192 175 192 (....................................................) การประเมินดา้ นทักษะ/กระบวนการ คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นเขียนเครื่องหมาย ลงในชอ่ งว่างทตี่ รงกับความเป็นจริง รายการ ปฏบิ ตั ิ นานๆ ไม่เคย ประเมนิ พฤติกรรมที่แสดงออก เปน็ ประจา ครงั้ ปฏบิ ัติ (3 คะแนน) (2คะแนน) (1 คะแนน) 1. ทักษะ 1. ซักถามครเู มื่อสงสยั ในบทเรียนหรอื มีข้อสงสัยใน กระบวนการ เรื่องอนื่ ๆ เรียนรู้ 2. ใชค้ าถามวา่ “ทำไม” “เพรำะอะไร” เพ่ือหา วิทยาศาสตร์ เหตผุ ล 3. คน้ ควา้ หาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทางสอื่ ต่างๆ เชน่ หนงั สือพิมพ์ โทรทศั น์ และ อินเชเท่นอหรน์เนังต็สอื พมิ พ์ โทรทัศน์ และอนิ เทอรเ์ นต็ 4. ศกึ ษาคน้ คว้าความรู้เรื่องต่างๆ นอกเหนือจาก บทเรยี น 5. แสดงความคิดเหน็ หรือแลกเปลยี่ นความร้กู ับผู้อ่นื 6. สรปุ ข้อความที่ไดร้ ับจากการศึกษาค้นควา้ ดว้ ย คาพดู เป็นภาษาของตนเองให้เขา้ ใจง่าย 7. ตรวจสอบความถกู ต้อง ครบถ้วนของข้อความรู้ท่ี ศึกษาค้นควา้ 8. นาความร้ทู ีไ่ ดจ้ ากการศึกษาค้นคว้าไปใชใ้ นการ สรา้ งความร้ใู หม่ เชน่ สร้างโครงงาน 9. นาความรทู้ ่ีไดจ้ ากการศึกษาค้นควา้ ไปใชใ้ น ชีวิตประจาวัน 10. จดั เวลาสาหรับการอา่ นหนังสอื ทกุ วัน 2. ทกั ษะ 11. รว่ มกันวางแผนและแบ่งหน้าทกี่ ารทางานกบั กระบวนการ เพ่ือนในกลุม่ กลระุ่มบวนการ 12. จัดเตรียมวัสดุ/อปุ กรณใ์ ห้พรอ้ มก่อนทดลอง กล่มุ 13. ปฏิบตั ิงานหรือทาการทดลองตามขัน้ ตอนทไี่ ด้ ตกลงกนั 14. ทางานท่ีได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ 15. เป็นผู้นาและผตู้ ามที่เหมาะสม
รายการ พฤตกิ รรมท่แี สดงออก ปฏิบตั ิ นาน ๆ ไมเ่ คย 176 ประเมิน เป็นประจ�ำ ครง้ั ปฏ1ิบ9ตั 3ิ 193 (3 คะแนน) (2 คะแนน) (1 คะแนน) 16. ยอมรับข้อผิดพลาดร่วมกัน 17. นาเสนอผลงานไดช้ ดั เจนและเขา้ ใจง่าย 18. เก็บลา้ งวสั ดุ/อุปกรณ์ ให้สะอาดเปน็ ระเบียบ หลงั การปฏบิ ัตงิ าน 19. งานเสร็จทันเวลาและมีคุณภาพ 20. ภูมิใจในผลงาน/การทางานกลุ่ม คะแนนรวม คะแนนเฉล่ีย = สรปุ ผลการประเมนิ เขยี นเครือ่ งหมาย ลงในวงกลม เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ หหมมาายยเหเหตตุ กุ การาหรหาราะรดะับดคบั ุณคุณภาภพาหพาหไดาไ้จดาจ้กากกากรนาร�ำนคะาแคนะแนนน รวรมวใมนใแนตแ่ลตะล่ ชะอ่ ชงอ่ มงามบาวบกวกกันกแนั ลแว้ หล้วารหดา้วรยดจ้ว�ำยนวน O ควรปรบั ปรุง (1.00–1.66) ขกอ้ารจตะัดไจดสาค้นิ นะควแณุ นนภขนอา้ เพฉจละีย่ไดแค้ ละ้วแนน�ำนมเาฉเทลียยี่ บแกลับ้วเนกณามฑา์เทียบกับ O พอใช้ (1.67–2.33) O ดมี าก (2.34–3.00) เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ เกณฑ์การประเมินใบกจิ กรรม/แบบฝึกหดั เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คะแนน 5 - 7 คะแนน 1 - 4 คะแนน 8 - 10 คะแนน 0 คะแนน (ดี) (พอใช้) (ปรบั ปรงุ ) (ดมี าก) - บนั ทึกผลได้ - บนั ทกึ ผลไม่ - ไม่มีบนั ทึกผล อยา่ งถูกต้อง ครอบคลุม - ไมส่ รปุ ผล การทากิจกรรมที่ 1 - บนั ทกึ ผลได้ - สรุปผลไม่ - สรปุ ผล การทากจิ กรรม มวลและปริมาตรของ อยา่ งถูกต้อง ครบถว้ น แนวความคิด สารบรสิ ุทธ์แิ ละ - สรุปผลได้ คลาดเคลอื่ น สารละลาย อยา่ งถูกต้อง - บนั ทึกผลสรปุ ผลการ ครบถ้วน ทากิจกรรม
194 หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 9 เรื่อง ธาตแุ ละสารประกอบ เวลา 2 ชัว่ โมง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สารและสมบตั ิของสาร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 รายวิชา วิทยาศาสตร์ ขอบเขตเนือ้ หา สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้ 1. ความสัมพันธ์ระหวา่ งอะตอม ธาตแุ ละ กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ภาพผงคารบ์ อน ชอลก์ นา้ ตาลทรายและ ขัน้ นา (30 นาที) สารประกอบ ทองคา 2. สมบตั พิ นื้ ฐานของธาตุและสารประกอบ 1. ใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภปิ ราย วิเคราะห์ภาพต่อไปนี้ 2. ชดุ การทดลองแยกนา้ ด้วยไฟฟา้ (นา้ ประปา จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ภาพที่ 2.9.1 ผงคารบ์ อน ภาพท่ี 2.9.2 แทง่ ชอล์ก ธูป ชดุ แยกนา้ ดว้ ยไฟฟ้า กระบะถ่านพรอ้ ม ด้านความรู้ ถ่านไฟฉาย 4 กอ้ น) ภาระงาน/ช้นิ งาน 1. อธบิ ายและยกตวั อยา่ งความสมั พันธร์ ะหว่าง อะตอม ธาตุและสารประกอบ โดยใช้แบบจาลอง 1. ใบกจิ กรรมท่ี 1 การทดลองเรอื่ งการแยกนา้ และสารสนเทศ ด้วยไฟฟา้ ดา้ นทกั ษะและกระบวนการ ภาพท่ี 2.9.3 ผงนา้ ตาลทราย ภาพที่ 2.9.4 ทองคา 1. ทดลอง ศกึ ษาสมบัติพื้นฐานของธาตแุ ละ จากภาพให้นักเรียนตอบคาถาม ดังนี้ สารประกอบได้ - จากภาพนักเรยี นคดิ ว่าสิ่งใดบา้ งที่ประกอบของธาตุเพยี ง 1 ด้านคุณลกั ษณะ ชนดิ พจิ ารณาจากอะไร (ผงคารบ์ อน และทองคา) 1. แสดงความมงุ่ มั่นในการทางาน 177 194
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 9 เรื่อง ธาตุและสารประกอบ 195 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เร่อื ง สารและสมบตั ิของสาร รายวชิ า วิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 - นักเรียนคิดว่า ส่ิงใดบ้างท่ีมีส่วนประกอบของธาตุต้ังแต่ สองชนิดข้นึ ไป พจิ ารณาจากอะไร (ผงนา้ ตาลทราย แทง่ ชอลก์ ) ขนั้ สอน (60 นาที) 1. ครูใหน้ ักเรียนแบ่งกลุม่ ๆ ละ 4 – 5 คน เพอื่ ทาการทดลอง การแยกน้าดว้ ยไฟฟ้า ตามใบกิจกรรมท่ี 1 การทดลองเร่ืองการ กแายรกแนย้ากดน้วํา้ยดไฟว้ ยฟไ้าฟฟ้า 2. ให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มทาการทดลอง บนั ทกึ ผลการทดลอง ร่วมกันวเิ คราะห์ขอ้ มูลจากผลการทดลอง ร่วมกนั อภิปรายและ ลงขอ้ สรปุ 3. ให้นกั เรยี นกลุ่มอาสาสมัคร 1 กลมุ่ ออกมานาเสนอผลการ ทดลอง และกลุ่มท่ไี ม่ได้นาเสนอสามารถเติมเต็มในส่วนทแี่ ตกต่าง จากกลุ่มอาสาสมัคร ข้นั สรุป (30 นาที) 1. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายในประเด็นดังต่อไปน้ี - เพราะเหตใุ ดน้าในหลอดทดลองจึงลดลง (น้าในหลอด ทดลองลดลง เนื่องจากน้าเปล่ยี นไปเปน็ แก๊ส) - แก๊สในหลอดทดลองท้ังสองเปน็ แก๊สชนิดเดยี วกนั หรือไม่ ทราบได้อย่างไร (เป็นแกส๊ ตา่ งชนิดกนั โดยแกส๊ ท่เี กดิ ขน้ึ ที่ 178 195
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 9 เรือ่ ง ธาตุและสารประกอบ 196 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สารและสมบตั ขิ องสาร รายวชิ า วิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ขัว้ ไฟฟา้ บวกเป็นแก๊สออกซิเจนซ่งึ ช่วยให้ติดไฟ ส่วนแกส๊ ที่ ขั้วไฟฟา้ ลบเปน็ แกส๊ ไฮโดรเจนซง่ึ ตดิ ไฟได้) - จากการทดลอง แก๊สชนดิ ใดเกิดทขี่ วั้ ไฟฟ้าบวก และ ขั้วไฟฟา้ ลบ ตามลาดบั (แกส๊ ออกซิเจนเกิดทีข่ ว้ั บวก แกส๊ ไฮโดรเจน เกิดทข่ี ว้ั ลบ) - จากการทดลอง สารใดเป็นโมเลกลุ ของสารประกอบ สารใด เปน็ โมเลกุลของธาตุ เพราะเหตใุ ด (โมเลกลุ ของสารประกอบคอื นา้ เพราะประกอบด้วยธาตุ 2 ชนดิ คอื ธาตุไฮโดรเจน และธาตุ ออกซิเจน โมเลกุลของธาตคุ ือ แก๊สออกซิเจนและแกส๊ ไฮโดรเจน เพราะประกอบด้วยธาตุเพียงชนดิ เดียว) - ธาตแุ ละสารประกอบ แตกต่างกันอยา่ งไร (ธาตุประกบอบดว้ดย้วย อะตอมของธาตุเพียงชนดิ เดียว สว่ นสารประกอบคือสารท่ี ประกอบด้วยอะตอมของธาตุ 2 ชนิดขึ้นไป) 2. นกั เรยี นแต่ละคนเขียนผังความคดิ (Mind Mapping) สรุป เก่ียวกับธาตุและสารประกอบ 179 196
197 180 197 การวัดและประเมินผล สิ่งท่ีต้องการวดั /ประเมิน วธิ กี าร เครื่องมอื ทใ่ี ช้ เกณฑ์ - ใบกิจกรรม นกั เรียนผ่านไม่น้อยกวา่ ดา้ นความรู้ - ตรวจใบกิจกรรม - แบบบันทึกการ ร้อยละ 70 ตอบคาถาม - อธิบายและยกตวั อยา่ ง - สังเกตการตอบ ความสมั พันธ์ระหวา่ งอะตอม คาถาม ธาตแุ ละสารประกอบ โดยใช้ แบบจาลองและสารสนเทศ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ ประเมนิ ทักษะ แบบประเมินทกั ษะ นักเรียนผ่านไม่น้อยกว่า - ทดลอง ศึกษาสมบัติ กระบวนการ กระบวนการ รอ้ ยละ 70 พน้ื ฐานของธาตุและ สารประกอบได้ ด้านคณุ ลักษณะ สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ ผา่ นระดบั ดีข้นึ ไป - แสดงความม่งุ มน่ั ในการ คุณลักษณะ/เจตคติ ทางาน
181 198 198 8. บันทึกผลหลงั สอน ผลการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................ ปญั หาและอุปสรรค ............................................................................................................................. ............................................. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางแกไ้ ข ..................................................................................................................................................... ...................... ลงชือ่ ........................................................... ผสู้ อน (.......................................................) วันที่..........เดอื น..........พ.ศ............. 9. ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผบู้ รหิ ารหรอื ผู้ทีไ่ ด้รบั มอบหมาย .............................................................................................................................................................. ............. ลงช่อื .............................................. ผตู้ รวจ (.............................................) วนั ท่ี..........เดอื น..........พ.ศ.............
182 199 199 ใบกจิ กรรมท่ี 1 การทดลอง เรื่อง การแยกนา้ ด้วยไฟฟ้า หนว่ ยที่ 2 สารและสมบตั ขิ องสาร แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 9 เร่ือง ธาตุและสารประกอบ รารยาวยชิ วาชิ าวิทวยิทายศาาศสาตสรต์ ร์ รหรัสหวัสชิ วา2ว121101101ภาภคาเครยีเรนยี ทน่ี ท่ี 1 1 ชน้ั ชมนั้ ัธมยัธมยศมกึ ศษึกาษปาีทปี่ ีท1่ี 1 จดุ ประสงค์ 1. ลงมอื ปฏบิ ตั ิการทดลองตามขน้ั ตอนได้ 2. บนั ทึกผลการทดลองลงในตารางการทดลองได้ 3. อภิปรายและสรุปผลการทดลองได้ 4. สามารถนาเสนอรายงานผลการทดลองตอ่ สมาชิกในหอ้ งได้ อุปกรณแ์ ละสารเคมี 1. ชุดแยกนา้ ดว้ ยไฟฟ้า 1 ชดุ ชดุ 2. กระบะถ่านพร้อมถ่านไฟฉาย 4 ก้อน 1 ดอก cm3 3. ธปู 1 4. น้าประปา 100 วธิ ีการทดลอง 1. ใสน่ า้ ประปาในถ้วยพลาสติก แลว้ ปฏิบัตดิ งั นี้ 1.1 ใสน่ า้ ในถ้วยพลาสตกิ ของเคร่ืองแยกน้าดว้ ยไฟฟ้าจนเกือบเต็ม 1.2 ปิดฝาครอบท่ีมหี ลอดทดลองและข้ัวไฟฟ้า ปดิ รูระบายแลว้ ควา่ ถ้วยพลาสตกิ 1.3 ใหน้ ้าเขา้ หลอดทดลองจนเตม็ แล้วหงายถว้ ยพลาสตกิ ขึ้น 2. ตตอ่ อ่ สสาายยไฟไฟจจาากกแแบบตตเตเตออร่ีขร่ขีนนาดาด6 6โวลโวตล์ เตข์ ้าเกขับ้ากเคับรเื่อคงรแื่อยงกแนยา้กดนว้ ำ�้ ยดไ้วฟยฟไา้ฟใฟหา้คใรหบ้ควรงบจรวงสจังรเกสตังกเากรตการเปลย่ี นแปลงใน หเปลลอยี่ดนทแดปลลองงใทนัง้หสลอองดบทนัดทลอกึ งผทล้งั สอง บนั ทึกผล 3. เมเมอื่ ื่อไดได้แ้แกกส๊ ๊สเตเตม็ ็มหหลลออดดหรหือรเือกเือกบือเบตเ็มตแ็มลแ้วลถว้ อถดอสดาสยาไฟยไอฟออกอใกช้จใกุชย้จาุกงยปาดิ งปาิดกปหาลกอหดลทอดดลทอดงลไวอ้แงลไวะแ้ทลาะท�ำเครื่องหมาย กเคำ� กรื่อับงวห่ามหายลกอาดกทับดวลา่ อหงมลาอจดาทกดขล้ัวอไงฟมฟาา้จใาดกขั้วไฟฟ้าใด 44.. ททดดสสออบบกกาารรตตดิ ิดไฟไฟขขอองแงแกก๊ส๊สในในหหลลอดอทดทั้งสง้ั อสงองโดโยดใยชใ้ไชมไ้้ขมดี ข้ ไดีฟไทฟลี่ ทกุ ลี่ แกุ ละแธลปูะตธปูดิ ไตฟดิ ทไฟีเ่ หทลเี่ ือหแลตือถ่ แา่ ตน่ถแา่ ดนงแจด่องจอ่ บรเิ วณปาก หบลรอิเวดณทปันาทกที หเ่ี ลปอิดดจทกุ นัยทางที อีเ่ ปอกิดจสุกังยเกางตอกอากรณสงัเ์ ปเกลต่ยี กนาแรปณลเ์ ปงลี่ยนแปลง
183 200 200 ตารางบันทึกผล การเกิดแก๊ส ผลท่ีสงั เกตได้เม่ือ การชว่ ยใหต้ ิดไฟ หลอดทดลอง การติดไฟ จากขว้ั ไฟฟา้ ข้ัวลบ ขวั้ บวก สรุปผล ………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… …………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………… ………………………..………………………………………………………………………………………………………………..……………… ……………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………… …………………………………………………………..……………………………………………………………………………………………… ………………..………………………………………………………………………………………………………………..……………………… ………………………………………………………………………………………..………………………………………………………………… ……………………………………………..…………………………………………………………………………………………………………… ….……………………………………………………………………………………………………………….…………
184 201 201 แนวคาตอบ ใบกจิ กรรมที่ 1 การทดลอง เรอ่ื ง การแยกน้าด้วยไฟฟ้า หนว่ ยท่ี 2 สารและสมบัติของสาร แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 9 เรือ่ ง ธาตแุ ละสารประกอบ รารยาวยิชวาชิ าวิทวยิทายศาาศสาตสรต์ ร์ รหรสั หวัสชิ วา2ว121101101ภาภคาเครียเรนยี ทน่ี ท่ี 1 1 ช้นั ชม้นั ัธมยธั มยศมึกศษกึ าษปาีทป่ี ีท1ี่ 1 ตารางบันทกึ ผล การเกดิ แก๊ส ผลทีส่ งั เกตได้เมื่อ การชว่ ยใหต้ ิดไฟ หลอดทดลอง ปริมาณมากและเกิดเรว็ การตดิ ไฟ ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง จากข้ัวไฟฟ้า จะเกิดไฟลุกตดิ ทีป่ ากหลอด ข้ัวลบ ทดลองและมีเสียง เปลวไฟจากก้านไมข้ ดี สวา่ ง ขั้วบวก ปรมิ าณนอ้ ยและเกิดชา้ ข้ึนจากเดิมเลก็ น้อย เกิดเปลวไฟลุกสวา่ งขึ้น สรุปผล เมอ่ื ผ่านไฟฟ้ากระแสตรงจากแบตเตอรีล่ งไปในน้าประปา จะมีแก๊สเกิดขน้ึ ในหลอดทดลองท้ังสองที่ ต่ออยู่กับขั้วไฟฟ้า ซ่ึงสามารถสังเกตได้จากระดับนา้ ที่ลดลง แก๊สท่เี กิดขนึ้ ที่ข้ัวไฟฟา้ บวกจะช่วยให้ตดิ ไฟ ซึ่ง เรียกวา่ แกส๊ ออกซิเจน ส่วนแกส๊ ทีเ่ กดิ ข้ึนที่ขั้วไฟฟ้าลบจะติดไฟได้ ซง่ึ เรียกว่าแกส๊ ไฮโดรเจน จากการทดลองสามารถอภิปรายผลได้ว่า น้า เป็นสารประกอบ แกส๊ ไฮโดรเจน เป็นโมเลกุลของธาตุ และแกส๊ ออกซิเจน เปน็ โมเลกุลของธาตุ ธาตุ คอื สารบริสทุ ธิท์ ่ีประกอบด้วยอะตอมของธาตุเพียง 1 ชนดิ สารประกอบ คือสารปริสทุ ธทิ์ ี่ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุตง้ั แต่ 2 ชนิดขึ้นไป
185 202 202 แบบประเมินการปฏิบตั ิการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การแยกนา้ ดว้ ยไฟฟา้ รายการประเมิน คะแนน การทดลอง การใช้ การบันทึก การสรปุ ผล การดูแล กลุม่ ที่ ชอ่ื -สกุล ตามแผนที่ อุปกรณ์ ผลการ การทดลอง และ กาหนด ทดลอง จัดเก็บ อุปกรณ์ 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 20 ลงชื่อ.........................................................................ผู้ประเมิน (.........................................................................) ................../................/............... เกณฑ์การประเมนิ ระดบั คุณภาพ ชว่ งคะแนน เกณฑก์ ารพจิ ารณา ดีมาก 4 16-20 ดี พอใช้ 3 11-15 ควรปรับปรุง 2 6-10 1 1-5 เกณฑ์การผ่านได้คะแนนตัง้ แตร่ ะดบั พอใชข้ ึน้ ไป
186 203 203 เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบประเมนิ การปฏิบัตกิ ารทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ ตวั ชว้ี ัด 4 ระดบั คะแนน 1 32 1. การทดลองตาม ทดลองตามวธิ กี าร ทดลองตามวิธกี าร ทดลองตามวิธกี าร ทดลองไม่ถูกต้อง แผนทก่ี าหนด และขน้ั ตอนท่ี และข้นั ตอนที่ และข้นั ตอนท่ี ตามวิธกี ารและ กาหนดไว้ด้วย กาหนดไว้ โดยครู ข้นั ตอนที่กาหนดไว้ กาหนดไว้อย่าง ตนเอง มวี ิธีการ หรอื ผอู้ ่นื เปน็ ผู้ ไม่มีการปรับปรุง ถูกต้อง มกี าร ปรบั ปรุงแก้ไขบ้าง แผนแู้ นะนะนาำ� แก้ไข ปรับปรงุ แก้ไข เปน็ ระยะ 2. การใชอ้ ุปกรณ์ ใช้อปุ กรณ์ในการ ใชอ้ ปุ กรณ์ทดลอง ใช้อุปกรณ์ในการ ใชอ้ ุปกรณ์ในการ ทดลองได้อย่าง ทดลองไมถ่ ูกต้อง ถูกต้องตาม ไดอ้ ย่างถกู ต้องตาม ทดลองไดอ้ ยา่ ง และไมม่ ีความ หลกั การปฏิบตั ิ คล่องแคล่วในการ และคล่องแคล่ว หลกั ปฏิบตั แิ ตไ่ ม่ ถูกต้องโดยมคี รู ใช้ คล่องแคลว่ หรอื ผอู้ ืน่ เป็นผู้ ผแู้แนนะนะนาำ� 3. การบนั ทกึ ผล บันทึกผลการ บันทกึ ผลการ บันทกึ ผลการ บนั ทึกผลไม่ครบ การทดลอง ทดลองเปน็ ระยะ ทดลองเปน็ ระยะ ทดลองเป็นระยะ และไม่เป็นไปตาม แตไ่ ม่เปน็ ระเบียบ การทดลอง อยา่ งถูกต้อง มี อยา่ งถูกต้อง มี ไมม่ ีการอธบิ าย ขอ้ มูลให้เหน็ ระเบียบ มกี าร ระเบียบ มกี าร ความสัมพนั ธ์ อธบิ ายขอ้ มลู ให้ อธิบายข้อมูลให้ เปน็ ไปตามผลการ กทาดรลทอดงลอง เห็นความเชื่อมโยง เห็นความสมั พนั ธ์ เป็นภาพรวม เป็น เป็นไปตามผลการ เหตเุ ป็นผลและ กทาดรลทอดงลอง เปน็ ไปตามผลการ กทาดรลทอดงลอง 4. การสรุปผลการ สรุปผลการทดลอง สรปุ ผลการทดลอง สรปุ ผลกรทดลอง สรปุ ผลการทดลอง ทดลอง ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ไดถ้ ูกตอ้ ง แตย่ ังไม่ ไดโ้ ดยมคี รูหรือ กระชับชดั เจน ครอบคลุมข้อมูล ผู้อนื่ แนะนาบ้าง จงึ ตามความร้ทู ่ีพอมี และครอบคลมุ จากการวเิ คราะห์ สามารถสรุปได้ อยโู่ ดยไมใ่ ช้ขอ้ มลู ทง้ั หมด ถูกต้อง จากการทดลอง
204 187 204 ตวั ช้ีวัด ระดบั คะแนน 5. การดแู ลและ 4321 จดั เก็บอุปกรณ์ ขอ้ มลู จากการ วเิ คราะหท์ ั้งหมด ดแู ลอุปกรณ์ในการ ดแู ลอปุ กรณใ์ นการ ดแู ลอปุ กรณใ์ นการ ไมด่ แู ูแลลออปุ ุปกกรรณณใ์ ์ในน กทาดรลทอดงลแอลงะแมลีกะามรี กทาดรลทอดงแลลอะงมแีกลาะรมี กทาดรลทอดงลมอีกงารทา การทดลอองงแแลละะไไมม่ ่ กทารคทวำ�าคมวสาะมอสาะดอาด กทารคทวาำ� มคสวาะมอสาดะอาด มคกีวารมทสำ�ะคอวาาดมแสตะ่อาด สนใจจททำา�คคววาามมสะอาด และเกบ็บออยยา่ ่างงถกู ตอ้ ง อย่างถูกต้อง แต่ แเกตบ็ เ่ กไบม็ ่ถไมูกถ่ ตกู ้อตงอ้ ตงอ้ ง รสวะมอทาง้ัดเรกวบ็ มไมทถ่้ังกเู กต็บอ้ ง ตถาูกมตห้อลงกตั กามาร และ เก็บไม่ถูกต้อง แตใแหอน้น้คงะะใรนนหหู ะาค้ รรือหู ผรอู้ อื น่ื ผอู้ น่ื ไม่ถูกตอ้ ง แหนละกั นกำ�าใรหผ้แอู้ลน่ืะดแู ล แแลนะะเนกาบ็ ใรหกั ้ผษู้อานื่ ดูแล ไแดลถ้ ะกู เตกอ้บ็ งรักษาได้ ถูกต้อง
205 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 10 เรอ่ื ง โครงสร้างอะตอม เวลา 2 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เรื่อง สารและสมบตั ิของสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ขอบเขตเน้อื หา 1. โครงสร้างอะตอมทีป่ ระกอบดว้ ยโปรตอน กจิ กรรมการเรยี นรู้ สือ่ /แหลง่ เรยี นรู้ นวิ ตรอนและอิเล็กตรอน ขน้ั นา 1. แบบจาลองอะตอมของดอลตนั ทอมสนั 1. ครนู าเข้าส่บู ทเรียนโดยดาเนนิ กิจกรรมดงั นี้ รัทเทอร์ฟอร์ด โบร์และแบบจาลองอะตอม จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ด้านความรู้ 1.1 ครูใหน้ กั เรียนแขง่ ขันกันฝนดนิ สอให้บรเิ วณไส้แกรไฟต์มี แบบกลุม่ หมอก 1. อธิบายโครงสร้างอะตอมท่ปี ระกอบดว้ ย ขนาดเล็กท่สี ุด นักเรียนคนใดคิดวา่ ไส้ดินสอของตน มีขนาดเล็กสดุ ภาระงาน/ชนิ้ งาน โปรตอน นวิ ตรอนและอิเล็กตรอน ด้านทกั ษะและกระบวนการ แลว้ ให้นาผลงานมาให้ครูพจิ ารณา โดยครูใช้แวน่ ขยายสอ่ งพรอ้ ม 1. ใบกจิ กรรมเร่อื ง โครงสร้างอะตอม 1. สามารถจาแนกแบบจาลองอะตอมได้ เสนอวา่ ไส้ดนิ สอดังกล่าวยงั มีขนาดไมเ่ ลก็ พอ จากนนั้ ให้นักเรียน วัสดุ-อุปกรณ์ ด้ ด้านคณุ ลกั ษณะ นาไส้ดนิ สอกลบั ไปฝนใหม่ ให้มขี นาดเลก็ จนไม่สามารถฝนให้เล็ก 1. ดนิ สอไม้ 1. เป็นผ้มู ีความรับผิดชอบงานของตนเองและ ลงกว่าเดิมได้อีก 2. แว่นขยาย งานของกลุม่ ได้ 1.2 ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภปิ ราย โดยครูใช้คาถามดังน้ี - นักเรยี นคดิ วา่ ไส้ดินสอท่นี ักเรียนฝนได้ มีขนาดเลก็ ทสี่ ุดแลว้ หรอื ยงั เพราะเหตใุ ด (ยังไม่เล็กท่สี ุด เพราะเมื่อสอ่ งดู ดว้ ยแว่นขยาย สามารถสงั เกตไดว้ า่ ยังประกอบด้วยองค์ประกอบท่ี เลก็ ลงไปอีก) - สมมติวา่ นกั เรยี นสามารถฝนไส้ดนิ สอให้ได้ขนาดเล็ก ที่สดุ จนไม่สามารถแบง่ แยกได้อีก สิง่ ดังกลา่ วคอื อะไร (นักเรยี น อาจตอบวา่ อะตอม ครูดึงความสนใจนักเรียนเข้าสบู่ ทเรียน ซ่งึ แนวคดิ ดงั กล่าวเป็นเพยี งทฤษฎขี องอะตอมในอดีต จากนน้ั ครู 188 205
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 10 เร่อื ง โครงสรา้ งอะตอม 206 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ เร่อื ง สารและสมบัตขิ องสาร รายวิชาวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชวั่ โมง ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 กล่าวว่า สาหรับวนั นเ้ี ราจะมาศกึ ษาเรื่องอะตอมและองคป์ ระกอบ ภายในอะตอม พร้อมทั้งแจ้งจุดประสงค์การเรยี นรู้) ขั้นสอน 1. ครทู บทวนแบบจาลองโครงสรา้ งอะตอมในยุกต์ต่างๆ แล้วให้ นักเรยี นสังเกตการเปลยี่ นแปลงของแบบจาลองโครงสรา้ งอะตอม ในยคุ ต่างๆ 2. ใหน้ กั เรียนศึกษาโครงสร้างพนื้ ฐานของอะตอมในหนังสือ เรยี น แลว้ จบั ค่กู ันสรปุ อนภุ าคมลู ฐานอะตอม เมื่อได้ขอ้ สรุป รว่ มกนั แล้ว ใหน้ าข้อมลู ไปแลกเปลย่ี นความรกู้ ับเพ่ือนในกลุ่ม 3. ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภิปราย โดยใช้แนวคาถามต่อไปน้ี - อนุภาคมลู ฐานของอะตอมประกอบด้วยอะไรบ้าง (โปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ล็กตรอน) - แต่ละอนุภาคมูลฐานของอะตอมเขยี นแทนด้วยสญั ลักษณ์ มมี วล และชนดิ ของประจุไฟฟ้าเป็นอย่างไร (โปรตอน สัญลกั ษณ์ p มีประจุ + , นวิ ตรอน สัญลักษณ์ n ไม่มี ประจุ , อิเล็กตรอน สัญลักษณ์ e มปี ระจุ -) 4. ครูตั้งคาถามเกย่ี วกับสัญลักษณน์ วิ เคลียรข์ องธาตุ เพอ่ื ขยาย ความเขา้ ใจของนกั เรียน 189 206
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 10 เร่ือง โครงสรา้ งอะตอม 207 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เรือ่ ง สารและสมบตั ิของสาร รายวิชาวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ช่ัวโมง ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1 - ในสญั ลักษณน์ วิ เคลียร์ของธาตุ จะมตี วั เลขกากับไว้ 2 ตัว ตัวเลขสองตัวน้นั หมายถึงอะไร (ตวั เลขด้านบน คอื เลขมวล ซึง่ หมายถึงจานวน p + n ตัวเลขด้านล่าง คือเลขอะตอม คอื จานวน p ซ่ึงจะเทา่ กับจานวน e กรณที ่อี ะตอมนนั้ เป็นกลางทางไฟฟ้า) - จงหาจานวนโปรตอน นวิ ตรอนและอิเลก็ ตรอนของธาตุ ตอ่ ไปน้ี 168O , 2311Na และ 4020Ca (168O จานวน p = 8, n = 8, e = 8 2311Na จานวน p=11, n = 12, e = 11 4020Ca จานวน p=20, n = 20, e = 20 5. นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ รว่ มกันสรุปองค์ความรู้โดยใชแ้ ผนภาพ (Graphic Organizer) ในประเดน็ อะตอม, องค์ประกอบของ อะตอม และสัญลกั ษณน์ ิวเคลียร์ โดยครแู จกกระดาษวาดแบบ และปากกาเมจิกให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ นกั เรยี นตกแต่ใหส้ วยงาม นา่ สนใจ 6. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มติดผลงานกลุ่มทีผ่ นังใกลก้ ับโต๊ะกลุ่ม คดั เลือกตวั แทนนาเสนอหรอื ตอบคาถาม 1 คน ยนื ประจากลุ่ม จากนัน้ ให้นักเรียนแต่ละกลุม่ เดนิ ศึกษาผลงานกลมุ่ อ่ืน สามารถ สอบถาม อธบิ าย อภิปราย เม่ือมขี ้อสงสัย โดยสมาชกิ กลมุ่ ตัวแทน 190 207
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 10 เรือ่ ง โครงสรา้ งอะตอม 208 กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ เรอื่ ง สารและสมบัตขิ องสาร รายวชิ าวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 จะทาหนา้ ที่ตอบคาถาม สมาชกิ กลุม่ อื่นสามารถเขยี น ขอ้ เสนอแนะ หรือข้อชน่ื ชม ดว้ ยปากกาประจากล่มุ เชน่ 1) กลุ่มที่ 1 สมี ว่ ง 2) กลมุ่ ที่ 2 สีน้าเงนิ 3) กลุ่มที่ 3 สเี ขยี ว 4) กลุ่มท่ี 4 สแี ดง 5) กลุม่ ที่ 5 สีดา 6) กลุ่มที่ 6 สนี ้าตาล 7. สมาชิกกลุ่ม คดั เลือกกลมุ่ ผลงานยอดเยี่ยม โดยครูมอบสตกิ สเกตอิกรเ์ดกาอวรใด์ หา้กวลใมุ่หล้กะลมุ่ 1ลดะว1ง จดาวกงนจ้นั านกานไั้นปนตำ�ดิ ไบปนตกดิ รบะนดกาษระผดลางษานผล งใหาน้กใบั หก้กลับุม่ กทลี่นมุ่ ักทเร่นี ยี กั นเรคียดิ นว่าคผดิ ลวง่าาผนลยงอาดนเยยอี่ยดมเทยส่ียดุมทคส่ีรุดูกลค่ารวกูชลมา่เชวย ชนมกั เชรียนกั ลเรุ่มยี ทนี่ไกดลร้ ับมุ่ รทา่ไี งดวร้ ลั บั รแาลงะวกัลลา่แวลชะมกเลช่ายวนชกั มเรเชียยนนทกั ุกเครนียทนตี่ทง้ักุ ใจ คศนึกษทา่ีตัง้ ใจศึกษา ขน้ั สรุป 1. ครใู หน้ กั เรยี นทาใบกจิ กรรมเรอ่ื งโครงสรา้ งอะตอม 2. ครูและนักเรียนรว่ มกนั เฉลยใบกิจกรรมโครงสรา้ งอะตอม 3. ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั สรปุ และตอบขอ้ ซักถามเกยี่ วกับ โครงสรา้ งอะตอม 191 208
209 192 209 การวดั และประเมินผล สิ่งท่ีต้องการวดั /ประเมิน วธิ ีการ เครอื่ งมือทีใ่ ช้ เกณฑ์ ใบกิจกรรม นักเรียนผา่ นไม่น้อยกว่า ดา้ นความรู้ ตรวจใบกิจกรรม รอ้ ยละ 70 อธบิ ายโครงสร้างอะตอมที่ ประกอบดว้ ยโปรตอน นิวตรอนและอเิ ล็กตรอน ด้านทักษะ/กระบวนการ - ประเมนิ ทกั ษะ - แบบประเมินทักษะ นักเรียนผ่านไม่น้อยกว่า สามารถจาแนก กระบวนการ กระบวนการ รอ้ ยละ 70 แบบจาลองอะตอมได้ ดา้ นคุณลักษณะ สงั เกตพฤติกรรม แบบประเมนิ ผา่ นระดบั ดีขึน้ ไป เปน็ ผมู้ ีความรับผดิ ชอบ คณุ ลกั ษณะ/เจตคติ งานของตนเองและงานของ กล่มุ ได้
193 210 210 8. บันทกึ ผลหลงั สอน ผลการเรียนรู้ ..................................................................................................................................... ........................................ ปญั หาและอปุ สรรค .......................................................................................................................................................................... ข้อเสนอแนะและแนวทางแกไ้ ข ......................................................................................................................... .................................................. ลงช่ือ ........................................................... ผ้สู อน (.......................................................) วันท.่ี .........เดอื น..........พ.ศ............. 9. ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ รหิ ารหรอื ผู้ที่ไดร้ บั มอบหมาย ............................................................................................................................. .............................................. ลงชอ่ื .............................................. ผูต้ รวจ (.............................................) วนั ท.่ี .........เดือน..........พ.ศ.............
211 194 211 ใบกิจกรรมท่ี 1 เร่อื ง โครงสร้างอะตอม หนว่ ยที่ 2 สารและสมบัติของสาร แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 10 เรื่อง โครงสร้างอะตอม รารยาวยชิ วาชิ าวิทวยทิ ายศาาศสาตสรต์ ร์ รหรัสหวัสชิ าว2ว121101101ภาภคาเครยีเรนยี ทน่ี ท่ี 1 1 ชนั้ ชมัน้ ธั มยัธมยศมึกศษึกาษปาีทปี่ ีท1ี่ 1 จุดประสงค์ 1. อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบดว้ ยโปรตอน นิวตรอนและอิเลก็ ตรอนได้ 2. สามารถจาแนกแบบจาลองอะตอมได้ ตอนที่ 1 ให้นักเรยี นเลอื กภาพที่ 1 – 7 ลงในชอ่ งว่างหนา้ ตวั อักษรทม่ี ีข้อความสัมพันธ์กับภาพ ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพท่ี 4 ภาพท่ี 5 ภาพที่ 6 ภาพที่ 7 ภาพท่ี 2.10.1 ภาพแบบจาลองอะตอมแบบตา่ งๆ ................... ก. แบบจาลองอะตอมของดอลตนั ................... ข. แบบจาลองอะตอมของทอมสนั ................... ค. แบบจาลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอรด์ ................... ง. แบบจาลองอะตอมของโบร์ ................... จ. แบบจาลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอก
212 195 212 ตอนท่ี 2 จงเติมข้อความในลงชอ่ งว่างใหส้ มบรู ณ์ 1. ในนิวเคลยี สของอะตอมประกอบดว้ ยอนภุ าค ................. ชนิด คือ .............................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 2. อนุภาคท่ีเป็นกลางทางไฟฟา้ คือ อนุภาค .................................................................................................... 3. ตัวเลขทแี่ สดงจานวนโปรตอนในอะตอม เรียกว่า ............................................................................................ เขียนสญั ลักษณแ์ ทนดว้ ย ..................................................................................................................................... 4. ตวั เลขทแี่ สดงผลรวมของจานวนโปรตอน และนวิ ตรอน เรียกวา่ ................................................................. เขยี นสัญลกั ษณ์แทนดว้ ย ..................................................................................................................................... 5. จงยกตวั อย่างสญั ลักษณน์ ิวเคลียร์และบอกจานวนอนุภาคมลู ฐานในอะตอม สัญลักษณ์ เลขอะตอม จานวนอนุภาคมูลฐาน เลขมวล นิวเคลยี ร์ (Z) โปรตอน (p) นวิ ตรอน (n) อเิ ลก็ ตรอน (e) (A)
196 213 213 แนวคาตอบ ใบกจิ กรรมที่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งอะตอม หน่วยท่ี 2 สารและสมบตั ิของสาร แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 10 เรือ่ ง โครงสรา้ งอะตอม รารยาวยิชวาิชาวทิ วยิทายศาาศสาตสรต์ ร์ รหรัสหวัสิชาว2ว121101101ภาภคาเครเยี รนยี ทนี่ที่ 1 1 ช้ันชม้นั ธั มยัธมยศมกึ ศษึกาษปาีทปี่ท1ี่ 1 จดุ ประสงค์ 1. อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นวิ ตรอนและอิเล็กตรอนได้ 2. สามารถจาแนกแบบจาลองอะตอมได้ ตอนท่ี 1 ให้นกั เรยี นเลือกภาพท่ี 1 – 7 ลงในชอ่ งวา่ งหนา้ ตัวอกั ษรท่มี ีข้อความสมั พนั ธ์กบั ภาพ ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพท่ี 4 ภาพท่ี 5 ภาพที่ 6 ภาพที่ 7 ภาพท่ี 2.10.1 ภาพแบบจาลองอะตอมแบบตา่ งๆ .........2.......... ก. แบบจาลองอะตอมของดอลตัน .........6.......... ข. แบบจาลองอะตอมของทอมสนั .........7.......... ค. แบบจาลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด .........1.......... ง. แบบจาลองอะตอมของโบว์ .........3.......... จ. แบบจาลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
214 197 214 ตอนท่ี 2 จงเตมิ ข้อความในลงชอ่ งว่างใหส้ มบรู ณ์ 1. ในนิวเคลียสของอะตอมประกอบด้วยอนุภาค ........3......... ชนดิ คือ ....โปรตอน , นวิ ตรอน , อเิ ลก็ ตรอน... 2. อนุภาคท่เี ปน็ กลางทางไฟฟ้า คือ อนภุ าค ............นวิ ตรอน.......................................................................... 3. ตวั เลขท่แี สดงจานวนโปรตอนในอะตอม เรยี กวา่ .....เลขอะตอม.................................................................... เขียนสญั ลักษณแ์ ทนดว้ ย ........Z......................................................................................................................... 4. ตวั เลขทแี่ สดงผลรวมของจานวนโปรตอน และนวิ ตรอน เรียกว่า .......เลขมวล............................................ เขียนสญั ลักษณ์แทนด้วย .......................A.......................................................................................................... 5. จงยกตวั อยา่ งสญั ลกั ษณ์นิวเคลยี รแ์ ละบอกจานวนอนภุ าคมูลฐานในอะตอม สญั ลักษณ์ เลขอะตอม จานวนอนุภาคมลู ฐาน เลขมวล นิวเคลยี ร์ (Z) โปรตอน (p) นวิ ตรอน (n) อเิ ลก็ ตรอน (e) (A)
215 198 215 แบบสังเกตพฤตกิ รรม การทางานกลุม่ กลมุ่ สาระการเรียนร.ู้ .....................................................ภาคเรียนที.่ ..........ปีการศึกษา.............. ชอ่ื -สกลุ นกั เรียน.....................................................................หอ้ ง..............................เลขท่ี……. คาชแ้ี จง : ใหผ้ ู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขดี / ลงในชอ่ งท่ี ตรงกับระดับคะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมนิ ระดับคะแนน 321 1 การแบ่งหน้าท่ีกนั อย่างเหมาะสม 2 ความรว่ มมือกันทางาน 3 การแสดงความคดิ เหน็ 4 การรับฟงั ความคดิ เหน็ 5 ความมนี ้าใจชว่ ยเหลอื กนั รวม เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมนิ ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ............../.................../................ ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครงั้ ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้งั ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ากวา่ 8 ปรบั ปรุง
216 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 11 เรือ่ ง สมบตั ิของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เร่ือง สารและสมบตั ิของสาร เวลา 2 ชั่วโมง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ขอบเขตเนอื้ หา กิจกรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1.สมบัตขิ องของแข็ง ของเหลว และ ข้ันนา 1. สารตัวอย่าง ( ลกู ปัด ก้อนหนิ แท่ง แก๊ส 1. ครูนาเข้าสูบ่ ทเรียนเก่ยี วกบั สมบตั ิของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว ดนิ สอ น้าเยน็ น้าหวาน ลกู โป่งอดั แกส๊ 2. การจัดเรียงอนภุ าคของของแข็ง และแกส๊ โดยใหน้ ักเรยี นเล่นเกม “ลว้ งไหหรอื ภาชนะทึบแสง\" โดยครจู ะนาสาร ถาด ไห หรอื ภาชนะทึบแสง ) ของเหลว และแกส๊ ที่มสี มบัติทีเ่ ป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ลงไปในไหเพ่อื ให้นักเรียนลว้ ง 2. ใบกจิ กรรมท่ี 15 การทดลอง เรื่อง แรง 3. แรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค และ (ลกู ปัด กอ้ นหนิ แทง่ ดนิ สอ นา้ เย็น น้าหวาน ลูกโปง่ อดั ลม ) ก่อนที่จะ ยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนุภาคสาร เล่นเกมครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรา้ งกติกาในการเลน่ เกม และกาหนดเวลาใน การเคลอื่ นที่ของอนภุ าค การเล่นเกม - สารตวั อยา่ ง กระดาษหนงั สอื พิมพ์ 1 2. ครูตง้ั คาถามจากสารทน่ี ักเรยี นได้สมั ผสั โดยใชค้ าถาม คู่ จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. ทดลองและอธิบายสมบัติของ - จากการลว้ งไหนกั เรยี นสมั ผัสสารเหมอื นหรอื แตกต่างกันกันอย่างไร 3. หนงั สือเรยี น (แตกตา่ งกนั จากการสัมผสั มีทง้ั สารทเี่ ป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส) ภาระงาน/ช้นิ งาน ของแข็ง ของเหลว และแก๊สได้ - การทดลอง เรื่อง แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ ง 2. อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียง - ส่ิงท่สี มั ผสั มสี มบตั ิแตกต่างกันหรอื ไม่ อย่างไร อนุภาคสาร (แตกตา่ งกัน ลูกปดั ก้อนหิน แทง่ ดินสอ มีสมบตั ิเป็น ของแขง็ , นา้ มี อนุภาค แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนภุ าค และการเคล่อื นที่ของอนุภาค ของแขง็ สมบัตเิ ปน็ ของเหลวลูกโปง่ อัดลม มีสมบตั ิเป็นแก๊ส) ของเหลว และแกส๊ ได้ - สารที่นักเรยี นสัมผัสมีก่ีสถานะ อะไรบ้าง (มี 3 สถานะ ของแขง็ 3. สามารถสรา้ งแบบจาลองโครงสร้าง ของเหลว และแกส๊ ) การจัดเรยี งอนุภาคของแขง็ ของเหลว 3. ครูชี้แจงวา่ “วันน้เี ราจะมาทาการทดลอง เร่ือง อนภุ าคของ ของแข็ง และแกส๊ ได้ ของเหลว และแก๊ส \" 199 216
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 11 เร่อื ง สมบัติของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส 217 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรือ่ ง สารและสมบตั ิของสาร เวลา 2 ชัว่ โมง ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รายวิชา วิทยาศาสตร์ 4. ใฝเ่ รยี นรู้และการมุ่งมัน่ ในการทางาน ข้นั สอน ด้านความรู้ 1. ครูใหค้ วามรเู้ ร่ือง ของของแข็ง ของเหลว และแก๊ส อธิบายและเปรยี บเทยี บการจัดเรยี ง - ของแขง็ (solid ) อนุภาคของสารในสถานะของแขง็ อยู่ชิดกนั มาก ทา อนภุ าค แรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนุภาค ใหแ้ รงยึดเหน่ยี วระหว่างอนภุ าคของสารมีคา่ มาก ดังนน้ั สารในสถานะของแขง็ และการเคลือ่ นท่ีของ อนภุ าค สถานะ จงึ มีรปู ร่างแน่นอนและมปี ริมาตรคงท่ี ของแข็ง ของเหลว และแกส๊ ได้ และ เช่น ผงถ่าน ตะปู ก้อนหิน กามะถนั เป็นต้น อธิบายความสมั พันธ์ระหวา่ งพลงั งาน - ของเหลว (liquid ) อนุภาคของสารในสถานะของเหลวจะอย่ใู กล้กนั จึง ความร้อนกบั การเปลย่ี นสถานะของสสาร มีแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าคคอ่ นข้างมาก อนุภาคของสารเคล่ือนท่ีไดบ้ ้าง มี ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส รปู รา่ งไมแ่ น่นอนขึ้นกับภาชนะที่บรรจุ แต่มีปรมิ าตรคงท่ี เชน่ นํา้ แอลกอฮอล์ ดา้ นทักษะและกระบวนการ นแตาํ้ ยม่ าีปลรา้มิ งาแตผรลคงเทป่ีน็ เตช้นน่ น้า แอลกอฮอล์ น้ายาลา้ งแผล เปน็ ตน้ 1. อธิบาย สมบตั ิของสาร การจัดเรยี ง - แก๊ส (gas) อนภุ าคของสารในสถานะของแก๊สอยู่ห่างกัน แรงยึดเหน่ยี ว อนภุ าค แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค ระหวา่ งอนภุ าคน้อยมาก ดังน้ันจงึ มีรปู ร่างและปรมิ าตรไม่คงท่ี เมอื่ อยูใ่ น และการเคลอื่ นที่ของ อนุภาค ในสถานะ ภาชนะใดก็จะฟงุ้ กระจายอยเู่ ตม็ ภาชนะ ของแขง็ ของเหลว และแกส๊ ได้ เช่น ไอน้า แกส๊ ตา่ งๆในอากาศ เป็นต้น 2. อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่าง 2. ครใู หน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่มๆ ละ 4-5 คน เพือ่ ทากิจกรรมเรอื่ ง แรงยึด พลงั งานความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะ เหนย่ี วระหวา่ งอนุภาคของสาร ของสสาร ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส โดยครชู ้แี จงวตั ถุประสงค์การทดลองใหน้ ักเรยี นฟังดังนี้ 1) นักเรยี นสามารถกาหนดปญั หาของการทดลองได้ 200 217
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 11 เร่ือง สมบตั ขิ องสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส 218 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรอื่ ง สารและสมบตั ิของสาร รายวิชา วิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 และสามารถเขียนสอ่ื สารสง่ิ ที่นกั เรยี นได้ 2) นักเรียนสามารถตั้งสมมตฐิ านจากปัญหาท่กี าหนดใหไ้ ด้ เรียนรู้ได้ 3) ระบุตัวแปรตน้ ตัวแปรตามและตวั แปรควบคุม ดา้ นคณุ ลกั ษณะ ของการทดลองได้ 1. ใฝเ่ รียนรู้ 4) ทาการทดลองและสรปุ ผลการทดลองเกย่ี วกับแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ ง 2. การมงุ่ ม่นั ในการทางาน อนุภาคของสารได้ 5) เปรยี บเทียบแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอนุภาคของสารและลกั ษณะการ เปล่ียนแปลงรูปรา่ งของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊สได้ 3. นักเรียนแต่ละกล่มุ ลงมือปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตามขั้นตอนในใบกิจกรรมที่ 1 4. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ บนั ทึกผลการทากจิ กรรมในตารางบนั ทึกผล 5. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มนาผลการทากจิ กรรมมาอภปิ รายและลงข้อสรปุ ผลการ ทดลองลงไปในใบกจิ กรรมที่ 1 ขั้นสรุป 1. นักเรยี นแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลการทดลอง 2. ครูและนักเรียนรว่ มอภปิ รายขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ากการทากจิ กรรม โดยครใู ช้ คาถาม ดังนี้ - นกั เรียนสามารถยนื และเคลื่อนทบ่ี นกระดาษหนงั สอื พมิ พข์ นาดใดงา่ ย ทส่ี ดุ เพราะเหตุใด 201 218
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 11 เรือ่ ง สมบัตขิ องสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส 219 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง สารและสมบัติของสาร รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 (เม่อื ยืนบนกระดาษท้ังแผน่ เคลอ่ื นท่ไี ด้ง่ายท่ีสดุ เพราะมาพน้ื ท่ีมาก แตลง่ ละะคคนน สามารถเคลื่อนที่ไดอ้ ยา่ งอสิ ระโดยไม่ต้องจับมือกนั ) - เม่อื ยืนบนกระดาษหนังสอื พิมพแ์ ตล่ ะขนาดความสามารถในการ เปล่ียนรูปรา่ งของกลุ่มแตกตา่ งกนั หรือไม่ อย่างไร (แตกต่างกนั โดยเมือ่ ยนื บน กระดาษทงั้ แผ่นสามารถเปล่ียนรปู ร่างของกลุ่มได้งา่ ยสุด รองลงมา คือ ขนาด 1 ใน 2 ของแผน่ และ 1 ใน 4 แผ่น ตามลาดับ) - ถา้ สมมุตใิ หน้ ักเรยี นแตล่ ะคนแทนอนุภาคของสาร ลกั ษณะการยืนบน กระดาษหนังสอื พิมพข์ นาดใดคอื การเลียนแบบการยึดเหนยี่ วระหวา่ งอนุภาค ของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ตามลาดบั (1) เมื่อยืนบน กระดาษทง้ั แผ่น เป็นการเลยี นแบบการยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนุภาคของสารใน สถานะแกส๊ 2) เม่ือยนื บนกระดาษขนาด 1 ใน 2 ของแผน่ เปน็ การเลียนแบบ การยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนุภาคของสารในสถานะของเหลว 3) เม่ือยืนบน กระดาษขนาด 1 ใน 4 ของแผน่ เปน็ การเลียนแบบการยดึ เหน่ยี วระหว่าง อนุภาคของสารในถานะของแข็ง) 3. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรุปผลการทดลอง - เปรียบเทียบนักเรยี นแตล่ ะคน คือ อนภุ าคของสาร สารในสถานะ ของแข็ง อนุภาคของสารอยู่กนั อย่างหนาแน่น อนภุ าคจะเคลือ่ นที่ไดย้ าก สาร ในสถานะของเหลว อนุภาคของสารอยู่กนั อย่างหลวมๆๆเคเลคื่อลนอ่ื นทที่งา่ ง่ี ยา่ ยขขึน้ นึ้ ถถา้ สา้ สาราร 202 219
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 11 เร่ือง สมบัติของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส 220 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สารและสมบัตขิ องสาร รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 ทีแ่ ตล่ ะอนภุ าคอยกู่ ันรวมกนั อยา่ งหนาแนน่ แรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนภุ าคจะ มากกจ็ ะถูกทาใหเ้ ปลยี่ นรูปรา่ งไปไดย้ ากกว่าสารที่แตล่ ะอนุภาคอย่อู ย่าง หลวมๆ 203 220
221 204 221 การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการ เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ เกณฑ์ สิง่ ที่ต้องการวดั /ประเมนิ - ตรวจใบกิจกรรม - ใบกิจกรรม นกั เรียนผ่านไมน่ ้อยกวา่ - สังเกตการตอบ - แบบบนั ทึกการ ร้อยละ 70 ด้านความรู้ คาถาม ตอบคาถาม ด้านทักษะ/กระบวนการ ประเมินทักษะ แบบประเมินทกั ษะ นกั เรียนผา่ นไมน่ ้อยกว่า ด้านคณุ ลักษณะ กระบวนการ กระบวนการ รอ้ ยละ 70 สงั เกตพฤติกรรม แบบประเมนิ ผ่านระดับดขี ึน้ ไป คณุ ลักษณะ/เจตคติ
205 222 222 8. บันทึกผลหลงั สอน ผลการเรียนรู้ ................................................................................................................... .......................................................... ปญั หาและอุปสรรค ............................................................................................................................. ............................................. ข้อเสนอแนะและแนวทางแกไ้ ข ............................................................................................................................. .............................................. ลงช่ือ ...........................................................ผู้สอน (.......................................................) วันที่..........เดือน..........พ.ศ............. 9. ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ ารหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมาย ........................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ......................................ผ้ตู รวจ (.......................................................) วนั ท.ี่ .........เดือน..........พ.ศ.............
206 223 223 ใบกจิ กรรมที่ 1 การทดลอง เรอ่ื ง แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนภุ าคสาร หน่วยที่ 2 สารและสมบัติของสาร แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 11 เร่ือง สมบตั ขิ องสารในสถานะของแขง็ ของเหลว และแกส๊ รารยาวยิชวาชิ าวิทวยทิ ายศาาศสาตสรต์ ร์ รหรสั หวัสชิ าว2ว121101101ภาภคาเครียเรนียทนี่ ท่ี 1 1 ชั้นชมั้นัธมยธั มยศมกึ ศษึกาษปาีทปี่ ที 1่ี 1 คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นศึกษาและลงมือปฏบิ ัติการทดลอง เร่ือง แรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนุภาคสาร และบนั ทึกรายละเอยี ด ของข้อมูลสรุปผลและอภปิ รายผล จุดประสงค์ 1. นักเรยี นสามารถกาหนดปัญหาของการทดลองได้ 2. นักเรยี นสามารถตัง้ สมมติฐานจากปัญหาที่กาหนดให้ได้ 3. ระบุตวั แปรต้น ตัวแปรตามและตัวแปรควบคมุ ของการทดลองได้ 4. ทาการทดลองและสรุปผลการทดลองเกีย่ วกับแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอนุภาคของสารได้ 5. เปรียบเทยี บแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนุภาคของสารและลกั ษณะการเปล่ยี นแปลงรูปรา่ งของสาร ในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊สได้ อปุ กรณ์และสารเคมี กระดาษหนังสือพมิ พ์ 1 คู่ วิธีการทดลอง 1. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วนากระดาษหนังสือพิมพ์มา 1 คู่ กางออกหลังจาก นนั้ ให้นักเรียนทกุ คนในกลุ่มขน้ึ ไปยนื บนกระดาษหนังสือพิมพ์ 2. ให้นักเรียนท้ังกลุ่มเคลื่อนท่ีอยู่บนพ้ืนของแผ่นกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วสังเกตขนาดของแรงยึด เหนี่ยวระหว่างนักเรียนในกลุ่ม ลักษณะการเคล่ือนที่ของนักเรียนในกลุ่มและลักษณะการเปล่ียนรูปร่างของ กล่มุ 3. ทาการทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1 และข้อ 2 แต่เปล่ียนขนาดของกระดาษโดยพับ 1 ใน 2 ของแผ่น และพับ 1 ใน 4 ของแผน่ ตามลาดับ 4. เปรียบเทยี บขนาดของแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งนักเรียนในกลุ่มเม่ือใชก้ ระดาษขนาดตา่ งกันแล้วบันทึก ในตารางโดยเขียนเคร่ืองหมาย √ ลงในช่องมาก นอ้ ย และนอ้ ยท่ีสดุ โดยไมใ่ ห้ซ้ากัน 5. เปรียบเทียบลักษณะการเคลื่อนท่ีของนักเรียนในกลุ่ม เมื่อใช้กระดาษขนาดต่างกัน แล้วบันทึกผล ในตารางโดยเขียนเคร่ืองหมาย √ ลงในช่องยาก ง่าย และง่ายท่ีสุด โดยไม่ให้ซ้ากัน 6. สังเกตลักษณะการเปลี่ยนรูปร่างของกลุ่มเม่ือใช้กระดาษขนาดต่างกัน แล้วบันทึกในตารางโดย เขียนเครอื่ งหมาย √ ลงในชอ่ งยาก งา่ ย และง่ายที่สดุ โดยไม่ซา้ กนั
207 224 224 กระดาษหนังสอื พมิ พ์ 1 คู่ กระดาษหนงั สือพมิ พ์ กระดาษหนังสือพมิ พ์ กางออก พับ 1 ใน 2 พบั 1 ใน 4 คาถามก่อนทากิจกรรม ปญั หา 1. ปญั หาของการทดลองนี้คืออะไร ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................ ...................................... ............................................................................................. ................................................................................. สมมติฐาน 2. นักเรียนคาดคะเนว่าขนาดของแรงยึดเหน่ียวระหว่างนักเรียน ลักษณะการเคลื่อนที่ของนักเรียน และลักษณะการเปลี่ยนรูปร่างของกลุ่มนักเรียน เมื่อยืนบนกระดาษหนังสือพิมพ์ แต่ละขนาดเหมือนหรือ ตา่ งกนั อยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ................................ ..................................................................................................................................................................... ......... 3. ถา้ ขณะทาการทดลองเพอ่ื นของนกั เรียนล้มลงไม่สามารถยนื บนแผ่นกระดาษหนงั สอื พมิ พ์ นกั เรียน ควรปฏบิ ตั ติ อ่ เพ่อื นของนักเรยี นอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................ 4. นกั เรยี นคดิ ว่า อะไรจัดเป็น ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมตามลาดบั ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ..............................................................................................................................................................................
225 208 225 บนั ทกึ ผลการทากิจกรรม ตาราง ขนาดของแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งนักเรียน ลกั ษณะการเคลอ่ื นทข่ี องนักเรียน และลกั ษณะการเปลีย่ น รปู ร่างของกลมุ่ นักเรยี น เมื่อยืนบนกระดาษหนังสอื พิมพ์ขนาดต่างๆ ขนาดกระดาษ ขนาดของแรงยดึ เหน่ียว ลักษณะการเคล่ือนที่ ลกั ษณะการเปลี่ยน หนงั สอื พมิ พ์ท่กี ลุ่มนกั เรียนยืน ระหว่างนกั เรียน ของนกั เรยี น รปู รา่ งของกลมุ่ 1. ทั้งแผ่นกางออก 2. พับ 1 ใน 2 ของแผน่ 3. พบั 1 ใน 4 ของแผ่น คาถามหลังทากิจกรรม แปลความหมายและสรุปผล 1. ผลการทดลองเป็นไปตามท่ีนักเรียนคาดคะเนไว้หรือไม่ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. 2. นักเรียนสามารถยืนและเคล่อื นทีบ่ นกระดาษหนงั สือพิมพ์ขนาดใดได้ง่ายทสี่ ุด เพราะเหตุใด ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. เมอื่ ยืนบนกระดาษหนังสือพิมพแ์ ต่ละขนาดความสามารถในการเปลี่ยนรปู ร่างของกลุ่มแตกต่างกัน หรือไม่ อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ................................ 4. สมมุตใิ หน้ กั เรียนแตล่ ะคนแทนอนภุ าคของสาร ลกั ษณะการยืนบนกระดาษหนังสือพิมพ์ขนาดใด คอื การเลยี นแบบการยึดเหนยี่ วระหวา่ งอนภุ าคของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊สตามลาดบั ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................... .................................... ............................................................................................... ................................................ ...............................
226 209 226 5. จงสรปุ ผลการทดลอง ............................................................................................................ .................................................................. ………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… ……………………………………………………………………..…………………………………………………………………………………… ……………………………………………………..…………………………………………………………………………………………………… 6. นักเรียนคาดคะเนวา่ ถ้าพบั กระดาษให้มีขนาดเลก็ กวา่ 1 ใน 4 ของแผน่ ผลจะเปน็ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… ……………………………………………………………………..…………………………………………………………………………………… …………………………..………………………………………………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………........................................................................................................................ ....................................................................... ............................................................................................ ...........
210 227 227 แบบประเมินการปฏบิ ัตกิ ารทดลองทางวิทยาศาสตร์ เร่ือง แรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอนุภาคสาร รายการประเมนิ กลมุ่ ชอ่ื – สกลุ การทดลอง การใช้ การบันทกึ การ การดแู ล คะแนน ที่ ตามแผนที่ อปุ กรณ์ ผลการ สรุปผล และ กาหนด ทดลอง การ จดั เก็บ ทดลอง อุปกรณ์ 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 20 ลงชอ่ื .........................................................................ผ้ปู ระเมิน (.........................................................................) ................../................/............... เกณฑ์การประเมิน ระดับคณุ ภาพ ช่วงคะแนน เกณฑก์ ารพจิ ารณา 4 16-20 ดีมาก 3 11-15 ดี 2 6-10 พอใช้ 1 1-5 ควรปรับปรุง เกณฑ์การผ่านไดค้ ะแนนตัง้ แต่ระดบั พอใช้ ขน้ึ ไป
228 211 228 เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินการปฏบิ ัติการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ ตัวชีว้ ดั 4 ระดับคะแนน 1 32 1. การทดลองตาม ทดลองตามวธิ ีการ ทดลองตามวธิ ีการ ทดลองตามวธิ กี าร ทดลองไม่ถูกต้อง แผนท่ีกาหนด และขน้ั ตอนที่ และขนั้ ตอนท่ี และขั้นตอนที่ ตามวธิ ีการและ กาหนดไว้อย่าง กาหนดไว้ด้วย กาหนดไว้ โดยครู ขัน้ ตอนท่ีกาหนดไว้ ถกู ต้อง มีการ ตนเอง มวี ิธกี าร หรอื ผอู้ น่ื เปน็ ผู้ ไม่มีการปรบั ปรงุ ปรับปรุง แกไ้ ข ปรับปรงุ แก้ไขบ้าง แผนู้แนะนะนาำ� แกไ้ ข เป็นระยะ 2. การใช้อปุ กรณ์ ใชอ้ ปุ กรณ์ในการ ใชอ้ ุปกรณ์ทดลอง ใช้อุปกรณ์ในการ ใชอ้ ปุ กรณ์ในการ ทดลองได้อย่าง ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งตาม ทดลองไดอ้ ยา่ ง ทดลองไมถ่ ูกต้อง ถกู ต้องตาม หลักปฏบิ ัตแิ ต่ไม่ ถูกต้องโดยมีครู และไมม่ คี วาม หลกั การปฏบิ ตั ิ คล่องแคลว่ หรือผูอ้ ่ืนเป็นผู้ คล่องแคลว่ ในการ และคลอ่ งแคล่ว ผแู้แนนะะนนา�ำ กใชา้รใช้ 3. การบนั ทึกผล บนั ทึกผลการ บนั ทกึ ผลการ บนั ทึกผลการ บนั ทกึ ผลไม่ครบ การทดลอง ทดลองเป็นระยะ ทดลองเปน็ ระยะ ทดลองเปน็ ระยะ และไม่เปน็ ไปตาม อยา่ งถูกต้อง มี อยา่ งถูกต้อง มี แต่ไมเ่ ป็นระเบยี บ การทดลอง ระเบียบ มีการ ระเบยี บ มีการ ไม่มีการอธิบาย อธิบายข้อมูลให้ อธิบายข้อมลู ให้ ข้อมูลให้เหน็ เห็นความเชอ่ื มโยง เหน็ ความสมั พันธ์ ความสัมพนั ธ์ เป็นภาพรวม เปน็ เปน็ ไปตามผลการ เป็นไปตามผลการ กทาดรลทอดงลอง เหตเุ ปน็ ผลและ กทาดรลทอดงลอง เปน็ ไปตามผลการ กทาดรลทอดงลอง 4. การสรปุ ผลการ สรปุ ผลการทดลอง สรปุ ผลการทดลอง สรปุ ผลกรทดลอง สรุปผลการทดลอง ทดลอง ได้อย่างถูกตอ้ ง ไดถ้ ูกต้อง แต่ยงั ไม่ ได้โดยมคี รหู รือ ตามความร้ทู ่ีพอมี กระชับชัดเจน ครอบคลุมข้อมลู ผอู้ ื่นแนะนาบ้าง จงึ อยู่โดย ไม่ใชข้ ้อมูล และครอบคลมุ จากการวเิ คราะห์ สามารถสรุปได้ จากการทดลอง ข้อมลู จากการ ท้ังหมด ถกู ต้อง วเิ คราะห์ท้ังหมด 5. การดูแลและ ดูแลอปุ กรณ์ในการ ดูแลอุปกรณ์ในการ ดูแลอุปกรณ์ในการ ไม่ดูแลอุปกรณใ์ น จัดเกบ็ อุปกรณ์ ทดลองและมีการ ทดลองและมีการ ทดลอง มีการทา การทดลอง และไม่
229 212 229 ตัวชว้ี ัด ระดบั คะแนน 4321 ทท�ำาคคววาามมสสะะออาาดด ทาความสะอาด ความสะอาดแต่ สสนนใใจจทท�ำาความ แแลละะเเกกบ็ ็บออยย่า่างงถกู ตอ้ ง อย่างถูกต้อง แต่ เก็บไม่ถกู ต้อง ต้อง คสวะาอมาสดะรอวามดทง้ั เกบ็ ตถากู มตห้อลงกั ตกาามร และ เกบ็ ไม่ถูกต้อง ใหค้ รูหรือผู้อนื่ รไวมมถ่ ทูกัง้ ตเกอ้ บ็ งไม่ถูกตอ้ ง แหนละกั นก�ำาใรห้ผแู้อลืน่ ะดูแล แแลนะะเกนบ็าใรหกั ผ้ษู้อาไ่นื ดด้ แู ล แนะนา ถแกู ลตะอ้ เกง็บรักษาได้ ถกู ต้อง
230 213 230 เฉลย ใบกจิ กรรมท่ี 1 การทดลอง เรอ่ื ง แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนภุ าคสาร หนว่ ยท่ี 2 และสมบัตขิ องสาร แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 11 เรอื่ ง สมบตั ขิ องสารในสถานะของแขง็ ของเหลว และแก๊ส รารยาวยิชวาิชาวิทวยิทายศาาศสาตสรต์ ร์ รหรัสหวัสิชวา2ว121101101ภาภคาเครียเรนยี ทนี่ ท่ี 1 1 ชน้ั ชมั้นธั มยธั มยศมกึ ศษึกาษปาีทปี่ ที 1่ี 1 คาช้ีแจง ใหน้ กั เรียนศกึ ษาและลงมือปฏิบตั ิการทดลอง เรื่อง แรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนุภาคสาร และบันทกึ รแาลยะลบะนั เอทียกึ ดราขยอลงะขเอ้ ยีมดูลสขรอุปงผขล้อแมลู ะสอรุปภผิปลรแาลยะผอลภิปรายผล จดุ ประสงค์ 1. นกั เรียนสามารถกาหนดปัญหาของการทดลองได้ 2. นักเรียนสามารถตงั้ สมมติฐานจากปญั หาที่กาหนดให้ได้ 3. ระบุตวั แปรตน้ ตัวแปรตามและตัวแปรควบคมุ ของการทดลองได้ 4. ทาการทดลองและสรุปผลการทดลองเกี่ยวกับแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าคของสารได้ 5. เปรียบเทยี บแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าคของสารและลักษณะการเปลี่ยนแปลงรปู รา่ งของสาร ในสถานะของแข็ง ของเหลว และแกส๊ ได้ อุปกรณแ์ ละสารเคมี กระดาษหนงั สือพมิ พ์ 1 คู่ วธิ ีการทดลอง 1. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วนากระดาษหนังสือพิมพ์มา 1 คู่ กางออกหลังจาก นั้นให้นักเรยี นทุกคนในกลมุ่ ขนึ้ ไปยืนบนกระดาษหนังสอื พิมพ์ 2. ให้นักเรียนท้ังกลุ่มเคล่ือนท่ีอยู่บนพื้นของแผ่นกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วสังเกตขนาดของแรงยึด เหน่ียวระหว่างนักเรียนในกลุ่ม ลักษณะการเคลื่อนท่ีของนักเรียนในกลุ่มและลักษณะการเปล่ียนรูปร่างของ กลมุ่ 3. ทาการทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1 และข้อ 2 แต่เปลี่ยนขนาดของกระดาษโดยพับ 1 ใน 2 ของแผ่น และพับ 1 ใน 4 ของแผน่ ตามลาดบั 4. เปรยี บเทียบขนาดของแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งนักเรยี นในกลุ่มเมอื่ ใชก้ ระดาษขนาดตา่ งกันแล้วบันทึก ในตารางโดยเขียนเครอ่ื งหมาย √ ลงในช่องมาก น้อย และน้อยทสี่ ดุ โดยไม่ให้ซา้ กัน 5. เปรียบเทียบลักษณะการเคล่ือนท่ีของนักเรียนในกลุ่ม เมื่อใช้กระดาษขนาดต่างกัน แล้วบันทึกผล ในตารางโดยเขยี นเครื่องหมาย √ ลงในช่องยาก ง่าย และง่ายทสี่ ุด โดยไมใ่ หซ้ ้ากัน
231 214 231 6. สังเกตลักษณะการเปลี่ยนรปู รา่ งของกลุม่ เมื่อใช้กระดาษขนาดต่างกนั แล้วบนั ทกึ ในตารางโดยเขียน เครือ่ งหมาย √ ลงในชอ่ งยาก ง่าย และง่ายทส่ี ดุ โดยไม่ซ้ากัน กระดาษหนงั สอื พิมพ์ 1 คู่ กระดาษหนงั สือพมิ พ์ กระดาษหนังสือพมิ พ์ กางออก พับ 1 ใน 2 พับ 1 ใน 4 คาถามกอ่ นทากจิ กรรม ปัญหา 1. ปัญหาของการทดลองนีค้ ือออะะไไรร (ขนาาดดแแรรงงยยดึ ึดเเหหนนี่ยีย่ ววรระะหหวว่าา่งงนนักกั เรเรียียนน ลลกั กั ษษณณะะกกาารรเคเคลลื่ออื่นนทท่ีขี่ขอองง นนกั ักเเรรยี ียนนแแลละะลลกั กั ษษณณะะกกาารรเเปปลลย่ี ่ียนนรรปู ูปรรา่ า่ งงขขอองงกกลลมุ่ ุ่มนนกั ักเเรรยี ียนนเเมมอ่ื ื่อยยนื ืนบบนนกกรระะดดาาษษหหนนงั ังสสอื ือพพมิ พข์ นาดแตกตา่ งกนั เปน็ ออยยา่ ่างงไไรร) ) สมมตฐิ าน 2. นักเรียนนคคาาดดคคะะเเนนวว่า่าขขนนาาดดขขอองงแแรรงงยยึดึดเหเหนนี่ย่ยีววระระหหว่าวงา่ นงนกั เกั รเียรนียนลกั ลษกั ณษณะกะากราเครเลค่ือลนอ่ื ทนข่ี ทอ่ขี งอนงักนเรกั ยี เรนียน แแลละะลลกั ักษษณณะะกกาารเปลยี่ นรูปร่างของกลุ่มนกั เรียนน เมอื่ ยยืนืนบบนนกกรระะดดาาษษหหนนงั งัสสือือพพมิ ิมพพ์ แ์ แตต่ลล่ ะะขขนนาาดดเหเหมมืออืนนหหรอืรือต่าง กตันา่ องกยันา่ งอไยร่า(งตไรา่ ง(กตนั ่างโกดันยเมโดือ่ ยยเืนมบอื่ ยนืนกบระนดการษะดหานษังหสนอื ังพสมิ อื พพ์ขมิ นพา์ขดน1าดใน1 4ในข4องขแอผง่นแผข่นนขาดนแารดงแยรึดงยเหึดนเหี่ยนว่ยีนวกั เรยี น จนะักมเารกยี ทน่ีสจะุดมาลกกั ทษสี่ ณุดะกลาักรษเณคละอ่ืกนารทเีแ่คละอ่ื กนาทร่ีแเปละลก่ยี านรรเูปรลา่ยี งนขรอปู งรก่าลงมุ่ขจอะงกยลากุม่ ทจะสี่ ยดุ ากแทตีส่ ่เดุมื่อแยตืนเ่ บมน่ือกยนืระบดนากษรทะงั้ดแาผษ่น ขทนั้งาแดผแ่นรงยขดึนเาหดนแย่ีรวงยระึดหเหวนา่ งยี่ นวกัระเรหยี วน่าจงนะนักเอ้ รยยี ทนส่ี จดุะนลอ้ กั ยษทณส่ี ุดะกาลรกั เษคลณอ่ื ะนกทารแ่ี เลคะลก่ือานรทเปี่แลลยี่ ะนกราปูรเรปา่ ลงขี่ยอนงรกูปลรมุ่างขา่ ยอทง สี่ ดุ ) กลุ่มง่ายท่ีสดุ ) 3. ถา้ ขณะทำ� การทดลองเพอื่ นของนกั เรยี นลม้ ลงไมส่ ามารถยนื บนแผน่ กระดาษหนงั สอื พมิ พ์ นกั เรยี น ควรปฏบิ ตั 3ติ. อ่ถเ้าพขอ่ืณนะขทอางกนากั รเทรยีดนลองยเา่ พงื่อไรน(ขคอวงรนใหักค้เรวียานมลช้มว่ ลยงเหไมล่สอื าเพมาอ่ื รนถแยลืนะบพนยแาผยน่ามกเรกะาดะากษนั หเพนงัอ่ื สใหือท้พกุิมคพน์ นสกัาเมรายี รนถ ยคนื วบรปนฏกรบิ ะัตดิตา่อษเพไดื่อ้)นของนักเรียนอย่างไร (ควรใหค้ วามชว่ ยเหลอื เพ่ือนและพยายามเกาะกันเพอ่ื ใหท้ ุกคน สามารถยืนบนกระดาษได้) 4. นักเรียนคดิ ว่า อะไรจัดเปน็ ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมตามลำ� ดับ (ตัวแปรตน้ คอื ขนาดแผ่น4ก. รนะกั ดเราียษนคติดัววแ่าปอระตไารมจดั คเปอื ็นขตนัวาแดปแรรตง้นยดึ ตเหัวนแปย่ี วรรตะาหมวา่แงลนะักตเัวรแยี ปนรคลวกั บษคณมุ ะตกาามรลเาคดลบั ื่อนที่ของนักเรียน แ(ลตะวั ลแักปษรณตน้ะกคาือรเขปนลายี่ ดนแรผปู น่ รก่ารงะขดอางษกลุ่มต)ัวแปรตาม คือ ขนาดแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งนกั เรียน ลักษณะการ เคลอ่ื นที่ของนักเรยี นและลกั ษณะการเปลีย่ นรปู ร่างของกลุ่ม)
232 232 215 บันทกึ ผลการทากจิ กรรม ตาราง ขนาดของแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งนกั เรียน ลักษณะการเคลอ่ื นท่ขี องนักเรยี น และลกั ษณะการเปลีย่ น รปู รา่ งของกล่มุ นักเรยี น เมอ่ื ยืนบนกระดาษหนงั สอื พิมพ์ขนาดต่างๆ ขนาดกระดาษหนงั สือพิมพ์ที่ ขนาดของแรงยดึ เหนยี่ ว ลกั ษณะการเคลอื่ นทข่ี อง ลกั ษณะการเปลี่ยน กลมุ่ นกั เรยี นยืน รปู รา่ งของกลุ่ม ระหวา่ งนกั เรียน นกั เรียน 1. ท้ังแผน่ กางออก ยาก งา่ ย งา่ ยท่ีสุด 2. พับ 1 ใน 2 ของแผ่น มาก นอ้ ย น้อยท่สี ดุ ยาก งา่ ย งา่ ยที่สดุ 3. พับ 1 ใน 4 ของแผ่น √ √√ √ √ √√ √√ คาถามหลังทากจิ กรรม แปลความหมายและสรุปผล 1. ผผลลกกาารรททดดลลอองเงปเปน็ ็นไปไตปาตมาทม่ีนทัก่ีนเักรยีเรนียคนาคดาคดะคเนะไเวนห้ ไรวอื้หไรมือ่ (ไเมป่ น็ (ไเปต็นาไมปทตค่ีามาดทค่ีคะาเดนคไวะ้ เคนอื ไวเม้ คือ่ ือยนื เบมน่ือยืนบน กระดาษหนงั กสรอื ะพดมิ าพษข์หนาังดสอื 1พใมิ นพ4์ขขนอาดงแ1ผน่ในจะ4ทข�ำอใงหแข้ ผนน่ าดจแะรทงายใหดึ เข้ หนนาย่ีดวแระงหยดึวา่เหงมนมี่ยวารกะทหส่ี วดุ ่างนมกั ีมเรายีกนทเ่สี คุดลอื่ นทแ่ี ละ เปลย่ี นรูปร่างนขักอเรงกยี นลุ่มเคไลดอื่ย้ นากททีแ่ ล่ีสะุดเ)ปล่ียนรปู รา่ งของกลุม่ ได้ยากท่ีสุด) 2. นนกั ักเเรรียยี นนสสาามมาารรถถยยนื ืนแแลละะเคเคลลื่ออื่นนททีบ่ บ่ีนนกกระรดะดาษาษหหนังนสังอืสพือมิพพมิ ข์พน์ขานดาใดดใไดไ้งดา่ ้งยา่ ทยี่สทดุ ี่สดุ เพรเาพะรเาหะตเใุหดตุใด(เม่ือยนื บนกระดาษ(ทเงั้ มแ่อื ผยน่ ืนเคบลน่ือกนระทด่ไี ดาษง้ า่ทยั้งทแี่สผ่นุดเคเลพอ่ื รนาะทม่ีไดีพ้งื้นา่ ทยท่มี ี่สากดุ นเพักรเาระียมนพี แ้นืตท่ละี่มคากนสนามกั าเรรียถนเแคตลล่ ื่อะนคทน่ีไสดาอ้ มยาา่ รงถอิสระโดย ไม่ตอ้ งจบั มือกเคันลไว่อื )้ นที่ได้อย่างอสิ ระโดยไม่ต้องจบั มือกนั ไว้) 33.. เเมมือ่อ่ื ยยนืนื บบนนกกรระะดดาาษษหหนนังงั สสืออื พพิมมิ พพแ์ แ์ ตตล่ ่ละะขขนนาาดดคคววาามมสสามามาราถรถในในกากราเรปเลปี่ยลนี่ยรนปู รรูปา่ รงา่ ขงอขงอกงลกุ่มลแมุ่ ตแกตตก่าตงา่กงนั กนั คหอืรอื ขไนม่าอดยหได1่าร้งงือใ่าไไนรยมท(่2ตอีส่ ่ายขุดง่าอกงงรไนั แอรผง(โล่นตดงา่ ยมงแเากมลันค่ือะือย1โนื ดขบใยนนนเามกด4อื่ รย1ขะืนอดใบงนาแษน2ผทกน่ รขง้ั ะสอตดองาาแงมษแผลทผ่นำ� ่นัง้ ดสสแับอาล)งมะแาผ1ร่นถใสเนปาล4มย่ีาขรนอถรงเปู ปแรผลา่ น่่ียงนขตรอาปู งมรกลา่ลางมุ่ดขไับอด)งง้ กา่ ลยมุ่ ทส่ี ดุ รองลงมา สค ยคถอื ืนือากกบนาานระรเกขเลลรอ(ยี4เ4เเะียมงมม..นดนเอ่ืือ่อื่หสสแาขแยยยมมษลบอบืนนืนืมมวทบงบบบบสตุุตง้ักกเนานใิแนิใมาาหหรกผกกร่อืรใ้นน้่นรยรรนยยกัะะกัะดึึดสนื ดเดดเเเเถรบรหปหาาาียาียนษนษน็ษนนนนกขยี่ก่ยีทขะแแรนวาวน้ังขตะตรรรแาอาล่ดเล่ะะดผดลงะาหหะเ่นียคษหค1วว1นนขล่าน่าเแแในงงใวปแนนอบอทาน็ทนบดนนก4น2ุภกุภอา1อาานาขขรนครคใุภเออนยลภุขขางงึดยีอาอแคแ2เนคงผงผขหสขขสแ่นอ่นนาออบางร่ียรงงสเเบใวปปแใสนากนรผาน็น็รสะาสรน่กกถหรลถาายลาักวเารรปนดึัก่าษนเเง็นะเษลลณะหอขกยียีณขนนะอานนอกะภุ่ยีรงแแงแกาเวาแลบบรขาครยีขยบบร็งะขนง็นืยหกกอแนืบขาาวงขบรรสอบนา่ อยยบงางกนองเรดึึดกรหกเนเเะาหใรลหหรนุภดะลวนนยาสาดวึดยี่ี่ยษแคถาเววแลหขาษหรรลนะอนหนะะะแะงังนหหีย่แกสขสวังววก๊สาอือสรา่า่ร๊สงพะืองงตใิหมออพตานแพนนวมามิสก่ามลภุุภ์ขพถส๊งานลาาอ์ขาดคค�ำานนนับดดขขุภะาับใออขด(ดาเงงคอมใสสดงื่อาาแรรกใในน๊ส สถานะของแข็ง)
216 233 233 5. จงสรเุปมผอื่ ลยกืนาบรนทกดรละอดงาษ(เขปนรายี ดบเ1ทียในบน4ักขเรอียงแนผแน่ตล่ เปะค็นนกาครือเลยีอนแภุ บาคบขกอารงยสดึารเหน่ยี วระหว่างอนุภาค สขาอรใงนสสารถใานนสะถขาอนงะแขขอ็งงแอขน็งภุ )าคของสารอยู่กันอย่างหนาแน่น อนุภาคจะเคล่ือนท่ีไดย้ าก 5.สจางรสใรนุปสผถลากนาะรขทอดงลเหองลว(เปอรนียภุบาเทคียขบอนงสักาเรียอนยแูใ่ นตหล่ ะลควนมๆคเือคลออื่ นนภุ ทาี่งค่าขยอขงน้ึ สาร สนารอใกนจสาถกานี้ถะข้าสอางรแทข็งี่แตอ่ลนะุภอานคุภขอาคงสอายรู่รอวยมู่กกนั ันออยยา่ ่างงหหนนาาแแนน่น่น อนแภุ รางคยจึดะเหเคนลี่ยื่อวนรทะี่ไหดว้ย่าางกอนุภาคจะมากก็จะถูก ท�ำใหเ้ ปล่ียนสารรปู ใรนา่ สงถไปานไดะย้ขาอกงเกหวล่าวสารอทน่แีุภตาค่ลขะองนสภุ าารคออยย่ใู นูก่ หันลอวยม่าๆงหเคลลวื่อมนๆท) ี่ง่ายขึ้น 6น. อนกั จเรายีกนค้ีถา้ ดสคาระทเน่แี วต่าลถะ้าอพนับุภการคะอดยา่รู ษวมใหกม้ันีขอนยา่ ดงหเลน็กากแวนา่ น่ 1 แในรง4ยดึ ขเหอนงแย่ี ผวร่นะผหลวจ่างะอเปน็นภุ อาคยจา่ งะไมรา(กนกกั ็ เรยี นจะไม่ สจาะมถาูกรทถายใหืนเ้บปนลแ่ียผน่นรกูประ่าดงไาปษไไดด้ย้ทาุกคกนวา่)สารท่ีแตล่ ะอนุภาคอยู่กนั อย่างหลวมๆ) 6. นักเรยี นคาดคะเนวา่ ถา้ พับกระดาษใหม้ ีขนาดเลก็ กว่า 1 ใน 4 ของแผ่น ผลจะเปน็ อย่างไร ( นักเรียนจะไมส่ ามารถยืนบนแผ่นกระดาษได้ทุกคน)
234 แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 12 เรือ่ ง พลังงานความรอ้ นกับการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 เรื่อง สารและสมบัตขิ องสาร เวลา 2 ชว่ั โมง รารยาวยชิวาชิ าวิทวย2า2ศ1า0ส1ตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขอบเขตเน้ือหา กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. สารตวั อยา่ ง (นนํ้าา้ แแขข็ง็งนนา้ํ า้ แแลละะไอนา้ํ ) ) 1. พลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียนแปลง ขั้นนา สถานะของสาร 1. ครนู าเข้าสูบ่ ทเรียนเก่ียวกับสถานะและการเปล่ียนแปลงสถานะของ 2. ใบกิจกรรมท่ี 16 การทดลอง เรอ่ื ง 2. จดุ หลอมเหลวของน้าแข็งและจุดเดือด สารโดยให้นักเรยี นสงั เกต น้าแข็ง น้า และไอนา้ แล้วครูต้ังคาถาม โดยใช้ พลังงานความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลง ของนา้ คาถาม สถานะของสาร \" - สารมีกส่ี ถานะ อะไรบ้าง (มี 3 สถานะ ของแขง็ ของเหลว และแก๊ส) 3. หนังสือเรยี น จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ - สถานะของสารสามารถเปลีย่ นแปลงได้หรือไม่ อย่างไร ดา้ นความรู้ (เปลี่ยนแปลงได้ เม่ือได้รบั พลังงาน) ภาระงาน/ช้ินงาน 1. อธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ งพลงั งาน - สารชนิดหน่ึง สามารถมสี ถานะมากกว่า 1 สถานะได้หรือไม่ การทดลอง เรอ่ื ง พลงั งานความร้อนกบั ความร้อนกับการเปลยี่ นแปลงสถานะของ (ได้ ถ้ามีอุณหภมู ิและความดันทเี่ หมาะสม) การเปล่ยี นแปลงสถานะของสาร \" สาร ข้ันสอน ด้านทักษะและกระบวนการ 1. ครูใหค้ วามร้เู กย่ี วกบั เรอื่ งการเปลย่ี นสถานะของสารการเปลี่ยน 1. ทดลองตรวจสอบจดุ หลอมเหลวของ สถานะของสารเกิดจากการที่สารไดร้ บั พลงั งานความร้อนหรือคายพลังงาน นา้ แข็งและจุดเดือดของนา้ นาเสนอข้อมลู ความร้อนออกมา ทาใหพ้ ลังงานของระบบเปล่ยี นไป สถานะของสารจึง การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิของน้าขณะท่ี เปลย่ี นแปลงได้ดงั นี้ ได้รบั ความร้อน 2. การเปล่ียนสถานะจากสถานะของแข็งเป็นของเหลว เกดิ จากอนุภาค ของของแข็งได้รับความร้อน อนภุ าคจะมพี ลงั งานสูงขึ้น จึงเกิดการ สนั่ สะเทือนไดแ้ รงข้นึ และถ่ายโอนพลงั งานจลนใ์ ห้แกก่ นั จนถงึ ภาวะหน่ึง 217 234
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 12 เรื่อง พลงั งานความรอ้ นกบั การเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร 235 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 เรื่อง สารและสมบัตขิ องสาร เวลา 2 ชั่วโมง ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รายรวาชิยวาชิ วาิทวยา2ศ2า1ส0ต1ร์ ด้ ด้านคุณลักษณะ อนภุ าคมีพลังงานสูงพอทจี่ ะเคลอ่ื นที่ออกห่างกนั แรงยึดเหนี่ยวระหว่าง 1. ใฝเ่ รยี นรู้ อนภุ าคจึงตา่ ลง ของแข็งจึงเปลยี่ นสถานะเป็นของเหลว 2. การมงุ่ มน่ั ในการทางาน 3. การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแกส๊ เกดิ ข้ึนเม่ืออนุภาคของ ของเหลวได้รับความร้อนเพ่มิ ขึ้น อนุภาคมีพลงั งานจลน์มากขน้ึ จึงเคล่ือนท่ี หา่ งจากกนั ไดม้ ากข้นึ อีก จนในทีส่ ุดเคลื่อนทหี่ ่างจากกันมากจนไมย่ ึด เหน่ียวตอ่ กนั อนภุ าคบางอนุภาคของของเหลวจึงฟงุ้ กระจายออกไปได้ สภาวะนัน้ ของเหลวจะเปลย่ี นสถานะเปน็ แก๊ส 4. ครใู หน้ ักเรยี นดูแผนภาพ และครูอธิบายแผนภาพเก่ยี วกบั การเปลยี่ น สถานะของสาร สารได้รบั ความร้อน (การเปลยี่ นแปลงแบบดดู ความร้อน ) การระเหิด การกลายเป็นไอ ของแขง็ การหลอมเหลว ของเหลว แกส็ การเยอื กแข็งการระเหิดกลบั การควบแน่น สารคายความรอ้ น (การเปลย่ี นแปลงแบบ คายความร้อน) ภาพที่ 2.12.1 แผนภาพการเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร 218 235
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 12 เร่ือง พลังงานความรอ้ นกับการเปล่ยี นแปลงสถานะของสาร 236 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรื่อง สารและสมบตั ขิ องสาร เวลา 2 ช่วั โมง ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ รายรวาชิยวาชิ วาทิ วยา2ศ2า1ส0ต1ร์ การเปลยี่ นแปลงสถานะของสารจากของแข็งเปน็ ของเหลว และจาก ของเหลวเป็นแก๊ส จะต้องทาใหแ้ รงยดึ เหน่ียวระหว่างอนภุ าคลดลง ทาได้ โดยให้พลงั งานแก่สาร ในทางตรงกันขา้ ม การเปล่ยี นสถานะแกส๊ เปน็ ของเหลวและจาก ของเหลวเปน็ ของแขง็ จะต้องทาใหแ้ รงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งอนุภาคมากขึน้ ซง่ึ ทาไดโ้ ดยใหส้ ารนน้ั คายความร้อนออกมา 5. ครใู หน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 4-5 คน เพื่อทาการทดลอง เรื่อง พลังงานความร้อนกับการเปล่ียนแปลงสถานะของสาร \" โดยครชู ้ีแจง วัตถปุ ระสงค์การทดลองให้นักเรยี นฟัง ดังนี้ 1) นักเรยี นสามารถกาหนดปัญหาของการทดลองได้ 2) นกั เรียนสามารถต้งั สมมตฐิ านจากปญั หาทก่ี าหนดได้ 3) นักเรียนสามารถทดลองและสรปุ ผลเกยี่ วกบั จุดหลอมเหลวของ นา้ แข็ง และจุดเดอื ดของน้าได้ 6. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มลงมือปฏบิ ัตกิ ารทดลองตามขน้ั ตอนการทดลองใน ใบกจิ กรรมที่ 16 7. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ออกแบบตารางบนั ทึกผลการทดลองลงใน ใบกิจกรรมที่ 16 แล้วบนั ทกึ ผลการทดลองท้ัง ลงไปในตารางท่ีออกแบบไว้ 219 236
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 12 เรือ่ ง พลังงานความรอ้ นกับการเปลีย่ นแปลงสถานะของสาร 237 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 เร่ือง สารและสมบตั ิของสาร เวลา 2 ชว่ั โมง ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รายรวาิชยวาิชวาทิ วยา2ศ2า1ส0ต1ร์ 8. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มนาผลการทดลองมาอภปิ รายและลงขอ้ สรุปผลการ ทดลองลงไปในใบกิจกรรมที่ 16 9. นกั เรียนแต่ละกลุม่ สง่ ตัวแทนกล่มุ ออกมานาเสนอผลการทดลอง 10. ครูและนักเรยี นร่วมอภิปรายขอ้ มลู ที่ได้จากการทากจิ กรรม โดยครใู ช้ คาถาม ดังนี้ - จากการทดลอง เม่ือนาเทอร์มอมิเตอร์เสยี บเข้าไปในบีกเกอรท์ ี่ บรรจนุ า้ แขง็ ไว้น้ัน เม่ือเวลาผ่านไปน้าแข็งจะมกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างไร - น้าแข็งมีอุณหภมู เิ ท่าใด (ตอบตามผลการทดลองของนักเรียน) - กระบวนที่น้าแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นนา้ เรยี กวา่ อะไร (การหลอมเหลว) - ปัจจยั ที่ทาให้นา้ แข็งเปลยี่ นสถานะเป็นน้า หรือ ของแขง็ เปลี่ยน สถานะเป็นของเหลว คืออะไร (ความรอ้ น) - เม่อื ให้ความรอ้ นแกข่ องแข็งเพิ่มขน้ึ จนถึงระดับหน่ึงซึ่งของแข็งจะ ใช้ความร้อนในการเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกความรอ้ นท่ใี ชใ้ นการ เปล่ียนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลวว่าอะไร (ความรอ้ นแฝงของการ หลอมเหลว) - นอกจากท่ีนกั เรยี นสงั เกตเห็นการหลอมเหลวของน้าแขง็ กลายเปน็ น้าแลว้ นักเรียนยงั เหน็ ส่ิงใดอีกบ้าง (มีหยดน้ามาเกาะ ที่ผิวของบีกเกอร์) 220 237
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 12 เรือ่ ง พลังงานความร้อนกบั การเปล่ยี นแปลงสถานะของสาร 238 หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 2 เร่ือง สารและสมบตั ขิ องสาร เวลา 2 ช่ัวโมง ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ รายรวาชิยวาิชวาิทวยา2ศ2า1ส0ต1ร์ - เม่ือนานา้ แขง็ ท่หี ลอมเหลวจนหมดแลว้ ใหไ้ ดร้ ับความรอ้ นเพิ่มขึ้น อณุ หภมู ขิ องน้าเปลี่ยนแปลงอยา่ งไร (อุณหภมู ิจะสงู ขนึ้ เร่ือยๆแล้วในทส่ี ดุ นา้ จะเดือด อุณหภมู ิสูงขึ้นไม่สงู ขึ้นไป อกี ) - ต้มน้านานต่อไปอกี อณุ หภูมิเป็นอยา่ งไร เพราะเหตใุ ดจึงเป็น เช่นนนั้ (อุณหภมู ิคงที่ ที่ 100 oC เพราะหลังจากน้าเดอื ดแล้ว น้าต้องนา ความรอ้ นไปใช้ในการเปลี่ยน สถานะเป็นไอนา้ ซ่ึงเรียกความร้อนดังกลา่ ว ว่า ความรอ้ นแฝง) - ขณะน้ากาลงั เดือด นักเรียนเหน็ ไอน้าเหนือผวิ นา้ เดือดหรือไม่ และ ควนั ขาวท่อี อกมาจากบีกเกอร์คอื อะไร (ไม่มีไอนา้ เน่ืองจากไอนา้ อย่ใู น สถานะแกส๊ และควันขาวนัน้ คือ ละอองน้าเล็กๆซ่ึงเกดิ จากการควบแน่น ของไอน้าเดือด) - ผลการทดลอง นี้สรปุ ไดอ้ ย่างไร (ขณะน้าแข็งหลอมเหลว อณุ หภมู ิ คงท่ที ี่ 0 oC เมื่อหลอมเหลวหมดแลว้ อุณหภูมิจงึ สูงข้ึน จดุ หลอมเหลวของ น้าเท่ากบั 0 oC เมื่อนา้ ไดร้ ับความรอ้ นอณุ หภมู สิ งู ขนึ้ จนถึง 100 oC น้าจงึ เดอื ดและขณะเดือด นา้ เปลี่ยนสถานะเป็นไอน้าอย่างรวดเร็ว อุณหภมู ขิ ณะ เดือดคงท่ี) 221 238
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 12 เรือ่ ง พลังงานความร้อนกับการเปลีย่ นแปลงสถานะของสาร 239 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เรื่อง สารและสมบัติของสาร เวลา 2 ชัว่ โมง ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ รายรวาชิยวาิชวาทิ วยา2ศ2า1ส0ต1ร์ ขนั้ สรุป 1. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รายสรุปความสัมพันธ์ระหวา่ งพลังงาน ความร้อนกับการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร โดยใชค้ าถามดงั น้ี - สารเกิดการเปลย่ี นสถานะได้อยา่ งไร (ความรอ้ น) - เม่อื ให้ความร้อนแก่ของแข็งจะเกิดการเปลยี่ นแปลงอย่างไร (ของแข็งจะใช้ความร้อนในการเปลย่ี นสถานะเปน็ ของเหลว) - เรียกความร้อนทใ่ี ชใ้ นการเปล่ียนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว ว่าอย่างไร (ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลว) - อณุ หภูมิขณะเปลี่ยนสถานะจะคงท่ี เรียกอณุ หภมู ิน้ีวา่ อะไร (จุดหลอมเหลว) - เม่อื ให้ความรอ้ นแก่ของเหลวจะเกดิ การเปลีย่ นแปลงอยา่ งไร (ของเหลวจะใชค้ วามร้อนในการเปลี่ยนสถานะเป็นแกส๊ ) - เรยี กความร้อนทีใ่ ช้ในการเปลย่ี นสถานะจากของเหลวเป็นแก๊สว่า อะไร (ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ) - อณุ หภมู ขิ ณะเปล่ยี นสถานะจะคงท่ี เรยี กอุณหภมู ิน้ีว่าอะไร (จดุ เดอื ด) - เม่อื ทาให้อุณหภมู ิของแกส๊ ลดลงจนถงึ ระดบั หน่งึ แก๊สจะเปล่ยี น สถานะเปน็ ของเหลว เรยี กอุณหภูมิน้วี ่าอะไร (จุดควบแน่น) 222 239
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 12 เรือ่ ง พลังงานความร้อนกบั การเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร 240 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 12 เรเือ่ รง่ือง พสลางัรงแาลนะคสวมาบมตั ริขอ้ อนงกสบั ากรารเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร 240 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 เรื่องราสยาวริชแาละวสม22บ1ตั 0ขิ 1องสาร หกลนุ่มวสยากราะรกเราียรนเรรียู้ทนี่ ร2ู้วิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ - อณุ หภูมิของจุดควบรแรานายย่นววเิชปชิ าน็ าวอวทิยย่า2งา2ไศร1า0ส(ม1ตีอรุณ์ หภูมเิ ดียวกับจดุ เดือด ช้ันมเธัวยลมาศึก2ษาชปั่วีทโม่ี ง1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ของขอ-งอเหุณลหวภนูมั้นิข)องจุดควบแนน่ เป็นอย่างไร (มีอณุ หภมู เิ ดียวกบั จดุ เดือด ของขอ-งเเมหอื่ ลทวานใั้นห)อ้ ุณหภมู ิของของเหลวลดลงจนถงึ ระดบั หนึ่ง ของเหลวจะ เปลีย่ น-สเมถอ่ืานทะาเใปหน็อ้ ขุณอหงภแูมข็งขิ เอรงียขกอองณุ เหหลภวมู ลนิด้วีลา่ งอจะนไถรึงระดับหน่ึง ของเหลวจะ (เจปดุลเ่ียยนอื สกถแาขนง็ ะ) เปน็ ของแขง็ เรียกอุณหภมู ินว้ี า่ อะไร (จุดเยอื กแขง็ ) (จุดเย-ือกอแณุ ขหง็ ภ) มู ขิ องจดุ เยืออกกแแขข็ง็งเเปปน็ น็ ออยย่าา่งงไรไร(มอี ุณหภมู เิ ดียวกับจุด ห(มลีออุณมห-เหภอลณุมู วิเขหดอภียงูมวขกิขอับองแจงจขุดุด็งหนเลยนั้ อื )มกเแหขล็งวเปขอน็ งอขยอา่ งแไรข็งนัน้ ) (มีอุณห- ภควูมาิเดมยีสวัมกพับนั จธดุ ร์ หะหลอว่ามงเพหลงัวงขาอนงคขวอางมแรข้อ็งนก้นั ับ) การเปลี่ยนแปลงสถานะ ของสา-รคเปวา็นมอสยัมา่ พงไันรธ(ร์ เมะหื่อเวพา่ ่ิมงพอลุณงั หงาภนูมคิใหวา้แมกร่ส้อานรสกาบั รกจาะรเกปดิ ลกี่ยานรแเปลยี่งสนถานะ สขอถางสนาะรจเปาน็กอขยอ่างแงไขร็ง(เปมื่อ็นเขพอ่ิมงอเหุณลหวภแมู ลิใะหเ้แปก็นส่ แากรส๊ าตราจมะลเกาดิ ับกาหรเาปกลลยี่ ดน อสถณุ าหนภะมู จิลางกแขกอ๊สงจแะขเกง็ ิดเปกน็ารขสอูญงเหสลียวควแาลมะรเอ้ ปนน็ แแลก้ว๊สเปตลายี่ มนลสาถดาับนหะกากลลับดไปเป็น อขอณุ งหเหภลูมวิลแงลแะกข๊สอจงะแเกขิดง็ ตกามรสลูญาดเบัสยี) ความร้อนแลว้ เปลี่ยนสถานะกลบั ไปเปน็ ของเหลวและของแขง็ ตามลาดบั ) 223240 240
241 224 241 การวัดและประเมินผล ส่ิงท่ตี ้องการวดั /ประเมนิ วิธกี าร เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ เกณฑ์ ดา้ นความรู้ ตรวจใบกจิ กรรม ใบกิจกรรม นกั เรยี นผ่านไม่น้อยกว่า อธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง รอ้ ยละ 70 พลังงานความร้อนกบั การ กเปาลรเย่ี ปนลแย่ี ปนลแงปสลถางสนถะาขนอะงสขาอรงสาร ดา้ นทักษะ/กระบวนการ - ประเมินทกั ษะ - แบบประเมินทักษะ นักเรียนผา่ นไมน่ ้อยกวา่ ทดลองตรวจสอบจดุ กระบวนการ กระบวนการ ร้อยละ 70 หลอมเหลวของน้าแข็งและจุด - ประเมนิ การ - แบบประเมินการ เดือดของน้า นาเสนอข้อมลู การ ปฏิบัตกิ ารทดลองทาง กปาฏริบปตัฏกิ ิบาัตริกทาดรลทอดงลอง กเปารลเ่ียปนลแย่ี ปนลแงปอลณุ งหอภุณูมหิขภอูมงนขิ อ้างนํ้า วทิ ยาศาสตร์ ทางวทิ ยาศาสตร์ ขณะท่ีไดร้ ับความร้อน ด้านคณุ ลกั ษณะ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมิน ผ่านระดบั ดีขึ้นไป ใฝเ่ รียนรแู้ ละการม่งุ ม่นั ใน คณุ ลักษณะ/เจตคติ การทางาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
Pages: