Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 21223 หน่วยที่ 9-15

21223 หน่วยที่ 9-15

Published by กฤษฎา ศรีสุวรรณ์, 2021-08-31 07:29:05

Description: 21223 แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาและหลักสูตรสำหรับเด็กปฐมวัย หน่วยที่ 9-15

Search

Read the Text Version

การจัดประสบการณส์ �ำหรับเดก็ ปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ 14-31 มสธเรื่องที่ 14.2.2 แนวทางการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ มสธ มสธจากหลกั การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทเ่ี นน้ เดก็ เปน็ สำ� คญั เพอื่ พฒั นาเดก็ โดยองคร์ วม ตามความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล การจดั ประสบการณท์ ีส่ อดคล้องกับความต้องการทแี่ ตกตา่ งกนั ของเด็ก จงึ เปน็ สงิ่ สำ� คญั เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษในฐานะทเี่ ปน็ สมาชกิ ของสงั คมมสี ทิ ธทิ์ จี่ ะไดร้ บั การพัฒนา ที่ท�ำให้สามารถอยู่ในสังคมร่วมกับคนทั่วไปได้อย่างเป็นปกติสุข เด็กที่มีความบกพร่องต้อง ไดร้ บั การพฒั นา บำ� บดั และฟื้นฟู สว่ นเดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษต้องได้รบั ประสบการณท์ ่ีพัฒนาจุดเดน่ ความถนดั และความสามารถ แนวทางหนงึ่ ในการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ คอื “การออกแบบการเรียนรทู้ ี่เปน็ สากล (Universal Design for Learning: UDL)” และ “การศึกษา มสธแบบเรียนรวมหรือเรยี นร่วม (inclusive education)” การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal Design for Learning: UDL) การออกแบบการเรยี นรทู้ เี่ ปน็ สากล (UDL) มจี ดุ เรมิ่ ตน้ มาจากแนวคดิ Universal Design (UD) มสธ มสธซง่ึ เปน็ แนวคดิ ทส่ี ถาปนกิ ใชอ้ อกแบบเครอื่ งใชต้ า่ งๆ โดยคำ� นงึ ถงึ รปู รา่ ง ขนาด ประโยชนใ์ ชส้ อย และความ คมุ้ คา่ โดยมหี ลกั ในการออกแบบดงั นี้ (ส�ำนกั งานคณะกรรมการการอุดมศกึ ษา, 2555) 1) ทำ� ใหค้ นแต่ละคนทมี่ คี วามหลากหลายใช้ไดเ้ หมือนกนั (flexibility in use) 2) ท�ำให้ผลติ ภณั ฑ์น้ันใช้งานงา่ ย (simple and intuitive use) 3) ท�ำให้แตล่ ะคนเขา้ ถึงขอ้ มูลไดเ้ หมือนกัน (perceptible information) 4) คำ� นึงความปลอดภยั ของผ้ใู ช้ (tolerance for error) มสธ5) ให้ผู้ใช้มคี วามเมือ่ ยลา้ ในการใชน้ อ้ ยท่ีสดุ (low physical effort) 6) ใหผ้ ใู้ ชท้ ม่ี ขี นาดรา่ งกายทแ่ี ตกตา่ งกนั ใชไ้ ดอ้ ยา่ งสะดวก (size and space for approach and use) เมอ่ื นำ� มาประยกุ ตใ์ ชท้ างการศกึ ษาจงึ เปน็ เรอื่ งของการออกแบบเพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ แกเ่ ดก็ ทกุ คน หลกั การของ UD จะชว่ ยลดอปุ สรรคในการเรยี นรขู้ องเดก็ และมคี วามยดื หยนุ่ ในการจดั การศกึ ษา มสธ มสธเพ่ือให้เด็กท่ีมีความแตกต่างกันสามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกันมากท่ีสุด ได้แก่ การสอนท่ีใช้สื่อและ วธิ กี ารแบบต่างๆ เช่น การเล่าใหฟ้ ัง การให้รว่ มกันอภิปราย การทำ� งานกลมุ่ การสอนโดยใช้อินเทอรเ์ นต็ การไปศกึ ษานอกสถานที่ การออกแบบสอ่ื และวสั ดอุ ปุ กรณท์ เ่ี หมาะกบั ผเู้ รยี น รวมทงั้ การออกแบบหลกั สตู ร ที่สนองต่อผเู้ รียนหลายระดบั ความสามารถในหอ้ งเรียน 1. ความหมายของการออกแบบการเรยี นรทู้ เี่ ปน็ สากล การออกแบบการเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ สากล เปน็ การ ออกแบบหรือจัดกิจกรรมและสื่อการสอน ตลอดจนส่ิงแวดล้อมท่ีอ�ำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนที่มีความ มสธสามารถ ความสนใจ และความต้องการจ�ำเป็นที่หลากหลาย รวมทั้งผู้เรียนที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

14-32 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทำ� ใหเ้ ดก็ ทกุ คนทงั้ เดก็ ทว่ั ไปและเดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ ไดร้ บั โอกาสทางการศกึ ษาอยา่ งเทา่ เทยี มกนั มสธตามศกั ยภาพของตน ทกุ คนสามารถเขา้ ถงึ และเรยี นรไู้ ด้ ไดเ้ รยี นรทู้ จี่ ะอยดู่ ว้ ยกนั ทา่ มกลางความแตกตา่ ง ของแต่ละบุคคล โดยเป็นการท�ำงานร่วมกันระหว่างครู เด็ก ครอบครัว และนักวิชาชีพสาขาต่างๆ เช่น นกั แกไ้ ขการพดู นกั กายภาพบำ� บดั พยาบาล ศนู ยก์ ารออกแบบการเรยี นรทู้ เี่ ปน็ สากล (National Center on Universal Design for Learning, 2014) กลา่ วถงึ ลกั ษณะของการออกแบบการเรียนรทู้ ี่เป็นสากล มสธ มสธ(Turnbull, et al., 2016) ดงั นี้ 1.1 มคี วามยืดหยุ่นในการนำ� เสนอขอ้ มูลตา่ งๆ ดว้ ยวธิ ีการทีเ่ ด็กสามารถแสดงทักษะ ส่งิ ที่ ได้เรยี นรู้ และเขา้ ไปมีส่วนรว่ มได้ 1.2 ลดอปุ สรรคในการจดั การเรยี นการสอน ชว่ ยสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ ประสบความสำ� เรจ็ ในการเรียน ทงั้ เด็กที่มีความบกพรอ่ งและเดก็ ทย่ี ังใช้ภาษาองั กฤษไม่คล่อง 2. หลักการส�ำคัญของการออกแบบการเรียนรู้ท่ีเป็นสากล องคค์ วามรดู้ า้ นประสาทวทิ ยาพบวา่ มสธมนุษย์มีทักษะ ความต้องการ และความสนใจท่ีแตกต่างกัน ซึ่งเป็นผลจากพันธุกรรม การออกแบบการ เรียนรู้ท่ีเป็นสากลจึงมุ่งให้เด็กทุกคนรวมถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ตาม หลักสูตรปกติได้ โดยมีหลักการส�ำคัญ 3 ประการซึ่งเก่ียวข้องกับการท�ำงานของสมอง ดังนี้ (National Center on Universal Design for Learning, 2014; Turnbull, et al., 2016) 2.1 หลักการน�ำเสนอเน้ือหาและข้อมูลต่างๆ อย่างหลากหลายวิธี (provide multiple มสธ มสธmeans of representation) ซ่งึ เกีย่ วข้องกับการท�ำงานของสมองดา้ นการรจู้ �ำ (recognition networks: the “what” of learning) โดยเด็กจะรบั รขู้ ้อมูลจากการมองเห็น การไดย้ นิ การอ่าน ส่ือตา่ งๆ และวิธี การสอนของครู 2.2 หลกั การนำ� เสนอสง่ิ ทเ่ี รยี นรอู้ ยา่ งหลากหลายวธิ ี (provide multiple means of action and expression) ซ่ึงเก่ียวข้องกับการท�ำงานของสมองด้านการวางกลยุทธ์ (strategic networks: the “how” of learning) ท่ีเดก็ ตอ้ งวางแผนการทำ� งาน แสดงความเห็น หรือคิดแกป้ ญั หาในการทำ� กิจกรรม มสธตา่ งๆ 2.3 หลักการมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมตา่ งๆ อยา่ งหลากหลายวธิ ี (provide multiple means of engagement) ซึง่ เก่ยี วขอ้ งกับการทำ� งานของสมองด้านความรสู้ ึกและเจตคติ (affective networks: the “why” of learning) เป็นการท�ำให้เดก็ เกิดความสนใจ เกิดแรงจงู ใจ รูส้ กึ ตื่นเต้นอยากมสี ่วนรว่ มใน กิจกรรม มสธ มสธสรุปได้ว่า การออกแบบการเรียนรู้ท่ีเป็นสากล เป็นการออกแบบการจัดประสบการณ์ตลอดจน สง่ิ แวดลอ้ มทอ่ี ำ� นวยความสะดวกใหผ้ เู้ รยี นทมี่ คี วามสามารถ ความสนใจ และความตอ้ งการจำ� เปน็ ทห่ี ลากหลาย มีความยืดหยุ่น ท�ำให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ลดอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน สนับสนุนให้เด็ก มสธประสบความสำ� เรจ็ ในการเรยี น

การจัดประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทีม่ คี วามตอ้ งการพิเศษ 14-33 การศึกษาแบบเรียนรวมหรือเรียนร่วม (Inclusive Education) มสธการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ทุกคนเป็นประเดน็ ที่สังคมโลกใหค้ วามส�ำคัญมากข้ึน เนื่องดว้ ยในปี พ.ศ. 2533 องคก์ ารสหประชาชาตไิ ดป้ ระกาศอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ (Convention on the Rights of the Child) เปน็ กฎหมายระหว่างประเทศทกี่ �ำหนดสิทธิพื้นฐานของเดก็ ไว้ 4 ประการ คือ สิทธทิ ่จี ะมีชีวิต รอด สิทธิที่จะไดร้ บั การพฒั นา สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ ับความคมุ้ ครอง และสทิ ธิในการมสี ่วนรว่ ม ซึง่ สว่ นหนึ่งของ มสธ มสธสิทธิท่ีจะได้รับการพัฒนาคือ “เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาที่ดี” ต่อมาในปีเดียวกันสมาชิกองค์การ ศกึ ษาวทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาตหิ รอื UNESCO ไดจ้ ดั ประชมุ เรอ่ื งการศกึ ษาเพอื่ ปวงชน (World Conference on Education for All) ในประเทศไทยที่หาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี โดย ทุกประเทศสมาชิกเห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาเป็นสิทธิอันพึงมีของประชากรโลก เพราะการศึกษาจะ พฒั นาศักยภาพของมนุษยใ์ หส้ ามารถด�ำรงชวี ิตอยู่ในชุมชนและสังคมโลกไดอ้ ยา่ งเข้มแข็ง และได้ก�ำหนด พันธกิจ ประการหน่ึงคือ การขยายการดูแลเด็กปฐมวัยและกิจกรรมเพ่ือการพัฒนาอ่ืนๆ โดยเฉพาะกลุ่ม มสธเดก็ ด้อยโอกาสและเดก็ พิการ (ปรียานุช จรยิ วทิ ยานนท์, ม.ป.ป.) เปน็ ผลให้รัฐบาลให้ความส�ำคญั กับการ จัดการศึกษาส�ำหรับเด็กทุกกลุ่มมากข้ึน อย่างไรก็ดี จากรายงานการส�ำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีใน ประเทศไทย พ.ศ. 2555 (ส�ำนักงานสถติ ิแห่งชาต,ิ 2556) พบวา่ ร้อยละ 84 ของเด็กอายุ 36–59 เดือน กำ� ลงั เรยี นในระดบั กอ่ นวยั เรยี น และมพี ฒั นาการเปน็ ไปตามเกณฑร์ อ้ ยละ 91.5 ซงึ่ แสดงวา่ ยงั มเี ดก็ ปฐมวยั อกี จำ� นวนหนงึ่ ประมาณรอ้ ยละ 10 ทย่ี งั ไมไ่ ดร้ บั การดแู ลเทา่ ทคี่ วร ซง่ึ เดก็ กลมุ่ ดงั กลา่ วนเี้ ปน็ กลมุ่ เดก็ พกิ าร มสธ มสธท่ีไมไ่ ด้รับการศกึ ษาในโรงเรยี น (UNESCO Bangkok, 2009) 1. ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวมหรือเรียนร่วม เมอ่ื กลา่ วถงึ การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษจะพบคำ� ที่เกย่ี วขอ้ งคือ “การเรยี นร่วม” และ “การเรียนรวม” ในตา่ งประเทศ ส่วนใหญ่จะใช้ค�ำว่า “inclusion” เมื่อกล่าวถึงการจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ดังที่ Recchia and Lee (2013, p. 3) กล่าวว่า ในการกา้ วสศู่ ตวรรษท่ี 21 การจดั การศกึ ษาสำ� หรับเดก็ ปฐมวัย ส่วนใหญ่ถูกจัดในรูปแบบของการเรียนรวม (inclusion) ซึ่งหมายถึง การจดั สิ่งท่แี ตกตา่ งส�ำหรบั เด็กทม่ี ี มสธความแตกตา่ งกนั ในระยะแรกๆ ทเ่ี รม่ิ มกี ารจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษจะเปน็ การจดั การศกึ ษา สำ� หรบั เด็กท่ีมคี วามบกพร่องเรียกว่า “การเรยี นรว่ ม” ดังทีผ่ ดงุ อารยะวิญญู (2542) กล่าวว่า การเรยี น ร่วมเป็นวิธีการจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษวิธีหน่ึง ซึ่งเม่ือก่อนเด็กที่มีความต้องการ พิเศษถูกเรียกว่าเด็กพิการ การจัดการศึกษาส�ำหรับเด็กกลุ่มน้ีถูกจัดเป็นกลุ่มตามสภาพความพิการของ มสธ มสธเด็ก แต่ไม่ประสบความส�ำเร็จเท่าทีค่ วร ต่อมาจึงมีการจดั ให้เด็กพกิ ารเข้าเรียนกบั เดก็ ปกตเิ รียกวา่ “การ เรยี นรว่ ม” และเดก็ พกิ ารไดร้ บั การเรยี กชอ่ื ใหมว่ า่ “เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ” ในภาษาองั กฤษมคี ำ� ทมี่ ี ความหมายเกยี่ วกบั การเรยี นรว่ ม 2 คำ� คอื mainstreaming หมายถงึ การเรยี นรว่ มเตม็ เวลา และ integration หมายถึง การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความต้องการพิเศษกับเด็กปกติแต่เป็นการเรียนร่วมบางเวลา รวมไปถงึ การจดั ชนั้ เรยี นพเิ ศษในโรงเรยี นปกตดิ ว้ ย วารี ถริ ะจติ ร (2545) กลา่ ววา่ การศกึ ษาแบบเรยี นรว่ ม (mainstreaming) เปน็ การรวมเดก็ พเิ ศษไวก้ บั เดก็ ปกตใิ นดา้ นเวลา ดา้ นการเรยี นการสอน และดา้ นสงั คม มสธภายใตพ้ น้ื ฐานการจดั การศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และคำ� นงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล รวมทง้ั การปรบั ตวั

14-34 การจัดการศกึ ษาและหลักสูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวยั ทางสงั คม เพอื่ ใหเ้ ดก็ มปี ระสบการณต์ รงและสามารถพฒั นาตนเองใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ ทำ� ใหเ้ ดก็ พเิ ศษมโี อกาส มสธทางการศกึ ษามากขน้ึ จดั ไดห้ ลายรปู แบบ เชน่ การเรยี นรว่ มในชน้ั เรยี นปกตเิ ตม็ เวลา การเรยี นรว่ มในชน้ั เรยี นปกตโิ ดยไดร้ บั การบรกิ ารพเิ ศษ การเรยี นในชนั้ พเิ ศษในโรงเรยี นปกติ การจดั โรงเรยี นพเิ ศษ การจดั การ ศกึ ษาพิเศษนอกโรงเรียน ต่อมาการจดั การศกึ ษาแบบ “การเรยี นรว่ ม” ไมไ่ ดห้ มายถึงเฉพาะส�ำหรบั เดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ งเทา่ นน้ั แตร่ วมถงึ เดก็ ทกุ ประเภท พระราชบญั ญตั กิ ารจดั การศกึ ษาสำ� หรบั คนพกิ าร พ.ศ. มสธ มสธ2551 (ราชกจิ จานุเบกษา, 2551, น. 2) ไดใ้ หค้ วามหมาย “การเรยี นร่วม” วา่ หมายถึง การจัดให้คนพกิ าร ไดเ้ ข้าศึกษาในระบบการศกึ ษาท่ัวไปทกุ ระดับและหลากหลายรปู แบบ รวมถงึ การจัดการศกึ ษาให้สามารถ รองรบั การเรยี นการสอนสำ� หรับคนทกุ กล่มุ รวมท้งั คนพิการ “การเรียนรวม” (inclusion) มีความหมายกว้างกว่าการเรียนร่วมเต็มเวลา (mainstreaming) คอื ไมใ่ ชเ่ ปน็ เพยี งการนำ� เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษมาเรยี นรว่ มกบั เดก็ ปกตเิ ทา่ นนั้ แตเ่ ปน็ ความรบั ผดิ ชอบ ร่วมกันของทุกคนในสถานศึกษาในการให้การศึกษาแก่เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษทุกคน เพ่ือให้บรรลุ มสธศกั ยภาพสงู สดุ ของแตล่ ะบคุ คล หมายรวมถงึ เดก็ ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ เดก็ ทม่ี คี วามเสยี่ งตอ่ ความลม้ เหลว ทางการเรยี น อนั เนอ่ื งมาจากสถานการณใ์ นชวี ติ เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้ และเดก็ ทเี่ รยี นรไู้ ด้ ในระดับปกติ ท้ังน้ีโรงเรียนต้องมีครูที่มีความสามารถ มีบริการและการช่วยเหลือท่ีเพียงพอ (ศศิลักษณ์ ขยนั กจิ , 2558) ต่อมาค�ำว่า “การเรียนรวม” และ “การเรียนร่วม” ถูกน�ำมาใช้ในความหมายเดียวกันท่ีมีความ มสธ มสธครอบคลมุ ส�ำหรบั เด็กทุกกลุ่มมากขึ้น ดงั ที่พจนานุกรมศัพทศ์ ึกษาศาสตร์ร่วมสมยั ฉบับราชบณั ฑิตยสภา (สำ� นกั งานราชบณั ฑติ ยสภา, 2558) อธบิ ายความหมายของ “การศกึ ษาแบบเรยี นรวมหรอื การศกึ ษาแบบ เรยี นรว่ ม (inclusive education)” วา่ เปน็ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษไดบ้ รรลุ ศักยภาพสูงสุดแห่งตน ในโรงเรียนเดียวกันกับเด็กปกติในชุมชนใกล้บ้าน เป็นการน�ำความช่วยเหลือ สนบั สนนุ เขา้ มาในโรงเรยี นหรอื ในหอ้ งเรยี น เพอื่ ประโยชนข์ องผเู้ รยี นทกุ คน เปน็ การจดั การศกึ ษาทคี่ ำ� นงึ ถงึ ความหลากหลาย เพื่อสรา้ งโอกาสให้ทุกคนในทกุ ชมุ ชนทอ้ งถิ่นเข้าถึงการศึกษาที่มคี ุณภาพ เปิดทางให้มี มสธการสนบั สนนุ การศกึ ษาทางเลอื กทห่ี ลากหลาย สนองความตอ้ งการของเดก็ และเยาวชนเฉพาะกลมุ่ เฉพาะ พนื้ ทตี่ า่ งวฒั นธรรม บนฐานการมสี ว่ นรว่ มจดั การของชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ดว้ ย การศกึ ษาแบบเรยี นรวมหรอื การ ศึกษาแบบเรียนร่วมเป็นการศึกษาส�ำหรับผู้เรียนทุกระดับความสามารถ ทุกเช้ือชาติ ภาษา และสถานะ ทางเศรษฐกจิ และสงั คม โดยรบั ผเู้ รยี นเขา้ มาเรยี นรวมกนั ตงั้ แตเ่ รมิ่ เขา้ รบั การศกึ ษา และจดั ใหม้ บี รกิ ารเสรมิ ตามความต้องการของแตล่ ะบุคคล นอกจากน้ี ส�ำนักงานราชบณั ฑิตยสภา (2558) ยงั ไดก้ ลา่ วถึงปรชั ญา มสธ มสธและประโยชน์ของการเรียนรวมไว้ดังนี้ 2. ปรชั ญาของการศกึ ษาแบบเรยี นรวม การศกึ ษาแบบเรยี นรวมคำ� นงึ ถงึ สทิ ธแิ ละความเสมอภาค ของเดก็ ทุกคน ทจี่ ะเขา้ ถงึ โปรแกรมการศกึ ษาทมี่ คี ณุ ภาพ โรงเรียนเรยี นรวม (inclusive school) จงึ เปน็ สถานท่ีท่ีผู้เรียนทุกคนเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของห้องเรียน ได้รับการเสริมสร้างสัมพันธภาพทางสังคม กับกล่มุ เพอื่ น เข้าถึงหลกั สูตรการศกึ ษาท่ัวไปที่มีคณุ ภาพ และได้รับความสนบั สนุนดว้ ยความร่วมมอื จาก มสธทกุ ฝ่ายเพ่ือความสำ� เรจ็ ในการเรยี น มขี อ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ 4 ประการของการศกึ ษาแบบเรียนรวม คือ

การจัดประสบการณ์สำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามต้องการพิเศษ 14-35 2.1 ผเู้ รยี นทกุ คนมาโรงเรียนดว้ ยความสามารถและความตอ้ งการที่หลากหลาย มสธ2.2 เป็นความรบั ผิดชอบของระบบการศกึ ษาท่วั ไปท่ีจะต้องตอบสนองตอ่ ผ้เู รยี นทกุ คน 2.3 ระบบการศกึ ษาทั่วไปท่ีตอบสนองตอ่ ผูเ้ รียนทกุ คนจะต้องจัดการศึกษาทีม่ ีมาตรฐาน มี ความคาดหวังสูง หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนมีคุณภาพ มีความยืดหยุ่น และตรงตามความ ต้องการของผเู้ รยี น มีสภาพแวดลอ้ มทางวิชาการท่สี ง่ เสรมิ การเรยี นรู้ และครูไดร้ ับการเตรยี มความพรอ้ ม มสธ มสธอยา่ งดีที่จะสามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการทางการศึกษาของนักเรียนทุกคน 2.4 โรงเรียนและชุมชนท�ำงานร่วมกันเพื่อสร้างพลเมืองส�ำหรับสังคมท่ีมีความหลากหลาย ขจดั การแบ่งแยกทางสังคม ส่งเสริมใหท้ กุ คนไดใ้ ช้สทิ ธอิ ย่างเต็มท่ี และร่นื รมย์กบั การด�ำรงชวี ติ ร่วมกนั ใน ชมุ ชน 3. ประโยชน์ของการเรียนรวม การศกึ ษาแบบเรยี นรวมเป็นความพยายามที่จะจัดให้ผเู้ รยี นทกุ คนเข้าถึงการเรียนรู้ และการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันซ่ึงส่งผลดีหลายประการ มสธเปน็ การเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นทกุ คนมปี ฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมกบั เพอื่ นทแ่ี ตกตา่ ง เขา้ ถงึ หลกั สตู รทว่ั ไปไดง้ า่ ย มคี วามกา้ วหน้าทางวชิ าการท้ังผ้เู รียนปกติ และผู้เรยี นทีม่ คี วามตอ้ งการพิเศษ การศึกษาแบบเรียนรวมท่ปี ระสบความส�ำเรจ็ มปี ระโยชน์ตอ่ นกั เรียนทกุ คน โดยเฉพาะนกั เรยี นที่ มคี วามตอ้ งการพเิ ศษทงั้ ในระยะสน้ั และระยะยาว ประโยชนใ์ นระยะสนั้ คอื นกั เรยี นทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ ได้เรียนรวมกับกลุ่มเพ่ือนนักเรียนปกติ ผลการวิจัยยืนยันว่านักเรียนที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียน มสธ มสธเรียนรวม เรียนไดเ้ ช่นเดียวกบั หรอื ดีกว่านกั เรียนในโรงเรยี นเฉพาะความพิการ เนอื่ งจากได้รับโอกาสท่ีจะ สนกุ กบั การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ทางสังคมกบั กลุ่มเพื่อน ซ่ึงถ้าเรยี นในโรงเรยี นเฉพาะความพกิ ารจะขาดโอกาสนี้ ส่วนประโยชน์ในระยะยาวคือ สงั คมต้องการให้เด็กทกุ คนเตบิ โตเปน็ ผใู้ หญท่ ่ีมีคุณภาพ สามารถด�ำรงชีวติ ท�ำงาน และสังสรรค์กับกลุ่มเพ่ือนในชุมชนอย่างมีความสุข ถ้าขาดโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโตกับเพื่อน ปกติที่มีความหลากหลายตลอดชีวิตของเขา บุคคลท่ีมีความต้องการพิเศษจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายน้ี เม่ือเตบิ โตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต มสธกล่าวโดยสรุปได้ว่า แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ คือ การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากลและการศึกษาแบบเรียนรวม เป็นการจัดประสบการณ์ที่สอดคล้องกับ ความต้องการท่ีแตกต่างกันของเด็ก ท�ำให้เด็กท่ีมีความบกพร่องต้องได้รับการพัฒนา บ�ำบัด และฟื้นฟู ส่วนเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษได้รับประสบการณ์ที่สอดคล้องกับจุดเด่นและความสามารถของเด็ก เพ่ือ มสธ มสธ มสธนำ� ไปสกู่ ารพฒั นาเด็กโดยองคร์ วม สามารถอยู่ในสังคมรว่ มกบั คนท่วั ไปไดอ้ ยา่ งเป็นปกติสขุ

14-36 การจัดการศึกษาและหลักสตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวยั มสธกิจกรรม 14.2.2 จงอธบิ ายแนวทางการจัดประสบการณส์ �ำหรับเดก็ ปฐมวัยทมี่ ีความต้องการพิเศษ แนวตอบกิจกรรม 14.2.2 แนวทางหนงึ่ ในการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ คอื การศกึ ษาแบบ มสธ มสธเรียนรวม เป็นการจัดการศึกษาเพ่ือให้ผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษได้บรรลุศักยภาพสูงสุดแห่งตนใน โรงเรยี นเดียวกันกบั เดก็ ปกติ เปน็ การน�ำความช่วยเหลือสนับสนนุ เขา้ มาในโรงเรยี นหรือในห้องเรียน เพอ่ื ประโยชนข์ องผเู้ รยี นทกุ คน เปน็ การจดั การศกึ ษาทค่ี ำ� นงึ ถงึ ความหลากหลาย เพอื่ สรา้ งโอกาสใหท้ กุ คนใน ทกุ ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ เขา้ ถงึ การศกึ ษาทมี่ คี ณุ ภาพ เปดิ ทางใหม้ กี ารสนบั สนนุ การศกึ ษาทางเลอื กทห่ี ลากหลาย สนองความต้องการของเด็กและเยาวชนเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพื้นท่ีต่างวัฒนธรรม บนฐานการมีส่วนร่วม จัดการของชุมชนท้องถิ่น เป็นการศึกษาส�ำหรับผู้เรียนทุกระดับความสามารถ ทุกเชื้อชาติ ภาษา และ มสธสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม โดยรับผู้เรียนเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา และจัดให้มี บรกิ ารเสริมตามความตอ้ งการของแต่ละบุคคล มสธ มสธเร่ืองที่14.2.3 ลักษณะการจดั ประสบการณ์ส�ำหรับเดก็ ปฐมวัยทมี่ ีความต้องการพเิ ศษ มสธการจัดประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ทีม่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ มงุ่ ใหเ้ ด็กทกุ คนเขา้ ถงึ การเรียนรู้ โดยแนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษท่ีกล่าวถึงส่วนใหญ่ในปัจจุบัน คอื การออกแบบการเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ สากล และการศกึ ษาแบบเรยี นรวม ดงั นน้ั ทจี่ ะกลา่ วตอ่ ไปนจ้ี ะเปน็ ลกั ษณะ การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษตามแนวทางการออกแบบการเรียนรู้ท่ีเป็น สากล และการศกึ ษาแบบเรยี นรวม มสธ มสธลักษณะการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล ลักษณะการจัดประสบการณ์ตามแนวทางการออกแบบการเรียนรู้ท่ีเป็นสากล เป็นการออกแบบ ใหม้ คี วามเหมาะสมกบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามแตกตา่ งกนั ในหอ้ งเรยี น (National Center on Universal Design for Learning, 2014; Turnbull, et al., 2016) ดงั นี้ 1. ครูน�ำเสนอเน้ือหาและข้อมูลต่างๆ อย่างหลากหลายวิธี เป็นการให้ทางเลือกท่ีหลากหลาย มสธส�ำหรับการรับรู้ท่ีต่างกัน โดยใช้วิธีการสอนและการน�ำเสนอข้อมูลที่หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ตรงตาม

การจดั ประสบการณส์ �ำหรับเด็กปฐมวยั ท่ีมคี วามตอ้ งการพเิ ศษ 14-37 ความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก ส่อื การสอนมีความยืดหยนุ่ สำ� หรับเด็กทกุ คน ทุกประเภท เช่น การ มสธใช้รูปภาพ วีดทิ ศั น์ เพลง การสมั ผสั ของจรงิ การเลา่ นิทาน การเล่นบทบาทสมมติ การทำ� งานกลุ่ม ใชส้ ่ือ ทห่ี ลากหลายเพือ่ อธบิ ายใหเ้ ดก็ เรียนรูเ้ กีย่ วกบั ภาษา คำ� ศัพท์ และสัญลกั ษณต์ ่างๆ 2. เด็กไดน้ �ำเสนอสงิ่ ทเ่ี รยี นรู้อย่างหลากหลายวิธี โดยใชส้ ่อื และวิธีการที่หลากหลายในการแสดง ความคิดเหน็ และการส่ือสาร รวมถึงการวางแผน จัดระบบการท�ำงานเพือ่ ไปสู่เปา้ หมายของงาน มสธ มสธ3. เดก็ มสี ่วนร่วมในกจิ กรรมตา่ งๆ อยา่ งหลากหลายวิธี โดยครจู ัดทางเลือกท่หี ลากหลายใหเ้ ด็ก แต่ละคนได้ค้นหาความสนใจ จัดสภาพแวดล้อม ส่ือ กิจกรรมให้สะดวกปลอดภัยส�ำหรับเด็กทุกคน ลด ปญั หาและอปุ สรรคในการดำ� เนนิ กจิ กรรมตา่ งๆ ปรบั สอื่ สง่ิ อำ� นวยความสะดวกใหเ้ หมาะสมสำ� หรบั เดก็ พกิ าร ในห้องเรียน สง่ เสรมิ ให้เด็กเกดิ แรงจงู ใจ และอยากมีสว่ นร่วมในกิจกรรม ลักษณะการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดการเรียนรวม มสธการจดั การเรยี นรวมสามารถจดั ไดห้ ลายแบบ ขนึ้ อยกู่ บั บรบิ ทของแตล่ ะโรงเรยี นและความตอ้ งการ จ�ำเปน็ ของเดก็ แตล่ ะคน ผดุง อารยะวิญญู (2542) กลา่ วถงึ รปู แบบการเรยี นรวมท่ีประสบความส�ำเรจ็ ใน หลายประเทศ ดงั น้ี 1. เรียนรวมในช้ันปกติ โดยจัดเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติ และเรียน มสธ มสธเหมือนกับเด็กปกติทุกประการ เหมาะส�ำหรับเด็กที่มีความพิการน้อย มีความฉลาดและมีความพร้อม ในดา้ นการเรยี น ตลอดจนวฒุ ภิ าวะทางอารมณแ์ ละสงั คม 2. เรียนรวมในช้ันปกติและมีครูพิเศษให้ค�ำปรึกษา ครูพิเศษช่วยให้ค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับวิธีสอน และการปฏิบัติต่อเด็ก จัดสภาพแวดล้อมให้เอ้ืออ�ำนวยต่อการเรียนรู้ของเด็ก และช่วยประเมินผลพัฒนา การในการเรียนรขู้ องเด็กท่มี คี วามต้องการพเิ ศษ 3. เรยี นรวมในชนั้ ปกตแิ ละรบั บรกิ ารจากครเู วยี นสอน เปน็ การรบั บรกิ ารเพม่ิ เตมิ จากครกู ารศกึ ษา พิเศษซง่ึ จะเดนิ ทางไปตามโรงเรียนต่างๆ มสธ4. เรียนรวมในช้ันปกติและรับบริการจากครูเสริมวิชาการ เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษจะเขา้ มา เรียนกับครูเสริมวิชาการวนั ละ 1-2 ชั่วโมงหรือมากกว่าน้ี ข้นึ อยกู่ ับความต้องการของเดก็ โดยเรยี นเปน็ รายบคุ คลหรอื กลมุ่ เล็กๆ 5. จัดชั้นพิเศษในโรงเรียนปกติและเรียนร่วมบางเวลา เป็นการจัดเด็กที่มีความต้องการพิเศษ มสธ มสธไวใ้ นชน้ั เดยี วกนั เป็นกลุ่มเลก็ ๆ มบี างวชิ าหรือบางกิจกรรมที่ตอ้ งไปเรียนร่วมกบั เดก็ ปกติ 6. จัดช้ันพิเศษในโรงเรียนปกติ เปน็ การจัดเดก็ พเิ ศษทมี่ คี วามบกพร่องประเภทเดียวกนั ไว้เป็น กลุ่มเดียวกัน และเป็นกลุ่มขนาดเลก็ เหมาะสำ� หรับเด็กท่ีมคี วามพกิ ารค่อนข้างมาก สวุ มิ ล อดุ มพริ ยิ ะศกั ย์ (2549 อา้ งถงึ ใน พชั รี ผลโยธนิ , 2552) กลา่ วถงึ รปู แบบการจดั การเรยี นรวม ทน่ี กั การศกึ ษาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษไดพ้ ฒั นาไวห้ ลายรปู แบบ ดังนี้ 1. ห้องเสริมวิชาการ (Resource Room) เป็นรูปแบบการเรียนรวมที่ครูน�ำเด็กออกมาสอนใน มสธหอ้ งพเิศษ

14-38 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวัย 2. การปรับสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ (Adaptive Learning Environment: ALEM) มสธประกอบดว้ ย 6 ขั้นตอน ดงั นี้ 2.1 ศกึ ษาลกั ษณะของเดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ โดยใชข้ อ้ มลู จากการทดสอบตา่ งๆ หรอื การสมั ภาษณผ์ ู้ปกครอง เพือ่ ศึกษาความสามารถและจดุ อ่อนของเดก็ 2.2 ออกแบบการเรยี นรู้ ปรบั หลกั สตู รใหเ้ ดก็ ทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นการสอนมากทสี่ ดุ มสธ มสธและสามารถเรยี นรใู้ นชัน้ เรยี นปกติ 2.3 จัดสภาพแวดล้อม เช่น การจัดวางโต๊ะเรียน การจัดห้อง การจัดครูเข้าสอน การจัด บรกิ ารเสริม ฯลฯ 2.4 กำ� หนดขอบเขตการดำ� เนนิ การ เชน่ จดั เฉพาะเดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษในหอ้ งเรยี นรวม ห้องเดยี ว หรือดำ� เนนิ การส�ำหรบั เด็กทุกคนในโรงเรยี น ฯลฯ 2.5 ดำ� เนนิ การสอน โดยสอนตามแผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คลทงั้ เดก็ ปกติ และเดก็ ทม่ี คี วาม มสธตอ้ งการพเิ ศษ ผสู้ อนตอ้ งแสดงพฤตกิ รรมการสอนทพ่ี งึ ประสงคต์ ามทแี่ ผนกำ� หนด และจดั การกบั พฤตกิ รรม ของเดก็ ด้วยวธิ ที ่ีถูกต้อง 2.6 การประเมินผล โดยพิจารณาจากผลงานของเด็ก และทกั ษะทเ่ี ดก็ แสดงออก 3. การร่วมสอน (Co-Teaching) โดยใหค้ รทู ส่ี อนหอ้ งเรยี นพเิ ศษในโรงเรยี นปกตมิ าสอนรว่ มกบั ครูในห้องเรยี นปกติ มสธ มสธนอกจากการจดั การเรยี นรวมในรปู แบบตา่ งๆ ทก่ี ลา่ วถงึ แลว้ Watson and McCathren (2009) กลา่ ววา่ เดก็ ควรไดร้ บั โอกาสในการเรยี นรภู้ ายใตส้ ภาพแวดลอ้ มทมี่ ขี ดี จำ� กดั นอ้ ยทส่ี ดุ นนั่ คอื เดก็ ทม่ี คี วาม ตอ้ งการพเิ ศษควรไดร้ บั โอกาสในการเขา้ ถงึ ทรพั ยากร และสง่ิ อำ� นวยความสะดวกในการเรยี นรภู้ ายใตบ้ รบิ ท เดยี วกนั กบั เดก็ ทว่ั ไป เนอ่ื งจากอปุ สรรคทไ่ี มค่ าดคดิ อาจสง่ ผลตอ่ การมสี ว่ นรว่ มของเดก็ ทำ� ใหเ้ ดก็ ทม่ี คี วาม ตอ้ งการพเิ ศษตอ้ งถกู แยกออกไปจากกลมุ่ เกดิ ความวติ กกงั วล ไดแ้ สดงศกั ยภาพและสามารถทำ� สง่ิ ตา่ งๆ ด้วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กท่ัวไป จึงได้พัฒนาแบบตรวจสอบรายการเก่ียวกับการจัดการเรียนรวมส�ำหรับ มสธเดก็ ปฐมวยั (Preschool and Kindergarten Inclusion Readiness Checklist) เพอื่ ใหค้ รใู ชต้ รวจสอบเพอ่ื ใหก้ ารจดั ประสบการณแ์ ละสภาพแวดลอ้ มสนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ ทกุ คนสามารถเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ ม และทำ� กจิ กรรม ด้วยตัวเองได้มากท่ีสุดเท่าทจ่ี ะเปน็ ไปได้ ซึง่ มีรายการส�ำหรับตรวจสอบดงั น้ี 1. การสื่อสารระหว่างบ้านและโรงเรียน 1.1 มกี ารจดั ระบบการสอ่ื สารระหวา่ งบา้ นและโรงเรยี น เชน่ การเขยี นบนั ทกึ รายวนั ซงึ่ อาจ มสธ มสธแลกเปล่ียนข้อมูลกับครอบครัวอ่ืนๆ หรือกับผู้เช่ียวชาญ หรือ เขียนอนุทินเพ่ือส่ือสารข้อมูลระหว่างบ้าน และโรงเรยี น 1.2 มีการจัดประชุมผู้ปกครองเพ่ือแลกเปลี่ยนข้อมูลเก่ียวกับส่ิงท่ีเด็กได้เรียนรู้ และความ กา้ วหนา้ ของเดก็ เพือ่ ทจ่ี ะเปิดโอกาสใหผ้ ปู้ กครองเข้ามามสี ่วนรว่ ม แสดงความเหน็ และใหค้ ำ� แนะนำ� 1.3 สอบถามหรือส�ำรวจข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของผู้ปกครอง หรือเม่ือครูต้องการ มสธขอ้ มลู เพิ่มเติมเกีย่ วกับเด็ก

การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เด็กปฐมวยั ท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ 14-39 2. การสนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวก มสธ2.1 มีการอธิบายและส่งเสรมิ เดก็ เก่ยี วกับพฤติกรรมทีค่ าดหวัง 2.2 มคี รเู ป็นแบบอยา่ งการแสดงพฤตกิ รรมทีเ่ หมาะสม 2.3 จัดประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม และพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมเพ่ือป้องกันพฤติกรรมที่ เปน็ ปญั หา มสธ มสธ2.4 สงั เกตและช่นื ชมเมอื่ เดก็ แสดงพฤตกิ รรมเชิงบวก 2.5 มกี ารใหเ้ หตผุ ลเกย่ี วกบั การแสดงพฤตกิ รรมของเดก็ และสอนวธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ เี่ หมาะสม ในการแสดงความต้องการหรอื ความร้สู ึก 2.6 มีการเตือนเด็กเก่ียวกับสิ่งท่ีควรปฏิบัติก่อนท่ีจะมีการเปล่ียนกิจกรรม หรือเวลาที่เกิด ความวุ่นวาย 3. การจัดหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก มสธ3.1 สังเกตพัฒนาการเดก็ เพอื่ น�ำมาใช้วางแผนการจัดประสบการณ์ 3.2 จัดวสั ดุอปุ กรณ์ในห้องเรียน เชน่ หนังสอื ตุ๊กตา รูปภาพ ท่สี ะทอ้ นภาพในเชิงบวกของ บุคคลทีม่ ีความบกพรอ่ งด้านตา่ งๆ ทเ่ี ด็กพบเห็นในสถานการณป์ ระจำ� วันหรือในชมุ ชน 3.3 มีคอมพิวเตอร์ท่ีทันสมัยและมีโปรแกรมที่เหมาะสมส�ำหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ โดยขอคำ� แนะนำ� จากผเู้ ชี่ยวชาญในการเลือกฮารด์ แวรแ์ ละซอฟต์แวรท์ ี่เหมาะสมส�ำหรับเดก็ แต่ละคน มสธ มสธ4. การส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางสังคม 4.1 จัดกิจกรรมเพ่ือฝึกทักษะทางสังคมท่ีเน้นความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และทักษะ ในการเลน่ โดยใช้กิจกรรม เชน่ การท�ำเปน็ แบบอยา่ ง การพดู เตอื น การเลา่ นิทาน การใช้หุน่ ฯลฯ 4.2 มกี ารวางแผนและสนบั สนนุ การสรา้ งปฏสิ มั พนั ธก์ บั เพอ่ื น มกี ารดแู ลเดก็ เปน็ รายบคุ คล เพอื่ ช่วยให้เด็กเรยี นรู้วธิ ีการเลน่ และท�ำกิจกรรมกบั เพอื่ น 4.3 มีของเล่นท่ชี ่วยสง่ เสรมิ การเล่นบทบาทสมมติในหอ้ งเรยี น มสธ4.4 มคี รูเป็นแบบอย่างท่ีดีของการแสดงพฤติกรรมทางสังคม 5. การจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนและประสบการณ์ที่สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะ ของเด็ก 5.1 ส�ำหรับเด็กก่อนวัยเรียนท่ีมีความบกพร่องด้านร่างกาย 1) มีสง่ิ อำ� นวยความสะดวกสำ� หรับเดก็ ทใี่ ชอ้ ุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนไหว มสธ มสธ2) เด็กทกุ คนสามารถเขา้ ถึงได้ทุกพน้ื ท่ีในห้องเรียน 3) อปุ กรณท์ เ่ี ดก็ อาจปนี ปา่ ยได้ ควรมพี นื้ หรอื ฐานดา้ นลา่ งเหนยี วเพอื่ ปอ้ งกนั การลน่ื 4) มีราวจบั ทีบ่ นั ไดทุกแหง่ และในห้องน้าํ 5) มีพ้ืนที่กว้างขวางพอในห้องเรียนและนอกห้องเรียน เพื่อให้เด็กท่ีใช้อุปกรณ์ช่วย ในการเคลื่อนไหวสามารถหมุนรอบตัวได้ ซึ่งอุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่มีรัศมีในการหมุน มสธประมาณ 4-5 ฟุต

14-40 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั 6) พื้นห้องมีความราบเรียบหรือมีระดบั ท่ตี ่างกันน้อยท่ีสดุ เพือ่ ป้องกันการสะดดุ โดย มสธเฉพาะในกรณเี ดก็ ท่มี ีการเคลือ่ นไหวไม่คอ่ ยมน่ั คง หรือเด็กทม่ี คี วามบกพร่องดา้ นการเห็น 7) พืน้ ห้องควรเป็นวสั ดุที่มีความยดื หยนุ่ เพอื่ ช่วยลดความรุนแรงเม่อื ลม้ 8) มีเฟอร์นิเจอร์ท่ีอยู่กับท่ีในห้องเรียน เพื่อให้เด็กใช้เป็นหลักส�ำหรับการใช้ยันหรือ พยงุ ตวั เพอ่ื ลกุ ขึน้ ยนื มสธ มสธ9) โตะ๊ และเกา้ อี้มีความมัน่ คง 10) มีท่ีน่ังหลายๆ แบบในห้องเรียนเพื่อเป็นทางเลือกส�ำหรับเด็ก เช่น มีเบาะนุ่มๆ สำ� หรับรองนงั่ เก้าอ้สี งู เกา้ อเ้ี ต้ยี โตะ๊ ทน่ี ัง่ ส�ำหรบั ใหเ้ ดก็ และครูท�ำกจิ กรรมดว้ ยกนั แบบ 1 : 1 ท่สี ายตาครู และเดก็ อยใู่ นระดบั เดยี วกนั หมอนและหมอนขา้ งขนาดเลก็ -ใหญ่ เพอื่ ชว่ ยใหเ้ ดก็ รสู้ กึ มน่ั คงและชว่ ยควบคมุ การเคลอื่ นไหว 5.2 ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องด้านการได้ยินและ/หรือด้านการเห็น มสธ1) มแี สงสวา่ งทเี่ พยี งพอและเหมาะสมในหอ้ งเรยี นโดยใชว้ ธิ กี ารทหี่ ลากหลาย เชน่ ใช้ กระจกเพอื่ ชว่ ยในการจดั แสงใหม้ คี วามเหมาะสมในบรเิ วณทแี่ สงจา้ เกนิ ไปหรอื มดื เกนิ ไป ใชไ้ ฟทใี่ หแ้ สงทน่ี มุ่ นวล หรอื บงั แสงทห่ี นา้ ตา่ ง จดั วางเฟอรน์ เิ จอรห์ รอื อปุ กรณเ์ พอ่ื หลกี เลย่ี งการเกดิ แสงจา้ หรอื การสะทอ้ นแสง ฯลฯ 2) ไมม่ ีเสียงดงั รบกวนในห้องเรยี น โดยใช้วัสดสุ �ำหรบั ดูดเสยี งกรุท่ีผนัง แบง่ สว่ นใน ห้องเรยี นจัดเปน็ มมุ สงบแยกจากสว่ นทมี่ เี สียงดงั มสธ มสธ3) ตดิ ปา้ ยตา่ งๆ ในหอ้ งเรยี น ใหเ้ ดก็ สามารถมองเหน็ ไดจ้ ากทวั่ หอ้ ง ตวั อกั ษรมขี นาดใหญ่ การพมิ พห์ รือเขยี นตวั อกั ษรมคี วามสมำ�่ เสมอ ใช้ตวั หนังสือสีเขม้ บนพ้ืนสีออ่ น 4) ปราศจากของระเกะระกะบนพนื้ ทใี่ นหอ้ งเรยี นเพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ อนั ตราย การจดั ระบบ การเกบ็ ของและของเลน่ อยา่ งดจี ะชว่ ยใหเ้ ดก็ เรยี นรกู้ ารนำ� ของเลน่ ออกมาเลน่ และการเกบ็ ของเลน่ ไดด้ ว้ ย ตัวเอง รวมถึงการเก็บขยะไปทิ้งทีถ่ งั ขยะ และการเกบ็ เก้าอ้เี ข้าท่เี มื่อถึงเวลาท�ำความสะอาด 5) จดั ประสบการณก์ ารเรยี นรทู้ กี่ ระตนุ้ การมอง การไดย้ นิ การเคลอื่ นไหวโดยจดั ของเลน่ มสธและกิจกรรมเกยี่ วกบั การสมั ผัส ดนตรี และการเคลือ่ นไหวในกิจกรรมประจ�ำวนั 5.3 ส�ำหรับเด็กที่มีความบกพร่องด้านการส่ือสารและด้านภาษา 1) จัดรูปแบบในการน�ำเสนอข้อมูลที่มีความหลากหลาย เช่น ใช้รูปภาพ ตาราง สญั ลักษณต์ ่างๆ ในการสอื่ สารกบั เด็ก 2) เสริมคำ� พดู ของเดก็ ด้วยการใช้ท่าทางและการประสานสายตากับเดก็ มสธ มสธ3) ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะกบั ระดบั พฒั นาการของเดก็ เชน่ ใชป้ ระโยคสน้ั ๆ กบั เดก็ 3 ขวบ และใชป้ ระโยคทย่ี าวขึ้นกบั เด็ก 5 ขวบ 4) ตรวจสอบความเขา้ ใจของเดก็ เกยี่ วกบั สงิ่ ทคี่ รพู ดู คอยตรวจสอบสญั ญาณทแ่ี สดง วา่ เด็กเขา้ ใจในสงิ่ ทีค่ รพู ดู เชน่ การมองสบตา ท่าทาง ใหเ้ ดก็ พูดตามและอธบิ ายส่งิ ทไ่ี ดย้ ิน 5) กระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ใชภ้ าษาของตนเอง แลว้ ครจู งึ แสดงแบบอยา่ งการใชภ้ าษาทเี่ หมาะสม มสธเช่น กระตุน้ ให้เด็กพูดขอวสั ดอุ ปุ กรณ์และการเข้ารว่ มกจิ กรรมต่างๆ ครูสนทนากบั เด็กในเรือ่ งท่เี ด็กสนใจ

การจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ท่ีมีความต้องการพเิ ศษ 14-41 6) มีหนังสือหลากหลายที่มุมหนังสือในห้องเรียนท่ีเหมาะส�ำหรับอายุและระดับ มสธพัฒนาการของเด็ก ครอู า่ นหนังสือกับเด็กแบบ 1:1 นอกจากการอ่านใหเ้ ด็กฟังเปน็ กลมุ่ 5.4 ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องด้านสติปัญญา 1) จัดอปุ กรณแ์ ละของเล่นสำ� หรบั เด็กทมี่ รี ะดับพฒั นาการช้ากวา่ เกณฑ์ปกติ 2) ปรับตารางกิจกรรมประจ�ำวันให้มีความยืดหยุ่น เพื่อที่จะปรับให้เหมาะกับความ มสธ มสธสนใจหรอื ความตอ้ งการของเดก็ 3) มีการให้สัญญาณก่อนที่จะมีการเปลี่ยนกิจกรรม และอธิบายข้ันตอนการปฏิบัติ กิจกรรมและกิจวัตรประจ�ำวัน การเปล่ียนกิจกรรมที่ราบร่ืนและคาดเดาได้ ช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่าจะต้องท�ำ อะไร นำ� ไปสกู่ ารประสบความสำ� เร็จในการทำ� กจิ กรรม 4) จัดการสอนเปน็ รายบคุ คลและยำ�้ ซํา้ ทวนสำ� หรบั เดก็ ทตี่ อ้ งการเวลาในการเรียนรู้ 5) มีวัสดุอุปกรณ์และศูนย์การเรียนรู้เพียงพอ เพื่อตอบสนองต่อช่วงความสนใจที่ มสธแตกตา่ งกันของเด็ก จัดทางเลอื กในการทำ� กจิ กรรมท่หี ลากหลายส�ำหรบั เด็ก ติดตามดกู ารเข้าท�ำกิจกรรม ในศูนย์ของเด็ก เพ่ือจัดล�ำดับความส�ำคัญของกิจกรรมท่ีเด็กให้ความสนใจมากที่สุด ขอความเห็นหรือ คำ� แนะน�ำจากผปู้ กครองเก่ยี วกับกิจกรรมท่ีเดก็ สนใจ 5.5 ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องด้านการรับสัมผัส 1) จัดมุมสงบในห้องเรียนพร้อมด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และมี มสธ มสธกจิ กรรมสำ� หรบั เดก็ ทถ่ี กู กระตนุ้ ไดง้ า่ ยหรอื เดก็ ทอี่ อ่ นลา้ จดั มมุ พเิ ศษทเ่ี งยี บสงบ มโี คมไฟเลก็ ๆ หรอื ทำ� ให้ เกิดแสงสลัวโดยใช้ม่านหรอื ฉากกัน้ 2) จดั กจิ กรรมพฒั นากลา้ มเนอื้ ใหญภ่ ายในอาคารทกุ วนั โดยใชพ้ นื้ ทโ่ี ถงทางเดนิ หรอื บรเิ วณทีม่ พี น้ื ท่กี วา้ งพอสำ� หรับจัดกจิ กรรมเคลื่อนไหว 3) จดั ทัง้ กจิ กรรมที่ตอ้ งเคลื่อนไหวและกิจกรรมสงบ 4) จดั กจิ กรรมและใชว้ สั ดทุ ชี่ ว่ ยพฒั นาดา้ นการรบั สมั ผสั เชน่ การเลน่ ทราย การเลน่ นา้ํ มสธ5) จดั เตรยี มอปุ กรณห์ รอื กจิ กรรมทเี่ ปน็ ทางเลอื กใหเ้ ดก็ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ มโี อกาสเลอื กวสั ดุ เนอ่ื งจากเดก็ ท่ีมคี วามบกพรอ่ งด้านการรบั สมั ผัสบางคนปฏเิ สธทจ่ี ะจบั ส่ิงทีน่ ่มิ ๆ เช่น สี ดนิ นํ้ามัน ฯลฯ 6) จัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนท่ีลดการกระตุ้นเกี่ยวกับการมองมากเกินไป เช่น น�ำสิ่งของทเ่ี ดก็ ไมไ่ ดใ้ ชแ้ ล้วออกไปจากชน้ั วางของ มกี ารหมุนเวียนการแสดงผลงานศิลปะของเดก็ ฯลฯ 6. การจัดกิจกรรมและการดูแลพ้ืนที่ภายนอกอาคาร มสธ มสธ6.1 จัดให้มีอุปกรณ์และกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้เด็กมีการสื่อสารกัน เพื่อให้เด็กสามารถท่ีจะ เลน่ ในบริเวณต่างๆ ของสนามเดก็ เลน่ โดยมปี ฏสิ มั พนั ธ์กับเพอ่ื น 6.2 จดั กจิ กรรมภายนอกอาคารทม่ี คี วามหลากหลาย เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ดก็ ทกุ คนไดพ้ ฒั นาสมั ผสั ท่ีหลากหลาย ซึ่งเป็นความจ�ำเป็นอย่างยิ่งส�ำหรับเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ กิจกรรมท่ีจัดในอาคาร มสธสามารถนำ� มาจัดนอกอาคารได้

14-42 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวัย 6.3 จัดพืน้ ที่ภายนอกอาคารใหเ้ ดก็ ทุกคนสามารถเขา้ ถึงได้อยา่ งทวั่ ถึง โดยจัดพื้นที่ใหเ้ ดก็ มสธท่ีใช้อุปกรณ์ช่วยการเคลื่อนไหวสามารถเข้าไปเล่นและเรียนรู้ได้ทั่วบริเวณของสนามเด็กเล่น เคล่ือนย้าย สงิ่ ท่ีเป็นอุปสรรคออก เพือ่ ให้เดก็ ไดม้ ปี ฏสิ มั พันธ์กับสิ่งแวดลอ้ มดว้ ยตัวเองใหม้ ากท่สี ุด 6.4 ปรบั พน้ื ทภี่ ายนอกอาคารใหม้ คี วามเสมอกนั เพอื่ ทเ่ี ดก็ สามารถเดนิ วงิ่ ไดอ้ ยา่ งปลอดภยั 6.5 จัดของเลน่ ท่มี ลี อ้ เพอื่ พฒั นาทักษะกลไก มสธ มสธสรุปได้ว่า ลักษณะการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษตามแนวทาง การออกแบบการเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ สากลและการศกึ ษาแบบเรยี นรวม คอื ตอ้ งมคี วามเหมาะสมกบั ผเู้ รยี นทม่ี คี วาม แตกตา่ งกนั มกี ารจดั การเรยี นรวมตามบรบิ ทของโรงเรยี นและความตอ้ งการจำ� เปน็ ของเดก็ แตล่ ะคน ทำ� ให้ เด็กทกุ คนสามารถเข้าถงึ การเรยี นรู้ และสามารถทำ� กิจกรรมได้ด้วยตนเองมากทส่ี ุดเท่าทีจ่ ะสามารถทำ� ได้ มสธกิจกรรม 14.2.3 จงอธบิ ายลกั ษณะการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษตามแนวทางการ เรียนรวม แนวตอบกิจกรรม 14.2.3 มสธ มสธการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษตามแนวทางการเรียนรวมจัดได้ หลายลักษณะขน้ึ อยูก่ ับบรบิ ทของแตล่ ะโรงเรยี น ไดแ้ ก่ เรียนรวมในช้นั ปกติ เรยี นรวมในช้ันปกตแิ ละมีครู พิเศษใหค้ ำ� ปรึกษา เรียนรวมในชนั้ ปกติและรบั บรกิ ารจากครูเวยี นสอน เรยี นรวมในช้นั ปกติและรบั บริการ จากครเู สรมิ วชิ าการ จดั ชน้ั พเิ ศษในโรงเรยี นปกตแิ ละเรยี นรว่ มบางเวลา จดั ชนั้ พเิ ศษในโรงเรยี นปกติ รวม ถงึ การจดั ประสบการณแ์ ละสภาพแวดล้อม ดังนี้ 1. มีการสื่อสารระหว่างบ้านและโรงเรียน เช่น เขียนอนุทินเพ่ือส่ือสารข้อมูลระหว่างบ้านและ มสธโรงเรยี น จดั ประชุมผู้ปกครอง สำ� รวจข้อมูลเกี่ยวกบั เดก็ และความตอ้ งการของผปู้ กครอง 2. สนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวก เช่น เป็นแบบอย่างการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ช่ืนชมเม่ือ เดก็ แสดงพฤติกรรมเชงิ บวก 3. จัดหลักสูตรท่ีสอดคล้องกับความต้องการของเด็ก โดยสังเกตพัฒนาการเด็กในการวางแผน การจัดประสบการณ์ จัดวัสดุอุปกรณ์ท่ีสะท้อนภาพในเชิงบวกของบุคคลท่ีมีความบกพร่องด้านต่างๆ มี มสธ มสธคอมพิวเตอรท์ ม่ี โี ปรแกรมท่เี หมาะสมส�ำหรับเด็กท่มี ีความตอ้ งการพิเศษ 4. สง่ เสรมิ การพัฒนาทกั ษะทางสงั คม เช่น จดั กิจกรรมเพ่ือฝึกทักษะทางสังคม เป็นแบบอยา่ งที่ ดขี องการแสดงพฤติกรรมทางสงั คม 5. จัดสภาพแวดลอ้ มในหอ้ งเรียนและประสบการณ์ทส่ี อดคลอ้ งกับความตอ้ งการเฉพาะของเด็ก มสธ6. จดั กจิ กรรมและดแู ลพนื้ ทภี่ ายนอกอาคารใหเ้ ดก็ สามารถเขา้ ถงึ การเรยี นรเู้ ชน่ เดยี วกบั เดก็ ปกติ

การจัดประสบการณ์สำ� หรบั เด็กปฐมวยั ท่ีมีความต้องการพเิ ศษ 14-43 มสธตอนที่ 14.3 การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ แต่ละประเภท มสธ มสธโปรดอา่ นหัวเร่อื ง แนวคิด และวัตถุประสงค์ของตอนท่ี 14.3 แล้วจึงศึกษารายละเอยี ดตอ่ ไป หัวเร่ือง 14.3.1 แนวทางการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษแตล่ ะประเภท 14.3.2 การประเมนิ เด็กปฐมวยั ที่มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ 14.3.3 บทบาทผเู้ กย่ี วขอ้ งในการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ มสธแนวคิด 1. การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษแต่ละประเภทต้อง สอดคล้องและเหมาะสมกบั ความตอ้ งการเฉพาะของเด็กแตล่ ะคน เพื่อให้เดก็ ได้พฒั นา มสธ มสธอย่างเตม็ ที่ตามศักยภาพ 2. การประเมินเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ เป็นองค์ประกอบส�ำคัญในการพัฒนา เดก็ ทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เพอ่ื ใชใ้ นการวางแผนการจดั ประสบการณใ์ หม้ คี วามเหมาะสมกบั เดก็ แต่ละคน ท�ำโดยการประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการที่หลากหลาย การประเมินผล จากกจิ กรรมบำ� บดั ทางการศกึ ษา การประเมนิ ผลตามแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล การประเมนิ โดยแพทยห์ รอื ผเู้ ช่ยี วชาญ 3. การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษจ�ำเป็นต้องอาศัยความ มสธรว่ มมอื และการทำ� งานรว่ มกนั ระหวา่ งโรงเรยี น ผปู้ กครอง และชมุ ชน โรงเรยี นมบี ทบาท ในการวางนโยบายและจัดประสบการณ์ ผู้ปกครองมีบทบาทในการให้ความร่วมมือกับ โรงเรยี น และเลย้ี งดเู ดก็ ดว้ ยความรกั ชมุ ชนมบี ทบาทในการพฒั นา แกไ้ ขความบกพรอ่ ง และใหก้ ารยอมรบั เด็ก มสธ มสธวัตถุประสงค์ เมอื่ ศกึ ษาตอนที่ 14.3 จบแล้ว นกั ศกึ ษาสามารถ 1. อธิบายแนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษแต่ละ ประเภทตามทก่ี �ำหนดใหไ้ ด้ 2. อธิบายการประเมินเดก็ ปฐมวยั ทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษตามที่ก�ำหนดใหไ้ ด้ 3. อ ธิบายบทบาทผู้เก่ียวข้องในการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการ มสธพิเศษได้

14-44 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวัย มสธเรื่องท่ี 14.3.1 แนวทางการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ แต่ละประเภท มสธ มสธเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็ก จงึ ตอ้ งมคี วามแตกตา่ ง มคี วามเหมาะสม สอดคลอ้ งและตอบสนองกบั ความตอ้ งการพเิ ศษของเดก็ แตล่ ะคน ทง้ั ในดา้ นพฒั นาการ สภาพรา่ งกาย อารมณ์ สตปิ ญั ญา ตอ่ ไปนจ้ี ะไดก้ ลา่ วถงึ แนวทางการจดั ประสบการณ์ สำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษแต่ละประเภท มสธแนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2556ก) กลา่ ววา่ การชว่ ยเหลอื และเตรยี มความพรอ้ มสำ� หรบั เดก็ ทม่ี คี วาม บกพรอ่ งทางการเหน็ ตอ้ งใหเ้ ดก็ ไดร้ จู้ กั การใชป้ ระสาทสมั ผสั สว่ นอนื่ ๆ มาทดแทนการสญู เสยี ความสามารถ ในการมองเห็นใหม้ ากที่สดุ รวมถงึ การฝกึ ให้เด็กรจู้ ักช่วยเหลอื ตนเอง การจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เด็กทม่ี ี มสธ มสธความบกพรอ่ งทางการเหน็ แยกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทคอื การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ทม่ี สี ายตาเลอื นราง และการจัดประสบการณส์ ำ� หรับเด็กตาบอด ท�ำไดด้ ังน้ี 1. ให้เด็กใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพ่ือช่วยให้ประสาทสัมผัสพัฒนาได้ดีขึ้น โดยใช้ล�ำดับข้ัน พฒั นาการเช่นเดยี วกบั เด็กทัว่ ไป 2. พดู อธบิ ายถงึ สงิ่ ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ รอบตวั เดก็ ดว้ ยคำ� พดู ทชี่ ดั เจน เขา้ ใจงา่ ย เพอ่ื ใหเ้ ดก็ เขา้ ใจไป ดว้ ยในขณะที่เลน่ หรอื ท�ำกิจกรรมตา่ งๆ มสธ3. ให้เด็กใชป้ ระสาทสมั ผสั ตา่ งๆ ให้มากทีส่ ดุ เท่าทจี่ ะท�ำได้ เช่น การสมั ผัส การดมกลนิ่ การฟงั การชมิ 4. ใหเ้ ดก็ เขา้ ใจสง่ิ ตา่ งๆ ดว้ ยการใชว้ สั ดอุ ปุ กรณท์ มี่ เี สยี งและมผี วิ สมั ผสั ทน่ี า่ จบั ตอ้ ง เชน่ ลกู บอลผา้ ท่ีมีลูกกระพรวนอยู่ข้างใน ช่วยให้เด็กรู้ทิศทางของลูกบอล เคร่ืองเล่นที่กลิ้งได้หรือยกได้ เคลื่อนท่ีได้ มผี วิ สมั ผัสตา่ งๆ กนั มสธ มสธ5. พยายามใหเ้ ดก็ ใชก้ ารเหน็ ทเี่ หลอื อยใู่ หม้ ากทสี่ ดุ โดยใชอ้ ปุ กรณช์ ว่ ย เชน่ ใชผ้ า้ สตี า่ งๆ หนงั สอื อกั ษรขยาย 6. เพ่ิมทกั ษะท่จี ำ� เปน็ สำ� หรบั คนตาบอดในกรณเี ดก็ ตาบอดสนทิ ได้แก่ การเขียนและอา่ นอักษร เบรลล์ ประสบการณ์เบ้ืองต้นในการด�ำรงชีวิต ทักษะการสร้างความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม และการ เคลอ่ื นไหว การใชส้ ื่อหรืออปุ กรณ์ตา่ งๆ ส�ำหรับคนตาบอดทใี่ ชส้ มั ผัสด้วยมือและการฟังเปน็ หลัก 7. จดั ท�ำแผนการศกึ ษาเฉพาะบุคคล จัดสอื่ การเรยี นร้สู ำ� หรบั เด็กที่มคี วามบกพรอ่ งทางการเห็น มสธไดแ้ ก่ ของจรงิ ของจำ� ลอง หนงั สอื อกั ษรเบรลล์ สอื่ ภาพนนู หนงั สอื เสยี ง สอ่ื อกั ษรเบรลลป์ ระกอบภาพนนู

การจัดประสบการณส์ �ำหรับเดก็ ปฐมวัยที่มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ 14-45 หนงั สอื ปกตทิ ข่ี ยายใหใ้ หญข่ น้ึ ตามความเหมาะสมของเดก็ ทม่ี สี ายตาเลอื นราง สอ่ื สำ� หรบั เดก็ ปกตทิ สี่ ามารถ มสธใชก้ ับเด็กทมี่ ีความบกพร่องทางการเหน็ ได้ และสอื่ อืน่ ๆ ท่ีสามารถนำ� มาประยกุ ต์ใชไ้ ด้ แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางการได้ยิน เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจะส่งผลให้มีปัญหาด้านภาษาและการพูดด้วย เด็กจะใช้ มสธ มสธพฤติกรรมทางกายในการแสดงความรูส้ ึกและอารมณ์ ขอ้ จ�ำกดั ทางภาษาท�ำให้การเรียน การปรบั ตวั ทาง สังคม และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้อยกว่าเด็กปกติ การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กที่มีความบกพร่อง ทางการไดย้ ินท�ำไดด้ งั น้ี (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2556ก) 1. จัดการศกึ ษาพิเศษตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการต้งั แตร่ ะดับชัน้ เด็กเลก็ 2. จัดการเรยี นรว่ มกบั เดก็ ปกติ โดยมีครกู ารศกึ ษาพเิ ศษ ล่ามภาษามอื ตลอดจนการช่วยเหลือ ในด้านภาษาและการส่ือสารตามความเหมาะสม มสธ3. จดั การสอนแบบสองภาษาเพอื่ ชว่ ยใหเ้ ดก็ สามารถปรบั ตวั ไดด้ ี สามารถสอ่ื สารได้ ประกอบดว้ ย 3.1 การสอนภาษามือไทยเป็นภาษาแรกเพ่ือให้เด็กใช้ภาษามือในการคิด การแสดงความ รูส้ ึก การพดู คุย และการเรียนรโู้ ลก ท�ำใหเ้ ด็กรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย ไมถ่ ูกทอดท้งิ และเปน็ อสิ ระ การสอน ภาษามอื ไทย สอนโดยครหู หู นวกทร่ี ภู้ าษาไทย เพอ่ื เปน็ ตน้ แบบของการใชภ้ าษามอื ไทย และเปน็ ผถู้ า่ ยทอด มสธ มสธวฒั นธรรมของคนหหู นวก 3.2 การสอนภาษาไทยเปน็ ภาษาทส่ี อง เพอื่ ใหเ้ ดก็ อา่ นออกเขยี นไดแ้ ละ/หรอื พดู ได้ เพอ่ื ใช้ ในการติดต่อกับคนท่ัวไปและการรับรู้เรื่องราวต่างๆ จากการอ่าน การสอนภาษาไทยสอนโดยครูที่มีการ ไดย้ นิ ทร่ี ภู้ าษามอื เพอ่ื เปน็ ตน้ แบบของการใชภ้ าษาไทย และเปน็ ผถู้ า่ ยทอดและแลกเปลย่ี นวฒั นธรรมไทย กับวัฒนธรรมของคนหูหนวก 4. การจดั กจิ กรรมบำ� บดั ทางการศกึ ษา เพอื่ บำ� บดั ฟน้ื ฟู เตรยี มความพรอ้ มดา้ นรา่ งกาย การฝกึ ฟงั และพดู การใช้ภาษามือ การอ่านรมิ ฝีปาก มสธ5. จัดท�ำแผนการศกึ ษาเฉพาะบุคคล แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2556ค) กลา่ วถงึ ทกั ษะสำ� หรบั เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญาในระดบั มสธ มสธกอ่ นวัยเรยี น 6 ดา้ นท่ีควรได้รบั การพัฒนา คือ 1. ด้านทักษะเคล่ือนท่ีและการรับรู้ ไดแ้ ก่ มองตามสงิ่ ของทเ่ี คลอ่ื นที่ บอกขนาดของสงิ่ ของ และ รูปทรงต่างๆ ได้ ร่วมกิจกรรมที่อาศัยการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย จ�ำแนกความต่างระหว่าง ซา้ ย-ขวา และปฏบิ ัติตามคำ� สั่งท่ีเก่ียวกบั ซ้าย-ขวาได้ มกี ารประสานกันระหว่างกลา้ มเนื้อมอื และสายตา กล้ามเนื้อแขนขาและสายตา สามารถวิ่งหรือกระโดดตามจังหวะและเสียงดนตรีได้ สามารถปฏิบัติตาม ค�ำสั่งง่ายๆ ได้ สามารถหยิบจับสิ่งของได้ สามารถร่วมกิจกรรมที่มีการว่ิง รวมถึงความสามารถในการ มสธกระโดดเอ้ือมหยบิ หรือจับสง่ิ ของ

14-46 การจดั การศกึ ษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวัย 2. ทักษะทางภาษา ไดแ้ ก่ ต้ังใจฟงั และจ�ำแนกเสียงตา่ งๆ ได้ ตัง้ ใจฟังและจ�ำแนกเสียงสระและ มสธพยญั ชนะได้ ฟงั และเข้าใจความหมายของค�ำและข้อความง่ายๆ ได้ เข้าใจคำ� สัง่ ง่ายๆ พดู โดยใช้ค�ำศพั ท์ ในชวี ติ ประจำ� วนั งา่ ยๆ ได้ ใชค้ ำ� ทเ่ี กย่ี วกบั เวลาไดถ้ กู ตอ้ ง เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรปู ธรรมกบั นามธรรม เช่น การหอมแก้มกับความรัก เล่าเร่ืองหรืออธิบายเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนตามล�ำดับข้ันตอนท่ีถูกต้องโดยใช้ ค�ำไม่ผิดความหมาย พูดคล่องแคล่ว ชัดเจน ฟังเข้าใจ มีความตั้งใจท่ีจะอภิปรายปัญหาต่างๆ ร่วมกับ มสธ มสธเพ่ือนๆ 3. ทักษะความคิดความจ�ำ ได้แก่ มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนการสอน มีความสนใจในสภาวะ แวดล้อมรอบตัว แสดงความสนใจ ซักถาม แสดงความเห็น แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระในการ อภปิ รายกลุ่ม มที ักษะในการแกป้ ัญหาต่างๆ คิดวเิ คราะห์ แกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ 4. ทกั ษะการช่วยเหลือตนเอง ไดแ้ ก่ มที ศั นคตทิ ดี่ ตี อ่ การชว่ ยเหลอื ตนเอง มที กั ษะดา้ นการรกั ษา สขุ อนามยั ของตนเอง เข้าใจเกี่ยวกบั ความปลอดภยั ในสถานท่ีต่างๆ ควบคุมอารมณ์ได้ ยอมรบั ความผดิ มสธเมอ่ื ถูกตำ� หนแิ ละพยายามแกไ้ ข 5. ทักษะทางสังคม ไดแ้ ก่ เคารพในสทิ ธขิ องผอู้ นื่ เขา้ ใจกฎ กตกิ าของสงั คม รจู้ กั ปอ้ งกนั ตนเอง รู้จักสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อ่ืน สร้างความสัมพันธ์อันดีกับครู และเพื่อนๆ เคารพและเช่ือฟังผู้ใหญ่ เคารพกฎหมายบ้านเมือง รู้จักกาลเทศะ รู้จักปฏิบัติตนให้เป็น ประโยชน์ มสธ มสธ6. ความคิดสร้างสรรค์ ไดแ้ ก่ สามารถรว่ มกจิ กรรมด้านศลิ ปะ การวาดภาพ การระบายสี การ ร้องเพลง การเล่นดนตรี การแสดงละคร การร�ำไทย และศิลปะด้านอ่ืนๆ แสดงออกทางด้านศิลปะ และ ความคดิ สรา้ งสรรคอ์ ยา่ งเสรี พฒั นาทกั ษะดา้ นศลิ ปะ และความคดิ สรา้ งสรรคต์ ามระดบั ความสามารถของตน เทคนิคการสอนท่ีช่วยให้การจัดประสบการณ์สำ� หรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญาประสบ ความส�ำเรจ็ มีดังนี้ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2556ค) 1. เทคนิคการกระตุ้นเตือน มี 4 ชนิด คอื มสธ1.1 การเรียกร้องความสนใจจากเดก็ เช่น การเคาะวัตถุที่ใชฝ้ ึกกบั พนื้ โตะ๊ การพยายามให้ เดก็ สบตาโดยใช้รางวลั หลอกล่อแล้วค่อยๆ เลอื่ นเข้าใกล้สายตาครู 1.2 การกระตุ้นเตือนทางกาย คือการจับมือของเด็กให้ท�ำงานส่วนท่ีครูต้องการให้ท�ำ เมื่อ เด็กทำ� ได้ ครจู ะลดการชว่ ยเหลือลงเปน็ การสัมผัสเบาๆ และเลื่อนจากการจบั มอื มาเป็นแตะท่ีขอ้ ศอก และ ลดการช่วยเหลือลงจนเด็กสามารถทำ� งานได้เอง มสธ มสธ1.3 การกระตุ้นเตือนด้วยทา่ ทาง คือการสาธติ วิธีปฏบิ ตั งิ านใหเ้ ดก็ ดู ให้เด็กเลยี นแบบ 1.4 การกระตนุ้ ดว้ ยวาจา คอื การใชค้ ำ� สง่ั หรอื ชแี้ จงดว้ ยคำ� พดู สน้ั ๆ งา่ ยๆ ทำ� ได้ 2 ลกั ษณะ คือ กระตุ้นโดยช้ีแนะหรือบอกให้เด็กท�ำทุกขั้นตอน และกระตุ้นโดยการออกค�ำส่ัง เป็นการกระตุ้นเด็กท่ี ผ่านการกระตุน้ โดยการชแ้ี นะมาแลว้ 2. เทคนิคการวิเคราะห์งาน คอื การแตกงานออกเป็นข้นั ตอนย่อยๆ หลายขั้นตอน จากง่ายไป มสธหายาก มกี ารก�ำหนดจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมของแต่ละข้นั ตอน จนท�ำให้เดก็ สามารถกระทำ� ได้สำ� เร็จ

การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเดก็ ปฐมวัยทม่ี ีความต้องการพเิ ศษ 14-47 3. เทคนิคการให้รางวัล คอื การใหร้ างวลั ทนั ทที นั ใดหลงั จากทเี่ ดก็ แสดงพฤตกิ รรมหรอื ทำ� งานได้ มสธส�ำเรจ็ โดยท�ำอย่างสม่ำ� เสมอทุกครั้งที่เดก็ ทำ� สำ� เรจ็ รางวัลท่ใี ห้ เช่น รางวลั ทางสังคม รางวัลทางประสาท สัมผัส 4. เทคนิคตะล่อมกล่อมเกลา คือการวิเคราะห์งานกอ่ น แล้วให้รางวลั ในขัน้ ตอนท่เี ดก็ ทำ� ได้ ซ่งึ ข้ันตอนเหล่าน้ีจะต้องต่อเนื่องไปสู่จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม มสธ มสธ5. เทคนิคการเลียนแบบ คอื การให้เด็กท�ำตามตัวอย่างที่ครูสาธิตให้ดู แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ กระทรวงศึกษาธิการ (2556ง) กล่าวถึงการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทาง ร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรอื สุขภาพ ดังนี้ มสธ1. ใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเรม่ิ 1.1 เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การเคลอ่ื นไหว หรอื สขุ ภาพ ทไ่ี มม่ คี วามพกิ าร ซ้อน สามารถเรียนร่วมชั้นปกติได้ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยส�ำหรับเด็กทั่วไป โดยปรับสาระที่ควร เรียนรู้และคณุ ลักษณะตามวัยให้สอดคลอ้ งกับความสามารถและความจำ� เป็นของเดก็ มสธ มสธ1.2 จดั การศกึ ษาพเิ ศษต้งั แตร่ ะดบั อนบุ าลในรายทมี่ คี วามพกิ ารซ้อน 1.3 จัดกิจกรรมให้มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริง มีประโยชน์ต่อการน�ำไปใช้ในชีวิตประจ�ำวัน มากที่สดุ 2. บำ� บดั ฟน้ื ฟสู มรรถภาพของเดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การเคลอื่ นไหว หรอื สขุ ภาพ ตามสภาพความบกพรอ่ งของเดก็ เชน่ กายภาพบำ� บดั กิจกรรมบ�ำบดั การแกไ้ ขการพดู ศลิ ปะบำ� บัดและ ดนตรบี �ำบดั มสธ3. พัฒนาทักษะการส่ือสารส�ำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคล่ือนไหว หรือ สุขภาพที่มภี าวะสมองพกิ าร ทำ� ให้มปี ัญหาด้านการพดู การกลืน เดก็ ที่มีความยากลำ� บากในการควบคุม การเคลอ่ื นไหวศรี ษะ ใบหนา้ ปากและลนิ้ ทำ� ใหพ้ ดู ไดล้ ำ� บาก พดู ไมช่ ดั อาจทำ� ใหเ้ ดก็ เกดิ ความทอ้ แทห้ าก ผู้ฟงั ไม่เข้าใจในสงิ่ ที่เด็กพยายามพดู 4. ใชเ้ ทคโนโลยีและส่ิงอ�ำนวยความสะดวกช่วยในการจัดกิจกรรมต่างๆ เชน่ อปุ กรณ์ฮาร์ดแวร์ มสธ มสธและโปรแกรมต่างๆ ดินสอสีที่มีด้ามจับขนาดใหญ่หรืออุปกรณ์ช่วยระบายสีโดยใช้ฟองนํ้าพันด้ามสีให้มี ขนาดใหญ่ขึ้นให้เด็กจับได้สะดวก จักรยานสามล้อแบบใช้มือบังคับ จักรยานสามล้อแบบใช้เท้าบังคับ รถเขน็ และอปุ กรณท์ ช่ี ่วยในการเคลอ่ื นที่ 5. จดั สภาพแวดลอ้ มภายในและภายนอกหอ้ งเรยี นใหเ้ ออ้ื ตอ่ การจดั กจิ กรรมสำ� หรบั เดก็ ทม่ี คี วาม บกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การเคลอ่ื นไหว หรอื สขุ ภาพ ควรจดั ใหม้ ที วี่ า่ งสำ� หรบั ใหเ้ ดก็ ทตี่ อ้ งนง่ั รถเขน็ หรอื ใช้อุปกรณ์ช่วยเดินสามารถเคลื่อนที่ไปยังมุมต่างๆ ในห้องเรียนได้อย่างสะดวกสบาย และปลอดภัย มสธพื้นห้องควรใช้วัสดุท่ีไม่ลื่น ใช้ฟองน้ําหุ้มตามมุมโต๊ะ หรือท�ำมุมโต๊ะให้มีลักษณะมน จัดหาโต๊ะที่สามารถ

14-48 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั สอดรถเขน็ เขา้ ไปได้ จดั หาโตะ๊ และเกา้ อที้ ปี่ รบั ระดบั ความสงู ไดห้ รอื จดั โตะ๊ และเกา้ อใ้ี หม้ ขี นาดและความสงู มสธเหมาะสมต่อการจัดท่าทางในการนั่งท�ำกิจกรรม ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพให้เด็กใช้แขนและมือในการท�ำ กจิ กรรมไดด้ ีข้นึ แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ มสธ มสธความบกพร่องทางการเรยี นรเู้ ป็นกลุ่มที่พบไดม้ ากทส่ี ดุ ในกล่มุ ของผู้ท่มี คี วามบกพร่องด้านต่างๆ ผลการวิจัยชี้ชัดว่าความบกพร่องทางการเรียนรู้มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของโครงสร้างในสมอง ทำ� ใหม้ ปี ญั หาในดา้ นวชิ าการทเี่ กยี่ วกบั การอา่ นและคณติ ศาสตร์ และมกั มปี ญั หาเกย่ี วกบั ความจำ� มคี วาม วิตกกงั วลสงู (Turnbull, et al., 2016, pp. 115-116) การจดั ประสบการณ์ส�ำหรบั เดก็ ที่มีความบกพร่อง ทางการเรยี นรู้ ทำ� ได้ดงั น้ี 1. สอนทกั ษะสำ� คญั ทเ่ี หมาะสมกบั พฒั นาการ โดยทำ� ใหเ้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของกจิ กรรมประจำ� วนั ของ มสธเดก็ ทเี่ กิดข้นึ บอ่ ยๆ หรือทำ� เปน็ ประจำ� เพอ่ื ให้เกดิ การเรียนรูท้ ักษะน้นั ๆ ในบรบิ ทของการเรียนรวม วธิ ีนี้ จะมปี ระโยชน์มากสำ� หรับการสอนทกั ษะทางภาษา 2. จดั ท�ำแผนการศกึ ษาเฉพาะรายบุคคลใหเ้ หมาะสมกับความตอ้ งการของเด็กแต่ละราย แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา มสธ มสธการจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ทม่ี ีความบกพรอ่ งทางการพดู และภาษาท�ำไดด้ ังนี้ 1. จดั ใหเ้ ดก็ อยใู่ นชนั้ เรยี นปกตมิ ากทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะมากได้ ตามทฤษฎปี ฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมทก่ี ลา่ ววา่ การเรยี นรทู้ กั ษะในการสอื่ สารจะเกดิ ขนึ้ จากการมปี ฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม (Hoff, 2009 cited in Turnbull, et al., 2016) 2. จัดกิจกรรมต่างๆ เพ่ือพัฒนาทางด้านภาษา เช่น การเล่นเสียง การเลียนเสียง การฝึกต้ัง คำ� ถาม ฝกึ ผสมคำ� ทม่ี คี วามหมายโดยเรม่ิ จาก 2 พยางคแ์ ลว้ คอ่ ยๆ เพมิ่ พยางคจ์ นเปน็ ประโยคทม่ี คี วามหมาย มสธรวมถึงการฝึกความแขง็ แรงของอวัยวะในการฝกึ พดู เชน่ การฝกึ เปา่ การดดู การกลนื การแลบลิน้ ฯลฯ 3. จัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนให้อากาศถ่ายเทได้ดี มีแสงสว่าง ไม่พลุกพล่าน จัดกิจกรรม ตา่ งๆ ทสี่ นบั สนนุ การพดู และการใชภ้ าษาทเ่ี หมาะสมตามวยั ของเดก็ เหมอื นกบั เดก็ ปกติ เชน่ อา่ นหนงั สอื ทีเ่ ดก็ สนใจหรอื นทิ านกบั เด็ก เกมบัตรค�ำหรอื บตั รภาพต่างๆ รอ้ งเพลง 4. จดั ใหเ้ ดก็ ไดร้ บั บรกิ ารการฝกึ พดู โดยนกั แกไ้ ขการพดู โดยเรว็ ทส่ี ดุ ตงั้ แตเ่ รมิ่ คน้ พบความผดิ ปกติ มสธ มสธเพอ่ื แกไ้ ขความบกพรอ่ ง และพฒั นาการพดู และการใชภ้ าษาเพอื่ ชว่ ยใหส้ อื่ สารกบั ผอู้ น่ื ได้ โดยจดั ควบคไู่ ป กบั การเรยี นตามปกติท่โี รงเรียน แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางพฤตกิ รรมหรอื อารมณ์ เปน็ ผลจากความบกพรอ่ งหรอื ความผดิ ปกตทิ าง จติ ใจหรอื สมองในสว่ นของการรบั รู้ อารมณห์ รอื ความคดิ การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ ง มสธทางพฤติกรรมหรืออารมณท์ ำ� ไดด้ งั น้ี

การจัดประสบการณ์สำ� หรบั เด็กปฐมวัยท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษ 14-49 1. ให้บรกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม มสธ2. จดั เดก็ เข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติเต็มเวลา และมีบรกิ ารอน่ื เพอ่ื ชว่ ยแกไ้ ขข้อบกพร่องของเดก็ 3. จดั ประสบการณท์ ตี่ อบสนองความตอ้ งการพเิ ศษของเดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางพฤตกิ รรมหรอื อารมณ์ ประกอบดว้ ย ความปลอดภยั และมนั่ คง การไดร้ บั ความรกั และเปน็ ผใู้ หค้ วามรกั การเปน็ ทย่ี อมรบั การได้รับความยกย่องว่ามีความสามารถ ความเป็นอิสระและเป็นผู้รับผิดชอบในกิจกรรมต่างๆ และการ มสธ มสธไดร้ ับประสบการณแ์ ปลกๆ ใหมๆ่ 4. จดั ใหเ้ ดก็ เรยี นหลกั สตู รพเิ ศษทเี่ นน้ ทกั ษะทางสงั คมในกรณที เ่ี ดก็ มพี ฤตกิ รรมรนุ แรงไมส่ ามารถ เรยี นรว่ มกบั ผอู้ น่ื ไดโ้ ดยเนน้ ทกั ษะทางสงั คม เพอ่ื เตรยี มเดก็ ตง้ั แตร่ ะดบั อนบุ าลใหม้ คี วามพรอ้ มทจี่ ะเรยี นรว่ ม กบั เด็กปกติได้ 5. จัดทำ� แผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล มสธแนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีภาวะออทิซึม ภาวะออทิซึมเป็นความบกพร่องที่ส่งผลต่อความสามารถในการส่ือสาร ท้ังการส่ือสารท่ีใช้ภาษา และไมใ่ ช้ภาษา รวมถึงความสามารถในการมปี ฏิสัมพันธท์ างสังคม ซึ่งมกั จะพบอาการเมอื่ เด็กมีอายุก่อน 3 ขวบ และมกั จะสง่ ผลกระทบตอ่ ความสามารถทางวชิ าการของเดก็ ลกั ษณะเฉพาะของเดก็ ทม่ี ภี าวะออทซิ มึ มสธ มสธคือ มีความสนใจหรือชอบทำ� ซํา้ ๆ และมีการเคล่ือนไหวทีเ่ ป็นแบบฉบับของตัวเอง ปฏเิ สธหรือไมย่ อมรบั การเปล่ียนแปลงเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว เคยท�ำอย่างไรก็จะท�ำอย่างน้ันเป็นกิจวัตร มีพัฒนาการทางภาษาท่ี ผดิ ปกติ รวมถงึ มคี วามผดิ ปกตเิ กย่ี วกบั การรบั และถา่ ยทอดความรสู้ กึ การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ทมี่ ี ภาวะออทซิ มึ ในระดับอนุบาลจงึ ม่งุ เน้นทีก่ ารฝกึ พฤตกิ รรมที่เหมาะสม โดยเฉพาะการฝึกทกั ษะทางภาษา และทักษะทางสังคม (Turnbull, et al., 2016) การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กท่ีมีภาวะออทิซึมจ�ำเป็น ตอ้ งอาศัยความร่วมมอื จากหลายฝ่าย เชน่ นักแกไ้ ขการพูด นักกจิ กรรมบ�ำบัด แพทย์ ครู ผปู้ กครอง โดย มแี นวการจดั กิจกรรมต่างๆ ดงั น้ี มสธ1. กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการ เป็นการจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทุกด้านตามวัย โดยยึดหลกั และลำ� ดับข้ันพฒั นาการของเดก็ ปกติ จัดกิจกรรมให้เหมาะกบั ความสามารถของเดก็ แตล่ ะคน 2. พฤตกิ รรมบำ� บดั เพอ่ื แกไ้ ขปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม และสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมทเี่ หมาะสม ให้คงอยู่ต่อเนื่อง ให้เด็กสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ นอกจากการใช้ มสธ มสธโปรแกรมพฤติกรรมบ�ำบัด และการให้แรงเสริมแล้ว Turnbull, et al. (2016) ได้กล่าวถึงการจัด ประสบการณ์ที่ช่วยให้เด็กท่ีมีภาวะออทิซึมได้เรียนรู้วิธีการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนอย่างเหมาะสม และ เรยี นรทู้ จ่ี ะเข้าใจมมุ มองของผู้อื่นด้วยการสอนเร่อื งราวเกี่ยวกบั สังคม (social stories) ซงึ่ เป็นวิธกี ารท่ีมี ประโยชน์อย่างมากส�ำหรับเด็กที่มีภาวะออทิซึมในระดับอนุบาลและระดับที่สูงขึ้น เรื่องราวเก่ียวกับสังคม เปน็ เรอื่ งทเี่ ขยี นโดยนกั การศกึ ษา พอ่ แม่ หรอื นกั เรยี น โดยการเขยี นอธบิ ายสถานการณท์ างสงั คม เนอื้ เรอื่ ง จะตอ้ งประกอบดว้ ยประโยค 4 ชนดิ ดงั นี้ 1) ประโยคบรรยายขอ้ มลู เกย่ี วกบั สถานการณ์ เกดิ ทไ่ี หน บคุ คล มสธที่เกี่ยวขอ้ ง กำ� ลังท�ำอะไร ท�ำไม 2) ประโยคแสดงถึงมมุ มองเกยี่ วกบั ความรู้สกึ ความคดิ ความเชอ่ื และ

14-50 การจัดการศึกษาและหลกั สตู รส�ำหรบั เดก็ ปฐมวยั แรงจูงใจ ของบุคคล 3) ประโยคชี้น�ำ ส่ิงท่ีเป็นความคาดหวังท่ีเป็นการตอบสนองตามสถานการณ์นั้นๆ มสธ4) ประโยคควบคุม ระบุกลยุทธท์ ่เี ดก็ ใช้เพอื่ ที่จะจำ� ข้อมลู ในเร่อื งและอธบิ ายการตอบสนองต่อสถานการณ์ 3. แกไ้ ขการพดู นกั แกไ้ ขการพดู จะทำ� การประเมนิ สภาพความผดิ ปกติ และทดสอบความสามารถ ดา้ นการพดู ของเดก็ เพอ่ื ทจี่ ะฟน้ื ฟสู มรรถภาพในการพดู ไดอ้ ยา่ งครอบคลมุ โดยครเู ปน็ ผทู้ มี่ บี ทบาทสำ� คญั ในการชว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ไดพ้ ดู และออกเสยี งใหถ้ กู ตอ้ งตามทไี่ ดร้ บั การฝกึ จากนกั แกไ้ ขการพดู ผา่ นกจิ กรรม มสธ มสธต่างๆ ทจี่ ดั ข้ึน หรอื จากการพูดคุยในชวี ิตประจ�ำวนั 4. กิจกรรมบ�ำบัดโดยนักกิจกรรมบ�ำบัด เพื่อช่วยบ�ำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพตามสภาพปัญหา ของเด็กท่มี ภี าวะออทซิ ึม เพ่ือใหม้ ีพฤติกรรมทีเ่ หมาะสม สามารถด�ำเนนิ ชวี ติ ไดต้ ามศกั ยภาพ 5. กิจกรรมการบ�ำบัดเสรมิ เชน่ ศลิ ปะบำ� บัด ดนตรบี ำ� บัด 6. ฟน้ื ฟสู มรรถภาพทางการศกึ ษา โดยการจดั ทำ� แผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล จดั โปรแกรมการสอน สำ� หรับเด็กท่ีมีภาวะออทิซึม เชน่ โปรแกรมทชี (Treatment and Education of Autistic and Related มสธCommunication Handicapped Children: TEACCH) แนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กพิการซ้อน Turnbull, et al. (2016) กล่าวถึงแนวคิดหนึ่งท่ีเป็นการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กพิการซ้อน มสธ มสธคอื Children’s School Success (CSS) เป็นหลกั สูตรท่นี �ำเด็กวยั อนุบาลท่มี คี วามบกพร่องรุนแรงและ พิการซ้อนมาอยู่รวมกับเด็กทั่วไปเพื่อเป็นการลดช่องว่างทางการศึกษา และเป็นการเตรียมเด็กเพื่อเข้าสู่ ระบบโรงเรียน สนับสนุนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง และส่งเสริมการปฏิบัติให้เหมาะกับสถานการณ์จริง มี การจัดกจิ กรรมท่ีเหมาะกับพฒั นาการตามวัยของเดก็ (developmentally age-appropriate activities) เก่ียวกบั คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และภาษา โดยมีข้อสันนิษฐาน ดงั น้ี 1. เดก็ มพี ลงั เปน็ นกั เรียนทม่ี แี รงจูงใจในตวั เอง ซึ่งจะเรียนรไู้ ด้ดีท่ีสุดจากประสบการณ์ทไี่ ด้รับ 2. เด็กจะเรียนรไู้ ด้ดีทีส่ ุดหากไดร้ ับโอกาสในการฝกึ ปฏิบตั ิทกั ษะต่างๆ ในบริบททีม่ ีความหมาย มสธ3. เด็กสามารถสร้างความรู้จากการมีส่วนร่วมกับผู้อ่ืนในการใช้ทักษะการแก้ปัญหาและการ ประเมินตนเอง 4. เด็กควรมโี อกาสหาทางเลอื กในการเรียนรู้ 5. เด็กจะเรยี นรูไ้ ด้ดีทส่ี ดุ ด้วยหลกั สูตรท่ีเปน็ การบูรณาการ มสธ มสธแนวทางการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ Turnbull, et al. (2016) กล่าวถึงการจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เด็กปฐมวยั ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ ดงั น้ี 1. ตรวจสอบและบนั ทกึ วา่ เดก็ มคี วามสามารถพเิ ศษดา้ นใด 2. จดั ประสบการณเ์ ชงิ สงั คมและกายภาพ เชน่ กจิ กรรมเกยี่ วกบั ดนตรี การเรยี นรจู้ ากธรรมชาติ มสธ3. จดั ประสบการณท์ ี่สอดคลอ้ งกบั ความถนดั ความสนใจ และความสามารถของเด็ก

การจัดประสบการณส์ ำ� หรับเด็กปฐมวัยท่มี ีความตอ้ งการพิเศษ 14-51 4. จัดกจิ กรรมท่ีมที างเลือกหลากหลาย มสธ5. จัดกิจกรรมในลักษณะของการต่อยอดจากกิจกรรมท่ีจัดอยู่เดิมมากกว่าการจัดกิจกรรมซ้ําๆ เนอ่ื งจากเด็กทมี่ ีความสามารถพเิ ศษสามารถเรยี นรู้ไดเ้ ร็วกว่าเดก็ ท่ัวไป 6. จดั กจิ กรรมที่สง่ เสรมิ การคดิ ขัน้ ที่สูงขน้ึ เชน่ แนวคดิ ของบลูม (Bloom’s Taxonomies) สรปุ ไดว้ า่ แนวทางการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษตอ้ งจดั ใหม้ คี วาม มสธ มสธเหมาะสม สอดคลอ้ งและตอบสนองกบั ความแตกตา่ งและความตอ้ งการพเิ ศษของเดก็ แตล่ ะคน เพอื่ ใหเ้ ดก็ ทกุ คนสามารถอยู่ร่วมกัน และไดพ้ ฒั นาอยา่ งเต็มทต่ี ามศกั ยภาพ กิจกรรม 14.3.1 จงอธบิ ายแนวทางการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางรา่ งกาย หรอื การ มสธเคลือ่ นไหว แนวตอบกิจกรรม 14.3.1 แนวการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือ สุขภาพ มสธ มสธ1. ใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลอื ระยะแรกเรมิ่ โดยปรบั สาระทคี่ วรเรยี นรแู้ ละคณุ ลกั ษณะตามวยั ใหส้ อดคลอ้ ง กบั ความสามารถและความจำ� เปน็ ของเดก็ จดั การศกึ ษาพเิ ศษตงั้ แตร่ ะดบั อนบุ าลในรายทมี่ คี วามพกิ ารซอ้ น และจดั กจิ กรรมท่ีมปี ระโยชน์ตอ่ การนำ� ไปใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวนั 2. บำ� บดั ฟ้นื ฟูสมรรถภาพ เชน่ กายภาพบ�ำบดั การแกไ้ ขการพดู ศิลปะบำ� บัดและดนตรบี �ำบดั 3. พฒั นาทักษะการสอ่ื สารส�ำหรับเด็กที่มีภาวะสมองพิการร่วมดว้ ย 4. ใชเ้ ทคโนโลยีและสง่ิ อำ� นวยความสะดวกช่วยในการจดั กจิ กรรมต่างๆ เช่น อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ มสธและโปรแกรมต่างๆ ดนิ สอสที ่มี ดี ้ามจับขนาดใหญ่ อปุ กรณ์ทชี่ ่วยในการเคลอื่ นท่ี 5. จัดสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียนให้เอ้ือต่อการจัดกิจกรรม เช่น จัดให้มีท่ีว่าง สำ� หรบั ใหเ้ ดก็ ทตี่ อ้ งนงั่ รถเขน็ หรอื ใชอ้ ปุ กรณช์ ว่ ยเดนิ สามารถเคลอ่ื นทไ่ี ปยงั มมุ ตา่ งๆ ในหอ้ งเรยี นไดอ้ ยา่ ง สะดวกสบาย และปลอดภยั พ้ืนหอ้ งควรใช้วสั ดุทีไ่ ม่ลืน่ ใชฟ้ องนา้ํ ห้มุ ตามมุมโต๊ะ จัดหาโต๊ะทสี่ ามารถสอด มสธ มสธ มสธรถเขน็ เข้าไปได้ เป็นตน้

14-52 การจดั การศึกษาและหลกั สูตรสำ� หรับเด็กปฐมวยั มสธเรื่องท่ี 14.3.2 การประเมินเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ มสธ มสธการประเมนิ พฒั นาการเปน็ ขนั้ ตอนทมี่ คี วามสำ� คญั ของการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั นบั ไดว้ า่ เปน็ องคป์ ระกอบทสี่ ำ� คญั อยา่ งยงิ่ ในการพฒั นาเดก็ เนอ่ื งจากเปน็ การไดม้ าซงึ่ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั พฒั นาการ พฤติกรรม และความสามารถของเด็ก เพื่อที่ครูน�ำมาใช้ในการออกแบบการจัดประสบการณ์ให้มีความ เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนต่อไป ในเร่ืองน้ีจะกล่าวถึงหลักการประเมินเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ การประเมนิ เดก็ ปฐมวยั ท่มี คี วามบกพรอ่ ง และการประเมนิ เดก็ ปฐมวัยที่มคี วามสามารถพเิ ศษ มสธหลักการประเมินเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ก�ำหนดหลักการประเมินพัฒนาการเด็กวัย 3-5 ปี ไว้ (กระทรวง ศึกษาธิการ, 2546) ดังน้ี 1. ประเมนิ พัฒนาการของเด็กครบทกุ ดา้ นและน�ำผลมาพฒั นาเดก็ 2. ประเมนิ เป็นรายบุคคลอย่างสมำ�่ เสมอต่อเนอื่ งตลอดปี มสธ มสธ3. สภาพการประเมินควรมีลกั ษณะเชน่ เดยี วกบั การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมประจำ� วัน 4. ประเมินอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน เลอื กใช้เครือ่ งมือ และจดบันทึกไว้เปน็ หลกั ฐาน 5. ประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการท่ีหลากหลายเหมาะกับเด็ก รวมทั้งใช้แหล่งข้อมูลหลายๆ ดา้ น ไม่ควรใชก้ ารทดสอบ ส�ำหรับการประเมินเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษมีการด�ำเนินการบนพื้นฐานของหลักการ ประเมนิ ทว่ั ไป โดยจดั ใหเ้ หมาะสมกบั เดก็ แตล่ ะประเภท มคี วามเฉพาะเจาะจงสำ� หรบั เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการ มสธพเิ ศษ (ศรนิ ธร วทิ ยะสริ ินนั ท,์ 2555) ดังน้ี 1. กระบวนการประเมินต้ังอยู่บนพื้นฐานของหลักการประเมินส�ำหรับเด็กทั่วไป เพื่อให้บรรลุ จดุ หมายในการนำ� เด็กใหอ้ ยู่ร่วมเป็นสว่ นหนึง่ ของการมีชวี ิตอยตู่ ามปกตขิ องสงั คม 2. ครู และผเู้ กยี่ วขอ้ งมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจและความตระหนกั ในธรรมชาตแิ ละความตอ้ งการเฉพาะ ของเด็กที่มีความตอ้ งการพเิ ศษ มีความชดั เจนในสง่ิ ที่ต้องการประเมินเพ่อื ให้สามารถวางแผนและดำ� เนิน มสธ มสธการปรบั เปลยี่ นการประเมินตามความจ�ำเป็น เพอ่ื สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของเด็กแต่ละคน 3. เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษควรไดร้ บั การประเมนิ อยา่ งครบถว้ น รอบดา้ น หรอื ครอบคลมุ ตาม แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คลเพอื่ ใหเ้ ปน็ การพฒั นาแบบองคร์ วม ใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาทกุ ดา้ นตามศกั ยภาพ ของแต่ละคน 4. การด�ำเนินการประเมินเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษต้องมีความละเอียดอ่อน และระมัดระวัง มสธเพื่อใหแ้ น่ใจวา่ จะไมม่ ีความเสียหายเกดิ ขึน้ ต่อเด็กทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษและเด็กทวั่ ไป

การจัดประสบการณส์ �ำหรับเด็กปฐมวัยทมี่ ีความต้องการพิเศษ 14-53 5. เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษควรไดร้ บั ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เพอ่ื ชว่ ยใหม้ แี นวทางในการพฒั นาตนเอง มสธตอ่ ไปโดยเลอื กวธิ กี าร โอกาส จงั หวะเวลา คำ� พดู ทเี่ หมาะสม และทำ� ดว้ ยความละเอยี ดออ่ นรอบคอบ โดย เนน้ ตัวงานไมใ่ ชต่ ัวเดก็ และเนน้ วิธีการพฒั นาใหด้ ขี ึน้ ไมใ่ ชข่ อ้ ผดิ พลาดทีเ่ กดิ ขน้ึ 6. เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษควรไดร้ บั การฝกึ ใหป้ ระเมนิ ตนเองเพม่ิ ขนึ้ ทลี ะนอ้ ยตามความพรอ้ ม ของเดก็ แต่ละคน โดยเรม่ิ จากการให้มีส่วนรว่ มโดยวธิ ีง่ายๆ ไมซ่ บั ซอ้ น ตามโครงสรา้ งหรือแนวทางทค่ี รู มสธ มสธก�ำหนดให้ จากน้ันจึงค่อยๆ เพิ่มบทบาทและความรับผิดชอบให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถก�ำกับติดตาม การเรียนรู้ของตนเองใหไ้ ดม้ ากที่สุดเท่าทจี่ ะเปน็ ไปได้ การประเมินเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่อง การประเมนิ เด็กปฐมวยั ทีม่ คี วามบกพร่องอยูบ่ นหลักการเดยี วกับการประเมินเด็กทว่ั ไป โดยการ ประเมนิ เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ งตอ้ งมกี ารปรบั วธิ กี ารประเมนิ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความบกพรอ่ งของเดก็ เพอ่ื ให้ มสธไดข้ อ้ มลู ตา่ งๆ เกย่ี วกบั พฒั นาการและการเรยี นรขู้ องเดก็ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2546; Turnbull, et al., 2016) ดงั น้ี 1. การประเมินตามสภาพจริง โดยใช้วิธีการท่ีหลากหลาย ได้แก่ การสังเกตและการบันทึก พฤติกรรม การสนทนา การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กท่ีเก็บอย่างมีระบบที่แสดงถึง มสธ มสธความสามารถ หรอื พัฒนาการของเด็กเปน็ รายบคุ คล 2. การประเมินผลจากกิจกรรมบ�ำบัดทางการศึกษา 3. การประเมินผลตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 4. การประเมินโดยแพทย์หรือผู้เช่ียวชาญ นอกจากการประเมินด้วยวิธีการท่ีกล่าวถึงแล้ว ซ่ึง ส่วนใหญ่จะเป็นการประเมินโดยครู อาจต้องมีการประเมินโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย เน่ืองจาก สภาพความบกพรอ่ งของเดก็ บางอยา่ งจำ� เปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอื่ งมอื หรอื วธิ กี ารทมี่ คี วามเฉพาะเจาะจงตามสภาพ ความบกพร่อง เชน่ มสธ4.1 การประเมินเด็กท่ีมีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยประเมนิ ระดบั สตปิ ญั ญารว่ มกบั การประเมินพฤติกรรมการปรับตัว 1) ประเมนิ ระดบั สตปิ ญั ญา โดยใชแ้ บบทดสอบสตปิ ญั ญา (IQ tests) เชน่ Wechsler Scale มสธ มสธ2) ประเมินพฤติกรรมการปรับตัว เพื่อดูว่าเด็กมีทักษะการปรับตัวท่ีเหมาะกับอายุ หรอื ไม่ โดยใชแ้ บบประเมนิ ทกั ษะการปรบั ตวั เชน่ The Diagnostic Adaptive Behavior Scale (DABS) ใชป้ ระเมินต้ังแตอ่ ายุ 4–21 ปี 4.2 การประเมินเด็กท่ีมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยใช้แบบประเมนิ สติปัญญา และ แบบประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิ (Standardized Intelligence and Achievement Test) เพ่อื แยกระหว่างความ มสธบกพรอ่ งด้านความถนดั และดา้ นผลสมั ฤทธ์ิ ร่วมกบั การประเมนิ โดยกระบวนการทางจติ วทิ ยา

14-54 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั 4.3 การประเมินเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา Turnbull, et al. (2016) มสธกลา่ ววา่ การประเมนิ ดา้ นการพดู เปน็ การประเมนิ เกยี่ วกบั 1) การออกเสยี ง เปน็ การประเมนิ ความสามารถ ของเด็กในการออกเสียงเป็นค�ำ เป็นประโยค และการสนทนา 2) เสียง เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ สาเหตุที่ท�ำให้เกิดปัญหาเก่ียวกับเสียง 3) ความคล่องในการพูด โดยดูจากจ�ำนวนค�ำที่เด็กพูดไม่คล่อง ส่วนการประเมินด้านภาษา เป็นการประเมินองค์ประกอบเฉพาะของภาษา ประกอบกับการประเมินด้าน มสธ มสธอืน่ ๆ เชน่ ประเมินความสามารถทางด้านสติปัญญาโดยแบบทดสอบทางจิตวทิ ยาทีใ่ ชช้ บ้ี ง่ ความแตกต่าง ของความสามารถดา้ นการพดู และวินจิ ฉัยโดยผเู้ ช่ยี วชาญ 4.4 การประเมินเด็กท่ีมีภาวะออทิซึม ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะถกู ประเมนิ โดยแพทย์ หรอื จติ แพทย์ ตั้งแต่ในช่วงปฐมวัย เคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมิน เช่น Autism Diagnostic Interview-Revised ใช้ ประเมนิ ตงั้ แตเ่ ดก็ อายุ 2 ขวบถงึ วัยผ้ใู หญ่ ทำ� การประเมนิ โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยประเมนิ 3 ดา้ นคือ ดา้ น ภาษาและการสอื่ สาร ดา้ นการมปี ฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม และดา้ นพฤตกิ รรม (Turnbull, et al., 2016, p. 214) มสธซงึ่ ชุลีพร ตรี เศรษฐ์ศกั ดิ์ (ม.ป.ป.) กลา่ ววา่ การประเมนิ เดก็ ทีส่ งสัยออทสิ ซึมท�ำไดด้ ังนี้ 1) การซกั ประวัติเก่ยี วกับความบกพรอ่ งของพฒั นาการและประวตั คิ รอบครวั 2) การตรวจร่างกายและการตรวจทางระบบประสาท การสังเกตพฤติกรรมระหว่าง การตรวจ และการสังเกตความผดิ ปกตทิ ่พี บรว่ ม 3) การประเมินพฤติกรรม ระดับ IQ ความสามารถทางสติปัญญา และทักษะทาง มสธ มสธด้านการเรยี น รวมถึงประเมนิ ทกั ษะทางสังคม และพฤติกรรมทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 4.5 การประเมินเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาและพัฒนาการล่าช้า ท�ำโดยการ ซักประวัติ การประเมินสภาพแวดล้อมและคนที่อยู่ร่วมกันท้ังท่ีบ้านและโรงเรียน ประเมินพัฒนาการด้าน กลา้ มเนอ้ื ใหญ่ กล้ามเนอ้ื เลก็ ด้านสังคม และดา้ นการใช้ภาษา ประเมินภาวะความผดิ ปกติทางพฤติกรรม และอารมณ์ การตรวจร่างกาย เพ่ือวัดน้ําหนัก ส่วนสูง ลักษณะรูปร่างหน้าตาท่ีผิดปกติ (dysmorphic feature) การตรวจทางระบบประสาท และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น มสธ1) การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารพันธกุ รรม (Genetic Laboratory Test) เชน่ การ ตรวจโครโมโซม การตรวจ DNA 2) การตรวจรงั สีทางระบบประสาท (Neuroimaging Studies) MRI, CT Scan 3) การตรวจทางเมตาบอลกิ (Metabolic Testing) 4.6 การประเมินพัฒนาการ โดยใช้แบบประเมินคัดกรองพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก มสธ มสธปฐมวยั ทีม่ ีใชใ้ นประเทศไทย (ชุลพี ร ตรี เศรษฐศ์ ักดิ,์ ม.ป.ป.) ดงั น้ี 1) Developmental Surveillance & Promotion Manual Developmental Surveillance & Promotion Manual (DSPM) สําหรับผู้ปกครองและเจา้ หน้าทีส่ าธารณสุข ใช้ในเด็ก อายุ 0-5 ปี 2) แบบทดสอบคดั กรองพฒั นาการ Denver II ใช้ในเด็ก 0-6 ปี 3) แบบทดสอบคัดกรอง Capute scales: CAT/CLAMS (Capute Adaptive มสธTest/Capute Linguistic and Auditory Milestone Scales) ใช้ในเดก็ 1-36 เดือน

การจดั ประสบการณส์ ำ� หรับเดก็ ปฐมวัยทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษ 14-55 4) แบบประเมินพฒั นาการดว้ ยการวาดภาพ มสธ4.1) การวาดรูปทรงเรขาคณิต หรอื Gesell Figure Drawing 4.2) การวาดรปู คน (Draw-a-person Test) การประเมินเด็กปฐมวัยท่ีมีความสามารถพิเศษ มสธ มสธการประเมนิ เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษอยบู่ นหลกั การเดยี วกบั การประเมนิ เดก็ ทวั่ ไปและ การประเมนิ เด็กปฐมวยั ท่มี ีความบกพรอ่ ง โดยปรบั ใหเ้ หมาะกบั ความสามารถของเดก็ ดังนี้ 1. การประเมินตามสภาพจริง เป็นการประเมินพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กจากบริบทที่ หลากหลาย เพ่ือให้ได้ผลการประเมินที่ตรงตามสภาพจริงของเด็ก โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การสังเกต พฤตกิ รรม การบนั ทกึ ขอ้ มลู การประเมนิ จากผลงาน การใชแ้ บบประเมนิ พฒั นาการ การประเมนิ จากแฟม้ สะสมงานท่ีแสดงถึงความสามารถ หรือพัฒนาการของเด็กเป็นรายบุคคล โดยการประเมินเด็กที่มีความ มสธสามารถพิเศษควรมีการประเมินผลงาน และประเมินกระบวนการทำ� งาน เพ่ือประเมินทักษะส�ำคัญ เช่น ทักษะการแกป้ ญั หา ทกั ษะการคิด (Turnbull, et al., 2016, p. 355) 2. การประเมินการปฏิบัติ เป็นการประเมินจากการลงมือปฏิบัติจริงซ่ึงแสดงถึงความรู้ ทักษะ และความสามารถทโ่ี ดดเดน่ ของเดก็ เชน่ การตอ่ บลอ็ กทมี่ คี วามซบั ซอ้ นกวา่ เดก็ ทวั่ ไปในวยั เดยี วกนั ความ มสธ มสธสามารถทางดา้ นการใชภ้ าษา ดนตรี กฬี า ศิลปะ หรือดา้ นอื่นๆ สรปุ ไดว้ า่ การประเมนิ เดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ ดำ� เนนิ การตามหลกั การของการประเมนิ เด็กปฐมวัยโดยทั่วไป โดยปรบั คุณลกั ษณะตามวยั ใหส้ อดคลอ้ งกับความสามารถและความจ�ำเปน็ ของเดก็ โดยใชว้ ธิ กี ารทหี่ ลากหลาย เชน่ การประเมนิ ตามสภาพจรงิ (การสงั เกตจากการมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม การ พูดคยุ สมั ภาษณ์เด็ก การประเมนิ จากผลงาน) การประเมินผลตามแผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คลในกรณีทม่ี ี การจัดทำ� แผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล และการประเมนิ โดยผเู้ ชี่ยวชาญ มสธกิจกรรม 14.3.2 จงอธบิ ายหลักการประเมนิ เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม14.3.2 หลกั การประเมนิ เดก็ ปฐมวัยท่มี ีความตอ้ งการพิเศษมดี ังนี้ 1. กระบวนการประเมินตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการประเมินส�ำหรับเด็กท่ัวไป คือ ประเมิน พฒั นาการของเดก็ ครบทกุ ดา้ นและนำ� ผลมาพฒั นาเดก็ ประเมนิ เปน็ รายบคุ คลอยา่ งสมำ�่ เสมอตอ่ เนอื่ ง โดย จดั ในลกั ษณะเชน่ เดยี วกบั การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมประจำ� วนั ประเมนิ อยา่ งเปน็ ระบบ และประเมนิ ตามสภาพจรงิ ดว้ ยวธิ กี ารหลากหลาย มสธ2. ครมู ีความร้คู วามเข้าใจธรรมชาตแิ ละความตอ้ งการเฉพาะของเด็กท่มี คี วามตอ้ งการพิเศษ

14-56 การจัดการศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวยั 3. เดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษไดร้ บั การประเมนิ และพฒั นาแบบองคร์ วม ใหเ้ ดก็ ไดพ้ ฒั นาทกุ ดา้ น มสธตามศกั ยภาพของแตล่ ะคน 4. การดำ� เนนิ การประเมนิ เดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษตอ้ งมรี ะมดั ระวงั เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ความเสยี หาย ต่อเด็กทกุ คน 5. เดก็ ทม่ี ีความตอ้ งการพเิ ศษควรไดร้ ับข้อมลู ย้อนกลบั เพือ่ ให้เดก็ ได้พัฒนาตนเอง มสธ มสธ6. เด็กท่ีมีความต้องการพิเศษควรได้รับการฝึกให้ประเมินตนเอง เพื่อให้สามารถก�ำกับติดตาม การเรียนรขู้ องตนเองใหไ้ ดม้ ากทีส่ ุดเทา่ ทจี่ ะเป็นไปได้ เรื่องที่ 14.3.3 มสธบทบาทผู้เก่ียวข้องในการจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัย ที่มีความต้องการพิเศษ มสธ มสธการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวัยทมี่ ีความตอ้ งการพิเศษจ�ำเปน็ ตอ้ งอาศยั ความร่วมมอื และ การท�ำงานร่วมกันทั้งจากบ้าน โรงเรียน และชุมชน ท�ำให้มีผู้เก่ียวข้องหลายฝ่าย อาทิ ผู้ปกครอง ครู ผู้เชีย่ วชาญดา้ นการศึกษาพเิ ศษ ผ้เู ชย่ี วชาญด้านการศกึ ษาส�ำหรบั เด็กทม่ี ีความสามารถพิเศษ นกั บ�ำบัด ในสาขาตา่ งๆ แพทย์ พยาบาล เจา้ หนา้ ทสี่ าธารณสุข เพื่อจดั ประสบการณ์ทีม่ คี วามเหมาะสมช่วยในการ สง่ เสริมและพฒั นาศกั ยภาพของเด็ก มสธศศิลักษณ์ ขยันกิจ (2558) ได้สรุปแนวทางในการท�ำงานร่วมกันระหว่างครู ผู้ปกครอง และ ผู้เชยี่ วชาญในการใหค้ วามช่วยเหลือเดก็ ทมี่ คี วามต้องการพเิ ศษตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ซงึ่ มี 3 ลักษณะ ดงั นี้ 1. การท�ำงานแบบสหสาขาวิชา (multidisciplinary team) เป็นลักษณะที่แต่ละฝ่ายท�ำงาน แยกจากกนั ภายใตค้ วามชำ� นาญเฉพาะทาง กลา่ วคอื ผเู้ ชยี่ วชาญแตล่ ะคนทำ� การประเมนิ รวมทงั้ การเขยี น รายงาน การวางแผน และการบำ� บดั โดยไมเ่ กยี่ วขอ้ งกนั การทำ� งานลกั ษณะนเี้ ปน็ การทำ� งานแบบแยกสว่ น มสธ มสธผ้ปู กครองเปน็ ฝ่ายรบั บริการและข้อมลู เกย่ี วกับเด็กแต่เพียงฝา่ ยเดยี ว 2. การทำ� งานระหวา่ งสหสาขาวชิ า (interdisciplinary team) เปน็ ลกั ษณะการทำ� งานทแี่ ตล่ ะฝา่ ย ยังคงท�ำการประเมินและบ�ำบัดแยกส่วนกัน แต่มีการประชุมร่วมกันเป็นระยะ ผู้เช่ียวชาญ นักบ�ำบัด ครกู ารศกึ ษาพเิ ศษ และผปู้ กครอง ประชมุ เพอื่ แลกเปลย่ี นขอ้ มลู เกย่ี วกบั เดก็ แลว้ วางเปา้ หมายในการพฒั นา เดก็ รว่ มกนั การทำ� งานลกั ษณะนถี้ งึ แมว้ า่ ผปู้ กครองจะเปน็ สว่ นหนงึ่ ของทมี งาน แตค่ วามคดิ เหน็ สว่ นใหญ่ มสธยังมาจากผเู้ ชี่ยวชาญ

การจัดประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ที่มคี วามต้องการพเิ ศษ 14-57 3. การท�ำงานแบบก้าวข้ามสหสาขาวิชา (transdisciplinary team) เป็นลักษณะการท�ำงาน มสธที่แต่ละฝ่ายประสานบทบาทและความร่วมมือในการประเมินและบ�ำบัดเด็ก ได้แก่ ครูการศึกษาพิเศษ ผู้เช่ียวชาญ นักบ�ำบัด และผู้ปกครอง ท�ำงานร่วมกันภายใต้บริบทของห้องเรียนในการวางแผนกิจกรรม และการประเมินเพื่อพัฒนาเด็ก ประสิทธิภาพของการท�ำงานลักษณะนี้ข้ึนอยู่กับความร่วมมือของสมาชิก แต่ละคน จึงต้องเป็นการท�ำงานท่ีมีการสื่อสารกันอย่างต่อเน่ือง ท�ำให้มีความเหมาะสมเน่ืองจากช่วยให้ มสธ มสธหลีกเล่ยี งการบริการทีซ่ ํา้ ซอ้ น มองพฒั นาการเด็กในภาพรวมและใหค้ วามส�ำคญั กบั ครอบครัว ในการท�ำงานร่วมกันแต่ละฝ่ายต่างมีบทบาทหน้าท่ีแตกต่างกัน ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงบทบาทของ สถานศกึ ษา บทบาทของผู้ปกครอง และบทบาทของชมุ ชน ดงั น้ี บทบาทของสถานศึกษา สถานศกึ ษามบี ทบาทในการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษโดยมบี คุ คล มสธทเี่ กยี่ วขอ้ งคอื ผบู้ รหิ าร และครู บคุ คลแตล่ ะฝา่ ยมบี ทบาท (สำ� นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา, 2555; ศศิลกั ษณ์ ขยนั กิจ, 2558) ดงั น้ี 1. ผู้บริหาร มบี ทบาท ดังนี้ 1.1 ตระหนักในความส�ำคัญของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ โดยวางนโยบาย มสธ มสธในการจัดการศึกษาท่ีสอดคล้องกับบริบทและความต้องการของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษใน สถานศกึ ษา จดั บรกิ ารสงิ่ อำ� นวยความสะดวกและสภาพแวดลอ้ มทเี่ ออื้ ตอ่ เดก็ ทกุ คน เชน่ มที างลาด มรี าว จบั ทบ่ี นั ไดและทางเดนิ มหี อ้ งนาํ้ สำ� หรบั เดก็ พกิ าร มกี ารตดิ ปา้ ยตา่ งๆ ในสถานศกึ ษาทเ่ี ดก็ ทกุ คนสามารถ เขา้ ถึงขอ้ มูลได้ 1.2 สนับสนุนให้การจัดการศึกษาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยจดั หาครูทสี่ ามารถสอน หรือจัดประสบการณส์ ำ� หรบั เดก็ ที่มคี วามตอ้ งการพิเศษ หรอื ส่งครูไปอบรมเพม่ิ พูนความรอู้ ยเู่ สมอ 1.3 สร้างเครือข่ายหรือความร่วมมือระหว่างบ้านและสถานศึกษา เพื่อเสริมสร้างความ มสธม่ันใจของผู้ปกครองในการดูแลลูก รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้ปกครองสามารถดูแลและส่งเสริมพัฒนาการ และการเรยี นร้ขู องลกู ไดอ้ ยา่ งสอดคล้องในแนวทางเดยี วกนั กบั สถานศกึ ษา ดงั นี้ 1) ให้การสนับสนุนด้านอารมณ์และจิตใจกับครอบครัวและผู้ปกครองในข้ันตอนของ การปรบั ตวั หรอื ชว่ งทม่ี วี กิ ฤตเกดิ ขน้ึ เนอ่ื งจากผปู้ กครองของเดก็ ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ มสธ มสธเด็กทมี่ คี วามบกพรอ่ งมกั จะเกดิ ความเครียดมากกวา่ ผู้ปกครองของเด็กทว่ั ไป 2) ให้การศกึ ษาแกผ่ ปู้ กครอง ซง่ึ สามารถทำ� ได้หลายรปู แบบ เช่น ใหค้ วามรู้ในการ ดแู ลลูกเม่ืออยทู่ ่บี า้ น สนับสนุนข้อมูลทีจ่ ำ� เปน็ ให้คำ� แนะน�ำและคำ� ปรึกษาเปน็ รายกรณี 3) ใหผ้ ปู้ กครองมสี ว่ นรว่ มในการวางแผนการจดั ประสบการณห์ รอื การจดั ทำ� แผนการ มสธจัดการศกึ ษาเฉพาะบคุ คลของลูก ให้ผู้ปกครองได้เสนอความคิดเหน็ หรือบอกความต้องการ

14-58 การจดั การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรับเดก็ ปฐมวยั 1.4 จัดเทคโนโลยีส่ิงอ�ำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอ�ำนวยความสะดวกส�ำหรับเด็กท่ี มสธมคี วามต้องการพเิ ศษมหี ลายประเภท ได้แก่ 1) เทคโนโลยีท่ชี ว่ ยในการอ่าน 2) เทคโนโลยีท่ีชว่ ยในการเขียน 3) เทคโนโลยที ี่ชว่ ยในการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ มสธ มสธ4) เทคโนโลยีท่ีช่วยในการรบั ร้ทู างสายตา 5) เทคโนโลยที ี่ช่วยในดา้ นภาษาและการส่อื สาร 6) เทคโนโลยีทช่ี ่วยในการเคลื่อนไหวและการเดินทาง 1.5 เตรยี มเดก็ เขา้ สกู่ ารเรยี นในระดบั ประถมศกึ ษา การปรบั ตวั ของเดก็ ในชว่ งรอยเชอื่ มตอ่ เป็นสิ่งส�ำคัญ เมื่อเด็กอยู่ในรอยเช่ือมต่อระหว่างชั้นเรียนอนุบาลและประถมศึกษานับเป็นช่วงที่มีความ ส�ำคัญ เน่ืองจากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายที่เด็กจ�ำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัว แต่เน่ืองจาก มสธพัฒนาการของเด็กวัยนี้ยังไม่เอื้อต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นง่ายนัก จึงจ�ำเป็นต้องได้รับ การสนับสนุนและการช่วยเหลือที่เหมาะสมจากครู พ่อแม่ ผู้ปกครองตลอดจนบุคลากรอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง การสร้างรอยเช่ือมต่อท่ีราบรื่นให้กับเด็กจากชั้นเรียนอนุบาลเข้าสู่ชั้นเรียนประถมศึกษาจะช่วยให้เด็ก สามารถปรบั ตวั เขา้ กบั ธรรมชาตแิ ละการเรยี นรใู้ นระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาไดด้ ขี น้ึ โดยพอ่ แม่ ครู และผบู้ รหิ าร มีการวางแผนท�ำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวในช่วงรอยเช่ือมต่อได้ง่ายขึ้น ครูและสมาชิก มสธ มสธในครอบครวั จำ� เปน็ ตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจรอยเชอื่ มตอ่ ระหวา่ งชนั้ เรยี นอนบุ าลและประถมศกึ ษา ทง้ั นเ้ี พอื่ ทจี่ ะ สามารถสนับสนุนและอ�ำนวยความสะดวกให้เด็กสามารถปรับตัวและก้าวผ่านช่วงรอยเชื่อมต่อนี้ได้อย่าง ราบรนื่ (ยศวีร์ สายฟ้า, 2557) 2. ครู มบี ทบาท ดังนี้ 2.1 ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กเป็นรายบุคคลอย่างละเอียด ได้แก่ ลักษณะความ บกพร่อง/ความถนัด ข้อจ�ำกัด ศักยภาพ ความสามารถพื้นฐาน ประวัติสุขภาพ ประวัติครอบครัว โดย มสธศึกษาจากข้อมูลนักเรียน ขอ้ มลู ทางการแพทย์ ข้อมูลจากผู้ปกครอง ส�ำหรับใชว้ างแผนเพอื่ การช่วยเหลอื ฟ้นื ฟู และพฒั นาเด็ก 2.2 วางแผนการจัดประสบการณ์ รวมถึงการจดั สอื่ ต่างๆ สภาพแวดลอ้ ม และการวดั และ ประเมนิ ผลใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของเดก็ ซงึ่ การจดั การเรยี นรวมจะเปน็ ไปไดด้ ว้ ยดหี รอื ไมเ่ พยี งใด ขนึ้ อยกู่ บั สมรรถนะของครเู ปน็ สำ� คญั ดงั ที่ Recchia and Lee (2013) กลา่ วถงึ สมรรถนะของครู 6 ประการ มสธ มสธทม่ี คี วามส�ำคญั ในการจดั การเรียนรวมเพ่ือชว่ ยพัฒนาประสบการณท์ างสงั คมให้กบั เดก็ ปฐมวัย ดังน้ี สมรรถนะท่ี 1 การมีวิธีคิดและวิธีปฏิบัติในการรวมความแตกต่างเข้าด้วยกันและใช้ ประโยชนจ์ ากความแตกตา่ งของเดก็ ในโอกาสตา่ งๆ เพอื่ ทำ� ใหเ้ ดก็ ทกุ คนใหม้ าอยรู่ ว่ มกนั เปน็ สว่ นหนง่ึ ของ สังคมเดียวกัน เป็นการท�ำให้ห้องเรียนเป็นชุมชน (social community) ท่ีเด็กทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของ ชุมชนน้ี สมรรถนะที่ 2 การมีความสามารถในการดูแลเด็กแต่ละคนท่ีมีความต้องการเฉพาะ มสธในฐานะทเ่ี ด็กแตล่ ะคนเปน็ ผทู้ ่ีมคี วามส�ำคัญในกลุ่ม

การจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั เด็กปฐมวยั ทมี่ ีความตอ้ งการพิเศษ 14-59 สมรรถนะที่ 3 การคิดใหม่ท�ำใหม่เกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ท่ีตอบสนองต่อความ มสธต้องการของเดก็ แต่ละคน สมรรถนะที่ 4 การมคี วามสามารถทจ่ี ะเข้าใจมุมมองของเดก็ สมรรถนะท่ี 5 การมคี วามเชอ่ื และความคาดหวงั วา่ เดก็ จะสามารถบรรลเุ ปา้ หมายและ ประสบความสำ� เร็จได้ โดยครเู ป็นผูค้ อยสนบั สนนุ ความพยายามของเดก็ ด้วยความเตม็ ใจ มสธ มสธสมรรถนะที่ 6 การมีความเข้าใจว่า “ความเสมอภาค” (equity) ไม่ได้หมายถึง “ความเท่าเทียมกัน” (equality) เสมอไปในบรรยากาศของการเรียนรวม เนื่องจากบุคคลที่แตกต่างกัน ย่อมต้องการส่งิ ที่แตกต่างกันในการเรียนรู้ ดังนน้ั การปฏบิ ตั ิตอ่ เดก็ แตกตา่ งกันเปน็ สิ่งทย่ี อมรับได้ 2.3 จัดท�ำแผนการศึกษาเฉพาะรายบุคคล (Individualized Education Program: IEP) เป็นการจัดการศึกษาพิเศษให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็กแต่ละราย โดยก�ำหนดวัตถุประสงค์ของ การจัดประสบการณ์ ก�ำหนดกลยุทธ์เพอื่ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ การประเมนิ และบรกิ ารพิเศษทีเ่ ด็กควรได้ มสธรับการสนับสนุนโดยจัดเป็นเทอมหรือเป็นปี ท้ังนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ได้แก่ ผู้บริหาร สถานศกึ ษา ครูประจำ� ชัน้ ครูการศึกษาพิเศษ แพทย์ นกั จิตวทิ ยา และบุคลากรทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ท่สี �ำคัญทสี่ ุด คือ พอ่ แม่ ผปู้ กครองเดก็ 2.4 สร้างสัมพันธภาพทางสังคมในห้องเรียน กระตุ้นและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทาง สงั คมระหวา่ งเดก็ แตล่ ะคน โดยครเู ปน็ ผทู้ สี่ ามารถพจิ ารณาเดก็ เปน็ รายบคุ คล เขา้ ใจวธิ กี ารเรยี นรขู้ องเดก็ มสธ มสธให้เด็กทุกคนได้มสี ่วนร่วมในกิจกรรมโดยทคี่ วามแตกตา่ งไม่เป็นอปุ สรรค (Recchia and Lee, 2013) 2.5 ประสานความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและสถานศึกษา สร้างความสัมพันธ์อันดีกับ ผปู้ กครองเพอื่ ใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื ระหวา่ งบา้ นและสถานศกึ ษา ยอมรบั ผปู้ กครองในฐานะทเี่ ปน็ ผทู้ ร่ี จู้ กั เดก็ มากท่ีสุด ท�ำความเข้าใจและเตรียมพร้อมในการรับมือกับความเครียดของผู้ปกครองซ่ึงอาจแสดงออก ในรูปแบบตา่ งๆ มสธบทบาทของผู้ปกครอง ผปู้ กครองเปน็ ผู้ทีม่ บี ทบาทส�ำคัญทีส่ ดุ ในการชว่ ยเหลอื และพัฒนาเดก็ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ หรือบุคคลในครอบครัวที่ท�ำหน้าที่เล้ียงดูเด็กมาต้ังแต่แรกเกิดที่เป็นบุคคลที่เด็กรักและมีความผูกพัน ผปู้ กครองจงึ มบี ทบาทสำ� คญั อยา่ งยงิ่ ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการตามศกั ยภาพ และดำ� เนนิ ชวี ติ ดว้ ยความสขุ มสธ มสธบทบาทท่สี ำ� คัญของผู้ปกครอง ไดแ้ ก่ 1. ยอมรับเด็ก ในกรณีท่ีเด็กได้รับการวินิจฉัยว่ามีความบกพร่องมักจะก่อให้เกิดความเครียด ในครอบครวั แตล่ ะครอบครวั จะมกี ารรบั มอื กบั สถานการณค์ วามเครยี ดตา่ งกนั แตโ่ ดยทว่ั ไปจะมขี นั้ ตอนของ การรบั มอื เมอื่ แรกรบั รถู้ งึ ความผดิ ปกตขิ องลกู คลา้ ยๆ กนั ศศลิ กั ษณ์ ขยนั กจิ (2558) กลา่ วถงึ รปู แบบหนง่ึ ของข้นั ตอนการรับรขู้ องผปู้ กครองเมื่อรู้ว่าลูกมีความบกพรอ่ ง ดงั น้ี 1) ตกใจ เกดิ ความสบั สน 2) ปฏเิ สธ ซงึ่ เป็นขนั้ ตอนของการปอ้ งกนั ทางอารมณต์ ่อวกิ ฤต และหาทางหนชี ั่วคราว มสธ3) เศร้าโศก อาจน�ำมาซง่ึ การแยกตวั จากครอบครัว หรอื เพ่อื นฝูง

14-60 การจดั การศกึ ษาและหลักสูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวยั 4) ปรบั ตวั เปน็ การค้นหาหนทางที่จะลดความกังวลและยอมรบั เดก็ มสธ5) จดั การใหม่ เปน็ การเรม่ิ หาสมดลุ ของครอบครวั ปรบั โครงสรา้ งใหมแ่ ละยอมรบั เดก็ เปน็ ข้นั ที่ผูป้ กครองบรรลคุ วามสำ� เร็จในการรบั มือกับปัญหา 2. ให้ความร่วมมือกับสถานศึกษา และผู้เช่ียวชาญ แพทย์ นักบ�ำบัด เพ่อื ให้การชว่ ยเหลอื และ การพฒั นาเดก็ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน มสธ มสธ3. เล้ียงดูเด็กด้วยความรัก เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพท่ีดีในครอบครัว ท�ำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมี คุณค่า เป็นที่รัก อันจะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้และพัฒนาบุคลิกภาพและทักษะทางสังคมต่อไป รวมถึง การสอนคุณธรรม จรยิ ธรรม เพ่อื ให้เดก็ สามารถด�ำเนนิ ชีวิตในฐานะพลเมอื งทีม่ ีคณุ ภาพต่อไป บทบาทของชุมชน ชุมชนมีส่วนส�ำคัญในการด�ำเนินชีวิตของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งในส่วนของการพัฒนา มสธและ/หรือการแก้ไขความบกพรอ่ ง และทำ� ใหก้ ารดำ� เนนิ ชวี ิตของเดก็ ดำ� เนินไปอยา่ งเปน็ ปกตสิ ขุ ในฐานะท่ี เปน็ สมาชกิ คนหนง่ึ ของชมุ ชน โดยผทู้ มี่ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งไดแ้ ก่ ผเู้ ชยี่ วชาญ แพทย์ นกั บำ� บดั และบคุ คลทวั่ ไป 1. ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ นักบ�ำบัด ท�ำหน้าที่ประเมิน บ�ำบัด ฟื้นฟูสมรรถภาพของเด็กท่ีมีความ บกพร่องด้านต่างๆ ได้แก่ กายภาพบ�ำบัด กิจกรรมบ�ำบัด การแก้ไขการฝึกพูด ศิลปะบ�ำบัดและดนตรี มสธ มสธบำ� บดั รวมถงึ นกั วชิ าการหรอื ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการจดั การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ ทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ ทำ� งาน ร่วมกับโรงเรียนในการให้ค�ำปรึกษาในการค้นหาเด็กที่มีความสามารถพิเศษ จัดกิจกรรมและการประเมิน ที่มคี วามเหมาะสม โดยการท�ำงานเป็นทีมมีการประสานงานระหวา่ งผูเ้ กย่ี วข้องแต่ละฝ่าย 2. บุคคลท่ัวไป พึงปฏิบัติต่อเด็กอย่างให้การยอมรับและเคารพในศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ของ เด็กทุกคนในสังคม รวมถึงสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ต่างมีบทบาทเกี่ยวข้องต่อภาพลักษณ์ของเด็ก ซ่ึงส่วนใหญ่ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั ผลกระทบเชงิ ลบจะเปน็ เดก็ ทมี่ คี วามบกพรอ่ ง การใชค้ ำ� พดู และการปฏบิ ตั ติ อ่ เดก็ ทม่ี คี วามบกพรอ่ ง ในโอกาสตา่ งๆ จงึ มคี วามสำ� คญั Turnbull, et al. (2016) แสดงรายการคำ� ตา่ งๆ ทค่ี วรพดู และไมค่ วรพดู มสธเมื่อต้องการพูดถึงบุคคลท่ีมีความบกพร่อง อันแสดงถึงการให้การยอมรับในฐานะที่บุคคลเหล่าน้ันเป็น มสธ มสธ มสธสมาชิกของสงั คม โดยขอยกตัวอยา่ งพอเปน็ สงั เขป ดงั นี้

มสธDo say (ค�ำที่ควรพูด) การจัดประสบการณส์ ำ� หรับเดก็ ปฐมวยั ท่ีมคี วามต้องการพิเศษ 14-61 ตารางที่ 14.2 รายการค�ำต่างๆ ที่ควรพูดและไม่ควรพูดเม่ือต้องการพูดถึงบุคคลท่ีมีความบกพร่อง มสธ มสธPerson with Down syndrome Don’t say (ค�ำท่ีไม่ควรพูด) People with disability The disabled, handicapped Person with autism, on the autism spectrum Autistic Mongoloid มสธPsychiatric disability, mental illness Has a learning disability Slow learner Has a brain injury Blind, low vision Visually handicapped Intellectual disability Retarded, Mental retardation มสธ มสธกล่าวโดยสรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษจ�ำเป็นต้อง Crazy, psycho อาศัยความร่วมมือและการท�ำงานร่วมกันหลายฝ่ายทั้งบ้าน สถานศึกษา และชุมชน ได้แก่ พ่อแม่ ครูBrain damaged ผเู้ ช่ียวชาญด้านการศึกษาพิเศษ ผ้เู ชย่ี วชาญดา้ นการศกึ ษาส�ำหรบั เดก็ ทม่ี ีความสามารถพิเศษ นกั บ�ำบัด ในสาขาต่างๆ แพทย์ รวมถึงทุกคนในสังคมเพ่ือจัดประสบการณ์ท่ีมีความเหมาะสม สามารถช่วยในการ ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเด็ก ท่ีมา: Turnbull, A., Turnbull, R., Wehmeyer, M. L., Shogren, K. A. (2016). Exceptional Lives: Special Education in Today’s Schools (8th ed.). Boston: Pearson. p. 8 มสธกิจกรรม 14.3.3 จงอธิบายบทบาทผเู้ กีย่ วข้องในการจัดประสบการณ์ส�ำหรบั เด็กปฐมวัยท่มี ีความต้องการพเิ ศษ มสธ มสธแนวตอบกิจกรรม14.3.3 การจัดประสบการณ์ส�ำหรับเด็กปฐมวัยท่ีมีความต้องการพิเศษต้องอาศัยความร่วมมือและการ ทำ� งานร่วมกนั ทัง้ จากสถานศึกษา บ้าน และชมุ ชน บทบาทของสถานศึกษามีบุคคลที่เกี่ยวข้องคือ ผู้บริหาร และครู ผู้บริหารมีบทบาทในการวาง นโยบายในการจัดการศึกษาท่ีสอดคล้องกับความต้องการของเด็ก สนับสนุนให้การจัดการศึกษาเป็นไป ดว้ ยความเรยี บรอ้ ย สรา้ งเครอื ขา่ ยหรอื ความรว่ มมอื ระหวา่ งบา้ นและสถานศกึ ษา จดั เทคโนโลยสี ง่ิ อำ� นวย มสธความสะดวก และเตรยี มเดก็ เขา้ สกู่ ารเรยี นในระดบั ประถมศกึ ษา ครมู บี ทบาทในการจดั ประสบการณส์ ำ� หรบั

14-62 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ� หรบั เดก็ ปฐมวยั เด็ก โดยศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กเป็นรายบุคคล วางแผนการจัดประสบการณ์ จัดท�ำแผนการ มสธศกึ ษาเฉพาะรายบุคคล และประสานความสมั พันธร์ ะหวา่ งบา้ นและสถานศึกษา บทบาทของผู้ปกครอง คือยอมรับเด็ก ให้ความร่วมมือกับสถานศึกษา และผู้เช่ียวชาญ แพทย์ นักบ�ำบัดในการชว่ ยพฒั นาเดก็ และเลี้ยงดูเดก็ ด้วยความรัก ชุมชนมีบุคคลที่เก่ียวข้องคือ ผู้เช่ียวชาญ แพทย์ นักบ�ำบัด และบุคคลท่ัวไป โดยผู้เช่ียวชาญ มสธ มสธแพทย์ นักบ�ำบัด ท�ำหน้าท่ีประเมิน บ�ำบัด ฟื้นฟูสมรรถภาพของเด็กท่ีมีความบกพร่องด้านต่างๆ และ ส่งเสริมความถนัดหรือศักยภาพของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ บุคคลท่ัวไปมีหน้าท่ีปฏิบัติต่อเด็กอย่าง มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธให้การยอมรับและเคารพในศักด์ิศรีความเปน็ มนุษยข์ องเด็ก

การจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เด็กปฐมวัยทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ 14-63 มสธบรรณานุกรม กรองทอง จุลิรัชนกี ร. (2556). การจัดการศึกษาสำ� หรบั เด็กทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษระดบั ปฐมวยั (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . มสธ มสธกระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2546). หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศกั ราช 2546. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว. . (2556ก). การจัดการศึกษาส�ำหรับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น. ชุดเอกสารศึกษาด้วยตนเอง วิชาการศึกษาพิเศษ เลม่ ที่ 7. กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ. . (2556ข). การจดั การศึกษาสำ� หรบั บุคคลทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการไดย้ ิน. ชุดเอกสารศกึ ษาดว้ ยตนเอง วิชาการศกึ ษาพิเศษ เลม่ ท่ี 8. กรุงเทพฯ: สำ� นกั บรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ. . (2556ค). การจัดการศึกษาส�ำหรบั บุคคลทม่ี ีความบกพร่องทางสตปิ ญั ญา. ชุดเอกสารศึกษาดว้ ยตนเอง วิชาการศกึ ษาพเิ ศษ เลม่ ที่ 9. กรุงเทพฯ: สำ� นักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ. มสธ. (2556ง). การจัดการศึกษาส�ำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย การเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ. ชดุ เอกสารศกึ ษาดว้ ยตนเองวชิ าการศกึ ษาพเิ ศษ เลม่ ท่ี 10. กรงุ เทพฯ: สำ� นกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ. . (2556จ). การจัดการศึกษาส�ำหรับบคุ คลทีม่ คี วามบกพร่องทางการเรยี นรู.้ ชดุ เอกสารศึกษาดว้ ยตนเอง วชิ าการศกึ ษาพิเศษ เล่มท่ี 11. กรุงเทพฯ: ส�ำนักบรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ. มสธ มสธ. (2556ฉ). การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการพดู และภาษา. ชดุ เอกสารศกึ ษาดว้ ย ตนเองวชิ าการศึกษาพเิ ศษ เลม่ ท่ี 12. กรุงเทพฯ: ส�ำนักบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ. . (2556ช). การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั บคุ คลทม่ี คี วามบกพรอ่ งทางพฤตกิ รรมหรอื อารมณ.์ ชดุ เอกสารศกึ ษา ด้วยตนเองวิชาการศกึ ษาพเิ ศษ เล่มที่ 13. กรงุ เทพฯ: สำ� นักบรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ. เกรยี งศกั ดิ์ สงั ขช์ ยั . (2555). การจดั การเรยี นรสู้ ำ� หรบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามสามารถพเิ ศษ. ใน ประมวลสาระชดุ วชิ าการ จัดการศึกษาส�ำหรับผู้เรียนลักษณะพิเศษ หน่วยที่ 9 (น. 9-1 ถึง 9-39). นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. มสธโกศล มคี ณุ และนธิ พิ ฒั น์ เมฆขจร. (2552). การแนะแนวและระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น. ใน ประมวลสาระ ชดุ วชิ าการพฒั นาหลกั สตู รและสอื่ การเรยี นการสอน หนว่ ยที่ 7 (น. 7-1 ถงึ 7-75). นนทบรุ :ี สำ� นกั พมิ พ์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช. จรลี กั ษณ์ รตั นาพนั ธ.์ (2559). ทำ� อยา่ งไรเมอ่ื ไดส้ อนเดก็ พเิ ศษ. กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ชุลีพร ตีรเศรษฐ์ศักดิ์. (ม.ป.ป.). การประเมินและช่วยเหลือเด็กท่ีมีปัญหาพัฒนาการล่าช้า. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 มสธ มสธพฤษภาคม 2560. จาก http://www.hpc4.go.th/ ณัชพร ศุภสมุทร์ และคณะ. (ม.ป.ป.). การจัดการเรียนการสอนส�ำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ. สืบค้นเมื่อ วันท่ี 1 ธันวาคม 2559. จาก http://www.rajanukul.go.th/ ดารณี ศกั ดศ์ิ ริ ผิ ล. (2559). การชว่ ยเหลอื เดก็ ปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษในระยะแรกเรมิ่ . ใน เอกสารการสอน ชุดวชิ าการดแู ลเดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หน่วยท่ี 4 (น. 4-1 ถงึ 4-43). นนทบรุ :ี สำ� นักพมิ พ์ มสธมหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.

14-64 การจดั การศกึ ษาและหลักสูตรส�ำหรบั เด็กปฐมวยั ทวีศกั ด์ิ สริ ริ ัตน์เรขา. (2559). การคดั กรองเดก็ ที่มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ. ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาการดแู ลเดก็ มสธปฐมวยั ทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ หนว่ ยท่ี 3 (น. 3-1 ถงึ 3-50). นนทบรุ :ี สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั - ธรรมาธิราช. ประกาศกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เรอื่ งกำ� หนดประเภทและหลกั เกณฑข์ องคนพกิ ารทางการศกึ ษา พ.ศ. 2552. (2552, 8 มิถุนายน). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ 126 ตอนพิเศษ 80 ง หนา้ 45-47. ปรยี านชุ จรยิ วิทยานนท.์ (ม.ป.ป.). การศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All). สบื คน้ เมือ่ วนั ท่ี 17 มกราคม มสธ มสธ2560. จาก http://www.bic.moe.go.th เปรมฤทยั นอ้ ยหมน่ื ไวย. (2559). แนวคดิ และการดแู ลสขุ ภาวะของเดก็ ปฐมวยั ทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ ใน เอกสาร การสอนชุดวิชาการดูแลเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ หน่วยที่ 1 (น. 1-1 ถึง 1-37). นนทบุรี: สำ� นกั พิมพ์มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ผดงุ อารยะวญิ ญ.ู (2542). การเรียนร่วมระหวา่ งเด็กปกติกบั เดก็ ท่มี คี วามต้องการพิเศษ. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์ แว่นแกว้ . มสธพงศเ์ กษม ไข่มุกต์. (2557). “คดั กรองเด็กพิเศษ” จุดเรม่ิ ต้น “พัฒนาศกั ยภาพ” ใหถ้ กู ทาง!. สัมภาษณ.์ สบื คน้ เมื่อวนั ท่ี 10 มกราคม 2560. จาก http://www.thairath.co.th/content/422751 พระราชบญั ญตั ิการจัดการศกึ ษาส�ำหรับคนพิการพุทธศกั ราช 2551. (2551, 5 กุมภาพนั ธ์). ราชกจิ จานุเบกษา. เล่ม 125 ตอนที่ 28 ก หน้า 2. พัชรี ผลโยธิน. (2552). หลักสูตรสำ� หรับกลุ่มผู้เรยี นเฉพาะ. ใน ประมวลสาระชุดวิชาการพัฒนาหลักสูตรและสื่อ มสธ มสธการเรยี นการสอน หนว่ ยท่ี 5 (น. 5-1 ถงึ 5-43). นนทบรุ :ี สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ยศวรี ์ สายฟา้ . (2557). รอยเชอื่ มตอ่ การเรยี นรรู้ ะหวา่ งชน้ั เรยี นอนบุ าลและประถมศกึ ษา:กา้ วยา่ งทส่ี ำ� คญั ของเดก็ ประถมศึกษา. วารสารครุศาสตร์ 42(3) (กรกฎาคม-กันยายน) หน้า 143-159. สืบค้นเมื่อวันท่ี 5 พฤษภาคม 2560. จาก https://www.tci-thaijo.org/ วนิดา ชนินทยทุ ธวงศ.์ (ม.ป.ป.). แบบประเมนิ /คัดกรองเดก็ วยั เรียน (สำ� หรบั บคุ ลากรทางการศึกษา). สถาบนั ราชานกุ ลู . สบื คน้ เมอื่ วนั ที่ 30 ธนั วาคม 2559. จาก http://rajanukul.go.th/new/_admin/download/ มสธD0000076.pdf วารี ถริ ะจิตร. (2545). การศกึ ษาสำ� หรบั เดก็ พิเศษ. กรงุ เทพฯ: ส�ำนักพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ศรนิ ธร วทิ ยะสริ นิ นั ท.์ (2555). การประเมนิ ผลการเรยี นรผู้ เู้ รยี นลกั ษณะพเิ ศษ. ใน ประมวลสาระชดุ วชิ าการจดั การ ศึกษาสำ� หรับผเู้ รยี นลกั ษณะพเิ ศษ หนว่ ยท่ี 10 (น. 10-1 ถึง 10-62). นนทบรุ ี: ส�ำนักพิมพม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. ศศลิ ักษณ์ ขยนั กิจ. (2558). การศกึ ษาส�ำหรับเด็กที่มคี วามต้องการพิเศษในระดบั ปฐมวยั . เอกสารค�ำสอน. ภาค มสธ มสธวชิ าหลักสตู รและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุวิมล อุดมพิริยะศักดิ์. (2549). การจัดประสบการณ์เพ่ือพัฒนาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ. ใน ประมวลสาระ ชุดวิชาการจัดประสบการณส์ ำ� หรบั เด็กปฐมวยั หนว่ ยที่ 13 (น. 13-1 ถึง 13-46). นนทบรุ :ี สำ� นักพมิ พ์ มสธมหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.

การจัดประสบการณส์ �ำหรับเด็กปฐมวัยที่มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ 14-65 สำ� นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา. (2555). เอกสารประกอบการอบรมหลกั สตู รการพฒั นาศกั ยภาพบคุ ลากร มสธที่เกย่ี วข้องกบั การจดั การศกึ ษาสำ� หรบั คนพิการในระดบั อุดมศึกษา เร่อื ง การออกแบบการเรยี นรู้ทีเ่ ป็น สากล Universal Design for Learning. สืบค้นเม่อื วนั ท่ี 1 พฤษภาคม 2560. จาก http://www. mua.go.th/ สำ� นกั งานราชบัณฑิตยสภา. (2558). พจนานุกรมศัพทศ์ กึ ษาศาสตรร์ ว่ มสมยั ฉบบั ราชบัณฑติ ยสภา. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานราชบัณฑิตยสภา. มสธ มสธส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2556). รายงานฉบับสมบูรณ์การส�ำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2555. สืบค้นเม่ือวันที่ 17 มกราคม 2560. จาก www.unicef.org/thailand/57-05-010-MICS_ TH.pdf อษุ ณีย์ อนรุ ทุ ธว์ งศ.์ (2547). ความสามารถพเิ ศษ. กรุงเทพฯ: มลู นธิ สิ ดศรี-สฤษดิ์วงศ.์ National Center on Universal Design for Learning. (2014). Retrieved May 2, 2017, from http:// www.udlcenter.org/aboutudl/whatisudl มสธRecchia, S. L. and Lee, Yoon-Joo. (2013). Inclusive in the Early Childhood Classroom: What Make a Difference?. New York: Teachers College. Turnbull, A., Turnbull, R., Wehmeyer, M. L., Shogren, K. A. (2016). Exceptional Lives: Special Education in Today’s Schools (8th ed.). Boston: Pearson. UNESCO Bangkok. (2009). Towards Inclusive Education for Children with Disabilities:A Guide- มสธ มสธline. Bangkok: UNESCO Bangkok. Retrieved February 3, 2017, from www.uis.unesco.org Watson, A. and McCathren, R. (2009). Including Children with Special Needs: Are You and your Early Childhood Program Ready?. Beyond the Journal: Young Children. on the web, March. Retrieved January 5, 2017, Retrieved from https://www.naeyc.org/files/yc/file/ มสธ มมสสธธ มสธ200903/BTJWatson.pdf



ภาคผนวก

14-68 การจดั การศกึ ษาและหลักสตู รส�ำหรบั เด็กปฐมวยั แบบคดั กรองของสำ� นกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน กระทรวง มสธศึกษาธิการ จัดท�ำโดยคณะกรรมการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรอบรมครูสอนการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร พุทธศักราช 2544 ในปี พ.ศ. 2556 (ครั้งที่ 2) - แบบคดั กรองบคุ คลทีม่ ีความบกพร่องทางการเห็น - แบบคัดกรองบุคคลทมี่ คี วามบกพร่องทางการไดย้ ิน - แบบคดั กรองบุคคลท่มี คี วามบกพรอ่ งทางสติปญั ญา มสธ มสธ- แบบคดั กรองบคุ คลที่มคี วามบกพร่องทางรา่ งกาย หรอื การเคล่อื นไหว หรอื สุขภาพ - แบบคัดกรองบุคคลที่มคี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ - แบบคดั กรองบคุ คลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา มมสสธธ มมมสสสธธธ มมสสธธ- แบบคัดกรองบคุ คลทมี่ ีความบกพร่องทางพฤติกรรม หรืออารมณ์

แบบ ัคดกรอง ุบคคล ่ที ีมความบกพร่องทางการเ ็หนมมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธการจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ที่มีความตอ้ งการพิเศษ 14-69

แบบ ัคดกรอง ุบคคลที่ ีมความบกพร่องทางการได้ ิยนมมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธ14-70 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั

แบบ ัคดกรอง ุบคคลที่ ีมความบกพร่องทางส ิตปัญญามมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธการจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ที่มีความตอ้ งการพิเศษ 14-71

แบบ ัคดกรอง ุบคคลที่ ีมความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเค ่ืลอนไหว หรือ ุสขภาพมมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธ14-72 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั

แบบ ัคดกรอง ุบคคลที่ ีมความบกพร่องทางการเรียนรู้มมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธการจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ที่มีความตอ้ งการพิเศษ 14-73

มมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธ14-74 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั

แบบ ัคดกรอง ุบคคลที่ ีมความบกพร่องทางการ ูพดและภาษามมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธการจดั ประสบการณส์ �ำหรบั เดก็ ปฐมวยั ที่มีความตอ้ งการพิเศษ 14-75

แบบ ัคดกรอง ุบคคล ่ทีมีความบกพร่องทางพฤ ิตกรรม ห ืรออารมณ์มมมสสสธธธ มมมมสสสสธธธธ มมมสสสธธธ14-76 การจดั การศึกษาและหลักสตู รสำ�หรับเดก็ ปฐมวยั

หน่วยที่ 15 มสธความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษา บ้านและชุมชน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา มัคคสมัน มมมสสสธธธ มมสสธธ มมมสสสธธธช่ือ วุฒิ ต�ำแหน่ง มสธหน่วยที่เขียน ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วฒั นา มคั คสมัน ค.บ. (สุขศึกษา-ดนตรี), ค.ม. (ประถมศึกษา) ค.ด. (หลักสูตรและการสอน) จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ผชู้ ่วยศาสตราจารยป์ ระจ�ำสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช หนว่ ยที่ 15

15-2 การศกึ ษาและหลกั สูตรส�ำหรับเดก็ ปฐมวยั มสธแผนการสอนประจ�ำหน่วย ชุดวิชา การศึกษาและหลักสตู รสำ� หรบั เด็กปฐมวยั มสธ มสธหน่วยที่ 15 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสถานศกึ ษา บ้านและชุมชน ตอนท่ี 15.1 ความร้พู น้ื ฐานเกีย่ วกบั ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศกึ ษา บา้ นและชมุ ชน 15.2 การให้บริการและการรบั ความช่วยเหลอื จากบา้ นและชมุ ชน 15.3 การเขา้ ร่วมกจิ กรรมของสถานศกึ ษา บ้านและชมุ ชน มสธ15.4 การประชาสัมพันธส์ ถานศกึ ษา และการจัดต้งั กลมุ่ สมาคม มลู นธิ ิ รว่ มกบั บา้ นและชุมชน แนวคิด 1. ความรพู้ น้ื ฐานเกีย่ วกับความสัมพนั ธ์ระหว่างสถานศกึ ษา บ้านและชุมชน ประกอบดว้ ย องค์ มสธ มสธความรเู้ กยี่ วกบั ความหมาย ความสำ� คญั ของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถานศกึ ษา บา้ นและชมุ ชน หลักการและกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษา บ้านและชุมชน รวมท้ัง ขอบขา่ ยของการสร้างความสมั พันธร์ ะหวา่ งสถานศกึ ษา บา้ นและชุมชน 2. ก ารใหบ้ รกิ ารแกบ่ า้ นและชมุ ชนของสถานศกึ ษา ประกอบดว้ ย การใหบ้ รกิ ารดา้ นอาคารสถานท่ี ดา้ นวชิ าการ และดา้ นสขุ ภาพอนามยั การรบั ความชว่ ยเหลอื และสนบั สนนุ จากบา้ นและชมุ ชน ประกอบดว้ ยการรบั การสนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื ดา้ นทรพั ยากร ดา้ นวชิ าการ และการรบั ความชว่ ย มสธเหลือสนับสนุนด้านบคุ ลากร 3. ก ารเขา้ รว่ มกจิ กรรมของสถานศึกษา บ้านและชมุ ชน ประกอบด้วย การเขา้ รว่ มกจิ กรรมของ บ้านและชุมชน ที่จัดโดยสถานศึกษา และการเข้าร่วมกิจกรรมของสถานศึกษาท่ีจัดโดยบ้าน และชมุ ชน 4. ก ารประชาสัมพันธ์สถานศึกษา ประกอบด้วย การประชาสัมพันธ์ผ่านส่ือส่ิงพิมพ์ และผ่าน มสธ มสธเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ การจดั ตงั้ กลมุ่ ชมรมรว่ มกบั บา้ นและชมุ ชน ประกอบดว้ ยการจดั ตงั้ กลมุ่ ตามความสนใจ และการจัดตั้งสมาคม และมลู นธิ ิ วัตถุประสงค์ เม่ือศกึ ษาหน่วยท่ี 15 จบแลว้ นักศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายความร้พู ื้นฐานเกี่ยวกบั ความสมั พันธ์ระหวา่ งสถานศกึ ษา บา้ นและชุมชนได้ มสธ2. อธิบายการให้บรกิ าร และการรบั ความช่วยเหลือจากบ้านและชุมชนได้

ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสถานศกึ ษา บ้านและชุมชน 15-3 3. อธบิ ายการเขา้ รว่ มกิจกรรมของสถานศกึ ษา บา้ นและชมุ ชนได้ มสธ4. อธบิ ายการประชาสัมพนั ธ์ และการจดั ต้ังกลมุ่ สมาคม มูลนธิ ริ ว่ มกับบ้านและชมุ ชนได้ กิจกรรมระหว่างเรียน 1. ทำ� แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนหนว่ ยท่ี 15 มสธ มสธ2. ศกึ ษาเอกสารการสอนตอนท่ี 15.1–15.4 3. ปฏิบัติกจิ กรรมตามที่ไดร้ บั มอบหมายในเอกสารการสอน 4. ฟังซีดเี สียงประจำ� ชุดวชิ า 5. ชมดวี ีดีประกอบชุดวชิ า (ถ้าม)ี 6. ท�ำแบบประเมินผลตนเองหลงั เรยี นหนว่ ยที่ 15 มสธส่ือการสอน 1. เอกสารการสอน 2. แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 3. ซดี ีเสียงประจ�ำชุดวิชา มสธ มสธ4. ดีวีดีประกอบชุดวิชา (ถา้ มี) การประเมินผล 1. ประเมนิ ผลจากแบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรียนและหลงั เรยี น 2. ประเมนิ ผลจากกิจกรรมและแนวตอบทา้ ยเรื่อง 3. ประเมนิ ผลจากการสอบไล่ประจำ� ภาคการศกึ ษา มสธเมื่ออ่านแผนการสอนแล้ว ขอให้ท�ำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน มสธ มสธ มสธหน่วยที่ 15 ในแบบฝึกปฏิบัติ แล้วจึงศึกษาเอกสารการสอนต่อไป

15-4 การศึกษาและหลักสูตรสำ� หรบั เด็กปฐมวยั มสธตอนที่ 15.1 ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษา บ้านและชุมชน มสธ มสธโปรดอา่ นหัวเรือ่ ง แนวคิด และวัตถปุ ระสงคข์ องตอนท่ี 15.1 แล้วจงึ ศกึ ษารายละเอยี ดต่อไป หัวเร่ือง 15.1.1 ความหมาย และความสำ� คัญของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถานศึกษา บา้ นและชมุ ชน 15.1.2 หลักการและกระบวนการสร้างความสมั พนั ธร์ ะหว่างสถานศึกษา บา้ นและชุมชน 15.1.3 ขอบขา่ ยของการสรา้ งความสมั พันธ์ระหวา่ งสถานศึกษา บา้ นและชมุ ชน มสธแนวคิด 1. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถานศกึ ษา บา้ นและชมุ ชน หมายถงึ การดำ� เนนิ การรว่ มกนั ของ ผบู้ รหิ าร ครู พอ่ แม่ ผู้ปกครอง บุคคล องค์กร และหนว่ ยงานต่างๆ ทอ่ี ยใู่ นชมุ ชนเพ่อื มสธ มสธก่อให้เกิดความเข้าใจและร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาเด็ก ปฐมวัย การด�ำเนินการดงั กล่าวมคี วามสำ� คัญต่อเด็กปฐมวัย ต่อสถานศึกษา ตอ่ พอ่ แม่ ผู้ปกครอง และตอ่ ชุมชน 2. ห ลกั การสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถานศกึ ษา บา้ นและชมุ ชน ประกอบดว้ ย หลกั การ พอ่ แมค่ อื ครคู นแรก หลกั การเคารพในคณุ คา่ ซงึ่ กนั และกนั ระหวา่ งสถานศกึ ษา บา้ นและ ชมุ ชน หลักการส่ือสารสองทาง หลักการสง่ เสรมิ ทกั ษะการเลย้ี งดู และหลกั การมสี ่วน มสธร่วมของพอ่ แม่ ผูป้ กครองและชุมชนในการพัฒนาเด็ก กระบวนการสรา้ งความสมั พันธ์ ระหวา่ งสถานศกึ ษาบา้ นและชมุ ชน เรม่ิ จากการวางแผน การลงมอื ปฏบิ ตั ิ การตรวจสอบ และการปรับปรงุ 3. ก ารสรา้ งความสมั พันธ์ระหว่างสถานศกึ ษา บ้านและชมุ ชน มขี อบข่าย 3 ประการ คอื 1) การให้บริการและรับความช่วยเหลือจากบ้านและชุมชน ซ่ึงประกอบด้วย การให้ มสธ มสธบริการแก่บ้านและชุมชน และการรับการช่วยเหลือสนับสนุนจากบ้านและชุมชน 2) การเขา้ รว่ มกจิ กรรมของสถานศกึ ษา บา้ นและชมุ ชน ประกอบดว้ ย การเขา้ รว่ มกจิ กรรม ของบา้ นและชมุ ชนทจี่ ดั โดยสถานศกึ ษา และการเขา้ รว่ มกจิ กรรมของสถานศกึ ษาที่จัด โดยบ้านและชมุ ชน และ 3) การประชาสัมพันธส์ ถานศกึ ษา และการจดั ตัง้ กลุม่ สมาคม มสธมูลนธิ ริ ่วมกับบ้านและชมุ ชน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook