Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ศวช. ป4-6

หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ศวช. ป4-6

Published by Opor Kanuengnit Chaloempong, 2022-08-17 05:10:42

Description: หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ศวช. ป4-6

Search

Read the Text Version

หลักสูตรต้านทุจริตศกึ ษา (Anti-Corruption Education) และแผนการจดั การเรยี นรู้ “รายวชิ าเพ่มิ เตมิ การปอ้ งกนั การทจุ ริต” หลักสตู รการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน ชน้ั ประถมศึกษาตอนปลาย (ป.๔-๖) ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕ โรงเรยี นบา้ นศรีวิชา “คุรรุ าษฎร์อทุ ศิ ’ สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสกลนคร เขต ๑ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

ก ประกาศโรงเรียนบ้านศรีวชิ า”คุรรุ าษฎรอ์ ทุ ิศ” เรือ่ ง ใหใ้ ช้หลักสตู รต้านทุจริตศึกษา Anti-Corruption Education ในสถานศึกษา ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕ ----------------------------------------------------------- ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ -๒๕๖๔) ยุทธศาสตร์ ที่ ๑ “สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต” ได้มุ่งเน้นให้ความสาคัญในกระบวนการปรับสภาพสังคม ใหเ้ กิดภาวะท่ี “ไม่ทนต่อการทุจริต” โดยเร่ิมตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกระดับช่วงวัย ตั้งแต่ ปฐมวัย เพ่ือสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝังความพอเพียง มีวินัย ซ่ือสัตย์สุจริตยึดประโยชน์ ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เป็นการดาเนินการผ่านสถาบันหรือกลุ่มตัวแทนที่ทาหน้าท่ีในการกล่อม เกลาสังคมให้มีความเป็นพลเมืองท่ีดี มีจิตสาธารณะ เสียสละเพ่ือส่วนรวมและเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนมี พฤตกิ รรมทีไ่ ม่ยอมรับและต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีคาส่ังท่ี ๖๔๖/๒๕๖๐ ลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ แต่งต้ังคณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการ เรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต เพื่อดาเนินการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ดา้ นการป้องกันการทุจริต นาไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับนักเรียน นักศึกษาในทุกระดับชั้นเรียนทั้งในส่วน ของการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ท้ังภาครัฐและเอกชน รวมท้ังอาชวี ศกึ ษาและการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย นอกจากนี้ ยังรวมถึงสถาบันการศึกษา อื่นที่เกี่ยวข้อง เพ่ือให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งระบบ รวมทั้งบุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งภาคประชาชน เพ่ือเป็นการปลูกฝังจิตสานึกในการแยกแยะประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ สว่ นรวมจิตพอเพียงตา้ นทุจรติ และสร้างพฤตกิ รรมท่ไี มย่ อมรับและไมท่ นต่อการทุจรติ โรงเรียนบ้านศรีวิชา”คุรุราษฎร์อุทิศ” จึงได้จัดทาหลักสูตรหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา Anti- Corruption Education ในสถานศึกษา ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ข้ึน คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและ คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานโรงเรียนได้ตรวจสอบผู้เรียนสามารถนาไปใช้ในการดารงชีวิตประจาวัน อย่างมีคุณค่าต่อสังคม จึงเห็นสมควรแล้วว่ามีความเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายข้างต้น จึงอนุญาตให้ใช้ หลกั สูตรได้ ทง้ั นี้หลักสูตรโรงเรยี นได้รบั ความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน เมือ่ วนั ที่ ๒๖ เดอื น เมษายน พ.ศ.๒๕๖๕ จึงประกาศให้ใช้ใชห้ ลักสูตรต้านทุจรติ ศกึ ษา Anti-Corruption Education ในสถานศึกษา ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕ ตงั้ แตบ่ ัดนีเ้ ป็นตน้ ไป ประกาศ ณ วนั ที่ ๒๖ เดอื น เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ลงชอื่ ........................................ ลงช่อื ........................................ (นายเทวัญ มีไกรราช) (นายกศุ ล ชมุ ปญั ญา) ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ผ้อู านวยการโรงเรยี นบา้ นศรีวิชา”คุรรุ าษฎรอ์ ุทิศ” โรงเรยี นบ้านศรีวชิ า”ครุ ุราษฎรอ์ ุทิศ”

ข คานา ยุทธศาสตรช์ าตวิ า่ ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ได้ กาหนดยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างสงั คมท่ีไมท่ นต่อการทจุ ริต อันมีกลยทุ ธ์วา่ ด้วยเร่ืองของการปรับฐานความคิดทุก ช่วงวยั ต้งั แต่ปฐมวัยใหส้ ามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม สง่ เสริมให้มรี ะบบ และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพือ่ ต้านทจุ รติ ประยุกตห์ ลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงเปน็ เครื่องมอื ตา้ นทุจรติ เสรมิ พลงั การมีสว่ นรว่ มของชุมชน (Community) และบูรณาการทุกภาคสว่ นเพอ่ื ต่อต้านการทุจริต คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จงึ ไดม้ ีคาสง่ั แต่งต้งั คณะอนกุ รรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรยี นรแู้ ละสอ่ื ประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกนั การทุจรติ ข้นึ เพื่อศึกษา วเิ คราะห์ และรวบรวมข้อมูล กาหนดแนวทางและขอบเขตในการจัดทาหลักสตู ร ยกรา่ งและจดั ทา เนื้อหาหลักสูตรหรือชดุ การเรียนรแู้ ละสือ่ ประกอบการเรียนรู้ พิจารณาใหค้ วามเห็นเพิ่มเติม กาหนดแผนหรือ แนวทางการนาหลักสตู รไปใช้ในหนว่ ยงานท่ีเกย่ี วข้อง และดาเนนิ การอน่ื ๆ ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย คณะอนกุ รรมการจัดทาหลกั สูตรหรือชุดการเรยี นรแู้ ละส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการ ทจุ ริตไดร้ ่วมกนั สร้างหลกั สตู รตา้ นทจุ ริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ประกอบด้วย ๕ หลักสตู ร ดงั น้ี ๑. หลกั สตู รการศึกษาข้ันพื้นฐาน (รายวิชาเพ่มิ เติม การปอ้ งกันการทจุ รติ ) ๒. หลักสตู รอุดมศกึ ษา (วยั ใส ใจ สะอาด “Youngster with good heart”) ๓. หลักสูตรตามแนวทางรบั ราชการ กลุ่มทหารและตารวจ ๔. หลักสูตรสร้างวทิ ยากรผนู้ าการเปล่ียนแปลงสสู่ ังคมที่ไม่ทนตอ่ การทจุ ริต และ ๕. หลักสูตรโค้ชเพื่อการรู้คดิ ต้าน ทุจริต หลกั สตู รดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการนาไปทดลองใช้ เพอ่ื ปรบั ปรุงใหม้ ีประสทิ ธิภาพ สาหรบั การใช้ใน กลุม่ เปา้ หมายต่อไป นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการจดั ทาหลักสตู รหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละส่ือประกอบการเรยี นรู้ ดา้ นการปอ้ งกนั การทจุ ริตยังไดค้ ดั เลอื กสอ่ื การเรียนรู้ จากแหลง่ ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพ่ือ ประกอบการเรยี นการสอนต่อไป โรงเรยี นบา้ นศรีวิชา”คุรรุ าษฎร์อทุ ศิ ” จงึ จัดทาหลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา (Anti-Corruption Education) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะให้แก่ผู้เรียนในเรอ่ื งการคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ สว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม ความอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต STRONG : จติ พอเพยี งต้านทจุ รติ และพลเมืองกบั ความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม เพอ่ื ร่วมกนั ป้องกันหรอื ตอ่ ต้านการทุจรติ มิให้มีการทุจริตเกดิ ขนึ้ ใน สงั คมไทย ร่วมสร้างสงั คมไทยทีไ่ ม่ทนตอ่ การทุจรติ ต่อไป โรงเรียนบ้านศรวี ชิ า”ครุ ุราษฎรอ์ ทุ ิศ”

ค สารบัญ หน้า ประกาศโรงเรยี น……………………………………………………………………………………………..………ก คานา………………………………………………………………………………………………………………..…...ข สารบญั .........................................................................................................................................ค หลกั สตู รต้านทจุ ริตศึกษา………………………………………………………………………………………....๑ รายละเอียดของหลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศึกษา………………………………………………………………..…๒ หลกั สูตรการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน..…………………………………………………………………………...…….๒ ชอื่ หลักสูตร..................……………………………………………………………………………………...…….๒ จดุ มงุ่ หมายของรายวชิ า……………………………………………………………………………………...…….๓ คาอธบิ ายรายวชิ า…………………………………………………………………………………………………….๓ ผลการเรียนรู้…………………………………………………………………………………………………………..๓ โครงสรา้ งรายวิชา…………………………………………………………………………………….………………๔ กิจกรรมการเรียนรู้…………………………………………………………………………………………….…....๑๒ สือ่ การเรยี นรู้และแหลง่ เรยี นรู้………………………………………………………………………………..…๑๒ การวดั และประเมินผล………………………………………………………………………………………….….๑๒ ตารางชวั่ โมงการจดั การเรียนการสอน…………………………………………………………………….….๑๓ แผนการจัดประสบการณ์ระดับชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๔……………………………………………….…๑๔ แผนการจดั ประสบการณ์ระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๕……………………………………………….…๑๔๘ แผนการจดั ประสบการณ์ระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๖……………………………………………….…๒๗๙ ภาคผนวก คาสงั่ โรงเรียน

1 ๑. หลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศกึ ษา (Anti-Corruption Education) ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ -๒๕๖๔) ยุทธศาสตร์ ที่ ๑ “สร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต” ได้มุ่งเน้นให้ความสาคัญในกระบวนการปรับสภาพสังคมให้ เกดิ ภาวะท่ี “ไม่ทนตอ่ การทจุ ริต” โดยเรมิ่ ตัง้ แต่กระบวนการกลอ่ มเกลาทางสังคมในทุกระดับช่วงวัย ต้ังแต่ปฐมวัย เพื่อสร้างวฒั นธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝังความพอเพยี ง มวี ินยั ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ ยึดประโยชนส์ ว่ นรวมมากกว่า ประโยชนส์ ว่ นตน เปน็ การดาเนินการผา่ นสถาบันหรือกล่มุ ตวั แทนท่ีทาหน้าที่ในการกล่อมเกลาสังคมให้มีความเป็น พลเมอื งที่ดี มจี ิตสาธารณะ เสยี สละเพื่อส่วนรวมและเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนมีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับและต่อต้าน การทจุ รติ ในทกุ รูปแบบและได้กาหนดกลยทุ ธ์ ๔ กลยุทธ์ กล่าวคือ กลยุทธ์ที่ ๑ ปรับฐานความคิดทุกช่วงวัย ต้ังแต่ ปฐมวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม กลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริมให้มีระบบและ กระบวนการกล่อมเกลาทางสงั คมเพ่อื ตา้ นทุจริต กลยุทธท์ ่ี ๓ ประยุกต์หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือ ต้านทุจริต และกลยุทธ์ท่ี ๔ เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน(Community)และบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อ ตอ่ ต้านการทุจรติ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้มีคาส่ังท่ี ๖๔๖/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ แต่งต้ัง คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริตซ่ึง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานด้านการศึกษา และหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในการจัดทา หลักสูตรการเรียนการสอน จากทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรภาคเอกชนเพ่ือ ดาเนนิ การจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต นาไปใช้ในการ เรียนการสอนให้กับนักเรียน นักศึกษาในทุกระดับช้ันเรียนทั้งในส่วนของการศึกษาต้ังแต่ระดับปฐมวัยอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมท้ังอาชีวศึกษาและการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย นอกจากนี้ ยังรวมถึงสถาบันการศึกษาอ่ืนท่ีเก่ียวข้อง เช่น สถาบันการศึกษาในสังกัด สานักงานตารวจแห่งชาติ สถาบันการศึกษาทางทหาร เป็นต้น เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับ การศึกษาท้ังระบบ รวมท้ังบุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งภาคประชาชน เพื่อเป็นการปลูกฝังจิตสานึกใน การแยกแยะประโยชนส์ ่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมจิตพอเพียงต้านทุจริต และสร้างพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับและไม่ ทนตอ่ การทจุ รติ เพ่ือเป็นการป้องกันการทุจริต โดยเร่ิมปลูกฝังนักเรียนต้ังแต่ปฐมวัยจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ ๖ สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จึงจัดทารายวิชาเพิ่มเติม “การป้องกันการทุจริต” ให้สถานศึกษาทุกแห่งนา ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือปลูกฝังและสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริตให้แก่นักเรียนสร้างความ ตระหนักให้นกั เรียน ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีจิตพอเพียงต้านทุจริต ละอายและเกรง กลวั ที่จะไม่ทจุ ริตและไมท่ นต่อการทจุ ริตทกุ รปู แบบ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ในฐานะองค์กรรับผิดชอบการจัดการศึกษาให้แก่นักเรียน ตัง้ แต่ระดับปฐมวัย จนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จึงได้จัดทารายวิชาเพิ่มเติม “การป้องกันการทุจริต”ประกอบด้วย เน้ือหา ๔ หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ ๑) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ๒) ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต๓) STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต และ ๔) พลเมืองและ ความรับผิดชอบต่อสังคม ซ่ึงท้ัง ๔ หน่วยน้ี จะจัดทาเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ ต้ังแต่ช้ันปฐมวัย จนถึง ช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ เพ่ือให้สถานศึกษาทุกแห่งนาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อปลูกฝังและป้องกันการ ทุจรติ ใหแ้ กน่ ักเรียนทกุ ระดับ ท้งั น้ี เปน็ การสร้างพลเมืองที่ซ่ือสัตย์สุจริตให้แก่ประเทศชาติ ปัญหาคอร์รัปชันลดลง

2 และดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทย มีค่าคะแนนสูงขึ้น บรรลุตามเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาติว่า ด้วย การปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ระยะที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) โรงเรียนหนองออ้ วิทยาคม หวังเปน็ อย่างย่ิงว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education จะสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะให้แก่ผู้เรียนในเรื่องการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กับ ผลประโยชนส์ ่วนรวม ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และพลเมือง กับ ความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม เพื่อร่วมกนั ปอ้ งกันหรือต่อตา้ นการทุจริต มิให้มีการทุจริตเกิดข้ึนในสังคมไทย ร่วมสร้าง สังคมไทยท่ีไม่ทนต่อการทุจริตต่อไป รายละเอียดของหลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา (Anti-Corruption Education) กรอบการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต โดยท่ี ประชมุ ไดเ้ หน็ ชอบรว่ มกนั ในการจดั ทาหลกั สตู รหรอื ชุดการเรยี นรูแ้ ละส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการ ทุจริต หวั ข้อวิชา ๔ วชิ า ประกอบดว้ ย ๑) การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ๒) ความอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ๓) STRONG : จิตพอเพียงตา้ นทุจรติ ๔) พลเมอื งและความรับผิดชอบต่อสงั คม เนือ้ หาหลักสูตรหรือชดุ การเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทจุ ริต โดยได้แบ่งกลุ่มตามการเรยี นการสอนในแต่ ละช่วงช้นั และการฝกึ อบรมในแต่ละกลมุ่ เป้าหมาย เป็น ๕ กลุม่ ดงั น้ี กลุ่ม ๑ หลกั สตู รการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน (ระดบั ปฐมวยั และ ป.๑-ม.๖) มชี อ่ื หลกั สูตรว่า “รายวิชาเพ่มิ เติม การปอ้ งกันการทุจรติ กลุ่ม ๒ หลักสตู รอดุ มศึกษา มีช่อื หลักสตู ร “วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart” กลุ่ม ๓ หลกั สตู รกลุ่มทหารและตารวจ มชี ือ่ หลักสตู ร “หลักสตู รตามแนวทางรับราชการ กลมุ่ ทหารและ ตารวจ” กลุม่ ๔ หลักสูตรวิทยากร มชี อ่ื หลักสูตร “สรา้ งวิทยากรผนู้ าการเปลี่ยนแปลงสูส่ ังคมที่ไมท่ นต่อการ ทจุ รติ ” กลุ่ม ๕ หลักสูตรโคช้ มีชื่อหลักสูตร “โค้ชเพื่อการรคู้ ิดตา้ นทุจริต” หลกั สตู รการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ดาเนนิ การจัดทาเป็นแผนการจัดการเรียนรโู้ ดยแยกเปน็ ๑๓ ระดบั ชน้ั ปี ได้แก่ ระดบั ปฐมวยั ระดบั ประถมศกึ ษาชัน้ ปที ี่ ๑ - ๖ และระดับมธั ยมศึกษาช้นั ปีที่ ๑ - ๖ ในแตล่ ะระดับชน้ั ปี จะ ใชเ้ วลาเรยี นทั้งปี จานวน ๔๐ ชั่วโมง ตอ้ งจัดทาเนอ้ื หาและกิจกรรมการเรยี นการสอนให้แตกตา่ งกัน ตามความ เหมาะสมและการเรยี นรใู้ นแต่ละช่วงวัย

3 หลักสูตรการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน ๑. ชือ่ หลกั สูตร “รายวิชาเพ่มิ เตมิ การป้องกันการทุจริต” ตามทีส่ านกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ รว่ มกบั สานกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน และหน่วยงานทเี่ กี่ยวข้อง ดาเนินการจดั ทาหลักสูตรหรอื ชุดการเรียนรู้และสือ่ ประกอบการ เรยี นรู้ ด้านการป้องกันการทุจรติ สาหรับใชเ้ ป็นเนอ้ื หามาตรฐานกลางให้สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องนาไปใช้ในการเรยี นการสอนให้กบั กลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทกุ ระดับชัน้ เรียน เพอื่ ปลูกฝังจติ สานึกในการ แยกประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม จติ พอเพียง การไมย่ อมรบั และไมท่ นต่อการทจุ รติ โดยใชช้ ือ่ วา่ หลักสตู รต้านทจุ ริตศึกษา (Anti-Corruption Education) หลกั สูตรที่ ๑ หลกั สตู รการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน โดยมีแนว ทางการนาไปใช้ตามความเหมาะสมของแตล่ ะโรงเรียน ดังนี้ ๑.นาไปจัดเปน็ รายวิชาเพ่มิ เติมของโรงเรยี น ๒.นาไปจดั ในชวั่ โมงลดเวลาเรยี นเพิม่ เวลารู้ ๓.นาไปบรู ณาการกบั การจดั การเรยี นการสอนในกลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (สาระหน้าท่ีพลเมือง) หรือนาไปบรู ณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรอู้ ่ืน ๆ ๒. จดุ มุ่งหมายของรายวิชา เพอื่ ใหน้ ักเรียน ๒.๑ มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๒.๒ มคี วามรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ๒.๓ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทุจรติ ๒.๔ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั พลเมืองและมคี วามรับผิดชอบตอ่ สงั คม ๒.๕ สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒.๖ ปฏิบตั ิตนเป็นผู้ละอายและไม่ทนต่อการทุจรติ ทกุ รูปแบบ ๒.๗ ปฏบิ ัติตนเปน็ ผู้ท่ี STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทุจริต ๒.๘ ปฏบิ ัติตนตามหนา้ ที่พลเมอื งและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ๓. คาอธบิ ายรายวชิ า ศกึ ษาเกยี่ วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ความละอายและความ ไม่ทนต่อการทจุ ริต STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทจุ ริต รู้หนา้ ที่ของพลเมืองและรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมในการ ต่อตา้ นการทุจริต โดยใชก้ ระบวนการคิด วิเคราะห์ จาแนก แยกแยะ การฝึกปฏิบัตจิ ริง การทาโครงงานกระบวนการเรียนรู้ ๕ ข้นั ตอน (๕ STEPs) การอภิปราย การสบื สอบ การแก้ปัญหา ทกั ษะการอา่ นและการเขียน เพอ่ื ใหม้ ีความ ตระหนกั และเหน็ ความสาคญั ของการต่อต้านและการป้องกันการทุจริต ๔.ผลการเรยี นรู้ ๑. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ๒. มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ียวกบั ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ ๓. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับ STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการทจุ ริต ๔. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกับพลเมืองและมีความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม ๕. สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมได้

4 ๖. ปฏิบัตติ นเป็นผลู้ ะอายและไมท่ นต่อการทุจรติ ทุกรปู แบบ ๗. ปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผทู้ ี่ STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการทุจริต ๘. ปฏิบัตติ นตามหนา้ ที่พลเมืองและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ๙. ตระหนักและเหน็ ความสาคญั ของการต่อต้านและป้องกันการทจุ รติ รวมทัง้ หมด ๙ ผลการเรียนรู้ ๕. โครงสร้างรายวิชา เรื่อง จานวน ๕.๑ ระดบั ปฐมวัย ชัว่ โมง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ลาดบั หนว่ ยการเรียนรู้ ผลประโยชน์สว่ นรวม ๑๔ - การคิดแยกแยะ ๑. การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ - ระบบคดิ ฐาน ๒ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - ของเลน่ - การรับประทานอาหาร - การเข้าแถว - การเก็บของใชส้ ่วนตวั - ทางานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย - การแบง่ ปนั - การแตง่ กาย - การทากิจวัตรประจาวัน (การใชน้ ้า ไฟฟา้ กระดาษ การทงิ้ ขยะ) ๒. ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ ๑๒ - ของเลน่ - การรับประทานอาหาร - การเข้าแถว - การเก็บของใชส้ ว่ นตัว - ทางานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย - การแบง่ ปัน - การแตง่ กาย - การทากิจวัตรประจาวัน

5 ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรื่อง จานวน ๓. STRONG / จติ พอเพียงตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ช่วั โมง STRONG / จติ พอเพยี งตอ่ ต้านการทจุ ริต ๙ ๔. พลเมอื งกบั ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม - ความพอเพยี ง - ความโปรง่ ใส ๕ - ความตนื่ รู้ / ความรู้ - ตา้ นทจุ รติ ๔๐ - มงุ่ ไปข้างหน้า - ความเออ้ื อาทร - การรับประทานอาหาร - การช่วยเหลอื เพ่ือน - การใชก้ ระดาษ พลเมืองกบั ความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม - ความรับผดิ ชอบต่อตนเอง - ความรับผดิ ชอบตอ่ ผ้อู ื่น - การตรงตอ่ เวลา - การทาความสะอาดห้องเรยี น - การช่วยเหลือตนเอง รวม * หมายเหตุ การจัดประสบการณ์แตล่ ะกจิ กรรมจะใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที

6 ๕.๒ ระดบั ประถมศกึ ษา เรื่อง จานวน ๑) ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๑ ชัว่ โมง การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ๑๖ ลาดบั หน่วยการเรยี นรู้ ผลประโยชน์ส่วนรวม ๑. การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ - การคิดแยกแยะ ๑๐ - ระบบคิดฐาน ๒ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน ๑๐ ๔ ๒. ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ - การทาการบา้ น ๓. STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทุจรติ - การทาเวร - การสอบ - กจิ กรรมนกั เรียน STRONG / จิตพอเพยี งตอ่ ตา้ นการทจุ ริต - ความพอเพียง - ความโปรง่ ใส - ต้านทุจริต - ความเอ้อื อาทร ๔. พลเมอื งกบั ความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม พลเมอื งกับความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ๑๐ -ความหมายบทบาทและสิทธิ -การเคารพสิทธิ ๔๐ หน้าทต่ี อ่ ตนเองและผ้อู ่ืน - ระเบยี บ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรับผดิ ชอบ (ตอ่ ตนเองกบั ตอ่ ผอู้ ื่น) - ความเป็นพลเมือง รวม

7 ๒) ประถมศกึ ษาปีที่ ๒ เรอ่ื ง จานวน ชั่วโมง ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและ ๑๖ ๑. การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม - การคิดแยกแยะ ๑๐ ผลประโยชน์ส่วนรวม - ประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม - ระบบคิดฐาน ๒ ๔ ๒. ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ - ระบบคิดฐาน ๑๐ ๑๐ ๓. STRONG / จิตพอเพียงตอ่ ตา้ นการทจุ ริต ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ - การทาการบา้ น ๔. พลเมืองกบั ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม - การทาเวร - การสอบ - กจิ กรรมนกั เรียน STRONG / จติ พอเพยี งตอ่ ต้านการทุจรติ - ความพอเพียง - ความโปร่งใส - ต้านทจุ ริต - ความเอือ้ อาทร พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสังคม - เรอ่ื งการเคารพสทิ ธิหนา้ ทตี่ อ่ ตนเองและผอู้ ื่น - การเคารพสทิ ธิหนา้ ทตี่ อ่ ชมุ ชนและสังคม - ระเบียบ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรบั ผดิ ชอบ (ต่อห้องเรยี น) - คณุ ลกั ษณะของพลเมอื งทด่ี ี - หนา้ ที่ของพลเมอื งท่ีดี รวม ๔๐

8 ๓) ประถมศึกษาปีท่ี ๓ เรอื่ ง จานวน ลาดับ หน่วยการเรยี นรู้ ชว่ั โมง การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน ๑. การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑๖ และผลประโยชนส์ ว่ นรวม - การคิดแยกแยะ - ระบบคิดฐาน ๒ - ระบบคดิ ฐาน ๑๐ - ผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ สว่ นรวม - การขดั กนั ระหว่างประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๒. ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ ๑๐ - การทาการบ้าน - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กิจกรรมส่งเสรมิ ความถนัดและความสนใจ ๓. STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้านการทุจรติ STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต ๔ - ความพอเพยี ง - ความโปร่งใส - ตา้ นทุจรติ - ความเออื้ อาทร ๔. พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม ๑๐ - เร่ืองการเคารพสิทธิหนา้ ที่ต่อตนเองและ ผู้อ่นื ทม่ี ตี ่อชุมชน - เรอื่ งการเคารพสทิ ธิหนา้ ที่ต่อตนเองและ ผอู้ ่ืนทีม่ ีต่อประเทศชาติ - ระเบียบ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรับผดิ ชอบ (ต่อโรงเรยี น) - ความเป็นพลเมือง รวม ๔๐

9 ๔) ประถมศึกษาปที ่ี ๔ เรื่อง จานวน ชัว่ โมง ลาดบั หน่วยการเรยี นรู้ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ๑. การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๑๔ - การคดิ แยกแยะ ผลประโยชน์สว่ นรวม - ระบบคิดฐาน ๒ - ระบบคดิ ฐาน ๑๐ ๒. ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต - ความแตกต่างระหวา่ งจริยธรรมและการทจุ ริต - ประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวม ๓. STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้านการทจุ รติ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ๑๐ ๔. พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสังคม - การทาการบ้าน ๖ - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กจิ กรรมนักเรียน (ภายใน ร.ร.) - การเขา้ แถว STRONG / จติ พอเพียงตอ่ ต้านการทุจรติ - การดารงชีวติ ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง - ความโปรง่ ใส - ความตืน่ รู้ / ความรู้ - ต้านทุจรติ - มงุ่ ไปขา้ งหนา้ - ความเออื้ อาทร พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม ๑๐ - เรอ่ื งการเคารพสทิ ธิหน้าทต่ี อ่ ตนเองและผู้อืน่ ท่ีมี ตอ่ ครอบครวั - ระเบยี บ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรบั ผดิ ชอบ (ต่อชุมชน) - ความเป็นพลเมอื ง รวม ๔๐

10 ๕) ประถมศกึ ษาปีที่ ๕ เรอื่ ง จานวน ชัว่ โมง ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑๔ ๑. การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและ - การคิดแยกแยะ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - ระบบคิดฐาน ๒ - ระบบคิดฐาน ๑๐ - ความแตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทุจรติ - ประโยชน์สว่ นตนและประโยชนส์ ่วนรวม - การขัดกนั ระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - ผลประโยชนท์ บั ซ้อน ๒. ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต ๑๐ ๓. STRONG / จติ พอเพียงตอ่ ต้านการทุจริต - การทาการบ้าน ๔. พลเมืองกบั ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กิจกรรมนกั เรียน (ในหอ้ งเรยี น โรงเรยี น ชมุ ชน) - การเข้าแถว STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการทจุ ริต ๖ - ความพอเพยี ง ๑๐ - ความโปรง่ ใส - ความตื่นรู้ / ความรู้ - ตอ่ ตา้ นทุจรติ - มงุ่ ไปข้างหน้า - ความเอื้ออาทร พลเมืองกบั ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม - เรื่องการเคารพสทิ ธิหนา้ ทต่ี อ่ ตนเองและผ้อู น่ื - ระเบยี บ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรับผดิ ชอบ (ตอ่ สังคม) - ความเป็นพลเมอื ง รวม ๔๐

11 ๖) ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ เร่ือง จานวน ชัว่ โมง ลาดับ หน่วยการเรยี นรู้ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ๑. การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและ ผลประโยชน์สว่ นรวม ๑๔ - การคิดแยกแยะ ผลประโยชน์สว่ นรวม - ระบบคิดฐาน ๒ - ระบบคดิ ฐาน ๑๐ ๒. ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต - ความแตกต่างระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทุจริต - ประโยชน์สว่ นตนและประโยชนส์ ่วนรวม ๓. STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทุจรติ - การขดั กันระหว่างประโยชนส์ ่วนตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวม ๔. พลเมอื งกับความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม - ผลประโยชน์ทบั ซ้อน - รปู แบบของผลประโยชนท์ บั ซ้อน ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต ๑๐ - การทาการบา้ น ๖ - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กจิ กรรมนกั เรยี น (ในหอ้ งเรียน โรงเรยี น ชมุ ชน สังคม) - การเข้าแถว STRONG / จติ พอเพยี งตอ่ ต้านการทุจริต - การสร้างจติ สานกึ ความพอเพยี งต่อต้านการทจุ ริต - ความโปร่งใส - ความตืน่ รู้ / ความรู้ - ต้านทจุ ริต - มุ่งไปข้างหน้า - ความเออื้ อาทร พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม ๑๐ - เรอื่ งการเคารพสิทธิหนา้ ทต่ี อ่ ตนเองและผู้อ่ืนทีม่ ี ต่อประเทศชาติ - ระเบียบ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรับผดิ ชอบ (ต่อประเทศชาต)ิ - ความเป็นพลเมอื ง รวม ๔๐

12 ๗. กจิ กรรมการเรียนรู้ แนวคดิ และแนวการสอน กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ใี ชใ้ นการจัดการเรียนการสอน เน้นการใชท้ ฤษฎกี ารเรยี นรู้ การสรา้ งความรู้ ได้แก่ ๑) ทฤษฎคี อนสตรัคตวิ สิ ต์ (Construction Theory) ๒) ทฤษฎีคอนสตรคั ติวสิ ต์เชงิ สงั คม (Social Constructivism Theory) ๓) ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เชงิ ปัญญา (Cognitive Constructivism) ๔) ทฤษฎีประมวลผลข้อมลู (Information Processing Theory) ๕) ทฤษฎพี หุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ๖) ทฤษฎกี าร เรยี นรู้แบบรว่ มมอื (Cooperative Learning Theory) ในการจัดการเรยี นการสอน โดยภาพรวมจะใช้กลยุทธ์การ สอนท่เี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ คือจัดตามความแตกต่างของเด็กแตล่ ะคน ด้วยการสอนโดยใชก้ ระบวนการคดิ วิเคราะห์ คดิ สงั เคราะห์ การฝกึ ปฏบิ ัตจิ รงิ การทาโครงงานสืบสวนสอบสวน กระบวนการเรยี นรู้ ๕ ข้นั ตอน (๕ STEPs) การอภิปราย การแก้ปัญหาตลอดจนใช้เทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายเหมาะกบั ผู้เรยี นแตล่ ะวยั ๘. สื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ จัดกิจกรรมดว้ ยสอื่ การเรยี นรู้ที่เก่ยี วกบั การปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต เชน่ วีดิโอ ข่าว VTR นิทาน การต์ นู ภาพยนตร์สัน้ เอกสารแก้ทุจรติ คิดฐานสอง สือ่ สงิ พิมพ์ตา่ ง ๆ ใบความรู้ ใบงาน วสั ดอุ ปุ กรณ์ตา่ ง ตลอดจน แหลง่ เรียนรู้ท่ใี ชค้ อมพวิ เตอร์ในการสืบค้น ๙. การวดั และประเมนิ ผล ๙.๑ การประเมนิ การเรยี นรู้ โดยใช้เคร่ืองมือประเมนิ การเรยี นรู้ในด้าน -ความรคู้ วามเขา้ ใจ -การปฏบิ ัติ -คณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงค์ เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ประเมนิ -แบบสอบ -แบบประเมินการปฏิบัตงิ าน -แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัตงิ าน ๙.๒ การประเมนิ ผล นักเรียนผ่านการประเมินทุกกิจกรรม รอ้ ยละ ๘๐ ขึน้ ไป จงึ จะถือว่าผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน

13 ๑๐. ตารางชั่วโมงการจัดการเรยี นการสอน ประกอบดว้ ย ๔ หนว่ ยการเรยี นรู้ คือ ๑) การคิดแยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ๒) ความไม่ทนและความอายต่อการทุจรติ ๓) STRONG : จิตพอเพียงตา้ นทุจริต และ ๔) พลเมืองกบั ความ รับผิดชอบต่อสงั คม โดยกาหนดช่ัวโมงการจัดการเรียนการสอนดงั นี้ ท่ี หนว่ ยการเรยี นรู้ ปฐมวัย (ชั่วโมง) ระดบั การศกึ ษา ป.๔-๖ (ชั่วโมง) ๑๔ ป.๑-๓ (ชว่ั โมง) ๑๔ ๑ การคดิ แยกแยะระหวา่ ง ผลประโยชน์สว่ นตนและ ๑๒ ๑๖ ๑๐ ประโยชนส์ ่วนรวม ๙ ๖ ๕ ๑๐ ๑๐ ๒ ความไม่ทนและความอายต่อการ ๔๐ ๔ ๔๐ ทุจรติ ๑๐ ๔๐ ๓ STRONG : จติ พอเพียงตอ่ ตา้ น การทุจริต ๔ พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบต่อ สังคม รวม โดยหลักสูตรรายวชิ าเพิม่ เติม การปอ้ งกันการทจุ รติ การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน กาหนดเปน็ ๑ หลกั สตู ร และ แยกเปน็ แผนการจดั การเรียนรู้ ๗ ระดบั ชนั้ ปี ได้แก่ ระดับปฐมวยั ระดบั ประถมศึกษาชั้นปที ่ี ๑ - ๖ ท้ังน้ี ในแตล่ ะระดบั ชัน้ ปี จะใช้เวลาเรยี นท้ังปี จานวน ๔๐ ชั่วโมง ซ่งึ จะมีเนอื้ หาและกิจกรรมการเรยี น การสอนที่แตกต่างกนั ตามความเหมาะสมและการเรยี นร้ใู นแต่ละช่วงวัย

14 แผนการจัดการเรียนร้หู ลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๔-๖

15 หน่วยท่ี ๑ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม

16 แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ ๑ ชอื่ หน่วย การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ประถมศึกษาปีท่ี ๔ แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๑ เรื่อง การคดิ แยกแยะ เวลา ๓ ชว่ั โมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ นักเรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของผลประโยชนส์ ว่ นตนได้ ๒.๒ นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายของผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒.๓ นกั เรียนสามารถคิดแยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ประโยชน์สว่ นตน หมายถึง การที่บคุ คลทว่ั ไปในสถานะเอกชนหรอื เจา้ หนา้ ท่ี ของรฐั ไดท้ ากิจกรรม หรือได้กระทาการต่าง ๆ เพ่ือประโยชนส์ ่วนตน ครอบครัว ญาติ เพอื่ น หรอื ของกลมุ่ ในสงั คมท่มี ีความสัมพนั ธ์ กันในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ การประกอบอาชีพ การทาธุรกจิ การคา้ การลงทนุ เพอื่ หาประโยชนใ์ นทางการเงิน หรือในทางทรพั ยส์ นิ ต่าง ๆ เปน็ ตน้ ประโยชนส์ ่วนรวม หมายถึง การที่บุคคลใด ในสถานะท่ีเปน็ เจา้ หน้าทขี่ องรัฐ (ผ้ดู ารงตาแหนง ทาง การเมือง ขาราชการ พนกั งานรัฐวสิ าหกจิ หรอื เจ้าหนาทขี่ องรฐั ในหน่วยงานของรัฐ) ได้กระทาการใด ตาม หน้าท่ี หรอื ได้ปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีอน่ื เป็นการดาเนนิ การ อีกสว่ นหนึง่ ทแ่ี ยกออกมาจากการดาเนนิ การตามหนา้ ท่ีใน สถานะของเอกชน การกระทาการใด ตามหนาทหี่ รอื การปฏบิ ตั หิ นาทข่ี องเจ้าหนาทขี่ องรฐั จงึ มวี ตั ถปุ ระสงค์ หรือมีเปาู หมายเพือ่ ประโยชน์ ของสว่ นรวม หรือการรักษาประโยชน สวนรวมที่เป็นประโยชน์ของรัฐ การทา หนา้ ทขี่ องเจ้าหนาท่ีของรัฐจึงมคี วามเกย่ี วขอ้ งเช่อื มโยงกับอานาจหนา้ ทต่ี ามกฎหมายและจะมรี ูปแบบของ ความสัมพันธห์ รือมีการกระทําในลกั ษณะต่าง ๆ กันทเ่ี หมอื นหรือคลา้ ยกับการกระทาํ ของบคุ คลในสถานะ เอกชน เพียงแต่การกระทําในสถานะท่เี ปน็ เจ้าหน้าท่ีของรฐั กับการกระทาในสถานะเอกชน จะมคี วามแตกต่าง ๆ กนั ทวี่ ัตถปุ ระสงค์ ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเี่ กิด) ๑) ความสามารถในการเขยี น ๒) ความสามารถในวเิ คราะห์แยกแยะ ๓.๓ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๑) ใฝเุ รยี นรู้ ๒) มงุ่ มนั่ ในการทางาน ๓) ซือ่ สตั ยส์ ุจรติ ๔) มีวินัย

17 ๔. กิจกรรมในการเรยี นรู้ ๔.๑ ข้ันตอนการเรยี นรู้ ๑) ชวั่ โมงที่ ๑ ๑. ครถู ามนักเรยี นวา่ อะไรบา้ งทเี่ ป็นของสว่ นตวั แลว้ ให้นักเรียนชว่ ยกนั บอก ๒. ครถู ามนักเรยี นว่าอะไรบ้างที่เป็นของส่วนรวม แลว้ ใหน้ กั เรยี นชว่ ยกันบอก ๓. ครอู ธิบายส่ิงของที่เป็นของสว่ นรวม นักเรียนไมค่ วรนามาเปน็ ของสว่ นตวั แต่จาํ เปน็ ตอ้ ง ช่วยกนั ดูแลรกั ษา เพราะของส่วนรวมนนั้ มปี ระโยชนต์ ่อตัวนักเรยี นและคนอ่ืน ดว้ ย และนักเรียนกเ็ ปน็ เจา้ ของ ร่วมกบั คนอื่น ด้วยเชน่ กัน ๔. ครใู หน้ กั เรียนชม วีดีทศั น์ เรือ่ ง นิทานเปล่ยี นสี ๕. ครูสนทนากบั นกั เรยี นเกี่ยวกบั วีดีทัศน์ เร่อื งนทิ านเปลี่ยนสี ถงึ พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ท่ีเกิดขน้ึ กบั ตวั ละครแตล่ ะตวั แลว้ สรุป ๒) ช่วั โมงท่ี ๒ ๑. ครูถามนกั เรยี นเกีย่ วกบั พฤติกรรมใดทเ่ี ปน็ ผลประโยชนส์ วนตน แล้วใหน้ กั เรยี นช่วยกนั บอก ๒. ครูถามนกั เรยี นเกยี่ วกบั พฤติกรรมใดทเี่ ป็นผลประโยชนส์ วนรวม แล้วให้นักเรียนชว่ ยกันบอก ๓. ครูอธิบายความหมายผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม ๔. นกั เรียนและครรู ว่ มกนั สนทนาเกี่ยวกับพฤติกรรมใดเปน็ ผลประโยชน์สว่ นตน กบั พฤตกิ รรม ใดเปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๕. นกั เรยี นสรุปความรโู้ ดยการทาใบงานเรื่อง ความหมายประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์ สว่ นรวม ๖. ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกลมุ่ แล้วแจกบัตรคาผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชน์ส่วนรวมให้แต่ ละกลมุ่ โดยบัตรคาในแตล่ ะกลมุ่ จะมีสไี ม่เหมือนกนั ครแู บ่งคร่งึ กระดาน ด้านหน่ึงเป็นผลประโยชนส์ ว่ นตน อกี ด้านเป็นผลประโยชน์ส่วนรวม ครูใหเ้ วลาเด็ก ๕ นาทีในการนาบตั รคามาตดิ ให้ถูกตอ้ ง กลุ่มไหนตดิ ได้ ถกู ตอ้ งมากที่สดุ ชนะ ๗. เมอื่ หมดเวลาใหน้ บั จํานวนคาํ และประกาศกลมุ่ ที่ผ้ชู นะ ๘. นักเรียนสรปุ ความรโู้ ดยการทําแผนผงั ความคดิ เร่ือง ผลประโยชนส์ ่วนตน กบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม และนาํ ไปตดิ ปูายนเิ ทศ ๔.๒ สื่อการเรียนรู้ / แหลง่ เรียนรู้ ๑) บตั รคา ๒) วดี ีทศั น์ เรื่อง นิทานเปลย่ี นสี ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมิน ๑) สังเกตการตอบคําถาม ๒) ตรวจผลงาน ๕.๒ เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการประเมิน ๑) แบบสังเกตการตอบคําถาม ๒) แบบประเมินผลงาน ๕.๓ เกณฑ์การตดั สนิ ผ่านการประเมินร้อยละ ๘๐

18 ๖. บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชือ่ .......................................ครผู สู้ อน (.........................................) ๗. ความคดิ เหน็ ผู้บรหิ าร ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ .....................................ผบู้ รหิ าร (นายกศุ ล ชมุ ปัญญา) ผู้อานวยการโรงเรยี นบ้านศรวี ชิ า “คุรรุ าษฎรอ์ ุทศิ ”

19 ใบงาน เร่ือง ความหมายผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชนส์ ว่ นรวม ชอ่ื .........................................................................................................ชนั้ ............ ..............เลขท่.ี ................. ประโยชนส์ ่วนตนหมายถงึ ............................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ตัวอยา่ งพฤติกรรมท่ีเปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตน เช่น ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ประโยชนส์ ว่ นรวมหมายถงึ .......................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ตวั อยา่ งพฤติกรรมทีเ่ ป็นผลประโยชนส์ ่วนรวม เช่น ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ...........................................

20 ใบงาน เร่อื ง แยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตน กับผลประโยชนส์ ่วนรวม ช่อื .........................................................................................................ช้นั ............ ..............เลขท.่ี ................. ประโยชน์ สว่ นตน ประโยชน์ สว่ นรวม

ผลประโยชน์ส่วนตน บัตรคํา 21 ทงิ้ ขยะบนพื้น เดินขายพวงมาลยั บนถนน ขับรถยอ้ นศร ติดปาู ยโฆษณาข้างถนน จอดรถข้างทางบนถนน แซงควิ ขายของบนทางเท้า หลวงเพอ่ื ซอ้ื ของ ขบั มอเตอรไ์ ซดบ์ นทางเทา้ นํารถราชการไปใช้ส่วนตวั กรอกน้ําทโ่ี รงเรยี น ไปใชท้ ี่บา้ น ไม่จอดรถในทีห่ า้ มจอด ผลประโยชน์ส่วนรวม ไมจ่ อดรถซอ้ื สนิ ค้าขา้ งทาง เข้าคิว ทง้ิ ขยะลงถงั ขายสนิ คา้ ในสถานท่ีที่ เบ่ยี งรถเข้าข้างทางเพือ่ ให้ ราชการกําหนด รถพยาบาลไปก่อน

22 คําชแ้ี จง แบบสังเกตการตอบคาํ ถาม ทําเครอ่ื งหมาย ลงในช่องระดบั คะแนนพฤติกรรมทีน่ ักเรยี นปฏบิ ตั ดิ ังนี้ ระดับ ๓ หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เห็นมาก ระดบั ๒ หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เห็นปานกลาง ระดับ ๑ หมายถงึ แสดงพฤติกรรมใหเ้ หน็ นอ้ ย พฤตกิ รรม/ การ ระดับคะแนน สนใจและตั้งใจ ตอบคาํ ถามได้ ตอบคาํ ถาม รวม ประเมินผล ลําดับ ฟงั คาถาม ตรงประเด็น อยา่ งสมํ่าเสมอ คะ หมายเหตุ ที่ แนน ไม่ ชื่อ-สกลุ ๓๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ๓ ๒ ๑ ผ่าน ผ่าน ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. เกณฑก์ ารประเมนิ คะแนนตงั้ แต่ ๔ – ๙ ผา่ น ๘ - ๙ = ดี ๖ - ๗ = ปานกลาง ๔ - ๕ = พอใช้ คะแนนตํ่ากวา่ ๔ ไมผ่ า่ น

23 คาช้แี จง แบบประเมินผลงาน เรือ่ ง ผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม ทําเครอื่ งหมาย ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤตกิ รรมทีน่ กั เรยี นปฏบิ ตั ดิ งั นี้ ระดบั ๓ หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เหน็ มาก ระดับ ๒ หมายถงึ แสดงพฤติกรรมใหเ้ หน็ ปานกลาง ระดบั ๑ หมายถงึ แสดงพฤติกรรมใหเ้ ห็นน้อย การ ลาํ ดบั หัวข้อประเมนิ ความถกู ตอ้ ง ความ ความคดิ รวม ประ หมายเหตุ ที่ ระดบั คะแนน เรียบร้อย สรา้ งสรรค์ คะ เมนิ แนน ผล ช่อื -สกลุ ๓๒๑๓๒๑๓๒๑ ไม่ ผ่าน ผา่ น ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. เกณฑก์ ารประเมนิ คะแนนตัง้ แต่ ๔ – ๙ ผา่ น ๘ - ๙ = ดี ๖ - ๗ = ปานกลาง ๔ - ๕ = พอใช้ คะแนนตาํ่ กวา่ ๔ ไมผ่ ่าน

24 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยที่ ๑ ชอ่ื หน่วยการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๔้ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๒ เร่ือง ระบบคดิ ฐาน ๒ เวลา ๓ ช่ัวโมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๒.๑ นักเรียนสามารถแยกผลประโยชนส์ ว่ นตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๒ นกั เรียนสามารถตระหนักถงึ ผลประโยชนส์ าธารณะมากอ่ นผลประโยชนส์ ่วนตน ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ “การปฏิบตั งิ านแบบใชระบบคิดฐาน ๒ (Digital)” คือ การทเ่ี จา้ หนาท่ีของรัฐ มรี ะบบการคิดที่ สามารถแยกเร่ืองตาํ แหนง่ หน้าทก่ี บั เรอื่ งส่วนบคุ คลออกจากกนั ไดอ้ ย่างชดั เจนว่าสง่ิ ไหนถกู ส่งิ ไหนผดิ สง่ิ ไหนทาํ ได้สิ่งไหนทําไมไดส้ งิ่ ไหนคอื ประโยชนสวนบคุ คลสิง่ ไหน คอื ประโยชนสวนรวม ไม่นามาปะปนกัน ไม่ นาํ บุคลากรหรอื ทรพั ยส์ ินของราชการมาใช้เพือ่ ประโยชนส่วนบุคคลไมเ่ บียดบงั ราชการ เหน็ แก่ ประโยชน์ สว่ นรวมหรือของหน่วยงานเหนือกวา่ ประโยชนข์ องส่วนบุคคล เครอื ญาติและพวกพ้อง ไม่แสวงหา ประโยชนจ์ ากตาํ แหน่งหน้าทรี่ าชการ ไมร่ บั ทรัพยส์ นิ หรือประโยชนอน่ื ใดจากการปฏิบตั หิ น้าที่ กรณเี กิด การขดั กนั ระหว่าง ประโยชนสวนบุคคลและประโยชนสวนรวม ก็จะยึดประโยชนสวนรวมเป็นหลกั ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเ่ี กิด) ๑) ความสามารถในการเขยี น ๒) ความสามารถในวเิ คราะหแ์ ยกแยะ สรุป ๓.๓ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ๑) ใฝเุ รียนรู้ ๒) มุ่งมนั่ ในการทาํ งาน ๔. กิจกรรมในการเรยี นรู้ ๔.๑ ขนั้ ตอนการเรยี นรู้ ๑) ช่ัวโมงท่ี ๑ ๑. ครนู าขา่ ว “ข่าวแกไ้ ม่จบสแ่ี ยกกลว้ ยแขกทาํ รถตดิ ผดิ กฎหมาย” เลา่ ให้นกั เรยี นฟงั ๒. ครูซกถามนกั เรียนว่านกั เรียนไดอ้ ะไรบา้ งจากการฟงั ขา่ ว เมอื่ นกั เรยี นชว่ ยกนั ตอบเสร็จ แล้ว ครูถามนักเรียนว่ารู้สึกอยา่ งไรตอ่ ข่าว ๓. ให้นกั เรียนแบ่งกลมุ่ เปน็ ๕ กล่มุ หรือตามความเหมาะสม ชว่ ยกนั ระดมสมองในประเดน็ ต่อไปน้ี ๓.๑ นักเรียนคดิ ว่าสาเหตทุ ีท่ าํ ให้เกิดปญั หานี้ขึน้ คอื อะไร ๓.๒ นักเรยี นคดิ ว่าตนเองมีส่วนรว่ มหรือเคยมีส่วนทาํ ใหเ้ กิดเหตุการณใ์ นภาพหรือไม่ อยา่ งไร ๓.๓ นักเรยี นคดิ วา่ ปญั หาทเี่ กิดขึน้ จะแกไ้ ขได้อย่างไรโดยบันทกึ ลงในใบงานท่ี ๑ เรอื่ ง ข่าวแก้ไม่จบสี่แยกกลว้ ยแขกทํารถตดิ ผดิ กฎหมาย

25 ๔. ให้แตล่ ะกลมุ่ ส่งตัวแทนมานําเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น และเปดิ โอกาสให้คนอ่ืน แสดงความ คิดเหน็ ต่อประเด็นดว้ ย ๕. ครเู ช่อื มโยงขา่ วแก้ไมจ่ บสีแ่ ยกกลว้ ยแขกทาํ รถตดิ ผดิ กฎหมาย วา่ คนสว่ นนอ้ ยทเ่ี หน็ แก่ ประโยชนส์ ่วนตนทาให้เกดิ ปญั หาอะไรตามมาบา้ ง เชน่ รถตดิ อาจเกิดอุบัตเิ หตุ ๒) ชวั่ โมงที่ ๒ ๑. ครูใหน้ กั เรยี นดกู รณีศกึ ษาท่ี ๑ โดยครูอา่ นให้นักเรียนฟงั จนจบ แล้วถามนกั เรยี นใน ประเด็นต่อไปน้ี ๑.๑ ถ้านักเรยี นออกไปเล่นกับเพอ่ื นจะเกดิ อะไรขึ้น ๑.๒ ถ้านกั เรยี นอยากออกไปเลน่ กบั เพ่ือนจะบอกคุณแมว่ ่าอยา่ งไร ๑.๓ ถา้ นักเรียนไมไ่ ปเล่นกับเพือ่ นจะบอกเพอื่ นว่าอยา่ งไรเพ่ือไมใ่ หเ้ พ่อื นเสยี นา้ ใจ หรือไมม่ าชวนเราเลน่ อีหก ๒. ครูและนักเรยี นร่วมกนั สนทนาเร่ืองกรณีศึกษาที่ ๑ ถงึ คาตอบต่าง ๆ ๓. นักเรียนสรุปความรลู้ งในใบงานที่ ๒ เร่อื ง นา่ เชอื่ ถือ ๓) ชั่วโมงที่ ๓ ๑. นักเรยี นศกึ ษาใบความรู้ เรื่อง ระบบคิดฐาน ๒ (Digital) ๒. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุป ระบบคดิ ฐาน ๒ (Digital) ๓. ให้นักเรยี นยกตัวอย่างหรอื พฤติกรรมทีค่ วรปฏิบตั แิ ละไมค่ วรปฏิบัติ เชน่ เปดิ ไฟ หอ้ งเรยี นทิ้งไว้ นกั เรยี นคดิ วา่ ควรปฏบิ ตั ิหรอื ไม่ เพราะเหตุใด ๔. ให้นกั เรยี นทาใบงานที่ ๓ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐานสอง (Digital) ๕. นาผลงานนกั เรียนไปติดปาู ยนเิ ทศ ๔.๒ ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งเรยี นรู้ ๑) ขา่ วแกไ้ มจ่ บสี่แยกกล้วยแขกทํารถตดิ ผดิ กฎหมาย ๒) ใบงานที่ ๑ เรอื่ ง ขา่ วแก้ไม่จบสแ่ี ยกกลว้ ยแขกทาํ รถตดิ ผดิ กฎหมาย ๓) ใบงานที่ ๒ เรือ่ ง นา่ เชอ่ื ถอื ๔) ใบงานที่ ๓ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๒ (Digital) ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ ๑) สงั เกตตอบคาถาม ๒) ตรวจช้ินงาน ๕.๒ เคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการประเมนิ ๑) แบบสังเกตตอบคาถาม ๒) แบบประเมินผลงาน ๕.๓ เกณฑ์การตดั สิน ผา่ นการประเมินรอ้ ยละ ๘๐

26 ๖. บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชือ่ .......................................ครผู ู้สอน (.........................................) ๗. ความคดิ เหน็ ผู้บริหาร ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .....................................ผ้บู รหิ าร (นายกุศล ชมุ ปัญญา) ผอู้ านวยการโรงเรยี นบา้ นศรวี ชิ า “คุรุราษฎรอ์ ุทศิ ”

27 ใบความรู้ท่ี ๑ “ กรณีศึกษาที่ ๑ นักเรยี นสัญญากับคุณแมว่ ่าทุกวันจะทําการบา้ นให้เสรจ็ กอ่ นจะ ดทู ีวีหรอื ออกไปเลน่ กบั เพ่อื น แตว่ ันน้นี ักเรียนยงั ทาํ ไมเ่ สรจ็ เพ่ือน มาท่บี ้านหลายคนมาชวนไปเลน่ ที่บ้านเพ่อื น และยังบอกวา่ ถา้ ไมไ่ ป ตอนนจ้ี ะอดเลน่ นักเรียนจะทาํ อย่างไร”

28 ใบงานที่ ๑ เร่อื ง ข่าวแกไ้ มจ่ บสี่แยกกลว้ ยแขกทํารถติดผิดกฎหมาย กลุ่มท่.ี ........... สมาชกิ กลุม่ ๑............................................................................................................ ๒............................................................................................................ ๓............................................................................................................ ๔............................................................................................................ ๕............................................................................................................ ๖............................................................................................................ ๗............................................................................................................ ๘............................................................................................................ ๙............................................................................................................ ๑๐........................................................................................................... ประเดน็ การวิเคราะห์ ๑. นักเรียนคิดวา่ สาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ ปัญหาน้ีขน้ึ คืออะไร ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ๒. นักเรยี นคิดว่าตนเองมีส่วนร่วมหรือเคยมีส่วนทําใหเ้ กดิ เหตุการณใ์ นภาพหรอื ไม่อย่างไร ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................ ................................ ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ๓. นักเรียนคิดวา่ ปญั หาทเี่ กดิ ขึน้ จะแก้ไขได้อย่างไร ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...........................................

29 ใบงานที่ ๒ เรือ่ ง น่าเชอื่ ถือ ช่อื .........................................................................................................ชัน้ ............ ..............เลขท.ี่ ................. กรณศี กึ ษาที่ ๒ เพอ่ื นสนิทของนกั เรียนมาปรึกษาว่า อ่านหนังสอื สอบไมท่ นั จงึ ต้ังใจทจี่ ะแอบลอกคาํ ตอบตอน ทาํ ขอ้ สอบ เพือ่ ไม่ใหค้ รทู ราบ จงึ ขอร้องใหเ้ พ่อื นนกั เรยี นสญั ญาและรักษาสญั ญาว่าจะไมบ่ อกใหค้ รู ทราบ นกั เรียนจะทาํ อย่างไร ๑. หากนักเรยี นให้สญั ญาจะเกดิ อะไรขึ้นบ้าง ลองคดิ ในหลายๆมมุ ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ๒. หากนักเรยี นให้สญั ญา จะส่งผลดตี ่อเพ่อื นหรือไม่ ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ๓. หากนกั เรียนไมใ่ ห้สญั ญา เพ่ือนของนกั เรยี นจะโกรธหรือไม่ นกั เรยี นคดิ วา่ จะมวี ธิ ีพูดกบั เพอ่ื น อย่างไร ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ๔. ถ้านักเรียนเปน็ เพ่ือนท่ีดี จะมีคาํ แนะนาเพ่ือนคนน้ีอยา่ งไรบา้ ง ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ...........................................

30 ใบงานท่ี ๓ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๒ (Digital) ชอ่ื .........................................................................................................ช้ัน............ ..............เลขที่.................. คําชี้แจง ให้นกั เรียนเขียน หน้าพฤติกรรมการปฏิบตั ทิ ่ีเหมาะสม และเขยี น หนา้ พฤติกรรมการ ปฏบิ ตั ิทไ่ี มเ่ หมาะสม _______๑.) เด็กชายเกง่ เดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย _______๒.) เดก็ หญิงแพร เปดิ นาํ้ ท้งิ ไว้ _______๓.) นายพล จอดรถขวางประตเู ข้าออกบ้านคนอื่น _______๔.) นางวภิ า เทขยะลงในแม่น้ําลาํ คลอง _______๕.) เดก็ ชายกอ้ ง ช่วยเพ่อื นทําความสะอาดห้องเรียน _______๖.) นางพร เด็ดดอกไม้สวนสาธารณะมาปักแจกนั ทบ่ี า้ นตนเอง _______๗.) นายแกว้ ชว่ ยขดุ ลอกคลองในชุมชน _______๘.) เดก็ หญิงพลอย ช่วยเก็บขยะในหอ้ งเรยี น _______๙.) มลู นธิ ปิ อเต๊กต๊ึง ช่วยเก็บศพตามสถานท่ีเกดิ เหตุ _______๑๐.) นายชัชวาล ขับรถชนคนแล้วหนี

31 แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่ม กลมุ่ .......................................................................................................... สมาชิกในกลุ่ม ๑. ...................................................................... ๒. ...................................................................... ๓. ...................................................................... ๔. ...................................................................... ๕. ...................................................................... ๖. ...................................................................... ๗. ...................................................................... ๘. ...................................................................... ๙. ...................................................................... ๑๐. ...................................................................... คําชี้แจง : ใหน้ ักเรียนทาเคร่อื งหมาย ในช่องท่ตี รงกับความเป็นจรงิ พฤติกรรมทส่ี งั เกต ๓ คะแนน ๑ ๒ ๑. มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเหน็ ๒. มคี วามกระตือรือร้นในการทาํ งาน ๓. รบั ผิดชอบในงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย ๔. มขี นั้ ตอนในการทางานอย่างเปน็ ระบบ ๕. ใชเ้ วลาในการทํางานอยา่ งเหมาะสม รวม เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน พฤติกรรมทท่ี าํ เปน็ ประจาํ ให้ ๓ คะแนน เกณฑ์การใหค้ ะแนน พฤติกรรมท่ีทาํ เปน็ บางคร้งั ให้ ๒ คะแนน พฤตกิ รรมทที่ ําน้อยครงั้ ให้ ๑ คะแนน ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ ๑๓-๑๕ ดี ๘-๑๒ ปานกลาง ๕-๗ ปรับปรงุ

32 แบบประเมนิ ผลงาน เรือ่ ง ข่าวแกไ้ มจ่ บส่ีแยกกลว้ ยแขกทํารถติดผดิ กฎหมาย คําชแ้ี จง ทาํ เคร่ืองหมาย ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤติกรรมทน่ี กั เรยี นปฏบิ ัตดิ งั น้ี ระดับ ๓ หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมให้เหน็ มาก ระดบั ๒ หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เห็นปานกลาง ระดับ ๑ หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เหน็ น้อย การ ลาํ ดบั หัวข้อประเมนิ ความถกู ต้อง ความ ความคิด รวม ประ หมายเหตุ ท่ี ระดบั คะแนน เรียบร้อย สรา้ งสรรค์ คะ เมิน แนน ผล ชอื่ -สกลุ ๓๒๑๓๒๑๓๒๑ ไม่ ผ่าน ผ่าน ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐. เกณฑ์การประเมนิ คะแนนตั้งแต่ ๔ – ๙ ผา่ น ๘ - ๙ = ดี ๖ - ๗ = ปานกลาง ๔ - ๕ = พอใช้ คะแนนต่ํากวา่ ๔ ไมผ่ ่าน

33 แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี ๑ ชอื่ หนว่ ย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สวนรวม ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๔่ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๑๐ เวลา ๓ ช่ัวโมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มีความร้คู วามเข้าใจเก่ียวกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ นักเรียนสามารถแยกผลประโยชนส์ ่วนตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๒ นักเรียนเกิดตระหนักถึงผลประโยชน์สาธารณะมากอ่ นผลประโยชนส์ ่วนตน ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ การปฏิบัติงานแบบใช้ระบบคดิ ฐาน ๑๐ (Analog) คือ การที่เจ้าหน้าท่ขี องรฐั ยงั มีระบบการคดิ ท่ีนา ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมมาปะปนกนั ไปหมด แยกแยะไมอ่ อกวา่ ส่งิ ไหนคือประโยชนส์ ว่ นตน สง่ิ ไหน คือประโยชนส์ ่วนรวม นาํ ส่งิ ของราชการมาใช้เพอื่ ประโยชนส์ ่วนตน เบียดบังราชการ เหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นตน เหนอื กว่าประโยชน์สว่ นรวมหรือของหน่วยงาน จะคอยแสวงหาประโยชน์จากตําแหน่งหนา้ ทรี่ าชการเพอื่ ตนเอง เครือญาติ หรือพวกพอ้ ง กรณีเกดิ การขัดกันระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมจะยึดประโยชนส์ ่วน ตนเปน็ หลัก ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเี่ กิด) ๑) ความสามารถในการเขยี น ๒) ความสามารถในวิเคราะหแ์ ยกแยะ สรุป ๓.๓ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ๑) ใฝุเรยี นรู้ ๒) ม่งุ มั่นในการทางาน ๓) ซอื่ สัตยส์ ุจรติ ๔) มวี ินัย ๔. กิจกรรมในการเรียนรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ ๑) ชว่ั โมงที่ ๑ ๑. ครูมอบหมายใหน้ ักเรยี น ๑ กลุ่ม รบั บทบาทเป็นผดู้ ําเนนิ รายการ “ห้องเรยี นสีขาว” ตอน “นมโรงเรยี น” โดยใหบ้ ทไปฝกึ ซอ้ มล่วงหนา้ ๑ สปั ดาห์ ๒. ครเู กร่ินนาํ ถงึ เรือ่ งประโยชนข์ องการดม่ื นม ๓. ครูให้นักเรียนกลมุ่ ท่ีไดร้ บั มอบหมายออกมาแสดงหน้าชน้ั เรียนตามบททีม่ อบให้ ๔. หลังจบรายการ ใหต้ ง้ั คาํ ถามกับนักเรยี นในประเดน็ ต่อไปนี้ ๔.๑ นกั เรยี นร้สู กึ อย่างไรต่อรายการที่เพิง่ รับชมจบไป

34 ๔.๒ ปญั หาทเ่ี กิดขึน้ กับเรอื่ ง “นมโรงเรียน” มอี ะไรบา้ ง ๔.๓ ปัญหาเรือ่ งนมโรงเรยี นมีสาเหตมุ าจากอะไร ๔.๔ ถ้านักเรียนอยใู่ นโรงเรยี นทป่ี ระสบปญั หาดงั กลา่ ว นักเรียนจะรสู้ กึ อยา่ งไร ๔.๕ นักเรยี นคิดว่าถา้ ผู้ใหญเ่ ห็นประโยชนส์ ว่ นตนมากกว่าสว่ นรวม และปญั หานไ้ี มไ่ ดร้ บั การ แก้ไข จะเกดิ อะไรขึน้ บา้ งในอนาคต ๕. ครสู รปุ คาํ ตอบของนักเรียน และเชื่อมโยงว่า ปญั หาของประเทศชาติมากมายท่ีเกิดจากการ ทจุ ริตคอรร์ ปั ช่ันของผูท้ เ่ี หน็ แกป่ ระโยชน์ส่วนตน มากกวา่ ประโยชนส์ ่วนรวม ๒) ชัว่ โมงที่ ๒ ๑. ครูใหน้ ักเรยี นศกึ ษาใบความรู้ เรื่อง ตวั อย่างคดิ แบบระบบฐาน ๑๐ ๒. ครูและนักเรียนรว่ มกนั สนทนา เกีย่ วกับระบบคดิ ฐาน ๑๐ ทไ่ี ดศ้ กึ ษาจากใบความรู้ ๓. ครูใหน้ กั เรยี นแบ่งกลมุ่ ๕ กลุม่ ช่วยกันระดมความคิด แล้วทาใบงาน เร่อื ง ระบบคิดฐาน ๑๐ ๔. ให้แตล่ ะกล่มุ ส่งตัวแทนมานาํ เสนอหน้าชั้นเรยี น ละเปดิ โอกาสใหค้ นอืน่ แสดงความคดิ เหน็ ร่วม ด้วย ๓) ช่วั โมงที่ ๓ ๑. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ เปน็ ๕ กลุม่ ให้แตล่ ะกลมุ่ แต่งเน้อื เรอ่ื ง และแสดงบทบาทสมมติ เกย่ี วกับ ระบบคิดฐาน ๑๐ ในแต่ละอาชีพต่าง ๆ ดังน้ี กล่มุ ที่ ๑ ครู กล่มุ ท่ี ๒ ทหาร กลุม่ ที่ ๓ ตาํ รวจ กลมุ่ ที่ ๔ พยาบาล กลุม่ ท่ี ๕ คนขับแท็กซ่ี ๒. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายการแสดงบทบาทสมมตขิ องแตล่ ะกลมุ่ ในระบบคดิ ฐาน ๑๐ ๔.๒ ส่อื การเรียนรู้ / แหล่งเรยี นรู้ ๑) บทสนทนาสาํ หรบั รายการหอ้ งเรียนสีขาว ๒) ใบความรู้ ระบบคดิ ฐาน ๑๐ และระบบคิดฐาน ๒ ๓) ใบความรู้ ตัวอย่างคดิ ฐาน ๑๐ สํานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วิธีการประเมิน สังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ่ ๕.๒ เครือ่ งมอื ท่ีใชใ้ นการประเมิน แบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุ่ม ๕.๓ เกณฑก์ ารตดั สนิ ผ่านการประเมินรอ้ ยละ ๘๐

35 ๖. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชอื่ .......................................ครผู สู้ อน (.........................................) ๗. ความคดิ เห็นผบู้ รหิ าร ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.....................................ผ้บู ริหาร (นายกุศล ชุมปญั ญา) ผู้อานวยการโรงเรียนบา้ นศรวี ชิ า “ครุ รุ าษฎร์อุทิศ”

36 บทสนทนาสาหรบั รายการ “หอ้ งเรียนสขี าว” ตอน “นมโรงเรยี น” ผู้ดําเนินรายการ ๑ : สวัสดีค่ะท่านผชู้ ม วนั นีร้ ายการห้องเรยี นสขี าวมาพบกับทุกท่านอกี ครงั้ แล้ว นะคะ วันน้ีมีเหตกุ ารณ์ท่ีไมค่ วรเกิดขึน้ ในโรงเรยี นอกี แล้ว ผู้ดําเนนิ รายการ ๒ : เหตกุ ารณด์ งั กลา่ วไดเ้ กิดข้นึ หลายคร้งั แล้ว และสง่ ผลกระทบกับโรงเรยี น ระดบั กอ่ นประถมศึกษาและประถมศกึ ษาท่ัวประเทศนะคะ ผดู้ าํ เนนิ รายการ ๑ : นนั่ คือปญั หาเร่ือง “นมโรงเรยี น” ค่ะ นมโรงเรยี นเป็นโครงการท่ีเกิดขึน้ เพอ่ื พัฒนาร่างกายของนกั เรียนใหม้ ีสุขภาพสมบรู ณ์แขง็ แรง มนี ้าหนักและ สว่ นสูงตามวัยอีกดว้ ย ผู้ดาํ เนินรายการ ๒ : และยังเปน็ การปลูกฝังนสิ ัยการดมื่ นมใหแ้ ก่เดก็ ๆ อีกดว้ ยนะคะ ดูๆแลว้ เป็น โครงการทมี่ ปี ระโยชนม์ ากค่ะ แลว้ เกดิ อะไรข้ึนเหรอคะ ถึงไดก้ ลายเป็น ปัญหาขึน้ มาได้ ผ้ดู ําเนนิ รายการ ๑ : กม็ ผี ู้ใหญบ่ างคนสคิ ะ เหน็ แกป่ ระโยชน์ของตนเองมากกว่าส่วนรวมใช้ ผลิตภัณฑ์คณุ ภาพต่ํา เช่น นาหางนมมาผสมนา้ มาบรรจถุ งุ ใหน้ กั เรียนดมื่ ซึง่ เปน็ นมที่ไมม่ ีคุณภาพ นอกจากน้ีการขนสง่ ทไี่ ม่ไดม้ าตรฐาน เช่น ไม่มกี าร รักษาคุณภมู ิท่ดี พี อ ทาใหน้ กั เรียนตอ้ งดม่ื นมบดู ๆ ผ้ดู าํ เนนิ รายการ ๒ : เหตกุ ารณท์ วี่ ่านี้เกิดขึ้นทีโ่ รงเรียนประจําจงั หวดั แห่งหนงึ่ คะ่ หลงั ดม่ื นมเขา้ ไป เดก็ ๆ กม็ ีอาการเวยี นศรี ษะ อาเจียน จนต้องเข้าโรงพยาบาล โชคดตี อนน้ีเดก็ ทุกคนอย่ใู นภาวะปลอดภัยแลว้ คะ่ ผู้ดาํ เนนิ รายการ ๑ : เปน็ เหตกุ ารณ์ที่ควรไดร้ บั การแก้ไขดว่ นนะคะ เพราะเปน็ เร่อื งท่มี ผี ลต่อ ร่างกายและสมองของเดก็ และทส่ี ําคัญค่ะ เดก็ ในวนั นคี้ ือผู้ใหญ่ในวันหน้า เด็กจึงควรไดร้ บั การพัฒนาอยา่ งเต็มที่ เพราะจะเป็นกาลังสาํ คญั ในการ พัฒนาประเทศ ผดู้ ําเนินรายการ ๒ : หวังวา่ เรอ่ื งราวเหล่าน้ี จะทาให้ผ้ใู หญบ่ างคนไดฉ้ กุ คดิ ถึงความสําคญั ของ ประโยชน์เพอ่ื ส่วนรวมมากขึ้นนะคะ และขอใหก้ ารทุจรติ คอรปั ชนั หมดไป จากประเทศของเราเสยี ที ผู้ดาํ เนินรายการ ๑ : แล้วพบกนั ใหมก่ บั เร่ืองราวที่เราจะนามาฝากในคร้ังตอ่ ไปนะคะ สาหรับวันนี้ เราสองคนต้องลาไปกอ่ น ผู้ดําเนินรายการ ๑-๒ : สวัสดคี ่ะ/สวสั ดคี รบั

ใบความรู้ เรอื่ ง ระบบคิดฐาน ๑๐ และ ระบบคดิ ฐาน ๒ 37 Analog Digital ระบบคดิ ฐานสิบ ระบบคดิ ฐานสอง ใช้นํ้าประปาหลวง ไม่ใชำ้น้ประปาหลวง ลา้ งรถสว่ นตวั ลา้ งรถส่วนตวั นํารถยนตห์ ลวงมาใชใ้ น ไมน่ ํารถยนต์หลวงมาใชใ้ น ธุระส่วนตวั ธรุ ะส่วนตัว นําอุปกรณ์ไฟฟูาส่วนตวั มา ไมน่ าํ อปุ กรณ์ไฟฟาู สว่ นตัว ชารต์ ท่ีทางาน มาชารต์ ทท่ี างาน ไมน่ าํ วัสดคุ รภุ ณั ฑห์ ลวงไป นําวสั ดุครภุ ณั ฑห์ ลวงไป ใชส้ ว่ นตวั ใช้สว่ นตวั ไม่ใช้โทรศพั ทห์ ลวงในเรอ่ื ง ใชโ้ ทรศพั ทห์ ลวงในเร่ือง สว่ นตวั สว่ นตัว ไม่รบั ของขวญั จากผมู้ าตดิ ตอ่ ราชการ รับของขวญั จากผู้มา ติดต่อราชการ

38 ใบความรู้ ตัวอย่างคิดแบบระบบฐาน ๑๐ สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตอน “คนหลวงใชเ้ งนิ หลวง” นางวันดี ตาํ แหนง่ เจา้ พนักงานสาธารณสขุ ปฏบิ ตั งิ าน ไดร้ บั แต่งต้งั ใหเ้ ปน็ กรรมการเกบ็ รกั ษาเงนิ และเป็นเจ้าหนา้ ท่กี ารเงนิ รับผดิ ชอบงานการเงินและบญั ชี และมอี านาจลงนามในใบถอนเงินรว่ มกบั เจา้ หนา้ ทร่ี าย อ่ืน นางวนั ดไี ด้ถอนเงินออกจากบัญชเี งินฝากของสถานอี นามัย นาไปใช้จา่ ยในเรอ่ื งส่วนตัว จานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาได้นาเงินดังกลา่ วมาคนื ใหก้ บั ทางราชการแล้ว และพบวา่ มีการเบิกจา่ ยเงินโดยไมม่ ีเอกสาร หลักฐาน ประกอบการจา่ ยเงนิ จํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท นางวันดี ให้การรบั สารภาพว่า ตนได้จัดทาํ เอกสารหลักฐาน ประกอบการเบิกจา่ ยเทจ็ ข้นึ มาใหม่เพือ่ ให้ มจี าํ นวนเงิน คงเหลืออยจู่ รงิ ตามรายงานงบเดือนสง่ ให้สํานกั งาน สาธารณสขุ อําเภอเพือ่ ประกอบการจดั ทาบญั ชีเกณฑค์ งค้าง พฤตกิ ารณข์ องนางวันดี ดงั กล่าว เป็นการกระทาํ ผดิ วินยั อยา่ งร้ายแรงฐานปฏิบตั ิหรอื ละเว้นการ ปฏบิ ัตหิ น้าทร่ี าชการโดยทุจรติ ตามมาตรา ๘๕(๑) แหง่ พระราชบญั ญัตริ ะเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑ ลงโทษไล่ออกจากราชการ ตอน “ยักยอกยา” นายยา ตาํ แหนง่ เภสัชกรปฏบิ ตั กิ าร ได้ยกั ยอกยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอฟี รีดรีน ที่ตนดาเนนิ การ ส่งั ซือ้ จากบริษทั ยาของเอกชน รวมจานวน ๒๐๐,๐๐๐ เม็ด โดยยาดังกล่าวจานวน ๕๐,๐๐๐เมด็ ไดม้ กี ารสัง่ ซ้ือใน นามของโรงพยาบาลและนาเข้าคลังยาของโรงพยาบาลตามระบบ สว่ นอีกจานวน ๑๕๐,๐๐๐ เม็ดนน้ั ได้สั่งซอื้ ใน นามของโรงพยาบาลแต่นายาเขา้ รา้ น และจ่ายเงนิ เอง โดยการส่ังซ้อื ยาไดท้ าการปลอมลายมือช่ือของผ้อู านวยการ โรงพยาบาลเพือ่ ใชเ้ ปน็ หลกั ฐานในการสั่งซ้อื ยาและได้นายาดังกลา่ วไปขายให้แกบ่ ุคคลภายนอก พฤติการณข์ องนายยาดงั กลา่ ว เปน็ การกระทาผดิ วนิ ยั อยา่ งร้ายแรงปฏิบัตหิ รือละเวน้ การปฏบิ ตั ิ หนา้ ทรี่ าชการโดยมิชอบเพื่อให้เกดิ ความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผหู้ นึง่ ผู้ใด หรอื ปฏบิ ตั ิหรือละเว้นการปฏบิ ตั ิ หนา้ ทีร่ าชการโดยทจุ รติ ตามมาตรา ๘๕(๑) แหง่ พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ.๒๕๕๑ ลงโทษ ไลอ่ อกจากราชการ

39 ใบงาน เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๑๐ กล่มุ ที่............ สมาชิกกลมุ่ ๑............................................................................................................ ๒............................................................................................................ ๓............................................................................................................ ๔............................................................................................................ ๕............................................................................................................ ๖............................................................................................................ ๗............................................................................................................ ๘............................................................................................................ ๙............................................................................................................ ๑๐........................................................................................................... ประเดน็ การวิเคราะห์ ตอน “คนหลวงใชเ้ งินหลวง” ๑. เพราะเหตผุ ลใดคนจึงคิดทจุ ริต ........................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................ ๒. ถ้าเปน็ นักเรียนจะคดิ เชน่ น้ันหรือไม่ เพราะเหตุใด ................................................................................................................................................................... ..... ........................................................................................................................................................................ ๓. การทุจรติ จะสง่ ผลต่อชาตบิ า้ นเมอื งอย่างไร ........................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ........................................

40 สมาชิกในกลุ่ม แบบประเมินพฤติกรรมการทาํ งานกลุ่ม กลมุ่ .......................................................................................................... ๑. ...................................................... ๒. ........................................................ ๓. ................................................... ๔. ........................................................ ๕. ..................................................... ๖. ........................................................ ๗. ...................................................... ๘. ....................................................... ๙. .......................................................๑๐....................................................... คําชแี้ จง : ให้นกั เรยี นทําเครื่องหมาย ในช่องทต่ี รงกับความเป็นจรงิ พฤตกิ รรมทสี่ งั เกต ๓ คะแนน ๑ ๒ ๑. มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เห็น ๒. มีความกระตอื รือรน้ ในการทํางาน ๓. รับผิดชอบในงานท่ีไดร้ บั มอบหมาย ๔. มีขนั้ ตอนในการทํางานอยา่ งเป็นระบบ ๕. ใชเ้ วลาในการทํางานอยา่ งเหมาะสม รวม เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน พฤตกิ รรมที่ทาํ เป็นประจาํ ให้ ๓ คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน พฤตกิ รรมท่ที าํ เป็นบางครั้ง ให้ ๒ คะแนน พฤตกิ รรมทีท่ ํานอ้ ยคร้งั ให้ ๑ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ ๑๓-๑๕ ดี ๘-๑๒ ปานกลาง ๕-๗ ปรับปรุง

41 แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ ๑ ชื่อหน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สวนรวม ชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๔ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ ๔ เรอื่ ง ความแตกตา่ ง ๆระหว่างจริยธรรมและการทจุ ริต เวลา ๓ ช่วั โมง ๑. ผลการเรยี นรู้ นักเรยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๒.๑ นักเรียนสามารถบอกความหมายของจรยิ ธรรมได้ ๒.๒ นักเรียนสามารถบอกความหมายของการทจุ ริตได้ ๒.๓ นกั เรียนสามารถบอกความแตกต่าง ๆระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ รติ ได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ความแตกต่าง ๆระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ ริต ๓.๒ ทกั ษะ/กระบวนการ (สมรรถนะทีเ่ กดิ ) ๑) ความสามารถในการสือ่ สาร ๒) ความสามารถในการคดิ ๓) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ ๓.๓ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ๑) ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ ๔. กิจกรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ขนั้ ตอนการเรยี นรู้ ๑) ชั่วโมงท่ี ๑ ๑. ครใู ห้นักเรยี นชมวีดที ศั น์ เรอ่ื ง “อาหารหมดอายุ ” ๒. ครูให้นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ออกเป็น ๕ กลมุ่ หรอื ตามความเหมาะสม แลว้ ให้นักเรยี นตั้งคําถามจาก การชมวดี ีทศั น์ โดยครูกาํ หนดคําถามให้ใชค้ ําวา่ “ทาํ ไม” “เพราะเหตุใด” “ผลเป็นอย่างไร” เชน่ ทาํ ไมแม่คา้ จึง นาํ อาหารหมดอายุมาใหน้ ักเรยี นรบั ประทาน เป็นต้น ๓. ครูให้นักเรียนศกึ ษาใบความรู้ เรอื่ ง “การทจุ ริต” จากนนั้ ครอู ธบิ ายความหมายของการทจุ รติ เพิม่ เตมิ ๒) ชวั่ โมงที่ ๒ ๑. ครใู หน้ กั เรยี นยกตวั อย่างของเหตกุ ารณห์ รอื การกระทําทแ่ี สดงถึงการทจุ ริตตา่ ง ๆ ในสังคมไทย ๒. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ เรอ่ื ง จรยิ ธรรม จากน้ันครูอธบิ ายความหมายของจริยธรรม เพม่ิ เตมิ ๓. ครใู ห้นกั เรยี นยกตัวอยา่ งของเหตุการณห์ รือการกระทําทแ่ี สดงถึงจริยธรรมตา่ ง ๆ ในสงั คมไทย เชน่ การขบั รถผดิ กฎจราจร เปน็ ตน้

42 ๔. ครูใหน้ ักเรียนเขยี นแยกการกระทาท่แี สดงใหเ้ ห็นถึงการมจี รยิ ธรรมและการกระทาํ ท่แี สดงให้ เหน็ ถงึ การทุจรติ ลงในใบงาน เร่ือง ความแตกตา่ ง ๆระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจรติ ๕. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรุปความแตกต่าง ๆระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ รติ ดงั นี้ จรยิ ธรรม หมายถึง แนวทางซง่ึ เปน็ กฎเกณฑใ์ นการประพฤตปิ ฏิบัตใิ นสิง่ ท่ีถูกต้องดีงาม และ เป็นลักษณะทส่ี งั คมตอ้ งการเป็นสงิ่ ทเ่ี กิดประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคมสว่ นรวม บุคคลท่ีมี จริยธรรมอยใู่ นตนเอง ย่อมเป็นทยี่ อมรบั นับถือของคนในสงั คมและสามารถดาํ เนินชวี ติ ไดอ้ ยา่ งเป็นปกติสุข เป็นคนทม่ี ีคณุ ภาพและเปน็ ที่ ยอมรบั ของสงั คมสว่ นรวม การทจุ รติ หมายถงึ การคดโกง ไมซ่ ือ่ สตั ย์สุจริต การกระทาํ ทผี่ ดิ กฎหมาย เพ่ือให้ เกดิ ความ ได้เปรียบในการแขง่ ขนั การใช้อานาจหนา้ ท่ีในทางท่ีผิดเพ่อื แสวงหาประโยชนห์ รอื ใหไ้ ดร้ บั ส่ิงตอบแทน การให้หรอื การรับสินบน การกําหนดนโยบายท่เี ออื้ ประโยชน์แก่ตนหรือพวกพ้องรวมถึงการทจุ ริตเชิงนโยบาย ความแตกตา่ ง ๆระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ รติ คือ จริยธรรมเป็นแนวทางซ่ึงเปน็ กฎเกณฑ์ในการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นส่งิ ทถี่ ูกตอ้ งดงี าม สว่ นการทุจรติ คือ การคดโกง ไมซ่ อ่ื สตั ยส์ ุจริต การกระทาทผ่ี ดิ กฎหมาย ๓) ชวั่ โมงท่ี ๓ ๑. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สนทนาความหมายของจรยิ ธรรมและการทุจรติ ร่วมกนั ๒. แบ่งกลุม่ นักเรยี นออกเป็น ๕ กลุ่ม หรือตามความเหมาะสม แลว้ ใหน้ ักเรยี นช่วยกันเขียนคาํ ขวัญ รณรงค์ต่อต้านการทุจรติ ๓. ครูนาตัวอยา่ งคําขวญั ติดบนกระดาน และใหน้ ักเรยี นอ่านคําขวญั พร้อมกนั ๓.๑ ทุจรติ คดิ โกงชาติ จะพนิ าศทงั้ ราษฎรร์ ัฐ ๓.๒ เชดิ ชู ซอื่ สตั ย์ ร่วมกาํ จัดคนโกงกนิ ๓.๓ รกั ชาติรักศกั ดศิ์ รี หยดุ เสยี ที คอรร์ ัปชนั่ ๔. ใหน้ กั เรยี นนาํ เสนอผลงานหน้าชนั้ เรยี น ๕. ใหน้ กั เรียนรว่ มกนั นําผลงานคาขวญั รณรงค์ต่อตา้ นการทจุ ริตไปเดินรณรงค์ภายในโรงเรยี น ๔.๒ ส่อื การเรียนรู้ ๑) วีดีทศั น์ เรื่อง อาหารหมดอายุ ๒) ใบความรู้ เรื่อง การทุจรติ ๓) ใบความรู้ เรื่อง จริยธรรม ๔) ใบงาน เร่ือง ความแตกตา่ ง ๆระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ ริต ๕) ตวั อยา่ งคาํ ขวัญ ๕) การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมิน ๑) ตรวจผลงานการทาใบงาน เรอ่ื ง ความแตกตา่ ง ๆระหวา่ งจริยธรรมและการทจุ รติ ๒) สังเกตพฤติกรรมซอื่ สัตยส์ ุจรติ ๓) ตรวจผลงานการเขยี นคาํ ขวญั ๕.๒ เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการประเมิน ๑) แบบใหค้ ะแนนการตรวจผลงานใบงาน เรอื่ ง ความแตกต่าง ๆระหวา่ งจริยธรรมและการทุจรติ

43 ๒) แบบสังเกตพฤตกิ รรมซอื่ สตั ยส์ จุ รติ ๓) แบบประเมินการเขยี นคําขวัญ ๕.๓ เกณฑก์ ารตดั สิน นักเรียนผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ รอ้ ยละ ๘๐ ขึ้นไป ๖. บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ.......................................ครผู ู้สอน (.........................................) ๗. ความคดิ เห็นผู้บริหาร ........................................................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .....................................ผูบ้ รหิ าร (นายกศุ ล ชมุ ปญั ญา) ผอู้ านวยการโรงเรยี นบ้านศรวี ชิ า “ครุ รุ าษฎร์อทุ ศิ ”

44 ใบความรู้ เร่ือง การทุจริต การทุจรติ ปัญหาการทุจริต เปน็ ปญั หาทสี่ าํ คญั ท้ังของประเทศไทยและประเทศอ่ืน ทัว่ โลก ปัญหาการทุจริตจะทํา ใหเ้ กิดความเส่ือมในดา้ นต่าง ๆ เกดิ ข้นึ ทั้งสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง นบั วันปัญหาดังกล่าวจะรนุ แรงมากขึน้ และมี รูปแบบการทจุ รติ ที่ซับซอ้ น ยากแก่การตรวจสอบมากข้นึ จากเดมิ ทกี่ ระทาเพียงสองฝาุ ย ปัจจุบนั การทุจรติ จะกระทาํ กนั หลายฝาุ ย ทงั้ ผดู้ ารงตําแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าท่ีของรฐั และเอกชน โดยประกอบดว้ ยสองส่วนใหญ่ คือ ผู้ให้ ผลประโยชน์กบั ผู้รบั ผลประโยชน์ ซึง่ ทัง้ สองฝุายนีจ้ ะมผี ลประโยชนร์ ว่ มกัน ตราบใดที่ ผลประโยชนส์ มเหตสุ มผลตอ่ กัน ก็จะนาํ ไปสปู่ ญั หาการทุจรติ ได้ บางคร้ังผทู้ ร่ี ับผลประโยชนก์ เ็ ปน็ ผใู้ ห้ประโยชน์ไดเ้ ช่นกัน โดยผ้รู บั ผลประโยชน์ และผใู้ หผ้ ลประโยชน์ คือ ๑. ผรู้ บั ผลประโยชน์ จะเป็นเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ซ่ึงมอี านาจ หนา้ ท่ีในการกระทํา การดาํ เนนิ การต่าง ๆ และ รับประโยชน์จะเป็นไปในรูปแบบตา่ ง ๆ เช่น การจัดซ้อื จดั จา้ ง การเรยี กรับประโยชนโ์ ดยตรง การกําหนดระเบยี บ หรือคณุ สมบตั ทิ ี่เออื้ ต่อตนเองและพวกพอ้ ง ๒. ผใู้ หผ้ ลประโยชน์ เชน่ ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ เงนิ สิทธิพิเศษ อื่น เพื่อจงู ใจใหน้ ักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรฐั กระทาํ การหรอื ไม่กระทําการอย่างใดอย่างหนง่ึ ในตาํ แหนง่ หนา้ ที่ ซง่ึ การกระทาํ ดังกล่าวเปน็ การกระทําที่ฝาุ ฝนื ต่อระเบยี บหรอื ผิดกฎหมาย เป็นต้น ทุจรติ หมายถงึ อะไร คําวา่ ทจุ รติ มีการใหค้ วามหมายไดม้ ากมาย หลากหลาย ข้นึ อยู่กบั ว่าจะมีการใหค้ วามหมายดงั กลา่ วไว้ ว่า อยา่ งไร โดยทีค่ าํ ว่าทจุ รติ น้ัน จะมกี ารใหค้ วามหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรอื การให้ความหมายโดยกฎหมายซ่ึงไมว่ ่า จะเป็นการใหค้ วามหมายจากแหลง่ ใด เนื้อหาสําคัญของคาวา่ ทุจรติ ก็ยงั คงมีความหมายทสี่ อดคล้องกนั อยู่ นน่ั คอื การ ทุจริตเปน็ สงิ่ ทไี่ มด่ ี มกี ารแสวหาหรอื เอาผลประโยชน์ของส่วนรวม มาเปน็ ของสว่ นตัว ทั้งท่ีตนเองไมไ่ ดม้ สี ทิ ธใิ น ส่งิ นัน้ การยดึ ถือ เอามาดงั กล่าวจงึ ถอื เปน็ ส่ิงท่ผี ิด ทงั้ ในแงข่ องกฎหมายและศีลธรรม ดงั นั้น การทจุ รติ หมายถึง การคดโกง ไม่ซือ่ สตั ย์สจุ ริต การกระทําที่ผดิ กฎหมาย เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความ ได้เปรยี บในการแข่งขัน การใชอ้ าํ นาจหนา้ ทใ่ี นทางท่ผี ดิ เพอื่ แสวงหาประโยชน์หรือให้ไดร้ ับสง่ิ ตอบแทน การให้หรือ การรับสนิ บน การกาํ หนดนโยบายทเี่ ออ้ื ประโยชนแ์ ก่ตนหรือพวกพ้องรวมถึงการทจุ รติ เชิงนโยบาย

45 ใบความรู้ เร่ือง จรยิ ธรรม ความดงี ามทางสังคม ถือเป็นกฎเกณฑแ์ ห่งความประพฤติ หรือหลกั ความจริงที่เป็นแนวทางแหง่ ความ ประพฤตปิ ฏบิ ัติใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ว่ มกนั ในสังคมอยา่ งเป็นสุข การศึกษาเร่ืองจริยธรรม จงึ เป็นหน่ึงในวิชาปรชั ญาที่ ศึกษาเกยี่ วกบั ความดีงามทางสงั คมมนุษย์ ความหมายของ จรยิ ธรรม จรยิ ธรรม หมายถึง สิ่งที่ทาได้ในทางวนิ ัยจนเกดิ ความเคยชนิ มี พลงั ใจ มีความต้งั ใจแน่วแน่จงึ ต้องอาศยั ปัญญา และปัญญาอาจเกดิ จากความศรทั ธาเช่ือถือผ้อู ื่น ในทางพทุ ธศาสนาสอนว่า จริยธรรมคอื การนาํ ความรู้ ความจรงิ หรอื กฎธรรมชาติมาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ การดําเนินชวี ิตท่ีดีงาม (พระราชวรมนุ )ี พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตสถาน (๒๕๔๖ ) ใหค้ วามหมายของจริยธรรมไว้ว่า หมายถึง ธรรมท่ีเปน็ ขอ้ ประพฤตปิ ฏิบตั ิ โคลเบริ ์ก (Kohlberg ๑๙๗๒ : ๒๑๒) กลา่ วถงึ จริยธรรมว่า จรยิ ธรรมเป็นความรสู้ กึ ผดิ ชอบช่วั ดี เป็น กฎเกณฑแ์ ละมาตรฐานของการประพฤตปิ ฏิบตั ิในสังคมซ่งึ บคุ คลพฒั นาข้นึ จนกระทั่งมพี ฤติกรรมเป็นของตนเอง โดยสังคมจะเป็นตัวตดั สนิ ผลของการกระทาํ นัน้ ว่าเปน็ การกระทํา ท่ีถกู หรือผิด จากความหมายท่ีกลา่ วมา สรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึงแนวทางซ่งึ เปน็ กฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏบิ ตั ิใน สิ่งทถ่ี ูกตอ้ งดงี าม และเปน็ ลักษณะทส่ี งั คมต้องการเป็นส่งิ ที่เกิดประโยชนต์ อ่ ตนเองและสังคมสว่ นรวม บุคคลท่ีมี จรยิ ธรรมอย่ใู นตนเอง ยอ่ มเปน็ ท่ียอมรับนบั ถอื ของคนในสงั คมและสามารถดาํ เนนิ ชีวิตได้อย่างเป็นปกตสิ ขุ เปน็ คน ท่ีมคี ณุ ภาพและเปน็ ทยี่ อมรบั ของสังคมสว่ นรวม

46 ใบงาน เรอื่ ง ความแตกต่างระหวา่ งจริยธรรมและการทุจริต ชือ่ ......................................................................................................ช้ัน..........................เลขท.่ี ................. คําชี้แจง ให้นักเรียนแยกขอ้ ความออกเปน็ ๒ กลมุ่ คือ กลมุ่ จริยธรรม และ การทจุ รติ แล้วเขยี นลงในตาราง ใหถ้ กู ตอ้ ง ๑. นายสวุ ฒั นน์ ํารถหลวงไปจาํ นําและเบกิ คา่ น้าํ มันเทจ็ ๒. นายสมพงษ์ไมร่ ับของขวัญจากผู้มาตดิ ตอ่ ราชการ ๓. เดก็ ชายกล้าลอกขอ้ สอบเพอื่ น ๔. นางวภิ านาํ รถหลวงไปใชง้ านแตง่ งานลูก ๕. ผู้อาํ นวยการไม่รับฝากนักเรยี นท่ีจะมาเข้าเรียน ๖. เด็กหญงิ แพรไม่รบั เงนิ จากเพอ่ื นทว่ี ่าจ้างให้ทาํ รายงาน ๗. นางพรนภาไมร่ บั เงนิ จากผมู้ าหาเสยี งเลือกตง้ั ๘. นางพิมเอาโทรศพั ทห์ ลวงมาโทรตดิ ตอ่ ธุระส่วนตัว การกระทําท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ การกระทําทีแ่ สดงใหเ้ ห็นวา่ “บุคคลน้นั เปน็ ผูม้ ีจริยธรรม” “บคุ คลน้นั เป็นผทู้ จุ รติ ” ๑. ๑. ๒. ๒. ๓. ๓. ๔. ๔.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook