Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 21223 หน่วยที่ 9-15

21223 หน่วยที่ 9-15

Published by กฤษฎา ศรีสุวรรณ์, 2021-08-31 07:29:05

Description: 21223 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาและหลักสูตรสำหรับเด็กปฐมวัย หน่วยที่ 9-15

Search

Read the Text Version

การจัดประสบการณ์เพือ่ พัฒนาเด็กปฐมวัยดา้ นรา่ งกาย 9-51 3.2 แบบสัมภาษณ์ ในกรณที พี่ บวา่ เดก็ มอี าการแสดงของการขาดสารอาหาร หรอื มปี ระวตั ิ มสธท่ีสงสัยว่าจะเป็นโรคขาดสารอาหาร การสอบถามประวัติเกี่ยวกับการรับประทานอาหารของเด็กจะมี ส่วนช่วยให้มีข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาและแก้ไขปัญหาได้ ในการสอบถามประวัติเกี่ยวกับ การรบั ประทานอาหารของเดก็ อาจต้งั คำ� ถามได้ ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ 1) วันน้ไี ดร้ ับประทานอาหารอะไรมาบ้าง................................................................. มสธ มสธ............................................................................................................................................................... 2) ปกติรับประทานอาหารอะไรท่ีบ้าน รับประทานปริมาณมากน้อยเท่าใด............... ............................................................................................................................................................... 3) อาหารที่ชอบรบั ประทาน คือ อะไร และอาหารท่ไี ม่ชอบรับประทาน คอื อะไร..... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... มสธ4) จำ� นวนมือ้ อาหารที่รับประทานเมือ่ อยบู่ า้ น และเวลาทีร่ บั ประทานอาหารแตล่ ะม้ือ ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... นอกจากการสอบถามเด็กเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่บ้าน ยังอาจสอบถามผู้ปกครองเพิ่ม มสธ มสธเตมิ รวมทัง้ ใหผ้ ้ปู กครองชว่ ยจดบนั ทกึ รายการอาหารทีเ่ ด็กรับประทานตลอดสัปดาห์ทีผ่ ่านมาด้วยกไ็ ด้ สรปุ ไดว้ ่า การประเมนิ สขุ ภาพอนามยั ของเด็กปฐมวัยตอ้ งประเมินให้ครอบคลมุ ลกั ษณะทางกาย การเจริญเติบโตและภาวะโภชนาการ รวมถึงพฤติกรรมด้านสุขนิสัยและความปลอดภัย ซ่ึงการประเมิน สขุ ภาพอนามยั ดงั กลา่ วอาจใชว้ ธิ กี ารประเมนิ ไดท้ ง้ั การสงั เกตและบนั ทกึ พฤตกิ รรม การสมั ภาษณ์ และการใช้ เครอื่ งมอื เฉพาะ โดยอาจใชเ้ ครอ่ื งมอื ไดห้ ลากหลาย เชน่ แบบสงั เกตและบนั ทกึ พฤตกิ รรม แบบสมั ภาษณ์ และเคร่อื งมอื เฉพาะประเภทเครือ่ งช่งั นาํ้ หนกั เครอ่ื งวัดสว่ นสูง และปรอทวัดไข้ เปน็ ต้น มสธกิจกรรม 9.3.1 ใหอ้ ธิบายวิธีการและยกตวั อย่างเคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการประเมินสุขภาพอนามยั ของเดก็ ปฐมวยั มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม9.3.1 การประเมินสุขภาพอนามัยของเด็กปฐมวัยที่ครูต้องประเมินเป็นประจ�ำอย่างต่อเน่ือง คือ การ ประเมินความสะอาดและความผิดปกติของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ท่ีครูตรวจร่างกายเด็กตอนเช้า กอ่ นเขา้ หอ้ งเรยี น ในการประเมนิ ดงั กลา่ วอาจใชแ้ บบบนั ทกึ ลกั ษณะทางรา่ งกายเปน็ เครอ่ื งมอื โดยใสร่ ายชอื่ อวัยวะของร่างกายท่ีต้องการประเมินในแบบบันทึก เพื่อให้ครูใช้เป็นเอกสารในการบันทึกข้อมูลท่ีได้จาก การสงั เกตอวยั วะดงั กลา่ ว หากมคี วามผดิ ปกตเิ กดิ ขนึ้ กบั อวยั วะสว่ นใดสว่ นหนง่ึ สามารถบนั ทกึ รายละเอยี ด มสธในแบบบนั ทกึ ได้ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการชว่ ยเหลือเด็ก

9-52 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ� หรับเด็กปฐมวยั มสธเร่ืองท่ี 9.3.2 การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ มสธ มสธการประเมนิ ดา้ นการใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญข่ องเดก็ ปฐมวยั เปน็ การใชเ้ ครอ่ื งมอื ชนดิ ตา่ งๆ เกบ็ รวบรวม ข้อมูลเก่ียวกับความสามารถในการบังคับกล้ามเน้ือที่ใช้ในการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือท่ีเกี่ยวข้องกับ การเคล่ือนไหวอวัยวะที่ส�ำคัญของร่างกาย และการประสานสัมพันธ์ เช่น การเดิน การว่ิง การกระโดด การทรงตัว เป็นต้น แล้วน�ำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ก�ำหนด เพ่ือตัดสินเกี่ยวกับความ สามารถดา้ นการใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญข่ องเดก็ วา่ เปน็ ไปตามวยั หรอื ไม่ เพยี งใด ซง่ึ การประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญ่ ของเด็กปฐมวัยโดยท่ัวไปจะใช้การสังเกตพฤติกรรมขณะที่เด็กเล่นเครื่องเล่นในสนาม หรือเล่นกลางแจ้ง ในสภาพการณ์ท่ีเป็นธรรมชาติ ขณะเดียวกันอาจใช้การทดสอบความสามารถด้านการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ มสธในสถานการณท์ ส่ี รา้ งขน้ึ หรอื ทเี่ รยี กวา่ การทดสอบเชงิ ปฏบิ ตั ิ ในกรณที กี่ ารเลน่ ตามปกตขิ องเดก็ ไมแ่ สดง ใหเ้ หน็ ถงึ การใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญท่ ตี่ อ้ งการประเมนิ อยา่ งชดั เจน ในเรอื่ งนจี้ ะกลา่ วถงึ ขอบขา่ ย วธิ กี ารประเมนิ และเคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมินความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ของเด็กปฐมวัย ดังรายละเอียด ตอ่ ไปน้ี มสธ มสธ1. ขอบขา่ ยของการประเมนิ ดา้ นการใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญข่ องเดก็ ปฐมวยั ประกอบดว้ ยการประเมนิ ความสามารถในการใช้กล้ามเน้อื ใหญบ่ รเิ วณลำ� ตัว แขน ขา หวั ไหลใ่ นการเคลอื่ นไหวร่างกายในลักษณะ ทห่ี ลากหลาย เช่น การเดนิ การว่ิง การกระโดด การปีนป่าย การถีบจกั รยานสามลอ้ และสองลอ้ การโยน การรับ การขว้าง การปา การคลาน การมุดลอด เปน็ ต้น ดงั รายละเอยี ดทก่ี ลา่ วไว้ในเร่อื งที่ 9.1.3 2. วิธีการประเมินด้านการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ของเด็กปฐมวัย การประเมินความสามารถในการ ใชก้ ล้ามเนอ้ื ใหญข่ องเด็กปฐมวยั ในแตล่ ะชว่ งวยั ท่ีครูสว่ นมากนิยมใช้มี 2 วิธี ดงั นี้ มสธ2.1 วิธีการสังเกตและบันทึกพฤติกรรม เป็นวิธที ี่ใช้กันมากท่ีสดุ เน่อื งจากทำ� ไดไ้ มย่ งุ่ ยาก และช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กในสภาพการณ์ที่เป็นธรรมชาติ ได้เห็น พฤติกรรมตามสภาพจริงขณะที่เด็กเล่นเคร่ืองเล่น เล่นเกมการละเล่น เล่นบ้านจ�ำลอง เล่นน้ําเล่นทราย หรือวิ่งเล่นอย่างอิสระในสนาม ในการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ควรสังเกตการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็ก ในลกั ษณะตา่ งๆ ทห่ี ลากหลาย เชน่ การเดนิ วง่ิ กระโดด มว้ นตวั กลง้ิ ตวั เปน็ ตน้ เพอ่ื ใหส้ ามารถประเมนิ มสธ มสธความแขง็ แรงของกระดกู และการประสานสมั พนั ธข์ องการใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญบ่ รเิ วณแขน ขา ลำ� ตวั หวั ไหล่ ขณะเคลือ่ นไหวร่างกายไดอ้ ย่างครอบคลุม 2.2 วิธีการทดสอบเชิงปฏิบัติ เป็นวิธีประเมินความสามารถในการใช้และควบคุมการ เคล่ือนไหวของกล้ามเนื้อใหญ่ท้ังการเคลื่อนไหวแขน ขา การทรงตัว และการประสานสัมพันธ์โดยใช้ แบบทดสอบเป็นเครื่องมือในการวัดด้วยการสร้างสถานการณ์หรือก�ำหนดเง่ือนไขหรือส่ิงท่ีต้องการให้เด็ก ปฏบิ ตั ิในระยะเวลาทก่ี �ำหนด แบบทดสอบท่ีใช้กับเด็กวัยนี้ควรมลี กั ษณะเหมอื นการเลน่ กจิ กรรมที่ใช้สอบ มสธควรเป็นเสมือนกิจกรรมการเล่นเกมหรือการเล่นในสนาม เพ่ือให้เด็กรู้สึกเหมือนก�ำลังเล่นไม่ใช่ท�ำแบบ

การจดั ประสบการณเ์ พื่อพฒั นาเด็กปฐมวยั ด้านร่างกาย 9-53 ทดสอบ ในการดำ� เนนิ การทดสอบครตู อ้ งอธบิ ายคำ� สงั่ ใหเ้ ดก็ เขา้ ใจกอ่ นใหเ้ ดก็ ปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหแ้ นใ่ จวา่ ทเี่ ดก็ มสธปฏบิ ตั ไิ มไ่ ดห้ รือไม่ถกู ตอ้ ง เป็นเพราะเด็กทำ� ไมไ่ ดจ้ รงิ ๆ ไมใ่ ชเ่ กดิ จากการไมเ่ ขา้ ใจคำ� ส่ัง 3. เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ ดา้ นการใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญข่ องเดก็ ปฐมวยั ในการประเมินการใช้ กลา้ มเนื้อใหญ่ของเด็กปฐมวยั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครสู ่วนมากนยิ มใชเ้ ครอ่ื งมือ 2 ชนดิ ดังต่อไปนี้ 3.1 แบบสังเกตและบันทึกพฤติกรรม เป็นเคร่ืองมือท่ีพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูใช้ในการ มสธ มสธสังเกตพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กปฐมวัยและบันทึกข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตขณะที่เด็กเล่น หรอื ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมมหี ลายชนดิ ใหเ้ ลอื กใชไ้ ดต้ ามจดุ ประสงคข์ องการสงั เกตแตล่ ะครง้ั ตั้งแต่แบบบันทึกพฤติกรรม ท่ีเปิดโอกาสให้บันทึกข้อมูลการใช้กล้ามเน้ือแขน ขา ล�ำตัวเชิงลึกที่ครูต้อง การศึกษา แบบสังเกตพฤติกรรมแบบส�ำรวจรายการ และแบบสังเกตพฤติกรรมแบบมาตรประมาณค่า ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 1) แบบบันทึกพฤติกรรม ใช้บันทึกข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตพฤติกรรมการใช้ มสธกลา้ มเนอ้ื ใหญใ่ นลกั ษณะตา่ งๆ ของเดก็ ในสถานการณก์ ารเลน่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั เพอ่ื ชว่ ยใหไ้ ดข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั ความสามารถในการใช้และควบคุมกล้ามเน้ือส่วนต่างๆ ของร่างกายเด็ก สถานการณ์รอบตัวเด็ก หรือ ปญั หาบางอยา่ งทเี่ กดิ ขนึ้ กบั เดก็ ไดด้ ยี งิ่ ขน้ึ โดยอาจบนั ทกึ พฤตกิ รรมทวั่ ๆ ไปของเดก็ แตล่ ะคนทส่ี งั เกตเหน็ อยา่ งตรงไปตรงมาโดยไมใ่ สค่ วามคดิ เหน็ หรอื อาจบนั ทกึ พฤตกิ รรมการใชก้ ลา้ มเนอ้ื ทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะจาก เหตกุ ารณใ์ ดเหตกุ ารณห์ นงึ่ ขณะทเี่ ลน่ ในการบนั ทกึ พฤตกิ รรมเดก็ อาจมกี ารบนั ทกึ ภาพหรอื เสยี งประกอบ มสธ มสธเพื่อให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับพฤติกรรมเด็กที่แสดงออกได้สมบูรณ์และชัดเจนมากขึ้น และใส่ความคิดเห็นของ ผ้สู ังเกตลงในช่องการแปลความดงั ตัวอยา่ งในตารางที่ 9.6 ตอ่ ไปน้ี ชอ่ื ด.ช./ด.ญ. ........................................................................................ อายุ....................ปี....................เดอื น มสธผสู้ ังเกต...............................................................................วันท่สี ังเกต.................................ครัง้ ที.่ ................... พฤตกิ รรมทตี่ อ้ งการสงั เกต................................................................................................................................. ตารางท่ี 9.6 ตัวอย่างแบบบันทึกพฤติกรรมเด็กปฐมวัย มสธ มสธ มสธสถานท่ีและเวลาพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ท่ีสังเกตการแปลความ

9-54 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย 2) แบบสังเกตพฤติกรรมแบบส�ำรวจรายการ (checklist) เปน็ เครอ่ื งมอื ทช่ี ว่ ยใหพ้ อ่ มสธแม่ ผูป้ กครอง และครไู ด้ขอ้ มูลว่าเด็กสามารถใช้กลา้ มเนอ้ื ใหญป่ ฏิบตั กิ จิ กรรมตา่ งๆ ได้หรอื ไม่ หรือเดก็ แสดงพฤตกิ รรมทพี่ อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครคู าดหวงั ไวห้ รอื ไม่ เชน่ ทำ� ได-้ ไมไ่ ด้ ปฏบิ ตั -ิ ไมป่ ฏบิ ตั ิ ม-ี ไมม่ ี ปรากฏ-ไม่ปรากฏ เป็นต้น แบบสังเกตพฤติกรรมดังกล่าวสามารถพัฒนาขึ้นเองโดยการเขียนรายการ พฤตกิ รรมหรอื กิจกรรมของพัฒนาการดา้ นทต่ี ้องการสงั เกตตามคณุ ลักษณะตามวยั หรือทฤษฎีพฒั นาการ มสธ มสธด้านใดดา้ นหนง่ึ รายการพฤตกิ รรมทสี่ งั เกตควรครอบคลุมพฤติกรรมท้งั หมดท่เี ดก็ ปฐมวยั ระดบั อายุนนั้ ๆ สามารถท�ำได้ ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี แบบสังเกตพฤติกรรมการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ของเด็กปฐมวัย (อายุ 5-6 ปี) ชอ่ื เดก็ ...................................................................................................... อาย.ุ ...................ป.ี ...................เดอื น ผู้สังเกต...............................................................................วันทส่ี งั เกต.................................ครงั้ ที่.................... มสธพฤติกรรมท่ีต้องการสังเกต: ความสามารถดา้ นการใชก้ ล้ามเน้อื ใหญ่ในการเคล่อื นไหวรา่ งกาย การทรงตัว และ การประสานสมั พันธ์ ค�ำชี้แจง ใหส้ งั เกตพฤติกรรมตามรายการตอ่ ไปน้ี ถ้าพบใหใ้ สเ่ ครอ่ื งหมาย ✓ ลงในช่อง ( ) ถา้ ไมพ่ บ ไม่ตอ้ ง ทำ� เคร่ืองหมายใดๆ ( ) ยืนขาเดียวได้ 8 วนิ าที มสธ มสธ( ) เดนิ บนกระดานทรงตวั โดยไมใ่ ช้แขนชว่ ย ( ) เดินตอ่ เท้าไปขา้ งหน้าบนกระดานทรงตัวได้ ( ) เดนิ สลบั เท้าขึ้น-ลงบันไดได้ ( ) วิง่ ออ้ มหลกั ได้โดยไม่โดนหลักและไม่ลม้ ( ) เดนิ หนา้ และเตะลูกบอลได้ ( ) โยนลูกบอลได้ไกลประมาณ 2 เมตร มสธ( ) รับลูกบอลดว้ ยมอื ทง้ั สองโดยไมใ่ ช้ลำ� ตัวชว่ ย ( ) เคล่อื นไหวสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายไปตามเพลงได้ ( ) กระโดดสองเท้าไดไ้ กลประมาณ 20 เซนตเิ มตร ( ) กระโดดเทา้ คไู่ ด้สงู 15 เซนตเิ มตร ( ) กระโดดขาเดียวอยา่ งต่อเนือ่ งไดป้ ระมาณ 10 ครั้ง มสธ มสธ3) แบบสังเกตพฤติกรรมแบบมาตรประมาณค่า (rating scale) เป็นแบบสังเกต พฤติกรรมท่ีมีลักษณะคล้ายแบบส�ำรวจรายการ แตกต่างกันตรงที่แบบมาตรประมาณค่ามีระดับคุณภาพ หรอื ความเขม้ ขน้ ของพฤตกิ รรมทสี่ งั เกต ซงึ่ มตี ง้ั แต่ 3-5 ระดบั เชน่ ทำ� ไดท้ กุ ครงั้ ทำ� ไดบ้ า้ ง ทำ� ไมไ่ ด้ หรอื ทำ� ไดม้ ากทส่ี ดุ ทำ� ไดม้ าก ทำ� ไดป้ านกลาง ทำ� ไดน้ อ้ ย ทำ� ไดน้ อ้ ยทส่ี ดุ เปน็ ตน้ ดงั นน้ั ในการสงั เกตพฤตกิ รรม การใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญข่ องเดก็ ปฐมวยั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครูตอ้ งพจิ ารณาและตดั สนิ ใจอย่างรอบคอบวา่ มสธพฤตกิ รรมเดก็ ทแ่ี สดงออกมานนั้ จดั อยใู่ นอนั ดบั ใด เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทม่ี คี วามนา่ เชอ่ื ถอื ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

มสธชอื่ เดก็ ...................................................................................................... อาย.ุ ...................ป.ี ...................เดอื น ผ้สู งั เกต...............................................................................วนั ท่สี ังเกต.................................ครัง้ ท่ี.................... พฤติกรรมท่ีต้องการสังเกต: ความสามารถดา้ นการใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญแ่ ละการประสานสมั พนั ธใ์ นการเคลอ่ื นไหว อวัยวะส่วนตา่ งๆ ของร่างกาย และการทรงตัว มสธ มสธค�ำชี้แจง ใหส้ งั เกตพฤติกรรมตอ่ ไปน้ี แล้วท�ำเครือ่ งหมาย ✓ ลงในช่องระดบั พฤติกรรมตามทสี่ งั เกตเห็น ดังนี้ 3 หมายถงึ สงั เกตพฤตกิ รรมพบทุกคร้งั 2 หมายถึง สังเกตพฤตกิ รรมพบบอ่ ยคร้ัง 1 หมายถงึ สงั เกตพฤตกิ รรมพบบางเวลา การจัดประสบการณเ์ พอื่ พัฒนาเดก็ ปฐมวัยดา้ นร่างกาย 9-55 ตารางท่ี 9.7 ตัวอย่างแบบสังเกตพฤติกรรมการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ของเด็กปฐมวัย (อายุ 5-6 ปี) มสธรายการพฤติกรรมระดับพฤติกรรมหมายเหตุ 321 1. เดินขึน้ -ลงบนั ไดสลบั เทา้ ได้คลอ่ งแคลว่ 2. วิ่งอยา่ งรวดเร็วและหยุดไดท้ นั ที หมนุ ตัวเลย้ี วไดค้ ล่อง 3. กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางได้ มสธ มสธ4. กระโดดขาเดียวไปขา้ งหน้าต่อเนื่องกนั ไดไ้ กล 5. กระโดดควบแบบมา้ วิ่งไดค้ ลอ่ ง 6. เตะลกู บอลกะระยะไดด้ ี 7. ปีนเครอ่ื งเลน่ สนามแกว่งตัวไดด้ ี 8. ถบี จักรยานสามลอ้ หลบสง่ิ กีดขวางได้ มสธ3.2 แบบทดสอบเชิงปฏิบัติ เปน็ การประเมนิ ความสามารถในการใชก้ ลา้ มเนือ้ ใหญบ่ รเิ วณ แขน ขา ลำ� ตวั และหวั ไหลใ่ หป้ ระสานสมั พนั ธใ์ นการเคลอื่ นไหวอวยั วะสว่ นตา่ งๆ ของรา่ งกาย ดว้ ยการกำ� หนด กิจกรรมและ/หรือวิธีการปฏิบัติกิจกรรมที่เด็กต้องใช้กล้ามเนื้อในส่วนที่ต้องการประเมินให้เด็กท�ำภายใน เวลาทกี่ ำ� หนด และมกี ารกำ� หนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนทช่ี ดั เจน เพอื่ ใหส้ ามารถประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญ่ มสธ มสธ มสธของเดก็ ได้อย่างครอบคลุม ดงั ตวั อยา่ งแบบทดสอบ (สมคดิ พรมจยุ้ , 2557, น. 6-28) ดังต่อไปนี้

9-56 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย ตัวอย่างแบบทดสอบวัดความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ของเด็กปฐมวัย มสธข้อ 1. การเขยง่ ปลายเทา้ ขน้ึ สดุ และเหยยี ดแขนทงั้ สองขา้ งตงึ เหนอื ศรี ษะ เปน็ ความสามารถของ กลา้ มเนื้อใหญเ่ กิดความตึงตวั แสดงถงึ ความแข็งแรงของกล้ามเนอ้ื บรเิ วณแขนและขา วิธีการทดสอบ 1) เดก็ ยนื ล�ำตวั ตรง เทา้ ชิด มสธ มสธ2) คอ่ ยๆ เหยยี ดแขนทงั้ สองขา้ งไปเหนอื ศรี ษะ พรอ้ มกบั เขยง่ ปลายเทา้ ขนึ้ ไปสงู ทสี่ ดุ 3) การเหยียดแขนท้ังสองข้าง เด็กต้องใช้แขนทั้งสองแนบชิดใบหูท้ังสองข้าง ฝ่ามือ ท้งั สองขา้ งหันเขา้ หากัน เกณฑ์การให้คะแนน 1) ให้ 1 คะแนน ถา้ เดก็ ท�ำไดใ้ นระยะเวลา 10 วนิ าที โดยไม่โอนเอนส่ายจะล้ม 2) ให้ 0 คะแนน ถ้าเด็กท�ำไม่ได้ มีอาการโอนเอนส่ายไปมาและขาสั่นเหยียดขา มสธทัง้ สองขา้ งไม่ตงึ กอ่ นหมดเวลา สรุปได้ว่า การประเมินด้านการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ เป็นการประเมินความสามารถในการใช้และ ควบคมุ กลา้ มเนอ้ื บรเิ วณแขน ขา ลำ� ตวั และหวั ไหล่ ใหท้ ำ� งานประสานสมั พนั ธก์ นั ในการเคลอ่ื นไหวรา่ งกาย ซึ่งสามารถประเมินได้ 2 วิธี คือ 1) การสังเกตและบันทึกพฤติกรรม ซ่ึงเป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด และ มสธ มสธ2) การทดสอบเชิงปฏิบัติ ส�ำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินการใช้กล้ามเนื้อใหญ่มี 2 ชนิด ได้แก่ 1) แบบสังเกตและบันทึกพฤติกรรม ทั้งท่ีเป็นแบบบันทึกพฤติกรรม แบบสังเกตพฤติกรรมแบบส�ำรวจ รายการ และแบบสังเกตพฤตกิ รรมแบบมาตรประมาณคา่ และ 2) แบบทดสอบเชิงปฏิบตั ิ ทใ่ี หเ้ ด็กปฏิบัติ กจิ กรรมท่ีตอ้ งใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญ่ท้ังแขน ขา ลำ� ตวั และหัวไหลต่ ามทกี่ �ำหนด มสธกิจกรรม 9.3.2 ใหอ้ ธบิ ายวธิ กี ารและยกตวั อยา่ งเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอื้ ใหญข่ องเดก็ ปฐมวยั แนวตอบกิจกรรม 9.3.2 การประเมินความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กปฐมวัยส่วนมากใช้วิธีการสังเกต มสธ มสธพฤตกิ รรมการใชก้ ลา้ มเนอ้ื บรเิ วณหวั ไหล่ ลำ� ตวั แขนและขาในการเคลอื่ นไหวขณะเลน่ อสิ ระ หรอื เลน่ เครอ่ื งเลน่ ในสนามในสภาพการณ์ธรรมชาติ ว่าสามารถใช้งานได้อย่างประสานสัมพันธ์กันอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว ได้อย่างเหมาะสมกับวัยหรือไม่ เคร่ืองมือที่ใช้ประกอบการสังเกตมีหลายชนิดให้เลือก เช่น แบบบันทึก พฤตกิ รรม แบบสงั เกตพฤตกิ รรมแบบสำ� รวจรายการ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมแบบมาตรประมาณคา่ เปน็ ตน้ หรืออาจใช้แบบทดสอบให้เด็กปฏิบัติให้ดูก็ได้เช่นกัน เคร่ืองมือแต่ละชนิดมีลักษณะเด่นและจุดมุ่งหมาย ในการใชไ้ มเ่ หมอื นกนั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครตู อ้ งศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจเพอื่ ใหส้ ามารถเลอื กใชไ้ ดอ้ ยา่ ง มสธเหมาะสม

การจัดประสบการณเ์ พ่ือพัฒนาเด็กปฐมวยั ดา้ นรา่ งกาย 9-57 มสธเร่ืองท่ี 9.3.3 การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยด้านการใช้กล้ามเน้ือเล็ก มสธ มสธการประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอื้ เลก็ เปน็ การใชเ้ ครอื่ งมอื ชนดิ ตา่ งๆ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกบั ความ สามารถในการใชแ้ ละควบคมุ กลา้ มเนอื้ เลก็ บรเิ วณขอ้ มอื มอื นว้ิ มอื การใชส้ มั ผสั รบั รใู้ นการประสานสมั พนั ธ์ ของกล้ามท่ีใช้ในการหยิบ จับ ขีดเขียน การร้อย การใช้กรรไกร การสาน แล้วน�ำข้อมูลดังกล่าวมา เปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ก�ำหนดเพื่อพิจารณาว่าเด็กมีพัฒนาการและความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือเล็ก สมวัยหรือไม่ อย่างไร ซึ่งการประเมินการใช้กล้ามเนื้อเล็กของเด็กปฐมวัยโดยท่ัวไปนิยมใช้วิธีการสังเกต พฤติกรรมขณะที่เด็กท�ำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจ�ำวัน และการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจ�ำวัน ในกรณีท่ีการใช้กล้ามเน้ือเล็กในบางลักษณะ เด็กไม่แสดงพฤติกรรมออกมาอย่างชัดเจนในสภาพการณ์ท่ี มสธเปน็ ปกตใิ นชวี ติ ประจำ� วนั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครอู าจสรา้ งสถานการณห์ รอื กำ� หนดกจิ กรรมใหเ้ ดก็ ปฏบิ ตั ิ หรือท่ีเรยี กวา่ การทดสอบเชงิ ปฏิบตั ิก็ได้ ในเรื่องนี้จะกล่าวถงึ ขอบขา่ ย วิธีการประเมิน และเคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ ในการประเมินการใช้กล้ามเนอ้ื เล็กของเดก็ ปฐมวัย ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้ 1. ขอบขา่ ยของการประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอ้ื เลก็ ของเดก็ ปฐมวยั ประกอบดว้ ยการประเมนิ ความ มสธ มสธสามารถในการใช้กลา้ มเนอ้ื เลก็ และการประสานสมั พนั ธข์ องกล้ามเน้ือบริเวณข้อมอื มอื และนิ้วมือ ในการ ท�ำกิจวัตรประจ�ำวันและท�ำกิจกรรมต่างๆ เช่น การหมุนลูกบิดเปิด-ปิดประตู การรูดซิป การติดกระดุม การจับหยิบแก้วน้ํา การจับกรรไกรตัดกระดาษ การหยิบลูกปัดร้อยเชือก การจับดินสอลากเส้นหรือ วาดภาพ เป็นต้น ดงั รายละเอยี ดทกี่ ล่าวไว้ในเรื่องที่ 9.1.3 2. วิธีการประเมินการใช้กล้ามเน้ือเล็กของเด็กปฐมวัย การประเมินความสามารถในการใช้ กล้ามเนอ้ื เล็กของเด็กปฐมวัยทีพ่ อ่ แม่ ผู้ปกครอง และครสู ว่ นมากนยิ มใชม้ ี 2 วธิ ี ดังน้ี มสธ2.1 วิธกี ารสงั เกตและบนั ทึกพฤตกิ รรม เปน็ วธิ ที น่ี ยิ มใชใ้ นการประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอื้ เลก็ ของเดก็ ปฐมวัยมากทส่ี ุด เป็นวิธีทม่ี ีประสิทธิภาพท่ีจะช่วยใหไ้ ด้ขอ้ มูลเกี่ยวกับพฤตกิ รรมการใช้มือ ข้อมือ นิ้วมือ การใช้สัมผัสรับรู้ในการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมือและตาในสภาพการณ์ที่เป็นธรรมชาติ ขณะเดก็ ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครคู อยเฝา้ สงั เกตพฤตกิ รรมเดก็ พรอ้ มทงั้ บันทึกขอ้ มลู ลงในแบบสังเกต มสธ มสธ2.2 วิธีการทดสอบเชิงปฏิบัติ เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถใช้วัดความสามารถในการใช้ กลา้ มเนอื้ เลก็ บรเิ วณมอื ขอ้ มอื นว้ิ มอื และการประสานสมั พนั ธข์ องกลา้ มเนอ้ื มอื กบั การสมั ผสั รบั รใู้ นการปฏบิ ตั ิ กิจกรรมต่างๆ ลักษณะของแบบทดสอบท่ีเหมาะกับการใช้วัดความสามารถในการกล้ามเน้ือเล็กของเด็ก ปฐมวยั ควรเปน็ แบบทดสอบทก่ี ำ� หนดกจิ กรรมซง่ึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของกจิ วตั รประจำ� วนั หรอื กจิ กรรมประจำ� วนั ทเี่ ดก็ ทำ� เป็นปกตทิ ุกวนั อยู่แลว้ ให้เดก็ ปฏบิ ตั ิภายในเวลาทกี่ ำ� หนด โดยมพี อ่ แม่ ผูป้ กครอง และครบู อกวา่ จะให้ท�ำอะไรหรือสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น การลากเส้น การใช้กรรไกรตัดกระดาษ การลากเส้นตาม มสธแบบ การคบี วัสดุ เป็นตน้

9-58 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวัย 3. เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอื้ เลก็ ของเดก็ ปฐมวยั ในการประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอื้ เลก็ มสธของเดก็ ปฐมวัย พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครูส่วนมากนยิ มใชเ้ ครื่องมือ 2 ชนดิ ดงั ต่อไปนี้ 3.1 แบบสังเกตและบันทึกพฤติกรรม เปน็ เครอ่ื งมอื ทพ่ี อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครใู ชป้ ระกอบ การสังเกตพฤติกรรมการใช้กล้ามเนอื้ เลก็ ของเด็กปฐมวยั ขณะท่ีเลน่ หรือท�ำกิจกรรมตา่ งๆ ซ่งึ มีหลายชนดิ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสังเกตและลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ ต้ังแต่แบบบันทึกพฤติกรรม ท่ีเปิด มสธ มสธโอกาสใหส้ งั เกตและบนั ทกึ ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ รายละเอยี ดของการใชก้ ลา้ มเนอื้ มอื ขอ้ มอื และนว้ิ มอื ในสถานการณ์ เฉพาะทค่ี รตู อ้ งการศกึ ษาไดอ้ ยา่ งอสิ ระ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมแบบสำ� รวจรายการ และแบบสงั เกตพฤตกิ รรม แบบมาตรประมาณคา่ ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ 1) แบบบันทึกพฤติกรรม เป็นวิธีการหน่ึงของการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้ กลา้ มเนอ้ื เลก็ ของเดก็ ปฐมวยั จากสถานการณจ์ รงิ ขณะทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ทง้ั ทที่ ำ� กจิ กรรมเปน็ กลมุ่ และรายบคุ คล การบนั ทกึ พฤตกิ รรมการใชก้ ลา้ มเนอื้ บรเิ วณมอื ขอ้ มอื และนวิ้ มอื ชว่ ยใหค้ รสู ามารถเกบ็ รอ่ งรอยขอ้ มลู จาก มสธการสงั เกตไดอ้ ยา่ งละเอยี ด ขอ้ ควรระวงั สำ� หรบั การใชว้ ธิ กี ารบนั ทกึ พฤตกิ รรม คอื ตอ้ งจดบนั ทกึ ขอ้ มลู ตาม สภาพจริงที่เกิดข้ึนอย่างตรงไปตรงมาตามที่ได้เห็นหรือได้ยินโดยไม่ใส่ความรู้สึกหรือความคิดเห็นลงไป โดยแยกการตคี วามและแปลความออกมาจากพฤติกรรมท่สี ังเกตได้ ถ้าพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และครูสามารถ บนั ทกึ ภาพหรอื เสยี งประกอบการบนั ทกึ พฤตกิ รรมได้ จะชว่ ยใหม้ ขี อ้ มลู ประกอบการแปลความหรอื ตคี วาม หมายของพฤติกรรมเด็กได้แม่นยำ� มากขึ้น ช่วยให้สามารถวางแผนการพัฒนาและชว่ ยเหลอื เดก็ ตอ่ ไปได้ มสธ มสธตอ่ ไปนเ้ี ปน็ แบบบนั ทกึ พฤตกิ รรมเดก็ ปฐมวยั ทพ่ี อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครอู าจน�ำไปปรบั ใช้ได้ การสังเกตครงั้ ท.ี่ ........................... ชอื่ เดก็ ....................................................นามสกลุ ...............................................อาย.ุ ...........ปี ชนั้ .......................... มสธวนั ท.่ี .............................. เวลา............................ สถานการณ์ทส่ี งั เกต........................................................ สถานทสี่ งั เกต............................................................ ตารางที่ 9.8 ตัวอย่างแบบบันทึกพฤติกรรมเด็กปฐมวัย พฤติกรรมมสธ มสธ ลงชื่อ ...........................................................ความคิดเห็นของผู้สังเกตข้อเสนอแนะ มสธ ตำ� แหนง่ .......................................................

การจดั ประสบการณ์เพอื่ พฒั นาเด็กปฐมวยั ด้านร่างกาย 9-59 2) แบบสังเกตพฤติกรรมแบบส�ำรวจรายการ (checklist) เป็นเครื่องมือทีจ่ ะชว่ ยให้ มสธพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูได้ข้อมูลว่าเด็กสามารถใช้และควบคุมกล้ามเน้ือเล็ก การสัมผัสรับรู้ให้ประสาน สมั พนั ธก์ นั ในการใชม้ อื หยบิ จบั หรอื ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ไดห้ รอื ไม่ โดยในแบบสงั เกตจะมรี ายการพฤตกิ รรม การใชก้ ลา้ มเนอ้ื เลก็ ในลกั ษณะตา่ งๆ ของเดก็ ใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครสู งั เกต หากพบวา่ เดก็ มพี ฤตกิ รรม ตามรายการทกี่ �ำหนดไว้ ใหบ้ ันทกึ พฤตกิ รรมดงั กล่าวลงในแบบสงั เกต ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้ มสธ มสธตารางที่ 9.9 ตัวอย่างแบบสังเกตพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อเล็กของเด็กปฐมวัย (อายุ 5-6 ปี) ชอ่ื เดก็ ..................................................................................................... อายุ....................ป.ี ...................เดือน ผสู้ งั เกต...............................................................................วนั ที่สงั เกต.................................ครง้ั ท.ี่ ................... พฤติกรรมที่ต้องการสังเกต: ความสามารถดา้ นการใชก้ ลา้ มเนอ้ื เลก็ และการประสานสมั พนั ธใ์ นการใชม้ อื หยบิ จบั ส่งิ ของและท�ำกิจกรรมตา่ งๆ มสธค�ำช้ีแจง ใหส้ งั เกตพฤตกิ รรมตามรายการในแบบบนั ทกึ แลว้ ใสเ่ ครอื่ งหมาย ✓ ลงในชอ่ งพฤตกิ รรมตามทสี่ งั เกตเหน็ มสธ มสธ1. โยนลูกบอลคลา้ ยผู้ใหญ่ ยน่ื เท้าออกมาใชแ้ ขนเหวี่ยงลูกรายการพฤติกรรมพฤติกรรมท่ีสังเกตเห็นหมายเหตุ ท�ำได้ ท�ำไม่ได้ 2. รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทงั้ สอง 3. ตอ่ แทง่ ไม้บล็อกเป็นรูปบนั ไดได้ 4. หยิบลูกกวาดใส่ขวด 10 เมด็ ได้ในเวลา 18-20 วินาที 5. ต่อภาพตดั ตอ่ 7-15 ชิ้นได้ 6. ตัดกระดาษตามเส้นโค้งได้ มสธ7. เขยี นรูปสามเหลีย่ มตามแบบได้ 8. พบั และรดี สนั กระดาษได้คล่องแคล่วหลายทบ 9. วาดภาพคนมศี รี ษะ ตา ขา ปาก ลำ� ตวั เท้า จมูก แขน คอ มอื ผม 3) แบบสังเกตพฤติกรรมแบบมาตรประมาณค่า (rating scale) เป็นแบบสังเกต มสธ มสธพฤตกิ รรมทชี่ ว่ ยใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครสู ามารถประเมนิ ไดว้ า่ เดก็ มคี วามสามารถในการใชก้ ลา้ มเนอ้ื เลก็ บรเิ วณมือ ข้อมือ นว้ิ มอื และการสัมผสั รับรู้ได้อย่างประสานสัมพนั ธก์ นั ในการหยิบ จับ รับ โยน และทำ� กิจวัตรประจ�ำวันได้มากน้อยเพียงใด ในการสังเกตพฤติกรรมอาจเป็นการสังเกตในขณะที่เด็กเล่นหรือท�ำ กจิ กรรมตามปกติ หรอื อาจสร้างสถานการณใ์ หเ้ ด็กปฏบิ ัติหรอื ท�ำกจิ กรรมตามท่ีกำ� หนดให้ก็ได้ ระดบั ของ การประเมนิ พฤตกิ รรมเดก็ ปฐมวยั อาจเปน็ 3 ระดบั หรอื 5 ระดบั กไ็ ด้ ขนึ้ อยกู่ บั จดุ ประสงคข์ องการประเมนิ และลกั ษณะของพฤติกรรมท่ตี ้องการประเมนิ ยิ่งระดบั ของการประเมนิ มมี ากขึน้ เท่าใด ยิง่ ไดร้ ายละเอียด มสธของระดับความเข้มข้นหรือคุณภาพของการใช้กล้ามเนื้อเล็กของเด็กมากข้ึนเท่านั้น ขณะเดียวกันต้อง

9-60 การจดั การศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวยั ตระหนกั วา่ การประเมนิ ทม่ี รี ะดบั พฤตกิ รรมหลายระดบั ตอ้ งใชค้ วามระมดั ระวงั และมคี วามรอบคอบมากขนึ้ มสธเกณฑ์การประเมินแต่ละระดับต้องเห็นความแตกต่างของพฤติกรรมได้อย่างชัดเจน ในเรื่องที่ 9.3.2 ได้ ยกตัวอย่างแบบสังเกตพฤติกรรมแบบมาตรประมาณค่า 3 ระดับไปแล้ว ในเรื่องน้ีจะขอยกตัวอย่างแบบ สังเกตพฤติกรรมการใช้กล้ามเน้ือเล็กของเด็กปฐมวัยแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ เพ่ือให้นักศึกษาได้ เหน็ ตัวอยา่ งที่หลากหลายดังน้ี มสธ มสธตารางที่ 9.10 ตัวอย่างแบบสังเกตพฤติกรรมการใช้กล้ามเน้ือเล็กของเด็กปฐมวัย (อายุ 4-5 ปี) ช่อื เด็ก..................................................................................................... อาย.ุ ...................ปี....................เดอื น ผู้สังเกต...............................................................................วันทส่ี งั เกต.................................ครั้งท่ี.................... พฤติกรรมท่ีต้องการสังเกต: ความสามารถดา้ นการใชก้ ลา้ มเนอื้ เลก็ และการประสานสมั พนั ธใ์ นการใชม้ อื หยบิ จบั สิ่งของและทำ� กิจกรรมต่างๆ มสธค�ำช้ีแจง ให้สังเกตพฤตกิ รรมต่อไปน้ี แลว้ ท�ำเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในช่องระดบั พฤตกิ รรมตามท่สี ังเกตเห็น ความถ่ี ของพฤตกิ รรมทส่ี งั เกตไดใ้ ช้เกณฑ์ ดังน้ี 5 หมายถงึ ท�ำไดต้ ามท่กี �ำหนดทุกครั้ง 4 หมายถงึ ทำ� ได้ตามทีก่ ำ� หนดบ่อยครัง้ มสธ มสธ3 หมายถึง ทำ� ตามทกี่ �ำหนดได้บา้ งไม่ได้บ้าง 2 หมายถึง ทำ� ตามทก่ี ำ� หนดไดเ้ ปน็ บางครั้ง 1 หมายถึง ท�ำตามที่กำ� หนดได้น้อยมาก มสธ1. โยนลูกบอลได้ไกลขึน้ ตามแนวระนาบ เท้าอยู่กับที่รายการพฤติกรรม5ระดับพฤติกรรม1 หมายเหตุ 432 2. รับลูกบอลดว้ ยแขน ขณะขอ้ ศอกอยหู่ น้าลำ� ตัว แต่อาจยังกะระยะไมถ่ กู 3. ตอ่ แทง่ ไมบ้ ล็อกเปน็ รูปตามแบบได้ 4. ใช้มอื หยิบลกู กวาดใส่ขวดได้ มสธ มสธ5. ต่อภาพตดั ตอ่ 6–9 ชิ้นได้ 6. ตดั กระดาษตามเสน้ ตรงได้ 7. เขยี นรูปสเี่ หล่ียมจัตรุ สั ตามแบบได้ 8. พบั และรีดสันกระดาษตามแบบได้ มสธ9. วาดภาพคนมศี รี ษะ ตา ขา ปาก ล�ำตัว เทา้ จมูก

การจดั ประสบการณ์เพื่อพฒั นาเด็กปฐมวยั ด้านรา่ งกาย 9-61 3.2 แบบทดสอบเชิงปฏิบัติ เป็นการประเมินความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กบริเวณ มสธมือ ข้อมือ น้ิวมือ และการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเน้ือมือกับการสัมผัสรับรู้ในการท�ำกิจวัตรประจ�ำวัน หรือท�ำกจิ กรรมตา่ งๆ ด้วยการกำ� หนดกิจกรรมทีต่ อ้ งใชก้ ล้ามเน้ือเล็กให้เดก็ ทำ� เช่น การลากเสน้ การใช้ กรรไกรตดั กระดาษ การลากเส้นตามแบบ การคีบวสั ดุ เปน็ ต้น พรอ้ มก�ำหนดเกณฑก์ ารให้คะแนนอยา่ ง ชัดเจน ในบางกิจกรรมที่อาจยากแก่การอธิบายให้เด็กเข้าใจได้ ครูอาจต้องท�ำตัวอย่างให้เด็กดูก่อน มสธ มสธดงั ตวั อยา่ ง (สมใจ ต้งั นิกร, 2531) ตอ่ ไปนี้ ตัวอย่างแบบทดสอบวัดความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก ข้อท่ี 1 หยิบกอ้ นกรวดกลมเกลย้ี งขนาดเส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร จ�ำนวน 10 กอ้ น ใสข่ วดพลาสตกิ ใส ปากกวา้ ง ภายในเวลา 15 วนิ าที วิธีทดสอบ มสธผู้ทดสอบเทก้อนกรวดใส่ถาด แล้วพูดกับเด็กว่า “ให้หนูหยิบก้อนกรวดใส่ขวดทีละก้อนจนครบ 10 กอ้ น” (ภายในเวลา 15 วินาท)ี เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน เมื่อเดก็ สามารถหยิบกอ้ นกรวดใสข่ วดได้อย่างคล่องแคล่วครบ 10 กอ้ น และ ทันเวลาทกี่ ำ� หนด มสธ มสธให้ 2 คะแนน เม่อื เดก็ สามารถหยิบก้อนกรวดใส่ขวดได้ครบ 10 กอ้ น ตามเวลาท่กี ำ� หนด ให้ 1 คะแนน เมอื่ เด็กใช้เวลาเกนิ กวา่ ท่ีกำ� หนดในการหยบิ กอ้ นกรวด 10 กอ้ นใส่ขวด ข้อที่ 2 พบั กระดาษได้ 3 ทบ ตามแบบ มสธ มสธ มสธวิธีทดสอบ มสธใหเ้ ด็กพับตามรอย 3 ทบ 2แ1 ลว้นสวิ้ ง่ ขกน้ึระมดาาษแลทว้ ม่ี บจี อดุ กไใขหป่ เ้ ลดาก็ ใสนงั ลเกักษตดณู ะผเทู้ดดยี สวกอบนั ผทู้ ดสอบหยบิ กระดาษรปู สเ่ี หลย่ี มจตั รุ สั ขนาด 8 พบั กระดาษตามรอยจดุ ไขป่ ลาและกรดี รอยพบั ชใู หเ้ ดก็ ดู

9-62 การจดั การศึกษาและหลักสตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย เกณฑ์การให้คะแนน มสธให้ 3 คะแนน เมอ่ื เด็กสามารถพับกระดาษตามรอยได้อยา่ งคล่องแคลว่ โดยจดมมุ ตรงกนั และกรดี รอยพบั ได้เรียบ ไม่มีรอยยบั หรอื ฉกี ขาด ให้ 2 คะแนน เม่ือเด็กสามารถพับกระดาษตามรอยได้ แม้ว่ามุมจะไม่จดกันมากนัก กรีด รอยพับได้และไม่ฉกี ขาด มสธ มสธให้ 1 คะแนน เมอ่ื เดก็ สามารถพบั กระดาษตามรอยได้ แมว้ า่ จะพบั ไมต่ รงตามรอยจดุ ไขป่ ลา ทีก่ �ำหนดไว้และมมุ ไมจ่ ดกนั สรุปได้ว่า การประเมินการใช้กล้ามเน้ือเล็ก เป็นการประเมินความสามารถในการใช้และควบคุม กล้ามเน้ือบริเวณมือ ข้อมือ นิ้วมือ และการใช้สัมผัสรับรู้ในการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการ หยิบจบั และท�ำกิจกรรมต่างๆ ในชวี ิตประจ�ำวนั ซึ่งสามารถประเมนิ ได้ 2 วธิ ี คอื 1) การสงั เกตและบนั ทกึ มสธพฤตกิ รรม ซงึ่ เปน็ วธิ ที น่ี ยิ มใชม้ ากทสี่ ดุ และ 2) การทดสอบเชงิ ปฏบิ ตั ิ สำ� หรบั เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอ้ื เลก็ มี 2 ชนดิ เชน่ กนั ไดแ้ ก่ แบบสงั เกตและบนั ทกึ พฤตกิ รรม ซงึ่ มที ง้ั แบบบนั ทกึ พฤตกิ รรม แบบสังเกตพฤตกิ รรมแบบสำ� รวจรายการ และแบบสงั เกตพฤตกิ รรมแบบมาตรประมาณคา่ และ 2) แบบ ทดสอบเชิงปฏิบัติ ท่ีเป็นแบบทดสอบให้เด็กปฏิบัติตามสถานการณ์หรือกิจกรรมท่ีก�ำหนดให้เด็กปฏิบัติ เพ่อื ให้สามารถประเมนิ การใชก้ ลา้ มเนอ้ื เลก็ ไดอ้ ยา่ งครอบคลุม มสธ มสธกิจกรรม9.3.3 ให้อธบิ ายวธิ กี ารและยกตวั อย่างเคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการประเมนิ การใช้กลา้ มเนอ้ื เลก็ ของเดก็ ปฐมวยั แนวตอบกิจกรรม 9.3.3 มสธการประเมินการใช้กล้ามเน้ือเล็กของเด็กปฐมวัยเป็นการเมินความสามารถในการใช้และควบคุม กลา้ มเน้ือบริเวณข้อมอื มอื และน้วิ มอื และการใช้สัมผสั รบั รูใ้ ห้ท�ำงานประสานสัมพันธใ์ นการหยบิ จับ ยก เพ่ือท�ำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งการประเมินส่วนมากใช้การสังเกตพฤติกรรมขณะเด็กท�ำกิจกรรมประจ�ำวันตาม ปกติหรือสถานการณ์ที่สร้างข้ึน ในการสังเกตพฤติกรรมอาจใช้เครื่องมือได้หลายอย่าง เช่น แบบบันทึก พฤตกิ รรม แบบสงั เกตพฤตกิ รรมแบบสำ� รวจรายการ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมแบบมาตรประมาณคา่ เปน็ ตน้ มสธ มสธหรืออาจใช้แบบทดสอบด้วยการให้เด็กปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีก�ำหนดก็ได้ การจะใช้เครื่องมือชนิดใดข้ึนอยู่ มสธกับวัตถปุ ระสงค์ในการประเมินและลักษณะของข้อมลู ทตี่ ้องการ

การจดั ประสบการณ์เพ่ือพฒั นาเด็กปฐมวยั ด้านรา่ งกาย 9-63 มสธบรรณานุกรม กรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสขุ . (2543). ตารางแสดงนํ้าหนักและส่วนสูงที่ควรจะเป็นในชว่ ง อายุ  0-19  ปี ตามเกณฑม์ าตรฐานการเจรญิ เตบิ โตของเพศชายและเพศหญงิ . สบื คน้ จาก http://www.jintana.mns. มสธ มสธac.th/pontape/p5-1.html กนั ตภณ วชิ ยั ทา. (2559). ผลการใชเ้ กมกลางแจง้ โดยใชส้ มองเปน็ ฐานทมี่ ตี อ่ สมรรถภาพทางกลไกของเดก็ ปฐมวยั โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. (วิทยานิพนธ์ไม่ได้ตีพิมพ์) สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, นนทบรุ .ี กติ ยิ า เกา้ เอย้ี น. (2551). ผลการจดั กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรคโ์ ดยใชแ้ นวคดิ ของวลิ เลยี มสท์ ม่ี ตี อ่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ของเด็กปฐมวัย. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์) แขนงวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช. มสธเกรกิ ยุน้ พันธ์. (2543). การเล่านิทาน (พมิ พ์ครั้งท่ี 3). กรุงเทพฯ: สุวรี ยิ าสาส์น. เกยี รติวรรณ อมาตยกุล. (2546). การศกึ ษาแบบนโี อฮิวแมนนิส. ใน การเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวัย (พมิ พค์ รั้งท่ี 2). ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กรงุ เทพฯ: เซเวน พริน้ ติ้ง กรปุ๊ . ชวี นั วสิ าสะ. (2558). มหศั จรรยแ์ หง่ นทิ าน กจิ กรรมทชี่ ว่ ยสรา้ งบรรยากาศแหง่ ความอบอนุ่ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ในครอบครวั . มสธ มสธสบื คน้ จาก http://www.aksaraforkids.com/news_detail.php?id=114&idgroup=3. ดษุ ฎี บรพิ ตั ร ณ อยธุ ยา. (2535). วิธสี อนนาฏศลิ ปเ์ บอื้ งต้น. กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธิการ. พรพิไล เลิศวิชา. (2552). ความลับสมองลูกน้อย. ส�ำนักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษาส�ำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน. กระทรวงศึกษาธิการ. พชั รี ผลโยธนิ . (2554). การจดั การเรยี นรทู้ ส่ี อดคลอ้ งกบั การทำ� งานของสมอง. ใน ประมวลสาระชดุ วชิ าวทิ ยาการ การจดั การเรียนรู้ (พิมพ์คร้งั ท่ี 2) หน่วยท่ี 11 (น. 11-1 ถงึ 11-52). นนทบรุ ี: ส�ำนักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. มสธ. (2555). การวัดประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย. ใน ประมวลสาระชุดวิชาหลักการและแนวคิดทาง การปฐมวัยศึกษา (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1) หน่วยท่ี 9 (น. 9-1 ถึง 9-66). นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. พัชรี ผลโยธิน และดวงเดือน ศาสตรภัทร. (2555). การวัดประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย. ใน ประมวลสาระ ชุดวชิ าหลักการและแนวคดิ ทางการปฐมวยั ศึกษา หน่วยท่ี 9 (น. 9-1 ถงึ 9-66). นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์ มสธ มสธมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. พาณี สีตกะริณ. (2533). สุขภาพเด็กปฐมวัยและสวัสดิศึกษา. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาฝึกอบรมครูและ ผเู้ กย่ี วข้องกับการอบรมเลีย้ งดูเดก็ ปฐมวยั หนว่ ยที่ 4 (น. 181-226). นนทบรุ :ี สำ� นกั พิมพม์ หาวิทยาลัย สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. เยาวพา เดชะคุปต.์ (2540). การจัดการศกึ ษาส�ำหรับเด็กปฐมวัย (พมิ พ์คร้ังท่ี 3). กรุงเทพฯ: แมค็ . วีระศักด์ิ ธรรมคุณานนท์. (2555). ให้ลูกเล่นกีฬาหรืออ่านหนังสือดี. วารสารแม่และเด็ก. 35(485) กรกฎาคม, มสธหน้า 75.

9-64 การจัดการศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย ศิรประภา พฤทธิกุล. (2556). ของเล่นและเครื่องเล่นส�ำหรับเด็กปฐมวัย. ใน เอกสารการสอนชุดวิชาการเล่น มสธของเล่น และเคร่ืองเล่นส�ำหรับเด็กปฐมวัย หน่วยที่ 10 (น. 10-1 ถึง 10-51). นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. สมคิด พรมจุ้ย. (2557). เคร่ืองมือการวัดและประเมินพฤติกรรมเด็กปฐมวัย. ใน เอกสารการสอนชุดวิชา การประเมินและสร้างเสริมพฤติกรรมเด็กปฐมวยั หน่วยท่ี 6 (น. 6-1 ถงึ 6-65). นนทบุร:ี ส�ำนักพมิ พ์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. มสธ มสธสมใจ ตั้งนิกร. (2531). ความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือเล็กของเด็กปฐมวัยในโครงการอนุบาลชนบทที่ได้รับ การจดั กจิ กรรมสรา้ งสรรคแ์ ตกตา่ งกนั . (วทิ ยานพิ นธไ์ มไ่ ดร้ บั การตพี มิ พ)์ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, กรุงเทพมหานคร. สำ� นักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2553). หนงั สอื ดีส�ำหรับเด็ก 6 เดือน-6 ปี: โครงการหนงั สือเลม่ แรก Book Start. กรงุ เทพฯ: พรกิ หวานกราฟฟกิ จ�ำกดั . ส�ำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (2547). คูม่ อื หลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2546 (ส�ำหรบั เด็ก มสธอายุ 3-5 ปี). กรุงเทพมหานคร สำ� นักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ อดศิ กั ดิ์ ผลติ ผลการพมิ พ.์ (2556). ความปลอดภยั ในการเลน่ ของเลน่ และเครอื่ งเลน่ ของเดก็ ปฐมวยั . ใน เอกสาร การสอนชุดวิชา การเล่น ของเล่น และเคร่ืองเล่นส�ำหรับเด็กปฐมวัย หน่วยที่ 5 (น. 5-1 ถึง 5-54). นนทบุรี: ส�ำนกั พมิ พ์มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. Gallahue, David L.(1987). Developmental Physical Education for Today's Elementary School มสธ มสธChildren. New York: Macmillan ; London : Collier Macmillan Morrison, George S. (2017). Fundamentals of Early Childhood Education (8th ed.). New York: Pearson/Merrill Prentice Hall. Mulroy, M.T., Bothell, J. and Gaudio, M. (2004). First Steps in Preventing Childhood Lead Poisoning: The Role of Child Care Practitioners. Young Children. 59(2) March, pp. 20-26. Turner, Jeffrey S. and Donald B. Helms. (1997). Lifespan Development (2nd ed.). Tokyo: Holt, มสธ มมสสธธ มสธRinehart,andWinston.

มสธ มสธ มสธ มสธ มสธ มสธ มสธ ภาคผนวก มสธ มสธ มสธ

มสธ                                                                   9-66 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวัย ตารางแสดงเกณฑ์มาตรฐานน้ําหนักและส่วนสูงของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ถึง 19 ปี 0 อายุ เพศชาย เพศหญิง มสธ มสธ1  2 ปี เดือน น้ําหนัก (กก.) ส่วนสูง (ซม.) นํ้าหนัก (กก.)  ส่วนสูง (ซม.) 3   4   2.8-3.9 47.6-53.1 2.7-3.7 46.8-52.9 5  3.4-4.7 50.4-56.2 3.3-4.4 49.4-56.0 6  4.2-5.5 53.2-59.1 3.8-5.2 52.0-59.0 7  4.8-6.4 55.7-61.9  4.4-6.0 54.4-61.8 มสธ8 5.3-7.1 58.1-64.6 4.9-6.7 56.8-64.5 9 5.8-7.8 60.4-67.1 5.3-7.3 58.9-66.9 10 6.3-8.4 62.4-69.2 5.8-7.9 60.9-69.1 11  6.8-9.0 64.2-71.3 6.2-8.5  62.6-71.1 1 0  7.2-9.5 65.9-73.2 6.6-9.0 64.2-72.8 7.6-9.9 67.4-75.0 6.9-9.3 65.5-74.5 มสธ มสธ2 0  7.9-10.3 7.2-9.8 66.7-76.1 8.1-10.6 68.9-76 7.5-10.2 67.7-77.6 30 8.3-11.0 70.2-78.2 7.7-10.5 68.8-78.9 40 10.5-14.4 71.5-79.7 9.7-13.7 80.8-89.9 5 0  12.1-17.2 82.5-91.5  11.5-16.5 88.1-99.2 6 0  13.6-19.9 89.4-100.8 13.0-19.2 95.0-106.9 70 15.0-22.6 95.5-108.2 14.4-21.7 101.1-113.9 80 16.6-25.4 102.0-115.1  16.1-24.7 107.4-120.8 18.3-28.8 107.7-121.3 17.7-28.7 112.4-126.8 มสธ9 0 20.0-32.2 112.8-127.4 19.3-32.5 117.0-132.4 21.5-36.6 117.4-133.2 21.2-37.4 121.9-139.1 10 0 23.6-40.8 121.8-138.3 23.4-42.1 127.1-146.1 11 0 25.6-45.2 126.2-143.4 26.1-46.5 132.9-152.6 12 0 28.1-50.0 130.5-149.4 29.4-50.2 138.8-156.9 13 0  31.6-51.6 135.1-156.9 33.0-53.1 143.5-160.2 14 0  35.6-58.7 140.9-164.4 36.3-55.2 147.0-162.3 40.1-61.9 147.3-170.0 38.6-56.5 148.4-163.5 มสธ มสธ15 0  43.8-64.2 153.5-173.2 40.1-57.2 149.1-164.0 46.3-65.8  158.3-175.9 40.8-57.6 149.5-164.2 16 0 48.1-66.9  160.4-177.2 41.3-57.7 149.8-164.2 17  0 48.9-67.4  161.4-177.5 41.7-57.8  149.8-164.2 18 0 161.7-177.6 19       0  แหล่งที่มา: กรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสุข. (2543). ตารางแสดงนํ้าหนักและส่วนสูงท่ีควรจะเป็นในช่วง อายุ 0-19 ปีตาม เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตของเพศชายและเพศหญิง. สืบค้นจาก http://www.jintana.mns.ac.th/pontape/ มสธp5-1.html

มสธ หน่วยที่ 10 การจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านอารมณ์-จิตใจ มสธ มสธผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญฟ้า รังสิยานนท์ มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธช่ือ วุฒิ ต�ำแหน่ง มสธหน่วยที่เขียน ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ขวญั ฟา้ รังสยิ านนท์ ค.บ. (เกยี รตินยิ ม) (การอนบุ าลศกึ ษา) วิทยาลัยครสู วนดสุ ิต ค.ม. (การศึกษาปฐมวัย) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปร.ด. (สังคมวทิ ยา) มหาวทิ ยาลยั รามค�ำแหง ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยป์ ระจ�ำหลกั สตู รศึกษาศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ หน่วยท่ี 10

10-2 การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา การศกึ ษาและหลักสูตรส�ำหรับเด็กปฐมวัย มสธ มสธหน่วยที่ 10 การจัดประสบการณเ์ พ่อื พัฒนาเด็กปฐมวยั ดา้ นอารมณ์-จิตใจ ตอนท่ี 10.1 แนวคดิ เกี่ยวกบั การจัดประสบการณ์เพื่อพฒั นาเด็กปฐมวยั ดา้ นอารมณ์-จิตใจ 10.2 การจดั ประสบการณ์และส่อื ทใ่ี ช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ 10.3 การประเมนิ พัฒนาการเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จิตใจ มสธแนวคิด 1. การจดั ประสบการณเ์ พอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ ชว่ ยใหเ้ ดก็ สามารถรจู้ กั อารมณ์ ตนเองและผู้อื่น รจู้ ักการจัดระเบยี บตนเองและการมีคุณธรรมจรยิ ธรรมและจิตใจท่ดี งี าม โดย มสธ มสธมหี ลกั การและแนวทางการจดั ประสบการณท์ ใ่ี หค้ วามสำ� คญั กบั พฒั นาการเดก็ การทำ� งานของ สมอง การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ และการประสานความรว่ มมอื ระหวา่ งบา้ นสถานศกึ ษาชมุ ชน และสังคม 2. การจดั ประสบการณแ์ ละสอ่ื ทใ่ี ชใ้ นการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจเปน็ การจดั กจิ กรรม ที่ช่วยส่งเสริมการรู้จักอารมณ์ตนเองและผู้อ่ืน การจัดระเบียบตนเองรวมถึงการมีคุณธรรม จรยิ ธรรมและจติ ใจทดี่ งี าม ซง่ึ การจดั กจิ กรรมดงั กลา่ วจำ� เปน็ ตอ้ งใชส้ อ่ื ประกอบการจดั กจิ กรรม มสธเพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ด็กไดพ้ ฒั นาด้านอารมณ์-จิตใจไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 3. การประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ เปน็ การประเมนิ การรจู้ กั อารมณต์ นเอง และผู้อื่น การจัดระเบียบตนเองรวมถึงการมีคุณธรรมจริยธรรมและจิตใจที่ดีงาม สามารถ ประเมนิ ไดอ้ ยา่ งหลากหลายโดยใชว้ ธิ กี ารสงั เกต บนั ทกึ พฤตกิ รรม และการประเมนิ การปฏบิ ตั งิ าน มสธ มสธวัตถุประสงค์ เมือ่ ศึกษาหน่วยที่ 10 จบแลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. อธิบายแนวคิดเก่ียวกบั การจดั ประสบการณ์เพอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ์-จิตใจได้ 2. อธิบายวิธีการจัดประสบการณ์และสอื่ ที่ใชใ้ นการพัฒนาเด็กปฐมวัยดา้ นอารมณ-์ จิตใจได้ มสธ3. อธบิ ายการประเมนิ พฒั นาการเดก็ ปฐมวยั ด้านอารมณ-์ จิตใจได้

การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ด้านอารมณ-์ จติ ใจ 10-3 กิจกรรมระหว่างเรียน มสธ1. ท�ำแบบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรียนหน่วยที่ 10 2. ศึกษาเอกสารการสอนตอนท่ี 10.1–10.3 3. ปฏบิ ัติกจิ กรรมตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน 4. ฟังซีดีเสยี งประจำ� ชุดวชิ า มสธ มสธ5. ชมดวี ีดปี ระกอบชดุ วิชา (ถา้ ม)ี 6. ทำ� แบบประเมนิ ผลตนเองหลงั เรยี นหน่วยที่ 10 ส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝกึ ปฏิบตั ิ มสธ3. ซีดเี สยี งประจ�ำชดุ วชิ า 4. ดวี ีดีประกอบชุดวชิ า(ถา้ ม)ี การประเมินผล มสธ มสธ1. ประเมนิ ผลจากแบบประเมนิ ผลตนเองกอ่ นเรียนและหลังเรยี น 2. ประเมินผลจากกจิ กรรมและแนวตอบท้ายเรอื่ ง 3. ประเมนิ ผลจากการสอบไล่ประจ�ำภาคการศกึ ษา เมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธ มมสสธธ มสธหน่วยที่10ในแบบฝึกปฏิบัติแล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป

10-4 การศึกษาและหลักสตู รส�ำหรับเด็กปฐมวยั มสธตอนท่ี 10.1 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านอารมณ์-จิตใจ มสธ มสธโปรดอ่านหวั เร่อื ง แนวคิด และวัตถปุ ระสงคข์ องตอนที่ 10.1 แล้วจึงศกึ ษารายละเอยี ดต่อไป หัวเร่ือง 10.1.1 ความส�ำคัญและจุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้าน อารมณ-์ จิตใจ 10.1.2 หลกั การและแนวทางการจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ มสธ10.1.3 ขอบขา่ ยของการจัดประสบการณเ์ พือ่ พฒั นาเด็กปฐมวัยดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ แนวคิด 1. การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจมีความส�ำคัญช่วยให้เด็ก มสธ มสธได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางอารมณ์ ช่วยให้เด็กเข้าใจอารมณ์ความ รู้สึกของตนและสามารถจัดระเบียบตนเองได้ ช่วยให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดี และช่วยให้ เดก็ ได้รบั การหล่อหลอมการเปน็ คนดี 2. การจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจมหี ลกั การทสี่ ำ� คญั คอื หลกั พฒั นาการเดก็ หลกั การเรยี นรทู้ สี่ อดคลอ้ งกบั การทำ� งานของสมอง หลกั การเรยี นรอู้ ยา่ ง มคี วามสขุ และหลกั การประสานความรว่ มมอื ระหวา่ งบ้าน สถานศึกษาและชุมชน โดย มสธมีแนวทางการจัด ได้แก่ การจัดประสบการณ์ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญ การจัดประสบ- การณก์ ารเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ และการจดั ประสบการณท์ บ่ี า้ น สถานศกึ ษาและชมุ ชน มสี ว่ นร่วม 3. ขอบข่ายของการจัดประสบการณ์เพื่อพฒั นาเด็กปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ ครอบคลุม ทั้งด้านการรู้จักอารมณ์ตนเองและผู้อื่น ด้านการจัดระเบียบตนเอง รวมถึงด้านการมี มสธ มสธ มสธคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและจติ ใจทด่ี ีงาม

การจัดประสบการณ์เพอ่ื พัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ-์ จิตใจ 10-5 มสธวัตถุประสงค์ เมอื่ ศึกษาตอนที่ 10.1 จบแลว้ นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธบิ ายความสำ� คญั และจดุ มงุ่ หมายของการจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ น อารมณ-์ จติ ใจได้ มสธ มสธ2. อธิบายหลักการและแนวทางการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์- จติ ใจได้ มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธ3. อธิบายขอบข่ายของการจัดประสบการณ์เพือ่ พัฒนาเดก็ ปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจได้

10-6 การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวัย มสธเร่ืองที่ 10.1.1 ความส�ำคัญและจุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนา เด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ มสธ มสธในขณะท่ีพัฒนาการด้านร่างกายของเด็กปฐมวัยมีการเจริญเติบโต พัฒนาการทางด้านอารมณ์- จติ ใจกเ็ ชน่ เดยี วกนั เด็กวัย 3-6 ปี จะแสดงออกดา้ นอารมณ์เดน่ ชดั ขึ้น จิตใจของเด็กวัยน้เี ปรยี บเสมือน ฟองนา้ํ ทพ่ี ร้อมจะซมึ ซบั ทกุ สิ่งผ่านเข้ามา และเก็บสะสมข้อมูลท่ไี ดร้ บั อยตู่ ลอดเวลา หากเด็กได้รบั การจดั ประสบการณท์ ถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม จะทำ� ใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการดา้ นอารมณ-์ จติ ใจทดี่ ี ในเรอื่ งนจ้ี ะกลา่ วถงึ ความ ส�ำคัญและจุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ ดังรายละเอียด มสธตอ่ ไปนี้ ความส�ำคัญของการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ การจัดประสบการณด์ ้านอารมณ-์ จิตใจมีความสำ� คัญตอ่ เดก็ ปฐมวัยหลายอย่าง ดงั มีรายละเอยี ด มสธ มสธตอ่ ไปน้ี 1. ชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การตอบสนองความตอ้ งการพน้ื ฐานทางอารมณ์ มผี กู้ ลา่ ววา่ เดก็ ปฐมวยั เปน็ วยั เจา้ อารมณ์ การแสดงออกทางอารมณข์ องเดก็ วยั 3-6 ปจี ะมคี วามรนุ แรงกวา่ วยั ทารก เมอื่ มอี ารมณจ์ ะ แสดงออกอย่างเตม็ ท่ี ไมม่ ีปิดบังซ่อนเร้น แต่จะเกดิ เพียงชั่วครูแ่ ลว้ หายไป การท่เี ดก็ เปลีย่ นแปลงอารมณ์ งา่ ยเพราะมคี วามสนใจระยะสน้ั ไมส่ นใจอะไรนาน เมอ่ื มสี ง่ิ ใดนา่ สนใจกจ็ ะเปลย่ี นอารมณไ์ ปตามสง่ิ นน้ั เดก็ สว่ นมากรสู้ กึ วา่ ตนสามารถทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ไดม้ ากกวา่ ทผี่ ใู้ หญอ่ นญุ าตใหท้ ำ� และขดั ขนื ทจ่ี ะอยใู่ นขอบเขต มสธทผ่ี ใู้ หญว่ างไว้ นอกจากนย้ี งั โกรธเมอื่ ไมส่ ามารถทำ� สงิ่ ทตี่ นเองคดิ วา่ จะทำ� ไดส้ ำ� เรจ็ รสู้ กึ ผดิ หวงั และเกรยี้ วกราด แตเ่ มอ่ื มโี อกาสไดเ้ ลน่ กบั เพอ่ื นหรอื ทำ� กจิ กรรมกบั บคุ คลอนื่ มากขน้ึ และเมอ่ื มอี ายมุ ากขนึ้ ระดบั ความรนุ แรง และการเปล่ียนแปลงทางอารมณ์ของเด็กจะลดน้อยลง (อรุณี หรดาล, 2548, น. 26-27) ซ่ึงถ้าพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูได้ท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติความต้องการพ้ืนฐานทางอารมณ์ของเด็ก และจัด ประสบการณ์ใหเ้ ดก็ อย่างเหมาะสม อาทิ กิจกรรมศิลปะ ไดแ้ ก่ วาดภาพอิสระ ป้ันแปง้ โด ฯลฯ กิจกรรม มสธ มสธเล่นปีนป่าย เล่นน้ําทราย หรือการเล่นเปิดโอกาสให้เด็กร่วมสร้างข้อตกลงร่วมกัน ฯลฯ จะช่วยให้เด็กมี พฒั นาด้านอารมณ-์ จติ ใจอย่างเหมาะสม เพราะไดร้ บั การตอบสนองตามความตอ้ งการพ้นื ฐาน 2. ช่วยให้เด็กเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตนและสามารถจัดระเบียบตนเองได้ การทเี่ ดก็ เขา้ ใจ อารมณ์ความรู้สึกของตนได้อย่างถูกต้องแทนการเก็บกดไว้หรือระบายออกไปโดยขาดการควบคุม การ แสดงอารมณท์ เี่ ปดิ เผย ตรงไปตรงมา เปน็ ลกั ษณะพนื้ ฐานของผมู้ คี วามฉลาดทางอารมณ์ การรตู้ วั วา่ กำ� ลงั โกรธ เสียใจ น้อยใจ อิจฉา น�ำไปสู่การบริหารจัดการอารมณ์ได้อย่างถูกต้องด้วยตนเอง นอกจากนี้เด็ก มสธปฐมวัยจ�ำเป็นต้องเรียนรู้การจัดระเบียบตนเองจะท�ำให้สามารถปรับอารมณ์ พฤติกรรม และความคิดให้

การจดั ประสบการณเ์ พือ่ พัฒนาเด็กปฐมวัยดา้ นอารมณ์-จติ ใจ 10-7 พรอ้ มรบั มอื กบั สถานการณท์ กี่ ำ� ลงั เกดิ ขนึ้ เพอื่ ไปสเู่ ปา้ หมายได้ มฉิ ะนน้ั จะสง่ ผลใหเ้ ดก็ มพี ฤตกิ รรมกา้ วรา้ ว มสธเอาแตใ่ จ ไมส่ ามารถดำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ กระบวนการสรา้ งความสมั พนั ธต์ งั้ แตแ่ รกเรมิ่ ระหวา่ งตวั เดก็ กบั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครู การอบรมเลย้ี งดแู ละการแสดงออกตอ่ พฤตกิ รรมการแสดงออก ทางอารมณข์ องเดก็ มคี วามสำ� คญั ยงิ่ เพราะจะมสี ว่ นกำ� หนดความรสู้ กึ บคุ ลกิ ภาพและลกั ษณะนสิ ยั ของเดก็ (พัชรี ผลโยธิน, 2548, น. 1-31) ทง้ั นีจ้ ติ ตนิ นั ท์ บญุ สถิรกลุ (2558, น. 3-30) ไดก้ ลา่ วถึงความสามารถ มสธ มสธของเด็กปฐมวัยท่ีจะเกิดการเรียนรู้ทางอารมณ์เพื่อน�ำไปสู่สัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อ่ืนได้อย่างเหมาะสมคือ 1) ความสามารถด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Intelligence) เป็นความสามารถ ในการเขา้ ใจบคุ คลอน่ื สามารถทำ� กจิ กรรมกลมุ่ กบั เพอื่ นไดอ้ ยา่ งสนกุ สนาน มกี ารแสดงออกทเี่ หมาะสมตอ่ อารมณ์ ความรสู้ กึ และความปรารถนาของตนและผอู้ นื่ 2) ความสามารถภายในของบคุ คล (Intrapersonal Intelligence) เปน็ ความสามารถในการรจู้ กั ตนเองในดา้ นความรสู้ กึ และการแสดงออกอยา่ งเหมาะสม มอง ตนเองในทางทด่ี ี รบั รใู้ นความสามารถของตนเอง สามารถคดิ แสดงออกและใชค้ วามสามารถอยา่ งสรา้ งสรรค์ มสธซงึ่ ถา้ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครมู ปี ฏสิ มั พนั ธใ์ กลช้ ดิ ตอ่ เดก็ เสรมิ สรา้ งการเรยี นรทู้ างดา้ นอารมณโ์ ดยแนะนำ� ให้เด็กรู้จักอารมณ์ท่ีก�ำลังเกิดข้ึนและวิธีการจัดการกับอารมณ์นั้นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เวลาเด็กโกรธ ผู้ใหญ่อาจพูดกับเด็กว่า เรามาเป่าไล่เจ้าตัวโกรธกันไหม หรือ หนูมาขีดๆ บนกระดาษน้ีไหมเวลาโกรธ ฯลฯ เพื่อใหเ้ ดก็ รเู้ ทา่ ทนั อารมณ์ตนเองอนั จะนำ� ไปสกู่ ารแสดงออกทางพฤติกรรมท่เี หมาะสม 3. ช่วยให้เด็กมีสุขภาพจิตท่ีดี มีงานวิจัยยืนยันว่าการได้พบกับความพึงพอใจในชีวิต ท�ำให้ มสธ มสธฮอรโ์ มนความเครียด เชน่ Cortisol ลดระดับลง ช่วยใหร้ ะบบภมู ิคุ้มกันแขง็ แรง ตา้ นทานโรคได้ดี เพียง แคก่ ารนกึ ถงึ ความทรงจำ� ทม่ี คี วามสขุ กส็ ามารถทำ� ใหภ้ มู ติ า้ นทานโรคดขี น้ึ ซงึ่ ศนู ยก์ ลางของความพงึ พอใจ ในสมองไม่ได้มีต�ำแหน่งเดียว แต่ประกอบด้วยหลายต�ำแหน่งที่ท�ำงานเช่ือมโยงกันเป็นวงจรด้วยสาร ส่อื ประสาท (Neurotransmitters) ซงึ่ เปน็ สารเคมีในสมอง คือ สาร Dopamine และสาร Serotonin ซ่งึ Mcbride นกั จติ วทิ ยาชาวออสเตรเลยี เรยี กภาวะทค่ี วามรสู้ กึ ของรา่ งกายถกู กระตนุ้ จนถงึ ระดบั ทเี่ กดิ ความ พงึ พอใจสงู สดุ วา่ Bliss Point รา่ งกายของคนเราทกุ คนมกี ลไกควบคมุ ตนเองใหไ้ ดร้ บั ความพงึ พอใจอยา่ ง มสธเต็มที่อยู่เสมอ ซึ่งวิธีการที่ท�ำให้เกิดความพึงพอใจที่เกิดขึ้นได้ง่ายและเป็นไปตามธรรมชาติของเด็กมาก ทสี่ ุดคอื การเล่น (อัญญมณี บุญซ่อื , 2551, น. 58) ดังนัน้ การจัดกิจกรรมใหเ้ ด็กไดเ้ ลน่ ในสง่ิ ที่ชอบและ พอใจ เหมาะสมกบั วยั และความสามารถของเดก็ ไมบ่ งั คบั ใหเ้ ดก็ ทำ� สงิ่ ทยี่ ากเกนิ วยั เชน่ บงั คบั ใหอ้ า่ นเขยี น เรียนเลขในขณะที่เด็กยังไม่พร้อม ให้เด็กเล่นของเล่นท่ีเล่นแล้วประสบผลส�ำเร็จ จะช่วยให้เด็กไม่เครียด และมสี ขุ ภาพจิตดี มสธ มสธ4. ช่วยให้เด็กได้รับการหล่อหลอมการเป็นคนดี เด็กในช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาท่ีส�ำคัญที่สุด ชว่ งหนง่ึ เป็นช่วงเวลาท่ีโอกาสทองของการเรียนรู้ (windows of opportunity) เปิดกว้างเต็มท่ี เป็น ชว่ งเวลาทองของการสอนในเรอ่ื งการรถู้ กู รผู้ ดิ การกระทำ� ทแี่ ตกตา่ งกนั สง่ ผลตอ่ ผลลพั ธแ์ ตกตา่ งกนั รวมทง้ั เปน็ ชว่ งเวลาทส่ี ำ� คญั ในการฝกึ การควบคมุ อารมณ์ การรอคอย การอดทนตอ่ ความยากลำ� บาก อปุ สรรคตา่ งๆ จนสามารถประสบความสำ� เรจ็ ได้ ซง่ึ ถา้ เดก็ ไมไ่ ดเ้ รยี นรสู้ ง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ นใี้ นชว่ งวยั ทเี่ หมาะสม ผา่ นชว่ งเวลา ท่ีดีที่สุดของการเรียนรู้เรื่องนั้นๆ ไปแล้ว การพัฒนาในภายหลังจะท�ำได้ค่อนข้างยาก ซ่ึงพัฒนาการทาง มสธจรยิ ธรรมของบคุ คลขน้ึ อยกู่ บั พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของบคุ คลนน้ั เดก็ ทอี่ ายตุ า่ํ กวา่ 8 ปี เปน็ วยั ทจี่ ะรบั

10-8 การศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรับเด็กปฐมวยั กฎเกณฑ์และมาตรฐานทางจริยธรรมจากบิดามารดาและครู ในช่วงปฐมวัยน้ีจึงถือได้ว่าเป็นระยะเวลาท่ี มสธส�ำคัญในการอบรมกล่อมเกลาและปลูกฝังให้เด็กเป็นคนดี จึงควรจัดกิจกรรมที่ฝึกเด็กให้รู้จักการควบคุม อารมณ์ตนเองโดยสอดแทรกเข้าไปในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจ�ำวันท้ังการกิน การนอน และการ เลน่ /ทำ� งานกบั พน่ี อ้ งและเพอื่ น เรยี นรกู้ ารถกู ผดิ สง่ิ ทคี่ วรทำ� ไมค่ วรทำ� จากการฟงั นทิ าน เลน่ บทบาทสมมติ และท�ำกิจวัตรประจำ� วันทบ่ี า้ นและสถานศกึ ษา มสธ มสธสรปุ ไดว้ า่ การจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจมคี วามสำ� คญั ชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การตอบสนองตามความตอ้ งการพื้นฐานทางอารมณ์ ช่วยให้เดก็ เขา้ ใจอารมณ์ความรสู้ กึ ของตนและ สามารถจัดระเบียบตนเองได้ ชว่ ยใหเ้ ด็กมีสุขภาพจิตดี และชว่ ยให้เดก็ ไดร้ ับการหล่อหลอมการเป็นคนดี จุดมุ่งหมายของการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จติ ใจ มจี ุดม่งุ หมายส�ำคัญดังนี ้ มสธ1. เพ่ือให้เด็กมีสุขภาพจิตท่ีดีและมีความสุข โดยเด็กในวัยนี้ มีความร่าเริง สดชื่นแจ่มใสและ อารมณ์ดี เหมาะสม บอกหรือแสดงท่าทางพอใจในผลงานและความสามารถของตนเองและผู้อ่ืนได้ เด็ก สนใจและมคี วามสขุ ขณะทาํ งานศลิ ปะ ฟงั เพลง และการเคลอ่ื นไหว แสดงและชนื่ ชมผลงานศลิ ปะของตนเอง และผอู้ น่ื แสดงทา่ ทาง/เคลอื่ นไหวประกอบเพลง จงั หวะ และดนตรี ยง่ิ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครเู ปดิ โอกาส มสธ มสธให้เด็กได้มองเห็นและมีความซาบซึ้งในความงามของศิลปะ ดนตรีและการเคล่ือนไหว เด็กจะสามารถ สะท้อนตนเองผา่ นการท�ำกิจกรรมทีห่ ลากหลาย 2. เพ่ือให้เด็กรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนและมีทัศนคติเชิงบวกต่อตนเอง การที่เด็กเข้าใจ อารมณ์ความรู้สึกของตนและมีทัศนคติท่ีดีต่อตนเองจะช่วยให้เด็กเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น กล้าเผชิญกับ สิ่งทา้ ทายใหม่ๆ พอ่ แม่ ผู้ปกครอง และครูควรจดั กิจกรรมให้เดก็ ไดแ้ สดงความร้สู กึ ต่อเหตุการณ์ตา่ งๆ ท่ี เกิดข้นึ ตามโอกาสและความเหมาะสม โดยให้ค�ำแนะน�ำ ค�ำช่ืนชม แสดงความรักด้วยการกอดและบอกรกั เด็กอยา่ งสม�ำ่ เสมอและสรา้ งความเช่อื มัน่ แก่เดก็ เปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ที่เดก็ ชอบหรอื ถนดั มสธ3. เพ่ือให้เด็กได้เรียนรู้การจัดระเบียบตนเอง โดยธรรมชาติความสามารถในการจัดระเบียบ ตนเองของเด็กน้ันไม่สามารถเกิดข้ึนได้เอง จ�ำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ดังน้ัน พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครจู ำ� เปน็ ตอ้ งจดั กจิ กรรมตา่ งๆ ทจ่ี ะชว่ ยพฒั นาความสามารถในการจดั ระเบยี บตนเอง ไดแ้ ก่ การยับย้งั ชั่งใจ-คดิ ไตรต่ รอง ความจำ� เพ่อื ใช้งาน การยดื หยุ่นความคิด การใสใ่ จจดจอ่ การควบคมุ มสธ มสธอารมณ์ และการติดตามประเมนิ ตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถควบคุมอารมณ์ ความคิดและการกระทำ� เพอ่ื ใหบ้ รรลุตามเป้าหมายท่ตี อ้ งการได้ 4. เพอื่ ใหเ้ ดก็ มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรมและมจี ติ ใจทด่ี งี าม เดก็ ในวยั นจี้ ะตอ้ งรวู้ า่ สงิ่ ใดถกู และสงิ่ ใดผดิ มีความรักความเมตตากรุณาต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว มีความรับผิดชอบ สามารถท�ำงานท่ีได้รับมอบหมาย จนสำ� เรจ็ ดว้ ยตนเอง พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครคู วรสนบั สนนุ และสง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง มคี วามเมตตากรณุ าตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั แยกแยะสง่ิ ดที ค่ี วรทำ� และสงิ่ ไมด่ ที ไ่ี มค่ วรทำ� ได้ อนั จะเปน็ พน้ื ฐาน มสธสำ� คัญทเี่ ดก็ จะเตบิ โตเป็นพลเมอื งทด่ี ขี องประเทศชาติตอ่ ไป

การจัดประสบการณเ์ พอื่ พฒั นาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ-์ จิตใจ 10-9 สรุปได้ว่าการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจมีจุดมุ่งหมายส�ำคัญคือ มสธเพอื่ ใหเ้ ดก็ มสี ขุ ภาพจติ ทดี่ แี ละมคี วามสขุ เพอื่ ใหเ้ ดก็ รบั รอู้ ารมณค์ วามรสู้ กึ ของตนและมที ศั นคตเิ ชงิ บวกตอ่ ตนเอง เพือ่ ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรกู้ ารจดั ระเบยี บตนเอง และเพือ่ ให้เดก็ มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจติ ใจที่ดีงาม มสธ มสธกิจกรรม10.1.1 ใหอ้ ธบิ ายความสำ� คญั และจดุ มงุ่ หมายของการจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จิตใจ แนวตอบกิจกรรม 10.1.1 1. การจดั ประสบการณเ์ พอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจมคี วามสำ� คญั ตอ่ เดก็ ชว่ ยใหเ้ ดก็ มสธได้รับการตอบสนองความต้องการพ้ืนฐานทางอารมณ์ ช่วยให้เด็กเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตนและ สามารถจดั ระเบยี บตนเองได้ ชว่ ยให้เดก็ มีสขุ ภาพจติ ดี และช่วยใหเ้ ดก็ ไดร้ บั การหล่อหลอมการเปน็ คนดี 2. การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ มีจุดมุ่งหมายส�ำคัญหลาย ประการคอื เพอ่ื ใหเ้ ดก็ มสี ขุ ภาพจติ ทด่ี แี ละมคี วามสขุ เพอื่ ใหเ้ ดก็ รบั รอู้ ารมณค์ วามรสู้ กึ ของตนและมที ศั นคติ เชงิ บวกต่อตนเอง เพ่ือใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรู้การจัดระเบยี บตนเอง และเพื่อให้เด็กมีคุณธรรม จรยิ ธรรม และมี มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธจิตใจทดี่งีาม

10-10 การศึกษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย มสธเร่ืองที่ 10.1.2 หลักการและแนวทางการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านอารมณ์-จิตใจ มสธ มสธการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจมีจุดมุ่งหมายส�ำคัญ เพ่ือให้เด็กมี สขุ ภาพจติ ทดี่ แี ละมคี วามสขุ เพอื่ ใหเ้ ดก็ รบั รอู้ ารมณค์ วามรสู้ กึ ของตนและมที ศั นคตเิ ชงิ บวกตอ่ ตนเอง เพอื่ ใหเ้ ด็กไดเ้ รยี นรูก้ ารจัดระเบียบตนเองได้ และเพอ่ื ให้เดก็ มคี ุณธรรม จริยธรรม และมจี ิตใจท่ดี ีงาม ในการ จดั ประสบการณเ์ พอ่ื ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคด์ งั กลา่ วได้ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครคู วรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจ ถึงหลักการและแนวทางการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ ดังมีรายละเอียด มสธตอ่ ไปน้ี หลักการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ การจดั ประสบการณเ์ พ่ือพฒั นาเด็กปฐมวยั ด้านอารมณ์-จิตใจ ควรยดึ หลักการจดั ทีส่ �ำคัญดงั น้ี มสธ มสธ1. หลักพัฒนาการเด็ก พฒั นาการของมนษุ ยเ์ ปน็ การเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ ในตวั มนษุ ยเ์ รมิ่ ตง้ั แต่ ปฏสิ นธติ ่อเน่ืองไปจนตลอดชีวติ ซึง่ ครอบคลมุ การเปลย่ี นแปลงในเชิงปริมาณและเชงิ คณุ ภาพ เด็กในช่วง ปฐมวัยมีการแสดงออกทางอารมณ์รุนแรงกว่าวัยทารก มีผู้กล่าวว่าเด็กปฐมวัยเป็นวัยเจ้าอารมณ์ เม่ือมี อารมณ์จะแสดงออกเต็มที่ ไม่มีปิดบังซ่อนเร้นแต่จะเกิดเพียงช่ัวครู่แล้วหายไป การที่เด็กเปล่ียนแปลง อารมณ์ง่ายเพราะมีความสนใจระยะสั้น ไม่สนใจอะไรนาน เมื่อมีส่ิงใดน่าสนใจก็จะเปล่ียนอารมณ์ไปตาม ส่ิงนั้นๆ เด็กวัยนี้จ�ำเป็นต้องได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็นความถูกต้องไม่ถูกต้อง ส่ิงใดเป็นความดีหรือไม่ดี มสธพฤตกิ รรมใดเหมาะสมหรอื ไมเ่ หมาะสม เพอื่ ใหส้ ามารถอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ นื่ ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ สงิ่ ตา่ งๆ เหลา่ นเี้ ด็กจะไดเ้ รียนรู้อยา่ งค่อยเปน็ ค่อยไป ซึมซาบเขา้ ส่กู ารรับรขู้ องเดก็ เริ่มตั้งแต่จำ� ใจท�ำตามที่ผใู้ หญ่ บอกไปจนถึงการรู้ว่าส่ิงใดควรท�ำหรือไม่ควรท�ำจากการพิจารณาของตนเองในสถานการณ์ต่างๆ (อรุณี หรดาล, 2548, น. 2-47) การทเ่ี ดก็ จะไดร้ บั การพฒั นาอารมณ-์ จิตใจทด่ี ีได้ เดก็ ต้องได้รบั การตอบสนอง ในสง่ิ ทตี่ นพอใจในแตล่ ะชว่ งอายุ ไดร้ บั ความรกั ความอบอนุ่ อยา่ งเพยี งพอจากผใู้ กลช้ ดิ มโี อกาสชว่ ยเหลอื มสธ มสธตนเอง ท�ำงานที่เหมาะสมกับวัย และมีอิสระท่ีจะเรียนรู้ในส่ิงท่ีตนอยากรู้รอบๆ ตนเอง ดังนั้น หลัก พฒั นาการเดก็ จงึ เปน็ เสมอื นแนวทางใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครไู ดเ้ ขา้ ใจอารมณ-์ จติ ใจของเดก็ สามารถ จดั ประสบการณ์เพ่อื การพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จิตใจได้อยา่ งเหมาะสมชดั เจนยง่ิ ขึ้น 2. หลกั การเรยี นรทู้ สี่ อดคลอ้ งกบั การทำ� งานของสมอง เนอื่ งดว้ ยอารมณม์ คี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งยงิ่ ตอ่ การทำ� งานของสมองและกระบวนการเรียนร้โู ดยสง่ ผลต่อการรับรู้ การคดิ ความสนใจ ความตัง้ ใจและ ความจำ� ซงึ่ อาจกระตนุ้ หรอื ยบั ยง้ั ประสทิ ธภิ าพของการเรยี นรใู้ หเ้ พมิ่ ขนึ้ หรอื ลดลงได้ ขนึ้ อยกู่ บั ประสบการณ์ มสธที่เด็กได้รับ ดังนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู จึงควรจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเปิดสมองส่วน Limbic ซึ่งเป็น

การจดั ประสบการณ์เพอื่ พฒั นาเด็กปฐมวยั ด้านอารมณ-์ จิตใจ 10-11 สมองทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั อารมณ์ เพอ่ื เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการเรยี นรโู้ ดยจดั กจิ กรรมทสี่ นกุ สนาน ผอ่ นคลาย ไม่ มสธตึงเครียด ไม่กดดัน เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกท�ำส่ิงทส่ี นใจ ไดม้ ีส่วนร่วม จัดบรรยากาศให้มคี วามอบอ่นุ มัน่ คง ผอ่ นคลาย ปลอดภัย ทำ� ใหเ้ ดก็ มคี วามสุขและประทบั ใจเกดิ การหลงั่ สารเคมีในสมอง ส่งผลให้เดก็ เกดิ ความกระตอื รอื รน้ ตน่ื ตวั อยากรอู้ ยากเหน็ สนใจอยากเรยี นรแู้ ละกระทำ� สง่ิ ตา่ งๆ เดก็ จงึ เรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ ง มปี ระสิทธภิ าพ สามารถจดจ�ำไดด้ ีและมที ัศนคติทดี่ ีตอ่ การเรยี นรู้ ในทางตรงกันขา้ ม หากเด็กเรยี นร้ดู ว้ ย มสธ มสธการทอ่ งจำ� ไมไ่ ดค้ ดิ ไมไ่ ดล้ งมอื กระทำ� ไมร่ คู้ วามหมายของสง่ิ ทเี่ รยี น มงุ่ เนน้ วชิ าการและการแขง่ ขนั มาก เกินไป ทำ� ให้เด็กเรยี นรูอ้ ยา่ งไม่มีความสุข เกิดความเครยี ด ความกังวล ความเศร้า สมองจะหล่งั สารเคมี ซึ่งไปสกดั กัน้ กระบวนการเรียนรขู้ องสมอง ส่งผลให้ประสทิ ธภิ าพของการเรียนรลู้ ดลง (ศันสนยี ์ ฉัตรคุปต์ และคณะ, 2544; ส�ำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้, 2558; Caine & Caine, 1998; Gordon & Browne, 2014 อ้างถึงใน สมาคมอนุบาลศึกษาแหง่ ประเทศไทยฯ, 2559, น. 12-13) นอกจากน้ี ยังมงี าน วจิ ัยทีช่ ี้ชัดว่าชว่ งวัย 3-6 ปีน้ี เป็นช่วงเวลาส�ำคญั ในการพฒั นาการจัดระเบียบตนเอง (self regulation) มสธซง่ึ หมายถงึ กระบวนการทางความคดิ ในสว่ น “สมองสว่ นหนา้ ” ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความคดิ ความรสู้ กึ การกระทำ� อนั มผี ลตอ่ ความสำ� เรจ็ ในชวี ติ ทงั้ การงาน การเรยี น เดก็ ทกุ คนมศี กั ยภาพทจ่ี ะพฒั นาการจดั ระเบยี บตนเอง ได้ แตเ่ ดก็ คนไหนจะแขง็ แรงพาใหช้ วี ติ สำ� เรจ็ หรอื ออ่ นแอจนเปน็ ปญั หากบั ชวี ติ กข็ นึ้ อยกู่ บั วา่ เดก็ แตล่ ะคน มโี อกาสพฒั นาการจดั ระเบยี บตนเองไดม้ าก-นอ้ ยเพยี งไร ในชว่ งปฐมวยั นจ้ี งึ ควรใหเ้ ดก็ ไดฝ้ กึ การใชส้ มอง ส่วนหน้าโดยมกี ิจกรรมทีส่ ่งเสริมให้เด็กรู้จกั การยบั ยั้งชง่ั ใจ-คิดไตร่ตรอง ความจ�ำเพือ่ ใชง้ าน การยืดหยนุ่ มสธ มสธความคดิ การใสใ่ จจดจอ่ การควบคมุ อารมณ์ และการตดิ ตามประเมนิ ตวั เอง จากการทำ� กจิ กรรมประจำ� วนั ทัง้ ทีบ่ า้ นและสถานศกึ ษา 3. หลักการเรียนรู้อย่างมีความสุข การเรยี นรขู้ องมนษุ ยม์ ผี ลสบื เนอื่ งมาจากประสบการณต์ า่ งๆ ท่ีได้รับ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกิดข้ึนจากกระบวนการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อม รอบตวั โดยเดก็ จะตอ้ งเปน็ ผกู้ ระทำ� ใหเ้ กดิ ขนึ้ ดว้ ยตนเอง และการเรยี นรจู้ ะเปน็ ไปไดด้ ถี า้ เดก็ ไดใ้ ชป้ ระสาท สัมผัสทั้งห้า ได้เคล่ือนไหว มีโอกาสคิดริเร่ิมตามความต้องการและความสนใจของตนเอง รวมท้ังอยู่ใน มสธบรรยากาศทเ่ี ปน็ อสิ ระ อบอ่นุ และปลอดภัย (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2547, น. 4) ท่านพระธรรมปฎิ ก ได้ กล่าวถึงการเรียนรู้อย่างมีความสุขไว้ 2 แบบคือ 1) ความสุขที่อาศัยปัจจัยภายนอก เป็นความสุขที่เกิด จากสภาพแวดล้อม คือมีกัลยาณมิตร เป็นผู้สร้างบรรยากาศแห่งความรัก ความเมตตา และช่วยให้สนุก ซึ่งต้องระวังเพราะถ้าควบคุมไม่ดี ความสุขแบบนี้จะท�ำให้เด็กอ่อนแอลง ย่ิงถ้ากลายเป็นการเอาใจหรือ ตามใจ จะยง่ิ อ่อนแอลงไปท�ำใหเ้ กดิ ลกั ษณะพง่ึ พา และ 2) ความสุขที่เกดิ จากปัจจยั ภายใน เปน็ ความสขุ มสธ มสธทเี่ กดิ จากภายในตวั เดก็ เอง ซง่ึ เปน็ อสิ ระ ไมต่ อ้ งพงึ่ ผอู้ น่ื กลา่ วคอื เดก็ เกดิ นสิ ยั ใฝร่ ู้ ใฝเ่ รยี น ใฝส่ รา้ งสรรค์ และมคี วามสขุ จากการสนองความใฝร่ ู้ ความสขุ แบบนท้ี ำ� ใหค้ นเขม้ แขง็ เขาจะมคี วามสขุ เมอื่ ไดเ้ รยี นรู้ เมอื่ ย่ิงทำ� ก็ยิง่ มีความสุข และย่ิงมีความเขม้ แขง็ ดังนัน้ การสรา้ งบรรยากาศใหเ้ กดิ การเรยี นรอู้ ย่างมคี วามสุข จงึ ควรมงุ่ สรา้ งความสขุ จากปจั จยั ภายใน โดยมปี จั จยั ภายนอกเปน็ องคป์ ระกอบนำ� ทาง กจ็ ะชว่ ยพฒั นาเดก็ ให้เป็นผู้รักการเรียนรู้อย่างแท้จริง สายสุรี จุติกุล (2543 น. 56-57 อ้างถึงใน อรุณี หรดาล, 2548, น. 2-29) กล่าวไว้ว่า “การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยต้องเรียนรู้อย่างมีความสุข ไม่ใช่เรียนรู้ท่ามกลางการ มสธจำ� กดั ความเปน็ อสิ ระเสรขี องความคดิ ทา่ มกลางการตำ� หนติ เิ ตยี น ถกู ทำ� โทษและดดุ า่ หรอื อยใู่ นกรอบกกั ขงั

10-12 การศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย แมแ้ ตร่ า่ งกายกเ็ คล่อื นไหวไมไ่ ด้ ท่สี �ำคัญเราตอ้ งเขา้ ใจวา่ การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสุขคอื เด็กอยู่ท่ามกลาง มสธผู้ที่เขารักและรักเขา มีความไว้วางใจและเชื่อใจ อยู่ท่ามกลางภาวะแวดล้อมท่ีส่งเสริม สนับสนุนและเอ้ือ ทุกวิถีทางให้เขาได้เรียนรู้และเติบโต” ซึ่งวิถีการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเป็นการเรียนรู้ผ่านการกล่อมเกลา จติ ใจ-อารมณ์ สนุ ทรยี ภาพ การใหเ้ ดก็ ไดม้ ปี ระสบการณต์ รง ไดส้ มั ผสั กบั ธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั นา้ํ พชื สตั ว์ รวมทง้ั ไดท้ ำ� กจิ กรรมทหี่ ลากหลาย เชน่ ฟงั เพลง ทำ� กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ฯลฯ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ มสธ มสธมอี ารมณแ์ ละจติ ใจออ่ นโยนและมสี ุนทรยี ภาพ (สุมน อมรวิวัฒน์, 2546, น. 23) การเล่น ถอื เปน็ กจิ กรรม ทสี่ ำ� คญั ในชวี ติ เดก็ ทกุ คน เดก็ จะรสู้ กึ สนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ ไดส้ งั เกต มโี อกาสทำ� การทดลอง สรา้ งสรรค์ คดิ แกป้ ญั หาและคน้ พบดว้ ยตนเอง การเล่นจะมีอทิ ธพิ ลและมผี ลดีต่อการเจริญเติบโต ช่วยพฒั นาร่างกาย ได้ใช้ประสาทสัมผสั และการรบั รู้ ผ่อนคลายอารมณ์ และแสดงออกถงึ ตนเอง เรยี นรูค้ วามเปน็ อยู่ของผู้อืน่ สรา้ งความสมั พนั ธอ์ ยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื กบั ธรรมชาตริ อบตวั การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ จงึ เปน็ หลกั สำ� คญั ประการ หนึ่งของการจดั ประสบการณเ์ พอ่ื การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ด้านอารมณ์-จิตใจ มสธ4. หลักการประสานความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับบ้านและชุมชน เด็กแตล่ ะคนมคี วาม แตกต่างกัน ทั้งน้ีเน่ืองจากสภาพแวดล้อมที่เด็กเจริญเติบโตขึ้นมา การอบรมเล้ียงดูในครอบครัวมีผลต่อ ความรสู้ กึ มนั่ คง ปลอดภยั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครจู ะตอ้ งมกี ารแลกเปลยี่ นขอ้ มลู ทำ� ความเขา้ ใจพฒั นาการ และการเรียนรู้ของเด็ก ต้องยอมรับและร่วมมือกันรับผิดชอบ หรือถือเป็นหุ้นส่วนท่ีจะต้องช่วยกันพัฒนา เดก็ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายทตี่ อ้ งการรว่ มกนั ดงั นนั้ ครจู งึ มใิ ชจ่ ะแลกเปลยี่ นความรกู้ บั พอ่ แม่ ผปู้ กครองเกยี่ วกบั มสธ มสธการพฒั นาเด็กเทา่ นน้ั แต่จะต้องให้พ่อ แม่ ผูป้ กครอง มสี ว่ นร่วมในการพัฒนาเดก็ ดว้ ย สรุปได้ว่าหลักการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจประกอบด้วย หลัก พัฒนาการเด็ก หลักการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับการท�ำงานของสมอง หลักการเรียนรู้อย่างมีความสุข และ หลกั การประสานความรว่ มมอื ระหวา่ งบ้าน สถานศกึ ษา และชมุ ชน แนวทางการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ มสธจากหลักการจัดประสบการณ์ดังกล่าว สามารถน�ำมาใช้เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์เพื่อ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ์-จติ ใจ ไดด้ ังนี้ 1. การจัดประสบการณ์ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญ ในการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านอารมณ์-จติ ใจท่ใี ห้ความส�ำคัญกบั ผู้เรียนนั้น เนน้ ใหเ้ ด็กเรียนรตู้ ามความสนใจ ความถนัดของตนเอง มสธ มสธใหเ้ ด็กรกั และภาคภูมิใจในตนเอง สามารถสรา้ งความดีงามในชีวิตไดต้ อ่ ไป หรือร้คู ณุ คา่ ของชีวติ ให้เดก็ มี คณุ ธรรม จรยิ ธรรม วัฒนธรรม พ่อแม่ ผปู้ กครอง และครูควรจดั บรรยากาศการเรียนรูท้ ี่มีความสขุ รู้สึก ปลอดภยั มสี อ่ื การเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ รปู ธรรม สนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ เกดิ การเรยี นรไู้ ดเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ ของเดก็ ปฐมวยั ใหเ้ ดก็ ไดฝ้ กึ ฝนและสง่ เสรมิ การควบคมุ อารมณ์ ความรสู้ กึ ของตนเอง สามารถแสดงอารมณ์ ความรสู้ กึ ตอ่ ผอู้ นื่ ไดเ้ หมาะสมตามวยั และพฒั นาอารมณใ์ นสว่ นดี คอื สรา้ งความมนั่ คง เชอื่ มน่ั ภาคภมู ใิ จ ในตนเองได้ มีความสุขและเห็นคุณค่าของชีวิต การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่เน้น ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั จะประสบความสำ� เรจ็ ได้ ตอ่ เมอื่ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครลู ดบทบาทลงเปน็ เพยี งผอู้ ำ� นวย มสธความสะดวกในการเขา้ ถึงแหลง่ เรยี นรูใ้ ห้กบั เดก็ เช่น จัดเตรียมวัสดุ อปุ กรณ์ หนงั สือ ขอ้ มลู เพือ่ ใหเ้ ดก็

การจดั ประสบการณเ์ พื่อพัฒนาเดก็ ปฐมวัยดา้ นอารมณ์-จิตใจ 10-13 ได้ใช้ความสามารถในการแสวงหาความรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพผ่านการเล่น ผลจากการวิจัย มสธพบวา่ ผใู้ หญท่ ม่ี วี ธิ ปี ฏบิ ตั ติ อ่ เดก็ ในระหวา่ งทเ่ี ดก็ เลน่ ทท่ี ำ� ใหเ้ ดก็ ไมพ่ ฒั นาคอื ผใู้ หญท่ ปี่ ลอ่ ยใหเ้ ดก็ เลน่ ตาม ยถากรรม บางคนใช้เวลาที่เด็กเล่นอิสระ ท�ำงานอ่ืนๆ ของตนเอง ผู้ใหญ่ที่ปกป้องเด็กมากเกินไป คือมี ความระแวดระวังกับการกระท�ำของเด็ก และยังเป็นคนท่ีค่อนข้างยึดกับความคิดของตนเองว่าเด็กควรจะ มีพฤติกรรมที่เป็นไปตามส่ิงท่ีคิด และพยายามให้เด็กคิดและท�ำตามข้ันตอนท่ีตนคิดว่าเหมาะสมที่สุด มสธ มสธจงึ ท�ำให้ผใู้ หญม่ ักจะเข้ามามีบทบาทตอ่ ความคิดของเด็กวา่ เดก็ ควรจะท�ำอยา่ งไร เลน่ แบบไหน ค�ำวา่ ไม่, อย่า, ดูแม่สิ จะปรากฏในระหว่างการสนทนาหรือการสอนเด็กเป็นประจ�ำ โอกาสที่เด็กจะได้เล่นตาม ธรรมชาติ ได้ปฏิบัติจริงตามวสิ ัยของเดก็ คอ่ ยๆ ลดลง (อัญญมณี บุญซอื่ , 2551, น. 102) 2. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุข จากการที่อารมณ์ส่งผลต่อการเรียนรู้และ พัฒนาการทุกด้านของเด็ก ดังนั้นปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูกับเด็กต้องเป็นไปในเชิงบวก ผู้ใหญ่ควรมีอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงความรักและความเมตตาต่อเด็กอย่างจริงใจ หมั่นให้ก�ำลังใจ มสธและขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ทนั ที ไดแ้ ก่ แสดงความชนื่ ชมบอกวา่ มสี ง่ิ ด/ี เปน็ ประโยชน/์ นา่ สนใจอะไรบา้ ง หรอื เสนอ แนะ บอกวา่ ควรปรบั ปรุงอะไรบา้ ง เพื่อใหเ้ ด็กไดช้ ื่นชมงานของตนเองและคดิ วางแผนปรบั ปรงุ แก้ไขด้วย ตนเอง พร้อมทั้งใช้ค�ำพูดเชิงบวกและส่งเสริมความคิดเชิงบวกเพื่อนำ� เด็กไปสู่การบรรลุเป้าหมายอย่างมี คณุ ภาพ (ขวญั ฟา้ รงั สยิ านนท,์ 2559, น. 53) นอกจากนนั้ ในการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสขุ ควรใหเ้ ดก็ มโี อกาสเลอื กทำ� กจิ กรรมตามความถนดั หรอื ความสนใจของเดก็ ทเี่ หมาะสมกบั วยั และพฒั นาการ มสธ มสธลักษณะของกิจกรรมมีท้ังในร่มและกลางแจ้ง กิจกรรมมีความสนุกสนาน ไม่ตึงเครียด ไม่ท�ำให้เด็กรู้สึก อึดอัดใจ ให้อิสระกับเด็กในการคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานหรือปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นท่ีแปลกใหม่ ในบรรยากาศทเี่ ปน็ อิสระ อบอุน่ และปลอดภยั โดยมีพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครู ดแู ลอยา่ งใกล้ชดิ 3. การจัดประสบการณ์ที่บ้าน สถานศึกษา ชุมชน และสังคมมีส่วนร่วม พอ่ แม่ ผปู้ กครองควร ได้รบั ความรู้ ความเขา้ ใจ และมที กั ษะในการอบรมดแู ลจดั ประสบการณแ์ ละจดั สภาพแวดลอ้ มทงั้ กายภาพ และจติ ภาพเพอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจอยา่ งเหมาะสมกบั ระดบั พฒั นาการ โดยสามารถเขา้ ถงึ มสธความรูจ้ ากสอื่ สิง่ พมิ พ์ นติ ยสาร โปสเตอร์ แผน่ พับ รายการวทิ ยุโทรทัศน์ website สถานศึกษามบี ทบาท สำ� คญั ในการจดั กจิ กรรมใหก้ ารศกึ ษาแกพ่ อ่ แม่ ผปู้ กครองในรปู แบบ การประชมุ กลมุ่ ใหญ่ กลมุ่ เลก็ กจิ กรรม สัมพันธ์บ้านกับสถานศึกษา แผ่นพับและจัดกิจกรรมแนะแนวความรู้เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์- จิตใจแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ส่งเสริมให้ผู้ปกครองร่วมสังเกตและประเมินพัฒนาการเด็กด้านอารมณ์-จิตใจ ผปู้ กครอง ชมุ ชน และสงั คมมสี ว่ นรว่ มสนบั สนนุ กจิ กรรมการเรยี นการสอน นอกจากนสี้ อ่ื มวลชนมบี ทบาท มสธ มสธสำ� คญั ในการปกปอ้ งคมุ้ ครองสทิ ธิ เฝา้ ระวงั และรว่ มพฒั นาเดก็ โดยวธิ เี ผยแพรค่ วามรแู้ ละทกั ษะในการอบรม เล้ียงดูเด็ก กระต้นุ ใหส้ งั คมเหน็ ความส�ำคัญของการพฒั นาเด็กโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการอบรมเล้ียงดภู ายใน ครอบครัว ซ่ึงมีผลต่อความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและความผูกพัน เด็กท่ีรู้สึกปลอดภัยและมีความมั่นคงจะ เรมิ่ รจู้ กั ควบคมุ ตนเอง และความผกู พนั ทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั คนทม่ี คี วามสำ� คญั กบั เดก็ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ มคี วามสมั พนั ธ์ ทดี่ กี ับคนอืน่ จดั การความเครียดได้ มีสขุ ภาพจิตทีด่ ี (พชั รี ผลโยธนิ , 2549, น. 11-9; อัญชลี ไสยวรรณ, มสธ2552)

10-14 การศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวยั สรปุ ไดว้ า่ การจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ มแี นวทางการจดั ทสี่ ำ� คญั มสธไดแ้ ก่ การจดั ประสบการณท์ เ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั หลกั การเรยี นรทู้ ส่ี อดคลอ้ งกบั การทำ� งานของสมอง การ จดั ประสบการณ์การเรียนร้อู ย่างมีความสุข และการจัดประสบการณ์ทบ่ี ้าน สถานศึกษา ชุมชน และสงั คม มสี ่วนรว่ ม มสธ มสธกิจกรรม10.1.2 ใหร้ ะบุหลกั การและแนวทางการจัดประสบการณเ์ พือ่ พฒั นาเดก็ ปฐมวัยดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ แนวตอบกิจกรรม 10.1.2 1. หลักการส�ำคัญในการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจที่พ่อแม่ มสธผ้ปู กครอง และครตู ้องคำ� นงึ ถึง ได้แก่ หลกั พัฒนาการเด็ก หลกั การเรยี นรูท้ ีส่ อดคล้องกับการท�ำงานของ สมอง หลักการเรียนรู้อย่างมีความสุข และหลักการประสานความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา บ้าน และ ชมุ ชน 2. แนวทางการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ ได้แก่ การจัด ประสบการณ์ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุข และการจัด มมสสธธ มมสสธธ มมสสธธประสบการณ์ท่ีบ้าน สถานศึกษา ชมุ ชนและสงั คมมสี ว่ นรว่ ม

การจดั ประสบการณเ์ พื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ-์ จิตใจ 10-15 มสธเร่ืองท่ี 10.1.3 ขอบข่ายของการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านอารมณ์-จิตใจ มสธ มสธพฒั นาการทางดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ เปน็ กระบวนการเปลยี่ นแปลงการแสดงออกทางอารมณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ภายในจิตใจ รวมถึงความสามารถในการรับรู้อารมณ์ตัวเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกสนุกสนาน รา่ เรงิ ดใี จ โกรธ ตกใจ ฯลฯ เดก็ จะแสดงอารมณอ์ อกมาตามประสบการณแ์ ละสภาพแวดลอ้ มของแตล่ ะคน โดยมกี ารตอบสนอง 2 ลกั ษณะคอื ในลกั ษณะทสี่ งั คมยอมรบั จะมกี ารตอบสนองในทางทด่ี ี มคี วามถกู ตอ้ ง เหมาะสม และในทางตรงกนั ขา้ ม เดก็ บางรายอาจจะมพี ฒั นาการทางดา้ นอารมณ-์ จติ ใจเปน็ ไปในลกั ษณะ มสธท่ีสังคมไม่ยอมรับก็ได้ ขอบข่ายการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ จึงควรให้ ครอบคลุมสง่ิ ต่อไปน้ี 1. ด้านการรู้จักอารมณ์ตนเองและผู้อื่น ลกั ษณะเด่นทางอารมณ์ของเด็กในชว่ งวยั 3-6 ปี มัก เปน็ เดก็ ทแี่ สดงออกอยา่ งเปดิ เผยชดั เจนและแสดงออกตรงๆ เชน่ โกรธ กลวั อจิ ฉารษิ ยา รกั รน่ื เรงิ โมโห มสธ มสธหงดุ หงุด อยากรอู้ ยากเหน็ เอาแต่ใจตนเอง ซงึ่ ลักษณะอารมณ์ตา่ งๆ นี้จะเกดิ ข้นึ เนอื่ งจากการที่เดก็ รสู้ กึ ผูกพันอยู่กับตนเอง ยึดตนเองเป็นส�ำคัญ ต้องการเป็นจุดรวมความสนใจมากกว่าท่ีจะไปสนใจผู้อื่น และ เน่ืองจากเด็กวัยนี้จะต้องออกไปอยู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล ท�ำให้เด็กช่วงวัยน้ี มีสภาพ อารมณ์ทีห่ ลากหลายมากกว่าชว่ งวยั แรกเกดิ ถึง 3 ปี เปรียบเทียบได้ว่าเด็กมอี ารมณค์ ล้ายผูใ้ หญม่ ากข้ึน แต่ด้วยความรู้ประสบการณแ์ ละวฒุ ภิ าวะของเด็กยงั ไมเ่ พยี งพอ ดังนน้ั จึงทำ� ให้เด็กไมท่ ราบถึงวิธกี ารทจ่ี ะ แสดงพฤตกิ รรมทเ่ี หมาะสมกบั ลกั ษณะอารมณท์ เี่ ดก็ รสู้ กึ นอกจากนเี้ ดก็ ในวยั นสี้ ามารถเรยี นรกู้ ารแยกแยะ มสธอารมณ์ไดแ้ ลว้ ถ้าเด็กไมส่ ามารถกา้ วข้ามอารมณเ์ หล่าน้นั ไปได้ จะเกดิ ผลสะทอ้ นกลบั เมื่อเดก็ โตขึน้ คอื ไม่กล้าเผชิญอุปสรรคและความยากล�ำบาก นอกจากน้ี เด็กในวัยน้ีเริ่มมีความเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นได้ ลกึ ซงึ้ ขน้ึ มคี วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั อารมณท์ ซี่ บั ซอ้ นขนึ้ การผา่ นประสบการณต์ า่ งๆ ทางอารมณจ์ ะชว่ ยใหเ้ ดก็ สรปุ ความคดิ รวบยอดเกยี่ วกบั อารมณไ์ ด้ เดก็ ทจ่ี ะเขา้ ใจความรสู้ กึ ของผอู้ นื่ และสามารถแสดงความเหน็ อก เหน็ ใจผอู้ น่ื ไดน้ น้ั ตอ้ งสามารถมองเหน็ สถานการณจ์ ากมมุ มองของผนู้ น้ั ความสามารถนเี้ รมิ่ ปรากฏในชว่ ง มสธ มสธวยั 4-5ปี ขอบข่ายของการรจู้ ักอารมณต์ นเองและผอู้ น่ื ไดแ้ ก่ 1.1 การรู้จักอารมณ์ความรู้สึกของตนเองและความแตกต่างระหว่างอารมณ์ต่าง ๆ 1) ความรสู้ กึ ในลกั ษณะต่างๆ เช่น พอใจ ไม่พอใจ รกั ชอบ โกรธ เกลียด กลัว สขุ ฯลฯ 2) การแยกแยะและควบคุมการแสดงออกของอารมณ์ด้วยท่าทาง สีหน้า และ มสธพฤติกรรมอนื่ ๆ อยา่ งเหมาะสมเมอ่ื เผชิญกบั สถานการณ์ต่างๆ

10-16 การศึกษาและหลักสูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวัย 1.2 การรจู้ กั อารมณค์ วามรสู้ กึ ของผอู้ นื่ ไดแ้ ก่ การเอาใจเขามาใสใ่ จเรา เปน็ ความสามารถ มสธในการรบั รู้เขา้ ใจอารมณค์ วามรู้สกึ นกึ คดิ ความตอ้ งการของผู้อ่นื มีความเมตตาพรอ้ มทีจ่ ะชว่ ยเหลอื ผอู้ ืน่ 2. ด้านการจัดระเบียบตนเอง หมายถึงความสามารถในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการ กระท�ำให้พร้อมรับมือหรือเข้ากันได้กับสถานการณ์ท่ีก�ำหนดให้ หรือท่ีก�ำลังเกิดขึ้นเพ่ือไปสู่เป้าหมาย (นวลจนั ทร์ จฑุ าภกั ดกี ลุ , 2559) การจดั ระเบยี บตนเองมคี วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ ทตี่ อ้ งไดร้ บั การพฒั นา เพราะ มสธ มสธชว่ ยใหเ้ ดก็ มคี วามสามารถในการควบคมุ ตนเอง เดก็ ทจี่ ดั ระเบยี บตนเองไดด้ จี ะควบคมุ ตนเองไดด้ ี ถอื เปน็ พน้ื ฐานสำ� คัญของการพัฒนาเดก็ ไปสู่ความมีวนิ ยั (สมาคมอนบุ าลศึกษาแหง่ ประเทศไทยฯ, 2559, น. 15) ในการก�ำหนดขอบข่ายของการจัดระเบียบตนเอง มีนักวิชาการก�ำหนดไว้หลายมุมมมอง ในที่น้ีผู้เขียน ขอน�ำเสนอขอบข่ายของการจัดระเบียบตนเอง ที่มีความสำ� คญั เหมาะกบั เด็กปฐมวยั ดังน้ี 2.1 การยับย้ังช่ังใจ-คิดไตร่ตรอง (inhibitory control) คือความสามารถในการควบคุม ความตอ้ งการของตนเองให้อยใู่ นระดับท่เี หมาะสม มสธ2.2 ความจ�ำเพ่ือใช้งาน (working memory) คือความสามารถในการจ�ำข้อมูลจาก ประสบการณ์เดมิ แล้วน�ำมาใช้ประโยชน์ตามสถานการณท์ ่พี บเจอ 2.3 การยืดหยุ่นความคิด (shift cognitive flexibility) คือความสามารถในการยืดหยุ่น หรอื ปรับเปลยี่ นให้เหมาะสมกับสถานการณท์ ่ีเกดิ ขนึ้ ได้ ไมย่ ดึ ตายตัว 2.4 การใส่ใจจดจ่อ (focus/attention) คือความสามารถในการใส่ใจจดจ่อ มุ่งความสนใจ มสธ มสธอยู่กับสิ่งที่ท�ำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่วอกแวก หรือถูกเร้าความสนใจจากปัจจัยท้ังภายนอก หรอื ภายในตนเองท่เี ข้ามารบกวน 2.5 การควบคุมอารมณ์ (emotion control) คอื ความสามารถในการควบคมุ การแสดงออก ทางอารมณใ์ หอ้ ยู่ในระดับทเ่ี หมาะสม 2.6 การติดตามประเมินตัวเอง (self-monitoring) คือการสะท้อนการกระท�ำของตนเอง รู้จักตนเอง รวมถงึ การประเมนิ ผลงานเพือ่ หาขอ้ บกพรอ่ ง มสธ3. ด้านการมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนใหต้ ัง้ ม่ัน อยใู่ นความดี ทง้ั พฤตกิ รรม จติ ใจ และปญั ญา (พระธรรมปฏิ ก, 2545 ) ขอบขา่ ยการมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจิตใจท่ีดีงามของเดก็ ปฐมวยั มดี งั น้ี 3.1 การมีความรับผิดชอบต่อตนเอง หมายถึง การท�ำหน้าท่ีท่ีได้รับมอบหมายให้ส�ำเร็จ ดว้ ยความเพยี รพยายาม ตรงตอ่ เวลา ยอมรบั ผลการกระทำ� ของตนทงั้ ดา้ นทเี่ ปน็ ผลเสยี และดา้ นทเ่ี ปน็ ผลดี มสธ มสธความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง (ประภาพรรณ เอ่ียมสุภาษติ , 2539, น. 765) มดี งั นี้ 3.1.1 การมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ กจิ วตั รประจำ� วนั ของตนเอง ได้แก่ การต่ืนนอนตาม เวลาด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีการปลุก การอาบน้ําให้สะอาดตามเวลาด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีการเตือน การแต่งตัวให้เรียบร้อยหลังจากอาบนํ้า การรับประทานอาหารด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีการป้อนและการ มสธร้องเรยี ก การไปสถานศึกษาใหท้ ันเวลาทีจ่ ะต้องเข้าแถว ฯลฯ

การจดั ประสบการณ์เพอ่ื พัฒนาเด็กปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ 10-17 3.1.2 การมีความรับผิดชอบต่อภารกิจที่ตนเองได้รับมอบหมาย ได้แก่ รดน้ําต้นไม้ มสธทุกเยน็ หลังกลบั จากสถานศึกษา เกบ็ ทนี่ อนให้เรยี บร้อยก่อนออกจากหอ้ งนอนตอนเชา้ จดั โต๊ะอาหารเม่ือ ถึงเวลาอาหาร เกบ็ ของเลน่ ให้เข้าทห่ี ลงั จากทเี่ ลน่ เสร็จ ฯลฯ 3.2 การมีความรักความเมตตากรุณา พระธรรมปิฏก (2545, น. 20) ไดก้ ลา่ วไว้ว่า ความ เมตตา คือความรัก ความปรารถนาดี มีไมตรีต้องการช่วยเหลือให้ทุกคนประสบประโยชน์และความสุข มสธ มสธคำ� วา่ กรณุ า คอื ความสงสารอยากชว่ ยใหผ้ อู้ นื่ พน้ ทกุ ข์ ใฝใ่ จทจ่ี ะปลดเปลอ้ื งบำ� บดั ความทกุ ขย์ ากเดอื ดรอ้ น ของคนและสัตว์ท้ังปวงคือมีการช่วยเหลือเพื่อนในเร่ืองต่างๆ อย่างเต็มใจ มีพฤติกรรมทางกายและวาจา ทด่ี ตี อ่ พอ่ แม่ ครู และมคี วามเตม็ ใจทจ่ี ะทำ� งานบำ� เพญ็ ประโยชน์ สอดคลอ้ งกบั สมเดจ็ พระญาณสงั วร (2522: 193-194) กล่าววา่ เมตตา คือความคดิ ปรารถนาใหผ้ ู้อ่นื เป็นสุข หรอื เรียกวา่ ไมตรีจิตหรือมติ รจติ ก็คอื จติ ใจทป่ี ระกอบดว้ ยเมตตา คนทม่ี มี ติ รจติ เรยี กวา่ มติ ร ตรงขา้ มกบั ศตั รหู รอื ไพรี ซง่ึ มจี ติ ทพ่ี ยายามมงุ่ รา้ ย เมตตาจึงตรงข้ามกับโทสะพยาบาทเมตตาเป็นเคร่ืองอุปถัมภ์ ฉะน้ันเม่ือมีเมตตาต่อกันย่อมคิดจะเกื้อกูล มสธกนั ใหม้ สี ขุ คดิ จะประพฤตผิ ดิ พลงั้ พลาดตอ่ กนั บา้ งกใ็ หอ้ ภยั กนั ไมถ่ อื โทษ สว่ นกรณุ า คอื ความคดิ ปรารถนา ให้ผู้อ่ืน สตั ว์อืน่ ปราศจากทกุ ข์ เมือ่ เหน็ ทกุ ขเ์ กดิ แกผ่ อู้ น่ื กพ็ ลอยหวั่นใจสงสาร เป็นเหตุให้คดิ ช่วยทุกข์ภัย ของกนั และกนั จากความหมายขา้ งตน้ สรุปได้ว่า ความรักความเมตตากรณุ า คอื พฤตกิ รรมของบุคคลที่ แสดงถึงความรักความเห็นอกเห็นใจต้องการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุขและช่วยให้พ้นทุกข์ตามความ สามารถของตน ความรัก ความเมตตากรุณาของเด็กปฐมวัย (ธรี ิศรา บุญรุง่ , 2549, น. 4) มีรายละเอยี ด มสธ มสธดังน้ี 3.2.1 ความเมตตากรณุ าตอ่ สตั ว์ ได้แก่ การเลีย้ งสัตว์ ดูแลสตั ว์ ใหอ้ าหารสตั ว์ การ ไมท่ �ำรา้ ยหรอื รงั แกสัตว์ และช่วยเหลอื สัตว์ทีไ่ ด้รบั บาดเจบ็ 3.2.2 ความเมตตากรณุ าตอ่ เพอ่ื น ไดแ้ ก่ การแบง่ อาหารหรอื ขนมใหเ้ พอื่ นรบั ประทาน ให้เพอ่ื นยืมส่งิ ของ ใหอ้ ภัยเพ่ือนทท่ี ำ� ให้เราเดอื ดร้อน และชว่ ยเหลือเพื่อนเมือ่ ได้รับความเดอื ดร้อน 3.3 การรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เดก็ ในวยั 3-6 ปเี รียนรเู้ ร่ืองอะไรถูกอะไรผดิ อะไรควรอะไร มสธไมค่ วร ได้จากการสงั เกตและการเลยี นแบบพอ่ แม่ ผู้ใหญ่ท่ใี กล้ชิด ดังนัน้ พฤติกรรมของผูใ้ หญ่จงึ มีความ ส�ำคัญ ผู้ใหญ่เป็นเช่นไรเด็กก็เป็นเช่นนั้น ผู้ใหญ่สามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยการเป็นตัวอย่าง ที่ดแี กเ่ ด็ก สะทอ้ นความรสู้ กึ เชงิ บวกทีม่ ตี อ่ เดก็ เด็กจะมองเหน็ ภาพงดงามทม่ี ีตอ่ ตนเองเมอ่ื ร้วู า่ ส่งิ ดีๆ อยู่ ในตัวเขา เด็กก็จะเก็บรักษาความดีน้ันไว้ เม่ือผู้ใหญ่เห็นพฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็ก ควรจะชี้แจงเป็นการ แก้ไขพฤตกิ รรมท่ีไม่ถูกตอ้ งกอ่ นท่เี ดก็ จะจดจำ� และพฒั นาเป็นนสิ ยั ถาวร ในการสอนศีลธรรม คอื การสอน มสธ มสธสิ่งต่อไปนี้ (อมรากลุ อนิ โอชานนท,์ 2555, น. 40-43) 1) สอนใหเ้ ดก็ ร้วู ่าผดิ ชอบชั่วดคี ืออะไร ตา่ งกนั อยา่ งไร 2) สอนใหเ้ ด็กแยกแยะและตัดสนิ ไดว้ า่ การกระท�ำอะไรถกู อะไรผิด อะไรดอี ะไรชว่ั 3) สอนให้รถู้ ึงผลลัพธข์ องการกระท�ำด–ี ช่ัว 4) สอนให้เด็กเลอื กระหว่างการกระทำ� ดี–ชั่ว มสธ5) สอนให้เด็กพฒั นานสิ ยั แห่งความดงี ามและความถกู ตอ้ ง

10-18 การศกึ ษาและหลักสตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ดงั น้นั ในการสอนใหร้ ู้วา่ อะไรถูก อะไรผดิ ส�ำหรบั เด็กปฐมวยั มีรายละเอยี ดดังนี้ มสธ3.3.1 แยกแยะสง่ิ ดที ค่ี วรทำ� ไดแ้ ก่ รจู้ กั การตดั สนิ ใจเรอื่ งงา่ ยๆ และยอมรบั ผลทเี่ กดิ ขน้ึ พดู แสดงความเห็นเก่ียวกับการรู้ผิดชอบชั่วดี เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ท้ังที่ชอบและไม่ชอบ กินอาหารให้หมดจานไม่เหลือท้ิง ปิดก๊อกนํ้าหลังการใช้ทุกครั้ง รู้จักการรอคอย และเข้าแถวตามล�ำดับ กอ่ นหลัง มสธ มสธ3.3.2 แยกแยะส่งิ ไมด่ ที ไ่ี มค่ วรท�ำ ไดแ้ ก่ ไมพ่ ูดปด ไม่ท�ำร้ายผอู้ น่ื และไมท่ �ำให้ผู้อ่ืนเสียใจ ไม่หยบิ ของผอู้ น่ื มาเป็นของตน ไมท่ ง้ิ ขว้างหรอื ทำ� ลายสง่ิ ของ เปน็ ตน้ สรุปได้ว่าขอบข่ายของการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ ครอบคลุม 1) ด้านการรู้จักอารมณ์ตนเองและผู้อ่ืน ได้แก่ การรู้จักอารมณ์ความรู้สึกของตนเองและความแตกต่าง ระหว่างอารมณ์ตา่ งๆ และการรูจ้ ักอารมณ์ความรสู้ กึ ของผู้อน่ื 2) ด้านการจัดระเบียบตนเอง ไดแ้ ก่ การ ยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง ความจ�ำเพ่ือใช้งาน การยืดหยุ่นความคิด การใส่ใจจดจ่อ การควบคุมอารมณ์ มสธและการตดิ ตามประเมินตัวเอง และ 3) ดา้ นการมีคุณธรรมจริยธรรมและจติ ใจท่ดี ีงาม ได้แก่ การมคี วาม รับผดิ ชอบตอ่ ตนเอง การมคี วามรกั ความเมตตากรุณา และการร้วู า่ อะไรถกู อะไรผดิ กิจกรรม 10.1.3 มสธ มสธให้อธิบายและยกตัวอย่างขอบข่ายของการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัด ระเบยี บตนเอง แนวตอบกิจกรรม 10.1.3 การจัดประสบการณ์เพ่ือพฒั นาเดก็ ปฐมวัยด้านการจดั ระเบียบตนเอง เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อให้ เดก็ ควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระท�ำเพื่อไปใหถ้ ึงเป้าหมาย ซ่ึงการจัดระเบียบตนเอง ได้แก่ การ มสธยับยั้งช่ังใจ-คิดไตร่ตรอง ความจ�ำเพ่ือใช้งาน การยืดหยุ่นความคิด การใส่ใจจดจ่อ การควบคุมอารมณ์ มสธ มสธ มสธและการตดิ ตามประเมนิ ตัวเอง

การจดั ประสบการณ์เพือ่ พฒั นาเดก็ ปฐมวัยด้านอารมณ์-จิตใจ 10-19 มสธตอนท่ี 10.2 การจัดประสบการณ์และส่ือท่ีใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านอารมณ์-จิตใจ มสธ มสธโปรดอา่ นหัวเรือ่ ง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนที่ 10.2 แล้วจงึ ศึกษารายละเอียดต่อไป หัวเรื่อง 10.2.1 การจดั ประสบการณแ์ ละสอ่ื ทใ่ี ชใ้ นการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการรจู้ กั อารมณต์ นเอง และผอู้ ื่น 10.2.2 การจดั ประสบการณ์และสื่อทใ่ี ชใ้ นการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการจัดระเบียบตนเอง มสธ10.2.3 การจดั ประสบการณแ์ ละสอื่ ทใ่ี ชใ้ นการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจิตใจทด่ี ีงาม แนวคิด มสธ มสธ1. การจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการรู้จักอารมณ์ตนเอง และผู้อ่ืน เป็นการจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมการรู้จักอารมณ์ความรู้สึกของตนเองและความ แตกต่างระหว่างอารมณ์ต่างๆ และการรู้จักอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น ที่ต้องมีวัสดุ อปุ กรณ์เปน็ สอ่ื ในการจัดกจิ กรรมอยา่ งเหมาะสม 2. การจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัดระเบียบตนเอง เป็นการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง ความจ�ำเพ่ือใช้งาน การ มสธยืดหยุ่นความคิด การใส่ใจจดจ่อ การควบคุมอารมณ์ และการติดตามประเมินตัวเอง ท่ตี อ้ งมีวัสดอุ ุปกรณ์เป็นสอ่ื ในการจดั กจิ กรรมอยา่ งเหมาะสม 3. การจดั ประสบการณ์และส่ือท่ีใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวยั ด้านการมีคุณธรรม จริยธรรม และจติ ใจทดี่ งี าม เปน็ การจดั กจิ กรรมทส่ี ง่ เสรมิ การมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง มคี วามรกั ความเมตตากรุณาต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว และมีการแยกแยะส่ิงดีท่ีควรท�ำและส่ิงไม่ดี มสธ มสธ มสธท่ีไมค่ วรทำ� ท่ตี ้องมวี สั ดุอุปกรณเ์ ป็นสือ่ ในการจดั กจิ กรรมอย่างเหมาะสม

10-20 การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวัย มสธวัตถุประสงค์ เมื่อศึกษาตอนที่ 10.2 จบแล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธิบายการจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการรู้จักอารมณ์ ตนเองและผู้อน่ื ได้ มสธ มสธ2. อ ธิบายการจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัดระเบียบ ตนเองได้ 3. อธิบายการจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการมีคุณธรรม มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธจรยิ ธรรมและจติ ใจทีด่ งีามได้

การจัดประสบการณ์เพอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวัยด้านอารมณ-์ จติ ใจ 10-21 มสธเร่ืองท่ี 10.2.1 การจัดประสบการณ์และส่ือที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านการรู้จักอารมณ์ตนเองและผู้อื่น มสธ มสธการรจู้ กั อารมณต์ นเองและผอู้ น่ื สำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั เปน็ เรอื่ งทมี่ คี วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ ทจี่ ะชว่ ยใหเ้ ดก็ พัฒนาด้านอารมณ์-จิตใจ ซึ่งการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการรู้จักอารมณ์ตนเองและ ผูอ้ ืน่ มีจดุ มุ่งหมายที่สำ� คญั คือ 1. เพอื่ ฝกึ ใหเ้ ดก็ รจู้ กั อารมณต์ นเองและเขา้ ใจอารมณค์ วามรสู้ กึ ของตน สามารถแสดงอารมณไ์ ด้ เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ มสธ2. เพื่อฝกึ ให้เดก็ เขา้ ใจอารมณ์ความร้สู กึ ของผอู้ น่ื พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูควรจัดประสบการณ์และสื่อท่ีใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการรู้จัก อารมณ์ตนเองและผอู้ ื่น เสริมสร้างใหเ้ ดก็ รู้จกั อารมณต์ นเองและเขา้ ใจอารมณค์ วามรู้สกึ ของตน และเข้าใจ อารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่ืน ผ่านการลงมือปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจ�ำวันอย่างสม่�ำเสมอ แนวทาง มสธ มสธการปฏิบตั ขิ องพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครู (Gottman อ้างถึงใน ปยิ ะนันท์ หิรัณยช์ โลทร, 2557, น. 3-46 ถึง 3-48; วยิ ะดา นิลทรานนท,์ 2560) มดี ังน้ี 1. ร้เู ทา่ ทัน หยั่งรูใ้ นความรสู้ ึกของเดก็ และของตนเอง พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครูตอ้ งตระหนักรู้ อารมณ์ภายในตนเองเป็นล�ำดับแรก จากน้ันจึงตระหนักรู้อารมณ์ของเด็ก ควรแสดงความเข้าใจ ยอมรับ เห็นอกเห็นใจ ให้ความส�ำคัญกับส่ิงท่ีเด็กสนใจแทนการต�ำหนิ บังคับ วิจารณ์ หรือลงโทษ การเฝ้าระวัง ความรู้สึก อารมณ์และบุคลิกทางลบของครูเป็นส่ิงส�ำคัญมาก ดังนั้นการฝึกให้รู้จักภาวะอารมณ์ที่เกิดข้ึน มสธกบั ตนเองในแตล่ ะชว่ งเวลาและสถานการณ์ รวมทงั้ การฝกึ การตง้ั ใจรบั ฟงั การเหน็ อกเหน็ ใจ เออ้ื อาทรเดก็ เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ ทง้ั นพี้ อ่ แม่ ผปู้ กครอง และครอู าจหาวธิ ที จ่ี ะฝกึ การตระหนกั รอู้ ารมณภ์ ายในดว้ ยการนงั่ สมาธิ เขยี นบันทึก ท�ำงานศิลปะ หรือปลูกตน้ ไม้ เปน็ ต้น 2. ใชโ้ อกาสหรอื สถานการณแ์ ตล่ ะเรอื่ งสรา้ งความใกลช้ ดิ สนทิ สนม ในขณะทเี่ ดก็ กำ� ลงั เกดิ อารมณ์ นนั้ ๆ อยู่ ไมว่ า่ จะเปน็ อารมณด์ า้ นบวกหรอื ลบ และเปน็ โอกาสทจี่ ะไดใ้ กลช้ ดิ เดก็ จะเขา้ ใจไดด้ ถี า้ สอนขณะ มสธ มสธที่อารมณ์น้นั ๆ ยงั คงอยู่ เช่น “ครูเขา้ ใจว่าหนโู กรธเพ่อื นทแ่ี ย่งของเล่นไปจากมือ หนูจึงตเี พือ่ น หนูพรอ้ ม จะใชค้ ำ� พดู ดๆี กบั เพอื่ นเมอื่ ไหร่ ใหห้ นเู ดนิ ไปบอกเพอื่ นนะคะวา่ หนขู อของเลน่ คนื และขอโทษทไ่ี ปตเี พอื่ น” การสอนวธิ กี ารจดั การอารมณผ์ า่ นการแสดงความเหน็ อกเหน็ ใจ จะชว่ ยผอ่ นคลายความคบั ขอ้ งใจลงใหอ้ ยู่ ในระดบั ทส่ี ามารถควบคมุ อารมณ์ ใหท้ ำ� ความเขา้ ใจกบั สถานการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ไดว้ า่ อารมณแ์ ละพฤตกิ รรมท่ี ไม่เหมาะสมคอื อะไร และตอ้ งจัดการอยา่ งไร เนื่องจากการบอกชื่ออารมณ์ และสาเหตุ รวมถึงพฤติกรรม ท่ีไม่เหมาะสมในขณะที่มีอารมณ์นั้นๆ อยู่ เป็นการเรียนรู้ด้วยความรู้สึก (learning by feeling) ซ่ึง มสธจะชว่ ยใหเ้ ดก็ เขา้ ใจอารมณน์ น้ั ไดล้ กึ ซง้ึ นอกจากนี้ การบอกพฤตกิ รรมทคี่ าดหวงั พรอ้ มกบั การใหเ้ วลาเดก็

10-22 การศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั ไดค้ ดิ วา่ จะพรอ้ มเมอ่ื ไหร่ เปน็ การชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดเ้ รยี นรทู้ จี่ ะจดั การกบั ความรสู้ กึ ของตนเอง และเตรยี มพรอ้ ม มสธที่จะตดั สินใจทำ� พฤติกรรมเป้าหมาย 3. รบั ฟงั ความรสู้ กึ และอารมณข์ องเดก็ ดว้ ยความตงั้ ใจ พยายามตรวจสอบความรสู้ กึ ของเดก็ โดย พิจารณาจากสถานการณ์ พฤตกิ รรม ภาษาทา่ ทางทีแ่ สดงออก 4. ฝกึ ให้เดก็ ระบภุ าวะอารมณ์ความรู้สึกของตน พอ่ แม่ ผูป้ กครอง และครูควรฝกึ ใหเ้ ด็ก “ร้จู ัก มสธ มสธอารมณ์ของตน” ซึ่งเป็นสิ่งที่ส�ำคัญมาก ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเก็บกดความรู้สึกไว้หรือระบายออกมาทันที ทนั ใด การบอกชอ่ื อารมณข์ ณะทก่ี ำ� ลงั เกดิ ขนี้ และการแสดงความเหน็ อกเหน็ ใจเปน็ สง่ิ ทตี่ อ้ งทำ� ไปดว้ ยกนั เชน่ เมอ่ื เหน็ เดก็ รอ้ งไห้ อาจเขา้ ไปพดู วา่ “หนกู ำ� ลงั เสยี ใจมากใชไ่ หม” แลว้ ชวนเดก็ ชว่ ยกนั คดิ หาทางออก เพ่อื บรรเทาความไมส่ บายใจนนั้ ดว้ ยกนั การปฏิบัติของพ่อแม่ ผูป้ กครอง และครู เดก็ ไมเ่ พยี งแต่ร้วู า่ มีคน เข้าใจเท่านน้ั แตย่ ังได้รู้จักคำ� ศัพทเ์ พ่ือใช้อธิบายความรสู้ ึกทีเ่ กดิ ขึ้นดว้ ย การทเ่ี ดก็ สามารถอธบิ ายอารมณ์ ด้วยค�ำพูดได้ถูกต้องมากเท่าไร ก็จะเกิดผลดีต่อตัวเด็ก และคนเรามักมีหลายอารมณ์ปะปนกันใน มสธสถานการณเ์ ดยี วกนั เชน่ รสู้ กึ ดใี จทไ่ี ดไ้ ปเทย่ี วบา้ นยายตอนปดิ เทอม แตก่ ก็ ลวั วา่ จะไมไ่ ดอ้ ยกู่ บั พอ่ แม่ ซง่ึ พ่อแม่ ผปู้ กครอง และครสู ามารถฝกึ เดก็ ใหส้ �ำรวจภาวะของอารมณ์ และสามารถจดั การอารมณ์ทีเ่ กิดขึ้น ได้ตอ่ ไป 5. กำ� หนดขอบเขตพฤตกิ รรมทเ่ี หมาะสม เมอื่ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครเู หน็ วา่ เดก็ เขา้ ใจถงึ อารมณ์ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมของตน และเด็กเห็นพฤติกรรมและอารมณ์ท่ีพึงปฏิบัติได้ พ่อแม่ มสธ มสธผปู้ กครอง และครคู วรแสดงให้เดก็ เข้าใจวา่ การมีอารมณ์ต่างๆ เปน็ เรอื่ งปกตขิ องมนุษย์ แต่การแสดงออก ท่ีสะท้อนถึงการควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้เป็นส่ิงที่ควรปรับปรุง อารมณ์ความรู้สึกทุกชนิดเป็นสิ่งที่ เกดิ ขึ้นได้ แตพ่ ฤตกิ รรมทจ่ี ะแสดงออกขณะน้นั ตอ้ งมีขอบเขตจ�ำกัด ต้องเข้าใจวา่ ทุกคนโกรธและโมโหได้ แตก่ ารแสดงพฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสม เชน่ ทบุ ตคี นอน่ื การกรดี รอ้ ง การทำ� ลายขา้ วของ เปน็ เรอื่ งทยี่ อมรบั ไม่ได้ และไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ควรระบุพฤติกรรมท่ีเด็กสามารถท�ำได้หากมีอารมณ์ไม่พอใจดังกล่าว เกิดขึ้น เช่น พูดระบายกับคนใกล้ชิด ใช้เวลาในมุมสงบล�ำพัง ทุบดินน้ํามัน เล่นดนตรี เล่นกีฬา หรือ มสธระบายสี ฯลฯ การจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการรู้จักอารมณ์ตนเองและผู้อื่นให้ บรรลวุ ตั ถุประสงค์ดังกล่าว สามารถปฏบิ ัตแิ ละจัดกิจกรรมไดอ้ ย่างหลากหลาย ดังตวั อย่างต่อไปนี้ 1. กิจกรรมการเล่น แนวทางการจดั กจิ กรรมการเลน่ ทจี่ ะชว่ ยเสรมิ สรา้ งใหเ้ ดก็ รจู้ กั อารมณต์ นเอง เขา้ ใจอารมณค์ วามรสู้ กึ ของตน และเข้าใจอารมณค์ วามรสู้ ึกของผู้อน่ื มที ักษะทีจ่ ะปฏบิ ัตติ อ่ ผูอ้ ืน่ ได้นน้ั ครู มสธ มสธสามารถจดั กจิ กรรมการเลน่ (ปิยะนนั ท์ หิรณั ยช์ โลทร และกนั ตวรรณ มีสมสาร, 2558, น. 9-30) ดังน้ี 1.1 การเล่นอิสระ ในการให้เด็กเลน่ อสิ ระตามลำ� พังหรือเลน่ คนเดียว เดก็ จะเลอื กเลน่ หรือ ทำ� ในสง่ิ ที่ตนสนใจ ซ่งึ จะทำ� ใหเ้ ด็กเรยี นรูค้ วามเป็นตนเอง รบั ร้คู วามถนดั ความชอบ ความสนใจของตน เชน่ การเลอื กเล่นของเลน่ ตามมุมทสี่ นใจ เลือกอา่ นหนงั สือนิทานทช่ี อบ ฯลฯ 1.2 การเล่นร่วมกันกับผู้อื่น ในขณะเด็กเล่นร่วมกันกับผู้อ่ืน เช่น การเล่นบทบาทสมมติ เด็กจะได้เรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด บทบาทของผู้อ่ืน เด็กต้องใช้ความสามารถทางสมอง มสธในการแยกแยะคณุ สมบตั ิ พฤตกิ รรม อารมณ์ ความคดิ ระหวา่ งตวั เดก็ เองใหต้ า่ งจากบทบาททก่ี ำ� ลงั จะสวม

การจดั ประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ 10-23 เชน่ เลน่ สมมตเิ ปน็ หมอพยาบาลกบั คนไข้ เดก็ จะไดเ้ รยี นรอู้ ารมณค์ วามรสู้ กึ เหน็ อกเหน็ ใจผอู้ น่ื ความเมตตา มสธการเขา้ ใจความรู้สกึ เจ็บปวดของผูอ้ ่นื ซง่ึ ถือเป็นพื้นฐานในการสร้างการตระหนกั ร้ใู นทศั นะผูอ้ ่ืนต่อไปเมือ่ เดก็ เตบิ โตขน้ึ ในการเลน่ กบั ผอู้ น่ื เดก็ จะไดเ้ หน็ ความสามารถของผอู้ น่ื ทแี่ ตกตา่ งไปจากตน ทำ� ใหเ้ ดก็ รจู้ กั ยอมรับความแตกตา่ งของแตล่ ะบคุ คล เดก็ ตอ้ งรูจ้ กั ควบคุมอารมณห์ รอื แสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสม เพราะถา้ ไม่เชน่ นน้ั คนอืน่ อาจไมย่ อมรับตนและท�ำให้ไมม่ ีเพอ่ื นเล่นดว้ ย มสธ มสธสื่อที่ใช้ประกอบการจดั กจิ กรรมการเล่น เนอื่ งจากเด็กเรยี นรผู้ า่ นการเล่น พ่อแม่ ผปู้ กครอง และ ครจู งึ ควรเลอื กสอื่ ใหเ้ หมาะกบั วยั ไมย่ ากเกนิ ไปจนกดดนั ใหเ้ ดก็ รสู้ กึ เครยี ด และสมั พนั ธก์ บั เรอื่ งทต่ี อ้ งการ ใหเ้ ดก็ ๆ ไดเ้ รยี นรเู้ พอื่ ใหต้ รงตามวตั ถปุ ระสงคท์ ไี่ ดก้ ำ� หนดไว้ โดยมมี มุ การเลน่ ทสี่ นบั สนนุ การสรา้ งอารมณ์ ทางบวก การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนและผู้อ่ืน เช่น มุมบ้านให้เด็กเล่นแสดงความรู้สึกและอารมณ์ มมุ เลย้ี งสตั วท์ แ่ี สดงความรกั ความเขา้ ใจ ความเมตตา สอ่ื ของเลน่ มหี ลากหลาย พอเพยี งตอ่ ความตอ้ งการ ในการเล่น เด็กไม่ตอ้ งแย่งกัน ทำ� ให้ลดการเกิดอารมณท์ างลบและปญั หาการเผชิญหนา้ กัน เดก็ สามารถ มสธเลือกของเล่นไปเลน่ ตามล�ำพัง และเล่นรวมกบั กลมุ่ เพือ่ นได้ เชน่ เครื่องเล่นสัมผสั หรอื เกมการศึกษา ของ เลน่ ตามมมุ การเรยี นรตู้ า่ งๆ ชดุ อปุ กรณก์ ารเลน่ บทบาทสมมติ หนงั สอื ภาพ หนงั สอื นทิ านคณุ ธรรม วทิ ย/ุ เทป/ซดี เี พลงและนทิ าน ฯลฯ วางเปน็ ระเบยี บ หยบิ ใชง้ า่ ย มมี มุ การเรยี นร/ู้ มมุ เลน่ ทเ่ี ดก็ สามารถเลน่ อสิ ระ ตามลำ� พงั และเล่นเป็นกลมุ่ ได้ มกี ติกาของมุมติดไว้ชดั เจน 2. การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารและปฏิบัตติ ่อกันระหวา่ งพอ่ แม่ ผ้ปู กครอง และ มสธ มสธครกู บั เด็กด้วยความเคารพตอ่ ความรูส้ ึกและใหเ้ กียรติซ่ึงกนั และกัน เป็นหลักสำ� คญั ทจ่ี ะชว่ ยให้เดก็ ได้รู้จกั ตนเอง รู้จกั ปัญหาของตนและแก้ปัญหาไดด้ ้วยตนเอง ซ่ึงวธิ ีการหรอื แนวทางในการดำ� เนนิ การกบั ปญั หา จะขึน้ อยู่กบั การเป็นเจา้ ของปัญหา (Gordon อา้ งถึงใน ขวญั ฟ้า รงั สิยานนท,์ 2558) ดังน้ี 2.1 กรณีท่ีเด็กเป็นเจ้าของปัญหา ใชเ้ ทคนคิ การรบั ฟงั ปญั หาและสะทอ้ นความรสู้ กึ ของเดก็ (active listening) ดงั นี้ 1) รบั ฟังปัญหาเปน็ อันหนึง่ อันเดียวกับเด็ก มสธ2) สบสายตา 3) ฟังและจำ� แนกความรูส้ ึก 4) ใชค้ ำ� พูดทบทวนความรสู้ กึ จากถ้อยค�ำเด็ก 5) นำ� ปญั หาของเดก็ มาถกกัน ถามเดก็ ถึงวิธแี ก้ ตัวอย่างการใช้การรับฟังปัญหาและสะท้อนความรู้สึกของเด็ก สถานการณ์ ชว่ งอาหารว่างเชา้ มสธ มสธอาร์ม : วนั น้อี าร์มจะไม่ดมื่ นมจดื ครู : อารม์ ไมช่ อบและไม่อยากดม่ื นมจดื หรอื คะ อารม์ : ใชค่ รับ มันจืดแล้วไมอ่ รอ่ ยดว้ ย อาร์มจะดมื่ นมหวาน ครู : อาร์มคงตอ้ งปวดฟนั และฟันหลอแนเ่ ลย ถ้าดื่มแตน่ มหวาน อารม์ : จริงด้วย อาร์มไม่อยากปวดฟนั และฟนั หลอ แต่อาร์มก็ไม่ชอบดืม่ นมจดื ครู : ออ๋ อาร์มไมอ่ ยากปวดฟันและอยากมฟี ันสวย แตอ่ าร์มกอ็ ยากด่ืมนมหวาน มสธอาร์ม : ใช่ครับ

10-24 การศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวยั ครู : แล้วอาร์มจะเอาอย่างไรดีละ่ คะ ครูเปน็ หว่ งอารม์ จงั เลย กลวั วา่ อาร์มจะปวดฟัน มสธอาร์ม : งน้ั อารม์ คงต้องดมื่ นมจืด ครู : อารม์ คิดวา่ การดม่ื นมจืดจะชว่ ยใหอ้ ารม์ ฟันสวยและไม่ปวดฟัน ใชไ่ หมจ๊ะ อารม์ : ครับ อาร์มจะลองดื่มนมจดื ดูนะครับ 2.2 กรณีท่ีผู้ใหญ่เป็นเจ้าของปัญหา ใชเ้ ทคนคิ การสะทอ้ นความรสู้ กึ และปญั หาของตนเอง มสธ มสธ(I message) การสอื่ สารวธิ นี ี้ ผฟู้ งั จะรบั ฟงั ดว้ ยความเตม็ ใจมากกวา่ ทจี่ ะโตแ้ ยง้ หรอื ปกปอ้ งตนเอง การใช้ เทคนคิ น้มี ี 3 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี 1) พฤตกิ รรม เป็นการกลา่ วถึงพฤติกรรมที่เปน็ ปญั หา 2) ความร้สู กึ เป็นการกล่าวถึงความร้สู ึกของตนเอง 3) สาเหตขุ องความร้สู ึก เปน็ การอธบิ ายสาเหตทุ ที่ �ำให้ตนเองเกิดความรู้สกึ เชน่ นัน้ ตัวอย่างการใช้การสะท้อนความรู้สึกและปัญหาของตนเอง จากคุณแม่ท่านหน่ึงที่เด็กวัย มสธ6 ขวบเดนิ ย่�ำโคลนเขา้ มาในบ้านทีค่ ณุ แม่เพิ่งจะท�ำความสะอาดไป คณุ แม่ท่านน้ไี ดใ้ ช้คำ� พูดสะท้อนความ รสู้ กึ และปัญหาของตนเองกับเดก็ ว่า “แมร่ ู้สึกหงุดหงดิ มาก ท่ีเหน็ พ้นื สกปรกเพราะแม่เพง่ิ ทำ� ความสะอาด ไปเมอื่ สกั ครู่” ผลทีไ่ ด้รับคือเดก็ รูส้ กึ ว่าตนเองผิด รีบถอดรองเท้าแล้วไปเอาผ้ามาเชด็ พ้นื โดยที่คุณแมไ่ ม่ ต้องส่ัง 2.3 กรณีที่เด็กและผู้ใหญ่เป็นเจ้าของปัญหาร่วมกัน ใช้เทคนิคการสะท้อนความรู้สึกและ มสธ มสธแก้ปัญหารว่ มกัน (win win) ดังนี้ 1) อภิปรายปัญหา 2) เสนอความคดิ เหน็ และเจรจาต่อรอง 3) ระดมพลงั สมอง 4) เรียงล�ำดบั วิธีการต่างๆ 5) ขอ้ เสนอท่สี มาชกิ คัดค้านเพยี งหน่ึงเดียวกต็ ดั ทิ้ง มสธ6) จากข้อเสนอทีเ่ หลอื นำ� มาเลือกแล้วก�ำหนดแผน 7) กำ� หนดระยะเวลาในการทดสอบ และระยะเวลาทตี่ รวจสอบผลสมั ฤทธิ์ ตัวอย่างการสะท้อนความรู้สึกและแก้ปัญหาร่วมกัน ดังนี้ ขลุ่ยก�ำลังตกแต่งทรายท่ีก่อข้ึนอย่างระมัดระวัง แคนเล่นรถขุดทรายอยู่ใกล้ๆ โดยท�ำ เสยี งดงั ฉกึ ฉักๆ แลน่ ไปรอบๆ กะบะทราย และพยายามขดุ ทรายท้ังหมดไปท่ขี อบกะบะทราย ขล่ยุ บ่นวา่ มสธ มสธรถขดุ ทรายท�ำใหท้ รายท่เี ขากอ่ ไว้พังลงมา ครูสงั เกตและเดนิ ไปหา ครูพูดวา่ “พวกเราจ�ำสิง่ แรกท่ีเราจะตอ้ งทำ� เพอื่ แก้ปญั หาได้หรือไม่คะ” ขลยุ่ และแคนตอบพรอ้ มกนั “ช่วยกนั คดิ ครับ” แคนเสนอความเห็นวา่ “แบง่ ทรายเทา่ ๆ กัน” ขลยุ่ เสนอวา่ “เรากำ� หนดรอบท่มี าเล่นทกี่ ะบะทราย” แคนพดู ตอ่ “เรามาสร้างกำ� แพงเมอื งจีนกนั ” มสธขลยุ่ เสนอวิธีสุดทา้ ย “ใหแ้ คนเล่นทรายด้วยกรวยแทนรถขดุ ทราย”

การจดั ประสบการณ์เพ่อื พัฒนาเดก็ ปฐมวัยด้านอารมณ-์ จติ ใจ 10-25 ครูให้เด็กช่วยกนั ประเมินแตล่ ะวิธี ขล่ยุ และแคนคิดวา่ การแบ่งทรายเทา่ ๆ กนั ไดท้ รายนอ้ ย มสธเกนิ ไป สว่ นการผลดั กนั เลน่ ไมม่ ใี ครตอ้ งการเลน่ เปน็ คนทสี่ อง และแคนไมส่ นใจทจี่ ะใชก้ รวยเลน่ ทราย แต่ ขลยุ่ และแคนสนใจการสร้างก�ำแพงเมอื งจีนและสามารถเลน่ ร่วมกัน... ส่ือที่ใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพที่ส�ำคัญคือ ท่าทีของพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครู คณุ ภาพความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครกู บั เดก็ เปน็ สงิ่ สำ� คญั การสอื่ สาร มสธ มสธวิธีน้ีใช้หลักการของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ในฐานะท่ีเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู คือ การ ก�ำหนดพฤตกิ รรมทย่ี อมรับไดแ้ ละพฤติกรรมที่ไม่ยอมรบั ตอ่ มาเม่ือมปี ัญหาเกิดข้นึ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และ ครกู ส็ ามารถจะตรวจสอบสถานการณแ์ ละตดั สนิ ใจไดว้ า่ ใครเปน็ เจา้ ของปญั หา บางปญั หากเ็ ปน็ ปญั หาของ เดก็ บางปญั หาก็เป็นปัญหาของพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครู และบางปญั หากเ็ ป็นปญั หาของเดก็ และพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครรู ว่ มกนั วธิ ใี นการดำ� เนนิ การกบั ปญั หาจะขน้ึ อยกู่ บั การเปน็ เจา้ ของปญั หา งานหลกั สำ� หรบั วิธีการน้ี คือ การพัฒนาความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างบุคคลแต่ละคนและภายในกลุ่ม การช่วยให้เด็กรู้ถึง มสธศักยภาพของตน และมองตวั เองในทางบวก สรุปได้ว่าการจัดประสบการณ์ท่ีใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการรู้จักอารมณ์ตนเองและผู้อ่ืน เปน็ การจดั กจิ กรรมใหเ้ ดก็ ตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของอารมณ์ สามารถแยกแยะความแตกตา่ งของอารมณ์ ตา่ งๆ เกดิ ความเข้าใจในอารมณ์ความรสู้ กึ ของตนเองและผอู้ น่ื และแสดงออกทางอารมณไ์ ด้อยา่ งถูกตอ้ ง และเหมาะสม ซ่งึ สามารถจดั กิจกรรมผ่านการเลน่ และการสอ่ื สารอย่างมปี ระสิทธิภาพ ในการจดั กิจกรรม มสธ มสธดงั กลา่ วสอ่ื อปุ กรณน์ บั เปน็ สงิ่ สำ� คญั ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ ดก็ เรยี นรผู้ า่ นประสบการณจ์ รงิ เมอื่ เกดิ เหตกุ ารณข์ น้ึ หรอื จากการท�ำกิจกรรมประจ�ำวันในบ้านหรือสถานศึกษา ดังนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูจึงควรจัดเตรียม กิจกรรมให้เหมาะสมกับการพัฒนาเดก็ ปฐมวัยดา้ นการรู้จกั อารมณ์ตนเองและผ้อู ่นื กิจกรรม 10.2.1 มสธให้อธิบายและยกตัวอย่างการจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการจัดกิจกรรมเพ่ือส่งเสริมการรู้จัก อารมณ์และความรสู้ กึ ของผูอ้ น่ื แนวตอบกิจกรรม 10.2.1 การจดั กจิ กรรมเพอ่ื สง่ เสรมิ การรจู้ กั อารมณแ์ ละความรสู้ กึ ของผอู้ นื่ ควรใหเ้ ดก็ ไดต้ ระหนกั ถงึ ความ มสธ มสธส�ำคญั ของอารมณ์ สามารถแยกแยะความแตกต่างของอารมณ์ตา่ งๆ เกดิ ความเข้าใจในอารมณค์ วามรสู้ ึก ของผู้อ่ืน และแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง ซ่ึงอาจจัดกิจกรรมได้อย่างหลากหลาย เช่น ให้เด็ก คาดเดาความรสู้ กึ ของผหู้ ญงิ ในหนงั สอื นทิ าน วา่ รสู้ กึ อยา่ งไร อะไรทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ คนนร้ี สู้ กึ อยา่ งนนั้ หรอื เลน่ มสธเกมอธบิ ายเหตุการณ์ เมอื่ แมวของโตง้ ตาย โต้งรู้สกึ อยา่ งไร ฯลฯ

10-26 การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั มสธเร่ืองที่ 10.2.2 การจัดประสบการณ์และส่ือที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านการจัดระเบียบตนเอง มสธ มสธการจัดระเบียบตนเองเป็นความสามารถในการปรับอารมณ์ พฤติกรรม และความคิดให้พร้อม รบั มอื หรอื เขา้ กนั ไดก้ บั สถานการณท์ กี่ ำ� หนดใหห้ รอื ทก่ี ำ� ลงั เกดิ ขนึ้ เพอื่ ไปสเู่ ปา้ หมาย การจดั ประสบการณ์ เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัดระเบียบตนเองจึงมีความส�ำคัญท่ีสามารถเปล่ียนเด็กท่ีช่วยเหลือตนเอง ไม่ได้ไปสู่เด็กท่ีมีความสามารถ ในการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัดระเบียบตนเอง มจี ดุ มุ่งหมายทส่ี ำ� คัญ คือ มสธ1. เพื่อส่งเสริมใหเ้ ดก็ สามารถหยดุ พฤตกิ รรมตนเองในเวลาท่ีเหมาะสม 2. เพื่อส่งเสริมให้เด็กสามารถจ�ำข้อมูลจากประสบการณ์เดิม แล้วน�ำมาใช้ประโยชน์ตาม สถานการณ์ที่พบเจอ 3. เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กสามารถเปลีย่ นวิธีคดิ เมือ่ เง่ือนไขเปลี่ยน มสธ มสธ4. เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ สามารถจดจอ่ มงุ่ ความสนใจกบั สง่ิ ทที่ ำ� อยา่ งตอ่ เนอื่ งในชว่ งเวลาหนงึ่ โดยไม่ วอกแวก 5. เพ่ือสง่ เสริมให้เดก็ สามารถควบคุมอารมณแ์ ละแสดงออกเปน็ พฤติกรรมทีเ่ หมาะสม 6. เพื่อสง่ เสริมให้เด็กสามารถทบทวนตนเองและสะท้อนการกระท�ำของตน การจัดประสบการณ์ท่ีใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัดระเบียบตนเอง สิ่งส�ำคัญคือพ่อแม่ ผปู้ กครอง และครคู วรตอ้ งเปน็ แบบอยา่ งทดี่ ใี นการแสดงออกถงึ ความมวี ฒุ ภิ าวะทางอารมณ์ ดแู ลเดก็ ดว้ ย มสธพื้นฐานของความรักความเอาใจใส่ และจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กๆ ได้ซึมซับ การจัดระเบียบตนเองน�ำไปสู่ การควบคมุ ตนเองได้ ผใู้ หญร่ อบตวั เดก็ สำ� คญั ตอ่ การพฒั นาการจดั ระเบยี บตนเองเปน็ อยา่ งมาก เดก็ เรยี นรู้ การจัดระเบียบ อารมณ์ ความรู้สึก สมาธิ และพฤติกรรมผ่านประสบการณ์ชีวิตและส่ิงแวดล้อมรอบตัว หากผู้ใหญ่จัดระเบียบตนเองและควบคุมตนเองเป็น เด็กจะเลียนแบบและควบคุมตนเองได้ดีตามไปด้วย หากผใู้ หญข่ าดการจดั ระเบยี บตนเองและไมส่ ามารถควบคมุ ตนเองได้ เดก็ กจ็ ะจดั ระเบยี บตนเองและควบคมุ มสธ มสธตนเองไมไ่ ดต้ ามไปดว้ ย การจดั ประสบการณแ์ ละสอื่ ทใี่ ชใ้ นการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นการจดั ระเบยี บตนเอง ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงคด์ งั กลา่ ว สามารถปฏบิ ตั ิและจดั กิจกรรมได้ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี 1. กิจกรรมการเล่นอิสระ เปน็ การใหเ้ ดก็ กำ� หนดเปา้ หมายการเลน่ หรอื กจิ กรรมดว้ ยตนเองอยา่ ง อสิ ระทกุ อยา่ ง ภายในกรอบกวา้ งๆ ทผ่ี ใู้ หญว่ างให้ โดยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครอู าจกำ� หนดเวลา สถานที่ และเตรียมวัสดุท่ีหลากหลายไว้ให้ ที่เหลือเด็กสามารถบริหารพ้ืนท่ีเอง เลือกแบบการเล่นและวิธีเล่นเอง มสธการเล่นอิสระเป็นชว่ งเวลาทเ่ี อือ้ อำ� นวยต่อการพัฒนาการจัดระเบียบตนเองของเดก็ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ดงั นี้

มสธเด็กเรียนรทู้ ่จี ะยบั ยง้ั ช่ังใจ และปรับเปลีย่ นการเลน่ เมื่อเหน็ วา่ การเล่นอาจ การยบั ยงั้ ชั่งใจ คดิ ไตรต่ รอง จะทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หา หรือท�ำให้ต้องยตุ กิ ารเลน่ ทำ� ให้ครูหรอื เพื่อนคนอน่ื ไม่ (inhibitory) พอใจ เชน่ เสยี งดงั มาก เฉอะแฉะเกินไป แม้จะเหน็ ว่าจะท�ำใหก้ ารเลน่ นั้น ชา่ งสนกุ เหลอื เกิน การจัดประสบการณ์เพอ่ื พัฒนาเด็กปฐมวัยดา้ นอารมณ์-จติ ใจ 10-27 โอกาสท่ีเด็กได้รับจากการเล่นอิสระ การจัดระเบียบตนเอง มสธ มสธเด็กมีการเช่ือมโยงความรู้และประสบการณ์เก่าน�ำมาสู่การเล่น ท้ังการต้ัง การจ�ำเพื่อใช้งาน เป้าหมาย วิธีการเล่น การเลือกใช้อุปกรณ์ประกอบการเล่น ตลอดจน (working memory) วธิ ีการแกป้ ัญหา การเล่นมีความยืดหยนุ่ ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และความต้องการ การยืดหยนุ่ ความคิด ของผ้เู ล่น และหากมเี พื่อนรว่ มเลน่ ดว้ ย การเล่นอาจมกี ารปรบั เปลี่ยนเพอ่ื (shifting/cognitive flexibility) ให้การเลน่ มคี วามสนกุ สนานย่งิ ขึ้น หรือมีแรงบนั ดาลใจใหม่ มสธระหวา่ งทเ่ี ด็กเลน่ สิ่งทเี่ หน็ ได้ชัดเจน คือ การม่งุ สนใจ มีสมาธอิ ยู่กับสง่ิ ที่ การจดจอ่ ใสใ่ จ เลน่ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง และจดจอ่ ไดเ้ ปน็ ระยะเวลานานกวา่ การทำ� กจิ กรรมอนื่ ๆ (focus/attention) เพราะเปน็ การจดจอ่ ทเี่ ตม็ ไปดว้ ยหลากหลายอารมณใ์ นทางบวก เชน่ ความ สนกุ สนาน เพลิดเพลิน ตนื่ เตน้ ท้าทาย ภาคภูมใิ จ ฯลฯ มสธ มสธในระหว่างการเล่นย่อมต้องเกิดอุปสรรคระหว่างทางที่อาจท�ำให้เด็กรู้สึก การควบคุมอารมณ์ ผิดหวัง ล้มเหลว หรือมีความขัดแย้งกับเพื่อน แต่เด็กจะพยายามอดทน (emotional control) อดกลั้น และวิธีการท่ีจะผา่ นอปุ สรรคเพื่อให้การเลน่ ยังคงดำ� เนินต่อไปได้ ระหว่างที่เล่นจะเห็นว่าเด็กได้มีการประเมินตนเองอยู่เป็นระยะว่าจะเกิน การติดตาม ประเมนิ ตนเอง กำ� ลงั หรอื ไม่ ตอ้ งหาเพอื่ นมาชว่ ยหรอื เปลา่ สงู เกนิ กวา่ จะบนิ ไหม การเลน่ (self-monitoring) ช่วยให้เด็กตรวจสอบตนเอง รู้จุดอ่อนจุดแข็ง ทักษะที่ต้องฝึกฝนเพ่ิมเติม มสธเพื่อให้การเลน่ ของตนดขี ึน้ หรือประสบความสำ� เร็จ มสธ มสธกิจกรรมและส่อื ทใ่ี ช้ในการเล่นอิสระ ได้แก่ 1.1 การเล่นเครื่องเล่นสนาม พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูควรจัดหาโอกาสให้เด็กๆ ได้ เคล่ือนไหวร่างกายในหลายรปู แบบ เชน่ ไตเ่ ครือ่ งเลน่ สนามสำ� หรบั ปนี ป่าย ปนี ตน้ ไมต้ ้นใหญ่ ไต่ตาข่าย สำ� หรบั ปนี เลน่ โหนราวขนาดเลก็ สำ� หรบั เดก็ เดนิ บนไมท้ รงตวั ฯลฯ นอกจากนกี้ ารเตมิ อปุ สรรคลงไปบา้ ง เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ตอ้ งฝกึ แกป้ ญั หากจ็ ะชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดท้ งั้ สนกุ และพฒั นาการจดั ระเบยี บตนเองไปดว้ ย เชน่ เมอ่ื เดก็ เดินบนไม้ทรงตวั แล้วก็ต้องกา้ วข้ามเครือ่ งกีดขวาง เม่อื เด็กต้องท�ำกิจกรรมทแี่ ปลกใหมแ่ ละยากข้ึน เดก็ ๆ มสธต้องตั้งใจ จดจ่อ คอยระวงั และปรับตัวปรบั ท่าทางเพื่อให้ข้ามฝา่ อปุ สรรคไปใหไ้ ด้ ที่มา: ธิดา พิทักษ์สินสุข. (ม.ป.ป.). EF กับการเล่นอิสระ. ใน คู่มือการพัฒนาทักษะสมอง EF ระดับปฐมวัย. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพมิ พ์รกั ลูก, น. 122-123.

10-28 การศึกษาและหลักสูตรส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย 1.2 การเล่นทราย ทรายเป็นส่งิ ท่เี ดก็ ๆ ชอบเล่น ทงั้ ทรายแห้ง ทรายเปียก น�ำมากอ่ เปน็ มสธรปู ตา่ งๆ ได้ และสามารถนำ� วสั ดอุ นื่ มาประกอบการเลน่ ตกแตง่ ได้ เชน่ กงิ่ ไม้ ดอกไม้ เปลอื กหอย พมิ พข์ นม ทตี่ กั ทราย ฯลฯ ปกตบิ อ่ ทรายจะอยกู่ ลางแจง้ โดยอาจจดั ใหอ้ ยใู่ ตร้ ม่ เงาของตน้ ไมห้ รอื สรา้ งหลงั คา ทำ� ขอบกนั้ เพอ่ื มใิ หท้ รายกระจดั กระจาย บางโอกาสอาจพรมนาํ้ ใหช้ นื้ เพอื่ เดก็ จะไดก้ อ่ เลน่ นอกจากนค้ี วรมที ป่ี ดิ กน้ั มใิ ห้ สตั ว์เลย้ี งลงไปทำ� ความสกปรกในบอ่ ทรายได้ มสธ มสธ1.3 การเล่นน้ํา เด็กท่ัวไปชอบเล่นนํ้ามาก การเล่นน้ํานอกจากสร้างความพอใจ ให้ความ สขุ ความสบายใจและคลายความเครยี ดใหเ้ ดก็ อนั เปน็ การพฒั นาการควบคมุ อารมณแ์ ลว้ ยงั ทำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ การเรยี นรอู้ กี ดว้ ย เชน่ เรยี นรทู้ กั ษะการสงั เกต จำ� แนกเปรยี บเทยี บปรมิ าตร ฯลฯ อปุ กรณท์ ใ่ี สน่ า้ํ อาจเปน็ ถังที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะหรืออ่างนํ้าวางบนขาตั้งที่ม่ันคง ความสูงพอท่ีเด็กจะยืนได้พอดี และควรมี ผา้ พลาสตกิ กันเส้ือผา้ เปียกใหเ้ ดก็ ใช้คลุมระหวา่ งเล่น 1.4 การเล่นอุปกรณ์กีฬา เป็นการน�ำอปุ กรณ์กีฬามาให้เด็กเล่นอย่างอิสระหรือใช้ประกอบ มสธเกมการเล่นที่ให้อิสระแก่เด็กให้มากท่ีสุด ไม่ควรเน้นการแข่งขันเพ่ือมุ่งหวังแพ้-ชนะ อุปกรณ์กีฬาที่นิยม นำ� มาใหเ้ ด็กเล่น เช่น ลกู บอล ห่วงยาง ถงุ ทราย ฯลฯ 2. กิจกรรมใน project approach การเรียนการสอนแบบ project approach เปน็ การเรยี นรู้ท่ี สง่ เสริมใหเ้ ดก็ แสวงหาคำ� ตอบจากการเรียนเรื่องใดเรือ่ งหน่งึ อย่างลุ่มลึก เพือ่ สรา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง เด็กจะได้เรียนรู้กระบวนการในการหาความรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง ท้ังกิจกรรมในและนอก มสธ มสธห้องเรียน การเรียนรู้น้ันเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดวางแผน ตัดสินใจร่วมมือกัน ค้นคว้า ทดลอง แก้ปัญหา และท�ำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเองท้ังกิจกรรมรายบุคคล กลุ่มย่อยในห้อง และที่เด็กทั้งห้องท�ำร่วมกัน กจิ กรรมอาจมที ้งั การหาขอ้ มลู การวางแผน สนทนา อภิปราย บทบาทสมมติ ทัศนศึกษา เชิญวทิ ยากร สงั เกต ทดลอง ฯลฯ โดยในระหวา่ งทำ� กจิ กรรมนน้ั ครมู กี ารจดบนั ทกึ การเรยี นรใู้ นดา้ นตา่ งๆ ทำ� ใหส้ ามารถ ติดตามผลพัฒนาการและศักยภาพด้านต่างๆ ท้ังด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญาของ เดก็ ไดอ้ ยา่ งต่อเนอ่ื งและมีประสิทธภิ าพ กิจกรรม project approach เป็นกิจกรรมที่มคี วามส�ำคญั ตอ่ การ มสธ มมสสธธ มสธพัฒนาการจดั ระเบียบตนเองของเดก็ ไดเ้ ปน็ อย่างดี ดังนี้

การจัดประสบการณ์เพอ่ื พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ 10-29มสธการเรียนแบบ project approach น้ัน จะมีกิจกรรมท่ีเด็กๆ จะต้องทำ� การยับยัง้ ช่ังใจ คดิ ไตร่ตรอง โอกาสที่เด็กได้รับจากกิจกรรม project approachร่วมกัน หรือท�ำด้วยกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาหัวข้อต่างๆ (inhibitory)การจัดระเบียบตนเอง แบบทั้งห้องเรียนหรือกลุ่มย่อย การท�ำการทดลองกลุ่ม การเล่นบทบาท สมมติต่างๆ ดงั นนั้ เด็กๆ จงึ จ�ำเปน็ ตอ้ งมกี ารยั้งคดิ ไตร่ตรองเสมอ เพอ่ื ให้ มสธ มสธตนเองปฏบิ ตั ติ ามกตกิ าในการทำ� กจิ กรรมรว่ มกนั วา่ ใครทำ� หนา้ ที่ บทบาท อะไร และในเวลาใด นอกจากน้นั เดก็ ๆ ยังไดท้ �ำกิจกรรมต่างๆ ที่ตอ้ งใช้ ความระมัดระวัง ตัวอย่างเช่น กิจกรรมท�ำอาหารท่ีใช้อุปกรณ์ที่มีความคม ความร้อน และ อันตรายอนื่ ๆ เด็กๆ จึงต้องรู้จักควบคมุ ตนเองใหก้ ระท�ำในสงิ่ ที่เหมาะสม และปลอดภัยเทา่ น้นั มสธในการเรยี นแบบ project approach เดก็ ๆ จะตอ้ งน�ำความรู้ทต่ี นเองได้ การจำ� เพือ่ ใชง้ าน ค้นหาแล้วเชื่อมโยงกับส่ิงต่างๆ ในชีวิตประจ�ำวัน เพ่ือน�ำข้อมูลที่รับรู้น้ัน (working memory) มาลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ รวมถงึ เพอื่ นำ� มาวเิ คราะหห์ รอื คน้ หาคำ� ตอบกบั คำ� ถาม ใหม่ๆ หรือส่ิงท่ีสงสัยในห้องเรียน รวมถึงใช้สิ่งที่เรียนรู้มานั้น น�ำมา แกป้ ญั หาและถกปัญหากันระหวา่ งเพือ่ นๆ ในชน้ั เรียนอีกดว้ ย มสธ มสธตัวอย่างเชน่ เดก็ ๆ เรยี นรูเ้ รอื่ งประเภทของขยะว่า ขยะแต่ละประเภทคือ อะไรจากการแบง่ สขี องถงั ขยะ คุณครจู งึ ใหเ้ ดก็ ๆ ลองน�ำขยะจริงทที่ ุกคน น�ำมา เอามาเช่อื มโยงกบั สงิ่ ทีเ่ ดก็ ๆ เรียนมาเพอ่ื ดูวา่ เด็กๆ สามารถจดจ�ำ และนำ� ความรนู้ ้นั มาใชไ้ ดจ้ รงิ แคไ่ หน การเรยี นแบบ project approach เดก็ ๆ จะไดเ้ ปรยี บเทยี บและจนิ ตนาการ การยดื หยนุ่ ความคดิ ความร้ทู มี่ ีอยู่ เพ่ือสรา้ งส่งิ ใหม่หรือส่งิ ทใี่ กล้เคียงและเดก็ ๆ จะตอ้ งยอมรบั (shifting/cognitive flexibility) มสธฟังความคิดเห็นใหมๆ่ ทไี่ ด้จากเพ่อื นๆ หรือจากการทดลองคน้ ควา้ ตา่ งๆ ท่เี กิดข้ึนในกิจกรรมน้นั ด้วย ตวั อยา่ งเชน่ การแตง่ นทิ านทน่ี ำ� ถวั่ มาเปน็ ตวั ละครใน project ถว่ั งอก โดย เด็กๆ จะร่วมกันแต่งนิทาน แต่ละคนจะแต่งนิทานคนละ 1 ประโยค เร่ิม จากคนแรกทเี่ รมิ่ เรอื่ ง แลว้ คนตอ่ ไปแตง่ นทิ านตอ่ จากคนแรกและแตง่ ตอ่ ๆ มสธ มสธ มสธกันไปจนคนสุดทา้ ย

10-30 การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวัยมสธโอกาสที่เด็กได้รับจากกิจกรรม project approach ตาราง (ตอ่ ) การเรยี นแบบ project approach เดก็ ๆ จะไดท้ �ำกิจกรรมด้วยการลงมือ การจดจอ่ ใส่ใจ ปฏิบัติจริง ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง การสังเกต การท�ำงานศิลปะ ดังนั้น (focus/attention)การจัดระเบียบตนเอง เด็กๆ จะได้ฝึกฝนความอดทนในการจดจ่อ ใส่ใจ เพ่ือไม่ให้เสียสมาธิใน มสธ มสธการทำ� กจิ กรรมต่างๆ ให้สำ� เรจ็ ตวั อย่างเช่น ใน project กระเปา๋ เด็กๆ เรยี นรวู้ ่ากระเปา๋ บางชนิดทำ� มา จากวัสดุท่ีต่างกัน ดังน้ัน เด็กๆ ออกแบบกระดาษม้วนโดยช้ินงานแต่ละ ชิน้ ต้องใช้ระยะเวลากวา่ จะทำ� ให้ส�ำเร็จ มสธการท�ำงานหรือสร้างสรรค์ช้ินงานของเด็กๆ ไม่ได้ลงเอยด้วยความส�ำเร็จ การตดิ ตาม ประเมินตนเอง ทุกครั้ง เด็กๆ จึงมีโอกาสที่จะวิเคราะห์สิ่งที่ท�ำและผลงานตนเอง และ (self-monitoring) พัฒนาชิน้ งานจนเปน็ ทีพ่ อใจ ตวั อยา่ งเชน่ ใน project ยานพาหนะ เดก็ ๆ ไดอ้ อกแบบและทำ� ชน้ิ งาน มี มสธ มสธการแกไ้ ขจนกว่าจะทำ� ได้ใกลเ้ คียงแบบที่ออกไว้มากที่สดุ การเรียนรู้ร่วมกัน การท�ำงานร่วมกัน ท�ำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะควบคุม การควบคมุ อารมณ์ อารมณแ์ ละความต้องการของตนเอง (emotional control) 3. กิจกรรมการเล่นสมมติ การเลน่ สมมตเิ ปน็ กจิ กรรมทเ่ี ดก็ สามารถทำ� ไดด้ ว้ ยตนเองโดยไมต่ อ้ ง สอนหรอื สาธติ ใหด้ ู เพราะเดก็ มคี วามฝนั และจนิ ตนาการทพ่ี รอ้ มจะถา่ ยทอดออกมาอยา่ งเบกิ บานใจ เพราะ มสธการเล่นสมมติจะตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ที่ต้องการถ่ายทอดหรือส่ือสารความรู้สึกนึกคิดของ เดก็ ทมี่ ตี อ่ โลกรอบตวั ไดร้ ะบายความรสู้ กึ ทม่ี อี ยใู่ นใจ ไดน้ ำ� ความรคู้ วามเขา้ ใจตอ่ สง่ิ ทเี่ รยี นรมู้ าไมว่ า่ จะเปน็ ประสบการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับความรู้รอบตัว ปฏิสัมพันธ์และบทบาทของคนในครอบคร้ว ในสังคม มาเล่น สมมติด้วยความรสู้ ึกเปน็ อสิ ระ ปราศจากความกดดนั การเล่นบทบาทสมมตจิ งึ มีประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ตอ่ การ พฒั นาเดก็ ปฐมวยั ในทกุ ดา้ น โดยเฉพาะดา้ นอารมณ-์ จติ ใจ และสง่ ผลตอ่ การพฒั นาการจดั ระเบยี บตนเอง มสธ มสธ มสธของเด็กไดเ้ปน็ อยา่ งดี ดงั นี้ ท่ีมา: เกศินี วัฒนสมบัติ. (ม.ป.ป.). กิจกรรมโครงงาน: project approach. ใน คู่มือการพัฒนาทักษะสมอง EF ระดับปฐมวัย. กรุงเทพฯ: สำ� นักพมิ พร์ กั ลูก, น. 108-113.

มสธเด็กๆ จะต้องเล่นร่วมกัน การเล่นบทบาทสมมติต่างๆ จ�ำเป็นต้องมีการ การยับย้ังชั่งใจ คิดไตร่ตรอง การจดั ประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ดา้ นอารมณ-์ จิตใจ 10-31 โอกาสที่เด็กได้รับจากกิจกรรมการเล่นสมมติ การจัดระเบียบตนเอง เดก็ มีการเชื่อมโยงความรแู้ ละประสบการณ์เก่า น�ำมาสู่การเลน่ ท้งั การตง้ั การจำ� เพอ่ื ใช้งาน มสธ มสธเป้าหมาย วิธีการเล่น และการเลือกใช้อุปกรณป์ ระกอบการเลน่ การจดั ท�ำ (working memory) ฉากประกอบการแสดง ยง้ั คดิ ไตร่ตรองเสมอ เพือ่ ให้ตนเองปฏบิ ัติตามบทบาททีไ่ ด้รับ (inhibitory) มสธระหว่างการเลน่ สมมติ เดก็ ต้องใชส้ มาธิจดจ่อแสดงตามบทบาทท่ีได้รับไม่ การจดจอ่ ใส่ใจ การเล่นหรือจัดแสดงที่ต้องร่วมเล่นกับเพ่ือน เด็กจะได้ฝึกทักษะความ การยดื หยุ่นความคดิ ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ท่ีอาจไม่เป็นไปตามที่ต้ังใจไว้ (shifting/cognitive flexibility) เพราะเหตทุ ไ่ี มค่ าดคดิ เกดิ ขน้ึ ไดเ้ สมอบนเวที แตก่ ารแสดงละครตอ้ งดำ� เนนิ ตอ่ ไป ในระหว่างการเล่นสมมติย่อมต้องเกิดอุปสรรคระหว่างทางท่ีอาจท�ำให้เด็ก การควบคุมอารมณ์ รสู้ กึ ผดิ หวงั ลม้ เหลว หรอื มคี วามขดั แยง้ กบั เพอื่ น แตเ่ ดก็ จะพยายามอดทน (emotional control)เผลอแสดงตวั จริงของเดก็ ออกมา(focus/attention) มสธ มสธอดกล้ันและหาวิธีการท่ีจะผ่านอุปสรรคเพ่ือให้การเล่นด้วยกันยังคงด�ำเนิน ตอ่ ไปได้ มสธกจิ กรรมและสือ่ ที่ใชใ้ นการเล่นสมมติ ไดแ้ ก่ 3.1 การเล่นบทบาทสมมติ เด็กจะสมมติและแสดงบทบาทท่ีตนเองต้องการ เช่น สมมติ ตัวเองก�ำลังท�ำกับข้าว หรือเล่นบทเป็นครูกับนักเรียน เป็นกัปตันขับเครื่องบิน เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของ ฯลฯ การเลน่ บทบาทสมมตนิ ไี้ มม่ กี ารวางแผนลว่ งหนา้ แตจ่ ะเกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งฉบั พลนั และเลน่ ตอ่ เนอื่ งอยา่ ง มสธ มสธเป็นธรรมชาติ 3.2 การเลน่ ละครหนุ่ เปน็ การเลน่ สมมตผิ า่ นตวั ละครทเี่ ปน็ หนุ่ เชดิ การเลน่ ละครหนุ่ มเี นอื้ เรอ่ื ง มีการแสดง มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร มีบทสนทนา มีเพื่อนร่วมเล่นด้วยโดยผลัดกันแสดงบทบาท การท�ำเสียงให้สมบทบาท การแสดง การคิดเนื้อเรื่องอาจเป็นเรื่องที่เด็กคิดอย่างฉับพลัน โดยดึงจาก ประสบการณป์ ระกอบการจนิ ตนาการหรอื อาจเปน็ เรอื่ งทนี่ ำ� มาจากนทิ านเรอ่ื งทเี่ ดก็ คนุ้ เคย การเลน่ ละครหนุ่ มสธจะท�ำให้เดก็ เรมิ่ มีโครงเรือ่ ง มเี ร่ิมต้น มจี ุดหกั เห และมตี อนจบของเร่อื ง ระหวา่ งการเลน่ สมมตเิ ดก็ ไดต้ รวจสอบตนเอง เพอื่ น และมกี ารแกไ้ ขจนกวา่ การติดตาม ประเมินตนเอง ท่จี ะเปน็ ที่พอใจร่วมกัน (self-monitoring) ที่มา: ปรบั จาก ภวู ฤทธิ์ ภวู ภริ มยข์ วญั . (ม.ป.ป.). เลน่ บทบาทสมมตแิ ละเลน่ ละคร. ใน คมู่ อื การพฒั นาทกั ษะสมอง EF ระดบั ปฐมวยั . กรุงเทพฯ: สำ� นักพมิ พ์รักลูก, น. 124-128.

10-32 การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั 3.3 การเล่นละครสร้างสรรค์ เด็กๆ จะผกู เรอ่ื ง เน้อื เร่อื งจะร้อยเรียงกนั คลา้ ยๆ กับนิทาน มสธทเ่ี ดก็ เคยไดย้ นิ ไดฟ้ งั มา มกี ารตกลงกนั ทงั้ การเลอื กตวั ละคร การเลอื กอปุ กรณป์ ระกอบการเลน่ เดก็ จะรสู้ กึ เป็นอิสระท่ีจะให้เน้ือเรื่องเป็นอย่างไรก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้เล่น ปรับเปล่ียนได้ตลอดเวลา และไม่จ�ำเป็นต้องมี ผูช้ ม การเล่นละครสรา้ งสรรคเ์ นอ้ื เร่ืองจะปรบั เปลีย่ นไปในแต่ละครงั้ ของการเล่น 3.4 การเล่นละครเวที เปน็ การเล่นบทบาทสมมติทผ่ี า่ นการวางแผนและกำ� หนดขน้ั ตอนไว้ มสธ มสธล่วงหนา้ มงุ่ เน้นให้เด็กไดน้ ำ� ความสนกุ สนานจากเรื่องเล่า จากนิทาน ที่เดก็ ๆ ประทบั ใจมาสรา้ งสรรค์เปน็ ละครโดยเดก็ เปน็ ผคู้ ิด ตดั สนิ ใจ และลงมือท�ำ ครูเปน็ เพียงผู้คอยสนับสนุนและเอ้อื อ�ำนวยใหเ้ ด็กเกดิ การ เรยี นรจู้ ากการลงมอื ทำ� ใหม้ ากทส่ี ดุ ทง้ั ฉากและชดุ การแสดงกเ็ กดิ จากเดก็ ๆ ชว่ ยกนั ออกแบบ เดก็ ไดเ้ รยี นรู้ และพัฒนาทักษะต่างๆ ต้งั แต่ก่อนวันแสดงจรงิ ประสบการณใ์ นวันแสดง และบทสรปุ ของเดก็ ๆ ต่อละคร ที่เด็กๆ แสดงร่วมกัน สรุปได้ว่าการจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัดระเบียบตนเอง มสธเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กได้ฝึกการควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม และความคิดให้พร้อมรับมือกับ สถานการณท์ กี่ ำ� หนดให้ หรอื ทกี่ ำ� ลงั เกิดขึ้นเพอื่ ไปสู่เป้าหมาย โดยพอ่ แม่ ผูป้ กครอง และครคู วรต้องเปน็ แบบอย่างท่ีดีในการแสดงออกถึงความมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ในการจัดระเบียบตนเองได้ และใช้แนวทาง การปฏบิ ัติกบั เดก็ โดยจัดกจิ กรรมและสอื่ ผ่านการเล่นในกิจกรรมท่ีหลากหลาย มสธ มสธกิจกรรม10.2.2 ให้อธิบายและยกตัวอย่างการจัดประสบการณ์และสื่อท่ีใช้ในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมด้านการ จัดระเบียบตนเอง แนวตอบกิจกรรม 10.2.2 มสธการจัดประสบการณ์และสื่อท่ีใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการจัดระเบียบตนเอง เป็นการจัด กิจกรรมท่ีเด็กไดฝ้ ึกการควบคมุ อารมณ์ พฤตกิ รรม และความคิดใหพ้ ร้อมรบั มอื กับสถานการณท์ ี่กำ� หนด ให้ หรือท่ีก�ำลังเกิดข้ึนเพ่ือไปสู่เป้าหมาย ตัวอย่างกิจกรรมได้แก่ การให้เด็กเล่นปีนป่ายเครื่องเล่น เช่น ไตต่ าขา่ ยสำ� หรบั ปนี เลน่ โหนราวขนาดเลก็ สำ� หรบั เดก็ หรอื ปนี ตน้ ไม้ เดก็ ตอ้ งตง้ั ใจจดจอ่ ไมว่ อกแวก อดทน ประวิงเวลาทจ่ี ะมีความสขุ เม่อื ไปถงึ ยอด ยิง่ ปีนสูงย่งิ ต้องใช้ความสามารถนีม้ าก การปนี ต้องใชท้ ักษะการ มสธ มสธยบั ยั้งชัง่ ใจ-คิดไตร่ตรอง เริม่ จากหยดุ คิดไตรต่ รองก่อนจะปีน ช่ังใจพนิ จิ พิจารณาก่อนวา่ จะก้าวเท้าไหนดี กิง่ ไม้หรอื เครือ่ งเล่นนนั้ จะรบั น้าํ หนักไดห้ รือไม่ ใชท้ ักษะความจ�ำเพือ่ ใชง้ านวา่ เท้าต้องลงน้ําหนักอยา่ งไร ทง้ั ขวาและซา้ ย ตาควรจบั จ้องท่ไี หน และมอื ไหนต้องย่นื ไปต�ำแหนง่ ไหน เป็นการเรยี นรูจ้ ากการลงมือท�ำ นอกจากน้ีการปีนต้องใช้การคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น มิใช่เพียงแค่ค�ำนวณการวางเท้า แต่เด็กต้องคิด วเิ คราะหก์ ำ� ลงั ของตนเองวา่ มแี รงมากพอทจ่ี ะไปถงึ ยอดไดห้ รอื ไม่ หลงั การเลน่ เดก็ ไดท้ บทวนสงิ่ ทที่ ำ� ลงไป รจู้ ดุ ออ่ นจดุ แขง็ ของตนและสามารถทจ่ี ะแกไ้ ขปรบั ปรงุ ใหก้ ารเลน่ ครง้ั ตอ่ ไปประสบผลสำ� เรจ็ ไดด้ ยี งิ่ ขนึ้ การ มสธปีนป่าย จงึ เปน็ กจิ กรรมทีส่ ่งเสรมิ ดา้ นการจดั ระเบียบตนเองให้กบั เดก็ ปฐมวัยไดเ้ ป็นอย่างดี

การจัดประสบการณ์เพ่อื พฒั นาเด็กปฐมวัยด้านอารมณ-์ จิตใจ 10-33 มสธเร่ืองท่ี 10.2.3 การจัดประสบการณ์และส่ือที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ด้านการมีคุณธรรม จริยธรรมและจิตใจที่ดีงาม มสธ มสธการจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการมีคุณธรรม จริยธรรมและจิตใจท่ีดีงาม ผู้มี บทบาทส�ำคัญมากท่ีสุดคือ พ่อแม่ ผู้ปกครอง รองลงมาคือ ครู ซ่ึงการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็ก ปฐมวยั ดา้ นการมีคุณธรรม จรยิ ธรรมและจติ ใจทด่ี ีงาม มจี ุดม่งุ หมายทสี่ ำ� คัญ คือ 1. เพือ่ สง่ เสรมิ ให้เดก็ มีความรับผิดชอบต่อตนเอง 2. เพอื่ สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มคี วามเมตตากรณุ าตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั สามารถอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจ มสธและมีความสขุ 3. เพื่อสง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กสามารถแยกแยะสง่ิ ดที ่คี วรท�ำและสงิ่ ไม่ดที ไี่ ม่ควรทำ� การจัดประสบการณ์และสื่อที่ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านการมีคุณธรรม จริยธรรมและจิตใจ ที่ดีงาม ใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ดงั กล่าว สามารถปฏบิ ตั ิและจัดกิจกรรมได้ ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ มสธ มสธ1. กิจกรรมปฏิบัติในชีวิตประจ�ำวัน เป็นการฝึกทักษะของเด็กในแต่ละช่วงของวันได้แก่ การ เลน่ /การทำ� งาน (งานชวี ติ ) การกนิ การนอน อยา่ งรคู้ ณุ คา่ ทแ่ี ทจ้ รงิ และการสรปุ ทบทวนตนเอง ดงั ตวั อยา่ ง กิจกรรม คุณธรรมจริยธรรม การเล่น/การท�ำงาน (งานชีวิต) 1) ความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเอง การท�ำงานทุกอยา่ งของชวี ติ ดว้ ยตนเอง เชน่ ใหเ้ ด็กดแู ลจดั เก็บของใชข้ อง 2) ความเมตตากรณุ า 3) การรู้วา่ อะไรถูกอะไรผดิ มสธตนเขา้ ท่ี ปทู นี่ อน จัดเก็บทีน่ อน แตง่ ตัวเอง ฝกึ การเลน่ อย่างถูกต้องตาม1) ความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง 2) การร้วู ่าอะไรถูก อะไรผิด กติกาและดแู ลรกั ษาของส่วนรวม 1) ความรับผดิ ชอบต่อตนเอง การกิน 2) การรวู้ ่าอะไรถูกอะไรผิด การกินอย่างมีสติ มกี จิ กรรมจดั เตรียมโตะ๊ อาหาร เชด็ โต๊ะ ล้างจาน จดั เก็บ ภาชนะของตนเองใหเ้ รียบรอ้ ย มสธ มสธการนอน มีกิจกรรม การนอนอย่างมีสติ ครูอ่านนิทานคติธรรมหรือเปิดเพลงกล่อม มสธนอนเบาๆ ฯลฯ

10-34 การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยัมสธกิจกรรม ตาราง (ต่อ) การสรุปทบทวนตนเอง เป็นการสรุปทบทวนตนเองของเด็ก ในช่วงก่อนกลับบ้านจะมีกิจกรรมให้ การรู้วา่ อะไรถูก อะไรผิดคุณธรรมจริยธรรม เดก็ ไดท้ บทวนการกระทำ� สงิ่ ด-ี ไมด่ ที เ่ี กดิ ขนึ้ โดยเดก็ ๆ จะนงั่ ลอ้ มวงกนั ครู มสธ มสธใช้ค�ำถามกระตนุ้ ให้เดก็ ทบทวนการกระท�ำของตนเองใน 1 วันที่ผา่ นมาวา่ เดก็ ได้ท�ำส่งิ ทด่ี ีและไม่ดีกบั ตนเองและผอู้ ่นื อะไรบา้ ง เพ่อื นได้ท�ำสิง่ ที่ดีและ ไม่ดีกับตนเองและผ้อู ื่นอะไรบา้ ง มสี ง่ิ ใดทอ่ี ยากจะบอกกับคนท่เี ราเผลอไป ท�ำส่ิงที่ไม่ดี และมีสิ่งใดท่ีอยากจะบอกกับเพื่อนท่ีท�ำดี หลังจากนั้นให้เด็ก บอกสงิ่ ท่จี ะท�ำดีตอ่ ไปโดยครูกล่าวเสริมแรง มสธ2. กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เปน็ การเรยี นรเู้ พอื่ เสรมิ สรา้ งคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและจติ ใจทด่ี งี าม จากการได้ยนิ การมองเห็น การสูดดม การชมิ การสมั ผัส และรบั รดู้ ว้ ยใจ ผ่านสาระการเรยี นรู้ในหนว่ ย ตา่ งๆ โดยลงมอื กระทำ� ซง่ึ การทำ� งานของเดก็ มที งั้ การทำ� งานเปน็ รายบคุ คล การทำ� งานกลมุ่ ยอ่ ย และกลมุ่ ใหญ่ ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ขั้น (ขวัญฟ้า รังสิยานนท์, มสธ มสธ2555, น. 40-42) ดงั น้ี ขั้นที่ 1 การจัดปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ เปน็ การจดั สงิ่ แวดลอ้ มในชนั้ เรยี นใหเ้ ออ้ื ตอ่ การ เรยี นร้แู ละเร้าใจให้เด็กสนใจใฝ่รู้ และการสรา้ งความสัมพนั ธ์ท่ีดีระหวา่ งครกู บั เด็ก และระหวา่ งเดก็ ดว้ ยกนั โดยครูมีความเปน็ กลั ยาณมิตร แสดงความรักและความเมตตาต่อเดก็ กิจกรรมประกอบด้วย การจัดบอร์ด ป้ายประกาศ มุมการเรียนรู้ สอดคล้องกับสาระการ เรยี นร้ใู นหน่วยการเรียนร้แู ละกิจกรรมในวถิ ชี วี ติ ประจ�ำวัน และการทกั ทายเดก็ ดว้ ยใบหน้าย้มิ แย้มแจม่ ใส มสธใช้ส่อื หรอื กจิ กรรมสรา้ งสัมพันธภาพระหว่างกนั ข้ันท่ี 2 การฝึกการรับรู้ เป็นการสร้างบรรยากาศให้จิตสงบพร้อมท่ีจะรับรู้ และกระตุ้นให้ เกดิ การรบั รูต้ ามความจรงิ กิจกรรมประกอบด้วย การจัดกิจกรรมทเี่ นน้ การสำ� รวมกาย วาจา ใจ ด้วยการฝึกสติ และ กจิ กรรมท่ีครูน�ำเสนอข้อมลู /ความร้ทู สี่ อดคลอ้ งกบั ความจริงของธรรมชาติ ดว้ ยกจิ กรรมหรอื สื่อ มสธ มสธขั้นที่ 3 การพัฒนาการคิด เป็นกระบวนการนำ� ส่งิ ทรี่ ับร้นู ัน้ มาย่อยจัดระเบยี บ เพือ่ ใหเ้ กิด ปญั ญารู้ตามความเปน็ จรงิ ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย กจิ กรรมประกอบดว้ ย การกระตนุ้ ใหส้ บื คน้ ความจรงิ โดยใชค้ ำ� ถามกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ คดิ พจิ ารณา สืบค้นหาเหตุปจั จัย มองสง่ิ ทงั้ หลายท่ีเกิดขึน้ เพราะมีเหตุมปี จั จยั โดยคดิ เป็นกลุม่ /รายบคุ คล และการหา ข้อสรุปโดยกระตุ้นให้เด็กร่วมกันอภิปราย สรุปเป็นองค์ความรู้ และน�ำเสนอโดยใช้แผนผังความคิดหรือ มสธรูปแบบอ่นื ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook