ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ ตัวชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน (100) 9 คลื่น 3. อธิบาย คลื่นเป็นปรากฏการณ์การถ่าย 15 10 ปรากฏการณ์คลนื่ โอนพลงั งานจากท่หี น่งึ ไปอีกที่หนึ่ง ชนดิ ของคลนื่ คลื่นที่ถ่ายโอนพลังงานโดยต้อง ส่วนประกอบของคลืน่ อาศัยตัวกลางเรียกว่า คลื่นกล การแผ่ของหนา้ คลื่น ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถ่ายโอน ด้วยหลักการของ พลังงานโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ฮอยเกนส์ และการ นอกจากนี้ยังจาแนกชนิดของคล่ืน รวมกันของคลืน่ ตาม ออกเป็นสองชนิด ได้แก่คลื่นตาม หลกั การซ้อนทับ ขวาง และคล่ืนตามยาว คลื่นท่ี พร้อมทั้งคานวณ เกิดจากแหล่งกาเนิดคลื่นท่ีส่งคลื่น อัตราเร็ว ความถ่ี และ อย่างต่อเน่ืองและมีรูปแบบท่ีซ้า ความยาวคล่นื กันบรรยายได้ด้วยการกระจัด สัน 4. สังเกต และอธิบาย คลนื่ ท้องคล่นื เฟส ความยาวคลื่น การสะท้อน การหักเห ความถ่ี คาบ แอมพลิจูด และ การแทรกสอด และ อัตราเร็วการแผ่ของหน้าคล่ืน การเล้ียวเบนของคลื่น เป็นไปตามหลักของฮอยเกนส์และ ผิวน้า รวมท้ังคานวณ ถ้ามีคลื่นตั้งแต่สองขบวนมาพบกัน ป ริ ม า ณ ต่ า ง ๆ ที่ จะรวมกันตามหลักการซ้อนทับ เก่ยี วข้อง คลื่นมีการสะท้อน การหักเห การ แทรกสอด และการเล้ียวเบน คล่ืน เกิดการสะท้อนเมื่อคล่ืนเคล่ือนท่ี ไปถึงส่ิงกีดขว างหรือรอยต่อ ร ะ ห ว่ า ง ตั ว ก ล า ง ที่ ต่ า ง กั น แ ล้ ว เปล่ียนทิศทางเคล่ือนที่กลับมาใน ตวั กลางเดิมโดยเป็นไปตามกฎการ สะท้อน คลื่นเกิดการหักเหเมื่อ คล่ืนเคล่ือนที่ผ่านรอยต่อระหว่าง ตัวกลางท่ีต่างกันแล้วอัตราเร็ว คลื่นเปล่ียนไปซึ่งเป็นไปตามกฎ การหักเห คล่ืนเกิดการแทรก สอดเมอื่ คลน่ื สองคลนื่ เคลือ่ นท่ี มาพบกันแล้วรวมกันตามหลักการ ซ้อนทับ คลื่นน่ิงเกิดจากคลื่น หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 298
ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตวั ชี้วัด (ช่ัวโมง) คะแนน อาพันธ์สองขบวนแทรกสอดกัน (100) 10 แสงเชิงคล่นื 5. ทดลอง และ แล้วเกิดตาแหน่งที่มีการแทรกสอด 15 อธิบายการแทรกสอด แบบเสริมตลอดเวลา เรียกว่า 10 ของแสงผ่านสลติ คู่ ปฏิบัพ และตาแหน่งท่ีมีการแทรก และเกรตติง การ ส อ ด แ บ บ หั ก ล้ า ง ต ล อ ด เ ว ล า เลย้ี วเบนและการ เรียกว่า บัพ คล่ืนเกิดการ แทรกสอดของแสง เล้ียวเบนเมอื่ คลนื่ เคลื่อนทพี่ บ ผา่ นสลติ เดยี่ ว รวมทัง้ สิ่งกดี ขวางแล้วมีคล่ืนแผจ่ ากขอบ คานวณปริมาณต่าง ๆ สิง่ กีดขวางไปดา้ นหลังได้ ทเ่ี กีย่ วข้อง เ ม่ื อ แ ส ง ผ่ า น ช่ อ ง เ ล็ ก ย า ว เ ดี่ ย ว 6. ทดลอง และ (สลิตเด่ียว) และช่องเล็กยาวคู่ อธิบายการสะท้อน (สลิตคู่) จะเกิดการเล้ียวเบนและ ของแสงท่ผี วิ วัตถุ ตาม การแทรกสอด ทาให้เกิดแถบมืด กฎการสะท้อน เขยี น และแถบสว่างบนฉาก เกรตติง รงั สีของแสงและ เป็นอุปกรณ์ท่ีประกอบด้วยช่อง คานวณตาแหนง่ และ เ ล็ ก ย า ว ที่ มี จ า น ว น ช่ อ ง ต่ อ ห น่ึ ง ขนาดภาพของวตั ถุ หน่วยความยาวเป็นจานวนมาก เม่ือแสงตกกระทบ และระยะห่างระหว่างช่องมีค่า กระจกเงาราบและ น้อยโดยแต่ละช่องห่างเท่า ๆ กัน กระจกเงาทรงกลม ใช้สาหรับหาความยาวคลื่นของ รวมท้งั อธบิ ายการนา แสงและศึกษาสมบัติการเลี้ยวเบน ความร้เู ร่ืองการ และการแทรกสอดของแสง โดย สะท้อนของแสงจาก ปริมาณต่าง ๆท่ีเกี่ยวข้อง เม่ือแสง กระจกเงาราบ และ ตกกระทบผิววัตถุ จะเกิดการ กระจกเงาทรงกลมไป สะท้อน ซึ่งเป็นไปตามกฎการ สะท้อน วัตถุท่ีอยู่หน้ากระจกเงา ราบและกระจกเงา ทรงกลม จะ เกิดภาพที่สามารถหาตาแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพท่ีเกิดข้ึน ได้จากการเขยี นภาพของรงั สแี สง หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 299
ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรียนรู้ ตวั ช้วี ดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) ใช้ประโยชน์ในชีวิต 15 20 ประจาวนั 11 แสงเชิงรังสี 7. ท ด ล อ ง แ ล ะ เม่ือแสงเคล่ือนที่ผ่านผิวรอยต่อ อธิบายความสัมพันธ์ ของตัวกลางสองตัวกลางจะเกิด ระหว่างดรรชนีหักเห การหักเห โดยอัตราส่วนระหว่าง มุมตกกระทบ และมุม ไซน์ของมุมตกกระทบกับไซน์ของ หักเห รวมท้ังอธิบาย มุมหักเหของตัวกลางคู่หน่ึงมีค่าคง ความสัมพันธ์ระหว่าง ตวั เรยี กความสมั พนั ธน์ ีว้ ่า ความลึกจรงิ และความ กฎของสเนลล์ การหักเหของแสง ลึกปรากฏ มุมวิกฤต ทาให้มองเห็นภาพของวัตถุที่อยู่ใน และการสะท้อนกลับ ตัวกลางต่างชนิดกันมีตาแหน่ง หมดของแสง และ เปล่ียนไปจากเดิม การสะท้อน คานวณปริมาณต่าง ๆ กลับหมดเกิดข้ึนเมื่อมุมตกกระทบ ทเี่ กี่ยวข้อง มากกวา่ มมุ วิกฤต เม่อื วางวัตถุหน้า 8. ทดลอง และเขยี น เลนส์บางจะเกิดภาพของวัตถุโดย รงั สีของแสงเพื่อแสดง ตาแหน่ง ขนาด และชนิดของภาพ ภาพทีเ่ กดิ จากเลนส์ ที่เกิดข้ึนหาได้จากการเขียนภาพ บาง หาตาแหนง่ ของรังสีแสง เม่ือวางวัตถุหน้า ขนาด ชนิดของภาพ เลนส์บางจะเกิดภาพของวัตถุโดย และความสมั พันธ์ ตาแหน่ง ขนาด และชนิดของภาพ ระหว่างระยะวัตถุ ที่เกิดข้ึนหาได้จากการเขียนภาพ ระยะภาพและความ ของรังสีแสงความร้เู รอ่ื งเลนส์นาไป ยาวโฟกสั รวมทั้ง ประยุกต์ใชใ้ นดา้ นตา่ ง ๆ เช่น แว่น คานวณปริมาณต่าง ๆ ขยาย กล้องจุลทรรศน์ เป็นต้น กฎ ท่เี กย่ี วข้อง และ การสะท้อนและการหักเหของแสง อธิบายการนาความรู้ ใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวกับ เรือ่ งการหักเหของแสง แสง เช่น รุ้ง การทรงกลด และมิ ผ่านเลนสบ์ างไปใช้ ราจ เม่ือแสงตกกระทบอนุภาค ประโยชน์ใน หรือโมเลกุลของอากาศ แสงจะ ชีวติ ประจาวนั เกิดการกระเจิง ใช้อธิบายการเห็น ท้องฟ้าเป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลา 9. อธิบาย ต่างกันการมองเห็นสีจะข้ึนกับแสง ปรากฏการณ์ธรรม สที ่ีตกกระทบกับวัตถุและสารสีบน หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 300
ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ ตัวช้วี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) ชาติท่เี กี่ยวกบั แสง วตั ถุ โดยสารสีจะดูดกลนื บางแสงสี เช่น รงุ้ การทรงกลด และสะท้อนบางแสงสี การผสม มิราจ และการเหน็ สารสีทาให้ได้สารสีที่มีสีเปล่ียนไป ทอ้ งฟ้าเป็นสตี า่ ง ๆ จากเดิม ถ้านาแสงสีปฐมภูมิใน ในช่วงเวลาตา่ งกนั สดั ส่วนท่เี หมาะสมมาผสมกันจะได้ 10. สงั เกต และ แสงขาว แผ่นกรองแสงสียอมให้ อธิบายการมองเหน็ บางแสงสีผ่านไปได้และดูดกลืน แสงสี สขี องวตั ถุ การ บางแสงสี การผสมแสงสีและการ ผสมสารสี และการ ผ ส ม ส า ร สี ส า ม า ร ถ น า ไ ป ใ ช้ ผสมแสงสี รวมทง้ั ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้าน อธิบายสาเหตุของการ ศิลปะด้านการแสดง ความ บอดสี ผิดปกติในการมองเห็นสีหรือการ บอดสีเกิดจากความบกพร่องของ เซลล์รูปกรวย ซึ่งเป็นเซลล์รับแสง ชนิดหน่ึงบนจอตา รวมคะแนนระหว่างเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 60 100 หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 301
รายวิชา เคมี 3 คาอธิบายรายวิชา จานวน 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว32223 จานวน 1.5 หน่วยกติ ระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 จานวนเวลาเรยี นทงั้ สิ้น 60 ชว่ั โมง : ภาคเรยี น ศึกษา วิเคราะห์ เกี่ยวกับมวลอะตอมมวลโมเลกุลจานวนโมลกับมวลของสารปริมาตรต่อโม ลของแก๊ส ความสัมพันธ์ระหว่างจานวนโมล อนุภาค มวล และปริมาตรของแก๊สความเข้มข้นของ สารละลายการเตรยี ม สารละลายสมบัตบิ างประการของสารละลายการคานวณเก่ียวกับสูตรเคมีการ คานวณมวลเป็นร้อยละจากสูตร การคานวณหาสูตรเอมพิริคัลและสูตรโมเลกุลสมการเคมีการ คานวณปริมาณสารในปฏกิ ิริยา-เคมีมวลของสาร ในปฏกิ ิรยิ าเคมีปริมาตรของแก๊สในปฏิกิริยาเคมีกฎ ของเกย์ – ลูสแซก กฎของอาโวกาโดร ความสัมพันธ์ ระหว่างปริมาณของสารในสมการเคมี สาร กาหนดปริมาณการคานวณจากสมการเคมีท่ีเกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่ง สมการผลได้ร้อยละสมบัติของ ของแข็ง การจัดเรียงอนุภาคของของแข็งชนิดของผลึกการเปลี่ยนสถานะของ ของแข็ง สมบัติของ ของเหลว ความตึงผิว การระเหยความดันไอกับจุดเดือดของของเหลว สมบัติของแก๊ส ความสัมพันธ์ ของปรมิ าตร ความดนั และอณุ หภูมิของแกส๊ กฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎรวมแก๊สกฎแก๊ส สมบูรณ์ การแพร่ของแก๊ส เทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้องกับสมบัติของของแข็ง ของเหลว และแก๊ส การทา นา้ แข็งแห้ง การสกดั สารโดยใช้คารบ์ อนไดออกไซด์ในรูปของไหล การทาไนโตรเจนเหลว โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการสืบเสาะหา ความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสบื คน้ ข้อมลู และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิด สามารถ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการ ตัดสนิ ใจ เหน็ คุณคา่ ของการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และค่านิยมทีเ่ หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายความสมั พันธ์และคานวณปริมาตร ความดนั หรืออุณหภมู ขิ องแกส๊ ทภ่ี าวะตา่ ง ๆ ตามกฎของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของเกย์-ลสู แซก 2. คานวณปรมิ าตร ความดนั หรอื อุณหภมู ิของแกส๊ ทีภ่ าวะตา่ ง ๆ ตามกฎรวมแก๊ส 3. คานวณปริมาตร ความดัน อณุ หภูมิ จานวนโมล หรือมวลของแกส๊ จากความสัมพนั ธ์ตาม กฎของอาโวกา- โดร และกฎแก๊สอุดมคติ 4. คานวณความดนั ย่อยหรือจานวนโมลของแก๊สในแก๊สผสม โดยใชก้ ฎความดนั ย่อยขอ งดอลตัน 5. อธบิ ายการแพร่ของแก๊สโดยใช้ทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส คานวณและเปรยี บเทียบอตั ราการ แพร่ของแก๊สโดยใชก้ ฎการแพรผ่ า่ นของเกรแฮม 6. สืบคน้ ขอ้ มลู นาเสนอตวั อย่าง และอธบิ ายการประยุกต์ใชค้ วามรเู้ กย่ี วกบั สมบัตแิ ละกฎ ตา่ ง ๆ ของแก๊สในการอธบิ ายปรากฏการณ์ หรือแกป้ ัญหาในชีวติ ประจาวนั และในอุตสาหกรรม 7. ทดลองและเขยี นกราฟการเพ่มิ ขึน้ หรือลดลงของสารที่ทาการวดั ในปฏกิ ิรยิ า หลักสตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 302
8. คานวณอตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี และเขยี นกราฟการลดลงหรอื เพ่ิมขึน้ ของสารที่ไม่ได้ วัดในปฏิกริ ิยา 9. เขียนแผนภาพ และอธิบายทิศทางการชนกนั ของอนุภาคและพลงั งานทสี่ ่งผลตอ่ อัตรา การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 10. ทดลอง และอธิบายผลของความเข้มขน้ พื้นท่ผี ิวของสารต้งั ตน้ อณุ หภูมิ และตวั เรง่ ปฏิกิรยิ าทมี่ ีต่ออัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี 11. เปรยี บเทียบอตั ราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเมอื่ มีการเปล่ยี นแปลงความเขม้ ขน้ พ้ืนที่ผิวของสาร ตั้งตน้ อณุ หภมู ิ และตวั เร่งปฏิกริ ิยา 12. ยกตัวอยา่ งและอธิบายปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีในชีวติ ประจาวัน หรือ อุตสาหกรรม 13. ทดสอบและอธบิ ายความหมายของปฏิกิริยาผันกลับได้และภาวะสมดลุ 14. อธบิ ายการเปลีย่ นแปลงความเข้มข้นของสารอัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าไปข้างหนา้ และ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าย้อนกลับ เมือ่ เรมิ่ ปฏกิ ริ ยิ าจนกระทั่งระบบอยู่ในภาวะสมดลุ 15. คานวณค่าคงท่ีสมดลุ ของปฏกิ ิริยา 16. คานวณความเข้มขน้ ของสารทภี่ าวะสมดลุ 17. คานวณคา่ คงทสี่ มดลุ หรือความเขม้ ข้นของปฏิกริ ิยาหลายขน้ั ตอน 18. ระบุปัจจยั ทม่ี ีผลต่อภาวะสมดุลและค่าคงท่สี มดลุ ของระบบ รวมทงั้ คาดคะเนการ เปลี่ยนแปลงท่ีเกดิ ขึน้ เมื่อภาวะสมดุลของระบบถกู รบกวน โดยใชห้ ลักของเลอชาเตอลิเอ 19.ยกตัวอย่าง และอธิบายสมดลุ เคมขี องกระบวนการท่เี กิดข้ึนในสิ่งมีชวี ิต ปรากฏการณใ์ น ธรรมชาตแิ ละกระบวนการในอตุ สาหกรรม รวมทั้งหมด 19 ผลการเรียนรู้ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 303
โครงสรา้ งรายวิชา รายวิชา เคมี 3 รหัสวชิ า ว32223 จานวน 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรยี นทัง้ สนิ้ 60 ช่ัวโมง : ภาคเรยี น สัดส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ ตัวชีว้ ดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) 1 แก๊สและ 1. อธิบาย แกส๊ ประกอบด้วยอนุภาคที่มี 20 20 สมบตั ขิ อง ความสัมพันธแ์ ละ มวลนอ้ ย และมีขนาดเล็กมากจน แก๊ส คานวณปริมาตร ถอื ได้ว่าอนภุ าคของแก๊สไม่มี ความดัน หรอื อุณหภมู ิ ปรมิ าตร โมเลกลุ ของแก๊สอยู่ห่าง ของแกส๊ ท่ภี าวะตา่ ง ๆ กนั มากสง่ ผลให้แรงดงึ ดูดและแรง ตามกฎของบอยล์ กฎ ผลกั ระหว่างโมเลกลุ นอ้ ยมาก ของชารล์ โมเลกุลของแก๊สเคล่ือนที่อย่าง กฎของเกย์ -ลสู แซก อิสระดว้ ยอัตราเรว็ คงท่ีตลอดเวลา 2. คานวณปรมิ าตร ในแนวเสน้ ตรง สมบัตติ า่ ง ๆ ของ ความดัน หรืออณุ หภูมิ แกส๊ สามารถอธบิ ายได้ด้วยทฤษฎี ของแกส๊ ทภี่ าวะตา่ ง ๆ จลนข์ องแก๊ส ตามกฎรวมแกส๊ ความดันและอุณหภูมิมผี ลตอ่ 3. คานวณปริมาตร ปรมิ าตรของแกส๊ โดยเม่ืออุณหภมู ิ ความดัน อุณหภูมิ และมวลของแกส๊ คงที่ ปรมิ าตร จานวนโมล หรือมวล ของแกส๊ จะแปรผกผนั กบั ความดัน ของแกส๊ จากความ และเมื่อความดันและมวลของแกส๊ สัมพันธ์ตามกฎของอา คงที่ ปริมาตรของแก๊สจะแปรผนั โวกาโดร และกฎแก๊ส ตรงกับอุณหภมู ิ อดุ มคติ กฎของบอยล์ กฎของชารล์ กฎ 4. คานวณความดัน ของเกย์-ลสู แซก สามารถใช้ ย่อยหรือจานวนโม อธบิ ายพฤตกิ รรมของแก๊ส และใช้ ลของแก๊สในแก๊สผสม คานวณและอธบิ ายความสัมพันธ์ โดยใช้กฎความดันย่อย ระหว่างปรมิ าตร ความดัน และ ของดอลตัน อุณหภมู ิของแก๊สที่ภาวะต่าง ๆ ได้ 5. อธบิ ายการแพรข่ อง เมือ่ กฎของบอยลแ์ ละชาร์ลก แกส๊ โดยใชท้ ฤษฎจี ลน์ ลา่ วเฉพาะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ของแก๊ส คานวณและ ปริมาตรกับความดันและปริมาตร หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 304
ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ ตวั ชีว้ ดั (ชั่วโมง) คะแนน (100) เปรยี บเทียบอตั ราการ กับอุณหภมู ิ แต่การเปลย่ี นแปลง แพรข่ องแก๊สโดยใชก้ ฎ ในธรรมชาตอิ าจเกิดข้ึนพร้อม ๆ การแพรผ่ ่านของ เก กนั ดงั น้นั จงึ มีการศึกษา รแฮม ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปรมิ าตร 6. สืบคน้ ข้อมูล ความดนั และอุณหภมู ิของแก๊สใน นาเสนอตวั อยา่ ง และ ขณะท่ีมวลคงท่ีและตั้งขึ้นเปน็ กฎ อธบิ ายการประยุกต์ใช้ รวมแกส๊ ความรู้เกี่ยวกับสมบัติ กฎของอาโวกาโดรสามารถใช้ และกฎต่าง ๆ ของ คานวณและอธบิ ายความสมั พันธ์ แกส๊ ในการอธิบาย ระหว่างปรมิ าตร และจานวนโมล ปรากฏการณ์ หรือ หรือมวลของแกส๊ ที่ภาวะต่าง ๆ ได้ แก้ปญั หาใน กฎแก๊สอดุ มคติสามารถใช้ ชีวติ ประจาวนั และใน คานวณและอธบิ ายความสัมพันธ์ อุตสาหกรรม ระหวา่ งปริมาตร ความดัน อณุ หภมู ิ และจานวนโมลของแก๊ส ทีภ่ าวะต่าง ๆ ได้ แกส๊ ผสมที่ไม่ ทาปฏิกิริยากนั ความดนั ของแก๊ส แตล่ ะชนดิ จะแปรผันตามเศษสว่ น โมลของแกส๊ ที่มีอยู่ในแกส๊ ผสม ซ่ึงเป็นไปตามกฎความดันยอ่ ยขอ งดอลตัน ทฤษฎีจลนข์ องแก๊สสามารถใช้ อธิบายการแพร่ของแกส๊ ได้โดยท่ี อุณหภูมเิ ดยี วกนั อัตราการแพร่ ของแกส๊ เปน็ สัดสว่ นผกผันกบั ราก ท่สี องของมวลโมเลกลุ ของแก๊ส ซ่งึ เป็นไปตามกฎการแพร่ผา่ นของเก รแฮม สมบตั ิและกฎตา่ ง ๆ ของ แกส๊ นามาใช้อธบิ ายปรากฏการณ์ และประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจาวัน และในอุตสาหกรรมได้ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 305
ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ ตวั ช้ีวัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 2 อตั ราการ 7. ทดลองและเขียน ปริมาณสารตั้งต้นท่ีลดลง หรือ 10 10 เกดิ ปฏิกิรยิ า กราฟการเพิ่มข้ึนหรือ ปริมาณสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น เคมี ลดลงของสารท่ีทา ขณะปฏกิ ิริยาดาเนินไป เมื่อนามา การวัดในปฏิกิริยา ปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลงน้ีมา 8. คานวณอัตราการ เขยี นในรูปอัตราส่วนเปรียบเทียบ เกิดปฏิกิริยาเคมี กับ 1 หน่วยเวลา จะเรียกว่า และเขียนกราฟการ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ลดลงหรือเพิ่มขึ้นของ ปฏกิ ริ ิยาเคมจี ะเกิดขน้ึ ได้กต็ ่อเม่ือ สารท่ีไม่ได้วัดใน อนภุ าคของสารตง้ั ตน้ ชนกันใน ปฏิกิริยา ทศิ ทางทเี่ หมาะสม และมพี ลงั งาน อยา่ งน้อยเท่ากบั พลังงาน ก่อกัมมนั ต์ 2 อตั ราการ 9. เขยี นแผนภาพ ในการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีหนึง่ ๆ 10 10 เกิดปฏกิ ริ ยิ า และอธบิ ายทิศ จะตอ้ งมกี ารดูดพลงั งานเพ่ือสลาย เคมี ทางการชนกันของ พันธะของสารต้งั ต้น และมีการ อนุภาคและพลงั งาน คายพลงั งานเพ่ือสรา้ งพันธะ ที่ส่งผลตอ่ อัตราการ ระหว่างผลติ ภณั ฑ์ ปฏิกริ ยิ าดูด เกิดปฏกิ ิริยาเคมี พลังงาน คือ ปฏกิ ริ ยิ าที่มกี ารดูด 10. ทดลอง และ พลังงานเข้าไปเพือ่ สลายแรงยึด อธิบายผลของความ เหนี่ยวระหว่างอะตอมของสารตัง้ เข้มข้น พ้ืนที่ผิวของ ต้นมากกว่าคายพลังงานออกมา สารตั้งต้น อุณหภูมิ เพอื่ สร้างแรงยดึ เหน่ยี วระหว่าง และตัวเร่งปฏิกิริยา อะตอมของผลติ ภณั ฑ์ ที่มีต่ออัตราการ ปฏิกิรยิ าคายพลังงาน คือ เกิดปฏิกิริยาเคมี ปฏิกิริยาท่ีมกี ารดดู พลงั งานเข้าไป 11. เปรยี บเทียบ เพือ่ สลายแรงยึดเหน่ยี วระหว่าง อัตราการ อะตอมของสารตง้ั ตน้ น้อยกว่าคาย เกดิ ปฏิกริ ยิ าเม่ือมี พลงั งานออกมาเพื่อสรา้ งแรงยึด การเปล่ียนแปลง เหนี่ยวระหวา่ งอะตอมของ ความเข้มขน้ พ้นื ที่ผิว ผลิตภณั ฑ์ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ า ของสารตัง้ ต้น เคมขี องสารหนง่ึ ๆ ขึน้ อยู่กับความ อณุ หภมู ิ และตัวเรง่ เขม้ ขน้ พื้นทีผ่ ิว อณุ หภูมิ ตัวเรง่ ปฏิกริ ิยา และตัวหนว่ งปฏกิ ริ ิยา และชนิด หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 306
ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ ตัวชว้ี ัด (ชั่วโมง) คะแนน (100) 12. ยกตัวอยา่ งและ ของสารที่ทาปฏกิ ริ ยิ า อธบิ ายปจั จยั ที่มผี ล ความเข้มข้นของสารต้ังต้นมีผล ต่ออตั ราการ ต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดย เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมใี น ถ้าสารต้ังต้นมีความเข้มข้นต่า ชวี ติ ประจาวนั หรือ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะช้า อตุ สาหกรรม แต่ถ้าสารตั้งต้นมีความเข้มข้นสูง อตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีจะเร็ว พื้นท่ีผิวของของสารต้ังต้นมีผล ต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดย ถ้าสารต้ังต้นมีพ้ืนท่ีผิวน้อย อัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะช้า แต่ถ้า สารต้ังต้นมีพ้ืนท่ีผิวมาก อัตราการ เกิดปฏิกิรยิ าเคมีจะเรว็ อุ ณ ห ภู มิ มี ผ ล ต่ อ อั ต ร า ก า ร เกิดปฏิกิริยาเคมี โดยเม่ืออุณหภูมิ สูงข้ึน อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะมี ค่ามากข้ึน และเม่ืออุณหภูมิต่าลง อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีค่า ลดลง ตัวเร่งปฏิกิริยา คือ สารท่ีเติม ลงไปแล้วทาให้ปฏิกิริยาเคมีเกิด เรว็ ขึน้ เมื่อส้ินสุดปฏิกิริยา สารน้ัน จะกลบั มามสี มบัติเหมือนเดิม และ ปริมาณเท่าเดมิ ตัวหน่วงปฏิกิริยา คือ สารท่ี เติมลงไปแล้วทาให้ปฏิกิริยาเคมี เกิดช้าลง เม่ือส้ินสุดปฏิกิริยา สาร นั้นจะกลับมามีสมบัติเหมือนเดิม แ ล ะ ป ริ ม า ณ เ ท่ า เ ดิ ม ค ว า ม รู้ เก่ียวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการ เกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถนามาใช้ อธิบายกระบวนการท่ีเกิดขึ้นใน ชวี ติ ประจาวันและในอุตสาหกรรม หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 307
ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ ตวั ช้วี ดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 3 สมดุลเคมี 13. ทดสอบ และ การเปล่ียนแปลงท่ีผันกลับได้ 20 10 อธบิ ายความหมาย หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่มีท้ัง ของปฏิกิรยิ าผนั การเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้า และ กลบั ไดแ้ ละภาวะ การเปลี่ยนแปลงย้อนกลับโดยการ สมดลุ เปล่ียนแปลงไปข้างหน้าจะเกิดข้ึน 14. อธบิ ายการเปลี่ยน ก่ อ น แ ล ะ ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง แปลงความเข้มข้นของ ย้อนกลับเกิดข้ึนทีหลงั สารอตั ราการ ปฏกิ ิริยาเคมที ่ีสามารถดาเนิน เกิดปฏิกิริยาไป ไปข้างหน้าและย้อนกลับได้ ขา้ งหนา้ และอตั รา เรยี กว่า ปฏกิ ริ ยิ าผนั กลบั ได้ เมอ่ื การเกดิ ปฏิกิริยา ปฏิกริ ยิ าดาเนนิ ไปความเข้มข้น ย้อนกลับ เม่ือเร่มิ ของสารตั้งต้นและอัตราการ ปฏิกิริยาจนกระทั่ง เกิดปฏิกริ ิยาไปขา้ งหนา้ จะลดลง ระบบอยู่ในภาวะ สว่ นความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ สมดุล และอัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยา 15. คานวณค่าคงที่ ย้อนกลบั จะเพ่มิ ขึ้น เมื่ออัตราการ สมดุลของปฏิกริ ยิ า เกิดปฏกิ ิริยาไปข้างหน้าเท่ากับ 1 6 . ค า น ว ณ ค ว า ม อัตราการเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ เข้มข้นของสารที่ ระบบจะอยใู่ นภาวะสมดลุ ท่มี ี ภาวะสมดุล ความเข้มขน้ ของสารต้ังตน้ และ 17.คานวณค่าคงท่ี ผลติ ภัณฑค์ งทเ่ี รียกวา่ สมดุล สม ดุ ลห รื อค ว า ม พลวตั เขม้ ข้นของปฏิกิริยา ณ ภาวะสมดลุ ความสัมพนั ธ์ หลายขนั้ ตอน ระหวา่ งเขม้ ข้นของผลติ ภัณฑ์กับ 18.ระบุปจั จัยที่มผี ล สารตัง้ ตน้ แสดงไดด้ ้วยค่าคงท่ี ต่อภาวะสมดลุ และ สมดลุ ซ่ึงเปน็ ค่าคงท่ี ณ อุณหภูมิ คา่ คงทสี่ มดลุ ของ หน่งึ ระบบ รวมทง้ั ค่ า ค ง ที่ ส ม ดุ ล ข อ ง ป ฏิ กิ ริ ย า คาดคะเนการ หลายขั้นตอน หาได้จากผลคูณ เปลยี่ นแปลงที่ ของคา่ คงทสี่ มดุลของปฏิกิรยิ าย่อย เกิดขึ้นเมื่อภาวะ ท่ีนาสมการเคมีมารวมกนั โดยถ้ามี สมดลุ ของระบบถูก การคูณสมการย่อยให้ยกกาลัง รบกวน ค่าคงท่สี มดุลด้วยตวั เลขท่ีคูณ และ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 308
ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ ตวั ชวี้ ดั (ชัว่ โมง) คะแนน (100) โดยใชห้ ลกั ของ หากมีการกลับข้างสมการ ให้กลับ เลอชาเตอลเิ อ ค่าคงท่สี มดลุ เปน็ ตัวหาร 19.ยกตวั อยา่ ง และ การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้น อธบิ ายสมดุลเคมีของ ของสารต้ังต้นทาให้ภาวะสมดุล กระบวนการที่เกิด เปลี่ยนแปลงไป เม่ือระบบเข้าสู่ ขึ้นในสิ่งมชี ีวิต ภาวะสมดุลอีกครั้ง ความเข้มข้น ปรากฏการณ์ใน ของสารต่าง ๆ ณ ภาวะสมดุลจะ ธรรมชาติและ แ ต ก ต่ า ง ไ ป จ า ก ค ว า ม เ ข้ ม ข้ น ที่ กระบวนการใน ภาวะสมดลุ เดิม อุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของ ระบบ ทาให้สมดุลของระบบถูก รบกวน และในที่สุดระบบจะ ปรับตัวเพื่อเข้าสู่ภาวะสมดุลอีก ค รั้ ง ค ว า ม รู้ เ กี่ ย ว กั บ ส ม ดุ ล เ ค มี ส า ม า ร ถ น า ม า ใ ช้ อ ธิ บ า ย กระบวนการท่ีเกิดข้ึนในสิ่งมีชีวิต ปรากฏการณ์ในธรรมชาติและ กระบวนการในอตุ สาหกรรม รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 60 100 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 309
รายวชิ า ชีววทิ ยา 3 คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 3 ช่วั โมง/สัปดาห์ รหัสวชิ า ว32243 จานวน 1.5 หน่วยกิต ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 จานวนเวลาเรียนท้งั ส้นิ 60 ชวั่ โมง : ภาคเรียน ศึกษาเก่ียวกับวัฏจักรแบบสลับของพืชดอก กระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้เพศเมีย และการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดและโครงสร้างของเมล็ดและผล ศึกษาชนิดและลักษณะของ เนื้อเย่ือพชื โครงสรา้ งภายในราก ลาต้นและใบของพืช ศกึ ษาการแลกเปล่ียนแก๊สและการคายน้าของ พืช กลไกการลาเลียงน้า ธาตุอาหารและอาหารในพืช จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีต เก่ียวกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช C3 การตรึง คาร์บอนไดออกไซด์ในพืช C3 พืช C4 เเละพืช CAM ปัจจัยที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช รวมทง้ั การศึกษาและการนาไปใชป้ ระโยชนท์ างการเกษตร โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ตดิ ตอ่ หาความรู้ การสบื ค้นข้อมูล การสังเกต วิเคราะห์ เปรียบเทียบ อธบิ าย อภปิ ราย และสรุป เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทาง วิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้าน การคิดและการแก้ปัญหา ด้านการสื่อสาร สามารถสื่อสารส่ิงที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของ ตนเอง มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม และคา่ นิยมทีเ่ หมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. อธิบายวฏั จักรชีวิตแบบสลบั ของพืชได้ 2. อธิบายและเปรียบเทยี บกระบวนการสร้างเซลล์สบื พนั ธุ์เพศผแู้ ละเพศเมยี ของพชื ดอก และอธบิ ายการปฏิสนธขิ องพืชดอก 3. อธบิ ายการเกดิ เมล็ดและการเกิดผลของพืชดอก โครงสร้างของเมลด็ และผล และ ยกตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชนจ์ ากโครงสร้างตา่ งๆของเมลด็ และผล 4. อธิบายเก่ียวกบั ชนดิ และลักษณะของเนื้อเย่ือพืช และเขียนแผนผังเพือ่ สรุปชนิดของ เน้อื เยอื่ พชื 5. สังเกต อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสร้างภายในของรากพชื ใบเลย้ี งเดย่ี วและรากพชื ใบ เล้ยี งค่จู ากการตัดตามขวาง 6. สงั เกต อธิบาย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ งภายในของลาต้นพืชใบเลย้ี งเด่ยี วและลาตน้ ของพชื ใบเล้ยี งคจู่ ากการตัดตามขวาง 7. สังเกต และอธบิ ายโครงสร้างภายในของใบพชื จากการตัดตามขวาง 8. สบื คน้ ข้อมูล สังเกต และอธบิ ายการแลกเปลยี่ นแกส๊ และการคายนา้ ของพืช 9. สืบค้นขอ้ มลู และอธิบายกลไกการลาเลยี งนา้ และธาตุอาหารของพชื 10. สืบคน้ ข้อมลู อธบิ ายความสาคญั ของธาตุอาหารและยกตัวอยา่ งธาตุอาหารทสี่ าคัญทม่ี ี ผลตอ่ การเจริญเตบิ โตของพชื หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 310
11. อธบิ ายกลไกการลาเลียงอาหารในพืช 12. สืบค้นข้อมลู และสรปุ การศกึ ษาท่ไี ด้จากการทดลองของนกั วิทยาศาสตรใ์ นอดตี เก่ยี วกับ กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง 13. อธิบายข้ันตอนที่เกิดข้ึนในกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืช C3 14. เปรียบเทยี บกลไกการตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์ในพืช C3 พืช C4 และพืช CAM 15. สบื ค้นขอ้ มลู อภปิ รายและสรปุ ปัจจยั ความเข้มของแสง ความเข้มข้นของ คารบ์ อนไดออกไซด์ และอุณหภูมทิ ี่มีผลต่อการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืช 16 ทดลองและอธบิ ายเก่ียวกับปัจจยั ต่างๆท่ีมผี ลต่อการงอกของเมลด็ สภาพพกั ตวั ของ เมล็ดและบอกแนวทางในการแกส้ ภาพพักตวั ของเมลด็ 17 สืบค้นข้อมูล อธบิ ายบทบาทและหนา้ ท่ขี องออกซิเจน ไซโตไคนนิ จบิ๊ เบอร์ลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซิก และอภิปรายเก่ยี วกบั การนาไปใชป้ ระโยชนท์ างการเกษตร 18 สบื ค้นข้อมลู ทดลองและอธบิ ายเก่ยี วกบั ส่งิ เรา้ ภายนอกท่มี ีผลต่อการเจริญเตบิ โตของพชื รวมท้ังหมด 18 ผลการเรียนรู้ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 311
โครงสร้างรายวิชา รายวิชา ชีววทิ ยา 3 รหสั วชิ า ว32243 จานวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 จานวน 1.5 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรยี นทั้งสนิ้ 60 ชั่วโมง : ภาคเรียน สดั สว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ช่อื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก การเรียนรู้ เรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) 8 โครงสร้าง 1. อธิบายเกีย่ วกับ 1.1 เนอื้ เยื่อพชื 1 10 หน้าท่ี ชนิดและลักษณะของ 1.2 อวัยวะและหน้าทข่ี องอวัยวะ 14 ของพชื ดอก เน้ือเย่อื พชื และเขียน พชื แผนผงั เพื่อสรปุ ชนดิ 1.3 การแลกเปลย่ี นแก๊สและการ 3 ของเน้ือเยื่อพชื คายนา้ ของพืช 2. สงั เกต อธิบาย 1.4 การลาเลยี งนา้ ของพืช 2 และเปรียบเทยี บ 1.5 การลาเลยี งสารอาหารของพืช 2 โครงสร้างภายในของ 1.6 การลาเลยี งอาหารของพืช 2 รากพืชใบเลี้ยงเดยี่ ว และรากพืชใบเล้ยี งคู่ จากการตัดตามขวาง 3. สงั เกต อธิบาย และเปรียบเทียบ โครงสรา้ งภายในของ ลาต้นพืชใบเลี้ยง เด่ยี วและลาต้นพชื ใบ เล้ียงคูจ่ ากการตดั ตามขวาง 4. สงั เกต และ อธบิ าย โครงสรา้ ง ภายในของใบพืชจาก การตดั ตามขวาง 5. สืบค้นขอ้ มลู สังเกต และอธบิ าย การแลกเปล่ียนแกส๊ และการคายน้าของ พืช หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 312
ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ เรียนรู้/ตวั ชวี้ ัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) 6. สืบค้นขอ้ มูลและ อธิบายกลไกการ ลาเลยี งนา้ และธาตุ อาหารของพชื 7. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ ายความสาคัญ ของธาตุอาหาร และ ยกตวั อย่างธาตุ อาหารทีส่ าคัญทีม่ ีผล ต่อการเจริญเติบโต ของพืช 8. อธิบายกลไกการ ลาเลียงอาหารในพชื 9 การ 9. สบื ค้นขอ้ มลู และ 2.1 การค้นควา้ ที่เกี่ยวข้องกับการ 2 20 สังเคราะห์ สรปุ การศกึ ษาท่ีได้ สังเคราะห์ดว้ ยแสง ดว้ ยแสง จากการทดลองของ 2.2 กระบวนการสังเคราะห์ด้วย 6 นกั วิทยาศาสตรใ์ น แสง 1 อดตี เก่ยี วกับกระ 2.3 โฟโตเรสเพอเรชัน 1 บวนการสงั เคราะห์ 2.4 กลไกการเพ่ิมความเข้มข้นของ ดว้ ยแสง คาร์บอนไดออกไซด์ในพชื C3และ 11.เปรียบเทียบกลไก พชื C4 1 การตรงึ 2.5 กลไกการเพ่ิมความเขม้ ข้นของ คาร์บอนไดออกไซด์ คารบ์ อนไดออกไซด์ในพืชCAM 5 ในพืช C3 พชื C4 2.6 ปัจจยั บางประการท่มี ผี ลตอ่ และ พชื CAM อตั ราการสงั เคราะห์ด้วยแสง 1 12. สบื คน้ ข้อมูล 2.7 การปรบั ตวั ของพืชเมื่อรบั แสง อภปิ รายและสรปุ ปจั จยั ความเขม้ ของ แสง ความเขม้ ขน้ ของคารบ์ อนได ออกไซด์ และ อณุ หภูมิ ท่ีมผี ลต่อการ หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 313
ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ เรียนร/ู้ ตัวช้ีวดั (ชัว่ โมง) คะแนน (100) สงั เคราะห์ด้วยแสง ของพืช 10 การสืบพันธุ์ 13. อธบิ ายวัฏจักร 3.1 วฏั จักรชวี ติ และการสบื พันธุ์ 10 10 ของพืชดอก ชวี ิตแบบสลับของพชื แบบอาศัยเพศของพืชดอก และการ ดอก 3.2 การสบื พนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศ 1 เจรญิ เตบิ โต 14. อธิบายและ ของพืชดอกและการขยายพันธ์ุพชื เปรยี บเทียบ 3.3 การวดั การเจริญเติบโตของพืช 1 กระบวนการสรา้ ง เซลลส์ บื พนั ธเุ์ พศผู้ และเพศเมยี ของพชื ดอก และอธบิ ายการ ปฏิสนธขิ องพชื ดอก 15. อธบิ ายการเกิด เมล็ดและการเกิดผล ของพืชดอก โครง สร้างของเมลด็ และ ผล และยกตวั อยา่ ง การใช้ประโยชน์จาก โครงสร้างต่างๆ ของ เมล็ดและผล 16. ทดลอง อธิบาย และอภปิ รายเก่ียวกับ ปัจจยั ต่าง ๆ ทมี่ ีผล ต่อการงอกของเมลด็ สภาพพกั ตวั ของ เมลด็ และบอกแนว ทางในการแก้สภาพ พักตวั ของเมลด็ 11 กาควบคุม 17. สืบคน้ ข้อมูล 4.1สารควบคมุ การเจรญิ เติบโต 5 10 การเจริญ อธิบายบทบาทและ ของพชื หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 314
ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ เรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) เติบโตและ หนา้ ท่ขี องออกซิน ไซ 4.2 การตอบสนองของพืชต่อ 2 การตอบ โทไคนิน สง่ิ แวดลอ้ ม สนองของ จิบเบอเรลลิน พืช เอทลิ ีน และกรด แอบไซซกิ และ อภิปรายเกย่ี วกบั การ นาไปใชป้ ระโยชน์ ทางการเกษตร 18. สืบค้นข้อมูล ทดลอง และอภปิ ราย เกีย่ วกบั ส่งิ เร้าภาย นอกท่ีมผี ลตอ่ การ เจรญิ เติบโตของพืช รวมคะแนนระหว่างเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 60 100 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 315
คาอธบิ ายรายวชิ า รายวชิ า โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 3 รหสั วชิ า ว32263 จานวน 2 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ ระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 จานวน 1.0 หน่วยกิต จานวนเวลาเรียนทงั้ สิน้ 40 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศึกษาปัจจัยสาคัญที่มีผลต่อการรับและคายพลังงานจากดวงอาทิตย์ ปัจจัยสาคัญท่ีมีผลต่อ อุณหภูมิอากาศในแต่ละบริเวณของโลก กระบวนการที่ทาให้เกิดสมดุลพลังงาน แรงคอลิออลิส แรง สู่ศูนย์กลาง แรงเสียดทานที่มีผลต่อการหมุนเวียนของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขต ละติจูดและผลที่มีต่อภูมิอากาศ การแบ่งชั้นน้าในมหาสมุทร ปัจจัยท่ีทาให้เกิดการแบ่งชั้นนาใน มหาสมทุ ร การหมุนเวียนของนา้ ในมหาสมุทร รปู แบบการหมนุ เวียนของน้าในมหาสมุทร ผลของการ หมุนเวยี นของน้าในมหาสมทุ รทม่ี ีต่อส่งิ มีชวี ิตและสิง่ แวดล้อม โดยใช้การสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทักษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 การสืบคน้ ข้อมูลและการอภิปราย เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้ มีความสามารถในการ ตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีความใจกว้าง ความเช่ือม่ันต่อ หลกั ฐาน การใช้วิจารณญาณ การยอมรบั ความเห็นตา่ ง และความเหน็ คณุ ค่าทางวทิ ยาศาสตร์ ผลการเรยี นรู้ 1. อธิบายปจั จยั สาคญั ท่ีมีผลตอ่ การรับรแู้ ละคายพลังงานจากดวงอาทิตยแ์ ตกต่างกนั และผลท่ี ตอ่ อุณหภูมอิ ากาศในแตล่ ะบริเวณของโลก 2. อธิบายกระบวนการทที่ าให้เกิดสมดุลพลังงานของโลก 3. อธบิ ายผลของแรงเน่ืองจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ แรงสู่ศนู ย์กลาง และแรงเสยี ดทานท่มี ีต่อการหมุนเวียนของอากาศ 4. อธิบายการหมนุ เวยี นของอากาศตามเขตละติจูดและผลที่มีต่อภูมิอากาศ 5. อธิบายปจั จัยที่ทาใหเ้ กิดการแบง่ ช้ันนา้ ในมหาสมุทร 6. อธบิ ายปจั จยั ที่ทาให้เกิดการหมนุ เวียนของนา้ ในมหาสมุทรและรปู แบบการหมนุ เวยี นของน้าใน มหาสมุทร 7. อธบิ ายผลของการหมุนเวยี นของน้าในมหาสมุทรท่ีมตี ่อลักษณะลมฟ้าอากาศ สิ่งมีชวี ิต และ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งหมด 7 ผลการเรียนรู้ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 316
โครงสรา้ งรายวชิ า รายวชิ า โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 3 รหสั วชิ า ว32263 จานวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ ระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 จานวน 1.0 หน่วยกติ จานวนเวลาเรยี นทง้ั สิ้น 40 ชั่วโมง : ภาคเรียน สัดสว่ นคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก (ชว่ั โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตัวชี้วัด (100) 10 1-2 สมดุล 1. อธิบายปัจจัยสาคัญ - กระบวนการที่ทาใหเ้ กิดสมดลุ 10 15 พลงั งาน ที่มีผลต่อการรับร้แู ละ พลงั งานของโลก 10 ของโลก คายพลังงานจากดวง - ปจั จยั สาคัญทม่ี ีผลตอ่ การรับรังสี อาทิตย์แตกต่างกนั ดวงอาทติ ย์ของพ้ืนผิวโลก และผลท่มี ตี ่ออุณหภมู ิ อากาศในแต่ละ บรเิ วณของโลก 2. อธิบายกระบวน การท่ีทาให้เกดิ สมดุล พลงั งานของโลก 3-4 การ 3. อธิบายผลของแรง - การเคล่ือนท่ีและการหมุนเวียน หมนุ เวยี น เนื่องจากความแตก ของอากาศ ของอากาศ ตา่ งของความกด - การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก บนโลก อากาศ แรงคอรอิ อลิส ความสัมพนั ธก์ ารหมนุ เวียนอากาศ แรงสู่ศูนยก์ ลางและ กับภูมิอากาศ แรงเสยี ดทานท่ีมตี อ่ การหมุนเวยี นของ อากาศ 4. อธบิ ายการ หมุนเวยี นของอากาศ ตามเขตละติจูดและผล ที่มตี ่อภมู ิอากาศ 5-7 การ 5. อธิบายปจั จยั ท่ที า - อณุ หภูมิ ความเค็ม และการแบง่ 15 30 หลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 317
ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั (ช่วั โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตัวชี้วดั (100) หมุนเวียน ใหเ้ กดิ การแบง่ ชัน้ นา้ ช้ันน้าของมหาสมุทร ของนา้ ใน ในมหาสมุทร - การหมนุ เวียนของน้าใน มหาสมุทร 6. อธิบายปัจจยั ที่ทา มหาสมทุ รการหมนุ เวยี นของนา้ ใน ใหเ้ กิดการหมุนเวยี น มหาสมุทรกับลมฟ้าอากาศและ ของนา้ ในมหาสมุทร ภูมอิ ากาศ และรูปแบบการ หมุนเวยี นของน้าใน มหาสมุทร 7. อธิบายผลของการ หมนุ เวียนของนา้ ใน มหาสมุทรทมี่ ีตอ่ ลกั ษณะลมฟ้าอากาศ สิ่งมชี วี ิต และ สิง่ แวดล้อม รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 318
รายวิชา ฟิสิกส์ 4 คาอธิบายรายวชิ า จานวน 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว32204 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 จานวนเวลาเรยี นท้งั สิ้น 60 ชั่วโมง : ภาคเรียน ศึกษาธรรมชาติของเสียง สมบัติของคลื่นเสียง การอธิบายปรากฏการณที่เกี่ยวกับคลื่นเสียง การส่ันพองของเสียง บีตส ปรากฏการณดอปเพลอรและคลื่นกระแทก หูและการไดยิน ความเขม ของเสียงและมลพษิ ทางเสยี หลกั การของไฟฟาและแมเหลก็ ในเรื่อง กฎของคูลอมบ สนามไฟฟา ศักย ไฟฟา ความจุและตัวเก็บประจุ กฎของโอหม สภาพตานทานและสภาพนาไฟฟา การวิเคราะห์วงจร ไฟฟากระแสตรงอยางงายการหาพลงั งานไฟฟาทใ่ี ชในเครอ่ื งใชไฟฟา โดยใชก้ ารสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทกั ษะการเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 การสืบคน้ ขอ้ มลู และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสารส่ิงท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการ ตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านยิ มที่เหมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายการเกิดเสียง การเคล่ือนที่ของเสียง ความสัมพันธ์ระหว่างคล่ืน การกระจัดของ อนุภาคกบั คล่นื ความดัน ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วของเสียงในอากาศที่ขึ้นกับอุณหภูมิในหน่วย องศาเซลเซียส สมบัติของคล่ืนเสียง ได้แก่ การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด การเลี้ยวเบน รวมทง้ั คานวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง 2. อธิบายความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยิน คุณภาพเสียง และมลพิษ ทางเสียง รวมทงั้ คานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 3. ทดลอง และอธิบายการเกิดการสั่นพ้องของอากาศในท่อปลายเปิดหน่ึงด้าน รวมท้ัง สังเกต และอธิบายการเกิดบีต คล่ืนนิ่ง ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คล่ืนกระแทกของเสียง คานวณ ปริมาณตา่ ง ๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง และนาความรูเ้ รื่องเสยี งไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั 4. ทดลอง และอธิบายการทาวัตถุที่เป็นกลางทางไฟฟ้าให้มีประจุไฟฟ้าโดยการขัดสีกันและ การเหนี่ยวนาไฟฟ้าสถิต 5. อธบิ าย และคานวณแรงไฟฟ้าตามกฎของคลู อมบ์ 6. อธิบาย และคานวณสนามไฟฟ้าและแรงไฟฟ้าที่กระทากับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าท่ีอยู่ใน สนามไฟฟา้ รวมทัง้ หาสนามไฟฟา้ ลพั ธ์เนอ่ื งจากระบบจุดประจุโดยรวมกนั แบบเวกเตอร์ 7. อธิบาย และคานวณพลังงานศักย์ไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้าและความต่างศักย์ระหว่างสอง ตาแหน่งใด ๆ 8. อธิบายส่วนประกอบของตัวเก็บประจุความสัมพันธ์ระหว่างประจุไฟฟ้า ความต่างศักย์ และความจุของตัวเก็บประจุ และอธิบายพลังงานสะสมในตัวเก็บประจุ และความจุสมมูล รวมท้ัง คานวณปริมาณต่าง ๆ ท่เี ก่ียวข้อง หลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 319
9. นาความรู้เร่ืองไฟฟ้าสถิตไปอธิบายหลักการทางานของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าบางชนิด และ ปรากฏการณใ์ นชวี ิตประจาวัน 10. อธิบายการเคลื่อนท่ีของอิเล็กตรอนอิสระและกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนา ความสัมพันธ์ ระหว่างกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนากับความเร็วลอยเลื่อนของอิเล็กตรอนอิสระ ความหนาแน่นของ อเิ ลก็ ตรอนในลวดตัวนาและพื้นทหี่ นา้ ตัดของลวดตวั นา และคานวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง 11. ทดลอง และอธิบายกฎของโอห์ม อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทานกับความ ยาว พ้ืนท่ีหน้าตัด และสภาพต้านทานของตัวนาโลหะท่ีอุณหภูมิคงตัว และคานวณปริมาณต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง รวมท้ังอธิบายและคานวณความต้านทานสมมูล เมื่อนาตัวต้านทานมาต่อกันแบบอนุกรม และแบบขนาน 12. ทดลอง อธิบาย และคานวณอีเอ็มเอฟของแหล่งกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง รวมทั้งอธิบาย และคานวณพลังงานไฟฟ้า และกาลงั ไฟฟ้า 13. ทดลอง และคานวณอีเอ็มเอฟสมมูลจากการต่อแบตเตอรี่แบบอนุกรมและแบบขนาน รวมท้ังคานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงซ่ึงประกอบด้วยแบตเตอรี่และตัว ตา้ นทาน 14. อธบิ ายการเปลี่ยนพลงั งานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟา้ รวมท้งั สบื คน้ และอภิปราย เกย่ี วกับเทคโนโลยี ท่นี ามาแก้ปัญหาหรอื ตอบสนองความต้องการทางดา้ นพลังงานไฟฟ้า โดยเน้น ด้านประสทิ ธภิ าพและความคุ้มคา่ ดา้ นคา่ ใชจ้ ่าย รวมท้ังหมด 14 ผลการเรียนรู้ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 320
โครงสร้างรายวิชา รายวิชา ฟิสกิ ส์ 4 รหสั วชิ า ว32204 จานวน 3 ชัว่ โมง/สัปดาห์ ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 จานวน 1.5 หน่วยกติ จานวนเวลาเรยี นทง้ั ส้ิน 60 ช่วั โมง : ภาคเรยี น สดั ส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด (ช่วั โมง) คะแนน (100) 12 เสยี ง 1. อธิบายการเกดิ เสียงเป็นคล่ืนกลและคลืน่ 20 30 เสยี ง การเคลือ่ นที่ของ ตามยาว เกิดจากการถ่ายโอน เสียง ความสมั พันธ์ พลงั งานจากการสนั่ ของ ระหวา่ งคลน่ื การ แหล่งกาเนิดเสียงผา่ นอนภุ าค กระจัดของอนภุ าคกับ ตวั กลางทาให้อนภุ าคของตวั กลาง คล่นื ความดนั ความ สั่น อัตราเรว็ เสียงในอากาศขึ้นกับ สัมพันธ์ระหวา่ ง อณุ หภมู ิของอากาศ เสียงมีสมบตั ิ อตั ราเร็วของเสียงใน การสะท้อน การหักเห การ อากาศทขี่ ึ้นกบั แทรกสอดและการเลี้ยวเบน อุณหภมู ิในหน่วยองศา กาลงั เสยี งเปน็ อัตราการถา่ ยโอน เซลเซียส สมบัตขิ อง พลังงานเสยี งจากแหลง่ กาเนิด คลน่ื เสียง ไดแ้ ก่ การ เสยี ง กาลงั เสยี งต่อหน่งึ หนว่ ยพื้นที่ สะท้อน การหักเห ของหน้าคลน่ื ทรงกลมเรยี กว่า การแทรกสอด การ ความเข้มเสียงระดับเสียงเป็น เลยี้ วเบน รวมท้งั ปริมาณทีบ่ อกความดังของเสยี ง คานวณปริมาณต่าง ๆ โดยหาได้จากลอการิทึมของ ท่ีเกีย่ วข้อง อตั ราสว่ นระหวา่ งความเข้มเสียง 2. อธิบายความเข้ม กบั ความเขม้ เสียงอา้ งอิงที่มนุษย์ เสียง ระดบั เสยี ง เรมิ่ ไดย้ ิน ระดบั สูงตา่ ของเสียง องค์ประกอบของการ ขึ้นกับความถข่ี องเสียงเสียงท่ีได้ยนิ ได้ยนิ คณุ ภาพเสยี ง มลี กั ษณะเฉพาะตวั แตกตา่ งกัน และมลพิษทางเสยี ง เน่อื งจากมีคุณภาพเสยี งแตกตา่ ง รวมทงั้ คานวณ กนั เสียงทมี่ ีระดับเสียงสูงมากหรอื ปริมาณต่าง ๆ ที่ เสียงบางประเภททมี่ ีผลตอ่ สภาพ เกีย่ วข้อง จติ ใจของผู้ฟงั จัดเปน็ มลพิษ ทาง 3. ทดลองและอธิบาย เสียง ถา้ อากาศในท่อถูกกระตุน้ การเกิดการสนั่ พ้อง ดว้ ยคล่นื เสยี งทม่ี ีความถ่เี ท่ากับ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 321
ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ ตัวชีว้ ัด (ช่วั โมง) คะแนน (100) ของอากาศในท่อ ความถี่ธรรมชาตขิ องอากาศในทอ่ 25 ปลายเปิดหนง่ึ ด้าน นน้ั จะเกดิ การส่นั พ้องของเสียง รวมทัง้ สงั เกต และ โดยความถใ่ี นการเกดิ การสน่ั พอ้ ง อธบิ ายการเกิดบตี ของทอ่ ปลายเปิดหนึ่งด้าน ถา้ เสยี ง คลืน่ น่ิง ปรากฏการณ์ จากแหลง่ กาเนิดเสยี งสองแหลง่ ท่ี ดอปเพลอร์ คล่นื มีความถ่ตี ่างกันไมม่ ากมาพบกนั กระแทกของเสยี ง จะเกดิ บตี ทาใหไ้ ด้ยนิ เสียงดงั คานวณปรมิ าณต่าง ๆ คอ่ ย เปน็ จังหวะ คลน่ื เสยี งสอง ท่เี กยี่ วข้อง และนา ขบวนทม่ี คี วามถ่ีเท่ากนั มาแทรก ความร้เู รอ่ื งเสียงไปใช้ สอดกัน จะทาใหเ้ กิดคล่นื น่งิ เมอ่ื ในชวี ติ ประจาวนั แหล่งกาเนิดเสียงเคล่อื นท่ีโดยผู้ฟัง 4. ท ด ล อ ง แ ล ะ อยู่นงิ่ ผู้ฟงั เคลอื่ นท่โี ดย อธิบายการทาวัตถุท่ี แหล่งกาเนดิ เสยี งอย่นู ิง่ หรือทง้ั เป็นกลางทางไฟฟ้าให้ แหล่งกาเนิดและผูฟ้ งั เคล่อื นท่ีเข้า มีประจุไฟฟ้าโดยการ หรือออกจากกันผู้ฟังจะไดย้ ินเสียง ขั ด สี กั น แ ล ะ ก า ร ทมี่ ีความถเี่ ปลีย่ นไป เรยี กวา่ เหนีย่ วนาไฟฟา้ สถติ ปรากฏการณด์ อปเพลอร์ ถ้า แหลง่ กาเนิดเสียงเคลอื่ นท่ีดว้ ย อตั ราเรว็ มากกวา่ อตั ราเรว็ เสียงใน ตวั กลางเดยี วกัน จะเกิดคล่ืน กระแทก 13 ไฟฟ้าสถิต 4. ทดลองและอธบิ าย การนาวัตถุที่เป็นกลางทางไฟฟ้า 20 การทาวตั ถุทเ่ี ป็นกลาง มาขัดสีกันจะทาให้วัตถุไม่เป็น ทางไฟฟ้าใหม้ ีประจุ กลางทางไฟฟ้า เน่ืองจาก ไฟฟ้าโดยการขัดสีกัน อิเล็กตรอนถูกถ่ายโอนจากวัตถุ และการเหนย่ี วนา หนึ่งไปอีกวัตถุหน่ึงโดยการถ่าย ไฟฟา้ สถิต โอนประจุเป็นไปตาม กฎการ 5. อธบิ าย และ อนุรักษ์ประจุไฟฟ้า เมื่อนาวัตถุท่ี คานวณแรงไฟฟา้ ตาม มีประจุไฟฟ้าไปใกล้ตัวนาไฟฟ้าจะ กฎของคลู อมบ์ ทาให้เกิดประจุชนิดตรงข้ามบน 6. อธิบาย และ ตัวนาทางด้านท่ีใกล้วัตถุและประจุ คานวณสนามไฟฟา้ ชนิดเดียวกันด้านท่ีไกลวัตถุเรียก และแรงไฟฟ้ากระทา วิธีการนี้ว่า การเหนี่ยวนาไฟฟ้า หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 322
ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตัวช้ีวดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) กับอนุภาคท่มี ปี ระจุ สถิต ซ่ึงสามารถใช้วิธีการนี้ในการ ไฟฟา้ ท่ีอยู่ในสนาม ทาให้วัตถุมีประจุได้ จุดประจุ ไฟฟ้า รวมทงั้ หา ไฟฟ้ามีแรงกระทาซ่ึงกันและกัน สนามไฟฟ้าลัพธ์ โดยมีทิศอยใู่ นแนวเส้นตรงระหว่าง เนอ่ื งจากระบบจุด จุดประจุทั้งสองและมีขนาดของ ประจุโดยรวมกันแบบ แรงระหว่างจุดประจุแปรผันตรง เวกเตอร์ กับผลคูณของขนาดของประจุทั้ง 7. อธิบายและคานวณ สองและแปรผกผันกับกาลังสอง พลังงานศักยไ์ ฟฟ้า ของระยะห่างระหว่างจุดประจุ ซึ่ง ศกั ยไ์ ฟฟา้ และความ เ ป็ น ไ ป ต า ม ก ฎ ข อ ง คู ล อ ม บ์ ตา่ งศักย์ระหว่างสอง สนามไฟฟ้าลัพธ์เนื่องจากจุดประจุ ตาแหน่งใด ๆ หลายจุดประจุเท่ากับผลรวมแบบ 8. อธบิ ายสว่ น เวกเตอร์ของสนามไฟฟ้าเน่ืองจาก ประกอบของตวั เกบ็ จุดประจุแต่ละจุดประจุ ตัวนา ประจุความสมั พนั ธ์ ท ร ง ก ล ม ท่ี มี ป ร ะ จุ ไ ฟ ฟ้ า มี ระหวา่ งประจุไฟฟา้ สนามไฟฟ้าภายในตัวนาเป็นศูนย์ ความต่างศักย์ และ และสนามไฟฟ้าบนตัวนามีทิศทาง ความจุของตวั เกบ็ ตั้งฉากกับผิวตัวนานั้น โดย ประจุ และอธิบาย สนามไฟฟ้าเนื่องจากประจุบน พลังงานสะสมในตวั ตัวนาทรงกลมท่ีตาแหน่งห่างจาก เกบ็ ประจุ และความจุ ผิว ออกไปหาได้เช่นเดียว กั บ สมมลู รวมทั้งคานวณ สนามไฟฟ้า เนื่องจากจุดประจุที่มี ปริมาณต่าง ๆ ที่ จา น ว นป ร ะ จุ เท่ า กั นแ ต่ อ ยู่ ท่ี เก่ยี วข้อง ศู น ย์ ก ล า ง ข อ ง ท ร ง ก ล ม 9. นาความรเู้ รอื่ ง สนามไฟฟ้าของแผ่นโลหะคู่ขนาน ไฟฟา้ สถิตไปอธบิ าย เ ป็ น ส น า ม ไ ฟ ฟ้ า ส ม่ า เ ส ม อ หลกั การทางานของ พลังงานศักย์ไฟฟ้าท่ีตาแหน่งใด ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าบาง ต่อหน่ึงหน่วยประจุ เรียกว่า ชนดิ และปรากฏการณ์ ศักย์ไฟฟ้าท่ีตาแหน่งน้ัน โดย ในชวี ิตประจาวนั ศกั ย์ไฟฟา้ ทต่ี าแหน่งซ่ึงอยู่ห่างจาก จุดประจุแปรผันตรงกับขนาดของ ประจุ และแปรผกผันกับระยะทาง จา ก จุ ด ป ระ จุ ถึ ง ต าแ ห น่ ง น้ั น หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 323
ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) ศักย์ไฟฟ้ารวมเนื่องจากจุดประจุ 25 หลายจุดประจุคือ ผลรวมของ ศักย์ไฟฟ้าเนื่องจากจุดประจุแต่ละ จุดประจุ ความต่างศักย์ระหว่าง สองตาแหน่งใด ๆ ในบริเวณที่มี สนามไฟฟ้าคือ งานในการเคล่ือน ประจุบวกหนึ่งหน่วยจากตาแหน่ง หนึง่ ไปอกี ตาแหนง่ หน่ึง ความต่าง ศักย์ระหว่างสองตาแหน่งใด ๆ ใน สนามไฟฟ้าสม่าเสมอข้ึนกับขนาด ข อ ง ส น า ม ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ ร ะ ย ะ ท า ง ระหว่างสองตาแหน่งนั้น ใน แนวขนานกับสนามไฟฟ้า ตัวเก็บ ประจปุ ระกอบดว้ ยตวั นาไฟฟ้าสอง ชิ้นที่คั่นด้วยฉนวน โดยปริมาณ ประจุที่เก็บได้ขึ้นอยู่กับความต่าง ศกั ยค์ รอ่ มตัวเก็บประจุและความจุ ของตัวเก็บประจุ ตัวเก็บประจุจะ มี พ ลั ง ง า น ส ะ ส ม ซึ่ ง มี ค่ า ข้ึ น กั บ ความตา่ งศกั ยแ์ ละปรมิ าณประจุ 14 ไฟฟ้า 10. อธิบายการ เม่ือต่อลวดตวั นากับแหลง่ กาเนดิ 20 กระแส เคลื่อนท่ีของ ไฟฟา้ อิเล็กตรอนอิสระที่อยู่ในลวด อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระและ ตัวนาจะเคลือ่ นทใี่ นทิศตรงข้ามกับ กระแสไฟฟา้ ในลวด สนามไฟฟา้ ทาใหเ้ กดิ กระแสไฟฟา้ ตวั นา ความสมั พันธ์ ซงึ่ ทิศของกระแสไฟฟ้ามีทศิ ทาง ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ เดยี วกบั สนามไฟฟ้า หรอื มีทิศทาง ในลวดตัวนากับความ จากจดุ ทม่ี ีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจุดทมี่ ี เร็วลอยเลอ่ื นของ ศักยไ์ ฟฟ้าตา่ กวา่ กระแสไฟฟา้ ใน อิเล็กตรอนอสิ ระ ตัวนาไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กับ ความหนาแน่นของ ความเร็วลอยเลอ่ื นของ อเิ ลก็ ตรอนในลวด อิเลก็ ตรอนอสิ ระความหนาแนน่ ตวั นาและพ้ืนที่หน้า ของอิเล็กตรอนอสิ ระในตวั นาและ ตดั ของลวดตวั นา และ พื้นทห่ี น้าตัดของตวั นาเมือ่ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 324
ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ ตวั ชว้ี ดั (ชัว่ โมง) คะแนน (100) คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ อณุ หภมู คิ งตวั กระแสไฟฟา้ ใน ทีเ่ กีย่ วข้อง ตวั นาโลหะความตา่ งศักย์ทปี่ ลาย 11. ทดลอง และ ทง้ั สองและความตา้ นทานของ อธิบายกฎของโอหม์ ตัวนาน้นั มคี วามสัมพันธ์กันตามกฎ อธบิ ายความสัมพันธ์ ของโอห์ม ความต้านทานของวัตถุ ระหว่างความตา้ นทาน เมอื่ อณุ หภมู ิคงตวั ข้ึนอยู่กับชนดิ กบั ความยาว และรปู รา่ งของวัตถุ การต่อตัว พืน้ ทหี่ น้าตัด และ ต้านทานแบบอนกุ รม และขนาน สภาพตา้ นทานของ แหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง เชน่ ตวั นาโลหะที่อุณหภูมิ แบตเตอรเ่ี ป็นอปุ กรณ์ท่ีให้พลังงาน คงตัว และคานวณ ไฟฟา้ แก่วงจรพลังงานไฟฟา้ ท่ี ปริมาณตา่ ง ๆ ที่ ประจไุ ฟฟ้าไดร้ บั ต่อหน่ึงหน่วย เก่ียวขอ้ ง รวมทั้ง ประจุไฟฟ้าเม่ือเคล่อื นทีผ่ า่ น อธิบายและคานวณ แหลง่ กาเนิดไฟฟา้ เรียกว่า ความต้านทานสมมูล อเี อ็มเอฟ พลงั งานไฟฟ้าทถี่ ูกใชไ้ ป เม่ือนาตวั ตา้ นทานมา ในเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าในหนง่ึ หนว่ ย ต่อกันแบบอนุกรม เวลา เรียกว่า กาลงั ไฟฟา้ ซ่งึ มคี า่ และแบบขนาน ขึ้นกับความต่างศักย์และ 12. ทดลอง อธิบาย กระแสไฟฟ้า การต่อแบตเตอร่ี และคานวณอีเอ็มเอฟ แบบอนุกรม และขนาน ของแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสตรง รวมทั้ง อธิบายและคานวณ พลังงานไฟฟา้ และ กาลังไฟฟา้ 13. ทดลอง และ คานวณอีเอม็ เอฟ สมมูลจากการต่อ แบตเตอร่แี บบอนุกรม และแบบขนานรวมทั้ง คานวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้องใน วงจรไฟฟ้ากระแสตรง หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 325
ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั (ชั่วโมง) คะแนน (100) ซ่ึงประกอบดว้ ย แบตเตอรแ่ี ละตัว ตา้ นทาน 14. อธิบายการเปลยี่ น พลงั งานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟา้ รวมทง้ั สืบค้นและอภิปราย เก่ียวกับเทคโนโลยี ท่ี นามาแกป้ ัญหาหรือ ตอบสนองความต้อง การทางด้านพลังงาน ไฟฟ้า โดยเนน้ ด้าน ประสิทธภิ าพและ ความคมุ้ คา่ ดา้ น คา่ ใชจ้ า่ ย รวมคะแนนระหวา่ งเรยี น - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 60 100 หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 326
รายวิชา เคมี 4 คาอธิบายรายวชิ า จานวน 3 ช่ัวโมง/สัปดาห์ รหัสวชิ า ว32224 จานวน 1.5 หน่วยกิต ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 จานวนเวลาเรยี นท้งั สนิ้ 60 ช่วั โมง : ภาคเรียน ศกึ ษาทฤษฎีกรด–เบสของอาร์เรเนียส เบรินสเตด–ลาวรีและ ลิวอิส คานวณความสามารถ ในการแตกตัวหรือความแรงของกรดและเบส ค่า pH ความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนหรือไฮดร อกไซด์ไอออนของสารละลายกรดและเบส ศึกษาปฏิกิริยาสะเทินและปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสของเกลือ การไทเทรตและการเลือกใช้อินดิเคเตอร์ คานวณปริมาณสารหรือความเข้มข้นของสารละลายกรด หรือเบสจากการไทเทรต ศึกษาสมบัติและองค์ประกอบของสารละลายบัฟเฟอร์ รวมท้ังนาความรู้ สืบคน้ ขอ้ มูลและนาเสนอตัวอยา่ งการใช้ประโยชน์และการแก้ปัญหาโดย ใช้ความรู้เกี่ยวกับกรด–เบส คานวณเลขออกซิเดชันและระบุปฏิกิริยาท่ีเป็นปฏิกิริยารีดอกซ์ วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเลข ออกซเิ ดชันและระบตุ ัวรีดวิ ซ์และตัวออกซิไดส์รวมท้ังเขียนครึ่งปฏิกิริยาออกซิเดชันและคร่ึงปฏิกิริยา รีดักชนั ของปฏิกิริยารีดอกซ์ ทดลองและเปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิ ไดส์ และเขียนแสดงปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ ดลุ สมการรดี อกซด์ ว้ ยการใช้เลขออกซิเดชันและวิธีคร่ึงปฏิกิริยา ระบุองค์ประกอบของเซลล์เคมีไฟฟา้ และเขยี นสมการเคมีของปฏิกิริยาท่ีแอโนดและแคโทด ปฏิกิริยา รวมและ แผนภาพเซลล์ คานวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์และระบุประเภทของเซลล์ เคมไี ฟฟา้ ข้วั ไฟฟา้ และ ปฏิกิริยาเคมที ี่เกิดขึ้น อธบิ ายหลกั การทางานและเขียนสมการแสดงปฏิกิริยา ของเซลล์ปฐมภูมิและเซลล์ทุติยภูมิ ทดลองชุบโลหะและแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้าและอธิบาย หลักการทางเคมีไฟฟ้าท่ีใช้ในการชุบโลหะ การแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้าการทาโลหะให้บริสุทธิ์ และการป้องกันการกัดกร่อนของโลหะ สืบค้นข้อมูล และนาเสนอตัวอย่างความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีทเี่ กี่ยวขอ้ งกับเซลล์เคมีไฟฟา้ ในชวี ิตประจาวัน โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการสืบเสาะหา ความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสบื คน้ ข้อมลู และการอภปิ ราย เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิด สามารถสื่อสาร สิ่งท่ีเรียนรู้มีความสามารถในการ ตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันมีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และคา่ นยิ มท่เี หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. อธิบาย และระบุว่าสารเป็นกรดหรือเบสโดยใช้ทฤษฎีกรด-เบสของ อาร์เรเนียส เบรนิ สเตด-ลาวรี หรอื ลวิ อิส 2. ระบุคกู่ รด-เบสของสารตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรินสเตด-ลาวรี 3. คานวณและเปรียบเทียบความสามารถในการแตกตัวหรอื ความแรงของกรด และเบส 4. คานวณค่า pH ความเข้มข้นของไฮโดรเนียมไอออนหรือไฮดรอกไซค์ไอออนของ สารละลายกรด และเบส 5. เขียนสมการเคมีแสดงปฏิกิรยิ าสะเทิน และระบุความเปน็ กรด-เบสของสารละลาย หลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 327
6. เขียนปฏิกริ ิยาไฮโดรลซิ สิ ของเกลือ และระบุความเป็นกรด-เบสของสารละลายเกลือ 7. ทดลอง และอธิบายหลักการการไทเทรตและเลือกใช้อินดิเคตอร์ที่เหมาะสมสาหรับการ ไทเทรต กรด-เบส 8. คานวณปรมิ าณสารหรือความเข้มข้นของสารละลายกรดหรือเบสจากการไทเทรต 9. อธบิ ายสมบตั ิองค์ประกอบและประโยชนข์ องสารละลายบัฟเฟอร์ 10. สืบค้นข้อมูล และนาเสนอตัวอย่างการใช้ประโยชน์และการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ เกยี่ วกับกรด-เบส 11. คานวณเลขออกซิเดชนั และระบปุ ฏกิ ริ ยิ าท่ีเป็นปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ 12. วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงเลขออกซิเดชันและระบุตัวรีดิวซ์และตัวออกซิไดซ์ รวมทั้ง เขียนครึง่ ปฏิกิริยาออกซเิ ดชนั และครงึ่ ปฏกิ ิริยารีดักชันของปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์ 13. ทดลอง และเปรียบเทียบความสามารถในการเป็นตัวรีดิวซ์หรือตัวออกซิไดซ์และเขียน แสดงปฏกิ ริ ิยารดี อกซ์ 14. ดลุ สมการรดี อกซด์ ้วยการใช้เลขออกซเิ ดชนั และวิธีครึ่งปฏิกิริยา 15. ระบุองค์ประกอบของเซลล์ไฟฟ้าเคมีและเขียนสมการเคมีของปฏิกิริยาที่แอโนดและ แคโทด ปฏิกริ ยิ ารวมและแผนภาพเซลล์ 16. คานวณค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของเซลล์และระบุประเภทของเซลล์เคมีไฟฟ้า ข้ัวไฟฟ้า และปฏกิ ริ ยิ าเคมที ี่เกิดขน้ึ 17. อธิบายหลักการทางาน และเขยี นสมการแสดงปฏกิ ริ ยิ าของเซลลป์ ฐมภูมิและเซลล์ทุตยิ ภมู ิ 18. ทดลองชบุ โลหะและแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้า และอธิบายหลักการทางเคมีไฟฟ้าที่ ใช้ในการชุบโลหะ การแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟ้า การทาโลหะให้บริสุทธิ์ และการป้องกันการกัด กรอ่ นของโลหะ 19. สบื ค้นข้อมลู และนาเสนอตัวอยา่ งความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เซลล์ เคมไี ฟฟา้ ในชวี ติ ประจาวนั รวมท้ังหมด 19 ผลการเรียนรู้ หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 328
โครงสรา้ งรายวิชา รายวชิ า เคมี 4 รหสั วชิ า ว32224 จานวน 3 ช่ัวโมง/สัปดาห์ ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 จานวน 1.5 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรยี นทง้ั สิน้ 60 ช่วั โมง : ภาคเรยี น สัดส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชื่อหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก เรียนรู้ เรยี นร้/ู ตวั ช้ีวัด (ชั่วโมง) คะแนน (100) 1 กรด-เบส 1.ระบุ และอธบิ าย สารละลายอิเล็กโทรไลต์ คือ 30 30 ว่าสารเปน็ กรด สารละลายที่นาไฟฟ้า เพราะมีตวั หรือเบสโดยใช้ ละลาย เป็นสารอเิ ล็กโทรไลต์ ทฤษฎกี รด–เบส (electrolyte) ซงึ่ สามารถแตกตวั ของอาร์เรเนยี ส เปน็ ไอออนในสารละลายได้ เบรินสเตด–ลาวรี สารละลายนอนอิเลก็ โทรไลต์ คือ และลวิ อสิ สารละลายท่ีไม่นาไฟฟ้า เพราะมี 2.ระบคุ ูก่ รด-เบส ตัวละลายเปน็ สารนอนอิเล็กโทร ของสารตามทฤษฎี ไลต์ (non-electrolyte) ซึง่ ไม่ กรด-เบสของ สามารถแตกตวั เปน็ ไอออนใน เบรนิ สเตด-ลาวรี สารละลายได้ 3.คานวณ และปรียบ สารละลายกรดทกุ ชนดิ มี เทียบความสามารถ ไอออนท่เี หมือนกนั คือ H3O+ ซง่ึ ในการแตกตัวหรือ เปน็ ไอออนทแ่ี สดงสมบัติของกรด ความแรงของกรด ทาให้สารละลายกรดเปล่ยี นสี และเบส กระดาษลติ มสั จากสนี ้าเงินเป็นสี 4.คานวณค่า pH แดง สารละลายเบสทกุ ชนดิ มี ความเข้มข้นของ ไอออนทีเ่ หมือนกนั คือ OH- ซง่ึ ไฮโดรเนียม เป็นไอออนที่แสดงสมบัติของเบส ไอออนหรือไฮ ทาใหส้ ารละลายกรดเปลย่ี นสี ดรอกไซด์ไอออน กระดาษลติ มสั จากสีแดงเปน็ สีนา้ ของสารละลาย เงนิ ทฤษฎกี รด-เบสของอาร์เร กรดและเบส เนียส กลา่ วว่า กรด คือ สารที่ 5. เขียนสมการเคมี ละลายนา้ แลว้ แตกตัวให้ แสดงปฏิกริ ยิ า ไฮโดรเจนไอออน ส่วนเบส คือ สะเทนิ และระบุ สารทล่ี ะลายนา้ แลว้ แตกตวั ให้ ความเปน็ กรด-เบส ไฮดรอกไซด์ไอออน หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 329
ท่ี ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั เรยี นรู้ เรยี นรู้/ตวั ช้วี ัด (ช่ัวโมง) คะแนน (100) ของสารละลาย ทฤษฎีกรด-เบสของเบรนิ สเตด- หลงั การสะเทนิ ลาวรี กลา่ วว่า กรด คอื สารท่ีให้ 6.เขียนปฏกิ ิริยา โปรตอนแก่สารอ่นื ส่วนเบส คอื ไฮโดรลซิ ิสของ สารท่รี บั โปรตอนจากสารอ่ืน เกลอื และระบุ สารท่ีเป็นคกู่ รด-เบสกันจะมี ความเป็นกรด- จานวนโปรตอนต่างกัน 1 เบสของสารละลาย โปรตอน สารบางชนดิ สามารถทา เกลือ หน้าทีเ่ ป็นได้ทง้ั กรดและเบส เช่น 7.ทดลอง และ น้า เรียกสารประเภทนีว้ ่า แอมโฟ อธิบายหลักการ เทอริก หรือแอมฟิโพรติกทฤษฎี การไทเทรตและ กรด-เบสของลวิ อิส กล่าววา่ กรด เลือกใช้อินดิเค คือ สารท่ีรบั คู่อเิ ล็กตรอนจากสาร เตอร์ที่เหมาะสม อน่ื สว่ นเบส คอื สารทใี่ หค้ ู่ สาหรับการ อเิ ลก็ ตรอนแก่สารอืน่ กรดแก่และ ไทเทรตกรด-เบส เบสแก่เป็นอิเล็กโทรไลตแ์ ก่ ซึ่ง 8. คานวณปริมาณ แตกตัวเปน็ ไอออนไดด้ มี าก หรือ สารหรือความ แตกตวั ไดห้ มดกรดอ่อนแตกตัว เข้มข้นของ เปน็ ไอออนได้น้อย การแตกตัว สารละลายกรด ของกรดอ่อนเปน็ การ หรือเบสจากการ เปลี่ยนแปลงทผ่ี นั กลับได้ใน ไทเทรต สารละลายจึงมที ้งั โมเลกุลของ 9.อธบิ ายสมบตั ิ กรดอ่อนและไอออนที่เกิดจาก องค์ประกอบ และ การแตกตวั เบสออ่ นแตกตวั เปน็ ประโยชนข์ อง ไอออนได้น้อย การแตกตวั ของ สารละลาย กรดเบสเป็นการเปลีย่ นแปลงที่ บฟั เฟอร์ ผนั กลบั ได้ ในสารละลายจึงมีท้ัง 10.สืบค้นข้อมูล โมเลกุลของเบสออ่ นแลไอออนที่ และนาเสนอ เกดิ จากการแตกตวั นา้ บรสิ ทุ ธิ์ท่ี ตัวอย่างการใช้ อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซยี ส แตก ประโยชน์ และ ตวั ใหไ้ ฮโดรเนียมไอออน และไฮ การแก้ปัญหาโดย ดรอกไซด์ไอออนท่ีมีความเขม้ ข้น เทา่ กนั คือ 1.0 x 10 -7 โมลตอ่ ใช้ความรู้ เกี่ยวกับกรด– ลิตร โดยมีคา่ คงท่ีการแตกตวั ของ หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 330
ท่ี ชื่อหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก เรียนรู้ เรยี นรู/้ ตวั ชวี้ ัด (ชว่ั โมง) คะแนน น้า เท่ากบั 1.0 x 10 -14 pH เป็น (100) เบส ค่าที่ใชบ้ อกความเข้มข้นของ กHา3Oหน+ ดในใหส้าpรHละ=ลา-lยogโด[ยH3O+] สารละลายทมี่ ีสมบตั เิ ปน็ กรดจะมี pH < 7 สารละลายท่ีมีสมบัติเปน็ กลางจะมี pH = 7 สว่ นสารละลายที่มสี มบตั ิเปน็ เปน็ จะมี pH > 7ผลคณู ของ [H3O+] กบั [OH-] มคี ่าเท่ากบั 1.0 × 10- 14 ซึ่งเป็นคา่ คงท่ี ที่อุณหภมู ิ 25 องศาเซลเซยี ส ดังนน้ั สารละลาย ทีม่ ี [H3O+] มาก จะมี [OH-] น้อย ส่วนสารละลายท่มี ี H3O+] น้อย จะมี [OH-] มาก จดุ สมมลู คอื จุด ท่สี ารละลายกรดและเบสทา ปฏกิ ิรยิ าพอดีกัน จดุ สมมลู จะมคี ่า ใกลเ้ คียงจุดยุติเมอ่ื เลือกใช้อินดเิ ค เตอรท์ เี่ หมาะสมในการไทเทรต การไทเทรตระหวา่ งกรดแกก่ ับเบส แก่ ทจี่ ดุ สมมูล pH ของ สารละลายมคี ่าประมาณ 7 ความ ชันของกราฟมีคา่ pH 3-11 เลอื กใชอ้ นิ ดเิ คเตอรท์ ่ีเปลี่ยนสี ในช่วงนี้ไดห้ ลายชนดิ คอื เมทิลออ เรนจเ์ มทิลเรด โบรไทมอลบลู และฟินอล์ฟทาลนี การไทเทรตระหวา่ งกรดอ่อนกับ เบสแก่ ที่จดุ สมมูล pH ของ สารละลายมีคา่ มากกว่า 7 ความ ชันของกราฟมีค่า pH 7-11 เลือกใช้อินดเิ คเตอรท์ ี่เปล่ียนสี ในช่วงนไ้ี ด้ คอื ฟนิ อล์ฟทาลนี หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 331
ท่ี ช่ือหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก เรียนรู้ เรยี นรู้/ตัวชว้ี ดั (ชว่ั โมง) คะแนน การไทเทรตระหวา่ งกรดแก่กับเบส (100) ออ่ น ทจ่ี ุดสมมูล pH ของ สารละลายมีค่าน้อยกวา่ 7 ความ ชนั ของกราฟมีคา่ pH 3-7 เลอื กใช้ อนิ ดิเคเตอร์ที่เปล่ยี นสใี นชว่ งน้ไี ด้ คือ เมทิลออเรนจ์ เมทิลเรด สารละลายบัฟเฟอร์ เป็น สารละลายท่มี สี มบัติในการ ควบคมุ pH ของสารละลายให้ คงที่ เม่ือมีการเติมกรดแก่หรือเบส แก่ลงไปเล็กน้อย ประกอบด้วย กรดอ่อนกบั เกลอื ของกรดอ่อน หรอื เบสอ่อนกบั เกลือของเบสออ่ น สารละลายที่มีกรดอ่อนกับเกลอื ของกรดอ่อนชนิดนนั้ หรอื กรด ออ่ นกับคู่เบสของกรดอ่อน เรียกวา่ บัฟเฟอรก์ รด เมือ่ เติม H+ จากกรดแก่ลงไป คเู่ บสจะทา ปฏิกริ ยิ ากับ H+ ทเี่ ตมิ ลงไป ทาให้ pH ลดลงไม่เกนิ 0.01 ซ่ึงถือว่า คงที่ เม่ือเตมิ OH- จากเบสแก่ลง ไป กรดอ่อนจะทาปฏิกริ ิยากับ OH- ทีเ่ ติมลงไป ทาให้ pH เพิ่มขึ้นไมเ่ กนิ 0.01 ซึง่ ถือวา่ คงท่ี สารละลายทีม่ ีเบสอ่อนกับเกลือ ของเบสอ่อนชนดิ น้นั หรอื เบส อ่อนกบั คู่กรดของเบสอ่อน เรยี กวา่ บฟั เฟอร์เบส เมอ่ื เตมิ H+ จากกรดแกล่ งไป เบสอ่อนจะทา ปฏิกริ ยิ ากับ H+ ทีเ่ ตมิ ลงไป ทาให้ pH ลดลงไมเ่ กิน 0.01 ซึ่งถือว่า คงท่ี เม่อื เติม OH- จากเบสแกล่ ง ไป คู่กรดจะทาปฏิกิรยิ ากับ OH- หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 332
ท่ี ชือ่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั เรียนรู้ เรียนร้/ู ตวั ชว้ี ดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) ที่เตมิ ลงไป ทาให้ pH เพ่มิ ขึ้นไม่ เกนิ 0.01 ซ่งึ ถือว่าคงที่ 2 เคมีไฟฟา้ 11.คานวณเลข การดลุ สมการรีดอกซ์ มี 2 วธิ ี คือ 30 20 ออกซิเดชัน และระบุ การดุลสมการรดี อกซ์โดยใชเ้ ลข ปฏิกิริยาที่เป็น ออกซเิ ดชันท่ีเปลี่ยนแปลง และ ปฏิกิริยารีดอกซ์ การดลุ สมการรดี อกซ์โดยใชค้ ร่งึ 12.วเิ คราะหก์ าร ปฏิกิริยา เปลีย่ นแปลงเลข เซลล์กัลวานกิ หรือเซลล์โวลตาอกิ ออกซเิ ดชนั และระบุ เป็นเซลล์ไฟฟา้ เคมที ่ีเปลย่ี น ตัวรดี ิวซแ์ ละตัวออกซิ พลังงานเคมีเปน็ พลงั งานไฟฟ้า ไดส์ รวมทั้งเขียนคร่ึง เกิดจากสารเคมีทาปฏิกริ ยิ ากันใน ปฏิกิรยิ าออกซิเดชัน เซลล์ แลว้ เกดิ กระแสไฟฟา้ และครึ่งปฏกิ ริ ิยา กระแสตรงมากขน้ึ โดยท่ัวไปเซลล์ รีดกั ชันของปฏิกิริยา กัลวานกิ จะประกอบด้วยครึง่ เซลล์ รีดอกซ์ 2 ครง่ึ เซลลม์ าต่อกนั และเชอ่ื มให้ 13.ทดลอง และ ครบวงจรด้วยสะพานเกลือที่ต่อไว้ เปรียบเทยี บ ในสารละลายในแต่ละครงึ่ เซลล์ ความสามารถในการ ค่าศักย์ไฟฟ้ามาตรฐานของคร่ึง เปน็ ตัวรดี ิวซ์หรือตวั เซลล์ (E0) เป็นค่าทแ่ี สดง ออกซิไดส์ และเขยี น ความสามารถในการรบั อเิ ล็กตรอน แสดงปฏกิ ิริยารี ของธาตุหรือไอออน เม่ือ ดอกซ์ เปรยี บเทียบกบั กับครง่ึ เซลล์ 14.ดุลสมการรดี อกซ์ ไฮโดรเจนมาตรฐานทีม่ คี ่า E0 เป็น ศนู ย์ คา่ E0 ที่มีเคร่ืองหมายเปน็ ด้วยการใช้เลข ออกซิเดชนั และวิธี บวก แสดงว่า ธาตุหรือไอออนใน ครง่ึ ปฏิกริ ยิ า ครง่ึ เซลลน์ ้ันมีความสามารถในการ 15.ระบอุ งคป์ ระกอบ รับอเิ ล็กตรอนสูงกว่า H+ ในครึ่ง ของเซลล์เคมีไฟฟา้ เซลลไ์ ฮโดรเจนมาตรฐาน ถา้ ค่า E0 และเขียนสมการเคมี มเี ครือ่ งหมายเป็นลบ แสดงว่า ของปฏกิ ิริยาที่ ธาตหุ รือไอออนในครึ่งเซลลน์ น้ั มี แอโนดและแคโทด ความสามารถในการรบั อเิ ลก็ ตรอน ปฏกิ ิรยิ ารวม และ ต่ากวา่ H+ ในครึ่งเซลลไ์ ฮโดรเจน แผนภาพเซลล์ มาตรฐาน หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 333
ท่ี ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั เรียนรู้ เรยี นร/ู้ ตัวชวี้ ดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) 16.คานวณคา่ เซลลป์ ฐมภูมิเป็นเซลลก์ ัลวานกิ ท่ี ศกั ยไ์ ฟฟา้ มาตรฐาน ปฏกิ ิริยาเคมภี ายในเซลล์เกิดขึน้ ของเซลลแ์ ละระบุ อย่างสมบรู ณ์ เม่อื ใช้หมดแลว้ จะ ประเภทของเซลล์ ไมส่ ามารถนามาอัดไฟและนา เคมีไฟฟา้ ขว้ั ไฟฟา้ กลบั มาใช้ใหม่ได้ และปฏิกริ ยิ าเคมีที่ เซลลท์ ุติยภูมเิ ป็นเซลล์กลั วานิก เกิดขึ้น ทีป่ ฏกิ ริ ิยาเคมีภายในเซลลเ์ กิดข้ึน 17.อธิบายหลักการ แล้วสามารถทาให้เกดิ ปฏกิ ิริยา ทางาน และเขยี น ยอ้ นกลับไดอ้ ีก โดยการอัดไฟเขา้ สมการแสดงปฏกิ ริ ิยา ไปใหม่ เซลล์อเิ ล็กโทรไลติก คือ ของเซลล์ปฐมภมู ิและ เซลล์ไฟฟา้ เคมีท่เี ปล่ียนพลังงาน เซลลท์ ตุ ิยภูมิ ไฟฟา้ ให้เปน็ พลังงานเคมี เกิดจาก 18.ทดลองชบุ โลหะ การผ่านไฟฟา้ กระแสตรงลงใน และแยกสารเคมีดว้ ย สารเคมีที่อยใู่ นเซลลไ์ ฟฟา้ เคมี กระแสไฟฟา้ และ แล้วทาให้เกิดปฏิกริ ยิ าขน้ึ อธบิ ายหลกั การทาง เซลลอ์ เิ ล็กโทรลิตกิ สามารถนาไป เคมีไฟฟา้ ที่ใช้ในการ ใช้ประโยชนไ์ ดท้ ั้งในชีวติ ชุบโลหะ การแยก ประจาวนั และในอตุ สาหกรรม สารเคมดี ้วย หลายประเภท เช่น การชุบโลหะ กระแสไฟฟ้า การทา การแยกสารเคมดี ว้ ยกระแสไฟฟา้ โลหะใหบ้ รสิ ุทธ์ิ และ การทาโลหะใหบ้ รสิ ุทธ์กิ ารปอ้ งกัน การป้องกนั การกัด การกัดกร่อนของโลหะ กรอ่ นของโลหะ การกดั กรอ่ นของโลหะ เป็นการที่ 19.สืบค้นขอ้ มูล และ โลหะทาปฏิกริ ยิ ากับสารตา่ ง ๆ ใน นาเสนอตวั อยา่ ง สิ่งแวดลอ้ มรอบ ๆ โลหะ แล้วทา ความกา้ วหนา้ ทาง ใหโ้ ลหะนัน้ เปลี่ยนสภาพเปน็ เทคโนโลยที ่ีเก่ียวข้อง ไอออน หรือกลายเป็น กับเซลลเ์ คมีไฟฟ้าใน สารประกอบออกไซดห์ รือ ชีวิตประจาวนั สารประกอบไฮดรอกไซด์ การปอ้ งกันการกัดกร่อนของโลหะ ทาได้หลายวธิ ี เชน่ การป้องกัน ไม่ให้ผิวของโลหะถูกน้าและ อากาศ หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 334
ที่ ชื่อหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั เรยี นรู้ เรียนรู้/ตัวชวี้ ดั (ชั่วโมง) คะแนน (100) การทาผิวของโลหะด้วยสาร - ยบั ย้ังการกดั กรอ่ น การทาแคโท - 50 ดกิ โดยใช้โลหะที่มีค่า E0 ต่ากวา่ ไป - 20 พันไว้กับโลหะท่ไี ม่ต้องการให้เกดิ 60 30 สนมิ การทาอะโนไดซ์โดยใช้ 100 กระแสไฟฟา้ ทาให้ผวิ หนา้ ของ โลหะกลายเปน็ โลหะออกไซด์ และ การทารมดาซง่ึ เปน็ กระบวนการ ทางเคมีท่ีทาใหเ้ กดิ สารใหม่ที่มีสี ต่าง ๆ กนั บนผิวของโลหะ ปฏิกริ ยิ าเคมีหลายปฏกิ ิรยิ าที่พบ ในชวี ิตประจาวันเปน็ ปฏกิ ิรยิ า รีดอกซ์ เชน่ ปฏิกิริยาการเผาไหม้ ปฏิกริ ิยาในเซลลเ์ คมีไฟฟ้า ซ่ึง ความรู้เรอ่ื งเซลล์เคมีไฟฟ้าและ ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยี เกย่ี วข้องกบั เซลลเ์ คมีไฟฟ้า นาไปสนู่ วตั กรรมด้านพลงั งานที่ เป็นมติ รตอ่ สง่ิ แวดล้อม รวมคะแนนระหว่างเรียน สอบกลางภาค สอบปลายภาค รวม หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 335
รายวิชา ชีววิทยา 4 คาอธิบายรายวิชา จานวน 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว32244 จานวน 1.5 หน่วยกติ ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 จานวนเวลาเรียนทัง้ สนิ้ 60 ชวั่ โมง : ภาคเรียน ศึกษาเก่ียวกับโครงสร้างและกระบวนการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ โครงสร้างและ กระบวนการแลกเปลี่ยนแก๊สของสัตว์และมนุษย์ การทางานของปอดและการวัดปริมาตรของอากาศ ในการหายใจออกของมนุษย์ ศึกษาระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดและระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด ในสัตว์ โครงสร้างการทางานของหัวใจและหลอดเลือดในมนุษย์ เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆหมู่เลือด และหลักการให้เลือดและรับเลือดในระบบ abo และระบบ RH ส่วนประกอบและหน้าท่ีของ น้าเหลือง โครงสร้างและหน้าที่ของหลอดน้าเหลือง และต่อมน้าเหลือง ศึกษากลไกการต่อต้านหรือ ทาลายส่ิงแปลกปลอมแบบไมจ่ าเพาะและแบบจาเพาะ การสร้างภูมิคุ้มกันก่อเองและภูมิคุ้มกันรับมา แล้วความผดิ ปกติของระบบภมู คิ ุ้มกัน รวมทงั้ ศกึ ษาเกี่ยวกบั โครงสร้างและหน้าท่ีในการกาจัดของเสีย ออกจากรา่ งกายของสตั ว์ โครงสร้างและหนา้ ทขี่ องไต กลไกการทางานของหน่วยไต และโครงสร้างท่ี ใชใ้ นการลาเลยี งปสั สาวะออกจากรา่ งกายของมนุษย์ และความผดิ ปกตขิ องไตจากโรคตา่ งๆ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ อธิบาย อภปิ รายและสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทาง วิทยาศาสตร์ รวมท้ังทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้าน การคิดและการแก้ปัญหา ด้านการส่ือสาร สามารถสื่อสารส่ิงที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของ ตนเอง มจี ิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม และค่านิยมทีเ่ หมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. สืบคน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรียบเทียบเกย่ี วกับโครงสรา้ งและกระบวนการย่อยอาหาร ของสัตว์ที่ไม่มีทางเดนิ อาหาร สัตวท์ ีม่ ที างเดินอาหารแบบไมส่ มบูรณแ์ ละสตั วท์ ม่ี ีทางเดนิ อาหารแบบ สมบูรณ์ 2. สังเกต อธบิ าย การกนิ อาหารของ ไฮดรา และพลานาเรีย 3. อธบิ ายเก่ียวกับโครงสรา้ ง หนา้ ท่ี และกระบวนการย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหาร ภายในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ 4. สืบค้นข้อมลู อธบิ าย และเปรียบเทียบโครงสร้างทีท่ าหน้าที่แลกเปลีย่ นแก๊สของฟองน้า ไฮดรา พลานาเรยี ไส้เดือนดิน แมลง ปลา กบ และนก 5. สังเกต และอธิบายโครงสร้างของปอดในสัตวเ์ ลีย้ งลูกดว้ ยน้านม 6. อธิบายโครงสรา้ งที่ใชใ้ นการแลกเปลย่ี นแก๊สและกระบวนการแลกเปลีย่ นแกส๊ ของมนุษย์ 7. อธบิ ายการทางานของปอด และทดลองวัดปรมิ าตรของอากาศในการหายใจออกของ มนษุ ย์ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 336
8. สบื ค้นขอ้ มลู อธิบาย และเปรียบเทยี บระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบเปิดและระบบหมุนเวียน เลือดแบบปิด 9. สังเกตและอธิบายทศิ ทางการไหลของเลือดและการเคลอื่ นทีข่ องเซลลเ์ ม็ดเลอื ดในหาง ปลา และสรุปความสมั พนั ธร์ ะหว่างขนาดของหลอดเลอื ดกับความเร็วการไหลของเลือด 10. อธิบายโครงสรา้ งและการทางานของหวั ใจและหลอดเลือดในมนุษย์ 11. สงั เกตและอธบิ ายโครงสร้างหวั ใจของสัตวเ์ ลี้ยงลกู ด้วยน้านม ทศิ ทางการไหลของเลือด ผา่ นหัวใจของมนุษย์และเขยี นแผนผังสรปุ การหมนุ เวยี นเลือดของมนษุ ย์ 12. สบื คน้ ข้อมลู ระบุความแตกต่างของเซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง เซลล์เมด็ เลอื ดขาว เพลตเลต และพลาสมา 13. อธิบายหม่เู ลอื ด และหลกั การใหแ้ ละรบั เลือดในระบบ ABO และระบบ Rh 14. อธบิ าย และสรปุ เกี่ยวกบั ส่วนประกอบและหน้าท่ีของน้าเหลือง รวมทัง้ โครงสรา้ งและ หน้าทข่ี องหลอดน้าเหลือง และต่อมน้าเหลือง 15. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบาย และเปรยี บเทยี บกลไกการต่อต้านหรอื ทาลายสงิ่ แปลกปลอมแบบ ไมจ่ าเพาะและแบบจาเพาะ 16. สืบค้นขอ้ มูล อธิบาย และเปรียบเทียบการสร้างภมู ิคุ้มกันก่อเองและภมู ิคุ้มกันรบั มา 17. สืบคน้ ข้อมลู และอธบิ ายเกย่ี วกบั ความผิดปกติของระบบภมู ิคุ้มกันท่ีทาใหเ้ กดิ เอดส์ ภูมิแพ้ การสรา้ งภูมิต้านทานต่อเน้ือเย่ือตนเอง 18. สืบค้นข้อมลู อธบิ าย และเปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าที่ในการกาจัดของเสยี ออก จากรา่ งกายของฟองน้า ไฮดรา พลานาเรยี ไส้เดือนดนิ แมลงและสัตวม์ ีกระดกู สนั หลัง 19. อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ีของไต และโครงสร้างที่ใชล้ าเลยี งปสั สาวะออกจากรา่ งกาย 20. อธิบายกลไกการทางานของหน่วยไตในการกาจัดของเสียออกจากร่างกาย และเขียน แผนผงั สรปุ ข้นั ตอนการกาจัดของเสยี ออกจากร่างกายโดยหน่วยไต 21. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ าย และยกตัวอยา่ งเกีย่ วกบั ความผดิ ปกตขิ องไตอนั เนื่องมาจากโรค รวมท้ังหมด 21 ผลการเรยี นรู้ หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 337
โครงสร้างรายวิชา รายวชิ า ชีววทิ ยา 4 รหัสวชิ า ว32244 จานวน 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 จานวน 1.5 หน่วยกิต จานวนเวลาเรียนทงั้ สิน้ 60 ช่วั โมง : ภาคเรียน สดั ส่วนคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก (ช่ัวโมง) คะแนน การเรยี นรู้ ตวั ชี้วัด (100) 12 ระบบยอ่ ย 1. สืบค้นขอ้ มูล 12.1 การย่อยอาหารของจุลนิ ทรีย์ 0.5 20 อาหารและ อธบิ าย และ 12.2 การย่อยอาหารของสงิ่ มีชวี ติ 1.5 การสลาย เปรียบเทียบเก่ยี วกับ เซลล์เดียว สารอาหาร โครงสร้างและ 12.3 การย่อยอาหารของสัตว์ 6 ระดบั เซลล์ กระบวนการย่อย 12.4 การยอ่ ยอาหารของคน 4 อาหารของสตั ว์ทีไ่ ม่มี 12.5 การสลายสารอาหารแบบใช้ 6 ทางเดินอาหาร สัตว์ท่ี ออกซิเจน มที างเดินอาหารแบบ 12.6 การสลายสารอาหารแบบไม่ 2 ไมส่ มบรู ณ์และสัตว์ทมี่ ี ใช้ออกซิเจน ทางเดนิ อาหารแบบ สมบรู ณ์ 2. สังเกต อธิบาย การ กินอาหารของ ไฮดรา และพลานาเรีย 3. อธบิ ายเก่ยี วกับ โครงสร้าง หนา้ ท่ี และ กระบวนการย่อย อาหาร และการดูดซึม สารอาหารภายใน ระบบยอ่ ยอาหารของ มนษุ ย์ 13 ระบบ 4. สืบค้นข้อมูล 13.1โครงสรา้ งทใี ชใ้ นการ 2 10 หายใจ อธบิ าย และเปรยี บ แลกเปลยี่ นแก๊สของส่งิ มชี วี ติ เซลล์ เทยี บโครงสร้างท่ที า เดยี วและของสตั ว์ หนา้ ทแี่ ลกเปลี่ยนแก๊ส 13.2 โครงสรา้ งท่ีใช้แลกเปล่ยี น 6 ของฟองน้า ไฮดรา แก๊สของคน พลานาเรีย ไส้เดือน หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 338
ที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ชั่วโมง) คะแนน การเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด (100) ดนิ แมลง ปลา กบ และนก 5. สงั เกต และอธบิ าย โครงสร้างของปอดใน สตั วเ์ ลี้ยงลกู ดว้ ยนา้ นม 6. อธบิ ายโครงสร้างท่ี ใช้ในการแลกเปลี่ยน แก๊สและกระบวนการ แลกเปลี่ยนแก๊สของ มนษุ ย์ 7. อธิบายการ ทางานของปอด และ ทดลองวัดปริมาตร ของอากาศในการ หายใจออกของมนษุ ย์ 14 ระบบ 8. สบื ค้นข้อมูล 14.1 การลาเลียงสารในรา่ งกาย 2 10 6 หมนุ เวียน อธิบาย และเปรียบ สตั ว์ 4 6 เลือด เทียบระบบหมุนเวียน 14.2 การลาเลยี งสารในรา่ งกาย ระบบ เลอื ดแบบเปดิ และ คน นา้ เหลือง ระบบหมนุ เวยี น 14.3 ระบบนา้ เหลือง และระบบ เลอื ดแบบปิด 14.4 ระบบภมู คิ ุ้มกัน ภมู คิ ุ้มกัน 9. สังเกตและอธบิ าย ทศิ ทางการไหลของ เลือดและการเคลื่อนที่ ของเซลล์เม็ดเลือดใน หางปลา และสรุป ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง ขนาดของหลอดเลือด กบั ความเรว็ การไหล ของเลือด 10. อธิบาย โครงสร้างและการ ทางานของหัวใจและ หลอดเลอื ดในมนษุ ย์ 11. สงั เกตและอธบิ าย หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 339
ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก (ชว่ั โมง) คะแนน การเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ัด (100) โครงสร้างหัวใจของ สัตว์เล้ียงลูกด้วยนา้ นม ทิศทางการไหลของ เลอื ดผ่านหัวใจของ มนษุ ยแ์ ละเขยี น แผนผงั สรุปการหมนุ เวยี นเลือดของมนุษย์ 12. สบื คน้ ข้อมูล ระบุ ความแตกตา่ งของ เซลล์เมด็ เลือดแดง เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว เพลตเลต และ พลาสมา 13. อธบิ าย หมู่เลอื ด และหลกั การ ใหแ้ ละรับเลอื ดใน ระบบ ABO และ ระบบ Rh 14. อธิบาย และสรุป เก่ียวกบั ส่วนประกอบ และหน้าท่ีของนา้ เหลือง รวมท้งั โครงสร้างและหนา้ ท่ี ของหลอดน้าเหลอื ง และต่อมน้าเหลือง 15. สบื ค้นขอ้ มลู อธิบาย และเปรยี บ เทยี บกลไกการต่อตา้ น หรือทาลายสง่ิ แปลก ปลอมแบบไม่จาเพาะ และแบบจาเพาะ 16. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย และเปรยี บ เทียบการสร้าง หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 340
ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ชั่วโมง) คะแนน การเรยี นรู้ ตวั ช้วี ัด (100) 15 ระบบ ภูมคิ ุม้ กนั กอ่ เองและ 6 10 ขับถ่าย ภูมิคุ้มกนั รบั มา 8 17. สืบคน้ ข้อมลู และ อธบิ ายเกยี่ วกบั ความ ผิดปกติของระบบ ภูมคิ ุ้มกันที่ทาให้เกดิ เอดส์ ภูมแิ พ้ การสรา้ ง ภมู ิตา้ นทานตอ่ เนอื้ เยื่อตนเอง 18. สบื ค้นขอ้ มูล 15.1 การขับถ่ายของสัตว์ อธบิ าย และเปรยี บ 15.2 การขับถา่ ยของคน เทยี บโครงสรา้ งและ หนา้ ท่ใี นการกาจัด ของเสียออกจาก ร่างกายของฟองนา้ ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดอื นดิน แมลงและ สัตว์มีกระดูกสนั หลัง 19. อธบิ ายโครงสร้าง และหนา้ ทข่ี องไต และ โครงสร้างทใี่ ช้ลาเลยี ง ปสั สาวะออกจาก รา่ งกาย 20. อธิบายกลไกการ ทางานของหนว่ ยไตใน การกาจัดของเสียออก จากรา่ งกาย และเขยี น แผนผงั สรปุ ข้นั ตอน การกาจัดของเสยี ออก จากรา่ งกายโดยหน่วย ไต หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 341
ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั (ชัว่ โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตัวชี้วดั (100) 21. สืบค้นขอ้ มูล - 50 อธิบาย และยกตวั - 20 อย่างเกย่ี วกบั ความ - 30 ผดิ ปกตขิ องไตอัน 60 100 เนอื่ งมาจากโรคตา่ ง ๆ รวมคะแนนระหวา่ งเรียน สอบกลางภาค สอบปลายภาค รวม หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 342
คาอธิบายรายวชิ า รายวชิ า โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ 4 รหัสวชิ า ว32264 จานวน 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์ ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 จานวน 1.0 หน่วยกติ จานวนเวลาเรียนทัง้ สิน้ 40 ช่ัวโมง : ภาคเรียน ศึกษาปัจจัยสาคัญท่ีมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพอากาศและการเกิดเมฆ แนว ปะทะอากาศแบบต่างๆ ลักษณะลมฟ้าอากาศ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก เหตุการณ์ท่ีเป็น ผลจากการเปลย่ี นแปลงภูมิอากาศโลก แนวปฏิบัติของมนุษย์ที่ช่วยชะลอการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ โลก สญั ลกั ษณ์ลมฟ้าอากาศบนแผนท่อี ากาศ การคาดการณ์ลักษณะลมฟ้าอากาศเบื้องต้นจากแผนที่ อากาศและข้อมูลสารสนเทศอืน่ ๆ โดยใชก้ ารสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทกั ษะการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 การสบื ค้นขอ้ มูลและการอภปิ ราย เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสารส่ิงท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการ ตัดสินใจ การแก้ปัญหา การนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีความใจกว้าง ความเชื่อม่ันต่อ หลักฐาน การใช้วิจารณญาณ การยอมรบั ความเห็นต่าง และความเหน็ คุณคา่ ทางวทิ ยาศาสตร์ ผลการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่างเสถยี รภาพอากาศและการเกดิ เมฆ 2. อธบิ ายการเกดิ แนวปะทะอากาศแบบต่างๆและลักษณะลมฟา้ อากาศทเี่ ก่ียวข้อง 3. อธบิ ายปจั จยั ต่างๆท่มี ีผลต่อการเปลีย่ นแปลงภูมิอากาศของโลก พร้อมยกตัวอย่างข้อมลู สนับสนนุ 4. วเิ คราะหแ์ ละอภปิ รายเหตุการณ์ทเ่ี ป็นผลจากการเปล่ยี นแปลงภูมอิ ากาศโลก และนาเสนอ แนวปฏบิ ัติของมนุษยท์ ี่มสี ว่ นชว่ ยในการชะลอการเปลี่ยนแปลงภูมอิ ากาศโลก 5. แปลความหมายสญั ลกั ษณ์ลมฟ้าอากาศบนแผนท่ีอากาศ 6. วิเคราะหแ์ ละคาดการณ์ลกั ษณะลมฟา้ อากาศเบ้ืองต้นจากแผนทอ่ี ากาศและข้อมลู สารสนเทศ อืน่ ๆ เพ่ือวางแผนในการประกอบอาชพี และการดาเนนิ ชวี ิตให้สอดคล้องกบั สภาพลมฟ้าอากาศ รวมท้ังหมด 6 ผลการเรยี นรู้ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 343
โครงสร้างรายวิชา รายวชิ า โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 4 รหสั วชิ า ว32264 จานวน 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 จานวน 1.0 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรยี นทง้ั สิน้ 40 ชว่ั โมง : ภาคเรียน สัดสว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตัวชวี้ ดั (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 1-2 การเกดิ 1. อธบิ าความสมั พันธ์ - การยกตวั ของอากาศกับการ 20 เมฆ ระหวา่ งเสถียรภาพ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ 10 อากาศและการเกิด - เสถียรภาพกบั การยกตวั ของกอ้ น 10 3-4 การ เมฆ อากาศ 20 เปล่ียนแป 2. อธบิ ายการเกิดแนว - กระบวนการเกิดเมฆ ลงของ ปะทะอากาศแบบ กลไกการยกตวั ของอากาศและ ภูมิอากาศ ต่างๆและลักษณะลม การเกิดเมฆ ฟ้าอากาศทเี่ ก่ียวข้อง 3. อธบิ ายปัจจยั ต่างๆ - ปจั จยั ที่สง่ ผลตอ่ การ ที่มผี ลต่อการเปลย่ี น เปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศ แปลงภูมอิ ากาศของ - หลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลง โลก พรอ้ มยกตวั อย่าง ภูมิอากาศบรรพกาลผลกระทบ ขอ้ มลู สนับสนุน การเปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศและ 4. วเิ คราะหแ์ ละ การชะลอการเปลีย่ นแปลง อภปิ รายเหตุการณ์ที่ ภมู ิอากาศ เป็นผลจากการเปล่ยี น แปลงภมู ิอากาศโลก และนาเสนอแนว ปฏบิ ัติของมนุษย์ที่มี ส่วนชว่ ยในการชะลอ การเปลีย่ นแปลง ภมู ิอากาศโลก 5-6 ข้อมูล 5. แปลความหมาย - ข้อมลู สารสนเทศทาง 10 20 หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 344
ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ชั่วโมง) คะแนน การเรียนรู้ ตัวชว้ี ดั (100) สารสนเทศ สัญลกั ษณล์ มฟ้า อตุ ุนยิ มวิทยา การใชป้ ระโยชน์ ทางอุตุ อากาศบนแผนที่ จากข้อมูลสารสนเทศทาง นยิ ม- อากาศ อตุ นุ ยิ มวทิ ยา วิทยากบั 6. วิเคราะห์และ การใช้ คาดการณ์ลกั ษณะลม ประโยชน์ ฟา้ อากาศเบื้องต้นจาก แผนทีอ่ ากาศและ ข้อมูลสารสนเทศอื่นๆ เพอื่ วางแผนในการ ประกอบอาชีพและ การดาเนนิ ชีวติ ให้ สอดคลอ้ งกบั สภาพลม ฟา้ อากาศ รวมคะแนนระหว่างเรยี น - 50 - 20 สอบกลางภาค - 30 40 100 สอบปลายภาค รวม หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 345
รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 5 คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 3 ชวั่ โมง/สัปดาห์ รหัสวชิ า ว33205 จานวน 1.5 หน่วยกติ ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 จานวนเวลาเรยี นทง้ั ส้ิน 60 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศึกษาสนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็ก โมเมนต์ของแรงคู่ควบกระทากับขดลวดท่ีมีกระแสไฟฟ้า ผ่านเม่ือ อยู่ในสนามแม่เหล็ก กระแสไฟฟ้าเหน่ียวนา อีเอ็มเอฟเหน่ียวนา ไฟฟ้ากระแสสลับ ความ ร้อน แก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส ของแข็ง สภาพยืดหยุ่นของของแข็ง ความตึงผิว ความหนืด ของของเหลว ความดัน ในของไหล แรงพยงุ ของไหลอดุ มคตสิ มการความตอ่ เนือ่ งและสมการแบร์นลู ี โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะหาความรู้การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บ อธิบาย อภปิ ราย และสรปุ เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจมีความสามารถในการตัดสินใจมีทักษะปฏิบัติการทาง วิทยาศาสตร์ รวมท้ังทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและ การแกป้ ญั หา ด้านการส่ือสาร สามารถส่ือสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิต วทิ ยาศาสตรจ์ รยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นิยมทเ่ี หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. สังเกตและอธบิ ายเส้นสนามแม่เหลก็ อธบิ ายและคานวณฟลักซแ์ ม่เหลก็ ในบริเวณท่ีกาหนด รวมทั้งสังเกต และอธิบายสนามแม่เหล็กทเ่ี กิดจากกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนา เส้นตรงและ โซเลนอยด์ 2. อธิบายและคา นวณแรงแมเ่ หลก็ ทีก่ ระทา ต่ออนุภาคที่มปี ระจุไฟฟ้าเคลอ่ื นท่ีใน สนามแม่เหล็ก แรงแมเ่ หล็ก ที่กระทา ตอ่ เสน้ ลวดที่มกี ระแสไฟฟ้าผ่านและวางใน สนามแม่เหลก็ รัศมีความโค้งของการเคลื่อนทเี่ มื่อประจุ เคล่ือนท่ีตง้ั ฉากกับสนามแม่เหล็ก รวมท้งั อธบิ ายแรงระหว่างเส้นลวดตัวนา คู่ขนานที่มกี ระแสไฟฟา้ ผ่าน 3. อธิบายหลกั การทางานของแกลแวนอมเิ ตอร์และมอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสตรง รวมทั้งคานวณ ปริมาณต่างๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง 4. สงั เกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนยี่ วนา กฎการเหนีย่ วนา ของฟาราเดย์และคานวณ ปริมาณต่าง ๆ ทเี่ กยี่ วข้อง รวมทั้งนา ความรเู้ ร่ืองอีเอ็มเอฟเหน่ยี วนา ไปอธิบายการทางาน ของเคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ 5. อธิบายและคา นวณความตา่ งศกั ยอ์ ารเ์ อ็มเอส และกระแสไฟฟา้ อาร์เอ็มเอส 6. อธิบายหลักการทา งานและประโยชน์ของเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส การแปลง อเี อ็มเอฟ ของหม้อแปลง และคา นวณปริมาณต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง 7. อธบิ ายและคา นวณความร้อนท่ีทา ให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมคิ วามร้อนท่ีทาใหส้ สารเปล่ียน สถานะ และ ความรอ้ นท่เี กดิ จากการถ่ายโอนตามกฎการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน 8. อธิบายกฎของแก๊สอดุ มคตแิ ละคา นวณปรมิ าณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 346
9. อธบิ ายแบบจาลองของแกส๊ อุดมคติทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอารเ์ อ็มเอสของ โมเลกุลของแก๊ส รวมทงั้ คา นวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง 10. อธิบายและคา นวณงานท่ีทา โดยแกส๊ ในภาชนะปิดโดยความดนั คงตัว และอธิบาย ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง ความร้อน พลังงานภายในระบบ และงาน รวมท้ังคานวณปรมิ าณ ตา่ ง ๆ ท่เี กย่ี วข้อง และนาความรู้เรอ่ื ง พลังงานภายในระบบไปอธบิ ายหลักการทางานของ เคร่ืองใชใ้ นชีวิตประจาวัน 11. อธบิ ายสภาพยดื หยนุ่ และลักษณะการยดื และหดตัวของวสั ดุทีเ่ ปน็ แท่งเมื่อถกู กระทา ดว้ ย แรงคา่ ต่าง ๆ รวมทัง้ ทดลอง อธิบายและคานวณความเค้นตามยาว ความเครียดตามยาว และมอดลุ ัสของยงั และนา ความร้เู รื่องสภาพยดื หยุน่ ไปใช้ในชีวิตประจาวัน 12. อธิบายและคานวณความดันเกจ ความดนั สัมบูรณ์ และความดันบรรยากาศ รวมทั้งอธิบาย หลกั การ ทางานของแมนอมิเตอร์บารอมเิ ตอร์และเครอื่ งอัดไฮดรอลกิ 13. ทดลอง อธิบายและคา นวณขนาดแรงพยุงจากของไหล 14. ทดลอง อธบิ ายและคานวณความตึงผิวของของเหลว รวมท้ังสังเกตและอธบิ ายแรงหนืดของ ของเหลว 15. อธบิ ายสมบัตขิ องของไหลอดุ มคติ สมการความต่อเนื่อง และสมการแบร์นูลลี รวมทั้ง คานวณปริมาณ ตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง และนาความรเู้ ก่ียวกับสมการความต่อเนื่องและสมการ แบร์นลู ลไี ปอธบิ ายหลักการ ทางานของอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งหมด 15 ผลการเรียนรู้ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 347
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440