โครงสร้างรายวชิ า รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 5 รหสั วชิ า ว33205 จานวน 3 ชัว่ โมง/สัปดาห์ ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 1.5 หน่วยกิต จานวนเวลาเรียนทัง้ ส้นิ 60 ชวั่ โมง : ภาคเรยี น สัดสว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอื่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก เรียนรู้ เรียนร/ู้ ตัวช้ีวัด (ช่ัวโมง) คะแนน (100) 1 แมเ่ หลก็ และ 1. สังเกตและอธบิ าย - สนามแม่เหลก็ เส้น 28 20 ไฟฟ้า เสน้ สนามแม่เหลก็ สนามแมเ่ หลก็ ฟลักซ์แมเ่ หล็ก อธบิ ายและคานวณ สนามแมเ่ หลก็ ท่ีเกิดจาก ฟลกั ซ์แมเ่ หล็กใน กระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นาเส้นตรง บริเวณท่ีกาหนด และ โซเลนอยด์ รวมทั้งสังเกต และ - แรงแมเ่ หล็กที่กระทา ตอ่ อนุภาค อธบิ ายสนาม ทม่ี ีประจุไฟฟ้าเคลอ่ื นที่ใน แม่เหลก็ ที่เกิดจาก สนามแมเ่ หล็ก กระแสไฟฟ้าในลวด - แรงแม่เหล็กที่กระทาต่อเสน้ ลวด ตัวนาเส้นตรง และ ทม่ี ีกระแสไฟฟ้าผ่านและวางใน โซเลนอยด์ สนามแมเ่ หลก็ 2. อธบิ ายและ - รศั มีความโค้งของการเคลื่อนท่ี คานวณแรงแมเ่ หล็ก เมอ่ื ประจเุ คล่ือนท่ตี ั้งฉากกับ ทก่ี ระทาต่ออนภุ าคที่ สนามแมเ่ หล็ก รวมทัง้ อธบิ ายแรง มปี ระจไุ ฟฟ้าเคล่ือน ระหวา่ งเส้นลวดตวั นาคู่ขนานทมี่ ี ทีใ่ นสนามแม่เหล็ก กระแสไฟฟ้าผ่าน แรงแมเ่ หลก็ ท่กี ระทา - ฟลักซ์แมเ่ หล็ก คือจานวนเส้น ตอ่ เสน้ ลวดที่มี สนามแมเ่ หลก็ ทีผ่ ่านพ้นื ท่ีท่ี กระแสไฟฟ้าผา่ นและ พจิ ารณา อตั ราสว่ นระหว่างฟลกั ซ์ วางในสนามแมเ่ หลก็ แมเ่ หลก็ ต่อพน้ื ท่ีตัง้ ฉากกบั รศั มีความโคง้ ของ สนามแมเ่ หลก็ การเคลือ่ นท่ีเม่ือ - เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านโซเลนอยด์ ประจเุ คล่อื นทต่ี ้ังฉาก หรือลวดตัวนาวงกลม จะเกิด กบั สนามแม่เหล็ก สนามแมเ่ หลก็ ที่มลี กั ษณะคล้าย รวมทง้ั อธบิ ายแรง กับสนามแมเ่ หล็กของแทง่ แม่เหล็ก ระหวา่ งเส้นลวด หาทิศทางของสนามแม่เหล็ก ตวั นา คู่ขนานที่มี ภายในโซเลนอยดไ์ ด้โดยใช้กฎ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 348
ท่ี ชื่อหน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั เรียนรู้ เรยี นรู้/ตัวช้ีวดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) กระแสไฟฟ้าผา่ น มอื ขวา 3. อธิบายหลักการ - แกลแวนอมิเตอรเ์ ป็นเครื่องวัด ทางานของแกลแวนอ ทางไฟฟ้า ประกอบด้วยขดลวด มิเตอร์และมอเตอร์ สี่เหล่ยี มทีต่ ิดเข็มชีแ้ ละหมนุ ได้ ไฟฟา้ กระแสตรง คลอ่ ง อยู่ในสนามแมเ่ หล็ก เมื่อมี รวมท้ังคานวณ กระแสไฟฟา้ ผ่าน ขดลวดจะหมุน ปริมาณต่างๆ ท่ี พรอ้ มกบั เข็มชเี้ บนไป และมอเตอร์ เก่ยี วข้อง ไฟฟา้ กระแสตรงเปน็ เคร่ืองมือ 4. สังเกตและอธิบาย เปลีย่ นพลงั งานไฟฟา้ เปน็ การเกดิ อีเอ็มเอฟ พลงั งานกล เหนี่ยวนากฎการ - เม่อื มีฟลักซ์แมเ่ หลก็ เปลย่ี นแปลง เหนีย่ วนาของ ตัดขดลวดตวั นาจะเกิดอเี อม็ เอฟ ฟาราเดย์ และ เหนยี่ วนา ในขดลวดตัวนาน้ัน คานวณ ปริมาณ เท่ากับอตั ราการเปลีย่ นแปลง ต่างๆ ท่เี กย่ี วข้อง ของฟลกั ซ์แม่เหลก็ ทผี่ า่ นขดลวด รวมท้งั นาความร้เู ร่ือง ตวั นาน้นั เมื่อเทยี บกับเวลา อเี อ็มเอฟเหนยี่ วนา - เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าเปน็ อุปกรณ์ ไปอธบิ ายการทางาน เปลย่ี นพลังงานกลเป็นพลังงาน ของ เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ไฟฟา้ ประกอบดว้ ย ขดลวดพันอยู่ 5. อธบิ ายและ บนแกนท่หี มุนได้คล่องอยูใ่ น คานวณความต่าง สนามแมเ่ หลก็ ศกั ย์อารเ์ อ็มเอส และ - เคร่ืองกา เนิดไฟฟา้ 3 เฟส กระแสไฟฟ้า ประกอบด้วยขดลวด 3 ชุด แต่ละ อารเ์ อ็มเอส ชดุ วางทามุม 120 องศา ซึ่งกัน 6. อธิบายหลักการ และกัน เมอ่ื หมนุ แท่งแมเ่ หลก็ จะ ทางานและประโยชน์ เกิดอีเอม็ เอฟไฟฟ้ากระแสสลับ ของเครอื่ งกา เนิด จากขดลวดแต่ละชดุ มเี ฟสตา่ งกนั ไฟฟา้ กระแสสลับ 120 องศา ทาใหผ้ ลติ พลงั งาน 3 เฟส การแปลง ไฟฟา้ ไดม้ ากกวา่ เคร่ืองกาเนิด อเี อ็มเอฟของหม้อ ไฟฟา้ 1 เฟส แปลง และคานวณ - หม้อแปลงประกอบด้วยขดลวด ปริมาณตา่ ง ๆ ที่ 2 ชุด พนั อยู่บนแกนเหล็กเดียวกัน เก่ยี วข้อง โดยขดลวดท่ใี ช้ต่อกับแหล่งกาเนิด หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 349
ที่ ชอื่ หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั เรียนรู้ เรยี นร้/ู ตัวชวี้ ัด (ชั่วโมง) คะแนน (100) ไฟฟ้าเรียกว่า ขดลวดปฐมภูมิและ ขดลวดทีใ่ ชต้ อ่ กับเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า เรียกวา่ ขดลวดทตุ ยิ ภมู เิ มื่อต่อ ขดลวด ปฐมภมู ิกับไฟฟ้า กระแสสลบั เกิดอเี อ็มเอฟ เหน่ยี วนาบนขดลวดปฐมภมู ิและ จะเกิดอเี อ็มเอฟเหนย่ี วนาใน ขดลวดทตุ ิยภมู ิ 2 ความร้อน 1. อธบิ าย และ - อณุ หพลศาสตร์ 24 10 และแก๊ส คานวณความร้อนที่ (thermodynamics) เป็นการ ทาให้สสารเปลี่ยน ศกึ ษากระบวนการเปล่ียนแปลง อุณหภูมิความร้อนที่ ระหว่างความร้อน และพลงั งานกล ทาให้สสารเปลี่ยน ระดบั ความร้อนของวตั ถสุ ามารถ สถานะ และความ ระบุไดด้ ว้ ยอณุ หภมู ิ รอ้ นทเี่ กิดจากการ (temperature) อุปกรณ์ที่ ใช้วัด ถา่ ยโอนตามกฎการ อุณหภมู ิเรยี กวา่ เทอร์มอมิเตอร์ อนรุ กั ษ์พลังงาน (thermometer) 2. อธบิ ายกฎของ - เมื่อสสารไดร้ ับหรือคายความ แกส๊ อุดมคติและ ร้อน สสารอาจมีอณุ หภมู ิเปล่ียนไป คานวณปรมิ าณ หรืออาจเปลยี่ นจากสถานะหนงึ่ ต่าง ๆ ท่ีเกีย่ วข้อง ไปอีกสถานะหนึง่ โดยอุณหภูมิไม่ 3. อธบิ าย เปลี่ยนแปลง กรณีทสี่ สารมี แบบจาลองของแก๊ส อณุ หภมู ิเปลี่ยนไป อัตราสว่ น อดุ มคตทิ ฤษฎีจลน์ ระหว่างความร้อน ทใ่ี ห้แก่สสารต่อ ของแกส๊ และอตั รา อุณหภูมิทเ่ี พมิ่ ข้นึ เรียกวา่ ความจุ เร็วอารเ์ อม็ เอสของ ความร้อน (heat capacity, C) โมเลกลุ ของแก๊ส กรณที ีส่ สารเปลยี่ นสถานะหนึ่งไป รวมทงั้ คานวณ อีกสถานะหนง่ึ โดยอณุ หภูมิไม่ ปรมิ าณต่าง ๆ ท่ี เปลี่ยนแปลง ความรอ้ นท่ใี ชใ้ นการ เกี่ยวข้อง เปลีย่ นสถานะของสารหนง่ึ หนว่ ย มวล เรียกวา่ ความรอ้ นแฝง (latent heat, L) หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 350
ที่ ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั เรยี นรู้ เรยี นรู้/ตัวชวี้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 4. อธบิ าย และ - ความรอ้ นสามารถถ่ายโอนหรอื คานวณงานท่ีทา โดย สง่ ผา่ นจากวตั ถทุ ่ีมีอณุ หภูมสิ ูงกวา่ แกส๊ ในภาชนะปิด ไปส่อู ีกวตั ถุหนึ่งที่มีอุณหภูมติ ่ากวา่ โดยความดนั คงตวั ได้ การถ่ายโอนความร้อนมีจะ และอธิบายความ เป็นไปตามกฎการอนรุ ักษ์พลังงาน สมั พนั ธ์ ระหวา่ ง - สารในสถานะแก๊สประกอบด้วย ความรอ้ น พลังงาน โมเลกลุ ฟุ้งกระจายเต็มภาชนะ ภายในระบบ และ บรรจเุ พอื่ ให้การอธบิ ายพฤติกรรม งาน รวมทัง้ คานวณ ของแก๊สได้ง่ายขึน้ จงึ มีการสร้าง ปรมิ าณต่าง ๆ ที่ แบบจาลองแกส๊ อดุ มคติ เก่ียวข้อง และนา - ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส (kinetic ความรเู้ รอื่ งพลังงาน theory of gases) เปน็ การ ภายในระบบไป อธิบายพฤติกรรมแกส๊ ในระดับ อธบิ ายหลกั การ โมเลกุล เพือ่ นา ไปสู่การอธิบาย ทางานของเคร่ืองใช้ ธรรมชาตขิ องแกส๊ ที่เกิดข้ึนจาก ในชวี ติ ประจาวัน โมเลกุลของแกส๊ ทง้ั หมดที่อย่ใู น ระบบ - พลงั งาน ภายในระบบมี ความสัมพันธ์กับความร้อนและ งานซึง่ เป็นไปตามกฎการอนุรักษ์ พลงั งานเรียกวา่ กฎข้อที่หน่ึง ของ อณุ หพลศาสตร์ (first law of thermodynamics) ความรู้เรือ่ ง พลังงานภายในระบบสามารถนา ไปประยุกตด์ ้านต่าง ๆ ได้หลาย ดา้ น 3 ของแขง็ และ 1. อธบิ ายสภาพ - สสารและสง่ิ ของตา่ งๆ ในสภาพ 28 20 ของไหล ยืดหยนุ่ และลักษณะ ปกติโดยทั่วไปมี 3 สถานะ สสาร การยืดและหดตวั ของ ในสถานะของแข็งมีแรงยดึ เหนีย่ ว วัสดทุ เ่ี ปน็ แท่งเมื่อถูก ระหวา่ งโมเลกุลมากพอทีจ่ ะทา ให้ กระทา ด้วยแรงคา่ โมเลกุลของของแขง็ อยู่ ใกลก้ ัน ต่าง ๆ รวมทั้ง และรูปทรงของของแข็งไม่ ทดลอง อธบิ ายและ เปลย่ี นแปลงมาก หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 351
ท่ี ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก เรียนรู้ เรยี นรู้/ตวั ชี้วัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) คานวณความเคน้ - ของแข็ง ที่ถูกแรงกระทาแล้วเกดิ ตามยาว ความเครยี ด การเปลีย่ นแปลงรปู รา่ งไปจากเดมิ ตามยาวและมอดุลัส เรยี กวา่ สภาพยืดหยุ่น ของยัง และนาความ (elasticity)ถ้าวัตถุคงรูปรา่ งที่ รู้เรือ่ งสภาพยืดหยนุ่ เปลี่ยนไป เรียกวา่ มีสภาพ ไปใช้ในชีวิต พลาสตกิ (plasticity) ประจาวนั - แรงกระทาต้งั ฉากตอ่ หน่วย 2. อธิบายและ พนื้ ทีห่ นา้ ตัดของวัตถุเรียกวา่ คานวณความดนั เกจ ความเค้นตามยาว (longitudinal ความดันสัมบรู ณ์และ stress) แรงกระทาต้งั ฉากตอ่ ความดันบรรยากาศ หนว่ ยพน้ื ทีห่ นา้ ตดั ของวตั ถความ รวมท้ังอธบิ าย ยาวของวัตถุทเ่ี ปลยี่ นไปต่อ ความ หลกั การทางานของ ยาวเดิม เรยี กว่าความเครยี ด แมนอมเิ ตอร์ ตามยาว (longitudinal strain) บารอมเิ ตอรแ์ ละ อตั ราสว่ น ระหว่างความเคน้ เครอ่ื งอัดไฮดรอลิก ตามยาวต่อความเครียดตามยาว 3. ทดลอง อธิบาย เรียกว่า มอดุลัสของยงั (Young’s และคานวณขนาด modulus) แรงพยงุ จากของไหล - ของไหลมีแรงกระทา ทุกทิศทุก 4. ทดลอง อธบิ าย ทางและตั้งฉากกบั พน้ื ท่ีที่ของไหล และคานวณความตงึ สมั ผัส แรงกระทา ต้ังฉากต่อหนึ่ง ผิวของของเหลว หน่วยพืน้ ท่ีท่ีของไหลสมั ผัส รวมท้ังสงั เกตและ เรยี กว่า ความดัน (pressure) อธบิ ายแรงหนืดของ ความดันในของเหลวข้ึนอยู่กับ ของเหลว ความลึกและ ความหนาแน่น 5. อธบิ ายสมบตั ขิ อง ของเหลว ของไหลอดุ มคติ - ของเหลวจะมแี รงระหว่าง สมการความต่อเน่ือง โมเลกลุ มีแรงเชื่อมแนน่ และสมการแบร์นลู ลี (cohesive force) ซึง่ เป็นแรง รวมทั้งคา นวณ ระหวา่ ง โมเลกุลชนิดเดยี วกันและ ปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่ แรงยึดตดิ (adhesive force) ซง่ึ เกี่ยวข้อง และนา เปน็ แรงระหว่าง โมเลกลุ ต่างชนิด ความรู้เก่ียวกบั กนั ส่วนบริเวณผวิ ของเหลวจะมี หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 352
ท่ี ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก เรียนรู้ เรียนร้/ู ตวั ชีว้ ัด (ชวั่ โมง) คะแนน (100) สมการความต่อเน่ือง แรงกระทา โดยแรงน้ขี นานกับผวิ และสมการแบร์นลู ลี ของเหลวและ ตั้งฉากกบั วตั ถุทผี่ วิ ไป อธิบายหลกั การ ของเหลวสมั ผัส เรยี กวา่ แรงดึงผวิ ทางานของอุปกรณ์ ค่าแรงดึงผวิ ตอ่ หนว่ ยความยาว ต่าง ๆ วัตถทุ ผี่ วิ ของเหลว สมั ผสั เรียก ความตงึ ผวิ - เมอื่ เพิ่มความดนั ให้ของเหลวท่ี อยนู่ ิง่ ในภาชนะปดิ ความดันท่ี เพ่ิมขนึ้ จะสง่ ผ่านไปทกุ ๆจดุ ในของ เหลวนนั้ หลักการน้เี รียกวา่ กฎ พาสคัล (Pascal’s law) และนา ไปประยุกต์ใชใ้ นเครือ่ งอัด ไฮดรอลิก - เมือ่ วัตถุอยู่ในของไหลจะเกิดแรง พยงุ (buoyant force) กระทา ต่อวตั ถมุ ีค่าเทา่ กบั น้า หนกั ของ ของ ไหลทม่ี ปี รมิ าตรเท่ากับวัตถทุ ่ี อยูใ่ นของไหลนนั้ - การไหลของของไหลสามารถทา ใหง้ ่ายตอ่ ความเขา้ ใจดว้ ยของไหล อดุ มคตซิ ึง่ มลี ักษณะ ดงั น้ีไหล อยา่ งสมา่ เสมอ ไม่มีแรงหนดื บีบ อดั ไม่ไดห้ รือมีความหนาแนน่ คงตัว และไหลโดยไม่หมุนวน อนุภาค ของของไหลเคลื่อนทีไ่ ปตามสาย กระแสท่ีไมต่ ัดกัน ปริมาตรของ ของไหลท่ผี ่านพ้ืนท่หี น้าตัดในหนึ่ง หนว่ ยเวลา เปน็ อตั ราการไหล (Flow rate) ตามสมการความ ตอ่ เนือ่ ง Av = ค่าคงตวั หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 353
ที่ ช่อื หน่วยการ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั เรียนรู้ เรียนรู้/ตวั ชว้ี ัด (ช่วั โมง) คะแนน (100) - เม่อื ของไหลมีการไหลในทอ่ - ผลรวมของความดัน พลงั งานจลน์ - 50 ต่อหน่ึงหนว่ ยปรมิ าตร และ - 20 พลังงาน ศกั ยโ์ น้มถว่ งต่อหน่ึง 60 30 หนว่ ยปรมิ าตร มคี ่าคงตวั เสมอ ซึง่ 100 เป็นไปตาม สมการแบร์นูลลี รวมคะแนนระหว่างเรยี น สอบกลางภาค สอบปลายภาค รวม หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 354
รายวชิ า เคมี 5 คาอธิบายรายวิชา จานวน 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ รหสั วชิ า ว33225 จานวน 1.5 หน่วยกิต ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 จานวนเวลาเรียนทั้งสิ้น 60 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศึกษาสืบค้นข้อมูล และนาเสนอตัวอย่างสารประกอบอินทรีย์ที่มีพันธะเดี่ยว พันธะคู่ หรือ พันธะสาม เขียนสูตรโครงสร้างลิวอิส สูตรโครงสร้างแบบย่อ และสูตรโครงสร้างแบบเส้นของ สารประกอบอินทรีย์ วิเคราะห์โครงสร้างและระบุประเภทของสารประกอบอินทรีย์จากหมู่ฟังก์ชัน เขยี นสูตรโครงสรา้ งและเรียกชื่อสารประกอบอินทรีย์ประเภทต่างๆ ท่ีมีหมู่ฟังก์ชันไม่เกิน 1 หมู่ ตาม ระบบ IUPAC เขียนไอโซเมอร์โครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์ประเภทต่างๆ วิเคราะห์และ เปรยี บเทียบจุดเดือดและการละลายในน้าของสารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ฟังก์ชัน ขนาดโมเลกุล หรือ โครงสร้างตา่ งกนั ระบุประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนและเขียนผลิตภัณฑ์จากปฏิกิริยาการ เผาไหม้ ปฏิกิริยากับโบรมีน หรือปฏิกิริยากับโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต เขียนสมการเคมีและ อธิบายการเกดิ ปฏิกิริยาเอสเทอรฟิ เิ คชนั ปฏกิ ิริยาการสงั เคราะห์เอไมด์ ปฏิกิริยาการไฮโดรลิซิส และ ปฏิกิริยาสะปอนนิฟิเคชัน ทดสอบปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชัน ปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส และปฏิกิริยาสะ ปอนนิฟิเคชัน สืบค้นข้อมูล และนาเสนอตัวอย่างการนาสารประกอบอินทรีย์ไปใช้ประโยชน์ใน ชวี ติ ประจาวันและอุตสาหกรรม ระบุประเภทของปฏกิ ริ ิยาการเกิดพอลิเมอร์จากโครงสร้างของมอนอ เมอร์หรือพอลิเมอร์ วิเคราะห์และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์ รวมท้ังการนาไปใช้ประโยชน์ ทดสอบและระบุประเภทของพลาสติกและผลิตภัณฑ์ยาง รวมท้ังการ นาไปใช้ประโยชน์ อธิบายผลของการปรับเปล่ียนโครงสร้าง และการสังเคราะห์พอลิเมอร์ที่มีต่อ สมบัติของพอลิเมอร์สืบค้นข้อมูลและนาเสนอตัวอย่างผลกระทบจากการใช้และการกาจัดผลิตภัณฑ์ พอลิเมอร์และแนวทางแกไ้ ข โดยใช้การเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจ ตรวจสอบ เพ่อื ให้เกดิ ความรู้ความเข้าใจมีความสามารถสามารถนาความรู้และหลักการไปใช้ประโยชน์ เชื่อมโยง อธิบายปรากฏการณ์ หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน สามารถจัดกระทาและวิเคราะห์ ขอ้ มลู ส่อื สารสิง่ ท่เี รยี นรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจแก้ปัญหา มีจิตวิทยาศาสตร์ เห็นคุณค่าของ วทิ ยาศาสตร์ มจี รยิ ธรรม คณุ ธรรมและคา่ นยิ มท่เี หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. สืบคน้ ข้อมลู และนาเสนอตัวอย่างสารประกอบอินทรียท์ ี่มพี ันธะเดีย่ ว พันธะคู่ หรอื พนั ธะ สามท่ีพบในชีวิตประจาวนั 2. เขียนสตู รโครงสร้างลิวอสิ สูตรโครงสร้างแบบยอ่ และสูตรโครงสร้างแบบเสน้ ของ สารประกอบอนิ ทรีย์ 3. วิเคราะห์โครงสร้าง และระบุประเภทของสารประกอบอินทรีย์จากหมู่ฟังกช์ ัน หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 355
4. เขียนสตู รโครงสรา้ งและเรียกชอ่ื สารประกอบอินทรีย์ประเภทตา่ งๆ ท่ีมหี มู่ฟงั ก์ชันไมเ่ กิน 1 หมู่ ตามระบบ IUPAC 5. เขียนไอโซเมอร์โครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์ประเภทต่างๆ 6. วเิ คราะห์ และเปรียบเทยี บจดุ เดือดและการละลายในนา้ ของสารประกอบอินทรยี ์ท่มี ี หมูฟ่ งั ก์ชนั ขนาดโมเลกลุ หรอื โครงสรา้ งตา่ งกนั 7. ระบปุ ระเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนและเขยี นผลิตภัณฑจ์ ากปฏกิ ริ ยิ าการ เผาไหม้ ปฏิกิรยิ ากับโบรมนี หรือปฏกิ ิรยิ ากบั โพแทสเซียมเปอรแ์ มงกาเนต 8. เขียนสมการเคมแี ละอธบิ ายการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเอสเทอริฟิเคชนั ปฏกิ ิรยิ าการสงั เคราะห์ เอไมด์ ปฏิกริ ิยาไฮโดรลิซสิ และปฏกิ ิรยิ าสะปอนนิฟเิ คชัน 9. ทดสอบปฏิกิริยาเอสเทอริฟเิ คชัน ปฏิกิริยาไฮโดรลซิ ิส และปฏิกิริยาสะปอนนิฟิเคชนั 10. สืบคน้ ขอ้ มูล และนาเสนอตวั อย่างการนาสารประกอบอนิ ทรยี ไ์ ปใช้ประโยชน์ใน ชวี ติ ประจาวันและอุตสาหกรรม 11. ระบปุ ระเภทของปฏิกิริยาการเกดิ พอลเิ มอรจ์ ากโครงสรา้ งของมอนอเมอร์หรอื พอลิเมอร์ 12. วเิ คราะห์ และอธิบายความสมั พนั ธ์ระหว่างโครงสร้างและสมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ รวมท้ัง การนาไปใชป้ ระโยชน์ 13. ทดสอบ และระบุประเภทของพลาสติกและผลิตภัณฑ์ยาง รวมทงั้ การนาไปใช้ประโยชน์ 14. อธิบายผลของการปรับเปลย่ี นโครงสรา้ ง และการสงั เคราะห์พอลเิ มอรท์ มี่ ตี ่อสมบตั ิของ พอลเิ มอร์ 15. สบื คน้ ขอ้ มลู และนาเสนอตวั อย่างผลกระทบจากการใชแ้ ละการกาจัดผลติ ภัณฑ์ พอลเิ มอรแ์ ละแนวทางแก้ไข รวมทั้งหมด 15 ผลการเรยี นรู้ หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 356
โครงสรา้ งรายวชิ า รายวิชา เคมี 5 รหัสวชิ า ว33225 จานวน 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 จานวน 1.5 หน่วยกิต จานวนเวลาเรียนทัง้ ส้นิ 60 ชวั่ โมง : ภาคเรยี น สัดสว่ นคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร้/ู สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตัวชี้วัด (ชว่ั โมง) คะแนน (100) 1 เคมีอนิ ทรีย์ 1. สืบคน้ ขอ้ มลู และ ส า ร ป ร ะ ก อ บ อิ น ท รี ย์ คื อ 30 30 นาเสนอตัวอย่าง สารประกอบที่มีธาตุคาร์บอนเป็น สารประกอบอินทรยี ท์ ี่ องค์ประกอบ ส่วนใหญ่พบใน มพี นั ธะเด่ยี ว พันธะคู่ สิ่งมีชีวิต มีโครงสร้างหลากหลาย หรอื พันธะสามท่ีพบใน แ ล ะ แ บ่ ง ไ ด้ ห ล า ย ป ร ะ เ ภ ท ชวี ิตประจาวนั เนอื่ งจากธาตุคาร์บอนสามารถเกิด 2. เขยี นสูตรโครงสร้าง พันธะโคเวเลนต์กับธาตุคาร์บอน ลวิ อิส สตู รโครงสรา้ ง ด้วยพันธะเดี่ยว พันธะคู่ พันธะ แบบยอ่ และสูตร สาม และยังสามารถเกิดพันธะ โครงสร้างแบบเสน้ โคเวเลนต์กับธาตุอื่น ๆ ได้ เช่น ของสารประกอบ ไนโตรเจน ออกซิเจน กามะถัน อินทรยี ์ ฟอสฟอรัส การเขียนสูตรของ 3. วิเคราะห์โครงสร้าง สารประกอบอินทรีย์ อาจเขียน และระบปุ ระเภทของ เปน็ สูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างลิว สารประกอบอนิ ทรีย์ อิส สูตรโครงสร้างแบบย่อ และ จากหมูฟ่ ังก์ชนั สูตรโครงสร้างแบบเสน้ และมุม 4. เขียนสูตรโครงสร้าง สารประกอบอินทรีย์ มีหมู่ และเรียกช่ือสาร อะตอมที่ทาหน้าที่แสดงสมบัติของ ประกอบอินทรีย์ สารประกอบน้ัน ๆ ทาให้สามารถ ประเภทตา่ งๆ ท่ีมีหมู่ จัด สารประกอบอินทรีย์ตาม ฟงั ก์ชันไม่เกิน 1 หมู่ สมบัติของ หมู่อะตอมท่ีทาหน้าท่ี ตามระบบ IUPAC แสดงสมบัติ เรียกว่า หมู่ฟังก์ชัน 5. เขยี นไอโซเมอร์ เช่น โมเลกุลของสารอินทรีย์ใดมี โครงสรา้ งของสาร หมู่ -OH จัดเป็นสารประกอบ ประกอบอินทรยี ์ แอลกอฮอล์ ประเภทตา่ งๆ 6. วิเคราะห์ และ หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 357
ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด (ชวั่ โมง) คะแนน (100) เปรยี บเทียบจดุ เดือด และการละลายในนา้ ของสารประกอบ อนิ ทรียท์ ี่มีหมู่ฟังกช์ นั ขนาดโมเลกุล หรือ โครงสรา้ งตา่ งกัน 7. ระบปุ ระเภทของ สารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนและ เขียนผลติ ภณั ฑจ์ าก ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ ปฏกิ ิรยิ ากับโบรมีน หรอื ปฏกิ ิรยิ ากบั โพแทสเซียม - เปอรแ์ มงกาเนต 8. เขยี นสมการเคมี และอธบิ ายการ เกิดปฏิกริ ิยา เอสเทอริฟิเคชัน ปฏกิ ิริยาการ สังเคราะหเ์ อไมด์ ปฏกิ ริ ิยาไฮโดรลซิ ิส และปฏกิ ิรยิ าสะ ปอนนฟิ ิเคชนั 9. ทดสอบปฏกิ ิริยา เอสเทอริฟเิ คชนั ปฏกิ ิรยิ าไฮโดรลิซิส และปฏิกิรยิ า สะปอนนิฟิเคชัน 10. สืบคน้ ข้อมลู และ นาเสนอตัวอยา่ งการ หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 358
ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตัวช้วี ดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) นาสารประกอบ อินทรีย์ไปใชป้ ระโยชน์ ในชีวิตประจาวันและ อตุ สาหกรรม 2 พอลิเมอร์ 11. ระบปุ ระเภทของ พอลิเมอร์แบ่งตามลักษณะการ 30 20 ปฏิกริ ิยาการเกดิ พอลิ เกิด ได้ 2 ประเภท คือพอลิเม เมอร์จากโครงสร้าง อ ร์ ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ พ อ ลิ เ ม อ ร์ ของมอนอเมอร์หรอื สังเคราะห์ แบ่งตามชนิดของ พอลิเมอร์ มอนอเมอร์ได้ 2 ประเภท คือ 12. วิเคราะห์ และ ฮอมอพอลิเมอร์และโคพอลิเมอร์ อธบิ ายความสมั พันธ์ กระบวนการท่ีทาให้เกิดพอลิเมอร์ ระหว่างโครงสรา้ งและ เรียกว่า ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน สมบตั ิของพอลิเมอร์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ปฏิกิริยา รวมท้งั การนาไปใช้ พอลิเมอไรเซชันแบบเติมและ ประโยชน์ ป ฏิ กิ ริ ย า พ อ ลิ เ ม อ ไ ร เ ซ ชั น แ บ บ 13. ทดสอบ และระบุ ควบแน่น ประเภทของพลาสติก สมบัติของพอลิเมอร์จะข้ึนอยู่ และผลิตภณั ฑย์ าง กับโครงสร้างของพอลิเมอร์ ซึ่ง รวมทง้ั การนาไปใช้ โครงสร้างของพอลิเมอร์แบ่ง ประโยชน์ ออกเป็น 3 แบบ คือ พอลิเมอร์ 14. อธิบายผลของการ แบบเส้น พอลิเมอร์แบบก่ิง และ ปรบั เปลยี่ นโครงสร้าง พอลเิ มอรแ์ บบรา่ งแห และการสงั เคราะห์พอ ลเิ มอร์ทม่ี ีต่อสมบัติ ของพอลเิ มอร์ 15. สบื ค้นขอ้ มูล และ นาเสนอตวั อยา่ ง ผลกระทบจากการใช้ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 359
ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) และการกาจดั ผลิตภณั ฑ์พอลิเมอร์ และแนวทางแก้ไข รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 60 100 หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 360
รายวชิ า ชีววทิ ยา 5 คาอธบิ ายรายวิชา จานวน 3 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว33245 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 จานวนเวลาเรยี นทัง้ ส้ิน 60 ชัว่ โมง : ภาคเรยี น ศึกษาเก่ียวกับการรับรู้และการตอบสนองของสัตว์โครงสร้างและการทางานของเซลล์ ประสาท ศูนย์ควบคุมระบบประสาทของมนุษย์ การทางานของระบบประสาท อวัยวะรับความรู้สึก การเคล่ือนที่ของส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สัตว์มีกระดูกสันหลัง รวมทั้งการ เคล่ือนท่ขี องมนุษย์ ศกึ ษาระบบตอ่ มไรท้ อ่ การทางานร่วมกนั ของระบบต่อมไร้ท่อและระบบประสาท การรกั ษาสมดลุ ของฮอร์โมน การสืบพนั ธ์ุของสัตว์และมนุษย์ การเจรญิ เติบโตของสัตว์ กลไกการเกิด พฤติกรรม ประเภทพฤติกรรมของสัตว์ ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมและวิวัฒนาการของระบบ ประสาท และการสื่อสารระหว่างสัตว์โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสบื ค้นข้อมลู สงั เกต วิเคราะห์ เปรียบเทยี บ อธิบาย อภิปรายและสรุป โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ อธิบาย อภปิ รายและสรุป เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทาง วิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้าน การคิดและการแก้ปัญหา ด้านการสื่อสาร สามารถส่ือสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของ ตนเอง มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทเ่ี หมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. สืบคน้ ข้อมลู อธิบาย และเปรยี บเทยี บโครงสร้างและหน้าทขี่ องระบบประสาทขอไฮดรา พลานาเรยี ไส้เดือนดนิ กุ้ง หอย แมลง และสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั 2. อธบิ ายเก่ียวกบั โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของเซลลป์ ระสาท 3.อธิบายเก่ยี วกบั การเปลี่ยนแปลงของศักย์ไฟฟา้ ทเ่ี ย่อื หุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาทและกลไก การถ่ายทอดกระแสประสาท 4. อธิบาย และสรุปเกย่ี วกับโครงสร้างของระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาท รอบนอก 5. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของสว่ นต่างๆ ในสมองสว่ นหนา้ สมอง สว่ นกลาง สมองส่วนหลงั และไขสันหลัง 6. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ าย เปรียบเทยี บ และยกตัวอยา่ งการทางานของระบบประสาทโซมาติก และระบบประสาทอตั โนวัติ 7. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของ ตา หู จมูก ล้ิน และผิวหนงั ของมนุษย์ ยกตัวอยา่ งโรคต่างๆ ท่เี กีย่ วข้อง และบอกแนวทางในการดูแล ปอ้ งกัน และรักษา 8. สงั เกตและอธบิ ายการหาตาแหนง่ ของจุดบอด และโฟเวียของตา และความไวในการรับ สมั ผัสของผวิ หนงั หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 361
9. สืบคน้ ข้อมลู อธิบาย และเปรยี บเทียบโครงสร้างและหน้าทขี่ องอวยั วะทเ่ี กย่ี วข้องกับการ เคล่ือนที่ 10. อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ขี องกระดกู และกลา้ มเน้ือทเ่ี ก่ียวข้องกบั การเคลื่อนไหวและ การเคล่อื นทีข่ องมนุษย์ 11.สงั เกตและอธบิ ายการทางานของข้อต่อชนิดต่าง ๆ และการทางานของกลา้ มเน้ือโครง รา่ งทเ่ี กยี่ วข้องกับการเคล่อื นไหวและการเคล่ือนท่ขี องมนุษย์ 12. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย และยกตวั อยา่ งการสบื พนั ธแุ์ บบไม่อาศัยเพศและการสืบพันธ์ุแบบ อาศัยเพศในสัตว์ 13. สืบค้นขอ้ มลู อธิบายโครงสรา้ งและหน้าท่ีของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายและระบบ สืบพนั ธุ์เพศหญิง 14. อธบิ ายกระบวนการสร้างสเปริ ์ม กระบวนการสร้างเซลล์ไข่ และการปฏสิ นธิในมนุษย์ 15. อธบิ ายการเจรญิ เตบิ โตระยะเอม็ บรโิ อและระยะหลังเอ็มบริโอของกบ ไก่ และมนุษย์ 16. สบื คน้ ขอ้ มูล และอธบิ ายหนา้ ทขี่ องฮอรโ์ มนจากต่อมไร้ท่อและเน้อื เย่ือท่ีสร้างฮอรโ์ มน 17. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย เปรียบเทียบ และยกตัวอยา่ งพฤติกรรมท่เี ปน็ มาแต่กาเนดิ และ พฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรียนรขู้ องสตั ว์ 18. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบายและยกตวั อยา่ งความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพฤติกรรมกบั ววิ ฒั นาการของ ระบบประสาท 19. สืบค้นข้อมูล อธิบายและยกตวั อย่างการส่ือสารระหวา่ งสตั ว์ทท่ี าให้สัตวแ์ สดงพฤติกรรม รวมท้ังหมด 19 ผลการเรียนรู้ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 362
โครงสรา้ งรายวชิ า รายวิชา ชีววทิ ยา 5 รหัสวชิ า ว33245 จานวน 3 ช่วั โมง/สัปดาห์ ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรียนทั้งสิ้น 60 ช่วั โมง : ภาคเรียน สดั ส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก (ช่วั โมง) คะแนน การเรยี นรู้ ตัวชี้วดั (100) 2 16 ระบบ 1. สืบค้นข้อมลู 16.1 การรับรู้และการตอบสนอง 2 20 3 ประสาท อธบิ าย และเปรียบ 16.2 เซลลป์ ระสาท 3 3 และอวยั วะ เทยี บโครงสร้างและ 16.3 การทางานของเซลล์ 4 รับความ หน้าที่ของระบบ ประสาท รู้สึก ประสาทขอไฮดรา 16.4 ศนู ย์ควบคุมระบบประสาท พลานาเรีย ไสเ้ ดือน 16.5 การทางานของระบบ ดนิ ก้งุ หอย แมลง ประสาท และสัตวม์ ี 16.6 อวยั วะรบั ความรสู้ ึก กระดูกสนั หลัง 2.อธบิ ายเกย่ี วกับ โครงสรา้ งและหนา้ ที่ ของเซลล์ประสาท 3.อธบิ ายเก่ยี วกับการ เปลีย่ นแปลงของ ศักยไ์ ฟฟ้าท่เี ย่ือหมุ้ เซลลข์ องเซลล์ ประสาทและกลไกการ ถ่ายทอดกระแส ประสาท 4.อธบิ ายและสรุป เกี่ยวกับโครงสร้างของ ระบบประสาท สว่ นกลางและระบบ ประสาทรอบนอก 5.สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย โครงสรา้ งและหน้าที่ ของสว่ นตา่ งๆในสมอง หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 363
ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั (ชั่วโมง) คะแนน การเรียนรู้ ตัวชว้ี ดั (100) 17 การ ส่วนหนา้ สมอง 2 10 เคลื่อนที่ สว่ นกลาง สมองส่วน 2 ของ หลงั และไขสันหลัง 4 ส่งิ มชี ีวติ 6.สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบาย เปรยี บเทียบ และ ยกตวั อย่างการทางาน ของระบบประสาทโซ มาตกิ และระบบ ประสาทอัตโนวัติ 7. สบื ค้นข้อมูล อธบิ ายโครงสร้างและ หนา้ ท่ีของ ตา หู จมกู ลน้ิ และผวิ หนังของ มนษุ ย์ ยกตัวอยา่ งโรค ตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง และ บอกแนวทางในการ ดูแล 8.สังเกตและอธิบาย การหาตาแหนง่ ของ จุดบอด และโฟเวยี ของตา และความไวใน การรับสัมผสั ของ ผิวหนัง 9.สืบค้นข้อมูลอธิบาย 17.1 การเคลื่อนทขี่ องสิง่ มชี ีวติ แ ล ะ เ ป รี ย บ เ ที ย บ เซลลเ์ ดยี ว โครงสร้างและหน้าที่ 17.2 การเคล่ือนทขี่ องสัตวไ์ ม่มี ของอวัยวะที่เก่ียวข้อง กระดูกสนั หลงั กับการเคลอื่ นที่ 17.3 การเคลื่อนที่ของสตั วม์ ี 10. อธิบายโครงสร้าง กระดูกสันหลงั และหน้าที่ของกระดูก แ ล ะ ก ล้ า ม เ น้ื อ ที่ เ ก่ี ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร เคลื่อนไหวและการ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 364
ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนร/ู้ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก (ชวั่ โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด (100) 18 การ เคลื่อนที่ของมนษุ ย์ 2 10 สืบพันธุ์ 11.สังเกตและอธิบาย และการ การทางานของข้อต่อ 2 เจริญเติบ ชนิดต่าง ๆ และการ 4 โต ทางานของกล้ามเน้ือ 2 โครงรา่ งท่ีเกย่ี วข้องกับ 2 ก า ร เ ค ลื่ อ น ไ ห ว แ ล ะ 5 ก า ร เ ค ลื่ อ น ท่ี ข อ ง มนษุ ย์ 11.สังเกตและอธิบาย การทางานของข้อตอ่ ชนิดต่าง ๆ และการ ทางานของกลา้ มเนอ้ื โครงร่างทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การเคล่อื นไหวและ การเคลื่อนท่ีของ มนุษย์ 12.สืบค้นข้อมูล 18.1 การสบื พนั ธุข์ องสง่ิ มชี วี ิต อธบิ ายและยกตัว เซลล์เดยี ว อย่างการสบื พนั ธุแ์ บบ 18.2 การสืบพนั ธ์ขุ องสตั ว์ ไมอ่ าศยั เพศและการ 18.3 การสืบพนั ธข์ุ องคน สบื พันธุ์แบบอาศยั เพศ 18.4 การเจริญเตบิ โตของกบ 13.สบื ค้นข้อมูล 18.5 การเจรญิ เตบิ โตของไก่ อธบิ ายโครงสรา้ งและ 18.6 การเจรญิ เติบโตของมนุษย์ หนา้ ทีข่ องอวัยวะใน ระบบสืบพนั ธุเ์ พศชาย และระบบสืบพันธุ์ เพศหญงิ 14.อธบิ าย กระบวนการสรา้ ง สเปริ ์ม กระบวนการ สร้างเซลลไ์ ข่และการ ปฏสิ นธใิ นมนุษย์ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 365
ที่ ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ช่วั โมง) คะแนน การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ัด (100) 15.อธิบายการ เจรญิ เติบโตระยะ เอม็ บรโิ อและระยะ หลังเอ็มบริโอของกบ ไก่ และมนษุ ย์ 19 ระบบต่อม 16. สืบคน้ ขอ้ มูล และ 19.1 ต่อมไรท้ ่อ 3 10 10 ไร้ท่อ อธิบายหนา้ ทขี่ อง 19.2 ฮอรโ์ มนจากต่อมไร้ท่อและ 2 ฮอร์โมนจากตอ่ มไร้ทอ่ อวยั วะท่สี าคญั 3 และเน้ือเยื่อ 19.3 การรักษาดุลยภาพของ 17.สบื ค้นขอ้ มูล รา่ งกายดว้ ยฮอร์โมน อธิบาย เปรียบเทียบ 19.4 ฟีโรโมน และยกตวั อยา่ ง พฤติกรรมทีเ่ ปน็ มาแต่ กาเนดิ และพฤติกรรม ทเี่ กิดจากการเรยี นรู้ ของสัตว์ 18.สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ ายและยก ตวั อย่างความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งพฤติกรรมกับ วิวฒั นาการของระบบ ประสาท 19.สบื ค้นข้อมลู อธิบายและยก ตัวอย่างการสื่อสาร ระหว่างสัตว์ทีท่ าให้ สัตว์แสดงพฤติกรรม รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 - 20 สอบกลางภาค - 30 60 100 สอบปลายภาค รวม หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 366
คาอธบิ ายรายวชิ า รายวชิ า โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 5 รหสั วชิ า ว33265 จานวน 2 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 จานวน 1.0 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรยี นทั้งสน้ิ 40 ช่ัวโมง : ภาคเรียน ศึกษาระบบสุริยะเกิดจากการรวมตัวของสสารในเนบิวลาสุริยะ โดยสสารส่วนใหญ่รวมตัว กันเป็น ดวงอาทิตย์ และมวลที่เหลือรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ และบริวารอ่ืน ๆ กฎเคพเลอร์และ กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ความเป็นไปได้ที่จะพบส่ิงมีชีวิต บนดาวดวงอื่น ปัจจัยสาคัญต่อการ ดารงชวี ิตของสงิ่ มีชวี ติ และปรากฏการณบ์ นดวงอาทิตยย์ งั มีผลตอ่ โลกและสิ่งมชี วี ติ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความ้รู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วิเคราะห์ เปรยี บเทยี บ อธิบาย อภิปราย และสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการ ทาง วิทยาศาสตร์ รวมท้ังทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ในด้านการใช้การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์การ ปรากฏการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้า การคิดและการแก้ปัญหา ส่ิงที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของ ตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และคา่ นยิ มที่เหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายกระบวนการเกิดดาวฤกษโ์ ดยแสดงการเปลีย่ นแปลงความดนั อุณหภมู ิ ขนาด จากดาวฤกษ์ ก่อนเกิดจนเปน็ ดาวฤกษ์ 2. อธบิ ายกระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์และผลท่ีเกดิ ขน้ึ โดยวิเคราะห์ปฏิกิรยิ า ลูกโซโ่ ปรตอน-โปรตอน และวัฏจักรคารบ์ อน-ไนโตรเจน-ออกซิเจน 3. ระบปุ จั จยั ทส่ี ง่ ผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และอธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหว่างความ ส่องสว่าง กับโชตมิ าตรของดาวฤกษ์ 4. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างสี อณุ หภมู ผิ วิ และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ 5. อธบิ ายวธิ ีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ดว้ ยหลักการแพรัลแลกซ์ พร้อมคานวณหา ระยะทางของ ดาวฤกษ์ 6. อธิบายลาดับววิ ฒั นาการที่สมั พนั ธก์ บั มวลตั้งตน้ และวเิ คราะหก์ ารเปล่ียนแปลงสมบัติ บางประการ ของดาวฤกษ์ในลาดับวิวฒั นาการจากแผนภาพเฮิรต์ ซปรุง-รสั เซลล์ 7. อธิบายการกาเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอณุ หภมู ิของเอกภพหลังเกิด บกิ แบงในช่วงเวลาต่าง ๆ ตามววิ ฒั นาการของเอกภพ 8. อธบิ ายหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎบี ิกแบง จากความสมั พันธร์ ะหว่างความเรว็ กับ ระยะทาง ของกาแล็กซรี วมท้ังข้อมลู การคน้ พบไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศ 9. อธบิ ายโครงสรา้ งและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผอื ก และระบตุ าแหน่งของ ระบบ สุรยิ ะพร้อมอธบิ ายเช่ือมโยงกบั การสงั เกตเห็นทางชา้ งเผอื กของคนบนโลก 10. อธบิ ายกระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบง่ เขตบรวิ ารของดวงอาทิตย์และลักษณะของ ดาวเคราะห์ที่เอ้ือต่อการดารงชวี ติ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 367
11. อธิบายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบดวงอาทิตยด์ ้วยกฏเคพเลอร์และกฎความโนม้ ถ่วง ของนิวตนั พร้อมคานวณคาบการโคจรของดาวเคราะห์ 12. อธิบายโครงสรา้ งของดวงอาทติ ย์การเกิดลมสรุ ิยะ พายุสุริยะ และวเิ คราะหน์ าเสนอ ปรากฏการณ์หรือเหตุการณท์ ี่เกีย่ วข้องกับผลของลมสุริยะ และพายสุ รุ ิยะท่ีมีตอ่ โลกรวมทั้ง ประเทศไทย รวมทั้งหมด 12 ผลการเรียนรู้ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 368
โครงสร้างรายวชิ า รายวิชา โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 5 รหัสวชิ า ว33265 จานวน 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 จานวน 1.0 หน่วยกิต จานวนเวลาเรียนทั้งสน้ิ 40 ชัว่ โมง : ภาคเรียน สัดสว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตวั ช้วี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 1 เอกภพและ 1. อธิบายกาเนดิ และ - เอกภพเปน็ ระบบใหญ่ที่สุด 8 10 กาแลก็ ซี การเปลยี่ นแปลง ประกอบดว้ ยกาแล็กซจี านวน พลงั งาน สสาร ขนาด มหาศาลอยรู่ วมกนั เปน็ กระจุก อณุ หภูมิของเอกภพ กาแล็กซี และมสี สารตา่ ง ๆ อยู่ หลังเกิดบิกแบงในชว่ ง ระหว่างกาแล็กซี เวลาตา่ ง ๆ ตาม - ทฤษ้ฎีกาเนิดเอกภพทีย่ อมรับใน วิวัฒนาการของ ปัจจุบันคอื ทฤษ้ฎบี ิกแบง กลา่ วว่า เอกภพ เอกภพกาเนดิ จากจุดที่มีขนาดเล็ก 2. อธบิ ายหลกั ฐานท่ี มคี วามหนาแนน่ มาก และอุณหภมู ิ สนบั สนุนทฤษฎี สงู มาก เมื่อเกิดการขยายตัว เอก บกิ แบงจากความ ภพจะมีอณุ หภูมลิ ดลง มสี สาร สัมพันธ์ระหว่าง เกิดขึน้ ในรูปอนภุ าคและ ความเร็วกบั ระยะทาง ปฏิยานุภาคชนิดต่าง ๆ หลกั ฐาน ของกาแล็กซี รวมท้งั สาคัญทีส่ นับสนนุ ทฤษฎบี กิ แบง ขอ้ มลู การค้นพบ คอื การขยายตัวของเอกภพ และ ไมโครเวฟพืน้ หลังจาก การคน้ พบไมโครเวฟพ้ืนหลงั จาก อวกาศ อวกาศ 3. อธบิ ายโครงสร้าง - กาแล็กซปี ระกอบด้วยดาวฤกษ์ และองคป์ ระกอบของ จานวนมาก เนบิวลา และสสาร กาแลก็ ซีทางช้างเผือก ระหวา่ งดาวซงึ่ อยรู่ วมกนั เป็น และระบตุ าแหนง่ ของ ระบบ ดว้ ยแรงโน้มถ่วง กาแลก็ ซี ระบบสรุ ยิ ะ พร้อม ทางช้างเผอื กเปน็ กาแล็กซีกังหนั มี อธิบายเชือ่ มโยงกับ คาน มโี ครงสร้าง คือ นวิ เคลียส การสงั เกตเห็นทาง จานและฮาโล โดยมีระบบสุริยะอยู่ ชา้ งเผอื กของคนบน ทบ่ี ริเวณแขนของกาแล็กซีคนบน โลก โลกสังเกตเหน็ เพยี งบางส่วนของ กาแล็กซี ทางชา้ งเผือก ซง่ึ มี หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 369
ท่ี ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ ตัวชวี้ ดั (ชัว่ โมง) คะแนน (100) ลกั ษณะเป็นแถบฝ้าจาง ๆ พาด 10 15 ผา่ นทอ้ งฟา้ เป็นแนวยาวเรยี กวา่ ทางชา้ งเผอื ก 2 ดาวฤกษ์ 1. อธิบายกระบวน - ดาวฤกษแ์ ต่ละดวงมสี มบัติ (Stars) การเกิดดาวฤกษ์โดย แตกต่างกัน เชน่ ความส่องสว่าง แสดงการเปลยี่ นแปลง โชตมิ าตร อุณหภมู ิ ผวิ สี มวลของ ความดนั อุณหภูมิ ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์เกิดจากการ ขนาด จากดาวฤกษ์ รวมกลุ่มของสสารในเนบิวลาทีม่ ี ก่อนเกิดจนเปน็ การกระจายตัวอยา่ งไม่สม่าเสมอ ดาวฤกษ์ - แรงโนม้ ถว่ ง ทาให้สสารมา 2. อธบิ าย รวมกันอย่างหนาแน่นในบาง กระบวนการสรา้ ง บรเิ วณ เกดิ การหมุนรอบตัวเอง พลงั งานของดาวฤกษ์ และยุบตวั ของกล่มุ สสาร ทาใหม้ ี และผลท่ีเกดิ ข้นึ โดย ขนาดเล็กลง แต่มีความดันและ วิเคราะห์ปฏกิ ิริยา อุณหภมู เิ พมิ่ ขน้ึ เกิดเป็นดาวฤกษ์ ลกู โซ่โปรตอนโปรตอน กอ่ นเกดิ และวฏั จักรคาร์บอน- - เมือ่ อุณหภูมทิ ี่ศนู ย์กลาง สูงขน้ึ ไนโตรเจน-ออกซิเจน จนเกดิ ปฏิกิรยิ าเทอรม์ อนวิ เคลียร์ 3. ระบปุ จั จัยท่ีส่งผล ส่งผลใหเ้ กดิ เป็นก้อนแกส๊ ขนาด ตอ่ ความส่องสว่างของ ใหญ่ เกดิ เปน็ ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ และอธบิ าย - ดาวฤกษอ์ ยู่ในสภาพสมดลุ ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ระหว่างแรงดันกับแรงโนม้ ถ่วง ความส่องสวา่ ง กบั ดาวฤกษ์จะมีขนาดคงที่ โชติมาตรของดาวฤกษ์ - ดาวฤกษ์แตล่ ะดวง มีการ 4. อธบิ าย วิวัฒนาการแตกต่างกันขนึ้ อยู่กับ ความสัมพันธ์ระหวา่ ง มวลต้งั ต้นของดาวฤกษ์ สี อณุ หภมู ผิ ิวและ สเปกตรัมของ ดาวฤกษ์ 5. อธิบายวธิ กี ารหา ระยะทางของดาวฤกษ์ ด้วยหลักการแพรัล- แลกซ์ พร้อมคานวณ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 370
ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตัวช้ีวัด (ช่วั โมง) คะแนน (100) หาระยะทางของ ดาวฤกษ์ 6. อธิบายลาดับ วิวฒั นาการทีส่ มั พนั ธ์ กับมวลตั้งต้น และ วเิ คราะหก์ ารเปลีย่ น แปลงสมบัติบาง ประการ ของดาวฤกษ์ ในลาดบั วิวัฒนาการ จากแผนภาพ เฮิรต์ ซปรุง-รัสเซลล 3 ระบบสรุ ิยะ 1. อธบิ ายกระบวน - ระบบสุริยะเกดิ จากการรวมตวั 8 15 (Solar การเกิดระบบสุรยิ ะ ของสสารในเนบิวลาสรุ ยิ ะ โดย System) การแบง่ เขตบริวาร สสารสว่ นใหญร่ วมตัวกันเป็น ดวง ของดวงอาทิตย์ และ อาทติ ย์ และมวลทเี่ หลอื รวมตัวกนั ลักษณะของดาว เปน็ ดาวเคราะห์ และบริวารอ่ืน ๆ เคราะห์ ที่เอ้อื ต่อการ โคจรรอบดวงอาทติ ย์ซง่ึ อธิบาย ได้ ดารงชีวิต ด้วยกฎเคพเลอร์และกฎแรงโนม้ 2. อธบิ ายการโคจร ถ่วงของนิวตนั ปจั จบุ ันมีการศึกษา ของดาวเคราะห์รอบ ถึงความเปน็ ไปไดท้ ่ีจะพบสงิ่ มีชวี ิต ดวงอาทิตย์ด้วย บนดาวดวงอนื่ หากดาวดวงน้ันมี กฎเคพเลอร์ และกฎ สภาวะทเี่ อ้อื ตอ่ การดารงชวี ติ ความโน้มถ่วงของนวิ - พลังงานจากดวงอาทิตย์นอกจาก ตนั พร้อมคานวณคาบ จะเปน็ ปัจจัยสาคญั ต่อการ การโคจรของดาว ดารงชวี ติ ของสิง่ มชี ีวติ แลว้ เคราะห์ ปรากฏการณ์บนดวงอาทิตยย์ ังมี 3. อธบิ ายโครงสร้าง ผลตอ่ โลกและสงิ่ มีชีวิต บนโลก ของดวงอาทติ ย์ การ เกดิ ลมสุริยะ พายุ สุริยะ และวิเคราะห์ นาเสนอปรากฏการณ์ หรอื เหตุการณท์ ่ี เกย่ี วข้องกับผลของลม หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 371
ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู/้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ ตวั ชีว้ ดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) สุรยิ ะและพายุสุริยะท่ี มตี อ่ โลกรวมทั้ง ประเทศไทย 4 เทคโนโลยี 1.สืบค้นขอ้ มูล อธิบาย - เทคโนโลยีอวกาศเป็นเทคโนโลยี 14 10 อวกาศและ การสารวจอวกาศโดย ทพ่ี ฒั นาเพอ่ื ใช้ในการสารวจ กาประยุกต์ ใชก้ ล้องโทรทรรศน์ อวกาศ ใช้ (Space ในชว่ งความยาวคล่นื - ศึกษาโลกจากอวกาศ ในการ Technology ต่าง ๆ ดาวเทียม ยาน สารวจอวกาศมีการใช้เทคโนโลยี and อวกาศ สถานีอวกาศ อวกาศรว่ มกนั หลายอยา่ ง เชน่ Application) 2. นาเสนอแนวคิด กลอ้ งโทรทรรศน์ ยานอวกาศ การนาความรทู้ างดา้ น สถานีอวกาศ ดาวเทียม เทคโนโลยอี วกาศมา - การความรู้เทคโนโลยอี วกาศได้ ประยกุ ต์ใช้ ใน นามาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์กับมนุษย์ ชวี ติ ประจาวนั หรือใน ใน ด้านต่าง ๆ เช่น วสั ดุศาสตร์ อนาคต อาหาร การแพทย์ 3. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบายการสารวจ อวกาศโดยใชก้ ล้อง โทรทรรศน์ในช่วง ความยาวคล่นื ต่าง ๆ ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานอี วกาศ และ นาเสนอแนวคิดการ นาความรูท้ างด้าน เทคโนโลยอี วกาศมา ประยุกต์ใช้ ในชีวิต ประจาวนั หรอื ใน อนาคต รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลักสตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 372
รายวิชา ฟสิ ิกส์ 6 คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 3 ชัว่ โมง/สัปดาห์ รหสั วชิ า ว33206 จานวน 1.5 หนว่ ยกติ ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 จานวนเวลาเรียนทัง้ สิน้ 60 ช่วั โมง : ภาคเรียน ศึกษาการเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โพลาไรเซชันของคล่ืน แม่เหล็กไฟฟ้า การสื่อสารโดยอาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า สมมติฐานของพลังค์ ทฤษ้ฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค เสถียรภาพของนิวเคลียส กัมมันตภาพรังสี ปฏิกิริยานิวเคลยี ร์ พลังงานนิวเคลยี ร์และฟสิ กิ สอ์ นภุ าค โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วิเคราะห์ เปรียบเทียบ อธบิ าย อภิปราย และสรุป เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการ ทาง วิทยาศาสตร์ รวมท้ังทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและ การแก้ปญั หา ดา้ นการสือ่ สาร สามารถส่อื สารสิ่งท่เี รียนรู้และนา ความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิต วทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และค่านยิ มท่เี หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. อธบิ ายการเกิดและลกั ษณะเฉพาะของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า แสงไมโ่ พลาไรส์ แสงโพลาไรส์ เชงิ เส้น และแผน่ โพลารอยด์ รวมทง้ั อธิบายการนาคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชว่ งความถตี่ า่ งๆ ไป ประยกุ ตใ์ ช้ และหลกั การทางานของอปุ กรณท์ ่เี กย่ี วข้อง 2. สืบคน้ และอธบิ ายการสอื่ สารโดยอาศยั คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ และ เปรียบเทยี บการส่ือสารด้วยสัญญาณแอนะล็อกกับสญั ญาณดจิ ิทัล 3. อธบิ ายสมมตฐิ านของพลังค์ ทฤษ้ฎีอะตอมของโบร์ และการเกดิ เส้นสเปกตรัมของ อะตอมไฮโดรเจน รวมทัง้ คานวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง 4. อธบิ ายปรากฏการณ์โฟโตอเิ ลก็ ทริกและคานวณพลังงานโฟตอน พลังงานจลน์ของ โฟโตอิเล็กตรอนและ ฟงั กช์ ันงานของโลหะ 5. อธบิ ายทวิภาวะของคลื่นและอนภุ าค รวมทั้งอธิบายและคานวณความยาวคลน่ื เดอบรอยล์ 6. อธบิ ายกมั มันตภาพรังสีและความแตกต่างของรงั สแี อลฟา บตี าและแกมมา 7. อธิบายและคานวณกมั มนั ตภาพของนวิ เคลยี สกัมมันตรังสี รวมทั้งทดลอง อธิบาย และ คานวณจานวนนิวเคลยี สกมั มันตรังสีท่ีเหลือจากการสลายและครึง่ ชีวิต 8. อธิบายแรงนิวเคลยี ร์ เสถยี รภาพของนิวเคลยี ส และพลังงานยึดเหนย่ี ว รวมทั้งคานวณ ปริมาณต่างๆ ท่ีเกย่ี วข้อง 9. อธบิ ายปฏิกิริยานิวเคลียร์ ฟชิ ชัน และฟิวชัน รวมทงั้ คานวณพลังงานนวิ เคลยี ร์ 10. อธบิ ายประโยชนข์ องพลังงานนิวเคลยี ร์และรงั สี รวมท้ังอันตรายและการป้องกนั รังสีใน ด้านตา่ ง ๆ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 373
11. อธิบายการคน้ ควา้ วิจยั ดา้ นฟสิ ิกส์อนภุ าค แบบจาลองมาตรฐาน และการใช้ประโยชน์ จากการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสกิ สอ์ นภุ าคในด้านตา่ ง ๆ รวมทั้งหมด 11 ผลการเรยี นรู้ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 374
โครงสร้างรายวิชา รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 6 รหสั วชิ า ว33206 จานวน 3 ชัว่ โมง/สัปดาห์ ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 จานวน 1.5 หน่วยกติ จานวนเวลาเรียนทั้งสิ้น 60 ชั่วโมง : ภาคเรียน สัดส่วนคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ ตัวชว้ี ัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) 1 คลน่ื 1. อธบิ ายการเกิดและ - คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าเกดิ จากการ 15 10 แม่เหล็กไฟ ลกั ษณะเฉพาะของ เหนีย่ วนา อยา่ งตอ่ เนื่องระหว่าง ฟา้ คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ สนามแม่เหลก็ และสนามไฟฟ้า แสงไมโ่ พลาไรส์ แสง กล่าว คอื สนามไฟฟ้าที่ โพลาไรสเ์ ชิงเส้น และ เปลี่ยนแปลงตามเวลาทา ใหเ้ กดิ แผ่นโพลารอยด์ สนามแม่เหล็ก ในขณะเดยี วกัน รวมท้งั อธิบายการนา สนามแมเ่ หล็กที่เปลยี่ นแปลง ตาม คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ เวลากท็ า ใหเ้ กิดสนามไฟฟา้ คลืน่ ในช่วงความถ่ตี ่างๆ ไป แม่เหล็กไฟฟ้าจงึ ประกอบด้วย ประยุกต์ใช้ และ สนามแมเ่ หล็กและสนามไฟฟ้าที่ หลักการทางานของ เปลย่ี นแปลงตลอดเวลา อปุ กรณ์ทีเ่ กี่ยวข้อง - คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ามคี วามถี่ 2. สบื ค้นและอธิบาย ต่าง ๆ มากมายตอ่ เนื่องกนั เป็น การสื่อสารโดยอาศยั ช่วงกว้าง เรียกรวมกันวา่ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ใน สเปกตรัม คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า การส่งผา่ นสารสนเทศ สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ และเปรียบเทยี บการ ประกอบด้วย คลนื่ วทิ ยไุ มโครเวฟ ส่ือสารดว้ ยสัญญาณ รงั สอี นิ ฟราเรด แสง รังสี แอนะล็อกกับสัญญาณ อลั ตราไวโอเลต รงั สีเอกซแ์ ละรังสี ดิจทิ ลั แกมมา ในปัจจุบันคลื่น แม่เหล็กไฟฟา้ แต่และชนดิ ถูกนา ไปประยุกต์ ใชใ้ นด้านตา่ ง ๆ - คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าทมี่ ี สนามไฟฟา้ เปลีย่ นแปลงกลบั ไปมา อย่ใู นหลายระนาบทต่ี ั้งฉากกับ ทิศทางการเคล่ือนท่ี แสงจาก แหลง่ กา เนิดแสงดงั กลา่ วจึงเป็น หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 375
ที่ ชอ่ื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรยี นรู้ ตวั ช้วี ดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) แสงไม่โพลาไรส์ สนามไฟฟ้า เปลย่ี นแปลงทิศทางกลับไปมาใน ระนาบเดียว เรยี กคล่ืน แมเ่ หล็กไฟฟา้ ลกั ษณะนีว้ า่ คล่ืน โพลาไรสเ์ ชิงเส้น กระบวนการน้ี เรยี กวา่ โพลาไรเซชนั 2 ฟสิ กิ ส์ 1. อธิบายสมมตฐิ าน - สมมตฐิ านของพลงั ค์ วัตถุดา 20 20 อะตอม ของพลงั ค์ ทฤษ้ฎี (blackbody) เปน็ วตั ถุท่แี ผ่คล่ืน อะตอมของโบร์ และ แม่เหล็กไฟฟา้ และดดู กลืนคล่ืน การเกดิ เสน้ สเปกตรมั แม่เหลก็ ไฟฟ้าได้อย่างสมบรู ณ์ ของอะตอมไฮโดรเจน พลังงานของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าท่ี รวมทง้ั คานวณ วตั ถุดา ดดู กลืนหรือแผอ่ อกมามีค่า ปริมาณตา่ ง ๆ ที่ ได้เฉพาะบางค่า เกี่ยวข้อง - ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ 2. อธบิ าย อิเล็กตรอนทโ่ี คจรรอบนิวเคลยี ส ปรากฏการณโ์ ฟโต โดยไม่แผ่คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าน้ัน อิเลก็ ทริกและคานวณ จะอยใู่ นวงโคจรเฉพาะบางคา่ เม่ือ พลงั งานโฟตอน อเิ ล็กตรอนเปลย่ี นวงโคจร จะมี พลังงานจลนข์ องโฟโต การรบั หรอื ปลอ่ ยพลังงานบางค่า อเิ ล็กตรอนและ ออกมาในรปู ของคลื่แม่เหล็กไฟฟ้า ฟงั ก์ชันงานของโลหะ ตามสมมตฐิ านของพลัง 3. อธิบายทวภิ าวะ - เมื่อแสงท่ีมคี วามถ่ีเหมาะสมตก ของคล่ืนและอนภุ าค กระทบผิวโลหะ จะทาให้ รวมทง้ั อธิบายและ อเิ ล็กตรอนหลดุ จากผวิ โลหะน้ันได้ คานวณความยาวคลื่น เรียกปรากฏการณน์ ้วี ่า เดอบรอย้ล์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) โดยเรียก อเิ ลก็ ตรอนท่หี ลุด จากผวิ โลหะว่า โฟโตอิเลก็ ตรอน (photoelectron) ซง่ึ จะมีจานวนเพม่ิ ขึ้นตามความ เข้มแสงที่ตกกระทบ หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 376
ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก การเรียนรู้ ตวั ชี้วดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) - พลังงานทีโ่ ลหะ ยึดอเิ ลก็ ตรอนไว้ เรยี กวา่ ฟังก์ชันงาน (work function) จากกฎการอนรุ ักษ์ พลงั งาน จะได้หาพลังงานจลน์ สงู สุดของโฟโตอิเลก็ ตรอนได้ - อนภุ าคสามารถแสดงสมบัติของ คลนื่ ได้โดยมีความยาวคลื่น ซึ่ง เรยี กวา่ ความยาวคล่นื เดอบรอยล์ และสมมตฐิ านน้ีเรยี กว่า สมมตฐิ านของเดอบรอยล์ - ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค (wave-particle duality) ซง่ึ เปน็ รากฐานในการพัฒนา กลศาสตร์ ควอนตัม (quantum mechanics) ท่ี เปน็ สาขาหนงึ่ ของวิชาฟสิ ิกส์ ที่ ศึกษาเกีย่ วกับธรรมชาติในระดบั อะตอมและเลก็ กวา่ ได้อยา่ ง กว้างขวาง และนาไปประยกุ ต์ใช้ 3 ฟิสิกส์ 1. อธิบาย - ภายในนวิ เคลยี สประกอบด้วย 25 20 นวิ เคลยี ร์ กมั มันตภาพรงั สีและ โปรตอนซ่ึงมีประจุบวกและ และอนภุ าค ความแตกต่างของรังสี นวิ ตรอนซ่งึ เป็นกลางทางไฟฟ้า แอลฟา บตี าและ เรียกอนุภาคทงั้ สองว่า นิวคลีออน แกมมา (nucleon) การที่ นวิ คลอี อนอยู่ 2. อธิบายและ รวมกันได้ในนิวเคลยี สเน่ืองจากมี คานวณกมั มันตภาพ แรงนิวเคลยี ร์(nuclear force) ของนวิ เคลยี ส - การทา ให้นวิ คลีออนแยกออก กัมมนั ตรังสี รวมทั้ง จากกนั ต้องให้พลงั งานแก่ ทดลอง อธิบาย และ นวิ เคลยี ส โดยพลังงานท่ีพอดีทา คานวณจานวน ใหน้ ิวคลอี อน ทงั้ หมดในนิวเคลียส นิวเคลียสกัมมันตรงั สี แยกออกจากกนั เรยี กว่า พลงั งาน ทเี่ หลือจากการสลาย ยดึ เหนย่ี ว (binding energy หรือ และคร่ึงชวี ติ nuclear binding energy, E) หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 377
ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา น้าหนกั การเรียนรู้ ตวั ชี้วดั (ชวั่ โมง) คะแนน (100) 3. อธบิ ายแรง - ธาตุท่มี นี วิ เคลยี สไมเ่ สถยี รจะแผ่ นวิ เคลียรเ์ สถยี รภาพ รงั สีออกมาไดเ้ องอยา่ งตอ่ เน่ือง ของนวิ เคลยี ส และ เรียกปรากฏการณ์น้วี า่ พลังงานยึดเหนย่ี ว กมั มนั ตภาพรังสี (radioactivity) รวมท้ังคานวณ โดยไอโซโทปของธาตทุ ี่สามารถแผ่ ปรมิ าณต่างๆ ท่ี รงั สีได้เองเรยี กวา่ ไอโซโทป เก่ียวข้อง กมั มนั ตรงั สี (radioactive 4. อธบิ ายปฏิกิริยา isotope) ส่วนธาตทุ ีท่ กุ ไอโซโทป นิวเคลยี ร์ ฟชิ ชนั เปน็ ไอโซโทปกัมมันตรังสีเรียกวา่ และฟิวชัน รวมท้ัง ธาตุกมั มนั ตรงั สี (radioactive คานวณพลงั งาน element) นิวเคลียร์ - รงั สที แ่ี ผอ่ อกมาจากธาตุและ 5. อธบิ ายประโยชน์ ไอโซโทปกัมมันตรังสีสว่ นใหญ่มี3 ของพลังงานนิวเคลียร์ ชนิด ได้แก่ รงั สแี อลฟา และรงั สี รวมทัง้ (alpha ray) รงั สบี ีตา (beta ray) อันตรายและการ และรงั สีแกมมา (gamma ray) ซง่ึ ปอ้ งกันรังสีในดา้ น รังสีแตล่ ะชนิดมีองคป์ ระกอบ ตา่ ง ๆ ประจุไฟฟา้ มวล อานาจทะลุผ่าน 6. อธิบายการ และ สมบตั อิ ืน่ ๆ แตกต่างกัน ค้นคว้าวิจัยด้านฟสิ ิกส์ - การแผ่รังสีของธาตุและไอโซโทป อนภุ าค แบบจาลอง กมั มนั ตรังสีมีสาเหตุมาจากการท่ี มาตรฐาน และการใช้ นิวเคลียสไมเ่ สถียรมีการเปลีย่ น ประโยชน์จากการ แปลงเพื่อใหม้ ีเสถียรภาพมากกวา่ ค้นคว้าวิจยั ด้านฟสิ ิกส์ เดมิ โดยอาจเปลี่ยนไปเป็น อนภุ าคในดา้ นต่าง ๆ นิวเคลยี สชนดิ ใหมห่ รือเปลยี่ นไป อยู่ในระดบั พลังงานต่า กว่าเดิม เรยี กกระบวนการเปลีย่ นแปลงนี้ กวา่ การสลายกมั มันตรังสี (radioactive decay) หรือ การ สลาย (decay) หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 378
ท่ี ช่อื หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตวั ชี้วัด (ชั่วโมง) คะแนน (100) - นวิ เคลยี สท่ีไม่เสถยี รและมกี าร สลายเรียกวา่ นวิ เคลียส กัมมันตรงั สี (radioactive nucleus) โดย กระบวนการที่ นิวเคลียสกมั มันตรงั สีมีการสลาย แลว้ ใหอ้ นภุ าคแอลฟา อนุภาค บีตา หรือ รังสแี กมมา - กระบวนการทนี่ ิวเคลยี สมีการ เปล่ยี นแปลงองค์ประกอบภายใน เมอ่ื ได้รับการกระตุ้น เรียกวา่ ปฏกิ ิริยานิวเคลยี ร(์ nuclear reaction) ซึ่งปฏกิ ิรยิ านวิ เคลยี รท์ ่ี นิวเคลยี สมวลมากแยกออกเป็น นิวเคลยี ส ทม่ี มี วลนอ้ ยกว่า เรยี กว่า ฟิชชนั (fission) สว่ น ปฏิกิรยิ าที่นิวเคลยี สทมี่ ีมวลน้อย รวมกันเปน็ นวิ เคลียสทมี่ ี มวลมาก เรียกวา่ ฟวิ ชัน (fusion) - พลังงานนิวเคลียร์จากฟชิ ชนั สามารถนา ไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า โดยมอี ุปกรณส์ าคัญคอื เคร่อื ง ปฏกิ รณน์ ิวเคลยี ร์ (nuclear reactor) รังสีจากธาตุและ ไอโซโทปกัมมนั ตรังสีสามารถนา มาใช้ประโยชนไ์ ด้หลากหลายดา้ น เชน่ ด้านการ แพทย์ดา้ น เกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรม รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 60 100 หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 379
รายวิชา เคมี 6 คาอธิบายรายวิชา จานวน 3 ชัว่ โมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว33226 จานวน 1.5 หน่วยกิต ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 จานวนเวลาเรยี นทง้ั สิน้ 60 ชั่วโมง : ภาคเรยี น ศกึ ษากาหนดปัญหาและนาเสนอแนวทางการแกป้ ญั หาโดยใช้ความรู้ทางเคมี แสดงหลักฐาน การ บรู ณาการความรู้ทางเคมีร่วมกับสาขาวิชาอ่ืน รวมทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือ กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เพอื่ แกป้ ัญหาในสถานการณห์ รอื ประเด็นท่ีสนใจ นาเสนอผลงาน หรือช้ินงานที่ได้จากการแก้ปัญหา และแสดงหลักฐานการเข้าร่วมการสัมมนา การเข้าร่วมประชุม วชิ าการ หรือการแสดงผลงานส่ิงประดษิ ฐใ์ นงานนิทรรศการ โดยใช้การเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจ ตรวจสอบ สามารถนาความรู้และหลักการไปใช้ประโยชน์ เชื่อมโยง อธิบายปรากฏการณ์ หรือ แกป้ ัญหาในชีวิตประจาวนั สามารถจัดกระทาและวิเคราะหข์ ้อมูล สื่อสารสงิ่ ที่เรียนรู้ เพือ่ มคี วามสามารถในการตัดสินใจแก้ปัญหา มีจิตวิทยาศาสตร์ เห็นคุณค่าของวิทยาศาสตร์ มีจรยิ ธรรม คณุ ธรรมและคา่ นิยมทเ่ี หมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. กาหนดปัญหาและนาเสนอแนวทางการแก้ปญั หาโดยใชค้ วามร้ทู างเคมจี ากสถานการณ์ท่ี เกิดขน้ึ ในชีวติ ประจาวนั การประกอบอาชีพ หรืออตุ สาหกรรม 2. แสดงหลักฐานถึงการบรู ณาการความร้ทู างเคมรี ่วมกับสาขาวชิ าอืน่ รวมทัง้ ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์หรอื กระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม โดยเน้นการคดิ วิเคราะห์ การ แกป้ ญั หาและความคดิ สรา้ งสรรค์ เพ่ือแก้ปัญหาในสถานการณห์ รือประเดน็ ที่สนใจ 3. นาเสนอผลงานหรอื ช้ินงานทไ่ี ดจ้ ากการแก้ปัญหาในสถานการณห์ รือประเด็นท่ีสนใจ โดย ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ 4. แสดงหลักฐานการเขา้ รว่ มการสัมมนา การเขา้ รว่ มประชุมวิชาการ หรอื การแสดงผลงาน ส่ิงประดิษฐใ์ นงานนทิ รรศการ รวมท้ังหมด 4 ผลการเรยี นรู้ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 380
โครงสร้างรายวิชา รายวชิ า เคมี 6 รหัสวชิ า ว33226 จานวน 3 ช่ัวโมง/สัปดาห์ ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรยี นท้งั สิ้น 60 ชั่วโมง : ภาคเรยี น สดั สว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตัวชี้วดั (ช่วั โมง) คะแนน (100) 1 โครงงาน 1. กาหนดปญั หาและ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็น 60 50 ทาง นาเสนอแนวทางการ วธิ กี ารและขัน้ ตอนที่ วิทยาศาสตร์ แกป้ ัญหาโดยใช้ นกั วิทยาศาสตรใ์ ช้ดาเนนิ การ ความรูท้ างเคมจี าก ค้นคว้าหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ สถานการณ์ท่เี กดิ ข้ึน จากธรรมชาติได้อย่างมีระบบและ ในชีวติ ประจาวนั การ มีประสทิ ธิภาพ แบ่งออกเป็น 3 ประกอบอาชีพ หรอื ประเภท คอื วิธีการทาง อตุ สาหกรรม วิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการ 2. แสดงหลักฐานถึง ทางวทิ ยาศาสตร์ และจิต การบูรณาการความรู้ วทิ ยาศาสตร์ การทาโครงงาน ทางเคมีร่วมกบั วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ กจิ กรรมทีต่ ้องทา สาขาวชิ าอน่ื รวมท้งั อย่างเป็นขนั้ ตอน ซ่งึ แบง่ ออกได้ ทักษะกระบวนการ เปน็ 5 ขัน้ ตอนหลกั คอื การคิด ทางวทิ ยาศาสตร์หรือ และเลือกช่อื เรือ่ งหรอื ชอ่ื ปัญหาท่ี กระบวนการออกแบบ จะศกึ ษา การวางแผนในการทา เชิงวศิ วกรรม โดยเน้น โครงงาน การลงมือทาโครงงาน การคดิ วิเคราะห์ การ การเขยี นรายงาน และการ แก้ปญั หาและ แสดงผลงาน ความคิดสร้างสรรค์ เพอื่ แก้ปัญหาใน สถานการณห์ รือ ประเดน็ ทส่ี นใจ 3. นาเสนอผลงาน หรือชนิ้ งานทไ่ี ด้จาก การแก้ปัญหาใน สถานการณห์ รือ ประเด็นที่สนใจ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 381
ท่ี ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก การเรยี นรู้ ตัวชวี้ ัด (ชัว่ โมง) คะแนน (100) โดยใชเ้ ทคโนโลยี - 50 สารสนเทศ - 20 4. แสดงหลกั ฐานการ - 30 เขา้ ร่วมการสมั มนา 60 100 การเขา้ ร่วมประชุม วิชาการ หรือการ แสดงผลงานสง่ิ ประดษิ ฐใ์ นงาน นิทรรศการ รวมคะแนนระหว่างเรียน สอบกลางภาค สอบปลายภาค รวม หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 382
รายวิชา ชีววิทยา 6 คาอธบิ ายรายวชิ า จานวน 3 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ รหสั วชิ า ว33246 จานวน 1.5 หนว่ ยกิต ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 จานวนเวลาเรยี นทง้ั ส้ิน 60 ช่ัวโมง : ภาคเรยี น ศึกษาเก่ียวกับความหลากหลายทางชีวภาพ กาเนิดเซลล์เร่ิมแรก ความหลากหลายของ สิง่ มีชวี ิตกลมุ่ โปรคาริโอต ได้แก่ แบคทีเรีย อาร์เคีย และกลุ่มยูคาริโอต ได้แก่ โปรติส พืช ฟังใจ สัตว์ ศกึ ษาการจาแนกส่งิ มชี วี ติ การตัง้ ชอื่ และระบชุ ือ่ วิทยาศาสตร์ ศกึ ษาเก่ียวกับไบโอม การเปลี่ยนแปลง แทนท่ขี องสง่ิ มีชวี ติ ในระบบนเิ วศ ความหลากหลายของระบบนเิ วศและกระบวนการท่ีสาคัญในระบบ นิเวศ เช่น วัฏจักรสาร และการถ่ายทอดพลังงานในสิ่งมีชีวิต ศึกษาเก่ียวกับลักษณะเฉพาะของ ประชากร การเติบโตของประชากร และประชากรมนุษย์ในแง่ของโครงสร้างอายุของประชากรและ อัตราส่วนระหว่างเพศ ศึกษาเก่ียวกับประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรน้า อากาศ ป่าไม้ รวมท้ังปัญหาและการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมชนิดพันธ์ุต่างถิ่นที่ส่งผล กระทบต่อทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วเิ คราะห์ เปรียบเทยี บ อธิบาย อภปิ รายและสรปุ เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทาง วิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้าน การคิดและการแก้ปัญหา ด้านการส่ือสาร สามารถส่ือสารส่ิงท่ีเรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของ ตนเอง มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม และค่านยิ มท่ีเหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. อภิปรายความสาคญั ของความหลากหลายทางชวี ภาพ และความเชื่อมโยงระหว่างความ หลากหลายทางพนั ธุกรรม ความหลากหลายของสปชี สี ์และความหลากหลายของระบบนเิ วศ 2. อธิบายการเกิดเซลลเ์ รมิ่ แรกของสง่ิ มีชวี ิตและวิวัฒนาการของสิง่ มีชวี ติ เซลล์เดยี ว 3. อธิบายลกั ษณะสาคัญและยกตัวอยา่ งสิ่งมชี วี ิตกลุ่มแบคทเี รยี สงิ่ มชี ีวติ กลุ่มโพรทิสต์ สง่ิ มีชีวติ กลมุ่ พืช ส่งิ มชี ีวิตกลุ่มฟังไจ และส่งิ มีชวี ิตกลุ่มสัตว์ 4. อธิบายและยกตวั อย่างการจาแนกสิ่งมีชวี ติ จากหมวดหมู่ใหญจ่ นถึงหมวดหมูย่ ่อย และ วิธกี ารเขียนชอื่ วิทยาศาสตร์ในลาดับขนั้ สปีชสี ์ 5. สร้างไดโคโทมสั คยี ใ์ นการระบุสง่ิ มชี วี ิตหรอื ตวั อย่างท่ีกาหนดออกเปน็ หมวดหมู่ 6. วิเคราะห์ อธิบาย และยกตัวอย่างกระบวนการถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ 7. อธบิ าย ยกตวั อย่างการเกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน และบอกแนวทางในการลดการเกดิ ไบโอแมกนิฟิเคชัน 8. สบื ค้นขอ้ มลู และเขยี นแผนภาพเพื่ออธบิ ายวฏั จักรไนโตรเจน วฏั จักรกามะถนั และ วฏั จกั รฟอสฟอรัส หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 383
9. สบื ค้นข้อมลู ยกตวั อยา่ ง และอธิบายลกั ษณะของไบโอมที่กระจายอย่ตู ามเขตภูมิศาสตร์ ตา่ ง ๆ บนโลก 10. สืบค้นข้อมูล ยกตวั อยา่ ง อธิบาย และเปรียบเทยี บการเปลี่ยนแปลงแทนท่แี บบปฐมภมู ิ และการเปลย่ี นแปลงแทนท่ีแบบทุติยภูมิ 11. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ าย ยกตัวอยา่ งและสรปุ เกีย่ วกบั ลกั ษณะเฉพาะของประชากรของ สงิ่ มชี วี ิตบางชนิด 12. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย เปรียบเทียบ และยกตัวอยา่ งการเพ่ิมของประชากรแบบ เอก็ โพเนนเชียล และการเพ่มิ ของประชากรแบบลอจิสติก 13. อธิบายและยกตวั อยา่ งปัจจัยท่ีควบคุมการเติบโตของประชากร 14. วเิ คราะห์ อภิปราย และสรุปปัญหาการขาดแคลนนา้ การเกิดมลพิษทางนา้ และ ผลกระทบ 15. วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรุปปญั หามลพิษทางอากาศ และผลกระทบที่มตี ่อมนุษยแ์ ละ สง่ิ แวดล้อม รวมทง้ั เสนอแนวทางการแกไ้ ขปัญหา 16. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรุปปัญหาทีเ่ กดิ กับทรัพยากรดิน และผลกระทบทม่ี ีต่อมนุษย์ และส่งิ แวดล้อม รวมทัง้ เสนอแนวทางการแกไ้ ขปัญหา 17. วิเคราะห์ อภิปราย และสรปุ ปัญหา ผลกระทบที่เกิดจากการทาลายป่าไม้ รวมทั้งเสนอ แนวทางในการปอ้ งกันการทาลายปา่ ไมแ้ ละการอนุรกั ษ์ปา่ ไม้ 18. วเิ คราะห์ อภิปราย และสรุปปัญหาผลกระทบที่ทาให้สัตว์ปา่ มีจานวนลดลง และ แนวทางในการอนรุ กั ษ์สตั ว์ปา่ รวมท้ังหมด 18 ผลการเรียนรู้ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 384
โครงสรา้ งรายวิชา รายวิชา ชีววิทยา 6 รหสั วชิ า ว33246 จานวน 3 ช่วั โมง/สปั ดาห์ ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 1.5 หนว่ ยกติ จานวนเวลาเรียนทง้ั สิน้ 60 ชว่ั โมง : ภาคเรยี น สัดสว่ นคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคญั เวลา น้าหนัก (ชั่วโมง) คะแนน การเรียนรู้ ตัวชว้ี ดั (100) 20 ความ 1. อภปิ ราย 20.1 ความหลากหลายของ 1 15 หลากหลา ความสาคัญของความ สิง่ มชี วี ติ 5 ยทาง หลากหลายทาง 20.2 การศึกษาความหลากหลาย ชวี ภาพ ชีวภาพ และความ ของสง่ิ มชี วี ิต 2 เช่ือมโยงระหวา่ งความ 20.3 กาเนิดของชวี ิต 21 หลากหลายทาง 20.4 อาณาจักรของส่งิ มชี วี ติ 1 พนั ธกุ รรม ความ 20.5 ความหลากหลายทางชวี ภาพ หลากหลายของสปชี สี ์ ในประเทศไทย 1 และความหลากหลาย 20.6 การสญู เสยี ความหลากหลาย ของระบบนิเวศ ทางชวี ภาพ 2. อธบิ ายการเกิด เซลล์เร่ิมแรกของ สง่ิ มชี ีวติ และ ววิ ัฒนาการของ สงิ่ มชี ีวิตเซลล์เดียว 3. อธิบายลักษณะ สาคญั และยกตวั อยา่ ง ส่ิงมีชีวติ กล่มุ แบคทเี รีย สิง่ มชี วี ิต กล่มุ โพรทิสต์ สงิ่ มีชีวติ กลุม่ พชื สิ่งมชี ีวติ กลุ่ม ฟังไจ และสิง่ มีชีวิต กล่มุ สตั ว์ 4. อธิบายและยก ตวั อย่างการจาแนก ส่งิ มชี วี ิตจากหมวดหมู่ ใหญจ่ นถึงหมวดหมู่ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 385
ที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคญั เวลา น้าหนัก (ช่ัวโมง) คะแนน การเรียนรู้ ตัวชว้ี ัด (100) ยอ่ ย และวธิ ีการเขยี น ชื่อวิทยาศาสตรใ์ น ลาดับข้นั สปีชีส์ 5. สร้างไดโคโทมัสคยี ์ ในการระบสุ ่ิงมีชีวติ หรือตัวอย่างท่ีกาหนด ออกเปน็ หมวดหมู่ 21 การ 6. วเิ คราะห์ อธิบาย 21.1 การถ่ายทอดพลังงานใน 2 10 2 ถา่ ยทอด และยกตัวอยา่ ง สง่ิ มชี วี ิต พลังงาน กระบวนการถา่ ยทอด 21.2 วัฏจกั รของสารในระบบ และการ พลงั งานในระบบนเิ วศ นิเวศ หมุนเวียน 7. อธิบาย ยก สารใน ตวั อย่างการเกดิ ระบบนเิ วศ ไบโอแมกนิฟิเคชนั และบอกแนวทางใน การลดการเกิด ไบโอแมกนฟิ ิเคชัน 8. สบื คน้ ขอ้ มลู และ เขียนแผนภาพเพอ่ื อธบิ ายวฏั จักร ไนโตรเจน วฏั จกั ร กามะถนั และวฏั จกั ร ฟอสฟอรสั 9. สืบคน้ ข้อมูล ยกตวั อยา่ ง และ อธิบายลกั ษณะของ ไบโอมท่ีกระจายอยู่ ตามเขตภมู ิศาสตร์ ตา่ ง ๆ บนโลก หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 386
ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ชวั่ โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั (100) 22 การ 10. สืบคน้ ขอ้ มูล 22. การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีใน 25 เปลี่ยนแป ยกตวั อย่าง อธบิ าย ระบบนเิ วศ ลงแทนท่ี และเปรียบเทียบการ ในระบบ เปล่ียนแปลงแทนท่ี นิเวศ แบบปฐมภูมแิ ละการ เปล่ยี นแปลงแทนที่ แบบทตุ ิยภูมิ 23 ประชากร 11. สืบค้นขอ้ มูล 23.1 ความหนาแน่นและการ 4 10 อธบิ าย ยกตัวอยา่ ง แพร่กระจายของประชากร และสรปุ เกีย่ วกับ 23.2 ขนาดของประชากร 1 ลักษณะเฉพาะของ 23.3 รูปแบบการเพ่ิมประชากร 2 ประชากรของสิ่งมีชีวติ 23.4 การรอดชวี ิตของประชากร 4 บางชนิด 23.5 ประชากรมนุษย์ 2 12. สืบค้นข้อมลู อธบิ าย เปรียบเทียบ และยกตัวอย่างการ เพ่มิ ของประชากร แบบเอ็กโพเนนเชยี ล และการเพิม่ ของ ประชากรแบบ ลอจิสติก 13. อธบิ ายและ ยกตัวอย่างปัจจัยท่ี ควบคมุ การเติบโตของ ประชากร 24 มนษุ ย์กบั 14. วิเคราะห์ 24.1 ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ 6 10 ความย่งั ยนื อภิปราย และสรุป ประโยชน์ ปญั หา และการจดั การ ของ ปัญหาการขาดแคลน 24.2 หลกั การอนุรักษ์ 3 สิ่งแวดล้อม นา้ การเกดิ มลพษิ ทาง ทรพั ยากรธรรมชาติ นา้ และผลกระทบ 24.3 ชนิดพันธุ์ต่างถ่ินที่ส่งผล 2 15. วเิ คราะห์ กระทบตอ่ สภาพแวดลอ้ ม อภิปราย และสรปุ ปัญหามลพิษทาง หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 387
ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนัก (ช่วั โมง) คะแนน การเรยี นรู้ ตัวช้วี ดั (100) อากาศ และผล - 50 กระทบทม่ี ีต่อมนุษย์ - 20 และสง่ิ แวดล้อม รวม - 30 ท้ังเสนอแนวทางการ 60 100 แกไ้ ขปัญหา 16. วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรุป ปัญหาทเ่ี กดิ กบั ทรัพยากรดนิ และ ผลกระทบท่ีมตี อ่ มนุษยแ์ ละสง่ิ แวดล้อม รวมทั้งเสนอแนว ทางการแก้ไขปญั หา 17. วเิ คราะห์ อภิปราย และสรปุ ปัญหา ผลกระทบที่ เกิดจากการทาลายป่า ไม้ รวมท้งั เสนอแนว ทางในการปอ้ งกนั การ ทาลายป่าไม้และการ อนรุ ักษป์ ่าไม้ 18. วิเคราะห์ อภิปรายและสรปุ ปญั หาผลกระทบที่ทา ให้สัตว์ปา่ มีจานวน ลดลง และแนวทางใน การอนุรักษส์ ตั วป์ า่ รวมคะแนนระหวา่ งเรยี น สอบกลางภาค สอบปลายภาค รวม หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 388
คาอธิบายรายวชิ า รายวิชา โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 6 รหสั วชิ า ว33266 จานวน 2 ช่วั โมง/สัปดาห์ ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 จานวน 1.0 หน่วยกิต จานวนเวลาเรยี นทั้งสนิ้ 40 ชว่ั โมง : ภาคเรยี น ศึกษา อธิบาย สังเกต แบบจาลองทรงกลมฟ้า เช่ือมโยงจุดและเส้นสาคัญของแบบจาลอง ทรงกลมฟ้ากับท้องฟ้าจริง การระบุพิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สูตร และเส้นทาง การข้ึนการตกของดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ เวลาสุริยคติปรากฏ เวลาสุริยคติปานกลาง มุมห่างท่ี สัมพันธ์กับตาแหนง่ ในวงโคจร ตาแหนง่ ปรากฏของดาวเคราะห์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต วิเคราะห์ เปรียบเทยี บ อธบิ าย อภปิ ราย และสรุป เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการ ทาง วิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้ปรากฏการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้า การคิด และการแก้ปัญหา สิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. สร้างแบบจาลองทรงกลมฟา้ สังเกตและเชอ่ื มโยงจดุ และเส้นสาคัญของแบบจาลองทรง กลมฟา้ กับท้องฟ้าจรงิ และอธิบายการระบุพกิ ัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สูตร 2. สงั เกตท้องฟ้าและอธิบายเสน้ ทางการขึ้นการตกของดวงอาทติ ยแ์ ละดาวฤกษ์ 3. อธิบายเวลาสรุ ิยคตปิ รากฏ โดยรวบรวมข้อมูลและเปรยี บเทียบเวลาขณะท่ดี วงอาทิตย์ ผา่ นเมริเดยี นของผ้สู งั เกตในแต่ละวนั 4. อธบิ ายเวลาสรุ ิยคติปานกลาง และการเปรียบเทยี บเวลาของแตล่ ะเขตเวลาบนโลก 5. อธบิ ายมุมห่างที่สัมพนั ธก์ ับตาแหน่งในวงโคจร และอธิบายเชอื่ มโยงกับตาแหนง่ ปรากฏ ของดาวเคราะห์ที่สังเกตไดจ้ ากโลก 6. สบื คน้ ข้อมูลออกแบบและนาเสนอกจิ กรรมการสงั เกตดาวบนท้องฟ้าดว้ ยตาเปลา่ และ/ หรือ กล้องโทรทรรศน์ รวมทั้งหมด 6 ผลการเรียนรู้ หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 389
โครงสร้างรายวิชา รายวชิ า โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ 6 รหัสวชิ า ว33266 จานวน 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์ ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 จานวน 1.0 หน่วยกติ จานวนเวลาเรยี นท้งั สนิ้ 40 ช่วั โมง : ภาคเรียน สดั สว่ นคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร/ู้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก (ชว่ั โมง) คะแนน การเรยี นรู้ ตัวช้วี ดั (100) 1 ทรงกลม 1. สร้างแบบจาลอง -ทรงกลมฟ้า เปน็ ทรงกลมสมมติ 22 25 ท้องฟา้ ทรงกลมฟ้า สงั เกต ขนาดใหญท่ ่ีมีรัศมีอนันต์ มีจุด และเช่อื มโยงจดุ และ ศูนย์กลางของโลกเป็นจุด เส้นสาคญั ของ ศนู ยก์ ลางของทรงกลมฟ้า มี แบบจาลองทรงกลม ดวงดาวและเทห์ฟา้ ต่างๆปรากฏ ฟ้ากบั ทอ้ งฟา้ จริงและ อยบู่ นผวิ ของทรงกลมฟา้ นี้ การ อธบิ ายการระบพุ ิกดั ระบุพิกัดของดวงดาวและเทห์ฟา้ ของดาวในระบบขอบ ต่างๆบนทรงกลมฟ้าตามระบบท่ี ฟา้ และระบบศูนยส์ ตู ร สาคัญ ได้แก่ 2. สงั เกตท้องฟา้ และ - ระบบขอบฟ้า เป็นระบบท่ีอ้างอิง อธิบายเส้นทางการขึน้ จากตาแหนง่ ผสู้ งั เกตบนโลกโดย การตกของดวงอาทิตย์ ระบุพิกดั เปน็ มุมทิศและ มุมเงยอ้า และดาวฤกษ์ อิงกบั ทศิ เหนือและเส้นขอบฟ้า 3. อธิบายเวลาสุรยิ คติ ของผู้สงั เกต ปรากฏ โดยรวบรวม - ระบบศนู ยส์ ูตร เปน็ ระบบท่ี ขอ้ มลู และเปรียบ อ้างองิ กับเสน้ ศนู ยส์ ูตรฟา้ และจดุ เทยี บเวลาขณะท่ีดวง วิษวุ ัต ระบุพิกัดเปน็ ไรต์แอส เซน อาทติ ยผ์ ่านเมรเิ ดยี น ชนั กับและเดคลิเนชัน - การ ของผูส้ ังเกตในแตล่ ะ กาหนดเวลาสรุ ิยคตจิ ะเทยี บกับ วัน ดวงอาทติ ย์โดยเวลาสรุ ยิ คติมีท้ัง 4. อธบิ ายเวลาสรุ ิยคติ เวลาสุรยิ คติปรากฏ และเวลา ปานกลาง และการ สุริยคติปานกลาง เปรยี บเทยี บเวลาของ - เวลาสุรยิ คตปิ รากฏ เป็นเวลาท่ี แต่ละเขตเวลาบนโลก ได้จากการสังเกต ดวงอาทติ ย์จริง ทีเ่ คล่ือนทีอ่ ยบู่ นทอ้ งฟา้ ของผู้ สังเกต ชว่ งเวลาระหว่างการเห็น จุดศูนยก์ ลางของดวงอาทิตย์ผา่ น หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 390
ที่ ช่ือหน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ชวั่ โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตวั ชี้วัด (100) เมรเิ ดียนคร้งั แรก ถึงครงั้ ถัดไป เรียกวา่ 1 วัน สุริยคตปิ รากฏ - เวลาสรุ ิยคติปานกลางกาหนด โดยให้มีดวงอาทิตยส์ มมตเิ คลื่อนท่ี บนเสน้ ศูนยส์ ูตรฟ้าด้วย อตั ราเรว็ สม่าเสมอ ช่วงเวลาระหว่างการ เห็นจดุ ศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ ผา่ นเมริเดียนครง้ั แรก ถงึ คร้งั ถดั ไป เรียกวา่ 1 วันสรุ ิยคติปานกลาง ซงึ่ ยาว 24 ชว่ั โมง 0 นาที 0 วินาที เวลาสุริยคติปานกลางกรีนซิ เปน็ เวลาสรุ ิยคตปิ านกลางทีใ่ ชเ้ ม ริเดียนของหอดดู าวกรนี ิซใน ประเทศองั กฤษ เปน็ ตัวกาหนด ซึง่ นามาใชใ้ นการกาหนดเขตเวลา มาตรฐานสากลของตาแหน่งอ่ืนๆ 2 ตาแหน่ง 1. อธิบายมมุ ห่างท่ี -โลกและดาวเคราะห์ทกุ ดวง 18 25 ดาว สมั พันธ์กับตาแหน่งใน หมุนรอบตวั เองและโคจรรอบดวง เคราะห์ วงโคจร และอธิบาย อาทิตยจ์ ากทศิ ตะวนั ตกไปทางทศิ ปรากฏ เช่อื มโยงกบั ตาแหน่ง ตะวันออกหรือในทิศทวนเขม็ ปรากฏของดาว นาฬิกาจากมุมมองดา้ นบนคนบน เคราะหท์ ีส่ งั เกตได้ โลกจะสงั เกตเห็นดาวเคราะห์มี จากโลก ตาแหนง่ ปรากฏแตกต่างกนั ในช่วง 2. สบื ค้นข้อมูล วันเวลาต่างๆ เพราะดาวเคราะหม์ ี ออกแบบและนาเสนอ มุมหา่ งที่แตกตา่ งกัน กิจกรรมการสังเกต - มมุ หา่ งของดาวเคราะห์ คือ มุม ดาวบนทอ้ งฟ้าดว้ ยตา ระหว่างเส้นตรงทีเ่ ชอ่ื มระหวา่ ง เปล่าและ/หรือ กล้อง โลกกบั ดาวเคราะห์กบั เส้นตรงท่ี โทรทรรศน์ เชอ่ื มระหวา่ งโลกกับดวงอาทิตย์ เมอ่ื วดั บนเสน้ สรุ ิยวิถโี ดยดาว เคราะห์อาจอยู่ห่าง จากดวง อาทิตย์ไปทางทศิ ตะวนั ออกหรือ ทางทิศตะวันตก ซึ่งมีการเรียก หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 391
ที่ ชือ่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นร้/ู สาระสาคัญ เวลา น้าหนกั (ช่วั โมง) คะแนน การเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั (100) ชือ่ ตามตาแหน่งของดาวเคราะหใ์ น วงโคจร - ดาวเคราะหท์ ีม่ ีมุมห่างต่างกันจะ มีตาแหน่งปรากฏบนท้องฟ้า แตกตา่ งกนั โดยตาแหน่งปรากฏ ของดาวเคราะห์วงในจะอยู่ใกล้ ขอบฟ้าในช่วงเวลาใกล้ร่งุ หรอื เวลา หวั คา่ ส่วนตาแหนง่ ปรากฏของ ดาวเคราะหว์ งนอกจะสามารถเหน็ ไดใ้ นช่วงเวลาอ่นื ๆ นอกจากน้มี มุ ห่าง ยงั สามารถนามาอธบิ าย ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ เชน่ ดาวเคียงเดือน ดาวเคราะหช์ ุมนุม ดาวเคราะห์ผ่านหนา้ ดวงอาทิตย์ รวมคะแนนระหว่างเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 392
คาอธิบายรายวชิ า รายวิชา การพัฒนา Web ดว้ ยภาษา HTML รหสั วชิ า ว30284 จานวน 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์ ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 จานวน 1.0 หน่วยกิต จานวนเวลาเรยี นท้ังส้นิ 40 ชั่วโมง : ภาคเรียน ศึกษา การเขียนเว็บแอพพลิเคชั่นด้วยภาษ HTML PHP และการเขียนโปรแกรมติดต่อ ฐานข้อมลู โดยใช้กระบวนการ วธิ ีสอนแบบสาธติ (Demonstration Method) เพ่ือให้เกิด ความรอบคอบ ความรับผิดชอบ มุ่งมั่นในการทางาน ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้าง งาน ส่ือสาร และปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของระบบ อย่างมีคุณธรรมจริยธรรม และมีจิตสานึก รับผิดชอบถูกตอ้ งตามกฎหมายและศลี ธรรม ผลการเรยี นรู้ 1. บอกความหมายของอนิ เทอร์เนต็ และสว่ นประกอบทม่ี ีอยใู่ นอนิ เทอร์เนต็ ได้ 2. อธิบายถงึ หลกั การและข้ันตอนในการออกแบบเว็บไซต์ได้ 3. เขา้ ใจหลกั การเขียนคาส่งั ภาษา HTML 4. เขา้ ใจหลักการทางาน โครงสรา้ ง ภาษา PHP 5. อธบิ ายถึงขั้นตอนวิธีการสร้างเอกสารภาษา HTML ได้ 6. อธบิ ายถึงคาสง่ั ในการจดั รูปแบบตัวอกั ษร การใช้แทก็ การใส่รปู ภาพลงในเว็บเพจและ สามารถจดั รูปแบบตวั อกั ษรให้กับเวบ็ เพจได้ รวมท้ังหมด 6 ผลการเรยี นรู้ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 393
โครงสร้างรายวิชา รายวิชา การพัฒนา Web ด้วยภาษา HTML รหัสวชิ า ว30284 จานวน 2 ชว่ั โมง/สัปดาห์ ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 จานวน 1.0 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรียนทัง้ สนิ้ 40 ช่วั โมง : ภาคเรยี น สัดส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ท่ี ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา น้าหนัก การเรยี นรู้ ตัวช้ีวดั (ช่ัวโมง) คะแนน (100) 1 เร่มิ ต้นกบั บอกความหมายของ - เรมิ่ ต้นกับการสรา้ งเว็บเพจ 4 การสรา้ ง อนิ เทอร์เนต็ และ - เร่มิ ต้นกับ HTML 5 เว็บเพจ ส่วนประกอบที่มีอยูใ่ น - การจดั วางเนอ้ื หาบนหน้าเว็บ อนิ เทอร์เนต็ ได้ 45 2 จดั การ อธิบายถงึ หลักการ - การจดั การข้อความ องคป์ ระกอบ และข้ันตอนในการ - การใชล้ สิ ต์สร้างรายการ ของเวบ็ ไซต์ ออกแบบเว็บไซตไ์ ด้ - เช่ือมโยงเว็บเพจด้วยลิงค์ 3 การจดั การ อธิบายถึงข้ันตอน - จัดขอ้ มูลให้เป็นสัดสว่ นดว้ ย 65 65 กบั โปรเจค วิธกี ารสรา้ งเอกสาร ตาราง 8 10 ภาษา HTML ได้ - แตง่ เตมิ เวบ็ เพจดว้ ยกราฟิก - แบง่ หนา้ จอโดยใช้เฟรม 4 การ อธบิ ายถงึ คาสง่ั ในการ - การสร้างฟอร์ม ออกแบบ จดั รปู แบบตวั อักษร - การสรา้ ง Text Box หน้าจอ การใชแ้ ท็ก การใส่ - การสรา้ ง List Box รปู ภาพลงในเวบ็ เพจ และสามารถ จัดรูปแบบตวั อกั ษร ให้กบั เวบ็ เพจได้ 5 ตัวแปรและ อธิบายถึงคาส่งั ในการ - การสรา้ ง Radio Button ค่าคงที่ จดั รปู แบบตัวอกั ษร - การสร้าง Check Box การใชแ้ ท็ก การใส่ - การสรา้ ง Text Area รปู ภาพลงในเว็บเพจ และสามารถ จดั รูปแบบตวั อกั ษร ใหก้ บั เวบ็ เพจได้ หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 394
ท่ี ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรยี นรู/้ สาระสาคญั เวลา นา้ หนกั การเรียนรู้ ตัวช้วี ดั (ชว่ั โมง) คะแนน (100) 6 ความรู้ เข้าใจหลักการเขียน - ความรเู้ บอ้ื งต้นการเขยี น 8 10 เบ้ืองตน้ การ คาสงั่ ภาษา HTML โปรแกรมบนอินเทอร์เนต็ เขียน เขา้ ใจหลักการทางาน - การติดตง้ั โปรแกรมเพื่อใชง้ าน โปรแกรม โครงสรา้ ง ภาษา PHP PHP บน - PHP เบ้ืองต้น อินเทอร์เนต็ - ร้จู กั โปรแกรมทีใ่ ช้งาน PHP และ การใชง้ านข้ันพืน้ ฐาน - รู้วิธกี ารติดต้งั โปรแกรมและ วิธีการใชง้ านพ้ืนฐาน 7 การตดิ ตั้ง เขา้ ใจหลกั การเขยี น - โปรแกรม Edit+ 4 10 โปรแกรม คาสัง่ ภาษา HTML - โปรแกรม XAMPP - โปรแกรม FileZilla รวมคะแนนระหวา่ งเรียน - 50 สอบกลางภาค - 20 สอบปลายภาค - 30 รวม 40 100 หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 395
คาอธบิ ายรายวชิ า รายวชิ า การพัฒนา Web Application รหสั วชิ า ว30285 จานวน 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 จานวน 1.0 หน่วยกติ จานวนเวลาเรยี นท้ังสน้ิ 40 ชวั่ โมง : ภาคเรียน ศึกษา การเขียนเว็บแอพพลิเคชั่นด้วยภาษ HTML PHP และการเขียนโปรแกรมติดต่อ ฐานขอ้ มลู โดยใชก้ ระบวนการ วธิ ีสอนแบบสาธติ (Demonstration Method) เพื่อให้เกิด ความรอบคอบ ความรับผิดชอบ มุ่งม่ันในการทางาน ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้าง งาน ส่ือสาร และปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของระบบ อย่างมีคุณธรรมจริยธรรม และมีจิตสานึก รับผดิ ชอบถกู ตอ้ งตามกฎหมายและศีลธรรม ผลการเรยี นรู้ 1. เพื่อใหน้ ักเรียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั โปรแกรมภาษา PHP 2. เพื่อให้นักเรียนมคี วามรแู้ ละความเข้าใจเกีย่ วกบั คาส่งั พนื้ ฐานในการเขยี นโปรแกรมภาษา PHP 3. เพอ่ื ให้นักเรยี นมคี วามร้แู ละความเข้าใจเก่ยี วกบั คาสง่ั ในการเขยี นโปรแกรมภาษา PHP เพ่อื จดั การข้อมลู และทาการตดิ ตอ่ กับฐานขอ้ มูลได้ 4. เพอ่ื ให้นักเรยี นมที ักษะในการใชโ้ ปรแกรมและสามารถประยุกต์คาส่งั ตา่ ง ๆ ของ โปรแกรมภาษา PHP ในการใชเ้ ครื่องมือในโปรแกรมให้สามารถสร้างสรรคผ์ ลงานของตนเองได้ 5. เพื่อให้นักเรยี นสามารถคน้ คว้า ฝึกปฏบิ ัติงานการพัฒนาโปรแกรมบนเวบ็ ด้วยโปรแกรม ภาษา PHP ไดจ้ ากสถานการณ์จรงิ 6. เพ่ือให้นักเรียนมคี วามตระหนกั รูใ้ นการใชง้ านคอมพิวเตอรแ์ ละสามารถนาไปประยุกต์ใช้ งานและแก้ไขปญั หาที่พบในชีวิตประจาวันได้ รวมทั้งหมด 6 ผลการเรยี นรู้ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 396
โครงสรา้ งรายวชิ า รายวิชา การพฒั นา Web Application รหสั วชิ า ว30285 จานวน 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 จานวน 1.0 หนว่ ยกิต จานวนเวลาเรยี นท้งั สนิ้ 40 ชั่วโมง : ภาคเรยี น สัดส่วนคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค = 70 : 30 ที่ ชอื่ หน่วย มาตรฐานการเรียนรู้/ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั การเรยี นรู้ ตวั ช้วี ดั (ชั่วโมง) คะแนน (100) 1 ตวั แปรและ เพ่อื ใหน้ ักเรยี นมี - ตัวแปรและค่าคงที่ 4 ค่าคงที่ 4 5 ความรคู้ วามเข้าใจ - ตัวดาเนนิ การและนิพจน์ใน PHP 6 5 เกีย่ วกับโปรแกรม - ชนิดของข้อมลู 6 5 ภาษา PHP 5 2 คาสง่ั เพื่อให้นกั เรยี นมี - คาสงั่ ตรวจสอบเงอ่ื นไข ตรวจสอบ เงอ่ื นไข ความร้แู ละความ - คาส่ังทาซ้า คาส่ังทาซ้า เขา้ ใจเก่ียวกับคาส่ัง 3 การเขยี น โปรแกรม พื้นฐานในการเขยี น เชิงวัตถุ โปรแกรมภาษา PHP เพือ่ ให้นักเรยี นมี - เก่ียวกบั การเขยี นโปรแกรมเชิง ความรแู้ ละความ วตั ถุ เขา้ ใจเกีย่ วกับคาสัง่ - คลาสและออบเจก็ ต์ (Class and พน้ื ฐานในการเขยี น Object) โปรแกรมภาษา PHP - การสร้างออบเจ็กตแ์ ละการใช้ งานเมธอด - คณุ สมบัตกิ ารสืบทอด (Inheritance) - การพ้องรปู (Polymorphism) 4 การ เพอื่ ให้นกั เรยี นมี - Meta – Character ประยุกต์ใช้ งานใน ทกั ษะในการใช้ - ฟังก์ชันทีเ่ ก่ยี วข้องกบั Regular โปรแกรม โปรแกรมและสามารถ Expression ประยุกต์คาสงั่ ต่าง ๆ - ฟงั ก์ชนั ที่เกย่ี วกบั Session ของโปรแกรมภาษา - ฟงั กช์ นั ทีเ่ กย่ี วกับ Cookie PHP ในการใช้ - การประยุกต์ Session และ เครอ่ื งมอื ในโปรแกรม Cookie ในโปรแกรม Login ใหส้ ามารถสร้างสรรค์ ผลงานของตนเองได้ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศกั ราช 2564 397
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440