42 25 42 การวัดและประเมินผล วธิ ีการ เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ เกณฑ์ ส่ิงทตี่ ้องการวดั /ประเมนิ สังเกตพฤติกรรม แบบสังเกต ผ่านเกณฑร์ ะดับดีขนึ้ ไป ด้านความรู้ พฤติกรรม 1. อธิบายขั้นตอนและ ประเมินทักษะ ผ่านเกณฑ์ระดบั ดีขึ้นไป กระบวนการหาความรกู้ ารแก้ปัญหา กระบวนการ แบบประเมินทักษะ ผ่านเกณฑร์ ะดับดีขึ้นไป ของนักวทิ ยาศาสตร์ ประเมิน กระบวนการ 2. อธบิ ายการใช้กระบวนการทาง คณุ ลักษณะ/เจตคติ แบบประเมนิ วิทยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความรู้ คณุ ลกั ษณะ/เจตคติ ทางวิทยาศาสตร์ (การสังเกต) ดา้ นทกั ษะและกระบวนการ 1. ระบุขอ้ มลู ซงึ่ เปน็ ขอ้ เท็จจริงสง่ิ ท่สี ังเกตได้ ดา้ นคุณลกั ษณะ 1. ตระหนกั ถึงความสาคัญของ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
43 26 43 8. บันทึกผลหลงั สอน ผลการเรียนรู้ ............................................................................................................................. .............................. ปญั หาและอุปสรรค .......................................................................................................................... ............................... ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข ........................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ......................................ผ้สู อน (.............................................) วนั ที่..........เดือน..........พ.ศ............. 9. ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ ารหรือผู้ทไ่ี ด้รับมอบหมาย ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ ......................................ผู้ตรวจ (............................................) วันท่ี..........เดอื น..........พ.ศ.............
44 27 44 ใบกจิ กรรมที่ 3 เร่อื ง เรอื่ ง สังเกตอะไรไดบ้ า้ ง หนว่ ยที่ 1 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รายวิชา วิทยราาศยาวสิชตาร์พวน้ืทิ ฐยาานศาสรหตัสร์ วร2ห1สั 1ว0ชิ1า ภวา2ค1เ1ร0ีย1นทภ่ี 1าคชเร้นั ียมนัธทยี่ ม1ศกึ ชษ้ันามปัธีทยี่ ม1ศปึกรษับาปเนีทอ้ื ่ี ห1า ให้ถกู ต้อง คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นสังเกตวตั ถตุ วั อยา่ งแล้วปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอนตอ่ ไปนี้ วตั ถุตวั อยา่ ง คือ ............................................................................................................................. .............................. 1) สงั เกตวตั ถตุ วั อยา่ งและเก็บขอ้ มูลให้ไดม้ ากท่สี ุด ภายในเวลาท่ีกาหนด ไม่ควรเกิน 2 นาที 2) จัดกระทาข้อมูลที่ได้จากการสังเกตในข้อ 1 โดยสร้างเกณฑ์ขึน้ เองภายในกลุม่ 3) จากข้อมลู ทีไ่ ด้จากการสงั เกตในข้อ 1 ให้จาแนกข้อมูลโดยใชเ้ กณฑ์ประสาทสัมผัสด้านต่างๆ บันทกึ สง่ิ ท่ีได้จากการสงั เกต
45 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 เรือ่ ง กระบวนการวิทยาศาสตร(์ ต่อ) หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรื่อง เรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไร เวลา 2 ช่ัวโมง รายรวาิชยาวชิ วาิทยวาิทศยาาสศตารพ์สตนื้ รฐ์าน กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 ขอบเขตเนื้อหา กิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ 1. ขั้นตอนและกระบวนการหา ข้นั สอน 1. บัตรภาพผเี สื้อเกาะพน้ื ดิน ความรู้ การแกป้ ัญหาของ 1. นกั เรียนสังเกตภาพผเี สอ้ื แลว้ รว่ มกันอภปิ รายโดยครูใช้คาถามนาใน 2. ใบกิจกรรมท่ี 4 เร่ือง กิจกรรมการศึกษา นกั วิทยาศาสตร์ การใช้กระบวนการ ประเด็นต่อไปนี้ พฤติกรรมของลูกยางนากระดาษ ทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ 1) นกั เรยี นคิดวา่ กระบวนการหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์เริ่มต้นจากสิ่ง ภาระงาน/ชน้ิ งาน ทางวิทยาศาสตร์ กาหนดปัญหาหรอื สิ่ง ใด (นักเรียนชว่ ยกนั ตอบคาถามวา่ เรมิ่ ต้นจากการสงั เกต ระบุปัญหา) ใบกิจกรรมที่ 4 เรื่อง กิจกรรมการศึกษาพฤติกรรม ท่ีสงสัย จากส่ิงทต่ี นสังเกต 2) ครใู ห้นกั เรยี นสังเกตภาพผีเส้ือหลากหลายชนดิ เกาะบนพ้ืนดิน เม่ือ ของลกู ยางนากระดาษ การตงั้ สมมตฐิ านและการทดลอง ดูภาพแล้วนกั เรียนเกิดขอ้ สงสัยหรอื มีคาถามอะไรบ้าง ให้นักเรยี นแต่ละกลุ่ม สรปุ ผล ระดมความคดิ ช่วยกนั ต้ังคาถามหรือขอ้ สงสัยจากภาพ เช่น จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ 1. อธบิ ายความหมายของสมมติฐาน และบอกลักษณะของสมมติฐานที่ดี 2. อธิบายวิธีการแก้ปัญหา การ ทดลองและสรุปผลการทดลอง ภาพที่ 1.3.1 ผีเสือ้ หลากหลายชนิดเกาะบนพ้นื ดนิ 28 45
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 3 เรื่อง กระบวนการวิทยาศาสตร์(ต่อ) 46 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่ือง เรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร เวลา 2 ชัว่ โมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 รายรวาิชยาวชิวาิทยวาิทศยาสาศตรา์พสื้นตฐรา์ น (ทาไมผีเสือ้ จงึ มาเกาะท่ีพน้ื ดินแทนทีจ่ ะเกาะบนดอกไม้, พื้นดินมสี ่งิ ใดท่ีทาให้ ดา้ นทักษะและกระบวนการ ผีเส้ือมาเกาะแทนท่จี ะไปเกาะบนดอกไม้, ทาไมผีเสื้อสีเดียวกนั จึงเกาะอยู่ 1. ออกแบบการทดลองสรุปผลการ ด้วยกันไมม่ ีการเกาะสลบั กันระหวา่ งผีเส้อื ต่างสี) ทดลอง 2. จากนน้ั ร่วมกนั ต้ังคาถามจากรปู ภาพแล้วครกู ับนักเรียนรว่ มกันอภิปราย 2. ตัง้ สมมติฐานที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ว่าการต้ังคาถามท่ีหลากหลายจากการสังเกต บางคาถามสามารถ สามารถออกแบบตรวจสอบสมมตฐิ าน หาคาตอบได้ด้วยวิธีการที่ไม่ยากหรือซับซ้อนจนเกินไปนัก แต่บางคาถาม 3. สร้างคาอธบิ ายจากข้อมูลทไ่ี ด้ นักเรียนพบว่าไม่อาจใช้วิธีการง่ายๆ ในการหาคาตอบต้องใช้ความรู้และ จากการทดลอง เคร่ืองมอื ทีเ่ หมาะสมในการตรวจสอบหรอื หาคาตอบ ซ่ึงการสังเกตที่ดีนาไปสู่ ด้านคุณลกั ษณะ การต้ังคาถาม/ปัญหาท่ีชัดเจน และที่สาคัญจะต้องแยกให้ได้ระหว่างปัญหา 1. เหน็ คุณคา่ และนากระบวนการ และสาเหตขุ องปญั หา วทิ ยาศาสตร์ไปใช้ในการหาความรู้ทาง 3. ครูถามคาถามต่อไปว่าหลังจากการได้คาถามหรือปัญหาจากการสังเกต วทิ ยาศาสตร์ แล้วนักเรียนจะมีแนวทางในการดาเนินการแก้ปัญหาหรือหาคาตอบของ คาถามอยา่ งไร ขน้ั สอน 1. นักเรียนแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 6-7 คน โดยคละเพศและความสามารถ ทางการเรยี นโดยแบ่งหน้าที่ความรบั ผดิ ชอบ 2. ครใู หน้ ักเรียนดูคลิป เรอ่ื งการเล่นลูกยางนา จาก 29 46
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 3 เร่อื ง กระบวนการวิทยาศาสตร(์ ต่อ) 47 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ เรอื่ ง เรียนร้วู ิทยาศาสตรอ์ ย่างไร เวลา 2 ชั่วโมง รายรวาิชยาวิชวาิทวยิทาศยาาสศตารส์พตื้นรฐ์ าน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 https://goo.gl/RYqziM (ใช้เวลา 48 วินาที) จากน้นั นักเรียนตอบคาถาม เพือ่ เชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมการทดลอง ในประเดน็ คาถามต่อไปนี้ 1) จากคลปิ นักเรียนคิดวา่ ลูกยางนามีลกั ษณะการตกเป็นอยา่ งไร ใช้ ระยะเวลาในการตกเท่ากันหรือไม่ (ลกั ษณะการตกของลกู ยางนา จะเปน็ ลักษณะการหมุน ซง่ึ แต่ละลกู ใช้เวลาในการตกไม่เท่ากนั ซ่ึงการที่ลูกยางใช้ เวลาในการตกถึงพ้ืนนาน โอกาสท่ีจะตกได้ไกลจากตน้ แม่ก็จะสงู ) 2) นกั เรียนคิดว่าการตกของลูกยางนามีประโยชน์ในการกระจายพันธ์ุ อย่างไร (ถา้ ลกู ยางนาตกได้ไกลจากต้น เป็นการ โอกาสทจี่ ะมกี ารกระจาย พนั ธุ์ได้มากขน้ึ ) 3) นักเรียนคิดว่ามีสาเหตุใดบ้างท่ีมีผลต่อการตกของลูกยางนาใน ธรรมชาติ (ลม ขนาดของลูกยางนา ขนาดของปีก ของลูกยางนา เป็นตน้ ) 3. ครูให้นักเรียนดูภาพลูกยางนากระดาษ เพื่อนานักเรียนเข้าสู่กิจกรรม การศึกษาพฤติกรรมของลูกยางนา ภาพที่ 1.3.2 ลูกยางนากระดาษ 30 47
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรอื่ ง กระบวนการวิทยาศาสตร์(ต่อ) 48 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เร่อื ง เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรอ์ ย่างไร เวลา 2 ช่วั โมง รายรวาิชยาวิชวาิทยวาทิ ศยาาสศตารส์พต้นื รฐ์าน ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1 จากนั้นครูถามคาถามเพ่ือเชื่อมโยงให้นักเรียนฝึกการต้ังสมมติฐาน และวิธีการให้ได้มาซึ่งคาตอบ ปัญหา คือ ถ้านักเรียนต้องการสร้างของเล่น โดยเลียนแบบพฤติกรรมการตกของลูกยางนา ให้ตกถึงพ้ืนโดยใช้เวลานาน ที่สดุ จากจดุ ปล่อยท่ีระดับความสูงเดียวกนั ตาแหนง่ เดียวกัน 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา โดยการวิเคราะห์ถึงสาเหตุ ของปัญหาท่ีทาให้ลูกยางกระดาษตกถึงพ้ืนเร็ว ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร (โดย ครอู าจใหน้ กั เรียนวิเคราะหผ์ ่านแผนภมู กิ ้างปลา (Fish-Bone Diagram) เช่น ภาพท่ี 1.3.3 แผผ่านแภผมู นิกภา้ มูงปิกลา้ งาป(ลFาish(F-iBsohn-BeonDeiagDriamgra) m) 5. นักเรยี นออกแบบการทดลองตามที่ไดต้ ั้งสมมติฐานไว้ จากการวเิ คราะห์ สาเหตุของปัญหา วางแผนการทดลองโดยเร่ิมจากการกาหนดตัวแปรท่ีมีการ เปลี่ยนแปลง กาหนดตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงท่ีออกแบบการทดลอง 31 48
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 3 เรื่อง กระบวนการวิทยาศาสตร์(ต่อ) 49 กหลน่มุ่วสยากราะรกเราียรนเรรีย้ทู น่ี ร1วู้ ิทยาศาสตร์ แผนการจัดการเเรรียอื่ นงรเู้ทรีย่ี น3รู้วิทเรยอ่ื างศากสรตะรบ์อวยน่ากงาไรรวิทยาศาสตร(์ ตอ่ ) 49 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง กาหนดวัสดุอุปกรณ์ วิธีเก็บเรรรราา่อื วยยงบรววเราิิชชรวยียาามวนขิชววร้อ้วูิิททามทิยยวูลยาาทิ ศศาศยอาาสสาาอสตตศกตรราแพ์์พรสบอ์ ืน้้นืตบยฐฐรต่าาา์างนนรไรางบันทึกผลสรุป ชัน้ มเัธวยลมาศึก2ษาชปั่วที โม่ี 1ง ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 แกลาหะอนภดปิ วรัสาดยุอผุปลกกราณรท์ ดวิธลีเอกง็บใรนวใบบรกวจิ มกขร้รอมมทูล่ี 4ออกแบบตารางบันทึกผลสรุป และอภปิ รายผลการทดลอง ในใบกจิ กรรมท่ี 4 ขั้นสรปุ ขั้น1ส.รนุปักเรียนร่วมกันอภิปรายและควรสรุปได้ว่า หลังจากการสังเกตแล้วได้ ปัญ1ห. านจักาเกรียนนั้นรต่ว้ังมสกมันมอตภิฐิปานรานยาแไปละสคู่กวารรสสราุปรวไดจ้วต่ารวหจลสังอจบากเกก็บารรวสบังเรกวตมแขล้อ้วมไูลด้ ปแลัญะหสารจุปากผนล้ันกตา้ังรสทมดมลตอิฐงาวน่านเาปไ็ปนสไปู่กาตราสมาสรมวจมตตริฐวาจนสทอี่บตั้เงกไ็บว้รหวรบือรไวมม่ ขค้อรมูใูลห้ คแลวาะมสสรุปาคผัญลกกัาบรททุกดๆลอคงาวต่าอเบป็นขอไปงนตัากมเรสียมนมแตลิฐะานนาทก่ีตา้ังรไอวภ้หิปรือราไมย่ใคหร้เูขให้า้ แคนววาคมวสาามคคัญิดหกลับกั ททุกว่ี ่าๆ คาตอบของนักเรียนและนาการอภิปรายให้เข้า แนวความ-คกดิ หารลสกั ัทงเี่วก่าตที่ดีนาไปสู่การตั้งคาถาม/ปัญหาที่ชัดเจนและ กระบวนก- ากรใานรกสาั งรเแกกต้ปทัญ่ี ดหี นาหา ไรปือ สหู่ กาาคราตตอ้ั งบคใานถสาิ่งมที่น/ปักั ญเรีหยนาสทงี่ ชสั ดัยอเ จยน่างแเปล็นะ รกะรบะบบวนการในการแก้ปัญหาหรือ หาคาตอบในสิ่งท่ีนักเรียนสงสัยอย่างเป็น ระบบ - การต้ังสมมตฐิ านเป็นการตั้งคาอธิบายไว้ล่วงหนา้ เปน็ แนวทางการ กทาดรสทอดบลหอ-รงอืกหพารริสอื ตูจพ้ังนิสส์เูจมพนม่อื ์เตหพฐิาอ่ื าคหนาาเตปคอ็น�ำบตกขอาอรบงตปขั้งอญั คงาหปอาญั ธิบหาายไว้ล่วงหนา้ เปน็ แนวทางการ ทดสอบห-รอืกพารสิ สูจานร์เวพจ่ือหตารควาจตสออบบขแอลงะปทัญดหลาองหรือการเก็บข้อมูล การทาการ กทาดรลทอำ� งลเอพ-ง่ือเกพาอื่ิสรพูจสสินาจูร์สวนมจส์มมตตมิฐรตาวฐินจาสวน่าอวจบา่ รแจิงลรหงิะรหทือรดไอื มลไ่มอน่งันกหวกั ริทวือทิยกยาาศารศาเกสา็บสตตขรร์้ตอต์้อมอ้ งูลงววากางางแรแผทผนานโกโดดายรย ทออดกลแอบงเบพกื่อาพรทิสูดจนลอ์สงมวมา่ ตจิฐะาทนดวล่าอจงรอิงยห่ารงือไรไมม่ ีวนสั ักดวุอิทุปยการศณาส์อตะรไร์ตบ้อ้างงวาสง่งิ แใผดนบโ้าดงทยี่ ออกแบบการทดลองวา่ จะทดลองอย่างไร มีวัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง ส่ิงใดบ้างท่ี 32 49 49
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 3 เรอื่ ง กระบวนการวิทยาศาสตร์(ตอ่ ) 50 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง เรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์อยา่ งไร เวลา 2 ชัว่ โมง รายรวาิชยาวชิ วาิทยวาิทศยาาสศตารพ์สตืน้ รฐ์าน ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ต้องเปลี่ยนแปลง เรียกว่าตัวแปรต้น เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไรมีส่ิงใดบ้าง ท่ี ต้องควบคุมให้เหมือนกันหรือเรียกว่าการควบคุมตัวแปร ต้องเป็นการ ทดสอบท่ีเที่ยงตรง (Fair Test) โดยไม่ลาเอียงใช้ความรู้สึกในการบันทึกและ แปลความหมายข้อมลู - ถ้าทาการทดลองหลายๆ คร้ังได้ผลยืนยันเหมือนกันทุกครั้งเราก็ สามารถสร้างคาอธิบายทีเ่ ปน็ เหตุเปน็ ผลและสรปุ เป็นความรู้ใหมไ่ ด้ - ครูนักเรยี นรว่ มกันสรปุ อีกครั้งวา่ กระบวนการในการไดม้ าซ่ึงความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย การต้ังปัญหา การต้ังสมมติฐาน การเก็บ ข้อมลู หรือการทดลอง (เพื่อทดสอบสมมติฐาน) การสรุปข้อมูลเปน็ ความรใู้ หม่ กระบวนการทางานดงั กลา่ วเป็นการเลียนแบบกระบวนการทน่ี ักวทิ ยาศาสตร์ ใช้ในการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการน้ีเรียกว่า กระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ 33 50
51 34 51 การวดั และประเมินผล สิ่งท่ีต้องการวัด/ประเมิน วธิ กี าร เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ เกณฑ์ ด้านความรู้ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสังเกต ผ่านเกณฑ์ระดับดี 1. อธิบายความหมายของสมมติฐาน พฤติกรรม ขึน้ ไป และบอกลกั ษณะของสมมตฐิ านที่ดี 2. อธบิ ายวิธกี ารแก้ปัญหา การ ทกาดรลทอดงแลลอะงสแรลุปะผสลรุปกาผรลทกดาลรอทงดลอง ดา้ นทกั ษะและกระบวนการ - ประเมนิ ทกั ษะ - แบบประเมนิ ทักษะ ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ดี 1. ออกแบบการทดลองสรุปผลการ กระบวนการ กระบวนการ ขน้ึ ไป กทาดรลทอดงลอง - ประเมินการ - แบบประเมินการ 2. ต้งั สมมตฐิ านทเี่ หมาะสม ปฏบิ ัตกิ ารทดลอง ปฏิบัติการทดลอง สามารถออกแบบตรวจสอบสมมตฐิ าน ทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ 3. สรา้ งคาอธิบายจากข้อมูลที่ได้ จากการทดลอง ด้านคณุ ลักษณะ ประเมนิ แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ระดบั ดี 1. เห็นคุณค่าและนากระบวนการ คณุ ลกั ษณะ/เจต คณุ ลักษณะ/เจตคติ ขน้ึ ไป วิทยาศาสตร์ไปใช้ในการหาความรู้ทาง คติ วทิ ยาศาสตร์
52 35 52 8. บันทกึ ผลหลงั สอน ผลการเรยี นรู้ ............................................................................................................................. ............................................... ปัญหาและอุปสรรค .............................................................................................................................................................................. ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข ............................................................................................................................................................................. ลงชือ่ ......................................ผสู้ อน (............................................) วนั ท.ี่ .........เดอื น..........พ.ศ............. 9. ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหารหรอื ผทู้ ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย ........................................................................................................................................................... ลงช่ือ ......................................ผตู้ รวจ (.........................................) วันท.ี่ .........เดอื น..........พ.ศ............. บตั รภาพผเี ส้ือเกาะพนื้ ดิน ภาพท่ี 1.3.4 ผเี ส้อื เกาะพื้นดิน
53 36 53 ใบกจิ กรรมท่ี 4 เรอ่ื ง กิจกรรมการศึกษาพฤตกิ รรมของลูกยางนากระดาษ หนว่ ยที่ 1 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 3 เรอ่ื ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์(ต่อ) รารยาวยิชวาชิ าววิทิทยยาาศศาาสสตตรร์พรน้ื หฐสัานวชิ ราหวัส2ว121101101ภาภคาคเรเียรยีนนทท่ี ี่11 ชชั้นมธั ยมมศศกึ กึ ษษาาปปีทีที่ 1ี่ 1 พฤตกิ รรมของลูกยางนากระดาษ ภาพท่ี 1.3.5 พฤติกรรมของลูกยางนากระดาษ ที่มา : หนังสอื เรยี นรายวิชาวิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน สสวท. วสั ดุ/อุปกรณ์ 1. กระดาษสาหรบั ทาใบพัด ขนาดและความหนาต่างๆ กนั จานวน 5 แผน่ 2. คลปิ (ลวดเสยี บ) 1 กลอ่ ง 3. .................................................................................. 4. .................................................................................. 5...................................................................................
54 37 54 1. ปัญหาทต่ี อ้ งการศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. ......................................................................................................................................................... ..................... 2. สมมติฐาน ................................................................................................ .............................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................... ............................................... 3. ตัวแปรทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 3.1 ตัวแปรต้น ...................................................................................................................................................................... ........ ........................................................................................................................... ................................................... 3.2 ตัวแปรตาม ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................ ...................................... 3.3 ตัวแปรควบคมุ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. ออกแบบวิธีการทดลอง ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. ............................................................................. .............................................................................
38 55 55 5. ตารางบนั ทึกผลการทดลอง 6. อภปิ รายและสรุปผลการทดลอง
56 แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 4 เร่อื ง ลกั ษณะสาคัญของนกั วิทยาศาสตร์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรื่อง เรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์อยา่ งไร เวลา 2 ชว่ั โมง รายรวาชิ ยาวชิ วาิทยวาิทศยาาสศตารส์พตน้ื รฐ์ าน กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ขอบเขตเนอื้ หา กจิ กรรมการเรยี นรู้ สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ 1. ลกั ษณะสาคัญของนักวิทยาศาสตร์ ข้ันนา 1. ภาพของนกั วิทยาศาสตร์ ตัวอย่างผลงานและวธิ กี ารทางานของ 1. ครทู บทวนความรเู้ ดิมของนักเรียน 2. กิจกรรม((SSnnaappsshhoott AAccttiivviittyy) นกั วิทยาศาสตร์ 2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ โดยให้ 3. ใบความรู้ท่ี 2 เร่อื ง ลักษณะ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ นักเรียนร่วมกันทากิจกรรม(S(SnnaappsshhoottAAccttivivitityy)) คือการวาดภาพส่ิงท่ีจดจาได้ในหัว สาคญั ของนกั วิทยาศาสตร์ ดา้ นความรู้ คร้ังแรก โดย ภาระงาน/ช้นิ งาน 1.อธิบายลักษณะสาคัญของ 1) ครูแจกกระดาษขนาด A4 คนละ 1 แผ่น แล้วพับแบ่งกระดาษ ออกเป็น 4 1. ใบกจิ กรรมท่ี 1 และ 2 นกั วิทยาศาสตร์ได้ สว่ น ทเ่ี ท่ากนั แล้ว เขยี นหมายเลขกากับดังภาพ ด้านทกั ษะและกระบวนการ 1. ยกตวั อยา่ งผลงานและวิธกี ารทางาน ของนักวิทยาศาสตร์ ดา้ นคณุ ลกั ษณะ 1. เหน็ คุณค่าและนากระบวนการ วิทยาศาสตร์ไปใชใ้ นการหาความรทู้ าง 2) ให้นักเรียนทุกคนหลับตา แล้วคอยฟังคาสาคัญจากครู (ในข้ันตอนนี้ให้ วทิ ยาศาสตร์ นกั เรียนทุกคนงดใช้เสียง จนกว่าครูจะอนุญาต) หลังจากท่ีทุกคนหลับตา ครูพูดคาว่า บ้าน จากนั้นให้นักเรียนลืมตาแล้ววาดภาพบ้านในกระดาษช่องที่ 1 ให้แล้วเสร็จใน เวลา 2 นาที จากนั้นใหน้ ักเรียนหลบั ตาอีกครง้ั แล้วครูพูดว่า ไดโนเสาร์ ให้นกั เรียน 39 56
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4 เร่ือง ลกั ษณะสาคญั ของนกั วิทยาศาสตร์ 57 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่อื ง เรียนรู้วทิ ยาศาสตร์อย่างไร เวลา 2 ชั่วโมง รายรวาิชยาวิชวทิายวาิทศยาสาตศรา์พสืน้ตฐรา์ น ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ลืมตา แล้ววาดภาพ ไดโนเสาร์ ในช่องท่ี 2 ให้แลว้ เสรจ็ ภายใน 2 นาที แลว้ ใหน้ กั เรยี น ทาเหมอื นเดมิ แต่ครเู ปลี่ยนคาสาคัญเป็น เกษตรกร และ เศรษฐี ตามลาดับ 3) ให้นักเรียนนาเสนอภาพของตัวเองภายในกลุ่มให้เพ่ือนเห็น หรือ ครูสุ่ม ตวั อย่างนกั เรียนนาเสนอภาพของตัวเองหน้าชั้น 4) ครอู ธิบายเพิม่ เตมิ เพื่อสรปุ สิง่ ทน่ี ักเรยี นทากจิ กรรม นั่นคือการวาดภาพที่ ปรากฏจากคาสาคัญที่ไดย้ ิน เปน็ ครัง้ แรกภายในเวลาทก่ี าหนด ซ่งึ เปน็ การแสดงออก ของตัวแทนความคดิ จากภาพที่ปรากฏข้ึนในหัวของนกั เรียนเป็นคร้งั แรก ซึ่งนักเรยี น แตล่ ะคนอาจนาเสนอออกมาเปน็ ภาพได้ไม่เหมือนกนั ถึงแม้จะมาจากคาศัพท์เดียวกนั เช่น บา้ นบางคนอาจจะคิดวา่ มีเสา บ้านบางคนไมม่ ีหลงั คา หรอื ไดโนเสารบ์ างคนคอ สน้ั บางคนคอยาว เปน็ ต้น ข้ันสอน 1. ครูเชื่อมโยงกิจกรรมเข้าสู่ลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนพลิก กระดาษแผ่นเดิม ด้านที่ว่าง ให้นักเรียนหลับตา แล้วครูพูดคาสาคัญ ว่า “นักวิทยาศาสตร์” จากน้ันให้นักเรียนลืมตาแล้ววาดภาพ นักวิทยาศาสตร์ ตามท่ี นักเรยี นเขา้ ใจ เต็มแผ่นกระดาษ A4 2. นักเรยี นและครรู ่วมกันอภิปราย โดยใหน้ ักเรียนพจิ ารณาตามแบบวิเคราะหภ์ าพ ทค่ี รแู จกใหใ้ นประเดน็ ต่อไปน้ี 40 57
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 4 เร่ือง ลักษณะสาคญั ของนกั วทิ ยาศาสตร์ 58 กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ เรื่อง เรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร เวลา 2 ชั่วโมง รายรวาชิ ยาวชิ วาทิ ยวาทิ ศยาาสศตารพ์สตื้นรฐ์าน ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 2.1) เพศ 2.2) เชือ้ ชาติ 2.3) ลกั ษณะทางกายท่ีปรากฏ (ทรงผม, สีหนา้ , ทา่ ทาง ฯลฯ) 2.4) ชดุ ท่ีสวมใส่ 2.5) อุปกรณ์ประกอบ (แวน่ ตา, แว่นตานิรภยั , เครื่องมอื ทดลอง, สตั วท์ ดลอง) จากนน้ั ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย แต่ละประเดน็ ซ่ึงควรจะสรุปไดด้ ังนี้ - เพศ นกั เรียนควรเขา้ ใจไดว้ ่า ทุกเพศสามารถทจี่ ะนักวิทยาศาสตร์ได้ โดย ไม่จากัดเพศ - เชอ้ื ชาติ จากคาตอบนกั เรยี น ทุกคน ทุกเชอื้ ชาตสิ ามารถทจ่ี ะเปน็ นกั วทิ ยาศาสตร์ได้ - ลักษณะทางกายท่ีปรากฏ นักวิทยาศาสตร์ไม่จาเป็นที่จะต้องทาตัวเคร่ง ขขรรึมึมทท�ำาตตวั ัวสสบบาายยๆๆกไ็ ดด้ ้ ผมสั้น ผมยาว ได้หมด สหี นา้ ทา่ ทาง ไมจ่ าเป็นต้องเครยี ด - การแต่งกาย นักวิทยาศาสตร์ไม่จาเป็นต้องแต่งกายใส่ชุดกราวด์ ใส่แว่น หนาๆ สามารถทีจ่ ะใสก่ างเกงขาส้นั เส้ือยืด กเ็ ปน็ นักวิทยาศาสตร์ได้ ดงั ภาพ 41 58
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4 เร่อื ง ลักษณะสาคญั ของนักวทิ ยาศาสตร์ 59 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ เรือ่ ง เรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร เวลา 2 ช่ัวโมง รายรวาชิ ยาวิชวาิทยวาทิ ศยาาสศตารส์พตนื้ รฐ์ าน ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาพที่ 1.4.1 นักวทิ ยาศาสตร์ ท่ีมา : เอกสารประกอบการอบรม ของ ดร.สทุ ธิดา จารัส (2555) สถาบันวทิ ยาศาสตร์ สพฐ. - อุปกรณ์ประกอบ (แวน่ ตา, แวน่ ตานิรภยั , เคร่ืองมือทดลอง, สตั ว์ทดลอง,) นักวิทยาศาสตร์ไม่จาเปน็ ต้องอยู่ในหอ้ งทดลอง อยู่กบั สตั วท์ ดลอง นกั วิทยาศาสตร์ สามารถอยู่ได้ในทุกๆ ที่ ตามความเหมาะสม ขั้นสรุป 1. ครูเช่ือมโยงจากกิจกรรมลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนร่วมกัน อภิปรายเก่ียวกับภาพนักวิทยาศาสตร์สาคัญของโลกและของไทย แล้วถามคาถาม ต่อไปนี้ 42 59
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 4 เรือ่ ง ลักษณะสาคญั ของนักวิทยาศาสตร์ 60 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่อื ง เรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์อย่างไร เวลา 2 ชั่วโมง รายรวาชิ ยาวิชวาิทยวาิทศยาาสศตารส์พตนื้ รฐ์ าน ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 รัชกาลที่ 4 บดิ าแหง่ วิทยาศาสตร์ไทย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ภาพท่ี 1.4.2 นกั วิทยาศาสตร์ไทย ภาพที่ 1.4.3 นกั วทิ ยาศาสตรต์ ่างประเทศ 43 60
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 4 เรือ่ ง ลักษณะสาคัญของนกั วทิ ยาศาสตร์ 61 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่อื ง เรียนรวู้ ิทยาศาสตรอ์ ยา่ งไร รายรวาชิ ยาวชิ วาทิ ยวาทิ ศยาาสศตารสพ์ ตน้ื รฐ์ าน เวลา 2 ชวั่ โมง ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 1) จากภาพนักเรียนคิดรู้จักใครบ้าง จากภาพท่ีเห็น (รัชกาลท่ี 4 บิดาแห่ง วิทยาศาสตร์ไทย อริสโตเติล อาร์คิมิดีส ชาลส์ ดาร์วิน หลุยส์ ปาสเตอร์ ทอมัส เอดิสนั มารี คูรี กาลิเลโอ กาลิเลอี อลั เบริ ์ต ไอนส์ ไตน์ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ดร.อา จอง ชมุ สาย ณ อยธุ ยา ) 2) ครูนาเสนอภาพจาลองของ นิวตัน นั่งใต้ต้นแอปเป้ิล แล้วอธิบายเช่ือมโยง เกี่ยวกับลักษณะสาคัญของนักวิทยาศาสตรท์ ส่ี าคัญของโลก ภาพที่ 1.4.4 นิวตนั นง่ั ใตต้ น้ แอปเป้ิล เช่น เซอร์ ไอแซก นิวตัน (คศ.1642-1727) สงสัยว่าเวลาลูกแอปเป้ิล หลน่ จากตน้ ทาไมจึงต้องตกลงส่พู ้ืนดินเสมอ ทาไมจึงไม่ลอยไปในอากาศความสงสัย ดังกล่าวนาไปสู่การค้นพบ ความรู้เร่ืองแรงโน้มถ่วงหรือแรงดึงดูดของโลกที่กระทาต่อ 44 61
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 4 เรอ่ื ง ลักษณะสาคัญของนักวิทยาศาสตร์ 62 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง เรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์อย่างไร เวลา 2 ช่วั โมง รายรวาชิ ยาวิชวิทายวาิทศยาสาตศรา์พส้นืตฐรา์ น ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 วัตถุซ่ึงต่อมาได้ตั้งเป็นกฎเรียกว่ากฎแรงโน้มถ่วงหรือกฎแรงดึงดูดระหว่างมวล หรือ ทอมัส อัลวา เอดิสันท่ีได้ประดิษฐ์ส่ิงประดษิ ฐ์ท่ีเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย เช่น หลอดไฟ ภาพยนตร์ ด้วยความมานะอดทน รวมถึงประวตั ิของนักวิทยาศาสตร์ไทย เชน่ รัชกาลท่ี 4 ทพ่ี ยากรณ์สุริยปุ ราคาเตม็ ดวง ณ หวา้ กอ จงั หวัดประจวบคีรีขนั ธ์ วันท่ี 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับลักษณะ การทางานของนักวิทยาศาสตร์ 2. นักเรยี นและครูรว่ มกนั อภิปรายควรสรุปได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ - เป็นคนช่างคิด ช่างสงสัย อยากรู้อยากเห็นเป็นลักษณะที่นาไปสู่การตั้ง ปัญหาหรือการตั้งคาถามและศึกษาค้นคว้าเพื่อหาคาตอบ จนนาไปสู่การค้นพบ ใหม่ๆ เพราะการสังเกตเพียงอย่างเดียว ไม่ช่วยให้ได้ความรู้เพ่มิ เติมได้ตลอดไป - เป็นคนมีเหตุผล เป็นลักษณะอย่างหน่ึงของนักวิทยาศาสตร์ เน่ืองจาก นักวิทยาศาสตร์เชอ่ื ว่า “เม่ือมีผลหรือส่ิงใดสิ่งหน่ึงเกิดข้ึนย่อมต้องมสี าเหตุที่ทาให้เกิด เสมอ” ดังนนั้ นักวทิ ยาศาสตร์จงึ พยายามหาคาตอบของปญั หา โดยรวบรวมขอ้ มูลและ ทาการทดลอง รวมทัง้ สรปุ อย่างมีเหตผุ ล - เป็นคนมีความพยายามและอดทน เป็นลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ที่สาคัญ อีกข้อหน่ึง โดยเราจะเห็นว่าการท่ีนักวิทยาศาสตร์จะได้มาซ่ึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 45 62
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 4 เร่อื ง ลักษณะสาคญั ของนกั วิทยาศาสตร์ 63 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ เร่ือง เรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรอ์ ย่างไร เวลา 2 ชั่วโมง รายรวาิชยาวิชวาทิ ยวาิทศยาาสศตารพ์สต้ืนรฐ์าน ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 นั้น พวกเขาจะต้องพบกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย บางครั้งอาจประสบอุบัติเหตุหรือ ประสบความล้มเหลว แตพ่ วกเขากจ็ ะเริม่ ตน้ ศึกษาใหมจ่ นกระทั่งประสบความสาเร็จ 3. ครูแจกกระดาษ A4 แผ่นใหม่ใหน้ ักเรียนวาดภาพ ถ้านกั เรียนเป็นนักวทิ ยาศาสตร์ นักเรียนจะมลี ักษณะเป็นอยา่ งไร 46 63
64 47 64 การวดั และประเมินผล วิธีการ เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ เกณฑ์ สิ่งท่ีต้องการวัด/ประเมนิ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสงั เกต ผ่านเกณฑร์ ะดบั ดีขึ้นไป ด้านความรู้ พฤติกรรม ประเมินทักษะ 1.อธิบายลกั ษณะสาคญั กระบวนการ แบบประเมินทักษะ ผา่ นเกณฑ์ระดบั ดีขน้ึ ไป ของนักวิทยาศาสตร์ได้ กระบวนการ ประเมินคุณลกั ษณะ/ ดา้ นทักษะและกระบวนการ เจตคติ แบบประเมิน ผ่านเกณฑร์ ะดบั ดีขึ้นไป 1. ยกตัวอย่างผลงานและ คณุ ลกั ษณะ/เจตคติ วธิ ีการทางานของ นักวิทยาศาสตร์ ด้านคณุ ลกั ษณะ 1. เหน็ คณุ ค่าและนา กระบวนการวิทยาศาสตร์ไป ใช้ในการหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์
65 48 65 8. บันทึกผลหลงั สอน ผลการเรียนรู้ ................................................................................................................ .............................................................. ปญั หาและอุปสรรค ............................................................................................................................. ............................................... ข้อเสนอแนะและแนวทางแกไ้ ข .................................................................................................................................. ......................................... ลงชือ่ ......................................ผสู้ อน (........................................) วนั ท.่ี .........เดอื น..........พ.ศ............. 9. ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้บริหารหรือผ้ทู ่ไี ดร้ ับมอบหมาย ........................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ......................................ผู้ตรวจ (.........................................) วนั ท่.ี .........เดือน..........พ.ศ.............
49 66 66 ภาพที่ 1.4.5 นกั วทิ ยาศาสตร์ รชั กาลท่ี 4 บิดาแหง่ วทิ ยาศาสตร์ไทย
50 67 67 ศ.นพ.ประเวศ วะสี ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยธุ ยา ภาพท่ี 1.4.6 นักวิทยาศาสตรไ์ ทย ภาพนกั วิทยาศาสตร์ตา่ งประเทศ ภาพที่ 1.4.7 นักวทิ ยาศาสตร์ต่างประเทศ
68 51 68 ใบความรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง ลกั ษณะสาคญั ของนักวิทยาศาสตร์ หน่วยท่ี 1 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 4 เรือ่ ง ลกั ษณะสาคัญของนกั วทิ ยาศาสตร์ รารยายววชิ ิชาาววิทิทยยาาศาสตร์พืน้รฐหาัสนวชิ ราหสัว2ว12101101 ภภาาคคเเรรยี ียนนที่ 1 ช้นันมมัธธั ยยมมศศึกึกษษาปาปีท่ีท1่ี 1 การดารงชีวิตของมนุษย์ในทุกวันนี้ได้รับความสะดวกสบายต่างๆ มากมาย เช่น ไม่ต้องเดินทางไปหา เพื่อนไกลๆ เพื่อถามข่าวคราวจากเพื่อน เพียงใช้โทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตก็สามารถติดต่อกับเพื่อนได้ นอกจากนี้ยังมีเคร่อื งอานวยความสะดวกอื่นๆ ทง้ั ในบ้านและนอกบ้าน เช่น ตเู้ ย็น โทรทัศน์ วทิ ยุ คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองบิน ดาวเทียม นักเรียนคิดว่าส่ิงอานวยความสะดวกหรือความรู้ต่างๆ เหล่าน้ี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบมา ได้อย่างไร และนักวิทยาศาสตร์มีลักษณะนิสยั แตกต่างไปจากบุคคลอาชีพอ่ืนหรือไม่ อย่างไร (พรเทพ จันทรา อุกฤษฎ์,2549) ลักษณะของนักวทิ ยาศาสตร์ ได้แก่ 1) เปน็ คนช่างสังเกต 2) เป็นคนช่างคดิ ช่างสงสยั 3) เปน็ คนมเี หตุมีผล 4) เป็นคนมคี วามพยายามและอดทน 5) เปน็ คนมีความคดิ รเิ ริ่ม 6) เป็นคนทางานอย่างมรี ะบบ 1) การเป็นคนช่างสงั เกต การสังเกต หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหน่ึง หรือประสาทสัมผัสท้ัง 5 คือ ตา หู จมูก ปาก และกาย เข้าไปสารวจวัตถุ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ใส่หรือเพิ่ม ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไป เช่น ในขณะจุดเทียนไข เด็กชายธาวิต บันทึกว่าผลการสังเกตคือ “มีแก๊ส เกิดข้ึน” ข้อความนี้จัดเป็นการสังเกต แต่ถ้าเขาบันทึกว่า “มีแก๊สเกิดขึ้นและแก๊สน้ันเป็นแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์” ข้อบันทึกนี้ไม่จัดเป็นการสังเกต เพราะเด็กชายธาวิตเพ่ิมเติมความรู้เรื่องแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ ซ่งึ เป็นประสบการณ์เดิมหรอื ความคิดเหน็ ลงไป ภาพท่ี 1.4.8 ประสาทสมั ผัสท้งั 5 (ตา หู จมกู ปาก กายสมั ผสั )
69 52 69 กาลเิ ลโอ มีช่ือเต็มว่า กาลเิ ลโอ กาลิเลอี (Galileo ภาพท่ี 1.4.9 กาลเิ ลโอ กาลเิ ลอี Galilei) เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2107–2185 ได้สังเกตการแกว่งไปมาของโคมไฟใน โบสถ์และจับเวลาในการแกว่งแต่ละรอบ โดยเทียบกับการ เต้นของชีพจรของเขา เขาพบว่าการแกว่งไปมาของโคมไฟ แต่ละรอบใช้เวลาเท่ากัน แม้ว่าช่วงกว้างของการแกว่งจะ ต่างกัน ต่อมาจึงมีผู้นาหลักการนี้ไปประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้ม ขนึ้ อาร์คีมีดิส (Archemedes) ค้นพบวิธีพิสูจน์ความ บริสุทธิ์ของมงกุฎทองคา จากการสังเกตน้าที่ล้นออกจาก ขณะที่เขากาลังอาบน้า ซึ่งนาไปสู่ความรู้เก่ียวกับความ หนาแน่น ความถ่วงจาเพาะ การจมการลอยการหาปริมาตร โดยการแทนที่น้า ภาพที่ 1.4.10 อารค์ ีมดี ิส 2) การเปน็ คนชา่ งคดิ ช่างสงสยั การเป็นคนช่างสงสยั คอื เป็นผู้พยายามมองเหน็ ปัญหาจากการสงั เกตวา่ เกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใด จึงเปน็ เช่นนั้น เช่น มอี ะไรเกิดขนึ้ ทาไมจงึ เกดิ ข้นึ ได้ และเกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร ความสงสัยจะทาใหน้ ักวิทยาศาสตร์ พยายามศกึ ษาค้นคว้าหาเหตุผลด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ซึง่ ทาให้ได้ความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์ เซอร์ ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) เป็น ภาพท่ี 1.4.11 เซอร์ ไอแซก นิวตนั นกั วิทยาศาสตรผ์ ู้มีชอ่ื เสยี งคนหนง่ึ ของอังกฤษ มีชีวติ อยู่ ระหว่าง พ.ศ. 2185 – 2270 นิวตันคน้ พบความรู้ทาง วิทยาศาสตร์มากมาย เช่น ทฤษฎเี ก่ยี วกบั การหกั เหของ แสง กฎการเคลื่อนทีข่ องวัตถุ กฎความโนม้ ถว่ ง คร้งั หนึ่งนวิ ตนั น่งั อย่ใู ตต้ ้นแอปเป้ิล เขาเห็นลกู แอป เป้ิลตกลงสพู่ ื้นดินนวิ ตันเกิดความสงสยั ว่าเม่อื แอปเปลิ้ หลดุ จากต้น ทาไมจึงตกลงสู่พน้ื ไม่ล่องลอยไปในอากาศ ความ สงสยั ดงั กลา่ วทาให้ นิวตนั ศึกษาค้นควา้ หาเหตุผลและ เข้าใจว่า แอปเปลิ้ ตกลงสู่พนื้ ด้วยแรงดงึ ดดู ของโลก และต่อมา ไดส้ รปุ เป็นกฎแรงดึงดูดซ่ึงใชเ้ ปน็ กฎสากล เรยี กวา่ “กฎ แรงดงึ ดดู ระหว่างมวลของนวิ ตนั ”
53 70 70 เซอร์ อเลกซานเดอร์ เฟลมมิ่ง สงสยั วา่ ทาไมแบคทีเรยี ท่มี ีเชอ้ื ราขึ้นอยู่ใกล้ๆ จงึ ตาย หมด ซึ่งนาไปสกู่ ารค้นพบยาเพนนิซิลิน ภาพท่ี 1.4.12 เซอร์ อเลกซานเดอร์ เฟลมมิ่ง 3) การเป็นคนมเี หตผุ ล คนมเี หตผุ ล คือ ผทู้ ีเ่ ช่ือว่าเมื่อมีผลหรอื ส่งิ ใดสิ่งหนึง่ เกดิ ขึ้น ย่อมต้องมสี าเหตุทที่ าใหเ้ กิด นักวทิ ยาศาสตรม์ วี ิธคี น้ คว้าหาความรู้อย่างมเี หตุผล โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 4) การเปน็ คนมีความพยายามและความอดทน ความพยายามและความอดทน เป็นลักษณะสาคัญอีก ประการหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ คือ ความเป็นผู้มีจิตใจแน่วแน่ ไม่ ท้อถอย แม้ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตามก็ยังคงคิดศึกษาอยู่จนพบ ความสาเร็จ ตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ที่มีความพยายามและความอดทน แล้วทาให้ได้ค้นพบความรู้ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อโลก คือ 1) ทอมัส ภาพท่ี 1.4.13 อัลวา เอดิสัน 2) มารี กูรี 3) เจมส์ แบตเชลเลอร์ ซัมเนอร์ เป็นต้น ทอมสั แอลวา เอดสิ นั ท อ มั ส แ อ ล ว า เ อ ดิ สั น (Thomas Alva Edison) เ ป็ น นั ก วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ที่ ย่ิ ง ใ ห ญ่ ข อ ง โ ล ก ผู้ ห นึ่ ง ซ่ึ ง เ ป็ น ผู้ ป ร ะ ดิ ษ ฐ์ หลอดไฟฟ้าท่ีทาให้ทั่วโลกสว่างไสวในยามค่าคืน ในการประดิษฐ์หลอด ไฟฟ้านั้น เขาได้นาวัสดุเกือบทุกอย่างที่พบเห็นมาทดลองทาไส้หลอด ไฟฟา้ เขาคร่าเคร่งทดลองครั้งแลว้ คร้ังเล่า โดยไม่ท้อถอยเป็นเวลานานถึง ปกี ว่าจึงประสบความสาเรจ็ มารี กูรี (Marie Curie) เป็นนักวิทยาศาสตร์ท่ีสาคัญอีกคน หน่ึงได้คน้ พบธาตุเรเดียมซึ่งเปน็ ธาตุที่ใหก้ ัมมันตภาพรังสี โดยใช้เวลานาน ถึงเกือบ 4 ปีในการแยกธาตุน้ี ต่อมาธาตุเรเดียมได้ถูกนาไปใช้อย่างกว่าง ขวางในการรกั ษาโรงบางชนดิ เชน่ มะเร็ง ภาพที่ 1.4.14 มารี กูรี เ จ ม ส์ แ บ ต เ ช ล เ ล อ ร์ ซั ม เ น อ ร์ (James Batcheller Sumner) เป็นนักวิทยาศาสตรช์ าวอเมริกนั ดา้ นชีวเคมี ที่สญู เสียแขนซ้าย ทเ่ี ขาถนดั ไปเน่ืองจากอุบตั ิเหตุ ในปี พ.ศ.2447 แต่เขากย็ ังมีพยายามและ อดทนไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิต พยายามค้นคว้าวิจัยทางด้านชีวเคมีต่อไป จนได้รับรางวลั โนเบล สาขาเคมีร่วมกับนกั วทิ ยาศาสตร์อีก 2 คน ใน พ.ศ. 2489 ภาพที่ 1.4.15 เจมส์ แบตเชลเลอร์ ซัมเนอร์
จนไดร้ ับรางวัลโนเบล สาขาเคมีร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีก 2 คน ใน พ.ศ. เจมส์ แบตเชลเลอร์ ซัมเนอร์ 54 2489 5) การเป็นคนคนทม่ี คี วามคิดริเร่มิ คนท่ีมีความคดิ ริเรมิ่ หมายถงึ ผู้ท่ีมคี วามกลา้ ทจ่ี ะคิด และทาส่ิงทผี่ ิดแปลกไปจากทผ่ี อู้ ื่นคิด หรือทาอย่แู ล้ว โดยเป็นส่ิงทีท่ าใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและส่วนรวม ลกั ษณะการเป็นผมู้ คี วามคิดริเริ่มเป็น ลักษณะสาคญั ของนักวิทยาศาสตร์ เพราะจะทาให้ค้นพบและประดิษฐส์ ิง่ ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ตวั อย่างเช่น เครอ่ื งบนิ ทใ่ี ชป้ ระโยชน์อยู่ทกุ วนั น้ีนัน้ ผลจากความคดิ ริเรมิ่ ของบุคคลต่อไปน้ี โรเจอร์ เบคอน (Roger Bacon) นกั วทิ ยาศาสตร์ชาวอังกฤษ มีความคิดฝันว่ามนษุ ย์นนั้ สามารถทจ่ี ะบินได้ เหมอื นนก ถ้าตดิ ปีกท่ีมรี ปู ร่าง ลกั ษณะคล้ายปีกนก และกระพือปีกได้แบบเดียวกบั นก ต่อมา ลีโอนาโด ดาวิน ซี (Leonardo da Vince) ไดน้ าความคดิ น้ีไปวาดเปน็ ภาพจาลองแบบต่างๆ ของส่งิ ทจี่ ะช่วยใหค้ นบนิ ได้ แตก่ ็ ยังไมม่ ีการสร้างขน้ึ มา จนกระทงั่ เซอร์ ยอรจ์ เคย์ลยี ์ ได้บุกเบิกสร้างเคร่ืองร่อน ภาพที่ 1.4.16 วาดของลโี อนาโด ดาวนิ ซี ภาพที่ 1.4.17 เครอ่ื งร่อน จนถงึ สมัยของ วิลเบอรแ์ ละออร์วิล ไรต์ (Wilbur and Oriville Wright) ซึ่งมีความสนใจใน เร่ืองของการบนิ จึงศกึ ษาข้อมูลเกยี่ วกบั การร่อนและการบิน และไดท้ ดลองสร้างเคร่ืองรอ่ นพร้อมท้ังปรับปรุง ให้ดขี ึน้ จนกลายเป็นเครื่องบิน หลังจากน้นั ได้มผี ู้พฒั นาเคร่ืองบนิ มาโดยตลอดจนไดเ้ คร่ืองบนิ ที่มปี ระสทิ ธภิ าพ มาก ดงั เช่นเคร่ืองบนิ ไอพ่นในปจั จบุ ัน ภาพท่ี 1.4.18 วิลเบอร์ และ ออร์วลิ ไรต์ 6) การเปน็ คนทางานอยา่ งมีระบบ คนทางานอยา่ งมรี ะบบ คอื บุคคลทที่ างานอย่างมีขน้ั ตอนหรือมีระบบการทางานเพือ่ คน้ ควา้ หาความรู้ หรอื เพื่อแกป้ ญั หาตา่ งๆ เรียกขั้นตอนของการทางานว่า วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ซึง่ มขี น้ั ตอน
55 72 72 ดังนี้ 1) ระบปุ ญั หา 2) ตัง้ สมมุติฐาน 3) ทดลอง 4) สรปุ ผล ภาพที่ 1.4.19 ข้นั ตอนของวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์
73 56 73 แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คาชี้แจง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมที่สะท้อนของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แลว้ ขดี ลงในช่องทต่ี รงกบั ระดับคะแนน รายการประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระดบั คะแนน 4321 1.1 การตั้งประเด็นคาถามหรือตวั แปร 1.2 การสร้างสมมตฐิ าน 1.3 การเลือกเทคนิควิธีในการสารวจตรวจสอบ 1.4 การรวบรวมข้อมูลและจัดกระทาข้อมลู 1.5 การวเิ คราะห์และประเมินความสอดคล้องของประจกั ษพ์ ยาน 1.6 การสรา้ งแบบจาลองหรือรูปแบบการอธบิ ายหรือแสดงผลการสารวจ ตรวจสอบ 1.7 การสร้างคาถามท่นี าไปสู่การสารวจตรวจสอบในสถานการณใ์ หม่ 1.8 การบนั ทกึ อธบิ าย และยอมรับผลการสารวจตรวจสอบ 1.9กกาารรแแสสดดงงผผลลงงาานนเขเขยี ียนนหหรอืรอืนนาเำ� สเนสอนผอลผงลางนาน ลงชื่อ...................................................ผ้ปู ระเมนิ ............../.................../............ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 4 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมน้อยครง้ั
74 57 74 แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์และค่านิยม คาชีแ้ จง : ให้ผสู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขีด ลงในช่องทีต่ รงกบั ระดับคะแนน คณุ ลกั ษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน อนั พึงประสงคด์ า้ น 4321 1. ซื่อสตั ย์ สจุ ริต 1.1 ใหข้ ้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 1.2 ปฏบิ ตั ใิ นสง่ิ ทถ่ี กู ต้อง ละอาย และเกรงกลัวทจี่ ะกระทา ความผิด ทาตามสญั ญาทตี่ นให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือ ผูป้ กครอง และครู เปน็ แบบอยา่ งทด่ี ีดา้ นความซอ่ื สตั ย์ 1.3 ปฏบิ ัตติ นตอ่ ผอู้ ื่นดว้ ยความซ่อื ตรง ไม่หาประโยชน์ ในทางที่ไม่ถูกต้องและเปน็ แบบอย่างท่ดี ีแก่เพ่ือนด้านความ ซอื่ สตั ย์ 2. มีวนิ ัย ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของ รับผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรียน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลา ในการปฏิบตั กิ ิจกรรมต่างๆ ในชวี ิตประจาวนั และ รับผิดชอบในการทางาน 3. ใฝเ่ รยี นรู้ 3.1 แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรียนรตู้ า่ งๆ 3.2 มกี ารจดบนั ทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 3.3 สรปุ ความรไู้ ด้อยา่ งมีเหตุผล 4. อย่อู ย่างพอเพยี ง 4.1 ใช้ทรพั ยส์ นิ ของตนเอง เช่น สง่ิ ของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยดั คุม้ ค่า และเกบ็ รกั ษาดแู ลอย่างดี และใช้เวลา อยา่ งเหมาะสม 4.2 ใช้ทรัพยากรของสว่ นรวมอย่างประหยัด ค้มุ คา่ และ เก็บรกั ษาดูแลอย่างดี 4.3 ปฏบิ ัตติ นและตัดสนิ ใจดว้ ยความรอบคอบ มเี หตผุ ล 4.4 ไมเ่ อาเปรยี บผู้อ่ืน และไม่ทาให้ผู้อืน่ เดือดร้อน พร้อมให้ อภยั เม่อื ผู้อ่ืนกระทาผดิ พลาด 4.5 วางแผนการเรยี น การทางานและการใช้ชีวิตประจาวนั บนพื้นฐานของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 4.6 ร้เู ท่าทันการเปลย่ี นแปลง ทางสงั คม และ สภาพแวดลอ้ ม ยอมรบั และปรับตัว อยู่ร่วมกบั ผอู้ ่นื ได้ อยา่ งมีความสขุ
75 58 75 คุณลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน อันพึงประสงค์ดา้ น 4321 5. มงุ่ ม่ันในการ 5.1 มคี วามต้ังใจและพยายามในการทางานทีไ่ ดร้ ับ ทางาน มอบหมาย 5.2 มีความอดทนและไม่ทอ้ แท้ตอ่ อปุ สรรคเพื่อให้งาน สาเร็จ 6. รกั ความเปน็ ไทย 6.1 มจี ติ สานกึ ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 6.2 เห็นคุณคา่ และปฏบิ ตั ติ นตามวฒั นธรรมไทย 7. มีจิตสาธารณะ 7.1 รจู้ ักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทางาน 7.2 อาสาทางาน ชว่ ยคิด ชว่ ยทา และแบ่งปนั ส่ิงของ และ ชว่ ยแก้ปัญหาใหผ้ ู้อื่น 7.3 ดแู ล รักษาทรัพยส์ นิ ของหอ้ งเรียน โรงเรียน ชุมชน 7.4 เข้ารว่ มกจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชนข์ อง โรงเรยี นและชมุ ชน 8. มสี ติรตู้ วั รูค้ ดิ รูท้ า 8.1 มสี ติ รตู้ ัว รูป้ ฏิบตั ติ ามพระราช 8.2 รู้จักคดิ ก่อนพดู ก่อนทา ดารัสของ 8.3 น้อมนาตามพระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระ พระบาทสมเดจ็ พระ เจ้าอยู่หัว มาปฏบิ ตั ิอยา่ งเหมาะสม เจ้าอยหู่ ัว เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมนิ ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ............../.................../............ ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 4 คะแนน ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางคร้งั ให้ 3 คะแนน ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครง้ั ให้ 1 คะแนน
76 59 76 แบบประเมนิ จติ วทิ ยาศาสตร์และเจตคติเชิงวทิ ยาศาสตร์ คาชแ้ี จง : ให้ ผสู้ อน สังเกตพฤติกรรมที่สะทอ้ นของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดบั คะแนน รายการ พฤติกรรม ระดับคะแนน ประเมิน 4321 1. จิต 1.1 ความสนใจใฝร่ ู้ วทิ ยาศาสตร์ 1.2 ความมุ่งมน่ั 1.3 ความอดทน 1.4 ความรอบคอบ 1.5 ความรับผิดชอบ 1.6 ความชอื่ สตั ย์ 1.7 ความประหยัด 1.8 การรว่ มแสดงความคิดเห็น 1.9 การยอมรับความคิดเห็นของผู้อน่ื 1.10 ความมีเหตุผล 1.11 การทางานร่วมกบั ผ้อู นื่ อย่างสร้างสรรค์ 2. เจตคตเิ ชิง 2.1 ความสนใจ ติดตาม ข้อมูลขา่ สารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ 2.2 ความชอบในเร่ืองราวทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2.3 พอใจในประสบการณ์การเรยี นรทู้ ี่เกย่ี วกบั วทิ ยาศาสตร์ 2.4 ศรทั ธาและซาบซึ้งในผลงานทางวทิ ยาศาสตร์ 2.5 เห็นคณุ ค่าและประโยชน์ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2.6 ตระหนกั ในคุณและโทษของการใชเ้ ทคโนโลยี 2.7 เรยี นหรือเขา้ รว่ มกจิ กรรมทางวิทยาศาสตรอ์ ย่างสนกุ สนาน 2.8 เลือกใชว้ ธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ในการคดิ และปฏิบตั ิ 2.9 ตั้งใจเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ 2.10 ใชค้ วามรู้ทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอยา่ งมคี ุณธรรม 2.11ใใชช้ค้คววาามมรรทู้ ู้ทาางงววิททิ ยยาาศศาาสสตตรรแ์ แ์ลละะเทเทคคโนโนโลโยลโียดีโยดใยคใรค่ครรค่ วรญวญ ไตรต่ รองถึงผลดแี ละผลเสีย ลงช่ือ...................................................ผปู้ ระเมนิ ............../.................../............
60 77 77 เกณฑ์การใหค้ ะแนน ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 2 คะแนน ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางครัง้ ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครงั้
78 61 78 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล ชอื่ .................................................................................................ชนั้ ..................................... คาชี้แจง : ให้ ผสู้ อน สังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขดี ลงใน ชอ่ งทตี่ รงกบั ระดบั คะแนน ลาดบั ที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 4321 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผอู้ ืน่ 3 การทางานตามหนา้ ที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมนี า้ ใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม เกณฑ์การให้คะแนน ลงช่อื ...................................................ผปู้ ระเมิน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสมา่ เสมอ ............../.................../............ ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยคร้งั ให้ 4 คะแนน ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ให้ 3 คะแนน ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมน้อยคร้งั ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ระดบั คณุ ภาพ ช่วงคะแนน ดีมาก 18 – 20 ดี 14 – 17 พอใช้ 10 – 13 ปรับปรงุ ตา่ กว่า 10
79 62 79 แบบประเมนิ การปฏบิ ตั ิการทดลองทางวิทยาศาสตร์ วชิ า.....................................เรอื่ ง.....................................ชั้น ม . ........./........... ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา ……. ผู้สอน …………………………… วนั ที่ประเมิน..................... คาชีแ้ จง 4 หมายถงึ ผลการปฏิบัติอยูใ่ นระดบั ดมี าก 3 หมายถึง ผลการปฏิบตั ิอย่ใู นระดบั ดี 2 หมายถึง ผลการปฏิบัติอยใู่ นระดับปานกลาง 1 หมายถงึ ผลการปฏิบตั ิอยู่ในระดบั ทต่ี ้องปรับปรงุ กลุ่มที่ รายการประเมิน คะแนน การทดลอง การใช้ การบันทกึ การจัด การสรุปผล การดูแล ตามแผน อปุ กรณ์ ผล กระทา การทดลอง และการ ทก่ี าหนด และ/หรือ การทดลอง ข้อมูล เก็บ เคร่ืองมือ และการ อปุ กรณ์ นาเสนอ และ/หรอื เคร่อื งมอื 4 3 2 1 4 3 2 1 4 32 1 43 2 1 4 3 2 1 43 21 254 เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การประเมนิ และระดบั คณุ ภาพ คะแนน 21 – 254 คะแนน หมายถงึ ดีมาก คะแนน 17 – 20 คะแนน หมายถึง ดี คะแนน 12 – 16 คะแนน หมายถึง พอใช้ คะแนน 1 – 11 คะแนน หมายถงึ ปรบั ปรงุ
80 63 80 เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมินการปฏบิ ัตกิ ารทดลองของนักเรียน ตัวชว้ี ดั 4 ระดบั คะแนน 1 32 1. การทดลอง ทดลองตามวิธกี าร ทดลองตามวธิ ีการ ทดลองตามวธิ กี าร ทดลองไม่ถูกต้องตาม ตามแผน และขั้นตอนท่ีกาหนด และขนั้ ตอนท่ี และขน้ั ตอนที่กาหนด วิธกี ารและข้นั ตอนที่ ที่กาหนด ไว้อย่างถูกต้องดว้ ย กาหนดไว้ ดว้ ย ไว้ โดยมีครู กาหนดไว้ ไม่มีการ ตนเอง มีการปรับปรุง ตนเอง มีการ หรอื ผู้อนื่ เปน็ ผู้ ปรบั ปรงุ แก้ไข แกไ้ ข เป็นระยะ ปรับปรุงแก้ไขบ้าง แนะนา 2. การใช้ ใชอ้ ปุ กรณ์และ/หรอื ใช้อุปกรณ์และ/ ใชอ้ ุปกรณ์และ/หรอื ใช้อปุ กรณ์และ/หรือ อปุ กรณ์ เคร่ืองมอื ในการทดลอง หรือเครื่องมือใน เครอื่ งมอื ในการ เคร่อื งมือในการทดลอง และ/หรือ ไดอ้ ย่างถกู ต้องตาม การทดลองได้อยา่ ง ทดลองได้อย่าง ไม่ถูกตอ้ ง และไมม่ ี เครอ่ื งมือ หลักการปฏบิ ตั แิ ละ ถกู ต้องตาม ถูกต้องโดยมีครู หรือ ความคล่องแคล่วในการ คลอ่ งแคลว่ หลักการปฏบิ ตั ิ แต่ ผอู้ ่นื เป็นผู้แนะนา ใช้ ไมค่ ล่องแคล่ว 3. การบนั ทึก บนั ทึกผลเปน็ ระยะ บนั ทกึ ผลเปน็ ระยะ บนั ทึกผลเป็นระยะ บันทึกผลไม่ครบ ผลการทดลอง อยา่ งถูกต้อง มี อยา่ งถูกต้อง มี แต่ไมเ่ ปน็ ระเบียบ ไม่มีการระบุหนว่ ย ระเบียบ มกี ารระบุ ระเบียบ มีการ ไม่มีการระบหุ น่วย และไม่เป็นไปตาม หนว่ ย มกี ารอธิบาย ระบหุ น่วย มีการ และไม่มีการอธิบาย การทดลอง ข้อมลู ให้เหน็ ความ อธบิ ายข้อมูลให้ ข้อมลู ใหเ้ ห็นถึง เชื่อมโยงเป็นภาพรวม เห็นถงึ ความ ความสมั พนั ธข์ อง เปน็ เหตุเปน็ ผล และ สัมพันธ์เป็นไปตาม การทดลอง เป็นไปตามการทดลอง การทดลอง 4. การจัด จดั กระทาข้อมลู อยา่ ง จัดกระทาข้อมูล จดั กระทาข้อมูล จัดกระทาข้อมูลอย่าง กระทาขอ้ มลู เปน็ ระบบ มีการ อยา่ งเปน็ ระบบ มี อยา่ งเปน็ ระบบ มกี าร ไมเ่ ปน็ ระบบ และมี และการ เชอ่ื มโยงใหเ้ ห็นเปน็ การจาแนกข้อมูลให้ ยกตวั อย่างเพ่มิ เติมให้ การนาเสนอไมส่ อื่ นาเสนอ ภาพรวมและนาเสนอ เห็นความ สมั พันธ์ เขา้ ใจงา่ ยและ ความหมายและไม่ ด้วยแบบตา่ งๆ อย่าง นาเสนอด้วยแบบ นาเสนอดว้ ยแบบ ชดั เจน ชดั เจน ถกู ต้อง ต่างๆ ได้ แตย่ งั ไม่ ตา่ งๆ แตย่ งั ไม่ ชดั เจน ชดั เจนและไม่ถูกต้อง 5. การสรปุ ผล สรปุ ผลการทดลองได้ สรปุ ผลการทดลอง สรุปผลการทดลองได้ สรปุ ผลการทดลอง การทดลอง อย่างถูกต้อง กระชับ ไดถ้ ูกตอ้ ง แตย่ งั ไม่ โดยมคี รหู รือผู้อนื่ ตามความรู้ท่ีพอมีอยู่ ชดั เจน และครอบคลมุ ครอบคลุมข้อมลู แนะนาบา้ ง จงึ
81 64 81 ตวั ชี้วดั ระดบั คะแนน 67. การดูแล 4 32 1 และการเก็บ ข้อมูลจากการ โดยไมใ่ ชข้ ้อมลู จาก อปุ กรณ์และ/ วิเคราะหท์ ั้งหมด จากการวเิ คราะห์ สามารถสรปุ ได้ การทดลอง หรอื เคร่ืองมอื ดแู ลอปุ กรณแ์ ละ/หรือ ท้งั หมด ถกู ต้อง ไมด่ แู ลอุปกรณ์และ/ เครื่องมอื ในการ หรอื เครอ่ื งมือในการ ทดลองและมีการทา ดแู ลอปุ กรณ์และ/ ดูแลอุปกรณ์และ/ ทดลอง และไม่สนใจ ความสะอาดและเกบ็ ทาความสะอาดรวมทัง้ อยา่ งถูกต้องตาม หรอื เคร่ืองมือใน หรือเครอ่ื งมือในการ เก็บ หลักการ และแนะนา ไมถ่ ูกตอ้ ง ให้ผ้อู ืน่ ดแู ลและเกบ็ การทดลองและมี ทดลองมีการทา รักษาได้ถูกตอ้ ง การทาความ ความสะอาดแต่เกบ็ สะอาดอย่างถูกต้อง ไม่ถูกตอ้ ง ตอ้ งใหค้ รู แต่เก็บไมถ่ ูกตอ้ ง หรอื ผอู้ ื่นแนะนา
82 65 82 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สารและสมบัติของสาร รหัสวิชา ว21101 รายววชิ ิชาาวิทวยิทายศาาศสาตสรต์พรื้น์ ฐาน 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 18 ชั่วโมง ................................................................................................................................................................ ..... 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชวี้ ัด สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐานการเรียนรู้ ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่าง สมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลง สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ตวั ชี้วัด ว 2.1 ม.1/1 อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จากการสังเกตและ การทดสอบ และใช้สารสนเทศทไ่ี ด้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมท้ัง จัดกลมุ่ ธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ว 2.1 ม.1/2 วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ที่มีต่อส่ิงมีชีวิต สงิ่ แวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ ว 2.1 ม.1/3 ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี โดยเสนอ แนวทางการใช้ธาตุอยา่ งปลอดภัย คมุ้ คา่ ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธ์ิและสารผสม โดยการวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟ แปลความหมายข้อมูลจากกราฟ หรือสารสนเทศ ว 2.1 ม.1/5 อธิบายและเปรยี บเทียบความหนาแนน่ ของสารบริสทุ ธ์แิ ละสารผสม ว 2.1 ม.1/6 ใชเ้ คร่อื งมอื เพอื่ วัดมวลและปริมาตรของสารบรสิ ทุ ธิ์และสารผสม ว 2.1 ม.1/7 อธิบายเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม ธาตุและสารประกอบ โดยใช้แบบจาลอง และสารสนเทศ ว 2.1 ม.1/8 อธิบายโครงสร้างอะตอมท่ีประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอนและอิเล็กตรอน โดยใช้ แบบจาลอง ว 2.1 ม.1/9 อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค และ การเคล่ือนทีข่ องอนภุ าค ของสสารชนิดเดยี วกันในสถานะของแขง็ ของเหลว และแก๊ส โดยใชแ้ บบจาลอง ว 2.1 ม.1/10 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลงั งานความร้อนกับการเปลย่ี นสถานะของสสาร โดยใช้ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษแ์ ละแบบจาลอง
83 66 83 2. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติ ทางกายภาพบางประการเหมือนกันและบางประการ ต่างกัน ซึ่งสามารถนามาจดั กลุ่มธาตุเปน็ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ธาตุโลหะมจี ุดเดอื ด จุดหลอมเหลวสงู มีผิว มันวาว นาความร้อนนาไฟฟ้า ดึงเป็นเส้น หรือตีเป็นแผ่นบางๆ ได้ และมีความหนาแน่นทั้งสูงและต่า ธาตุ อโลหะ มีจุดเดอื ด จดุ หลอมเหลวต่า มีผวิ ไมม่ นั วาว ไม่นาความรอ้ น ไม่นาไฟฟ้า เปราะแตกหักง่าย และมีความ หนาแน่นต่า ธาตุกึ่งโลหะมีสมบัติ บางประการเหมือนโลหะ และสมบัติบางประการเหมือนอโลหะ ธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ที่สามารถแผ่รงั สีได้ จัดเป็นธาตุกัมมนั ตรังสี ธาตมุ ีท้ังประโยชน์และโทษ การใช้ธาตุโลหะ อโลหะ ก่งึ โลหะ ธาตุกมั มนั ตรังสี ควรคานงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ สง่ิ มชี ีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกจิ และสงั คม อะตอม (Atom) คือหน่วยพื้นฐานของสสาร ประกอบด้วยส่วนของนิวเคลียสท่ีหนาแน่นมากอยู่ตรง ศูนย์กลาง ล้อมรอบด้วยกลมุ่ หมอกของอเิ ลก็ ตรอนที่มีประจลุ บ นิวเคลียสของอะตอมประกอบด้วยโปรตอนท่ีมี ประจุบวกกับนิวตรอนซ่ึงเป็นกลางทางไฟฟ้า อิเล็กตรอนของอะตอมถูกดึงดูดอยู่กับนิวเคลียสด้วยแรง แม่เหล็กไฟฟ้า ในทานองเดียวกัน กลุ่มของอะตอมสามารถดึงดูดกันและกันก่อตัวเป็นโมเลกุลได้ อะตอมท่ีมี จานวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ากันจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า มิฉะน้ันแล้วมันอาจมีประจุเป็นบวก (เพราะขาดอิเล็กตรอน) หรือลบ (เพราะมีอิเล็กตรอนเกิน) ซ่ึงเรียกว่า ไอออน เราจัดประเภทของอะตอมด้วย จานวนโปรตอนและนิวตรอนท่ีอยู่ในนิวเคลียส จานวนโปรตอนเป็นตัวบ่งบอกชนิดของธาตุเคมี และจานวน นิวตรอนบง่ บอกชนดิ ไอโซโทปของธาตุนั้น สารท่ีมสี ถานะ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส จะมีสมบัตแิ ตกตา่ งกัน เช่น ของแข็งมีการจัดเรียงอนุภาค เปน็ ระเบยี บ มีแรงยึดเหนยี่ วของอนภุ าคมาก ปริมาตรคงท่ีแน่นอน ของเหลวมีการจดั เรียงอนภุ าคเปน็ ระเบยี บ และเคล่อื นท่ีได้บ้าง มแี รงยึดเหนี่ยวของอนภุ าคปานกลาง ปริมาตรคงท่แี น่นอน และแก๊ส มกี ารจดั เรียงอนภุ าค กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ แรงยึดเหน่ียวของอนุภาคน้อยมาก ปริมาตรไม่แน่นอนขึ้นกับปริมาตรของ ภาชนะ 3. สาระการเรียนรู้ ความรู้ 1. อธิบายเก่ยี วกับธาตแุ ต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติ ทางกายภาพบางประการเหมอื นกัน และบางประการต่างกัน ซึ่งสามารถนามาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ ธาตุโลหะมีจุดเดือด จุด หลอมเหลวสูง มีผิวมนั วาว นาความร้อนนาไฟฟ้า ดึงเป็นเส้น หรือตีเป็นแผ่นบางๆ ได้ และมีความหนาแน่นท้ัง สูงและต่า ธาตุอโลหะ มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวต่า มีผิวไม่มันวาว ไม่นาความร้อน ไม่นาไฟฟ้า เปราะแตกหัก ง่าย และมคี วามหนาแนน่ ตา่ ธาตุกึง่ โลหะมสี มบตั ิ บางประการเหมือนโลหะ 2. อธิบายเก่ียวกับเก่ียวกับความหมายของอะตอม ธาตุและสารประกอบ โครงสร้างอะตอมที่ ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอนและอิเล็กตรอน
84 67 84 3. อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรยี งอนุภาค แรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอนุภาค และการเคล่ือนท่ีของ อนุภาค สถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊สได้ และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานความร้อนกับการ เปลย่ี นสถานะของสสาร ทกั ษะ/กระบวนการ 1. จาแนกเก่ียวกบั สมบตั บิ างประการของธาตุ ที่เปน็ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ 2. ทาการทดลอง สงั เกต การจาแนก การต้งั สมมติฐาน การกาหนดควบคุมตัวแปร 3. อธิบาย สมบตั ิของสาร การจดั เรียงอนุภาค แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค และการเคล่ือนท่ีของ อนภุ าค ในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊สได้ 4. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานความร้อนกับการเปล่ียนสถานะของสสาร ของแข็ง ของเหลว และแกส๊ และสามารถเขียนสือ่ สารสิง่ ทนี่ กั เรยี นได้เรยี นรู้ได้ เจตคติ 1. ใฝ่เรียนรแู้ ละการมงุ่ มน่ั ในการทางาน 4. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 5. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. มงุ่ ม่ันในการทางาน 6. การประเมินผลรวบยอด ช้ินงานหรอื ภาระงาน Pop up การจาแนกกลุม่ ธาตุ (โลหะ อโลหะ กึง่ โลหะ) โดยใชส้ มบตั ิบางประการของธาตุ
85 68 85 แบบประเมนิ ชนิ้ งาน/ภาระงาน ช่ือชน้ิ งาน………………………………………………………………………………………… ระดับชั้น ม. ......../……… กลมุ่ ท่.ี ................... การประเมนิ รายการประเมิน คะแนนที่ได้ 432 1 1.ความคิดสรา้ งสรรค์ 1.1 ความแปลกใหม่ของปญั หา (การตัง้ ปญั หา) 2.วธิ กี ารศึกษา ค้นควา้ 2.1 การกาหนดวัตถุประสงค์ 2.2 การทางานอยา่ งมีขนั้ ตอน 2.3 การใช้เคร่ืองมือ วสั ดุ อปุ กรณอ์ ย่างเหมาะสม 3.เน้ือหาสาระและ 3.1 เนอ้ื หาสาระถกู ต้อง ประโยชน์ 3.2 ผลทไ่ี ด้จากการศึกษา 3.3 การนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวัน 3.4 หลักฐานการเก็บขอ้ มูล 4.ความสาเร็จของ 4.1 ความแข็งแรงและความสมบรู ณข์ องรูปเลม่ ชนิ้ งาน 4.2 การใช้ภาษา 4.3 ข้อมูลถูกต้อง อา้ งอิงตามหลักการ 5.การแสดงชิ้นงานและ 5.1 ความคิดรเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ในการแสดงผลงาน การนาเสนอ 5.2 การตอบข้อซักถาม ลงชอื่ .........................................................................ผู้ประเมนิ (.........................................................................) ................../................/............... เกณฑ์การประเมนิ ระดับคุณภาพ ช่วงคะแนน เกณฑก์ ารพจิ ารณา 4 56-68 ดีมาก 3 43-55 ดี 2 30-42 พอใช้ 1 17-29 ควรปรบั ปรุง เกณฑ์การผ่านได้คะแนนตง้ั แต่ระดบั พอใชข้ ้นึ ไป
86 69 86 เกณฑก์ ารประเมนิ ช้นิ งาน/ภาระงาน รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1.ความคดิ สร้างสรรค์ 4….เป็นเรอ่ื ง / วิธีใหม่ / ตอ่ ยอดเร่ืองเดมิ ท่นี ่าสนใจ สามารถเช่อื มโยงไปสู่ 1.1 ความแปลกใหม่ของปญั หา ความสาเร็จสรา้ งสรรค์นวตั กรรมได้ (การตง้ั ปัญหา) 3….เปน็ เร่ืองใหม่ / วธิ ใี หม่ และน่าสนใจ 2….เปน็ เรือ่ งใหม่ / วธิ ใี หม่ แต่ไม่นา่ สนใจ 1….ไม่ใช่เรอื่ ง / วธิ ใี หม่ 2.วธิ ีการศึกษาค้นคว้า 4….เขียนจุดประสงค์ตรงประเด็น ชดั เจน รดั กมุ ถูกต้องครบถ้วนสอดคลอ้ ง 2.1 การกาหนดจดุ ประสงค์ กบั ช่ือเร่ือง 3….เขียนจุดประสงคต์ รงประเด็น ชดั เจนแตไ่ ม่รดั กุม สอดคล้องกับช่ือเรื่อง 2.…เขียนจุดประสงค์ตรงประเดน็ ไม่ชดั เจนแต่สอดคลอ้ งกับชอ่ื เร่อื ง 1….เขยี นจดุ ประสงค์ไมต่ รงประเด็น ไม่สอดคล้องกับชือ่ เรื่อง 2.2 การทางานอยา่ งมขี ั้นตอน 4.…มีการวางแผน การจดั ลาดับการทางาน การแบง่ งานอยา่ งชัดเจนใช้ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3.…มกี ารวางแผน การจัดลาดับการทางาน การแบ่งงานไม่ชัดเจนใชท้ ักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2.…มกี ารวางแผน ไม่มกี ารจดั ลาดับการทางาน การแบง่ งานอยา่ งชดั เจนใช้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.…ไมม่ ีการวางแผน การจัดลาดบั การทางาน การแบ่งงานไม่ชดั เจนใช้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2.3 การใชเ้ คร่ืองมือ วสั ดุ อปุ กรณ์ 4.…มกี ารใช้เคร่ืองมือ วสั ดุ อุปกรณ์ อย่างถกู ตอ้ ง และประยกุ ตใ์ ชว้ ัสดุ อย่างเหมาะสม ทดแทนอยา่ งเหมาะสม 3….มีการใช้เคร่ืองมือ วสั ดุ อุปกรณ์ อย่างถูกต้อง และประยกุ ต์ใชว้ ัสดุ ทดแทนบางส่วน 2.…มีการใช้เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ ไม่ถูกตอ้ ง และประยุกต์ใช้วัสดทุ ดแทน บางสว่ น 1….มีการใชเ้ คร่ืองมือ วสั ดุ อุปกรณ์ บางส่วน 3. เนื้อหา สาระ และประโยชน์ 4….มกี ารจดั ทาเนื้อหาสอดคล้องกับเรื่องแนวคิดและทฤษฎเี กย่ี วกบั เรือ่ งน้า 3.1 เนื้อหาสาระถกู ต้อง ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวรชั กาลที่ 9ถูกต้อง สมบรู ณค์ รบถ้วน 3….มกี ารจดั ทาเนื้อหาสอดคล้องกบั เร่ืองแนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกับเรือ่ งน้า ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรชั กาลท่ี 9ถูกต้อง สมบูรณ์ครบถ้วน ถูกต้อง ไมส่ มบูรณ์ครบถว้ น
87 70 87 รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 2….มกี ารจัดทาเน้ือหาสอดคล้องกับเร่ืองแนวคิดและทฤษฎเี ก่ียวกับเร่อื งน้า ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวรชั กาลที่ 9ถกู ต้อง สมบูรณค์ รบถ้วน ไม่ ถกู ต้อง 1….มีการจดั ทาเนื้อหาไม่สอดคลอ้ งกับเรือ่ ง แนวคดิ และทฤษฎเี กยี่ วกับ เร่ืองน้าของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวรัชกาลท่ี 9ถูกต้อง สมบูรณ์ ครบถว้ น 3.2 ผลท่ไี ดจ้ ากการศึกษา 4….ผลจากการศกึ ษาน่าเชอื่ ถือ 100% 3….ผลจากการศึกษาน่าเชอื่ ถือ 80% 2….ผลจากการศึกษาน่าเชอ่ื ถือ 60% 1….ผลจากการศึกษาไม่นา่ เชื่อถือ 3.33ก.3ารกนาำ� รไนปาใไชปช้ ใีวชติใ้ นปชรวีะิตจป�ำวรันะจาวัน 4….มกี ารใชป้ ระโยชน์ไดจ้ ริง ประยกุ ต์ใช้ไดอ้ ย่างหลากหลาย 3….มีการใชป้ ระโยชน์ได้จริง ประยกุ ต์ใช้ได้อย่างไมห่ ลากหลาย 2….มกี ารใชป้ ระโยชนไ์ ดเ้ พยี งบางสว่ น ประยกุ ต์ไดไ้ มห่ ลากหลาย 1….ใช้งานไม่ได้ 3.4 ห3.ล4กั หฐลานักฐกานรเกกา็บรเขก้อบ็ มขูล้อมูล 4….มรี ่องรอย หลกั ฐานการเก็บขอ้ มลู อย่างสมบรู ณ์ ครบถ้วน 3….มรี อ่ งรอย หลักฐานการเก็บข้อมลู ไม่สมบูรณ์ แต่มีครบถ้วน 2….มีร่องรอย หลักฐานการเก็บขอ้ มลู บางสว่ น 1….ไมม่ ีร่องรอย หลักฐานการเก็บข้อมลู 4. ความสาเร็จของชิน้ งาน 4….มอี งคป์ ระกอบของชิน้ งานครบถว้ นได้มาตรฐาน เรียงตามลาดบั 4.1 ความแขง็ แรงและสมบูรณข์ อง 3….มีองคป์ ระกอบของชน้ิ งานครบถว้ นได้มาตรฐาน ไม่เรยี งตามลาดบั รปู ลเล่มม่ 2….มีองคป์ ระกอบของชน้ิ งานไม่ครบถ้วน เรียงตามลาดบั 1….มอี งค์ประกอบของชนิ้ งานไมค่ รบถ้วน ไม่เรยี งตามลาดับ 4.2 การใชภ้ าษา 4….เลือกใชค้ าถกู ต้องตามหลกั ภาษา กระชับ รัดกมุ ไมใ่ ชค้ าฟมุ่ เฟือย พมิ พ์ ถูกต้องทั้งหมด 3….เลือกใชค้ าถูกต้องตามหลกั ภาษา กระชับ รัดกุม มีคาฟุ่มเฟือย พมิ พถ์ ูกต้องทงั้ หมด 2….เลอื กใชค้ าไม่ถูกต้องตามหลกั ภาษา มคี าฟุ่มเฟอื ย พิมพผ์ ิด 1-9 คา 1….เลอื กใช้คาไมถ่ ูกต้องตามหลักภาษา พมิ พผ์ ดิ มากกวา่ 10 คาขึน้ ไป
88 71 88 รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 4.3 ขอ้ มูลถูกต้อง อ้างอิงตาม 4….มีการอ้างองิ หลักการ ทฤษฎีจากแหลง่ ข้อมลู หลากหลาย ถูกตอ้ ง เขียน หลกั การ บรรณานุกรมถกู ต้องตามหลกั สากล 3….มกี ารอ้างอิงหลักการ ทฤษฎจี ากแหลง่ ข้อมูลไม่หลากหลาย เขียนบรรณานุกรมถูกต้องตามหลักสากล 2….มีการอ้างอิงหลักการ ทฤษฎีจากแหล่งข้อมลู ไมห่ ลากหลาย เขยี นบรรณานุกรมไม่ถกู ต้องตามหลกั สากล 1….ไม่มกี ารอา้ งองิ หลกั การ ทฤษฎจี ากแหลง่ ขอ้ มลู หลากหลาย เขยี น บรรณานุกรมไม่ถกู ต้องตามหลักสากล 5. การแสดงชนิ้ งานและการนาเสนอ 4….ชน้ิ งานไดม้ าตรฐาน ใช้เทคนคิ เร่ืองสีในการตกแตง่ ได้อยา่ งเหมาะสม 5.1 ความคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรค์ของการ หวั ข้อมองเห็นชัดเจน ประณีต สวยงาม นาเสนออย่างเปน็ ขน้ั ตอน จัดแสดงชนิ้ งาน 3….ชน้ิ งานไดม้ าตรฐาน ใช้เทคนิคเรอ่ื งสีในการตกแต่งได้อยา่ งเหมาะสม หวั ข้อมองเหน็ ชัดเจน ไมป่ ระณีต สวยงาม นาเสนออยา่ งเป็นขน้ั ตอน 2….ชน้ิ งานไดม้ าตรฐาน ใช้เทคนคิ เรือ่ งสใี นการตกแต่งได้อยา่ งเหมาะสม หัวขอ้ มองเห็นไม่ชัดเจน ไมป่ ระณีต สวยงาม นาเสนอไมเ่ ปน็ ข้นั ตอน 1….ชนิ้ งานไมไ่ ด้มาตรฐาน ใช้เทคนิคเร่ืองสีในการตกแต่งบา้ ง นาเสนอไม่ เป็นขั้นตอน 5.2 การตอบขอ้ ซักถาม 4….มีความเข้าใจช้นิ งานของตน ทราบวา่ ควรทาอะไรบ้าง อะไรทยี่ ังไม่ได้ ทา และทาอะไรในขัน้ ต่อไป การอธบิ ายมเี หตุผลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน พดู ชดั เจน เสยี งดัง ทกุ คนร่วมมอื กันทาหนา้ ท่ีของตน 3….มีความเข้าใจชิน้ งานของตน ทราบวา่ ควรทาอะไรบา้ ง อะไรทีย่ ังไม่ได้ ทา และทาอะไรในขัน้ ต่อไป การอธิบายขาดเหตผุ ลสนับสนุน พดู จาฉะฉาน เสียงดัง ทุกคนร่วมมอื กันทาหน้าท่ีของตน 2….มีความเขา้ ใจชน้ิ งานของตน ทราบวา่ ควรทาอะไรบ้าง การอธบิ ายขาด เหตผุ ลสนับสนนุ พดู จาฉะฉาน แตล่ ะคนทาหน้าท่ีของตน เขา้ ใจโครงงานไม่ครบทุกส่วน 1….มีความเข้าใจชิ้นงานของตนไมค่ รบทกุ สว่ น บางคนปฏิบัติหนา้ ที่ ไม่เตม็ ที่
89 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอื่ ง สมบัติบางประการของธาตุ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรื่อง สารและสมบัติของสาร เวลา 2 ชั่วโมง กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 รายรวาชิยาวิชวาิทวยิทาศยาาสศตารสพ์ ตน้ื รฐ์ าน ขอบเขตเนื้อหา 1. สมบตั ทิ างกายภาพบางประการของธาตุ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ โลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ และการใช้ ข้นั นา 1. ธาตุตัวอย่าง ( ตะปูเหล็ก กามะถัน ประโยชน์ธาตโุ ลหะ อโลหะ กึง่ โลหะ และธาตุ กมั มันตรงั สี ท่มี ีต่อส่ิงมีชวี ิต สิ่งแวดล้อม 1. ครนู าอภิปรายโดยให้นกั เรียนสังเกตผิว สถานะ การเกิดเสียงจากการเคาะ ก้อน ไส้ดินสอ แทง่ อะลูมิเนียม) เศรษฐกจิ และสังคม กันเองของเหล็ก (ตะปูเหลก็ ) กามะถัน (S) ไส้ดนิ สอ แผ่นสังกะสี เพื่อนาเข้าสู่ 2. ใบความรทู้ ่ี 1 เร่อื ง การแบ่งกลมุ่ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ด้านความรู้ การใช้สมบัติทางกายภาพบางประการของธาตุในการแบ่งกลุ่มธาตุ และใช้ ธาตุในตารางธาตุ 1. อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการ คาถามนาอภปิ รายในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี 3. ใบกจิ กรรมท่ี 1 เร่อื ง สมบตั ิบาง ของธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ และการใช้ ประโยชน์ธาตโุ ลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ และธาตุ - นักเรียนคิดว่าตัวอย่าง 4 ชนิดน้ีมีความแตกต่างกันอย่างไร (สี , ประการของธาตุ กัมมันตรงั สี ทมี่ ตี ่อส่งิ มีชวี ติ ส่งิ แวดล้อม เศรษฐกจิ และสังคม โดยใช้หลกั ฐานเชิง ของแขง็ ) 4. ใบกจิ กรรมท่ี 2 เรื่อง ตารางธาตุและ ประจกั ษ์ทีไ่ ด้ - นักเรยี นคิดว่ามีเกณฑ์อื่นในการจาแนกสาร 3 ชนิดอีกหรือไม่ การจาแนกกล่มุ ธาตุ อย่างไร (นักเรียนสามารถตอบไดห้ ลากหลาย เชน่ การนาไฟฟ้า มวล เปน็ ต้น ) วดิ ทิ ัศน์ เรอื่ ง สมบตั ิของธาตุโลหะ ธาตุ - ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า สารตา่ งๆ อโลหะ ธาตกุ ง่ึ โลหะ จาก เหลา่ นน้ั ประกอบดว้ ยสว่ นเลก็ ๆ นักเรียนคดิ วา่ ตวั อย่างที่นามาเป็นธาตุท่ีเหมือน https://goo.gl/YGByrS หรอื ตา่ งกนั นักเรยี นร้จู กั ธาตใุ ดอกี บ้าง ภาระงาน/ช้นิ งาน 2. ครูนาเสนอตัวอย่างสัญลกั ษณข์ องธาตุ ไดแ้ ก่ ธาตุ Ca และ O หน้าชั้น ใบกจิ กรรมท่ี 1 และ 2 แล้วให้นกั เรียนร่วมกันอภิปราย โดยใช้คาถามนาการอภปิ ราย ตอ่ ไปน้ี - นักเรียนคดิ ว่าธาตทุ ง้ั สองชนิดนคี้ ือธาตุอะไร (แคลเซียม และ ออกซเิ จน) 72 89
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 เรอื่ ง สมบตั ิบางประการของธาตุ 90 กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เร่ือง สารและสมบตั ิของสาร เวลา 2 ชัว่ โมง ดา้ นทกั ษะและกระบวนการ รายรวาิชยาวชิ วาิทยวาทิ ศยาาสศตารพ์สต้ืนรฐ์าน ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 1. จาแนกธาตุโดยใช้สมบตั ิทางกายภาพบาง - ธาตทุ ้งั สองชนิดน้ีมีความสาคญั อย่างไรต่อการดารงชีวติ ของเรา ( ธาตุ ประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะได้ Ca เสรมิ สรา้ งกระดูกและฟัน ส่วนธาตุออกซิเจนใช้ในกระบวนการหายใจ) ดา้ นคณุ ลักษณะ - นักเรียนคิดว่านอกจากธาตุสองชนิดนี้แล้วยังมีธาตุอ่ืนๆ อีกหรือไม่ท่ี 1. ใฝเ่ รียนรู้ นักเรียนรู้จักพร้อมทั้งบอกประโยชน์ (ถ้ามีให้นักเรียนยกตัวอย่างประกอบ ถ้า 2. มงุ่ มั่นในการทางาน ตระหนกั ถงึ คุณค่า นกั เรยี นตอบไมม่ ีใหค้ รูยกตัวอยา่ งเพิ่ม เช่น N P K พบเป็นธาตอุ าหารของพืช ) ของการใชธ้ าตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุ 3. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือสรุปวิธีวิธีการกาหนดสัญลักษณ์ของ ธาตุว่าสัญลักษณ์ของธาตุ ใช้ตัวอักษรของช่ือธาตุ ตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ ถ้า อักษรตัวแรกซ้ากัน ให้ใช้อักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ควบกับอักษรตัวพิมพ์ เล็กอ่ืนๆท่ีไม่ซ้ากนั เป็นสญั ลกั ษณข์ องธาตุ ถา้ ธาตนุ ั้นมีชื่อเป็นภาษาละตนิ ให้ ใช้อกั ษรจากภาษาละติน ถ้าไม่มีช่อื ภาษาละตนิ ใหใ้ ชช้ ือ่ จากภาษาอังกฤษ 4. ครูยกตัวอย่างช่ือธาตุและสุ่มให้นักเรียนบอกสัญลักษณ์ของธาตุ ได้แก่ ธาตตุลุลิเิเททยี ียมม(Li) แมกนเี ซยี มม(Mgg)) คาร์บอน(c(c)) ฮฮีเเีลลียยี มม(H(Hee) ) ซซัลัลเฟเฟออรร์(S์ ()Sซ) ิลิ ซกิลอกิ นอ(Sนi) (Si) 5. ครใู ห้ความรู้เพ่ิมเติมว่าเมือ่ วิทยาศาสตร์เจรญิ ก้าวหนา้ มากข้นึ ธาตุท่ี คน้ พบกม็ มี ากขึ้น ธาตุเหล่าน้ีมสี มบัตบิ างประการคล้ายคลึงกนั จึงนาสมบตั ิของ ธาตุมาจดั เป็นหมวดหมู่ในรปู ของตารางธาตุ 6. นกั เรยี นสังเกตตารางธาตุในใบความรู้ที่ 1 เร่อื ง การแบ่งกลุ่มธาตุในตาราง ธาตุ และรว่ มกนั อภิปรายโดยใช้คาถามต่อไปนี้ 73 90
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 1 เรื่อง สมบัติบางประการของธาตุ 91 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง สารและสมบตั ิของสาร เวลา 2 ช่ัวโมง รายรวาิชยาวชิ วาทิ วยิทาศยาาสศตารส์พตน้ื รฐ์ าน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 - ตารางธาตุประกอบด้วยจานวนกแี่ นวตง้ั และก่ีแนวนอน (ตารางธาตุ ประกอบดว้ ย 18 แนวตั้งและ 7 แนวนอน ) - แนวตัง้ และแนวนอนของตารางธาตเุ รียกวา่ อะไร ( คาตอบมี หลากหลายขน้ึ อยู่กบั นักเรยี น ) ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมว่าแนวตั้งของตารางธาตุเรียกว่า หมู่ บอกหมู่ของ ธาตุซ่งึ แบง่ เป็น 2 กลุม่ คือกลุ่ม A และ B และแนวนอนเรียกว่า คาบ เช่น ธาตุ ออกซเิ จนอย่ใู นหมู่ 16 หรือ คาบ 2 อะลูมิเนียมอยหู่ มู่ 13 หรอื หมู่ IIIA คาบ 3 - ธาตุ โซเดยี ม (NNaa) )คาคราบ์ รอ์บนอน(C() Cไน)โตไนรโเจตนรเจ(Nน) (ฟNลอู )อฟรลนี ูอ(อFร)ีนแล( ะF ) คแลอะรคนี ลอ(Cรีนl)(อCยl่ใู )นอหยมใู่ ู่ในดหแมล่ใู ดะคแาลบะใคดาขบอใงดตขาอรงาตงาธราาตงุธาตุ โซเดียม (NNaa) ) หมู่ 1A หรือ IA คาบ 3 คาร์บอน (CC) ) หมู่ 4A หรือ IVA คาบ 2 ไนโตรเจน (NN) ) หมู่ 5A หรอื VA คาบ 2 ฟลอู อรีน (FF) ) หมู่ 7A หรือ VIIA คาบ 2 คลอรีน (CCl)l ) หมู่ 8A หรอื VIIA คาบ 3 ข้ันสอน 1. แบง่ นักเรียนเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 4-5– ค5นรว่ รมว่ กมนักอันภอปิภริปารยาเยกเี่ยกวีย่ กวับกกบั ากราจราจแ�ำนแกนก ธาตตุ ามสมบตั บิ างประการโดยการศกึ ษาจากใบกิจกรรมท่ี 1 และนาเสนอผล 74 91
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
Pages: