตั ถุประสงค์ภายใต้กรอบของปญั หา เพ่ือหา เง่ือนไข พร้อมท้ังหาแนวทางการ ข้อบกพร่อง และดาเนนิ การปรบั ปรงุ โดยอาจ ปรบั ปรงุ แก้ไข และนาเสนอผลการ ทดสอบซ้าเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ แก้ปัญหา - การนาเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอดแนวคิดเพ่ือให้ ผู้อ่ืนเขา้ ใจเกีย่ วกับกระบวนการทางานและชิน้ งาน หรือวิธกี ารท่ีได้ ซ่ึงสามารถทาไดห้ ลายวิธี เช่น การ เขียนรายงาน การทาแผ่นนาเสนอผลงาน การจัด นิทรรศการ การนาเสนอผ่านสือ่ ออนไลน์ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 88

ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 5. ใชค้ วามรู้ และทักษะเกย่ี วกบั - วสั ดแุ ต่ละประเภทมีสมบัติแตกตา่ งกนั เชน่ ไมโ้ ลหะ วัสดุ อุปกรณ์เคร่ืองมือ กลไก ไฟฟ้า พลาสตกิ เซรามิก จึงต้องมีการวเิ คราะห์สมบัติเพ่ือ และอิเล็กทรอนิกสใ์ หถ้ ูกต้องกบั เลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน ลกั ษณะของงาน และปลอดภัยเพือ่ - การสร้างชนิ้ งานอาจใชค้ วามรู้ เรื่องกลไก ไฟฟ้า แกป้ ัญหาหรือพฒั นางาน อิเล็กทรอนกิ ส์ เช่น LED LDR มอเตอร์ เฟืองคาน รอก ลอ้ เพลา - อปุ กรณ์และเครือ่ งมือในการสร้างช้นิ งาน หรือพฒั นาวิธีการมีหลายประเภท ตอ้ งเลอื กใช้ให้ ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมท้ังรจู้ ักเกบ็ รกั ษา ม.4 1. วิเคราะหแ์ นวคดิ หลกั ของ - ระบบทางเทคโนโลยี เปน็ กลุ่มของส่วนตา่ ง ๆ ต้งั แต่ เทคโนโลยี ความสมั พันธก์ ับศาสตร์ สองสว่ นขึ้นไปประกอบเข้าด้วยกนั และทางานร่วมกัน อืน่ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ เพ่ือให้บรรลวุ ัตถุประสงค์ โดยในการทางานของระบบ คณิตศาสตร์ รวมท้ังประเมินผล ทางเทคโนโลยีจะประกอบไปดว้ ย ตัวปอ้ น (input) กระทบท่จี ะเกดิ ขน้ึ ต่อมนุษย์ สงั คม กระบวนการ (process) และผลผลิต เศรษฐกจิ และสง่ิ แวดลอ้ ม เพ่ือเป็น (output) ทีส่ มั พนั ธก์ นั นอกจากน้ี แนวทางในการพฒั นา ระบบทางเทคโนโลยอี าจมีข้อมูลย้อนกลบั เทคโนโลยี (feedback) เพอื่ ใชป้ รบั ปรุงการทางานไดต้ าม วัตถปุ ระสงค์ โดยระบบทางเทคโนโลยีอาจมีระบบย่อย หลายระบบ (sub -systems) ท่ที างานสมั พนั ธก์ ันอยู่ และหากระบบย่อยใดทางานผดิ พลาดจะส่งผลต่อการ ทางานของระบบอนื่ ด้วย - เทคโนโลยมี กี ารเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตัง้ แต่อดตี จนถึงปจั จุบนั ซึ่งมีสาเหตุหรือปัจจัยมาจากหลายด้าน เช่น ปญั หา ความต้องการความก้าวหน้าของศาสตร์ ตา่ ง ๆ เศรษฐกิจ สังคมวฒั นธรรม สงิ่ แวดลอ้ ม 2. ระบุปญั หาหรอื ความต้องการทมี่ ี - ปัญหาหรือความต้องการท่มี ีผลกระทบต่อสังคมเช่น ผลกระทบต่อสงั คม รวบรวม ปญั หาด้านการเกษตร อาหาร พลงั งานการขนส่ง วิเคราะห์ข้อมูลและแนวคดิ ท่ี สุขภาพและการแพทย์ การบริการซงึ่ แต่ละด้านอาจมี เกีย่ วข้องกบั ปญั หาท่มี ีความซับซ้อน ได้หลากหลายปญั หา เพ่อื สงั เคราะห์วธิ กี าร เทคนคิ ในการ - การวิเคราะหส์ ถานการณป์ ัญหาโดยอาจใช้เทคนิค แกป้ ัญหาโดยคานึงถึงความถูกต้อง หรือวิธกี ารวิเคราะหท์ ี่หลากหลาย ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจเงอื่ นไข ดา้ นทรัพยส์ ินทางปัญญา และกรอบของปญั หาไดช้ ัดเจน จากนนั้ ดาเนินการ สืบคน้ รวบรวมข้อมลู ความรู้จากศาสตรต์ ่าง ๆ ที่ เกยี่ วข้อง เพ่ือนาไปสู่การออกแบบแนวทางการ แก้ปัญหา หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 89

ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง 3. ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหา โดย - การวเิ คราะห์ เปรียบเทยี บ และตัดสินใจเลือก วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตดั สินใจ ข้อมูลท่จี าเป็น โดยคานงึ ถึงทรัพยส์ ินทางปัญญา เลอื กข้อมลู ท่ีจาเป็นภายใต้เงื่อนไข เงื่อนไขและทรัพยากร เชน่ งบประมาณ เวลาขอ้ มลู และทรัพยากรที่มอี ยู่ นาเสนอ และสารสนเทศ วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณช์ ่วยให้ แนวทางการแกป้ ัญหาใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจ ไดแ้ นวทางการแกป้ ัญหาทเ่ี หมาะสม ด้วยเทคนคิ - การออกแบบแนวทางการแกป้ ัญหาทาได้ หรือวิธกี ารที่หลากหลาย โดยใช้ หลากหลายวิธี เชน่ การร่างภาพ การเขียน ซอฟตแ์ วรช์ ่วยในการออกแบบ แผนภาพ การเขียนผังงาน วางแผนข้นั ตอนการทางานและ - ซอฟตแ์ วรช์ ว่ ยในการออกแบบและนาเสนอมี ดาเนินการแก้ปัญหา หลากหลายชนดิ จึงตอ้ งเลือกใช้ใหเ้ หมาะกบั งาน - การกาหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการทางาน ก่อนดาเนินการแก้ปัญหาจะชว่ ยใหก้ ารทางาน สาเรจ็ ได้ตามเปา้ หมาย และลดขอ้ ผิดพลาดของการ ทางานท่ีอาจเกดิ ข้ึน 4. ทดสอบ ประเมนิ ผล วเิ คราะห์ - การทดสอบและประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบ และให้เหตุผลของปัญหาหรือ ช้ินงานหรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม ขอ้ บกพร่องทเี่ กดิ ขึ้นภายใต้กรอบ วัตถุประสงค์ภายใต้กรอบของปญั หา เพอ่ื หา เงอ่ื นไข หาแนวทางการปรบั ปรุง ข้อบกพร่อง และดาเนนิ การปรับปรุง โดยอาจ แก้ไขและนาเสนอผลการแกป้ ัญหา ทดสอบซา้ เพื่อใหส้ ามารถแก้ไขปญั หาได้อย่างมี พร้อมทง้ั เสนอแนวทางการพัฒนา ประสิทธิภาพ ตอ่ ยอด - การนาเสนอผลงานเปน็ การถา่ ยทอดแนวคดิ เพอื่ ให้ผ้อู ื่นเข้าใจเกยี่ วกับกระบวน 5. ใช้ความรู้และทักษะเกีย่ วกับวสั ดุ การทางานและช้ินงานหรือวิธีการท่ีได้ ซงึ่ สามารถ อุปกรณ์เคร่อื งมือ กลไก ไฟฟ้าและ ทาไดห้ ลายวธิ ี เชน่ การทาแผ่นนาเสนอผลงาน การ อเิ ลก็ ทรอนกิ สแ์ ละเทคโนโลยีที่ จดั นิทรรศการ การนาเสนอผ่านสอ่ื ออนไลน์ หรอื ซับซอ้ นในการแกป้ ัญหาหรอื พัฒนา การนาเสนอต่อภาคธรุ กจิ เพ่ือการพฒั นาต่อยอดสู่ งาน ได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสมและ งาน ปลอดภยั อาชพี - วัสดแุ ตล่ ะประเภทมีสมบัติแตกตา่ งกัน เช่น ไม้สังเคราะห์ โลหะ จึงต้องมีการวิเคราะหส์ มบัติ เพือ่ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะของงาน - การสรา้ งช้ินงานอาจใช้ความรู้ เรือ่ งกลไก ไฟฟ้า อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เช่น LDR sensor เฟือง รอก คาน วงจรสาเรจ็ รูป หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 90

ช้นั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง -อปุ กรณ์และเคร่ืองมือในการสรา้ งชน้ิ งาน หรือ พัฒนาวธิ กี ารมหี ลายประเภท ตอ้ งเลอื กใช้ให้ ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทัง้ รู้จักเก็บ รักษา ม.5 1. ประยุกต์ใชค้ วามรู้และทักษะจาก - การทาโครงงาน เปน็ การประยุกตใ์ ช้ความรแู้ ละ ศาสตร์ตา่ ง ๆรวมทั้งทรพั ยากรใน ทกั ษะจากศาสตรต์ า่ ง ๆ รวมทง้ั ทรัพยากรในการ การทาโครงงานเพื่อแกป้ ญั หาหรอื สร้างหรือพัฒนาช้ินงานหรือวิธกี าร เพ่ือแกป้ ญั หา พัฒนางาน หรืออานวยความสะดวกในการทางาน - การทาโครงงานการออกแบบและเทคโนโลยี สามารถดาเนินการได้ โดยเริ่มจาก การสารวจ สถานการณ์ปัญหาทีส่ นใจ เพ่ือกาหนดหวั ข้อ โครงงาน แลว้ รวบรวมข้อมลู และแนวคดิ ทีเ่ กยี่ วข้อง กับปญั หา ออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา วางแผน และดาเนนิ การแก้ปัญหา ทดสอบ ระเมนิ ผล ปรับปรงุ แก้ไขวิธกี ารแกป้ ญั หาหรือชนิ้ งาน และ นาเสนอวธิ ีการแก้ปัญหา สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาทีพ่ บในชีวติ จรงิ อย่างเป็น ขัน้ ตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนร้กู ารทางาน และการ แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ รู้เทา่ ทัน และมีจริยธรรม ชนั้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.1 1. ออกแบบอัลกอริทึมท่ีใชแ้ นวคดิ เชิง - แนวคิดเชิงนามธรรม เป็นการประเมิน นามธรรมเพื่อแก้ปัญหาหรอื อธิบายการ ความสาคัญของรายละเอียดของปัญหา ทางานที่พบในชีวิตจริง แยกแยะส่วนที่เป็นสาระสาคัญออกจากส่วน ที่ไมใ่ ช่สาระสาคญั - ตัวอย่างปัญหา เช่น ต้องการปูหญ้าใน สนามตามพื้นท่ีท่ีกาหนด โดยหญ้าหน่ึงผืนมี คว าม กว้ า ง 50 เ ซ นติ เม ตร ยา ว 5 0 เซนติเมตร จะใช้หญา้ ทั้งหมดกี่ผนื 2. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยา่ งง่าย - การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มกี ารใช้ เพือ่ แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หรือ ตวั แปรเงื่อนไข วนซ้า วทิ ยาศาสตร์ - การออกแบบอัลกอริทึม เพ่ือแก้ปัญหา หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 91

ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ทางคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรอ์ ย่างงา่ ย อาจ ใช้แนวคดิ เชงิ นามธรรมในการออกแบบ เพือ่ ใหก้ ารแกป้ ญั หามีประสิทธิภาพ - การแก้ปญั หาอย่างเปน็ ขัน้ ตอนจะช่วยให้ แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ซอฟตแ์ วร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch,python, java, c - ตวั อยา่ งโปรแกรม เช่น โปรแกรมสมการ การเคลอื่ นที่ โปรแกรมคานวณหาพ้ืนที่ โปรแกรมคานวณดัชนีมวลกาย 3. รวบรวมขอ้ มูลปฐมภมู ิ ประมวลผล - การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภมู ิ ประเมนิ ผลนาเสนอข้อมลู และ ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ประเมนิ ผล จะ สารสนเทศ ตามวตั ถุประสงค์โดยใช้ ทาให้ไดส้ ารสนเทศเพือ่ ใชใ้ นการแก้ปัญหา ซอฟต์แวร์ หรือบรกิ ารบนอนิ เทอร์เน็ตท่ี หรอื การตดั สนิ ใจได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ หลากหลาย - การประมวลผลเป็นการกระทากบั ข้อมูล เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลลพั ธ์ที่มคี วามหมายและมี ประโยชนต์ อ่ การนาไปใช้งาน สามารถทาได้ หลายวิธี เช่นคานวณอัตราส่วน คานวณ ค่าเฉล่ีย - การใชซ้ อฟตแ์ วรห์ รือบรกิ ารบน อนิ เทอรเ์ น็ตทห่ี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสร้างทางเลอื ก ประเมินผล นาเสนอ จะช่วยใหแ้ ก้ปัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ถูกต้อง และแมน่ ยา - ตัวอย่างปญั หา เน้นการบูรณาการกับวชิ า อน่ื เช่น ตม้ ไข่ให้ตรงกับพฤติกรรมการ บริโภค ค่าดชั นมี วลกายของคนในทอ้ งถ่นิ การสรา้ งกราฟผลการทดลองและวิเคราะห์ แนวโนม้ 4. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง - ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย ปลอดภัย ใช้สอื่ และแหลง่ ขอ้ มลู ตาม เชน่ การปกป้องความเปน็ สว่ นตัวและ ข้อกาหนดและขอ้ ตกลง อตั ลักษณ์ - การจดั การอตั ลักษณ์ เชน่ การตง้ั รหสั ผ่าน การปกป้องข้อมลู สว่ นตวั - การพจิ ารณาความเหมาะสมของเน้ือหา หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 92

ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง เช่นละเมดิ ความเปน็ ส่วนตัวผู้อื่น อนาจาร วิจารณผ์ อู้ ่ืนอย่างหยาบคาย - ข้อตกลง ข้อกาหนดในการใชส้ ่อื หรอื แหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ เช่น Creative commons ม.2 1. ออกแบบอลั กอริทึมท่ีใช้แนวคดิ เชิง - แนวคดิ เชงิ คานวณ คานวณในการแกป้ ัญหา หรือการทางาน - การแกป้ ัญหาโดยใชแ้ นวคดิ เชิงคานวณ ทพี่ บในชีวติ จริง - ตวั อยา่ งปญั หา เช่น การเข้าแถวตามลาดบั ความสงู ให้เร็วท่สี ุด จัดเรียงเสื้อใหห้ าไดง้ า่ ย ทส่ี ุด 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมทใ่ี ช้ - ตัวดาเนินการบูลีน ตรรกะและฟังก์ชันในการแก้ปัญหา - ฟังกช์ นั - การออกแบบและเขยี นโปรแกรมที่มกี ารใช้ ตรรกะและฟังกช์ ัน - การออกแบบอลั กอรทิ ึม เพ่ือแก้ปัญหาอาจ ใช้แนวคิดเชิงคานวณในการออกแบบ เพ่ือให้ การแก้ปัญหามีประสทิ ธภิ าพ - การแก้ปัญหาอย่างเปน็ ขั้นตอนจะชว่ ยให้ แกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ - ซอฟต์แวร์ทใี่ ชใ้ นการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c - ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรมตัดเกรด หาคาตอบทัง้ หมดของอสมการหลายตัวแปร 3. อภปิ รายองคป์ ระกอบและหลักการ - องค์ประกอบและหลักการทางานของ ทางานของระบบคอมพวิ เตอร์ และ ระบบคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยีการส่อื สารเพื่อประยกุ ต์ใช้งาน - เทคโนโลยกี ารสอื่ สาร หรอื แกป้ ัญหาเบือ้ งต้น - การประยกุ ต์ใชง้ านและการแก้ปัญหา เบ้อื งต้น 4. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่าง - ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั ปลอดภัย มีความรบั ผิดชอบ สร้างและ โดยเลอื กแนวทางปฏบิ ัติเม่อื พบเน้อื หาท่ีไม่ แสดงสิทธิในการเผยแพร่ผลงาน เหมาะสม เชน่ แจง้ รายงานผเู้ กยี่ วขอ้ ง ป้องกันการเขา้ มาของข้อมูลที่ไมเ่ หมาะสม ไม่ตอบโต้ ไมเ่ ผยแพร่ - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งมีความ รบั ผดิ ชอบเช่น ตระหนกั ถึงผลกระทบในการ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 93

ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง เผยแพร่ข้อมลู - การสรา้ งและแสดงสทิ ธ์ิความเปน็ เจา้ ของ ผลงาน - การกาหนดสิทธกิ ารใช้ข้อมูล ม.3 1. พฒั นาแอปพลเิ คชันที่มีการบูรณาการ - ข้ันตอนการพัฒนาแอปพลเิ คชนั กับวชิ าอนื่ อย่างสร้างสรรค - Internet of Things (IoT) - ซอฟต์แวร์ท่ีใชใ้ นการพฒั นาแอปพลเิ คชัน เช่น Scratch, python, java, c, AppInventor - ตวั อยา่ งแอปพลิเคชนั เชน่ โปรแกรมแปลง สกลุ เงนิ โปรแกรมผนั เสยี งวรรณยุกต์ โปรแกรมจาลองการแบง่ เซลล์ ระบบรดน้า อัตโนมัติ 2. รวบรวมขอ้ มลู ประมวลผล - การรวบรวมข้อมลู จากแหลง่ ขอ้ มูลปฐมภมู ิ ประเมินผล นาเสนอข้อมูลและ และทตุ ยิ ภมู ิ ประมวลผล สรา้ งทางเลือก สารสนเทศตามวัตถปุ ระสงค์ โดยใช้ ประเมินผลจะทาให้ได้สารสนเทศเพื่อใชใ้ น ซอฟต์แวร์หรือบรกิ ารบนอนิ เทอร์เนต็ ท่ี การแก้ปัญหาหรือการตัดสินใจไดอ้ ย่างมี หลากหลาย ประสทิ ธภิ าพ - การประมวลผลเปน็ การกระทากบั ข้อมลู เพื่อใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์ท่ีมีความหมายและมี ประโยชน์ตอ่ การนาไปใชง้ าน - การใชซ้ อฟต์แวรห์ รือบริการบน อินเทอรเ์ นต็ ทห่ี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสรา้ งทางเลือก ประเมนิ ผล นาเสนอ จะช่วยใหแ้ กป้ ัญหาได้อยา่ งรวดเร็ว ถกู ต้อง และแมน่ ยา - ตัวอย่างปัญหา เช่น การเลอื กโปรโมชัน โทรศัพท์ใหเ้ หมาะกับพฤติกรรมการใช้งาน สนิ คา้ เกษตรท่ตี อ้ งการและสามารถปลกู ได้ ในสภาพดนิ ของท้องถ่ิน 3. ประเมินความนา่ เชื่อถือของขอ้ มูล - การประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื ของข้อมลู เชน่ วิเคราะห์สือ่ และผลกระทบจากการให้ ตรวจสอบและยนื ยนั ข้อมลู โดยเทียบเคยี ง ขา่ วสารท่ีผิด เพือ่ การใชง้ านอยา่ งรู้เทา่ จากข้อมูลหลายแหล่ง แยกแยะข้อมลู ที่เปน็ ทนั ขอ้ เท็จจริงและข้อคดิ เหน็ หรือใช้ PROMPT - การสบื ค้น หาแหล่งตน้ ตอของข้อมลู หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 94

ช้นั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง - เหตุผลวิบตั ิ (logical fallacy) - ผลกระทบจากข่าวสารที่ผิดพลาด - การรูเ้ ทา่ ทนั สื่อ เชน่ การวเิ คราะห์ถึง จุดประสงค์ของขอ้ มลู และผูใ้ ห้ข้อมลู ตคี วาม แยกแยะเนอื้ หาสาระของสอ่ื เลือกแนว ปฏิบตั ิไดอ้ ย่างเหมาะสมเมื่อพบขอ้ มูลตา่ ง ๆ ม.4 4. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่าง - การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ปลอดภยั และมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม เชน่ การทาธรุ กรรมออนไลน์ การซือ้ สินคา้ ปฏิบัติตามกฎหมายเก่ียวกบั คอมพิวเตอร์ ซ้อื ซอฟต์แวร์ ค่าบรกิ ารสมาชิก ซ้ือไอเทม็ ใช้ลขิ สิทธ์ิของผ้อู ืน่ โดยชอบธรรม - การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งมีความ 5. ประยุกตใ์ ชแ้ นวคดิ เชิงคานวณในการ รบั ผิดชอบเชน่ ไมส่ รา้ งขา่ วลวง ไม่แชร์ข้อมูล พัฒนาโครงงานท่ีมกี ารบรู ณาการกบั วิชา โดยไม่ตรวจสอบข้อเทจ็ จรงิ อ่นื อยา่ งสร้างสรรค์ และเชื่อมโยงกบั ชวี ิต - กฎหมายเกยี่ วกับคอมพิวเตอร์ จริง - การใช้ลขิ สทิ ธิข์ องผูอ้ ่ืนโดยชอบธรรม (fair use) - การพัฒนาโครงงาน - การนาแนวคิดเชงิ คานวณไปพัฒนา โครงงานทเี่ กย่ี วกับชวี ิตประจาวนั เชน่ การ จัดการพลงั งานอาหาร การเกษตร การตลาด การค้าขายการทาธรุ กรรม สขุ ภาพ และ สิ่งแวดลอ้ ม - ตวั อยา่ งโครงงาน เชน่ ระบบดแู ลสขุ ภาพ ระบบอตั โนมัติควบคมุ การปลูกพืช ระบบจดั เส้นทางการขนส่งผลผลติ ระบบแนะนาการ ใช้งานห้องสมดุ ท่ีมกี ารโต้ตอบกับผใู้ ชแ้ ละ เช่ือมตอ่ กบั ฐานข้อมูล ม.5 1. รวบรวม วเิ คราะห์ขอ้ มลู และใช้ - การนาความรดู้ า้ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ ความร้ดู า้ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ สอื่ สื่อดจิ ิทลั และเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ ดจิ ิทัล เทคโนโลยสี ารสนเทศในการ แกป้ ัญหากบั ชวี ิตจรงิ แก้ปญั หาหรือเพ่ิมมูลคา่ ใหก้ บั บรกิ ารหรอื - การเพ่มิ มูลคา่ ให้บริการหรอื ผลติ ภัณฑ์ ผลิตภณั ฑท์ ใ่ี ช้ในชวี ติ จรงิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ - การเก็บข้อมูลและการจดั เตรียมขอ้ มูลให้ พรอ้ มกบั การประมวลผล - การวเิ คราะห์ข้อมลู ทางสถิติ - การประมวลผลข้อมลู และเครือ่ งมือ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 95

ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง - การทาข้อมลู ให้เปน็ ภาพ (data visualization) เชน่ bar chart, scatter, histogram - การเลอื กใชแ้ หล่งขอ้ มูล เช่น data.go.th, wolfram alpha, OECD.org, ตลาด หลักทรัพย์ , world economic forum - คุณค่าของขอ้ มลู และกรณศี ึกษา - กรณศี ึกษาและวิธกี ารแก้ปัญหา - ตวั อย่างปัญหา เชน่ - รปู แบบของบรรจภุ ัณฑท์ ่ดี ึงดูดความสนใจ และตรงตามความต้องการผ้ใู ชใ้ นแต่ละ ประเภท - การกาหนดตาแหน่งป้ายรถเมล์เพื่อลด เวลาเดินทางและปัญหาการจราจร - สารวจความตอ้ งการรบั ประทานอาหาร ในชุมชน และเลอื กขายอาหารท่จี ะได้กาไร สงู สดุ - ออกแบบรายการอาหาร 7 วนั สาหรับ ผู้ป่วยเบาหวาน ม.6 1. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ - การนาเสนอและแบ่งปนั ข้อมลู เช่น การ นาเสนอ และแบ่งปนั ข้อมลู อย่าง เขียนบลอ็ ก อัปโหลดวิดีโอ ภาพอนิ โฟ ปลอดภยั มีจริยธรรม และวเิ คราะห์การ กราฟิก เปลีย่ นแปลงเทคโนโลยสี ารสนเทศ - การนาเสนอและแบง่ ปันขอ้ มลู อยา่ ง ทมี่ ีผลต่อการดาเนนิ ชีวิต อาชีพ สังคม ปลอดภัยเช่น ระมดั ระวังผลกระทบท่ตี ามมา และวัฒนธรรม เมอ่ื มีการแบง่ ปันข้อมูลหรือเผยแพร่ข้อมลู ไม่สรา้ งความเดือดร้อนต่อตนเองและผู้อืน่ - จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ - เทคโนโลยีเกิดใหม่ แนวโนม้ ในอนาคต การเปลยี่ นแปลงของเทคโนโลยี - นวตั กรรมหรือเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ท่ี เกยี่ วข้องกับชวี ิตประจาวนั - อาชีพเก่ยี วกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ - ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศตอ่ การดาเนินชวี ิต อาชีพ สงั คม และวฒั นธรรม หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 96

ผลการเรยี นรู้รายวิชาเพ่ิมเติม ระดับช้นั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 1. ตั้งคาถามท่กี าหนดประเดน็ หรอื ตัวแปรท่สี าคัญในการสารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้า เรือ่ งทีส่ นใจได้อย่างครอบคลมุ และเชือ่ ถือได้ 2. ตง้ั สมมติฐานจากปญั หาหรอื เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. ออกแบบและวางแผนการสารวจตรวจสอบเพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน โดยมีการกาหนด และควบคุมตัวแปรตา่ ง ๆ และกาหนดนิยามเชิงปฏบิ ตั ิการได้อยา่ งเหมาะสม 4. เลือกเทคนิควิธีการสารวจท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพท่ีได้ผลเท่ียงตรงและปลอดภัย โดยใชว้ ัสดุและเคร่อื งมอื ทเ่ี หมาะสม 5. บันทึกข้อมลู ท่ีสามารถอา่ นเข้าใจง่ายและสรุปผลของข้อมลู จากการสารวจตรวจสอบได้ 6. วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของประจักษ์พยานกับข้อสรุป ทั้งท่ีสนับสนุนหรือ ขัดแย้งกับสมมติฐานและความผิดปกติของข้อมลู 7. อธบิ าย สบื คน้ ตรวจสอบ และปฏบิ ตั กิ ารฝกึ ฝนทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ 8. สารวจตรวจสอบ และค้นหาคาตอบทางวิทยาศาสตร์ ด้วยทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ 9. ออกแบบดัดแปลง และ/หรือคิดสร้างสรรค์ประดิษฐ์ส่ิงใหม่ ๆด้วยกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ 10. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผล ของชิ้นงาน/การทดลองที่ตนเองสนใจให้ผอู้ นื่ เขา้ ใจ 11. พัฒนาเจตคติทางวิทยาศาสตร์ โดยเน้นความรับผิดชอบ ความซ่ือสัตย์ ความมีใจกว้าง และยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผอู้ น่ื ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 1. สืบค้นข้อมูล และวิเคราะห์ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นโ ครงงาน วิทยาศาสตรป์ ระเภททดลอง ประดิษฐ์ สารวจ หรอื ทฤษฎี 2. สืบค้นข้อมูล และเลือกเรื่องท่ีจะทาโครงงานตามความถนัด และความสนใจโดยใช้ ทักษะทางวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ เครอ่ื งมอื 3. สืบค้นข้อมูล และวิเคราะห์ตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการทดลอง รวบรวม ข้อมลู และสรปุ ผลจากแหล่งต่างๆ 4. วเิ คราะห์ข้อมูล อธิบาย และตัดสินใจโดยใช้กระบวนการกลุ่มในการระบุปัญหาท่ีจะทา โครงงานวิทยาศาสตร์ ความสาคญั และเหตุผลในการตัดสนิ ใจ 5. สบื ค้นข้อมลู ศกึ ษาเอกสาร หรือแหล่งเรยี นร้อู ื่นๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ที่ตัดสนิ ใจเลือก 6. วิเคราะห์ ออกแบบการทดลอง และวางแผนการดาเนินงานทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เลอื กวัสดอุ ปุ กรณใ์ นการดาเนินงานไดอ้ ย่างปลอดภัย หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 97


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook