การจัดประสบการณเ์ พ่อื พัฒนาเด็กปฐมวัยดา้ นภาษา 13-43 2.2 การสัมภาษณ์ เปน็ การเปิดโอกาสใหค้ รูได้ซักถามเด็กในสง่ิ ทีต่ อ้ งการทราบ ท�ำให้ครูมี มสธโอกาสสังเกตพฤติกรรมการฟังและการพูด การใช้ค�ำ ท่าทาง การเคลื่อนไหวของตา น�้ำเสียงหรือระดับ เสียง โดยอาจสัมภาษณ์จากตัวเด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เก่ียวข้องในการให้ข้อมูลเก่ียวกับ พฤตกิ รรมการฟงั และการพดู สำ� หรบั ขอ้ ความทไ่ี ดจ้ ากการสมั ภาษณจ์ ะนำ� มาใชป้ ระกอบการพจิ ารณาตดั สนิ ใจในพฤติกรรม การฟงั และการพดู ของเดก็ มสธ มสธ3. เครื่องมือท่ีใช้ในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการฟังและการพูด ในการประเมิน พัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการฟังและการพูด สามารถใช้เคร่ืองมือประเมินได้หลากหลายชนิด ในที่น้ีขอ แบ่งเป็น 2 ประเภทตามวิธีการประเมิน คือ แบบสังเกตและบันทึกพฤติกรรม และแบบสัมภาษณ์ (นภเนตร ธรรมบวร, 2544; สริ ิมา ภญิ โญอนันตพงษ์, 2556) ดังนี้ 3.1 แบบสังเกตและบันทึกพฤติกรรม มหี ลากหลายลักษณะดว้ ยกัน ดังน้ี 3.1.1 แบบบันทึกระเบียนพฤติการณ์ (anecdotal record) เป็นการเขียนบันทึก มสธแบบสนั้ บรรยายพฤตกิ รรมการฟงั และการพดู ของเดก็ ตามเหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขน้ึ จรงิ ในสถานการณต์ า่ งๆ และ การบนั ทกึ นจี้ ะไมม่ กี ารแปลความหมายพฤตกิ รรมในขณะทส่ี งั เกต จะเปน็ เพยี งการบนั ทกึ ขอ้ มลู ตามสภาพ จรงิ ทเี่ กดิ ขน้ึ โดยไมส่ อดแทรกความคดิ เหน็ ความรสู้ กึ หรอื การประเมนิ ของผสู้ งั เกตกบั สง่ิ ทส่ี งั เกต สำ� หรบั แบบบันทกึ ระเบียนพฤตกิ ารณท์ ี่เหมาะกบั การประเมินพัฒนาการเด็กด้านการฟังและการพูด ได้แก่ แบบ มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธบนั ทกึ ระเบยี นพฤติการณท์ ว่ั ไป และแบบบันทกึ ค�ำพูด
13-44 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวัยมสธแบบบนั ทกึ ระเบยี นพฤตกิ ารณท์ วั่ ไป ตวั อย่างแบบบนั ทึกระเบียนพฤตกิ ารณ์ท่ัวไป มสธ มสธอายุ.......................ป.ี .....................เดอื น ช่ือ-นามสกลุ ................................................................ ช้นั อนุบาล......................................................... วัน/เดือน/ปี ท่สี งั เกต......................................... สถานทส่ี งั เกต.............................................................. ประเด็นการสังเกต............................................. มสธ................................................................................................................................................................ ชือ่ ผสู้ งั เกต................................................................... การสงั เกตคร้ังท.ี่ ................................................ เหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ข้ึน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ มสธ มสธ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ การวิเคราะห์ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ มสธ ......................................................... มสธ มสธ มสธ ลงช่อื ................................................................................................................................................................ ข้อคิดเหน็ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................
มสธแบบบนั ทึกคำ� พดูการจัดประสบการณเ์ พอ่ื พัฒนาเดก็ ปฐมวัยด้านภาษา 13-45 ตัวอย่างแบบบันทึกคำ� พดู มสธ มสธอาย.ุ ......................ป.ี .....................เดือน ช่อื -นามสกุล................................................................ ชั้นอนุบาล......................................................... วนั /เดอื น/ปี ที่สงั เกต......................................... สถานท่สี งั เกต.............................................................. ประเดน็ การสงั เกต............................................. มสธ มสธ มสธสรุป ชือ่ ผสู้ งั เกต................................................................... การสังเกตครง้ั ท.่ี ................................................ ................................................................................................................................................................ คำ� พูด หมายเหตุ มสธ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ มสธ มสธ3.1.2 แบบตรวจสอบรายการ (checklist) เป็นการบนั ทกึ พฤตกิ รรมด้านการฟงั และ การพูดของเด็ก โดยการตรวจสอบรายการพฤติกรรมด้านการฟังและการพูดที่เกิดขึ้นและไม่เกิดขึ้นของ เด็ก ทั้งนี้รายการพฤติกรรมที่ก�ำหนดไว้จะต้องแสดงถึงรายละเอียดของพฤติกรรมที่ต้องการสังเกตอย่าง เป็นรปู ธรรม เช่น การปฏบิ ตั ิตามค�ำส่ัง การสนทนาโตต้ อบเลา่ เรอ่ื งให้ผ้อู ื่นเขา้ ใจ ฯลฯ ในแบบตรวจสอบ รายการจะตอ้ งแสดงพฤตกิ รรมการฟงั และการพดู ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม ครอบคลมุ ความหมายตามทน่ี ยิ ามไวอ้ ยา่ ง มสธครบถ้วน และอยู่ในขอบเขตของพัฒนาการตามวัยของเดก็
มสธแบบตรวจสอบรายการ13-46 การจัดการศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ตัวอย่างแบบตรวจสอบรายการ การฟัง-การพดู ของเดก็ ปฐมวัย (อายุ 4 ป)ี มสธ มสธด.ช./ด.ญ................................................................................... ชัน้ ...................................................... รายการพฤติกรรม มสธพฤติกรรมการฟัง ผูส้ งั เกต..................................................................................... วัน/เดอื น/ปี ท่สี งั เกต........................... ค�ำชี้แจง โปรดใส่เครือ่ งหมาย ✓ ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั พฤตกิ รรมทพ่ี บ พฤติกรรมที่พบ หมายเหตุ ทำ� ได้ ท�ำไมไ่ ด้ 1. ปฏบิ ัติตามคำ� ส่ังได้ 2. จำ� แนกความแตกตา่ งของเสียงทีฟ่ ังได้ มสธ มสธ3. ฟงั นิทานหรอื เรื่องราวทีผ่ ้ใู หญ่อ่านให้ฟัง จนจบได้ พฤติกรรมการพูด 1. เรยี นรูค้ ำ� ศัพท์ใหม่และนำ� ไปใช้แสดงความ คิดเห็น แสดงท่าทาง และแสดงความรู้สึก 2. ใช้ค�ำถามท่ีมีเหตผุ ล “ท�ำไม” มสธ3. สนทนาโต้ตอบเล่าเรอ่ื งให้ผอู้ ่ืนเขา้ ใจ ความคิดเห็นของครู ............................................................................................................................................................... มสธ มสธ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... 3.1.3 แบบประเมินค่าหรือมาตรประมาณค่า (rating scales) เป็นเครื่องมือท่ีมีการ ตัดสินใจเก่ียวกับการแสดงพฤติกรรมของเด็กตามระดับความสามารถที่แสดงออกจริง ซึ่งบอกถึงระดับ คณุ ภาพของพฤตกิ รรม ครสู ามารถนำ� ไปใชป้ ระเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นการฟงั และการพดู ของเดก็ เพอ่ื ประเมนิ มสธคุณภาพของพฤติกรรมดา้ นการฟังและการพดู
มสธแบบประเมินคา่ หรอื มาตรประมาณค่า พฤตกิ รรมการฟัง-การพดู ของเดก็ ปฐมวัย (อายุ 5 ป)ี การจดั ประสบการณเ์ พ่ือพัฒนาเด็กปฐมวยั ดา้ นภาษา 13-47 ตัวอย่างแบบประเมินคา่ หรือมาตรประมาณคา่ มสธ มสธด.ช./ด.ญ................................................................................... ช้ัน...................................................... ผสู้ ังเกต..................................................................................... วัน/เดือน/ปี ท่ีสงั เกต........................... ค�ำชี้แจง โปรดใสเ่ ครอ่ื งหมาย ✓ ลงในช่องที่ตรงกับพฤตกิ รรมของเด็ก 3 = ดี เด็กแสดงพฤติกรรมไดด้ ้วยตนเอง 2 = ปานกลาง เดก็ แสดงพฤตกิ รรมเมอื่ ได้รับการช้ีแนะ 1 = น้อย เดก็ แสดงพฤตกิ รรมได้บา้ งเมอื่ ได้รับการช้ีแนะ มสธหมายเหตุ: ระบุพฤตกิ รรมในชอ่ งหมายเหตุ รายการพฤตกิ รรมครง้ั ท่ี 1ครง้ั ที่ 2 หมายเหตุ วนั /เดอื น/ปี วัน/เดือน/ปี มสธ มสธพฤติกรรมการฟัง321321 1. ฟังแลว้ ปฏิบตั ิตามคำ� ส่งั ง่ายๆ ได้ 2. ฟงั แล้วปฏบิ ตั ติ ามคำ� สั่งหรือคำ� บอกทีม่ ี ลักษณะต่อเนอ่ื งกนั อยา่ งน้อย 3 ขั้นตอนได้ มสธ3. ฟงั แล้วจับใจความเรือ่ งทีฟ่ งั ได้ 4. ตคี วามหมายเรอ่ื งทฟ่ี ัง ถามคำ� ถาม หรอื ตอ่ เรอ่ื งได้ พฤติกรรมการพูด 5. พูดประโยคยาวท่ีมคี ำ� 6-8 คำ� ได้ มสธ มสธ6. เชอ่ื มคำ� ไดม้ ากขึ้น รจู้ ักนำ� กฎไวยากรณไ์ ปใช้ 7. ใช้ภาษาพูดได้ถกู กาลเทศะมากข้นึ มสธ8. พูดเปรียบเทยี บวตั ถุ 2 สงิ่ ได้
13-48 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย 3.2 แบบสมั ภาษณ์ เปน็ การประเมนิ โดยการใหค้ รไู ดส้ มั ภาษณห์ รอื ซกั ถามพอ่ แม่ ผปู้ กครอง มสธเกี่ยวกับพฤติกรรมการฟังและการพูดของเด็กเมื่ออยู่ที่บ้าน การประเมินลักษณะน้ีท�ำให้ครูได้ข้อมูลเกี่ยว กบั พฤตกิ รรมการฟงั และการพูดเพม่ิ เติมนอกเหนือจากท่ีโรงเรียน ตัวอยา่ งแบบสมั ภาษณ์ มสธ มสธแบบสมั ภาษณ์ ผ้สู ัมภาษณ์: ............................................................................................................................................ ผู้ถกู สัมภาษณ:์ ....................................................................................................................................... ผูป้ กครอง ด.ช./ด.ญ. .....................................................................................อายุ:................................. สถานทสี่ ัมภาษณ์: ................................................................................................................................... มสธวันที่และเวลา: ......................................................................................................................................... ประเดน็ ท่สี ัมภาษณ์ (ตัวอยา่ ง) 1) เด็กมพี ฤตกิ รรมการฟงั และการพูดเปน็ อยา่ งไรเมื่ออยู่ท่บี า้ น.................................................. 2) เด็กพดู สื่อสารรู้เรอื่ งหรือไม่.................................................................................................... ฯลฯ มสธ มสธสรุปได้ว่า การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการฟังและการพูด ควรประเมินให้ครอบคลุม ประสบการณส์ ำ� คญั และสาระทค่ี วรเรยี นรดู้ า้ นการฟงั และการพดู ของเดก็ ซงึ่ การประเมนิ ดงั กลา่ วอาจใชว้ ธิ ี การสังเกตและบันทึกพฤติกรรม หรือการสัมภาษณ์ โดยใช้เครื่องมือประกอบการประเมินได้อย่าง หลากหลาย เช่น แบบบันทึกระเบียนพฤติการณ์ทั่วไป แบบบันทึกค�ำพูด แบบตรวจสอบรายการ แบบ ประเมินค่าหรือมาตรประมาณค่า และแบบสมั ภาษณ์ ฯลฯ มสธกิจกรรม 13.3.1 ให้อธิบายและยกตัวอย่างเคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการฟังและการ พดู มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม13.3.1 การประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการฟงั และการพดู เปน็ การประเมนิ เรอ่ื งการฟงั เสยี งตา่ งๆ อยา่ งมจี ดุ มงุ่ หมาย การรบั รเู้ สยี งทไี่ ดย้ นิ การตระหนกั ถงึ ความหมายของเสยี งในบรบิ ทแวดลอ้ ม การตคี วาม สง่ิ ทไี่ ดย้ นิ โดยเชอื่ มโยงกบั ความรเู้ ดมิ ความสามารถในการไดย้ นิ และจบั ใจความ การแสดงความคดิ ความ รสู้ กึ และความตอ้ งการดว้ ยคำ� พดู การพดู กบั ผอู้ น่ื เกยี่ วกบั ประสบการณข์ องตนเอง หรอื เลา่ เรอื่ งราวเกย่ี ว มสธกบั ตนเอง การอธบิ ายเก่ยี วกับสง่ิ ของ เหตุการณ์ และความสมั พนั ธข์ องส่งิ ตา่ งๆ การพดู อย่างสร้างสรรค์
การจดั ประสบการณ์เพอื่ พฒั นาเด็กปฐมวัยดา้ นภาษา 13-49 ในการเล่นหรือการแก้ปัญหา การเชื่อมโยงการพูดกับท่าทางหรือการกระท�ำต่างๆ การมีประสบการณ์ใน มสธการรอคอยจังหวะท่ีเหมาะสมในการพูด ค�ำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจ�ำวันของเด็ก การเรียงล�ำดับค�ำ ต่างๆ เพ่ือใช้ในการส่ือสารให้ผู้อื่นเข้าใจ การใช้ค�ำพูดที่สุภาพ และการใช้ค�ำพูดให้เหมาะสมกับบุคคลท่ี ต้องการสอื่ สารดว้ ย สำ� หรับเครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการประเมิน เชน่ แบบบนั ทึกระเบียนพฤติการณท์ ว่ั ไป แบบ บนั ทกึ ค�ำพูด แบบตรวจสอบรายการ แบบประเมนิ ค่าหรอื มาตรประมาณค่า แบบสัมภาษณ์ ฯลฯ มสธ มสธเรื่องที่13.3.2 การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการอ่านและการเขียน มสธการประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการอา่ นและการเขยี น เปน็ การประเมนิ พฤตกิ รรมทพี่ อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครคู วรมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในพฒั นาการ ประสบการณส์ ำ� คญั และสาระทค่ี วรเรยี นรดู้ า้ นการ อ่านและการเขียน การประเมินในด้านนี้จะกล่าวถึงขอบข่าย วิธีการประเมิน และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการ มสธ มสธประเมนิ ดงั มีรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ขอบข่ายของการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการอ่านและการเขียน พิจารณาจาก ประสบการณส์ �ำคญั และสาระทีค่ วรเรยี นรดู้ ้านการอ่านและการเขยี น ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ 1.1 การอา่ นหลายรปู แบบ เชน่ การอา่ นภาพจากหนังสือนิทาน การอา่ นเครอ่ื งหมาย การ อา่ นสัญลักษณ์ หรือการอา่ นเร่ืองราวท่เี ด็กสนใจ 1.2 การใช้หนงั สือ เช่น การรทู้ ิศทางในการถือหนงั สือ การร้สู ่วนประกอบของหนังสอื และ มสธการรู้ทศิ ทางในการอ่าน 1.3 การใช้ตวั อักษร เช่น การรู้วา่ การอา่ นกบั การเขยี นสัมพันธ์กัน การรจู้ กั คำ� คุ้นตา การรู้ วา่ คำ� คืออะไร การร้จู กั ตัวอักษรตวั แรกและตัวสุดท้ายของคำ� และการรู้รูปรา่ งและทิศทางของตวั อักษร 1.4 การใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอน เชน่ การรคู้ วามหมายของเครอื่ งหมายคำ� พดู เครอื่ งหมาย ค�ำถาม และเครือ่ งหมายอัศเจรีย์ มสธ มสธ1.5 การใชส้ งิ่ ชแ้ี นะในการคาดคะเนและตรวจสอบการคาดคะเนโดยอาศยั ภาพ ความหมาย ของค�ำ โครงสร้างของประโยค และ/หรือพยัญชนะตน้ ของค�ำ 1.6 การเขยี นหลายรูปแบบ เช่น การเขียนภาพ การเขียนขีดเขยี่ การเขียนคล้ายตวั อักษร การเขยี นเหมือนสญั ลกั ษณ์ การเขียนชือ่ ตนเองหรอื ค�ำทค่ี ุ้นเคย 1.7 การสรา้ งสญั ลกั ษณภ์ าษาเขยี น เชน่ การสรา้ งภาพ และ/หรอื ขอ้ ความดว้ ยการวาด การ ลอก การจำ� มาเขยี นทง้ั ทไี่ มถ่ กู ตอ้ งสมบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ งสมบรู ณ์ การคดิ พยญั ชนะขน้ึ แทนเสยี งของคำ� ตลอด มสธจนการคิดสะกดคำ�
13-50 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย 1.8 ทิศทางการเขียน เช่น การจัดเรียงต�ำแหน่งของส่ิงท่ีเขียน ตั้งแต่การจัดเรียงตาม มสธแนวต้ังและแนวนอนอย่างสะเปะสะปะ การเขยี นจากซา้ ยไปขวา และบนลงลา่ งอยา่ งสม่�ำเสมอ 1.9 วิธีถ่ายทอดความหมายของสญั ลกั ษณภ์ าษาเขียน เชน่ การแสดงความหมายของภาพ และ/หรอื ขอ้ ความทต่ี นเขยี นให้ผอู้ ืน่ รับรดู้ ว้ ยการบอกใหค้ รชู ว่ ยเขียนให้ เขียนเองบางส่วน ตลอดจนเขียน เองท้งั หมด มสธ มสธ1.10 ความซบั ซอ้ นของความหมาย เชน่ ความชดั เจนละเอยี ดลออ และครอบคลมุ ความหมาย ทตี่ ้องการสอ่ื โดยใช้หน่วยไวยากรณท์ ีเ่ ป็นตวั อกั ษร คำ� หรอื ประโยคงา่ ย ๆ 2. วิธีการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการอ่านและการเขียน ในการประเมินพัฒนาการ เด็กปฐมวัยด้านการอ่านและการเขียน สามารถประเมินได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันมากท่ีสุด คือ การ สังเกตและบันทึกพฤติกรรม ซึ่งเป็นการสังเกตพฤติกรรมการอ่านและการเขียนผ่านการท�ำกิจกรรมหลัก เชน่ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ กจิ กรรมเสรี รวมถงึ สถานการณท์ เี่ กยี่ วกบั การใชภ้ าษา โดยทเี่ ดก็ แสดงพฤตกิ รรม มสธการอ่านและการเขียนออกมาตามธรรมชาติ จากนั้นครูจะท�ำการรวบรวมข้อมูลโดยการจดบันทึกหรือ จดบนั ทึกในแบบฟอร์ม เพื่อน�ำขอ้ มูลเหล่านน้ั มาเป็นหลักฐานในการประเมนิ เดก็ ในการสงั เกตพฤติกรรม การอา่ นและการเขยี นของเดก็ ควรทำ� การสงั เกตหลายๆ ครงั้ ในสถานการณท์ ห่ี ลากหลาย เพอื่ ใหเ้ กดิ ความ แนใ่ จวา่ เปน็ พฤติกรรมทแ่ี ท้จรงิ ของเดก็ 3. เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการอา่ นและการเขยี น ในการประเมนิ มสธ มสธพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการอ่านและการเขียน สามารถใช้เครื่องมือประเมินได้หลากหลายชนิด ในที่น้ี ไดแ้ บง่ ตามวธิ กี ารประเมนิ คอื การสงั เกตและบนั ทกึ พฤตกิ รรม ซง่ึ มหี ลากหลายลกั ษณะ (นภเนตร ธรรมบวร, 2544; สริ มิ า ภิญโญอนนั ตพงษ,์ 2556; ชนพิ รรณ จาตเิ สถยี ร, 2557) ดังน้ี 3.1 แบบตรวจสอบรายการ เปน็ แบบบนั ทกึ ทใี่ ชบ้ นั ทกึ พฤตกิ รรมการอา่ นและการเขยี นของ เด็ก ในลกั ษณะพฤติกรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ และไมเ่ กิดขึน้ ทัง้ น้รี ายการพฤติกรรมจะต้องแสดงถึงรายละเอียดของ พฤตกิ รรมการอา่ นและการเขยี นใหช้ ดั เจน เปน็ รปู ธรรม และสอดคลอ้ งกบั พฤตกิ รรมทตี่ อ้ งการสำ� รวจ แบบ มสธตรวจสอบรายการสามารถใช้ในการเก็บข้อมูลเด็กเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม อีกท้ังสะดวกต่อการใช้ มสธ มสธ มสธเนอื่ งจากผสู้ งั เกตไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งบนั ทกึ ขอ้ มลู เดก็ ทงั้ หมดในคราวเดยี วกนั แตใ่ ชเ้ กบ็ ขอ้ มลู ไปเปน็ ระยะๆ ได้
มสธแบบตรวจสอบรายการพฤติกรรมการอา่ น-การเขียนของเดก็ ปฐมวัย การจัดประสบการณ์เพื่อพฒั นาเด็กปฐมวยั ดา้ นภาษา 13-51 ตัวอย่างแบบตรวจสอบรายการพฤติกรรมการอ่าน-การเขียน มสธ มสธค�ำชี้แจง โปรดใส่เคร่อื งหมาย ✓ ลงในช่องทีต่ รงกบั พฤตกิ รรมท่ีพบ ด.ช./ด.ญ................................................................................... ชนั้ ...................................................... ผู้สังเกต..................................................................................... วนั /เดือน/ปี ท่ีสงั เกต........................... รายการพฤตกิ รรมพฤตกิ รรมทพี่ บ หมายเหตุ ท�ำได้ ท�ำไมไ่ ด้ ด้านการอ่าน 1. ถือหนงั สอื ถูกดา้ น หวั ไมก่ ลับ มสธ2. ชี้หนา้ ปกหนงั สอื ได้ 3. พลิกหน้าหนงั สือจากหนา้ แรกไปหนา้ หลัง 4. กวาดตามองข้อความตามบรรทัด ดขู ้อความทมี่ ี ตวั หนังสือตวั ใหญ่ มสธ มสธ5. อ่านข้อความท่ีมตี วั อักษรและคำ� ท่เี ห็นอยู่เปน็ ประจ�ำ 6. ช้ีและบอกช่อื ของตวั อักษรสว่ นใหญไ่ ด้ พจิ ารณา ตัวอกั ษรบางตวั และบอกวา่ คือตวั อะไรได้ ด้านการเขียน 1. ใชก้ ารวาดภาพแทนการเขยี น มสธ2. ขีดเข่ยี ไปท่ัวหนา้ กระดาษอยา่ งไม่เปน็ ระบบ 3. เขยี นตวั หนงั สือบางตัวคลา้ ยตัวอักษร บางตวั ไม่คลา้ ย แต่เป็นรปู ร่างทีเ่ ดก็ คดิ ข้นึ เอง 4. เขยี นค�ำทีเ่ ขยี นไดแ้ ล้วด้วยการสลบั ทต่ี ัวอักษร หรือ เขยี นตัวอักษรกลบั มสธ มสธ5. คดั ลอกตวั อักษรทเี่ ห็นอยรู่ อบตวั 6. เขยี นโดยคดิ วธิ สี ะกดขน้ึ เอง อาจเขยี นเฉพาะพยญั ชนะตน้ หรอื มสี ระแบบทเ่ี ดก็ คิดขนึ้ ความคิดเห็นของครู ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ มสธ................................................................................................................................................................
13-52 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรับเด็กปฐมวัย 3.2 แบบบันทึกแบบสั้น เป็นการบันทึกพฤติกรรมการอ่านและการเขียนในลักษณะส้ันๆ มสธแต่คงไว้ด้วยรายละเอียดส�ำคัญ โดยใช้วลีหรือประโยคสั้นๆ ท่ีแสดงถึงพฤติกรรมการอ่านและการเขียน ละเว้นค�ำท่ีไม่จ�ำเป็น และใช้การเขียนย่อในรูปแบบต่างๆ การเขียนลักษณะนี้จะเขียนแบบส้ันๆ ใช้เนื้อที่ การเขียนนอ้ ย การบันทึกในลกั ษณะนี้สามารถนำ� มาใชไ้ ด้หลากหลายรูปแบบ ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ มสธ มสธตัวอยา่ งแบบบนั ทกึ แบบสนั้ แบบท่ี1 มสธการใชห้ นังสือ แบบบนั ทึกแบบสนั้ ด้านการอา่ น-การเขียนของเด็กปฐมวยั ผูส้ งั เกต.................................................................. วนั /เดอื น/ปี ท่ีสังเกต............................................. ชอื่ เดก็ .................................................................... มสธ มสธ มสธแหล่งท่ีมา: ด ดั แปลงจาก McAfee, O., & Leong, D. (2007). Assessing and guiding young children’s development มสธ มสธ มสธand learning (4th ed.). The United States of America: Pearson Education. p. 78.ตวั อกั ษรการสร้างทิศทางหมายเหตุ สญั ลกั ษณ์ การเขยี น
มสธแบบบนั ทกึ แบบสั้นด้านการอ่าน-การเขียนของเดก็ ปฐมวยั การจัดประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเด็กปฐมวัยดา้ นภาษา 13-53 ตัวอย่างแบบบันทกึ แบบสัน้ แบบที่ 2 ผสู้ ังเกต.................................................................. วัน/เดอื น/ปี ท่สี งั เกต............................................. มสธ มสธประเด็น................................................................... มสธ มสธ มสธแหล่งที่มา: ดดั แปลงจาก ชนพิ รรณ จาตเิ สถยี ร. (2557). การสงั เกตพฤตกิ รรมเดก็ ปฐมวยั . ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการประเมนิชอื่ เด็กการใชห้ นังสอื ตัวอักษรการสร้างทศิ ทางหมายเหตุ และสรา้ งเสรมิ พฤตกิ รรมเด็กปฐมวัย หนว่ ยท่ี 7 (น. 7-1 ถึง 7-69). นนทบุร:ี สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสัญลักษณ์การเขยี น สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, น. 7-35. มสธ3.3 แบบบันทึกแบบย่อ เปน็ การบันทึกขอ้ มูลแบบยอ่ เพื่อช่วยจดจ�ำพฤตกิ รรม เหตุการณ์ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เกยี่ วกบั พฤตกิ รรมการอา่ นและการเขยี น แบบบนั ทกึ ลกั ษณะนเ้ี ปน็ ทน่ี ยิ มใชใ้ นหอ้ งเรยี น เนอื่ งจาก ใช้เวลาน้อยและสะดวกในการช่วยจดจ�ำข้อมูล แบบบันทึกแบบย่อจะไม่มีรูปแบบการบันทึกท่ีตายตัว สามารถจดลงในสมดุ บนั ทกึ สว่ นตวั บนปา้ ยสตก๊ิ เกอร์ บนกระดาษการด์ แบบแขง็ ขนาดเลก็ หรอื บนกระดาษ มสธ มสธ มสธโนต้ หัวกาว
13-54 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวัย ตวั อย่างแบบบนั ทึกแบบย่อบนกระดาษการด์ แบบแขง็ ขนาดเลก็ (Index Card) มสธแบบบนั ทึกแบบย่อบนกระดาษการ์ดแบบแขง็ ขนาดเลก็ ผูส้ ังเกต................................................................ มสธ มสธวนั /เดือน/ปี ท่สี ังเกต............................................ ชอ่ื เดก็ พฤติกรรมทีพ่ บ มสธชอ่ื เด็ก พฤติกรรมท่ีพบ มสธ มสธชอ่ื เด็ก พฤติกรรมทีพ่ บ แหล่งที่มา: ดดั แปลงจาก Jablon, J. R., Dombro, A. L., & Dichtelmiller, M. L. (2007). The power of observation มสธ มมสสธธ มสธfor birth through eight (2nd ed.). Washington, DC: Teaching Strategies.
การจดั ประสบการณเ์ พ่อื พฒั นาเด็กปฐมวัยด้านภาษา 13-55 ตวั อยา่ งแบบบนั ทึกแบบยอ่ บนฉลากสต๊ิกเกอร์ (Label) มสธแบบบันทึกแบบย่อบนฉลากสติก๊ เกอร์ มสธ มสธวัน/เดือน/ปี วนั /เดือน/ปี ชื่อเด็ก ชอ่ื เด็ก พฤติกรรมที่พบ พฤติกรรมท่พี บ วนั /เดือน/ปี วัน/เดือน/ปี ชื่อเด็ก ชอื่ เด็ก พฤติกรรมทีพ่ บ พฤตกิ รรมที่พบ มสธวนั /เดอื น/ปี วัน/เดอื น/ปี ชื่อเด็ก ชือ่ เดก็ พฤตกิ รรมที่พบ พฤตกิ รรมที่พบ วัน/เดอื น/ปี มสธ มสธวัน/เดอื น/ปี ชอ่ื เด็ก ชื่อเด็ก พฤติกรรมทีพ่ บ พฤตกิ รรมทพ่ี บวัน/เดือน/ปี วัน/เดอื น/ปี ชือ่ เดก็ ช่ือเด็ก พฤตกิ รรมที่พบ พฤตกิ รรมที่พบ มสธแหล่งท่ีมา: ดดั แปลงจาก ชนพิ รรณ จาตเิ สถยี ร. (2557). การสงั เกตพฤตกิ รรมเดก็ ปฐมวยั . ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าการประเมนิ และสรา้ งเสรมิ พฤติกรรมเด็กปฐมวยั หน่วยท่ี 7 (น. 7-1 ถึง 7-69). นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, น. 7-38. มสธ มสธสรปุ ไดว้ า่ การประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการอา่ นและการเขยี น ควรประเมนิ ใหค้ รอบคลมุ ประสบการณส์ ำ� คัญและสาระที่ควรเรยี นรดู้ า้ นการอา่ นและการเขยี นของเดก็ ซงึ่ การประเมนิ ดงั กลา่ วนิยม ใช้วธิ กี ารสงั เกตและบันทกึ พฤตกิ รรม โดยใชเ้ ครื่องมือประกอบการประเมินทหี่ ลากหลาย เช่น แบบตรวจ มสธสอบรายการ แบบบันทกึ แบบสน้ั และแบบบันทึกแบบย่อ เป็นต้น
13-56 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรับเด็กปฐมวยั มสธกิจกรรม 13.3.2 ให้อธิบายและยกตัวอย่างเคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการอ่านและ การเขยี น แนวตอบกิจกรรม 13.3.2 มสธ มสธการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการอ่านและการเขียน เป็นการประเมินเกี่ยวกับการอ่าน และการเขียนในหลายรูปแบบ การใช้หนังสือ ตัวอกั ษร เครอื่ งหมายวรรคตอน การสร้างสญั ลักษณภ์ าษา เขยี น ทศิ ทางการเขยี น และวธิ ถี า่ ยทอดความหมายของสญั ลกั ษณภ์ าษาเขยี น สำ� หรบั เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการ ประเมนิ ไดแ้ ก่ แบบตรวจสอบรายการ แบบบันทกึ แบบสัน้ และแบบบันทกึ แบบย่อ ฯลฯ มสธเรื่องท่ี 13.3.3 การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการฟัง การพูด มสธ มสธการอ่านและการเขียน การประเมินพฒั นาการเดก็ ปฐมวัยด้านการฟัง การพูด การอา่ น และการเขียน เป็นการประเมนิ ความสามารถในการสอ่ื สารอยา่ งเปน็ องคร์ วม ซงึ่ นยิ มใชก้ ารประเมนิ ตามสภาพจรงิ (Authentic Assess- ment) ซึ่งเป็นการประเมินจากส่ิงที่เด็กได้ปฏิบัติจริง จากชิ้นงานที่ท�ำจริงในชีวิตประจ�ำวันของเด็ก เพื่อ มสธต้องการทราบว่าเด็กมีทักษะด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนเป็นอย่างไร และผลท่ีเกิดข้ึนมี คุณภาพเพียงใด การประเมินตามสภาพจริงเป็นการประเมินที่สอดคล้องกับการจัดประสบการณ์ท่ีเน้น ผู้เรียนเป็นส�ำคัญ ผลของการประเมินจึงมีคุณค่าต่อการพัฒนาเด็กในด้านการฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียนให้เต็มตามศักยภาพ และส่งผลต่อการพัฒนาการจัดประสบการณ์และการพัฒนาหลักสูตร (อษุ าวดี จนั ทรสนธ,ิ ม.ป.ป.) มสธ มสธการประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในระดบั ปฐมวยั นยิ มใชแ้ ฟม้ สะสมผลงานหรอื พอรต์ โฟลโิ อ (Portfolio) เนอ่ื งจากเปน็ วธิ กี ารทสี่ ามารถสะทอ้ นความกา้ วหนา้ ของพฒั นาการทางภาษาดา้ นการฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี น เนอ่ื งจากแฟม้ สะสมผลงานเปน็ การประเมนิ ทเ่ี หน็ รอ่ งรอย เพอ่ื สรปุ และอา้ งถงึ ความกา้ วหนา้ และพฒั นาการของเดก็ ทโี่ ดดเดน่ และเปน็ การใหข้ อ้ มลู การเรยี นรทู้ แี่ สดงถงึ ทกั ษะทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั ครใู นการ พฒั นาเดก็ และการจดั การเรยี นรู้ ครสู ามารถประเมนิ ทกั ษะการฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี นของเดก็ มสธด้วยการจัดท�ำแฟ้มสะสมผลงาน โดยมีการวางแผน ก�ำหนดเป้าหมายที่ครอบคลุมพัฒนาการทางภาษา
การจดั ประสบการณ์เพอ่ื พัฒนาเดก็ ปฐมวัยดา้ นภาษา 13-57 และรวบรวมผลงานท่ีแสดงถึงความก้าวหน้าของพัฒนาการทางภาษาด้านการฟัง การพูด การอ่าน และ มสธการเขยี นของเดก็ (พชั รา พุ่มพชาติ, 2557) ในเรอื่ งนจ้ี ะอธบิ ายการประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี น โดยใช้แฟม้ สะสมผลงานใน 3 ประเดน็ หลกั ตอ่ ไปน้ี 1. หลักการของการประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน ในการใช้แฟ้มสะสมผลงาน ครูควรรู้ถึง มสธ มสธหลกั การของการประเมินเพอ่ื ใหก้ ารประเมนิ เกดิ ศกั ยภาพสงู สุดตอ่ เด็ก (ประภาพรรณ เอี่ยมสภุ าษิต และ วัฒนา ปญุ ญฤทธ,ิ์ 2548) ดังนี้ 1.1 การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน มีหลักการในการเก็บข้อมูลร่วมกันระหว่างผู้ ประเมนิ และผถู้ กู ประเมนิ ดงั นนั้ การคดั เลอื กชนิ้ งานเพอ่ื จดั เกบ็ ในแฟม้ จงึ ตอ้ งเปน็ ชน้ิ งานทเี่ ดก็ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ และมีส่วนร่วมตัดสินใจเลอื กชน้ิ งานเพอื่ สะสม และมคี วามเห็นของผทู้ ีเ่ ก่ียวขอ้ งดว้ ย 1.2 การจดั ระบบการเก็บรวบรวมขอ้ มลู สารสนเทศ โดยมเี ปา้ หมายเพ่อื การวิเคราะห์ และ มสธให้ได้ข้อมูลตรงกับสภาพจริง จึงต้องมีการวางแผน โดยเริ่มจากการก�ำหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสม ผลงาน ทง้ั นเี้ พอื่ กำ� หนดเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ เชน่ ถา้ เปน็ แฟม้ สะสมผลงานยอดเยยี่ มจะมกี ารประเมนิ โดยใช้แบบวิเคราะห์คุณภาพงานท่ีมีเกณฑ์ในการพิจารณาคุณภาพเพื่อตัดสิน ถ้าเป็นแฟ้มสะสมงานเพื่อ รายงานความกา้ วหนา้ จะใชเ้ คร่อื งมอื ทีเ่ ปน็ แบบสงั เกต แบบบันทึก แบบตรวจสอบรายการ แบบประเมิน คา่ หรือมาตรประมาณค่า แบบสัมภาษณ์ ฯลฯ ดังนนั้ การกำ� หนดวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ชดั เจนจะทำ� ให้สามารถจดั มสธ มสธเก็บผลงานได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ 1.3 การกำ� หนดระบบของแฟม้ ควรดำ� เนนิ การใหเ้ ปน็ หมวดหมตู่ ามวตั ถปุ ระสงค์ พรอ้ มทงั้ ก�ำหนดกิจกรรมให้สอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงคน์ ้ัน และมีการกำ� หนดแนวทางการประเมนิ และการวเิ คราะห์ ที่สอดคล้องกัน 1.4 นอกเหนือจากชิ้นงานเด็กที่ได้เลือกสะสม ครูสามารถน�ำเสนอข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับช้ิน งานนั้นๆ โดยใช้บันทึกของครูและพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือจากผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพ่ือแสดงให้เห็นถึงการ มสธวเิ คราะห์เด็กจากผลงานทเี่ ก็บตามแนวทางการประเมินท่ีก�ำหนดไว้ เชน่ ครูสามารถใชแ้ บบบันทกึ ทแ่ี สดง ถงึ การเปล่ียนแปลงในดา้ นการเรยี นรู้ การเปลยี่ นแปลงทางด้านจติ พสิ ัย และทักษะความสามารถต่างๆ ท่ี สะท้อนใหเ้ ห็นถงึ พัฒนาการแต่ละดา้ นของเดก็ 1.5 การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน เป็นการประเมินที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ความ สามารถและทกั ษะตา่ งๆ ให้กับเดก็ และช่วยพัฒนาความสามารถในการประเมินตนเอง จากการประเมิน มสธ มสธค่าผลงาน ท�ำให้เด็กรู้จักและเข้าใจตนเอง ซึ่งน�ำไปสู่การพยายามท่ีจะพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง ดังนั้น การใหเ้ ดก็ ไดม้ กี ารสะทอ้ นผลงานของตนเองในลกั ษณะของการรายงานตนเองพรอ้ มกบั ขอ้ มลู อน่ื ทส่ี ะทอ้ น ถงึ เดก็ โดยผทู้ ี่เกย่ี วขอ้ ง จะทำ� ใหเ้ ด็กไดร้ ับการสนับสนุน กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ เกิดความตระหนัก และรบั รู้ในการ เรียนรู้พร้อมทั้งพยายามปรับปรุงผลงานของตนเองให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน ส่งผลต่อการสร้างเจตคติท่ีดีในการ มสธเรียนรอู้ ย่างต่อเนื่องใหก้ บั เด็ก
13-58 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวยั 2. ส่วนประกอบของแฟ้มสะสมผลงาน โดยทัว่ ไปในแฟ้มสะสมผลงานจะประกอบด้วย 3 สว่ น มสธ(สริ มิ า ภิญโญอนนั ตพงษ์, 2556) คือ 2.1 ข้อมูลสว่ นตวั เป็นข้อมลู พ้ืนฐานเกย่ี วกับตัวเดก็ เชน่ ช่อื นามสกุล วนั เดือน ปี เกดิ ที่อยู่ ฯลฯ 2.2 แผนการเก็บชนิ้ งาน เป็นสว่ นที่ระบจุ ุดม่งุ หมาย แผนงานการเกบ็ ช้ินงานของเดก็ เพื่อ มสธ มสธดูความก้าวหน้าของพัฒนาการและทักษะด้านต่างๆ หรือประสบการณ์ต่างๆ ท่ีเด็กเรียนรู้ รวมถึงการ รายงานผล ซงึ่ จะเกบ็ รปู แบบงานอยา่ งไรนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั การวางจดุ มงุ่ หมายในการเกบ็ เชน่ ครใู ชพ้ ฒั นาการ ทางภาษาเปน็ หลกั ในการเกบ็ ชิน้ งานเพ่ือดคู วามก้าวหน้าทางภาษา โดยมุ่งเนน้ การฟงั การพูด การอา่ น และการเขยี น ฯลฯ 2.3 ตวั บ่งช้ี เช่น การใช้แบบตรวจสอบรายการ แบบประเมินผลงาน/กิจกรรม แบบบันทึก กิจกรรมการประเมนิ แบบบันทกึ พฤติกรรม แบบประเมนิ คา่ หรอื มาตรประมาณคา่ เพ่ือสะท้อนการเรยี นรู้ มสธและทกั ษะของเดก็ อย่างแท้จรงิ ทั้งนค้ี รคู วรรู้วธิ ใี ช้เครอื่ งมือในแตล่ ะประเภท และเลือกใชใ้ หห้ ลากหลาย 3. วธิ ดี ำ� เนนิ การและการจดั ระบบเกบ็ ขอ้ มลู ในแฟม้ สะสมงาน สามารถดำ� เนนิ การได้ (ประภาพรรณ เอ่ยี มสภุ าษิต และวัฒนา ปญุ ญฤทธ์,ิ 2548) ดงั นี้ 3.1 ก�ำหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมผลงานว่าจะเป็นแฟ้มผลงานยอดเย่ียมหรือแฟ้ม รายงานความก้าวหน้า มสธ มสธ3.2 ก�ำหนดขอบขา่ ยของการจัดเก็บประเภทของช้ินงานใหส้ อดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ เช่น ครูตอ้ งการประเมนิ พฒั นาการเด็กทางดา้ นภาษาทงั้ ในดา้ นการฟัง การพูด การอา่ น และการเขยี น ฯลฯ 3.3 ท�ำความเข้าใจกับเด็กและพ่อแม่ ผู้ปกครองเก่ียวกับการเลือกช้ินงาน ดังนั้นนอกจาก เดก็ จะเปน็ ผทู้ เี่ ลอื กชน้ิ งานดว้ ยตนเองแลว้ พอ่ แม่ ผปู้ กครองควรมโี อกาสในการมสี ว่ นรว่ มเลอื กชนิ้ งานเพอ่ื เก็บเข้าแฟม้ ดว้ ย 3.4 กำ� หนดเครอื่ งมอื ประเมนิ การวเิ คราะหง์ านและเกณฑต์ า่ งๆ ใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ มสธทต่ี อ้ งการ ทงั้ นเ้ี ดก็ จะตอ้ งมสี ว่ นรว่ มในการกำ� หนดเกณฑด์ ว้ ย โดยเกณฑด์ งั กลา่ วจะนำ� มาใชต้ ดั สนิ คณุ ภาพ ของงานและแสดงความกา้ วหนา้ ของเด็ก เชน่ การประเมินด้านการฟังและการพูด ครสู ามารถจัดกจิ กรรม โดยให้เด็กฟังเสียงต่างๆ ภายในห้องเรียน แล้วให้เด็กวาดภาพส่ิงที่ท�ำให้เกิดเสียงท่ีได้ยินลงบนกระดาษ จากนั้นครูให้เด็กออกมาน�ำเสนอผลงานของตนเอง ซ่ึงการประเมินดังกล่าวครูสามารถท�ำการบันทึก พฤติกรรมการฟังและการพูดโดยใช้แบบตรวจสอบรายการและแบบบันทึกค�ำพูดประกอบการประเมิน มสธ มสธสำ� หรบั การประเมนิ ดา้ นการอา่ นและการเขยี น ครสู ามารถใชก้ ารบนั ทกึ เสยี งในการเกบ็ พฤตกิ รรมการอา่ น ของเดก็ และใชน้ ทิ านเปน็ ตวั กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ สรา้ งสญั ลกั ษณภ์ าษาเขยี นจากการใหเ้ ดก็ วาดตวั ละครหรอื ฉาก ที่เด็กชอบลงในกระดาษ พร้อมท้ังใช้แบบบันทึกแบบส้ันในการประเมินพฤติกรรมการอ่านและการเขียน ฯลฯ 3.5 เม่ือมีการสะสมงาน เด็กและผู้เก่ียวข้องจะร่วมกันวิเคราะห์ผลงานและบันทึกเก็บเป็น มสธขอ้ มลู โดยใชเ้ ครอื่ งมอื ตา่ งๆ และมกี ารรวบรวมขอ้ มลู บนั ทกึ ไวม้ าวเิ คราะหเ์ พอ่ื สะทอ้ นถงึ การเรยี นรขู้ องเดก็
การจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเดก็ ปฐมวัยดา้ นภาษา 13-59 3.6 การใหผ้ ลปอ้ นกลบั จากการวดั และประเมนิ หลงั จากมกี ารประเมนิ ซงึ่ ไดจ้ ากการวเิ คราะห์ มสธข้อมูล ครูจะต้องให้ผลการประเมินกลับโดยเร็ว ท้ังนี้ผลป้อนกลับจะต้องชัดเจนโดยใช้ข้อมูลหลายฝ่ายมา สะท้อนเพื่อใหไ้ ด้ขอ้ มูลตรงกบั ความเปน็ จริงท่ีสุด ในการประเมินด้านการฟัง การพดู การอา่ น และการเขยี นของเด็กตามสภาพจรงิ นัน้ ควรทำ� การ ประเมนิ ไปพรอ้ มๆ กบั การจดั ประสบการณข์ ณะทเ่ี ดก็ รว่ มทำ� กจิ กรรม ครคู วรใหค้ วามสนใจกบั กระบวนการ มสธ มสธในการเรียนรู้ของเด็ก เช่น ขณะท่ีเด็กก�ำลังลงชื่อมาสถานศึกษา เมื่อครูสังเกตกระบวนเขียนชื่อของเด็ก พบว่าเด็กบางคนใช้วิธีคัดลอกช่ือของตนโดยมองจากช่ือท่ีปักอยู่บนเส้ือ ท�ำให้ผลงานการเขียนมีลักษณะ กลับหัว บางคนอาจเขียนได้อย่างคล่องแคล่วจากความจำ� ของตนเอง โดยทีผ่ ลผลติ มีลกั ษณะใกลเ้ คยี งกับ คนท่ีเขียนโดยการคัดลอกจากแบบท่ีครูเตรียมไว้ หากไม่สังเกตกระบวนการ อาจท�ำให้ครูไม่สามารถให้ ความชว่ ยเหลอื เดก็ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม อยา่ งไรกต็ าม ครคู วรใหค้ วามสนใจและควรตรวจสอบทง้ั กระบวนการ และผลผลติ ควบค่กู ันไป (นฤมล เนยี มหอม, 2560) มสธนอกจากน้ี ครูควรประเมนิ ทกั ษะการฟงั การพูด การอา่ น และการเขยี นจากบริบทที่หลากหลาย เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลการประเมนิ ทตี่ รงตามสภาพจรงิ ของเดก็ การดว่ นสรปุ จากบรบิ ทใดบรบิ ทหนงึ่ อาจทำ� ใหไ้ มไ่ ด้ ผลการประเมนิ ทแี่ ทจ้ รงิ เนอื่ งจากเดก็ อาจทำ� กจิ กรรมในบรบิ ทหนง่ึ ไดด้ กี วา่ อกี บรบิ ทหนงึ่ กไ็ ด้ สำ� หรบั การ ประเมินนอกจากจะท�ำการประเมินโดยครูแลว้ ควรให้เดก็ ไดม้ ีโอกาสประเมนิ ตนเองด้วย เพราะการทเ่ี ดก็ มีส่วนร่วมในการติดตามความก้าวหน้าของตนเองจะช่วยให้เด็กภูมิใจ และเกิดความต้องการท่ีจะพัฒนา มสธ มสธตนเองต่อไป สรุปได้ว่า การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ควร ประเมินตามสภาพจริง เน่ืองจากเป็นการประเมินที่เอ้ือต่อการประเมินความสามารถในการสื่อสารอย่าง เป็นองคร์ วม เปน็ การประเมินทเี่ กบ็ รวบรวมข้อมูลทเ่ี กิดขน้ึ ตามความเปน็ จรงิ ในชีวติ ประจำ� วนั ของเด็ก ที่ สะทอ้ นการเรยี นรแู้ ละทกั ษะด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี นของเด็กอย่างแท้จรงิ โดยใช้แฟม้ สะสมผลงานหรือพอร์ตโฟลโิ อเป็นเครื่องมือเกบ็ รวบรวมข้อมลู มสธกิจกรรม 13.3.3 ให้อธิบายและยกตัวอย่างเคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม13.3.3 การประเมินพฒั นาการเด็กปฐมวัยด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขยี น เปน็ การประเมิน ความสามารถในการส่ือสารอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งควรใช้การประเมินตามสภาพจริง เน่ืองจากเป็นการ ประเมินท่ีเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงในชีวิตประจ�ำวันของเด็ก ที่สามารถสะท้อนการ เรยี นรแู้ ละทกั ษะดา้ นการฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี นของเดก็ อยา่ งแทจ้ รงิ โดยใชแ้ ฟม้ สะสมผลงาน มสธหรือพอร์ตโฟลิโอเป็นเครอ่ื งมอื เก็บรวบรวมข้อมูล
13-60 การจดั การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย มสธบรรณานุกรม จิราภา เตง็ ไตรรัตน์ และคณะ. (2547). จิตวิทยาท่วั ไป (พมิ พค์ รั้งที่ 4). ปทมุ ธาน:ี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ ชนิพรรณ จาติเสถียร. (2557). การสังเกตพฤติกรรมเด็กปฐมวัย. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาการประเมินและ มสธ มสธสร้างเสริมพฤติกรรมเด็กปฐมวัย หน่วยท่ี 7 (น. 7-1 ถึง 7-69). นนทบุรี: สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. ชิตาพร เอ่ียมสะอาด. (2548). กระบวนการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัย. สุราษฎร์ธานี: มหาวิทยาลัย ราชภัฏสรุ าษฎร์ธาน.ี นภเนตร ธรรมบวร. (2544). การประเมนิ ผลพฒั นาการเดก็ ปฐมวยั . กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . นฤมล เนยี มหอม. (2560). การประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรูข้ องเดก็ ปฐมวัย. สบื ค้นจาก http://www.na- reumon.com/index.php?option=com_content&task=view&id= 15&Itemid=56 มสธบุษบง ตันติวงศ์. (2535). นวัตกรรมการสอนภาษากับธรรมชาติในการอ่านเขียนของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ประภาพรรณ เอี่ยมสุภาษิต และวัฒนา ปุญญฤทธิ์. (2548). การจัดประสบการณ์ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญใน ประมวลสาระชดุ วชิ าการจัดประสบการณ์สำ� หรับเดก็ ปฐมวัย หน่วยที่ 5 (น. 5-1 ถงึ 5-72). นนทบรุ ี: มสธ มสธสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. พัชรา พมุ่ พชาติ. (2557). การประเมนิ และการสรา้ งเสริมพฤติกรรมดา้ นสตปิ ญั ญาของเด็กปฐมวยั . ใน เอกสาร การสอนชุดวิชาการประเมินและสร้างเสริมพฤติกรรมเด็กปฐมวัย หน่วยที่ 11 (น. 11-1 ถึง 11-74). นนทบุรี: สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ไพเราะ พ่มุ มนั่ . (2551). การพัฒนาคณุ ภาพนกั เรยี นระดบั ปฐมวยั สผู่ ลงานทางวชิ าการ. ชลบรุ ี: ชลบุรีการพมิ พ.์ ภรณี ครุ รุ ัตนะ. (2540). การเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวยั . กรงุ เทพฯ: เซเวน่ พริน้ ต้งิ กร๊ปุ . สริ มิ า ภญิ โญอนนั ตพงษ.์ (2556). การวดั และประเมินแนวใหม่เด็กปฐมวัย. กรงุ เทพฯ: แอดวานซ์ โปรเจค กรุป๊ มสธจ�ำกดั . ส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2552). สมรรถนะของเด็กปฐมวัยในการพัฒนาตามวัย 3-5 ปี: แนวแนะ ส�ำหรับพอ่ แม่ ผปู้ กครอง. กรุงเทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธิการ. สำ� นักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. (2547). คูม่ ือหลักสตู รการ ศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2546 (ส�ำหรบั เดก็ อายุ 3-5 ปี). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว. มสธ มสธ . (2552). การสง่ เสรมิ ศกั ยภาพทางภาษาและการรหู้ นงั สอื สำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. อษุ าวดี จนั ทรสนธ.ิ (ม.ป.ป.). การประเมนิ ตามสภาพจรงิ . ใน เอกสารประกอบการสมั มนาเขม้ ประสบการณว์ ชิ าชพี ศกึ ษาศาสตร์. สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. Bennett-Armistead, V. S., Duke, N. K., & Moses, A. M. (2005). Literacy and the youngest learner: Best practices for educators of children from birth to 5. The United States of มสธAmerica: Scholastic, Inc.
การจดั ประสบการณ์เพอื่ พัฒนาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นภาษา 13-61 Bromley, K. D. (1992). Language arts : Exploring connections (2nd ed.). The United States of มสธAmerica: Allyn and Bacon. Burns, P. C., Lowe, A. L. (1969). The Language arts in childhood education. Chicago: Rand McNally. Christie, J., Enz, B., & Vukelich, C. (1997). Teaching language and literacy. The United States of America: Addison-Wesley Educational Publishers, Inc. มสธ มสธCunningham, P. M. & Allington, R. L. (1999). Classrooms that work: They can all read and write. (2nd ed.). The United States of America: Addison-Wesley Educational Publishers, Inc. Donoghue, M. R. (2009). Language arts: Integrating skills for classroom teaching. The United States of America: Sage Publications, Inc. Goldstein, E. B. (2008). Cognitive psychology: Connecting mind, research, and everyday experi- ence, (2nd ed.). The United States of America: Thomson. มสธJablon, J. R., Dombro, A. L., & Dichtelmiller, M. L. (2007). The power of observation for birth through eight (2nd ed.). Washington, DC: Teaching Strategies. Jalongo, M. R. (1992). Early childhood language arts. Massachusetts: Allyn and Bacon. Machado, J. M. (1999). Early childhood experiences in language arts: Emerging literacy (6th ed.). The United States of America: Delmar Publishers. มสธ มสธMayesky, N., Neuman, D., & Wloodkowski, R. J. (1995). Creative activities for young children (5th ed.). New York: Delmar. McAfee, O., & Leong, D. (2007). Assessing and guiding young children’s development and learn- ing (4th ed.). The United States of America: Pearson Education. Suvannathat, C, and others. (1985). Handbook of asian child development and child reading practices. Bangkok: Behavioral Science Research Institute, Srinakharinwirot Prasarnmeit มสธ มมสสธธ มสธUniversity.
มสธ หน่วยที่ 14 การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัย ที่มีความต้องการพิเศษ มสธ มสธผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญศรี แสวงเจริญ มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธช่ือ วุฒิ มสธต�ำแหน่ง หน่วยท่ีเขียน ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญศรี แสวงเจริญ วท.บ. (พยาบาล) มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ M.Ed. (Early Childhood Education) Nort Texas State University ค.ด. (การศกึ ษาปฐมวัย) จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย อาจารยป์ ระจำ� โรงเรียนสาธติ แหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ หนว่ ยท่ี 14
14-2 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา การจัดการศกึ ษาและหลักสูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวยั มสธ มสธหน่วยท่ี 14 การจดั ประสบการณส์ �ำหรับเดก็ ปฐมวัยทีม่ คี วามต้องการพเิ ศษ ตอนท่ี 14.1 ความรพู้ ื้นฐานเก่ียวกับเดก็ ปฐมวัยท่มี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ 14.2 แนวคิดเก่ยี วกบั การจดั ประสบการณ์ส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั ท่ีมีความต้องการพเิ ศษ 14.3 การจดั ประสบการณ์ส�ำหรบั เด็กปฐมวยั ท่มี ีความตอ้ งการพิเศษแตล่ ะประเภท มสธแนวคิด 1. เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึงเด็กท่ีมีความต้องการเฉพาะท้ังเด็กท่ีมีความ บกพรอ่ ง และเดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ การคดั กรองเดก็ จะชว่ ยคน้ หาเดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ ง มสธ มสธตงั้ แตใ่ นชว่ งปฐมวยั เพอื่ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ และชว่ ยคน้ หาความสามารถของเดก็ ท่ีมีความสามารถพิเศษเพ่ือจัดประสบการณ์ให้เด็กได้แสดงออกถึงศักยภาพ ความถนัดและ ความสามารถพิเศษ การชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิม เป็นการช่วยเหลือ ฟน้ื ฟสู มรรถภาพ หรือให้ บริการด้านต่างๆ กับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษทันทีที่พบความบกพร่อง โดยบุคลากรที่ เกี่ยวข้องจากหลากหลายสาขา เพื่อให้เด็กสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษา หรือสามารถด�ำรง ชีวิตไดเ้ หมือนเดก็ ทัว่ ไปมากท่ีสุด มสธ2. การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษมีหลักการส�ำคัญเพื่อส่งเสริม พัฒนาการ ให้เด็กสามารถด�ำรงชีวิตประจ�ำวันได้อย่างมีคุณภาพ โดยความร่วมมือระหว่าง ครอบครัว สถานศกึ ษา และชุมชน และให้ไดร้ ับการศกึ ษารวมกับเด็กทว่ั ไป ควบคู่ไปกบั การ บ�ำบัดและการฟื้นฟูสมรรถภาพ รวมทั้งให้เด็กที่มีความสามารถพิเศษได้รับการส่งเสริม ศกั ยภาพ ความถนัด และความสามารถพเิ ศษ โดยมแี นวทางในการจัดประสบการณ์ด้วยการ มสธ มสธออกแบบการเรียนรู้ท่ีเป็นสากล และการศึกษาแบบเรียนรวม โดยจัดให้มีความเหมาะสมกับ ผ้เู รยี นทีม่ ีความแตกตา่ งกนั 3. การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษแตล่ ะประเภทตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน เพ่ือให้เด็กได้พัฒนาอย่างเต็มท่ีตามศักยภาพ การ ประเมินเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ ท�ำให้ได้ข้อมูลเพ่ือใช้ในการวางแผนการจัด มสธประสบการณ์ให้มีความเหมาะสม โดยใช้วิธีการประเมินท่ีหลากหลาย การจัดประสบการณ์
การจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เด็กปฐมวัยทม่ี ีความต้องการพิเศษ 14-3 สำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั กบั ความรว่ มมอื ระหวา่ งสถานศกึ ษา มสธผูป้ กครอง และชุมชน วัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาหนว่ ยที่ 14 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ มสธ มสธ1. อธบิ ายความร้พู ื้นฐานเกีย่ วกบั เด็กปฐมวยั ที่มคี วามต้องการพิเศษได้ 2. อธิบายแนวคิดเก่ียวกับการจัดประสบการณ์ส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัยทีม่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษได้ 3. อธบิ ายการจัดประสบการณ์สำ� หรบั เด็กปฐมวัยทีม่ ีความต้องการพเิ ศษแต่ละประเภทได้ กิจกรรมระหว่างเรียน 1. ท�ำแบบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรียนหน่วยท่ี 14 มสธ2. ศกึ ษาเอกสารการสอนตอนที่ 14.1–14.3 3. ปฏิบัตกิ จิ กรรมตามท่ีได้รับมอบหมายในเอกสารการสอน 4. ฟงั ซีดเี สียงประจำ� ชดุ วชิ า 5. ชมดีวีดปี ระกอบชดุ วิชา (ถ้าม)ี มสธ มสธ6. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลงั เรยี นหนว่ ยท่ี 14 ส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ 3. ซีดีเสยี งประจำ� ชดุ วชิ า มสธ4. ดวี ีดีประกอบชุดวชิ า (ถา้ มี) การประเมินผล 1. ประเมนิ ผลจากแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนและหลังเรยี น 2. ประเมินผลจากกิจกรรมและแนวตอบท้ายเรอ่ื ง มสธ มสธ3. ประเมนิ ผลจากการสอบไล่ประจำ� ภาคการศกึ ษา เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธหน่วยท่ี 14 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป
14-4 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรับเด็กปฐมวัย มสธตอนที่ 14.1 ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ โปรดอ่านหัวเรื่อง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงค์ของตอนที่ 14.1 แลว้ จึงศึกษารายละเอียดตอ่ ไป มสธ มสธหัวเร่ือง 14.1.1 ความหมายและประเภทของเด็กปฐมวยั ท่มี คี วามตอ้ งการพิเศษ 14.1.2 การคดั กรองเด็กปฐมวัยทมี่ ีความต้องการพิเศษ 14.1.3 การช่วยเหลือระยะแรกเร่มิ มสธแนวคิด 1. เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กท่ีมีความต้องการเฉพาะท้ังเด็กที่มี สภาพความบกพร่องและเด็กที่มีความสามารถพิเศษ แบ่งเป็นเด็กท่ีมีความบกพร่อง ทางการเหน็ เด็กทีม่ ีความบกพรอ่ งทางการไดย้ ิน เด็กท่ีมีความบกพรอ่ งทางสติปญั ญา เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกายหรอื การเคลอ่ื นไหวหรอื สขุ ภาพ เดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ ง มสธ มสธทางการเรียนรู้ เดก็ ท่มี ีความบกพร่องทางการพูดและภาษา เด็กทีม่ คี วามบกพรอ่ งทาง พฤตกิ รรมหรอื อารมณ์ เด็กออทสิ ติก เด็กพิการซอ้ น และเดก็ ท่ีมคี วามสามารถพเิ ศษ 2. การคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ เป็นการค้นหาเด็กที่มีความบกพร่อง ตง้ั แต่ในชว่ งปฐมวยั เพือ่ ใหค้ วามชว่ ยเหลือระยะแรกเรม่ิ ส่วนการคัดกรองเด็กท่ีมีความ สามารถพิเศษเพ่ือค้นหาความสามารถของเด็ก เพ่ือจัดกิจกรรมให้เด็กได้แสดงออกถึง ศักยภาพและความสามารถพิเศษ มสธ3. การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม เป็นการช่วยเด็กที่มีความต้องการพิเศษโดยเร็วท่ีสุดตั้งแต่ แรกพบความพกิ าร รวมถึงการให้ความชว่ ยเหลือเดก็ ทว่ั ไปใหไ้ ดร้ บั การสนับสนนุ อย่าง เหมาะสม โดยการท�ำงานร่วมกับผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้งครู พ่อแม่ แพทย์ พยาบาล นักวชิ าชีพสาขาต่างๆ มสธ มสธวัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาตอนท่ี 14.1 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. อธิบายความหมายและประเภทของเดก็ ปฐมวัยท่มี ีความตอ้ งการพเิ ศษได้ 2. อธบิ ายความส�ำคญั ของการคัดกรองเดก็ ปฐมวยั ท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษได้ มสธ3. อธิบายความสำ� คญั ของการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริ่มได้
การจดั ประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ 14-5 มสธเรื่องท่ี 14.1.1 ความหมายและประเภทของเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ มสธ มสธเดก็ ปฐมวยั ท่มี คี วามต้องการพิเศษ (children with special needs) เป็นกลุม่ เป้าหมายเฉพาะ ซึ่งมีหลักการว่า “เด็กทุกคนมีสิทธิท่ีจะได้รับการอบรมเล้ียงดูและส่งเสริมพัฒนาการ ตลอดจนการเรียนรู้ อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือบุคลากรที่มีความรู้ความ สามารถในการอบรมเลยี้ งดแู ละใหก้ ารศกึ ษาเดก็ ปฐมวยั เพอื่ ใหเ้ ดก็ มโี อกาสพฒั นาตนเองตามลำ� ดบั ขนั้ ของ พัฒนาการทุกด้าน อย่างสมดุลและเต็มตามศักยภาพ...” โดยปรับมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้ เหมาะสมกบั ศกั ยภาพของเด็กแตล่ ะประเภท (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2546) จึงเป็นความจ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ี ครแู ละผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ตอ้ งมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั เดก็ กลมุ่ น้ี เพอื่ มสธท่ีจะสามารถจดั ประสบการณไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม ความหมายของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ ผทู้ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ควรรจู้ กั ความหมายของเดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วาม มสธ มสธต้องการพิเศษ เพื่อทีจ่ ะสามารถทำ� ความข้าใจเดก็ กลุ่มนีไ้ ด้อย่างถกู ต้อง ซึ่งไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายของเดก็ ท่ี มคี วามตอ้ งการพิเศษไวด้ งั นี้ เบญจา ชลธารนนท์ (2538) กล่าวว่าบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง ใครก็ตามที่ไม่ สามารถปฏิบตั ิเหมือนคนปกติ และหรอื ชีวติ สงั คมทว่ั ไป ตอ้ งท�ำเพียงสว่ นใดสว่ นหน่งึ หรอื ไมส่ ามารถท�ำ ทงั้ หมดไดด้ ว้ ยตนเอง ซงึ่ เปน็ ผลมาจากความบกพรอ่ งทางรา่ งกายหรอื สมอง โดยเปน็ มาแตก่ ำ� เนดิ หรอื ไม่ ก็ได้ มสธผดุง อารยะวิญญู (2542) กล่าวว่าเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กท่ีมีความต้องการ ทางการศกึ ษาแตกต่างไปจากเด็กปกติ ไดแ้ ก่ เด็กปญั ญาเลิศ เดก็ ปญั ญาออ่ น เด็กที่มีความบกพร่องทาง สายตา เด็กทมี่ คี วามบกพร่องทางรา่ งกายและสุขภาพ เดก็ ที่มคี วามบกพรอ่ งทางการไดย้ ิน เด็กทม่ี ีความ บกพร่องเก่ยี วกบั ระบบประสาท เดก็ ทีม่ ีปญั หาพฤติกรรม เดก็ ทีม่ คี วามบกพรอ่ งทางภาษา เดก็ ท่ีมีปญั หา ในการเรียนรู้ และเดก็ พิการซํ้าซอ้ น มสธ มสธสวุ มิ ล อดุ มพริ ยิ ะศกั ด์ิ (2549) กลา่ ววา่ เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หมายถงึ เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการ ทจี่ ำ� เปน็ เนอ่ื งมาจากสภาพของตวั เดก็ เอง เชน่ ความบกพรอ่ ง ความพกิ ารดา้ นตา่ งๆ รวมถงึ เดก็ ทม่ี คี วาม สามารถพเิ ศษ ซงึ่ ตอ้ งปรบั ปรงุ เทคนคิ วธิ กี ารสอน การบรกิ ารพเิ ศษ รวมทงั้ สภาพแวดลอ้ ม เพอ่ื ใหเ้ ดก็ เกดิ การเรียนรสู้ ูงสุดตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคล ณัชพร ศุภสมุทร์ (2553) กล่าวว่าเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีสภาพความ บกพร่องในลกั ษณะตา่ งๆ ไม่วา่ จะทางด้านพฒั นาการทางร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษา หรือสตปิ ญั ญา มสธและไมส่ ามารถปฏบิ ตั งิ านในชวี ติ ประจำ� วนั ไดด้ งั เชน่ เดก็ ปกตทิ วั่ ๆ ไป รวมถงึ ทางดา้ นการจดั การศกึ ษาซง่ึ
14-6 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรับเด็กปฐมวัย ต้องจัดให้มีการเรียนการสอนท่ีต่างไปจากเด็กปกติ เพ่ือให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพของความ มสธบกพร่องของเดก็ ทวีศักดิ์ สิริรตั นเ์ รขา (2550 อ้างถงึ ในศศลิ กั ษณ์ ขยันกจิ , 2558) กล่าวว่า เด็กทมี่ ีความต้องการ พเิ ศษ หมายถงึ เดก็ กลมุ่ ทจี่ ำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การดแู ลชว่ ยเหลอื เปน็ พเิ ศษเพมิ่ เตมิ จากวธิ กี ารตามปกตทิ ง้ั ใน ด้านการใช้ชีวิตประจ�ำวัน การเรียนรู้และการเข้าสังคม เพ่ือให้เด็กได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพของ มสธ มสธตนเอง โดยออกแบบการดูแลช่วยเหลือเด็กตามลักษณะความจ�ำเป็นและความต้องการของเด็กแต่ละคน แบง่ เปน็ 3 กลมุ่ หลกั คอื เดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ เดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ ง และเดก็ ยากจนและดอ้ ยโอกาส ซงึ่ แตล่ ะกลมุ่ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การดแู ลชว่ ยเหลอื เปน็ พเิ ศษเหมอื นกนั แตด่ ว้ ยวธิ กี ารทแ่ี ตกตา่ งกนั ตามความ เหมาะสมของเด็กแต่ละกลมุ่ แต่ละคน เปรมฤทยั นอ้ ยหมน่ื ไวย (2559) กลา่ ววา่ เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หมายถงึ เดก็ แรกเกดิ ถึงอายุ 6 ปีท่ีมีความบกพร่อง หรือมีพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญาท่ีแตกต่างจาก มสธเดก็ ปกติ รวมถงึ เดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ ซง่ึ ความแตกตา่ งดงั กลา่ วมผี ลตอ่ การเรยี นรแู้ ละการดำ� รงชวี ติ ประจำ� วนั ทำ� ใหเ้ ดก็ ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื และการดแู ลเปน็ พเิ ศษทเ่ี พมิ่ เตมิ จากการดแู ลเดก็ ปฐมวยั ทว่ั ไป ทอ่ี ยใู่ นวยั เดยี วกนั เพื่อใหเ้ ดก็ ปฐมวัยทีม่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษมพี ฒั นาการอยา่ งเต็มศกั ยภาพ และด�ำรงไว้ ซงึ่ สุขภาวะทั้งดา้ นร่างกาย จิตใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา กลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หมายถงึ เดก็ ปฐมวยั ซง่ึ ในทนี่ หี้ มายถงึ เดก็ มสธ มสธอายุ 3–6 ปที มี่ ีความตอ้ งการเฉพาะ ทั้งเด็กทมี่ คี วามบกพร่องและเดก็ ทีม่ ีความสามารถพเิ ศษ ซึง่ ต้องการ การดูแลและการจัดประสบการณ์ด้วยวิธีการท่ีแตกต่างจากเด็กท่ัวไปตามความเหมาะสมกับเด็กแต่ละคน เพ่อื ส่งเสริมให้เดก็ มีสขุ ภาวะและได้พัฒนาอยา่ งเตม็ ศกั ยภาพตามธรรมชาตขิ องตน ประเภทของเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ จากความหมายของเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษที่กล่าวถึงข้างต้น จึงจัดเด็กปฐมวัยที่มี มสธความต้องการพิเศษเปน็ 2 กลุ่ม คอื เดก็ ที่มคี วามบกพรอ่ ง (children with disabilities) และเดก็ ทมี่ ี ความสามารถพิเศษ (gifted and talented children) 1. เด็กท่ีมีความบกพร่อง หมายถึง เดก็ มภี าวะไมป่ กติ สง่ ผลใหพ้ ฒั นาการดา้ นตา่ งๆ ไมเ่ ปน็ ไป ตามวัย เด็กท่เี ป็นคนพกิ ารทางการศึกษาตามประกาศกระทรวงศึกษาธกิ ารมี 9 ประเภท ดังน้ี (ราชกิจจา มสธ มสธนุเบกษา, 2552, น. 45-47) 1.1 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ เด็กที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อย จนถึงตาบอดสนิท แบง่ เป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 1.1.1 ตาบอด หมายถงึ สญู เสยี การเหน็ มากจนตอ้ งใชส้ อื่ สมั ผสั และสอ่ื เสยี ง หากตรวจ วัดความชดั ของสายตาขา้ งดีเม่ือแกไ้ ขแลว้ อย่ใู นระดบั 6 ส่วน 60 (6/60) หรือ 20 ส่วน 200 (20/200) มสธจนถึงไมส่ ามารถรบั รู้เรือ่ งแสง
การจดั ประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวยั ทีม่ ีความต้องการพิเศษ 14-7 1.1.2 เห็นเลือนราง หมายถึง สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษรตัวพิมพ์ มสธขยายใหญด่ ว้ ยอุปกรณเ์ ครอื่ งชว่ ยความพกิ าร หรอื เทคโนโลยีส่ิงอ�ำนวยความสะดวก หากวัดความชัดเจน ของสายตาข้างดีเม่อื แกไ้ ขแลว้ อยู่ในระดับ 6 ส่วน 18 (6/18) หรอื 20 สว่ น 70 (20/70) 1.2 เดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการไดย้ นิ ไดแ้ ก่ เดก็ ทสี่ ญู เสยี การไดย้ นิ ตงั้ แตร่ ะดบั หตู งึ นอ้ ย จนถงึ หูหนวก แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดังน้ี มสธ มสธ1.2.1 หูหนวก หมายถึง สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่าน ทางการไดย้ นิ ไมว่ า่ จะใสห่ รอื ไมใ่ สเ่ ครอื่ งชว่ ยฟงั ซง่ึ โดยทวั่ ไปหากตรวจการไดย้ นิ จะมกี ารสญู เสยี การไดย้ นิ 90 เดซเิ บลขนึ้ ไป 1.2.2 หตู งึ หมายถงึ มกี ารไดย้ นิ เหลอื อยเู่ พยี งพอทจี่ ะไดย้ นิ การพดู ผา่ นทางการไดย้ นิ โดยทั่วไปจะใสเ่ ครอ่ื งชว่ ยฟัง ซึ่งหากตรวจวดั การไดย้ ินจะมกี ารสญู เสียการได้ยินน้อยกว่า 90 เดซเิ บลลง มาถงึ 26 เดซิเบล มสธ1.3 เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จะมีความจ�ำกัดอย่างชัดเจนในการปฏิบัติตน (functioning) มลี กั ษณะเฉพาะคอื ความสามารถทางสตปิ ญั ญาตาํ่ กวา่ เกณฑเ์ ฉลย่ี อยา่ งมนี ยั สำ� คญั รว่ มกบั ความจำ� กดั ของทกั ษะการปรบั ตวั อกี อยา่ งนอ้ ย 2 ทกั ษะจาก 10 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ การสอื่ ความหมาย การดแู ล ตนเอง การดำ� รงชวี ติ ภายในบา้ น ทกั ษะทางสงั คม/การมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู้ นื่ การรจู้ กั ใชท้ รพั ยากรในชมุ ชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง การน�ำความรู้มาใช้ในชีวิตประจ�ำวัน การท�ำงาน การใช้เวลาว่าง การรักษา มสธ มสธสขุ ภาพอนามยั และความปลอดภัย ทงั้ นีไ้ ดแ้ สดงอาการดังกลา่ วกอ่ นอายุ 18 ปี 1.4 เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การเคลอื่ นไหว หรอื สขุ ภาพ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ 1.4.1 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคล่ือนไหว ได้แก่ เดก็ ที่มีอวยั วะ ไม่สมส่วนหรือขาดหายไป กระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ มีอุปสรรคในการเคล่ือนไหว ความบกพร่อง ดังกล่าวอาจเกิดจากโรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเน้ือและกระดูก การไม่สมประกอบมาแต่ มสธก�ำเนิด อุบตั เิ หตแุ ละโรคตดิ ตอ่ 1.4.2 เด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ ไดแ้ ก่ เดก็ ทม่ี คี วามเจบ็ ปว่ ยเรอ้ื รงั หรอื มโี รค ประจำ� ตวั ซงึ่ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การรกั ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งและเปน็ อปุ สรรคตอ่ การศกึ ษา ซง่ึ มผี ลทำ� ใหเ้ กดิ ความ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การศกึ ษาพเิ ศษ 1.5 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ เด็กท่ีมีความผิดปกติในการท�ำงานของ มสธ มสธสมองบางส่วนท่ีแสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดข้ึนเฉพาะความสามารถด้านใด ด้านหนึ่งหรอื หลายดา้ น คอื การอา่ น การเขียน การคดิ ค�ำนวณ ซ่งึ ไม่สามารถเรียนรู้ในดา้ นท่ีบกพรอ่ งได้ ทั้งที่มีระดับสติปัญญาปกติ กระทรวงศึกษาธิการ (2556จ) กล่าวถึงลักษณะเด็กก่อนวัยเรียนที่มีความ บกพร่องทางการเรียนรู้ว่าส่วนใหญ่จะพบว่ามีความด้อยหรือล่าช้าไม่เป็นไปตามวัยในพัฒนาการด้านการ เคล่อื นไหว เชน่ การคลาน การเดิน การใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญแ่ ละกลา้ มเนอ้ื เลก็ มีความล่าช้าของพฒั นาการ ทางภาษา มคี วามบกพร่องทางด้านการพูด มพี ัฒนาการทางสติปัญญาท่ีลา่ ช้า มคี วามบกพรอ่ งดา้ นการ มสธรับรู้ และมักมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการไม่อยู่นิ่ง และสมาธิส้ันด้วย ตัวอย่างปัญหาที่สามารถเห็นได้
14-8 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัยชัดเจนของเดก็ วัยนี้ เชน่ เดก็ 3 ขวบ ท่มี ีปญั หาในการจับหรือรบั ลูกบอล การกระโดด การเลน่ ของเล่นที่ มสธใช้มอื ประกอบ ซ่งึ เปน็ ผลจากพฒั นาการที่ล่าช้า เดก็ 4 ขวบท่ไี ม่สามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ การรู้ ค�ำศพั ท์จำ� กดั และไม่สามารถสื่อสารใหเ้ ขา้ ใจได้ อันเปน็ ผลเนอื่ งมาจากความบกพร่องทางดา้ นภาษาและ การพดู เดก็ 5 ขวบ ทไี่ มส่ ามารถนบั 1 ถงึ 10 ได้ หรอื มคี วามยงุ่ ยากในการทำ� งาน ซงึ่ เปน็ ผลจากพฒั นาการ ทางสตปิ ัญญาลา่ ช้าหรือพัฒนาการไมเ่ ป็นไปตามวัย มสธ มสธ1.6 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ เดก็ ท่มี คี วามบกพร่องในการเปล่ง เสียงพูด เชน่ เสยี งผิดปกติ อตั ราความเรว็ และจังหวะการพูดผิดปกติ หรอื มีความบกพรอ่ งในเร่อื งความ เข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อ่ืนที่ใช้ในการติดต่อส่ือสาร ซ่ึงอาจเกี่ยวกับ รปู แบบ เนอื้ หาและหนา้ ทขี่ องภาษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2556ฉ) และ Turnbull, et al. (2016) กลา่ วถงึ เด็กที่มคี วามบกพร่องทางการพดู และความบกพรอ่ งทางภาษา ดังนี้ 1.6.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด (speech) มี 3 ประเภท คือ มสธ1) พดู ไมช่ ดั (articulation disorders) เปน็ ความผดิ ปกตเิ กยี่ วกบั การเปลง่ เสยี ง สระและพยัญชนะ กระทรวงศึกษาธิการ (2556) กล่าวถึงเกณฑ์ที่ใช้ระบุว่าเด็กท่ีพูดไม่ชัดจ�ำเป็นต้อง ไดร้ บั การแกไ้ ข พิจารณาจากเด็กอายุมากกวา่ 3 ปี ยงั ไมส่ ามารถออกเสยี งสระ และยังผันวรรณยุกตไ์ ทย ไมค่ รบทุกเสยี ง อายุมากกว่า 3 ปี 5 เดอื น ยงั ไมส่ ามารถออกเสยี งพยญั ชนะท้ายค�ำ (ตัวสะกด) ทุกเสียง ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง การออกเสยี งพยญั ชนะไมไ่ ด้ตามเกณฑ์ ดังรายละเอียดในตารางท่ี 14.1 มสธ มสธตารางท่ี 14.1 ตารางพัฒนาการด้านการออกเสียงพยัญชนะของเด็กในแต่ละช่วงอายุ 2/0–2/6อายุ (ปี/เดือน) เสียงพยัญชนะที่พูดได้ชัด 2/6–3/0 มนหยคอ เพ่มิ เสียง ว บ ก ป มสธ3/0–3/6 เพม่ิ เสียง ฟ ต ท ด ล จ ง เพ่ิมเสยี ง พ ช ส 3/6–4/0 เพิม่ เสียง ร อายุ 7 ปีขึน้ ไป มสธ มสธท่ีมา: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2556ฉ). การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั บคุ คลทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการพดู และภาษา. ชดุ เอกสารศกึ ษาดว้ ย ตนเองวชิ าการศึกษาพิเศษ. เลม่ ที่ 12 กรงุ เทพฯ: ส�ำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ. 2) เสียงผิดปกติ (voice disorders) เปน็ ความผดิ ปกตเิ กยี่ วกบั การเปลง่ เสยี งไม่ เหมาะสมกับเพศและวัย การพิจารณาว่าเสียงผิดปกติหรือไม่ มากน้อยเพียงใด พิจารณาจากระดับเสียง เด็กจะมีระดับเสียงสูง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นระดับเสียงจะทุ้มข้ึน ความดังของเสียงต้องมีความเหมาะสมกับ สถานการณ์ และคุณภาพของเสียง เสียงปกติจะใส ฟังแล้วสบายหู เหมาะสมกับเพศและวัย เสียงท่ี มสธผดิ ปกติ ได้แก่ เสียงหา้ ว เสยี งลมแทรก เสยี งแหบ เสยี งขนึ้ จมกู และเสยี งกระซบิ
การจดั ประสบการณส์ ำ� หรับเด็กปฐมวัยทมี่ คี วามต้องการพิเศษ 14-9 3) พูดจังหวะผิดปกติ (fluency disorders) เป็นความผิดปกติเก่ียวกับความ มสธคล่องและจังหวะในการพดู ทพ่ี บมากคือ การพดู ตดิ อา่ ง 1.6.2 ความบกพร่องทางภาษา (language) มี 2 ประเภท คือ 1) ความผิดปกติของภาษาช่วงพัฒนา เป็นความบกพร่องเกี่ยวกับพัฒนาการ ดา้ นภาษาและการพูดของเดก็ สงั เกตได้จากเด็กเริ่มพูดช้า ไมค่ อ่ ยเข้าใจค�ำพดู ของผ้อู ่นื ทำ� ใหต้ อบสนอง มสธ มสธต่อค�ำพูดของผู้อื่นไม่ถูก เริ่มพูดค�ำท่ีมีความหมายได้ล่าช้ากว่าเด็กคนอ่ืนในวัยเดียวกัน พูดได้ไม่สมอายุ สอ่ื สารกบั ผอู้ นื่ ดว้ ยคำ� พดู ไมไ่ ด้ (สมุ าลี ดจี งกจิ , 2554 อา้ งถงึ ในกระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2556ฉ) เดก็ ทพ่ี ดู ชา้ อาจมสี าเหตจุ ากปญั หาตา่ งๆ ไดแ้ ก่ ประสาทหพู กิ าร ปญั ญาออ่ น ออทสิ ตกิ สมองพกิ าร หรอื ขาดการกระตนุ้ ทางภาษาและการพดู ท่เี หมาะสม เช่น เดก็ ท่ถี ูกทอดทิง้ เดก็ ทพี่ อ่ แมด่ ูแลไม่ท่วั ถึง เดก็ ในสถานสงเคราะห์ เกณฑท์ ใี่ ชร้ ะบวุ า่ เดก็ พดู ชา้ พจิ ารณาจากอายทุ เ่ี ดก็ เรมิ่ พดู จำ� นวนคำ� ศพั ท์ และประเภทของคำ� ศพั ทท์ เี่ ดก็ รจู้ กั และพดู ได้ (รัชนี สภุ วตั รจริยากลุ , 2550 อ้างถึงในกระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2556ฉ) ดงั น้ี มสธ(1) อายุที่เดก็ เริ่มพูด เดก็ อายุ 1 ปี ถงึ 1 ปี 6 เดือน ทยี่ งั ไม่เขา้ ใจคำ� พูด และไมเ่ รมิ่ พดู เปน็ ค�ำๆ มีแนวโนม้ ทจ่ี ะพูดชา้ ถา้ อายุ 2 ปี แล้วยงั ไมพ่ ูดเปน็ ค�ำที่มคี วามหมายถือวา่ พดู ชา้ ผดิ ปกติ (2) จำ� นวนคำ� ศัพท์ เด็กอายุ 1 ปที เ่ี ข้าใจคำ� พดู น้อยกวา่ 10 ค�ำ อายุ 2 ปี รู้จักและพูดได้น้อยกว่า 200 ค�ำ และอายุ 3 ปี รู้จักและพูดได้น้อยกว่า 900 ค�ำ เป็นข้อบ่งช้ีว่าพูดช้า มสธ มสธผิดปกติ (3) ประเภทของค�ำศัพท์ เด็กอายุ 2-3 ปี จะเข้าใจและพูดค�ำศัพท์ได้ หลากหลาย เช่น ช่ือคน สัตว์ ส่ิงของ อวัยวะของร่างกาย พืช ผัก ผลไม้ อาหาร สี ค�ำบอกความรู้สึก สถานท่ี ทิศทาง เวลา ขนาด จ�ำนวน ระยะทาง ถ้าเด็กเข้าใจและพูดค�ำศัพท์ได้เฉพาะบางประเภท หรอื มีคำ� ศัพท์แตล่ ะประเภทนอ้ ยเมือ่ มอี ายเุ พิ่มขึน้ แสดงวา่ มกี ารพดู ช้าผดิ ปกติ 2) ภาวะเสยี การสอ่ื ความ เปน็ ความบกพรอ่ งทางภาษาทม่ี สี าเหตจุ ากพยาธสิ ภาพ มสธของสมองส่วนที่ควบคุมเร่อื งภาษา ท�ำใหม้ ปี ญั หาดา้ นการฟงั การสอ่ื ความหมาย การพดู การอ่าน และ การเขียน อย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่างรวมกัน ลักษณะของเด็กที่มีภาวะเสียการสื่อความ เช่น เดก็ ไมพ่ ูดหรอื ไม่ใช้ภาษาเลย เดก็ เคยพูดมากอ่ นแตส่ ูญเสียความสามารถดงั กลา่ วในเวลาตอ่ มา 1.7 เด็กท่ีมีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ได้แก่ เด็กท่ีมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ไปจากปกตเิ ปน็ อยา่ งมาก และปญั หาทางพฤตกิ รรมนนั้ เปน็ ไปอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซง่ึ เปน็ ผลจากความบกพรอ่ ง มสธ มสธหรอื ความผดิ ปกตทิ างจติ ใจหรอื สมองในสว่ นของการรบั รู้ อารมณห์ รอื ความคดิ เชน่ โรคจติ เภท โรคซมึ เศรา้ โรคสมองเสอื่ ม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2556ช) ไดอ้ ธบิ ายสาเหตทุ ที่ ำ� ใหเ้ ดก็ มคี วามบกพรอ่ งทางพฤตกิ รรม หรอื อารมณว์ า่ อาจเกดิ จากความผดิ ปกตทิ างรา่ งกาย ไดร้ บั บาดเจบ็ ทางสมอง สาเหตทุ างจติ วทิ ยา สาเหตุ จากสภาพแวดล้อม ภาวะออทิซึม โรคสมาธิส้ัน เด็กจะแสดงพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหา เช่น การก้าวร้าว ก่อกวน รวมถึงการแสดงออกซ่ึงความโหดร้าย การเคล่ือนไหวท่ีผิดปกติ ความวิตกกังวล การหนีสังคม หรือการปลีกตัวออกจากสังคม มีผลการเรียนตํ่าโดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านการอ่าน การสะกดค�ำ และ มสธคณติ ศาสตร์ สมาธสิ ้ัน
14-10 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวัย 1.8 เด็กออทิสติก ได้แก่ เด็กที่มีความผิดปกติของระบบการท�ำงานของสมองบางส่วนซ่ึง มสธสง่ ผลต่อความบกพรอ่ งทางพฒั นาการด้านภาษา ดา้ นสังคมและปฏสิ ัมพนั ธ์ทางสงั คม และมีขอ้ จำ� กัดดา้ น พฤตกิ รรม หรอื มคี วามสนใจจำ� กดั เฉพาะเรอื่ งใดเรอื่ งหนง่ึ โดยความผดิ ปกตนิ น้ั คน้ พบไดก้ อ่ นอายุ 30 เดอื น พฤตกิ รรมเฉพาะของเดก็ ออทสิ ตกิ คอื ไมพ่ ดู หรอื พดู ตามแบบไมม่ คี วามหมาย หรอื พดู แลว้ หยดุ ไปไมพ่ ดู อกี เรียนรูส้ งิ่ ต่างๆ ยากและไมส่ ามารถน�ำไปใชก้ บั เหตุการณอ์ ่นื ๆ ได้ มักไม่สบตาคู่สนทนา ไม่แสดงออกทาง มสธ มสธสหี นา้ ทา่ ทาง และไมส่ นใจตอ่ การแสดงออกทางสหี นา้ ทา่ ทางของผอู้ นื่ จงึ ไมส่ ามารถรบั รทู้ างสงั คม (กระทรวง ศึกษาธิการ, 2556ฉ) 1.9 เดก็ พกิ ารซอ้ น ไดแ้ ก่ เดก็ ทม่ี สี ภาพความบกพรอ่ งหรอื ความพกิ ารมากกวา่ หนงึ่ ประเภท 2. เด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ หมายถึง เด็กท่ีมีสติปัญญาหรือความสามารถด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายด้านท่โี ดดเด่นกวา่ เด็กในวยั เดียวกนั ดงั ที่ได้มีการกล่าวถึงเด็กท่ีมคี วามสามารถพิเศษไว้ ดงั น้ี พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิม่ เตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 ระบวุ ่าผทู้ ี่ มสธมีความสามารถพิเศษ หมายถึง ผู้ท่ีสามารถแสดงออกซ่ึงความสามารถอันโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งหรือ หลายด้าน เช่น สติปัญญา ความสามารถทางวิชาการในสาขาใดสาขาหน่ึงหรือหลายสาขา ความคิด สร้างสรรค์ การใช้ภาษา การเป็นผู้นำ� การสร้างงานทางทศั นศิลปแ์ ละศิลปะ การแสดง ความสามารถทาง ดนตรี ความสามารถทางกีฬา เม่ือเปรียบเทียบกับผู้ท่ีมีระดับอายุ สภาพสิ่งแวดล้อม หรือประสบการณ์ ใกลเ้ คียงกนั มสธ มสธอษุ ณยี ์ อนรุ ทุ ธว์ งศ์ (2547) กลา่ ววา่ เดก็ แตล่ ะคนมี “ศกั ยภาพภายใน” เปน็ ความสามารถทแี่ ฝง อยูใ่ นตัวเอง แต่จะมีศกั ยภาพทีแ่ ตกตา่ งกันในเรื่องของความสามารถเฉพาะด้าน ซึ่งมรี ะดับท่ีแตกต่างกนั บางคนมีความสามารถแบบพิเศษย่ิง หาได้ยาก แต่ท่ีพบโดยท่ัวไปคือความสามารถท่ีมากกว่าเด็กในวัย เดยี วกนั ดา้ นใดดา้ นหนงึ่ อยา่ งไรกด็ ี ความสามารถของคนแตล่ ะคนมกั เกดิ จากการผสมผสานความสามารถ ด้านอื่นๆ ประกอบกัน เช่น นักเขียนท่ีชอบเขียนนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ย่อมต้องมีความรู้ความสนใจ ทางวิทยาศาสตร์ มจี ินตนาการทด่ี ี และมภี าษาท่ีดีเย่ยี ม ฯลฯ มสธพัชรี ผลโยธนิ (2552) กลา่ วว่า เด็กที่มคี วามสามารถพเิ ศษแบง่ เปน็ 2 กลุม่ คือ เดก็ ปัญญาเลิศ (gifted child) หมายถึง เด็กท่ีมีความสามารถทางสติปัญญาสูงกว่าเด็กปกติท่ัวไป และเด็กที่มีความ สามารถพเิ ศษ (talented child) หมายถึงเด็กท่ีมีความสามารถพเิ ศษในด้านใดดา้ นหนงึ่ เช่น ดา้ นศลิ ปะ ดา้ นดนตรี ด้านกฬี า หรือหลายดา้ น เปรมฤทัย น้อยหมื่นไวย (2559) กล่าวว่า เด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ มสธ มสธ1) กลุ่มเด็กที่มีระดับสติปัญญาสูง คือมีระดับสติปัญญา (IQ) ตั้งแต่ 130 ข้ึนไป 2) กลุ่มเด็กที่มีความ สามารถพิเศษเฉพาะด้าน อาจไม่ใช่เด็กท่ีมีระดับสติปัญญาสูง แต่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านท่ี โดดเดน่ กว่าคนอ่นื ในวัยเดยี วกัน เชน่ ด้านการใช้ภาษา ศิลปะ ดนตรี กีฬา การแสดง ฯลฯ และ 3) กลมุ่ เดก็ ท่ีมีความคดิ สรา้ งสรรค์ Turnbull, et al. (2016) กล่าวว่า เด็กท่ีมีความสามารถพิเศษควรมีลักษณะต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ลักษณะคือ มีพัฒนาการทางสติปัญญาในเรื่องทั่วไปในระดับสูง มีความถนัดทางวิชาการเฉพาะด้าน มสธมีความคิดสร้างสรรค์และมีภาวะผู้น�ำ มีความสามารถด้านศิลปะแขนงใดแขนงหน่ึงหรือหลายแขนง เช่น
การจัดประสบการณส์ �ำหรบั เด็กปฐมวยั ท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ 14-11 ศิลปกรรม ดนตรี นาฏศลิ ป์ การแสดง ซ่งึ คุณลกั ษณะทแี่ สดงถงึ ความสามารถพิเศษ (possible charac- มสธteristics of giftedness) และตวั บง่ ชเี้ บอ้ื งตน้ ของความสามารถพเิ ศษ (early indicators of giftedness) ตามแนวคดิ พหปุ ญั ญาของการ์ดเนอร์ (Howard Gardner) อาจสังเกตได้ ดังนี้ 1) ความสามารถพเิ ศษดา้ นดนตรี สามารถรบั รแู้ ละไวตอ่ ระดบั เสยี ง จงั หวะ และทว่ งทำ� นอง มคี วาม สามารถด้านดนตรีแม้ไมเ่ คยได้รบั การฝึกฝนทางดา้ นดนตรีมากอ่ น มกั ใช้ดนตรีในการถา่ ยทอดความรูส้ กึ มสธ มสธตัวบ่งชเ้ี บอื้ งตน้ คือ มคี วามสามารถในการร้องเพลงหรือเลน่ เครือ่ งดนตรีตัง้ แต่ในวยั เดก็ 2) ความสามารถพิเศษด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของ ร่างกายได้ดี แสดงออกถึงความสามารถก่อนที่จะได้รับการฝึกฝน ตัวบ่งช้ีเบ้ืองต้นคือ สามารถควบคุม การเคล่อื นไหวได้เหมาะกบั เวลาและสถานการณ์ 3) ความสามารถพิเศษด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ สามารถคิดแบบนามธรรม แก้ปัญหาได้ รวดเร็ว สามารถคิดคำ� นวณที่มีความซับซอ้ นในใจ ตัวบง่ ช้ีเบอ้ื งตน้ คือ ท�ำความเขา้ ใจสง่ิ ตา่ งๆ ได้งา่ ย มสธ4) ความสามารถพิเศษด้านภาษา มีความสามารถท่ีโดดเด่นในการใช้ค�ำ ตัวบ่งช้ีเบื้องต้นคือ สามารถเลียนแบบวิธีการพูดของผู้ใหญ่ เรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็ว เริ่มพูดค�ำแรกด้วยค�ำแปลกๆ ไม่ เหมอื นเด็กทั่วไป 5) ความสามารถพิเศษด้านมิติสัมพันธ์ มีจินตนาการและสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรม คิดได้หลากหลายจากสิ่งเดียวกัน สามารถดัดแปลงส่ิงเดียวกันให้กลายเป็นสิ่งอ่ืน ตัวบ่งชี้เบื้องต้นคือ มสธ มสธสามารถมองสิง่ ต่างๆ ไดห้ ลายมิติ ชา่ งสังเกตรายละเอยี ดต่างๆ สามารถสรา้ งแผนผงั ความคิดในใจได้ 6) ความสามารถพิเศษด้านความเข้าใจระหว่างบุคคล มีความสามารถในการสังเกตและปรับให้ เขา้ กบั ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ตวั บง่ ชเี้ บอ้ื งตน้ คอื สามารถแสดงบทบาทสมมตเิ ปน็ บคุ คลตา่ งๆ เขา้ ใจ ความรสู้ ึกและอารมณ์ของผู้อน่ื ชอบให้ก�ำลงั ใจและช่วยเหลือผอู้ นื่ 7) ความสามารถพเิ ศษดา้ นความเขา้ ใจตนเอง เขา้ ใจอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ของตน ตวั บง่ ชเ้ี บอ้ื งตน้ คอื มีอารมณ์ออ่ นไหว เขา้ ใจในตนเอง มสธ8) ความสามารถพเิ ศษดา้ นธรรมชาติ มคี วามเขา้ ใจสง่ิ แวดลอ้ ม ตวั บง่ ชเี้ บอื้ งตน้ คอื สามารถแยก ความแตกต่างขององค์ประกอบของสง่ิ แวดลอ้ มรอบตัว สรปุ ได้วา่ เดก็ ปฐมวยั ทม่ี ีความต้องการพิเศษ หมายถึง เดก็ วัย 3–6 ปีที่มคี วามตอ้ งการเฉพาะ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องท่ีมีภาวะไม่ปกติส่งผลให้พัฒนาการด้านต่างๆ ไม่เป็นไป ตามวัย และกลุม่ เดก็ ท่ีมคี วามสามารถพิเศษ ทม่ี รี ะดับสตปิ ัญญาและความสามารถทโ่ี ดดเดน่ เมอ่ื เทยี บกับ มสธ มสธเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ซ่ึงต้องการการดูแลและการจัดประสบการณ์ด้วยวิธีการท่ีแตกต่างจากเด็กทั่วไป มสธตามความเหมาะสมกับเดก็ แตล่ ะคน เพอื่ ให้แด็กไดพ้ ัฒนาอย่างเตม็ ศักยภาพของตน
14-12 การจัดการศกึ ษาและหลักสูตรส�ำหรับเด็กปฐมวยั มสธกิจกรรม 14.1.1 จงอธิบายความหมายและประเภทของเด็กปฐมวัยท่ีมคี วามตอ้ งการพเิ ศษ แนวตอบกิจกรรม 14.1.1 เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หมายถงึ เดก็ วยั 3–6 ปี ทมี่ คี วามตอ้ งการเฉพาะ ซง่ึ ตอ้ งการ มสธ มสธการดูแลและการจัดประสบการณ์ด้วยวิธีการที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปตามความเหมาะสมกับเด็กแต่ละคน เพอื่ สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มสี ขุ ภาวะและไดพ้ ฒั นาอยา่ งเตม็ ศกั ยภาพตามธรรมชาตขิ องตน แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ คอื เด็กทม่ี คี วามบกพรอ่ ง และเดก็ ทมี่ ีความสามารถพเิ ศษ กลมุ่ เดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ ง หมายถงึ เดก็ มภี าวะไมป่ กติ สง่ ผลใหพ้ ฒั นาการดา้ นตา่ งๆ ไมเ่ ปน็ ไป ตามวัย ประกอบด้วย 1) เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น 2) เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 3) เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 4) เด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคล่ือนไหวหรือ มสธสุขภาพ 5) เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ 6) เด็กท่ีมีความบกพร่องทางการพดู และภาษา 7) เดก็ ทมี่ ีความบกพรอ่ งทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ 8) เด็กออทิสตกิ และ 9) เดก็ พกิ ารซอ้ น กลุ่มเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ หมายถึง เด็กที่มีสติปัญญาหรือความสามารถด้านใดด้านหน่ึง มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธหรือหลายดา้ นทโ่ี ดดเดน่ กว่าเดก็ ในวัยเดียวกัน
การจดั ประสบการณ์ส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ที่มีความต้องการพิเศษ 14-13 มสธเร่ืองที่ 14.1.2 การคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ มสธ มสธการคัดกรองเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ เป็นสิ่งท่ีมีความจ�ำเป็นและมีความส�ำคัญต่อการ พัฒนาศักยภาพของเด็ก ในปี พ.ศ. 2558 กระทรวงสาธารณสุขเร่ิมด�ำเนินการคัดกรองและส่งเสริม พัฒนาการเด็กท่ัวประเทศ มีเป้าหมายให้เด็กทุกคนได้รับการส่งเสริมพัฒนาการท่ีถูกต้อง มีมาตรฐาน เท่าเทยี มกนั โดยมกี ารคัดกรองพัฒนาการเด็กตามช่วงอายุ 9, 18, 30, และ 42 เดอื น ตอ่ มาเมอื่ เดก็ เข้า โรงเรียน ครูจึงเป็นผู้ท่ีมีบทบาทในการช่วยคัดกรองเด็กในห้องเรียนท่ีมีความต้องการพิเศษ เพื่อท่ีจะให้ ความชว่ ยเหลอื และจดั ประสบการณท์ มี่ คี วามเหมาะสมกบั เดก็ แตล่ ะคน มสธความหมายของการคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ การคัดกรองเดก็ มผี ้ใู หค้ วามหมายไว้ดงั น้ี โกศล มคี ณุ และนธิ พิ ฒั น์ เมฆขจร (2552) กลา่ ววา่ การคดั กรองนกั เรยี น หมายถงึ การพจิ ารณา หรือวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับตัวนักเรียนเพื่อแยกแยะหรือจัดกลุ่มนักเรียน เพ่ือให้การดูแลช่วยเหลือ มสธ มสธนกั เรยี นใหต้ รงกบั สภาพปญั หา และความตอ้ งการจำ� เปน็ ดว้ ยความรวดเรว็ และถกู ตอ้ ง ไดแ้ ก่ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั พฒั นาการของนกั เรยี น ขอ้ มลู เกยี่ วกบั สภาพแวดลอ้ มทางครอบครวั ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การเรยี น ขอ้ มลู เกยี่ วกบั ความคดิ คา่ นยิ ม ทศั นคติ และคณุ ลกั ษณะของนกั เรยี น ขอ้ มลู เกย่ี วกบั สภาพแวดลอ้ มในโรงเรยี น และการ ปรับตัวของนกั เรียน ข้อมูลเกย่ี วกับจุดเดน่ จุดด้อย หรอื ความสามารถพิเศษของนกั เรยี น ทวศี ักด์ิ สิริรัตนเ์ รขา (2559) กลา่ วว่าการคดั กรอง คือกลยุทธท์ ี่นำ� มาใชใ้ นการระบปุ ัญหา ความ ผิดปกติ หรือความบกพร่อง ช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหา หรือดูแลช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เป็นการ มสธลดผลกระทบจากความผดิ ปกติ ความบกพรอ่ งตา่ งๆ ทจี่ ะเกดิ ขนึ้ จากความหมายขา้ งตน้ กลา่ วไดว้ า่ การคดั กรองเดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หมายถงึ การ วิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับเด็ก เพ่ือแยกแยะหรือจัดกลุ่มเด็กเพื่อให้การดูแลช่วยเหลือได้ตรงกับสภาพ หรือปญั หาของเดก็ แตล่ ะคน มสธ มสธความส�ำคัญของการคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ การคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องท�ำให้สามารถค้นหาเด็กที่มีความบกพร่องได้ต้ังแต่ใน ช่วงอนุบาล เพือ่ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื และจัดประสบการณ์ใหเ้ ด็กไดพ้ ัฒนาเต็มศักยภาพ สามารถใชช้ วี ติ เปน็ ส่วนหน่ึงของสังคมได้มากท่ีสุด ท่ีผ่านมามีเด็กท่ีมีความบกพร่องเข้ามาเรียนในโรงเรียนท่ัวไปโดยท่ี ผปู้ กครองยงั ไมท่ ราบว่าลูกเปน็ “เด็กพิเศษ” เนือ่ งดว้ ยหลายสาเหตุ เช่น แสดงอาการไม่เด่นชัด หรือเปน็ โรคทส่ี ามารถสงั เกตได้ยากในเด็กเลก็ ๆ เช่น สมาธสิ ้นั ภาวะออทซิ มึ ภาวะบกพร่องทางการเรยี นรู้ และ มสธภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ท�ำให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิตท่ีโรงเรียนจากความไม่เข้าใจของครู เพ่ือน
14-14 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั รวมถงึ ผปู้ กครองของเดก็ คนอน่ื ๆ ในหอ้ ง หากยงั ไมไ่ ดร้ บั ความชว่ ยเหลอื อาจจะทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หาการเรยี น มสธหรอื ปญั หาพฤตกิ รรมตามมา เมอ่ื เดก็ เขา้ เรยี นในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ ดงั ทนี่ ายแพทยพ์ งศเ์ กษม ไขม่ กุ ต์ รองอธบิ ดี กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ กลา่ ววา่ “การคัดกรองเด็กจะเน้นชว่ งอายุ 6-12 ปี เพราะถึงแมว้ ่า แพทยจ์ ะมกี ารคดั กรองเดก็ กลมุ่ พเิ ศษมาตงั้ แตอ่ ยใู่ นครรภแ์ ลว้ กต็ าม แตต่ อ้ งยอมรบั วา่ ยงั มบี างกลมุ่ ทอ่ี าการ ไม่แนช่ ดั และเข้ามาอย่ใู นระบบการเรียนปกติ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเด็กได้ในภายหลัง เชน่ ปัญหาในการ มสธ มสธเขา้ สงั คม สภาพจิตใจ และทกั ษะด้านวิชาการ ดังน้นั จงึ มีความจำ� เป็นท่ีจะต้องแก้ไขปญั หาอย่างเร่งดว่ น” (ไทยรฐั ออนไลน,์ 15 พ.ค. 2557) สอดคลอ้ งกบั ทผี่ ดงุ อารยะวญิ ญู (2543 อา้ งถงึ ใน ทวศี กั ด์ิ สริ ริ ตั นเ์ รขา, 2559) ไดก้ ลา่ ววา่ การคดั กรองเดก็ เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ เพราะทำ� ใหท้ ราบวา่ เดก็ มปี ญั หาอยา่ งไรบา้ ง ขอ้ มลู ทไี่ ด้ จะชว่ ยใหค้ รสู ามารถเขยี นแผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คลไดด้ ขี น้ึ อยา่ งไรกด็ ี ความสำ� คญั ของการคดั กรองเดก็ ปฐมวัยท่ีมีความตอ้ งการพิเศษมคี วามแตกตา่ งกันตามลักษณะของเด็ก การคัดกรองเดก็ ปฐมวยั ท่มี ีความสามารถพิเศษทำ� ใหส้ ามารถค้นหาความสามารถของเด็ก ท�ำให้ มสธเดก็ ไดม้ โี อกาสแสดงออกถงึ ศกั ยภาพและความสามารถพเิ ศษทมี่ อี ยใู่ นตวั เอง อษุ ณยี ์ อนรุ ทุ ธว์ งศ์ (2547) กลา่ ววา่ เดก็ ทม่ี ศี กั ยภาพโดดเดน่ ในระดบั อจั ฉรยิ ะ ถา้ ไมไ่ ดร้ บั การสนบั สนนุ หรอื ถกู กระตนุ้ ใหค้ วามสามารถ น้ันๆ ได้แสดงออกและฝึกปรือแล้ว ความสามารถน้ันก็จะหายไป ซึ่งสาเหตุที่เด็กที่มีศักยภาพสูงจ�ำนวน ไมน่ อ้ ยไมไ่ ดร้ บั การพฒั นามหี ลายประการ กลา่ วคอื แววเดก็ หลายดา้ นสามารถสงั เกตไดต้ งั้ แตป่ ฐมวยั แต่ ถกู ละเลยจากความไมร่ ู้ คดิ วา่ ยงั ไมถ่ งึ เวลา ทำ� ใหค้ วามสามารถของเดก็ ถกู ทำ� ลายไปตงั้ แตว่ ยั เดก็ เนอื่ งจาก มสธ มสธสมองมกี ระบวนการทำ� ลายสว่ นทไี่ มไ่ ดใ้ ชห้ รอื ไมพ่ ฒั นา หรอื เกดิ จากความไมเ่ ขา้ ใจ หรอื ไมค่ นุ้ เคยกบั ความ สามารถน้ันๆ ท�ำให้ผู้ปกครองหรือครูไม่รู้ว่าจะส่งเสริมอย่างไร เช่น ความสามารถด้านการเคล่ือนไหว หรือการรับรู้ทางการได้ยิน นอกจากนี้ ยังเกิดจากการที่เด็กไม่ได้รับโอกาสให้แสดงความสามารถตาม ศกั ยภาพทีม่ อี ยู่ เนือ่ งจากการทเี่ ดก็ จะแสดงความสามารถออกมาได้เกดิ จากการทเี่ ดก็ ตอ้ งได้รับโอกาสให้ แสดงความสามารถนั้น การท่ีครูไม่เข้าใจกับการเสาะหาแววท�ำให้เด็กจ�ำนวนมากหมดโอกาสท่ีจะพัฒนา ศักยภาพท่ีมีอยู่ในตัวในทางท่ีเด็กถนัด การประกวดแข่งขันเพื่อคัดเลือกเด็กเข้าโครงการส่งเสริมเด็กที่มี มสธความสามารถพิเศษ บางครั้งอาจไมไ่ ดเ้ ด็กท่มี คี วามสามารถท่ีแทจ้ ริง เพราะอัจฉรยิ ะบคุ คลจ�ำนวนไม่นอ้ ย ทไี่ มไ่ ดแ้ สดงความสามารถออกมาชดั เจนตง้ั แตว่ ยั เดก็ หรอื มผี ลการเรยี นไมด่ ี หรอื บางคนปฏเิ สธการแขง่ ขนั ปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ คือ ไดเ้ ดก็ “อัจฉรยิ ะเทียม” ที่ความสามารถเกดิ จากการฝึกฝนจนช�ำนาญ ในขณะทเ่ี ดก็ ทีม่ ีความสามารถพเิ ศษทีไ่ มไ่ ดแ้ สดงออกจะไมไ่ ดร้ ับการพฒั นาจนในทสี่ ุดความสามารถน้ันอาจหายไป สรุปได้ว่า การคัดกรองเด็กมีความส�ำคัญคือท�ำให้ครูได้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กเพ่ือน�ำมาวางแผน มสธ มสธการจัดประสบการณไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม ในส่วนของเด็กปฐมวยั ทม่ี คี วามบกพรอ่ ง ท�ำให้สามารถคน้ หาและ ชว่ ยเหลอื เดก็ ตงั้ แตใ่ นชว่ งปฐมวยั ทำ� ใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาอยา่ งเตม็ ทตี่ ามศกั ยภาพ สามารถใชช้ วี ติ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของสังคมได้มากท่ีสุด และในส่วนของเด็กปฐมวัยที่มีความสามารถพิเศษคือท�ำให้สามารถค้นหาความ สามารถของเดก็ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ไดม้ โี อกาสแสดงออกถงึ ศกั ยภาพและความสามารถพเิ ศษทมี่ อี ยใู่ นตวั เอง เพอื่ มสธไมใ่ ห้ความสามารถน้ันหายไป
การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวัยท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษ 14-15 วิธีการคัดกรองเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ มสธการคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษสามารถท�ำได้ท้ังแบบไม่เป็นทางการ เช่น การ สงั เกตพฤตกิ รรมของเดก็ และแบบเปน็ ทางการ คอื การใชแ้ บบคดั กรองตา่ งๆ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู พน้ื ฐานเกย่ี วกบั เดก็ ซงึ่ เปน็ สงิ่ ทมี่ คี วามสำ� คญั ในการคดั กรองเดก็ ดงั ทโ่ี กศล มคี ณุ และนธิ พิ ฒั น์ เมฆขจร (2552) กลา่ ววา่ สิ่งที่มีความส�ำคัญในการคัดกรองนักเรียน คือการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ซ่ึงในระดับปฐมวัยสามารถ มสธ มสธทำ� ไดโ้ ดยวธิ ตี า่ งๆ เชน่ การสงั เกตพฤตกิ รรมนกั เรยี น และบนั ทกึ ผลการสงั เกต การพดู คยุ สมั ภาษณ์ หรอื ใช้แบบสอบถามกับนักเรียน หรือผทู้ ี่เก่ียวขอ้ งกบั นักเรยี น การเย่ียมบ้านนักเรยี น การทำ� สงั คมมิติ การดู จากแฟม้ สะสมงานของนกั เรยี น การใชแ้ บบวดั แบบทดสอบ หรอื อนื่ ๆ เมอื่ คดั กรองพบกลมุ่ เสยี่ ง หรอื กลมุ่ ทมี่ ปี ญั หาแลว้ จงึ สง่ พบแพทยเ์ พอื่ วนิ จิ ฉยั ตอ่ ไป ขณะเดยี วกนั ทางโรงเรยี นตอ้ งจดั ระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื เดก็ ในโรงเรียนควบคูก่ ันไปดว้ ย (ทวีศักด์ิ สริ ริ ตั นเ์ รขา, 2559) การคัดกรองเด็กปฐมวัยท่ีมคี วามต้องการพเิ ศษทำ� ได้หลายวิธี ซง่ึ ตอ่ ไปนจ้ี ะกลา่ วถงึ การคัดกรอง มสธเด็กปฐมวัยที่มคี วามบกพร่อง และการคัดกรองเดก็ ปฐมวัยทีม่ ีความสามารถพิเศษ ดังนี้ 1. การคัดกรองเด็กปฐมวัยท่ีมีความบกพร่อง ท�ำได้โดยวิธกี ารตา่ งๆ ดังนี้ 1.1 การสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน ทั้งขณะอยู่คนเดียว อยู่กับเพ่ือน และขณะท�ำ กจิ กรรมตา่ งๆ ท่ีโรงเรยี น โดยครทู �ำการสังเกตและบันทกึ ผลการสงั เกตไว้ 1.2 การใช้แบบคัดกรอง ซึ่งต้องพิจารณาการน�ำมาใช้ให้ตรงกับบริบทและวัตถุประสงค์ มสธ มสธทวีศกั ด์ิ สริ ริ ตั น์เรขา (2559) และวนิดา ชนินทยทุ ธวงศ์ (ม.ป.ป.) กลา่ วถึงแบบคัดกรองเด็กปฐมวยั อายุ 3–6 ปี ท่ีมคี วามบกพร่องท่ีใช้ในปจั จบุ ัน เช่น 1) คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (Developmental Surveillance and Promotion Manual: DSPM) ใชค้ ดั กรองพฒั นาการเดก็ ตง้ั แตแ่ รกเกดิ ถงึ 6 ปี ดำ� เนนิ การคดั กรองโดย เจ้าหนา้ ที่สาธารณสุข 2) แบบประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ SDQ (The Strengths and Difficulties Questionnaire) มสธใชค้ ัดกรองปญั หาสุขภาพจิตทพี่ บบ่อยในเดก็ โดยนำ� มาใช้คัดกรองพฤติกรรมเด็กอายุ 4–16 ปใี นโรงเรยี น หรือในสถานบริการสาธารณสุขเบ้ืองต้น ประกอบด้วยแบบประเมิน 3 ชุด คือ ชุดส�ำหรับครู ส�ำหรับ ผู้ปกครอง และสำ� หรับนกั เรยี นประเมินตนเอง (เฉพาะเด็กอายุ 11-16 ปี) ซงึ่ อาจเลอื กใชบ้ างฉบบั หรือใช้ ร่วมกัน ข้อค�ำถามจัดเป็นกลุ่มปัญหาพฤติกรรม 5 ด้าน คือ ด้านอารมณ์ ด้านอยู่ไม่นิ่ง ด้านเกเร ด้าน ความสัมพนั ธก์ ับเพอื่ น และด้านสัมพันธภาพทางสังคม มสธ มสธ3) แบบคดั กรองบคุ คลทม่ี คี วามตอ้ งการพเิศษทางการศกึ ษาของสำ� นกั งานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เปน็ แบบคดั กรองเพอื่ ประโยชนใ์ นการจดั การศกึ ษาเทา่ นน้ั ใชค้ ดั กรองเดก็ ทม่ี คี วาม ต้องการพิเศษทางการศึกษาด้านต่างๆ ในกรณีท่ีไม่มีใบรับรองความพิการ บัตรประจ�ำตัวคนพิการ หรือ ใบรบั รองแพทย์ ผทู้ ำ� การคดั กรองตอ้ งผา่ นการอบรมวธิ กี ารใชแ้ บบคดั กรอง และตอ้ งทำ� การประเมนิ อยา่ งนอ้ ย 2 คนขนึ้ ไป ควรมกี ารสอบถามขอ้ มลู จากผปู้ กครองหรอื ผทู้ ใี่ กลช้ ดิ เดก็ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทตี่ รงความเปน็ จรงิ มสธมากท่ีสุด (ดรู ายละเอียดแบบคดั กรองในภาคผนวก)
14-16 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเด็กปฐมวัย 4) แบบส�ำรวจพัฒนาการเด็ก (PDDSQ) พฒั นาโดยนายแพทย์ชาญวิทย์ พรนภดล มสธคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมป์ กรมสุขภาพจิต ใช้คัดกรองเพื่อค้นหาเด็กและวัยรุ่นที่เป็นออทิซึม ประกอบด้วยฉบับส�ำหรับอายุ 1–4 ปี และฉบบั สำ� หรบั อายุ 4–18 ปี เปน็ แบบประเมนิ สำ� หรบั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง ใชป้ ระเมนิ ลกั ษณะหรอื พฤตกิ รรม ทเ่ี ดก็ แสดงออกบอ่ ยๆ โดยขอ้ คำ� ถามจะชว้ี ดั ความผดิ ปกตใิ น 3 ดา้ นคอื พฒั นาการทางสงั คม พฒั นาการ มสธ มสธทางภาษา และพฤติกรรมซ้ําซาก สนใจจ�ำกัด และปรับตัวยาก ซึ่งข้อมูลท่ีได้จากการคัดกรองจะน�ำมา ประกอบการวินจิ ฉัยโดยแพทยต์ ่อไป 5) เคร่ืองมือคัดแยกเด็กท่ีอยู่ในภาวะเส่ียงต่อการมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ พัฒนาโดยศรียา นิยมธรรม โดยปรับปรุงจากเคร่ืองมือคัดกรองของแมคคาร์ธี (McCarthy Screening Device) เพื่อให้เหมาะกับเด็กไทย ใช้ส�ำหรับเด็กอายุ 4–6/5 ปี ส�ำหรับทดสอบความสามารถของเด็ก 6 ด้าน คือ การรู้จักซา้ ย-ขวา การจำ� คำ� การวาดรูปทรง การจ�ำตวั เลข การจัดหมวดหมู่ และการใชข้ า มสธ2. การคัดกรองเด็กปฐมวัยท่ีมีความสามารถพิเศษ เปน็ การเสาะหาเดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามสามารถ พเิ ศษ ซง่ึ จ�ำเป็นต้องอาศยั บุคลากรทีม่ ีความเชย่ี วชาญ อย่างไรก็ดี ครูนับเปน็ ผ้ทู ี่มบี ทบาทสำ� คญั ในฐานะ ผสู้ งั เกตพฤตกิ รรมเมอื่ เดก็ อยทู่ โี่ รงเรยี น ประกอบกบั ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากขน้ั ตอนอน่ื อษุ ณยี ์ อนรุ ทุ ธว์ งศ์ (2547) กลา่ วถงึ เครือ่ งมอื และวิธกี ารสำ� หรบั เสาะหาเดก็ ทีม่ ีความสามารถพเิ ศษวา่ ประกอบดว้ ย 2.1 แบบส�ำรวจหรือแบบเสนอช่ือเด็ก (Nomination) มีทั้งแบบส�ำรวจท่ีใช้กันแพร่หลาย มสธ มสธทว่ั โลก เชน่ แบบสำ� รวจของ Renzulli, Park, และแบบสำ� รวจทแ่ี ตล่ ะโครงการพฒั นาขนึ้ มาเอง ถอื วา่ เปน็ เครื่องมือขน้ั ต้น ไม่ใชเ่ ครื่องมอื ตัดสนิ ว่าเป็นเดก็ ท่มี ีความสามารถพิเศษ 2.2 ผลสัมฤทธิ์เชิงวิชาการ (Scholastic Achievement) สว่ นใหญใ่ ชค้ ะแนนผลการเรยี นใน วิชาน้นั ๆ 2.3 แบบทดสอบสติปัญญา (I.Q. Test) โดยทวั่ ไปจะใช้ 2 ครง้ั คอื ใชต้ รวจสอบแบบครา่ วๆ โดยใชแ้ บบทดสอบแบบกลมุ่ เชน่ Otis Lennon Kuhlman Anderson เป็นตน้ เมอ่ื คดั เลอื กผู้อยใู่ นขา่ ย มสธแล้วจึงท�ำแบบทดสอบเฉพาะบคุ คลอีกคร้งั หน่งึ เช่น WISC-III, Stanford-Binet Intelligence Scale, SOI ฯลฯ 2.4 แบบวัดผลสัมฤทธิ์มาตรฐาน (Standardized Achievement Test) เป็นแบบวัดผล สัมฤทธิ์ท่ีมกี ารหาเกณฑ์ปกตทิ ั้งประเทศ ถอื เปน็ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ประเภทมาตรฐาน แต่ละประเทศจะมี การพฒั นาแบบทดสอบของตนเอง มสธ มสธ2.5 แบบทดสอบความถนัด (Aptitude Test) ใชส้ ำ� รวจเฉพาะสาขา 2.6 แบบทดสอบวัดความคิดระดับสูงด้านต่างๆ ได้แก่ แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ และแบบทดสอบความคดิ แบบมวี จิ ารณญาณ 2.7 แบบสังเกตพฤติกรรม เป็นแบบสงั เกตทสี่ ร้างตามจดุ ประสงคข์ องแต่ละโครงการ 2.8 การประกวดหรือการแข่งขัน 2.9 พฤติกรรมที่แสดงออกอย่างชัดเจน (performance) ในกรณีที่เด็กแสดงออกชัดเจน มสธมากกอ็ าจไม่ตอ้ งใชเ้ ครอื่ งมอื ตรวจสอบทางดา้ นความสามารถ
การจดั ประสบการณส์ ำ� หรับเด็กปฐมวัยทมี่ ีความต้องการพิเศษ 14-17 ข้ันตอนการส�ำรวจหาความสามารถเฉพาะทางของเด็ก มสธอุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ (2547) กล่าวถึงข้ันตอนในการส�ำรวจหาความสามารถเฉพาะทางของเด็ก ประกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอน ซง่ึ ตอ้ งมกี ารเลือกใช้เคร่อื งมือทีก่ ล่าวถงึ ขา้ งต้นในขั้นตอนตา่ งๆ ดงั นี้ ขั้นท่ี 1 ข้ันส�ำรวจ เปน็ การเสนอชื่อโดยผ้ปู กครอง ครูแนะแนว นักจิตวทิ ยา และพิจารณาขอ้ มูล เกยี่ วกบั เดก็ จากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ งๆ ไดแ้ ก่ รายงานจากครเู กยี่ วกบั ตวั เดก็ เชน่ ความสามารถทางสตปิ ญั ญา มสธ มสธความกระตือรือร้น แบบการเรียน พัฒนาการทางอารมณ์ สังคม ฯลฯ ประวัติจากครอบครัวเกี่ยวกับ พฒั นาการ พฤตกิ รรมในวยั เดก็ การแกป้ ญั หา ประวตั กิ ารสงั เกตพฤตกิ รรมทโี่ ดดเดน่ ความสนใจ กจิ กรรม นอกโรงเรยี น ผลการเรยี น ผลงานของเดก็ ผลสำ� รวจความสนใจ แบบทดสอบสตปิ ญั ญา ข้ันท่ี 2 ข้ันเจาะลึก ใชข้ ้อมูลจากข้นั ท่ี 1 มาท�ำการทดสอบเพิ่มเติม โดยใช้วธิ กี ารตา่ งๆ เช่น การ สัมภาษณ์พ่อแม่ ครู ตัวเด็ก การทดสอบเฉพาะสาขา การทดสอบด้วยแบบทดสอบสติปัญญาแบบ รายบคุ คล การทดสอบความคดิ สร้างสรรค์ มสธขั้นท่ี 3 ข้ันคัดเลือกข้ันสุดท้าย ทำ� โดยใช้ขอ้ มลู ทงั้ หมดจากขน้ั ที่ 2 แล้วพจิ ารณาลดจ�ำนวนเหลือ ตามความเหมาะสมที่สามารถจัดโปรแกรมให้เด็กได้ตามศักยภาพของผู้ด�ำเนินการด้วย อาจเหลือเด็ก ประมาณ 1–5 % โดยใช้ผู้เชยี่ วชาญรว่ มตดั สนิ ในกรณีท่ีโรงเรียนไม่มีเครื่องมือทดสอบท่ีได้มาตรฐานครบถ้วน สามารถตรวจสอบศักยภาพเด็ก ไดโ้ ดยใชข้ อ้ มลู จากการสงั เกตระหวา่ งเรยี น โดยตอ้ งเปน็ การสอนทกี่ ระตนุ้ ยวั่ ยทุ า้ ทายผนวกกบั ขอ้ มลู อน่ื ๆ มสธ มสธครูควรสร้างสถานการณ์ที่จะกระตุ้นให้เด็กแสดงออกถึงศักยภาพท่ีแฝงอยู่ ครูท่ีจะท�ำการส�ำรวจหาความ สามารถเฉพาะทางของเด็ก ควรศึกษาบุคลิกลักษณะของเด็กที่มีความสามารถพิเศษแต่ละสาขาเพ่ือเป็น แนวทางในการสังเกต สรุปได้ว่า การคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษสามารถท�ำได้โดยใช้เคร่ืองมือและ วิธีการท่ีหลากหลาย เช่น การสังเกตพฤติกรรมของเด็ก และการใช้เคร่ืองมือต่างๆ วิธีการคัดกรองเด็ก ปฐมวัยท่ีมีความบกพร่อง ท�ำได้โดยการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก และการใช้แบบคัดกรอง เช่น คู่มือ มสธเฝา้ ระวงั และสง่ เสรมิ พฒั นาการเด็กปฐมวยั แบบคดั กรองบุคคลที่มีความต้องการพเิ ศษทางการศกึ ษาของ สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน การเสาะหาเดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษทำ� ไดโ้ ดยการ ใชแ้ บบสำ� รวจ แบบทดสอบวดั ความคดิ ระดบั สงู ดา้ นตา่ งๆ การสงั เกตพฤตกิ รรม และอน่ื ๆ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู มสธ มสธ มสธพ้ืนฐานเกี่ยวกบั เดก็ ท่ีใกล้เคยี งความเป็นจริงมากที่สดุ
14-18 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั มสธกิจกรรม 14.1.2 จงอธบิ ายความสำ� คัญของการคัดกรองเด็กปฐมวัยที่มีความตอ้ งการพิเศษ แนวตอบกิจกรรม 14.1.2 การคดั กรองเด็กปฐมวัยทมี่ คี วามต้องการพเิ ศษมีความส�ำคัญท่จี ะช่วยให้ครไู ด้ข้อมลู เก่ียวกับเด็ก มสธ มสธปฐมวัยท่ีมีความบกพร่อง เพื่อน�ำมาวางแผนการจัดประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสม ท�ำให้สามารถค้นหา และช่วยเหลือเด็กตั้งแต่ในช่วงอนุบาล ท�ำให้เด็กได้พัฒนาอย่างเต็มที่ตามศักยภาพ สามารถใช้ชีวิตเป็น ส่วนหนึ่งของสังคมได้มากที่สุด ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความสามารถพิเศษการคัดกรองจะช่วยให้สามารถ ค้นหาความสามารถของเด็ก เพ่ือให้เด็กได้มีโอกาสแสดงออกถึงศักยภาพและความสามารถพิเศษท่ีมีอยู่ ในตวั เองเพื่อไม่ใหค้ วามสามารถนัน้ หายไป มสธเรื่องที่ 14.1.3 มสธ มสธการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม เปน็ ทยี่ อมรบั กนั โดยทวั่ ไปวา่ การทำ� งานของสมองในชว่ งปฐมวยั เปน็ ชว่ งทมี่ คี วามสำ� คญั อยา่ งมาก ในการวางรากฐานของพฒั นาการทุกด้านของมนุษย์ เมอ่ื มปี ัญหาใดๆ มากระทบในชว่ งวยั นี้อาจส่งผลต่อ พฒั นาการของเดก็ ทงั้ ในปจั จบุ ันและในอนาคต ดังนั้นการให้การชว่ ยเหลอื ระยะแรกเร่มิ จงึ เป็นสิ่งท่มี คี วาม มสธสำ� คญั มากสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษในการชว่ ยลดความรนุ แรง หรอื ชว่ ยแกไ้ ขสง่ิ ทเ่ี ปน็ ผล อนั เนือ่ งมาจากความบกพร่องหรือปญั หาต่างๆ ของเด็ก ความหมายของการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม นักวิชาการกล่าวถึงความหมายของการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม (Early Intervention: EI) ไว้ มสธ มสธดังน้ี การช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม เป็นการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาผู้ท่ีมีความบกพร่องให้ได้รับบริการจาก นักวชิ าชีพท่ีหลากหลาย ท้ังด้านการศกึ ษา ดา้ นสขุ อนามัย การบำ� บัดรกั ษา ตลอดจนป้องกนั ความพิการ ที่จะเกิดข้ึน เพ่ือให้เด็กมีพัฒนาการตามขั้นตอนเหมือนหรือใกล้เคียงเด็กท่ัวไปมากท่ีสุด ส�ำหรับบุคคล ท่ีพบความพิการภายหลังจะมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยอาศัยความ มสธร่วมมอื จากครอบครวั ชุมชน สถานศึกษา และหนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2556ง)
การจัดประสบการณ์สำ� หรบั เด็กปฐมวยั ท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ 14-19 การบรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ หมายถงึ การใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลอื หรอื ฟน้ื ฟสู มรรถภาพคนพกิ าร มสธตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการ เพ่ือพัฒนาทักษะท่ีส�ำคัญต่อการด�ำรงชีวิต ท้ังนี้อาจหมายถึงการ ช่วยเหลือเฉพาะเด็กพิการวัยก่อนเรียน หรือการช่วยคนพิการทุกวัยทันทีที่พบความพิการ ซ่ึงรวมถึงคน พกิ ารท่เี กดิ ความพิการภายหลัง เพือ่ ใหค้ นพกิ ารวัยเด็กสามารถเข้าสู่ระบบการศกึ ษา หรือให้คนพกิ ารใน วยั ผใู้ หญก่ ลบั เขา้ สกู่ ารดำ� รงชวี ติ แบบเดมิ โดยเรว็ ทสี่ ดุ โดยในสว่ นของการฟน้ื ฟสู มรรถภาพคนพกิ ารตงั้ แต่ มสธ มสธแรกเกิดหรือแรกพบความพิการ มักจะเป็นหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนการบริการช่วยเหลือ ระยะแรกเรมิ่ ทจ่ี ดั โดยสถานศกึ ษาทำ� ไดโ้ ดยการจดั ทำ� “โปรแกรมการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล” หรอื “โปรแกรม การให้บรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรม่ิ เฉพาะบคุ คล” (พวงแกว้ กจิ ธรรม, ม.ป.ป.) การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม หมายถงึ การจัดโปรแกรมทเ่ี ป็นระบบในการใหบ้ รกิ ารด้านต่างๆ แก่ เด็กท่ีมีความเส่ียงโดยเร็วท่ีสุดทันทีต้ังแต่แรกเกิด แรกพบหรือทันทีท่ีได้รับการวินิจฉัยว่ามีความพิการ โดยมุ่งเน้นการให้การศึกษากับพ่อแม่และครอบครัว ทั้งน้ีมุ่งพัฒนาเด็กให้ได้รับบริการจากนักวิชาชีพที่ มสธหลากหลายทงั้ ทางด้านการศกึ ษา ด้านสุขภาพอนามัย การบ�ำบัดรกั ษา ตลอดจนปอ้ งกนั ความพิการท่จี ะ เกิดขึ้น เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการไปตามข้ันตอนเช่นเดียวกับเด็กท่ัวไป หรือใกล้เคียงเด็กทั่วไปมากท่ีสุด (ดารณี ศกั ดศ์ิ ิรผิ ล, 2559) สรุปไดว้ า่ การช่วยเหลือระยะแรกเริม่ หมายถงึ การชว่ ยเหลอื ฟ้นื ฟูสมรรถภาพ หรือใหบ้ รกิ าร ดา้ นตา่ งๆ กบั เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หรอื เดก็ ทม่ี คี วามเสย่ี งโดยเรว็ ทส่ี ดุ โดยบคุ ลากรทเ่ี กย่ี วขอ้ งจาก มสธ มสธหลากหลายสาขา เพอื่ ใหเ้ ดก็ สามารถเขา้ สรู่ ะบบการศกึ ษา หรอื สามารถดำ� รงชวี ติ ไดเ้ หมอื นเดก็ ทว่ั ไปหรอื ใกล้เคียงเด็กท่วั ไปมากท่ีสดุ ความส�ำคัญของการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม รัฐบาลให้ความส�ำคัญกับการให้การช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม โดยระบุให้เป็นส่วนหน่ึงของระบบ การศกึ ษา ดงั ปรากฏในพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 มสธและ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 18 ดงั นี้ “สถานพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ไดแ้ ก่ ศูนย์เดก็ เล็ก ศนู ย์พฒั นา เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ของสถาบันศาสนา ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมของเด็กพิการ และเดก็ ซงึ่ มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ หรอื สถานพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ทเี่ รยี กชอื่ อยา่ งอนื่ ” ดงั นนั้ ครใู นระดบั ปฐมวยั จึงเป็นผทู้ ี่มสี ว่ นสำ� คญั อย่างมากในการเปน็ ส่วนหนงึ่ ของการช่วยเหลอื ระยะแรกเร่มิ ซึ่งดารณี ศกั ดิศ์ ริ ิผล มสธ มสธ(2559) กล่าวถึงความส�ำคัญท่ีตอ้ งจัดบรกิ ารใหก้ ารชว่ ยเหลือในระยะแรกเริม่ ดังน้ี 1. ช่วยสง่ เสริมพัฒนาการของเดก็ และสามารถพัฒนาเด็กไดอ้ ยา่ งเต็มศกั ยภาพ 2. เปน็ การปอ้ งกนั และลดความรนุ แรงของความบกพรอ่ ง หากเดก็ ไดร้ บั การชว่ ยเหลอื อยา่ งทนั ที จะส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากไม่ได้รับความช่วยเหลือ เด็กอาจจะมีความ บกพรอ่ งมากย่งิ ขึน้ จนกระทบต่อการเรียนรู้และการดำ� เนนิ ชวี ิต 3. ชว่ ยลดภาระของผปู้ กครองในการเลยี้ งดู เนอื่ งจากเดก็ ไดร้ บั การพฒั นา โดยเฉพาะในเรอ่ื งของ มสธการชว่ ยเหลือตวั เอง
14-20 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย 4. เปน็ สทิ ธขิ องเดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษทกุ คนทจ่ี ะไดร้ บั การชว่ ยเหลอื ตามทก่ี ฎหมายกำ� หนด มสธไว้ ซึ่งเดก็ ที่มีความต้องการพิเศษทกุ คนจะไดร้ บั การบรกิ ารโดยไม่เสียคา่ ใช้จา่ ย 5. เปน็ โอกาสในการเตรยี มความพรอ้ มในดา้ นตา่ งๆ เพอ่ื การเรยี นรอู้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รวมถงึ การดำ� รงชวี ติ ในอนาคต มสธ มสธหลักการและขั้นตอนการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม ในเรื่องนีจ้ ะกล่าวถงึ 2 ประเด็น คือ หลักการและขั้นตอนการช่วยเหลือระยะแรกเร่มิ ซึง่ พวงแกว้ กจิ ธรรม (ม.ป.ป.) กล่าวถึงหลักการของการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิม ดังนี้ 1. จัดโดยเร็วทสี่ ดุ ตงั้ แตแ่ รกเกดิ หรือแรกพบความพกิ าร 2. จดั ใหบ้ รกิ ารคนพกิ ารแตล่ ะคนโดยการจัดทำ� “โปรแกรมการศกึ ษาเฉพาะบุคคล” 3. จัดในบริบทของการศกึ ษา หรือการแพทย์ มสธ4. จัดให้ผปู้ กครองมสี ว่ นร่วมในการให้บรกิ ารช่วยเหลอื ระยะแรกเริม่ แกเ่ ด็ก 5. จดั บรกิ ารชว่ ยเหลอื แกค่ รอบครวั พรอ้ มๆ กบั การใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ แกค่ นพกิ าร สวุ มิ ล อดุ มพริ ยิ ะศกั ดิ์ (2558 อา้ งถงึ ใน ดารณี ศกั ดศิ์ ริ ผิ ล, 2559) กลา่ วถงึ ขน้ั ตอนการดำ� เนนิ การ ช่วยเหลือระยะแรกเร่มิ ว่ามขี ั้นตอน ดงั น้ี มสธ มสธ1. การสง่ ตอ่ เปน็ การสง่ เดก็ เขา้ รบั บรกิ ารตอ่ ในหนว่ ยงานทร่ี บั ผดิ ชอบเมอื่ พบเดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการ พเิ ศษ 2. การประเมนิ เพอ่ื การพฒั นาเดก็ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั ระดบั ความสามารถของเดก็ ทง้ั ทบ่ี า้ น และที่สถานศึกษา โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การสัมภาษณ์ผู้ปกครองและ/หรือครู การให้ผู้ปกครองและ/ หรอื ครู ทำ� แบบประเมนิ หรอื แบบตรวจสอบ การสงั เกตพฤตกิ รรมของเดก็ เพอื่ คน้ หาศกั ยภาพหรอื ขอ้ เดน่ ข้อด้อยของเดก็ รวมทั้งทักษะที่ใชใ้ นชีวิตประจ�ำวัน 3. การจัดท�ำแผนการช่วยเหลือ โดยจัดท�ำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individual Educa- มสธtional Plan: IEP) สำ� หรับเดก็ อายุ 3 ปขี ้นึ ไป เป็นแผนการจดั การศึกษาทใ่ี ห้บรกิ ารตามความสามารถ ของเดก็ ทีไ่ ดจ้ ากการประเมนิ 4. การจดั ประสบการณท์ เี่ หมาะสม เปน็ การจดั ประสบการณใ์ หก้ บั เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษทกุ ประเภท โดยจดั กจิ กรรมเชน่ เดยี วกบั เดก็ ทั่วไปวยั แรกเกิดถึง 6 ปี ประกอบด้วยทกั ษะสำ� คัญ 6 ด้าน คอื มสธ มสธทักษะการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ ทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก ทักษะด้านภาษา ทักษะพ้ืนฐานทางการเรียนรู้ ทักษะการชว่ ยเหลอื ตนเอง และทักษะด้านสังคม 5. การประเมนิ ความกา้ วหนา้ ดว้ ยการจดบนั ทกึ และการรวบรวมขอ้ มลู จากทกุ ฝา่ ย เพอื่ รายงาน ความกา้ วหน้าใหพ้ ่อแมแ่ ละผเู้ ก่ยี วข้อง สรุปได้ว่า หลักการของการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมคือจัดโดยเร็วที่สุด จัดท�ำโปรแกรมการศึกษา เฉพาะบุคคลส�ำหรับเด็กท่ีมีความพิการโดยให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม และจัดบริการช่วยเหลือแก่ครอบครัว มสธไปดว้ ย มขี นั้ ตอนในการดำ� เนนิ การคอื การสง่ เดก็ เขา้ รบั บรกิ ารตอ่ ในหนว่ ยงานทร่ี บั ผดิ ชอบเมอ่ื พบวา่ เดก็
การจัดประสบการณส์ �ำหรับเดก็ ปฐมวยั ทีม่ คี วามต้องการพเิ ศษ 14-21 มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ การประเมนิ เพือ่ การพัฒนาเดก็ การจดั ทำ� แผนการชว่ ยเหลือ การจดั ประสบการณ์ มสธที่เหมาะสม และการประเมนิ ความกา้ วหนา้ เพอ่ื รายงานผู้เกยี่ วข้อง กรณีตัวอย่างการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม มสธ มสธกรณีตัวอย่าง 1: น้องปันปันหลานอาม่า น้องปันปันเป็นเด็กชาย อายุประมาณ 5 ขวบ สุขภาพแข็งแรง ยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อพบกันใน ชว่ งแรกๆ ของการเปดิ เทอม ครพู บวา่ นอ้ งปนั ปนั พดู ไมช่ ดั จะออกเสยี งคำ� ทส่ี ะกดดว้ ย “น” เปน็ เสยี ง “ง” เช่น “เหมืองกัง” (เหมอื นกนั ) “งว่ งนอง” (ง่วงนอน) “กิงขนม” (กนิ ขนม) “เหมง็ ” (เหมน็ ) ซ่ึงในชว่ ง แรกๆ ครูไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา เนือ่ งจากเห็นว่าน้องปนั ๆ มฟี ันหลอ 2 ซหี่ นา้ อาจจะสง่ ผลกบั การออก เสียงค�ำบางค�ำได้ เม่ือเวลาผ่านไปอาการพูดไม่ชัดของน้องปันปันยังคงมีอยู่เหมือนเดิม และครูยังไม่รู้สึก มสธว่าเป็นปัญหา จนกระท่ังครูเริ่มสังเกตพบปัญหาในการเขียนหนังสือ น้องปันปันจะเขียนสะกดค�ำเหมือน ที่ตัวเองออกเสยี ง เชน่ เมื่อเขยี นคำ� ว่า “กนิ ” จะเขยี นวา่ “กงิ ” คำ� วา่ “กัน” จะเขยี นว่า “กัง” เมอ่ื ไดเ้ ล่า ปัญหาใหผ้ ูป้ กครองฟัง จงึ ได้ทราบว่าน้องปันปันถกู เล้ียงโดยอาม่าทพ่ี ดู ภาษาไทยไม่ชดั หลังจากท่ีครูพบ ปญั หาแล้วจงึ ไดป้ รกึ ษากับผปู้ กครองเพื่อดำ� เนินการสง่ ตอ่ นอ้ งปันปนั ไปยงั ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝกึ พูด ใน มสธ มสธชว่ งแรกๆ ของการฝกึ พดู ทง้ั ครแู ละพอ่ แมต่ อ้ งชว่ ยกนั เตอื นและใหน้ อ้ งปนั ปนั พยายามออกเสยี งใหถ้ กู ตอ้ ง ทกุ ครง้ั มกี ารประเมนิ ความกา้ วหนา้ เปน็ ระยะ เมอ่ื จบปกี ารศกึ ษา นอ้ งปนั ปนั พดู ไดช้ ดั ขน้ึ รวมถงึ สามารถ แก้ปญั หาการเขียนค�ำไม่ถกู ต้องได้ดขี ้นึ ด้วย อย่างไรก็ดี นอ้ งปนั ปันยังต้องไดร้ ับการฝกึ พดู อยา่ งตอ่ เน่อื ง จนกว่าจะสามารถพูดได้ชัดเจนไม่กลบั ไปออกเสียงแบบเดิมอีก กรณีตัวอย่าง 2: น้องซันผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง น้องซันเป็นเดก็ ชายอายุประมาณ 5 ขวบ ตวั เล็ก คอ่ นข้างผอมแต่สขุ ภาพแข็งแรง สตปิ ญั ญาดี มสธเฉลยี วฉลาด นอ้ งซนั เปน็ เดก็ ทมี่ พี ลงั งานมาก แทบไมเ่ คยหยดุ นงั่ เฉยๆ โดยไมล่ กุ ไปมา บางครงั้ วง่ิ วนรอบ หอ้ งขณะครกู ำ� ลงั เลา่ นทิ าน และเพอ่ื นๆ ทกุ คนกำ� ลงั ตง้ั ใจฟงั ครตู อ้ งคอยจบั นอ้ งซนั ไว้ หรอื เอามาอยขู่ า้ งๆ ขณะเล่านิทานเพื่อท่ีจะคอยดึงตัวไว้ได้ทันเมื่อน้องซันจะลุกข้ึน ครูเห็นว่าพฤติกรรมของน้องซันนอกจาก จะสง่ ผลกบั ตวั นอ้ งซนั เองแลว้ ยงั สง่ ผลถงึ เดก็ คนอนื่ ๆ ดว้ ย ครไู มส่ ามารถจดั กจิ กรรมไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี เดก็ ๆ มสธ มสธหลายคนเสียสมาธิในการท�ำกิจกรรม รวมถึงตัวน้องซันท่ีไม่สามารถอยู่นิ่งๆ เพ่ือท�ำกิจกรรมจนส�ำเร็จได้ ครูจึงได้ปรึกษากับผู้ปกครองเพื่อด�ำเนินการส่งต่อไปยังจิตแพทย์เด็กเพื่อวินิจฉัย แพทย์ลงความเห็นว่า น้องซนั เป็นโรคสมาธิส้นั และให้ยามารับประทานอยา่ งต่อเนอ่ื ง โดยในระหวา่ งการรกั ษาแพทย์จะสง่ แบบ ประเมนิ มาใหค้ รปู ระเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นตา่ งๆ ขณะอยทู่ โี่ รงเรยี นเปน็ ระยะๆ เปน็ การตดิ ตามขอ้ มลู ทโ่ี รงเรยี น และรายงานผูป้ กครองทราบ 2 ปผี า่ นไป เมือ่ นอ้ งซนั เรียนอยชู่ ั้นประถมศึกษาปที ี่ 2 สามารถนง่ั เรียนได้ ตามปกติ ได้รบั การคดั เลอื กเปน็ ตวั แทนของหอ้ งถือพานธูปในวันไหว้ครูของโรงเรยี น มีผลการเรียนดมี าก มสธไดร้ บั เกยี รติบตั รเรยี นดีเมือ่ จบปีการศึกษา
14-22 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั กรณีตัวอย่าง 3: น้องเมย์ มสธน้องเมย์เป็นเด็กผู้หญิง อายุประมาณ 5 ขวบ ครูประจ�ำชั้นได้รับทราบข้อมูลจากผู้ปกครองว่า นอ้ งเมยไ์ ดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่ มภี าวะออทซิ มึ มปี ระวตั พิ ดู ชา้ เรม่ิ พดู คำ� แรกหลงั อายุ 2 ขวบ ชอบนงั่ หนั หนา้ เขา้ ขา้ งฝา เมอื่ เขา้ โรงเรยี นอนบุ าลมพี ฒั นาการทางภาษาชา้ กวา่ เดก็ ทว่ั ไป รวมถงึ มปี ญั หากลา้ มเนอื้ ขาออ่ นแรง เดนิ สะดดุ ลม้ เปน็ ประจำ� ครปู ระจำ� ชนั้ จงึ ไดท้ ำ� “แผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล” สำ� หรบั นอ้ งเมย์ เพอ่ื ใหน้ อ้ งเมย์ มสธ มสธได้ฝึกทักษะทางภาษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจัดกิจกรรมท่ีช่วยในการออกก�ำลังกล้ามเนื้อขา มีการ ประสานงานกับแพทย์ผู้ให้การรักษาน้องเมย์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันน้องเมย์สามารถเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ในหอ้ งเรียนท่ัวไปได้เปน็ อย่างดี และเปน็ นักกฬี าแฮนดบ์ อลของโรงเรยี น สรปุ ไดว้ า่ หลกั การจดั บรกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ คอื จดั โดยเรว็ ทสี่ ดุ ตง้ั แตแ่ รกเกดิ หรอื แรกพบ ความพิการ โดยมีการจัดบริการชว่ ยเหลือแกค่ รอบครวั ไปพรอ้ มๆ กนั มีข้นั ตอนในการให้บริการคือ การ สง่ เดก็ เขา้ รบั บรกิ ารตอ่ ในหนว่ ยงานทรี่ บั ผดิ ชอบ การประเมนิ เพอ่ื การพฒั นาเดก็ การจดั ทำ� แผนการชว่ ยเหลอื มสธการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสม และการประเมินความก้าวหน้า โดยมีการประสานความร่วมกันระหว่าง ผูท้ ่ีมหี น้าท่เี กยี่ วข้องทกุ ฝ่ายคอื ครู หมอ พอ่ แม่ และนักวชิ าชพี สาขาท่เี ก่ียวข้อง เพื่อช่วยใหเ้ ดก็ สามารถ ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ สามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมห้องเรียนได้อย่างกลมกลืน ในขณะเดียวกัน เด็ก ก็จะได้รบั การพัฒนาได้อย่างเตม็ ทตี่ ามศกั ยภาพของตน มสธ มสธกิจกรรม14.1.3 จงอธบิ ายความส�ำคัญของการชว่ ยเหลือระยะแรกเรม่ิ แนวตอบกิจกรรม 14.1.3 ความส�ำคัญของการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิมมีหลายประการ ดังนี้ มสธ1. ชว่ ยสง่ เสริมพฒั นาการของเด็ก และสามารถพฒั นาเดก็ ไดอ้ ยา่ งเต็มศกั ยภาพ 2. เปน็ การปอ้ งกนั และลดความรนุ แรงของความบกพรอ่ ง หากเดก็ ไดร้ บั การชว่ ยเหลอื อยา่ งทนั ที จะส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการท่ีดีข้ึน ในทางตรงกันข้าม หากไม่ได้รับความช่วยเหลือ เด็กอาจจะมีความ บกพรอ่ งมากย่งิ ขึ้นจนกระทบตอ่ การเรียนรู้และการดำ� เนินชีวิต 3. ชว่ ยลดภาระของผปู้ กครองในการเลยี้ งดู เนอ่ื งจากเดก็ ไดร้ บั การพฒั นา โดยเฉพาะในเรอ่ื งของ มสธ มสธการช่วยเหลือตวั เอง 4. เปน็ สทิ ธขิ องเดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษทกุ คนทจ่ี ะไดร้ บั การชว่ ยเหลอื ตามทกี่ ฎหมายกำ� หนด ไว้ ซึง่ เด็กท่มี ีความตอ้ งการพเิ ศษทกุ คนจะได้รบั การบรกิ ารโดยไม่เสยี คา่ ใช้จา่ ย 5. เปน็ โอกาสในการเตรยี มความพรอ้ มในดา้ นตา่ งๆ เพอ่ื การเรยี นรอู้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รวมถงึ มสธการด�ำรงชีวติ ในอนาคต
การจดั ประสบการณ์สำ� หรบั เด็กปฐมวยั ที่มีความต้องการพเิ ศษ 14-23 มสธตอนท่ี 14.2 แนวคิดเก่ียวกับการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัย ที่มีความต้องการพิเศษ มสธ มสธโปรดอา่ นหัวเร่ือง แนวคดิ และวตั ถปุ ระสงค์ของตอนที่ 14.2 แลว้ จึงศึกษารายละเอียดต่อไป หัวเร่ือง 14.2.1 หลักการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เด็กปฐมวัยที่มคี วามต้องการพเิ ศษ 14.2.2 แนวทางการจดั ประสบการณ์สำ� หรับเด็กปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพิเศษ 14.2.3 ลักษณะการจัดประสบการณ์สำ� หรบั เด็กปฐมวยั ทีม่ ีความต้องการพิเศษ มสธแนวคิด 1. หลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ คือมุ่งส่งเสริม กระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการ เน้นเด็กเป็นส�ำคัญ พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่าน มสธ มสธการเล่นและกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับวัย ให้เด็กสามารถด�ำรงชีวิตประจ�ำวันได้อย่างมี คณุ ภาพและมคี วามสขุ ประสานความรว่ มมอื ระหวา่ งครอบครวั ชมุ ชน และสถานศกึ ษา ในการพัฒนาเด็กให้ได้รับการศึกษารวมกับเด็กท่ัวไป ควบคู่ไปกับการบ�ำบัดและการ ฟน้ื ฟสู มรรถภาพ รวมทงั้ ไดร้ บั การสง่ เสรมิ ศกั ยภาพ ความถนดั และความสามารถพเิ ศษ 2. แนวทางในการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษมีหลาย แนวทาง แนวทางหน่งึ คอื การออกแบบการเรยี นรทู้ ี่เปน็ สากล เปน็ การจดั กิจกรรม ส่ือ มสธการสอน และสิ่งแวดล้อมที่อ�ำนวยความสะดวกให้กับเด็กที่มีความหลากหลาย ท�ำให้ เด็กทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันตามศักยภาพของตน และ การศกึ ษาแบบเรยี นรวม เปน็ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื ใหเ้ ดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษไดบ้ รรลุ ศักยภาพสูงสุดแห่งตนในโรงเรียนเดียวกันกับเด็กปกติ โดยการท�ำงานร่วมกันระหว่าง ครู เด็ก ครอบครัว และนักวชิ าชีพสาขาต่างๆ มสธ มสธ3. ลักษณะการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษตามแนวคิด การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล คือจัดให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียนที่มีความ แตกต่างกันในห้องเรียน และลักษณะการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรวม จัดได้หลายรูปแบบมีทั้งเรียนรวมในชั้นปกติ เรียนรวมในช้ันปกติและมีครูพิเศษให้ค�ำ มสธปรึกษา จัดชัน้ พเิ ศษในโรงเรยี นปกตแิ ละเรียนร่วมบางเวลา
14-24 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั มสธวัตถุประสงค์ เม่ือศึกษาตอนที่ 14.2 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ 1. อธิบายหลักการจดั ประสบการณ์สำ� หรบั เดก็ ปฐมวัยทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษได้ 2. อธบิ ายแนวทางการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามต้องการพิเศษได้ มสธ มสธ3. อ ธิบายลักษณะการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษตามที่ มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธกำ�หนดให้ได้
การจดั ประสบการณ์สำ� หรับเด็กปฐมวัยทม่ี ีความตอ้ งการพิเศษ 14-25 มสธเรื่องที่ 14.2.1 หลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ มสธ มสธการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั เปน็ การพฒั นาเดก็ บนพนื้ ฐานการอบรมเลย้ี งดแู ละการสง่ เสรมิ กระบวนการเรยี นรทู้ สี่ นองตอ่ ธรรมชาตแิ ละพฒั นาการของเดก็ แตล่ ะคนตามศกั ยภาพ เพอื่ ใหเ้ ดก็ พฒั นาไป สคู่ วามเปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณ์ เกดิ คณุ คา่ ตอ่ ตนเองและสงั คม (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2546) ในเรอ่ื งนผี้ เู้ ขยี น จะกล่าวถึงหลักการจัดการศึกษาและหลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยโดยทั่วไป และหลักการ จดั การศกึ ษาและหลกั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ ซงึ่ แยกเปน็ เดก็ ปฐมวยั ท่ีมีความบกพรอ่ งและเด็กปฐมวยั ทมี่ ีความสามารถพเิ ศษ มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ มสธหลักการจัดการศึกษาและหลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยโดยท่ัวไป หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั ไดก้ ำ� หนดหลกั การเพอ่ื ใหเ้ ดก็ มโี อกาสพฒั นาตนเองไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ ซึง่ เป็นหลกั การที่ครอบคลุมสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั ทกุ กลุ่มรวมถงึ เดก็ ทมี่ คี วามต้องการพิเศษ ดังน้ี 1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการทุกด้านตาม มสธ มสธมาตรฐานคุณลักษณะท่พี ึงประสงค์คือ 1) รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวัยและมีสุขนสิ ัยท่ดี ี 2) กลา้ มเนอื้ ใหญ่ และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง 3) มีสุขภาพจิตดี และมีความสุข 4) มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม 5) ชื่นชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี การเคล่อื นไหว และรกั การออกกำ� ลังกาย 6) ชว่ ยเหลอื ตนเอง ไดเ้ หมาะสมกบั วยั 7) รกั ธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทย 8) อยรู่ ว่ มกบั ผอู้ นื่ ไดอ้ ยา่ ง มีความสุข และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมขุ 9) ใชภ้ าษาสอื่ สารไดเ้ หมาะสมกบั วยั 10) มคี วามสามารถในการคดิ และการแกป้ ญั หาไดเ้ หมาะสม มสธกับวัย 11) มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ และ 12) มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการ แสวงหาความรู้ 2. เน้นเด็กเป็นส�ำคัญโดยค�ำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เป็นการส่งเสริมกระบวนการ เรียนร้แู ละพัฒนาการของเด็กให้สอดคล้องกับคณุ ลักษณะตามวัย ซง่ึ จะมคี วามแตกต่างกันไปในเดก็ แตล่ ะ คน รวมถึงการสังเกตความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อน�ำข้อมูลไปพัฒนาเด็กตามความสามารถและ มสธ มสธศกั ยภาพหรอื ชว่ ยเหลอื เดก็ ไดท้ นั ทว่ งที คน้ หาขอ้ บกพรอ่ งในกรณขี องเดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ งหรอื พฒั นาการ ของเด็กไม่เป็นไปตามวัย และจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาเพื่อแก้ไขหรือลดข้อบกพร่องของเด็ก จัดโอกาสให้เด็กท่ีมีความสามารถสูงกว่าวัยหรือมีความสามารถพิเศษได้แสดงออกถึงความสามารถ และ สง่ เสรมิ ความสามารถของเด็กให้พฒั นาได้เตม็ ศกั ยภาพ 3. พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย โดยการจดั ประสบการณ์ ในรปู ของการบรู ณาการผา่ นการเลน่ เพอื่ ใหเ้ ดก็ เรยี นรจู้ ากประสบการณต์ รงผา่ นการเลน่ ทหี่ ลากหลายอยา่ ง มสธเหมาะสมกบั วยั พฒั นาการ และความตอ้ งการของเดก็ แตล่ ะประเภท เกดิ ความรู้ ทกั ษะ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม
14-26 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรับเด็กปฐมวยั รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยมีสื่อ วัสดุอุปกรณ์ท่ี มสธหลากหลายเหมาะกบั วยั และความตอ้ งการเฉพาะของเดก็ เพอื่ ให้เดก็ มีโอกาสเลือกเล่น 4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สามารถด�ำรงชีวิตประจ�ำวันได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข เปน็ การจดั ประสบการณเ์ พอื่ สง่ เสรมิ กระบวนการเรยี นรแู้ ละพฒั นาการทกุ ดา้ นบนพน้ื ฐานของประสบการณ์ เดิม เพือ่ ใหเ้ กิดประสบการณใ์ หมท่ ม่ี คี วามหมายกบั ตัวเด็ก มีครเู ป็นผู้สนับสนนุ ชแ้ี นะ และเรยี นรูร้ ่วมไป มสธ มสธกับเด็ก มีการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ สนองความต้องการ ความสนใจของเด็ก มีความ ปลอดภัย ได้ออกก�ำลังกายและพักผ่อน ได้เรียนรู้เก่ียวกับตัวเอง ส่ิงแวดล้อม และการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนใน สงั คม โดยมีหลกั การจดั ประสบการณ์ตามท่ีหลักสตู รการศึกษาปฐมวัยกำ� หนดไวด้ งั น้ี 1) จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรูเ้ พือ่ พฒั นาเด็กโดยองคร์ วมอยา่ งต่อเนือ่ ง 2) เน้นเด็กเป็นส�ำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและ บริบทของสงั คมทีเ่ ด็กอาศยั อยู่ มสธ3) จัดให้เดก็ ไดร้ บั การพฒั นา โดยใหค้ วามสำ� คัญทง้ั กบั กระบวนการและผลผลิต 4) จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของการ จัดประสบการณ์ 5) ให้ผปู้ กครองและชุมชนมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาเดก็ 5. ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษาในการพัฒนาเด็ก พ่อแม่ มสธ มสธผปู้ กครองมบี ทบาทในการมสี ว่ นรว่ มในการกำ� หนดแผนพฒั นาสถานศกึ ษา กำ� หนดแผนการเรยี นรู้ สง่ เสรมิ สนบั สนนุ กจิ กรรมของสถานศกึ ษา เปน็ เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ จดั บรรยากาศภายในบา้ นใหเ้ ออื้ ตอ่ การเรยี นรู้ สนบั สนนุ ทรพั ยากรเพอื่ การศกึ ษาตามความเหมาะสมและจำ� เปน็ อบรมเลย้ี งดู เอาใจใส่ ใหค้ วามรกั ความ อบอุ่น ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก ป้องกันและแก้ไขปัญหาพฤติกรรมท่ีไม่ พงึ ประสงค์และสง่ เสรมิ คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ โดยประสานความรว่ มมือกับครู เปน็ แบบอยา่ งทดี่ ีทั้งใน ด้านการปฏิบัติตนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และมีคุณธรรมน�ำไปสู่การพัฒนาให้เป็นสถาบันแห่งการ มสธเรยี นรู้ มสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องเดก็ และในการประเมนิ การจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษา ชมุ ชนมบี ทบาทการมสี ว่ นรว่ มในการบรหิ ารสถานศกึ ษา จดั ทำ� แผนพฒั นาสถานศกึ ษา เปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรู้ หรอื เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้ ใหก้ ารสนบั สนนุ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรขู้ องสถานศกึ ษา สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารระดม ทรัพยากรเพ่ือการศึกษา ตลอดจนวิทยากรและภูมิปัญญาท้องถ่ิน เพ่ือเสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก ประสานงานกบั องค์กรท้ังภาครฐั และเอกชน เพ่อื ใหส้ ถานศกึ ษาเปน็ แหลง่ วทิ ยาการของชมุ ชน มีสว่ นร่วม มสธ มสธในการตรวจสอบ ประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษาและเสนอแนะในการพฒั นาการจดั การศกึ ษาของสถานศกึ ษา สรปุ ได้ว่าการจดั การศกึ ษาและหลักการจดั ประสบการณ์ส�ำหรับเดก็ ปฐมวัยโดยทว่ั ไปมหี ลกั การ ท่ีส�ำคัญ คือ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก เน้นเด็กเป็นส�ำคัญโดยค�ำนึงถึงความ แตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล พฒั นาเดก็ โดยองคร์ วมผา่ นการเลน่ และกจิ กรรมทเ่ี หมาะสมกบั วยั จดั ประสบการณ์ การเรยี นรใู้ หส้ ามารถดำ� รงชวี ติ ประจำ� วนั ไดอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพและมคี วามสขุ และประสานความรว่ มมอื ระหวา่ ง มสธครอบครวั ชมุ ชน และสถานศกึ ษาในการพฒั นาเด็ก
การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั ที่มคี วามต้องการพิเศษ 14-27 หลักการจัดการศึกษาและหลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการ มสธพิเศษ ผดงุ อารยะวญิ ญู (2542) และจรลี กั ษณ์ รตั นาพนั ธ์ (2559) กลา่ วถงึ หลกั การในการจดั การศกึ ษา ส�ำหรบั เด็กปฐมวัยท่มี ีความตอ้ งการพเิ ศษ สรุปได้ดงั น้ี 1. หลักความสอดคล้อง จัดประสบการณ์ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการจ�ำเป็นและความ มสธ มสธแตกตา่ งระหว่างบคุ คลของเด็ก 2. หลักการจัดการศึกษาเพื่อการด�ำรงชีวิตประจ�ำวันได้อย่างมีความสุข จัดประสบการณ์ให้เด็ก ท่ีมีความต้องการพิเศษได้มีโอกาสเรียนร่วมกับเด็กปกติเท่าที่สามารถจะท�ำได้ เพื่อให้เด็กเรียนรู้เพ่ือ ปรบั ตวั เขา้ หากัน และให้ทันโลกทก่ี ำ� ลงั เปลีย่ นแปลงไป 3. หลักการพัฒนาเด็กอย่างเต็มศักยภาพ จัดประสบการณ์เพื่อให้เด็กเกิดการพัฒนาท้ังในด้าน รา่ งกาย อารมณ์ สงั คม สตปิ ญั ญาอยา่ งเตม็ ทเี่ ทา่ ทจ่ี ะพฒั นาได้ การศกึ ษาจะชว่ ยใหค้ วามสามารถของเดก็ มสธปรากฏเด่นชัดขึน้ 4. หลกั การมสี ่วนรว่ ม เปดิ โอกาสใหผ้ ู้ท่เี กีย่ วขอ้ งมสี ว่ นร่วมในการจัดประสบการณส์ ำ� หรบั เด็กที่ มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ 5. หลักความเสมอภาค เปิดโอกาสให้เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษมีโอกาสได้รับประสบการณ์ มสธ มสธการเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร สื่อ เทคโนโลยี และมีโอกาสไดร้ บั การพฒั นาทั้งในดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม สตปิ ญั ญาอยา่ งเต็มศกั ยภาพ นอกจากหลกั การในการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษแลว้ กรองทอง จลุ ริ ชั นกี ร (2556) ได้กล่าวถึงหลักการในการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษในระดับปฐมวัย ไวด้ งั น้ี 1. จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ สี่ อดคลอ้ งกบั พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ โดยมงุ่ พฒั นาทกุ มสธดา้ นอยา่ งสมดลุ 2. ค�ำนงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล 3. เนน้ ให้เด็กไดเ้ รียนรผู้ ่านประสบการณต์ รง สิง่ ท่เี ปน็ รูปธรรม และเน้นเด็กเป็นสำ� คัญ 4. เนน้ การจดั การศกึ ษาเฉพาะรายบคุ คล โดยจดั ในรปู แบบการจดั ทำ� แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะ บุคคล ซงึ่ ครไู ด้วางแผนและกำ� หนดกิจกรรมต่างๆ ไวใ้ นแผนฉบบั นี้อยา่ งรอบคอบ มสธ มสธ5. เนน้ การมสี ว่ นรว่ มกบั บคุ คลทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ ไดแ้ ก่ ผปู้ กครอง ชมุ ชน และนกั วชิ าชพี อื่นๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง 6. จัดหลักสูตรท่ีค�ำนึงถึงความต้องการของเด็ก ให้เด็กสามารถเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ตามศักยภาพ โดยครูเปน็ ผชู้ ้แี นะ ดูแลและสง่ เสริม กระตุ้นพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กอยา่ งใกลช้ ดิ 7. จดั สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศทเี่ อ้ือตอ่ การเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของเดก็ 8. ใชว้ ธิ กี ารประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในการประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ ตามแผนการ มสธจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล
14-28 การจดั การศึกษาและหลักสูตรส�ำหรับเด็กปฐมวยั กลา่ วไดว้ า่ หลกั การจดั การศกึ ษาและหลกั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการ มสธพเิ ศษโดยทว่ั ไป คือสง่ เสริมกระบวนการเรียนรู้และพฒั นาการทุกด้าน มคี วามสอดคลอ้ งกบั ความต้องการ จำ� เปน็ และความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของเดก็ จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ หส้ ามารถดำ� รงชวี ติ ประจำ� วนั ไดอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพและมคี วามสขุ ประเมนิ พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ โดยใชว้ ธิ กี ารประเมนิ ตามสภาพ จรงิ และมกี ารประสานความรว่ มมือระหวา่ งครอบครัว ชมุ ชน และสถานศึกษา มสธ มสธจากหลกั การดงั กลา่ ว สามารถอธิบายหลักการจัดการศึกษาและหลักการจัดประสบการณ์สำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ แยกเปน็ 2 สว่ น คอื หลกั การจดั การศกึ ษาและหลกั การจดั ประสบการณ์ ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่อง และหลักการจัดการศึกษาและหลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็ก ปฐมวัยทม่ี ีความสามารถพเิ ศษ ซงึ่ มีรายละเอยี ดดงั นี้ 1. หลักการจัดการศึกษาและหลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่อง ค�ำนึงถึงเด็กที่มีความบกพร่อง 9 ประเภทตามท่ีได้กล่าวถึงในตอนท่ี 14.1 ดังท่ีวารี ถิระจิตร (2545) มสธกล่าวถึงหลกั ในการจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กท่ีมคี วามบกพรอ่ ง ดงั น้ี 1) เดก็ ทกุ คนมโี อกาสเท่าเทยี มกนั ในการทจ่ี ะไดร้ บั บรกิ ารทางการศึกษา 2) จัดการศึกษาควบคูไ่ ปกับการบำ� บัด การฟน้ื ฟสู มรรถภาพทุกด้านใหเ้ ร็วท่สี ดุ 3) ค�ำนึงถึงการอยู่ร่วมสังคมกับคนท่ัวไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรให้เรียนร่วมกับเด็ก ปกติใหม้ ากท่ีสดุ เทา่ ทจ่ี ะทำ� ได้ มสธ มสธ4) ปรับให้เหมาะกับสภาพความเสียเปรียบของเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษแต่ละประเภท โดยใชแ้ นวการศกึ ษาของเดก็ ปกติ 5) จดั ให้กบั เดก็ เปน็ รายบคุ คล หรอื กลุ่มยอ่ ยสำ� หรับเดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการคล้ายคลงึ กัน 6) เน้นที่ความสามารถของเด็ก ให้เด็กมีโอกาสประสบความส�ำเร็จมากกว่าการค�ำนึงถึง ความพิการหรอื ความบกพรอ่ ง 7) มงุ่ ใหเ้ ดก็ มคี วามเขา้ ใจ ยอมรบั ตนเอง เชอื่ มนั่ และชว่ ยเหลอื ตนเองได้ มคี วามรบั ผดิ ชอบ มสธต่อตนเองและสังคม 8) จัดทำ� อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ตัง้ แตแ่ รกเกดิ หรอื แรกพบความบกพรอ่ ง และจดั อย่างตอ่ เนือ่ ง หลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องในประเทศไทยมีความคล้ายคลึง กับในต่างประเทศ โดยอาจมีความแตกต่างกันในบางประเด็นตามบริบททางวัฒนธรรมท่ีแตกต่างกัน ดัง พระราชบญั ญัติการจดั การศกึ ษาสำ� หรับบุคคลที่มีความบกพรอ่ งของประเทศสหรฐั อเมริกา (Individuals มสธ มสธwith Disabilities Education Act: IDEA) ระบหุ ลกั 6 ประการในการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ทมี่ คี วาม บกพร่องดงั นี้ (Turnbull, et al., 2016, p. 14) 1) การรับเด็กทุกคนเข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับท่ีไม่เสียค่าใช้จ่าย เด็กอายุ 3–21 ปี ทกุ คนไมว่ า่ จะเปน็ ผทู้ มี่ คี วามบกพรอ่ งรนุ แรงเพยี งใด ตอ้ งไดร้ บั การศกึ ษาทเี่ หมาะสมตามศกั ยภาพ (zero reject) 2) การประเมนิ แบบไมเ่ ลือกปฏบิ ัติ (nondiscriminatory evaluation) มสธ3) การจัดการศกึ ษาทมี่ คี วามเหมาะสม (appropriate education)
การจดั ประสบการณ์สำ� หรบั เด็กปฐมวยั ท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษ 14-29 4) การมขี อ้ จำ� กดั ใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ ใหเ้ ดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ งไดร้ บั การจดั การศกึ ษาควบคไู่ ปกบั มสธเดก็ ท่ัวไป (least restrictive environment) 5) การมีสิทธิเรียกร้องสิทธิตามกระบวนการยุติธรรม ในกรณีท่ีเด็กได้รับการปฏิบัติท่ีไม่ เหมาะสม (procedural due process) 6) การมีส่วนรว่ มของพอ่ แมแ่ ละนกั เรยี น (parent and student participation) มสธ มสธสรปุ ไดว้ า่ หลกั การจดั การศกึ ษาและหลกั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามบกพรอ่ ง คอื เดก็ ทกุ คนตอ้ งไดร้ บั การศกึ ษาควบคไู่ ปกบั เดก็ ทวั่ ไป จดั ประสบการณท์ มี่ คี วามเหมาะสมกบั สภาพความ เสียเปรียบของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละประเภทควบคู่ไปกับการบ�ำบัดและการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทกุ ดา้ นใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ และจดั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยใหพ้ อ่ แมเ่ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาเดก็ มกี ารประเมนิ เดก็ ตามสภาพจรงิ 2. หลักการจัดการศึกษาและหลักการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความสามารถ มสธพิเศษ มุ่งสง่ เสรมิ ศักยภาพของเดก็ กลุม่ นที้ มี่ สี ติปญั ญาหรือความสามารถทโี่ ดดเด่นกวา่ เดก็ ในวยั เดียวกัน Turnbull, et al. (2016) กล่าวถงึ หลกั การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเดก็ ที่มีความสามารถพิเศษว่าเปน็ การ จัดประสบการณ์ท่ีต้องมีความแตกต่างหลากหลายเช่นเดียวกับการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กที่มีความ บกพรอ่ งท่ีเรียนรว่ มในหอ้ งเรยี นปกติ แต่มกี ารออกแบบให้เหมาะกับเดก็ ที่มคี วามสามารถพิเศษ ดังนี้ 1) จดั ประสบการณท์ ห่ี ลากหลายโดยมงุ่ เนน้ การจดั ประสบการณท์ สี่ อดคลอ้ งกบั จดุ เดน่ และ มสธ มสธความสามารถของเดก็ 2) จดั ประสบการณท์ หี่ ลากหลายรว่ มกบั การจดั กจิ กรรมแบบเขม้ (enrichment) ทเ่ี ดก็ ตอ้ ง ใชค้ วามสามารถเกินกว่าระดบั พัฒนาการของเดก็ เล็กน้อย 3) ท�ำงานร่วมกนั เปน็ ทมี กับผู้เกยี่ วขอ้ ง เชน่ ผู้เชยี่ วชาญดา้ นการจดั การศกึ ษาส�ำหรบั เด็ก ทีม่ คี วามสามารถพิเศษ พ่อแม่ ผู้ปกครอง 4) สง่ เสรมิ ให้เด็กเป็นผู้ท่สี ามารถตัดสินใจไดด้ ว้ ยตัวเอง มสธเกรียงศักดิ์ สังข์ชัย (2555) กล่าวถึงหลักการจัดการเรียนรู้ส�ำหรับเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษ ดังน้ี 1) คัดแยกผู้เรียนและจัดโปรแกรมการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบท่ีเหมาะสม โดยค�ำนึงถึง ความสามารถของแตล่ ะบุคคล 2) ปรับหลักสูตรการศึกษาปกติให้สอดคล้องกับความสามารถทางสมองท่ีโดดเด่น และ มสธ มสธสภาพปัญหาเฉพาะของเดก็ ท่มี ีความสามารถพิเศษแตล่ ะบคุ คล 3) จดั กระบวนการเรยี นรทู้ มี่ งุ่ เนน้ ความคดิ ระดบั สงู เชน่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ความคดิ แกป้ ญั หา ฯลฯ 4) จดั ทำ� แผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล 5) ออกแบบหนว่ ยการเรยี นรทู้ เี่ หมาะสมกบั ระดบั ความสามารถและความสนใจของแตล่ ะบคุ คล 6) ใช้ระบบการท�ำงานเปน็ ทมี ตามความเช่ียวชาญเฉพาะสาขา มสธ7) เน้นพฒั นาการด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และพฒั นาการดา้ นสมอง
14-30 การจัดการศึกษาและหลักสูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย สรปุ ไดว้ า่ หลกั การจดั การศกึ ษาและหลกั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามสามารถ มสธพเิ ศษ คอื จดั ประสบการณท์ ม่ี คี วามหลากหลายสอดคลอ้ งกบั จดุ เดน่ และความสามารถของเดก็ จดั กจิ กรรม ที่ต้องใช้ความสามารถเกินกว่าระดับพัฒนาการของเด็ก ส่งเสริมการคิดขั้นสูง รวมถึงการพัฒนาด้าน คณุ ธรรม จรยิ ธรรม โดยทำ� งานรว่ มกนั เปน็ ทมี กบั ผเู้ กย่ี วขอ้ งและผเู้ ชย่ี วชาญ เพอื่ จดั ประสบการณท์ ท่ี า้ ทาย ความสามารถ กระตุ้นให้เด็กได้แสดงความสามารถได้เต็มตามศักยภาพ มสธ มสธกิจกรรม14.2.1 จงอธบิ ายหลกั การจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ที่มคี วามตอ้ งการพิเศษได้ แนวตอบกิจกรรม 14.2.1 มสธหลักการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ท่ีมีความบกพรอ่ ง คือเดก็ ทกุ คนตอ้ งไดร้ ับการศกึ ษา ควบคไู่ ปกบั เดก็ ทวั่ ไป โดยจดั ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการจำ� เปน็ และความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของเดก็ คำ� นงึ ถงึ การอยรู่ ว่ มสงั คมกบั คนทว่ั ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ มงุ่ ใหเ้ ดก็ ชว่ ยเหลอื ตนเองได้ มคี วามรบั ผดิ ชอบ ต่อตนเองและสังคม โดยจัดประสบการณ์ที่มีความเหมาะสมกับสภาพความเสียเปรียบของเด็กท่ีมีความ ต้องการพิเศษแต่ละประเภทควบคู่ไปกับการบ�ำบัดและการฟื้นฟูสมรรถภาพทุกด้านให้เร็วท่ีสุด และจัด มสธ มสธอย่างตอ่ เน่ือง โดยใหพ้ อ่ แม่ ชมุ ชนเขา้ มามีส่วนรว่ มในการพัฒนาเด็ก หลกั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ คอื จดั ประสบการณท์ ห่ี ลากหลาย สอดคลอ้ งกบั จดุ เดน่ และความสามารถของเดก็ จดั กจิ กรรมทต่ี อ้ งใชค้ วามสามารถเกนิ กวา่ ระดบั พฒั นาการ ของเดก็ สง่ เสรมิ การคดิ ขน้ั สงู ทท่ี า้ ทายความสามารถของเดก็ ใหเ้ ดก็ สามารถตดั สนิ ใจไดด้ ว้ ยตวั เอง รวมถงึ การพฒั นาดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม โดยการทำ� งานรว่ มกนั เปน็ ทมี ระหวา่ งผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นการจดั การศกึ ษา มสธ มมสสธธ มสธส�ำหรบั เด็กทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ พอ่ แม่ ผูป้ กครอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 456
Pages: